A 19
เสียงเคาะประตูห้องทำให้ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาแล้วก็เห็นว่ามันเป็นเวลาแปดโมงกว่าแล้ว ผมจึงค่อยๆคลายมือที่กำลังกอดโจอยู่ออกแล้วก็ลุกออกจากเตียงอย่างเงียบๆเพื่อเดินไปเปิดประตู
“อ้าวแม่ มีอะหยังครับ.......” ผมถามพลางอ้าปากหาววอดและบิดขี้เกียจ
“บ่มีหยัง แม่ก่อแค่ขึ้นมาผ่อว่านนท์กับเปื้อนเป็นจะไดพ่อง หันบอกว่าจะขึ้นมาผ่อเปื้อนแล้วก่อหายไปเลย”
“อ๋ออ นนท์เผลอหลับไปน่ะแม่ ส่วนไอ้โจก่อคงไข้เริ่มลดแล้วล่ะครับ”
“ดีแล้วๆ” แม่พยักหน้า “ถ้าเปื้อนตื่นแล้วก่อเจ๊ดต๋งเจ๊ดตั๋วหื้อเรียบร้อยเน้อ แล้วก่อปากั๋นลงไปกิ๋นข้าว แล้วเดียวแม่จะปาไปหาหมอเอง”
“ครับ ได้ครับแม่........” ผมตอบ “แต่ยังบ่แน่เลยน่ะแม่ว่ามันจะตื่นกี่โมงน่ะ”
แม่พยักหน้าก่อนจะเดินจากไป
ผมหันกลับเข้ามาในห้องแล้วมองไปที่โจที่ยังคงนอนเปลือยท่อนบนอยู่บนเตียง ดูท่าทางว่าเขาคงจะรู้สึกสบายตัวขึ้นบ้างแล้ว เพราะว่าเหงื่อของเขาออกมาเยอะเหลือเกิน เยอะซะจนแขนของผมเองก็ยังเปียกชื้นไปด้วยเลย ผมจึงเดินไปหยิบผ้าที่เคยใช้เช็ดตัวให้เขาเมื่อก่อนหน้านี้ไปชุบน้ำแล้วก็เอามาซับเหงื่อบนร่างกายให้กับเขา และระหว่างที่ผมกำลังเช็ดตัวให้เขาอยู่นั้น โจก็ยกมือขึ้นมากุมมือของผมเอาไว้
“อืออออ......” เขาขมวดคิ้วแล้วเริ่มบิดตัวไปมาเบาๆเหมือนจะเริ่มครางและเพ้อขึ้นมาอีกครั้ง
“โจ.....” ผมเรียกชื่อเขา
โจค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ จากนั้นเขาก็หันมาสบตากับผม “ไอ้นนท์เหรอ........”
“เออ กูเอง มึงเป็นไงมั่ง รู้สึกดีขึ้นรึยัง”
เขาพยักหน้า “อืมมม แต่กูหนาว........”
“งั้นมึงก็ปล่อยมือกูก่อนสิ กูจะได้หยิบผ้าห่มมาห่มให้มึงได้ไง เมื่อกี๊มึงก็ดิ้นจนผ้าห่มมันหลุดไปอยู่ปลายเตียงหมดแล้ว”
โจมองลงมาที่มือของตัวเองที่กำลังกุมมือผมเอาไว้อยู่ จากนั้นเขาก็รีบปล่อยมือออกทันที “ขอโทษที......”
“ไม่เป็นไร” ผมห่มผ้าให้เขาใหม่อีกครั้ง และลองเอามือมาวางที่หน้าผากของเขาดูอีกที “ยังตัวร้อนอยู่เลย มึงแน่ใจนะว่ามึงรู้สึกดีขึ้นแล้วจริงๆน่ะ”
เขาหลับตาลง “ขอกูนอนอีกสักงีบนะ........”
