b34
วายุ
บรรยากาศในบ้านของผมวันนี้ดูแตกต่างไปจากที่เคยเป็นทุกวันค่อนข้างมาก จำนวนคนที่เพิ่มขึ้นทำให้ห้องกินข้าวของเราดูเล็กลงไปถนัดตา และแถมคนแต่ละคนก็ใช่ว่าจะตัวเล็กๆกันทั้งนั้นด้วยสิ น่าแปลกนะ เมื่อผมลองมาคิดย้อนดูว่าทั้งๆที่ตอนผมยังเด็ก บรรยากาศแบบนี้ก็เกิดขึ้นออกจะบ่อย แต่ตอนนั้นผมยังไม่เห็นจะรู้สึกว่าบ้านของผมมันดูเล็กและแคบขนาดนี้เลยสักนิด ทว่าพอมาตอนนี้ ผมนั่งมองบรรดาพวกผู้ใหญ่ทั้งหลายเดินกันไปมาแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาน้อยๆไม่ได้ บางทีมันอาจจะเป็นผมเองนั่นแหละที่โตขึ้น จึงทำให้อะไรรอบๆข้างดูเล็กลงไปหมด ยกเว้นก็แต่บรรดาพวกเขาทุกคนเหล่านี้นั่นแหละที่ไม่ได้ดูตัวเล็กลงไปเลยแม้แต่น้อย กลับกัน พวกเขายังดูเป็นผู้ชายตัวโตที่น่าอบอุ่นและพึ่งพาได้สำหรับผมเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
เย็นนี้โต๊ะกินข้าวของผมจะถูกห้อมล้อมและเก้าอี้ทุกตัวก็จะถูกนั่งจนเต็มด้วยสมาชิกครอบครัวของผมทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะเกี่ยวพันกับผมทางสายเลือดหรือไม่ก็ตาม และมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีใจมากด้วย เพราะเป็นเวลานานมากแล้วทีเดียวที่พวกเราทุกคนไม่ได้มานั่งกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตาใน “บ้านของผม” แบบนี้
“เฮ้ย ไอ้ยุ” ไอ้คริสเรียกชื่อผมขึ้น “เป็นไร เห็นนั่งยิ้มอยู่ตั้งนานแล้วนะ”
“อ๋ออ ป่าวหรอก กูก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอ่ะว่ะ” ผมหันไปยิ้มให้กับมัน
จนถึงตอนนี้ ปัญหาที่บ้านของไอ้คริสก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้นเรื่อย ทั้งป๊าและอาไคล์ต่างก็พยายามไปพูดกับพ่อแม่ของมันมาคนละหนสองหนแล้ว แต่ดูท่าทางว่าพวกเขาก็จะยังคงไม่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆเหมือนเดิม ทำให้ตอนนี้ไอ้คริสก็ยังคงต้องอาศัยอยู่กับอาไคล์และอาพีไปก่อนอีกพักใหญ่ๆ ซึ่งก็นับว่าโชคยังดีที่พ่อของไอ้คริสนั้นยังจ่ายเงินประจำสัปดาห์ไว้ให้มันได้ใช้อยู่ใช้กินส่วนตัว และก็ยังโอนเงินอีกก้อนหนึ่งใส่ไว้ในบัญชีของอาไคล์สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆของมันด้วย แต่ถึงแบบนั้น อาไคล์กับอาพีก็ไม่เคยต้องการและแตะต้องเงินก้อนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะทั้งคู่รวมถึงพวกเราทุกคนก็แค่อยากจะให้คริสมันได้กลับไปอยู่บ้านกับพ่อและแม่ที่รักและเข้าใจมันเหมือนอย่างที่เคยเป็นมากกว่า
