My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk  (อ่าน 172155 ครั้ง)

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่3 4/1/09
«ตอบ #30 เมื่อ04-01-2009 22:23:35 »

อ่านซะตาลายเลยค่ะ พี่แอน
ชอบเดียร์นะ เดะอะไรมะรู้น่ารักจริงๆ

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่4 5/1/09
«ตอบ #31 เมื่อ05-01-2009 14:06:44 »

 :z13: จิ้มจิ้ม

บทที่ 4

หลายวันมานี้ ผมหมกตัวอยู่กับเรื่องงาน เพื่อให้ลืมความขุ่นมัวต่างๆที่เกิดขึ้นในใจ มาทำงานแต่เช้า และกลับบ้านดึกมาก บางวันก็ไม่ลงไปทานข้าวข้างล่าง แต่จะสั่งให้เลขาซื้อมาให้ทานข้างบน เจ้าสันต์ชวนไปไหน ผมก็ไม่ได้ไป จนมันบ่นน้อยใจว่าผมทำตัวห่างเหินกับมัน ศักดิ์ชายยังคงมาป้วนเปี้ยนกับผมเหมือนเดิม แถมซ้ำทำตัววุ่นวายกับผมมากมาย ทั้งที่มันไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน จนผมรู้สึกเซ็งมาก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผมยอมรับว่าตอนที่เราเรียนอยู่ด้วยกัน มันดูแลเอาใจใส่ผมดีมาก จนผมคิดว่ามันเป็นเพื่อนที่ดีของผมคนหนึ่ง แต่หลังจากที่แยกจากกัน จนกระทั่งได้มาเจอกันอีกครั้งที่บริษัทนี้ เราก็ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกันเท่าไหร่
ผมสังเกตว่า ศักดิ์ชาย เริ่มเข้ามายุ่งเกี่ยวกับผมมากเกินควรตั้งแต่ตอนที่มันได้เจอเดียร์ครั้งแรก เหมือนกับว่ามันไม่พอใจที่เดียร์มาสนิทสนมกับผม มันคอยแต่จะถามไถ่อยู่ตลอดเวลา ว่าผมไปไหน ไปกับเดียร์หรือเปล่า เดียร์เป็นใคร รู้จักกันได้ไง ญาติโกโหติกาอยู่ที่ไหน ทำไมถึงได้ดูสนิทสนมเข้านอกออกในบ้านผม จนเกินกว่าคนรู้จักธรรมดา ผมขี้เกียจตอบคำถามพวกนั้น มันก็ทำเป็นน้อยอกน้อยใจผม แล้วก็พร่ำบอกว่า มันเป็นห่วง กลัวว่าเดียร์จะเป็นคนไม่ดี กลัวว่าเขาคิดหวังอะไรจากผมจึงมาสนิทด้วย พอผมถามมันว่ามันรู้หรือว่าเดียร์หวังอะไร ในเมื่อผมไม่ใช่คนร่ำรวยมีสมบัติพัสถานมากมาย มันก็อ้ำอึ้งไม่ยอมตอบ
ในช่วงที่ผมกำลังวุ่นวายกับเรื่องงานและเรื่องคน เดียร์กลับเงียบหายไปอีกแล้ว เขาไม่ได้โทรมาหาผม แต่ก็ยังคงส่งอาหารกลางวันมาให้ โดยไม่มีการคิดเงินเหมือนเดิม เลขาของผมต้องเอาเงินมาคืนผมทุกครั้ง จนผมต้องบอกให้เลขาไปซื้อข้าวร้านอื่น เพราะผมรู้สึกเกรงใจ ไม่อยากให้เขาลำบากและเดือดร้อนเรื่องเงินอีก
ผมไม่รู้ว่าเดียร์เงียบหายไปเพราะสะเทือนใจที่ผมไล่เขาไปวันนั้นหรือเปล่า เวลาที่เขาไม่โทรมา หรือมาหา มันทำให้ผมรู้สึกอ้างว้างเปลี่ยวเหงา ถึงแม้ว่าการหายไปจะไม่ใช่เป็นครั้งแรก แต่ผมก็รู้สึกแย่อยู่ดี จิตใจของผมมันคอยแต่จะนึกถึงเขาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งไม่เห็นหน้าหรือได้ยินเสียง ผมก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก
แต่ถึงกระนั้น ผมก็เลี่ยงที่จะไปพบกับเดียร์ที่ร้านอาหารบ้านคุณป้า นึกเคืองเขาที่หายไป เลยทำให้ผมไม่อยากไปให้ความใส่ใจกับเขา เด็กนั่นจะอยู่อย่างไร จะดีหรือร้าย ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผม เขาก็อยู่ส่วนเขา และผมก็อยู่ส่วนผม เราไม่ควรที่จะมายุ่งเกี่ยวกัน
พอถึงวันศุกร์ ในขณะที่ผมอยู่คนเดียวในห้อง กำลังง่วนอยู่กับงานตรงหน้าที่พิจารณาอย่างติดพันจนทำให้ยังไม่มีเวลาลงไปทานข้าว เลขามาถามผมว่าต้องการทานอะไรหรือเปล่า แต่ผมกินอะไรไม่ลง รู้สึกเบื่ออาหาร เบื่อทุกอย่างไปหมด จึงบอกกับจุ๋มว่า ผมยังไม่อยากทานอะไร เดี๋ยวถ้าหิวผมจะหาเวลาลงไปทานเอง แล้วผมก็หันมาง่วนกับงานต่อ
จนกระทั่งเกือบบ่ายโมง ก็มีโทรศัพท์จากยามหน้าประตูโทรเข้ามา บอกว่ามีคนจากร้านอาหารเอาของมาส่งให้ผม ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัยว่าใครกันนะที่มาหา คงไม่ใช่เจ้าแซ่บหรอก เพราะเวลานี้เจ้าสันต์คงจะยังอยู่ที่ร้าน และคงไม่ปล่อยให้แซ่บคลาดสายตาเป็นแน่ อาจจะเป็นคนในร้านคนใดคนหนึ่งที่เดียร์ฝากให้เอากับข้าวมาให้ผมก็ได้
สิ่งที่ยามพูด ไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจเลยแม้แต่น้อยเพราะเดียร์เคยฝากอาหารมากับพนักงานในร้าน เพื่อนำมาให้ผมออกบ่อย เวลาที่ผมไม่ลงไปกินข้าวที่ร้านแล้วก็ไม่ได้ไปกินข้าวที่ไหนด้วย เดียร์น่ารักตรงนี้ ตรงที่คอยดูแลเอาใจใส่ผมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเรื่องอาหารการกิน เรื่องในบ้าน เขาคอยเป็นธุระให้ จนผมเริ่มจะชินกับการที่เขาทำทุกอย่างให้
ผมเดินออกไปข้างนอกเพื่อรับของที่คนมาส่งด้วยตนเอง ไม่อยากใช้ใครให้มันดูเป็นที่เอิกเกริก พอเดินไปข้างนอก ก็เห็นคนส่งของมารออยู่ก่อนแล้ว พร้อมด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้าอย่างที่คุ้นเคย หัวใจผมกระตุกวูบ มือไม้อ่อนแรง เมื่อเห็นเจ้าเด็กบ้านั่น ยืนอยู่ตรงหน้า ในมือถือถุงใส่อาหารกล่อง กับข้าวถุงมาให้ผม สีสันดูน่าทาน
อุตส่าห์ไม่พยายามจะคิดอะไรแล้วเชียวนะ หายไปเสียได้ ก็ดี ยังกลับมาโผล่ให้เห็นจนได้ การมาปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเขา ทำให้ผมเตรียมตัวเตรียมใจไม่ทัน เผลอแสดงอาการดีใจออกไปแว่บหนึ่ง เลยต้องรีบทำเป็นหน้าบึ้งตึงใส่
“มาทำไม”
ผมถามคำถามปัญญาอ่อนออกไป รู้ทั้งรู้ว่าเดียร์มาส่งอาหารกล่องให้ แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขาดี เด็กหนุ่มไม่มีทีท่าสนใจคำพูดของผม เขากลับยิ้มหวานให้
“เห็นว่าเรียวไม่ลงไปทานข้าวที่ร้านมาหลายวันแล้ว แถมซ้ำยังไม่ได้ไปสั่งอาหารที่ร้านด้วย คิดว่าเรียวคงทำงานจนเพลิน ไม่มีเวลาลงไปทานข้าวข้างล่าง ผมเป็นห่วงก็เลย ทำอาหารไว้ให้ แล้วเอาขึ้นมาให้ด้วยตัวเองอ่ะครับ”
เด็กหนุ่มยื่นถุงใส่อาหารในมือมาตรงหน้าผม แต่ผมกลับมองเฉยๆ เดียร์หยุดรอ พลางส่งสายตาวิงวอนมายังผม เหมือนต้องการให้ผมรับของที่เขาทำให้ไปจากมือ และยกโทษให้กับเขาในสาเหตุอะไรก็ตามที่ทำให้ผมไม่พอใจเขาอยู่
“วันนี้มีเมนูอร่อยๆมาฝากอ่ะครับ ผมทำสุดฝีมือเลยนะ คิดว่าเรียวคงชอบแน่ๆเลย เป็นข้าวผัดทะเลผงกะหรี่ แล้วก็มีแกงจืดด้วยนะครับ กับผัดยอดมะระด้วยอ่ะ เรียวคงหิวแล้ว ทานเลยไหมครับ ตอนนี้กำลังอุ่นๆอยู่ ปล่อยไว้นานจะชืดเสียหมดนะ”
เดียร์เชิญชวนผม ใบหน้ายิ้มละไม ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นแล้วถอนหายใจ นี่ผมเป็นอะไรไป เด็กหนุ่มตรงหน้าทำอะไรผิดเหรอ ผมถึงได้ทำท่าปั่นปึ่งกับเขาแบบนี้ ทั้งที่เขาพยายามทำดีกับผมทุกอย่าง แต่ผมกลับเห็นเขาเป็นที่ระบายอารมณ์ ผมนี่ นิสัยไม่ดีเอาจริงๆเลย
ในที่สุดผมก็ยื่นมือออกไปรับถุงใส่อาหารจากเขา พลางกล่าวขอบคุณ แต่ก็ไม่วายพูดจาเย็นชาใส่เขาทำนองว่า เขาไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้หรอก ผมไม่ปลื้มในสิ่งที่เขาทำเลยสักนิด
เดียร์มีสีหน้าหมองลง แต่เพียงชั่วครู่ใบหน้าหล่อเหล่านั้นก็กลับร่าเริงขึ้นมาอีกครั้ง เขายิ้มให้ผม แล้วบอกว่า เขายินดีทำสิ่งนี้ มันไม่เหลือบ่ากว่าแรงของเขาอยู่แล้ว อะไรที่ผมพึงพอใจเขายินดีทำให้ทำให้ เพราะเขาตั้งใจไว้แล้ว ว่าเขาจะทำให้ผมมีความสุข ผมถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ พยายามตั้งสติให้มั่นเพื่อก่อกำแพงในใจให้สูงขึ้นไปอีก
“แล้วมาอย่างนี้ ทางร้านไม่ว่าเอาเหรอ แล้วใครทำกับข้าวให้เขาล่ะ ทำแบบนี้บ่อยๆไม่ดีนะเดียร์ เขาจะว่าเอาได้ แล้วฉันก็ไม่ชอบด้วย ถ้านายจะมีปัญหาในเรื่องงานเพราะฉัน”
อดไม่ได้ที่จะถามเขาด้วยความรู้สึกเป็นห่วง เพราะนึกขึ้นมาได้ ว่าช่วงนี้ เป็นช่วงที่ยุ่งที่สุดของร้านในตอนกลางวัน แต่เขากลับหนีงานจากทางโน้นเพื่อเอาอาหารมาให้ผม ทั้งที่เขาสามารถจะใช้งานให้คนอื่นเอามาให้ก็ได้
“อ๋อ วันนี้ มีพ่อครัวมาใหม่อีกคนนะครับ เรียว คือว่าผมลาหยุดกับคุณป้าในอาทิตย์หน้าไว้นะครับ เพราะผมมีคอนเสิร์ตที่จะต้องไปซ้อมนะครับ ผมก็เลยฝากเพื่อนที่รู้จักอีกคนที่เขาทำอาหารเก่งเหมือนกันไปทำงานที่ร้านคุณป้าแทนในช่วงที่ผมไม่อยู่ แต่หากคุณป้าพอใจจะรับเขาทำงานอีกคนก็ได้ เพราะเห็นคุณป้าอยากได้คนเพิ่มอยู่เหมือนกันครับ แล้วเขาก็เพิ่งลาออกมาจากร้านเดิมที่ผมกับเขาเคยทำงานด้วยกันอ่ะครับ”
เด็กหนุ่มตอบผมยิ้มๆ แต่ผมยังไม่ได้รับคำตอบในสิ่งที่ผมต้องการรู้อยู่ดี
“อ๋อ พอมีคนใหม่อีกคน นายก็ทิ้งงานที่ทำเลยเหรอ”
ผมกล่าวหาเขา เดียร์สั่นศีรษะ รีบพูด
“เปล่าครับ ที่มานี้ ผมทำอาหารไว้ตามออเดอร์ที่สั่งแล้ว พอเห็นว่าคนในร้านเริ่มซาๆ ผมก็ขออนุญาตแว่บออกมาครับ บอกคุณป้าแล้วว่าผมขอมาธุระแป๊บเดียวครับ ใจนึกเป็นห่วงเรียว กลัวว่าจะไม่ได้ทานอะไร ก็เลยรีบมา เดี๋ยวนี่ จะรีบไปแล้วครับ”
“ขอบใจมากนะ ที่รู้สึกเป็นห่วงกัน แต่คราวหน้านายไม่จำเป็นต้องมาเองหรอก ฝากใครมาก็ได้นะ เดียร์ หากนายต้องออกจากงานเพราะฉัน ฉันคงรู้สึกแย่แน่”
ผมบอกเด็กหนุ่มด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากใจ รู้ว่าเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อผม แต่ผมไม่ต้องการให้เขาเดือดร้อนจากการที่มาเอาอกเอาใจผมมากเกินไป สงสารเขา ไม่อยากให้เขาทุ่มอะไรลงไปแล้วไม่ได้อะไรกลับมาซักอย่าง ความรักจากผมก็ไม่ได้ แถมซ้ำยังสูญเสียงานการอีก เด็กหนุ่มมองสบตาผม แล้วยิ้มให้
“อย่าคิดว่าเป็นเรื่องลำบากอะไรเลยครับ เราไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันแล้ว เรียวไม่ต้องเกรงใจหรอก อะไรที่ทำให้เรียวมีความสุข ผมยินดีทำให้นะ”
ผมนิ่งอึ้ง เจ็บแปลบที่หน้าอกอีกแล้ว ทำไมผมจึงรู้สึกสะเทือนใจง่ายนักกับคำพูดเพียงไม่กี่คำของเดียร์ หรือเป็นเพราะสิ่งที่เขาพูดนั้นล้วนแล้วแต่ออกมาจากใจ จึงทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวและเจ็บปวดไปกับสิ่งที่ได้ยิน เดียร์หนอเดียร์ เขาจะรู้บ้างไหมหนอว่าผมลำบากใจแค่ไหน ที่ต้องพยายามห้ามใจไม่ให้รักเขา ผมต้องเพิ่มความพยายามมากกว่าเดิมในการที่จะตั้งกำแพงกั้นเราสองคนให้ห่างจากกัน และผมเริ่มอ่อนแรงลงทุกที ใจของผม ใกล้จะต้านทานไม่ไหวแล้ว ผมต้องหนี หนีไปให้พ้นจากสถานการณ์ต่างๆที่จะทำให้ผมเกิดความผิดพลาดในการใช้ชีวิตคู่ ผมพร่ำบอกตัวเองว่า ตอนนี้ผมเพียงแค่ทดลองมีประสบการณ์ทางเพศในรูปแบบใหม่ๆ ผมไม่ได้ติดใจความสัมพันธ์แบบนี้ และแน่นอน คนที่ผมจะแต่งงานด้วยต้องเป็นผู้หญิง
ความรู้สึกในใจของผมต่อสู้กัน ระหว่าง ใจอ่อนให้เดียร์ กับ เข้มแข็งเข้าไว้ และดูเหมือนว่าฝ่ายแรกจะมีพลังรุนแรงกว่า จวนเจียนที่คำพูดหวานๆจะหลุดออกจากปากผม เพื่อขอบคุณสิ่งดีๆที่เดียร์ทำให้ผม ก็เหมือนระฆังช่วย เจ้าสันต์เดินยิ้มให้ผมมาแต่ไกล มันทำท่าชงัก เมื่อเห็นผมยืนคุยกับเดียร์อยู่ แต่แล้วก็ตรงรี่เข้ามาหา พอเข้าใกล้ตัวผมและเดียร์มันก็ทักทายเดียร์เหมือนคนที่คุ้นเคยกันมานาน
“เฮ้ เจ้าหนูนักปรุง มาได้ไงเนี่ย มาส่งของให้ลูกค้าขาประจำเหรอ”
“ครับ ไม่เห็นคุณเรียวลงไปทานอาหารมาหลายวันแล้ว แถมซ้ำ ไม่ได้ฝากใครไปซื้อด้วย ก็เลยคิดว่าคุณเรียวคงทำงานเพลิน จนไม่มีเวลาลงไปทานแน่อ่ะครับ เลยทำของขึ้นมาให้ครับ เป็นบริการพิเศษ สำหรับลูกค้าประจำ ไม่คิดเงินเพิ่มครับ”
เดียร์ตอบสันต์ด้วยท่าทีสุภาพ สันต์ยิ้มกริ่ม ทำหน้าเจ้าเล่ห์ ถามเดียร์เสียงอ่อนเสียงหวาน
“อย่างพี่นี่ ถือว่าเป็นลูกค้าขาประจำหรือเปล่า”
“ครับ เป็นสิครับ”
“งั้นถ้าพี่หายไปอ่ะ แบบไม่ไปกินข้าว เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับการทำงานแบบเพื่อนพี่ เดียร์จะเอากับข้าวขึ้นมาส่งหรือเปล่าจ๊ะ”
“ก็ถ้าพี่อยากทานอะไร ก็โทรสั่งไปได้นะครับ ก็จะมีคนมาส่งให้ครับ เป็นบริการจากทางร้านอยู่แล้วครับ”
“ไม่ใช่ พี่หมายถึงว่า หากพี่หายไปเฉยๆ ไม่ลงไปกินข้าว ไม่ได้สั่งอะไร จะมีคนมาสนใจ หวงใยไหม”
เจ้าสันต์ถามเดียร์ แล้วก็หันมามองผม ส่งสายตามีความหมาย กับยิ้มยั่วมาให้ ผมลอบมองเดียร์ดูว่าเขาจะทำหน้าอย่างไร แต่ก็พบว่า เด็กหนุ่มลอบมองผมด้วยเช่นกัน ตาของเราสองคนสบกันอย่างจัง ผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาก่อน
“ถ้าคุณสันต์หายไปจริงๆ แซ่บคงไม่ยอมหรอกมั๊งครับ เขาคงอดรนทนไม่ได้ ขึ้นมาหาคุณสันต์เองน่ะแหละ คุณสันต์กับเขาสนิทกัน และรู้ใจกันดีนี่ครับ คุณก็เหมือนเป็นลูกค้าประจำของแซ่บอ่ะครับ เขาคงไม่ยอมให้ใครขึ้นมาส่งข้าวส่งน้ำให้คุณแทนเขาหรอก”
ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อฟังเดียร์พูดจนจบ เจ้าเด็กคนนี้ ช่างยอกย้อนได้เก่งจริงๆ เล่นเอาเจ้าสันต์ซึ่งทำท่าป้ออยู่ ใบ้รับประทานไปเลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2009 15:10:11 โดย ไต๋ »

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่4 5/1/09
«ตอบ #32 เมื่อ05-01-2009 14:08:14 »

