เจย์
“เฮ้ยนี่ อาทิตย์นี้มึงกลับบ้านป่าววะ ไอ้เคน”
“อืมมม แม่กูเค้าบอกว่าจะมารับกูพรุ่งนี้อ่ะว่ะ”
“เหรอวะ....... น่าเสียดาย ตอนแรกกูว่ากูจะชวนมึงไปนอนที่บ้านกูอยู่เชียว” ผมพูด
“เจงงงเด่ะ ทำไมวะ”
“เปล่าหรอก กูก็แค่อยากชวนมึงไปเที่ยวบ้านเฉยๆเอง ไปเล่มเกมส์ ไปกินหนม ไปนอนคุยกันไรเงี๊ยว่ะ”
“มึงพูดยังกะว่ามึงไม่ได้ทำแบบนั้นกะกูอยู่แทบทุกคืนอยู่แล้วเนี่ย” ไอ้เคนหันมานิ่วหน้าใส่ผม “อะ อ๋อออ หรือว่ามึงอยากจะคุยกะกูเรื่องไอ้คริส”
“อะ เออ........ เรื่องนั้นก็ด้วย” ผมตอบ
“กูว่าแล้วว สาดด แต่เสียดายว่ะ พรุ่งนี้กูต้องกลับบ้านอ่ะ ว่าแต่ว่าพี่มึงกลับบ้านด้วยป่าววะ อาทิตย์นี้”
“กลับ เดี๋ยวก็กลับด้วยกันนี่แหละ” ผมพยักหน้า
“เสียดายว่ะแม่งง พี่มึงแม่งหล่อด้วยดิ่ ไม่ได้เจอพี่มึงมาตั้งนาน คิดถึงว่ะ”
“ถุ๊ย! เอาเรื่องของเมียมึงให้รอดก่อน สาดดด ไอ้แป้น” ผมหันไปตบหัวมันเบาๆ
“แต่จริงๆวันนี้กูก็อยากคุยกะมึงเหมือนกันนะ กูอยากรู้เรื่องของมึงกะพวกไอ้แม็กซ์ที่ตรงหอประชุมแบบละเอียดๆอ่ะ มึงโทรบอกคนขับรถมึงให้มารับพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอวะ”
“ไม่ได้ว่ะ พ่อกูเค้าจะให้กูกลับวันนี้อ่ะ เห็นว่าจะไปกินข้าวเย็นกันนอกบ้านอ่ะนะ และที่สำคัญพี่เค้าก็ใกล้จะมาถึงโรงเรียนเราแล้วด้วย อีกไม่ถึงห้านาทีก็มาแล้วมั๊งเนี่ย” ผมตอบ “แล้วว่าแต่ว่ามึงยังจะอยากรู้เรื่องอะไรอีกวะ”
“เอาหลักๆเลยนะ กูโคตรรรข้องใจเรื่องที่มึงไปพูดกะไอ้ติ๊กด้วยอ่ะ มึงไม่เห็นเคยบอกกูเลยว่ามึงเคยมีเรื่องกับมันมาก่อนด้วยอ่ะ”
“เออ กูก็ไม่เคยบอกใครทั้งนั้นแหละว่ะ” ผมยักไหล่ “ก็มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนี่หว่า......... แต่เอาเหอะ เอาไว้คราวหน้ามีโอกาสแล้วกูจะบอกมึงเองก็แล้วกัน”
หลังจากนั้นคนขับรถก็มารับผมกับพี่ที่โรงเรียน และพอตอนหัวค่ำ พวกเราสองคนก็ออกไปกินข้าวกับพ่อและแม่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งด้วยกัน แต่ก็เหมือนบุญมาฟ้าส่งชิบหายเลย เพราะผมดันไปเจอเข้ากับไอ้แม็กซ์และครอบครัวของมันที่นั่นด้วยเนี่ยสิ!
นี่ถ้าไม่ใช่มันล่ะก็ ผมคงคิดว่ามันกับผมเป็นเนื้อคู่กันไปแล้วล่ะมั๊งเนี่ย.........