เมื่อป่ะป๊ากับแม่ที่เตรียมอาหารทุกอย่างเสร็จหมดแล้วเดินออกมาจากในครัว พวกเราทุกคนก็นั่งประจำที่ล้อมรอบโต๊ะอาหารกันอย่างพร้อมหน้า และในระหว่างที่พวกเรากำลังกินข้าวกันอยู่นั้น ผมกับคริสก็นั่งคุยกันถึงเรื่องของเพื่อนๆและงานที่โรงเรียน ส่วนพวกพ่อๆก็คุยกันถึงเรื่องงานของพวกเขากับเพื่อนๆว่าเป็นยังไงกันแล้วบ้าง ซึ่งบอกตามตรงว่าผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจฟังมากสักเท่าไหร่หรอก จนกระทั่งหูของผมมันมาสะดุดเข้าก็ตรงที่พ่อกอลฟ์ถามคำถามบางอย่างกับอาไคล์นั่นแหละ
“แล้วเรื่องที่ว่าจะไปสอนที่โรงเรียนไอ้เจ้ายุมันล่ะ ไคล์ ตกลงว่ายังไงบ้าง ตัดสินใจรึยังวะ”
“ก็ยังไม่แน่นะครับ พี่กอล์ฟ นี่ผมก็ยังดูๆอยู่ แต่ตอนนี้ที่ได้สอนเจ้าคริส ผมก็รู้สึกว่ามันสนุกดี”
“แต่สอนหนังสือในโรงเรียนกับสอนพิเศษเด็กเดี่ยวๆมันไม่เหมือนกันนา” แม่ของผมพูดขึ้นบ้าง
“ผมก็รู้ครับ แต่ก็อย่างที่ผมบอกแหละครับว่าผมยังไม่ได้ตัดสินใจเลย”
“เดี๋ยวๆๆๆ” ผมขัดบทสนทนาของพวกเขาขึ้น จากนั้นก็หันไปมองหน้าคริสเป็นทำนองว่ามันเองก็คิดแบบเดียวกับที่ผมกำลังคิดอยู่รึเปล่า และสีหน้าของมันเองก็กำลังดูงุนงงเหมือนกับผมไม่มีผิด ผมจึงหันกลับไปหาพ่อกับอาไคล์อีกครั้ง “นี่พ่อกับอาไคล์กำลังพูดเรื่องอะไรครับเนี่ย นี่อาไคล์จะไปสอนที่โรงเรียนยุเหรอ สอนมอไหน เมื่อไหร่ วิชาอะไร แล้วนี่ทำไมไม่เห็นมีใครบอกยุก่อนเลยอ้ะ”
เมื่อผมพูดจบ พวกพ่อๆก็หัวเราะขึ้นทันที
“ใจเย็นๆไอ้แสบ ยังไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นก็ได้” พ่อเล็กหันมาพูดกับผม
“อาไคล์เค้ายังไม่ได้ตัดสินใจเลย ยุ อาเค้าแค่รอให้อะไรๆมันแน่นอนก่อนแล้วถึงจะบอกเรากับเพื่อนๆอีกทีน่ะ” อาพีพูดขึ้นบ้าง
“ใช่ และที่พวกพ่อแนะนำให้ไคล์เค้าไปสอนคริสนั่นก็เพราะจะได้ให้ไคล์ลองฝึกการสอนดูด้วยนั่นแหละ” ป่ะป๊าพูด
“แล้วทำไมจู่ๆอาไคล์ถึงคิดจะไปสอนหนังสืออ่ะครับ แล้วงานที่บริษัทอาอ่ะ” ผมถาม
“อาจะไปเป็นแค่อาจารย์พิเสษน่ะ ยุ น่าจะอาทิตย์ละสองครั้งเอง คือเพื่อนอาเค้ารู้จักกับอาจารย์ในนั้น แล้วเราก็เคยคุยกันว่าที่โรงเรียนเค้าอยากได้ครูสอนภาษาสเปนของชั้นมัธยมปลายน่ะ อาก็คิดว่ามันน่าสนใจดี เลยบอกเค้าไปว่าจะขอเอามาลองคิดดูอีกที ก็แค่นั้นแหละ”
“ของมอปลายมีเรียนภาษาสเปนด้วยเหรอวะ ไอ้คริส” ผมหันไปถามคริส “กูคิดว่ามีแต่พวกญี่ปุ่น จีน ฝรั่งเศษ เยอรมัน อะไรพวกนั้นซะอีก”
“ก็ใช่ไง แต่สงสัยว่าเค้าจะเปิดเพิ่มมั๊ง กูเคยได้ยินไอ้เจย์มันพูดๆอยู่เหมือนกัน”
“ถ้าสมมติอาไคล์เค้าตัดสินใจไปสอนจริงๆ ปีหน้าเราจะลงเรียนกับอาเค้ามั๊ยล่ะ ยุ” แม่หันมาถามผม