“แล้ว.........” ผมรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจว่าผมควรจะถามออกไปดีรึเปล่า แต่แล้วผมก็ตัดสินใจถามออกไปจนได้ “จะให้กูอยู่เป็นเพื่อนต่อก่อนมั๊ย คือ........ มึงนอนคนเดียวได้รึเปล่า”
เขาลืมตาขึ้นมามองหน้าผมด้วยแววตาแปลกๆ ก่อนที่จะตอบออกมา “แล้วแต่มึงก็แล้วกัน”
“งั้น..... กูขอไปอาบน้ำก่อนก็แล้วกันนะ เดี๋ยวกูกลับมา”
ผมลุกเดินออกจากห้องไปอาบน้ำซึ่งก็ใช้เวลาราวๆเกือบสิบห้านาที และพอผมกลับมาที่ห้อง เสียงหายใจหนักๆของโจก็บอกให้ผมรู้ว่าเขาหลับลงไปอีกครั้งแล้วเรียบร้อย ผมนั่งมองดูใบหน้ายามหลับของเขาอยู่ครู่หนึ่ง และก็นึกแปลกใจว่านี่ตกลงแล้วตอนนี้ผมกับเขาเป็นเพื่อนกันแล้วรึยังกันแน่นะ และสรุปว่านี่ผมจะรู้สึกยังไงกับเขาคนนี้กันแน่..... จะไม่ชอบ จะชอบ รึว่าจะเฉยๆ เพราะทุกครั้งที่ผ่านมา โจก็ชอบทำตัวแปลกๆใส่ผมตลอด ไม่ว่าจะเป็นการมอง การยิ้ม หรือการพูดคุยแต่ละครั้งที่แทบจะไม่เคยเป็นในแง่ดีเลยสักครั้งเดียว แต่ในบางที เขาก็กลับทำตัวแปลกยิ่งไปกว่านั้นเสียอีก นั่นก็คือการที่เขาเข้ามาพูดคุยกับผมดีๆนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นตอนแรกที่เขาทำแผลให้ผม เมื่อวันก่อนนี้ที่โรงอาหาร หรืออย่างแม้แต่ในเมื่อคืนหรือในวันนี้ตอนนี้........
หลังจากนั้นสักพักผมก็ลงไปนั่งดูทีวีอยู่ข้างล่างครู่ใหญ่ๆ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณเก้าโมงครึ่ง ผมก็เดินกลับขึ้นไปบนห้องอีกครั้ง โจที่กำลังนั่งอยู่ที่ขอบเตียงก็หันมามองผมด้วยสีหน้าที่ยังคงไม่ได้ดูดีขึ้นเท่าไหร่เลย
“อ้าว ลุกไหวแล้วเหรอ กูว่ามึงนอนต่อเหอะ หน้ามึงยังแดงอยู่เลยนะ” ผมเดินไปหยุดตรงหน้าเขาแล้วเอาหลังมือวางลงบนหน้าผากเขาเบาๆเพื่อวัดไข้ “ไข้ก็ยังมีอยู่เลย ไม่ร้อนเท่าตอนแรกแล้วล่ะ แต่กูว่าลองวัดดูอีกทีก็แล้วกัน” ผมหันไปหยิบที่วัดไข้มาแปะลงบนหน้าผากของเขา “สามสิบแปดองศา........ ลดมาจุดห้า ก็ยังดีล่ะวะ”
“มึงเช็ดตัวให้กูเหรอ.......” โจถามผม
“อืมม” ผมพยักหน้า
“ทำไมวะ.......”