แต่ก็โชคดีที่ผมไปเจอกับมันตอนที่ครอบครัวของมันกำลังจะกินกันเสร็จแล้วพอดี พ่อแม่ของผมและพ่อแม่ของมันต่างก็ทักทายกันไปตามประสา ส่วนผมก็ได้แต่ยืนรอว่าเมื่อไหร่เขาจะคุยกันให้มันเสร็จๆสักที และคนที่สังเกตเห็นสีหน้าท่าทางไม่พอใจของผมได้เป็นคนแรกและเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่ใครคนอื่น แต่เป็นแม็ท พี่ชายของผมนี่เอง
“ไง เจออริเหรอวะ” มันกระทุ้งสีข้างผมพร้อมกับกระซิบออกมาเบาๆ
“วันนี้กูก็เพิ่งมีเรื่องกับแม่งที่โรงเรียนไปเอง แม่งงง” ผมตอบกลับไป แต่ตอบกลับไปเป็นภาษาสเปนเพื่อป้องกันคนอื่นจะได้ยิน
“เรื่องอะไรวะ เล่าให้กูฟังด้วยนะมึง” พี่ชายตัวดีของผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปนอารมณ์ดี
“เอาไว้ก่อนน่า” ผมกระซิบตอบกลับไปอีกครั้ง ซึ่งเป็นจังหวะที่พวกผู้ใหญ่ต่างก็คุยกันเสร็จแล้วพอดี และพ่อก็ส่งสายตาชำเลืองมองมายังเราสองคนเป็นเชิงตำหนิอีกด้วย
เมื่อเราสี่คนเดินไปนั่งที่โต๊ะของเรากันแล้ว พวกเราสองคนก็ถูกพ่อเตือนถึงเรื่องมารยาทเข้าให้ทันที โดยเฉพาะเรื่องการกระซิบกันเป็นภาษาอื่นที่ไม่ใช่ภาษาไทยแบบนั้นเป็นเรื่องที่พ่อเคยเตือนและสอนเราเอาไว้หลายครั้งแล้วว่าไม่ควรจะทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่มีคนอื่นอยู่แถวนั้นด้วย เพราะมันจะดูเหมือนว่าเรากำลังนินทาเขาอยู่และนั่นก็เป็นการเสียมารยาทมาก
“แต่พ่อเองก็ไม่ได้จะญาติดีอะไรกับพวกบ้านนั้นอยู่แล้วนี่ครับ ไม่เห็นจะต้องไปยืนคุยอะไรกันนานขนาดนั้นเลย” ผมพูด
“แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับมารยาททางสังคมนี่ พ่อว่าพ่อเคยสอนเราสองคนไปหลายครั้งแล้วนะ เรื่องพวกนี้น่ะ”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ผมก็ขอตัวลุกออกจากโต๊ะไปเข้าห้องน้ำ และบุพเพสันนิวาสก็พาให้ผมมาเจอกับไอ้แม็กซ์เข้าอีกครั้ง ในขณะที่ผมผลักประตูเดินเข้าไปในห้องน้ำนั้น ผมก็เห็นว่ามันกำลังยืนล้างมืออยู่ที่หน้ากระจก มันหันมามองหน้าผมแล้วก็ทำยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเดินชนไหล่ผมออกจากห้องน้ำไป
ผมรู้สึกถึงความโกรธที่พวยพุ่งขึ้นทันที แต่แล้วเมื่อผมหันหลังกลับไปหาไอ้แม็กซ์หมายจะหยุดมันเอาไว้นั้น ผมก็เจอเข้ากับพี่ชายของผมเข้าให้พอดี แม็ทวางมือลงบนบ่าของผมแล้วส่ายหน้าเบาๆก่อนจะดันตัวผมกลับเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง
“ใจเย็นน่า ไอ้เจย์ นี่มึงไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนนะเว้ย”
“แต่แม่งจงใจเดินชนไหล่กูนะ ไอ้เหี้ยนั่นอ่ะ!” คราวนี้เราสองคนก็คุยกันเป็นภาษาสเปนได้อย่างไม่ต้องเกรงใจใครแล้ว และที่สำคัญเรายังไม่ต้องกังวลว่าแขกคนอื่นๆที่อยู่ในห้องน้ำจะฟังสิ่งที่เราสองคนคุยกันออกด้วย
“แล้วมึงก็เลยจะลดตัวลงไปทำตัวเหี้ยๆแบบมันรึไง ถ้ามึงไปหาเรื่องอะไรมันที่นี่ตอนนี้เข้าล่ะก็ นั่นก็จะเท่ากับว่าไปเข้าทางมันพอดีน่ะสิวะ คราวนี้มึงได้โดนพ่อเอาตายแน่ และพ่อเองก็จะเสียหน้ามากด้วยเหมือนกันนะเว้ย”
คำพูดของมันทำให้ผมคิดขึ้นได้ในทันที.........