“แหม ร้ายกาจจังนะ นึกว่าเก่งอยู่แต่ในครัว ไม่รู้ว่าจะสนใจเรื่องคนอื่นด้วย”
สันต์พูดยิ้มๆ หลังจากยืนเอ๋อไปชั่วครู่
“ แซ่บ เป็นเพื่อนของผมนี่ครับ แล้วเขาก็มักจะเล่าเรื่องของคุณสันต์ให้ฟังเสมอเลย ผมก็เลยพลอยรู้จักคุณไปด้วยอ่ะครับ”
คำพูดของเด็กหนุ่มเล่นเอาเจ้าสันต์ถึงกับตาโตด้วยความสนอกสนใจ
“จริงเหรอ แล้วเขาพูดถึงฉันยังไงบ้าง”
“เล่าตรงนี้ ตอนนี้จะดีหรือฮะ จะรบกวนเวลาทำงานหรือเปล่า คุณเรียวก็ยังไม่ได้ทานอะไรด้วย ให้คุณเรียวไปทานข้าวก่อนดีไหมครับ”
เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ เป็นเชิงตัดบท สันต์หันมามองหน้าผมและถุงอาหารที่อยู่ในมือ แล้วทำท่านึกขึ้นได้ มันขอโทษขอโพยผม ที่มาขัดจังหวะ แล้วไล่ให้ผมไปกินข้าว ก่อนจะหันมาบอกกับเด็กหนุ่มว่า จะคุยด้วยในเรื่องของแซ่บในวันหลัง เดียร์พยักหน้าแล้วก็พูดว่า เขาจะคุยเฉพาะเรื่องแซ่บเท่านั้นนะ ไม่คุยเรื่องอื่น สันต์สบตากับผม ท่าทางเหมือนมันจะรู้สึกทึ่งกับความฉลาดทันคนของเดียร์จนไม่ยอมหลงกลกับการหาทางเกี้ยวพาราสีเขาของตนเอง ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ รีบหิ้วถุงกับข้าวหันหลังกลับ ตรงไปยังแคนทีน หลีกเลี่ยงการสนทนากับเจ้าสันต์และเดียร์ ทั้งคู่ไม่ได้ตามผมมา และผมก็ไม่ได้หันหลังกลับไป ทำตัวเหมือนคนใจดำ แม้แต่คำพูดขอบคุณเด็กหนุ่มสักคำก็ไม่มี รู้สึกผิดในใจ แต่ก็ปล่อยปละละเลยให้เขาเข้าใจว่าผมเป็นคนอย่างนั้น ดีกว่าที่จะมาคอยทำดีให้เขาพอใจ จนเด็กหนุ่มถลำลึกไปมากกว่านี้ ผมไม่อยากทำร้ายเขาด้วยการทำให้เขาหลงเชื่อว่าผมพอใจสิ่งที่เขาทำ ยิ่งเด็กหนุ่มเข้าใจผมผิดมากเท่าไหร่ เขาจะได้ตัดใจเร็วเท่านั้น
ประมาณบ่ายสาม เดียร์ก็โทรศัพท์มาหาผม เขาส่งเสียงรื่นเริงตามสายมา ถามไถ่ผมว่าทานข้าวแล้วใช่ไหม อร่อยหรือเปล่า ตอนแรกผมคิดจะทำใจดำต่อ แต่เมื่อได้ยินเสียงอันสดใสของเขา ก็ทำให้ผมแกล้งเขาต่อไม่ลง หน้าซื่อๆไร้เดียงสาของเขาลอยผ่านเข้ามาในความคิด ดูเหมือนว่าเดียร์จะไม่เคยพยายามรับรู้ถึงสิ่งที่ผมทำกับเขาเลยแม้สักนิด ไม่ว่าผมจะเฉยชา มึนตึงใส่เท่าไหร่ เขาก็จะโต้ตอบผมกลับมาด้วยความรู้สึกดีๆ กับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกครั้ง หลายต่อหลายครั้งเขาเจ็บปวด สังเกตได้จากแววตาที่หม่นหมอง ความสะเทือนใจที่เขาปกปิดไม่มิด มันฉายให้เห็นแม้เพียงแว่บเดียว ผมก็รู้สึกได้ แต่นั่นแหละ เด็กหนุ่มจะกลบเกลื่อนความขมขื่นที่มีอยู่ด้วยรอยยิ้มที่สดใสร่าเริง เหมือนเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยเสียทุกครั้ง ถึงอย่างไร ผมก็รู้อยู่ดีว่าเขาเจ็บแค่ไหน
ผมตอบเขาไปว่าผมได้ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว และขอบคุณเขาที่ทำอาหารมาให้ทาน เดียร์หัวเราะเสียงใส ตอบว่าไม่เป็นไรหรอก เป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้วที่จะดูแลให้ผมมีความสุข ผมทอดถอนใจรู้สึกตื้นตันกับคำพูดของเด็กหนุ่มอีกแล้ว เลยรีบตัดบทบอกว่าผมมีงานที่จะต้องทำ เพราะผมไม่อยากรู้สึกหวั่นไหวไปมากกว่านี้อีกแล้ว จึงต้องยุติการสนทนาโดยพลัน ก่อนที่หัวใจของผมจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็น เดียร์รับคำอย่างว่าง่าย และขออนุญาตไปหาผมที่บ้านคืนนี้ ผมไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร เพราะคราวก่อนก็ไล่เขา จึงตอบตกลงไป
เด็กหนุ่มดีใจมาก บอกว่าเขาเตรียมเมนูสุดอร่อยไว้เพื่อทำให้ผมกินโดยเฉพาะ อยากให้ผมกลับมาบ้านเร็วๆจะได้มีเวลาทานด้วยกัน ผมตอบเขาไปว่า ผมไม่แน่ใจว่าผมจะกลับบ้านได้เร็วหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับงานที่คั่งค้างว่ามีปริมาณมากแค่ไหน หากไม่มีอะไร ผมก็คงจะถึงบ้านได้อย่างช้าไม่เกิน 1 ทุ่ม เดียร์บอกว่า เขาจะคอยผมที่หน้าประตูบ้าน เพราะเขาไม่มีกุญแจไขเข้าไป แล้วก็พูดอ้อนๆกับผมประมาณว่าอยากให้ผมให้กุญแจเขาสักดอก เขาจะได้ไขเข้าบ้านไปทำกับข้าว ทำความสะอาดให้ผมได้ แต่ผมปฏิเสธ โดยแสร้งพูดกับเขาขำขำว่า กลัวว่าเขาจะเป็นสายโจร มาลักขโมยข้าวของของผม เดียร์หัวเราะเสียงขื่นๆ บอกว่า เขาจะเป็นโจรปล้นสวาทได้เท่านั้น จะขโมยหัวใจของผม ข้าวของอื่นไม่สน ผมเลยแกล้งพูดว่า นั่นแหละที่น่ากลัวมากกว่าอย่างอื่น เพราะหัวใจของผมไม่สามารถจะให้ไปกับใครง่ายๆ อยากเก็บไว้กับตัวเองให้นานที่สุด เด็กหนุ่มถอนหายใจยืดยาว แล้วก็สรุปด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวว่า เขาจะทำให้ผมยอมมอบหัวใจให้เขาให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม ผมเลยนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ
ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เดียร์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผมมากขึ้น แล้วผมก็ดันมีความพึงพอใจกับสิ่งที่เด็กหนุ่มทำให้เรื่อยๆ พร้อมกันนั้นจิตใจที่แข็งแกร่งของผมก็เริ่มอ่อนแอลงทุกที ผมคิดถึงเดียร์มากขึ้นกว่าแต่ก่อน เวลาที่เขาอยู่ด้วยก็รู้สึกรำคาญน้อยลง ไม่หงุดหงิดที่เขามาคอยนัวเนียชิดใกล้ บางจังหวะอารมณ์ผมก็รู้สึกพึงพอใจด้วยซ้ำ ผมเริ่มมองเห็นด้านดีงามของเด็กหนุ่ม ความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ความขยันขันแข็ง ไม่ย่อท้อต่องาน ไม่งอมืองอเท้า รอโชควาสนา หรือเงินทองที่ได้มาโดยไม่ต้องลงมือทำอะไร แม้จะมีรูปสมบัติเป็นทุนแต่เขาก็ไม่เคยใช้ความหน้าตาดีของตนเอง เป็นทางลัดที่จะให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นของตนเองอย่างง่ายๆ
เดียร์เคยเล่าให้ผมฟังอยู่บ่อยๆว่า ที่ร้านกาแฟที่เขาไปทำงานอยู่นั้น เป็นร้านที่อยู่ในย่านที่มีเกย์พลุกพล่าน มีคนที่เข้ามานั่งในร้านติดใจในตัวเขา และทาบทามให้เขาไปอยู่ด้วย บอกจะเลี้ยงดูอย่างดี ให้บ้านให้รถ ให้เงินใช้ แต่เดียร์ปฏิเสธพวกเขาไป บอกว่า เขาสามารถหาสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง อีกทั้งเขาก็มีแฟนอยู่แล้วด้วย แล้วเขาก็รักแฟนของเขามาก ถึงจะพูดออกไปอย่างนี้ แต่คนเหล่านั้นก็ยังไม่เลิกตื้อเสียที ซึ่งเดียร์ก็ไม่ยอมใจอ่อน ผมเสียอีกที่เป็นฝ่ายยุให้เขาคบกับคนพวกนั้น เขาจะได้ไม่ต้องมาเสียใจในเรื่องของผม
และเมื่อผมพูดแบบนี้ทีไร เดียร์ก็จะทำหน้าตาซีเรียสใส่ ย้อนถามผมว่า ถ้าเขาออกจากชีวิตผมไป ผมจะมีความสุขจริงๆเหรอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนั้น ผมอาจจะตอบเขาอย่างทันควันเลยว่าใช่ แต่ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้ ผมถึงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ช้ามาก เอาเข้าจริงๆผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่เมื่อมีเขาอยู่ใกล้ เวลาที่เจ้าเด็กนี้ไม่อยู่ด้วย ผมกลับเริ่มรู้สึกเหงาอย่างแปลกประหลาด มันทำให้ผมเริ่มกลัวมากยิ่งขึ้น กลัวว่าผมจะหลงรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น ผมเลยต้องพยายามที่จะออกห่างจากเขาให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้หัวใจตนเองถลำลึกไปมากกว่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่ยอมให้ในสิ่งที่เดียร์ต้องการ ผมกลัวว่า หากผมให้กุญแจบ้านกับเดียร์ไป และเขาเข้านอกออกในบ้านผมได้มากขึ้น ผมจะหนีเขาได้ลำบาก
“คุณเรียวคะ วันนี้ท่านผู้อำนวยการนัดประชุมด่วนตอนห้าโมงเย็นค่ะ เรื่องการพิจารณาเคสวงเงิน 100 ล้านของคุณสุริยะค่ะ”
จุ๋ม เลขาของผม โทรเข้ามาบอกเล่าเรื่องการนัดหมายเย็นนี้ ชื่อของนายสุริยะ ผู้บริหารที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผม ทำให้ความคิดที่กำลังล่องลอยฟุ้งซ่านไปถึงเรื่องของเดียร์สะดุดหยุดลง ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน ได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแล้ว
นายสุริยะ เพิ่งส่งงานเข้ามาเป็นเคสใหญ่วงเงิน 100 ล้าน ลูกค้าเป็นไฮโซตระกูลดัง เจ้าของร้านเพชร อายุอานามไม่ใช่น้อย แต่ยังเป็นโสดสนิท ไร้คนข้างกาย ข่าวซุบซิบบอกว่า เขาเป็นคนที่นิยมไม้ป่าเดียวกัน และเปลี่ยนคู่ควงบ่อยมาก
ผมต้องพิจารณาเคสทำนองนี้จากนายสุริยะค่อนข้างเยอะ เขาชอบจับลูกค้าเป็นเกย์มาทำประกัน ซึ่งน่าจะมาจากการที่ตัวเขาเองก็เป็นเกย์ด้วยเช่นกัน ลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นคนกลุ่มนี้ คนที่เขารู้จักมักร่ำรวย บางคนก็เป็นผู้มีอิทธิพล กว้างขวางในแวดวงธุรกิจ พอผมปฏิเสธ หรือไม่ให้เขาผ่านการพิจารณา นายสุริยะจะไม่พอใจมาก ผมมักมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับเขาทุกครั้ง หากการตัดสินใจของผมทำให้เขาเสียประโยชน์ สูญเสียรายได้ที่ควรจะได้จากค่าคอมมิชชั่น และค่าตอบแทนต่างๆจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน โบนัส หรือคุณวุฒิรางวัลต่างๆ
ใช่ว่าผมจะกลั่นแกล้ง ไม่อยากพิจารณางานให้เขา แต่บางครั้งเป็นเพราะเขาชอบทำผิดเงื่อนไขกฎเกณฑ์ต่างหาก ตัวอย่างเช่น ไปขายประกันโดยเวนคืนกรมธรรม์เดิมของลูกค้าทำให้เขาเสียประโยชน์ เอาคนที่มีความเสี่ยงสูงเข้ามาทำ บางครั้งก็ซิกแซกหมกเม็ดปกปิดความจริงเกี่ยวกับตัวลูกค้า โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและหน้าที่การงาน ผู้ใหญ่ในบริษัทก็รู้ ซึ่งก็ได้หามาตรการต่างๆมาป้องกัน บางทีก็ต้องเชิญผู้บริหารท่านนี้มาพูดคุยให้เข้าใจถึงสิ่งที่บริษัทตัดสินใจ แต่บางครั้ง ก็มีนโยบายให้ผมผ่อนปรนกฎเกณฑ์อันเข้มงวดทางการพิจารณารับประกันลง เพื่อเห็นแก่หน้าผู้บริหารคนนี้ไว้ เพราะเขาเป็นผู้บริหารอันดับหนึ่งของบริษัท และกว่าครึ่งของตัวเลขผลผลิตรวม มาจากการทำงานของผู้บริหารท่านนี้และหน่วยงานของเขา อะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็แกล้งทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่เสีย แต่ถ้ามันเกินกว่าที่จะรับประกันให้ได้ ก็อาจจะพิจารณาให้ทุนประกันที่ต่ำลง หรือไม่อนุมัติไปเลย
ผมเพิ่งส่งเคาน์เตอร์ออฟเฟอร์ลดวงเงินในการทำประกันลูกค้าร้านเพชรของนายสุริยะลง จาก 100 ล้าน เป็น 50 ล้าน และ ยอมให้เขาได้ ถึง 70 ล้าน เมื่อนายสุริยะมาเจรจากับผู้ใหญ่ขอต่อรองเป็น 100 ล้านตามเดิม โดยอ้างว่าลูกค้าของตนเป็นลูกค้าคุณภาพและมีฐานะการเงินมั่นคงเพียงพอที่จะทำประกันในวงเงินสูงได้ นอกจากนี้ แบบประกันที่นายสุริยะเลือกให้ลูกค้าทำก็เป็นแบบประกันระยะสั้น เน้นการออมทรัพย์ เบี้ยประกันที่ได้เข้ามาสามารถเพิ่มยอดให้บริษัทได้
เนื่องจากในประวัติของเขา ได้มีการทำประกันกับหลายบริษัทในวงเงินค่อนข้างสูงมาก เป็นการทำเกินกว่าความจำเป็น เมื่อเทียบกับรายได้ และทรัพย์สินที่เขามีอยู่ ในขณะที่ตัวเองก็อยู่ในภาวะความเสี่ยงจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตคู่ที่ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป ผมจึงไม่อาจให้ได้ตามที่ขอ
การตัดสินใจของผม ทำให้นายสุริยะไม่พอใจ เขาแจ้งมาทางผู้ใหญ่ของผมว่าลูกค้ารู้สึกว่าเสียเกียรติที่ไปลดวงเงินของเขาอย่างนั้น และยืนกรานที่จะขอซื้อประกันในวงเงิน 100 ล้านตามเดิม มีการวิ่งเต้นเจรจาเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ ดังนั้น การที่เจ้านายของผมเรียกไปประชุมด่วนด้วยเรื่องนี้ มันทำให้ผมสังหรณ์ใจว่า ผมอาจจะถูกบีบบังคับจากเบื้องบนให้ดำเนินการพิจารณารับประกันลูกค้ารายนี้ตามวงเงินที่เขาขอร้องมาก็ได้
สิ่งที่ผมคิดไว้เป็นความจริง เจ้านายของผมเปิดฉากเจรจาทันทีที่ผมเข้าไปพบ เขาพูดถึงความจำเป็นของบริษัทในการที่จะรักษาตัวแทนที่มีฝีมือเอาไว้ โดยเฉพาะในช่วงที่ระยะเวลาใกล้จะปิดบัญชีประจำปี เพราะยอดผลผลิตยิ่งมากเท่าไหร่ ย่อมส่งผลถึงกำไรและความมั่นคงของบริษัท จากนั้นก็พูดถึงเคสของนายสุริยะ เจ้านายให้ผมเล่าให้ฟังถึงการตัดสินใจของตนเองว่าทำไมผมถึงได้ลดวงเงินลงจนเหลือแค่ 70 ล้าน ผมก็เลยเล่าให้ฟังจากข้อมูลต่างๆที่ผมได้รวบรวมมา ทั้งจากประวัติการรักษาตัวในโรงพยาบาลของเขา ข้อมูลการทำประกัน ข่าวซุบซิบในวงสังคมเกี่ยวกับตัวเขา และการใช้บริการนักสืบเพื่อดูว่าเขามีความเสี่ยงในการดำรงชีวิตแค่ไหน
เนื่องจากลูกค้าของนายสุริยะเป็นคนดัง มีข่าวลงคอลัมน์ซุบซิบไม่เว้นแต่ละวัน จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ระบุว่าเขาเปลี่ยนคนข้างกายบ่อยมาก และ มักจะทำประกันโดยยกให้กับคู่ขาของเขาเหล่านั้น ซึ่งผิดหลักของการคุ้มครอง และเรื่องของส่วนได้เสียตามกฎหมาย แต่เขาก็เลี่ยงโดยการที่รับผู้ชายเหล่านั้นเป็นบุตรบุญธรรมเสมอ เพื่อให้สามารถโอนผลประโยชน์ให้กันได้
ผมเล่าข้อมูลที่ผมไปสืบทราบมาอีกหลายเรื่องที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงภัยที่มีอยู่ให้เจ้านายของผมรับฟัง ตลอดเวลาเหล่านั้นเขานั่งนิ่งเงียบฟังผมเล่า เมื่อผมพูดจบ แทนที่เขาจะช่วยแก้ปัญหาให้ เขากลับย้อนถามผมว่า ผมจะพิจารณาอย่างไร ผมเลยบอกว่า ผมยืนยันที่จะลดวงเงิน แต่เจ้านายของผมก็บอกว่า ผู้บริหารระดับสูง แทงเรื่องลงมา ขอให้ทบทวนการพิจารณาใหม่ ทำอย่างไรก็ได้ ที่จะทำให้นายสุริยะและลูกค้าพอใจ เขาจะได้สร้างผลงานอย่างต่อเรื่อง นำเบี้ยเข้าบริษัทเยอะๆ และทำอย่างไรจึงจะให้บริษัทเสียหายน้อยที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องคำนึงถึงตัวเลขผลผลิตสวยๆที่บริษัทจะโชว์ให้ผู้ถือหุ้นเห็น การเอาใจผู้บริหารท่านนี้ยังจะช่วยไม่ให้ตัวเขาและทีมงานของเขาย้ายไปที่บริษัทอื่นในช่วงเวลาที่บริษัทจะปิดยอดอีกด้วย
เจ้านายให้ผมไปคิดเป็นการบ้านมาว่าจะทำอย่างไร แล้วมาตอบในวันรุ่งขึ้น เขาคาดหวังว่าผมจะให้คำตอบที่น่าพอใจและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เป็นแบบวิน วิน หรือให้แต่ละฝ่ายเสียประโยชน์น้อยที่สุด ผมรับปากว่าจะรีบคิดหาทางแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เจ้านายของผมยิ้มด้วยความสมหวังที่เห็นผมยอมอ่อนข้อให้ ไม่ทำท่าทีแข็งกร้าวดึงดันในสิ่งที่ผมตัดสินใจลงไป เขาตบหลังตบไหล่ผม พลางชวนไปทานข้าว
ผมเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือ สองทุ่มกว่าแล้ว เลยเวลาที่บอกกับเดียร์ว่าจะกลับบ้านไปตั้งหนึ่งชั่วโมง ป่านนี้เจ้าเด็กบ้านั่นคงนั่งรออยู่หน้าบ้านด้วยความกระวนกระวายใจว่าทำไมผมจึงยังไม่กลับมา จะโทรบอกก็ไม่ได้เพราะติดประชุมอยู่ มือถือก็วางไว้ในห้องทำงานไม่รู้ว่าเขาโทรมาหามั๊ย
“วันนี้คงต้องขอตัวก่อนนะครับ ผมรู้สึกเพลียน่ะ อยากกลับบ้านไปพักผ่อน”
ผมโกหกไปว่าเหนื่อย แต่ที่ไม่ได้โกหกคือผมอยากกลับบ้านจริงๆ ใจกังวลถึงเด็กหนุ่ม ที่ไม่รู้ว่าโดนยุงหามไปแล้วหรือยัง เจ้านายถามไถ่ว่าไม่หิวข้าวหรือ แต่ผมก็บอกว่า ผมยังอิ่มอยู่จากการทานข้าวเมื่อตอนกลางวัน เขาทำหน้าไม่เชื่อถือ แต่ด้วยความที่เป็นหัวหน้าคน เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิเสธ เขาก็ไม่เซ้าซี้ให้ผมรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังงอนง้อลูกน้องอีกต่อไป
“วันหลังต้องไปนะ เจ้านายเลี้ยงทั้งทีต้องให้เกียรติ ปฎิเสธแบบนี้ ระวังหัวหน้างานจะไม่พอใจ เดี๋ยวจะมีผลกระทบต่องานการที่ทำเปล่าๆ”
เขาแกล้งพูดอำผม ท่าทางไม่จริงจังนัก ผมยิ้ม และตอบกลับไปเบาแบบหยอกล้อเหมือนกันว่า คราวหน้าผมจะเสนอตัวเป็นคนแรกถ้าหากเขาจะเลี้ยงอีกครั้ง เจ้านายผมก็ตอบกลับมาว่า เขาขอคิดดูก่อนแล้วกัน อาจจะไม่เลี้ยงอีกแล้วก็ได้ ของฟรีมีไม่บ่อยนัก แล้วอารมณ์ดีก็ไม่ได้มีบ่อยๆ วันนี้ผมทำให้เขาอารมณ์เสีย เพราะไม่ยอมกินข้าวเป็นเพื่อนเขา ดังนั้นเขาไม่ยอมให้อภัยแน่ แต่ถ้าหากผมทำตัวดีๆ พิจารณางานไม่ให้มีปัญหากับบริษัท เขาอาจจะเปลี่ยนใจไปเลี้ยงผมอีกก็ได้ ผมไม่ตอบว่าอะไร ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆกลับไป
กว่าจะเก็บข้าวของเสร็จ และขับรถฝ่าการจราจรเข้ามาในหมู่บ้าน ก็ล่วงเข้าไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว เดียร์นั่งหลับคุดคู้อยู่หน้าบ้าน ข้างตัวมีข้าวของพะรุงพะรัง ผมรีบลงจากรถ เดินตรงไปหาเขา แล้วหยุดยืนมองเด็กหนุ่มอยู่ชั่วครู่ ความรู้สึกสงสารเข้าเกาะกุมจิตใจ
“เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย มารอทำไมไม่รู้ บ้านช่องไม่ยอมกลับ ทีหลังถ้ารอนานขนาดนี้แล้วยังไม่มีวี่แววว่าฉันจะกลับมา นายก็ควรกลับบ้านได้แล้ว”
ผมต่อว่าเขา ทันทีที่ปลุกให้เขาลุกขึ้น เดียร์ยิ้มหวานให้ผม ดวงตาเป็นประกายสดใส ไม่มีร่องรอยความเหนื่อยล้า หรือง่วงงุนให้เห็น
“จะกลับได้ไงอะครับ ก็เรียวยังไม่ได้ทานข้าวเลย ผมสัญญาว่าจะมาทำอาหารให้เรียวทานยังไงละครับ ตอนนี้หิวแล้วหรือยังครับ รีบเข้าบ้านกันเถอะนะ เดี๋ยวผมจะทำอาหารอร่อยๆ ง่ายๆให้เรียวทาน รับรองเรียวอิ่มท้องแน่นอน”
เด็กหนุ่มอวดอ้างสรรพคุณเสียงแจ้ว ผมยิ้มให้เขา ความรู้สึกเหนื่อยล้าจากงานประจำที่แสนหนักรวมถึงการประชุมที่เคร่งเครียดเมื่อครู่มลายหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นสดชื่นของเดียร์ เขาทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาได้อย่างแปลกประหลาด
ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กับข้าวหลายอย่างก็วางขึ้นโต๊ะ เขาทำอาหารง่ายๆที่ใช้เวลาทำไม่นานนักให้ผมทาน เช่นแกงจืด ผัดผัก ไข่เจียว และหมูทอดกระเทียมให้ผมทาน เขาบอกกับผมว่า ตอนแรกตั้งใจจะทำอาหารชนิดใหม่ที่เขาไปเรียนรู้และฝึกปรือฝีมือมาให้ผมได้ลองชิม แต่ว่าขั้นตอนการทำมันยุ่งยาก เกรงผมจะหิว ก็เลยขออนุญาตทำอาหารพื้นๆมาให้ผมทานก่อน ผมกล่าวขอบคุณเด็กหนุ่มและบอกว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เวลาหิวจัดๆผมทานอะไรก็ได้ เขายิ้มให้ผมและสัญญิงสัญญาว่าคราวต่อไปถ้าเขามีเวลามากกว่านี้ เขาจะทำอาหารอร่อยๆให้กินสุดฝีมือเลย
 

o1 ขออภัยนะฮ่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-01-2009 15:11:43 โดย ไต๋ »

ออฟไลน์ MiTo™

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-1
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่4 5/1/09
«ตอบ #33 เมื่อ05-01-2009 15:49:37 »

เฮ้ย !!!

สงสารเดียร์ก๊าบบบ


ออฟไลน์ Ak@tsuKII

  • Honeymoon
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3845
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่4 5/1/09
«ตอบ #34 เมื่อ05-01-2009 17:08:42 »

กอดเดียร์แน่นๆ :กอด1: หมั่นเขี้ยว  ทำไมเป็นเด็กที่น่ารักอย่างนี้  ..... .

