อัพให้อีกรอบค่ะ ก่อนออกไปหาข้าวทาน
บทที่ 4 – ให้ตายเหอะ
“errrrrrrrrrrrrrr………..” ผมอ้าปากค้าง ยังเบลอๆและงงๆอยู่เพราะเพิ่งตื่น
“Hi, I am Bank (สวัสดี เราแบงค์)” มันทักขึ้นมา
“Hi, I’m Arm. Nice to meet you. I guess you must be from Thailand (สวัสดี เราชื่ออาร์มนะ ยินดีที่ได้รู้จัก นายเป็นคนไทยหรือเปล่า)”
“อ่า ใช่ๆ นายเป็นคนไทยหรอ?”
“อื้มๆ เราก็คนไทยเหมือนกัน ไม่นึกเลยว่าจะเจอคนไทยที่นี่ แล้วนายมาที่นี่มีอะไรหรือเปล่า เห็นเหนื่อยๆ” ผมยิ้มให้มัน
“อ๋อ เปล่าๆ คือเราเพิ่งวิ่งหนีฝนมาจากข้างนอกน่ะ แล้วนี่ก็ห้องที่เราย้ายมาอยู่ ไมหรอ” มันตอบแบบหน้ากวนๆ ยักไหล่
“อ๋อ อ๋อ…… เหอๆ เฮ้ย” ผมหน้าซีดลงไปในทันใด
“เป็นอะไรนาย”
“อ๋อๆๆ พอดีลืมให้อาหารหมาที่บ้านอะ”
“ฮะ อะไรนะ หมา……..”
“เปล่าๆๆๆๆ กำลังนึกถึง น้าหงา คาราวานน่ะ แฮ่ๆ ไม่มีอะไรหรอก แฮ่ๆ” ผมยิ้มเหงื่อตก หน้าจ๋อยหน่อยๆ
“ท่าจะปัญญาอ่อน สอบเข้ามาอยู่เยลได้ไงวะ” มันหันหลังกลับไปพูดอ้อมแอ้มกับตัวมันเอง ทิ้งให้ผมที่ยืนอยู่ตรงปลายเตียงตัวชาไปทั้งตัว เออ กูรู้น่ะว่ากูไม่ได้ฉลาดอะไรแต่อย่างน้อยกูก็ไม่ได้โง่เป็นเต่าล้านปีล่ะวะ
สงสัยว่าไอ้นี่ท่าทางจะไม่เบาซะแล้วแฮะ มาถึงไม่ทันไรก็ปากเสียเลยนะเนี่ย สงสัยจะอยู่ไม่ยาว ไอ้เวรนี่ ผมจ้องไปทางมันด้วยสายตาอำมหิต
ผมถอนหายใจแรงๆ แล้วก็เดินตรงเพื่อเข้าไปแปรงฟันที่ไม่ได้แปรงมาตั้งแต่เช้า แล้วก็จัดการล้างหน้า สระผมจนเสร็จเรียบร้อย ค่อยรู้สึกสบายตัวหน่อย อึดอัดมาทั้งวัน พอออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าในห้องไม่มีใครอยู่แล้ว ผมเดินไปตากผ้าเช็ดตัวที่ราวตากผ้าที่ถูกขึงโดยตู้สองใบที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของห้อง หลังจากจัดการเคลียร์ของในห้องเสร็จผมก็เดินลงไปหาไอ้หวานหว่าน โซฟี่ กับซูที่ตอนนี้กำลังตักไอติมกินกันอยู่
“You guys don’t wait for me (โห ไม่รอกันเลยอะ)” ผมอ้อน
“Well too bad Arm, who asks you to sleep for this long? Your problem, hahaha (อ้าว ช่วยไม่ได้ ใครขอให้อาร์มหลับไปนานเองล่ะ เรื่องของเธอ ฮ่าๆๆ) ซูตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี
“Fine fine, I now know that my friend is very selfish (เออ ก็ได้ๆ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ล่ะว่ามีเพื่อนเห็นแก่ตัว)” ผมตอบกลับไปแบบงอนๆ
“okay enough, two of you! Why don’t you go get some food (พอๆสองคนนี้ ไปเอาอาหารสิ)” ไอ้หวานหว่านรีบเบรกก่อนผมกับซูจะได้เถียงกันยาว เพราะไม่ค่อยยอมน้อยหน้าอยู่แล้ว หึหึ