แม็ทถอนหายใจเบาๆ “มึงนี่ต้องหัดควบคุมอารมณ์กะหัดคิดอะไรให้มันถี่ถ้วนกว่านี้เยอะเลยนะ เจย์ ไม่รู้ว่าแฟนมึงมันทนมึงได้ยังไงนะเนี่ย”
“หุบปากเลย สาดดด เวลาอยู่กับพี่แจ๊คอ่ะ ก็มีแต่กูนี่แหละ ที่ต้องเป็นฝ่ายทนน่ะ”
“งั้นไอ้คริสล่ะ มันทนมึงได้ยังไงว้า.......”
ผมหันขวับทันที “มึงรู้เรื่องไอ้คริสได้ยังไง”
“เอาเป็นว่ากูรู้ก็แล้วกัน นอกจากมึงจะเป็นน้องกูและกูดูมึงออกแล้วเนี่ยนะ กูยังมีสายส่วนตัวด้วยว่ะ” แม็ทหัวเราะ ส่วนผมก็หน้าแดงขึ้นทันที “เอาน่า ไม่ต้องคิดมากเว้ย ไม่ต้องมาทำเป็นอายด้วย แม่งไม่เหมาะกับมึงเลยว่ะ ไอ้เจย์” มันเดินเข้ามากอดไหล่ผม “อยากคุยรึเปล่า จริงๆกูอ่ะอยากคุยกับมึงเรื่องนี้นะ พักหลังๆเราก็ไม่ค่อยได้คุยเรื่องเพื่อนๆมึงกันเลยนี่หว่า........”
“เออๆ.......” ผมพยักหน้าเบาๆ “กูเล่าให้มึงฟังก็ได้ แต่ตอนนี้จะขอกูเยี่ยวก่อนได้รึยัง”
แม็ทตบบ่าผมเบาๆ จากนั้นเราสองคนก็เดินไปยืนฉี่อยู่ข้างๆกันและไม่มีใครพูดอะไรกันออกมาอีก แต่ผมรู้ดีเลยว่าคืนนี้ผมกับพี่ก็คงมีเรื่องได้คุยกันอีกยาวแน่ๆ
แม็ทเป็นพี่ชายที่อายุแก่กว่าผมสองปี และเราสองคนก็สนิทกันมาก ผมเป็นเกย์ แต่มันไม่ได้เป็น และมันก็ไม่เคยรังเกียจหรือมีท่าทีต่อต้านผมรึคนเป็นเกย์เลยแม้แต่น้อย เมื่อตอนที่ผมบอกพ่อแม่และทุกๆคนในบ้านด้วยตัวเองว่าผมชอบผู้ชาย ทุกคนยอมรับผมและเข้าใจผม โดยเฉพาะไอ้พี่ชายตัวดีของผมคนนี้ที่นอกจากจะยอมรับผมได้แล้ว มันยังชอบแซวและชอบให้ผมเล่าให้มันฟังอยู่ตลอดเวลาด้วยว่าผมกำลังชอบใครอยู่ ผมจะไปจีบใคร หรือมีใครกำลังมาจีบผมอยู่บ้าง และนั่นก็เลยยิ่งทำให้เราสองคนพี่น้องสนิทกันมากขึ้นไปอีก
คืนนี้หรือคืนพรุ่งนี้ไอ้เคนมันมานอนกับผมไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆผมก็คงจะได้ระบายอะไรๆออกไปให้ไอ้พี่ชายคนเดียวของผมคนนี้ฟัง และมันก็คงจะพอให้คำปรึกษาอะไรแก่ผมได้บ้างล่ะน่า เพราะอย่างน้อยๆมันก็อาบน้ำร้อนมาก่อนผมตั้งสองปีนี่ จริงมั๊ย
...................................................................
เคน
“หมายความว่าไงครับ ที่แม่บอกแม่มาไม่ได้น่ะ” ผมพูดใส่โทรศัพท์มือถืออย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “แล้วตอนแรกไหนแม่บอกว่าแม่จะมารับเคนกลับบ้านไง”
“ก็แม่ต้องออกไปพบลูกค้าพรุ่งนี้น่ะ เคน แม่บอกแล้วไงว่าแม่ขอโทษ เอาไว้วันอาทิตย์แม่ค่อยไปรับเคนกลับบ้านก็แล้วกัน ดีมั๊ย”
“ไม่อ่ะครับแม่ ไม่เป็นไรครับ เคนอยู่หอก็ได้ เคนไม่อยากไปๆกลับๆน่ะ เหนื่อยด้วย เปลืองเวลาแม่ด้วย”
“แม่ขอโทษทีนะลูก ช่วงนี้แม่ยุ่งๆน่ะ พอดีมีลูกค้าที่พ่อแนะนำมาจากญี่ปุ่นด้วย แม่ก็เลย........”
