บทที่ ๓
…โซ ยัง เธอยังเด็ก สำหรับคนไทย เธอเด็กเหลือเกินที่ทำแบบนี้ …
…โซ ยัง ยังเด็กเหลือเกิน ...
เด็กชายงัวเงียตื่นขึ้นมากลางดึก รู้สึกว่าหมอนข้างที่นอนกอดอยู่ ทำไมวันนี้ขนาดของมันดูจะใหญ่โตผิดปรกติ จนเขาสามารถนอนหนุนแทนหมอนธรรมดาได้ แล้วยังนุ่มนิ่มและอบอุ่นเหลือเกิน เด็กชายพลิกตัวเปลี่ยนท่าจากนอนตะแคง เป็นนอนหงายทั้งๆที่ศรีษะยังหนุน ‘หมอนข้าง’ ใบนั้นอยู่ แล้วก็ต้องรู้สึกเย็นบริเวณหน้าอก จึงควานหาผ้าห่ม ทันทีก็เหมือนมีคนเลื่อนผ้าห่มมาคลุมแผ่นอกเขาไว้ แล้วเหมือนมีมือนิ่มลูบเบาๆที่หัวไหล่ ลมอุ่นๆแผ่วเบากระทบกับเส้นผมบนศรีษะ
“เด็กน้อย หลับเถอะนะ”
เสียงแผ่วเบาเหมือนกระซิบ เด็กชายรู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน เอื้อมมือไปดึงมือบนไหล่ให้มาโอบกอดตนเองไว้ด้วยความลืมตัว พลางจับมือนั้นไว้แน่น แล้วก็ผลอยหลับไปอีกครั้ง ก่อนที่เด็กชายจะหลับนั้นก็รู้สึกได้ว่ามีลมอุ่นๆและความชื้นของริมฝีปากใครบางคน มาสัมผัสอย่างแผ่วเบานุ่มนวลที่แก้มของตน
กริ๊งงงงงงงงงงงง ...
เสียงนาฬิกาปลุกที่อยู่ตรงหัวเตียงดังขึ้น ภูริทัตเอื้อมมือไปกดปุ่มปิดเสียงปลุกนั้นตามความเคยชิน แล้วลุกขึ้นนั่งสลัดศรีษะให้หายงัวเงีย คิดถึงความฝันเมื่อคืน ก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ ความฝันที่เขาฝันถึงบ่อยๆ บางครั้งยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ฝ่ามือและแก้มเมื่อยามตื่นขึ้นมา แล้ววูบหนึ่งก็คิดถึงใบหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้มบางๆ และดวงตาสีเขียวมรกต ก็ต้องยิ้มกว้าง ส่ายศรีษะเบาๆอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำ ทำกิจวัตรประจำวัน เพื่อเตรียมตัวจะออกไปทำงานตามปรกติ
ชายหนุ่ม ๓ คน ที่นั่งอยู่บนโต๊ะในร้านอาหาร เคยเป็นจุดสนใจของสาวๆหลายคนในบริษัท ด้วยรูปร่างหน้าตาที่จัดว่าดีไปคนละแบบ และบุคลิกที่ชวนมองต่างกัน พอเวลาผ่านไปก็เริ่มกลายเป็นจุดสนใจน้อยลง โดยเฉพาะเมื่อทั้ง ๓ ต่างเปิดเผยโดยท่าทีว่า มีความสนใจในเพศเดียวกันมากกว่าเพศตรงข้าม ทำให้สาวๆคนเกิดอาการ ‘อกหัก’ กันไปหลายคน แต่ในทางตรงข้ามบุรุษที่นิยมชมชอบในบุรุษด้วยกัน ก็ ‘สมหวัง’ กับสองในสามหนุ่มไปไม่น้อย ถึงแม้จะเป็นความสัมพันธ์ในระยะสั้นๆ หรือบางคนเป็นเพียงความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนเท่านั้น มีเพียง ภูริทัต เท่านั้น ที่ยังไม่เคยทำให้ใคร ‘สมหวัง’
“เอ็งก็ทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้ ไม่ตกลงปลงใจกับมันไปซะที” รังสรรค์พูดถึงหนุ่มรุ่นน้องที่ทำงานอยู่ในแผนกเดียวกัน
“เห็นใจมัน ก็รวบซะเองสิ” ภูริทัตพูดแล้วหันไปสั่งเครื่องดื่ม
“ถ้ามันสนใจข้านะ เอ็งก็รู้ข้าไม่เคยฝืนใจใคร” รังสรรค์ตอบกลั้วหัวเราะ
“ส่งมาให้เราก็ได้” ปรีชาพูดพลางนึกถึงชายหนุ่มร่างบาง ใบหน้ากลมๆ คิ้วบางดวงตาเล็กๆ และผิวขาวละเอียดของชายหนุ่มที่ชื่อกรกฎ หรือที่เพื่อนๆเรียกกันว่าปู
“อยากได้ก็คั่วเองดิ๊วะ” รังสรรค์พูดแล้วก็หันไปรับจานอาหารจากพนักงานที่ยกมาเสริฟให้
“ได้เลย คอยดูฝีมือเรานะ” ปรีชาพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย เพราะมองเห็นชายหนุ่มคนที่พวกตนกำลังพูดถึง เดินเข้ามาในร้านอาหารพอดี “ปู ทางนี้” ส่งเสียงพร้อมกับโบกมือเรียก
ชายหนุ่มร่างบาง ในชุดทำงานโทนสีหวาน กางเกงสีน้ำตาลเข้ม เสื้อสีชมพูอ่อน เนคไทสีม่วงเข้ม ยิ้มกว้างแล้วเดินตรงเข้าไปหาคนทั้งสาม
“นั่งด้วยกันสิ” รังสรรค์ชวน ในขณะที่ภูริทัตหันไปรับจานอาหารและแก้วเครื่องดื่มจากพนักงาน
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ว่างที่อยู่ตรงข้ามกับภูริทัต ดวงตาจับจ้องคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่วางตา ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเริ่มรับประทานอาหาร โดยไม่ให้ความสนใจเขาเลย ความรู้สึกน้อยใจแสดงผ่านออกมาทางดวงตาเรียวเล็กอย่างปิดไม่มิด
“จะไม่ทักน้องมันหน่อยเหรอวะ ห่วงแต่กินอยู่ได้” รังสรรค์พูดพลางตบไหล่ภูริทัตเบาๆ
“หิวนี่หว่า เจอกันแทบทุกวันอยู่แล้ว วันละตั้งหลายรอบ ทักไม่ทักไม่ต่างกันหรอก” ภูริทัตพูดอย่างไม่ค่อยสนใจนัก
ปรีชาและรังสรรค์หัวเราะกับท่าทางของเพื่อน แล้วกันไปชวนกรกฎที่สั่งอาหารและเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว คุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยๆระหว่างรับประทานอาหารมื้อนั้น
“เห็นพวกพี่ๆชอบฟังเพลงกัน พอดีผมมีตั๋วคอนเสริทที่ศูนย์วัฒนธรรมคืนพรุ่งนี้ ไปดูด้วยกันมั๊ยครับ” กรกฎพูดขึ้นมาในระหว่างสนทนา
“คอนเสริทอะไร” ภูริทัตแสดงความสนใจขึ้นมา ทำให้กรกฎเริ่มยิ้มกว้าง และบอกชื่อวงออเครสตราที่มีชื่อเสียงวงหนึ่งออกมา “ก็น่าสนใจนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันดีกว่า”
แล้วคืนวันต่อมาซึ่งเป็นคืนวันพุธ ทั้งสี่คนก็นั่งอยู่ภายในหอประชุมใหญ่ศูนย์วัฒนธรรม ดื่มด่ำกับเสียงเพลงตั้งแต่เริ่มรายการไปจนถึงช่วงพัก จึงออกมายืนคุยกันอยู่ที่ห้องลอบบี้ของหอประชุม
“นี่ดูฝรั่งคนนั้นสิพี่ ชุดเท่ห์น่าดู” กรกฎชี้ไปที่ชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ยืนห่างออกไปอีกมุมหนึ่ง
ทั้งสามคนมองตามไป ก็เห็นชายหนุ่มต่างชาติอยู่ในชุดสูทเทียมคอปกตั้งแบบคอจีน เนื้อผ้าเป็นกำมะหยี่ สะท้อนแสงไฟจนดูวาววับสะดุดตา สีของเนื้อผ้าบางทีก็ดูดำขลับ แต่บางทีก็เหมือนจะเป็นสีน้ำเงินเข้ม แต่บางครั้งกลับทอประกายเขียวขาบออกมาเป็นบางจุด แต่ก็ยังไม่เด่นเท่าใบหน้ารูปไข่ คิ้วสีทองอ่อนๆ รับกับสีของเส้นผมที่ยาวระต้นคอ จมูกโด่งจนเป็นสัน ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ผิวแก้มเปล่งสีชมพูจางๆ และดวงตาสีเขียวเป็นประกายวาววับ
“สานฝัน” ภูริทัตเอ่ยชื่อของชาวต่างชาติคนนั้นออกมาเบาๆ ใบหน้าแสดงความยินดีจนเพื่อนๆสังเกตุได้
ก่อนที่ชายหนุ่มจะก้าวเดินไปหา สเตฟานหรือสานฝันก็หันตัวเดินเข้าประตูห้องประชุมไป เพราะมีเสียงประกาศว่าการแสดงในครึ่งหลังกำลังจะเริ่มขึ้น
“มองหาใครวะ” รังสรรค์ถามภูริทัตที่จ้องมองไปรอบๆห้องลอบบี้ ตั้งแต่เดินออกมาจากห้องประชุมเมื่อการแสดงจบลง เมื่อเวลาประมาณสี่ทุ่ม
“มองหาคนชื่อสานฝันเหรอพี่” กรกฎพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก แต่ภูริทัตก็ไม่สนใจ
“ใครวะ สานฝัน” ปรีชาเดินไปแตะไหล่ภูริทัต “แอบไปจีบสาวที่ไหนไว้เหรอไง” เขายังพูดแหย่เพื่อนต่อไปอีก
ภูริทัตไม่ตอบ แต่ยังสอดส่ายสายตาไปทั่ว รังสรรค์มองดูเพื่อนแล้วหัวเราะในลำคอเบาๆ พลางหันไปชวนกรกฎเพื่อนรุ่นน้อง คุยถึงการแสดงที่เพิ่งจะจบไป ปรีชาเองก็ร่วมวงคุยด้วย พร้อมๆกับพากันเดินออกจากหอประชุมไปยังลานจอดรถ
กลางฤดูหนาวปลายเดือนธันวาคม ช่วงกลางคืนเช่นนี้บางครั้งก็มีลมเย็นพัดอ่อนๆ แต่กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพัดไหว ราวกับโดนลมแรงโชยพัดใส่ จนภูริทัตรู้สึกได้ สายตามองไล่จากยอดไม้ต่ำลงมา ยังโคนต้น เรือนร่างสูงเพรียว เรือนผมสีทองยาวระต้นคอ แม้เห็นเพียงด้านหลังเขาก็จำได้ทันที โดยไม่รอช้า ภูริทัตก้าวเท้าเดินออกจากกลุ่มเพื่อน ตรงเข้าไปหาชายชาวต่างชาติผู้นั้นทันที
“สานฝัน” ภูริทัตเรียกเบาๆ
“ภูริทัต” สเตฟานเอ่ยชื่อชายหนุ่ม เมื่อหันมาเห็นว่าเป็นใคร “เราพบกันอีกแล้ว”
“ผมดีใจที่ได้พบคุณอีก” ภูริทัตยิ้มกว้าง ใบหน้าที่คมคายอยู่แล้ว ยิ่งชวนมอง
“ใครน่ะครับพี่” กรกฎ ที่เดินตามมาพร้อมกับรังสรรค์และปรีชา แล้วมาหยุดยืนอยู่ด้านข้างของภูริทัต ถามขึ้น
“ผมสเตฟานครับ เคยพบคุณภูริทัตมาหลาย ครั้งแล้ว”
ภูริทัตขมวดคิ้ว พลางคิดว่าเขาเพิ่งจะได้เจอกับสเตฟาน หรือสานฝันแบบ ‘จังๆ’ เพียงแค่ ๒ ครั้งเท่านั้น แต่เอาเถอะ มากกว่า ๑ ครั้ง ก็นับเป็นหลายครั้งได้เหมือนกัน
“คุณสเตฟาน ที่เล่นเปียนโนที่โรงแรม *** รึเปล่า ที่เราไปนั่งเล่นกันเมื่อสองสัปดาห์ก่อนไง ใช่มั๊ยวะชา” รังสรรค์หันไปถามปรีชา
“คงใช่มั้ง มิน่าดูคุ้นๆ” ปรีชานึกออกทันที ความจริงเขาไม่น่าลืมได้เลย ชายหนุ่มชาวต่างชาติหน้าตาท่าทางดูอ่อนโยน สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากสีชมพูอ่อน บนผิวหน้าขาวๆนั้นอย่างไม่วางตา
“ผมรังสรรค์ครับ นี่ปรีชา แล้วนี่กรกฎ พวกเราทำงานที่เดียวกับนายทัต” รังสรรค์แนะนำตัว แล้วชี้ไปที่เพื่อนๆทีละคน
“เดี๋ยวคุณจะกลับยังไงครับ” ภูริทัตถามขึ้น
“เดี๋ยวอีกสักครู่ คนขับรถของผมจะเอารถมารับ” สเตฟานตอบยิ้มๆ เพราะรู้สึกขบขันกับท่าทางไม่พอใจของกรกฎ และท่าทางที่จ้องมองเขาอย่างสนอกสนใจเต็มที่ของปรีชา ผิดกับท่าทางที่ดูเฉยๆของรังสรรค์ แต่แววตาลอบสำรวจเขาไปทั่วร่าง
“เหรอครับ” ภูริทัตพูดอย่างผิดหวัง
“คุณพักที่ไหนเหรอครับ” ปรีชาถามอย่างด้วยความสนใจ
“นั่นสิ แล้วคุณเล่นเปียนโนที่โรงแรมวันไหนบ้างครับ นอกจากวันศุกร์” ภูริทัตถามแทรกขึ้นมา ก่อนที่ปรีชาจะได้รับคำตอบ
“คนที่เล่นเปียนโนประจำอยู่ลาออกกระทันหันไปคนนึง ผมคงต้องทำหน้าที่แทนจนกว่าจะหาคนใหม่มาได้ ช่วงนี้ผมเล่นเปียนโนคืนวันจันทร์ อังคาร กับวันศุกร์” สเตฟานตอบคำถามของภูริทัตก่อน แล้วหันไปยิ้มให้กับปรีชา “ผมพักอยู่ที่โรงแรมนั้นแหละครับ”
“ถ้าอย่างนั้น ว่างๆผมไปหาคุณสเตฟานที่โรงแรมได้ใช่มั๊ยครับ” ปรีชาถามด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ถ้าไปฟังเปียนโนล่ะก็ เชิญได้ทุกเมื่อครับ” สเตฟานตอบ แล้วหันไปมองทางประตูทางออกเล็กๆ ที่เป็นทางออกไปสู่ลานจอดรถ “รู้สึกว่ารถของผมจะมาแล้ว ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ เอาไว้พบกันโอกาสหน้า” พูดแล้วก็ยิ้มให้กับทุกคน แล้วเดินตรงไปยังประตูทางออก
ชายหนุ่มทั้งสี่มองตามหลังชายหนุ่มต่างชาติไป ก็เห็นเขาเดินออกไปขี้นรถยุโรปคันใหญ่สีดำ ติดฟิล์มกรองแสงสีทึบ มองดูรถคันนั้นแล่นออกไปจนลับสายตา
“สงสัยจะรถของทางโรงแรม เค้าเล่นเปียนโนด้วยเหรอพี่” กรกฎพูดขึ้นมาระหว่างที่เดินไปยังลานจอดรถ คิดว่าเป็นการชวนภูริทัตคุย
“ใช่” ภูริทัตตอบสั้นๆ
“ท่าทางเทห์ดีเน๊อะ สูงกำลังดีเลย ซัก๑๗๕ได้มั๊ย” ปรีชาพูดพลางคิดถึงส่วนสูงของตัวเองที่สูงราวๆ ๑๗๓
“น่าจะได้ พอฟัดพอเหวี่ยงกับเอ็งนั่นแหละ ดูๆก็น่าคั่วนะเว๊ย ผิวพรรณดีเชียว สะอาดสะอ้าน ดูปากดิ๊ สีชมพู .... น่าจูบ”รังสรรค์พูดกลั้วหัวเราะ
“นั่นดิ๊วะ ได้มานะจะจูบให้หนำใจ” ปรีชาพูดพลางหลับตาทำปากจู๋ จูบกับอากาศ
“ผมไม่เห็นจะชอบเลย ฝรั่งที่ดูท่าทางนิ่มๆอย่างนั้น ผมชอบคนที่ดูแมนๆมากกว่า” กรกฎพูดพลางเปิดประตูรถทางด้านหลังอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เพราะภูริทัตเปิดประตูรถด้านหน้า ขี้นไปนั่งคู่กับรังสรรค์ซึ่งเป็นเจ้าของรถ
“สเปคนายน่ะ คงต้องสูงซัก ๑๘๐ ตัวเพรียวๆ กล้ามนิดหน่อยพองาม จมูกโด่งนิดๆ ท่าทางเข้มแข็ง อย่างไอ้ตัวหน้ากระจกตัวนี้ใช่มั๊ย” รังสรรค์พูดพลางพยักเพยิดไปที่ภูริทัต มือก็สอดกุญแจเพื่อนสตาร์ตรถ
“แหมพี่ พูดขนาดนั้นผมก็แย่สิ” หากในรถสว่างกว่านี้ คงเห็นใบหน้าของกรกฎเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ
“แย่อะไรกัน ของอย่างนี้ ชอบก็ต้องบอกว่าชอบด็ จริงมั๊ยวะทัต” ปรีชาพูดแล้วชะโงกหน้าไปถามคนที่นั่งทางด้านหน้า
“ไม่รู้เว๊ย” ภูริทัตตอบกึ่งรำคาญ แต่ก็ทำให้ปรีชาและรังสรรค์หัวเราะเสียงดัง เพราะคิดว่าเพื่อนอาย
แล้วรังสรรค์ก็ขับรถไปส่งปรีชาก่อน แล้วตามด้วยการไปส่งกรกฎ ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะบอกให้ไปส่งภูริทัตซึ่งอยู่ไกลกว่าก่อน เพราะมีความคิดที่จะทำอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แต่เหตุผลที่ว่าต้องเสียเวลาในการย้อนกลับมาส่งอีกครั้ง จึงต้องจำยอมให้รังสรรค์ไปส่งตนเอง อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรก แล้วจึงไปส่งภูริทัตเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะขับรถกลับสู่บ้านของตนเอง ซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ในเวลาห้าทุ่มเศษๆ