A 112
ผมรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าแม่ไม่ชอบเรื่องพวกนี้มากแค่ไหน แต่ผมก็เลินเล่อเกินไปเอง จากผม คนที่แทบไม่เคยพาเพื่อนมาเที่ยวที่บ้านเลย กลับมีเพื่อนมานอนค้างที่บ้านจนเรียกได้ว่าเป็นขาประจำถึงสองคน แต่สาเหตุที่ทำให้ผมลืมระมัดระวังตัวไปนั้นมันก็เป็นเพราะว่านัทเองก็ไม่ได้มาบ่อยเท่าไหร่ ส่วนโจที่มาอยู่กับพวกเรานั้น ส่วนมากเขาก็นอนแยกที่อีกห้องหนึ่งอยู่แล้ว ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดีจนผมรู้สึกวางใจมากจนเกินไป ผมจึงลืมคิดไปว่าถ้าหากแม่จับเรื่องนี้ได้แล้วมันจะร้ายแรงมากเพียงใด
“มึงคิดมากไปรึเปล่าวะ” เสียงของโจปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ ผมเงยหน้าขึ้นไปเห็นเขากำลังมองผมอยู่ด้วยสายตาที่จริงจัง “แม่มึงอาจจะไม่ได้ยินก็ได้นะเว้ย”
ผมไม่ได้ตอบอะไรในทันที แต่กลับก้มหน้าลงไปเหมือนเดิม “.....มึงออกไปอาบน้ำแล้วนอนเหอะ ไอ้โจ”
เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินผ่านตัวของผมแล้วออกจากห้องไป ผมล็อคประตูตามหลังเขาลง และจากนั้นก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยจิตใจที่ว้าวุ่นและเป็นกังวล ใจหนึ่งของผมก็รู้สึกดีที่เขายอมฟังคำพูดของผมและออกจากห้องไปแต่โดยดี แต่อีกใจผมก็กลับรู้สึกว่าอยากให้เขาขัดขืน เถียงกลับ และยืนกรานว่าจะอยู่กับผมต่ออีกสักหน่อยด้วยเหมือนกัน เพราะว่าตอนนี้ผมรู้สึกกังวลไปหมดว่าแม่ของผมจะกำลังคิดอะไรและรู้สึกอย่างไรอยู่ เมื่อผมนึกถึงสายตาและน้ำเสียงที่แม่ใช้กับผมเมื่อครู่แล้วก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้นไปอีก เพราะว่าผมไม่สามารถเดาได้เลยจริงๆว่าน้ำเสียงของแม่ในตอนนั้นมันแฝงความหมายบางอย่างเอาไว้ด้วยหรือไม่
นัทคือคนแรกที่ผมคิดถึงในเวลาที่ผมเป็นแบบนี้ ผมจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาเขาทันที
“ว่างาย จะนอนแล้วเหรอ” คือประโยคแรกที่เขาทักผมหลังจากรับสาย
“เปล่าหรอก.... คือ ก็ไม่เชิงอะ แต่........”
นัทที่จับน้ำเสียงของผมได้เปลี่ยนน้ำเสียงของตัวเองไปทันที “เกิดอะไรขึ้น นนท์ มีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“มันก็ยังไม่ได้เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรอก แต่......” ผมเล่าให้เขาฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อกี๊ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากผมจะเล่าว่าแม่ได้ยินสิ่งที่โจคุยกับผม ผมก็ต้องเล่าว่าโจพูดอะไรกับผมไปบ้างด้วยเหมือนกัน
หลังจากผมเล่าจบ นัทก็เงียบลงไปครู่หนึ่ง ซึ่งก็เป็นปฏิกิริยาที่ผมคิดเอาไว้อยู่แล้ว “.......นัทว่านนท์อย่าเพิ่งคิดมากเลยจริงๆว่ะ ก็อย่างที่ไอ้โจมันบอกอะแหละ จริงๆมันอาจจะไม่มีอะไรหรอก แม่เค้าอาจจะไม่ได้ยินที่ไอ้โจพูดก็ได้”
“แต่สีหน้าและน้ำเสียงที่นนท์ได้ยินเมื่อกี๊อะ นัท”
“ก็นั่นแหละ นนท์บอกว่าพอนนท์เปิดห้องออกมาเจอแม่ แล้วนนท์ก็ตกใจใช่ปะล่ะ นัทว่าบางทีใจนนท์มันอาจจะระแวงไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็ได้ เพราะงั้นนนท์ก็เลยกลัวและคิดไปเองไง ว่าแม่เค้าทำน้ำเสียงไม่ดีหรืออะไรแบบนั้นอะ”
ที่เขาพูดมามันก็มีเหตุผลอยู่เหมือนกัน........