“อ้าว......” ทำไมจู่ๆเขาถึงได้ถามคำถามควายๆอย่างนั้นออกมาได้กันล่ะเนี่ย “ก็มึงตัวร้อนอ่ะ กูก็ต้องเช็ดตัวเพื่อลดไข้ให้มึงดิ่ แถมเหงื่อมึงยังออกเยอะมากด้วย”
เขาพยักหน้า
“ว่าแต่มึงพอลุกไหวรึยัง ไปกินข้าวต้มหน่อยนะ แล้วเดี๋ยวกูกับแม่จะพามึงไปหาหมอเอง”
“งั้นกูขอไปแปรงฟันก่อน........” โจลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังคงดูเหมือนกับว่าเขาจะยังคงมึนๆหัวอยู่พอสมควร
“ปวดหัวเหรอ” ผมถาม
“นิดหน่อย” เขาค่อยๆพยุงตัวเองเดินออกจากห้องไป ผมจึงนั่งลงบนเตียงรอจนกระทั่งประมาณห้านาทีให้หลัง เขาก็เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง “กูไม่อยากไปหาหมอ มึงบอกแม่มึงให้ไปส่งกูที่หอเถอะ”
ผมเองก็กะเอาไว้แล้วเชียวว่าเขาจะต้องพูดแบบนี้ “เอาเป็นว่าเราลงไปกินข้าวกันก่อนเหอะ แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”
ผมเดินนำเขาลงไปยังโต๊ะกินข้าวแล้วก็ตักข้าวต้มมาให้เขากิน ใบหน้าของโจดูแย่และหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด ชัดเสียจนผมแทบจะมองไม่เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจที่มากจนดูเกือบจะเป็นความหยิ่งในตัวเองอย่างที่เขาเคยมีอีกเลย แต่ว่าเวลาที่เขาเป็นแบบนี้ เขาก็ดูน่ารักดีอยู่หรอกนะ ผมว่ามันทำให้เขาดูไม่กวนตีนและดูไร้พิษสงดี........
“ยิ้มอะไร” โจที่กำลังจะยกช้อนข้าวต้มเข้าปากชะงักมือลงแล้วถามผม
“หา เปล่านิ ไม่มีอะไร” ผมส่ายหน้า
“พิลึก......” เขาพูดก่อนจะตักข้าวต้มเข้าปาก แต่แล้วเขาก็ต้องสำลักมันออกมาเพราะความร้อน
“เอ้าๆๆ ค่อยๆกินดิ่ มันร้อนนะเว้ยเฮ้ย” ผมหัวเราะ แล้วก็หยิบทิชชู่ยื่นให้เขา “เอ้านี่ เลอะหมดแล้ว”
เขารับทิชชู่ไปจากมือของผมแล้วก็ค่อยๆเช็ดมือ เช็ดปาก และเช็ดลงบนโต๊ะที่เลอะน้ำข้าวต้ม แต่เขาก็ยังคงเช็ดไม่หมดอยู่ดี ผมจึงยื่นมือออกไปช่วยเช็ดตรงลำคอของเขาด้วย
“มึง.......” โจพูดขึ้นขณะที่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่ผมจะได้เช็ดได้ง่ายขึ้น
“หืออ” ผมใช้ทิชชู่ในมือซับตรงลำคอของเขาเบาๆจนสะอาด จากนั้นเมื่อผมกำลังจะเขยิบตัวกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ของตัวเองเหมือนเดิม เขาก็คว้ามือข้างนั้นของผมเอาไว้
“มึงนี่เป็นคนอย่างนี้เหรอวะ........” เขาพูดขึ้นทั้งๆที่ยังคงกุมมือของผมเอาไว้อยู่
“หาาาา....... อะไรของมึง” ผมถามออกไปขณะที่ชักมือกลับ “มึงพูดอะไรของมึงเนี่ย มึงหมายความว่ายังไงวะ”
โจมองหน้าผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าออกมาเบาๆแล้วก็ก้มหน้าลงกินข้าวต้มของตัวเองต่อ แต่คราวนี้เขาไม่ลืมที่จะเป่าก่อนจนแน่ใจก่อนว่ามันหายร้อนดีแล้วจึงค่อยกินลงไปด้วย ส่วนผมก็ได้แต่นั่งมองหน้าเขาด้วยความงุนงงอยู่อย่างนั้น ผมไม่เข้าใจและไม่เคยเข้าใจเลยจริงๆว่าคนๆนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“เพื่อนกินข้าวอยู่เหรอ นนท์” แม่ของผมเดินเข้ามาหาเราสองคน “ดีแล้วล่ะ แล้วเดี๋ยวแม่จะได้พาไปหาหมอ”
โจยกมือขึ้นไหว้แม่ของผม “ขอบคุณมากครับ แม่ แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมกลับหอเลยก็ได้”
“ไม่ได้หรอก เสียงยังฟังดูไม่ค่อยดีเลย เจ็บคอใช่มั๊ยล่ะ แถมหน้าเราก็ยังแดงมากอยู่เลยนะ” แม่เดินเข้ามาวางมือลงบนหนาผากของโจ จากนั้นก็หันมาหาผม “เพื่อนยังมีไข้อยู่เลยนี่ เมื่อกี๊ได้วัดรึเปล่าว่ากี่องศา”
“สามสิบแปดครับ ลดลงมาจุดห้า” ผมตอบ
“ไข้ค่อนข้างสูงนะ แถมกินยาลดไข้ลงไปแล้วแต่ทำไมมันไม่ค่อยลงเลย” แม่หันกลับไปหาโจอีกครั้ง “เจ็บคอรึเปล่า ปวดหัวหรือมึนหัวอะไรมั๊ย”
โจเหลือบมามองผมแว่บหนึ่งก่อนจะพยักหน้า “นิดหน่อยน่ะครับ........”