“เรียนภาษาสเปนในชั่วโมงพิเศษอ่ะเหรอครับ อืมมมม ไม่รู้อ่ะแม่ แต่ยุก็พอพูดได้อยู่แล้วนี่นา อาไคล์ก็สอนยุมาตั้งแต่เด็กๆแล้วอ่ะ ยุก็ไม่รู้จะไปนั่งเรียนในห้องเรียนทำไมอีกอ่ะนะ”
“อะไร หรือว่ากลัวจะเขินวะ ไอ้แสบ” พ่อเล็กหัวเราะ
“เขินไร พ่อเล็ก โหหหห ไม่มีหรอก ด้านระดับยุแล้ว”
“เอ้ออ ว่าแต่พรุ่งนี้วันเสาร์ พวกมึงมีแพลนจะไปไหนกันรึเปล่าวะ ไอ้ซัน” พ่อกอล์ฟหันไปพูดกับพวกพ่อเล็ก
“คงไม่อ่ะว่ะ เมฆมันก็คงจะไปยิมเหมือนเดิมมั๊ง ส่วนกูก็คงอยู่เคลียร์งานที่บ้านนั่นแหละ”
“แล้วสองคนนี้ล่ะ จะไปไหนกันรึเปล่า” พ่อหันไปหาอาไคล์กับอาพี
“ไม่มั๊งครับ พี่กอล์ฟ ผมว่าผมก็คงจะนั่งทำงานอยู่บ้านเหมือนกัน ส่วนไคล์เค้าก็คงสอนหนังสือคริสอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม” อาพีตอบ
“มึงมีอะไรเปล่าวะ” พ่อเล็กถามกลับ
“เปล่าๆ กูก็แค่ถามดูเฉยๆ ก็แค่คิดว่าพวกมึงอาจจะไปไหนหรือจะไปคุยกับพ่อแม่ของคริสดูอีกทีรึเปล่าเท่านั้นเองว่ะ”
เมื่อพ่อกอล์ฟพูดถึงเรื่องนี้ ผมก็รู้สึกว่าไอ้คริสที่นั่งอยู่ข้างๆผมมีปฏิกิริยาขึ้นในทันที
“คริสได้คุยกับพ่อแม่บ้างรึยังล่ะลูก” แม่หันมาถามคริส ซึ่งนั่นก็เป็นคำถามที่ผมรู้สึกไม่อยากให้ใครก็แล้วแต่ถามขึ้นมามากที่สุดด้วยเช่นกัน
“ยังเลยครับ.......” คริสตอบพลางวางช้อนกับส้อมลงทั้งๆที่เพิ่งกินข้าวไปได้แค่ครึ่งเดียว
“เฮ้ย มึงอิ่มแล้วเหรอ กินๆเข้าไปอีกหน่อยสิวะ”
“ไม่อ่ะ กูอิ่มแล้วจริงๆ”
“เฮ้ยยเว้ยยย ช่วงนี้มึงก็กินข้าวน้อยจะแย่อยู่แล้วนะเว้ย วันนี้อุตส่าห์มีกับข้าวตั้งเยอะแยะ ป่ะป๊ากะแม่กูเค้าก็ทำสุดฝีมือ มึงกินๆเข้าไปอีกหน่อยน่า เอ้า” ผมตักปลาเก๋าราดพริกที่มันชอบใส่จานของมันเพิ่ม
“อือออ ขอบใจว่ะ แต่ไม่ต้องแล้วนะเว้ย กูอิ่มจริงๆ”
“ถ้าคริสเค้าอิ่มแล้วก็อย่าไปฝืนเพื่อนเลย ยุ” แม่ผมพูดขึ้น จากนั้นก็หันไปหาคริส “เอางี้ ถ้าอิ่มแล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเลยก็ได้นะลูกคริส แล้วพอสดชื่นดีแล้วก็ค่อยลงมาอีกทีก็ได้ ดีมั๊ย”
“ครับ แบบนั้นก็ได้ครับ ถ้างั้นผมขอตัวก่อนเลยแล้วกันนะครับ ขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรๆ ไปเถอะลูก”
คริสลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากโต๊ะอาหารตรงไปยังบันได จนเมื่อมันเดินขึ้นชั้นสองไปและคงไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเราแน่ๆแล้ว แม่ก็พูดขึ้นอีกครั้งทันที
“ตงลงพ่อแม่เค้านี่จะเอายังไงเนี่ย ไคล์กับพีได้ไปคุยดูอีกครั้งรึยัง”
“ยังเลยครับ คือผมน่ะคงไปไม่ได้อยู่แล้ว ก็มีแต่ไคล์กับพี่เมฆสองคนนี่แหละที่คงจะพอไปได้” อาพีตอบ
