ตอนที่ 18 กลัว
ผมวิ่งตามพวกกลุ่มหมอและพยาบาลที่ช่วยกันเข็นเตียงผู้ป่วยไปยังห้องฉุกเฉินอย่างรีบเร่ง ในใจภาวนาให้คนบนเตียงปลอดภัย แม้จะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...
ตอนเช้า ผมตื่นมาก็เห็นไอ้หมาเมาง่าวเมื่อวานมันนอนหนุนอยู่กับหน้าอกผม หลับตาพริ้มกรนเบาๆหลับไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว สงสัยเมื่อคืนมันคงจะใช้พลังงานกะการฟัด
กับผมไปเยอะเกิน
ผมยิ้มน้อยๆแล้วก็เอามือผมไปลูบหัวมันเบาๆ แต่มันก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่น ผมก็เลยค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากเตียงเพราะไม่อยากกวนมัน
"มึงจาไปหนายวะ..." อืมแต่ก็พลาดจนได้...
"กูว่าจะไปห้องน้ำ"
"งืมมมม" แล้วมันก็พลิกตัวไปมา ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องครัว
ผมล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็ออกมา ไม่เห็นมันผมก็เลยล้มตัวไปนอนกลิ้งเล่นที่เตียงต่อ เมื่อวานแม่งขยับตัวไม่ได้เพราะมีมันนอนทับเนี่ยแหละ
"ไอ้แมวขี้เซา ตื่นๆ" น่าน ไอ้นี่เข้ามาก็เอาตีนมาเขี่ยๆผม
"เออ ไอ้แมวตัวนี้เฝ้าไอ้หมาคออ่อนมาทั้งคืน ขอนอนหน่อยได้มั้ยวะ"
"โห พูดยักกะมึงตื่นตลอดเวลางั้นแหละไอ้ควาย"มันด่า
ก็จริงอะครับ ผมตื่นเกือบทั้งคืน จะหลับๆมันก็ชอบดิ้นไปมาแล้วก็เปลี่ยนท่ากอดผมเรื่อยๆ งี้จะให้หลับยังไงเนี่ย -*-
"ก็หมาไหนไม่รู้แม่งนอนดิ้นตลอดคือน กูจะได้หลับมั้ย"
"หรอ เออ ซวยไป ฮ่าๆๆ"มันหัวเราะผมครับ
แม่งทำคนเขาตาคล้ำแล้วยังไม่สำนึกอีก
"ไม่สำนึกเหรอๆ อย่างงี้ต้องทำโทษ" ว่าแล้วผมก็ดึงมันที่ยืนอยู่ลงมานอนกับผม แล้วพลิกตัวอย่างรวดเร็วพร้อมคร่อมมันแล้วกดบนเตียง
"โอ๊ยๆๆ หายใจไม่ออกไอ้เชี่ย" มันด่าแล้วทุบหลังผม ผมก็หัวเราะปล่อยมันดิ้นขลุกขลักอยู่ด้านล่าง
"หือๆ ดื้อเหรอๆ ไอ้หมาน้อย"ผมว่าแล้วก็แกล้งซุกๆไซร้ๆมันเล่น มันก็หัวเราะไปดิ้นไปด้วย
"ไอ้บ้า กูบ้าจี้ มึงเลิกๆๆๆ"
"ไหน บ้าจี้หรอ บ้าจี้หรอ"ผมก็แกล้งมันหนักขึ้นครับ แถมยังเอามือไปเกาๆหลังคอกับหลังหูมันเล่น คราวนี้มันฮาแตกเลยครับ
"เอ้ยยย ไอ้บ้า ฮ่าๆๆ อย่าโว้ยยย อย่าๆๆๆ"มันโวยวายแล้วดิ้นพราดๆ ผมนี่ฮามันมากเลย ดูไงตอนนี้มันก็เหมือนลูกหมาจริงๆนั่นแหละครับ เกาๆไปก็ดิ้นไป
เสียแต่ว่าแม่งดิ้นแรงชิบหาย ผมนี่พลอยเจ็บตัวไปกับมันด้วยเลย เหอๆ แถมยังเห่าดังไปนิด
"เชี่ยๆ พอ กูเลิกละ แม่งดิ้นทีเครื่องในกูกระเทือน"
"ไอ้ห่า แล้วใครใช้ให้มึงเล่นงี้ละวะ"มันด่า หูมันนี่แดงเชียว
ผมก็หัวเราะกับท่าทางและความแดงของหูมัน มันก็แยกเขี้ยวใส่ส่งเสียงขู่ โอ๊ย อย่าทำได้โปรด ทำแล้วเหมือนหมาน่อย ฮ่าๆๆๆๆ
"พอๆ กูจะไปละแม่ง"
"ไปไหนวะ"
"วันนี้กูนัดดูงานกะไอ้วิทมัน"
"นัดไว้กี่โมง?"