“งั้นก็ต้องไปหาหมอแล้วล่ะ เพราะไม่รู้จะเป็นไข้หวัดใหญ่รึเปล่า เอาล่ะ ถ้างั้นแม่ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ ถ้าพร้อมแล้วก็เรียกแม่ก็แล้วกันนะ นนท์” แม่พูดก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไป
หลังจากนั้นผมก็นั่งมองโจค่อยๆกินข้าวต้มอย่างเงียบๆ เราสองคนไม่มีใครพูดอะไรกันขึ้นมาอีกเลย จนกระทั่งโจวางช้อนลงบนชามพร้อมกับค่อยๆดันมันออกจากตัวเบาๆ
“เฮ้ย อิ่มแล้วเหรอ มึงเพิ่งกินไปนิดเดียวเองนะ” ผมถาม
“กูกินไม่ลง ร้อน......”
“มึงหมายถึงข้าวต้ม ตัวมึงเอง หรือหมายถึงห้องนี้วะ” ผมลุกไปหยิบชามข้าวต้มขึ้นแล้วเดินไปวางไว้ตรงอ่างล้างจาน
“กูรู้สึกเหนื่อยจังว่ะ มันไม่สบายตัวเลย........”
ผมหันกลับมาเห็นโจกำลังนั่งหลับตาเงยหน้าเอาหัวพิงกับพนักพิงเก้าอี้อยู่ สีหน้าของเขาดูแย่มากจริงๆ มันดูเหมือนว่าเขากำลังทรมานเพราะพิษไข้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“เป็นไงมั่งวะ........” ผมเดินเข้ามานั่งลงข้างๆเขา “มึงลุกไหวมั๊ย ตอนนี้รู้สึกปวดเมื่อยตัวด้วยรึเปล่า”
เขาพยักหน้า
“งั้นทนอีกหน่อยก็แล้วกัน เพราะมึงต้องขึ้นห้องไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ เดี๋ยวกูจะช่วยพยุงมึงขึ้นห้องเองก็แล้วกัน โอเคมั๊ย”
เขาพยักหน้าอีกครั้ง แต่ว่าจริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ต้องช่วยพยุงอะไรเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าเขาก็สามารถเดินขึ้นห้องได้เอง โดยที่ผมก็มีหน้าที่แค่คอยเดินประกบอยู่ข้างๆเขาเผื่อเอาไว้ด้วยก็เท่านั้นเอง หลังจากที่ถึงห้องแล้วผมก็หยิบเสื้อผ้าของผมออกมาให้เขาเปลี่ยน จากนั้นก็ออกไปยืนรอเขาอยู่หน้าห้อง จนกระทั่งเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ผมกับแม่จึงพาเขาไปหาหมอที่โรงพยาบาลใกล้ๆบ้าน สรุปว่าโจเป็นไข้หวัดใหญ่และจะต้องถูกฉีดยาเข็มนึง ไผมม่รู้เหมือนกันว่าผมคิดไปเองรึเปล่า แต่พอเขารู้ว่าเขาต้องถูกฉีดยานั้น ผมสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเขาดูซีดลงไปเยอะเลยทีเดียว
“เดี๋ยวหมอ ฉีดยานี่ฉีดที่ไหน” เขาหันไปถามหมอ หลังจากที่พยาบาลพาเขามานั่งลงบนเตียงแล้ว
“ฉีดสะโพกครับ”
ผมว่าผมเห็นหน้าของเขาซีดลงไปกว่าเดิมอีกนิดหน่อยจริงๆนะ