“ล่าสุดที่กูไปก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ถึงเค้าจะดูใจเย็นลงอีกนิดหน่อยแล้วก็เหอะนะ แต่เค้าก็ยังคงยืนยันว่ามันไม่ใช่ธุระอะไรของกูอยู่ดีว่ะ” ป่ะป๊าตอบ
“ส่วนตอนที่ผมไปเมื่อวันก่อนนี้เค้าก็แทบจะไม่ยอมให้ผมเข้าบ้านแล้วด้วยซ้ำไปครับ พี่อีฟ พี่กอล์ฟ” อาไคล์พูดพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆไปด้วย
“แล้วที่โรงเรียนคริสเค้าเป็นยังไงมั่งล่ะ ยุ” พ่อเล็กหันมาถาม
“มันก็เงียบๆลงไปนะฮะ พ่อ แต่มันก็ดูพยายามที่จะไม่คิดอะไรเท่าไหร่เหมือนกันแหละ แต่ยุว่าส่วนนึงก็คงเป็นเพราะเพื่อนๆยุมันไม่ค่อยยอมปล่อยให้ไอ้คริสมันอยู่คนเดียวด้วยแหละครับ มันก็เลยดูไม่ค่อยเหงาเท่าไหร่” ผมตอบ
“ชีวิตเด็กคนนี้นี่น่าสงสารนะ......” แม่ถอนหายใจเบาๆ “ถ้างั้นยุก็คงต้องดูแลเพื่อนต่อไปอีกสักพักแล้วกันนะลูก ถ้าเค้าคิดมากหรือมีอะไรอยู่ในใจ ก็พยายามให้เค้าพูดหรือระบายออกมาบ้าง เค้าจะได้ไม่เครียดและเก็บมันเอาไว้คนเดียว เข้าใจมั๊ย”
“ครับ ยุก็พยายามทำแบบนั้นอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วเหมือนกันครับ แม่” ผมรับคำ
นี่แหละ คือสิ่งที่ครอบครัวของผมสั่งสอนผมมาตั้งแต่ผมยังเล็ก ทุกคนสอนให้ผมรู้จักการเป็นผู้รับฟังและคอยช่วยเหลือผู้อื่น สอนให้ผมรักและเห็นคุณค่าของความเป็นเพื่อน สอนให้ผมแบ่งปันความสุขที่มีให้แก่คนรอบข้าง และในขณะเดียวกันก็สอนให้ผมรู้จักรับเอาความทุกข์ของคนเหล่านั้นมาแบกรับเอาไว้ส่วนหนึ่งด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อทำแบบนั้นแล้ว มันก็จะทำให้เรารู้จักกับความเสียสละ ความทุกข์ของคนอื่นที่ต้องเผชิญ และความสุขที่ได้แบ่งเบาภาระเหล่านั้นมาไว้ด้วย ซึ่งผมก็พยายามที่จะทำแบบนั้นกับทุกคนเรื่อยมา และผมก็รู้สึกจริงๆนะว่านี่แหละ คือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขและสามารถมอบความรักความหวังดีให้แก่เพื่อนๆของผมและคนรอบข้างผมทุกคนได้อย่างแท้จริง
วันรุ่งขึ้นในตอนบ่าย จู่ๆผมก็ได้รับโทรศัพท์จากไอ้นนท์ ซึ่งไอ้การที่มันโทรมาหาผมเนี่ยก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรหรอก แต่สิ่งที่มันเล่าให้ผมฟังนี่สิที่น่าแปลกใจและน่าหัวเราะไปพร้อมๆกันมากกว่า เพราะมันบอกผมว่าไอ้โจมาหามันอีกแล้ว และก็คงจะไปนอนที่บ้านของมันอีกแล้วด้วย