สู้ๆนะเดียร์  น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน  อิอิ 

อยากมีเดียร์ไว้คลอเคลียร์ซักตัว  เฮ้ย!  คน    น่ารักๆๆจุ๊บบบ 

แทงคิ้ว  ( :pig4:)ค่ะ พี่ไต๋

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่4 5/1/09
«ตอบ #35 เมื่อ05-01-2009 19:22:16 »

 :man1: ลงหลายตอนเลย  :man1:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่5 6/1/09
«ตอบ #36 เมื่อ06-01-2009 10:22:32 »

บทที่ 5

กิจกรรมหลังจากทานข้าวและเก็บกวาดห้องครัวเสร็จ ก็คือ นั่งดูทีวีด้วยกันที่ห้องรับแขก แต่รายการทีวีไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย ผมเลยปล่อยให้เดียร์นั่งดูคนเดียว ส่วนตัวเองเดินไปที่มุมห้องรับแขกซึ่งผมวางโต๊ะคอมพิวเตอร์ไว้ตรงนั้น เสียบปลั๊กคอมฯ และนั่งลงข้างหน้า รอเครื่องเปิด เวลาที่ผมว่างไม่มีอะไรทำ นอกเหนือจากการดูทีวี หรือทำงานบ้านไปก๊อกๆแก๊กๆแล้ว การหาข้อมูลข่าวสารในคอมพิวเตอร์ก็เป็นสิ่งที่ผมมักจะทำประจำ ยกเว้นเวลาที่ผมทำงานมาอย่างหนัก และผมเหนื่อยมากๆ วันหยุดอยู่บ้านก็จะกลายเป็นวันพักผ่อนไปโดยปริยาย
ข้อมูลที่ผมหาอ่านส่วนใหญ่ จะเกี่ยวข้องกับการประกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นข่าวอาชญากรรม ข่าวเศรษฐกิจ การเมือง รวมถึงพวกข่าวซุบซิบต่างๆ นอกจากนี้ ผมยังอ่านข้อมูลเกี่ยวกับโภชนาการ สุขภาพ และ ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคมอีกด้วย ดูเผินๆ มันอาจจะเป็นข้อมูลทั่วไป แต่อันที่จริง มันเหมาะสำหรับคนที่ทำงานทางด้านการพิจารณารับประกันอย่างผม มันช่วยทำให้สามารถเข้าใจถึงไลฟ์สไตล์ของคน ทำให้ผมกำหนดความเสี่ยงภัยของคนที่จะมาทำประกันกับบริษัทของผมได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง
สมัยก่อน ไม่ว่าบริษัทใหนก็จะปฏิเสธบุคคลที่เป็นเกย์ ไม่ยอมรับมาทำประกัน เพราะคนเป็นเกย์ หรือพวกเบี่ยงเบนทางเพศ เป็นผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในเรื่องของเอดส์ และการฆาตกรรม ต่อมา คนที่เป็นเกย์ มีความระมัดระวัง แล้วใช้ชีวิตที่มีความเสี่ยงน้อยลง ก็ทำให้เราสามารถที่จะผ่อนผัน รับพิจารณาคนที่เป็นเกย์ได้
แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีการสำรวจ พบว่า กลุ่มของรักร่วมเพศ มีการติดเอดส์เพิ่มสูงจาก 18 เปอร์เซ็นต์ เป็น 28 เปอร์เซ็นต์ และมีผู้ป่วยเอดส์ที่ดื้อยาร้อยละ 10 มีการคาดการณ์ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า หากไม่มีมาตการป้องกันที่ชัดเจน จะทำให้มีผู้ป่วยเอดส์เพิ่มขึ้น เพราะมีผู้ป่วยที่ไม่ได้พบแพทย์ แต่ซื้อยากินเอง จนทำให้ดื้อยาเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าชายรักร่วมเพศส่วนหนึ่งไม่ชอบใช้ถุงยางอนามัย และมีเพศสัมพันธ์กันในแบบชั่วครั้งชั่วคราวหรือมีมีคู่นอนแบบฉาบฉวย เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 20.9 ในปี 2546 เป็นร้อยละ 25 ในปี 2548 จึงเป็นสาเหตุสำคัญในการแพร่ระบาดของโรคเอดส์เพิ่มขึ้นในประชากรกลุ่มนี้ รวมทั้งยังพบอีกว่าผู้ที่มีความเสี่ยงในกลุ่มนี้ไม่กล้าไปตรวจเลือด รวมทั้งไม่กล้าไปใช้บริการจากโรงพยาบาลหรือคลินิกให้คำปรึกษา ทำให้เชื้อเอดส์สามารถแพร่ระบาดไปในประชากรกลุ่มนี้มากขึ้น จากข้อมูลที่ได้มา ส่งผลให้บริษัทของผม ต้องหันมาทบทวนนโยบายเกี่ยวกับการรับบุคคลรักร่วมเพศมาทำประกัน ผมจึงต้องเข้มงวดในการพิจารณาบุคคลที่คาดว่าน่าจะมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนทางเพศเป็นพิเศษ ซึ่งหมายรวมถึงลูกค้าของคุณสุริยะด้วย ซึ่งมักจะเป็นคนในกลุ่มที่มีรสนิยมทางเพศเบี่ยงเบน ผมเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาถึงเลือกขายแต่ลูกค้าเฉพาะกลุ่มนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะสังคมของเขาแวดล้อมไปด้วยเกย์ เขาจึงมีลูกค้าที่เป็นอย่างเดียวกันกับเขาสมัครเข้ามาทำประกัน หรือเขาเองก็รู้ดีว่าคนพวกนี้มีความเสี่ยง เลยพยายามที่จะหาอะไรมาเป็นหลักประกันเพื่อให้ชีวิตมีความมั่นคงขึ้น
ขณะที่ผมกำลังอ่านข้อมูลจากในเนตเพลินๆ เดียร์ก็เดินเข้ามาโอบกอดผมจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มซุกจมูกโด่งของเขาตรงข้างแก้มของผม และสูดจมูกอย่างแรง เหมือนจะพยายามให้กลิ่นกายจากผิวแก้มของผมซึมซับเข้าไปในร่างกายเขามากที่สุด
“ทำไรอยู่หรือครับเรียว”
“เตะบอลอยู่”
ผมแกล้งตอบคำถามเขาอย่างกวนๆ พลางขยับร่างที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา แต่เดียร์กลับกอดแน่น ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ พลางพูดเสียงกระซิบ ลมหายใจที่เป่ารดอยู่แถวๆข้างหูผม ทำให้ผมอดรู้สึกขนลุกไม่ได้
“เล่นมุขอีกแล้วอ่ะ แต่มันเก่าแล้วนี่นา”
“....”
“ให้ตอบใหม่ครั้งหนึ่ง แต่ถ้าตอบแบบกวนๆอีก จะหอมจนกว่าแก้มจะช้ำเลย”
เด็กหนุ่มทำเป็นขู่ แต่น้ำเสียงรื่นเริงจนกลบอาการไม่อยู่
“บ้าน่ะสิ ใครจะให้นายทำอ่ะ”
“งั้นก็บอกมาสิครับ ว่าทำอะไรอยู่ บอกได้ไหมอ่ะครับ เผื่อบางทีผมอาจจะช่วยได้”
“นายไม่รู้เรื่องหรอก จะช่วยได้ไงล่ะ”
ผมมองเขาอย่างไม่เชื่อถือ เจ้าเด็กบ้านี่ ถึงจะมีความสามารถหลากหลาย แต่เรื่องเกี่ยวกับการพิจารณารับประกันไม่ใช่งานที่เขาถนัดแน่ เด็กหนุ่มแอบหอมแก้มผมอีกทีหนึ่ง ก่อนที่จะยื่นมือไปชี้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งผมกำลังเปิดเวปไซด์ของกระทรวงสาธารสุข เกี่ยวกับ.โรคเอดส์ค้างอยู่ ผมเอี้ยวตัวมองเขางงๆ นึกในใจว่าเด็กนี่จะรู้เรื่องอะไร พลันสบสายตาที่เขามองมายิ้มๆ
“ประชากรชายรักชายเป็นเอดส์มากขึ้น...........”
เด็กหนุ่มอ่านข้อความจากจอตรงหน้า
“อื้อม แล้วไง หมายความว่านายก็คิดว่ามันไม่ควรเกิดขึ้นใช่ไหม แล้วนายก็คิดว่าจะเลิกเป็นเกย์ แล้วสัญญาเราจะได้สิ้นสุดงั้นเหรอ”
ผมแกล้งถาม ถึงจะรู้ว่า ข้อมูลแค่นี้ ไม่อาจจะทำให้เกย์เปลี่ยนแปลงจิตใจกันง่ายๆ แต่บางส่วนในใจก็แอบหวัง หากมันสามารถเป็นไปได้ ผมก็ไม่ต้องทนอึดอัดในสภาพแบบนี้
“แหม......... ทนไม่ไหวแล้ว คนอะไรเนี่ย ใจร้ายจัง คำก็เลิก สองคำก็เลิก ขอจูบซะทีเถอะ เพื่อว่าจูบของผมหวานพอที่จะทำให้คุณเปลี่ยนใจได้”
เด็กหนุ่มเอี้ยวตัวมาด้านหน้า แล้วใช้มือข้างที่โอบผมดันจนหน้าผมหันมาเจอเขา และก่อนที่ผมจะทันเอ่ยปากประท้วง เดียร์ก็ก้มหน้าลงมา และมอบจูบที่หวานล้ำให้ จูบที่ทำให้ผมอ่อนแรง และหัวใจสั่นไหว จนไม่สามารถประคองร่างกายได้ ต้องยกแขนขึ้นโอบรอบคอเขาเพื่อพักพิร่างกาย ไม่ให้ล้มโครมลงไป เพราะไม่อาจจะต้านทานไฟเสน่หาที่คุโชนในกาย
ผมจูบตอบเด็กหนุ่มกลับไป ปล่อยใจปล่อยตัวเต็มที่ ทั้งๆที่พยายามฝืนใจ ห้ามใจ แต่ผมก็ไม่เคยยับยั้งการปลุกเร้าจากเดียร์ได้สักครั้ง ผมคิดว่า ผมกำลังหลงรสพิศวาสที่เดียร์ปรนเปรอ มันเป็นความแปลกใหม่ตื่นตาทางเพศรส ผมไม่เคยได้รับสิ่งเหล่านี้ จากผู้หญิงที่ผมมีอะไรด้วย เดียร์ให้ความหวานล้ำรัญจวนใจ ผมเลยเผลอไผลได้ปลี้ม มันไม่ได้เกิดจากความรักที่มีต่อเขา ผมเชื่ออย่างนั้น ไม่ใช่สิ ผมสั่งตัวเองให้ต้องเชื่ออย่างนั้น ผมไม่อยากจะเชื่อเป็นอย่างอื่น โดยเฉพาะผมไม่มีวันที่จะยอมเชื่อว่าที่ผมโอนอ่อนผ่อนตามเดียร์ เพราะว่าผมรักเขา ไม่มีทาง ผมทำงานตรงนี้ รู้ดีว่าความรักระหว่างชายกับชาย มันผิดปกติ และเสี่ยงอันตรายแค่ไหน และผมจะไม่มีวันยอมอยู่ในวังวนนั้น ยกเว้นแต่เพื่อความสุขทางเพศชั่วคราว ซึ่งผมคิดว่า เมื่ออารมณ์มันหมดไป ผมก็คงจะเลิกยุ่งเกี่ยวเลิกคิดถึงเขาและสิ่งที่เขาทำไปได้เอง
“เรียวน่ารักจริงๆเลย ปากของเรียวก็หอมหวานมาก จูบด้วยแล้วรู้สึกดีจริงๆ”
เดียร์ถอนริมฝีปากออก แต่สองมือยังประคองใบหน้าผมไว้ สายตาของเขาประสานอยู่กับสายตาของผม ตาหวานเยิ้ม ใบหน้ายิ้มละไม พูดกับผมด้วยน้ำเสียงกระเส่า ผมจ้องหน้าเขาตอบสักพักอย่างงงๆ แต่แล้วสติก็กลับคืนมา ผมปัดมือเขาออกจากใบหน้าของผม แล้วเบือนหน้าหนี ซ่อนความหวั่นไหวที่กำลังจะแสดงออกทางสายตาให้เขาเห็น
“ถ้าอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องเกย์ เดี๋ยวผมหาเวปไซด์ให้ดีไหมครับ ผมพอจะรู้จักหลายเวปเหมือนกันที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีทั้งเวปไทยและเวปต่างประเทศเลยนะครับ แต่เอาเวปไทยก่อนดีกว่านะครับ”
เด็กหนุ่มบอกผมด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ กุลีกุจอช่วยเหลือผมเต็มที่ เขาเดินไปลากเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วทรุดลงนั่งข้างๆผม ไหล่ของเราชนกัน สะโพกและต้นขาด้านหนึ่งอยู่แนบชิดกัน เดียร์จดชื่อเวปเกย์ให้ผม สี่ห้าเวป พร้อมคำอธิบายว่า แต่ละเวปจะมีเนื้อหาประเภทไหน ผมมองหน้าเขางงๆ เจ้าหมอนี่ เข้าเวปพวกนี้ด้วยเหรอ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นเกย์นี่นา เขาก็ต้องเชี่ยวชาญในการเข้าเวปเกย์เป็นธรรมดานะสิ คงจะดูเวปบ่อยมาก จนรู้ดีไปหมดว่าตรงไหนมีอะไรยังไง เหมือนเขาจะล่วงรู้ความคิดของผม เขาทำหน้ายิ้มๆแล้วรีบพูดเพื่อไม่ให้ผมเข้าใจผิด
“อย่ามองหน้าผมแบบนี้สิครับ ผมน่ะ เข้าเวปพวกนี้ก่อนที่ผมจะแน่ใจตนเองว่าเป็นเกย์ แล้วก็มีรสนิยมชอบผู้ชายด้วยกัน ผมอ่ะค่อนข้างสับสนในใจนะครับ ไม่แน่ใจ ก็เลยพยายามอ่านข้อมูล ว่าผมเป็นพวกผิดปกติตรงไหนหรือเปล่า ต้องปฎิบัติตัวอย่างไร เวปพวกนี้มันทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นอ่ะครับ”
ผมนิ่งฟังเด็กหนุ่มพูด มือก็กดแป้นพิมพ์ชื่อเวปลงไป รอเพียงแป๊บเดียว เวปเหล่านั้นก็ปรากฏอยู่ในสายตา
“เวปนี้ จะหนักไปทางข่าวสารข้อมูลนะครับ เป็นพวกบทความเกี่ยวกับเกย์ มีเรื่องน่ารู้น่าสนใจมากมาย เรียวศึกษาไว้ก็ดีนะครับ เรียวจะได้เข้าอกเข้าใจคนแบบเดียวกับผมมากขึ้น รวมถึงเข้าใจผมด้วยไงครับ”
ผมหัวเราะหึหึ นึกขำเจ้าหมอนี่นัก ที่พยายามจะโน้มน้าวจิตใจของผมให้เข้าอกเข้าใจคนที่เป็นเกย์อย่างเขา เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย ใจคอไม่คิดจะปล่อยผมเลยหรือไร ไม่คิดบ้างหรือว่า ยิ่งเขาพยายามจะผูกมัดใจผมมากเท่าไหร่ ผมก็ต้องยิ่งออกแรงดิ้นหนีมากขึ้นเท่านั้น
“ฉันไม่ได้อยากเข้าใจนายหรอกนะ ฉันหาข้อมูลเกี่ยวกับเกย์ เพราะว่าฉันจำเป็นต้องตอบหัวหน้าของฉันเกี่ยวกับเคสที่พิจารณาค้างไว้ เขาจะเอาคำตอบพรุ่งนี้ ฉันเลยอยากศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคนในกลุ่มรักร่วมเพศ เพื่อที่ฉันจะได้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเท่านั้น”
ผมตอบเขาไปตามความเป็นจริง เด็กหนุ่มไม่ได้มีสีหน้าสลดหลังจากฟังผมพูดจบแต่อย่างใด เขากลับยิ้มหวานให้ผม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นอีก ว่าเขายินดีจะช่วยผมหาข้อมูลที่ต้องการ และหากผมมีข้อสงสัยใดๆ ผมก็สามารถถามเอาจากเขาได้ ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขา แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ จะปฏิเสธก็กลัวว่าตัวเองจะไม่มีข้อมูลในการไปตอบหัวหน้าของตนเองในวันรุ่งขึ้น จึงได้แต่พยักหน้าตกลง ยอมให้เขาช่วยผมค้นคว้าหาข้อมูลด้วย
ผมเลื่อนตัวให้เขามานั่งอยู่หน้าคอมแทนผม โดยที่ผมขยับไปข้างๆ เด็กหนุ่มเปิดหาข้อมูลจากเวปเกย์ให้ผม เวลาเจอบทความที่เกี่ยวข้อง เขาจะชี้ชวนให้ผมอ่าน แต่เนื่องจากข้อมูลเยอะมาก อ่านกันไม่หวาดไม่ไหว เราเลยเห็นพ้องต้องกันว่าน่าจะพิมพ์ออกมาดูกันว่าเรื่องอะไรที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับงานของผม
เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เอกสารมากมายก็วางกองอยู่ตรงหน้าผม เป็นข้อมูลที่เดียร์หามาให้ส่วนหนึ่ง และผมหาเองส่วนหนึ่ง ผมขอเวลาศึกษาข้อมูลที่ได้มาเพียงลำพัง เพราะผมต้องใช้สมาธิในการอ่านและไตร่ตรองข้อมูล ไม่อยากถูกรบกวนสมาธิจากเด็กหนุ่ม เดียร์เข้าใจในสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ เขาปล่อยให้ผมทำงานตามลำพัง ส่วนตัวเองไปนั่งอยู่ที่โซฟา นั่งดูทีวี แต่ดูเหมือนเขาเองก็ไม่ได้จดจ่ออยู่กับรายการทีวีที่ดูเท่าไหร่นัก สายตาของเขาคอยแต่จะจับจ้องผมทุกการเคลื่อนไหวมากกว่า ที่ผมรู้ก็เพราะหลายครั้งที่ผมหันไปมองเขา ก็มักจะเห็นเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว พร้อมด้วยรอยยิ้มที่ส่งมาให้เป็นกำลังใจ จนผมเองก็เริ่มที่จะไหวหวั่นไปกับความรักความภักดีที่เขามีให้
เมื่อเงยหน้าดูเวลาที่เครื่องคอม ก็พบว่าเวลามันผ่านไปดึกโขแล้ว อีก 15 นาทีจะเที่ยงคืน ผมบิดตัวด้วยความเมื่อยขบ เก็บเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้า ผมได้ข้อมูลที่ใช้ประกอบการตัดสินใจแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องการพิจารณารับประกันโดยตรง แต่มันก็ทำให้ผมมีมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม ผมเริ่มรู้จักคนในกลุ่มนี้มากยิ่งขึ้น ผ่านบทความต่างๆที่ผมได้อ่าน และสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว คือความเข้าอกเข้าใจที่มีต่อกลุ่มคนที่น่าสงสารเหล่านั้น
“เสร็จแล้วหรือครับเรียว มีอะไรสงสัยไหมครับ ถามผมได้นะ”
เดียร์เดินมาหาผม และสวมกอดผมไว้ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง ผมหลับตาลง ใจหนึ่งก็อยากจะสลัดให้หลุดจากการนัวเนียชิดใกล้ของเขา แต่ใจหนึ่งก็ปรารถนาที่จะซุกซบลงไปกับอกอุ่นนั้น เพื่อให้ร่างกายและจิตวิญญาณของผมถูกปกป้องดูแลจากใครบางคนที่รักผมอย่างจริงใจ ผมไม่รู้ว่าทำไมความต้องการอย่างหลังจึงทวีคูณขึ้นทุกวัน
ในอดีตที่ผ่านมาผมคอยคุ้มครองคนอื่นตลอดเวลา ผมมักจะดูแลและเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนๆและคนรอบข้างเสมอ ช่วยเหลือเท่าที่กำลังและความสามารถของผมจะช่วยได้ แม้แต่ตอนที่พบคบกับเจ้าศักดิ์ชาย ถึงแม้มันจะพยายามเอาใจคอยดูแลผมแต่ผมก็มักจะเป็นฝ่ายช่วยเหลือตัวเองมากกว่า และในบางครั้งผมก็เคยทำอะไรเพื่อมัน แต่คราวนี้มันกลับต่างกันออกไป ผมกลับอยากเป็นฝ่ายถูกดูแลเอาใจใส่บ้าง อยากมีคนคอยห่วงใย ทำอะไรต่ออะไรให้ ผมไม่รู้ว่าความคิดแบบนี้มันเกิดขึ้นกับผมตอนไหน กว่าจะรู้สึกตัวผมกลับต้องการมันมากขึ้นทุกวัน อาจจะเป็นเพราะว่าผมเหนื่อยมากกับการดูแลใครต่อใคร แล้วเขาก็ไม่เคยเห็นค่า หรือไม่ก็เป็นเพราะว่า เดียร์นั่นแหละที่กำลังทำให้ผมเสียคน ผมเริ่มชินกับการที่มีเขาอยู่ใกล้ ชินกับการเอาใจใส่ ห่วงใย และดูแลไม่ยอมห่างจากเขา เขานั่นแหละ ที่เป็นตัวการทำให้ผมอยู่คนเดียวเพียงลำพังไม่ได้ ผมเริ่มทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็นแล้ว

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่5 6/1/09
«ตอบ #37 เมื่อ06-01-2009 10:22:54 »