“นนท์ทำให้ใจสบายแล้วนอนเถอะ อย่าเพิ่งคิดมากเลย พรุ่งนี้ถ้ามีท่าทางไม่ดียังไงก็รีบโทรมาหานัท โอเคป่าว”
“อื้ออ โอเค ได้ๆ” ผมรับคำ “และนี่นัททำไรอะ จะนอนแล้วเหรอ”
“อืมม ก็นอนๆคิดถึงนนท์อยู่บนเตียงนี่แหละ”
ผมอมยิ้มให้กับตัวเองเล็กน้อย “ว่าแต่นัทไม่ได้โกรธนนท์เรื่องไอ้โจใช่ปะ”
“ไม่หรอก นนท์ไม่ได้ทำไรผิดนี่ ไอ้โจมันจะคิดยังไงก็เรื่องของมัน ขอแค่นนท์ไม่คิดก็พอแล้ว ใช่ปะล่ะ” เขาตอบ “นัทไว้ใจนนท์อยู่แล้ว”
ที่จริงผมก็รู้ล่ะนะว่าเขาพูดแบบนั้นก็เพราะอยากจะเอาใจผม เนื่องจากเราก็เพิ่งจะทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ไปหยกๆเมื่อตอนเย็นนี้เอง แต่ผมก็ยอมรับล่ะว่าการที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นจริงๆ
หลังจากวางสายจากนัท ผมก็นอนพลิกไปพลิกมาอยู่ครู่ใหญ่ๆจนกระทั่งเคลิ้มหลับลงไป แต่ก็เป็นการหลับแบบไม่เต็มตาสักเท่าไหร่ เพราะในหัวของผมมันก็ยังคงเฝ้าคิดพะวงและกังวลเรื่องของแม่อยู่ดี ผมไม่ได้แค่กลัวว่าแม่จะโกรธและเสียใจ แต่ผมรู้สึกแย่ที่จะเป็นตัวการทำให้แม่ต้องเสียใจอีกมากกว่า
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในกลางดึกและรู้สึกหิวน้ำมาก จึงลุกออกจากเตียงและเดินออกจากห้องโดยพยายามส่งเสียงออกมาให้น้อยที่สุด และก็เป็นอีกครั้ง ที่ผมเห็นแสงไฟลอดออกมาจากห้องพระ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว แต่ผมรู้ดีว่าคนที่อยู่ในนั้นก็คือแม่ของผม และผมยังรู้ด้วยว่าแม่กำลังทำอะไรอยู่ ผมรู้สึกไม่สบายใจขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเริ่มสงสัยว่าแม่จะกำลังร้องไห้อยู่อีกรึเปล่า เหมือนเมื่อตอนครั้งนั้นที่ผมแอบเห็นผ่านทางประตูที่ผิดไม่สนิท ผมจึงค่อยๆเดินย่องไปยังหน้าห้องพระแล้วแนบหูเข้ากับบานประตูเพื่อลองฟังเสียงดู แต่ทว่าผมก็ไม่ได้ยินเสียงสะอื้นหรือเสียงอะไรดังออกมาจากข้างในเลย ดังนั้นผมจึงค่อยๆย่องจากไป ลงไปดื่มน้ำที่ชั้นล่าง และเดินกลับขึ้นมานอนต่อ ซึ่งก่อนที่จะหลับตาลงนั้น ผมก็หยิบนาฬิกามาดูและเห็นว่ามันเพิ่งจะเป็นเวลาตีหนึ่งกว่าเท่านั้นเอง ผมรู้สึกสงสารแม่นะ ที่แม่ยังคงคิดถึงพ่อกิตและรู้สึกโศกเศร้ากับการสูญเสียคนรักคนที่สองไป