“มึงกลัวเข็มรึว่าอายตูดลายวะ” ผมหัวเราะเบาๆ
โจหันมามองผมด้วยแววตาดุๆก่อนจะนอนคว่ำลงไปบนเตียง “ปากดี มึงออกไปรอข้างนอกเลยไป”
ผมยักไหล่ก่อนจะเดินออกมานั่งรอเขาอยู่ข้างนอก และอีกไม่นานหลังจากนั้น โจก็เดินออกมาด้วยท่าเดินที่ทำให้ผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ และแน่นอนว่าผมก็ต้องโดนเขามองด้วยสายตาโหดๆแบบนั้นอีกตามเคย
ตลอดระยะทางนั่งรถกลับบ้าน โจก็เอาแต่นั่งเหม่อมองออกไปนอกรถตลอดเวลา จนกระทั่งเมื่อมาถึงหน้าประตูบ้านนั่นแหละ ผมถึงได้เห็นว่าเขาหลับลงไปแล้วเพราะฤทธิ์ยาและฤทธิ์ไข้ ผมจึงต้องเขย่าตัวเขาเบาๆเพื่อปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาและพาเขาเดินกลับขึ้นไปนอนต่อบนห้องดีๆ
พอผมเดินกลับลงมาข้างล่าง แม่ก็โทรเข้าไปบอกที่หอว่าตอนนี้โจกำลังอยู่ที่ไหนกับใคร และแม่ยังขอเบอร์ผู้ปกครองของโจมาจากที่หอด้วย เพื่อที่ว่าแม่จะได้โทรไปบอกที่บ้านของเขาว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงและกำลังทำอะไรอยู่ และแน่นอนว่าเพื่อบอกด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วงว่าเขาจะเป็นยังไงหรืออยู่ยังไง
หลังจากที่แม่รับหน้าที่คุยกับทางหอพักไปแล้ว ก็ถึงคราวที่ผมจะต้องเป็นฝ่ายโทรไปคุยกับพ่อแม่ของโจด้วยตัวเอง ผมรับโทรศัพท์มาจากแม่ จากนั้นก็กดเบอร์ที่แม่ให้ผมมาลงไปและรอคนมารับสายอยู่ครู่หนึ่ง........
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีครับ เอ่ออ นั่นใช่คุณพ่อของโจใช่มั๊ยครับ” ผมถาม
“ครับ ใช่ครับ นั่นจากไหนครับ”
“อ่ออ คือผมเป็นเพื่อนของโจน่ะครับ ผมโทรมาเพื่อจะบอกคุณพ่อว่าเมื่อคืนโจไม่สบายมากและผมก็เลยต้องพาเขามานอนพักที่บ้านของผมน่ะครับ และเมื่อเช้านี้ผมกับแม่ก็พาเขาไปหาหมอเรียบร้อยแล้ว ก็เลยจะบอกให้คุณพ่อรู้ แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ตอนนี้เขาก็ดีขึ้นมากแล้ว ถ้ายังไงพอเขาตื่นขึ้นมาและหายดีแล้ว ผมจะพาเขาไปส่งที่บ้านหรือที่หอให้เองนะครับ”
“เท่าไหร่ครับ.....”
“อะไรนะครับ” ผมถามด้วยความสงสัย
“ผมถามว่าค่ารักษาที่พาโจไปหาหมอมาน่ะ เท่าไหร่”
“เอ่อ.... คือ...... ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันน่ะครับ พ่อดีแม่ของผมเป็นคนจ่ายไป แต่ว่........”