เมื่อก่อนนี้ ตอนผมอยู่คนเดียว ผมจะทานอะไรง่ายๆ บ้านช่องก็ไม่ได้ดูแลรักษามากมายนัก ทว่านับตั้งแต่เดียร์ก้าวเข้ามาในชีวิตของผม เขาทำให้ความคุ้นเคยเดิมๆของผมเปลี่ยนไป เขาทำให้ผมติดใจในรสชาติอาหารที่เขาทำให้กิน บ้านช่องเขาก็ดูแลให้จนสะอาดสะอ้าน เสื้อผ้าก็ซักและรีดให้จนสะอาดหมดจด เจ้าหญิงได้รับการอาบน้ำ แปรงขนให้ ข้าวปลาก็ดูแลให้กิน จนเดี๋ยวนี้ เจ้าหญิงกลายเป็นหมาที่สมบูรณ์แข็งแรงมากกว่าตอนที่อยู่กับผมด้วยซ้ำ
และไม่ใช่ว่าเจ้าหญิงเท่านั้นที่ดูสดชื่นขึ้น ผมยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า ผมเองก็รู้สึกมีชีวิตชีวาเวลาอยู่กับเขา บางวันเดียร์ก็ทำให้ผมรู้สึกวุ่นวายใจ บางทีเขาก็ทำให้จิตใจผมสงบสุข มีอยู่หลายครั้งทีเดียวที่เขาทำให้ผมรู้สึกร้อนเร่าด้วยแรงราคะ แล้วเขาก็ดับความกระหายให้กับผมด้วยการปรนเปรอความรักและความพิศวาสจนทำให้ผมลุ่มหลงจนจะถอนตัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว เหมือนว่าเขากำลังกักขังผมไว้อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ใช้เชือกมัดผมอีกเช่นเคย ผมถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่เรียกว่าความรักและภักดี ทำให้ผมรู้สึกลังเลใจที่จะหนีไปจากเขา
“เหนื่อยหรือครับ”
เสียงกระซิบเบาๆข้างหู ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ ผมแกะมือที่โอบรัดรอบตัวผมไว้ แต่ไม่สามารถปลดแขนแข็งแรงนั้นออกโดยง่าย เดียร์ยังคงตระกองกอดผมไว้ในอ้อมแขน ใบหน้าคมคายซุกซบอยู่ที่ไหล่ของผม
“ก็นิดหน่อยนะ เหนียวตัวด้วย อยากไปอาบน้ำ นายละ ไม่ไปอาบน้ำหน่อยเหรอ ทำงานมาทั้งวัน คราบเหงื่อคราบอาหารหมักหมมตามตัว เดี๋ยวจะทำให้เป็นผื่นคันหรือโรคผิวหนังไปเปล่าๆ”
พูดแรงไปหรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมห่วงเขาด้วยใจจริง เดียร์คลายมือจากการกอดรัดผม และยกแขนขึ้น ดมรักแร้ตัวเองทั้งสองข้าง แล้วทำหน้าย่นยู่
“อื้อ จริงด้วย มีกลิ่นตัวกลิ่นอาหารติดมาจริงๆ มิน่าล่ะ เรียวถึงไม่ยอมกอดผมตอบเลยสักครั้ง คงเป็นเพราะผมมีกลิ่นไม่สะอาดนี่เอง แต่ตัวเรียวยังหอมอยู่เลยนะครับ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงชอบกอดแล้วก็หอมเรียวอยู่บ่อยๆ ผมคงต้องไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวแล้วล่ะ ทำตัวให้หอมๆ เรียวจะได้อยากกอดผมบ้างอ่ะ”
เดียร์ว่ายิ้มๆไม่ได้โกรธคำพูดของผม ทำให้ผมเบาใจลงบ้าง แต่ผมก็รู้ว่าเขาเองก็แอบกัดผมตอบบ้างเล็กน้อย ผมชอบเด็กหนุ่มตรงนี้ ตรงที่ไม่เคยโกรธหรือถือสาอะไรกับคำพูดเหน็บแนม หรือ คำพูดแรงๆจากผม เขากลับยิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดีกับผมทุกครั้ง ถ้าจะมีโต้ตอบบ้าง ก็เป็นเชิงหยิกแกมหยอก น่าเอ็นดูมากกว่าน่ารังเกียจ ยิ่งเห็นเขาเป็นแบบนี้ เลยทำให้ผมไม่อยากจะทำให้เขาเสียใจอีกต่อไป
“อย่ามัวพูดมากเลย ไปอาบน้ำเถอะ จะได้นอนซะที”
ผมไล่เขาไปอาบน้ำ เพราะผมเองก็อยากจะพักผ่อนเต็มที พอได้ยินคำว่านอนหลุดจากปากผม เดียร์ก็ทำตาเจ้าเล่ห์ แลบลิ้นเลียริมฝีปาก ทำหน้าหื่นๆใส่ผม ด้วยความหมั่นไส้ ผมจึงผลักเขาหน้าหงาย รีบลุกเดินหนีไป มีเสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กจากเดียร์ดังไล่หลังมา ผมไม่ได้หันไปมอง นึกขวางเจ้าเด็กบ้านั่นที่กวนประสาทไม่ลดละ อยู่ๆผมก็หัวเราะกับตัวเอง บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงโกรธเด็กหนุ่มไม่ลง เขาสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ผม ด้วยการแทะโลมด้วยคำพูด และกริยาท่าทางต่างๆ นัวเนียชิดใกล้ตามติดตลอดเวลา ความรำคาญแต่เก่าก่อนถูกแทนที่ด้วยความพึงพอใจที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าเด็กลูกครึ่งคนนี้เป็นบุคคลที่อันตรายเสียจริง อยู่ใกล้แล้วทำให้ไหวหวั่น ต้องพยายามหนีให้ไกลจากเขา เพื่อความปลอดภัยของหัวใจตนเอง
ตอนที่ผมเดินลงมาข้างล่างอีกครั้งก็พบว่าเดียร์อาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาอยู่ในชุดเสื้อกล้าม และกางเกงผ้ายืดหลวมๆสีขาวสะอาดตา กำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ ผมเดินเฉียดกรายเข้าไปใกล้ดูว่าเขาเปิดเวปอะไรอยู่ ก็พบว่า เด็กหนุ่มกำลังโหลดเพลงจากในอินเตอร์เนต แปะไว้ในเครื่องให้ผมอยู่ เขาหันมายิ้มกว้างให้ผม ดวงตาเป็นประกายสุกใส
“ไม่ต้องหันไปมอง แค่ได้กลิ่น ก็รู้ว่าเป็นเรียวอ่ะ”
“อื้ม ไม่ยักรู้ว่าดมกลิ่นก็เป็น แย่งหน้าที่เจ้าหญิงทำตั้งแต่เมื่อไร่เนี่ย น่าจะไปทำงานกับกองพิสูจน์กลิ่นนะ แต่เอาเถอะ รู้ว่าเก่ง ไม่ต้องทำมาเป็นพูดเพื่อให้ทึ่งหรอก อยู่กันสองคนแค่นี้ แล้วฉันก็ไม่ได้เดินแบบย่องเบา ใครก็เดาออก ถ้าไม่ใช่นาย ก็ต้องเป็นฉันนะแหละ เดากี่ครั้งก็ถูกล่ะ”
ผมค่อนขอดเขา เดียร์หัวเราะก๊าก ยื่นมือออกมาเพื่อฉุดผมไปนั่งบนตักของเขา ผมขัดขืน แต่เขาออกแรงทีเดียวก็ดึงผมจนเซมาปะทะเขาจนได้ ผมประมาทไปหน่อยคิดว่าเขาเป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ลืมไปว่าเขาเคยเป็นนักมวยมาก่อน จึงมีเรี่ยวแรงมากมายจนเกินกว่าที่พละกำลังอย่างคนทำงานแบบผมจะไปต่อกรกับเขาได้
เด็กหนุ่มโอบแขนไปรอบเอวของผมอย่างรวดเร็ว และรั้งให้มานั่งที่ตักเขา และซบหน้าลงกับหลังของผม พลางละเลงจูบไปทั่ว ถึงแม้จะมีเสื้อผ้ากั้นอยู่อีกชั้น แต่ดูเหมือนความร้อนแรงแห่งอารมณ์ของเดียร์จะแทรกผ่านเนื้อผ้าลงสู่ผิวกายของผมจนร้อนผ่าวไปทั่ว
“แล้วมันทำให้เรียวตาสว่างขึ้นหรือเปล่าละครับ ผมรู้ว่า ถ้าพูดอะไรออกไปที่มันขัดหูเรียว คุณก็จะอดไม่ได้ที่จะโต้ตอบผม มันได้ผลทุกครั้งเลยอ่ะ เพราะว่าคุณพร้อมที่จะต่อต้านผมอยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็ชอบนะ ทะเลาะกันไป แหย่กันมา เดี๋ยวเรียวก็รักผมเองนะแหละ จริงไหม”
เดียร์ถามผมด้วยเสียงอ่อนหวาน ผมไม่ตอบ เพราะไม่อยากโกหกทั้งเขาและตนเอง ที่เด็กหนุ่มพูดมาก็ถูกหลายอย่างทั้งเรื่องที่ผมพยายามต่อต้านเขา กับเรื่องที่ยิ่งทะเลาะก็ยิ่งรัก สิ่งเหล่านั้นมันได้เกิดขึ้นกับผมจริงๆ ผมจึงยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้ การหลีกเลี่ยงจากเขาจะทำให้หัวใจของผมเข้มแข็งขึ้น ไม่ถลำตัวไปรักเขาง่ายๆ
“ไม่ง่วงหรือไง”
“ยังหรอกครับ ผมกำลังเลือกเพลงเพราะๆใส่เครื่องคอมไว้ให้เรียว เวลาเรียวมาเปิดคอมพิวเตอร์ ทำงานไปด้วย ฟังเพลงไปด้วย จะได้เพลินๆไงครับ แล้วก็จะได้คิดถึงผมด้วยอ่ะ”
เด็กหนุ่มตอบผมยิ้มๆ เขาจูบที่ซอกคอของผม เล่นเอาขนลุกซู่ ผมพยายามจะลุกขึ้น แต่เขาก็กอดเสียแน่น จนหนีไม่ได้
“กอดเรียวแบบนี้ได้อารมณ์ดีจัง คิดถึงค่ำคืนนั้นมากๆเลยนะครับ เราไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นกันมาตั้งนานแล้วนะ เรียวไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไงครับ”
เดียร์พึมพำอยู่ข้างซอกหูของผม ปากและลิ้นก็แตะไล่เลื่อยไปทั่วซอกคอและใบหู ผมพยายามเบี่ยงตัวหนี แต่ก็ไปได้ไม่ไกลเกินอ้อมกอดของเขาที่กางกั้นอยู่
“ไม่ได้ทำก็ดีแล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าหมกมุ่นเรื่องเซ็กส์ให้มากนัก จะเสียทั้งงานและการเรียน”
ผมทำเสียงจริงจัง เหมือนพวกพ่อแม่ที่ดุว่าบุตรหลานให้สนใจเรื่องเรียนมากกว่าเรื่องรัก จุดประสงค์คือต้องการจะหยุดยั้งการเล้าโลมของเขา เพราะมันเริ่มจะทำให้อารมณ์ของผมเริ่มปั่นป่วนขึ้นอีกแล้ว เดียร์ไม่ยอมหยุดจูบผม คราวนี้เขาใช้ลิ้นเลียไปที่ใบหูและชอนใชเข้าไป จนผมต้องทำคอย่นด้วยความรู้สึกเสียวซ่าน
“ไม่อยากเป็นเด็กเลยครับ ตอนนี้อ่ะ อยากเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ จะได้ทำอะไรตามใจตัวเองได้เต็มที่ เวลาจะรักใคร ก็แสดงออกได้ตามต้องการ โดยที่ไม่มีใครมาคอยว่า เราเป็นเด็ก แหม ทำอย่างกับว่า เด็กไม่มีหัวใจงั้นแหละ ถึงอย่างไร ผมก็โตพอที่จะรักและรับผิดชอบชีวิตของเรียวได้ก็แล้วกัน ผมน่ะนะ พร้อมเต็มที่เลย ถ้าเรียวให้โอกาสผมละก็ ผมก็จะพิสูจน์ให้เรียวเห็นว่า ผมน่ะ รักคุณมากมายแค่ไหน ผมยินดีอุทิศชีวิตของผมทั้งชีวิตเพือ่ดูแลเรียวเพียงคนเดียว จริงๆนะ”
น้ำเสียงมุ่งมั่นของเขา ทำให้ผมต้องแอบถอนหายใจ รู้สึกเป็นปลื้มกับสิ่งที่ได้ยิน แต่มันก็ผสานไปกับความรู้สึกเสียดาย ทำไมเรื่องแบบนี้ จึงบังเอิญมาเกิดระหว่างผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันนะไมตอนที่ผมคบกับอรจิรา หรือผู้หญิงคนอื่นก่อนหน้านั้นถึงไม่มีใครมาทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นในหัวใจได้เท่ากับที่เดียร์ทำให้ผม หรือว่าโชคชะตาจะเล่นตลกให้ผมได้มีคู่ครองเป็นผู้ชายด้วยกัน ยิ่งคิดผมก็ยิ่งหวั่นใจ กลัวว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ
“เอาเถอะ อยากพยายาม หรือจะทำอะไรก็เชิญเลย ไม่ว่ากัน เพราะฉันก็มั่นคงในความคิดของฉันเหมือนกัน ว่าไม่มีทางที่นายจะทำให้ฉันสามารถเปลี่ยนใจฉันได้”
ผมบอกเขาไปอย่างเชื่อมั่น เดียร์กอดผมแน่นเข้าไปอีก แล้วก็พูดใกล้ๆหูผมว่า
“งั้นเราลองมาพนันกันสักตั้งไหมครับ ถ้าภายในหกเดือนนี้ ผมสามารถทำให้เรียวรักผมไม่ได้ ผมจะยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียวปรารถนา แม้ว่าจะต้องเป็นการจากไปก็ตาม”
“เอ๊ะ มันก็อยู่ในข้อสัญญาอยู่แล้วนี่”
ผมแย้งเขาด้วยความสงสัย
“ครับ แต่ผมเพิ่มว่า ผมยินดีทำทุกอย่างที่เรียวต้องการไงครับ จะให้ผมขึ้นเขา ลงห้วยอย่างไรก็ยอม จะให้ดูแลปรนนิบัติ ทำงานบ้าน ทำกับข้าวไปตลอดก็ได้”
“...”ผมยังคงเฉย สิ่งที่เขาเสนอ ยังไม่เห็นว่าน่าสนใจตรงไหน
“ถึงแม้ว่าเราจะเลิกราต่อกันแล้ว แต่หากเรียวต้องการให้ผมมาหา ผมก็จะมาในทันใด หรือจะปฏิบัติกับผมอย่างเป็นคนที่คอยปลดเปลื้องอารมณ์ให้เรียวก็ได้ ผมยอมทั้งนั้น”
ดูเด็กบ้านี่พูดเข้าสิ ถ้อยคำที่บอกมาแต่ละอย่างมีแต่เขานั่นแหละที่ได้ประโยชน์
“ไม่เอาดีกว่า นายมาวนเวียนอยู่ใกล้ฉัน เดี๋ยวก็ลวนลามฉันอีกจนได้ อยู่ห่างกันหลังจากหกเดือน ตามข้อตกลงก็ดีแล้ว”
“แหมเรียวอ่ะ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าพนันกันได้ไงละครับ มันต้องมีของเดิมพันสิ”
“ก็ฉันไม่คิดจะพนันกับนายนี่ ถึงยังไงฉันก็ชนะอยู่วันยังค่ำ นายอย่าพยายามเลย ฉันไม่มีทางเปลี่ยนใจง่ายๆหรอก”
ผมยังคงเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง เดียร์อึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วก็พยายามต่อ
“แล้วถ้าผมชนะละครับ หากผมทำให้เรียวมารักผมได้อ่ะ เรียวจะว่าอย่างไร”
หลังจากนิ่งอึ้งฟังคำท้าทายจากเขา ทิฐิมานะที่มีอยู่ในใจทำให้ผมกล้าเอ่ยพนันขันต่อกับเขาออกไป
“ถ้านายมีความสามารถแบบนั้นจริงๆนะ ฉันก็จะยอมทำทุกอย่างตามที่นายต้องการ ไม่ว่านายอยากให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะทำทั้งนั้น”
เด็กหนุ่มนิ่งขึงไปชั่วครู่ เหมือนกับกำลังใช้ความคิดอยู่ พักหนึ่ง เขาก็เอ่ยคำถามผม เพื่อเน้นย้ำความเข้าใจให้กับตนเอง
“ไม่ว่าอะไร ก็จะทำหรือครับ”
“ใช่ ถ้าฉันแพ้พนัน นายอยากได้อะไร ก็บอกมาได้เลย”
“ถ้าผมขอมีอะไรกับเรียวทุกวันเลยอ่ะ”
เด็กหนุ่มถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่ได้เล่นทะเล้นทะลึ่งอย่างเคย เวลาที่พูดถึงเรือ่งนี้ ผมอึ้งไปอึดใจ แต่ด้วยความมั่นใจว่าผมจะชนะพนันรักครั้งนี้แน่นอนผมเลยรับสิ่งที่เขาพูด
“ก็ถ้านายทำให้ฉันรักนายได้จริงๆภายใน หกเดือนนี้ ก็ถือว่าฉันแพ้พนันนาย ฉันจะยอมมีอะไรกับนายทุกวันเลย”
“จำคำพูดไว้ให้ดีนะครับ ต้องให้ผมจดบันทึกเป็นหลักฐานไว้ไหม”
เดียร์ถามผม พลางหลิ่วตาล้อ ผมไม่ชอบสีหน้าแบบนี้ของเขาเลย มันดูท้าทายยังไงไม่รู้คิดว่าผมไม่กล้าทำจริงเหรอ เอาล่ะ ไม่ว่านี่จะเป็นหลุมพรางที่เขาดักล่อ หรือเปล่า ผมก็พร้อมที่จะกระโจนลงไป อย่างไรเสียหากผมต้องแพ้พนันกับเขาจริงๆ ก็แปลว่า ผมกับเขารักกัน ดังนั้นการจะมีอะไรกันคงไม่แปลก แต่ผมอาจจะให้เขาเป็นฝ่ายรับดูบ้าง ไม่ยอมให้เขาทำคนเดียวหรอก
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก ฉันจดจำคำพูดของฉันได้”
ผมว่าอย่างหมั่นไส้ เดียร์ยิ้มกริ่ม ยื่นหน้ามาใกล้
“ถ้างั้นขอจูบมัดจำไว้ก่อนเลยนะครับ”
ไม่พูดเปล่า เขากลับหมุนตัวผมให้หันมาหาเขา แล้วจูบปากผมอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้อนุญาต ผมหายใจหายคอแทบไม่ทันเมื่อเขาระดมจูบผมไม่ยั้ง
“นี่นี่นี่........”
ผมร้องอย่างทนไม่ไหว พยายามแกะไม้แกะมือเขาที่กอดรั้งตัวผม เดียร์จูบที่ซอกคอผมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะคลายมือออก แล้วหัวเราะหึหึ ท่าทางสมใจที่ได้ล่วงเกินผมอย่างที่ตัวเองต้องการผมลุกขึ้นยืน ทำหน้าไม่พอใจ
“ฉวยโอกาสตลอดเวลาเลยหรือไงห๊ะ อยู่เฉยๆเป็นบ้างไหมเนี่ย ละเมิดสัญญาตลอดเวลาเลยนะ”
เดียร์ยิ้มกริ่ม ทำท่าอ้อนใส่ผม
“ก็เพราะว่าผมรักเรียวมากไงครับ อยู่ใกล้ทีไรก็อดใจไม่ไหวทุกทีเลย แต่ว่า ดูท่าทางเรียวก็ชอบเหมือนกันนะ เวลาที่ผมจูบทีไร เรียวก็จูบตอบทุกทีเลย ....”
ผมยังคงหน้าบึ้งอยู่ เดียร์จึงยื่นมือมาแตะผมเบาๆ แต่ผมสะบัด เดียร์ก็เลยคว้าข้อมือผมไว้ แล้วก็ดึงให้เข้ามาหาเขา
“เราอย่างอนกันเลยนะ ผมไม่ทำแบบนั้นอีกแล้วก็ได้ มานั่งตรงนี้ดีกว่านะครับ ผมมีโปรแกรมอะไรจะมาเสนอคุณน่ะ บางทีคุณอาจจะชอบก็ได้”


ออฟไลน์ Seiki

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2726/-64
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่5 6/1/09
«ตอบ #38 เมื่อ06-01-2009 18:21:50 »

ตามอ่านต่อนะ  :L2:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่5 6/1/09
«ตอบ #39 เมื่อ06-01-2009 19:32:08 »

แหม๋ งานนี้ใครจะชนะพนันล่ะ  :man1: :man1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่5 6/1/09
« ตอบ #39 เมื่อ: 06-01-2009 19:32:08 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






va_yu

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่5 6/1/09
«ตอบ #40 เมื่อ06-01-2009 23:17:07 »

ใจแข็งจริงๆเลยเรียว....คนอ่านลุ้นแล้วลุ้นอีก

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่5 6/1/09
«ตอบ #41 เมื่อ07-01-2009 00:00:58 »

 :give2:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
«ตอบ #42 เมื่อ07-01-2009 13:05:26 »