“ครับๆ ไม่เป็นไรครับแม่ เคนเข้าใจ” ผมถอนหายใจเบาๆ “แล้วพ่อเป็นไงมั่งล่ะครับ เคนไม่ได้คุยกับพ่อมาเดือนนึงแล้วมั๊งเนี่ย”
“เค้าก็สบายดี นี่เค้ายังบอกว่าจะส่งขนมกับของฝากมาให้เคนอยู่เลยนะ และที่สำคัญเห็นว่าไม่เกินเดือนหน้าเค้าก็น่าจะได้กลับมาหาพวกเราแล้วด้วยล่ะ”
“งั้นถ้าแม่ได้คุยกับพ่ออีก เคนก็ฝากบอกพ่อด้วยนะครับว่าเคนคิดถึง แล้วเคนก็คิดถึงแม่ด้วยเหมือนกันนะฮะ ดูแลตัวเองด้วยล่ะแม่ อย่าทำงานหนักมากเกินไปจนไม่สบายอีกอ่ะ.........”
หลังจากนั้นผมก็วางสายลงพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เสื้อผ้าของใช้ที่ผมเก็บใส่กระเป๋าเดี๋ยวก็คงต้องถูกรื้อออกมาอีกแล้ว และกล่องเพลงที่ผมซื้อมาเมื่อตอนไปเซ็นทรัลกับทุกคนและกะจะเอาไว้ให้แม่อาทิตย์นี้ก็คงต้องรอออกไปก่อนอีกตามเคย
ผมโทรไปหาไอ้เจย์แล้วเล่าให้มันฟังว่าผมไม่ได้กลับบ้านแล้ว มันก็เสนอว่าจะให้คนมารับผมไปนอนกับมันที่บ้านทันที
“ไม่เป็นไรหรอกเว้ย กูเกรงใจบ้านมึงเหอะ ไอ้เจย์”
“เกรงใจเหี้ยอะไร แล้วมึงอยู่หอคนเดียวนี้มึงจะทำเหี้ยอะไรวะ คนอื่นๆก็กลับบ้านกันหมดแล้ว ขนาดอาทิตย์นี้ไอ้นัทมันก็ยังกลับบ้านอามันด้วยเลยไม่ใช่เหรอวะ”
“อือออ ไม่รู้ว่ะ ก็คงนอนเล่นกลิ้งไปกลิ้งมานี่แหล่ะมั๊ง แล้วค่อยลองโทรไปชวนปูออกไปเดินเล่นอ่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าเค้าจะออกมากะกูได้รึเปล่าอ่ะนะ”
“น่ะ เห็นมะะ สาดด มึงมานอนบ้านกูเหอะน่า แล้วถ้ามึงจะไปไหนกับปูมึงก็ค่อยออกไปอีกที แต่ถ้าปูเค้าไม่ไป มึงก็ยังอยู่กะกูไง ไอ้เชี่ยแป้น คนอย่างมึงแม่งยิ่งขี้เหงาๆอยู่ด้วย นี่มึงก็แอบน้อยใจแม่มึงอยู่ด้วยเหมือนกันใช่มั๊ยล่ะ ฟังเสียงมึงตอนฮัลโหลตั้งกะทีแรกกูก็รู้แล้ว”
นี่ผมดูออกง่ายหรือเพราะว่ามันเป็นเพื่อนสนิทจนรู้ใจผมไปซะทุกอย่างกันแน่นะเนี่ย
“เออๆ กูไปหามึงก็ได้วะ ถ้ายังไงกูก็ขอรบกวนบ้านมึงหน่อยก็แล้วกันงั้น........”