ใจนึงผมก็ขำนะ ผมรู้สึกตลกไอ้โจที่มันดูโคตรพยายามแบบนี้เลยดี แต่อีกใจผมก็รู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยด้วยเหมือนกัน เพราะผมกลัวว่าไอ้นนท์มันจะเผลอหวั่นไหวไปกับการตื้อโคตรๆของไอ้โจเอาง่ายๆนี่สิ เพราะถึงผมจะรู้ว่าไอ้นนท์มันก็รักไอ้นัทมากอยู่ แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้ด้วยเหมือนกันว่าไอ้นนท์มันเป็นคนใจอ่อนอยู่พอสมควรเลยทีเดียว ถ้าเกิดว่าไอ้โจมันใช้ลูกอ้อนหรือทำตัวน่าสงสารเข้าว่าล่ะก็ ผมว่าไอ้นนท์ก็อาจจะเผลอใจให้กับมันไปไม่มากก็น้อยได้ด้วยเหมือนกัน แต่ถึงแบบนั้นก็เถอะ เมื่อผมลองมาคิดดูดีๆแล้ว การที่ไอ้โจมันจะมาทำตัวน่าสงสารเพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากใครนี่มันก็ดูจะเป็นไปได้ยากพอๆกับการบอกให้มันมาเล่นตลกให้พวกเราดูเลยล่ะมั๊ง ดังนั้นผมก็เลยยังพอสบายใจกับเรื่องนี้ไปได้เปลาะหนึ่ง
แต่ทว่าสุดท้ายผมก็ต้องรู้สึกแปลกใจขึ้นอีกครั้งเมื่อจู่ๆไอ้นนท์มันโทรกลับมาแล้วเล่าเรื่องข้อเสนอของไอ้โจให้ผมฟัง บอกตามตรงว่าตอนนั้นผมก็รู้สึกลังเลอยู่เหมือนกันนะ เพราะผมไม่อยากให้มันต้องมีเรื่องโกหกปิดบังอะไรไอ้นัทเลย แต่ผมก็คิดเหมือนกับที่มันคิดนั่นแหละว่าอย่างน้อยๆถ้าเกิดมันรับปากไอ้โจไปในตอนนี้ มันก็คงสามารถสบายใจเรื่องที่จู่ๆไอ้โจมันจะโผล่มาที่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อนอีกได้ และนั่นก็คงจะเป็นผลดีกับทั้งตั้วไอ้นนท์เองแล้วก็ไอ้นัทในระยะยาวอย่างแน่นอน
ในตอนบ่ายแก่ๆที่อาพีมารับไอ้คริสกลับบ้าน และป่ะป๊ามารับผมไปที่ยิมด้วยกัน ผมก็เล่าเรื่องที่ไอ้นนท์โทรมาปรึกษาผมให้ป๊าฟัง จนกระทั่งเมื่อผมเล่าจบ ผมจึงได้เอ่ยปากถามป๊าถึงสิ่งที่ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจออกไป
“ป๊าว่ายุทำถูกมั๊ยครับเนี่ย ที่แนะนำเพื่อนมันไปแบบนั้นอ่ะ คือแบบว่า ยุก็ไม่รู้ดิ่ ยุมีความรู้สึกว่าเพื่อนๆยุอ่ะ มันชอบปรึกษาเรื่องนั้นเรื่องนี้กับยุกันเยอะ แล้วบอกตามตรงว่ายุก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกนะ ป๊า ว่าไอ้สิ่งที่ยุดแนะนำไปอ่ะ มันจะถูกต้องหรือว่าเหมาะสมแล้วแน่รึเปล่าน่ะ”
“ตอนนี้ยุหมายถึงแค่เรื่องของนนท์อย่างเดียวรึเปล่า”
ผมนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “.......อืมมมม ก็ถ้าเป็นแบบนั้น ป๊าคิดว่าไงอ่ะครับ เรื่องไอ้โจอ่ะ”
ป๊าหัวเราะในลำคอเบาๆ “ป๊าว่าคนชื่อโจเนี่ย ท่าทางจะชอบนนท์มากๆเลยนะ แล้วก็ยังเจ้าเล่ห์ไม่เบาด้วย ถ้าให้ป๊าเดา ป๊าว่ามันคงจะเป็นคนปากหนัก มีอะไรไม่ค่อยพูดค่อยบอกใคร แต่เวลาอยู่กับนนท์เนี่ย ท่าทางจะปากไวคิดอะไรก็พูดจนทำให้นนท์เครียดเอาบ่อยๆแหงๆ”
“โหหหหห ป๊ารู้ได้ไงอ่ะ!! สุดยอดดดดดด! ตรงเกือบหมดทุกเรื่องเลยป๊า!”
