A 20
จริงๆแล้วโจเป็นคนหัวดีมาก มากกว่าที่ผมคิดเยอะเลยทีเดียว เพราะว่าเขาใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองชั่วโมงก็สามารถทบทวนและทำโจทย์คณิตศาสตร์จนเสร็จได้เกือบทั้งหมดแล้ว และนี่ขนาดเขายังไม่ค่อยสบายแถมยังมีอาการมึนๆหัวอยู่ด้วยนะ เขายังสามารถทำได้ถึงขนาดนี้ เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เขาทำให้ผมรู้สึกทึ่งไปเลยทีเดียว
“จริงๆแล้วเลขมันง่ายจะตาย มันก็เหมือนจิ๊กซอว์นั่นแหละ ทำๆไปย้ายไปย้ายมาเดี๋ยวคำตอบมันก็ออกมาเองนั่นแหละ” เขาพูด
“งั้นมึงคิดว่าวิชาอะไรที่ยากมั่งล่ะ” ผมถาม
โจทำท่านึก “สังคมมั๊ง ภาษาไทยด้วย กูเกลียดวิชาท่องๆ”
“อืมมม” ผมพยักหน้า “ว่าแต่วันจันทร์เราสอบวิชาอะไรมั่ง นอกจากเลขหลักเนี่ย”
“ไม่รู้ว่ะ จำไม่ได้เหมือนกัน” เขายักไหล่ “สอบเมื่อไหร่ก็รู้เองนั่นแหละ ไว้คืนก่อนสอบค่อยอ่านก็ได้”
“เฮ้ยย แบบนั้นจะดีเหรอวะ มึงแบบว่าไม่เตรียมตัวล่วงหน้าสักหน่อยเลยเหรอ อย่างน้อยก็ล่วงหน้าสักสองสามวันอะไรแบบนี้น่ะ”
“ไม่อ่ะ ขี้เกียจ และที่สำคัญ นี่มันก็แค่สอบมิดเทอมเองด้วย ตั้งใจเรียนในห้องให้รู้เรื่องก็ทำข้อสอบได้แล้ว”
“มึงนี่ดูชิวจังเนอะ โจ”
“กูมันพวกไม่ได้สนใจคะแนนอยู่แล้วต่างหาก” เขายักไหล่ “ว่าแต่มึงนั่นแหละ ทำไมถึงได้ดูเครียดนัก”
“ก็นี่มันสอบครั้งแรกของกูที่โรงเรียนนี้นี่หว่า แล้วกูก็มาเรียนช้ากว่าคนอื่นเค้าอยู่แล้วด้วยอ่ะ”
โจปิดหนังสือลง “เอาเหอะ มึงน่ะมันหัวดีอยู่แล้ว ยังไงๆก็ทำได้อยู่แล้วล่ะน่า ว่าแต่........ เราจะไปกันได้รึยัง”
“มึงเอาจริงเหรอ แล้วจะไปที่ไหนอ่ะ และที่สำคัญ กูไม่รู้ว่าแม่กูเค้าจะให้ไปรึเปล่าด้วยซ้ำนะ”
“ไม่ลองขอดูแล้วจะรู้ได้ไงวะ........” โจลุกขึ้นยืน “ไปเหอะ ลองไปขอกันดู”
คราวนี้โจเป็นฝ่ายเดินนำผมออกจากห้องเองเป็นครั้งแรก และเราสองคนก็เดินตรงเข้าไปหาแม่ที่กำลังยืนทำกับข้าวมื้อเย็นอยู่ในครัวโดยมีป้ายวนยืนช่วยทำอยู่ข้างๆด้วย
“แม่ครับ ผมมีเรื่องจะขอร้องน่ะครับ” โจพูดขึ้น
“อ้าว ว่าไงลูก หายดีแล้วเหรอ”
“ก็ดีขึ้นมากแล้วล่ะครับ ตอนนี้ก็เหลือแค่เจ็บคอกับครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อยน่ะครับ ส่วนไข้ก็ลดลงไปมากแล้ว และเมื่อกี๊ก็นั่งอ่านเลขกับนนท์จนจบไปแล้วด้วย ผมต้องขอบคุณแม่มากๆเลยนะครับ” เขายกมือขึ้นไหว้แม่ผม ทำให้ผมต้องอึ้งกับทั้งท่าทาง น้ำเสียง และคำพูดของเขาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอกลูก แค่เราดีขึ้นก็ดีมากแล้ว ว่าแต่ที่บอกว่ามีเรื่องจะขอร้องแม่น่ะ เรื่องอะไรล่ะ”