"บ่ายอ่ะ"
"นี่เพิ่งเก้าโมงเองมึงจะรีบไปไหนวะ"
"เอ้อน่ะ ไอ้เชี่ยวิทมันชอบมาก่อนเวลาสองชั่วโมง เดวกูไปฟังมันบ่นอีก รำคาญ ไปละๆ เจอกันเย็นนะเว้ย"
"เออๆ รีบไปๆ เดี๋ยวแม่ด่า ฮ่าๆ"
"ถูกกกกก"
แล้วมันก็รีบไปแต่งตัว แล้วก็ออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
ด้วยความที่ผมว่าง วันนี้ผมจึงว่าจะไปเดินเล่นซักหน่อย พักผ่อนๆ
ผมก็ไปเดินเล่นแถวสยาม เพราะนึกไม่ออกว่าจะไปที่ไหนดี ปกติเวลาแบบนี้ผมมักจะมากับไอ้ธัณมัน แล้วมันจะเป็นคนเลือกสถานที่ไปแทบจะทุกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่า
อะไรเพราะปกติ
เป็นคนที่คิดไม่ค่อยออกว่าจะไปไหนอยู่แล้ว ผมเดินไปเรื่อยๆ ดูของโน่นนี่ จนไปหยุดที่ร้านรองเท้า ผมนึกไปถึงไอ้ธัณมัน สถาพรองเท้ามันนี่ควรจะขว้างทิ้งได้นานแล้ว
แต่ว่ามันก็ยังใส่รองเท้าผ้าใบเน่าๆคู่เดิมอยู่
ผมก็เดินเข้าไปในร้าน ดูรองเท้าไปเรื่อย จนไปสะดุดเข้ากับรองเท้าคู่หนึ่ง
มันเป็นรองเท้าผ้าใบแฟชั่น สีเบจลายสกอตสีครีม ตรงที่ส้นรองเท้าก็มีลายปักเป็นรูปใบเมเปิลอยู่ เชือกรองเท้าสีขาวเหมือนกับยางที่พื้นรองเท้าและส่วนหัวรองเท้า
ผมรู้สึกชอบรองเท้าคู่นี้เป็นพิเศษ ก็เลยถามราคาดู มันก็ไม่ได้แพงเท่าไหร่ประมาณพันกว่าๆ ผมเลยซื้อมันมา
แล้วผมก็ได้เสื้อยืดมาอีกตัว เป็นลายหลุยวิคตอง สวยดี สีเบจกับน้ำตาลอ่อน แล้วก็ไปที่ร้านหนังสือต่อ ผมเดินดูหนังสือไปเรื่อย ทั้งนิตยสาร หนังสือทำอาหาร หนังสือ
ดนตรี ศิลปะ...
ผมกำลังจะหยิบหนังสือสถาปนิกตรงที่วางหนังสือใหม่ ก็เห็นหนังสือเล่มข้างๆพอดี
มันเป็นหนังสือเกี่ยวกับโรคหัวใจและโรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับโรคหัวใจ
ผมเปลี่ยนใจหยิบเล่มนั้นขึ้นมาอ่านแทน
ในนั้นบอกว่า
มีโรคอื่นมากมายที่อาการคล้ายๆกับโรคหัวใจ และอาจจะเป็นโรคที่กลายเป็นโรคแทรกซ้อนได้
อาการที่เกี่ยวกับโรคหัวใจมีหลายอย่างเช่น
-เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน
-หอบ เหนื่อยง่าย
-ใจสั่นบ่อยๆ
-เป็นลม วูบ
แต่มีอันหนึ่งที่สะดุดตาผม มันเขียนอยู่ท้ายเล่ม
"โรคแพนิค"
โรคนี้จะไม่มีสาเหตุจากเชื้อโรคหรือว่าโรคหัวใจ แต่ว่าจะเป็นอาการทางจิตที่พบในคนที่ความเครียดสูง และมักจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องต่างๆเป็นประจำ
อาการก็คือ มักจะเกิดความกลัวขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ และจะเกิดการหายใจกระตุกหรือว่าหายใจไม่ทัน ถ้าเป็นหนักๆอาจจะเกิดการวูบไปได้...
ทำไมพออ่านถึงตรงนี้ผมรู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมานะ?...
แต่ผมก็ไม่ได้อ่านต่อ เพราะว่าพอดีมือถือมันดังขึ้นมาก่อน
ผมหยิบขึ้นมาดู ไอ้วิทนี่
"มีอะไรมึง"
"เชี่ยพา มึงรีบมาที่โรงบาล...เร็ว!!!"
"อะไร เกิดอะไรขึ้น?!"
"ไอ้ธัณมัน..."