ผมเดินไปตักอาหารหลายอย่างใส่จานมา ระหว่างทางไปทางกลับผมก็ทักเพื่อนๆผมหลายคน ทำให้ความง่วงที่มีอยู่ตะกี้หายเป็นปลิดทิ้ง และเปลี่ยนมาเป็น ความตื่นเต้นอยากรู้อยากเห็นแทน
ผมตักอาหารหลายอย่างจนพูนจาน ใจจริงๆก็อยากจะเอาน้ำแข็งที่ถูกแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ออกมาด้วย แต่ก็ไม่หน้าด้านพอเพราะที่บ้านสอนมาดี แต่ถึงยังงั้นก็เหอะ ในใจผมก็ยังนึกเสียดาย เพราะคิดว่าถ้าเอาน้ำแดงราดคงอร่อยชื่นใจแน่ๆ พอตักอาหารเสร็จก็มุ่งหน้าไปที่มุมเครื่องดื่ม ที่มีทั้งน้ำแครนเบอร์รี่ เกรฟฟรุ๊ต องุ่นแดง แอปเปิ้ล แล้วก็สมูธธี่อีกหลายอย่าง รวมไปถึงเบียร์และไวน์แบรนด์ดังๆด้วย พอรินน้ำแครนเบอร์รี่ใส่แก้วแล้วก็ยืนทักทาย กับ Dean ของบ้านสักครู่ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะหันหลังกลับ
“Be careful (ระวัง)” ผมตะโกน แต่ก็รู้สึกว่ามันสายไปซะแล้วเพราะน้ำสีชมพูแดงได้หกไปอยู่บนเสื้อสีฟ้าอ่อนๆของคนที่อยู่ข้างหน้า และพอผมพยายามเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดกลัว ผมก็ต้องช็อกเป็นครั้งที่สามเพราะว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าคือ
.
.
.
.
..
.
.
.
.
.
.
.
..
.
.
.
.
..
.
โปรเฟสเซอร์เดอฟลาวิส หนึ่งในผู้คุมหอเบอร์เคอลีย์นั่นเอง!!

“I am really sorry (ผมขอโทษ) ผมพูดอะไรไม่ได้นอกจากคำว่าขอโทษ
“Oh hi Arm, it’s okay! I’m fine. Nothing serious! Just relax (โอ้ หวัดดีจ้ะอาร์ม ไม่เป็นไรหรอก ช่างมันเหอะ)” เธอตอบกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม โห ให้ตายเหอะ ทำไมคนที่นี่ถึงได้ดีกับผมขนาดนี้นะ เสื้อก็ดูรู้ว่าราคาแพงหลายพันอยู่หรอก แต่ถ้าเค้าให้อภัยแล้วจะกลัวอยู่ไย
ผมก็เลยขอโทษไปอีกรอบตามระเบียบแล้วก็ยืนคุยกับแกนิดหน่อยก่อนที่แกจะขอตัวออกไปเปลี่ยนเสื่อ
ผมรินน้ำแก้วใหม่ให้กับตัวเองแล้วก็เดินกลับไปหาเพื่อนๆที่นั่งกันเต็มโต๊ะ
“สงสัยจะสติไม่ดี” ผมได้ยินเสียงใครคนนึงพูดลอยๆขึ้นมา ได้ยินเสียงนุ่มๆก็รู้ทันทีว่าเป็นเสียงใคร
ผมพยายามจะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับมันเลยพยายามเดินผ่านๆไป
“เฮ้อ เลอะเลือน” อ่าว ไอ้เวรนี่ อุตส่าห์ไม่ยุ่งด้วยแล้วยังจะมาแขวะกูอีก
ผมเลยพูดลอยๆกลับไปว่า
“สติไม่ดีก็ดีกว่าคนพิการละกัน”
มันทำหน้างงๆแล้วสำรวจตัวเองก่อนจะพูดว่า “เฮ้ย มาว่ากันแบบนี้ได้ไง ใครพิการอะไร อวัยวะก็ครบ”
“ใช่ อวัยวะน่ะครบ แต่ปากอะมีมากเกิน” ผมหัวเราะในคอ
มันหน้าเสีย จ้องหน้าผมอย่างอาฆาตสักพัก แล้วก็เดินฟุดฟิดออกไป
ส่วนผมก็ได้แต่พูดกับตัวเองว่า
“สงสัยจะไม่ใช่ย่อยๆ แค่วันแรกทิงเจอร์ก็เรียกพี่ละ เฮ้อ”
tbc
============