“ถ้าต้องการค่ารักษาคืนล่ะก็ ให้บอกไอ้โจมันมาก็แล้วกัน” เขาพูดแทรกขึ้นก่อนที่ผมจะพูดจบประโยคเสียอีก “แล้วหลังจากนั้นผมก็รบกวนพามันไปส่งที่หอซะเลยนะครับ ไม่ต้องพามันกลับมาที่บ้านหรอก ขอบคุณมาก”
“เอ่ออ ครับ ก็ได้ครับ” ผมตอบกลับไปอย่างงงๆ หลังจากนั้นโทรศัพท์ก็ถูกตัดไป
“ป้อเขาว่าอย่างไดพ่องล่ะ” แม่หันมาถามผม
“เขาบอกว่าถ้าโจดีขึ้นแล้วก่อหื้อปามันไปส่งตี้หอได้เลยน่ะครับ ส่วนก้าฮักษาก่อหื้อฝากโจไปบอก แล้วเดียวเขาจ่ะจ่ายคืนหื้อทีหลัง”
แม่พยักหน้า “แล้วจะเอาจะไดต่อล่ะ แต่แม่ว่าหลังจากตี้เปื้อนเฮาเปิ้นตื่นแล้ว ก่อหื้อเขานอนอยู่บ้านเฮาไปก่อนก่อได้ก๊า เดียววันติ๊ดเขาก่อน่าจะดีขึ้นนักละ ตอนนั้นก่อก้อยไปส่งเขาตี้หอกำเดียวเลย”
ผมลอบถอนหายใจเบาๆไม่ให้แม่เห็น ก็มาจนถึงขนาดนี้แล้วนี่นะ มันก็ไม่ใช่ว่าผมจะยังคงอึดอัดที่มีเขาอยู่ในบ้านเหมือนเมื่อตอนแรกๆหรอก แต่บางทีผมก็รู้สึกเอาใจเขาคนนี้ไม่ค่อยถูกเลยจริงๆ และนอกจากจะเอาใจเขาไม่ถูกแล้วนะ ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะรู้สึกชอบ ไม่ชอบ รำคาญ สงสาร เห็นใจ หรืออะไรยังไงกับเขากันแน่ และนั่นแหละคือเหตุผลหลักเลยที่ทำให้ผม........
เอ๊ะ....... ตกลงนี่มันทำให้ผมกำลังรู้สึกยังไงอยู่กันแน่นะ
“เอาไว้ถ้ามันตื่นแล้วนนท์จะไปบอกมันหื้อก่อแล้วกั๋นครับ แต่นนท์ก่อบ่ฮู้น่ะว่ามันจะว่าจะไดผ่อง ไอ้เปื้อนคนนี้เอาใจ๋ยาก แล้วก่อเดาใจ๋ยากตวย” ผมยักไหล่
“อ้อ แล้วก่อบอกเปื้อนนาว่าบ่ต้องห่วงเรื่องก้าหมอก้ายา แม่บ่ได้ซีเรียสเรื่องหมู่นี้เลยสักน้อย”
ผมพยักหน้า “นนท์ฮู้ครับ แม่”
หลังจากนั้นผมก็เดินขึ้นห้องไปเพื่อที่จะหยิบหนังสือเรียนลงมาอ่านข้างล่าง และเมื่อผมค่อยๆเปิดประตูเข้าไป ผมก็เห็นว่าโจยังคงนอนหลับอยู่อย่างเรียบร้อยดี โดยที่เขากำลังนอนตะแคงกอดหมอนของผมเอาไว้อยู่ ผมเดินเข้าไปแตะหน้าผากของเขาเบาๆเพื่อวัดไข้ และเมื่อผมวางมือลงบนหน้าผากของเขาแล้วผมก็อดที่จะรูสึกขำขึ้นมาไม่ได้ เมื่อนึกขึ้นมาว่า ใครกันนะที่เป็นคนบัญญัติเอาไว้ว่าเราทุกคนจะต้องคอยเอาแต่จับหน้าผากของคนที่กำลังเป็นหวัดอยู่เรื่อยๆทุกครั้งไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม
เมื่อเห็นเขากำลังหลับสนิทอยู่แบบนี้แล้ว ผมก็เลยตัดสินใจที่จะนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องซะเลย เพราะผมเคยชินกับกับการนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องของตัวเองมากกว่าไปอ่านที่อื่นที่มันกว้างๆ มันทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยมีสมาธิอย่างที่ควร และอีกอย่าง ถ้าเกิดว่าโจเขาเกิดเพ้อหรือฝันร้ายอะไรขึ้นมาอีกล่ะก็ ผมก็จะได้เห็นได้ทันทีและคอยดูแลเขาได้ทันเวลาด้วย
ผมเอาหนังสือเลขขึ้นมานั่งทำแบบฝึกหัดไปเรื่อยๆ โดยที่ผมได้ก๊อปปี้สมุดของนัทมาช่วยในการอ่านด้วย ซึ่งมันก็ช่วยผมได้มาก ทำให้ผมที่ถึงแม้จะมาเรียนช้ากว่าคนอื่นก็ยังสามารถนั่งอ่านทบทวนและทำโจทย์ไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อผมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือมาดูเวลาอีกครั้งก็เป็นเวลาเกือบจะบ่ายสองโมงแล้ว มิน่าล่ะผมถึงได้รู้สึกว่าท้องของผมมันเริ่มจะเรียกร้องขออาหารอีกครั้งแล้ว เพราะข้าวต้มเมื่อเช้านี่มันก็ค่อยไม่อยู่ท้องเลยจริงๆ
ผมวางดินสอลงและบิดขี้เกียจเบาๆ จากนั้นเมื่อผมหันไปมองบนเตียง ผมก็เห็นว่าโจยังคงกำลังนอนหลับอยู่ท่าเดิมไม่ได้ขยับตัวหรือเปลี่ยนท่าเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะเป็นคนที่นอนได้นิ่งมากถึงขนาดนี้ เพราะหลังจากที่ผมเห็นเขานอนดิ้นและเพ้อออกมาอย่างเมื่อเช้านี้แล้ว ผมก็ต้องรู้สึกแปลกใจขึ้นมาจริงๆ หรือบางทีมันอาจจะเป็นสัญญาณบอกว่าเขาเริ่มจะหายดีขึ้นมาบ้างแล้วก็เป็นได้
ผมลุกออกจากโต๊ะและเดินเข้าไปหาเขาที่เตียง จากนั้นก็เรียกชื่อเขาเบาๆเพื่อปลุกให้เขาตื่น
“อืมม........ กี่โมงแล้ววะ........” เขาถามออกมาหลังจากที่ลืมตาขึ้น
“จะบ่ายสองแล้ว ไปเหอะ ลุกไปกินข้าวกัน มึงต้องกินยาด้วยนี่ แถมเมื่อเช้ามึงก็แทบไม่ได้กินอะไรลงท้องไปเลยนะ”
เขาค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนเตียง แต่มือของเขาก็ยังคงกุมหมอนของผมเอาไว้อยู่เลย “แล้วมึงกินอะไรรึยัง” เมื่อเขาพูดจบ และกลืนน้ำลายลงคอ เขาก็มีสีหน้าที่บ่งบอกถึงความทรมานขึ้นมาทันที
“ยังอ่ะ ก็รอไปกินพร้อมมึงนี่แหละ และกูเองก็มัวแต่อ่านหนังสืออยู่ด้วย ว่าแต่มึงเป็นไงมั่ง รู้สึกดีขึ้นบ้างรึยัง”
เขาพยักหน้า “แต่ยังเจ็บคอชิบหาย.....”