ผมไม่ได้ฟังต่อ แต่รีบกดวางแล้วก็วิ่งออกไปจากร้านแทบจะทันที
พอผมไปถึงโรงพยาบาล ผมก็โทรหาไอ้วิทมันอีกที
"วิทๆ มึงอยู่ไหนเนี่ย"
"กูอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน มึงมาเร็วๆ"
ผมก็รีบวิ่งไปที่ห้องฉุกเฉิน ไปถึงก็เห็นไอ้วิทมันเดินวนไปมาหน้าเครียดอยู่หน้าห้อง ผมก็เดินไปหามัน
"เกิดอะไรขึ้น"
"พวกกูกำลังตรวจงานกันอยู่ดีๆ ไอ้เชี่ยธัณมันก็ขอไปห้องน้ำเว้ย"
"แล้วยังไง"
"แล้วมันก็หายไปนานมาก กูก็สงสัยเลยเดินตามไปดู ก็เจอมันนอนกองอยู่ในห้องน้ำนั่นแหละ"
"ไอ้เหี้ยแล้วมึงปล่อยมันไว้นานแค่ไหนวะ!!!"
"กูจะไปรู้กับมันหรอแม่ง ให้กูทำไงวะ กูก็ไม่นึกว่าอยู่ดีๆมันจะไปวูบในห้องน้ำนี่หว่า"ไอ้วิทมันโวยผมกลับ ท่าทางมันก็กังวลไม่น้อย
"เออๆ แล้วมันหายไปนานแค่ไหน"
"เกือบชั่วโมง..."มันตอบเสียงเบา
ผมตกใจกับคำตอบมันมากพอควร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมหันไปดูไอ้ธัณในห้อง มันโดนสวมหน้ากากช่วยหายใจ ข้างๆมีเครื่องวัดระดับการเต้นหัวใจอยู่กับถัง
ออกซิเจน และเครื่องอะไรอีกไม่รู้ ในนั้นมีพยาบาลและหมอวิ่งวุ่นเต็มไปหมด
ซักพักเขาก็เข็นเตียงไอ้ธัณออกมา เหมือนจะพาไปที่ห้องไหนซักห้อง แต่ที่รู้คือเขารีบกันมาก ผมก็วิ่งตามกลุ่มหมอนั่นไปกับไอ้วิทมัน
"หมอครับ นี่จะไปไหนครับ"ผมถามระหว่างวิ่งไป
"อาการคนไข้น่าเป็นห่วงมาก อัตราการเต้นของหัวใจก็ลดต่ำลงมาก ตอนนี้จะไปที่ห้อง...(จำชื่อไม่ได้ครับผม ขอโทษด้วย)เผื่อจะต้องใช้เครื่องชอทไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ
ถ้าเกิดคนไข้หัวใจหยุดเต้น..."
หมอมันพูดอะไรอีกไม่รู้ เป็นศัพท์ทางแพทย์ แต่ที่แน่ๆผมไม่ได้ฟังแล้วครับ
หัวผมว่างเปล่าไปหมด รู้สึกใจหายกับคำว่า หัวใจหยุดเต้น
หลังจากที่ไอ้ธัณเข้าไปในห้องพร้อมคณะหมอและพยาบาลแล้ว ไอ้วิทมันก็ถามผม
"มึงจะกลับก่อน หรือว่าจะอยู่เฝ้าไอ้ธัณมัน"
"มึงจะกลับแล้วหรอ"ผมถาม
"ตอนนี้หมอเขาก็ยังไม่ยอมให้พวกเราเข้าไปเฝ้าข้างในอยู่ดีแหละ กูจะออกไปส่งงานจารย์พร้อมลาไอ้ธัณให้ มึงจะอยู่รอฟังผลก็ได้นะเว้ยแต่ถ้ามีธุระก็ไม่เป็นไร กูบอก
เบอร์โทรหมอไปแล้ว"
"อืมๆ เดี๋ยว กูอยู่เอง มึงไปเหอะ ฝากลาให้กูด้วยละกันกูจะอยู่เฝ้ามัน"
"อืมๆ กูไปละ"
"ขอบใจมาก"
แล้วไอ้วิทมันก็วิ่งไป
ผมทิ้งตัวลงนั่งที่ม้านั่งหน้าห้อง ได้แต่นั่งจ้องหน้าประตูห้องเงียบๆคนเดียว
ผมหวนนึกถึงตอนที่วิ่งเมื่อกี้ ผมเหลือบไปมองหน้าไอ้ธัณที่นอนนิ่ง ไม่ขยับบนเตียง
ใบหน้ามันซีดลงกว่าเดิมมาก ซีดน่ากลัวจนเหมือนศพ...
...ถึงตอนนี้ ผมกลัวเหลือเกิน ว่าเพื่อนผมอาจจะต้องจากผมไปจริงๆ...
to be continue
ไอ้พา กูยังอยู่นี่....ยังไม่เป็นผี มึงไม่ต้องห่วง
ตอนนั้นนี่แอบรู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่างไปชั่วขณะ เหอๆ
แอบกลัวนะว่าจะตายจริง เห็นมันเล่าให้ฟังว่าหมอบอกหัวใจหยุดเต้นไปแป๊บนึง
เสียววววว