“ป๊าก็เดาๆเอาเท่านั้นแหละ อยากรู้มั๊ยว่าทำไมป๊าเดาถูก.......” ป๊าหันมายิ้มให้กับผม
“ทำไมอ่ะครับ”
“เพราะโจเนี่ย คล้ายกับไอ้ซัน พ่อเล็กของยุสมัยก่อนเลยน่ะสิ”
“จริงดิ่!!” ผมตกใจ “แต่ก่อนพ่อเล็กนิสัยคล้ายไอ้โจเหรอเนี่ย...... ยุว่าไม่ใช่ม๊างงง เพราะไอ้โจมันกวนตีนจะตาย โคตรขี้เก๊ก ปากหมา พูดจาไม่ค่อยคิดถึงใคร แถมยังเอาแต่ใจโคตรๆด้วยดิ่”
“งั้นก็คงไม่คล้ายเท่าไหร่แล้วล่ะ” ป๊าหัวเราะ “เพราะไอ้ซันน่ะ มันเป็นคนเข้ากับคนง่าย เพื่อนเยอะ มีมาดนิดหน่อยก็จริงแต่ไม่ถึงกับขี้เก๊กหรอก แล้วมันก็ไม่ใช่คนที่พูดจาอะไรไม่คิดถึงจิตใจคนฟังด้วย”
“อ้าว งั้นพ่อเล็กกับโจจะไปคล้ายกันตรงไหล่ะครับเนี่ย ยุเริ่มงงแล้วอ่ะ”
“ก็คงแค่ความเอาแต่ใจ พูดอะไรตรงๆ และเวลาที่ชอบใครแล้วก็อยากจะแสดงออกให้เค้าเห็นหรือให้รู้ด้วยคำพูดหรือการกระทำแบบขวานผ่าซากมากกว่าการทำตัวหรือพูดจาหวานๆล่ะมั๊ง”
“อืมมม อันนี้ยุก็ไม่รู้แฮะ เพราะยุก็ไม่ใช่คนที่ถูกไอ้โจมันจีบซะด้วยดิ่” ผมนิ่วหน้าเล็กน้อยพลางนึกไปด้วยว่าไอ้โจมันเป็นคนแบบนั้นจริงๆเหรอเนี่ย
“และถ้าจะให้ป๊าตอบคำถามที่ว่ายุทำถูกรึยังนะ ป๊าก็บอกไม่ได้หรอก อนาคตมันไม่แน่ไม่นอน สิ่งที่เราคิดว่าถูกต้องที่สุดในตอนนี้ก็อาจจะไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในอนาคตเสมอไป เพราะงั้นยุก็แค่ให้คำปรึกษาเพื่อนไปในสิ่งที่ยุคิดว่ายุอยากจะเห็นเพื่อนเป็นแบบนั้นที่สุดก็พอ และคำว่าเห็นเพื่อนเป็นแบบนั้น ป๊าก็หมายถึงว่า ยุอยากจะเห็นเพื่อนมีความสุขยังไง ยุก็แนะนำเพื่อนไปแบบนั้นแหละ ส่วนที่ว่าเค้าจะทำหรือไม่ทำตามนั้นมันก็เป็นเรื่องที่เค้าต้องตัดสินใจเอง เข้าใจมั๊ยครับ.....”