“คือเมื่อวานผมตากฝนน่ะครับ และโทรศัพท์มือถือก็เลยพัง ตอนนี้ผมเลยติดต่อใครไม่ได้เลย แม่จะโทรหาผมก็โทรไม่ได้ แถมพรุ่งนี้ผมก็ต้องกลับหอแล้วด้วย ผมก็เลยอยากจะขออนุญาตแม่ชวนนนท์ไปเดินซื้อมือถือด้วยกันน่ะครับ”
“ตอนนี้น่ะเหรอ” แม่ถาม จากนั้นก็หันมามองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปหาโจอีกครั้ง “แต่นี่มันเย็นมากแล้วนะ และเราก็ยังไม่สบายอยู่ด้วย”
“พวกผมจะรีบไปรีบกลับครับ แค่ไปซื้อแป๊บเดียวแล้วก็จะกลับบ้านเลย รับรองว่าผมจะกลับมากินกับข้าวอร่อยๆฝีมือแม่แน่ๆครับ อีกอย่าง ผมก็ไม่อยากจะเสียเวลาอ่านหนังสือของพรุ่งนี้กับวันอื่นๆในช่วงสอบไปด้วยน่ะครับ” โจอธิบาย
“แต่ว่า........”
“นะครับแม่ รับรองว่าผมจะดูแลนนท์ไม่ให้มันไปเถลไถลที่ไหนแน่นอน”
“อ้าวเฮ้ย” ผมร้องออกมา “กูเนี่ยนะ เถลไถล”
แม่ของผมหัวเราะชอบใจขึ้นมาทันที “ก็ได้ๆ แต่รีบไปรีบกลับก็แล้วกัน ว่าแต่จะไปที่ไหนกันล่ะ”
“เมื่อเช้าตอนไปโรงบาลผมเห็นมีโลตัสอยู่ใกล้ๆนี้ เดี๋ยวผมไปซื้อที่นั่นก็ได้ครับ”
“แล้วมีเงินเหรอ”
โจพยักหน้า “มีครับ ผมมีเงินเก็บอยู่ในธนาคาร แล้วก็ผมก็ไม่ได้จะซื้อมือถืออะไรแพงๆอยู่แล้วด้วยน่ะครับ”
“อ้ะ โอเค แม่อนุญาตก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องรีบไปรีบมานะ ห้ามเถลไถลเด็ดขาด จากนั้นก็ต้องรีบกลับมากินข้าวแล้วก็เข้านอนแต่หัววันเพื่อพักผ่อนด้วย จะได้หายหวัดไวๆ ไม่งั้นเราอาจจะทรุดลงไปอีกก็ได้”
โจยกมือขึ้นไหว้แม่ผมอีกครั้ง “ขอบคุณครับแม่ งั้นผมกับนนท์ขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ”
หลังจากที่แม่พยักหน้าอนุญาต โจก็หันมามองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มและเดินนำผมกลับขึ้นไปบนห้องอีกครั้ง
“เห็นมะ ไม่เห็นจะยาก” เขาพูด
“กูขอถามคำถามนึง.......” ผมมองหน้าเขา “จริงๆแล้วมึงก็แค่บอกเบอร์กูให้แม่มึงไว้ใช้โทรหากูเอาก็ได้นี่หว่า ไม่เห็นต้องรีบไปซื้อใหม่วันนี้เลย จริงรึเปล่า”
“จริง” เขาพยักหน้า “แล้วไง”
“ก็แล้วถ้าแม่กูพูดแบบนี้ มึงจะตอบแม่กูไปว่ายังไง”
“ก็กูบอกไปแล้วไงว่ากูไม่อยากจะเสียเวลาอ่านหนังสือของวันพรุ่งนี้และวันอื่นๆในช่วงสอบไปน่ะ”
“มึงนี่คิดทุกอย่างเอาไว้หมดแล้วใช่มั๊ยเนี่ย แม่งง แผนสูงชะมัด........”