ผมก็ไม่รู้หรอกว่าแม่มานั่งสวดมนต์ถึงพ่อกิตตอนกลางคืนแบบนี้ทุกคืนรึเปล่า เพราะผมก็แทบจะไม่ค่อยตื่นขึ้นมากลางดึกอยู่แล้วด้วย และผมก็ไม่รู้อีกด้วยว่าแม่รู้รึเปล่าว่าผมเห็นแม่เป็นแบบนี้แทบทุกครั้งที่ผมลุกออกจากห้องมาในตอนกลางคืน แต่ผมรู้ว่ามันคงไม่ใช่สิ่งที่ผมจะคุยกับแม่ได้อย่างแน่นอน
ความคิดเรื่องของแม่กับพ่อกิตทำให้ผมแทบจะลืมเรื่องที่แม่ได้ยินสิ่งที่ผมคุยกับโจไปแทบสนิท แต่เอาจริงๆแล้ว สิ่งที่ทำให้ผมนอนคิดจนลืมนึกถึงเรื่องนั้นกลับไม่ใช่เรื่องพ่อกิตหรอก แต่เป็นพ่อยุทธ พ่อแท้ๆของผมที่ต้องจากไปตั้งแต่ผมยังเล็กเพื่อช่วยชีวิตผมเอาไว้มากกว่า......
การที่นอนคิดถึงเรื่องต่างๆจนดึก ทำให้วันรุ่งขึ้นผมต้องตื่นสายถึงสิบโมงเช้าด้วยเสียงเคาะประตูปลุกจากโจ พอผมงัวเงียลุกออกจากที่นอนมาเปิดประตูห้องให้เขา เขาก็โวยใส่ผมทันที
“มึงล็อคห้องทำไม กูเคยบอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าไม่ให้ล็อคน่ะ”
ผมเดินไปล้มตัวลงนอนคว่ำแล้วเอาหน้าซุกลงบนหมอน “งืมมมมมมม”
“มึงได้ยินกูปะเนี่ย นี่มันสิบโมงแล้วนะเว้ย ยังจะมาขี้เซาอยู่อีก”
“ด้ายยยยินนนน” ผมตะแคงหน้าไปหยีตาใส่เขา “มันนานแล้วนาเว้ยยย”
“อะไรนาน” เขานิ่วหน้า
“ก็ที่มึงบอกไม่ให้กูล็อกห้องง่าาา มึงยังจามได้อีกเหรอวะฮะ... ฮะ..... ฮ้าวววววว.....” ผมอ้าปากหาว
“กูไม่เคยลืมสิ่งที่กูพูดไว้กับมึงหรอก”
“งืมมมมม” ผมหลับตาลงและตะแคงหน้าไปอีกทาง
“ตื่นได้แล้ว!” เขาตีก้นผมดังเพี๊ยะ
“โอ๊ยยยย!!” ผมสะดุ้งโหยงและรีบเอามือมาปิดก้นกันไม่ให้เขาตีซ้ำอีกครั้งทันที “อารายวะ!! มึงจะรีบปลุกกูทำไมเนี่ยยยย เพิ่งจะสิบโมงเช้าเองง่ะะะะ”
“แม่มึงออกจากบ้านไปแล้วนะ”
ผมค่อยๆลุกขึ้นนั่ง “แม่กูเหรอ..... ไปไหนวะ”
“ไม่รู้ ไม่ใช่ธุระของกูนี่”
“แล้วมันเป็นธุระของกูเหรอวะ มึงปลุกกูเพื่อมาบอกแค่เนี๊ยเนี่ยนะ” ผมล้มกลับลงไปนอนอีกครั้ง
“ธุระของมึงคือวันนี้มึงมีธุระกับกู”
“ธุระอะไรของมึงวะ กูงงงง” ผมถามกลับทั้งๆที่ยังไม่ลืมตา
“วันนี้มึงต้องกลับไปที่บ้านกับกู”
“ไปบ้านมึง..... อีกและเหรอวะ ไปทำไรอะ ไปเอาของอีกเหรอ”
“ไปหาแม่กู”
ผมลืมตาและหันไปหาเขา “ไปหาแม่มึง”
“ใช่” เขาพยักหน้า “และไปหาพ่อกูด้วย”