ผมพยักหน้ารับคำเงียบๆ แล้วจากนั้นเราสองคนก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีก จนกระทั่งเราออกกำลังกายกันเสร็จในตอนเย็นและกำลังจะกลับบ้านกันนั้น ผมก็ได้รับโทรศัพท์อีกสายจากเพื่อนของผม และมันก็โทรมาเพื่อปรึกษาผมเรื่องความรักอีกตามเคย
“ไอ้ยุ กูชักอยากจะบอกไอ้ป๊อปแล้วว่ะว่ากูชอบมันอ่ะ แต่กูไม่กล้าอ่ะเว้ย มึง” ไอ้ตี๋พูดกับผม
“อ้าว ทำไมจู่ๆมึงก็ตัดสินใจแบบนี้ขึ้นมาได้วะ ไอ้ตี๋”
“กูอึดอัดว่ะมึง กูก็ไม่รู้ว่ามันคิดยังไงเหมือนกันนะเว้ย แต่ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอีกล่ะก็ กูคงจะต้องทรมานเหี้ยๆๆอ่ะว่ะ เพราะบางทีแม่งก็ทำตัวเหมือนกับมันก็รู้อ่ะว่ากูคิดยังไงกะมัน แล้วมันก็แม่งทำตัวเหมือนมันก็ชอบกูด้วยเหมือนกันอ่ะ”
“เอออ กูก็พอเข้าใจมึงอ่ะนะเว้ย แล้วว่าแต่นี่กูเดาว่ามันต้องไปทำอะไรให้มึงหวั่นไหวอีกแน่ๆเลยใช่มั๊ยวะ มึงถึงได้จู่ๆก็ประสาทแดกขึ้นมาแบบนี้เนี่ย” ผมหัวเราะ
“ก็เออดิ่ ก็เนี่ย วันนี้มันมาบ้านกูใช่ป่ะล่ะ แล้วคราวนี้จู่ๆกูก็รู้สึกไม่ค่อยสบายอ่ะ แบบ กูเริ่มมีน้ำมูกๆแล้วก็เริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อยอ่ะ.......”
“อ้าวมึงไม่สบายเหรอวะ ไอ้ตี๋ มิน่าล่ะ กูว่าเสียงมึงเปลี่ยนๆชอบกล แล้วนี่ไอ้ป๊อปมันอยู่ไหนวะเนี่ย ยังอยู่บ้านมึงใช่ป่ะ”
“อือใช่ แต่ตอนนี้มันกลับไปบ้านอ่ะว่ะ ไปเอาของ เดี๋ยวมันจะกลับมาใหม่ เออๆมึง กูขอเล่าต่อก่อนล่ะนะ เดี๋ยวแม่งจะกลับมาซะก่อน คือแล้วหลังจากนั้นอ่ะ มันก็บอกให้กูไปนอนพัก แล้วยังบอกจะเช็ดตัวให้กูด้วยนะเว้ย แต่กูก็แบบ เฮ้ยยย กูไม่ได้เป็นอะไรเยอะแยะอ่ะ แต่มันก็ยืนยันให้กูกินยาแล้วรีบๆนอนพักได้แล้ว มันบอกว่าคืนนี้มันจะมานอนเฝ้ากูด้วย เผื่อกูเป็นอะไรหนักไปอีกอ่ะ”
“แล้วไงวะ กูก็ไม่เห็นมันจะมีอะไรแปลกตรงไหนเลยนี่หว่า”
“เรื่องนั้นมันก็ใช่ แต่แบบมึงต้องเป็นกูอ่ะ ไอ้ยุ คือตอนมันมองหน้ากู เอามือแตะหน้าผากกู กูงี้ใจสั่นเลยนะเว้ย ตาแม่งเป็นประกายมากๆอ่ะ ไม่รู้แม่งคิดอะไรของมันอยู่ แล้วจู่ๆมันก็บอกกูว่า...... ว่า........” ไอ้ตี๋อึกอักไปครู่หนึ่ง “มันบอกกูว่ามันรักกูอ่ะ”
“เฮ้ยยยยยยยยย!!! จริงเหรอวะ!!!”