สรุปว่าอีกประมาณชั่วโมงนึงถัดมา คนขับรถที่บ้านของไอ้เจย์ก็มารับผมที่หอเพื่อไปนอนที่บ้านของมัน แต่บอกตามตรงเลยนะว่าเวลาที่ผมมาบ้านของมันทีไรเนี่ย ผมจะแอบรู้สึกเกร็งๆนิดหน่อยทุกที เพราะนอกจากว่าพ่อของมันจะพูดภาษาไทยได้ไม่ค่อยคล่องจนผมไม่รู้ว่าควรจะพูดกับท่านยังไงดีแล้วเนี่ย บ้านของมันยังใหญ่โตโอ่อ่าอลังการจนผมรู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูกจริงๆ
“เชี่ยเจย์ กูมาบ้านมึงทีไรนะ กูรู้สึกยังกะมานอนโรงแรมทุกทีเลยว่ะ แม่งงงง” ผมพูดกับมันหลังจากที่มันออกมารับผมที่หน้าบ้าน
“เออ กูเองก็ไม่ค่อยชอบบ้านกูเหมือนกันนั่นแหละ กูชอบอยู่หอกะพวกมึงมากกว่าว่ะ” ไอ้เจย์ตบบ่าผมแล้วพาผมเดินเข้าไปไหว้พ่อกับแม่ของมันในบ้าน จากนั้นมันก็พาผมไปนั่งในห้องนั่งเล่น....... หรือถ้าเรียกให้ถูกก็คือหนึ่งในห้องดูทีวีของบ้านหลังนี้มากกว่า “มึงเอากระเป๋ามา เดี๋ยวกูให้พี่เค้าเอาไปเก็บบนห้องกูให้”
“เฮ้ยย กูเอาไปเก็บเองก็ได้น่า”
“แต่กูขี้เกียจเดิน มึงเอามาเหอะน่า”
“เอ๊ออ ไอ้คุณหนู เอ้า” ผมยื่นกระเป๋าให้ไอ้เจย์ จากนั้นมันก็หันไปยื่นกระเป๋าให้กับคนใช้ที่เพิ่งเดินเอาน้ำเข้ามาเสิร์ฟเราสองคน “รบกวนด้วยนะครับ พี่มด”
“ไม่เป็นไรค่ะ น้องเคน” พี่มดยิ้มให้ผมก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“โห นี่มึงจำชื่อพี่เค้าได้ด้วยเหรอวะ” ไอ้เจย์หันมามองผมแบบทึ่งๆ
“อ้าว แน่นอนสิวะ”
“อ้าว เคน! มาถึงแล้วเหรอ” ผมหันไปมองยังที่มาของเสียงแล้วก็เห็นพี่แม็ทธิวกำลังเดินเข้ามาในห้อง “กินอะไรมารึยังล่ะ....... เฮ้ย ไอ้เจย์ กูว่ามึงไปหาอะไรมาให้เพื่อนกินก่อนดีกว่ามั๊ง”
“อ๋อ ไม่เป็นไรครับพี่แม็ท ผมยังไม่ค่อยหิวหรอก”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า” พี่แม็ทยิ้มให้ผม “ไปเลย ไอ้เจย์ ไปดูดิ๊ว่าในครัวมีอะไรกินมั่ง แล้วยกมาให้เพื่อนมึงกะกูกินที่หน้าระเบียงห้องนี่ก็แล้วกัน”
“เออๆ” ไอ้เจย์เดินออกจากห้องไป
เมื่อไอ้เจย์เดินจากไป พี่เม็ทก็หันมายักคิ้วข้างซ้ายให้กับผมแล้วเดินมาโอบไหล่ผมเอาไว้ทันที “ไง น้องรัก เมื่อคืนไอ้เจย์มันเล่าให้พี่ฟังแล้วนะ ทั้งเรื่องไอ้แม็กซ์แล้วก็เรื่องคริสด้วย”
“จริงดิ่พี่ แล้วพี่คุยอะไรกันไปมั่งอ่ะ”
พี่แม็ทยักไหล่แล้วพาผมเดินออกจากห้องดูทีวีไปยังชานระเบียงนอกบ้าน “ก็เท่าที่มันจะบอกพี่น่ะแหละ แต่ส่วนมากคนอย่างมันเวลามีอะไรอยู่ในใจมันก็มักจะพูดหมดอยู่แล้วน่ะนะ เพราะงั้นพี่ว่าสิ่งที่พี่รู้มันก็น่าจะครบทุกอย่างแล้วเหมือนกันล่ะมั๊ง”
“แล้วพี่คิดว่าไงอ่ะครับ.......”