บทที่ 6

เห็นหน้าอ้อนๆ บวกกับสายตาอ่อนหวานที่มองมายังผม ทำให้ผมต้องใจอ่อนให้เขาอีก เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ผมนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆเขาอย่างว่าง่าย
“อันนี้เป็นโปรแกรมสำหรับแชตนะครับ มีหลายอย่างเลย แต่ที่ผมเล่นบ่อยจะเป็นอันนี้”
เดียร์เปิดโปรแกรมที่มีไว้สำหรับพูดคุยกันให้ผมดูโปรแกรมหนึ่ง เขาแนะนำว่ามันช่วยทำให้คนใกล้ชิดกันมากขึ้น ติดต่อกันได้ไวขึ้น สะดวกพอๆกับการใช้โทรศัพท์ แต่เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า การโทรคุยกันโดยใช้มือถือ แถมซ้ำยังสามารถคุยโดยได้ยินเสียง และเห็นภาพได้ด้วย ผมเองก็พอจะรู้บ้างเหมือนกัน บางทีก็เห็นน้องๆในฝ่ายมันแอบเล่นกันหลังเลิกงาน แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะผมไม่ได้ติดต่อพูดคุยนอกจากเพื่อนๆที่ทำงาน และยังเห็นว่ามันไร้สาระอีกด้วย ในเมื่อเราก็เจอกันพูดคุยกันในที่ทำงานแล้ว คิดถึงก็โทรหากัน ไม่เห็นจำเป็นต้องคุยกันทางอินเตอร์เนตนี่
เด็กหนุ่มลงชื่อสมัครให้ผมด้วย แม้ว่าผมจะปฏิเสธเพราะไม่เห็นประโยชน์จากการทำอย่างนั้น แต่เขาก็ยังดื้อดึง ถามข้อมูลผม และจัดการให้เรียบร้อย ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ายอมบอกเขาไปทำไม สงสัยคงเป็นเพราะแววตาใสซื่อกับท่าทีกระตือรือร้น และคำพูดเชิญชวนที่บอกว่า เขาจะไปทัวร์คอนเสิร์ตแล้วในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้าต้องซ้อมหนักเกือบทุกวันก่อนที่จะไปทัวร์คอนเสิร์ตกับนักร้องชื่อดังตั้งสองสัปดาห์ คงไม่มีเวลาได้มาหาหรือคุยกัน แต่เวลาที่ว่างซ้อมเขาจะมานั่งที่ร้านเนต ผมกับเขาจะได้มีโอกาสคุยกันได้ เพราะบางทีสัญญาณมือถืออาจจะไม่มีก็ได้ แล้วบางทีเขาก็อาจจะฝากข้อความไว้ในอีเมล์ผมด้วย ผมจึงได้ยอมตกลง
“ถ้าหากเรียวมีกล้องนะ เราก็สามารถมองเห็นกันทางเวปแคมได้ด้วยนะ แล้วถ้าซื้อไมค์มาติด ก็ยังคุยกันได้อีกอ่ะครับ ตอนนี้ ร้านเนตอ่ะ มักจะมีกล้องและไมโครโฟนบริการลูกค้าแล้ว ค่าชั่วโมงก็ถูกด้วย”
เดียร์บอกผมด้วยดวงตาเป็นประกาย ดูเหมือนเขาจะพยายามโน้มน้าวใจของผม ให้ติดต่อกับเขาด้วยวิธีนี้อีกทางหนึ่ง แต่ผมไม่รับมุข
“ฉันไม่มีเวลาว่างขนาดนั้นหรอก”
“ก็ไม่ต้องตั้งอกตั้งใจเล่นก็ได้ครับ เจ้าโปรแกรมนี่ พอเราเปิดเครื่องอ่ะ มันก็จะเด้งขึ้นมาให้อัตโนมัตินะ เวลามีคนมาทักเรามันก็จะขึ้นเป็นแถบสีส้มมาให้เห็น กับมีเสียงเรียก แต่ถ้าเรียวไปเปิดในที่ทำงานอ่ะครับ เรียวก็ปิดเสียงเอาไว้ จะได้ไม่มีใครได้ยิน นี่ผมแอดอีเมล์ของผมไว้ในเครื่องเรียวแล้วนะครับ ถ้ามีคนทักมาก็ผมนี่แหละครับ ไม่มีคนอื่น”
“ยิ่งไม่น่าเปิดใหญ่”
“แหม เรียวอ่ะ ใจร้ายจังเลยนะ ไม่คิดถึงผมบ้างเหรอ เดือนหน้า ผมไม่อยู่ด้วยเกือบสามอาทิตย์แน่ะ นี่ผมขาดทุนนะเนี่ย ไม่ต่อเวลาให้ผม ก็น่าจะให้โอกาสผมได้พูดคุยกับเรียวบ้าง ทางโทรศัพท์ หรือทางอินเตอร์เนตก็ได้ ผมน่ะ คงจะขาดใจตายแน่ๆเลย ถ้าไม่ได้เจอ ได้คุยกับคุณอะครับ เรียวอ่ะ จะคิดถึงผมบ้างหรือเปล่าน้า”
เด็กหนุ่มทำเสียงออดอ้อน ผมมองหน้าเด็กหนุ่ม แล้วเกิดใจหายขึ้นมา นี่เขาจะไม่อยู่ตั้งสามอาทิตย์เชียวเหรอ อาทิตย์หน้านี่แล้วด้วย ผมตอบไม่ถูกว่าจะคิดถึงเขาบ้างหรือเปล่า เหตุการณ์ยังมาไม่ถึง ก็เลยไม่อาจจะรู้จิตใจตนเอง อาจจะเหงา หรืออาจจะสบายอกสบายใจที่ไม่มีใครมากวนก็ได้
“ฉันจะไปนอนแล้วล่ะ ดึกแล้ว นายจะเล่นต่อก็ได้ แล้วปิดเครื่องให้ด้วยแล้วกัน”
ผมลุกขึ้นยืน เตรียมตัวจะขึ้นไปนอน เดียร์ยึดมือผมไว้ แล้วทำหน้าอ้อนๆ
“รอด้วยสิครับ ผมไปนอนด้วยคน ง่วงเหมือนกันนะ”
“ง่วงก็นอนสิ ที่นอนนายก็ที่เดิมในห้องรับแขกอ่ะ”
เด็กหนุ่มทำปากยื่น ทำหน้าเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจ ร้องโวยวายว่า
“ทำไมยังให้นอนที่ห้องรับแขกอีกละครับ ผมไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเรียวอีกแล้วนะ”
“ทุกทีก็เคยนอนที่โซฟาได้ แล้วทำไมตอนนี้กลับจะมาทำเป็นเรื่องมากอีกอ่ะ”
“ก็นั่นมันก่อนที่เราจะมีอะไรกันนี่ครับ แต่ตอนนี้ผมกับเรียวก็ใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำไมถึงอนุญาตให้ผมไปนอนด้วยในห้องไม่ได้ล่ะครับ อีกอย่างผมก็ไม่ได้มาบ้านเรียวบ่อยๆ นานๆมาที อาทิตย์หน้าก็ไม่ได้มา แล้วจะไม่ได้มาอีกตั้งสามอาทิตย์แน่ะ ถ้าต้องนอนคนเดียว โดยที่ต้องฝันถึงสามอาทิตย์ที่จะได้เจอกันอีกครั้ง แบบนี้ไม่ไหวแน่ ผมคงตายไปเสียก่อน ยังไงก็สงสารผมหน่อยนะครับ เห็นแก่หนุ่มน้อยที่คลั่งรัก ตาดำๆคนนี้เถอะครับ อย่าทำให้ผมเป็นบ้าไปมากกว่านี้เลยนะ”
เด็กหนุ่มหว่านล้อมผมด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน และหน้าตาที่น่าสงสาร ผมสบตาเขาแล้วก็ต้องถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม เจ้าเด็กบ้านี่ ขอร้องมากมายเสียจริง แล้วผมก็ใจอ่อนให้กับแววตาซื่อใสนั้นทุกทีไป ปีศาจชัดๆ เขาคงเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการที่จะสะกดจิตใจผู้คนให้ทำตามที่เขาต้องการ
ถ้าไม่เห็นว่าจะไม่ได้เจอกันถึงสามอาทิตย์ผมคงไม่ยินยอมตกลงหรอก เจ้าเด็กลูกครึ่งปีศาจคนนี้ดีกับผมอย่างมากมาย ทำทุกอย่างให้โดยไม่ปริปากบ่น เขาทำให้ผมเชื่อได้จริงๆว่าเขาพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณของผม แล้วผมก็เชื่อด้วยว่าทุกอย่างที่เขาทำไป ล้วนแล้วแต่มาจากพลังแห่งความรักที่เขามีต่อผมทั้งสิ้น
แต่เรื่องที่ทำให้ผมลำบากใจก็คือผมไม่อาจจะทำให้ยอมรับรักที่เขามอบให้กับผมได้ พอเขาดีมากๆ ผมก็ร้ายใส่เขาก็ไม่ได้ จะเออออห่อหมกไปด้วยก็ไม่ได้อีกผมรู้สึกสับสนไปหมด ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรอีกแล้ว เขาทำให้กระบวนการทางความคิดผิดชอบชั่วดีของผมรวนไปหมดแล้ว
เด็กหนุ่มกุลีกุจอ ปิดเครื่องคอม แล้วเดินตามผมขึ้นไปบนห้องอย่างว่าง่าย ผมให้เขานอนบนเตียงด้วยกัน แต่คนละฝาก เขาขอไม่ให้ผมเอาหมอนข้างมากั้นกลางแล้วก็ขอให้ผมนอนหันหน้ามาทางเขาด้วย เพราะอยากจะเห็นหน้าผมชัดๆ เนื่องจากจะไม่ได้เจอกันอีกหลายวัน ผมยอมตามใจเขา แลกกับการที่ไม่ต่อเวลาในสัญญาให้ ถือว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขาดันมีงานติดพันกันเอง ไม่เกี่ยวกับผม เดียร์พยายามออดอ้อนให้ผมทดเวลาให้เขา แต่ผมปฏิเสธ เขาทำหน้าผิดหวัง แต่ก็ยอมโดยดี
“พอผมกลับมา สองวันถัดจากนั้นก็ตรงกับวันเกิดผมพอดี เรียวรู้ไหมครับ ผมเกิดวันคริสต์มาสด้วยนะ เกิดวันที่ 25 ธันวาคมอ่ะครับ ซานตาครอส คงเอาผมมาส่งผิดบ้านอ่ะ เลยทำให้ผมต้องโชคร้ายมาตั้งแต่เด็กๆไม่มีใครรักผมเลย”
ท้ายประโยคดูน้ำเสียงเศร้าเหลือเกิน ดวงตาของเด็กหนุ่มมีแววเจ็บปวดให้เห็นแต่ก็เพียงแว่บเดียว เขาก็กลับมาร่าเริงต่อ
“ผมอายุ 19 แล้วนะครับ อีกปีเดียวก็บรรลุนิติภาวะแล้ว ผมจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เรียวก็ไม่ต้องกังวลใจที่ผมเป็นเด็กแล้ว สามารถมีอะไรกับผมได้อย่างเต็มที่เลยนะครับ”
กำลังนอนฟังเขาพูดเพลินๆ อยู่ดีๆก็เหมือนถูกหมัดฮุคที่กลางลำตัวด้วยประโยคสุดท้ายของเขา เจ้าเด็กลามกเอ๊ย คิดแต่จะมีเซ็กส์กับผมหรือไงวะ
“ทำไมฉันจะต้องอยากมีอะไรกับนายด้วย พูดแบบนี้หมายความว่าไง คิดว่าฉันอยากจะมีอะไรกับนายงั้นรึ”
ผมพูดอย่างฉุนๆ หนอยแน่ะ เจ้าบ้านี่ หลวมตัวไปมีอะไรด้วยแค่นี้ คิดว่าผมติดใจเขานักหรือไง เดียร์มองหน้าผมทำท่าขำที่ผมอารมณ์เสียขึ้นมา เขาหัวเราะร่วน
“ก็เรียวเคยบอกไว้นี่ครับ ว่าไม่ชอบยุ่งกับคนที่ไม่บรรลุนิติภาวะ แล้วก็ชอบหาว่าผมเป็นเด็กเป็นเล็กด้วย ถ้าผมโตแล้ว เรียวก็ยุ่งกับผมได้นี่ครับ ไม่ต้องเจอข้อหาพรากผู้เยาว์ด้วยนะ แล้วผมก็เต็มใจยุ่งกับเรียวด้วย เรียวไม่ติดคุกหรอกครับ ผมสมยอม”
“แต่ก็ตั้งอีก 1 ปีกว่าที่นายจะโตเป็นผู้ใหญ่พอ ตอนนี้แค่ 19 ก็ถือว่ายังเด็กอยู่ดี อีกอย่างไม่ว่านายจะอายุเท่าไหร่ฉันก็ไม่อยากยุ่งด้วยหรอก”
ผมทำเป็นไม่ใส่ใจใยดีกับเขา เพื่อให้เขาเสียใจ จะได้เลิกพยายาม
“เฮ้ออออออ” เดียร์ถอนหายใจยืดยาว
“ช่างเป็นเรื่องที่ฟังแล้วชวนให้ทรมานใจทั้งยามหลับและยามตื่นเสียจริง ไม่เป็นไร ผมจะพยายามทำให้เรียวรักผมให้จงได้ ภายใน 6 เดือนนี้ ว่าแต่ เรียวครับ จะวันเกิดผมแล้วอ่ะ ไม่คิดอยากจะให้ของขวัญอะไรผมบ้างเหรอ ถือว่าทดแทนที่ผมต้องสูญเสียเวลาที่จะทำคะแนนกับเรียวไปตั้ง 3 อาทิตย์แน่ะ แล้วก็เป็นช่วงคริสต์มาสต่อปีใหม่ด้วย รวบไปเลยทีเดียว”
ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่นอนตะแคงตรงข้ามผม เขายิ้มให้ ส่งสายตาออดอ้อนออเซาะเต็มที่ ใจนึกอยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาควรจะได้รับการชดเชยในสิ่งที่เสียไป ในเมื่อผมไม่ให้เขาทดเวลาที่เขาไปทัวร์คอนเสิร์ต ผมก็น่าจะให้อะไรเขาเป็นพิเศษบ้าง ที่ผ่านมา เดียร์ทำอะไรหลายอย่างให้ผม โดยที่ผมมีโอกาสตอบแทนเขาเพียงน้อยนิด เนืองจากเขาไม่ยอมคิดค่าใช้จ่ายใดๆกับผมเลยสักครั้ง ครั้งนี้ก็ถือโอกาสตอบแทนเขาบ้างแล้วกัน
“อยากได้อะไรล่ะ ถ้าให้ได้ฉันจะให้”
ผมบอกเขาในที่สุด เดียร์ทำตาโต ผลุดลุกขึ้นมานั่ง ท่าทางดีอกดีใจ
“โอ๊ย มีตั้งเยอะแน่ะครับ อยากได้หลายอย่างมาก”
“ก็เอาสิ มากกว่า หนึ่งอย่างก็ได้ ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรงนะ ขอมา ก็จะให้”
เดียร์ตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ ไล่นิ้วมือไปมา แล้วบอกผมมาทีละข้อ
“อย่างแรกเลยที่อยากได้ คือ กุญแจบ้านของเรียว เวลาที่ผมมาบ้านนี้ ผมจะได้สามารถไขเข้ามาได้เลย อย่างน้อยๆ ก็มาทำกับข้าวไว้รอท่า ปัดกวาดเช็ดถูบ้านให้ อาบน้ำเจ้าหญิง และเอาข้าวให้กิน ไม่ต้องมานั่งรอที่หน้าบ้านให้ยุงกัดเล่นอ่ะครับ”
“อืม”
“สิ่งที่อยากได้ต่อมาก็คือ อยากให้เรียว ยอมให้ผมขึ้นมานอนในห้องนี้ด้วยทุกครั้งที่เรามาเจอกัน ไม่ต้องให้ผมไปนอนข้างล่างคนเดียว อยากให้อนุญาตโดยที่ผมไม่ต้องร้องขออะครับ”
“อย่างอื่นละ”
“ผมอยากให้เรียวยอมรับกับคนอื่นครับ ว่าผมเป็นแฟนของเรียว และอยากจะให้เราคบกันอย่างเปิดเผยนะครับ แต่มันอาจจะยากไปสำหรับเรียว ถึงยังไงก็อยากให้ลองพยายามดูนะครับ”
“..”
“อยากเป็นแฟนกับเรียวไปตลอดชีวิต อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แค่ 6 เดือนนี้เท่านั้น ไม่อยากให้มีกำหนดเวลาระหว่างเรานะครับ ถึงแม้ว่าเราจะเริ่มต้นกันด้วยการทำสัญญา แต่ผมอยากจะให้เราลงเอยกันด้วยความรัก โดยมองข้ามข้อความตามสัญญาไปนะครับ”
“แค่นี้เหรอสิ่งที่นายอยากได้”
“มีอีกข้อครับ ข้อนี้สำคัญสำหรับผมกับเรียวมากจริงๆ แต่พูดออกไปแล้วอย่าโกรธผมนะครับ แต่หากเรียวทำได้ จะเป็นของขวัญชั้นยอดสำหรับผมเลยนะครับ แล้วแถมซ้ำเรียวก็จะมีความสุขไปกับมันด้วยครับ”
เด็กหนุ่มยังไม่ยอมบอกสิ่งที่เขาอยากจะได้มันในข้อสุดท้าย ท่าทางกล้าๆกลัวๆที่จะพูด จนผมต้องดุใส่เขา เพื่อให้บอกออกมา
“ผมอยากมีอะไรกับเรียวทุกวันเลยครับ อย่างน้อย วันละ 2 ครั้งก็ยังดี มันจะทำให้เราทั้งคู่ได้ใช้เวลาอย่างมีความสุขร่วมกันไงครับ”
ของขวัญข้อสุดท้ายที่เขาอยากได้ เล่นเอาผมนั่งอึ้ง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่หลายวินาที พ่อเจ้าประคุณรุนช่องเอ๊ย ของที่พ่อขอแต่ละอย่างมีแต่เขาเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ ผมน่ะ เสียเปรียบเต็มๆ แล้วแบบนี้ใครจะไปยอมกันเล่า
“เท่าที่ฟังมานะ ไม่มีอะไรที่ให้ได้เลยสักอย่าง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ฉันจะพานายไปเลี้ยงฉลองวันเกิดดีกว่า นายเลือกเอาสักที่หนึ่ง อยากจะไปที่ไหนก็บอก ฉันเป็นเจ้ามือเอง เป็นต่างจังหวัดก็ได้นะ นายไม่ต้องลงมือทำกับข้าวหรือทำอะไรทั้งนั้น วันเกิดของนายควรจะเป็นวันพักผ่อน ไม่จำเป็นต้องไปเหนือ่ยมาทำอะไรต่ออะไรให้ใครหรอก”
นอกจากผมจะไม่ให้ในสิ่งเขาขอแล้ว ผมยังตัดสินใจที่จะเลือกของขวัญให้เขาเอง พาเดียร์ไปกินอาหารอร่อยๆในร้านหรูๆดีกว่า เด็กบ้านี่จะได้พักผ่อนบ้าง แล้วเขาอาจจะได้สัมผัสบรรยากาศ และชิมอาหารที่อร่อยๆ ซึ่งอาจจะมีประโยชน์ต่ออาชีพของเขาก็ได้ ผมพูดดักไว้ด้วยเลย เพราะรู้ดีว่า เดียร์ขี้เกรงใจ เขาไม่อยากให้ผมเสียเงินเสียทองเพื่อเขา ดังนั้นเขาคงเลือกที่จะเป็นฝ่ายทำอาหารให้ผมกินมากกว่าจะไปสิ้นเปลืองข้างนอก แต่ผมยอมให้เขามาทำกับข้าวให้ผมกินในวันเกิดของเขาเองไม่ได้หรอก ผมพาเขาไปกินอาหารข้างนอกบ้านดีกว่า
เดียร์ร้องว้าอย่างผิดหวังที่ผมไม่ตามใจให้ในสิ่งที่เขาต้องการ แต่แล้วก็เหมือนว่าเขาทำใจยอมรับสภาพได้ เขากลับยิ้มแย้มอีกครั้ง
“ไม่ตรงกับสิ่งที่คาดหวัง แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ได้เท่านี้ก็ดีใจแล้ว เรียวไม่ค่อยออกไปข้างนอกบ้านเท่าไหร่ การที่เรียวตั้งใจจะพาผมออกไปกินข้าวข้างนอกด้วย แค่นี้ผมก็มีความสุขมากเลยนะครับ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า เรียวเห็นว่าผมสำคัญกับเรียวจริงๆ”
เขาไถลตัวลงบนที่นอน ตะแคงข้างมาทางผมแล้วยิ้มให้ ผมยิ้มตอบเขา
“นี่นี่นี่ เรียวฮะ ผมบอกเรียวไปหรือยังครับว่าหน้าของเรียวใสมากเลย ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรียวจะอายุ 27 ปี แล้ว หน้าตาของเรียวอ่อนเยาว์มากเลยครับ แถมซ้ำยังเป็นคนหน้าตาดีมากอีกด้วย ผมชอบมองใบหน้าของเรียวมากที่สุดเลยครับ”
“ขอบใจมากนะ นายเองก็หน้าตาหล่อเหลาไม่เบาเหมือนกัน หุ่นก็ดีด้วย ฉันไม่ค่อยชมใครหรอกนะ แต่เห็นว่านายชมฉัน ฉันก็เลยชมนายตอบบ้าง”
ผมพูดจาสัพยอกเขากลับไป เดียร์ยิ้มกริ่มหูตาแพรวพราว
“เราถึงได้เหมาะสมกับไงครับ เรียวก็หน้าตาดี ออกหวานนิดๆ ส่วนผมก็หล่อเข้ม มาดแมน เราสองคนเป็นคู่ที่เพอร์เฟคที่สุดเลย เรียวคิดว่างั้นไหมครับ”
หลังจากพูดเข้าข้างตัวเองจบประโยค เขาก็ถามเพื่อให้ผมคล้อยตามเป็นพวก แต่ผมรู้ทันรีบชิงปิดเปลือกตาลงเสียก่อน ทำทีว่าต้องการหลับ เพื่อยุติการสนทนา
“อ้าว เรียวครับ ยังไม่ตอบผมเลยนะ ว่าเห็นด้วยหรือเปล่า”
เขายังคงคาดคั้น ผมซ่อนยิ้มไว้ในหน้าไม่ยอมให้มันเผยออกมา รู้สึกขำเจ้าเด็กซนคนนี้ที่อยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นดั่งใจตัวเองยิ่งนัก
“ไม่มีความเห็นหรอก ง่วงนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องทำงานแต่เช้า เชิญนายเพ้อไปคนเดียวเถอะ ฉันขอหลับก่อนแล้วกัน”
ผมตอบเขาโดยไม่ลืมตา พยายามทำตัวเฉยเมยเต็มที่ แอบได้ยินเดียร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ผมก็ไม่ยอมเปิดเปลือกตาขึ้นมอง ชั่วอึดใจหนึ่งที่ความเงียบเข้ามาครอบงำ ผมรู้สึกว่าที่นอนยุบยวบเนื่องจากมีการเคลื่อนไหว จากนั้นร่างของผมก็ถูกดึงไปสู่อ้อมกอดของใครคนหนึ่ง เมื่อผมลืมตาขึ้น ก็เห็นหน้าเจ้าเล่ห์ของเดียร์ยิ้มเผล่ให้ผมอยู่ก่อนแล้ว
“โทษทีครับเรียว ผมลืมเอาตุ๊กตาหมูเรียวจังมาอีกแล้ว นอนไม่หลับถ้าไม่ได้กอดอะครับ เลยว่าจะขอยืมตัวเรียวมากอดอีกวันหนึ่งนะครับ”
เห็นท่าทางอ้อนๆกับสายตาเว้าวอนของเขา ก็เลยคร้านที่จะเถียง ถึงผมจะปฎิเสธอย่างไร เจ้าหมอนี่ก็ต้องหาเรื่องมากอดมาหอมคลอเคลียผมจนได้ นี่มันดึกมากแล้ว และผมก็ง่วงมากด้วย เลยไม่อยากจะพูดคุยโต้แย้งกับเขาอีกต่อไป
ผมหลับอยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของเดียร์จนรุ่งเช้า ตอนที่ผมตื่นขึ้นมานั้น เดียร์ยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง เขาคงจะเพลียมาก เพราะทำงานหนัก แล้วไหนจะยังมาช่วยทำกับข้าวให้ผมกิน ทำความสะอาดบ้านให้ผม แถมยังช่วยผมหาข้อมูลในเวปไซด์อีกด้วย ผมค่อยๆปลดแขนของเขาออกจากการกอดรัดผม เขาไม่มีทีท่าว่าจะตื่นมาง่ายๆ
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว ผมก็เดินมาดูเขาที่เตียง เดียร์นอนหลับตาพริ้ม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงจากการหายใจ ผมมองใบหน้าและเรือนร่างของเขาอย่างพิจารณา ตุ่มแดงๆ บนแขน และใบหน้าของเขาทำให้ผมรู้ว่าเด็กหนุ่มต้องผจญกับมหันตภัยยุงร้ายยามค่ำคืนที่ผ่านมา เมื่อเขาต้องนั่งหลับรอผมอยู่หน้าบ้าน ความสงสารเดียร์แล่นเข้าท่วมท้นหัวใจ
และแล้วผมก็ทำในสิ่งที่ผมปฏิเสธที่จะทำมาตลอด และมันก็เป็นสิ่งที่เดียร์ได้ขอร้องผมด้วย เพื่อมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดแก่เขา ผมจัดการปลดลูกกุญแจ 2 ดอกออกจากพวงกุญแจในกระเป๋าหนัง ดอกหนึ่งเป็นกุญแจประตูรั้วหน้าบ้าน อีกดอกหนึ่งสำหรับประตูบ้าน เอาวางไว้บนโต๊ะหัวนอน พร้อมเขียนโน้ตเล็กๆให้เขา ข้อความหยอกเย้าว่า ผมไม่อยากเห็นเขาตัวลายเป็นตุ๊กแกเวลามารอผมหน้าบ้าน จึงมอบกุญแจ 2 ดอกนี้ให้ ขอให้เขารักษามันไว้อย่างดี อย่าทำหาย และอย่าได้ให้ใครเป็นอันขาด ผมยังอำเขาอีกว่าผมไว้ใจเขาด้วยว่าจะไม่พาคนมายกเค้าบ้านผม ทั้งนี้เมื่อเขาเข้าบ้านได้แล้ว ต้องดูแลทำความสะอาด พร้อมทำอาหารไว้รท่าผมกลับมาด้วย จากนั้นผมก็ไปทำงานโดยทิ้งเขานอนอยู่ที่บ้าน ในห้องของผมเพียงลำพัง

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
«ตอบ #43 เมื่อ07-01-2009 13:05:49 »

