บทที่ ๓๔
“โอ๊ย ... ค่อยสบายหน่อย” ภูริทัตสูดหายใจเข้าเต็มปอด นั่งลงไปบนเก้าอี้โซฟายาวในห้องลอบบี้ของโรงแรม
“พูดได้ซะทีนะเอ็ง” รังสรรค์พูดกลั้วหัวเราะ พลางนั่งลงข้างๆภูริทัต
ระหว่างอาหารค่ำมื้อนั้น ภูริทัตกินอาหารเงียบๆไม่พูดคุยกับใครบนโต๊ะอาหารเลย แม้กระทั่งหัวหน้าแผนกที่เข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ แล้วเอ่ยปากถามภูริทัต
“เพื่อนไปไหนล่ะ เห็นเดินเข้ามาด้วยกันนี่”
“กลับไปแล้วน่ะครับ คงมีธุระด่วน” รังสรรค์ตอบแทน เมื่อเห็นว่าภูริทัตเงียบไปนาน
“อ้าวเหรอ คิดว่าจะให้ทัตแนะนำให้รู้จักซักหน่อย น่าเสียดายนะ” หัวหน้าแผนกพูดคุยกับคนบนโต๊ะอยู่อีกครู่หนึ่ง จึงลุกขึ้นเดินจากไป
ปรีชาและรังสรรค์สบตากันแว่บหนึ่ง รู้แล้วว่าอาการ ‘ดื้อเงียบ’ ของภูริทัตเกิดขึ้นแล้ว ตามปรกติอาการแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก นอกจากภูริทัตเกิดอาการไม่พอใจอย่างมาก จนสุดจะทน ดูเหมือนกรกฏจะรู้ตัวในเวลาต่อมา เพราะสียงพูดจ้อยๆ เริ่มเงียบลง คล้ายจะรู้สึกว่าอาการของภูริทัต แพร่เชื้อไปยังเพื่อนรักทั้งสองคน เพราะนอกจากภูริทัตที่ไม่พูดกับตนแล้ว รังสรรค์ก็พลอยเป็นไปด้วย และสักพัก ปรีชาก็ไม่พูดกับเขาด้วยอีกคนหนึ่ง เมื่อรังสรรค์เห็นว่าภูริทัตกินอาหารเรียบร้อยแล้ว จึงแกล้งชวนออกมาจากห้องอาหารเพื่อเข้าห้องน้ำ แต่ทั้งสองคนกลับเดินออกมายังลอบบี้โรงแรม ราวกับนัดกันไว้ล่วงหน้าแล้ว
“รุ่นน้องเอ็งทำไมเป็นแบบนี้วะ น่ารำคาญฉิบ” ภูริทัตพูดอย่างเบื่อหน่าย
“ข้าก็รู้มานานแล้วว่าฤทธิ์เยอะ แต่ไม่นึกว่าจะขนาดนี้ มันก็ช่วยไม่ได้หว่ะ เอ็งเสือกเสน่ห์แรง” รังสรรค์พยายามพูดติดตลก หวังว่าเพื่อนจะอารมณ์ดีขึ้น
ภูริทัตหันไปมองหน้ารังสรรค์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อย่าลำบากใจไปเลยวะ” รังสรรค์ตบไหล่เพื่อน “จำได้รึเปล่า ตอนมาทำงานใหม่ๆคนรุมจีบเอ็งขนาดไหน”
“ไอ้บ้านี่” ภูริทัตปัดมือบนไหล่ออก “คนยิ่งหงุดหงิดอยู่ทำมาเป็นล้อเล่นอยู่ได้”
“เอาน่า ทนๆหน่อย สเตฟานเค้าก็ยังบอกว่าให้อดทนไม่ใช่เหรอไง”
“เอ็งรู้ได้ยังไง” สีหน้าของภูริทัตเปลี่ยนเป็นสงสัย
“เดาเอา” รังสรรค์พูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา “เค้าคงบอกให้เอ็งอดทนเพราะเป็นงานเลี้ยงของบริษัท เอ็งควรจะอยู่ในงาน ส่วนเค้าควรจะออกไป เพราะถ้ายังอยู่ต่อ ไอ้ปูมันคงหาเรื่องไม่หยุด”
“สานฝันบอกกับข้าแบบนั้นจริงๆ” ภูริทัตพูดเบาๆ “ความจริงเค้าก็ไม่อยากมาตั้งแต่ตอนที่ข้าชวนเค้าเมื่อตอนบ่าย แต่ข้าเองแหละที่ตื้อ จนต้องยอมมาด้วย แล้วมันก็เป็นเรื่องจริงๆ”
“สเตฟานเค้าเป็นผู้ใหญ่มากเลยนะ เหมาะที่จะมาดูแลเด็กอย่างเอ็ง ... พูดถึงเด็กแล้ว เมื่อกี้ข้านึกว่าเอ็งจะเดินหนีออกมา เหมือนที่เอ็งเคยหนีออกจากบ้านเมื่อตอนเด็กซะอีก”
“นั่นมันตอนข้าเด็กๆเว๊ย ตอนนี้ข้าโตแล้ว”
“โตแต่ตัวน่ะสิวะ” รังสรรค์หัวเราะร่วน “กลับเข้าไปกันเถอะ ออกมากันนานแล้ว”
พูดจบ รังสรรค์ก็ลุกขึ้น เดินนำภูริทัตพากันกลับเข้าไปในห้องเลี้ยงอาหาร ซึ่งกำลังมีการกล่าวขอบคุณพนักงานของบริษัท ที่ร่วมมือร่วมใจกันทำงานให้กับบริษัท ในช่วง ๑ ปีที่ผ่านมา ภูริทัตนั่งฟังอย่างเงียบๆ แต่ในใจกลับคิดถึงเรื่องเก่าๆในวัยเด็ก ช่วงที่เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้าน โดยมีเพียงเสื้อผ้าเพียงชุดเดียวที่สวมใส่อยู่ กับเงินในกระเป๋าอีกไม่กี่บาท ด้วยสาเหตุเพียงเพราะเขาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
“แค่สเก็ตบอร์ดอันเดียว ทำไมพ่อซื้อให้ผมไม่ได้ แต่ทีเมียใหม่ของพ่ออยากได้อะไร ก็ควักเงินให้เค้าทันที” ตอนนั้นภูริทัตไม่พอใจจริงๆ เพราะพอแม่บังเกิดเกล้าของเขาเสียชีวิตไปได้เพียงปีกว่าๆ พ่อก็แต่งงานใหม่
“แกอย่าคิดอะไรเหลวไหล ชั้นไม่ซื้อให้แก เพราะมันอันตราย แล้วสเก็ตบอร์ดมันต้องเล่นในที่กว้างๆ บ้านเรามีที่อยู่แค่นี้ แกจะเล่นได้ยังไง”
“ผมจะเอาไปเล่นกับเพื่อน” ภูริทัตไม่ยอมแพ้
“แกหมายถึง พวกที่เล่นสเก็ตบอร์ดกันอยู่บนถนนในซอยนี้น่ะเหรอ แกรู้มั๊ยว่ามันอันตรายแค่ไหน”
“ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ถ้ามันอันตรายจริงๆ ป่านนี้ต้องมีคนเจ็บกันบ้างแล้ว ... ตกลงพ่อจะซื้อให้ผมรึเปล่า”
“ไม่ ... ชั้นบอกแกแล้วว่ามันอันตราย ชั้นไม่ซื้อให้”
เด็กชายจ้องมองพ่อด้วยความโมโห เดินเข้าห้องนอน ซึ่งอยู่ด้านหนึ่งของบ้านชั้นเดียว สักพักก็ออกมาด้วยชุดที่เหมือนจะออกไปข้างนอก แล้วเด็กชายออกจากบ้านไป โดยไม่สนใจเสียงเรียกของพ่อ และสายตาที่มองตามหลังด้วยความห่วงใย ของหญิงวัยกลางคนที่เดินมายืนอยู่ข้างๆพ่อของเขา
... แค่ไม่กี่ร้อย หาเงินเองก็ได้วะ ...
นั่นคือสิ่งที่อยู่ในความคิดของเด็กชาย และทำให้คืนนั้นไปนั่งอยู่กับกลุ่มเด็กชายวัยใกล้เคียงกันหลายคน หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เป็นที่รู้กันดีว่า เป็นเหมือนตลาดนัดสำหรับคนชอบสินค้าประเภทนี้ โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ตอนนั้นความรู้สึกตื่นเต้น ความกลัว ความต้องการประชดประชัน ประสมปนเปกัน ความจริงเขาก็ไม่ค่อยอยากได้ของเล่นชิ้นนั้นสักเท่าไร แต่เขาต้องการเอาชนะ ... เอาชนะผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงคนนั้น คนที่ก้าวเข้ามาในครอบครัวของเขา คนที่พ่อของเขาบอกว่าจะมาเป็นแม่ของเขาอีกคนหนึ่ง ทั้งการกระทำ การพูดจา ผู้หญิงคนนั้นทำราวกับเป็นแม่ของเขาจริงๆ แต่เขาคิดว่า มันเป็นเพียงแค่การเสแสร้ง ผู้หญิงคนนี้คงจะมาแกล้งทำดีกับเขา แล้วสุดท้ายก็จะมาพรากความรักของพ่อจากเขาไป เขาเสียแม่ไปคนหนึ่งแล้ว เขาจะไม่ยอมเสียพ่อไปอีกเป็นอันขาด
“เฮ๊ย เหม่ออะไรอยู่ เค้าให้แยกไปพักผ่อนตามสบายแล้ว” เสียงเรียกของปรีชาทำให้ภูริทัตกลับมาสู่โลกปัจจุบัน
ภูริทัตลุกออกจากที่นั่ง เดินตรงไปยังทางออก ผ่านห้องลอบบี้แล้วเดินออกจากตัวอาคารโรงแรม เดินผ่านถนนซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เรียงรายอยู่ทั้งสองฟาก ตรงไปยังอาคารที่พักอีกหลังหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนัก เดินไปได้สักพักก็ต้องหยุดยืนนิ่ง แล้วหันหลังกลับไปมองเจ้าของเสียงฝีเท้าที่เดินตามหลังมา เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็อดขมวดคิ้วถอนหายใจไม่ได้
“ตามมาทำไม” ภูริทัตถามอย่างไม่พอใจ
“ก็อยากรู้ว่าพี่ทัตพักที่ไหน” กรกฎตอบแล้วก็ก้มหน้ามองพื้น
“เลยตามกันมาเป็นพรวนเลยนะ” ภูริทัตเหลือบสายตามองไปยังรังสรรค์กับปรีชา ซึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมา
“ปู กลับห้องพักกันเหอะ” รังสรรค์ชักชวน เมื่อเดินมาถึงตัวกรกฏ
“ไม่ก็ไปนั่งฟังเพลงกันที่ลอบบี้ก็ได้ ถ้ายังไม่อยากกลับห้อง” ปรีชาพูดเสริม
“ปูอยากไปดูห้องที่พี่ทัตพักมากกว่า เห็นพวกพนักงานโรงแรมบอกว่า ห้องพักในอาคารโน้นสวยกว่าห้องพักในอาคารที่พวกเราพัก”
“ปูจะไปกวนพวกเค้าทำไม ทำอย่างนี้ไม่น่ารักเลยนะ” รังสรรค์เริ่มไม่พอใจ
“ก็ใช่น่ะสิ ผมมันไม่น่ารัก ผมมันตัวเล็ก หน้าจืด ไหนจะไปเหมือนฝรั่งผมทองนั่นล่ะ” กรกฏแค่นเสียง
“ที่ว่าน่ะ มันเรื่องที่ปูทำอยู่ตอนนี้ต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาหรอกนะ” รังสรรค์พยายามพูดอย่างใจเย็น
“ทำไมล่ะ ปูแค่อยากไปดูห้องที่เค้าพักอยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง” กรกฏพูดเสียงอ่อย
“มีอะไรกันเหรอครับ” เสียงนุ่มๆที่แทรกขึ้นมา ทำให้ทุกคนหันไปมองทางด้านหลังของภูริทัต
สเตฟานนั่นเองที่ยืนยิ้มอยู่ ทุกคนต่างก็แปลกใจในการปรากฏตัวอย่างกระทันหันของชายหนุ่ม
“คุณมาได้ยังไงเนี่ย” ปรีชาเป็นคนแรกที่เอ่ยถาม
“ก็เดินมาน่ะสิครับ” สเตฟานตอบกลั้วหัวเราะ
“เดินมาจากไหน ถ้ามาจากอาคารนั้น” ปรีชาชี้ไปทางอาคารที่เป็นห้องพักของสเตฟาน “ทำไมพวกเราถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าคุณมาอยู่ตรงนี้ล่ะ”
“อ๋อ” สเตฟานก้มหน้าหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ “ผมเดินเล่นอยู่ตรงนี้พอดีน่ะครับ ในดงไม้นี่ไงครับ” สเตฟานเหลือบตาไปที่หมู่ไม้ริมถนน “แล้วพวกคุณเหมือนจะคุยอะไรกันง่วนอยู่ ตอนผมเดินเข้ามาถึงได้ไม่รู้สึกไงครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก” ภูริทัตเดินเข้าไปโอบไหล่สเตฟาน “เดี๋ยวพวกเค้าก็ไปกันแล้ว พวกเราไปกันเหอะ” พูดแล้วภูริทัตก็ดันตัวสเตฟานให้เดินออกไปจากกลุ่ม แต่สเตฟานไม่ยอมเดินตาม ภูริทัตจึงหันมามองด้วยความสงสัย
“ผมได้ยินแว่วๆ ว่าเพื่อนๆคุณอยากไปเที่ยวที่ห้องพักของพวกเราไม่ใช่หรือครับ” สเตฟานถามกับภูริทัต “ทำไมไม่ชวนเพื่อนๆไปนั่งคุยกันที่ห้องล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” รังสรรค์รีบบอก “พวกคุณกลับไปพักเถอะ พวกเราก็จะกลับห้องเหมือนกัน ไปชา ปู พวกเรากลับห้องกันเหอะ” พูดจบรังสรรค์ก็รีบดึงข้อมือกรกฏให้เดินตามไป ปรีชาหันมายิ้มแล้วโบกมือให้ทั้งสองคน ก่อนจะหันหลังเดินตามรังสรรค์และกรกฏไปอีกคนหนึ่ง
“มานั่งทำอะไรครับเนี่ย” เสียงทักทายดังขึ้น พร้อมกับเจ้าของเสียงนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้าม
รังสรรค์เงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นว่าเป็นทรงเดชนั่นเอง
“เบื่อๆน่ะครับ เลยมานั่งกินกาแฟ แล้วคุณล่ะมาทำอะไรที่ลอบบี้ ไม่อยู่ที่ห้องพัก”
“เบื่อๆเหมือนกันมั๊งครับ” ทรงเดชตอบ พลางกวักมือเรียกพนักงานมาสั่งกาแฟสำหรับตัวเองบ้าง
“เบื่ออะไรล่ะครับ”
“พวกคุณมากับเพื่อนๆ ผมมากับเจ้านาย แต่ตอนนี้เจ้านายผมอยู่กับ” ทรงเดชหยุดพูดแล้วอมยิ้ม “นั่นแหละครับ ผมก็เลยเบื่อๆ”
“ทำไมล่ะ อิจฉาพวกเค้าเหรอ”
“อิจฉาทำไมล่ะครับ” ทรงเดชยิ่งหัวเราะมากขึ้น “ผมน่ะดีใจซะอีกที่คุณท่านมีความสุข ที่เบื่อๆน่ะเพราะมันว่างๆไม่มีอะไรทำมากว่า”
พนักงานนำกาแฟมาเสริฟ ทรงเดชจึงหยิบซองน้ำตาล ฉีกซองออกเทน้ำตาลลงไปในแก้วกาแฟ ตามด้วยครีมเทียม และนมสดเล็กน้อย คนให้เข้ากัน แล้วยกแก้วกาแฟขึ้นจิบเบาๆ
“งั้นไปห้องคุณกันมั๊ยครับ เรามาหาอะไรทำแก้เบื่อกัน” รังสรรค์พูดแล้วก็ยักคิ้วหลิ่วตา
“แค๊กๆๆ” ทรงเดชสำลักกาแฟทันทีทีรังสรรค์พูดจบ
“หรือว่าคุณจะไม่ได้ชอบเหมือนที่ผมชอบ” รังสรรค์แกล้งถามยิ้มๆ ทั้งๆที่เขาก็พอจะรู้คำตอบ
“คุณอย่าล้อผมเล่นแบบนี้นะครับ หัวใจผมจะวายตาย” ทรงเดชวางแก้วกาแฟลง แล้วหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดกาแฟที่หกเลอะตามมุมปาก “ผมน่ะผู้ชายปรกติคร๊าบ ชอบผู้หญิง ไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยกัน แล้วคุณจะไปห้องผมทำไม ห้องคุณมีคุณก็กลับไปสิ”
“พอดีเพื่อนผมมันขอไว้น่ะ มันจะเผด็จศึก” รังสรรค์ทำหน้ากวนๆใส่คนตรงข้าม “เอาน่า คืนนี้ขอผมนอนที่ห้องด้วยคนแล้วกัน เพราะผมยังไม่รู้จะไปนอนที่ไหนเลย”
“คุณจะอันตรายเกินไปหรือเปล่า” ทรงเดชพูดพลางมองอย่างไม่ไว้วางใจ
“ฮ่าๆๆ คุณนี่ ผมน่ะไม่ปล้ำคุณหรอกถ้าคุณไม่ยอมน่ะ”
“โห ยิ่งพูดอย่างนี้อย่าไปห้องผมเลยครับ” ทางเดชทำท่าขนพองสยองเกล้า ทำเอารังสรรค์อมยิ้มด้วยความขบขัน “เดี่ยวผมเปิดอีกห้องให้คุณแล้วกัน”
“เปลือง” รังสรรค์แย้ง “เอาน่า ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก ขอผมไปอาศัยนอนด้วยคนนะ”
“ไม่จริงๆนะ” ทรงเดชมองหน้ารังสรรค์อย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“สัญญาด้วยเกียรติ” รังสรรค์ชูมือขึ้น กางนิ้วชี้กับนิ้วกลางออกเป็นตัววี
“เกียรติของอะไร” สีหน้าของทรงเดชแสดงว่าเริ่มไว้ใจขึ้นบ้าง
“เกรียติของอะไรดี” รังสรรค์เปลี่ยนเอามือมาลูบคางเบาๆ “เกียรติของเพื่อนคนรักของเจ้านายคุณแล้วกัน”
“ฮ่าๆๆ ... ผมจะลองเชื่อดูแล้วกัน” ทรงเดชพูดพลางยกแก้วกาแฟขึ้นจิบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