“ก็ไม่ว่าไงหรอก พี่ก็คิดเหมือนที่เคยคุยกับเคนนั่นแหละ แต่ยังไงพี่ก็ฝากๆเราดูแลมันหน่อยก็แล้วกัน ไอ้เนี่ยอ่ะ ถึงมันจะดูเป็นคนห่ามๆอย่างนั้นก็เหอะ แต่เวลามันรักใครแล้วมันก็โคตรรักเค้าจริงเลยนะเว้ย บอกตามตรงว่าพี่ยังอยากให้มันเลิกๆกะไอ้เชี่ยแจ๊คไปสักทีอยู่เหมือนกันนั่นแหละ และอีกอย่างนะ จริงๆแล้วมันก็แอบเป็นคนขี้เหงากะเค้าอยู่เหมือนกันนา........” พี่แม็ทมองหน้าผมแล้วยิ้มๆ “ก็เหมือนๆกับเรานั่นแหละมั๊ง ไอ้เคน เพราะงี้ไงเราสองคนถึงได้คบกันได้และสนิทกันได้ขนาดนี้น่ะ”
ผมยิ้มอายๆ เพราะไม่คิดว่าแม้แต่พี่แม็ทเองก็จะยังพูดเหมือนกับไอ้เจย์ด้วยเหมือนกัน
“มีอะไรก็คุยกับเพื่อนๆหรือคุยกับพี่ได้นา เคน เพื่อนเราทุกคนน่ะ เป็นเด็กดีกันทั้งนั้นนะ พี่ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไอ้เจย์มันถึงได้รักพวกเรามากขนาดนี้น่ะ” พี่แม็ทพูด จากนั้นก็อ้าปากหาววอดพร้อมกับบิดขี้เกียจ
อีกไม่นานไอ้เจย์ก็เดินกลับมาพร้อมกับแซนด์วิชหลายชิ้นในจาน เราสามคนนั่งคุยกันอีกครู่ใหญ่ๆก่อนที่พี่แม็ทจะขอตัวขึ้นห้องไปนอนอีกสักงีบก่อนที่จะลงมากินข้าวเที่ยง และเมื่อพี่แม็ทลุกเดินจากไปแล้ว ไอ้เจย์ก็ถามผมทันทีว่าเมื่อกี๊นี้ผมคุยกะไรกับพี่เขาไปบ้าง
“ไม่มีอะไรหรอก ก็คุยนั่นนี่กันเรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมยิ้มให้กับมัน “ว่าแต่มึงเหอะ เห็นว่าอยากคุยกะกูเรื่องไอ้คริสน่ะ ตกลงมึงมีอะไรรึเปล่าวะ..........”
...................................................................
นัท
“ที่โรงเรียนเป็นไงมั่ง นัท” อานกถามผมขณะที่เรานั่งกันอยู่บนรถ “จะว่าไปนัทเองก็ไม่ได้กลับบ้านซะนานเลยนะ”
“ก็ดีอ่ะครับ นี่ผลสอบก็เพิ่งจะทยอยกันออกมาแล้วด้วย” ผมตอบ
“แล้วเป็นไงบ้างล่ะ........” อานกหันมายิ้มให้ผม “มีตกบ้างมั๊ย”
“โหห อานกก็พูดเป็นเล่นไปเหอะ” ผมหัวเราะ
“อาก็ล้อเล่นน่า ดีแล้วล่ะ เรียนเก่งๆ พ่อแม่จะได้ดีใจ”
ผมหุบยิ้มลงทันที “อานกก็พูดเหมือนว่าเค้าจะมารับรู้เรื่องของนัทอย่างงั้นแหละครับ........”
อานกหันกลับมาหาผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าอีกแล้ว หากแต่มีเพียงสีหน้าและแววตาแสดงความเห็นใจอย่างที่ผมเคยเห็นอยู่บ่อยๆเท่านั้นเอง “อย่าพูดอย่างนั้นสิ นัท..........” อาวางมือลงบนตักของผมเบาๆ “อาเคยบอกแล้วไงว่าพ่อเค้าก็แค่งานยุ่งเท่านั้นเอง เค้าก็ถามอาอยู่บ่อยๆนะว่านัทเป็นยังไงบ้างน่ะ”
ผมหันไปมองนอกกระจกรถแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ “ครับๆ นัทก็รู้แหละครับ เรื่องนั้นน่ะ.........”
ตลอดทางที่เหลือจนถึงบ้าน เราต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลย และเมื่อผมกลับมาถึงบ้านแล้ว ผมก็เดินตรงขึ้นไปห้องนอนทันที และอีกประมาณสิบนาทีถัดมา อาก็เดินขึ้นมาเคาะประตูห้องของผม
“มีอะไรเหรอครับ” ผมเปิดประตูออก
“อาว่าเที่ยงนี้เราออกไปหาอะไรอร่อยๆกินนอกบ้านกันมั๊ย แล้วอาว่าอาจะไปเดินซื้อของเข้าบ้านด้วยพอดี”
“อืมมม ก็ได้ครับ” ผมพยักหน้าเบาๆก่อนจะปิดประตูห้องลง
ผมรู้ดีเลยว่าอากำลังพยายามทำให้ผมรู้สึกสบายใจทั้งจากเรื่องที่เราคุยกันเมื่อครู่และรวมไปถึงจากการที่ผมกลับมาอยู่บ้านกับอามากขึ้น อานกเป็นน้องสาวของพ่อที่ผมเองก็รู้จักและคุ้นเคยด้วยมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมกับอาก็ไม่ได้สนิทสนมกันขนาดนั้นเท่าไหร่อยู่ดี จนกระทั่งเมื่อสองปีก่อนที่พ่อเอาผมมาฝากไว้กับอา เราสองคนจึงจำเป็นต้องทำตัวให้สนิทสนมกันมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้.......