“เออ แต่มันก็รีบพูดต่อนะเว้ย มันบอกว่ามันรักกู แต่รักแบบเพื่อนนะ ไม่ได้รักแบบชายหญิง มันบอกกูเป็นเพื่อนที่มันรักมากๆที่สุดแล้ว และมันบอกว่าถ้ากูเป็นผู้หญิงนะ มันคงจะจีบกูไปแล้วอ่ะ แล้วหลังจากนั้นมันก็ดูเขินๆมั๊ง กูก็ไม่รู้กูคิดไปเองรึเปล่านะว่ามันเขินอ่ะ และมันก็บอกว่าจะขอกลับบ้านไปเก็บของก่อนเดี๋ยวมา แล้วกูก็เลยโทรหามึงนี่แหละ”
“อ่อออ” ผมพยักหน้าเบาๆ
“เนี่ย ไอ้ยุ มึงว่ามันคิดอะไรกับกูป่าววะ กูแม่งโคตรเดาใจมันไม่ถูกเลยจริงๆนะเว้ย บางทีแม่งก็ดูไม่คิดอะไรเลย แต่บางทีแม่งก็ดูเหมือนรอให้กูเป็นฝ่ายเริ่มก่อนอ่ะ มึงว่ากูคิดเข้าข้างตัวเองไปป่าววะ”
“เหี้ย บอกตามตรง ถ้าเป็นกูกูก็อาจจะคิดอ่ะว่ะ กูก็ไม่รู้นะเว้ย คือกูก็ยังไม่เคยเจออะไรแบบนี้กับตัวซะด้วยสิวะ”
“แล้วมึงว่ากูควรทำไงดีวะ ไอ้ยุ กูควรจะบอกมันไปเลยดีมั๊ย หรือกูควรจะลองแย็บๆดูก่อนดีวะ กูจะทนไม่ไหวแล้วนะเนี่ย”
“อืมมม กูก็ไม่รู้นะเว้ย ไอ้ตี๋ เรื่องนี้มึงต้องคิดดูดีๆแล้วก็ระวังให้มากๆอ่ะว่ะ แต่ถึงไงไอ้ปํอปมันก็รักมึงมากๆนะเว้ย ถึงมันอาจจะไม่ได้คิดกับมึงแบบแฟน แต่ยังไงมันก็ไม่น่าจะโกรธหรือเกลียดมึงไปเพราะแค่มึงชอบมันแบบนั้นหรอกว่ะ กูว่านะ และที่สำคัญ ถ้ามึงต้องทนเก็บไว้แล้วทรมานขนาดนี้จริงๆล่ะก็ กูว่าลองเสี่ยงๆดูสักทีก็ดีเหมือนกันอ่ะว่ะ เพราะกูว่าถ้ามึงไม่ทำอะไรเลย มึงก็คงจะต้องทรมานแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามึงลองพูดออกไปดูสักที ผลลัพธ์มันอาจจะออกมาดีมากๆก็ได้นะเว้ย”
“แปลว่ากูควรจะพูดกับมันแล้วใช่มั๊ยวะ”
“ก็อาจจะอย่างนั้นอ่ะว่ะ”
“เอาวะ กูจะลองดู ไอ้เหี้ยแม่งงงง ตื่นเต้นชิบหายเลยว่ะมึง กูต้องหาโอกาสเหมาะๆดูก่อนอ่ะวะ ขอบใจมึงมากนะเว้ย ไอ้ยุ แล้วไงกูจะโทรไปบอกผลมึงนะเว้ย”
“เออๆ กูดีใจเว้ยที่มึงมีความกล้าสักที ไอ้ตี๋ ยังไงก็ขอให้มันคิดแบบเดียวกันกับมึงนะเว้ย กูอยากเห็นเพื่อนกูมีความสุขว่ะ แต่ถ้ามึงยังไม่พร้อมมึงก็ยังไม่ต้องรีบนะเว้ย ของแบบนี้มันต้องรอดูไปนานๆอ่ะว่ะ กูเข้าใจว่ามันเสี่ยงจริงๆ.......”
“ไม่ว่ะ กูไม่อยากรอแล้ว กูจะพูดคืนนี้แหละ กูจะบอกมันว่ากูชอบมัน” ไอ้ตี๋พูดออกมาอย่างหนักแน่น “งั้นแค่นี้ก่อนนะเว้ย ขอบใจมากจริงๆ ไอ้ยุ แล้วคุยกันใหม่เว้ย”
“เออๆ แล้วกูจะรอข่าวดีจากมึงนะ ไอ้ตี๋”
หลังจากนั้นผมก็วางสายจากไอ้ตี๋ไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ใจของผมก็นึกยินดีว่าในที่สุดเพื่อนของผมก็จะได้มีความสุขไปอีกคู่นึงแล้ว แต่ทว่าตอนนั้นผมกลับไม่รู้เลยว่าคำแนะนำของผมมันจะกลายเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้น และแทบจะทำลายชีวิตของเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดถึงสองคนไปพร้อมๆกัน..........