ตอนสายสัก 9 โมงเช้า เดียร์ก็โทรมาหาผมน้ำเสียงใสแจ๋ว ขอบคุณผมใหญ่ ท่าทางดีใจยิ่งกว่าวานรได้แก้ว รับปากว่าจะปฏิบัติตามที่ผมต้องการทุกประการ หลังจากนั้นเขาก็ถามไถ่ว่าผมทานข้าวปลาอาหารหรือยัง พอผมบอกว่ายังไม่ได้ทาน รอทานเที่ยงทีเดียว ก็ดุผมใหญ่หาว่าผมไม่ดูแลตัวเอง จากนั้นก็สั่งเสียยืดยาว บอกว่าวันนี้เขาไม่ได้ไปทำงานร้านป้า เพราะลาเอาไว้ แต่ก็จะโทรไปให้แซ่บเอาอาหารมาให้ผม หากผมไม่ลงไปทาน ผมต้องสัญญิงสัญญากับเขาว่าผมจะลงไปทานข้าวจริงๆ เขาถึงจะยอมเชื่อ ผมยิ้มให้กับโทรศัพท์ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างประหลาด เสียงคุยเจื้อยแจ้วของเดียร์ เสียงบ่นง๊องแง๊งของเขาไม่ทำให้รู้สึกโกรธ แต่กลับทำให้หัวใจผมอบอุ่น
น่าแปลกที่ตามปกติ ผมจะคอยตัดบทเวลาที่เขาโทรมาหา แต่เช้านี้ผมพูดคุยกับเขาตั้งครึ่งชั่วโมง กำลังสงสัยตัวเองว่าเพราะอะไรถึงยอมละเมิดกฏเกณฑ์ต่างๆที่ตนเองตั้งไว้ พลันก็ได้คำตอบเมื่อตาเหลือบไปมองที่ปฏิทิน เดียร์จะมีโอกาสกวนใจผมได้แค่อาทิตย์นี้เท่านั้น แล้วก็แค่ทางโทรศัพท์อย่างเดียว ที่ร้านอาหารผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกแน่นอน เพราะว่าเขาลางานเพื่อไปซ้อมเต้น พอถึงอาทิตย์หน้าเขาซ้อมหนักเพื่อเตรียมตัวไปทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ ก็จะไม่ได้เจอกันอีกเลย ยาวนานไปจนกว่าจะครบสามอาทิตย์โน่นแน่ะ ผมจึงคิดว่าการที่ผมคุยกับเขานานๆในครั้งนี้คงเป็นเพราะผมต้องการชดเชยเวลาให้กับเขานั่นเอง
หลังจากวางหูแล้ว ผมก็หันมาทำงานต่อ พอสัก11 โมง เจ้านายของผมก็เรียกตัวเข้าพบ เขาคงต้องการคำตอบจากผมว่าจะพิจารณาเคสนี้อย่างไร ซึ่งผมเองก็มีคำตอบในใจอยู่แล้ว ผมตัดสินใจที่จะอนุมัติให้ได้เต็มจำนวนที่ร้องขอ ทั้งตัววงเงินเอาประกันหลัก และ ตัวสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ เพราะจากการดูข้อมูลที่ได้มา ลูกค้าสุขภาพไม่มีปัญหามากนัก ถึงแม้ว่าอายุจะมาก แต่เขาก็เป็นคนที่ดูแลสุขภาพอย่างดี มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ แต่ผมไม่ขายตัวสัญญาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการฆาตกรรมให้กับเขา เนื่องจากความเสี่ยงในการใช้ชีวิตคู่ เนื่องจากไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แสดงว่าเขาอาจจะคบกับคนอื่นแบบชั่วครั้งชั่วคราวไปเรื่อยๆ และยังให้เขาเปลี่ยนตัวผู้รับประโยชน์เป็นบุคคลอื่น เช่นพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องแทน
เจ้านายชื่นชมการตัดสินใจของผมว่าเป็นการตัดสินใจที่ทำให้บริษัทได้ประโยชน์มาก ผมได้แต่ยิ้มๆ เพราะรู้ดีว่า ถึงอย่างไรเคสนี้ก็ต้องอาศัยกำลังภายในจนสามารถผ่านเข้ามาจนได้ เพราะทำวงเงินสูงขนาดนั้นย่อมหมายถึงเบี้ยประกันที่จะเข้ามาสู่บริษัท หากผมไม่ยินยอม ผมก็ต้องถูกกดดันให้รับอยู่ดี โชคดีที่ผมได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับเกย์มาบ้าง จึงทำให้ผมสามารถเข้าใจและพิจารณาได้โดยที่ไม่หักหาญน้ำใจลูกค้าและฝ่ายขาย และบริษัทก็ไม่ต้องมานั่งรับความเสี่ยงมากเกินไป
คราวนี้เจ้านายไม่ยอมให้ผมปฏิเสธเรื่องการทานข้าวเย็นร่วมกัน และเพื่อไม่ให้ผมมีทางเลือกมานักเขาได้บอกให้เลขาจัดการจองโต๊ะให้เรียบร้อยที่ภัตตาคารอาหารจีนที่หรูหราแห่งหนึ่ง โดยจองไว้ทั้งหมด 10ที่ แต่เขาไม่ยอมบอกให้ผมรู้ว่าเขาเชิญใครมาทานข้าวบ้าง
จนกระทั่งถึงเย็น ผมยังคงพิจารณางานติดพันอยู่ เจ้าสันต์ก็โผล่หน้ามาเคาะประตูเรียกผม เลยทำให้ผมรู้ว่า เขาก็เป็นหนึ่งในคนที่เจ้านายผมเชิญให้ไปทานข้าวด้วย
“ไปด้วยกันเลยไหมวะ ฉันเสร็จงานแล้ว นายอ่ะ เสร็จหรือยัง”
“กำลังจะเสร็จอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว”
ผมบอกเขาพลางตวัดลายเซ็นลงไปในเอกสาร ก่อนจะหยิบมันเข้าแฟ้ม แล้ววางไว้บนถาดเอกสารออก เพื่อที่เลขาของผมจะได้นำมันไปดำเนินการในวันรุ่งขึ้น ยังไม่ทันที่ผมกับเจ้าสันต์จะเดินออกจากห้อง ศักดิ์ชายก็เยี่ยมหน้าเข้ามา
“ฉันจะไปทานข้าวกับพวกนายด้วย ไปรถฉันไหม เดี๋ยวพอเลิกแล้วฉันจะมาส่งที่นี่ให้”
“เอ้าจริงดิ หัวหน้าของนายชวนศักดิ์ชายไปด้วยหรือวะ”
เจ้าสันต์หันมากระซิบกระซาบถามผม ซึ่งผมได้แต่สั่นหน้าปฏิเสธ จะรู้ได้ไงล่ะ ในเมื่อเขาไม่ได้บอกผมสักคำว่าเขาชวนใครบ้าง เจ้าสันต์ทำหน้าเซ็งๆท่าทางเขาไม่ค่อยชอบศักดิ์ชายเพื่อนเก่าของผมคนนี้สักเท่าไหร่
“เมื่อไหร่ มันจะเลิกเก็กแมนซะทีวะ”
สันต์พึมพำรอดไรฟัน แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังได้ยิน ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่ยังไม่ได้ถามว่าคำที่มันพูดหมายถึงอะไร เพราะศักดิ์ชายเดินไปด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะเดินล่วงหน้าไปแล้วก็ตาม แต่ผมก็กลัวว่าเขาจะได้ยิน กะว่าจะถามเจ้าสันต์อีกครั้งหลังจากที่อยู่ด้วยกันสองคนตามลำพัง
เราสองคนเดินตามศักดิ์ชายไป ภัตตาคารที่ว่า อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานนัก แต่ก็ใช้เวลานานเหมือนกันหากจะต้องเดินไป พวกเราจึงตัดสินใจว่าไปรถของศักดิ์ชายดีกว่า แล้วจอดรถของตัวเองทิ้งไว้ที่นี่ เพราะไม่อยากไปเสียเวลาวนหาที่จอดรถ แล้วก็กลัวรถจะติดด้วย
ประมาณ 20 นาที เราก็ไปถึงภัตตาคารที่เจ้านายผมสั่งจองโต๊ะไว้ เจ้านายของผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว พร้อมด้วยแขกรับเชิญที่ทำให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
คุณอนันต์ นั่งอยู่ก่อนแล้วทางด้านขวามือของเจ้านายผม ข้างๆเขาคืออรจิรา อดีตคนรักของผม ถัดจากอรจิราคือ ผู้บริหารฝ่ายขายคนที่ผมเพิ่งอนุมัติเคสให้กับเขาไปวันนี้ เขามาพร้อมกับผู้ชายสูงอายุคนหนึ่ง ท่าทางดูออกเลยว่าเป็นพวกนิยมไม้ป่าเดียวกัน และที่น่าตกใจก็คือ น้องแซ่บหนุ่มน้อยที่เจ้าสันต์คั่วอยู่ก็มานั่งรวมกลุ่มอยู่กับเขาด้วย
ผมหันไปมองเจ้าสันต์ก็เห็นมันมองแซ่บอยู่ก่อนแล้ว มันทำท่าประหลาดใจนิดหนึ่ง แต่แล้วก็ทำเป็นนิ่งเฉยเสีย เวลาแบบนี้ เจ้าสันต์ต้องเก็บอาการลูกเดียว ในสถานการณ์ที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าเด็กแซ่บปรากฏตัวในโต๊ะที่มีแต่ผู้บริหารระดับสูงแบบนี้ทำไม แล้วเด็กนี้มีความสำคัญแค่ไหน การทำเป็นไม่พูดอะไรเลย ดูจะช่วยได้มากกว่าที่จะเข้าไปทักทายเหมือนคนคุ้นเคย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดคำถามตามมาอีก ว่ารู้จักกันได้อย่างไร คุ้นเคยกันแค่ไหน
เจ้านายของผมเอ่ยปากให้ผมนั่งข้างๆเขา โดยที่เจ้าสันต์นั่งตามลงมา และตบท้ายด้วยศักดิ์ชาย พอเรานั่งกันเรียบร้อย เจ้านายของผมก็พูดเชื้อเชิญทุกคนให้รับประทานอาหาร
“ยังเหลือแขกพิเศษอีกคนหนึ่งที่คงยังเดินทางมาไม่ถึง แต่ไม่ต้องรอหรอกครับ เขาบอกกับผมว่าจะมาช้าสักหน่อย ให้พวกเราทานกันไปก่อน ผมให้เขาลงของลองท้องจำพวกติ่มซำเอาไว้ ที่นี่เขาทำอร่อยมากครับ เชิญทานกันได้เลย”
ก่อนที่พวกเราจะเริ่มลงมือทานอาหาร นายสุริยะ ผู้บริหารที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผม ก็พูดแทรกขึ้นมา
“ก่อนอื่น ผมใคร่อยากจะขอขอบคุณคุณเรียวมากครับที่ช่วยพิจารณาเคสของผมให้ผ่านการอนุมัติ มันทำให้ผมรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำงานในบริษัทที่มีบุคลากรที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลอย่างคุณเรียวอย่างนี้ ผมอดไม่ได้ที่จะนำข่าวดีนี้ไปบอกลูกค้าของผม และเขาเองก็อยากจะมาขอบคุณคุณเรียวด้วยตัวเอง”
นายสุริยะยิ้มให้ผมพร้อมกับหันไปมองทางด้านข้างของตนเองที่ชายสุงอายุนั่งอยู่
“ผมขออนุญาตแนะนำลูกค้าของผม คุณทรงพล รุ่งเรืองวิระกิจานนท์ ครับ คุณทรงพลเป็นเจ้าของร้านจิลเวลลี่ในห้างดังๆหลายแห่ง และมีกิจการในต่างประเทศอีกด้วย เขาเพิ่งมอบความไว้วางใจให้กับบริษัทของเราด้วยการทำประกันวงเงิน 100 ล้านบาทครับ ซึ่งเพิ่งได้รับการพิจารณาอนุมัติจากคุณเรียวเมื่อเช้าวันนี้เอง”
นายทรงพลยิ้มให้กับทุกคน โดยเฉพาะกับผมเขายิ้มให้กว้างมากเป็นพิเศษ ท่าทางเป็นมิตร เหมือนผู้ใหญ่ที่มีจิตใจเมตตาปราณี
“ขอบคุณคุณเรียวที่ทำใจเปิดกว้าง ยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกของเรา ไม่ปิดกั้นคนส่วนน้อยที่อยากจะได้ในสิ่งที่คนส่วนใหญ่มีโอกาส ผมนับถือคุณจริงๆ”
ผู้สูงวัยกว่า กล่าวชื่นชมผม โดยละเว้นข้อความบางอย่างให้เข้าใจกันเอง ผมยิ้มให้เขา ในใจก็นึกขอบคุณเดียร์ที่ช่วยหาข้อมูลให้กับผม การได้อ่านบทความที่เกี่ยวกับเกย์จำนวนมากเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ทำให้ผมพอจะเข้าใจถึงความคิด และวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเกย์ได้มากขึ้นกว่าแต่ก่อน
คนที่อยู่ตรงหน้าผม ถึงแม้ว่าผมจะดูออกว่าเขาเป็นเกย์ แต่เขาก็เป็นคนที่ดูน่าเชื่อถือ ท่าทางของเขานุ่มนวลสงบเสงี่ยม ดูสุภาพไม่ออกอาการจนโอเว่อร์แบบเกย์ที่ผมเห็นทั่วๆไป
“ผมพิจารณาไปตามที่เห็นสมควรนะครับ ดูจากประวัติและการที่ได้มาเห็นตัวตนของคุณในวันนี้ ผมก็บอกได้เลยว่า คุณสามารถที่จะผ่านการพิจารณาได้แน่นอน แต่มีบางเรื่องที่ผมอนุมัติตามที่คุณขอมาไม่ได้ ซึ่งทางคุณสุริยะคงจะได้บอกคุณไปแล้วนะครับ เราได้ส่งหนังสือไปหาคุณแล้ว ก็รอจนกว่าคุณจะเซ็นต์ตอบรับกลับมา การประกันก็จะได้เริ่มความคุ้มครองครับ ทางบริษัทเองรู้สึกยินดีมากที่ทางคุณทรงพลมอบความไว้วางใจให้กับพวกเราในการที่จะดูแลคุณและธุรกิจของคุณ เราเชื่อมั่นว่าคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ”
ผมตอบเขาไปอย่างเป็นงานเป็นการ นายทรงพลยิ้มกว้าง
“ถ้าพูดกันแบบนี้ ผมก็เข้าใจนะครับ ตอนแรกที่ผมโมโหก็เพราะว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา มันเหมือนกับว่า ผมน่ะมีความเสี่ยงมากเสียจนไม่อยากจะรับประกันผม ยังคิดว่า ทำไมเหรอ พวกผมไม่ใช่คนหรือไง แต่พอได้ฟังคุณพูดแบบนี้ ผมก็เบาใจ อันที่จริง ผมไม่ได้รับเชิญมาทานที่นี่ด้วยหรอก แต่ผมอยากจะเจอคุณเรียว ผมเลยขอคุณสุริยะมา ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกกันก่อน แต่การได้เจอคุณในวันนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่เป็นการเสียเวลาเปล่าจริงๆ”
เขาจบคำพูดด้วยการทิ้งสายตาให้ผมอย่างมีความหมาย ผมมองหน้านายทรงพลอย่างเข้าใจ ผมเองก็เคยรู้สึกมีอคติเวลาพิจารณารับประกันเหมือนกัน เป็นเพราะผมได้รับข้อมูลในด้านลบเกี่ยวกับพวกรักร่วมเพศมามาก จนกลัวว่าหากรับเข้ามาโดยขาดความระมัดระวังอาจจะก่อให้เกิดผลเสียกับบริษัท แล้วอีกอย่างหนึ่ง ภาพพจน์ของเกย์ที่แสดงออกให้เห็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะตามสื่อโทรทัศน์ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็ล้วนแล้วแต่ออกมาในแนวรุนแรงทั้งนั้น
“คุณทรงพลได้เซ็นต์เอกสารมาเรียบร้อยแล้วครับ พร้อมทั้งเปลี่ยนตัวผู้รับประโยชน์คนใหม่มาแล้วด้วย”
นายสุริยะเอ่ยขึ้นบ้าง หลังจากนิ่งเงียบฟังผมพูดคุยกับนายทรงพลอยู่เป็นเวลานาน
“อื้อ อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากให้พ่อกับแม่หรอก เพราะท่านก็อายุมาก 80-90 กันแล้ว แถมซ้ำท่านยังร่ำรวยจากทรัพย์สมบัติเดิมที่มีอยู่ ร้านที่ผมดูแลก็เป็นสมบัติเดิมของท่าน ผลกำไรท่านก็ได้ ว่ากันตามตรง ท่านก็คงจะอยู่กันไม่ได้นานเท่าไหร่ อาจจะไปก่อนผมด้วยซ้ำ แต่ผมก็ไม่มีญาติคนอื่น แล้วบริษัทคุณก็ไม่ให้ผมยกประโยชน์ให้กับคนที่ไม่ใช่ญาติเสียด้วยสิ ก็เลยต้องยกให้ท่านทั้งสองตามที่คุณต้องการไง”
ชายผู้แก่วัยกว่าผมพูดเหมือนเชิงบ่น แต่ท่าทางเขาไม่ได้ซีเรียสอะไรนัก
“เราพิจารณาเรื่องของส่วนได้เสียเป็นหลักครับ อย่างพ่อแม่ลูกถือว่าเป็นส่วนได้เสียทางสายโลหิตนะครับ ถ้าทำประกันเราก็ยกผลประโยชน์ให้กันได้อยู่แล้ว นอกนั้นเรายังอาจจะยกให้กับสามี ภรรยา หรือ คู่หมั้นได้นะครับ เพราะเป็นส่วนได้เสียทางการสมรส คือ คนพวกนี้ เขาจะเสียประโยชน์เมื่อเราจากไปมากกว่าจะได้ประโยชน์จากการเสียชีวิตของเรานะครับ ถ้าให้คนอื่น มันก็จะพิสูจน์เรื่องการมีส่วนได้เสียกันยาก และอาจจะเป็นผลร้ายต่อผู้เอาประกันเองด้วย เขาอาจจะมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากกว่าปกติ เนื่องจากทำประกันแล้วยกให้กับคนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขานะครับ เราก็เป็นห่วงลูกค้าตรงนี้”
ผมบอกเขาไปตามตรง ตามปกติเพื่อให้เขาเข้าใจ นายทรงพลพยักหน้าหงึกๆ ท่าทางพึงพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน ผมคิดว่า เขาเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ง่ายๆ ไม่ดื้อรั้นดันทุรังเหมือนคนมีเงินทั่วๆไป ที่เวลาไม่ได้ดังใจก็มักจะไม่ฟังเหตุและผล
“คุณเป็นคนตรงไปตรงมาดีนะครับ ผมชอบ บริษัทของคุณนี่ ได้คนดีเข้ามาทำงานจริงๆ ไม่ได้หวังแต่ประโยชน์เสียจนลืมความถูกต้องชอบธรรม คนอย่างนี้น่าจะรักษาไว้ให้อยู่กับบริษัทนานๆนะครับ เพราะว่าเขาจะมีส่วนช่วยทำให้บริษัทก้าวหน้ายิ่งขึ้น คุณว่าไหม”
ท้ายประโยคนายทรงพลหันมาถามเจ้านายผมดื้อๆ ผมเห็นเจ้านายของผมยิ้มหน้าบานเป็นจานเชิง เขากล่าวขอบคุณนายทรงพลแล้วพูดประโยคที่ทำให้ผมเองก็ไม่นึกว่าจะได้ยินมาก่อนกลางวงอาหารค่ำที่มีผู้ร่วมวงเป็นคนทำงานในบริษัทเดียวกันทั้งฝ่ายขาย และฝ่ายสต๊าฟ
“คุณเรียวเป็นคนหนุ่มที่มีคุณภาพครับ ทำงานดี ขยันขันแข็ง และยุติธรรม เขาช่วยเราได้เยอะมาก สิ้นปีนี้ เราคิดว่า อยากจะตอบแทนความตั้งอกตั้งใจทำงานของเขาด้วยการเลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเดือนให้เขามากขึ้นนะครับ”
น้ำเสียงของเจ้านายผมดูจริงจัง จนผมอดตกใจไม่ได้ เรื่องการขึ้นเงินเดือน หรือเลื่อนตำแหน่งปลายปี ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดกันอย่างล้อเล่น โดยเฉพาะต่อหน้าคนหมู่มาก เพราะเหมือนคำมั่นสัญญาว่าจะต้องปฏิบัติตาม บิดพริ้วไม่ได้

kittyfun

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
«ตอบ #44 เมื่อ07-01-2009 14:24:57 »

ตามมาอ่านต่อ

อ่านกี่ภาคเรื่องนี้ เดียร์ก็ยังคงความน่ารัก

ส่วนเรียวเมื่อไหร่จะใจอ่อนกับเดียร์

เป็นของเขาแล้วยังทำเป็นใจแข็งอีก

b_hihi

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
«ตอบ #45 เมื่อ07-01-2009 17:53:30 »

เริ่ด

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
«ตอบ #46 เมื่อ07-01-2009 18:11:18 »

ขอบคุณค่ะ ยังติดตามอยู่นะคะ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
«ตอบ #47 เมื่อ07-01-2009 19:24:07 »

สู้ๆ คุณแอน ดูจากเนื้อเรื่องแล้ว หนทางยังอีกยาวไกล  :laugh: :laugh:

sun

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
«ตอบ #48 เมื่อ08-01-2009 00:04:19 »

เข้ามาให้กำลังใจ พี่แอนจุดจ๋วย   :L2:

ชอบ นู๋เดียร์ ชอบพี่เรียว ... ถ้าพี่เรียว ไม่เอานู๋เดียร์
 ยกนู๋เดียร์ ให้ คนจ๋วยก้อด๊ะนะ คิคิ   :-[

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
«ตอบ #49 เมื่อ08-01-2009 00:34:36 »

 o22 มะค่อยมีเดียร์เลยตอนนี้อ่ะ
คิดถึงนู๋เดียร์จริง นะ เรียวน่ารักดี

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
« ตอบ #49 เมื่อ: 08-01-2009 00:34:36 »





unnoname

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
«ตอบ #50 เมื่อ08-01-2009 03:03:13 »




                                จะมีแค่การกินข้าวอย่างเดียวหรือจะมีอะไรต่อไปน้า ^^
             
                                                    รอตอนต่อไปค่ะ
                                                            
                                                   สู้ๆนะค้ะ V^_^V
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2009 13:03:40 โดย unnoname »

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่6 7/1/09
«ตอบ #51 เมื่อ08-01-2009 14:33:20 »