อานกขับรถพาเราสองคนไปที่เอสพลานาด และหลังจากเดินเลือกซื้อของใช้เข้าบ้านและเข้าหอของผมอยู่ครู่หนึ่ง เราก็เดินเข้าไปนั่งกินมื้อกลางวันกันที่ร้านราเมงชั้นล่าง
“เออ จริงสิ ว่าแต่เพื่อนใหม่ที่นัทเคยเล่าให้อาฟังล่ะ เป็นไงบ้าง”
จู่ๆผมก็รู้สึกเขินเล็กๆขึ้นมาทันที “ก็ดีอ่ะครับ ก็น่ารักดี”
“น่ารักเหรอ” อานกเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วอมยิ้มแปลกๆ “เดี๋ยวนี้เริ่มชมผู้ชายว่าน่านักแล้วเหรอเนี่ย หลานอา”
“เฮ้ยย นัทไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นครับ” ผมรีบแก้ตัว “นัทก็แค่ว่านิสัยเค้าก็น่ารักดี เข้ากับคนอื่นได้หมดอ่ะ แล้วก็เรียนดีด้วย”
“แล้วหน้าตาล่ะ”
“ก็........ ดีอ่ะครับ” ผมหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“แบบนั้นก็ดีแล้ว........ แล้วตอนนี้สนิทกันมากมั๊ย เค้าอยู่กลุ่มเดียวกับพวกเราด้วยใช่รึเปล่า”
“ครับ ก็ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดน่ะนะ”
“แหม อาชักอยากเจอเพื่อนนัทคนนี้ซะแล้วสิ ว่างๆก็พาเค้ามาเที่ยวบ้านเรามั่งก็ได้นี่”
“คงจะยากมั๊งครับ เพราะเค้าเพิ่งย้ายมาจากเชียงใหม่อ่ะนะ ไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยเป็นหรอก แถมเค้ายังเป็นคนติดบ้านด้วยดิ่ ก็มีแต่นัทแหละที่เคยไปนอนบ้านเค้ามาครั้งนึงเมื่อตอนนั้นอ่ะครับ........” ผมอมยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องราวตอนที่ผมไปบ้านของนนท์เมื่อคราวนั้นขึ้นมา “เอ้อ แล้วว่าแต่อาหมูล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง”
อาหมูคือแฟนของอานกที่มีอาชีพเป็นทนายความและทั้งคู่ก็คบกันมาได้สามปีแล้ว อาเองก็เคยพูดเปรยๆกับผมอยู่เหมือนกันว่าอีกไม่นานทั้งสองคนก็คงจะแต่งงานกัน แล้วก็คงย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน แต่เรื่องที่ว่าใครจะย้ายไปอยู่กับใครนั้นอาบอกว่าอายังไม่ได้ตกลงกันเลย แต่ผมคิดว่ามันคงเป็นเพราะการที่มีผมอยู่นี่มากกว่า ที่ทำให้ทั้งสองคนต้องชะลอเรื่องการแต่งงานหรือการวางแผนชีวิตคู่ออกไปก่อน เพราะไม่ว่าใครจะย้ายเข้าหรือย้ายออกไปยังบ้านหลังไหน ผมก็คงไม่พ้นที่จะต้องกลายเป็นเพียงภาระหรือส่วนเกินที่ต้องคอยรบกวนทั้งคู่ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้แน่ๆ
“อาเค้าก็สบายดี แต่ช่วงนี้ก็เห็นว่ายุ่งๆนิดนึงน่ะนะ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยพูดให้ฟังว่าลูกค้ามีปัญหาเรื่องมรดกอีกแล้ว”
“ครับ.........” ผมพยักหน้า “แล้ว......... พ่อล่ะครับ อาได้คุยกับพ่อใช่มั๊ยล่ะครับ พ่อเป็นยังไงมั่ง”
“พ่อเค้าก็สบายดีนั่นแหละ แต่เห็นเค้าก็ว่างานยุ่งพอตัวเลยเหมือนกัน เวลาคุยกันทีก็คุยกันไม่นานหรอก”
“แล้วพ่อเค้า........” ผมเงียบไปครู่หนึ่ง “ได้พูดถึงแม่บ้างรึเปล่าครับ”
อานกส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เลย อาเองก็ไม่ได้ถามพ่อเค้าเรื่องนี้เลยเหมือนกัน”
“ครับ........”