“ใครบอกกูแผนสูง เค้าเรียกว่าต้องรู้จักพูดให้ถูกกาลเทศะต่างหาก” โจยิ้มที่มุมปาก “และอีกอย่าง ที่กูไม่อยากเสียเวลาอ่านหนังสือวันอื่นๆน่ะ มันก็เป็นความจริง เพราะกูชอบอ่านหนังสือก่อนสอบแค่วันเดียว กูว่ากูบอกไปแล้วนี่”
ผมพยักหน้า “ก็ใช่.........”
“เรื่องอื่นน่ะ ช่างมันก่อนเหอะ แต่ตอนนี้กูต้องการเสื้อผ้าตัวใหม่ แล้วก็.........”
“แล้วก็อะไร.......” ผมถาม
โจดูอึกอักเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงเก็บอาการไว้ได้ดีทีเดียว “เอาบ็อกเซอร์มาให้กูด้วยตัวนึง กูไม่ได้ใส่กางเกงในมาหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนเต็มๆแล้วนะ”
ผมอดหัวเราะเบาๆออกมาไม่ได้ จากนั้นก็พยักหน้าและหันไปหยิบเสื้อผ้าออกมาให้เขาใส่ และข้อดีของโจข้อหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นได้ก็คือ นับตั้งแต่ที่มานอนกับผมเมื่อคืนนี้เขายังไม่เคยบ่นเรื่องอะไรออกมาเลยสักเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร เรื่องที่นอน หรือแม้แต่เรื่องเสื้อผ้าที่ผมหยิบออกมาให้เขาใส่ เขาก็ใส่มันได้หมดทุกตัวโดยไม่เรื่องมากหรือแสดงความคิดเห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่เราสองคนเปลี่ยนชุดกันเสร็จ เราก็เดินลงจากห้องไปบอกแม่ว่าจะออกจากบ้านแล้ว จากนั้นก็เดินออกมายืนรอเรียกแท็กซี่ที่หน้าบ้านเพื่อจะไปยังโลตัสด้วยกัน และเมื่อมีแท็กซี่มาจอด ผมก็เข้าไปนั่งในรถก่อนเป็นคนแรก ตามมาด้วยโจที่เข้ามาทีหลัง
“ไปโลตั........”
“ไปเซ็นทรัลพระรามสามครับ” โจพูดขัดขึ้นพร้อมกับปิดประตูรถลง “ด่วนที่สุดเลยครับพี่”
“เฮ้ยยย!”
“อะไร” เขาหันมามองหน้าผม
“ก็ไหนมึงบอกว่ามึงจะไปโลตัส”
“ก็ถ้าไม่พูดไปแบบนั้นแล้วแม่มึงจะให้ไปมั๊ยล่ะ”
“พี่ครับ ไปโลตัสนะครับ ไม่ใช่เซ็นทรัล” ผมหันไปบอกคนขับรถ
“ไม่ต้องครับพี่ เซ็นทรัลนั่นแหละ เลยโลตัสไปแค่นิดเดียวเอง เวลานี้แล้วด้วย รถมันก็คงจะไม่ติดแล้วใช่มั๊ยล่ะครับ” โจพูด จากนั้นเขาก็หันมามองหน้าผมอีกครั้ง “กูบอกว่าเซ็นทรัลก็เซ็นทรัลดิ่ ซื้อมือถือเหี้ยอะไรไปซื้อในโลตัสวะ ไม่ต้องห่วงน่า กูบอกแม่มึงแล้วว่าจะรีบกลับกูก็จะรีบ เพราะงั้นมึงห้ามเถลไถลก็แล้วกัน”
“กูเนี่ยนะ เถลไถล และอีกอย่าง นี่มึงเป็นคนโกหกแม่กูนะ ไม่ใช่กู” ผมโวย จากนั้นก็หยิบมือถือขึ้นมา “กูขอโทรบอกแม่ก่อนว่าเราไปเซ็นทรัล”
“ไม่ได้” โจคว้ามือถือไปจากมือของผมทันที “โทรไปก็โดนด่าแถมยังทำให้เค้าเป็นห่วงไปเปล่าๆน่ะสิ อยู่เฉยๆเหอะ ไม่ต้องให้เค้ารู้ซะก็ไม่เกิดปัญหาแล้ว”
“เอามือถือกูคืนมา” ผมยื่นมือไปจะคว้ามือถือกลับคืนมา แต่เขาก็รีบหลบ
“ไม่ให้ เดี๋ยวมึงแอบโทรหาแม่อีก กูจะเก็บเอาไว้เอง” เขาพูดพลางสอดมือถือของผมลงกระเป๋ากางเกงยีนส์
“อะไรของมึงเนี่ยยยยย” ผมพูดอย่างหงุดหงิด
“ก็บอกให้นั่งไปเฉยๆไง จะได้ไม่ต้องมีปัญหา” เขาพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ราบเรียบ แถมที่สำคัญยังพูดโดยไม่ยอมมองหน้าผมอีกด้วย จนมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ผมจะต้องกลายเป็นคนบ้าอยู่เพียงคนเดียวแน่ถ้าขืนยังคงทำตัวหงุดหงิดหรือชวนเขาทะเลาะมากยิ่งไปกว่านี้ จนเมื่อมาถึงที่เซ็นทรัล โจก็หันมามองหน้าผมแล้วทำตาดุๆใส่ด้วยสีหน้าที่ยังคงดูเหนื่อยๆแบบคนยังไม่ฟื้นไข้ดี “ทำหน้าเป็นตูดอยู่ได้ รีบๆพากูไปกดตังค์แล้วก็เดินซื้อมือถือได้แล้ว เร็ว เดี๋ยวก็กลับบ้านช้าหรอก”
“ปากดีนะมึงเนี่ย เนี่ยเหรอวะ คนป่วย” ผมที่ไม่รู้จะกลัว จะเกรง หรือจะรู้สึกสงสารเขาดีพูดขึ้น “เออ ไหนๆก็มาแล้วนี่ งั้นก็รีบๆซื้อก็แล้วกัน จะได้รีบๆกลับ เพราะเดี๋ยวมึงเองนั่นแหละที่จะทรุดลงไปอีก และกูก็จะพลอยโดนแม่ด่าไปด้วยอีกคน”
เมื่อบ่นจบ ผมก็พาโจเดินเข้าไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็มในห้าง ผมสังเกตเห็นเขากดแบ๊งค์พันออกมาหลายใบทีเดียว ดูท่าทางว่าเขาคงจะมีเงินเยอะเหลือกินเหลือใช้อย่างที่พวกเจย์เคยบอกผมจริงๆนั่นแหละ แต่ถึงงั้นก็เถอะนะ ยังไงมันก็ไม่ใช่ธุระอะไรของผมอยู่ดี ดังนั้นหลังจากที่เขากดเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมจึงพาเขาเดินไปยังชั้นที่มีร้านขายมือถือเยอะๆ แต่เขาเองกลับเดินตรงไปที่ร้านเจย์มาร์ทและชี้บอกคนขายว่าต้องการรุ่นไหนในทันทีโดยไม่มีการเสียเวลาเลยแม้แต่น้อย
“นี่มึงไม่เลือกหรือไม่คิดสักหน่อยเลยเหรอวะ” ผมถามเขาขณะที่คนขายกำลังเดินไปหยิบกล่องมือถือออกมาจากหลังร้านเพื่อมาทดสอบเครื่องให้เราสองคนดู
“ก็กูคิดไว้นานแล้วว่าอยากได้รุ่นนี้ และที่สำคัญที่โลตัสมันก็คงไม่มีขายอยู่แล้วด้วย”
“อืมมม......... รวยเนอะ น่าอิจฉาจริ๊งง”
โจหันมามองหน้าผมทันที “กูเก็บเงินของกูเอง ไม่ได้สักแต่อยากได้อะไรแล้วแบมือขอ และอีกอย่าง เงินนี้มันก็........” เขาเงียบลงไป
“ก็อะไร” ผมถาม
“เปล่า ไม่มีอะไร” เขาหันกลับไปหาคนขายที่กำลังเดินกลับเข้ามาหาเราสองคนเหมือนเดิม
ระหว่างที่เรากำลังยืนอยู่ในร้านเพื่อรอคนขายทดสอบเครื่องและอธิบายเรื่องการใช้งานพื้นฐานให้โจฟังอยู่นั้น ผมก็สังเกตเห็นพนักงานผู้หญิงสองสามคนกับกะเทยอีกหนึ่งคนจ้องมองมาที่เราสองคนบ่อยมาก และไม่ใช่แค่มองเพียงอย่างเดียว แต่ยังมองและหันไปพูดคุยซุบซิบกันอีกหลายครั้งด้วย และผมก็ไม่รู้เลยว่าเขากำลังมองมาที่ผมหรือที่โจอยู่ และพวกเขากำลังคุยหรือนินทาเรื่องอะไรอยู่กันแน่ แต่ที่แน่ๆก็คือ ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเลยจริงๆ
และในตอนนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงเพลงเรียกเข้าจากมือถือของผมดังขึ้น ผมจึงรีบล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมา แต่ว่า.......
“อยู่นี่......” โจพูดขึ้นพร้อมกับหยิบมือถือของผมออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขา เขามองดูชื่อคนที่โทรเข้าแล้วก็ยักไหล่ออกมาเบาๆ “มึงคงรู้นะ ว่าต้องพูดอะไรบ้างน่ะ”
ผมรับโทรศัพท์มาจากเขาแล้วกดปุ่มรับสายทันทีที่เห็นชื่อคนที่โทรเข้ามา
“ครับแม่”
“ซื้อของแล้วละก๋าลูก”
“อ๋ออ ก็ใกล้แล้วล่ะครับ ตอนนี้เหลือรอเซ็นต์เอกสารอีกแค่นิดเดียวก็จะกลับบ้านกันแล้ว”
“ถ้าจะอั้นแม่จะรอกิ๋นเข้าก่อละกั๋น ละเปื้อนเป๋นใดพ่อง อาก๋านแย่ลงก่อ”
ผมหันไปมองหน้าโจ “ก็ไม่เห็นมันเป็นไรนะครับ คงจะไม่เป็นอะไรแล้วมั๊ง”
“เป๋นจะอี้ก่อดีละ ฝากบอกเขาตวยละกั๋นว่าฮื้อดูแลลูกจายแม่ จะไปไปฮ้ายตี้ไหน”แม่หัวเราะ
“โหห แม่นะ”
“น่ารำคาญว่ะ” โจพูดขึ้นเบาๆ
“หาา ว่าไงนะ” ผมหันไปถามเขา
“อะหยังกา นนท์” แม่ถาม
“อ๋อๆ บ่อมีหยังครับแม่ ตะกี้นนท์หันไปคุยกับไอ่โจ้บ่าดาย อืมมมอั้นเอาไว้ม่อกอี้ก่อนเน้อแม่ ละเดียวเฮาสองคนจะฟั่งปิ๊กบ้านเน้อครับแม่” เมื่อพูดจบ ผมก็กดปุ่มวางสายลงทันที จากนั้นก็หันกลับไปหาเขาอีกครั้ง “เมื่อกี๊มึงพูดว่าไงนะ........”
“กูบอกว่า ‘น่ารำคาญว่ะ’” เขาหันมาตอบผม “ทำไม มีอะไร”
“มึงหมายถึงใคร มึงหมายถึงแม่กู หรือว่า........”
“ประสาท กูหมายถึงอีพนักงานพวกนั้นต่างหาก มองกูกะมึงอยู่ได้ แม่งน่ารำคาญ” โจทำสีหน้าหงุดหงิด ซึ่งเมื่อพนักงานขายของของเราเดินกลับมาพร้อมเอกสารสองสามแผ่นในมือ โจจึงได้โอกาสถามพี่เขาทันที “พี่ ผู้หญิงพวกนั้นเค้าเป็นอะไรครับ เห็นมองผมสองคนมานานแล้วนะ”
“อ๋ออ พวกนั้นน่ะเหรอครับ” พี่พนักงานขายหัวเราะเบาๆ “เค้าคงจะชอบน้องล่ะมั๊งครับ”
ก็นั่นน่ะสินะ จะว่าแปลกใจมั๊ยผมก็คงไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่หรอก เพราะว่าโจก็หน้าตาดีมากจริงๆ แถมเขายังทั้งสูงและหุ่นดีมากด้วย คนพวกนั้นเค้าก็คงนึกไม่ถึงหรอกว่าจริงๆแล้วโจจะเพิ่งอยู่ชั้นมอสามเท่านั้นเอง เพราะว่าโจน่ะ ทั้งๆที่หน้าตาก็ไม่ได้แก่เกินอายุอะไร แต่ก็สามารถที่จะถูกมองว่าเป็นเด็กมอสี่หรือมอห้าที่หน้าเด็กหน่อยได้อย่างสบายๆเลยทีเดียว
“ถ้าอย่างนั้นผมฝากพี่เดินไปบอกคนพวกนั้นด้วยนะครับ......” โจพูดออกมาด้วยเสียงที่ดังกว่าปกตินิดหน่อยขณะเซ็นต์ชื่อลงบนเอกสารรับประกัน “ว่าผมไม่สนคนแก่”
คำพูดแบบขวานผ่าซากของเขาทำให้ทั้งพี่พนักงานขายและผมต้องมองเขาด้วยความตกตะลึงในทันที แต่สิ่งที่ทำให้เราสองคนต้องตกใจและช็อคมากยิ่งไปกว่านั้นนั่นก็คือสิ่งที่เขาพูดและทำเป็นอย่างต่อมาต่างหาก
“..........และอีกอย่าง” โจวางปากกาลง จากนั้นเขาก็หันมาคว้ามือของผมเอาไว้และพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมอีกด้วยซ้ำ “ฝากบอกพวกเค้าด้วยนะครับว่า ผม มา กับ แฟน”
ผมหันไปมองเขาด้วยความตกตะลึง ส่วนพี่พนักงานขายก็มองหน้าเราสองคนทั้งๆที่อ้าปากค้าง และแน่นอนว่าคนอื่นๆในร้านที่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด รวมถึงเหล่าพนักงานหญิงกับกะเทยกลุ่มนั้นก็ด้วยเช่นกัน
“ไปเหอะ กลับบ้านเรากันได้แล้ว” โจพูดพร้อมกับเดินจูงมือผมออกจากร้าน
..................................................
จะไปไปฮ้าย --> จะไป = อย่า + ไปฮ้าย = ไปเกเร
บ่าดาย = เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำกริยา คุย แสดงว่าการคุยนั้นเป็นการคุยเฉยๆ ไม่ซีเรียสอะไรหรอก
ม่อกอี้ = แค่นี้ เท่านี้
ฟั่ง = รีบ
ปล. ครั้งนี้ขอบคุณน้องมอส และขอบคุณเฮียต่อ (ที่คงไม่ได้มาอ่าน) ด้วยนะค้าบบ