“ก็นั่นสินะ ไปเหอะ ไปกินข้าวกัน ฝืนๆกินหน่อยจะได้มีแรง แล้วก็จะได้กินยาด้วย”
เราสองคนเดินลงมาข้างล่างเพื่อกินข้าวด้วยกันพร้อมกับแม่ของผม และแน่นอนว่าสำหรับโจก็ต้องเป็นข้าวต้มเหมือนเดิม ในขณะที่เรากำลังกินข้าวกันอยู่นั้น แม่ก็บอกโจไปว่าจะให้เขาพักอยู่กับผมก่อนอีกหนึ่งคืน แล้วพรุ่งนี้ก็จะไปส่งเขาที่หอให้ โจพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มที่ผมไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยมากนัก แต่เมื่อแม่พูดว่าแม่โทรไปที่หอเพื่อแจ้งให้ทางนั้นรับทราบและเพื่อขอเบอร์พ่อของเขามาให้ผมโทรไปบอกว่าลูกชายของเขาอยู่ที่นี่และสบายดีแล้ว สีหน้าของโจก็ดูเปลี่ยนไปในทันที
“มึงคุยอะไรกับพ่อกูไปมั่ง” เขาถามผมทันทีที่เราสองคนเดินกลับขึ้นมาบนห้อง
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่บอกไปว่ามึงอยู่ที่นี่เท่านั้นเอง.........” ผมตอบ
“มึงบอกกูมาให้หมดว่ามึงคุยอะไรกับเขาไปบ้าง” เขาถามซ้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่แสดงความหงุดหงิดออกมาอย่างชัดเจน
“ก็บอกแล้วไงว่าแค่นั้นเอง กูแทบจะไม่ได้คุยอะไรกับเขาเลย พอบอกไปแค่ว่ามึงมานอนอยู่ที่นี่ เค้าก็ถามว่าค่าหมอที่พามึงไปหามาอ่ะ เท่าไหร่ แล้วก็ให้มึงไปบอกเขา เขาจะคืนเงินให้ ก็เท่านั้นเอง”
“แค่นั้นแน่นะ........” น้ำเสียงของเขาเริ่มเย็นลงเล็กน้อย
“ก็ประมาณนั้นแหละ แต่ว่ากูกับแม่ก็ไม่ได้อยากจะเอาเงินของพ่อมึงหรอกนะ แต่กูยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อเลย เขาก็วางสายไปซะแล้วน่ะ”
โจเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาจากโต๊ะ จากนั้นเขาก็ส่ายหน้าเบาๆและโยนมันกลับลงไปบนเตียง
“โทรศัพท์กูพังไปแล้วน่ะ กูขอยืมของมึงก่อนได้รึเปล่า......”
ผมยื่นมือถือของผมให้กับเขา จากนั้นเขาก็พยักหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะเดินออกจากห้องไป ผมจึงนั่งลงที่โต๊ะแล้วเริ่มอ่านหนังสือต่ออีกครั้ง แต่ทว่าไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“กูต้องไปซื้อมือถือใหม่นะ” เขาพูดขึ้น
“วันนี้น่ะเหรอ”
“เร็วที่สุดก็ดี”
“แต่มึงไม่สบายนะเว้ย รอให้หายก่อนไม่ดีกว่าเหรอ แล้วอีกอย่างวันจันทร์ก็ต้องสอบแล้วนะ กูว่ามึงอ่านหนังสือสักหน่อยก่อนดีกว่ามั๊ง”
“ถ้างั้น....... ถ้าตอนเย็นกูหายดีแล้วกับถ้ากูได้อ่านหนังสือแล้วล่ะก็ มึงจะออกไปซื้อมือถือกับกูใช่มั๊ย” เขาเดินตรงเข้ามาหาผมที่โต๊ะหนังสือ “ถ้างั้นก็มาเริ่มอ่านหนังสือกันเลย กูเองก็นอนมามากพอแล้วด้วย แล้วเย็นนี้เราจะได้ไปซื้อมือถือด้วยกัน”
.........................................................................
วันติ๊ด = วันอาทิตย์
อิอิ
ขอบคุณทุกๆคนและเจ๊แก้มป่องอีกครั้งจ๊าา

แล้วก็รับทราบข้อความจากเจ๊สองด้วย