“อาขอโทษนะ นัท”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นัทก็พอเข้าใจอยู่หรอก”
“พ่อกับแม่เค้ารักเรานะนัท แต่แค่ทั้งคู่ต่างก็ไม่ค่อยจะมีเวลาเท่านั้นเอง........”
“ผมรู้ครับ อานก” ผมพยักหน้าเบาๆ “ผมรู้........”
หลังจากนั้นเราสองคนต่างคนต่างเงียบกันลงไปอีกครั้ง ผมเองก็กินราเมงตรงหน้าไม่ค่อยลงแล้วด้วย บางทีผมก็คิดนะว่าผมไม่ค่อยเข้าใจโลกและความคิดของพวกผู้ใหญ่เลยจริงๆ ไม่ว่าใครๆต่างก็ดูจะพูดคำว่า “รัก” และ “ห่วงใย” ออกมากันได้อย่างง่ายดาย แต่หากคนฟังและผู้ที่ได้ยินคำเหล่านั้นอย่างผมกลับแทบไม่เคยสัมผัสและรู้สึกได้ถึงความหมายที่แท้จริงของคำพูดพวกนั้นเลยจริงๆ........
หลังจากกินข้าวเสร็จเราสองคนก็ตรงกลับบ้านกันทันที ตอนแรกอานกก็ชวนผมไปเดินเลือกซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆให้ผมด้วยเหมือนกัน แต่ผมกลับไม่รู้สึกอยากจะเดินช็อปปิ้งอีกแล้ว ผมอยากจะกลับบ้านแล้วรีบๆขึ้นห้องไปนอนอยู่บนเตียงสักที และที่สำคัญ........ ในเวลาแบบนี้ ผมก็ยิ่งรู้สึกอยากได้ยินเสียงของเขาคนนั้นมากขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเราก็เพิ่งจะคุยกันและเขาบอกว่าเขาอาจจะออกไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลคนเดียว แต่ผมก็รู้สึกว่าเวลาแบบนี้ผมยิ่งอยากจะคุยกับเขามากเข้าไปใหญ่เลย
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกำลังจะกดปุ่มโทรออกไปหานนท์ แต่แล้วจู่ๆผมก็รู้สึกว่าผมไม่ควรจะทำแบบนั้นขึ้นมายังไงก็ไม่รู้ ผมรู้สึกว่าผมกำลังไม่สบายใจ และผมก็ไม่อยากจะเอาน้ำเสียงหรือความรู้สึกไม่สบายใจของผมไปพูดให้เขาฟัง ผมกลัวว่าเขาจะฟังออกว่าผมกำลังมีเรื่องอะไรอยู่ในใจ และนั่นก็คงต้องพลอยทำให้เขามารู้สึกไม่สบายใจไปกับผมด้วยแน่ๆ ดังนั้นผมจึงวางโทรศัพท์กลับลงไปบนเตียงเหมือนเดิม........
ผมรู้สึกว่าเขาคือแสงสว่างและความสุขที่ทำให้ผมสามารถมีรอยยิ้มได้มากขึ้นในทุกๆวัน เขาเป็นคนอารมณ์ดีและร่าเริง เป็นคนขี้อายและมีความห่วงใยให้แก่ทุกๆคนรอบข้างอย่างเต็มเปี่ยม เพราะฉะนั้นแล้วผมก็จะขอเก็บเขาเอาไว้ให้เป็นอย่างนั้นไปตลอดดีกว่า ผมไม่อยากทำให้รอยยิ้มของเขาต้องมัวหมอง และถึงผมจะรู้สึกไม่สบายใจมากเพียงใดก็ตาม ผมก็จะขอเก็บมันเอาไว้กับตัวแบบนี้เพียงคนเดียว เพราะอย่างน้อยๆแค่การที่ผมได้นอนนึกถึงเขาเพียงแค่นี้ มันก็ทำให้ผมรู้สึกสบายใจและสุขใจมากขึ้นอย่างเพียงพอแล้ว
ผมนอนมองเพดานห้องแล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็พลางนึกสงสัยไม่ได้ว่านี่ผมเป็นอะไรไปแล้วกันเนี่ย ถ้าหากว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าความรักแล้วล่ะก็ ผมก็คงไม่รู้แล้วว่ามันคืออะไรกันแน่..........
...................................................................