บทที่ 7

อีกอย่างคนพูดก็ไม่ใช่ พนักงานระดับล่าง แต่เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของผม สิ่งที่เขาพูด มันหมายถึงความจริงที่จะเกิดขึ้น หากเบี่ยงเบนไปจากนั้นเขาจะกลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือในทันที แล้วตัวผมซึ่งเกี่ยวข้องด้วยในเรื่องนี้เป็นผู้รับผลกระทบไปเต็มๆ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ก็ตาม
“อันที่จริง เรื่องนี้มันก็ควรจะเก็บไว้เป็นความลับนะครับ ไม่ควรจะเปิดเผยให้รู้จนกว่าจะถึงสิ้นปี แล้วผมเองก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กับคุณเรียวด้วย แต่ผมก็เฝ้ามองการทำงานของเขามาเนิ่นนาน รู้ว่าเขามุ่งมั่นจริงจัง และเขาสมควรจะได้ ตำแหน่งงานที่สูงขึ้นกว่านี้ แต่ในเมื่อคุณทรงพลพูดถึงการทำงานของคุณเรียว และชื่นชมลูกน้องคนนี้ของผมอย่างจริงใจ ผมก็เลยพูดให้คุณทรงพลได้รู้ว่า เราก็เห็นเหมือนคุณเช่นกัน
แล้วเราไม่มีทางปล่อยให้คนที่ทำงานดีๆอย่างเขาหลุดมือไปได้หรอกครับ แต่ผมก็อยากจะขอร้องทุกคนที่ได้ยินได้ฟังอยู่ในที่นี้นะครับว่าอย่าเพิ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป เดี๋ยวมันจะมีปัญหาตามมาภายหลังนะครับ”
เจ้านายของผมอธิบายให้ทุกคนทราบถึงการตัดสินใจของตัวเอง และขอร้องให้ทุกคนอย่างเพิ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ซึ่งทุกคนก็รับปากอย่างแข็งขัน โดยตลอดเวลาเหล่านั้น ผมได้แต่นั่งเงียบ และยิ้มให้แต่ละคนที่มองมา ไม่เว้นแม้แต่อรจิรา ที่มองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย
“งั้นมื้อนี้ นอกจากจะมาเลี้ยงเพื่อขอบคุณทุกคนที่ร่วมมือกันทำงานอย่างแข็งขันแล้ว ก็ขอถือโอกาสเลี้ยงฉลองให้คุณเรียวล่วงหน้าเลยดีไหมครับ”
คุณอนันต์ พูดขึ้นมา เขายิ้มให้ผมด้วยความจริงใจ ทุกคนเออออเห็นด้วยไปกับเขา ต่างพากันแสดงความยินดีกับผมถ้วนหน้า
“เก่งมากเพื่อนเรา อีกหน่อยนายมีรถประจำตำแหน่งแล้ว ก็ขายต่อรถโฟร์วีลของนายให้ฉันเถอะนะ ฉันชอบรถนายมากเลย ”
สันต์แอบกระซิบให้ผมได้ยินกันแค่สองคน ผมไม่ตอบ ได้แต่นั่งยิ้ม เรื่องอะไร ผมจะขายให้กับเจ้าสันต์ รถคันนี้เป็นน้ำพักน้ำแรงที่ผมซื้อมา ผมไม่มีวันขายให้ใครหรอก จะจอดอยู่ที่บ้านอย่างนั้นแหละ หรือไม่ ก็อาจจะให้เดียร์ยืมไปขับชั่วคราว เพราะเจ้าเด็กบ้านั่น ไปโน่น มานี่อยู่ตลอดเวลา มีรถจะได้ไปไหนมาไหนสะดวก แต่ว่า ไม่มีใบขับขี่ อาจจะถูกตำรวจจับได้ง่ายๆ อาจจะต้องรอให้เขามีก่อน ค่อยว่ากัน
“โชดดีมากเลยเรียว ความพยายามของนายสัมฤทธิ์ผลจนได้ พอประกาศเลื่อนตำแหน่งออก ฉันจะพานายไปเลี้ยง”
ศักดิ์ชายแสดงความยินดีกับผมเป็นคนต่อมา ผมยิ้มให้กับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ พลางตอบขอบคุณเขาเบาๆ อรจิรา กล่าวแสดงความยินดีกับผมเป็นคนสุดท้าย ท่าทีที่มีต่อผม ไม่แข็งกระด้างเหมือนเดิม เธอยิ้มหวานให้ผม ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก เพราะตั้งแต่เลิกรากัน เธอไม่เคยพูดดี หรือทำกริยาดีๆใส่ผมเลย
ผมไม่แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงท่าทีของเธอ มาจากการที่ได้ยินคนชื่นชมผม หรือเป็นเพราะเธอยินดีกับตำแหน่งหน้าที่การงานที่ผมจะได้รับในวันข้างหน้ากันแน่ คิดไว้ในแง่ดีก่อนดีกว่า ว่าสิ่งที่เธอแสดงออกอาจจะมาจากความจริงใจที่เธอมีต่อผมก็ได้
ตกลงมื้อนั้น เลยรวบทีเดียวสองงาน คือ เป็นการเลี้ยงขอบคุณจากเจ้านายผมที่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันจนทำให้บริษัทเติบโตก้าวหน้า แต่ละคนที่เชิญมา นอกจากผู้บริหาร เป็นคนที่เราต้องทำงานร่วมด้วยตลอดเวลา ไม่ว่าฝ่ายสินไหม ฝ่ายตรวจสอบ และฝ่ายประชาสัมพันธ์
เจ้านายใหญ่ของผมเขาควบคุมฝ่ายปฏิบัติการประกันชีวิตทั้งฝ่าย และดูแลไปจนถึงฝ่ายตรวจสอบที่ตอนนี้ศักดิ์ชายย้ายมาทำงานแทนเจ้าสันต์ซึ่งย้ายไปอยู่ฝ่ายสินไหม ส่วนฝ่ายประชาสัมพันธ์ซึ่งอรจิราทำงานอยู่ ได้ช่วยเผยแพร่ข้อมูลให้ทั้งลูกค้าและฝ่ายขายได้รับรู้ เจ้านายผมจึงเชิญเธอมาเลี้ยงขอบคุณ สำหรับคนรักใหม่ของเธอนั้น กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเจ้านายผม เขาจึงเชิญมาร่วมเป็นสักขีพยาน
ผมเพิ่งทราบในภายหลังว่า นายสุริยะ กับทรงพลนั้นมาขอร่วมวงไพบูลย์ด้วย ทันทีที่ได้ข่าวว่าเจ้านายของผม จะมาเลี้ยงข้าวพวกเราวันนี้ เขาอ้างว่าต้องการมาขอบคุณผมที่ช่วยดูแลเคสของเขาให้ตลอดเวลา และลูกค้าของเขาก็ต้องการรู้จักผม เจ้านายผมเลยตกลงให้คนทั้งคู่มาทานร่วมกัน
ในระหว่างที่การทานอาหารกำลังดำเนินไป เราต่างคุยกันด้วยเรื่องการเติบโตของบริษัท เจ้านายผมออกปากชื่นชมนายสุริยะ ว่าเป็นคนดีมีฝีมือ เพราะเขาสามารถผลิตผลงานเข้าบริษัทได้มากเป็นอันดับหนึ่งของบริษัท หวังว่าเขาคงจะอยู่ช่วยบริษัทไปนานๆ
ด้านนายสุริยะก็กล่าวชมการทำงานของฝ่ายสต๊าฟกลับ นอกจากจะชมฝ่ายพิจารณารับประกันซึ่งผมรับผิดชอบดูแลอยู่ เขายังชมฝ่ายสินไหม ว่าจ่ายเงินได้อย่างเที่ยงธรรมไม่ล่าช้า แต่ก็แอบแขวะไปถึงฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่อรจิราดูแล ว่าไม่ค่อยโดนใจสักเท่าไหร่ ดูเชย ไม่ทันสมัย และไม่เข้าถึงกลุ่มคน
มีหรือที่สาวเก่งอย่างอรจิราจะยอมแพ้ เธอแก้ตัวว่า โฆษณาและการประชาสัมพันธ์ที่ฝ่ายของเธอจัดทำนั้น ได้มีการสำรวจแล้วว่าเข้าถึงกลุ่มคนได้มาก ส่วนจะตรงใจหรือไม่ ก็แล้วแต่มุมมอง เพราะบริษัทเน้นไปที่ความจริงใจที่มีต่อลูกค้า โฆษณาจึงออกมาค่อนข้างเป็นทางการ แต่นายสุริยะก็บอกว่าโฆษณาบางทีก็มีส่วนที่ทำให้คนนึกถึงชื่อบริษัทได้เช่นกัน
ดูอย่างโฆษณาที่พ่อเกิดอุบัติเหตุ แล้วก็หวนคิดถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำไว้กับลูกหลายอย่างสิ เป็นโฆษณาที่ดี และก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ทั่วไป แต่อย่างน้อยคนก็จดจำโฆษณานี้ และนึกถึงชื่อบริษัทมากขึ้น และทำให้ยอดขายของบริษัทนั้นเพิ่มมากขึ้นด้วย
พอโดนวิพากษ์วิจารณ์ไปแรงๆแบบนั้น สาวเก่งอย่างอรจิรา ก็เริ่มจะเก็บอาการไม่อยู่ เธอหน้าแดงก่ำ เม้มปากแน่น ผมมองหน้าเธอ ก็เห็นเธอตวัดสายตามองมายังผมท่าทางโกรธๆที่มีคนมาต่อว่างานของเธออย่างไม่เข้าใจ แถมซ้ำไม่มีใครพูดอะไรบ้างเลย
แววตาของเธอเหมือนจะบอกกับผมเป็นนัยๆว่าช่วยพูดอะไรเสียบ้าง ผมสบตาของเธอแล้วก็ขยับปากจะแก้ต่างให้ แต่คุณอนันต์เป็นฮีโร่มาช่วยคนรักของเขาเช่นเคย
“อื้อ แนวความคิดของคุณสุริยะน่าสนใจดี ไว้ผมจะช่วยคุณอรจิรา พูดกับหัวหน้าของเธออีกแรงนะครับ ว่าฝ่ายขายมีความเห็นแบบนี้”
คุณอนันต์พูดตัดบทเพือ่ไม่ให้เรื่องมันบานปลาย อรจิรา ยังคงทำหน้าไม่พอใจอยู่ แต่สุริยะทำหน้ายิ้มๆ เขาคงรู้ว่าคำพูดของเขาทำให้พีอาร์สาวสวยของบริษัทไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่ใส่ใจคงคิดว่า ความคิดเห็นของฝ่ายขายสำคัญกับบริษัทอยู่แล้ว
หัวข้อสนทนาเบี่ยงเบนไปในเรื่องอื่นๆ อยู่ดีๆก็มีคนพูดถึงกรณีรักร่วมเพศขึ้นมา จึงเรียกความสนใจจากคนรอบข้าง และเกิดเป็นหัวข้อสนทนาที่ต่างคนต่างพูดคุยแสดงความคิดเห็นกันอย่างเต็มที่ ผมลอบมองหน้าเพื่อนรักทั้งสอง ว่ามันจะทำหน้าอย่างไร ก็เห็นเจ้าสันต์ยังคงวางหน้าเฉย ในขณะที่ศักดิ์ชายทำหน้าเจื่อนๆ แต่ก็ตั้งอกตั้งใจฟัง
“เดี๋ยวนี้ คนเป็นเกย์กันเยอะมากจริงไหมคะ”
อรจิราถามคำถามขึ้นมา พลางกวาดสายตาไปยังคนที่นั่งอยู่รายรอบ ทำให้ผมมองตาม แล้วก็แอบสะดุ้งนิดๆ เมื่อคิดได้ว่า หลายคนที่นั่งอยู่ในโต๊ะนี้เข้าข่ายบุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนายสุริยะ ที่ผมเคยเห็นเขาควงหนุ่มไปไหนมาไหนบ่อยๆ ท่าทางสนิทสนมกันเกินกว่าคนร่วมงานกัน เจ้าเด็กแซ่บซึ่งเจ้าสันต์กำลังคั่วอยู่
นายทรงพลน่ะใช่เลย เพราะชื่อเสียงเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของเขาเป็นที่รู้ดีในวงสังคม แล้วเขาก็ไม่ได้ปิดด้วยเรื่องที่เขาเป็นเกย์ เจ้าสันต์เพือ่นผมน่ะ ยอมรับอย่างเต็มร้อย คนทั้งบริษัทก็รู้ ส่วนศักดิ์ชายยังน่าสงสัยอยู่ ว่าเป็นหรือไม่เป็นกันแน่ แล้วตัวผมเองล่ะ จัดอยู่ในกลุ่มใด ผู้ชายแท้ๆ หรือตอนนี้ผมได้กลายเป็นเกย์พวกเดียวกับคนเหล่านี้ไปเสียแล้ว
“ถามเพื่อต้องการอยากได้ข้อมูล หรือ อยากรู้อยากเห็นเฉยๆครับ”
นายสุริยะถามพลางยิ้มเหยียดๆ อรจิราทำตาโต ยกมือทาบอก เหมือนกับว่าเพิ่งนึกขึ้นได้
“อุ้ย ขอโทษที ลืมไปว่า.......”
“ไม่เป็นไรครับ”
ผุ้บริหารหนุ่มเกย์โบกไม้โบกมือ
“บางทีคุณอร อาจจะอยากทราบเอาไว้ จะได้ไม่เผลอตัวเผลอใจไปรักเกย์ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
แม่คนรักของผมรับคำ พลางปรายตามามองผมกับเจ้าสันต์ ผมหน้าชาที่ถูกมองด้วยแววตาหยามหยันอย่างนั้น แต่เจ้าสันต์กลับยิ้มละไม ไม่มีคำพูดใดๆออกจากปากของมัน
“มันไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายกว่าเดิมสักเท่าไหร่หรอกครับ ที่คุณเห็นว่ามันมีเยอะ เพราะสังคมมันเปิดกว้างขึ้น คนยอมรับเพศที่สามมากกว่าแต่ก่อน คนที่เคยปิดตัว ก็กล้าที่จะเผยตัวตนที่แท้จริงออกมานะครับ ซึ่งก็ดีนะ มันทำให้คนเหล่านี้ มีความสุขมากขึ้น ที่ไม่ต้องหลอกตัวเอง หรือว่าหลอกใครต่อใคร”
นายสุริยะพูดด้วยทีท่าเคร่งขรึม ซึ่งเป็นท่าทางปกติของผู้บริหารคนนี้ เวลาที่ต้องการจะพูดเรือ่งที่มันซีเรียสจริงจัง
“เอ.......แล้วเป็นอย่างนี้ มันมีความสุขจริงหรือครับ ขอโทษนะที่ผมถามแบบนี้ คือผมยังสงสัยนะ เพราะว่าคนที่จะยอมรับก็ไม่ได้มีมากมายเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่ก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้ ที่จะให้ผู้ชายมารักกันเอง หรือเห็นผู้หญิงกลายเป็นทอม เป็นดี้ไปน่ะ”
คุณอนันต์ถามอย่างสนใจใคร่รู้ ไม่ได้มีทีท่าว่าอยากจะประณามหยามเหยียดแต่ประการใด
“ก็มีทั้งความทุกข์ และความสุขนะครับ สิ่งที่คุณอนันต์พูดก็มีส่วนถูก ถึงแม้สังคมจะเปิดกว้างก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับได้ทั้งหมด พ่อแม่บางคนยังคงไม่ชอบให้ลูกเป็นเกย์ เพื่อนฝูงยังรังเกียจไม่อยากคบด้วย การใช้ชีวิตในสังคมบางครั้งก็กลายเป็นเรื่องที่ยากอยู่เหมือนกัน”
คราวนี้คุณทรงพลเป็นฝ่ายตอบคำถามนั้นเสียเอง
“แล้วคุณทรงพลเคยเผชิญปัญหานั้นไหมคะ”
“อะไรหรือครับ”
ผมเห็นประกายตากล้าจากดวงตาของผู้สูงวัยเหมือนจะไม่พอใจคำถามละลาบละล้วง แต่เขากลับปฏิบัติตนต่ออรจิราอย่างสุภาพ
“เอ้อ .....อาจจะละลาบละล้วงไปหน่อย แต่ดิฉันคิดว่าคุณเองก็ไม่ต้องการปิดบังใครๆอยู่แล้ว”
“แน่นอนครับ ผมเป็นในสิ่งที่ผมต้องการเป็น แล้วก็ไม่ต้องการโกหกคนอื่นๆด้วย แต่ประเด็นของคุณที่ต้องการถามคืออะไรครับ”
คุณอนันต์ทำท่ากระแอมกระไอ เหมือนต้องการให้คนรักของตัวเองหยุดพูด แต่คุณทรงพลปรายตามาห้ามปราม ดูท่าทางเขานึกสนุกที่ได้ตอบคำถามของแม่พีอาร์สาวแสนสวย อรจิราสบตาของทรงพล แล้วก็กวาดตามองไปยังกลุ่มคนที่นั่งอยู่รายล้อมอยู่รอบตัว แล้วเธอก็ตัดสินใจถามออกมา
“คือดิฉันสงสัยว่า ตอนที่คนที่เป็นเกย์เกิดมา เราก็เกิดมาพร้อมเพศที่มีมาตั้งแต่แรก ชายเป็นชาย หญิงเป็นหญิง แล้วเมื่อโตขึ้นความรู้สึกนึกคิดเปลี่ยนไป ไม่ชอบผู้หญิงเหมือนเดิม แต่ชอบผู้ชาย แน่นอนคนรอบข้างย่อมรับไม่ได้ กรณีของคุณทรงพลละคะ พ่อแม่ยอมรับได้ไหม เพื่อนรอบข้างรังเกียจหรือเปล่า แล้วคุณทำตัวอย่างไรคะ”
“เฮ้อออออ”
มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นจากศักดิ์ชาย ดุเหมือนว่าเพื่อนผมจะอึดอัดเมื่อได้ยินคำถามนี้จากปากอรจิรา สาวสวยของบริษัท
“แหม ถามลึกเหลือเกินนะครับอร คุณจะทำวิจัยหรือครับ”
เจ้าสันต์เพื่อนผม อดไม่ได้ เลยแซวขึ้นมา อดีตคนรักของผมมองเจ้าสันต์ตาขุ่น
“จริงด้วย หรือว่าเป็นกรณีศึกษาเพื่อที่จะทำประชาสัมพันธ์ให้กับผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท กันครับ ว่าไง บริษัทเราจะรับประกันพวกรักร่วมเพศได้โดยไม่มีข้อแม้แล้วเหรอ อย่างนี้ผมก็สามารถส่งงานได้อีกหลายเคสนะสิ ถ้าไฟเขียวแบบนี้ ผมทำยอดได้ไปเที่ยวรอบโลกแน่”
นายสุริยะถามเจ้านายผมยิ้มๆ เรียกเสียงหัวเราะครืนจากคนที่นั่งอยุ่เกือบทั้งหมด ยกเว้นผมและอรจิรา ซึ่งยิ้มไม่ออก แม่คนรักของผมพยายามจะปั้นหน้าให้ดูเป็นปกติ แต่แววตาขุ่นเคืองที่คนรอบข้างหัวเราะเธอ ส่วนผมยิ้มไม่ออกเพราะสมองมันคอยจะย้อนคิดมาถึงตัวเอง นึกเปรียบเทียบสิ่งได้ยินได้ฟัง กับสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่ พลางบอกกับตัวเองว่าผมไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเขาแน่นอน
“เอาล่ะ ถ้าอยากรู้ผมก็จะตอบให้ฟังนะครับ ถือว่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์เผื่อว่า พวกคุณฟังแล้วอาจจะได้ไอเดีย นำไปพัฒนาสินค้าตัวใหม่ ที่มีกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างพวกผม รับรองว่าขายได้แน่นอน จริงไหมคุณสุริยะ”
นายทรงพลหันมาถามผู้บริหารคู่ปรับเก่าของผม ด้วยใบหน้ายิ้มละไม
“จริงอย่างที่สุดครับ”
“อันที่จริงผมก็ไม่ได้คิดหรอกนะ ว่าผมจะเป็นโตขึ้นมาจะเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้อยากผิดปกติ แต่ทำไงได้ ผมดันไม่ชอบผู้หญิงเสียแล้ว ดันรักชอบผู้ชายเต็มตัว พ่อแม่ก็ห้ามนะ ผมก็ปิดบังมาตลอด ในสมัยที่ผมเป็นหนุ่มอ่ะ การเป็นเกย์ ยังไม่ได้ยอมรับอย่างกว้างขวางเท่าไหร่ ผมก็ต้องแกล้งทำเป็นชอบผู้หญิง ทั้งๆที่ใจยอมรับไม่ได้ พ่อแม่ก็จับให้แต่งงาน ท้ายที่สุดก็ไปด้วยกันไม่ไหว โชคดีที่ไม่มีลูกด้วยกันนะ ไม่งั้นผมคงเสียใจมากกว่านี้”
ผู้สูงวัย รำลึกถึงความหลัง ใบหน้าขณะที่กำลังกล่าวถึงเรื่องอดีตที่ผ่านมา ไม่มีความเศร้าหมอง มีแต่รอยยิ้มระบายจางๆ เขาเหมือนคนที่เข้าใจโลกดี และเรียนรู้ที่จะยอมรับในทุกสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับตัวเขา
“หลังจากเลิกกัน ผมก็ใช้ชีวิตตามใจปรารถนา มีแฟนเป็นผู้ชาย แต่ก็ยังคงแอบซ่อนอยู่ กลัวว่าพ่อแม่จะรับไม่ได้ จนวันหนึ่งผมทนปิดต่อไปไม่ไหว ก็เปิดตัวขึ้นมา ตอนนั้นผมทะเลาะกับพ่อแม่ใหญ่โตเลยนะ ก็ถูกไล่ออกจากบ้าน ถูกตัดออกจากกองมรดก ผมก็มุมานะสร้างธุรกิจร้านเพชรของตนขึ้นมา จนสำเร็จ เวลาผ่านไป พ่อแม่แก่ลงมาก คงปลงกับเรื่องของผม แล้วลูกหลานคนอื่นๆ ก็สร้างความหนักใจให้ท่านไม่แพ้กัน ท่านเลยคิดว่า เรื่องของผมก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร เลยยอมรับมากขึ้น ให้ผมไปบริหารร้านเพชรพลอยให้เหมือนเดิม ซึ่งผมก็ไม่ทำให้ทันผิดหวัง ท่าเลยปล่อยให้ผมทำอะไรตามใจตัวเองน่ะครับ ไม่ขัดขวางด่าว่าให้ช้ำในอีกต่อไป”
“เฮ้อ ดีจังเลยครับที่ได้ฟังแบบนี้ อยากให้พ่อแม่ผมมาได้ยินได้ฟังบ้างจัง”
สันต์พูดขึ้นมาบ้าง ท่าทางยินดีไปกับนายสุริยะด้วย
“แล้วเกย์ทุกคนอยากเปิดตัวแบบคุณทรงพลหรือเปล่าคะ”
“เฮ้ออออออ”
เสียงถอนหายใจดังมาจากศักดิ์ชายอีกครั้ง อรจิราหันไปเขวี้ยงค้อนใส่
“ไม่คิดว่าถามมากไปหรือครับอร แค่นี้ก็เป็นการรบกวนคุณทรงพลเพียงพอแล้ว ตามปกติ เราจะไม่ถามเรื่องส่วนตัวของคนที่เราเพิ่งรู้จักเขาเพียงแค่ครั้งแรกไม่ใช่เหรอครับ แล้วคุณทรงพลก็อยู่ในฐานะลูกค้าของเราด้วย”
อีกครั้งที่เจ้าสันต์เหลืออดจนต้องพูดออกมา
“พอได้แล้วละอร คุณทรงพลให้ข้อมูลที่ดีเยี่ยมกับพวกเรามามากแล้ว ขอโทษนะครับที่คุณอรละลาบละล้วงไปหน่อย เธอติดนิสัยพีอาร์มานะครับ ”
ผมพูดขึ้นบ้าง รู้สึกเกรงใจคุณทรงพลอย่างมาก ที่เขาถูกซักไซ้ไล่เลียงอย่างเสียมารยาท อรจิรามองผมอย่างโกรธที่ผมเองก็ขัดเธอเหมือนคนอื่น
“งั้นอรต้องขอโทษด้วยนะคะ อรแค่อยากรู้เท่านั้น เพราะบางทีอรก็ไม่รู้ว่าใครเป็นหรือไม่เป็นเกย์ อรวางตัวลำบาก ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรนะคะ ถ้าได้รู้ว่าใครเป็นใครตั้งแต่แรก จะได้ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องน่ะค่ะ”
“ผมไง เป็นเกย์ ผมกล้าแสดงออกไม่สนด้วย ว่าใครจะคิดอย่างไร ทีหลังถ้าอรอยากรู้ว่าเกย์คิดอย่างไร อรมาถามผมสิ ผมจะบอกให้ฟังอย่างหมดเปลือกเลย อย่าไปถามคุณทรงพลเลย ให้คุณทรงพลทานข้าวบ้างเถอะ ตอบอรจนไม่ได้กินข้าวกินปลาแล้ว”
สันต์ขัดจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยคำพูดกึ่งแซวกึ่งจริงจัง พีอาร์สาวหน้าสวย มองสันต์อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แต่เพื่อนผมก็ส่งยิ้มให้อย่างท้าทาย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมยินดีเปิดเผยข้อมูลของตัวเอง เพื่อให้คุณผู้หญิงท่านนี้คลายความสงสัย เธอจะได้รู้ว่า เกย์น่ะ ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวเลยสักนิด เกย์ก็คือมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา มีเลือดมีเนื้อ มีความคิด มีคนที่รัก มีสังคม รักเป็นเกลียดเป็น เพียงแต่รสนิยมทางเพศที่แตกต่างเท่านั้น หากเกย์ได้รับการยอมรับมากขึ้น เขาสามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบคู่ผัวตัวเมียแบบคนทั่วไป โดยไม่มีใครรังเกียจเดียดฉันท์ ผมว่า คนเหล่านั้นก็ไม่ต้องหลอกลวงใคร ไม่ต้องหลอกลวงพ่อแม่ ไม่ต้องหลอกลวงเพื่อนฝูง ไม่ต้องหลอกลวงคนรัก ไม่ต้องแสร้งทำตัวเป็นชายแท้เพื่อให้สังคมยอมรับ และไม่ต้องไปแต่งงานกับผู้หญิง เพื่อให้คนหลงเชื่อว่าตัวเองไม่ผิดปกติ สามารถมีลูกเมียได้ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ผู้หญิงก็ไม่ถูกหลอก ไม่มีใครเสียใจ ลูกเกิดมาก็ไม่มีปมด้อย ไม่ต้องรังเกียจพ่อของตัวเองด้วยครับ”
คำพูดของนายทรงพล เล่นเอาทุกคนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ สักพักเสียงปรบมือก็ดังขึ้นจากสันต์

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
«ตอบ #52 เมื่อ08-01-2009 14:33:38 »

“ว้าว คำพูดของคุณทรงพล โดนใจผมมาก ผมชอบจริงๆครับ ที่คุณเป็นคนที่มีความคิดความอ่านน่านับถือจริงๆ”
เจ้าสันต์ยังปรบมือไม่ยอมหยุด
“อรสนใจตรงประเด็นที่ว่า ถ้าตัวเองเป็นเกย์ ก็ไม่ควรจะมาหลอกคนอื่นนะค่ะ ทำแบบนี้ มันไม่ยุติธรรมต่อผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อเสียจริงๆ พวกที่โกหกได้แม้กระทั่งตัวเองนี่น่ารังเกียจจังเลยนะคะ เป็นแล้วก็ยอมรับกับตัวเองก็สิ้นเรื่อง”
“บางคนเขาก็อาจจะมีความจำเป็นนี่ครับถึงได้ทำไปอย่างนั้น เขาอาจจะไม่ได้มีเจตนาจะหลอกผู้หญิงดีๆให้ช้ำใจหรอกครับ”
สันต์พูดสวนขึ้นมาทันควัน ผมรู้ว่าเจ้าสันต์กำลังแก้ต่างให้กับผม เพราะรู้ดีว่าอรจิราพูดแขวะผมโดยตรง
“แล้วในความคิดของคุณทรงพลล่ะค่ะ ตอนนี้ รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ชอบแบบไหนแล้ว คุณทรงพลยังคิดจะแต่งงานกับผู้หญิงเพื่อปกปิดความเป็นจริงอยู่อีกหรือเปล่า ยังคิดที่จะทำให้ผู้หญิงเสียใจอีกไหม”
คนที่เคยฉลาดอย่างอรจิรา กลับมาตกม้าตายด้วยคำถามสิ้นคิด ผมไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงฆ่าตัวตายด้วยคำพูดแบบนั้น แต่เมื่อเห็นหางตาที่เธอมองมายังผม ก็พอจะคาดเดาได้ว่า เธอกำลังฟาดฟันผมให้เจ็บปวด ด้วยการยิงคำถามใส่นายทรงพลอย่างต่อเนื่อง แสดงอาการอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องของเกย์เต็มที่ แม่คนรักของผมคงหวังที่จะได้ยินคำพูดบางคำที่เธอจะนำมันมาย้อนรอยต่อว่าผมในภายหลัง
นี่เธอคงเชื่ออย่างฝังใจเต็มที่ว่าผมเป็นเกย์อย่างแน่นอน ก่อนหน้านั้น เธอเคยหึงหวงผมกับเจ้าสันต์ ที่ผมมักจะไปไหนกับมันบ่อยยิ่งกว่าไปกับเธอ กอร์ปกับผมเองก็ยังไม่พร้อมที่จะใช้ชีวิตคู่ แม้เธอจะพูดเรื่องการแต่งงานบ่อยครั้งก็ตาม เนื่องจากผมเห็นว่าฐานะยังไม่มั่นคง มันทำให้เธอรอผมไม่ได้ เธอจึงหันไปคบกับคุณอนันต์แทน ยิ่งเธอได้มีโอกาสเห็นผมกับเดียร์ในวันนั้นอีก เธอก็เลยปักใจว่าผมนั่นเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ผมไม่ใช่ผู้ชายแท้ และเธอคงคิดว่าผมหลอกกินไข่แดงเธอไปฟรีๆ ไม่ยอมแต่งงานกับเธอเพราะผมเป็นเกย์ นี่จึงเป็นวิธีหนึ่งที่เธอจะได้แก้แค้นผม
คุณอนันต์เริ่มขยับตัวอย่างอึดอัด เมื่ออรจิราหลุดประโยคคำถามนั้นออกไป ถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำพูดเรียบๆ ไม่ได้กระโชกโฮกฮาก อีกทั้งคนพูดก็ทำกริยาสุภาพขณะตั้งคำถามนั้น แต่เขาคงจะรู้สึกได้ว่าคนรักของเขาถามคำถามที่ค่อนข้างจะหมิ่นเหม่เหลือเกิน โดยเฉพาะคำถามนั้นเป็นคำถามที่เกี่ยวกับรสนิยมความชอบทางเพศ เป็นการถามเอากับลูกค้าที่ทำประกันไว้ในวงเงินที่สูงมาก ซึ่งถือได้ว่าเป็นคนสำคัญของบริษัทระดับวีไอพี
แน่ล่ะทุกคนรู้ว่าเขาเป็นเกย์ แล้วเขาก็ไม่ได้ปิดบังตัวเอง แถมยังใจดีเล่าให้ฟังถึงอดีตที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะตั้งคำถามจาบจ้วงเอากับเขาได้ ผมมองว่า คราวนี้อรจิราทำตัวเอง เธอจงใจจะเล่นงานผมจนขาดสติ ทั้งๆที่ตอนแรกเธอก็ดูเหมือนจะยินดีด้วยซ้ำที่ผมจะได้เลื่อนตำแหน่งหน้าที่การงานใหม่ อาจจะเป็นเพราะประเด็นที่เราคุยกันที่ดันมาวกเข้าเรื่องเกย์มันสะกิดใจของเธออย่างแรง จนเธอทนไม่ไหว ต้องพูดในสิ่งที่เธอคิดและรู้สึกกับผมออกมา ผ่านทางการพูดคุยกัน
บางทีความรัก กับ ความแค้นที่สุมอยู่ภายในใจใครสักคน ก็อาจจะบั่นทอนสติปัญญาของเขา ความยับยั้งชั่งใจหดหาย และกระทำตัวเหมือนคนโง่บ้าไปได้
“คุณอรนี่ ถ้าหากผมไม่ได้รู้ว่ากำลังหมั้นหมายอยู่กับคุณอนันต์ ผมคงคิดว่า คุณอรเพิ่งจะถูกเกย์ทำให้อกหักเป็นแน่ เพราะแต่ละคำถามที่ถามมา มันชวนให้คิดได้อย่างเดียว ว่าคุณคงจะเคยเสียใจเพราะเกย์แน่นอน”
นายสุริยะพูดยิ้มๆ เหมือนหยอกเอินเล่นๆ แต่มันคงจะแทงใจดำของอรจิรา เพราะผมเห็นเธอนิ่งอึ้งไปชั่งขณะ ใบหน้าเปลี่ยนสี สักพักใบหน้าที่สวยงามนั้นก็เชิดขึ้นดังเดิม รอยยิ้มที่เธอพยายามฝืนให้มีชีวิตชีวาก็ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก
“ไม่ค่ะ อรแค่อยากรู้ เผื่อว่าวันข้างหน้าจะเจอแบบนี้ จะได้เตรียมการได้”
“คงไม่มีโอกาสได้เจอหรอก เพราะคุณอนันต์เองก็ไม่มีทีท่าว่าเป็นเกย์นี่นา เอหรือว่าเป็น คุณไปทำอีท่าไหนเหรอ ถึงทำให้คุณอรกังวลได้ขนาดนี้”
เกย์หนุ่มผู้บริหารฝ่ายขายถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ คุณอนันต์หัวเราะตาม และโบกไม้โบกมือ ปฏิเสธเสียงลั่น
“เปล่านะครับ ถึงผมไม่ได้รังเกียจคนที่เป็นเกย์ แต่ผมก็ไม่ได้เป็นเกย์นะครับ ผมยังชอบผู้หญิงอยู่ กับอรนี่ ผมก็เร่งวันเร่งคืน ขอแต่งงานกับเธอ เธอก็ไม่ยอมใจอ่อนเสียที เธอยังสนุกอยู่กับงานน่ะครับ”
“โชคดีแล้วนะครับ ที่เจอคุณอร ผู้หญิงที่ทั้งสวย และเก่ง”
ผมเห็นรอยยิ้มเหยียดๆที่มุมปากนายสุริยะเมื่อเขาพูดประโยคนี้ ดูเหมือนเขาไม่ได้รู้สึกไปกับสิ่งที่เขาพูดเท่าไหร่ แต่อรจิราคงไม่ได้สังเกตเห็น เธอกำลังปลื้มกับคำชม
“เอาล่ะ มาสู่คำถามที่ว่านะ ที่คุณอรถามผม จำที่ผมพูดไปก่อนหน้านั้นได้ไหม ที่ผมบอกว่าผมน่ะรู้แน่แก่ใจแล้วว่าผมชอบอะไร ผมตั้งใจแล้วว่าจะไม่หวนกลับไปทำให้ผู้หญิงคนไหนเสียใจอีก ที่ผ่านมาผมผิดมากพอแล้ว ตอนนี้ผมได้เจอคนที่ผมรักมากคนหนึ่ง และผมคิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับเขา ผมคิดว่าผมคงทำให้เขามีความสุขได้ แล้วเขาก็คงทำให้ผมมีความสุขได้เช่นกัน”
อุปาทานหรือเปล่าไม่ทราบ ผมเห็นนายทรงพล ปรายตาไปยังเด็กแซ่บแล้วทำหน้ายิ้มละไม ในขณะที่เด็กหนุ่มก็หันไปมองตอบ แล้วก็หน้าแดงก่ำ ผมรู้สึกเจ็บที่ต้นขา เมื่อชำเลืองมองด้วยหางตาไปยังจุดเกิดเหตุก็พบว่าเจ้าสันต์เกร็งมือข้างซ้ายของมันขยุ้มเนื้อตรงต้นขาของผมไว้เหมือนกำลังตื่นเต้นเมื่อได้รับรู้สิ่งที่น่าตกใจบางอย่าง ผมลอบมองใบหน้าด้านข้างของเจ้าสันต์แล้วตวัดสายตาอย่างรวดเร็วไปยังแซ่บที่นั่งตรงข้าม เห็นสองคนกำลังจ้องกันอยู่ สักพักก็เห็นแซ่บหลบสายตา

โดยไม่ต้องอธิบายกันให้มากความผมก็รู้แล้วว่า การปรากฏตัวของแซ่บในโต๊ะที่มีแต่ผู้บริหารระดับสูงมันหมายความว่าอย่างไร เจ้าเด็กแซ่บก็คือคนรักคนใหม่ของนายทรงพลนั่นเอง ผมไม่แปลกใจเลยที่เด็กนั่นจะเลือกชายผู้สูงวัยกว่าตัวเองตั้งเยอะ เนื่องจากเพื่อนของผมเองก็มีส่วนไม่ดีหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นความเจ้าชู้ของมัน ในขณะที่มันคบกับเด็กแซ่บมันก็ยังไม่เลิกติดต่อกับสองหนุ่ม แมน และแดนนี่ ความโลเลหลายใจของมันอาจจะทำให้เจ้าเด็กแซ่บเริ่มไม่แน่ใจที่จะใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วย
ผมไม่กล้าฟันธงลงไปว่า ฐานะที่มั่นคงกว่าของนายทรงพลจะเป็นสิ่งที่ทำให้แซ่บเปลี่ยนใจได้หรือเปล่า แต่สิ่งที่ผมรู้อย่างหนึ่งก็คือ เด็กแซ่บเอง ก็แสบสมชื่อไม่ใช่เล่น ถ้าจะว่าเจ้าสันต์เจ้าชู้ มั่วไม่เลือก แซ่บเองก็ไม่ใช่คนที่ซื่อสัตย์อะไร วันที่เขานัวเนียหวานชื่นกับนายสุริยะที่สวนจตุจักรเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้เป็นอย่างดี
อรจิราทำท่าจะซักไซ้ต่อ แต่คุณอนันต์เป็นฝ่ายเบี่ยงเบนประเด็นไปก่อน เขาสรุปด้วยการกล่าวขอบคุณนายทรงพลที่ให้ข้อมูลที่เปิดอก และทำให้พวกเรามีมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมในเรื่องของเกย์ ในวันข้างหน้าบริษัทเราอาจจะสามารถพิจารณารับประกันพวกรักร่วมเพศได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งคำพูดของเขาได้รับการเห็นด้วยจากเจ้านายผมเอง และคุณสุริยะซึ่งเป็นฝ่ายขาย จากนั้น ก็เริ่มเปิดประเด็นใหม่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมืองต่อ ซึ่งเรียกความสนใจให้กับคอการเมืองทั้งหลายได้วิพากษ์วิจารณ์กันเต็มที่ โดยมีเจ้าสันต์ เจ้านายผม และคุณสุริยะ เป็นตัวหลักในการพูดคุย
ผมนั่งฟังทุกคนพูด โดยออกเสียงน้อยที่สุด รู้สึกเบื่อที่ต้องมานั่งฟังพวกเขาคุยกัน และอึดอัดที่ต้องมานั่งมองอรจิรา คนรักเก่าคลอเคลียอยู่กับคุณอนันต์ไม่ยอมห่าง อยากกลับบ้านเต็มทน รู้สึกเป็นสุขเมื่อได้อยุ่ในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง
อยู่ดีๆผมก็ดันคิดถึงเดียร์ขึ้นมา วันนี้เจ้าเด็กบ้านั่น จะมาที่บ้านผมหรือเปล่าหนอ จากการพูดคุยเมื่อตอนเช้า เห็นบอกว่า จะไปลุยซ้อมเต้นอย่างหนักในอาทิตย์หน้า แล้วช่วงนี้ล่ะ อีกตั้ง2-3 วัน กว่าจะถึงวันอาทิตย์ เด็กนั่นไปทำอะไรที่ไหน ร้านป้าก็ไม่ได้ไปทำแล้ว ซ้อมอาทิตย์หน้า แต่ทำไมถึงเริ่มหยุดตั้งแต่ตอนนี้ล่ะ ผมชักสงสัยเสียแล้วสิ
“เฮ้ย เหม่ออะไรวะ ไม่ได้ยินหรือไง ที่คุณทรงพลถาม”
เจ้าสันต์เป็นคนปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ ผมหันมาหาคุณทรงพล ก็เห็นเขายิ้มให้ผมอยู่แล้ว
“ใจลอยคิดถึงใครอยู่เหรอ คุณเรียว คิดถึงแฟนหรือไง”
“เปล่าครับ”
ผมปฏิเสธ คนที่ผมกำลังคิดถึงอยู่ ไม่ใช่แฟนผม เป็นเพียงแค่เด็กบ้าๆคนหนึ่งที่เข้ามาทำให้ชีวิตผมมีแต่ความวุ่นวายต่างหาก ผู้ชายด้วยกันจะยอมรับเป็นแฟนได้ไง
“ผมถามคุณว่า คุณมีแฟนหรือยัง แต่จากอาการเหม่อเมื่อครู่ ทำให้ผมได้คำตอบแล้วละครับ ว่าคุณคงจะมีคนรักอยู่แล้วแน่นอน”
“เอ๊........ทำไมถึงคิดอย่างนั้นละครับ เห็นแค่นี้ก็ทำนายได้เลยเหรอ”
ผมถามเขาอย่างงงๆ ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถเดาใจผมได้ถูก
“ก็ไม่เชิงหรอก แค่ดูหลายอย่างประกอบกันน่ะ คุณเรียวเป็นคนหน้าตาดี และเป็นคนเก่ง แน่นอนว่าเป็นบุคลิกของหนุ่มในฝันของผู้หญิงหลายคน หน้าหล่อแบบหวานๆอย่างนี้ ผมเพิ่มให้ด้วยว่าไม่ใช่เฉพาะสาวๆเท่านั้น อาจจะมีพวกชายไม่แท้ปะปนมาหลงชอบคุณอยู่ด้วย ดังนั้นคุณก็น่าจะมีใครสักคนอยู่บ้างแล้ว เมื่อกี้ตอนที่คุณเหม่อ ผมสังเกตเห็นใบหน้าคุณเดี๋ยวก็มีรอยยิ้ม เดี๋ยวคิ้วก็ขมวด คงอาจจะกำลังนึกถึงเรื่องบางเรื่องที่ทำให้ทั้งมีความสุข ทั้งไม่สบายใจไปพร้อมกัน ถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็ต้องเป็นเรื่องของคนรักน่ะครับ”
ผมลูบคลำใบหน้าตัวเอง นี่ผมแสดงสีหน้าจนคนจับได้ขนาดนั้นเลยเหรอ
“คุณทรงพลคิดว่า คุณเรียวนี่ สเปคเกย์หรือคะ”
พอได้ช่อง แม่คนรักของผมก็หาทางเล่นงานผมทันที
“ผมเพียงแต่พูดว่า คุณเรียวน่าตาดี น่าจะเป็นที่หมายปองของหญิงแท้ และชายเทียมครับ หรือคุณอรจิราไม่เห็นด้วยละครับ บอกตรงๆว่าผมเองยังชอบมองเลย นี่ถ้าผมไม่มีคนที่ผมรักอยู่แล้ว ผมอาจจะจีบคุณเรียวก็ได้ อยากได้คนหล่อๆเก่งๆมาช่วยดูแลร้านจิลเวอรี่ของผมน่ะครับ”
คำตอบของทรงพลเล่นเอาทุกคนเฮ แล้วหันมามองจ้องผมเป็นตาเดียว
“จริงด้วยครับ ผมน่ะรับรู้ว่าคุณเรียวเป็นคนที่หน้าตาหล่อ แต่พอมองใกล้ๆแบบนี้ก็เพิ่งเห็นว่าคุณเรียวนะหน้าหวานมาก ปากก็แดงๆ เวลาอายๆแก้มก็แดงด้วย โหเพิ่งจะรู้ว่าหน้าตาแบบที่พวกเกย์ชอบกัน เป็นอย่างนี้นี่เอง”
คุณอนันต์พูดติดตลกเพื่อสร้างความครื้นเครง มากกว่าที่จะพูดให้ผมอับอาย แต่ยิ่งพูดยิ่งทำให้ผมรู้สึกร้อนวาบตามใบหน้าและเนื้อตัว ไม่ได้พึงใจกับคำชมนั้นเท่าไหร่ ทำไมจะต้องมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องหน้าตาของผมกันนักนะ บอกแค่ว่าหล่อยังพอรับได้ แต่พูดว่าสเปคเกย์นี่ รู้สึกว่าเกินทนจริงๆ
“แต่ถึงจะหล่อแบบนี้ ก็ไม่มีแฟนหรอกครับ เพื่อนผมอ่ะ มันเข็ดเรื่องความรักไปแล้ว รักผู้หญิงเขาก็ไม่สนนะครับ”
เจ้าสันต์พูดแก้ต่างให้ผม มันคงเห็นว่าผมกำลังอึดอัดอยู่ที่ทุกคนพุ่งประเด็นความสนใจว่าผมหล่อถูกใจเกย์ มันเลยพยายามให้ใครเข้าใจไปอย่างอื่น แต่ไม่ช่วยดีกว่าไหม เพราะกลายเป็นว่าทุกคนกลับให้ความสนใจผมหนักขึ้นไปอีก
“อ้าวจริงหรือนี่ ใครกันหนอที่เมินคนหน้าตาดีๆอย่างคุณเรียวไปได้”
คุณอนันต์ร้องถามอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ผมอยากจะร้องไห้ออกมาเสียจริง นึกโกรธไอ้เพื่อนเวรที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง แล้วพาลไปโกรธศัตรูหัวใจของผมด้วย
“เดี๋ยวนี้หล่อแต่ไม่รวย ผู้หญิงก็ไม่สนนะครับ”
เจ้าสันต์ถือโอกาสว่าอรจิรา แต่คนรักเก่าของผมก็ไม่ยอมแพ้
“เดี๋ยวนี้หล่อแล้วเป็นเกย์ก็เยอะนะคะ หล่อ แต่ไม่รวย แถมเป็นเกย์ ผู้หญิงคงไม่เลือกหรอกค่ะ หรือถ้าจะเลือกก็คงจะเก็บไว้เป็นตัวเลือกท้ายๆนั่นแหละ อันนี้ไม่ได้ว่าคุณเรียวนะคะ เพราะคุณเรียวคงไม่ได้เป็นเกย์ แต่แค่พูดให้ฟังในฐานะผู้หญิงว่า ทำไมถึงเปลี่ยนใจมีคนใหม่”
“อื้อม คุยกับพวกคุณนี่น่าสนุกดีนะครับ เดี๋ยววันหลังผมเชิญพวกคุณไปทานข้าวบ้านผมกันดีกว่า ไปกันทุกคนเลยนะ ผมชอบคุยกับคนเยอะๆ ได้ความรู้มากมายครับ”
นายทรงพลยุติการสนทนาเรื่องนี้ด้วยการเชิญชวนให้ทุกคนไปเที่ยวบ้านเขา จังหวะหนึ่งผมมองไปที่ทรงพลก็เห็นเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้ายิ้มละไม แต่ดวงตาที่จ้องมา เปล่งประกายความหมายลึกล้ำ ผมว่าเขาฉลาดมาก และคงเดาเรื่องออกว่า อรจิรากับผมอาจจะมีเรื่องบาดหมางอะไรกันบางอย่าง แต่แสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขี้นเพื่อรักษาภาพต่อหน้าคนอี่น ผมมองสบตาเขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ผมจะต้องให้เขารู้เรื่องนี้
และแล้วอาหารมื้อนั้นก็สิ้นสุดลง โดยที่แขกผู้มีความสำคัญไม่สามารถเดินทางมาร่วมด้วยได้ เนื่องจากติดภารกิจสำคัญ พวกเราเลยไม่ต้องรอเขา มีสิ่งที่ทำให้ผมกระอักกระอ่วนใจเกิดขึ้น เมื่อเราทานข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เตรียมจะแยกย้ายกันกลับ นายทรงพล ก็ได้มอบของขวัญให้ผมชุดหนึ่ง เป็นกระดุมเสื้อ และ กระดุมข้อมือทองคำฝังเพชรใช้สำหรับเสื้อสูท ซึ่งทำจากร้านของเขา ผมปฏิเสธไม่ยอมรับ รู้สึกเหมือนว่าของเหล่านี้เหมือนสินจ้างรางวัลหรือสินบนที่ผมทำในสิ่งที่เขาต้องการ ผมไม่อยากได้ของที่ไม่อยู่ในวิสัยที่ผมควรจะได้ ในเมื่อผมทำงานอย่างตรงไปตรงมา ผมก็ไม่ควรจะแอบอ้างเอาของขวัญของชำร่วยจากใคร คำปฏิเสธของผม ทำให้ผมถูกมองด้วยสายตาที่แตกต่างกันออกไป คุณอนันต์มองผมด้วยสายตาชื่นชม เจ้าสันต์มองอย่างเสียดาย แต่อรจิรากลับมองผมด้วยสายตาที่บอกให้รู้ว่าผมกำลังเล่นตัว งี่เง่าไม่เข้าเรื่อง
“รับไปเถอะ แล้วอย่าคิดมากว่าเป็นสินจ้างรางวัลอะไรที่คุณช่วยทำให้ผมสามารถทำประกันกับบริษัทคุณได้ บอกได้เลยว่าผมมีประกันเยอะแยะ และไม่มีความหมายเลยถ้าบริษัทคุณจะไม่ยอมรับ มีที่อื่นที่พร้อมจะทำให้ผม แต่ที่ผมให้คุณ ถือว่าเป็นของขวัญที่เราได้รู้จักกัน ผมชอบความเที่ยงธรรมตรงไปตรงมาของคุณ ให้ก็บอกให้ ไม่ให้ก็บอกไม่ให้ มันอ้ำอึ้ง อ้อมค้อม นิสัยข้อนี้ของคุณเป็นข้อดี ที่ควรจะสนับสนุนให้มีต่อไป เอาเป็นว่า รับไว้เพื่อเห็นแก่มิตรภาพของพวกเราเถอะครับ”
ผมทำท่าจะปฏิเสธอีก แต่หัวหน้าผมเอาศอกกระทุ้งที่สีข้าง ทำให้ผมต้องจำใจยื่นมือออกไปรับและกล่าวขอบคุณเขา นายทรงพลยิ้มและยื่นมือออกมาให้ผมจับ ผมจึงยื่นมือออกไป เราจับมือกัน เขาบีบมือผมไว้นานกว่าจะปล่อยออก ผมรู้สึกสยดสยองในใจยังไงไม่รู้ เมื่อเห็นสายตาเชื่อมๆที่มองมาจากลูกค้าผู้สูงวัยคนนี้

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
«ตอบ #53 เมื่อ08-01-2009 14:39:35 »

 :-[ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะฮะ
+1 ให้ทุกคนเลย :L2:

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
«ตอบ #54 เมื่อ08-01-2009 15:38:36 »

+1 ให้ไต๋

โทษฐานขยันอัพมากๆ  ช๊อบ ชอบ แหะๆ

ตอน 7 นี่สนุกจัง ดุเดือด เลือดพ่าน (เวอร์ไปม้างงงงงงงงงงเนี่ย 55+)

แต่แอบคิดถึงเดียร์ นะเนี่ย

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
«ตอบ #55 เมื่อ08-01-2009 17:29:55 »

+1ให้คนโพส

เดียร์เริ่มมีคู่แข่ง ลุ้นๆ


ออฟไลน์ Ak@tsuKII

  • Honeymoon
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3845
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
«ตอบ #56 เมื่อ08-01-2009 18:14:31 »

เบื๊อ  เบื่อ  ยัยอรมากๆๆๆๆเลย   :beat:


อยากให้คุณอนันต์  เป็นเกย์  รึไม่ก็ทิ้งชีไปเลย    :z6: 


 :pig4:พี่ไต๋คับโผมมมมมมมมม

nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
«ตอบ #57 เมื่อ08-01-2009 22:43:07 »

อ่านสามตอนรวด

แต่ยังไม่จุใจเลยอ่ะ

ขออีกเยอะๆน๊าพี่แอน

ปอลอ เดียร์น่าร๊ากกกกกกก :-[
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-01-2009 22:50:31 โดย nana lonely »

YO DEA

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
«ตอบ #58 เมื่อ08-01-2009 23:04:14 »

 :กอด1:


น่าร้ากกกกกกกก

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่7 8/1/09
«ตอบ #59 เมื่อ09-01-2009 01:15:57 »

อ่านสามตอนรวด

แต่ยังไม่จุใจเลยอ่ะ

ขออีกเยอะๆน๊าพี่แอน

ปอลอ เดียร์น่าร๊ากกกกกกก :-[


อ้ะๆๆ ว่าแล้วทำไมวันนี้มะอัพ แอบมาวิ่งเล่นอยู่นี่เอง จับได้แล้วๆ กลับบ้านด่วนเลยนะนู๋แนน :a11: :เฮ้อ:

ป.ล.+1 :pig4: เดียร์น่ารักยกกำลัง3

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด