พจมาน 18 มงกุฎ : ตอนที่ 21 คุณหญิงย่า [PART 3] [24 ก.พ. 67]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: พจมาน 18 มงกุฎ : ตอนที่ 21 คุณหญิงย่า [PART 3] [24 ก.พ. 67]  (อ่าน 1675 ครั้ง)

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-02-2024 04:21:38 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
Re: พจมาน 18 มงกุฎ
«ตอบ #1 เมื่อ03-02-2024 02:37:28 »

หลังจากหยุดเขียนเรื่องนี้ไป 3 ปีกว่า ๆ ตอนนี้กลับมาต่อใหม่แล้ว จึงเอามาลงที่บ้านเดิมให้น้องพึ่งกับพี่พอลอีกครั้งค่า

++++++++++++++


นี่คือ...สถาน...แห่งบ้านทรายทอง งอง งอง....ที่ฉันปองมาสู่...อู่ อู่

ฉันยังไม่รู้....เขาจะต้อนรับ...ขับสู้เพียงไหน อั๋ย อั๋ย....

 

ดั่งเพลงที่เล่นวนซ้ำๆ อยู่ในใจนี้จะเป็นการย้ำถึงสถานภาพอันน่ารันทดหดหู่ของผม

'นายพจน หมื่นพิทักษ์' ที่วันนี้ต้องกลายร่างเป็น 'นางสาวพจมาน หมื่นพิทักษ์'

เพื่อปลอมตัวเข้าสู่รั้วคฤหาสน์ 'เทวินทร์วงศ์'

ในฐานะของคู่หมั้นคนสำคัญของ ลูกชายคนกลางแห่งตระกูลสูงศักดิ์ นามว่า 'ภาคี'
 

ทำไมต้องปลอมเป็นผู้หญิง

แล้วทำไมถึงมีคู่หมั้น

 
ทำไม? ทำไม? ทำม๊ายยยยยยย!!!?

 

:katai1:

+++++++++++++++
 

คำเตือน!

 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นจากจินตนาการ

บุคคล เนื้อหา รวมถึงสถานที่ทีกล่าวถึงในเรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่จริงแต่อย่างใด

เนื้อหาที่เอ่ยอ้างในเรื่องทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเองจากจินตนาการของผู้แต่ง ไม่สามารถใช้อ้างอิงตามหลักความจริงได้

นิยายเรื่องนี้อาจมีภาพ หรือเนื้อหา ที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง เพศ และการใช้ภาษา

ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณและจินตนาการอย่างสูงในการอ่าน

ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีควรได้รับคำแนะนำ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2024 02:42:21 โดย thearboo »


ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
Re: พจมาน 18 มงกุฎ
«ตอบ #3 เมื่อ03-02-2024 02:49:33 »


01 พจมาน

นี่คือ...สถาน...แห่งบ้านทรายทอง งอง งอง....ที่ฉันปองมาสู่...อู่ อู่

ฉันยังไม่รู้....เขาจะต้อนรับ...ขับสู้เพียงไหน อั๋ย อั๋ย....




ดั่งเพลงที่เล่นวนซ้ำ ๆ อยู่ในใจนี้จะเป็นการย้ำถึงสถานภาพอันน่ารันทดหดหู่ของผม

'นายพจน หมื่นพิทักษ์' ที่วันนี้ต้องกลายร่างเป็น 'นางสาวพจมาน หมื่นพิทักษ์'

เพื่อปลอมตัวเข้าสู่รั้วคฤหาสน์ 'เทวินทร์วงศ์'

ในฐานะของคู่หมั้นคนสำคัญของ ลูกชายคนกลางแห่งตระกูลสูงศักดิ์ นามว่า 'ภาคี'



ทำไมต้องปลอมเป็นผู้หญิง?

แล้วทำไมถึงมีคู่หมั้น?



ทำไม? ทำไม? ทำม๊ายยยยยยย!!!?



‘………’



เอ่อ...ขออนุญาตตบเรียกสติตัวเองกลับมา โอเคครับผมกลับมาแล้ว โอเคเรามาเริ่มเรื่องที่เหมือนดั่งเทพนิยายของผมกันเลย…

เรื่องนี้ต้องย้อนไปไกลตั้งแต่สมัยเจ้าคุณเทียดของผมยังหนุ่ม ตระกูลหมื่นพิทักษ์ของผมกับตระกูลเทวินทร์วงศ์นั้นแท้จริงมีความสัมพันธ์ฉันญาติกลาย ๆ ด้วยเพราะเราทั้งคู่เป็นตระกูลมั่งคั่งในยุคนั้น จึงมีการทำสัญญาเกี่ยวดองสองตระกูลเพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้เหนียวแน่น สัญญานั่นก็คือการแต่งงานกันระหว่างสองตระกูล ไม่ว่าจะแต่งเข้าแต่งออก ก็ขอให้ได้แต่งกัน ประมาณรวยแต่งรวย เรือล่มในหนองทองจะไปไหน

และ...บังเอิ๊ญบังเอิญ ตระกูลหมื่นพิทักษ์ของผมกลับไม่ได้ยืนยั้งยาวนาน เพราะถูกโกงในการทำธุรกิจจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว พอดี๊พอดีกับการที่ขณะนั้นเจ้าคุณเทียดผู้หยิ่งทะนงของผม กับเจ้าคุณเทียดของทางเทวินทร์วงศ์ดันเป็นเพื่อนรักเพื่อนตายพี่น้องร่วมสาบาน หรืออะไรสักอย่างที่รักกันมากปานจะกลืนกิน เจ้าคุณเทียดทางเทวินทร์วงศ์เลยต้องการจะช่วยเหลือหมื่นพิทักษ์ทุกวิถีทาง ทว่าเจ้าคุณเทียดของผมไม่ยอมรับการช่วยเหลือเพราะไม่ต้องการดึงเทวินทร์วงศ์ให้ต้องมาลำบากด้วย (ก็บอกแล้ว...เจ้าคุณเทียดผมหยิ่ง) แต่ทางเทวินทร์วงศ์ก็ดื๊อดื้ออยากจะให้ความช่วยเหลือหมื่นพิทักษ์ให้จงได้ สุดท้ายเลยกลายมาเป็นข้อตกลงที่ว่า ในอนาคตสืบไปเบื้องหน้าให้ลื่อ (ลูกของเหลน) ของทั้งสองตระกูลแต่งงานกัน! ไม่ว่าตอนนั้นหมื่นพิทักษ์หรือเทวินทร์วงศ์จะมีสถานภาพแบบใดก็ตาม ดังนั้นเจ้าคุณเทียดของผมจำใจตกลงรับทำพันธสัญญาใจนี้ในที่สุด

และความสำคัญของพันธสัญญาในครั้งนี้ก็ไม่ใช่แค่ลมปากเสียด้วย เจ้าคุณเทียดทางเทวินทร์วงศ์ถึงกับร่างพินัยกรรมขึ้นมาเลยทีเดียวว่า...

‘สมบัติพัศสถานทั้งหมดที่ข้าพเจ้าสร้างมา จะยกให้กับลื่อคนเดียวที่รับมั่นแต่งงานกับลื่อของตระกูลหมื่นพิทักษ์เท่านั้น ไม่แต่งไม่ยกให้ แต่งแล้วหย่าเรียกสมบัติคืน! ’

ลงลายเซ็นเป็นลายลักษณ์อักษรแน่นหนักเล่นเอาระส่ำไปทั้งคฤหาสน์เทวินทร์วงศ์อยู่ช่วงหนึ่งเลยทีเดียว แต่พอนานเข้าลูกหลานก็เริ่มหลงลืม เทวินทร์วงศ์กับหมื่นพิทักษ์เองพอสิ้นเจ้าคุณเทียดก็เริ่มห่างเหินกันไปเรื่อยๆ หนึ่งตระกูลที่ยังคงรวยล้นฟ้าครอบครองควบคุมธุรกิจหลัก ๆ ใหญ่ ๆ ดัง ๆ ของประเทศไว้เป็นส่วนใหญ่ กับอีกหนึ่งตระกูลที่กลายเป็นแค่เจ้าตกยาก เศรษฐีเก่าที่ไม่เหลือบคราบความเป็นผู้ดี กระจอกต๊อกต๋อยจนหมายังเมิน… (-”-)

ส่วนเหตุผลที่ต้องเป็นรุ่นลื่อ เพราะเจ้าคุณเทียดของผมเป็นคนขอร้องไว้เพียงเพื่ออยากให้ตระกูลหมื่นพิทักษ์ได้พยายามดิ้นรนขวนขวายด้วยตัวเองก่อน อยากให้ได้ใช้ความพยายามคืนความเป็นหมื่นพิทักษ์ให้ทัดเทียมกับเทวินทร์วงศ์ได้ก่อน เมื่อถึงวันครบตามสัญญาในรุ่นลื่ออย่างน้อย ๆ สองตระกูลก็ได้เกี่ยวดองกันได้อย่างไม่ต้องอายใคร

เจ้าคุณเทียดที่จากไปตั้งแต่ยังไม่ทันจบสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านคงคาดหวังสุด ๆ ว่ายุครุ่งเรืองหลังจากนี้หมื่นพิทักษ์ของเราคงเจริญงอกงามขึ้น ทว่า...ก็อย่างที่เห็นแหละครับ ผ่านมาเป็นร้อยปีนับตั้งแต่วันทำสัญญาจนป่านนี้แล้ว สภาพพวกเรายังคงจนตรอกงอกง่อยเกินรับไหวยิ่งกว่าเดิม

พวกผมหมื่นพิทักษ์พันธ์ุที่แท้ยังเหลืออยู่พวกสุดท้ายตอนนี้แทบไม่เหลือข้าวสารจะกรอกหม้อกันอยู่แล้ว!!

พ่อผม นายพจน์ หมื่นพิทักษ์ (43) คุณลุงใจดี (อ่อนแอ อ้อนแอ้น อ่อนปวกเปียก) อดีตพนักงานบริษัทที่ถูกเลย์ออฟเพราะพิษเศรษฐกิจ ตกงานออกมาขายข้าวแกง สืบทอดกิจการของภรรยาที่จากไป (ตั้งแต่ยังสาว)

แม่ผม นางพจนีย์ หมื่นพิทักษ์ (ถึงแก่กรรม) สาวสวยใจใหญ่ (สวย ถึก บึกบึน!) อดีตแม่ค้าขายข้าวแกงที่ถือได้ว่าสวยและเก่งที่สุดในตลาด! แต่บังเอิญอายุคุณแม่สั้นไปหน่อย ท่านถูกรถชนเสียชีวิตไปตอนที่ผมอยู่ ม.5

นายพจน [พด-จะ-นะ] หมื่นพิทักษ์ (20) ชื่อเล่นว่า ‘พึ่ง’หรือก็คือผม ลูกชายคนโต เพราะภาวะทางการเงินของครอบครัวกำลังระส่ำระสาย ตอนนี้ผมเลยดรอปเรียนมหาลัย (ปี 2) ไว้ก่อน เพื่อออกมาหางานทำช่วยครอบครัว (ที่เหลือเพียง 3 หนุ่ม) งานที่ทำอยู่ก็คือพนักงานร้านสะดวกซื้อตอนกลางวัน กับเด็กเสิร์ฟในผับยามราตรี

สุดท้ายคือนายพชร [พด-ชะ-ระ] หมื่นพิทักษ์ (17) ชื่อเล่นว่า ‘พิง’ น้องชายหัวแก้วหัวแหวน ที่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.5 ความจริงมันอยากออกมาช่วยทำงานใจแทบขาด แต่ทั้งผมและพ่อต่างก็คัดค้านหัวชนฝาเพราะไม่ว่ายังไงลูกคนเล็กของบ้านหมื่นพิทักษ์ก็ต้องได้เรียนจนจบ! ซึ่งก็โชคดีสุด ๆ ที่น้องพิงของผมได้โควตานักกีฬาว่ายน้ำ ทำให้สามารถใช้ทุนนักกีฬาเรียนชั้นมัธยมปลายโรงเรียนคุณหนูมีชื่อได้ฟรีจนกว่าจะจบ เพอร์เฟคจนผมน้ำตาไหล รักไอ้พิงมันสุดใจ (อิอิ ก็น้องผมเจ๋งอ่ะ)

แต่การต่อสู้กับสภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ ข้าวของแพงน้ำตาไหล รายได้ไม่เคยพอกับรายจ่าย ทำคนทั้งบ้านผมถึงกับท้อ ยังดีที่มีบ้านของตัวเองอยู่หลังมันคือคฤหาสน์ซอมซ่อหลังเก่าของเจ้าคุณเทียด ที่รอดพ้นจากการโดนยึดมาได้อย่างหวุดหวิด และด้วยความที่เจ้าคุณเทียดรักคฤหาสน์หลังนี้มากพวกเราลูกหลานเหลนโหลนเลยไม่คิดจะขาย แม้จะเคยมีคนติดต่อซื้อในราคาแพงหูฉี่ เพราะเราอยากจะรักษาสมบัติชิ้นสุดท้ายของเจ้าคุณเทียดไว้

(ที่สำคัญกลัวขายแล้ว ผีเจ้าคุณเทียดจะมาหักคอเอา...และอีกเหตุผลสำคัญสุด ๆ นั่นก็คือ! ...เราไม่มีโฉนดนั่นเอง ฮ่า...)

คฤหาสน์ยังอยู่ดี แต่เฟอร์นิเจอร์แทบไม่มีแล้ว เตียงไม่มี มีแต่ฟูกปูนอน น้ำประปาไหลบ้างไม่ไหลบ้าง ไฟฟ้าแอบต่อพ่วงจากข้างบ้านมา เครื่องใช้ไฟฟ้าก็มีแค่ทีวีจอ 14 นิ้วรุ่นตู้เก่ามากที่ข้างบ้านให้มา 1 เครื่อง หม้อหุงข้าวที่ต้องใช้กระดาษสอดตรงสวิตช์ไว้กันมันสับก่อนสุก ตู้เย็นเก่า ๆ เซ้งมือสองมา 1 เครื่อง เตารีด 1 เครื่อง วิทยุทรานซิสเตอร์ 1 เครื่อง กับอุปกรณ์หม้อไหกะละลังในการทำกับข้าวขายของพ่อพจน์ สภาพเอเนจอนาถจนบรรยายไม่ถูก บทจะจนทำไม๊มันถึงจนได้ใจขนาดนี้นะ ผมล่ะโคตรจะไม่เข้าใจโลกเอาเสียเลย

จนบรมยังไม่สาแก่ใจในชะตาฟ้า พ่อผมดันเป็นหนี้เพราะใจดีไปค้ำประกันให้เพื่อนสมัยยังทำงานอยู่อีก! หนี้เป็นล้าน!

...ครับ! พวกคุณฟังไม่ผิดหรอก พ่อผมไปค้ำประกันให้ชาวบ้านแล้วถูกเชิดเงินหนี จนพวกผมโดนเจ้าหนี้ไล่ล่าอยู่จริง ๆ ครับ ด้วยยอดหนี้กระจิริด

เพียง 1 ล้านบาทถ้วน! (ทั้งนี้ไม่รวมดอกเบี้ยที่คิดเป็นอัตราก้าวหน้า ก้าวหลัง ก้าวกระโดด...)

พวกเราใช้ชีวิตแสนลำเค็ญกันแบบนี้มาเกือบสองปี นับตั้งแต่คุณพ่อผู้แสนดีสร้างหนี้ที่พวกเราไม่ได้ใช้ แล้วตกงานมาเสียเฉย ๆ

และแล้ววันหนึ่งเหมือนโชคจะเข้าข้าง หรือไม่ก็ชะตาฟ้าเล่นตลก ที่ในวันนั้น วันที่พวกผมกำลังหลบเจ้าหนี้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย กรอบรูปของเจ้าคุณเทียดก็ร่วงปุลงตั้งแหมะอยู่บนพื้น พร้อมทั้งตรงหลังกรอบรูปนั้นมีกระดาษเก่าๆ ใบหนึ่งเสียบเอาไว้อยู่...

กระดาษใบนั้น พวกเรายังไม่กล้าที่จะหยิบมาเปิดดูในทันที เพราะต่างก็กำลังคิดเข้าข้างตัวเองกันไปว่า...

พ่อ... "หรือว่ามันจะเป็นจดหมายรักระหว่างเจ้าคุณทวดกับเจ้าคุณย่า"

ไอ้พิง... "ลายแทงสมบัติ ที่เจ้าคุณเทียดเอาไปซ่อนเอาไว้ที่เกาะร้างกลางทะเล! ”

ผม... “โฉนด!! ”

ไม่พูดพร่ำทำเพลงกันแล้วงานนี้ ผมรีบหยิบออกมากางให้เห็นกันโต้งๆ เลยดีกว่าว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ เผื่อจะเป็นลายแทงที่ซ่อนสมบัติจริง ๆ อย่างที่ไอ้พิงคิด หรือไม่ก็เป็นโฉนดที่ดินของจริงที่พวกผมอาจแอบเอาไปขายที่แบบโอนลอยเอาตังค์มาใช้หนี้ได้....

"..."

ทว่า....

แค่ได้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังรูปนั้นความเงียบก็เข้าครอบคลุมพวกเราทั้งครอบครัวทันที...

แล้วหลังจากนั้น ชีวิตที่บัดซบอยู่แล้วของผม มันก็ยิ่งบัดซบขึ้นไปอีก

+

+

+



มันบัดซบยังไงน่ะเหรอ?

ไว้เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังนะ...





++++++++++++++++++++



กราบสวัสดีค๊า ขอกราบสวัสดีท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านอีกครั้ง

ในที่สุดอนาคีก็สามารถขุดน้องพึ่งออกจากไหดองได้สำเร็จ หลังเอาน้องไปใส่ตะกร้าล้างน้ำผึ่งแดดใหม่

ก็ได้ฤกษ์ได้ชัยเอาน้องมาโลดแล่นให้ท่านผู้อ่านที่คิดถึงได้ร่วมสนุกสนานกับน้องพึ่งกันอีกรอบค่ะ

มารอบนี้การันตีความรั่วไอ้น้องพึ่งยังเท่าเดิม ที่เพิ่มเติมคือรีไรท์ใหม่ให้มีความเป็นเหตุเป็นผลขึ้น และจะพยายามเข็นไปจนจบแน่นอนค่ะ อิอิ

สำหรับนักอ่านท่านใหม่ที่หลงเข้ามาเจอกัน ยินดีต้อนรับเสมอนะคะ ขอบคุณที่แวะเข้ามาเป็นกำลังใจที่แสนหวานให้กันนะค๊า



รักเสมอ

อนาคี๙๙
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2024 03:55:15 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
Re: พจมาน 18 มงกุฎ : 02 พินัยกรรม
«ตอบ #4 เมื่อ03-02-2024 02:55:57 »


02 พินัยกรรม

“เฮ้ย! พี่พึ่ง! พี่เลิกเดินเกาไข่พล่านไปทั่วบ้านได้ไหมวะ!!? เชี่ย! อุจาดตาชะมัด! ”

เสียงแปร่ง ๆ ของน้องรักตะโกนโหวกเหวก คิดหรือว่าคำก่นด่าของมันจะสะท้านรูหูผมได้ เหอะ! ว่าแล้วอีกมือที่เหลือก็เลยล้วงไปเกาตูดต่อ

“สัดพิง! มึงจะโวยวายอะไรแต่เช้ากะอีแค่กูเกาไข่วะ แหม...ทำอย่างกะมึงไม่เคยคัน”

ผมตอบไปเอื่อย ๆ ให้ได้พอระคายหูไอ้พิงมันเล่น แล้วก็ได้ผล ไอ้พิงค้อนผมจนตาแทบคว่ำ ฮ่าฮ่า สะใจ!

“อ้าวพ่อ? จะออกไปขายข้าวแกงแล้วเหรอ? มะ เดี๋ยวพึ่งช่วย” เดินออกมาหน้าบ้าน เจอคุณพ่อตัวเล็กๆ ของผมกำลังจะเข็นรถขายข้าวแกงคันเก่งออกไปพอดี ผมเลยกะจะช่วยเข็นไปจนถึงตลาด แต่คุณพ่อคนดีห้ามไว้เสียก่อน

“ไม่เป็นไรหรอกพึ่ง วันนี้ลูกอุตส่าห์ได้หยุด อยู่บ้านพักเถอะ เดี๋ยวพ่อไปกับพิงเอง”

ไงล่ะคุณพ่อแสนดีของผม ท่านเป็นผู้ชายที่สุดแสนจะเรียบร้อย น่ารัก มารยาทงาม เป็นพ่อค้าข้าวแกงที่ขึ้นชื่อที่สุดในตลาด ฉายาของพ่อก็คือ ‘นางฟ้า’

...หึหึ งงกันไปเลยสินะผู้ชายอะไรฉายานางฟ้า ฮ่าฮ่า ก็คุณพ่อของผมนี่แหละจะมีใคร คุณพจน์ หมื่นพิทักษ์ ที่สูงเพียง 162 หนัก 50 กิโลกรัม ไซซ์มินิ แขนขาเล็กเรียวไร้กล้ามเนื้อ ผิวเนียนละเอียดขาววิ้ง ดวงตากลมโต ปากนิด จมูกหน่อย...เอ่อ...แค่ผมอธิบายเอง ยังไม่รู้สึกเลยว่ากำลังอธิบายถึงลักษณะของพ่อตัวเอง คนอะไรจะแบ๊วได้ขนาดนั้น นี่ถ้าไม่ปริปากนะไม่มีใครรู้ครับว่าพ่อผมน่ะอายุ 43 เข้าไปแล้ว! ก็พ่อผมหน้าเด็ก ริ้วรอยแห่งวัยทั้ง 10 ประการก็น้อยนิดกระจิริดกระจ้อยร่อย มองเผิน ๆ นี่เป็นพี่ชายผมได้สบายเสียด้วยซ้ำ ที่ไหนได้ 43 แถมลูก 2 ที่โตเป็นควายแล้วอีกต่างหาก! เคยมีคนทักจริง ๆ นะว่าพวกผมเป็นพี่น้องกัน ฮ่าฮ่า เงิบไปหลายรายแล้ว

โชคดีของผมกับไอ้พิงสุด ๆ ครับที่ได้ส่วนสูงแม่มา คุณพจนีย์แม่ผมน่ะ เจ๊แกสูง 175 ซึ่งผมได้มาเต็มๆ ไอ้พิงลดหลั่นลงไปหน่อย ซึ่งมันบอกว่ามันยังเด็ก มันยังสูงได้อีก เรื่องนิสัยขอบอกว่าผมกับไอ้พิงก็ได้แม่มาอีกแหละ เพราะเจ๊แกห้าวเป้ง สวยถึกโหด! ไม่มีความเป็นกุลสตรีเลยแม้สักเศษโมเลกุลในอณูวิญญาณ (อ้างอิงจากที่ผมจำความได้นะ) ผิดกับพ่อพจน์ที่แสนจะอ่อนหวาน อ่อนโยน เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้

แม่พจนีย์เลี้ยงลูกด้วยลำแข้ง

พ่อพจน์ก็เลี้ยงลูกด้วยอ้อมอกอุ่น

หึหึ...สลับบทกันอย่างชัดเจน!

ก็เหมือนจะดีแล้วนะ แต่ก็ยังเหลือกรรมกันอีกอย่างนะครับ นั่นคือทั้งคุณพจน์และคุณพจนีย์ดันหน้าตาดี สวยหวานทั้งคู่ ดังนั้นลูก ๆ อย่างพวกผมจึงหนีไม่พ้นเคราะห์กรรมความงามที่ได้รับมาแบบจัดเต็ม!! หึหึ...หน้าตาสวยหวานไม่ต่างกันเชียว ดีนะที่ยังสูง ๆ กันอยู่ ลองจินตนาการว่าถ้าพวกผมสูงเท่าพ่อล่ะก็คิดดูสิครับจะเป็นยังไง

...แน่นอนว่า พวกผมได้เป็นสามหนุ่มแบ๊ว เดอะแก๊งนางฟ้าแห่งหมื่นพิทักษ์แน่ๆ!!

...แค่คิดก็...บรื๋ออออ

“เดี๋ยวพิงไปกับพ่อเอง พี่พึ่งไปพักเหอะ ทำงานเต็ม 7 วัน โทรมอย่างกับขี้”

เหมือนจะดีถ้ามันไม่ด่าตามหลังมาด้วย หน็อยไอ้น้องบังเกิดเกล้า! ผมได้แต่เบะปากให้มันเพราะขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง

“เออ! แล้วอย่าลืมอาบน้ำด้วยนะพี่พึ่ง สังคังแดกไข่ขึ้นมาแล้วเสือกเอากางเกงในมาซักรวมกับพิงเข้า เดี๋ยวพิงติด”

ก่อนจะออกไปยังอุตส่าห์จะเหน็บส่งท้ายมาอีก ไม่เกรงใจพ่อนะจะโบกให้หัวทิ่ม!

จบการถกเถียงโหวกเหวกยามเช้าของผมกับไอ้น้องเวร ผมก็ยังคงยืนเกาพุงส่งพ่อและน้องรักไปขายข้าวแกงที่ตลาด อย่างที่ไอ้พิงบอกผมทำงานเต็มทั้ง 7 วันแบบแทบจะทั้งวันทั้งคืนเลยด้วยซ้ำ เพิ่งจะได้พักจริง ๆ จัง ๆ ก็วันนี้แหละ ‘โทรมอย่างกับขี้’ จริงของไอ้พิงมันทุกคำ เพราะขอบตาผมคล้ำเป็นหมี หนวดเหนิดขึ้นตอหร็อมแหร็มเต็มไปหมด ส่วนทรงผมไม่ต้องพูดถึง กระเซิงเป็นรังนกเลยครับ ตั้งแต่เข้ามหาลัยมาผมยังไม่ได้ตัดผมเลยสักครั้ง (ก็มันเปลืองอ่ะ ตัดทีตั้งหลายตังค์ เก็บไว้ซื้อมาม่ากินดีกว่าเยอะ) ดังนั้นตอนนี้ผมของผมเลยยาวจนจะเลยกลางหลังไปแล้ว…

หึหึ...อย่าครับ อย่ามโนว่าผมจะเป็นหนุ่มผมยาวสลวยสวยเก๋ ไม่ครับ เลิกมโนด่วน! เพราะไอ้พึ่งคนนี้ 5 วันสระผมที และแน่นอนว่า 5 วันหวีทีเช่นกัน หึหึ รังนกยังดูเป็นระเบียบกว่าผมที่เรียงเส้นอยู่บนหัวผมอีกครับ อีกนิดก็จะขมวดเป็นผมผีช่ออยู่แล้ว ฮ่าฮ่า (สะใจในความซกมกของตัวเองเหลือเกิน)

จริงอยู่ครับที่ผมได้หยุดงานซึ่งปกติแล้วไม่เคยได้พัก แม้วันไหนที่งานในร้านสะดวกซื้อของผมจะได้หยุดก็เถอะ แต่ผมยังคงต้องทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟตอนกลางคืนอยู่ดี

แต่…คืนนี้ผมได้พักยาวครับ ยาวจนกว่าจะหางานในผับใหม่ได้นั่นแหละ เฮ้อ…

จะให้ทำยังไงได้ล่ะครับ ในเมื่อผมเพิ่งโดนไล่ออกมาสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อคืนนี้เอง เหตุก็เพราะผมดันไปกร่างใส่ลูกค้าที่เสือกเป็นลูกท่านหลานเธอเข้าน่ะสิ!

ซวยฉิบหาย!!

“ไอ้สัตว์มึงรู้ไหมว่ากูลูกใคร!? อย่ามาเสือกเรื่องของกู ไอ้บ๋อย!!”

เสียงแผดกล้าลั่นอยู่หน้าร้าน ตอนตี 1 เรียกให้ผมต้องเดินออกไปดูแลบรรดาลูกค้าผู้มีเกียรติของผม ใครกันนะบังอาจล่วงเกินพวกท่าน…

“เอ่อ คุณลูกค้าครับ เข้าไม่ได้จริง ๆ ครับ คุณลูกค้าอายุยังไม่ถึง เราให้เข้าไม่ได้จริง ๆ”

เสียงไอ้สรพงศ์เด็กต้อนรับหน้าร้านเอ่ยอธิบายบางแก่ใครบางคนด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

“อายุไม่ถึงแล้วมันยังไง!? กูจะเข้าซะอย่าง! ถอยไป!!”

เสียงทุ้มพร่าท่าทางเมามายได้ที่ เมื่อผมวิ่งออกไปดูท่าทางของท่านลูกค้ากิตติมศักดิ์ ภาพที่ผมเห็นคือ…เอ่อประทานโทษ…เมาไม่ต่างหมา แต่กร่างได้ใจ โวยวายลั่นแบบไม่กลัวใคร แหม่…ท่าจะใหญ่จริง ไหนขอดูหน้าชัด ๆ สิว่าใหญ่แค่ไหน

“ประทานโทษครับคุณลูกค้า”

ผมปรี่เข้าไปขวางหน้าสรพงศ์ทันทีที่เห็นว่าลูกค้าคนนั้นเริ่มกระชากคอเสื้อเพื่อนร่วมงานของผมคล้ายจะวางมวย ผมแสร้งทำเสียงทุ้มแบบสุภาพเวอร์ พร้อมยิ้มหวานฉ่ำส่งให้คุณลูกค้าท่านนั้นหวังดับความคุกรุ่น มือหนึ่งก็โบกหย็อย ๆ เป็นสัญญาณให้ไอ้สรพงศ์คนดีไปหลบหลังฉากก่อน เรื่องรับมือลูกค้าหน้าด้านน่ะ ผมถนัดกว่ามันเยอะ

“เฮ้ย!!? ” แต่ทว่า…ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้าด้วยความสุภาพ หมัดหลุน ๆ ก็ตรงเข้าหน้าผมแบบเส้นยาแดงผ่าเก้า! แหม…เฉียดไปนิด ถ้าหลบไม่ทันนี่ เบ้าตาเขียวได้เลยนะงานนี้ เฮ้อ…คุณลูกค้าครับ ทำไมต้องให้ผมต้องเสียแรงทุกที

ฟึ่บ!!

โครม!!

“อร๊ากกก!! ไอ้สัด! ปล่อยกู!! ”

อย่าตกใจครับ ผมยังอยู่ดี แต่คนที่ร้องเสียงหลงอยู่บนพื้นน่ะคือคุณลูกค้าผู้ทรงเกียรติของผมเอง หมัดเมา ๆ ที่ท่านปล่อยมาผมรับได้ด้วยมือเปล่า และขอประทานโทษอย่างแรงครับที่บังเอิญผมดันเป็นมวย เรียนศิลปะป้องกันตัวติดไม้ติดมือไว้ มือผมเลยไวไปหน่อย จับปุ๊บหักปั๊บ พับอีกตลบ เผลอแผล็บลงไปกองเรียบร้อย…เอ่อ…ผมเผลอไปจริง ๆ นะ ผมไม่ได้ตั้งใจ (แม้มือผมจะยังคงกำข้อมือที่ไพล่หลังอยู่ของคุณลูกค้าไว้แน่นก็เถอะ)

“ปล่อยน้องของฉันเดี๋ยวนี้! ”

“!!!!?? ”

เสียงผู้ชายอีกคนที่มาพร้อมกับแรงมือมหาศาลกับทักษะป้องกันตัวที่น่าจะดั้งสูงกว่าผม วืดเดียว เพียงแค่วืดเดียวเท่านั้นผมปลิวหวือออกจากร่างคุณลูกค้าอันทรงเกียรติของผมแทบจะทันที แค่นั้นยังไม่พอ ไอ้วืดเดียวที่ผมถูกจับได้นั้นแขนผมถูกบิดไพล่หลัง แล้วร่างที่สูงใหญ่กว่าผมมากก็โถมทับดันพรวดเดียวอัดทั้งตัวผมกระแทกขอบประตูร้านดังโครม ไม่ต้องถามสภาพผมครับจุกจนร้องไม่ออกสักแอะเดียว

“เอามันหนัก ๆ เลยพี่พอล ไอ้ห่านี่แม่งโคตรกวนตีน อยู่ดี ๆ มันก็หักแขนเพิร์ท!! ”

รู้สึกคุณลูกค้าของผมจะหายเจ็บหายเมาแล้ว แหม…ลุกขึ้นได้ใส่ไฟผมใหญ่เชียว

“ไปตามผู้จัดการร้านมา! ”

เสียงทุ้มนั้นสั่งการชัดเจนอยู่เหนือหัวของผม หางตาผมเห็นไว ๆ ว่าไอ้สรพงศ์นั่นแหละที่วิ่งไปตามผู้จัดการให้ หัวใจผมสรรเสริญมันทันทีเหอะ! ‘แม่ง…ไอ้เพื่อน (ร่วมงาน) ทรยศ!! ’

ผมถูกปล่อยตัวทันทีที่ผู้จัดการร้านวิ่งกระหืดกระหอบออกมา และแน่นอนว่าหลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจผมก็ตกงาน เพราะรู้สึกว่าสองพี่น้องที่ผมเสือกไปมีปัญหาด้วยจะเป็นลูกของนักธุรกิจใหญ่ (มาก) แถมยังเป็นตระกูลเศรษฐีเก่านามสกุลดัง (ซึ่งผมไม่สนใจแล้วล่ะอารมณ์นั้นน่ะ) เพียงแค่เขาบอกกับผู้จัดการของผมว่า…

“อย่าให้ผมเห็นเด็กเสิร์ฟคนนี้อีกนะ” ประโยคเดียวผมโดนกระเด้งออกจากร้านทันทีในตอนนั้นเลย พร้อมเงินเดือนที่โดนหักเป็นค่าเสียหาย…

มันบัดซบโคตร ๆ จริง ๆ ไอ้พวกลูกคนรวย! แม่ง…อย่ามาเดินแถวบ้านกูนะจะดีดหนังกะติ๊กใส่แม่ง!! ฮึ่ย…กูจำหน้าพวกมึงได้แม่นเลยนะเว้ย อย่าให้เจอเชียว! (ก็ได้แต่บ่นในใจแหละครับทำไงได้ ก็ผมมันจนไม่ใช่ชนชั้นอภิสิทธิ์ชีวิตมันก็เลยได้แค่นี้ เลือกได้ที่ไหน เฮ้อ!)

+

+

+

+

+

ห้าโมงเย็นโดยประมาณ พ่อกับไอ้พิงก็กลับมาจากตลาด

พ่อผมนอกจากจะขายข้าวแกงแล้วยังขายอาหารตามสั่งง่าย ๆ ด้วย ออกไปขายตั้งแต่หกโมงเช้า กลับมาก็เย็นเลยทีเดียว พ่อผมทำกับข้าวอร่อย ขายดิบขายดีและที่สำคัญเพราะพ่อผมหน้าตาน่ารักไง ลูกค้าเลยเพียบ ทั้งสาวทั้งหนุ่มทั้งแก่ไม่แก่ แม่ยกพ่อยกเพียบ…

ช่วงนี้ปิดเทอมไอ้พิงออกไปเป็นบอดี้การ์ดให้ แต่ช่วงเปิดเทอมพวกผมจะต้องฝากพ่อไว้กับเจ๊มะลิ สาวสองตัวหนาล่ำ (สูงเกือบสองเมตร) เจ๊มะลิเป็นเจ้าของร้านขายดอกไม้ข้าง ๆ แผงที่พ่อใช้ขายกับข้าว เจ๊มะลิเป็นเพื่อนแม่ดังนั้นพวกผมจึงวางใจฝากพ่อได้ มั่นใจสุด ๆ ว่าเจ๊มะลิสามารถปกป้องพ่อของพวกผมให้รอดพ้นจากริ้นไรได้แน่นอน แหม…อย่าหาว่าหวงห่วงพ่อจนเกินเหตุเลย เห็นเป็นผู้ชายอย่างนี้แต่พ่อผมเคยโดนผู้ชายด้วยกันฉุดมาแล้วเหอะ บทจะหื่นขึ้นมา ชายแก่ (หน้าแบ๊ว) มันก็ไม่เว้นนะเออ ดังนั้นกันไว้ดีกว่าแก้!

แม่ผมคงรู้เรื่องนี้ดีดังนั้นตอนยังมีชีวิตอยู่แม่จึงส่งพวกผมเรียนศิลปะป้องกันตัวทุกชนิดเพื่อปกป้องตัวเอง และก่อนที่แม่ผมจะสิ้นลมท่านได้สั่งเสียพวกผมเอาไว้อย่างแม่นมั่นว่าให้ปกป้องพ่อให้ได้และดูแลพ่อให้ดี ดังนั้นเพื่อความสุขของคุณแม่…พวกผมสู้ตาย!

“ยังไม่อาบน้ำใช่ไหมนั่น! โหย…โคตรซกมกว่ะพี่พึ่ง สังคังแดกไข่หมดแล้วมั้ง! ”

ยังไม่ทันจะเหยียบธรณีประตูบ้าน แค่เห็นหน้าผมไอ้พิงมันก็ตะโกนด่ามาแต่ไกล

“มึงแม่กูเหรอไอ้พิง เสือกอะไรกับไข่กูนักวะ!? ”

ผมด่ากลับไปไม่จริงจังนัก พวกผมสองคนเป็นอย่างนี้ประจำครับด่ากันไปมาทั้งวัน แต่ที่จริงพวกผมรักกันมากนะ พ่อรู้ดีจึงไม่เคยห้ามที่พวกผมทะเลาะกันสักครั้ง ยิ่งเห็นพวกผมเถียงกันพ่อยิ่งยิ้มมีความสุข เพราะนั่นหมายถึงลูก ๆ อยู่พร้อมหน้าละมั้ง ปกติผมอยู่บ้านซะที่ไหนล่ะ ตะลอนทำงานทั้งวัน นาน ๆ ได้หยุดทีเลยต้องเถียงกับไอ้พิงให้คุ้ม

“หิวไหมพึ่ง? มีกับข้าวเหลือมาแน่ะ มะลิเขาฝากขนมมาให้ด้วยนะ มากินข้าวกันเร็ว”

เก็บรถเข็นเสร็จพ่อพจน์ก็เรียกผมให้ไปกินข้าวเสียงหวานจ๋อย โดยมีไอ้พิงตักกับข้าวที่เหลือๆ จากหม้อใส่ถ้วยอยู่

“พ่อพักเหอะ เดี๋ยวพึ่งจัดการเอง พ่อมาเหนื่อยๆ พึ่งอ่ะนอนเปื่อยมาทั้งวันแล้ว” ผมออกตัวขอจัดการเรื่องอาหารมื้อเย็นเอง พ่อผมทำงานเหนื่อยมาทั้งวันจะปล่อยให้บริการผมได้ยังไง ผมที่ได้พักเต็มที่แล้วนี่สิที่เป็นฝ่ายต้องบริการ

ข้าวร้อน ๆ ผมหุงเตรียมไว้แล้ว จานชามล้างรอเงาแว๊บ น้ำ (ประปากินได้) เย็นฉ่ำเต็มขวดตั้งไว้รอท่า พอไอ้พิงตักกับข้าวใส่ชามเสร็จพวกเราสามคนพ่อลูกก็ลงมือกินข้าวเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย ข้าวเสาไห้แข็ง ๆ ด้าน ๆ แต่ด้วยความชำนาญผมหุงจนนุ่มน่าทานได้สบาย กับข้าวของพ่อก็อร่อยเหมือนทุกวัน ชีวิตของพวกเราก็เดิม ๆ เหมือนดังเช่นในทุก ๆ วัน... (ถ้าไม่นับที่ผมตกงานอ่ะนะ)

กึ่งๆๆๆๆๆๆ ปึ่งๆๆ!!!!

“เฮ้ย! กูรู้ว่าพวกมึงอยู่ในนั้น ออกมาคุยกันหน่อยสิ!! ไอ้พจน์! ”

“...!!!?? ”

ผวากันยกบ้าน จากนั้นก็…

กริ๊ก!

ไฟดับพรึ่บ!

บ้านเงียบกริบ

แม้แต่กองกับข้าวเมื่อกี้ก็อันตรธานในพริบตา

เพียงอึดใจต่อมาประตูบานแกร่งที่ลูกบิดไม่ได้แกร่งตามก็ถูกเปิดออกได้โดยง่าย ชายฉกรรจ์รูปร่างถึกทึน สามนายกรูกันเข้ามาในบ้านอย่างคุกคาม ทว่าบ้านที่มืดมิดและเงียบกริบนั้น ยังความฉงนให้ทั้งสามคนไม่น้อย

ก็เมื่อกี้ยังเห็นว่ามีไฟแว๊บ ๆ แป๊บเดียวหายเรียบ ในบ้านก็เก่าจนฝุ่นเขรอะ เอ๊ะ? หรือจะไม่มีใครอยู่จริง ๆ ทั้งค้นทั้งหาไม่เห็นแม้เพียงเงามนุษย์ ไฟฟืนก็ดับ สวิตช์ก็สับไม่ติด นี่มันยังไงกันแน่เนี่ย? ฮึ่ย! วันนี้ก็ชวดอีกจนได้ ทั้งสามถึกได้แต่ฉงนใจ ก็สายรายงานว่าพ่อลูกบ้านนี้ยังอยู่กันครบ ไหงมาทีไรไม่เคยเจอ?

เออ…เอาเป็นว่าขู่ทิ้งลม ๆ แล้ง ๆ เอาไว้ก่อนแล้วกัน จะได้ถือซะว่ามาไม่เสียเที่ยว

“วันนี้หลบได้ก็หลบไป! เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกกูมาใหม่ถ้าไม่ได้ล้านห้าภายในพรุ่งนี้ล่ะก็…พวกกูจะเผาให้เหี้ยน!! ”

ก็ขู่ไปงั้น ก่อนจะหันหลังกลับกันออกไป…

 

1 ชั่วโมงต่อมา…

“...เอาไงดีอ่ะพ่อ พรุ่งนี้มันบอกจะมาอีกอ่ะ แถมยังจะเผาบ้านเราด้วย! ” เสียงไอ้พิงพล่ามเพ้อด้วยความตระหนก

“....พ...พ่อ...พ่อ...” ฝ่ายพ่อพจน์ก็ถึงกับเอ๋อ ด้วยสิ้นไร้หนทาง

เมื่อสิ้นหวังผมก็ได้แต่เงียบ ในหัวประมวลผลร้อยแปดเพื่อจะรับมือกับวันพรุ่งนี้

ความเงียบปกคลุมเราทั้งสามอย่างช่วยไม่ได้ ต่างคนก็ต่างคิดทางหนีทีไล่กันหัวแทบแตก ก็แหม...ถ้ามากันแบบปกติน่ะมันก็พอจะหลบจะหนีกันพ้นอยู่หรอก หนีมาทั้งชีวิตโคตรชำนาญเหอะ แต่นี่มันจะเผาบ้านเผาเรือนนอน คฤหาสน์สุดหวงของเจ้าคุณทวดด้วย! งานนี้เลยต้องคิดหนักเพราะไม่รู้จะป้องกันยังไงดี

“เอาไงดีวะ...” ผมได้แต่บ่น “เจ้าคุณเทียดครับ บ้านจะโดนเผาอยู่แล้วเนี่ย เจ้าคุณเทียดไม่คิดจะช่วยกันหน่อยเหรอครับ...” บ่นเสร็จก็เริ่มพาล

แล้ว...มันก็เป็นผล

เคร้งงงงงง!!

“เฮือก!! ” สะดุ้งโหยงกันทั้งสามคน

สิ้นคำผมรูปเจ้าคุณเทียดที่แขวนเด่นอยู่ตรงโถงบ้านก็หล่นเคร้งลงมาตั้งแหมะอยู่บนพื้น เล่นเอาพวกผมแทบฉี่ราด กลัวสิครับ! ใครไม่กลัวผีบ้างล่ะ

“กรี๊ดดดด!! รูปเจ้าคุณเทียดจู่ ๆ ก็ร่วงอ่า! เชี่ยยย! ไอ้พี่พึ่ง ไอ้ปากหมา! เจ้าคุณเทียดโกรธมึงแล้ว แสดงอิทธิฤทธิ์ใหญ่เลยมึงงงงงง!! ” เสียงไอ้พิงกลัวจนสาวแตก

“เชี่ยเหอะ! กูก็แค่บ่น เจตนาลบหลู่ท่านที่ไหนล่ะอย่ามาโบ้ยกูสิ!! ตะปูที่ตอกไว้มันเสื่อมแล้วรึเปล่า! เมื่อกี้ไอ้พวกทวงหนี้มันเล่นเปิดประตูซะแรง มันคงจะหลุดตอนนั้นแหละ! อย่ากลัวไม่เข้าเรื่องสิมึง!! ” ผมแก้ตัวปากคอสั่น พร้อมอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างสมเหตุสมผล ถึงตอนนี้จะไม่ได้เรียน แต่ผมเก่งวิทย์นะ!

“นะโม ตัสสะ นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ....” พ่อพจน์ของผมเอง สวดมนต์นำหน้าไปละ

“โถ่พ่อใจเย็นดิ มันไม่มีอะไรหรอกน่า พึ่งบอกแล้วไงว่าตะปูมันหลุด เฮ้ยไอ้พิง มึงไปดูดิ๊! ” ปลอบพ่อเสร็จก็ใช้น้องครับ คนเป็นพี่มันดีอย่างนี้แหละ

“เฮ้ย! ไปเองดิพี่! พิงไม่ไปอ่ะ พิงกลัว! ” แต่ในกรณีที่มีน้องใช้ยาก มันก็ต้องลงมือลงแรงกันนิด

“กูบอกให้มึงไปดู ไอ้พิง! ” น้ำเสียงผมเริ่มเหี้ยม

“ไม่! ” แต่ไอ้พิงยังดื้อ

“มึงจะไปดูดี ๆ หรือจะให้กูถีบ? ” ไม่พูดเปล่า ยกเท้าขึ้นตั้งท่ารอด้วย คราวนี้ไอ้พิงถึงกับเบะปาก

“...ฮึ่ก...จำไว้เลยนะไอ้พี่พึ่ง งื้อ...." ก็ได้แค่นั้นแหละครับคนเป็นน้อง หึหึ สุดท้ายไอ้พิงน้องรักของผมก็ค่อย ๆ ย้ายตูด ค่อย ๆ ย่อง ค่อย ๆ คลาน ไปที่รูปเจ้าคุณเทียดอย่างหวาด ๆ

ระหว่างที่ไอ้พิงมันด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ตรงรูปนั้น ผมกับพ่อพจน์ก็ชะเง้อคอคอย

“เฮ้ย? พ่อ พี่พึ่ง มีเศษกระดาษอยู่ข้างหลังรูปเจ้าคุณเทียดด้วยอ่ะ! ” เสียงไอ้พิงตะโกนเรียกด้วยความตื่นเต้น

ผมกับพ่อพจน์ก็ไม่รอช้าพริบตาเดียวก็ไปนั่งมุงกันอยู่ตรงหน้ารูปเจ้าคุณเทียดเรียบร้อย เฮ้ย...มันมีกระดาษเก่า ๆ อยู่จริงด้วย!

“อึ๋ย...อย่างเก่าอ่ะ กระดาษอะไรเนี่ย” พวกเราด้อม ๆ มอง ๆ เจ้ากระดาษแผ่นน้อยที่ถูกพับไว้นานจนขอบเป็นสีเหลือง กระดาษปริศนาที่พวกผมยังไม่กล้าจะหยิบ

"หรือว่ามันจะเป็นจดหมายรักของเจ้าคุณทวด" พ่อพจน์ผมเปรยขึ้นพร้อมดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ เอ่อ...พ่อผมจะสาวน้อยไปไหน?

"พิงว่ามันอาจลายแทงสมบัติ ที่เจ้าคุณเทียดเอาไปซ่อนเอาไว้ที่เกาะร้างกลางทะเล”  คราวนี้เป็นไอ้พิง สงสัยมันดูการ์ตูนวันพีชมากไปหน่อย เดี๋ยวก็ได้ไปแกรนด์ไลน์หรอกมึง!

“มึงจะไปเป็นราชาโจรสลัดให้ได้รึไงไอ้เชี่ยพิง! กูว่ามันต้องเป็น...โฉนด!!” ทันทีที่ผมคิดได้มือผมยิ่งไวกว่าสมองอีก กระดาษเก่าคร่ำคร่าใบนั้นตอนนี้อยู่ในมือผมเรียบร้อย ด้วยความเก่าทำให้กระดาษมันค่อนข้างจะยุ่ยนิดหน่อย ผมค่อย ๆ กางมันออกท่ามกลางการลุ้นระทึกแทบลืมหายใจของกระทาชายสามชีวิต

และแล้ว!!

แท๊นนนนนน!! (แอบใส่ซาวด์เพื่อความตื่นเต้น)

เมื่อเปิดดูชัด ๆ สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาก็คือข้อความยาวเต็มหน้ากระดาษ ที่เขียนด้วยลายมืออันอ่อนช้อยสวยงาม ซึ่งข้อความเหล่านั้นแบ่งออกเป็นสองท่อน สองลายมือ ลงลายมือชื่อพร้อมตราประทับประจำตระกูลเรียบร้อย ข้อความด้านบนเป็นของเจ้าคุณเทียดไม่ผิดแน่เพราะลงชื่อท่านเอาไว้ชัดเจน ‘พจนันท์พรรณา หมื่นพิทักษ์’ ข้อความข้างบนของใครยังพอเข้าใจ แต่อีกข้อความด้านล่างนั้นชื่อของผู้เขียนทำเอาพวกผมถึงกับงงเต็ก เพราะนามสกุลลงท้ายเป็นนามสกุลที่โคตรจะดังในตอนนี้ โคตรดัง โคตรรวย โคตรของโคตรมหาเศรษฐี ‘เทวินทร์วงศ์’ ลงชื่อ ‘ภาสกรอมรวรัตน์ เทวินทร์วงศ์’

และเมื่อเห็นข้อความในกระดาษเราสามคนก็ถึงกับอึ้งยกกำลังสาม...

+
+
+
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2024 03:56:35 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
Re: พจมาน 18 มงกุฎ : 02 พินัยกรรม
«ตอบ #5 เมื่อ03-02-2024 02:56:42 »

‘ข้าพเจ้า พจนันท์พรรณา หมื่นพิทักษ์ ขอมอบพินัยกรรมฉบับนี้ส่งผ่านไปชั่วลูกสืบหลาน เมื่อกาลผ่านพ้นจนถึงรุ่น ‘ลื่อ’ ของข้าพเจ้า ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในนามแห่งข้าพเจ้าทั้งหมดแม้ว่า ณ ตอนนั้นจะถูกผู้ใดถือครอง จะต้องตกเป็นของลื่อที่ตกลงยอมแต่งเป็นบ่าวหรือแต่งเป็นสะใภ้ร่วมดองสองตระกูล หมื่นพิทักษ์และตระกูลเทวินทร์วงศ์ เท่านั้น โดยต้องรักษาสัญญาผูกพันนี้ร่วมกันไปครบ 3 ปี หากมีการแยกทางร้างหย่า ให้แบ่งสินทรัพย์กันคนละกึ่งหนึ่ง แต่หากลื่อนั้นไม่รักษาคำมั่นเลิกรากันก่อนพันธะนี้จะสุดสิ้น ให้ถือว่าทรัพย์สมบัติในนามแห่งข้าพเจ้าทั้งหมดตกเป็นของแผ่นดินโดยสมบูรณ์.

ขอยืนยันว่าข้อความทั้งหมดที่เขียนไว้ข้างต้นนั้นเป็นความจริงทุกประการโดยได้ลงลายมือชื่อให้ไว้เป็นสำคัญต่อหน้าพยาน’

ลงชื่อ พจนันท์พรรณา หมื่นพิทักษ์

 

‘ข้าพเจ้า ภาสกรอมรวรัตน์ เทวินทร์วงศ์ ขอมอบพินัยกรรมฉบับนี้ส่งผ่านไปชั่วลูกสืบหลาน เมื่อกาลผ่านพ้นจนถึงรุ่น ‘ลื่อ’ ของข้าพเจ้า ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในนามแห่งข้าพเจ้าทั้งหมดแม้ว่า ณ ตอนนั้นจะถูกผู้ใดถือครอง จะต้องตกเป็นของลื่อที่ตกลงยอมแต่งเป็นบ่าวหรือแต่งเป็นสะใภ้ร่วมดองสองตระกูล หมื่นพิทักษ์และตระกูลเทวินทร์วงศ์ เท่านั้น โดยต้องรักษาสัญญาผูกพันนี้ร่วมกันไปครบ 3 ปี หากมีการแยกทางร้างหย่า ให้แบ่งสินทรัพย์กันคนละกึ่งหนึ่ง แต่หากลื่อนั้นไม่รักษาคำมั่นเลิกรากันก่อนพันธะนี้จะสุดสิ้น ให้ถือว่าทรัพย์สมบัติในนามแห่งข้าพเจ้าทั้งหมดตกเป็นของแผ่นดินโดยสมบูรณ์.

ขอยืนยันว่าข้อความทั้งหมดที่เขียนไว้ข้างต้นนั้นเป็นความจริงทุกประการโดยได้ลงลายมือชื่อให้ไว้เป็นสำคัญต่อหน้าพยาน’

ลงชื่อ ภาสกรอมรวรัตน์ เทวินทร์วงศ์

 

หมายเหตุ* พินัยกรรมนี้ได้แบ่งออกเป็นสองฉบับ โดยให้ทั้งตระกูลหมื่นพิทักษ์ และ เทวินทร์วงศ์ เก็บรักษาอย่างละหนึ่งฉบับเพื่อความโปร่งใสในการใช้ยืนยันสิทธิ์ในพันธสัญญาแลทรัพย์สินอันเป็นมรดกตกทอดในนามแห่งหมื่นพิทักษ์แลเทวินทร์วงศ์

พินัยกรรมทั้งสองฉบับนี้ถือเป็นคำตัดสินสิ้นสุด หาให้มีสิ่งใดหรือคำทัดทานใดมีอำนาจเทียบเทียมได้

ลงชื่อพยาน ทนายสุริยงค์ สรเสริญ

ซึ่งจากนี้ไปตระกูลสรเสริญจะเป็นพยานแห่งพันธสัญญานี้แต่เพียงผู้เดียว

 

++++++++++++++++

 

“...พินัยกรรม? สองตระกูล? แต่งงาน? ”

ผมได้แต่เพ้อถ้อยคำเหล่านี้ออกมาเมื่ออาจพินัยกรรมฉบับนี้จบ

...นี่มัน...นี่มัน...

"เฮ้ย! พี่พึ่ง แม่งมีข่าวจริงด้วยว่ะ!"

เสียงของไอ้พิงที่ดังสวนขึ้นทำเอาทั้งผมและพ่อพจน์รีบคลานไปหาไอ้พิงที่นั่งอยู่หน้าจอทีวีขาวดำรุ่นเจ้าคุณปู่ด้วยความเร็วแสง!

ข่าวการตามหา 'หมื่นพิทักษ์'

'เป็นที่ฮือฮามากที่สุดในตอนนี้เลยนะคะพี่สรย้วย ที่ตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยอย่างเทวินทร์วงศ์ ออกมาประกาศตามหาตัวว่าที่คู่หมั้นของลูกชายคนกลางของบ้าน คุณภาคี เทวินทร์วงศ์ หนุ่มที่ฮอตที่สุดและมีสาว ๆ ตามคลั่งไคล้มากที่สุดในตอนนี้'

'ครับน้องบุ้งกี๋ ได้ยินว่าจนถึงตอนนี้ผู้ไปประกาศตัวว่าเป็นคนที่เทวินทร์วงศ์ตามหาอยู่เกือบ ๆ จะพันคนได้แล้วมั้งครับ แต่สายข่าวเรายังรายงานมาว่ายังไม่มีใครที่เป็นบุคคลที่ทางเทวินทร์วงศ์ตามหาตัวจริงเลยสักราย'

'ตายจริง ทำไมละค่ะพี่สรย้วย'

'เพราะดูเหมือนว่าคนที่เป็นตัวจริงต้องมีหลักฐานแสดงตัวบางอย่างด้วยน่ะครับ'

'เอ๊ะ ไม่ใช่แค่เป็นคนในตระกูล หมื่นพิทักษ์ หรอกหรือคะ? '

'ครับน้องบุ้งกี๋ ต้องเป็นหมื่นพิทักษ์พันธุ์แท้ ที่ไม่ใช่แตกเหล่าแตกกอ และไม่ใช่เพิ่งมาเปลี่ยนนามสกุลตอนหลัง ที่สำคัญผมไปสืบทราบมาว่าต้องมีหลักฐานประจำตระกูลไปโชว์ด้วยนะครับ'

'หลักฐานประจำตระกูล? มันคืออะไรหรือคะ? '

'อันนี้ผมก็ไม่ทราบครับน้องบุ้งกี๋ ทางเทวินทร์วงศ์ปกปิดมิดชิดว่าสิ่งนั้นคืออะไร คนที่เคยเข้าไปต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ทราบ เพราะทางนั้นแค่บอกให้โชว์ของประจำตระกูลแต่ไม่ได้บอกว่ามันคืออะไร และไม่เคยมีใครโชว์สิ่งที่ถูกต้อง'

'ว้าว ลึกลับมากเลยค่ะ แบบนี้เทวินทร์วงศ์ยิ่งน่าค้นหานะคะ'

'ครับน้องบุ้งกี๋ แล้วตอนนี้เทวินทร์วงศ์ยังคงเปิดบ้านตามหาลูกสาวของตระกูลหมื่นพิทักษ์ที่เป็นตัวจริงเสียงจริงอยู่นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ทางเทวินทร์วงศ์ได้ลั่นออกมาแล้วว่าหากใครสามารถพาหมื่นพิทักษ์ตัวจริงเสียงจริงไปให้เขาได้เนี่ย เขายินดีจ่ายถึงสองล้านเชียวนะครับ'

'สองล้าน! คุณพระ เดี๋ยวบุ้งกี๋ต้องไปลองหาแถวบ้านดูบ้างแล้วค่ะว่ามีหมื่นพิทักษ์สักคนตกหล่นอยู่บ้างหรือเปล่า คิกคิก'

'จากนี้ไปได้มีคนไปเสนอตัวอีกเป็นหมื่นแน่ครับผมรับรองได้ ซึ่งเราจะติดตามแล้วมาเล่าสู่กันฟังให้ได้เร็วที่สุดนะครับ'

'ค่ะ ยังไงทางรายการเรื่องเล่าไปเรื่อยๆ ของเราก็ขอให้เทวินทร์วงศ์เจอหญิงสาวผู้โชคดีคนนั้นโดยเร็วด้วยนะคะ งั้นมาที่ข่าวต่อไปกันเลยค่ะ...'

 

"พ่อ...เรามีหลักฐานประจำตระกูลไหม?" ผมหันไปถามพ่อทันทีที่ฟังข่าวจบ หัวใจผมเต้นกระหน่ำด้วยคำว่า...สองล้าน!

"...แหวน ตระกูลเรามีแหวนประจำตระกูลที่ได้รับสืบทอดกันมาเป็นรุ่น ๆ เฉพาะหมื่นพิทักษ์แท้..." พ่อผมเปรยขึ้นมาเบา ๆ น้ำเสียงระโหยแรง จนผมใจหาย...นี่พ่ออย่าบอกนะว่า...

"ข...ขายไปแล้ว?" ผมถามพ่อด้วยความตื่นตระหนก แต่พ่อผมส่ายหัวพรืด ๆ

"ยังอยู่...นี่ไง" จากนั้นก็ล้วงสร้อยสเตนเลสยาวเฟื้อยขึ้นมาจากคอตัวเอง แล้วโชว์สิ่งที่แขวนอยู่นั้นให้ผมกับไอ้พิงได้ดูเต็มสองตา

แหวนวงนั้นใหญ่มาก เดาได้เลยว่าพ่อคงใส่ไม่ได้เลยเอามาแขวนคอไว้ มันเป็นแหวนทองที่ถูกพันด้วยด้ายสีขาวหม่นคลุมไว้ทั้งวงตรงหัวแหวนเป็นรูปดอกไม้ซึ่งมีชื่อหมื่นพิทักษ์สลักไว้อยู่ แหวนประจำตระกูลของจริง

"พี่พึ่ง แค่แหวนจะใช้แนะนำตัวเราได้เหรอ? เรายังไม่รู้เลยนะว่าบ้านนั้นเขาต้องการอะไร พิงว่าในบรรดาคนที่ไปโชว์ตัว มันต้องมีแหวนไปบ้างแหละ อย่างน้อย ๆ หมื่นพิทักษ์คนอื่นที่ไม่ใช่เราก็ต้องพอรู้บ้าง..."

"ไม่มีใครรู้หรอกพิง..." เสียงพ่อเปรยขึ้นเบา ๆ "แหวนวงนี้จะมีเพียงสายตรงพันธุ์แท้เท่านั้นที่จะได้เห็นมัน เพราะมันจะตกทอดสู่รุ่นต่อไปเมื่อเจ้าของแหวนคนปัจจุบันตายเท่านั้น ซึ่งพ่อได้แหวนวงนี้มาก็ตอนที่คุณปู่ของพวกลูกสิ้น"

คุณปู่เสียไปตั้งแต่พวกผมยังเด็กมากด้วยโรคมะเร็ง พวกผมจำท่านไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ ส่วนคุณย่า...รู้สึกจะเสียตั้งแต่พ่อผมยังเด็กเหมือนกัน ไร้ญาติขาดมิตรอย่างสิ้นเชิงเหอะ ตระกูลผมเนี่ย

"งั้นตอนนี้เราก็มีทั้งพินัยกรรมของเจ้าคุณเทียดกับแหวนประจำตระกูลเป็นเครื่องยืนยันตัวงั้นสินะ..." ไอ้พิงโพล่งขึ้น ดวงตามันดูมีความหวัง ผมมั่นใจว่ามันก็ตื่นเต้นกับคำว่า 'สองล้าน' ไม่ต่างจากผม

"แต่บ้านเราไม่มีลูกสาว...แล้วเราจะไปโชว์ตัวกับเขาให้ได้อะไร..." พ่อผมเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจ

"ใครบอกพ่อว่าไม่มีล่ะ...ขั้นนี้แล้ว"

"เอ๊ะ? พึ่ง ลูกพูดอะไรน่ะ? "

"ตกใจอะไรคะคุณพ่อ...พรุ่งนี้ หนูจะไปโชว์ตัวกับเทวินทร์วงศ์เองค่ะ"

"...พ...พึ่ง? "

"...เชี่ยแล้ว...พี่พึ่ง...ขนลุกว่ะ..."

ดูเหมือนทั้งพ่อทั้งไอ้พิงจะตกใจกับเสียงดัดจริตตุ๊ดแตกของผมไม่น้อย แต่ผมไม่มีทางเลือก หากอุปสรรคเดียวที่ขวางทางได้เงินของพวกเราคือ 'เพศ' แล้วล่ะก็ผมคนนี้แหละจะเป็นผู้หญิงให้ดู!!! สองล้าน! สู้ว้อยยยยยย!!!!!

 


++++++++++++++++++++

ความโกลาหลของเทพนิยายสไตล์ไอ้พึ่งกำลังจะเปิดฉากขึ้น!!

ขอบคุณที่ติดตามนะค๊า

รักนะจุ๊บๆๆๆ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2024 03:18:19 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

03 เมื่อแรกพบสบตา

"ทำไมต้องเรื่องเยอะกันขนาดนั้นด้วย จะใครก็เอามาเถอะ ได้ชื่อว่าหมื่นพิทักษ์ก็น่าจะพอแล้วนี่"

เสียงทุ้มออกอาการหงุดหงิดเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่เจ้าของเสียงน่าฟังกระแทกตัวเองลงบนโซฟาตัวใหญ่ทันทีที่บ่นจบ

"อย่าง่ายให้มันมากนักเลยตาพอล ทำให้มันถูกต้องซะก็ดีแล้วนี่ คุณย่าท่านสั่งอะไรไว้ก็ทำตามไปเหอะ" เสียงหวานใสแต่แฝงไว้ด้วยความเฉียบคมเอ่ยทัดทาน

"โถ่ พี่แพท ไอ้ตระกูลหมื่นพิทักษ์ที่เป็นสายตรงพันธุ์แท้อะไรนั่น จริง ๆ มันอาจไม่มีแล้วก็ได้นี่ ล่มสลายหายไปจากโลกนี้แล้วมั้ง ไม่งั้นป่านนี้คงแล่นมาหาเรานานแล้วล่ะ"

"หึ! ทำอย่างกับแกอยากแต่งกับผู้หญิงของหมื่นพิทักษ์จนตัวสั่นอย่างนั้นแหละ ทั้งที่จริง ๆ แล้วสิ่งที่แกหมายตาอยู่คือที่ดินของเจ้าคุณเทียดผืนนั้นต่างหาก"

"ก็มันเป็นสิทธิ์ของผมนี่ ไอ้เพิร์ทมันสละสิทธิ์ พี่แพทเองก็แต่งงานมีลูกมีสามีไปแล้ว ผมสิ! ผมยอมที่จะแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมไม่รู้จัก ที่ผืนนั้นจึงควรเป็นของผม"

"ก็ไม่ได้มีใครว่าอะไรนี่ แกยอมแต่ง แกก็เอาที่ไป แม้กระทั่งคฤหาสน์หลังนี้หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ที่เป็นของเจ้าคุณเทียด แกอยากได้อะไรแกก็เอาไปเถอะ ฉันก็แค่อดสมเพชแกไม่ได้เท่านั้นแหละ ตาพอล"

"..."

"ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ายัยแม่ม่ายลูกติดนั่นมันมีดีอะไรนักหนา ถึงทำให้แกยอมกระทั่งแต่งงานกับใครก็ไม่รู้เพื่อเอาที่ผืนนั้นไปให้มัน...."

"...มันเป็นสิทธิ์ของผม"

"เออ! ก็เอาตัวให้รอดแล้วกัน! ทนอยู่กับผู้หญิงที่ตัวเองไม่ได้รัก 3 ปี เพื่อผู้หญิงที่หลอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า หึหึ" หญิงสาวพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะออกจากห้องไป ทิ้งน้องชายไว้กับความเกรี้ยวโกรธที่ถูกเหยียดหยันจากผู้เป็นพี่สาว

ชายหนุ่มได้แต่ขบฟันกรอด

เขารู้เขามันดูโง่

แต่ที่ทำก็เพราะเขามีเหตุผลที่ต้องทำ

+

+

+



"คนเยอะชะมัดเลย...นี่ญาติเราหมดเลยป่ะเนี่ย"

เสียงไอ้พิงกระซิบสั่นอยู่ข้าง ๆ ขณะที่พวกเราสามคนพ่อลูกกำลังต่อคิวลงชื่อเข้าไปสัมภาษณ์ที่หน้าคฤหาสน์หลังเบ้อเริ่มของเทวินทร์วงศ์ คนเป็นร้อย นักข่าวอีกเป็นสิบ ขนาดเพิ่งจะเก้าโมงเช้าเองนะเนี่ย...

"ญาติเก๊ทั้งนั้นแหละ หมื่นพิทักษ์นอกจากพวกเราน่ะกลายพันธุ์หมดแล้ว พวกที่มาเป็นร้อย ๆ เนี่ยส่วนใหญ่ก็สองล้านพิทักษ์เท่านั้นแหละ" ผมพยายามอธิบายให้น้องชายโลกสวยฟัง ก็แหม มันเรื่องจริงนี่นา ตระกูลผมเนี่ยจะล่มแหล่มิล่มแหล่มานานโข เหลือสายตรงก็แค่พวกผม นี่ถ้าถูกยิงตายไปตั้งแต่เมื่อคืน ก็หมดครับ ตระกูลกุดทันที

ระหว่างรอคิวผมสังเกตได้ว่าโต๊ะที่ให้ลงทะเบียนนั้นเป็นโต๊ะที่มีสิทธิ์เด็ดขาดในการสแกนคนด้วย เพราะมีทั้งผู้ที่ได้เข้ารอบต่อไป และผู้ที่ต้องเสียใจกลับบ้านเพราะไม่ผ่านออดิชั่นด้วย

ตายล่ะ...เขาตรวจอะไรบ้างวะ ถ้าตรวจบัตรประชาชนละก็ผมตายแน่!

"พึ่ง เป็นอะไรน่ะลูก? เห็นเกาโน่นเกานี่มาพักนึงแล้วนะ" พ่อพจน์ที่หน้าเครียดเงียบกริบมาตลอดทางของผมถามขึ้นเมื่อเห็นว่ามือไม้ผมอยู่ไม่สุข เกาแกร่ก ๆ ซ้ายทีขวาทีอยู่นั่น

"คันอ่ะพ่อ เสื้อชั้นในผู้หญิงนี่ทำไมมันต้องมีลูกไม้ระย้าขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ คั้นคัน! " ว่าแล้วก็เกาต่อ ขอบเสื้อชั้นในว่าคันแล้ว ฟองน้ำอันยักษ์ที่ยัดไว้ข้างในนี่ยิ่งคันระเบิด โอยยยย...ผมอยากถอดออกมาเกาแม่งให้รู้แล้วรู้รอดจริง ๆ

"ทนอีกนิดนะพี่พึ่ง เดี๋ยวก็คิวเราแล้ว...ว่าแต่เจ๊มะลินี่หาชุดเก่งเนอะ แต่งหน้าเก่งด้วย ดูดิแกใช้เวลาแป๊บเดียวเนรมิตพี่พึ่งที่โคตรซกมกคนนั้น กลายเป็นสาวน้อยน่ารักขนาดนี้ได้ สุดยอดเลยอ่ะ" ไอ้พิงชมไม่ขาดปากกับสภาพของผมวันนี้

เมื่อคืนพอผมคิดแผนการเข้าบ้านเทวินทร์วงศ์ได้ปุ๊บ พวกผมสามคนพ่อลูกก็แล่นไปหาเจ๊มะลิถึงบ้านทันที อารมณ์นั้นคิดอะไรไม่ออกแล้วครับ คนเดียวที่พอจะช่วยเราได้ คนเดียวที่พวกเราไว้ใจก็เจ๊มะลินี่แหละ แล้วก็เป็นอย่างที่คาดไว้เด๊ะ เจ๊มะลิคนดีพยายามช่วยเราเต็มที่เลยทีเดียว

เพราะเจ๊เลยครับ ผมถึงได้มีวันนี้...วันที่ผมเองก็แทบจำสภาพเก่าตัวเองไม่ได้

จากชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ส่วนสูง 173 น้ำหนัก 54 (ผอมไปหน่อยเพราะทำงานหนัก) ผมยาวสังกะตัง ตาหมี ผิวขาวกระดำกระด่างเพราะไม่เคยได้รับการบำรุง ปกติอยู่บ้านใส่บ็อกเซอร์ย้วย ๆ เสื้อยืดเก่า ๆ ขาด ๆ วันไหนไปทำงานก็เป็นกางเกงยีนขาเดฟสีดำใส่ซ้ำ 7วัน (ไม่รู้เหมือนกันว่าซักตอนไหน) กลางวันก็ใส่เสื้อของร้านสะดวกซื้อ ตอนกลางคืนก็ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวตอนทำงานบริกร ผมยาวรุงรังก็มัดลวก ๆ เป็นกระจุกเอาไว้บนหัว หนวดโกนบ้างไม่โกนบ้าง เพราะเป็นคนขนน้อย ปกติลากแตะ ทำงานใส่ผ้าใบสีดำขาด ๆ นี่คือสภาพปกติของผม

แต่วันนี้มันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง...

ใครเจอผมวันนี้ให้ตายก็จำผมไม่ได้หรอกครับ ไม่เชื่อคุณลองดูด้วยตาคุณสิ วันนี้ผมได้กลายเป็นสาวน้อยที่สมบูรณ์แบบสุด ๆ ไปเรียบร้อยแล้ว

เป็นสาวน้อยรูปร่างสูงโปร่งผอมบาง แต่หน้าอกหน้าใจบิ๊กเบ้อเร่อเท่อ (เพราะเจ๊มะลิยัดฟองน้ำให้มาแบบจัดเต็ม) ผมยาว ๆ ชี้ฟูเป็นรังนกก็ถูกสระไดร์จนยาวสลวยสวยเก๋ ถักเป็นเปียสองข้างติดโบว์ริบบิ้นสีขาวเล็ก ๆ น่ารักน่าชัง ใบหน้าโดนรองพื้นซะหนา หนวดเหนิดโกนเกลี้ยง ไม่ใช่แค่หนวดด้วยนะ ขนทั่วร่างถูกแว๊กซ์ออกจนเนียนกริ๊บ ดีนะยังเหลือบางจุดเอาไว้ให้บ้าง... (?) ริมฝีปากรูปกระจับของผมที่ปกติแห้ง ๆ แตก ๆ (เพราะไม่ค่อยดื่มน้ำ) ตอนนี้สวยอิ่มด้วยลิปกลอสสีชมพูระเรื่อน่าจูบ เสื้อกระดุมหน้าคอเต่า (ปิดกระเดือก) สีขาวแขนยาวกรอมข้อมือ ทับด้วยกระโปรงบานยาวถึงหัวเข่าสีเขียวอ่อนพาสเทล รองเท้าหุ้มส้นสีขาว ติดโบว์สีเขียวอ่อนตรงปลายเท้าน่ารัก (ดีว่ามันไม่ใช่ส้นสูง ไม่งั้นผมคงล้มหัวฟาดพื้นตายไปตั้งแต่ก้าวแรกแน่นอน) ที่สำคัญ...ใส่แว่นด้วย! จะสวยหวานน่ารักไปถึงไหน!? ผมเห็นตัวเองในกระจกครั้งแรกยังตกใจ เล่นเอาขนคอลุกชันกันเป็นแผง ฮ่า ฮ่า

...ก็เพ้อไปอะไรไปตามเรื่องแหละครับคนอย่างผม เผลอแป๊บอีกคิวเดียวก็จะถึงตาผมแล้ว ความจริงเห็นผมโม้กระจายอยู่เนี่ยบอกตามตรงเลยว่าฉี่จะราดอยู่แล้วครับ! กลัวเขาจับได้ว่าเป็นผู้ชายแต่งหญิงมาหลอก ตังค์ไม่ได้ แถมนอนซังเตนี่โคตรไม่คุ้มอ่ะ

"พึ่ง...เอาจริงเหรอลูก เรากลับบ้านกันดีกว่าไหม? พ่อว่าเราอย่าทำแบบนี้เลยนะ มันผิดนะพึ่ง..." ได้ยินพ่อพูดแบบนั้นผมเองก็อึกอัก ผมเองก็ฝ่อจะแย่พอโดนพ่อเบรกเข้าอีกคนเอาจริงผมก็ป๊อดเหมือนกันนะ เห็นใจพ่อพจน์คนดีของผมสุด ๆ อ่ะ เพราะเรื่องที่จะปลอมตัวเข้าบ้านเทวินทร์วงศ์เนี่ย พ่อผมไม่เห็นด้วยเลย พ่อไม่อยากให้ผมหลอกใคร ทั้งผิดทั้งบาป แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อเราไม่มีเงินกันเลย แถมผมยังเพิ่งตกงานอีก เจ้าหนี้ก็จะตามมาเผาบ้านอยู่รอมร่อ มันไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ โอกาสอะไรคว้าไว้ได้ก็เอาไว้ก่อนล่ะ

"ไว้ใจพึ่งนะพ่อ เราจะไม่เป็นไร เรื่องนี้พึ่งจัดการเอง" ผมก็ได้แต่ปลอบใจพ่อไปอย่างนั้นเพราะไม่อยากให้พ่อต้องทุกข์มาก ถึงจริง ๆ แล้วผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์ต่อไปยังไง แต่ถึงขั้นนี้แล้ว เพื่อพ่อ เพื่อไอ้พิง เพื่อสองล้าน เพื่อบ้าน เพื่อเรา ผมต้องทำมันให้สำเร็จให้ได้!!

"พึ่ง...ลูก..."

"คิวต่อไปเชิญค่ะ"

"!!?" เย้ย! ยังไม่ทันจะเตรียมใจเลย กำลังซึ้งกับพ่ออยู่ดี ๆ มาไวนักวะ! คิวก่อนหน้ามันไวเหลือเกิน เดินออกประตูไปนู่นแล้ว ไม่ผ่านออดิชั่นนี่เอง ว่าแต่...แล้วผมจะผ่านไหมเนี่ย สาธุ! อย่าขอดูบัตรประชาชนเลย ขอร้องล่ะ!

"ชื่ออะไรคะ? " ยังไม่ทันจะเงยดูหน้าผมเลย ยัยป้าที่โต๊ะลงทะเบียนก็เอ่ยถามชื่อแซ่แบบเสียงแข็งโป๊ก

"...พ...พจ...พจมาน...พจมาน หมื่นพิทักษ์ค่ะ" ผมละล่ำละลักตอบออกไปแทบไม่เป็นคำ เกือบลืมดัดเสียงเสียด้วยซ้ำ สารภาพตรง ๆ เลยครับว่าผมลืมคิดชื่อมาเสียฉิบ ตอนป้าแกถามเกือบตอบว่า 'พจน' ออกไปอยู่แล้ว ดีนึกขึ้นได้เสียก่อนว่าไอ้ 'พจน' เนี่ยชื่อมันแมนเกินหญิง แต่...ไอ้ชื่อ 'พจมาน' ที่หลุดจากปาก...มันโบราณเกินไปไหมเนี่ย!? ชื่ออย่างกับนางเอกบ้านทรายทอง!!? ว้อย ไอ้พึ่ง ไอ้ไร้หัวคิด!

"มีหลักฐานแสดงตัวอะไรบ้างคะ? " ป้าจดชื่อผมพลางถามคำถามต่อไปโดยยังไม่ยอมเงยหน้ามองผมเลยสักกระผีก ป้าเป็นไรมากไหมเนี่ย คนเยอะเลยหงุดหงิดรึไงวะ? แต่เอ้า ก็ดีเหมือนกัน ไม่มองหน้าจะได้คุยกันง่าย ๆ ไม่เกร็งดีด้วย

"มีพินัยกรรมของเจ้าคุณเทียด กับแหวนประจำตระกูลค่ะ...!!? " ตอบไปแค่นั้น ป้าก็เงยพรืดขึ้นมองหน้าผมแบบตกใจมากทันที เอิ่ม...ไม่ใช่แค่ป้านะที่ตกใจ ผมเองก็ตกใจจนฉี่แทบเล็ดแน่ะ

"งั้นเชิญด้านในเลยค่ะ"

"อ๋อค่ะ...ห่ะ? " ป้าเชิญปุ๊บก็ลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะนำหน้าพวกผมทันทีไม่มีปล่อยให้เสียเวลา เล่นเอาทั้งผม พ่อพจน์และไอ้พิงถึงกับมองหน้ากันเลิ่กลั่กเลยทีเดียว ไม่ใช่แค่เราสามคนด้วยนะที่มองกันไปมา คนอื่น ๆ ก็พวกมองเราเป็นตาเดียวเหมือนกัน!!

"สมยศ บอกพวกที่เหลือให้กลับไปได้เลย พวกที่อยู่ข้างในก็ด้วย"

"ครับ คุณพิสมัย"

ไม่พูดพร่ำทำเพลง ป้าลุกขึ้นได้ก็หันไปสั่งลุงอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ ทันที ให้ไล่ทุกคนกลับ? นี่มันหมายความว่ายังไงหว่า? อย่าบอกนะว่า…?

เอ่อ...ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเดาไปในทิศทางไหนดี เอาเป็นว่าเดินตามป้าแกไปก่อนแล้วกัน ว่าแล้วพวกผมสามคนพ่อลูกก็รีบสาวเท้าตามป้าไปแบบไม่ห่าง กลัวหลงสิครับ ป้าแกเดินเร็วเกิ๊น ทางเดินก็โคตรไกล คนรวยนี่ทำไมทำประตูรั้วกับตัวบ้านไกลกันนักวะ? คฤหาสน์เจ้าคุณเทียดบ้านผมยังไม่ไกลขนาดนี้เลย!

กว่าจะตามป้าแกเข้ามาถึงในบ้านได้เล่นเอาหอบ โอ้วบ๊ะ!! บ้านสวยอย่างกับวัง! แค่ห้องรับแขกที่ป้าเขาพาพวกผมเข้าไปนี่ก็โคตรจะใหญ่ไฮโซดูดี อื้อหือดูโซฟาตัวที่ป้าชี้ชวนให้พวกผมนั่งสิ บร๊ะ! กำมะหยี่สีแดงสดขอบหลุยส์สีทอง พอหย่อนตูดปุ๊บก็แทบจมหายไปทั้งตัว นุ่มโคตร!

"เชิญนั่งรอที่นี่ก่อนนะคะ"

พูดแค่นั้นป้าก็เดินหายวับไปปล่อยพวกผมล่องลอยลืมตัวอยู่กับโซฟากำมะหยี่สีแดง ที่แทบจะเคลิ้มหลับให้ได้ทันทีที่ได้นั่ง กระทั่งพ่อพจน์ของผมที่เครียด ๆ อยู่พอเจอพลังดึงดูดของโซฟาเท่านั้นแหละหน้าแดงเคลิ้มเชียว อ่อ...อย่าถามถึงไอ้พิงครับ มันเริ่มกรนแล้ว...

นี่พวกผมกำลังเครียดกันอยู่จริง ๆ นะ แต่ที่เห็นนั่งฟินไม่เลิกกันอยู่เนี่ย ก็เพราะป้าแกหายไปนานชาติแล้วต่างหาก รอจนจะหายเครียดแล้ว

"คุณพจมานคะ...คุณพจมาน" เสียงเรียกไกล ๆ ใครวะพจมาน?

"คุณพจมาน" เฮ้ย! กูนี่หว่า!!

"ครับ! เอ๊ย! คะ...ขา..." เฮือก!! เสือกขานรับผิดเพศ เล่นเอาหัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเลยสิครับผม ลืมตามาก็เจอป้าคนเดิมยืนตัวตรงมองมาที่ผมด้วยสายตาเย็นชา เล่นเอาตื่นเต็มตาเลย

คุณฟังไม่ผิดหรอก พวกผมรอจนหลับจริง ๆ ชำเลืองมองนาฬิกาบ่ายโมง คุณครับพวกผมรอกันอยู่สี่ชั่วโมง!! บ้าไปแล้ว!!

"ขอโทษที่ให้รอค่ะ เชิญตามดิฉันมาทางนี้ค่ะ" ป้าแกไม่ได้สะทกสะท้านกับท่านอนรอของพวกผมเท่าไหร่ เห็นว่าตื่นกันแล้วแกก็นำทางพาพวกผมไปอีกที่หนึ่งต่อ ซับซ้อนจังวะพวกคนรวยนี่! แม่งให้รอตั้งสี่ชั่วโมง มีให้แค่น้ำส้มคนละแก้ว งกเอ๊ยยยยย....เอ๊ะ? ผมบ่นเรื่องอะไรอยู่เนี่ย?

ห้องที่ป้าแกพาไปนั้นอยู่ลึกเข้าไปด้านในของตัวคฤหาสน์ ทางเดินสลัว ๆ ชวนวังเวง ไม่นานป้าแกก็พามาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูไม้สลักบานใหญ่บานหนึ่ง

ก๊อก ก๊อก

ป้าแกเคาะห้องสองครั้ง แล้วเปิดนำตัวพวกผมเจ้าไป บรึ๋ยยยย! ห้องอะไรเนี่ย เย็นเจี๊ยบเลย!!

"มาแล้วค่ะนายท่าน"

"อืม ขอบใจมาก พิสมัย"

สิ้นเสียงตอบรื่นหู ป้าแกก็เดินออกไป ทิ้งพวกเราสามพ่อลูกไว้ลำพังอยู่เบื้องหลัง

ห้องนี้กว้างมาก หนังสือก็เยอะเรียงเป็นชั้นเต็มไปหมด ผมมองอะไรไม่เห็นมากนัก เพราะหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้ามันสว่างจนผมตาพร่าไปหมด รู้แค่เพียงในห้องนี้มีคนอยู่สองคน และคนที่น่าจะเป็นเจ้าของห้องกำลังเดินเข้ามาใกล้พวกผม ร่างนั้นเป็นเงาสูงใหญ่สืบเท้าเข้ามาใกล้พวกเราช้า ๆ มันย้อนแสงครับผมเลยมองไม่เห็นหน้าคุณเจ้าของห้อง รู้แต่เพียงว่า...ตัวใหญ่มากกกก!!!

"เชิญนั่งก่อนสิ"

เสียงทุ้มดูอบอุ่นน่าฟังเอ่ยชวนพวกผมนั่งที่โซฟากำมะหยี่สีกรมท่ากลางห้องที่มีใครอีกคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว และมันเหมือนโดนสะกดจิตครับแค่เขาบอกให้นั่งพวกผมก็นั่งอย่างไม่มีอิดออด โซฟากำมะหยี่สีกรมตัวใหญ่นี่ คนตัวเล็ก ๆ อย่างพวกผมนั่งเรียงกันได้เหลือ ๆ เลยครับ โซฟาตัวใหญ่ฝั่งตรงข้ามพวกผมมีใครอีกคนนั่งอยู่ เขาเป็นคุณลุงใส่ชุดสูทเรียบร้อย ใส่แว่นดูใจดี แต่ก็ตัวใหญ่ใช่ย่อย ยังไม่ทันที่ผมจะสังเกตอะไรได้มากนัก ครู่ต่อมาเจ้าของห้องก็นั่งลงตรงโซฟาอีกตัวที่ตรงหัวโต๊ะ ข้าง ๆ กับด้านที่พ่อผมนั่ง (พ่อนั่งซ้าย ผมนั่งกลาง ไอ้พิงนั่งขวา) ร่างสูงใหญ่นั่นมันช่างพอดีเป๊ะกับโซฟาตัวนั้นจริง ๆ

ไม่มีใครพูดอะไรในห้องนั้น ทันทีที่เจ้าของห้องนั่งลงได้ เขาก็กดรีโมตปิดผ้าม่านที่หน้าต่างบานใหญ่และกดอีกปุ่มเพื่อเพิ่มแรงไฟให้สว่างขึ้น ไฮโซอ่ะ ทุกอย่างใช้รีโมตได้อ่ะ ล้ำอ่ะ...เอ๊ะ? ผมพล่ามอะไรอยู่?

"เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลยเถอะ" เสียงน่าฟังของคุณเจ้าบ้านดังขึ้นขณะที่ผมยังปลื้มปริ่มอยู่กับเทคโนโลยี เล่นเอาสะดุ้งเล็ก ๆ จนต้องรีบเรียกสติตัวเอง...เฮ้ยๆๆๆ ไอ้พึ่ง สติเว้ย สติ!!

"ฉันชื่อภาส...ภาส เทวินทร์วงศ์ เป็นเจ้าบ้านคนปัจจุบันของตระกูลเทวินทร์วงศ์" เจ้าบ้านเริ่มแนะนำตัว และผมก็เพิ่งได้มองหน้าเขาชัด ๆ เฮ้ย! ลุงคนนี้ผมรู้จัก เขาเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดยักษ์ของประเทศตั้งหลายอย่าง ผมเห็นเขาทางทีวีบ่อยมาก ในนิตยสารกับหนังสือพิมพ์ก็บ่อย! โหยยยย...ไฮโซเซเลปตัวจริง!!

"ส่วนผมชื่อสรร สรเสริญ ครับเป็นทนายประจำตระกูลเทวินทร์วงศ์ ยินดีที่ได้รู้จัก...เอ่อ...ไม่ทราบว่าพวกคุณคือ..." คุณลุงทนายความท่าทางใจดียิ้มทักทายพวกผมก่อนจะถามไถ่ถึงชื่อแซ่พวกผมบ้างเมื่อตัวเองแนะนำตัวเสร็จ และคราวนี้ผมไม่พลาด

"ดิฉันชื่อพึ่งค่ะ พจมาน หมื่นพิทักษ์ เป็นลูกสาวคนโตของคุณพ่อพจน์ และนี่น้องชายดิฉันค่ะชื่อ พชร เอ่อ เรียกพิงก็ได้ค่ะ" ผมกระแอมวอร์มเสียงหนึ่งครั้งแล้วทำเสียงแหลมเล็กพร้อมดัดจริตอีกนิดหน่อยแนะนำตัวเองพร้อมพ่อและไอ้พิงแบบเบ็ดเสร็จในม้วนเดียว ทำไงได้ตอนนี้มีเพียงผมที่พูดลื่นพ่อพจน์น่ะเครียดเงียบอึ้งขนาดนั้นพูดอะไรไม่ออกหรอกครับ ส่วนไอ้พิงก็สั่นเป็นเจ้าเข้าสายตาหลุกหลิกลนลานปานนั้นอย่าได้ไปคาดหวังอะไรจากมันตอนนี้

"หืม? พ่อเหรอ? ไม่ใช่พี่ชาย..." คุณลุงเจ้าของบ้านถามขึ้นทันทีที่ผมแนะนำตัวเสร็จ หึหึ นี่ก็อีกคนแล้วที่ตกบ่วงใบหน้าละอ่อนของพ่อผม

"เอ่อ...เป็นคุณพ่อค่ะ เห็นอย่างนี้ 43 แล้วค่ะ" ผมดัดจริตตอบไปด้วยใจสั่น แหม เห็นฉะฉานด้านทนแบบนี้ ที่จริงหัวใจจะวายมือไม้สั่นเหมือนกันนะครับ

"ดูอ่อนกว่าวัยมากเลยนะ" เจ้าบ้านเอ่ยชมพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ ให้พ่อผม แต่พ่อผมไม่ได้ตอบอะไรครับได้แต่นั่งก้มหน้าเครียด สงสัยคงไม่ได้ยินอะไรแล้วแบบนี้

"เห็นว่ามีพินัยกรรม กับแหวนประจำตระกูลมาใช่ไหมครับ ขอผมดูหน่อยได้หรือเปล่า? " เห็นว่าการสนทนาเริ่มขาดตอน คุณลุงทนายก็เข้าประเด็นถามถึงหลักฐานที่พวกผมติดตัวมาทันที

ผมค่อย ๆ หยิบมันออกจากกระเป๋าสาวแตกที่ยืมเจ๊มะลิมา แล้ววางมันลงช้า ๆ ที่กลางโต๊ะ ก่อนจะกางมันออกให้ทุกสายตาได้เห็น

"...อืม คุณภาสครับ ผมขอหลักฐานของทางคุณด้วยครับ"

ลุงทนายหันไปถามหาบางอย่างจากคุณเจ้าบ้าน และเพียงครู่สิ่งที่เหมือนกันเปี๊ยบกับอันที่ผมเอามาก็ถูกวางคู่กันตรงกลางโต๊ะ

พินัยกรรมสองฉบับกับแหวนประจำตระกูลทั้งสองตระกูล

"อืม...เป็นที่แน่ชัดครับว่าเอกสารเป็นของจริง ทั้งตัวพินัยกรรมและแหวนประจำตระกูล ทั้งสามคนนี้เป็นหมื่นพิทักษ์พันธุ์แท้แน่นอนครับคุณภาส" หลังจากลูบ ๆ คลำ ๆ กับเอาน้ำยาบางอย่างมาป้าย ๆ ที่พินัยกรรม และใช้แว่นส่องพระส่องหัวแหวนของตระกูลผมอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ในที่สุดคุณลุงทนายก็สรุปผล

ฝ่ายเจ้าบ้านยังคงหน้านิ่ง ครู่หนึ่งก็หันไปกดโทรศัพท์ที่อยู่ตรงโต๊ะข้างตัว

"พิสมัย ช่วยตามตาพอลตาเพิร์ทกับยัยแพทเข้ามาหาฉันหน่อย แล้วให้คนไปเรียนคุณแม่ท่านด้วยว่าเราได้ตัวแล้ว"

พูดเพียงแค่นั้นก็วางสาย ก่อนจะหันมาจ้องหน้าพวกผมทีละคน (หยุดมองที่พ่อผมนานสุด คงอยากคุยตามประสาผู้ใหญ่แหละ แต่ตอนนี้พ่อผมหลุดจากโลกปกติอยู่ คือแบบว่ากำลังหนีความจริงอ่ะ ไม่ได้ยินใครพูดหรอกตอนนี้) สุดท้ายก็มาหยุดที่ผมแล้วส่งยิ้มละมุนให้

"หนูผึ้งสินะ น้ำผึ้ง หรือว่าผึ้งเฉย ๆ ล่ะ? "

"เอ่อ...พึ่งที่มาจากพึ่งพิงน่ะค่ะ ชื่อคล้องกับน้องชาย..." ได้ยินเจ้าบ้านท่านถามผมก็เผลอตอบตรง มานึกขึ้นได้ก็ตอนอธิบายจบไปแล้ว ปั๊ดโธ่ พลาดอีกแล้วเรา ผู้หญิงก็ต้องชื่อน้ำผึ้งสิ พึ่งพิง อะไรกันวะ!? อยากจะตบปากตัวเอง!

"อืม...ความหมายดีนะ พึ่งกับพิง เป็นพี่น้องที่รักใคร่และสามารถ 'พึ่งพิง' กันได้ พ่อหรือแม่ตั้งให้เนี่ย ความหมายดีเชียว" ท่านเจ้าบ้านชมเปาะ ผมล่ะโล่งใจ

"คุณพ่อตั้งให้ค่ะ" ผมยิ้มเผล่ตอบออกไปอย่างอารมณ์ดี เพราะใจชื้นขึ้นหน่อยที่ชื่อมันดูลงตัวและดูไม่น่าสงสัย

ท่านเจ้าบ้านได้ยินดังนั้นก็หันไปมองหน้าพ่อผมอีกครั้ง คราวนี้มองนานจนผมประหม่าแทนเลยต้องแอบสะกิดให้รู้ตัวเสียหน่อย

"พ่อ...พ่อ..." ผมแอบกระซิบเรียกพ่อเบา ๆ เมื่อเห็นว่าท่านเจ้าบ้านยังจ้องพ่อผมไม่เลิก

"...อ่ะ พึ่ง มีอะไรเหรอลูก? " ในที่สุดพ่อผมก็ตื่นจากภวังค์ ผมเลยใช้สายตาชี้ชวนพ่อเป็นนัย ๆ ว่าท่านเจ้าบ้านกำลังให้ความสนใจพ่ออยู่

"...เอ่อ...ขอโทษครับ ผมเหม่อไปหน่อยเลยเผลอเสียมารยาทกับคุณไป..." พอรู้ตัวพ่อผมก็รีบหันไปขอโทษท่านเจ้าบ้านเป็นการใหญ่ แต่ดูเหมือนท่านเจ้าบ้านจะไม่ได้ถือสาอะไร ดูสีหน้าแล้วออกจะพอใจด้วยซ้ำ

"ได้คุยกันเสียที ยินดีที่ได้รู้จักครับ" ท่านเจ้าบ้านพูดแค่นั้นก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ให้พ่อผม ขนาดผมเป็นผู้ชายด้วยกันยังต้องขอออกปากเลยว่าลุงแกมีเสน่ห์สุด ๆ รอยยิ้มงี้กระชากใจมากเล่นเอาพ่อผมหน้าแดงกันเลยทีเดียว (รวมถึงผมกับไอ้พิงด้วย)

+
+
+
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2024 03:57:24 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
ก๊อก ก๊อก

"ขออนุญาตค่ะ"

ขณะที่พวกผมกำลังเคลิ้มกับรอยยิ้มกระชากใจของท่านเจ้าบ้านอยู่นั้น ในที่สุดก็มีผู้ร่วมเหตุการณ์เพิ่มเข้ามาอีกสองคน น่าจะเป็นแพท เพิร์ท พอล หรืออะไรสักอย่างที่ท่านเจ้าบ้านโฟนเรียกไปเมื่อกี้แน่ ๆ ผมไม่ได้หันไปมองหรอกว่าสามคนนั้นเป็นใคร เพราะแค่อึดใจก็มานั่งข้างกันที่โซฟาที่เหลือแล้ว โดยหญิงสาวนั่งข้างลุงทนาย ส่วนผู้ชายนั่งที่โซฟาตัวเล็กตรงหัวโต๊ะที่เหลืออยู่...ว่าแต่ เอ๊ะ? ทำไมมีแค่สองคน...

"ตาเพิร์ทล่ะ แพท? " สงสัยไม่ได้นาน ท่านเจ้าบ้านก็ช่วยถามคลายสงสัยให้ แหม...รู้ใจผมจริงจริ๊งงง

"ตาเพิร์ทออกไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะคุณพ่อ คงค่ำ ๆ นู่นแหละค่ะกว่าจะกลับ เห็นบอกว่ามีซ้อม" ผู้เป็นลูกสาวเป็นคนตอบ เสียงงี้หวานจนผมเคลิ้ม เธอนั่งอยู่ตรงข้ามกันกับผมพอดี วู้ยยย...ผิวขาวอะไรอย่างนี้นะ ปากนิดจมูกหน่อย สวยอ่ะ อย่างกับนางฟ้าแน่ะ

เธอคงรู้ตัวว่าถูกผมมองถึงได้หันกลับมามองผมตอบก่อนจะยิ้มให้ โอยยยย...ยิ้มหวานละลายใจ ตายตาหลับแล้วไอ้พึ่ง คึคึคึ

"พจมาน...สินะคะ? " พจมานไหน? ใครเหรอครับ ผมพจนครับคนสวย...เอ๊ย! ลืมตัว!!

"ค...ค่ะ เรียกพึ่งก็ได้ค่ะ" ผมตอบเสียงอ่อนเสียงหวาน วู้ย...ทำไมคุณหนูนุ่งสั้นจังล่ะครับ ขา...ขาว เฮือกกกก....

"ผึ้งนี่อายุเท่าไหร่แล้วคะ? " คนงามถามต่อพลางโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อค้ำข้อศอกกับเข่า ทว่า...โอยยย นมมมมม!! นมหก!! เฮือกกก!! ไอ้พึ่งจะดาเมจตายตรงนี้แล้วค๊าบบบ เสื้อคุณหนูคอจะลึกไปไหนนนนนน!?

"...ย...ยี่สิบค่ะ...ยี่สิบปี...พอดีเป๊ะ..." ไอ้คำว่า พอดีเป๊ะน่ะผมหมายถึงนมขาว ๆ ที่กระฉอกเข้าตาในองศาเป๊ะ ๆ อยู่ตอนนี้ไง...อา...กำเดาจิไหล...

"อืม...งั้นเป็นน้องผึ้งสินะ เรียกพี่ว่าพี่แพทแล้วกันค่ะ" คร้าบเจ่เจ้...สาวรุ่นพี่ผมก็ชอบคร้าบบบบ...

"งั้นหนูพึ่ง หนูพร้อมที่จะแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้เทวินทร์วงศ์เมื่อไหร่ ทางฉันน่ะอยากได้เร็วที่สุด หนูพึ่งจะสะดวกไหม? "

ขณะที่ผมกำลังเคลิ้มท่านเจ้าบ้านก็กำลังพูดอะไรสักอย่างที่ไม่ค่อยจะเข้าหูผมนัก สมองผมประมวลผลไม่ทันเพราะไปจดจ่อกับอะไรกลม ๆ ขาว ๆ เป็นเนิน ๆ ตรงหน้าผมอยู่...

"หนูพึ่ง...? "

"...เมื่อไหร่...ก็ได้ค่ะ..." เอ๊ะ? อะไรหว่าเมื่อไหร่ก็ได้นี่...กูตอบอะไรออกไปวะ!?

"พึ่ง!? " เสียงพ่อผมตกใจเบา ๆ

"พี่พึ่ง!? " เสียงไอ้พิงตกใจยิ่งกว่า..เอ...ว่าแต่ตกใจเรื่องอะไรกัน?

"ดี...งั้นเดี๋ยวทางนี้จะรีบหาฤกษ์ให้เร็วที่สุดแล้วกันนะ" เอ๊ะ? หาฤกษ์อะไรเหรอครับท่านเจ้าบ้าน เดี๋ยวนะ...ผมเมานมอยู่...

หืม!?

เฮ้ย!?

"เอ่อ! ด...เดี๋ยวค่ะ...คือ..." ผมตกใจเสียงหลง แต่...แบบว่าไม่ทันแล้วครับ ท่านเจ้าบ้านโทรเรียกคุณป้าพิสมัยเจ้าเดิมให้หาฤกษ์หมั้น ฤกษ์แต่ง ทั้งให้จัดการเรื่องการ์ดเรื่องโรงแรมพร้อมสรรพ!! ว๊ากกก!! ตาเถรเณรชี! งานเข้าไอ้พึ่งแล้ว!!

"นี่ น้องผึ้งจ๊ะ ทำความรู้จักกันไว้สิ คนที่ผึ้งต้องแต่งด้วยน่ะคือตาพอล น้องชายพี่เองจ๊ะ ตาพอลอายุ 21 แก่กว่าน้องผึ้งปีนึง เรียกพี่พอลก็ได้นะ น่ารักดี" น่ารักอะไรครับ! มันน่ารักตรงไหนเหรอครับ! ไม่นะเจ๊นมขาว มันไม่ได้น่ารักเลยสักกะติ๊ด ปั๊ดโธ่ เอานมขาว ๆ มาล่อเราติดกับนี่หว่า เผลอตอบตกลงไปเฉยเลย! ผมแค่ต้องการเงินสองล้าน! ไม่ได้อยากแต่งงาน!

อยากตะโกนบอกท่านเจ้าบ้านใจขาด แต่ท่านก็ไม่ยอมวางสายเสียที สั่งงานอยู่นั่น เลิ่กลั่กกันทั้งตระกูลแล้วบ้านผมเนี่ย!

"พอล พาน้องไปเดินเล่นหน่อยไป ทำความรู้จักกันไว้" ระหว่างผมกำลังตกประหม่า เจ๊นมขาวก็หันไปสั่งน้องชายเสร็จสรรพ ผม พ่อและไอ้พิงถึงกับมองหน้ากันเหลือก เอาไงดีวะ เอาไงดีวะ!?

"ขอโทษนะคะ คือดิฉันไม่ได้อยากแต่งงานค่ะ! ที่มาเนี่ยเพราะอยากได้สองล้านก็แค่นั้น...!! "

ผมโพล่งออกไปเสียงดังเพราะรักษาสติเอาไว้ไม่ทัน สิ้นคำผมทุกอย่างก็เงียบกริบ แม้แต่ท่านเจ้าบ้านที่สั่งงานจ้อ ๆ ก็เงียบเสียงไปเหมือนกัน ทุกคนตอนนี้จ้องผมเป็นตาเดียวเลยครับ...อา...กลายเป็นสาวใจกล้าหน้าทนในทันใด...

"สองล้านน่ะจ่ายแน่ แต่แลกกับที่เธอต้องแต่งงานกับฉันตามที่พินัยกรรมเขียนไว้!! "

เสียงหนึ่งกร้าวขึ้นมาแย่งซีนผมทันใด ดึงทุกสายตาที่จ้องผมเป็นตาเดียวเมื่อครู่ไปที่ฝ่ายนั้นทันที ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง

คนที่พูดขึ้นไม่ใช่ใคร แต่เป็นคนที่ถูกเลือกไว้ให้แต่งงานกับผม ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นลูกชายคนกลางของบ้านที่ชื่อว่า 'ภาคี' อะไรสักอย่างนี่แหละ หมอนั่นพูดขัดซีนผมขึ้นทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังคงนั่งเอนหลังพิงพนักโซฟา ทั้งยังไขว่ห้างกอดอกทำเป็นเท่อีก หล่อ...แต่ไม่ใช่แนวผม ผมชอบนม ไม่ได้ชอบซิกแพค!!

"แต่...ดิฉันไม่สะดวก..." ผมพยายามอ้าง ในหัวกำลังหาเรื่องตอแหลร้อยแปด

ทว่า...

"เราต้องคุยกัน" ห่ะ! คุยอะไร!? ผมได้แต่ทำหน้างง มองหมอนั่นที่ตอนนี้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เชี่ยย! สูงมาก สมาร์ตเวอร์จนน่าอิจฉา... ไม่สิ! ไม่ ๆ ๆ ๆ ผมจะไปชื่นชมมันทำไมเนี่ย!!?

"เอ๊ะ!? " และด้วยเพราะเอาแต่งงอยู่นี่แหละ โดนมันคว้าข้อมือเข้าเมื่อไหร่ก็ไม่รู้? แล้วไอ้พิงล่ะมันปล่อยให้ศัตรูประชิดตัวพี่มันได้ไงเนี่ย!? (หันมองก็ได้รู้ว่าตัวเล็ก ๆ อย่างมันไม่ได้อยู่ในสายตาพี่ยักษ์นี่เลย ตัวไอ้พิงมันโดนกดดันจนตัวลีบตาขาวจมโซฟาไปแล้ว...อนาถแท้น้องกู!!)

"มานี่! " ไม่พูดพร่ำทำเพลงครับคว้ามือผมได้พวกก็กระตุกลากแบบไม่เห็นใจผู้หญิงตัวเล็ก ๆ (?) อย่างผมเลยสักนิด เล่นเอาผมได้แต่หน้าเหวอ เฮ้ยนี่! เดี๋ยวนะเดี๋ยว! เราเพิ่งเจอกันครั้งแรกแถมผมยังอยู่ในคราบผู้หญิงนะ! หน็อย! ไอ้คนใจร้าย ไอ้ไม่ใช่สุภาพบุรุษ!! (ด่าแบบนางเอกหนังไทยดูครับ เผื่อมันจะเจ็บ) ผู้ดีเขาทำกับคนเพิ่งรู้จักแบบนี้เหรอวะ!?

"เฮ้ย! เอ๊ย! ว๊าย!? " แกล้งร้องเสียงหลงดูครับเผื่อจะเรียกสติมัน แต่เหมือนไม่ได้ผลเพราะผมยังโดนมันลากพรืดเดียวกระเด็นกระดอนตามมันไปทั้งตัวอยู่เลย ผมงี้พยายามหันมาขอความช่วยเหลือจากพ่อและไอ้พิงทันที แต่ทว่า...

"พึ่ง!? "

"พี่พึ่ง!? "

สภาพพ่อกับน้องที่ผมเห็นตอนนี้ก็ไม่ต่างจากผมเลย ทันทีที่พ่อจะลุกตามก็ถูกท่านเจ้าบ้านคว้าตัวไว้แถมมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้ (เพื่อ!?) "ให้เด็ก ๆ เขาได้คุยกันนะครับ" นั่นคือประโยคเกลี้ยกล่อมที่มาพร้อมกับอุ้งมือร้ายกาจรั้งพ่อพจน์คนดีของผมไว้

ส่วนไอ้พิงที่ยังเลิ่กลั่กก็ไม่ทันจะได้ตามมาช่วยผมเหมือนกันเพราะโดนเจ๊นมขาวนั่งประกบตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็นก่อนตัวเองจะหลุดกรอบประตูออกมาตามแรงกระชากลากถูของไอ้เจ้าร่างยักษ์นี่!!

"ปล่อยได้แล้วค่ะ! ดิฉันเจ็บ!! "

ผมตวาดออกไปพลางกระชากมือตัวเองออกจากการเกาะกุม คนอะไรไร้มารยาท! (นี่ผมเริ่มด่าเป็นนางเอกหนังไทยเข้าทุกทีแล้วสิเนี่ย?)

"ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ! ขอตัวค่ะ! " หลุดจากอุ้งมือมารมาได้ผมก็เริ่มออกฤทธิ์บ้าง ใครมันจะไปยอมอยู่เฉย นี่ถ้าไม่ติดว่าปลอมตัวเป็นผู้หญิงอยู่นะ คงได้แลกหมัดกันไปแล้ว!

"เรามาเจรจากัน" มันถอนหายใจนิดหน่อยก่อนหันมาคุยกับผม

"เรื่อง? " เสียงผมเริ่มห้วนให้มันรู้ว่าผมเองก็ไม่ได้พอใจที่ถูกมันทำแบบนี้

"เธอต้องการสองล้าน ฉันต้องการแต่งงาน เธอได้สองล้าน ฉันได้แต่งงาน เจ๊ากัน โอเคไหม? " อะไรของมันวะ? กลัวขึ้นคานรึไง? คนบ้าอะไรอยากแต่งงานจัดขนาดนั้น? แล้วมันธุระกงการอะไรของผมล่ะ ไม่อ่ะ ไม่มีทาง!

"เงินสองล้านเป็นเงินค่าพาตัวหมื่นพิทักษ์พันธุ์แท้มาโชว์ตัวไม่ใช่เหรอคะ? ไม่เกี่ยวกับเรื่องแต่งงานสักนิด คุณอย่ามาโมเม ดิฉันต้องการแค่เงินสองล้าน ไม่ได้ต้องการทิ้งชีวิตไว้ที่นี่!! " วู้ยย ขอปรบมือให้ตัวเองหน่อย คมเวอร์ ฮ่าฮ่า จะเอาแค่สองล้านเว้ย ขืนแต่งกะเอ็ง ข้าก็ต้องปลอมตัวเป็นหญิงนานขึ้นสิ ไม่เอาด้วยหรอก!

"แค่สามปี แล้วเธอก็จะได้สมบัติของเจ้าคุณเทียดเทวินทร์วงศ์ครึ่งหนึ่ง มันมากจนเธอใช้ทั้งชีวิตก็ไม่หมด ไม่น่าสนใจกว่าสองล้านรึไง? "

"ไม่ค่ะ จะเอาแค่สองล้าน! "

มันเสนอแต่ผมไม่สนอง มันเงียบผมเงียบจ้องตากันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน กูไม่แต่งมีปัญหาไหม กูอยู่ในสภาพนี้นานไม่ได้ เพราะถ้าความแตก คุกทั้งบ้าน ช่วยเข้าใจกูหน่อยได้ไหม!?

"แต่เธอต้องแต่ง" มันเริ่มคำรามเสียงต่ำ

"ไม่แต่ง! " แต่ผมไม่กลัว...

ตึ่ง!!!

ไอ้บ้านี่เล่นผมแบบไม่ทันตั้งตัว มันดันพรืดเดียวเอาตัวผมไปติดผนังได้ง่าย ๆ สองแขนมันกั้นคอกผมไว้ตัดทางหนีอย่างสิ้นเชิง เฮ้ย ๆ ๆ เดี๋ยวนะ (อีกรอบ) นี่มันใช่เรื่องที่คนเพิ่งเจอกันเขาทำกันไหม!? ผมเป็นผู้ชายเหมือนมันยังไม่เคยทำกับผู้หญิงที่เพิ่งเจอแบบนี้มาก่อนเลยนะ

"อยากได้สองล้านงั้นเหรอ? ถ้าเธอยอมแต่ง ฉันก็จะจ่ายให้ แต่ถ้าไม่ สองล้านก็ชวด"

"หา!? หมายความว่ายังไง!? ก็ทางคุณประกาศออกไปแล้ว" ไอ้นี่กวนตีนครับ ยิ่งเห็นผมลนลานมันยิ่งยิ้มกวนตีน!

"หมื่นพิทักษ์แท้หรือเทียมอยู่ที่พวกฉันกำหนด ต่อให้เธอคือตัวจริงถ้าฉันบอกว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ หรือต่อให้เธอร้องแรกแหกกระเชอยังไงสองล้านเธอก็ไม่มีวันได้ เลือกเอา คราวนี้จะแต่งไหม? " หืม! ไอ้บัดซบเอ๊ย ไอ้บ้านี่ มาไม้นี้เหรอวะ!? ผมนี่ถึงกับขบกรามตัวเองแทบแตก รู้สึกหน้าชา จนอยากจะต่อยปากมันสักหมัด

"กลัวขึ้นคานหรือไงคุณ! กลัวหาเมียไม่ได้ถึงขนาดต้องบังคับคนอื่นเขาแต่งงานด้วยแบบนี้เลยสิ! ก็น่าจะหาไม่ได้อยู่หรอก สันดานแบบนี้ต่อให้หล่อลากก็หาคนเอายาก!!" นี่ด่าแบบถนอมน้ำใจแล้วนะ อยากตะโกนใส่หน้ามันจริง ๆ ว่ากูเป็นผู้ชายโว้ย!! เอาให้หน้าหงายเลยพับผ่า (แต่ก็ทำไม่ได้อ่ะ กลัวซังเต)

"เธอนี่มัน!! " หึหึ มันกัดกรามกรอด ๆ เลยครับคงเลือดขึ้นหน้าน่าดู เอาสิถ้าต่อยกูมึงก็หน้าตัวเมียเลยนะ เพราะตอนนี้กูเป็นผู้หญิงอยู่ และถ้ามึงต่อยกูสวนแน่นอน!

ในขณะที่ผมตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือเผื่อมันจะเกิดบันดาลโทสะ มันกลับถอนหายใจถอยทัพแล้วเอ่ยปากอ้อนวอนเสียงอ่อนลง ด้วยใบหน้าจริงจังเจือแววกังวล

"แค่แต่งงานไม่ต้องจดทะเบียน แต่งเสร็จต่างคนต่างอยู่ เงินสองล้านฉันจ่ายสดให้วันนี้เลย หลังแต่งงานแล้วฉันจะจ่ายค่าเลี้ยงดูเดือนละสองแสนตลอดสามปี ครบสามปีเมื่อไหร่เราจะหย่ากันทันที และถึงตอนนั้นเธอจะได้ทรัพย์สินที่เป็นของฉันครึ่งหนึ่ง! เงื่อนไขนี้โอเคไหม? แค่เพียงเธอตอบตกลงฉันจะไม่ยุ่งเรื่องของเธอเลย เธอก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉัน เราจะแต่งกันแค่เพียงในนามแล้วต่างคนต่างอยู่ เธอใช้ชีวิตของเธอ ฉันใช้ชีวิตของฉัน ครบสามปีแยกทาง เธอเอาเงินไป เราจบกัน แค่นี้ โอเคไหม!? "

อื้อหือมันร่ายยาวด้วยเงื่อนไขล่อตาล่อใจ เล่นซะผมเคลิ้ม....

"...ทำไม...?" แต่เดี๋ยวนะ อะไรที่ได้มาง่ายมักอันตราย ผมต้องขอคิดนิดหนึ่ง

"ฉันมีความจำเป็นเธอไม่ต้องรู้ แต่ช่วยฉันหน่อย ช่วยแต่งงานกับฉันที"

คุณชายผู้ดีขอร้องเสียงอ่อน เล่นเอาจากที่ผมเป็นเดือดเป็นแค้นเมื่อครู่หายวับไปด้วยความสงสาร หึหึ แหม...ขอร้องดี ๆ แบบนี้แต่แรกเรื่องก็จบไปนานแล้ว เงื่อนไขโดนใจ ถือว่าช่วย ๆ กัน อิอิ ไม่ต้องจดทะเบียน เรื่องที่เป็นผู้ชายก็ไม่แตก ได้สองล้านทันทีวันนี้ กับเงินเดือนเดือนละสองแสน จ่ายหนี้ กับส่งเสียไอ้พิงกับตัวเองเรียนได้จนจบ พ่อไม่ต้องลำบากขายข้าวแกง ครบสามปีได้สินสมรสอีกมหาศาล ใช้เปิดธุรกิจกับแต่งเมียได้สบาย แถมในสามปีที่แต่งกันก็ตัวใครตัวมันอีก สบายจะตาย เงื่อนไขดีขนาดนี้ ถ้าไอ้พึ่งไม่รับไว้ก็โง่บรรลัยแล้ว!

"แฮ่ม…” ผมกระแอมปรับโทนเสียง ผินหน้าหลบสายตาเร่าร้อนของมันแสร้งเป็นเอียงอายแล้วตอบรับออกไปด้วยความขวยเขินจอมปลอม “เอิ่ม...ถ้าคุณขอร้องขนาดนั้น...ดิฉันตกลงก็ได้ค่ะ" วู้ยยย นางงามจนขนลุกจริง ๆ เลยกรู...

"ก็แค่นั้น หึ! "

มันพูดแค่นั้นก่อนจะผละออกจากผมแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง เหมือนจะดี? แต่ไอ้คำลงท้ายเมื่อกี้นี่มันอะไรวะ เอาเหอะ เรื่องของมันไม่ใช่ประเด็นในชีวิตของผมอีกต่อไป เงินต่างหากที่มีความหมายมากกว่ามัน...อา...สองล้านจ๋า...มาหาพี่พึ่งเร็วววว!

วะฮะฮะฮ่า! ไอ้พึ่งถึงกับยิ้มกริ่ม ต้มหมูสิครับงานนี้!!



++++++++++++++++



ตอนหน้าก็แต่งแล้วจ้า ไอ้พึ่งใจง่ายได้ตังค์แต่งเลย 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2024 03:19:12 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

04 แต่งงาน ภาค 1 : เอ้า...หอม!

"ตายจริง! นี่คุณพี่พูดเรื่องจริงเหรอคะ เรื่องที่ตาพอลจะแต่งงาน!? "

เสียงแหลมสูงของหญิงใหญ่วัยกลางคนแผดขึ้นอย่างลืมตัว เมื่อได้ยินข่าวคราวที่ตนไม่พึงใจนัก

"จริงครับคุณสาลิกา ข่าวไวเหมือนกันนะครับเนี่ย" เสียงทุ้มนุ่มลึกทรงเสน่ห์เอ่ยตอบขณะที่ร่างสูงใหญ่กำลังเช็กดัชนีหุ้นประจำวันในไอแพดรุ่นใหม่ล่าสุดโดยไม่ได้ให้ความสนใจหญิงใหญ่คนนี้นัก

"คุณพี่ทำอย่างนี้ได้ยังไงคะเนี่ย แล้วยัยโรสของดิฉันละคะตาพอลเอายัยโรสไปไว้ที่ไหน? รักกันมาตั้งนาน ทำไมสุดท้ายถึงทำกันอย่างนี้ละคะ? " เสียงแหลมตัดพ้อ ใบหน้าขาวโบ๊ะ บิดเบ้แสร้งปาดน้ำตาน้อย ๆ เพื่อเรียกคะแนนสงสาร

"อ้าว? เหรอครับ ผมไม่เห็นตาพอลจะเคยพูดถึงเรื่องหนูโรสเลยสักครั้งเลยนะ แล้วการแต่งงานครั้งนี้ตาพอลเองนั่นแหละที่เป็นตัวตั้งตัวตี เอ...แต่เรื่องหนุ่ม ๆ สาว ๆ นี่ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน..." ชายหนุ่มรุ่นใหญ่ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทั้งยังไม่ยอมสบตาสาวใหญ่ที่ยังคงนั่งโอดครวญอยู่อีกฟากของโต๊ะทำงานเช่นเดิม สองมือยังคงง่วนอยู่กับการทำบางอย่างหน้าคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของตน ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าคำตอบของตนแทบจะทำให้อีกฝ่ายกัดชายผ้าเช็ดหน้าขาดเป็นริ้ว!

ตึกสูงระฟ้ารูปทรงสวยงามเตะตากลางเมืองศิวิไลซ์คือตึกสำนักงานของตระกูลเทวินทร์วงศ์ผู้ถือครองหุ้นใหญ่ในหลาย ๆ ธุรกิจสำคัญของประเทศ และชั้นบนสุดของตึกรูปทรงตระการตานี้คือห้องทำงานของท่านประธานใหญ่แห่งเทวินทร์วงศ์กรุ๊ป ภาส เทวินทร์วงศ์ ซึ่งปกติแล้วห้องเย็นห้องนี้ไม่ใคร่มีผู้คนสัญจรเพราะเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์อันแสนทรงอิทธิพลของท่านประธานใหญ่ จะมีก็แต่แขกคนสำคัญ ญาติ และพวกไร้มารยาทเท่านั้นที่มักจะขึ้นมารบกวนท่านบ่อย ๆ

ยกตัวอย่างเช่น คุณนายสาลิกา ไกรลาสสำเริง ที่ขยันมาก่อกวนจุ้นจ้านวุ่นวายได้ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะเจ้าหล่อนคิดว่าพ่อหม้ายเมียตายที่รวยล้นฟ้าอย่างคุณภาส เทวินทร์วงศ์นั้น อาจตกบ่วงเสน่ห์เล่ห์ร้ายของหล่อนที่เป็นแม่หม้ายป้ายดำเข้าสักวัน

...แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าวันนั้นจะมีหรือเปล่า

"เรื่องนี้สาไม่ยอมนะคะ ทันทีที่กลับจากฝรั่งเศสมาเมื่อวานพอรู้ข่าวเข้ายัยโรสของสาก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ" สาวใหญ่ยังคงบีบน้ำตากระซิก

"คุณสาลิกาครับ เดี๋ยวผมต้องออกไปประชุมข้างนอกกับลูกค้ารายสำคัญแล้ว ไม่ทราบว่าจะเป็นการเสียมารยาทไหมถ้าจะขอให้คุณสาช่วยกลับไปก่อน" แต่ดูเหมือนสายตาเว้าวอนพร้อมละครโรงใหญ่รัชดาลัยของเจ้าหล่อนจะไม่ได้ผล (อีกแล้ว)

"...ก็ได้ค่ะ งั้น...เดี๋ยวสาขอตัวกลับก่อน...เอ่อ แต่คุณพี่จะว่าอะไรไหมคะ ถ้าสาจะขอโทรไปปรึกษา..." คุณนายสาลิกายังไม่ยอมลดละ

"ขอโทษนะครับ ผมไม่แน่ใจว่าจะสะดวกรับสาย เอาเป็นวันหน้าเราค่อยว่ากันอีกทีนะครับ ขอโทษจริง ๆ ที่ต้องเสียมารยาท" แต่ก็ไม่อาจฝ่าปราการเหล็กไหลของท่านชายภาสแห่งเทวินทร์วงศ์ได้ (อีกแล้ว)

"ไม่เป็นไรค่ะ สาเข้าใจว่าคุณพี่มีธุระสำคัญ งั้นวันหลังสามาหาใหม่นะคะ..." ทิ้งท้ายเสียงแผ่วพร้อมช้อนสายตามองอ่อนหวาน แต่ท่านชายภาสก็ไม่ได้สะท้านถึงความงามของคุณนายสาลิกาเท่าไรนัก หนุ่มใหญ่ทำเพียงยิ้มบางแล้วผายมือส่งเจ้าหล่อนตามมารยาทเท่านั้น

สาลิกาได้แต่ขัดใจ แล้วเดินจากออกไปในที่สุด...

"เฮ้อ..." หนุ่มใหญ่พ่นลมหายใจเหนื่อยหน่ายทันทีที่ลับร่างแขกประจำ ก่อนจะรีบกดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถามไถ่คนขับรถคนสนิท "ได้ที่อยู่แล้วใช่ไหม สมยศ?"

[ครับ นายท่าน] เสียงตอบรับที่ดังมาทางสายเรียกรอยยิ้มบางผุดพรายบนใบหน้าหล่อเหลาแทบจะทันที

"ดี งั้นวนรถมารอฉันที่ชั้น 1 เลย อีก 5 นาทีฉันจะลงไป"

[รับทราบครับนาย]

สั่งลูกน้องคนสนิทเสร็จสรรพ หนุ่มใหญ่ภาสก็จัดแจงคว้าเสื้อสูทตัวเก่งพาดแขนเดินดุ่ม ๆ ออกจากห้องไป

และเป้าหมายของวันนี้ก็คือ...

'บ้านหมื่นพิทักษ์'




+++++++++++++++++




"เฮ้ยว่าไงวะ! ในที่สุดก็ได้เจอหนังหน้ากันซะทีนะ หลบเก่งกันเหลือเกิน"

ผมกอดอกยืนฟังเสียงกวนส้นเท้าของไอ้หัวหน้าแก๊งทวงหนี้ กับมองสภาพที่มันยืนเขย่งปลายเท้าล้วงกระเป๋ากางเกงยีน ท่าทีที่มองเผิน ๆ คล้ายคนเป็นโรคสันนิบาต

"เมื่อวานซืนมาก็ไม่เจอ เมื่อวานมาก็ไม่เจอ ดีนะที่กูอารมณ์ดี ไม่งั้นไอ้บ้านเก่า ๆ คร่ำคร่านี่กูเผาเหี้ยนไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว!" มันยังคงเวิ่นเว้อ ผมก็ยังคงกอดอกมองมันต่อ อ่ะ มีอะไรจะเวิ่นก็เวิ่นมา วันนี้ไอ้พึ่งอารมณ์ดี

"ทุกอย่างเหมือนเดิมครับ มันมากันสามคนเหมือนเดิม หน้าเดิม สไตล์การข่มขู่เดิม ๆ แต่วันนี้มีอย่างหนึ่งที่มันไม่เหมือนเดิม...

"ว่าไง? ล้านห้าน่ะ มีจ่ายอ่ะยัง? " แล้วในที่สุดมันก็เอ่ยประโยคสำคัญที่ผมกำลังรอคอย แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร มันเสือกกระแดะพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

"ดูจากทรงคงไม่น่ามีละมั้ง ฮ่าฮ่า" เข้าทาง! ฮะฮ่า ผมเหยียดยิ้มร้ายทันที

"อ้าว? รู้ว่าไม่มีแล้วพี่จะมาทวงให้เปลืองน้ำเมือกน้ำลายทำไมละคร้าบ รู้ว่าพวกผมไม่มีก็กลับไปซะซี่" กวนมาผมก็กวนไป มันมาสามผมก็มีสาม (แถมมีตังค์ด้วย) ไม่กลัวหรอกเว้ย ฮ่าฮ่า

"อ้าว! ไอ้เด็กเปรตนี่ กวนเรอะมึง? ถ้าไม่มีจ่ายมันก็ต้องมีข้อและเปลี่ยนเว้ย!" ได้ยินผมกวนเข้าไอ้ตัวหัวหน้าสันนิบาตก็กระเด้งตัวซอยปลายเท้าเหยง ๆ เข้าประจันหน้ากับผมเรียกร้องข้อของแลกเปลี่ยนห่าเหวอะไรสักอย่าง

"จะเอาอะไร? มีแต่ตีน 6 ตีนเนี่ยที่ยังพอให้ได้ จะเอาไหมล่ะ!" มันซอยปลายเท้ามา ผมก็ซอยใส่บ้าง ตัวผมสูงกว่ามันหน่อย ยิ่งเขย่งเลยยิ่งสูงกว่ามัน ว่าแล้วผมก็เอียงคอสันนิบาตแดกไปพร้อมมันด้วยเลย มันกวนผมก็กวนแหละ หึหึ บอกตามตรง ไอ้พึ่งรอวันนี้มานานแล้วววว!!

"ไอ้สาด! รึเมิงจะอาว!!" ยิ่งฟังก็ยิ่งระคายรูหู ไอ้เวรนี่ พูดให้ชัดยังลำบากเลย มันมาเป็นหัวหน้าคนทวงหนี้ได้ไงวะ?

"เออ! เอาไหมล่ะ? " ผมท้า

และทันทีที่ท้าจบ ไอ้สันนิบาตมันก็ปล่อยหมัดง่อย ๆ ของมันใส่ผมทันที!

หึหึ แต่ขอโทษนะพี่ ถึงตอนนี้จะไม่ได้เรียนแล้วแต่ผมเคยเป็นถึงนักกีฬาเทควันโดมานะครับ แถมไอคิโดกับมวยไทยด้วย!

เพราะงั้นทันทีที่พี่ถลาเข้ามา ตีนผมก็ยันหน้าพี่หงายไปแล้วครับ...อุ๊ย ลงไปกองหมดสภาพเลย หึหึ

"หน็อย! ไอ้เด็กเวรนี่! อย่าอยู่เลยมึง!!" เสียงลูกน้องที่ลืมพกปากมาของไอ้สันนิบาตเริ่มออกโรงเมื่อเห็นลูกพี่มันร่วงลงไปนอนน้ำลายฟูมปาก หึหึ มาซี่ มาเลย! ไอ้พึ่งเจ็ดย่านน้ำ ไม่เคยกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนอยู่แล้ว!

"อย่ามีเรื่องกันเลยครับ เราเอาเงินมาจ่ายแล้ว!!" (!?) แอ๊ะ? เสียงใครห้ามทัพ?

พอลองหันไปมองข้างกาย แล้วพบกับร่างเล็ก ๆ ของพ่อพจน์ที่ยืนตัวสั่นยื่นกระเป๋าเงินให้ไอ้พวกสันนิบาตพร้อมปาดน้ำตาป้อย ๆ เข้า...เวรละ ผมเผลอทำพ่อร้องไห้อีกแล้ว

"ล้านห้าขาดตัวครับ! ผมคืนให้ทั้งต้นทั้งดอก!!" แม้ตัวจะยังสั่นแต่พ่อของผมก็ยังคงกล่าวขึงขังทั้งน้ำตา เห็นภาพแบบนั้นเข้าผมก็ถึงกับซึมสิครับ พ่อพจน์ร้องไห้เพราะผมก่อเรื่องจริง ๆ ไม่ใช่เพราะกลัวไอ้พวกสันนิบาตทวงหนี้

"อ่า...ครบเป๊ะใช่ไหม? " แหม! ทีอย่างนี้รับเงินมือไม้อ่อนเลยเชียวนะพวกมึง!!

"ครับ! แล้วก็นี่ ค่าเหนื่อยพวกน้อง ๆ พี่ให้คนละสองพันนะ แต่ขอล่ะอย่าถือสาลูกชายพี่เลย มันยังเด็กนะ พี่ขอ!" พ่อผมร่ายยาว ทั้งยังควักตังค์เพิ่มให้พวกมันอีกคนละตั้งสองพัน เล่นเอาผมกับไอ้พิงมองกันตาถลนเลยครับ! พ่อผมจะใจป้ำไปไหนเนี่ย!?

"แหะ ๆ ขอบคุณนะครับคุณพี่ ขอโทษที่พวกผมมารบกวนพี่บ่อย ๆ นะ เดี๋ยวผมรีบโทรแจ้งเสี่ยให้เลยว่าพี่จ่ายครบทุกบาท อิอิ รอแป๊บนะครับ" อื้อหือ...ส้นตีนเป็นหน้ามือขึ้นมาทันใด ไอ้พวกสันนิบาตปากหมาเมื่อกี้ตอนนี้แต่ละถ้อยหวานย้อยหวานหยดกันเลยทีเดียว เชี่ย! กูขนลุก!!

หลังจากนั้น ไม่นานหลังพวกมันนั่งนับเงินกันจนครบ โทรบอกเสี่ยเจ้าของเงินกู้ ฉีกสัญญา รับใบเสร็จเรียบร้อย พวกสันนิบาตก็ร่ำลากลับไปด้วยความแช่มชื่น พวกผมถึงกับถอนหายใจโล่งเหมือนได้ยกเทือกเขาเอเวอร์เรสออกจากอก หนี้สินเป็นล้านที่พวกผมเคยตัดใจจากมันแล้วว่าชาตินี้คงไม่มีปัญญาใช้ แต่จู่ ๆ เพียงข้ามคืนหนี้ก้อนนั้นก็สูญไปทันตา นอกจากจะเนื้อตัวเบาโล่งแล้ว ยังเหลือเงินใช้จ่ายอีกตั้งเกือบห้าแสน ฟินอ่ะ พูดได้คำเดียวเลยว่า...โล่งโว้ย!

แต่เดี๋ยวก่อน ผมยังฟินขนาดนั้นไม่ได้ ตอนนี้ต้องตามง้อพ่อพจน์ก่อน โน่น...งอนยาวไปโน่นแล้ว

"พ่อจ๋า...พึ่งขอโทษน้า..." เล็งพิกัดเห็นพ่อนั่งขัดสมาธิเด็ดยอดผักเตรียมทำข้าวแกงอยู่บนพื้น ผมก็รีบแถกตัวเข้าไปหาแบบอ้อนสุดชีวิตเพราะรู้สึกผิดสุดกำลัง

"..." แน่ะ ยังเงียบ

"พ่อจ๋า อย่าเงียบจิ พ่อด่าพึ่งซะยังดีกว่าเถอะ นะนะ ด่าพึ่งตีพึ่งก็ได้ แต่พ่อเลิกงอนพึ่งน้า..." ยิ่งเห็นพ่อเงียบผมก็ยิ่งอ้อน ใจเสียจริง ๆ นะ ไม่ชอบเลยเวลาโดนพ่อพจน์งอนเนี่ย

"...พ่อจะมีสิทธิ์ไปด่าไปว่าอะไรพึ่งล่ะ ในเมื่อที่เรารอดอยู่ได้ก็เพราะพึ่ง เพราะงั้นไม่ว่าพึ่งจะทำอะไรพ่อก็ไม่มีสิทธิ์จะว่าอะไรพึ่งหรอก" นั่นไง...งอนไปไกลแล้วจริงด้วย ความจริงผมเองก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าพ่อพจน์งอนผมตั้งแต่ที่จะปลอมตัวไปเทวินทร์วงศ์แล้ว พ่ออ่ะ ไม่อยากให้ผมต้องหลอกใคร ไม่อยากให้ผมต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับอะไรที่จะสามารถโดนลากตัวเข้าตารางได้ง่าย ๆ และที่สำคัญการกระทำของผมมันบั่นทอนศักดิ์ศรีของหมื่นพิทักษ์ให้ต้องหมองมัวลงไปด้วยการปลอมตัวไปอาศัยใบเงินของเศรษฐีอย่างเทวินทร์วงศ์

แต่ที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใด ผมรู้ว่าพ่อเป็นห่วงผมมาก...

แต่ผม...ไม่มีทางเลือกนี่นา เราจนตรอก เราไม่มีเงินยาไส้...ไม่มีอะไรเลย ผมเลยบุ่มบ่ามทำอะไรไม่ยั้งคิดอย่างนั้นลงไป...

“พ่ออ่ะ...พ่ออย่างอนพึ่งสิ พึ่งผิดไปแล้ว พึ่งเสียใจ...” อันนี้ไม่ได้แกล้งอ้อนแล้วครับ ผมเริ่มเศร้าสลดหดหู่แล้วจริง ๆ ขอบตาผมร้อนระอุเลยล่ะตอนนี้ น้ำตาคลอหน่วยเห็น ๆ

หมับ...

แค่เพียงน้ำตาหยดหนึ่งของผมร่วงแหมะลงบนตัก พ่อผมก็คว้าหัวกลม ๆ ของผมเข้าไปกอดทันที แง้...พ่อจ๋า...

“เฮ้อ...ไอ้ลูกหมาของพ่อ ทำไมทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้นะ เด็กไม่ดีทำพ่อเป็นห่วงจนใจจะขาดอยู่แล้ว เป็นเด็กเป็นเล็กพ่อจะตีให้ก้นลายเชียว” ถึงจะกอดไปบ่นไป แต่ผมดีใจที่สุดอ่ะ พ่อพจน์หายงอนผมแล้ว

แล้วพอโล่งใจปุ๊บ ทั้งผมกับพ่อพจน์ก็ปล่อยโฮกันทันที

+

+

+



ปลอบกันไปมาอยู่พักใหญ่โดยมีไอ้พิงเป็นตัวประกอบฉาก มันคอยช่วยสาวกระดาษทิชชูซับน้ำตาให้ผมกับพ่อ ที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงด่ามันเปิงว่ากระดาษทิชชูมันแพงนะเว้ย! ใช้ประหยัด ๆ หน่อย ให้แค่พ่อก็พอเดี๋ยวกูเช็ดน้ำมูกน้ำหูน้ำตากับเสื้อกูเอง! แต่ตอนนี้ไม่เป็นไร เรายังพอมีตังค์ซื้อ อย่างน้อยก็ขอใช้ชีวิตแบบวางใจสักเรื่องก่อนจะเริ่มวางแผนการเงินครอบครัวกันจริงจังหลังจากนี้

“เออ...พี่พึ่ง พี่จะแต่งกับไอ้พี่ยักษ์นั่นจริงเหรอ?”

พอเข้าใจปรองดองกันทั้งครอบครัวได้ พวกผมก็มาช่วยพ่อเด็ดผัก หั่นหมู เตรียมทำข้าวแกงขายวันพรุ่งนี้กัน แต่บรรยากาศหวาน ๆ หอม ๆ ของผมกับพ่อที่เพิ่งเข้าใจกันได้นั้น จู่ ๆ ก็ถูกไอ้พิงทำลายครืนลงไปอีกละ! ไอ้บ้านี่ ขยันขยี้ฉิบ!!

“แต่พี่พึ่ง หมอนั่นเป็นผู้ชายนะ แถมนิสัยไม่ดีด้วย พี่จะแต่งกับมันจริงดิ?” ดูมัน! ค้อนใส่ยังไม่สะเทือน ยังจะขยี้อยู่นั่น เห็นไหมพ่อพจน์เริ่มหน้าบูดอีกแล้ว! ฮึ่ย!!

“กูแต่งแค่ในนาม! ถามอะไรนักหนาวะไอ้พิง กูจำได้ว่าเมื่อคืนกูสาธยายให้มึงฟังทั้งม้วนแล้วนะ!” ตาผมขวางมากครับตอนนี้ แต่ก็อีกน่ะแหละ ไอ้พิงแม่งไม่เคยสะทกสะท้านเหมือนเดิม

“ก็พิงเป็นห่วงนี่ แต่งแค่ในนามก็เหอะ มันหน้ามืดปล้ำพี่ขึ้นมาทำไง?”

“จะเอาเวลาที่ไหนมาปล้ำ? แต่งเสร็จก็แยกบ้านอยู่ทันที มันแค่จะแต่งเอาทรัพย์สินตามพินัยกรรม เอาง่าย ๆ เลยนะ ไอ้ยักษ์นั่นมันจ้างพี่ให้แต่งกับมันเพื่อมรดก โอเคไหม แต่งเสร็จแยกย้าย แล้วเราก็ได้ตังค์ จากนั้นก็ตัวใครตัวมัน” ผมอธิบายยาวเหยียดหวังใจอย่างยิ่งว่าน้องผมจะฉลาดพอที่จะเข้าใจ

“จริงดิ เอ้อ...พวกคนรวยนี่ก็แปลกเนอะ” เออ...เข้าใจแล้วสินะ!!

“พึ่ง...แต่ถึงยังไงลูกก็ต้องระวังตัวให้ดีนะ” พ่อพจน์เอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง ความน่ารักของพ่อทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะแถกตัวเข้าไปกอดเข้าไปอ้อนอีกรอบ ก่อนที่จะมีเสียงอะไรบางอย่างมาเยือนแถวหน้าบ้าน

บรื๋นนนน... (หืม? รถใครเข้ามาในซอยเปลี่ยวขนาดนี้วะ?)

ปี๊น...ปิ๊น ปิ๊น (บีบแตรเรียกบ้านใครอ่ะ ร้อยวันพันชาติไม่ยักกะเคยได้ยินรถที่ไหนเข้ามาซอยร้างนี่...)

เอ๊ะ? อะไรแว้บ ๆ ที่หน้าบ้าน

อืม...เงา ๆ ตรงหน้าประตูนั่น...ใครหว่า

ตัวใหญ่...ใส่สูท...เอ๊ะ? ...หน้าคุ้น ๆ

"สวัสดีครับ...บ้านหายากพอสมควรเลยนะครับเนี่ย"

อื๋อ? ทักพวกเราด้วยอ่ะ หน้าคุ้นโคตร ใครอ่ะ?

ไม่ต้องตกใจที่ไม่มีใครตอบรับกลับไปครับ...ไม่มีอะไรมากก็แค่อึ้งกิมกี่กันอยู่...เอิ่ม...

"...ค...คุณภาส? " พ่อผมร้องทักออกไปด้วยความตกใจ

น่านไงว่าแล้วคุ้น ๆ คุณภาสที่เป็นเจ้าบ้านของเทวินทร์วงศ์นี่เอง...

...เอ๋อออออออออ!!? คุณภาสสสส!! คุณลุงท่านเจ้าบ้าน!!?



+

+

+



แค่เห็นผู้มาเยือนพวกผมก็อึ้งกันอยู่พักใหญ่ พอรู้สึกตัวขึ้นมาได้พวกเราก็กุลีกุจอจัดการเคลียร์พื้นที่ปัดกวาดเช็ดถูปูเสื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง!! (เอ่อ...จะทำไงได้ล่ะครับ บ้านผมไม่มีโซฟาอ่ะ กระทั่งเก้าอี้พลาสติกก็...เอ่อลุงแกนั่งไม่ไหวหรอกครับ ไซซ์ขนาดนั้น...น้ำหนักเกินชัวร์!!)

"ขอโทษทีนะครับ ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาบังเอิญผมมีเรื่องมาแจ้งน่ะครับ" เสียงทุ้มชวนฟังเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มละไม (ยิ้มกระชากใจพวกผมอีกแล้ว!!!)

"เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ...คือ...ทางผมต่างหากที่เสียมารยาท ขนาดเก้าอี้ดี ๆ สักตัว...เอ่อ...ยังไม่มีต้อนรับคุณเลย..." พ่อผมได้แต่ก้มหน้าก้มตาขอโทษ

เรานั่งล้อมวงกัน โดยที่คุณลุงท่านเจ้าบ้านนั่งอยู่ข้างคุณพ่อ ผมกับไอ้พิงได้แต่แอบมองตากันไปมา เพราะสภาพตรงหน้าที่พวกผมเห็นมันให้บรรยากาศสีชมพูแบบแปลก ๆ ชอบกล ๆ คุณลุงท่านเจ้าบ้านตัวใหญ่ล่ำสมาร์ต พอมานั่งข้าง ๆ กับพ่อผมที่ตัวเล็กนิดเดียวแถมเอวบางร่างน้อยแล้ว พ่อผมเป็นสาวน้อยไปเลยเชียว เอ่อ...แล้วแถมสายตาที่ลุงท่านเจ้าบ้านมองจดจ้องที่พ่อผมนั้น....มัน...เหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ที่คอยสปาร์กพ่อผมอยู่ตลอดเวลา

ไม่นะ ไม่ ๆ ๆ ลุงท่านเจ้าบ้านเป็นผู้ชาย พ่อผมก็เป็นผู้ชาย แถมยังอายุเยอะ ๆ กันแล้วด้วยแล้วจะให้บรรยากาศอันตรายแบบนั้นได้ยังไงกัน! คิดไปเองสินะ...อืมๆ ...

(ว่าแล้วก็แอบดึงขนหน้าแข้งที่ยังเหลืออยู่ของตัวเองนิดหน่อย เพื่อดึงสติ)

"ที่มาวันนี้ผมแค่จะมาแจ้งเรื่องฤกษ์แต่งงานน่ะครับ แล้วก็มาทาบทามสู่ขอหนูพึ่งอย่างเป็นทางการด้วย" ลุงท่านเจ้าบ้านเปิดประเด็นสำคัญด้วยรอยยิ้ม อ๋อ...เรื่องมาสู่ขอผมนี่เอง อืมๆ .....

เฮ้ย! ฉิบหายแล้ว! สภาพกู!! เชี่ย!! ลืมยัดนม!!!

คิดขึ้นได้ผมรีบเบี่ยงตัวหลบฉากทันที ตายโหง! ลุงท่านเจ้าบ้านแกทันสังเกตไหมวะ หูยยย....อย่าว่าแต่ลืมยัดนมเลย สภาพกางเกงเจเจขาสั้นลายฉูดฉาดกับเสื้อยืดย้วย ๆ นี่ผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนเขาจะใส่กันวะ!? ไม่ได้การต้องรีบไปแปลงโฉมก่อน!!

"เอ่อ คุณลุงภาสคะ คุณพ่อ...คือ...เดี๋ยวพึ่งขอตัวสักครู่นะคะ" ผมรีบขอตัวออกมาเสียงสั่น

"อ้าวจะไปไหนล่ะพึ่ง...อ่ะ!...รีบไปเถอะลูก!" ตอนแรกพ่อผมไม่เก็ตครับ แต่พอเห็นสายตาปะหลับปะเหลือกส่งซิกของผม ท่านก็ถึงบางอ้อทันทีเลยรีบไล่ผมเป็นการใหญ่

"จะรีบไปปิดเตารีดหน่อยน่ะค่ะ พึ่งลืมไปว่าเสียบปลั๊กค้างไว้" ทั้งแถทั้งแถกดิ้นจนแสบสีข้าง ก่อนจะพ้นจากวงสนทนาแล้วจ้ำแบบลืมตายไปที่ห้องตัวเอง

ดีนะยืมชุดเจ๊มะลิมาหลายชุด รอดไปอีกวันไอ้พึ่งเอ๊ย!



+

+

+
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2024 03:58:20 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
"อ๊าก! เสื้อชั้นในนี่มันใส่ยากจังวะ!" ผมสบถกับตัวเองขณะที่สองมือกำลังพยายามติดตะขอเสื้อชั้นในที่ด้านหลัง...เข้าใจความลำบากของลูกผู้หญิงก็วันนี้แหละ ฮึ่บ!!

"พี่พึ่ง ๆ ๆ เฮ้ย!? ทำอะไรอยู่อ่ะพี่!? " เป็นไอ้พิงครับที่ทะเล่อทะล่าเข้ามาในห้องผมแบบไม่มีการเคาะเรียก แต่...เออ มาได้จังหวะพอดี!

"พอดีเลยไอ้พิง ช่วยพี่ติดตะขอหน่อย"

"อ๊ะ!? จริงด้วยพี่ต้องปลอมเป็นผู้หญิงนี่หว่า ให้ตายสิ พิงลืมสนิทเลยอ่ะ!!" ไอ้พิงถึงกับอุทานเสียงหลงเมื่อนึกขึ้นได้

"ก็เออสิครับไอ้น้องรัก เอ้า! อย่ามัวแต่พล่าม มาช่วยติดตะขอก่อน แม่งตะคิวจะแดกแขนแล้วเนี่ย!" สิ้นคำสั่งผม ไอ้พิงก็รีบกุลีกุจอมาช่วยผมแต่งตัว แค่ใส่เสื้อชั้นในกับยัดฟองน้ำได้ ที่เหลือก็กล้วยครับ ไม่เกิน 5 นาที ผมก็ทรงเรื่องเรียบร้อย พร้อมลุย!

"เออ ว่าแต่เอ็งหนีขึ้นมาทำไมวะ? ไม่นั่งเป็นเพื่อนพ่อ? " ผมถามไอ้พิงขณะใช้หนังยางโบว์ชมพูฟรุ้งฟริ้งเกินหญิงรัดผมให้ดูสาว

"เออใช่! พิงเกือบลืมแน่ะ! พี่พึ่ง ๆ พิงไม่ไว้ใจตาลุงภาสอะไรนั่นเลยอ่ะ!" หืม? ไอ้พิงเปิดประเด็นน่าสนใจ

"ลุงแกไม่น่าวางใจตรงไหนวะ? "

"ก็ตาลุงนั่นอ่ะจ้องแต่จะลวนลามพ่อพจน์ เดี๋ยวจับมือ เดี๋ยวจับขา พิงไม่ไว้ใจอ่า" อ้าว! อย่างนี้ก็เด็ดสิไอ้พิง!!

"เชี่ยแล้วไง! แล้วทำไมมึงไม่เฝ้าพ่อไว้ ไอ้น้องเวร!!"

"โอ๊ย!!"

"ไม่ต้องร้องเลยมึง! รีบลงไปดูพ่อเร็ว!!"

ผมด่าพร้อมโบกไปทีด้วยความขัดใจ เวรล่ะ ถ้าเป็นเหมือนที่ไอ้พิงว่าจริง ป่านนี้พ่อผมไม่โดนปู้ยี่ปู้ยำไปแล้วเรอะ!? หน็อย...ตาลุงท่านเจ้าบ้าน!!

"!!? "

วิ่งลงเรือนมาได้ทั้งผมทั้งไอ้พิงก็ได้แต่ติดสตั๊นอยู่ตรงริมบันได...

ภาพที่ผมเห็นเบื้องหน้าคือพ่อผมที่นอนหงายอยู่...แล้ว...แล้ว...

เชี่ยยยย!! ไอ้ลุงท่านเจ้าบ้านแม่งคร่อมพ่อผมอยู่!!

"พ่อ!" ผมตะโกนลั่น

ทั้งคู่ก็ผงะที่ได้ยินเสียงของผม ไอ้ลุงนั่นผละออกจากตัวพ่อผมทันที ส่วนพ่อพจน์ของผมก็ค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นมาช้า ๆ

"เกิดอะไรขึ้น!?...คะ?" ผมถามขึ้นมาโดยยังพยายามสะกดอารมณ์ ตอนนี้ทั้งผมทั้งไอ้พิงเตรียมพร้อมออกรบเต็มอัตราศึกแล้ว!!

"อ๋อ เมื่อกี้มีแมลงสาบบินมาเกาะหน้าพ่อน่ะพึ่ง พิง พ่อตกใจจนล้มลงไปเองแล้วคุณภาสเขาก็เข้ามาช่วยปัดแมลงสาบให้ อ๊ะ! ตัวนั้นไง!!"

พ่อพจน์พยายามอธิบาย พร้อมชี้มาที่พยานวัตถุที่ยังคลานหยึย ๆ อยู่บนพื้น...

แพร่ดดด!!

และมันตัวนั้น...ก็แหลกเหลวอยู่ใต้เท้าผมในเสี้ยววินาที...สู่สุขคติเถอะนะ...น้องแมลงสาบ พี่ขออโหสิกรรม!



+

+

+



หลังจากนั้นเราก็ตั้งวงสนทนากันอีกครั้งโดยคราวนี้ผมย้ายตูดตัวเองไปนั่งแทรกกลางอยู่ระหว่างพ่อพจน์ก็ลุงท่านเจ้าบ้านแทน แล้วหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นลุงท่านเจ้าบ้านก็กลับไป ก่อนหน้าจะกลับยังมีหน้าหันมาจับมือถือแขนพ่อพจน์ของผมอีก! ทำเป็นสัญยิงสัญญาอะไรก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะเป็น...

'ทางเทวินทร์วงศ์จะดูแลหนูพึ่งเป็นอย่างดี' หรือ

'ไปเที่ยวที่เทวินทร์วงศ์บ้างนะครับ' และ

'จะไปอยู่กับเราที่นู่นก็ได้นะครับ ยังไงซะเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว'

เอาเข้าจริงผมก็ประทับใจในตัวของลุงท่านเจ้าบ้านอยู่ไม่น้อยนะ ทั้งความอ่อนโยน ความหนักแน่น ดูเป็นผู้นำที่มีจิตใจเมตตา...แต่ว่า...

มันจะดีกว่านี้มากเลยครับ ถ้าลุงแกไม่ขยันส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยใส่พ่อผมน่ะ!!




++++++++++++++++++




หนึ่งอาทิตย์ต่อมา...

วันศุกร์ วันธงชัย วันฤกษ์ดีตามที่ลุงท่านเจ้าบ้านแจ้งไว้

หลังจากวันที่ท่านมาแจ้งเรื่องฤกษ์งามยามดี พวกผมสามคนพ่อลูกก็ไม่ได้ใช้ชีวิตปกติสุขเลยครับ ทั้งวิ่งรอกลองชุดเจ้าสาว ทั้งจัดการเรื่องลาออกจากงาน ทั้งจัดบ้านจัดช่องที่ลุงท่านเจ้าบ้านส่งคนมาเนรมิตคฤหาสน์หมื่นพิทักษ์ใหม่ให้งามอย่างกับวัง ทั้งทาสีใหม่ ตกแต่งใหม่ เฟอร์นิเจอร์ใหม่ วู้ยยย!! งดงามตระการตาจนพวกผมแทบไม่กล้านอนบ้านเพราะไม่คุ้น แค่นั้นยังไม่พอครับลุงท่านเจ้าบ้านยังจ้างยามและบอดี้การ์ดมาเฝ้ายามบ้านผมด้วย คุณพระ!! เกิดมาไม่เคยรวย ไม่เคยพบไม่เคยเห็น!!

และอีกเรื่องที่พวกผมหนักใจ นั่นก็คือ...เหล่าบรรดานักข่าวและชาวบ้าน

ช่วยไม่ได้ล่ะนะตอนนี้พวกผมเป็นคนดังไปซะแล้ว และโชคดีสุด ๆ ที่พวกผมมันโคตรจนยาจกซกมกจนเป็นพวกที่ถูกหลงลืมจากทะเบียนราษฎร์ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้หรือจำได้หรือสังเกตเห็นสักคนว่าผมคนนี้แท้จริงแล้วเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะเริมรับจ๊อบทำงานทั้งแต่เด็กเลยไม่เคยปรากฏตัวในชุดนักเรียนให้ใครเห็น ออกบ้านแต่เช้ามืดกลับมาหลังเที่ยงคืนตลอด หรือต่อให้ช่วงหลังจะมีผ่านมาพบเห็นบ้างไอ้พึ่งก็ผมเผ้ายาวรุงรังจนคนอาจคิกไปว่าเป็นแม่หญิงซกมกคนหนึ่ง...เฮ้อ เดชะบุญแท้!

แล้วหลังจากได้เปิดตัวชีวิตก็มีแต่สาว ๆ มาอิจฉากันตรึมครับงานนี้ ผมนี่ยิ้มแห้งปนน้ำตาเลยขอบอก...

"โชคดีนะเนี่ยที่น้องพึ่งฉลาด เลือกชุดเจ้าสาวเก่ง ดูสิชุดไทยของงานเช้าก็เป็นราชปะแตนคอเต่า ชุดตอนกลางคืนก็เป็นราตรีลูกไม้คอตั้งแขนยาวแบบซีทรู ต๊ายยเริ่ดค่ะ ทั้งสวยทั้งปิดกระเดือกโปน ๆ ของน้องพึ่งได้ อะฮุ อะฮิ"

เสียงเจ๊มะลิชมเปาะไม่ขาดปากขณะช่วยผมแต่งชุดราชปะแตนฟูฟ่อง...อา...แน่น

"อึ๊บ!...แน่นไปไหมคะน้องพึ่ง? " เจ๊มะลิดอกเขื่องถามขึ้นเมื่อจับผมรัดเข็มขัดทองเสร็จ

"...อา...กระชับทุกสัดส่วนเลยครับเจ๊...โดยเฉพาะ...น...นม..." ผมพูดอะไรแทบไม่ออกครับ ชุดมันแน่นปั่ก แน่นจนหายใจหายคอแทบไม่ออก ชุดราชปะแตนที่พองแต่ต้นแขน...นอกนั้นแนบเนื้อแน่นเปรี๊ยะ!

"แหม ลูกผู้หญิงก็ลำบากอย่างนี้แหละค่ะ หน้าอกหน้าใจใหญ่โตก็ต้องแน่นกันบ้าง" เจ๊มะลิอธิบายไปพลางจัดทรงผมไปพลาง คุณลุงท่านเจ้าบ้านเตรียมช่างเอาไว้ให้ผมเป็นสิบเพื่อประทินโฉมเจ้าสาว แต่ผมขอแค่ให้เขาช่วยแต่งหน้าแต่งผม เพราะเรื่องแต่งตัว ผมวางใจแค่เจ๊มะลิคนเดียว... (ก็แหงล่ะ ขืนให้คนอื่นช่วยแต่ง เรื่องเสริมอึ๋มของผมก็โดนแบไต๋อะจิ)

"เอาล่ะ เสร็จแล้ว....ตายจริง สวยฟาดมากเลยค่ะน้องพึ่ง วู้ววว จำเพศเก่าน้องไม่ได้เลยค่า!" เจ๊มะลิกระดี๊กระด๊าทันทีที่แต่งองค์ทรงเครื่องผมเสร็จ

ผมก้มมองสารรูปตัวเอง...

...อา...ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้...วันที่มีนมกับสะโพกงอนเช้งเป็นของตัวเอง



ในที่สุดก็ถึงฤกษ์งามยามดีที่เจ้าสาวแสนสวยอย่างผมได้ออกสู่โลกกว้าง แค่เหยียบเข้าธรณีประตูปะรำพิธีเท่านั้นแหละ ไฟแฟลตก็แยงตาพรึบพรับจนเกือบบอด โอยยย...หน้ามืด กว่าจะยก ๆ ย่อง ๆ ไปถึงที่หมายเล่นเอาตาลายคล้ายจะเป็นลม ซ้ำระหว่างทางที่เดินเสียงซุบซิบชื่นชมระงมจนผมแทบลอย

'เจ้าสาวสวยเนอะ เหมือนนางแบบเลย ทั้งสูงทั้งหุ่นดี' แหม...ก็แน่สิครับ ผมสูงตั้ง 173 เชียวนะ สูงชะลูดตูดปลิ้นลิ้นพลิ้วนะจะบอกให้... (เอ๊ะ?)

'เจ้าบ่าวตาถึงเนอะ เจ้าสาวน่ารักมากเลย' แอร๊ย...ผมหล่อใช่ไหมล่ะ อะคึอะคึ

สุดท้ายก็ได้นั่งตาประสานตากับเจ้าบ่าวที่ผมไม่เห็นหน้ามันอีกเลยตั้งแต่วันแรกที่ผมเหยียบเทวินทร์วงศ์ มันอยู่ในชุดเจ้าบ่าวไทยหล่อหรู...เออ! ก็ปกติของมันแหละนะ มันหล่อเป็นพื้นฐานอยู่แล้วนี่! (ฮึ่ย...อิจฉา!)

"..."

"..."

มันไม่พูดอะไร ผมก็ไม่ได้พูดอะไร ปล่อยผู้หลักผู้ใหญ่เขาจัดการกันไป ผู้ใหญ่ฝั่งมันมีคุณลุงเจ้าของบ้านกับคุณหญิงย่าพิลาสพรรณราย ท่านใจดีครับ ผมเคยเจอท่านครั้งหนึ่ง ส่วนฝั่งผมมีแค่พ่อพจน์คนเดียว ตัวเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ในชุดผ้าไหม (และแน่นอนหลายคนคิดว่าเป็นพี่ชายคนโต...อีกแล้ว)

พอใกล้เริ่มพิธีผมก็ได้แต่นั่งใจเต้นเหงื่อแตก อิหลักอิเหลื่ออยู่ได้ครู่เดียวโฆษกก็ประกาศเริ่มพิธีเล่นเอาหัวใจผมกระดอนออกจากหัวอก ขึ้นอย่างหงส์ลงอย่างหมาหน้าตาเลิ่กลั่กเลยครับ ทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางไหนแล้วตอนนี้

พิธีการดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยเริ่มจากพิธีสงฆ์ ผมพยายามฟังพระสวดให้พรอย่างมีสติแต่ก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ ก็เพิ่งเคยแต่งงานครั้งแรกนี่ครับมันก็ต้องเนื้อเต้นเป็นธรรมดา (แม้จะผิดที่ผิดทางไปหน่อยสำหรับผมก็เถอะ) ทั้งที่ตอนแรกกะจะทำแบบขอไปที แต่พอเอาเข้าจริงผมก็อยากทำออกมาให้ดีที่สุด เพราะถึงมันจะเป็นแค่เรื่องปาหี่แต่อย่างน้อย ๆ ในวันนี้ทั้งสองตระกูลจะต้องไม่ขายหน้า (ส่วนวันหน้าค่อยว่ากัน)

หลังพระสวดจบพิธีกรก็ให้คู่บ่าวสาวได้ถือโอกาสทำบุญตักบาตรพร้อมถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ เพื่อทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันและเพื่อส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองเป็นสิริมงคลในชีวิตคู่ที่กำลังจะเกิดขึ้น และยังมีความเชื่ออีกว่าถ้าได้ทำบุญตักบาตรร่วมกันแล้วจะเป็นคู่กันในชาติภพต่อไปอีกด้วย...ซึ่งแน่นอนว่าทั้งผมและไอ้ยักษ์ไม่มีความคิดจะเป็นคู่ร่วมชาติทั้งในชาตินี้หรือชาติไหน ๆ แต่ในเมื่อเขาให้ทำ เราทั้งคู่ก็ได้แต่จำใจทำให้มันจบเรื่องไปเท่านั้น

พอถึงเวลาตักบาตร มันจะมีกิมมิกเล็ก ๆ ที่ผมเพิ่งรู้มาจากเจ๊มะลิว่ามือเจ้าสาวต้องจับทัพพีเหนือมือเจ้าบ่าวเพื่อที่จะได้เป็นเคล็ดว่าเจ้าบ่าวจะเชื่อและตามใจ อยู่ในโอวาทเจ้าสาว...ผมรู้ว่าพวกคุณเดาออกว่าเด็กรุ่นใหม่อย่างผมไม่มีทางเชื่อเรื่องพวกนี้ แค่จับทัพพีเหนือกว่ามันจะไปมีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าผู้ชายขึ้นมาได้ยังไง? งมงายทั้งนั้น เฮอะ!

ว่าแล้วผมก็รอจังหวะให้ไอ้ยักษ์จับทัพพีก่อนจากนั้นผมก็คว้าหมับไปเหนือมือมันทันที...ฮะฮ่า

จู่ ๆ ไอ้ยักษ์ก็หันมาถลึงตาใส่ผม เหมือนมันจะรู้เคล็ดการจับทัพพีในข้อนี้เหมือนกันมันเลยรีบปล่อยมือจากทัพพีแล้วคว้าหมับเข้าที่มือผมเพื่อให้มือผมอยู่ด้านล่างแทนมัน

หน็อย!! แค่แต่งงานปลอม ๆ มึงก็ยังไม่ยอมแยู่ล่างกูรึ ได้! งานนี้ไม่มีใครยอมใคร ศึกศักดิ์ศรีระหว่างผมกับมันจึงได้เริ่มขึ้น คล้ายมีเสียงปี่ชวาหน้าเวทีมวยดังแว่วมา เสียงระฆังยกที่หนึ่งดังขึ้นผมกับไอ้ยักษ์รัวมือใส่กันทันทีเพื่อแย่งชิงพื้นที่คนที่ได้จับเหนือทัพพี

ฟึ่บ! ฟั่บ! หมับ! ควับ! เพียะ! เสียงสองมือของเราแหวกอากาศห้ำหั่นกันอย่างสูสีต่อหน้าบาตรพระและต่อหน้าเหล่าสักขีพยานที่ได้แต่ยืนเงียบอึ้ง

“เบาได้เบานะโยม” พระคุณท่านปรามขึ้น “ทิฐิมานะไม่ทำให้ชีวิตคู่ผาสุขเท่ากับการประนีประนอมดอกหนา อย่างไรก็กำลังจะใช้ชีวิตร่วมชายคา หนักนิดเบาหน่อยก็ผ่อนเพลากันบ้างเถิดหนาโยม”

นั่นแหละสงครามระหว่างผมกับไอ้ยักษ์จึงได้จบลง แล้วผมก็ฉวยจังหวะที่ไอ้ยักษ์กำลังกระดากใจคว้าทัพพีไว้เหนือมันจนได้ แล้วก็จับมือมันเอาไว้แน่นจนเกร็งเพื่อไม่ให้มันมีโอกาสพลิกเกมอีก



จบพิธีสงฆ์ก็ต่อด้วยการแห่ขันหมากเพื่อทำการสู่ขอเจ้าสาวตามประเพณี แต่งานนี้ผมไม่ต้องทำอะไรครับนอกจากนั่งเงียบ ๆ อยู่คนเดียวในห้องพักเจ้าสาว อยากได้ใครสักคนเป็นเพื่อนมาก ตอนนี้แต่พ่อพจน์ของผมดันถูกบังคับให้ต้องไปยืนรับแขกคู่กับคุณลุงท่านเจ้าบ้านในฐานะเจ้าภาพ และแน่นอนว่าผมย่อมต้องส่งไอ้พิงไปเป็นบอดี้การ์ดข้างกายพ่อไว้ ส่วนเจ๊มะลิก็อยากไปดูขบวนแห่ของเศรษฐีกับอยากกั้นประตูเงินประตูทองเลยไม่ยอมอยู่เป็นเพื่อนผมด้วย เคว้งคว้างเลยครับทีนี้

เอาตรง ๆ ผมทำเก่งไปงั้น เพราะจนถึงตอนนี้ผมก็ยังมือสั่นไม่หาย กลัวนะไม่ใช่ไม่กลัว เพราะถ้าความแตกเอาวันนี้สิ่งเดียวที่รอผมอยู่คือความฉิบหายอย่างไม่ต้องสงสัย แถมยังพ่วงพ่อกับน้องซวยไปด้วยแน่ ๆ นั่งมองสารรูปตัวเองในกระจก สวยครับ ผมสวยมากในวันนี้เพราะถูกปรุงแต่งด้วยช่างมากฝีมือและด้วยพื้นฐานตัวเล็กหน้าหวานตามกรรมพันธุ์จึงทำให้ถ้านั่งอยู่เฉย ๆ ก็พอเนียนเป็นน้องปอย ตรีชฎาได้ไม่ยาก เพียงแต่เมื่อไหร่ที่อ้าปากหรือขยับตัวก็กลัวจะโป๊ะแตกเอาง่าย ๆ เพราะผมยังไม่ค่อยคุ้นชินนัก จากที่ข้างนอกทำเป็นเก่งแต่พออยู่ลำพังผมก็ได้แต่นั่งประหม่าแล้วภาวนาให้วันนี้ผ่านไปได้ด้วยดี...สาธุ!

คงเป็นโชคดีที่ผมมีโอกาสได้เข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องนั้น พอได้ออกมาอีกครั้งจึงมีสติรู้คิดมากขึ้น ผมนั่งตัวตรงขณะนั่งมองผู้ใหญ่จัดงานพิธีไปเรื่อย ๆ แล้วทำตามที่พวกท่านบอก สบตากับไอ้ยักษ์บ้างเป็นบางครั้ง เจ้าบ่าวของผมที่ตอนนี้เหมือนโคตรห่างไกลจนแทบไม่รู้จัก ซึ่งผมก็รู้ว่ามันเองก็คงคิดกับผมแบบนั้นไม่ต่าง

หลังสินสอดที่จำนวนของมันชวนหัวให้หัวใจวายถูกนับแล้วมอบให้พ่อพจน์เรียบร้อยแล้วนั้น พิธีต่อไปก็คือการสวมแหวนแต่งงาน เป็นพิธีการที่ชวนอึดอัดใจมากทั้งกับผมและไอ้ยักษ์ แค่สบตากันแวบเดียวก็เข้าอกเข้าใจกันขึ้นมาทันที

พอพิธีการประกาศ ฝ่ายเจ้าบ่าวอย่างไอ้ยักษ์ก็คว้ามือผมอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ขึ้นไปสวมแหวน หน้าผมมืดเล็กน้อยกับภาพตรงหน้าพร้อมอาการขนลุกชันตรงหลังคอ

"เอ้ากราบแนบอกพี่เขาสิลูก" เสียงท่านหญิงย่าเปรยขึ้นเบา ๆ เมื่อเห็นผมยังนิ่งอึ้งแม้แหวนจะสวมอยู่ตรงนิ้วนางข้างซ้ายเรียบร้อยแล้ว เหงื่อแตกออกไรผมเลยครับงานนี้ ฮึ่ย! มือไม้สั่นระริก...

ผมค่อย ๆ กราบแนบอกมันด้วยความเร็วแสง แต่ถูกเหล่าช่างภาพร้องห้ามให้ค้างไว้ก่อนเพื่อจะเก็บภาพมุมสวย จะถ่ายทำไมวะไอ้พวกบ้า กูไม่อยากได้รูปอะไรทั้งนั้น!! แต่ก็ได้แต่ทำหน้าแห้งแล้วก้มลงไปกราบแทบอกไอ้ยักษ์ใหม่ เกร็งจนไหล่สั่น!

"หึ!" เสียงหนึ่งดังชัดขึ้นกลางกระหม่อม เพราะผมกราบมันค้างจนตัวเกร็ง ไอ้ยักษ์เลยแอบหัวเราะผมเบา ๆ มือมันที่ตระกองแขนผมอยู่นั้นมันก็ไม่ได้ช่วยประคองเลยสักนิด แค่แตะไว้เฉย ๆ ! หน็อย...ไม่ช่วยทำมาหากินแล้วยังจะเยาะเย้ยกูอีก!

ได้รูปสวยจนสาแก่ใจเหล่าช่างภาพก็ถึงคราวผมสวมแหวนให้เจ้าบ่าวบ้าง กะจะใส่รวดเดียวจบไอ้พวกช่างภาพเจ้ากรรมนายเวรก็ร้องขอเก็บภาพสวมแหวนอีก อกไอ้พึ่งจะแตกตายก็คราวนี้!

"เอ้า...หอมแก้มสิจ๊ะ"

"...!? "

‘หืมมม!? ’ หลังจากผมพยายามยัดแหวนใส่นิ้วมันเสร็จเสียงสวรรค์ก็บงการลงมาจากเบื้องบนอีก! อะไรนะ? หอมอะไร? ใครหอม?

"...อย่าเอาแต่อึ้งสิตาพอล หอมแก้มน้องสิจ๊ะ" แล้วคำเฉลยก็ส่งตรงถึงผมทั้งสองคนแบบสายฟ้าฟาด!

...ไม่นะ! ไม่เอา! ผมกรีดร้องอย่างโหยหวนในใจ ถลึงตาส่งให้ไอ้ยักษ์อ้อนวอนให้มันหยุดการกระทำอันน่าสยดสยองนี้! ไม่นะยักษ์เราไม่ควรผิดผีกัน ถึงเอ็งไม่รู้แต่ข้ารู้ กูเป็นผู้ชายมึงหอมไปก็จะพาลพะอืดพะอมขมคอเอานะ!

สายตาที่ส่งให้เหมือนจะไม่เป็นผลเมื่อไอ้ยักษ์โน้มตัวเข้าหาผมเรื่อย ๆ

อยะ...อย่าาาาาาาา!!

ฟอด!

"!!? "

ฮิ้ววววววววว ประชาชีและสักขีพยานในงานพร้อมใจกันโห่แซวเมื่อเจ้าบ่าวทิ่มหน้าเข้าหอมแก้มเจ้าสาวจนหน้าหงาย ช่างทำรุนแรงเหลือเกิน...

ผมเหล่มองไอ้ยักษ์ตัวดีที่กำลังทำหน้าเหม็นเบื่อ พร้อมแช่งชักหักกระดูกมันทางสายตา

หน็อย! ไอ้ห่านจิก!




+++++++++++++++++++++++



รีไรท์แบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ นะจ๊ะ

เรามารอลุ้นตอนเข้าหอกันดีกว่าว่าเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวเขาจะทำอย่างไร อิอิ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

อนาคี๙๙
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2024 03:20:07 โดย thearboo »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

05 แต่งงาน ภาค 2 : นางเอกพิศาล!

น้ำพระพุทธมนต์ในสังข์มงคลค่อย ๆ หลั่งรินรดสองมือพนม พร้อมคำอวยพรสรรเสริญ สองบ่าวสาวยิ้ม (เจื่อน) รับคำอวยชัย แล้วพิธีมงคลสมรสตอนเช้าของบ่าวสาวก็จบลงอย่างราบรื่น...งดงาม

...อืม...ผมเพ้ออะไรอยู่เนี่ย? เอาเข้าจริงคือบ่าวสาวของงานเอาแต่นั่งยิ้มแห้งในบางครั้งแล้วทำหน้าเหมือนจะตายให้ได้กันตลอดงานราวกับถูกบังคับจับคลุมถุงชน ซึ่งก็ใช่แหละเพราะมันเป็นการแต่งงานอุปโลกน์จริง ๆ เจ้าบ่าวเจ้าสาวแทบไม่รู้จักกัน (แถมเจ้าสาวยังเป็นผู้ชาย) จะให้มานั่งมองตาหวานหน้าชื่นตาบานก็คงไม่ใช่ที่ อีกอย่างนะผมว่าแขกเหรื่อในงานส่วนใหญ่ก็คงรู้ดีอยู่แล้วเพราะเรื่องการหาตัวเจ้าสาวมาแต่งงานของไอ้ลูกชายคนกลางของตระกูลเทวินทร์วงศ์นั้นมันโคตรเป็นข่าวดังระดับประเทศ ดังนั้นคนที่มางานวันนี้ไม่ว่าจะเป็นแขกเหรื่อหรือนักข่าวก็มาเพื่อดูหน้าเจ้าสาวผู้โชคดีเท่านั้นแหละ ไม่ได้มาชื่นชมความรักอันหวานชื่นอะไรทั้งนั้นเพราะต่างก็รู้กันดีครับว่ามันไม่มี!

เสร็จพิธีช่วงเช้าอันหน่วงหนัก ผมก็ยังต้องผจญชะตากรรมอันหนักหน่วงในงานช่วงเย็น ชุดเจ้าสาวสีขาวฟูฟ่องแต่ทรงแน่นปั่กดังเดิม นมต้มของผมก็เช่นกัน โดนเจ้มะลิยัดซิลิโคนแบบจัดหนัก เจ๊แกลงทุนให้ผมเลยนะบอกว่าซิลิโคนยี่ห้อนี้ดีมาก นุ่มนิ่มดึ๋งดั๋งให้สัมผัสเหมือนของแท้...แต่...เจ๊ถามผมสักคำยัง? แล้วไอ้ที่ยัดมาซะทรงโตเนี่ย...ถามหน่อยผมจะเอาไปให้ใครมันจับค้าบเจ๊!?



I have died every day

Waiting for you

Darlin' don't be afraid

I have loved you for a

Thousand years

I'll love you for a

Thousand more...



เสียงบรรเลงเพลงแห่งรักหวานละมุนดังขึ้นเบื้องหลังประตูที่ผมยืนอยู่ หากเปิดเข้าไปก็คืองานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสอันยิ่งใหญ่ตระการตาหรูหราไฮโซสมน้ำสมชื่อตระกูลเทวินทร์วงศ์ ไอ้ยักษ์ยืนทำหน้าเหมือนเบื่อโลกเสียเต็มประดา ส่วนผมยืนหอบแฮ่ก ๆ อยู่ข้าง ๆ กับมันตรงหน้าประตูบานนั้น ขณะกำลังรอสัญญาณสำคัญจากทางออร์แกไนเซอร์ที่รอให้จังหวะอยู่...

ที่ผมหอบหายใจไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น แม้การเดินควงแขนผู้ชายท่อม ๆ ท่ามกลางผู้คนนับร้อยนั้นมันจะน่าอายอยู่ไม่หยอก แต่ขอบอกว่าไอ้พึ่งหาได้แคร์ไม่ แต่ที่เห็นผมหอบฮั่กอยู่นี่ก็ไม่ใช่อะไรครับ...คือผม...แน่น...นม...โคตร ๆ เลยต่างหาก! ไม่รู้เจ๊มะลิจะบ้าพลังอะไรกับหน้าอกหน้าใจของผมนักหนา ซิลิโคนนิ่มดึ๋งดั๋งอลังการเวอร์ ๆ แล้วยังต้องใส่เกาะอกแบบรัดฟิตเปรี๊ยะ เพื่อป้องกันนม (ปลอม) กระเด็นด้วย อีกอย่างไอ้รัดประคดผูกโบว์ด้านหลังอันเบ้อเริ่มนี่ก็แน่นปั่กไม่ต่าง เจ๊แกอยากให้ผมเอวเล็ก เอวคอด เหมาะกับชุดทรงวิกตอเรียฟูฟ่องประหนึ่งเจ้าหญิง ซึ่ง...ไม่ได้เห็นใจกันเลยว่าผมจะหายใจออกไหม...เฮ้อ...

“หายใจแรงแบบนั้น เดี๋ยวก็หน้ามืดหรอก” ระหว่างกำลังจดจ่ออยู่กับการหายใจเข้าออกอยู่นั้น จู่ ๆ ไอ้ยักษ์ปักหลั่นก็ทักขึ้น...เอ้า? กูนึกว่ามึงไม่มีปาก เช้ามาจนค่ำตั้งแต่เจอหน้ากันยังไม่เปิดลิ้นไก่คุยอะไรกับผมสักคำ นี่ประโยคแรกเลยมั้งเนี่ย!?

“...” ทว่าผมก็ไม่ได้ตอบอะไรออกไป ไม่ได้หยิ่งครับ แต่กำลังใช้แรงในการควบคุมกะบังลมอยู่

“...หึ ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นก็ได้มั้ง แค่แต่งในนาม...”

“ชุดมันรัดค่ะ! หายใจไม่สะดวก!” ผมรีบตอบออกไปเมื่อเห็นว่าไอ้คุณชายเริ่มมโนเอาเอง ใครตื่นเต้นวะ!? นี่ไอ้พึ่งนะเว้ย! หน้าบางกว่าส้นเท้าแตกหน่อยเดียวเอง!!

ผมตัดบทออกไปอย่างนั้น และไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่ามันจะทำหน้ายังไง เฮอะ! ใครจะสน

“เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ!....คะ?” ผมร้องเสียงหลง ตกใจกับสิ่งที่มันทำจนแทบจะลืมตัว... (ว่าปลอมเป็นผู้หญิงอยู่)

“อยู่นิ่ง ๆ สิ ฉันจะคลายปมให้” มันพูดแค่นั้น ก่อนจะปลดแกะแงะสายรัดประคดบัวบานด้านหลังของผมให้คลายออก

ตึ่ก...(เสียงหัวใจผมเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย)

“สบายขึ้นหน่อยรึยัง?” จับ ๆ มัด ๆ อยู่ครู่หนึ่งดูเหมือนมันจะจัดการเสร็จแล้ว ไอ้คุณชายเลยเอี้ยวตัวมาถามผมหน้านิ่ง

ตึ่ก ตั่ก...(หัวใจผมเต้นแรงขึ้นอีกแล้ว!)

"อ่ะ...บ...โบว์..." ถามว่าดีขึ้นไหม? ดีครับ...แต่...กูพูดอะไรอยู่วะเนี่ย!?

"...?" มันเอียงคอนิดหน่อย ดูงง ๆ เออ...มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นสินะ...ถามว่าดีขึ้นหรือยัง...แต่ผมดันตอบว่า...โบว์?

"...โบว์ผูกสวยหรือเปล่า!?...คะ?" ผมโพล่งออกไป (เกือบลืมคำลงท้ายทุกที) มันอึ้ง ผมอึ้งกว่า แต่เพียงอึดใจมันก็หัวเราะออกมาเบา ๆ

"มันเป็นโบว์สำเร็จรูปน่ะ ฉันแค่ขยับสายผ้าคาดเอวให้เธอ...หึหึ...กลัวไม่สวยเหรอ? " มันว่า พลางยิ้มเยาะที่มุมปากเบา ๆ

"...อ...อ๋อ" (=/////=) แม่ง...ทำไมผู้ชายตระกูลนี้ถึงได้มีบรรยากาศแบ็คกราวด์ลายดอกไม้บานขนาดนี้วะ ผมผู้ชายด้วยกันยังเผลอเคลิ้ม

ตึ่ก...ตึ่ก...ตึ่ก... (เวรละ! หัวใจผมจะเต้นเร็วไปไหนเนี่ย!?)

"บ่าวสาวเชิญได้เลยค่ะ!"

ยืนทำใจไม่ได้อยู่ไม่กี่อึดใจ ออร์แกไนเซอร์ก็ออกมาให้สัญญาณพอดี

เอาล่ะ! สูดหายใจ ไปโลด!!

"เดี๋ยว!" ยังไม่ทันจะก้าวเท้า ผมก็โดนมันคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน...ยังจะอะไรอีกล่ะ? ใจตรูยิ่งสั่นแปลก ๆ อยู่!

"ควงแขนฉันด้วยสิ" มันสั่งเสียงเรียบ...ว่าแต่ทำไมผมต้องควงแขนมันด้วยล่ะ ขนลุกนะเว้ย!

"...งงอะไร? เธอเคยเห็นบ่าวสาวที่ไหนเขาแยกกันเดินเข้างานบ้าง? " อ๋อออ เออ! จริงของมัน

(=/////=) รู้ตัวว่าปล่อยไก่ตัวเป้งออกไป ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเอื้อมมือไปคล้องแขนมันแหละครับ...ทำไงได้

ตึ่ก...ตึ่ก...ตึ่ก...ตึ่ก.... (วู้ยยย! หัวใจผมจะเต้นเป็นจังหวะชะชะช่าอยู่แล้ว! ว่าแต่...ผมจะตื่นเต้นทำไมเนี่ย!?)

งั้น...ระหว่างเดินเข้างาน เรามาวิเคราะห์กันเพลิน ๆ ดูสิว่าทำไมหัวใจผมถึงกระเด้งกระดอนนัก?

เพราะชุดรัดเปรี๊ยะแน่นปั่ก...อืม มีส่วน

เพราะแขกในงานมันเยอะผมเลยประหม่า...อืม ก็น่าจะใช่

เพราะ...มันอ่อนโยน...อืม...เฮ้ย! ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่แระ วู้! คิดอะไรออกไปวะตรู... (" - 3 -)

สงสัยตื่นเต้นที่ได้เป็นเจ้าสาว...อืม...ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเหมือนก้างติดคอแฮะ...เฮ้ย! เลิก ๆ ๆ ไม่คิด ๆ ใช้สมองมากไปเดี๋ยวจะพานปวดหัวเอา

"เชิญบ่าวสาวขึ้นบนเวทีเลยค่ะ แหม...เหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยกเลยนะคะ..."

เสียงพิธีกรสาวสวยทักทาย และตอนนั้นเองร่างกายผมก็สับสวิตช์ เข้าโหมดตอแหลอย่างเป็นทางการทันที...

เอ้า...ไอ้พึ่ง ยิ้ม!! ◇ (^ ♡ ^) ¤ 



+

+

+



พิธีการอันน่าเบื่อหน่ายเริ่มต้นขึ้นคนใหญ่คนโตคล้องมาลัยมงคลบ่าวสาวแล้วกล่าวอวยชัย...ไชโย้วววว...

ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายผม (พ่อพจน์) กล่าวอวยพร... (เสียงสั่นเครือ...ตื่นเต้นบวกตื่นตระหนก)

ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายมัน (คุณลุงท่านเจ้าบ้าน) กล่าวอวยพร... (อืม...โคตรเพอร์เฟค!)

"งั้นรายการต่อไป เราให้บ่าวสาวพูดถึงกันและกันหน่อยดีกว่า...ให้ใครพูดก่อนดีเอ่ย...เลดี้เฟิร์สเลยก็แล้วกัน คุณเจ้าสาวคนสวยก่อนเลยค่า..."

เช้ดดด!!...จู่ ๆ คุณพิธีกรสาวก็ทิ่มไมค์เข้าหาผมแบบไม่ปรึกษา จะบ้าเรอะ? ให้ผมพูดอะไรถึงมันล่ะ!? ผมเพิ่งเจอมันเป็นครั้งที่สองเองนะ!! ฉิบหายแล้ว!!

"...เอ่อ...พี่เขาเป็นคนอ่อนโยนค่ะ.............." ผมดัดจริตเสียงหวาน พูดแค่นั้นแล้วก็ยิ้ม...พิธีกรสาวก็ยิ้ม ยิ้มเหมือนรออะไร ไมค์ก็ยังจ่ออยู่ที่ปากผม หล่อนพยักหน้า ผมก็พยักหน้า เดดแอร์ปกคลุมทั้งเวที...

"...อ่า...ค่ะ คำเดียวซาบซึ้ง แหม เจ้าสาวเราเป็นคนขี้อายค่ะ แต่ก็สามารถสื่อความในใจออกมาได้ชัดเจนสุด ๆ 'พี่เขาอ่อนโยน' นะคะ ว๊าย หวานมากเลยค่ะ..." อ่ะแหม...คุณหล่อนก็แถซะ...มืออาชีพจริง ๆ

"คุณเจ้าสาวเขาออกปากชื่นชมขนาดนี้แล้ว ทางคุณเจ้าบ่าวละคะ มีอะไรพูดถึงเจ้าสาวคนสวยบ้างเอ่ย...? " คราวนี้เจ้าหล่อนหันไปถามไอ้เจ้าบ่าวบ้าง...แหม ทีถามเราแทบจะเอาไมค์ทิ่มหน้า แต่พอถามไอ้ยักษ์หน้าหล่อเท่านั้นแหละ แถตัวเข้าไปสีเชียวนะแม่คุณ!... หน็อย...อิเจ๊ 2 มาตรฐาน!!

"...น้องเขาน่ารักครับ" มันพูดแค่นั้นแล้วก็ยิ้มบาง ๆ ตรงมุมปาก...พิธีกรสาวก็ยิ้ม ยิ้มเหมือนรออะไร (อีกครั้ง) ไมค์ยังจ่ออยู่ที่ปากมัน ตัวหล่อนก็ยังสีค้างอยู่ข้างตัวมัน หล่อนพยักหน้ายิ้มค้าง มันก็พยักหน้าหล่อ ๆ เดดแอร์ปกคลุมทั้งเวที (อีกรอบ)

"...อ่าค่ะ! แหมช่างประหยัดถ้อยประหยัดคำทั้งคู่เลยเชียวนะคะ แบบนี้ยิ่งเหมาะยิ่งสมกัน อะฮะ อะฮะฮะ..." พิธีกรสาวคนเก่งถึงกับหัวเราะแห้ง...ริมฝีปากสั่นน้อย ๆ คิ้วเรียวสวยกระตุกหน่อย ๆ แต่เจ๊ก็ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง...อืม นับถือ นับถือ...

"เอาละค่ะ มาถึงนาทีสำคัญ...คิกคิก...คุณเจ้าสาวคะ เจ้าบ่าวสุดหล่อของคุณอุตส่าห์ชื่นชมคุณขนาดนี้...จะมีรางวัลอะไรบ้างไหมคะ อย่างเช่น...หอมแก้มหรือ...จูบบบบ...แอร๊ยยย...ทางคุณเจ้าบ่าวก็อย่าน้อยหน้านะคะ ต้องให้รางวัลเจ๋ง ๆ กับเจ้าสาวด้วย....ต๊ายยย เขินแทนจังเลยค่า..." เอาเข้าไปเจ๊ พูดเองเขินเองม้วนเอง...เอ่อ ว่าแต่ เมื่อกี้เจ๊ว่าไงนะ รางวัล? หอมแก้ม? จูบ? เอ๊ะ?

"อย่ามัวแต่เขินอายค่ะ คนเยอะแยะกำลังรอดูอยู่ เอ้า! ท่านผู้มีเกียรติคะ ช่วยกันเชียร์หน่อยค่ะ"

'จูบเลย จูบเลย จูบเลย...' เฮ้ย!! จะบ้าเรอะ!! ผมส่ายหน้าทั้งที่ยังคงยิ้มแห้งอยู่ สีหน้าตอนนี้เลิ่กลั่กไปหมด ฮึ่ยยย! อิเจ๊พิธีกร! ช่างชงเหลือเกินนะเจ๊! อิพวกสักขีพยานข้างล่างนั่นพวกมึงไม่มีอะไรจะทำหรือไงมาเชียร์ให้เสียผีอยู่ได้! ขึ้นมาจูบเองเลยไหม!?

หมับ!

จุ๊บ!

"อื้ออออ!!? " ∑ (☆ × ¤)

ไม่ทันได้ตั้งตัวครับ...ไม่ทันได้เตรียมใจอะไรเลยจริงๆ ...

ผมโดนมือมารตะปบจนหน้าหัน...แล้วโดนเงาอำมหิตครอบงำ...

ตาผมเบิกโพลงตอนที่อะไรบางอย่างอุ่น ๆ ชื้นๆ แนบเข้ามากับริมฝีปาก!!?

กร๊าซซซซซซซซ!!!

'...จ๊วบ'

เสียงบาดหูจี๊ดตอนมันถอนริมฝีปากออกไป...ผมเซถอยหลังไปสองสามก้าว...ปากผมยังเผยอน้อย ๆ รู้สึกว่าลูกกะตาดำผมจะหายไป...เอ๊...ใครหรี่ไฟหว่า...?

"กรี๊ดดดด! เจ้าสาวเป็นลมไปแล้วคร่าาาา!!!!"



+

+

+



อืม...นุ่มจัง...เรากำลังนอนอยู่บนปุยเมฆหรือเปล่านะ...

เย็น...อืม...สบายตัว...สายลมอ่อน ๆ ไล่ล้อยอดดอกอ้อ...แมลงปอบินว่อน...ดอกทานตะวันชูช่อสดใส...

อา...ผมกำลังอยู่ในทุ่งดอกไม้แสนหอมหวาน...มีความสุขจัง...

อื๋อ? นั่นใครเดินท่อม ๆ มา?

เฮ่ย? มันจะเดินเร็วไปแล้วนะ! พริบตาเดียวก็ประชิดตัวผมแล้ว...

เฮ้ย!! ไอ้นี่มันไอ้คุณชายยักษ์ห่านั่นนี่!!

เย้ย! จับแขนกูทำไมวะ!? เชี่ย! ขนลุก อย่าเสือกเอาหน้าเข้ามาใกล้กูนะเว้ย! ไอ้สัด! อย่ามาทำปากจู๋ใส่กูนะ!! อร๊าากกก!! อย่ามาหลับตาพริ้มใส่กู๊วววว! ม่ายยยย!!

"ว้ากกกกกกกก!!"

เฮือกกกก!! เฮ่ยย!!

ผมลืมตาโพลงผวาขึ้น แล้วก็ต้องตกใจซ้ำเมื่อเห็นหน้าไอ้พิงจ้องหน้าผมตาถลน ห่าน! ไอ้น้องเวรนี่ กูใจหายหมด!

"พี่พึ่งฟื้นแล้ว! โฮ...!!" ไอ้พิงตะโกนลั่น พร้อมถลาเข้ากอดผมแน่น...อ่อก...ห...หายใจไม่ออก...

"พึ่งลูก...เป็นยังไงบ้าง? เจ็บตรงไหนรึเปล่า? ไหนให้พ่อดูหน่อย" คราวนี้เป็นพ่อพจน์ของผมเอง เทียวเอามือมาแตะ มาคลำแถวแขนแถวหน้าของผม พร้อมถามไถ่ว่ามีที่เจ็บที่ปวดหรือไม่...อืม...ตาแดง ๆ บวม ๆ นั่น พ่อพจน์ตกใจจนร้องไห้ออกมาอีกแล้วแน่ ๆ

จากนั้นเจ๊มะลิกับคุณลุงท่านเจ้าบ้านก็เข้ามาดูผมกันด้วย ถามไถ่ด้วยความห่วงใยกันจนหอมปากหอมคอ ผมเองก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ชำเลืองมองนาฬิกา 3 ทุ่มครึ่ง อืม...ป่านนี้งานคงล่มไปแล้วล่ะ เจ้าสาวตายกลางงานขนาดนี้ แต่ก็ดีแล้วล่ะจบ ๆ ไปซะได้ ผมจะได้กลับบ้านเสียที...

ว่าแต่...นี่คงเป็นห้องนอนรับรองแขกสินะ...

"...ไหน ๆ หนูพึ่งก็ฟื้นแล้ว คงได้เวลาพวกเรากลับออกไปได้แล้วล่ะครับ" คุณลุงท่านเจ้าบ้านเปรยขึ้น ขณะยื่นมือมาแตะแขนพ่อผมเบาๆ (แน่ะ! แอบแต๊ะอั๋งพ่อผมอีกแล้ว!)

แต่ก็ถูกของลุงแกแหละ ได้เวลาผมกลับบ้านแล้ว

"ได้ฤกษ์ส่งตัวบ่าวสาวพอดีเลย เราปล่อยทั้งคู่ให้อยู่กันสองต่อสองได้แล้วล่ะครับ ไปกันเถอะ" ลุงเจ้าบ้านไม่พูดเปล่าคราวนี้โอบเอวพ่อผมลากเบา ๆ ให้ตามตัวเองไปด้วย...เฮ่ย! โอบเอวเลยเรอะ!?

...แต่เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้ลุงว่าอะไรนะ!? ส่งตัวบ่าวสาว? ปล่อยให้อยู่กันสองต่อสอง? เฮ่ยยย!!?

"...เอ่อ...พ่อ...พ่อไปก่อนนะพึ่ง...เดี๋ยวพรุ่งนี้...พ่อมาเยี่ยม" พ่อพจน์เอ่ยลาทั้งที่หน้าตายังคงเป็นกังวลไม่น้อย...ในอ้อมแขนกำยำของตาลุงเจ้าบ้าน... (มันจะเยอะไปแล้วนะลุง!!)

"เฮ้ย!...พ..พ่อรอ...พ..."

"ดูแลตัวเองดี ๆ นะพี่พึ่ง! ให้ตายคืนนี้พี่ก็อย่าใจง่ายยอมเขานะ!!" ยังไม่ทันจะได้อ้าลิ้นไก่เรียกพ่อให้สุดคำ ไอ้พิงก็แล่นเข้ามาตะปบไหล่ผมไว้พร้อมกระซิบประโยคชวนให้ขนตูดลุกซู่...เชี่ย! ไอ้น้องเวร!!

ไอ้แต่อ้าปากพะงาบ มองญาติพี่น้องทยอยออกจากห้องไป พร้อมปิดล็อก...โดยไม่ทันจะได้ประมวลผล

"พ่อออ!! ไอ้พิงงง!!" ได้สติผมถึงกับเรียกพ่อกับน้องรักเสียงหลง สองมือขยุ้มชุดเจ้าสาวยาวรุงรังถลาลงจากเตียงหวังตามออกไปสุดชีวิต! อย่าครับพ่อ อย่าทิ้งพึ่งไว้ที่นี่!! ไม่อ๊าวววว!!

หมับ!! มาอีกแล้วมือมาร! มาจากไหนไม่รู้แต่กระตุกทีเดียวทั้งตัวผมหมุนติ้วเข้าประจันหน้าไอ้เจ้าของมืออย่างง่ายดาย

"จะออกไปไหน? " ไอ้ยักษ์ตรงหน้าถามขึ้นมาหน้าตาย

"กลับบ้าน!" ผมเองก็ตอบมันหน้ามึนเหมือนกัน เอาตรง ๆ ตอนนี้ผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูกนัก

"ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ต่อจากนี้ที่นี่คือบ้านเธอ" คำพูดหน้าตายด้านของมันทำผมมึนหนัก ที่นี่บ้านมึง ไม่ใช่บ้านกู ยังแต่งกันไม่ครบ 3 ปีเลย ยังไม่ต้องรีบให้!!

"...ดิฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดค่ะ กรุณาปล่อยดิฉันด้วย! ดิฉันจะรีบตามคุณพ่อกลับบ้าน" แค่ก...ทำไม๊ ทำไมมันถึงชอบให้ผมพูดอะไรเยอะแยะด้วย ดัดเสียงจนเจ็บลูกกระเดือกหมดแล้วเนี่ย!

"ไม่เข้าใจ? หรือไม่ยอมใช้สมอง? ฉันบอกว่าต่อไปที่นี่คือบ้านเธอ หมายถึงเธอต้องอยู่ที่นี่ห้ามกลับไปนอนที่หมื่นพิทักษ์อีก เพราะเธอแต่งเข้าเทวินทร์วงศ์แล้ว...ทีนี้ชัดไหม? เข้าใจหรือยัง?" มันถอนหายใจแล้วอธิบายด้วยอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด เหมือนโกรธเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน เดี๋ยวนะ อ...ไอ้ยักษ์กะโหลกนี่! เมื่อกี้มันด่าผมไร้สมองด้วยใช่ไหม!! หน็อย!! ไอ้ที่กูตาฝาดไปเมื่อเย็น ที่มโนเห็นว่ามึงอ่อนโยนน่ะ กูขอขากเสลดถุยทิ้งแถมบี้ไอ้ความคิดง่าว ๆ นั่นให้จมดินตรงนี้เลย! เชี่ยเอ้ย! รู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทันที ไอ้พึ่ง! ไอ้ตาเท่าเม็ดถั่วเขียว!!!

ฮึ่ย! งานนี้มีแตกหัก!

"ไม่เข้าใจค่ะ! ก็ตามที่เราตกลงกันไว้คือหลังแต่งงานตัวใครตัวมันไม่ใช่เหรอคะ? แล้วจะให้ดิฉันอยู่ที่นี่หาพระแสงของ้าวอะไร? คุณเองก็ยังไม่น่าแก่นะทำไมความจำถึงเสื่อมเร็วนักล่ะ?" ก็เอาสิเล่นกะใครไม่เล่น เสือกมากระตุกหนวดไอ้พึ่ง ฝีปากกูก็หนึ่งในตองอูนะโว้ย! (แต่แม่ง...บทใส่อารมณ์นี่ผมต้องดัดเสียงแหลมเลยนะ โอย...คอจะแตก!)

"ใช่ ตัวใครตัวมัน ฉันไม่ยุ่งเธอ เธอไม่ยุ่งฉัน และไม่ต้องจดทะเบียนกัน แต่ตามเงื่อนไขพินัยกรรม เธอ...ต้องอยู่ที่นี่!"

"อย่ามาตลก! ดิฉันไม่ขำ คุณบอกเองว่าข้อตกลงของเราคือการเข้าพิธีแต่งงานอย่างเดียว ไม่มีการจดทะเบียน แต่งแล้วต่างคนต่างอยู่ ความหมายคือคุณอยู่บ้านคุณ ฉันอยู่บ้านฉัน เราอยู่คนละบ้านกัน! และค่าตอบแทนในเงื่อนไขครั้งนี้คือ เงินเดือนเดือนละสองแสน พร้อมสินสมรสกึ่งหนึ่งหลังครบสามปีแล้วประกาศหย่า!"

"ก็เกือบจะถูกต้องนะ แต่เธอตีความหมายผิดไปอย่าง ต่างคนต่างอยู่ คืออยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยกันแต่ไม่ก้าวก่ายกัน ถ้าเธอจะใช้หัวคิดสักนิดคงจะพอนึกออกใช่ไหมว่าคนที่แต่งงานกันแล้วจะแยกกันอยู่คนละบ้านทำไม และการแต่งงานของพวกเราที่เป็นข่าวขนาดนี้การแยกกันอยู่ย่อมส่งแต่ผลกระทบเสียหาย ในพินัยกรรมก็ระบุอยู่ชัดเจนว่าห้ามมีการหย่าร้างก่อนสามปี การที่เราไม่จดทะเบียนกันไม่ได้หมายความว่าเธอจะเดินเฉิบ ๆ กลับไปอยู่บ้านเธอตามใจชอบ และที่สำคัญเงินสองแสนที่ฉันให้เป็นเงินเดือนเธอน่ะ เป็นค่าจ้างตอบแทนที่เธอเป็นเจ้าสาวอยู่ในบ้านเทวินทร์วงศ์นี้ในฐานะภรรยาของฉัน ไม่ใช่แค่ค่าแต่งงาน ช่วยทำความเข้าใจใหม่ด้วย!"

...ยาว...มันร่ายยาวจนผมตามแทบไม่ทัน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น...

"...ไม่ค่ะ ยังไงดิฉันก็จะกลับบ้าน! ไม่รู้ล่ะ คุณไม่ยอมอธิบายให้ดิฉันเข้าใจแต่แรกเอง ไม่ว่ายังไงดิฉันก็จะกลับ! รายเดือนสองแสนอะไรนั่นไม่เอาแล้วก็ได้ ดิฉันขอยกเลิกสัญญาวันนี้เลยค่ะ!!" ผมยืนกระต่ายขาเดียวอย่างเอาเป็นเอาตาย เห็นหน้าเงินอย่างนี้บอกตรง ๆ ผมไม่ได้เตรียมใจที่จะต้องอยู่ในร่างผู้หญิงนานนัก ขืนต้องอยู่ที่นี่ต่อแล้วเกิดความแตกขึ้นมา ไม่ใช่แค่สองแสนไม่ได้ สองล้านโดนเรียกคืน ตัวผมเองยังโดนโยนเข้าซังเตอย่างไม่ต้องสงสัยเลยด้วย!

คำยืนยันหนักแน่นของผมคงทำให้ไอ้ยักษ์ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะตอนนี้หน้าหล่อ ๆ ของมันเริ่มถมึงทึงจนน่ากลัว แต่...คนอย่างไอ้พึ่งก็ไม่มีถอยเหมือนกัน! (เก่งมาจากไหนก็แพ้ตำรวจครับ!)

ในเมื่อไม่มีทางเลือก ผมก็ต้องดิ้นรนหลุดพ้นจากสถานการณ์ตรงหน้านี้ให้ได้ เห็นมันยืนฟังเงียบ ทางผมก็เชิดหน้าสูดหายใจเข้าปอด สองมือสาวกระโปรงฟูหนักขึ้นมาถือไว้ ก่อนจะยืดตัวตรงเดินแหน่วไปที่ประตู

...ขอโทษนะคุณชาย ผมเองก็มีชนักปักหลักอยู่ ได้แต่ขอโทษขอโพยไอ้ยักษ์ในใจ ขณะกำลังจะใช้มือบิดลูกบิดประตู...

แกร๊ก...

ปึ่ง!!

"เฮ้ย!" (อุ๊ย...ตกใจจนแต๊บหลุด)

"เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น พจมาน หมื่นพิทักษ์!"

อื้อหือ..เต็มยศ ขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูได้อยู่แล้วเชียว สองแขนกำยำของมันก็ดันโครมเข้ากับบานประตูโดยมันคร่อมหลังผมเอาไว้ น้ำเสียงทุ้มพร่าคำรามต่ำ แถมยังเรียกชื่อปลอมพร้อมนามสกุลผมซะเต็มยศอีกต่างหาก...อึ๋ย! รังสีอำมหิตของมันเล่นเอาสันหลังผมเย็นวาบ

"มันเป็นสิทธิ์ของฉัน!!" แต่...ผมก็ไม่ยอมแพ้ เถียงเท่านั้นที่ครองโลก!! (ปล่อยกูไปเหอะบักปอบ! ขืนอยู่ต่อความกูแตกไม่ทันพ้นคืนนี้แน่!)

"ไม่ต้องเถียง!! อย่าคิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วฉันไม่กล้าทำอะไรเธอนะพจมาน! ฉันขอรับปากเธอตรงนี้เลยว่า ถ้าเธอกล้าก้าวข้ามธรณีประตูนี้ออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ฉันจะจับเธอล่ามโซ่! แล้วตรวนเธอไว้ที่นี่!!"

เช็ดเข้! ไอ้ยักษ์เปรต ไอ้จิตไม่ปกติ กูพจมานนางเอกบ้านทรายทองนะ ไม่ใช่นางเอกหนังพิศาล! ไอ้ห่าน!!

...กักขังฉันเถิดดด กักขังปายยย

ขังตัวอย่าขังหัวใจดีกว่าาาาาา.....

อย่าขัง...หัวใจให้...ทรมาาาาานนน

ให้ฉันเศร้าโศกาาา...

เหมือนว่าฉ้านเป็นเช่นดัง....

จำเลยยยย....

ไอ้พึ่งน้ำตาตกใน...ฮ่วย! เพลงบ้าอะไรดังขึ้นในหัวผมเนี่ย!!?




+++++++++++++++++++++



ให้ทายว่าน้องพึ่งจะสามารถรักษาความลับของตัวเองได้อีกนานแค่ไหน

โป๊ะ ไม่โป๊ะ อิอิ

เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อตอนไปให้นะคะ อดใจรอแปบค๊า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2024 03:59:21 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

06 เจ้าสาวในเรือนเบี้ย

สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว...คุณคิดว่าระหว่างผมกับมัน ใครกันที่กำชัยชนะ...

คุณลองมองมาที่ผมสิ...

มองชัด ๆ

น่านแหละ...

คุณเห็นอะไรบ้าง?

ใช่ครับ ผมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวย้วย ๆ เต็มยศ

ใช่ครับรอบตัวผมยังคงบรรยากาศเดิม ๆ ห้องเดิม ๆ

และใช่ครับ...ที่ผมต้องนั่งหน้าบูดเป็นกะละแมติดตูดอยู่นี่มันก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีแล้วล่ะว่าผมแพ้มันอย่างหมดรูป หมดจริง ๆ นะ หมดทางแถ หมดทางแถก ขนาดตอนนี้ที่มันเข้าไปอาบน้ำสบายใจอยู่ ผมยังไม่กล้ากระดิกออกจากห้องมันสักก้าวเลยให้ตายเถอะ!

มันเกิดขึ้นได้ยังไง มันขู่อะไรผม มันทำยังไงถึงสามารถเอาชนะผมได้น่ะเหรอ?

หึหึ...ไปดูภาพย้อนเหตุการณ์ด้วยกันเลยครับ เพื่อความกระจ่าง



+

+

+



"เธอจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น พจมาน หมื่นพิทักษ์!"

"มันเป็นสิทธิ์ของฉัน!"

"ไม่ต้องเถียง!! อย่าคิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วฉันไม่กล้าทำอะไรเธอนะพจมาน! ฉันขอรับปากเธอตรงนี้เลยว่า ถ้าเธอกล้าก้าวข้ามธรณีประตูนี้ออกไปแม้แต่ก้าวเดียว ฉันจะจับเธอล่ามโซ่! ตรวนเธอไว้ที่นี่!! "

ถึงผมจะไม่ยอมแพ้ ด้วยถือคติเถียงเท่านั้นที่ครองโลก แต่สุดท้ายก็ถูกเสียงมันข่มอยู่หมัดด้วยน้ำเสียงต่ำขรม ทั้งยังจับผมหมุนเข้าประจันหน้ามัน แล้วใช้แขนยันคร่อมตัวผมไว้อย่างเดิม ภาพฉากเข้าพระเข้านางในหนังไทยแล่นวาบเข้ามาในหัว กลายร่างจากนางสาวพจมานเป็นโสรยาอย่างสมบูรณ์แบบ

เอิ่ม...จะคุยดี ๆ ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่ช่วยเลิกทำท่าแบบนี้เสียทีเหอะ มันขนลุก!!

“คุณไม่มีสิทธิ์ทำกับอิฉันแบบนั้นนะ! อิฉันเป็นคนธรรมดา ที่มีสิทธิ์มีเสียงในระบอบประชาธิปไตยเหมือนกัน! สิ่งที่คุณกำลังทำกับอิฉันมันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของอิฉันอย่างใหญ่หลวง อิฉันฟ้องได้นะ! อิฉันแต่งงานมาเป็นเจ้าสาว ไม่ใช่ทาสในเรือนเบี้ย!”

ผมแผดเสียงแหลม (แถมหลง แม้แต่คำแทนตัวยังกลายเป็นอิฉันไปแล้ว) อธิบายสิทธิ์ที่ตัวเองพึงมีให้ไอ้คนอย่างมันได้สดับรับรู้ถึงกฎของโลกบ้าง นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ววะ! ผมไม่ใช่นางเอกละครพิศาลนะ เราสองคนไม่ได้อยู่ในหนังจำเลยรัก มึงไม่ต้องมากักขังหน่วงเหนี่ยวกูเลย กูไม่ฟินด้วยหรอก!

เหมือนมันจะเริ่มรู้ตัวว่าทำกับผมมากไป ท้ายสุดมันก็ยอมถอย หึ! ถึงกูจะดรอปเรียนอยู่แต่กูก็ฉลาดนะเว้ย!

"โอเค ฉันขอโทษ เธอคงตกใจที่จู่ ๆ ฉันก็ทำเรื่องล่วงเกินเธอแบบนี้..." มันถอนหายใจพร้อมเอ่ยขอโทษผม เออ! ค่อยดูเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมาหน่อย

"ที่เธออยากกลับบ้าน เพราะอยากกลับไปอยู่กับครอบครัวสินะ" ก็เออสิวะ ถามออกมาได้!

"ค่ะ! ไม่ให้อิฉันอยู่กับครอบครัว แล้วจะให้อิฉันไปอยู่กับใครล่ะคะ? " ผมย้อน (โอย...เสียงแหลมขึ้นทุกที เจ็บคอจนร้าวกกลิ้นไปหมดแล้วเนี่ย!)

"ก็ถามเผื่อไว้ เผื่อเธอจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่" มันพูด ขณะยืนกอดอกห่างกับผมประมาณฟุตหนึ่ง ยังใกล้อยู่แต่ก็ยังดีกว่าการใช้มือมันคร่อมตัวผมไว้แหละนะ

"ไม่มีค่ะ โสด! เป็นกุลสตรีเรียบร้อยอยู่เหย้าเฝ้าเรือนดูแลคุณพ่อและน้องชายค่ะ!" ผมกอดอกเชิดหน้าตอบ (แถมยกหางตัวเองเล็กน้อย)

เรื่องจริงครับ ผมไม่มีแฟน (เป็นตัวเป็นตน) แต่ก็พอมีแบบชั่วครั้งชั่วคราวบ้างแหละนะ อย่างน้องเนยที่ทำงานด้วยกันในร้านสะดวกซื้อ กิ๊กเบอร์หนึ่งของผม จิ้มลิ้มน่ารัก เสียอย่างเดียวว่าผมยังไม่ได้แอ้มเพราะต้องลาออกมาแต่งงานเสียก่อน นอกนั้นก็ขาจรครับ น้องก้อย พี่แพรว ตุ๊กตา จอย และมิ้นต์ ทั้งหมดเป็นสาวที่ทำงานกลางคืนอยู่ย่านเดียวกัน เหงาบ้างไรบ้างก็ควงกันไปผ่อนคลายระบายบางสิ่งเพื่อความสบายตัว ฟินกันเป็นวัน ๆ ไป ไม่ได้จริงจัง ไม่ได้ผูกพัน แต่ช่วงนี้พวกหล่อนคงเหงากันไม่น้อยเลยล่ะ เพราะผม (โดนไล่) ออกจากงานแล้ว จะว่าไปก็แอบคิดถึงอยู่เหมือนกันนะเนี่ย…

เอ่อ...เรื่องนี้ห้ามบอกพ่อพจน์เชียวนะครับ ขืนพ่อรู้ว่าผมทำตัวเหลวไหลแบบนี้ได้งอนผมตาย ผมอยากให้ตัวเองในสายตาของพ่อพจน์เป็นลูกชายแสนดีเอาการเอางานไม่เอาอย่างอื่นครับ แหะ ๆ

"ดี ไม่มีก็ดีแล้ว ได้จัดการอะไรง่าย ๆ หน่อย"

มันว่างั้น...ว่าแต่มันจะจัดการอะไร? ผมขมวดคิ้วสงสัย ในขณะที่มันยังคงหน้าตาย แต่...เสือกยิ้มแปลก ๆ?

"เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะให้คนไปรับพ่อกับน้องของเธอมาอยู่ด้วยกันที่นี่เลย"

ห่ะ!?

"จะบ้าเหรอคุณ!? จะเอาพ่อเอาน้องอิฉันมาทำอะไรที่นี่อ่ะ!? " เสียงหลงหนักสิครับงานนี้ ไอ้ยักษ์นี่บ้าไปแล้ว!! จะยกตระกูลผมมาขยายพันธุ์อะไรที่เทวินทร์วงศ์เนี่ย!?

"ฉันลองคุยกับพ่อแล้วก่อนที่เราจะแต่งงานกัน เราตกลงกันว่าถ้าหากเจ้าสาวของฉันติดบ้าน ไม่อยากอยู่ที่นี่ด้วยกัน เราก็จะให้ครอบครัวของเธอมาอยู่ด้วยกันที่นี่เลย ดูเหมือนพ่อฉันจะยินดีเป็นพิเศษด้วยนะ เห็นว่าถูกชะตากับพ่อเธอ คิดว่าคงไม่น่ามีปัญหาอะไร"

ทุกคำที่มันพูดเล่นเอาผมเหวอ เหวอขนาดที่ว่าสมงสมองไม่ประมวลผลไปหลายวินาที นี่มันบ้าหรือผมคิดไม่ถึงกัน? มันจะให้พวกผมยกโขยงกันมาอยู่ที่นี่เพื่อ? เอ็งจะต้อนพวกกูเข้าคอกแบบนี้ไม่ได้!

"เอาตามนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันให้คนไปรับพ่อกับน้องเธอมาเลย" เห็นผมอึ้ง มันก็สรุปให้เสร็จสรรพ ก่อนจะหันหลังจากไป…

เฮ้ยเดี๋ยวก่อน! ไม่ได้นะ เอาพ่อผมมาอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ! ที่อยู่ตาลุงท่านเจ้าบ้านก็จ้องงาบพ่อผมทุกครั้งที่เจอหน้าอยู่แล้ว ขืนให้พ่อมาอยู่ที่นี่...ไม่ทันข้ามคืนผมว่าผมกับไอ้พิงได้แม่ใหม่ตัวใหญ่ล่ำบึ้กแน่!

"เดี๋ยวคุณ! ห้ามไปเอาพ่อฉันมาอยู่ที่นี่นะ ฉันไม่ยอมหรอก!" ผมร้องเสียงหลง วิธีนั้นมันอันตรายกับพรหมจรรย์ของพ่อผมเกินไป! ยังไงก็ยอมไม่ได้!!

"...งั้น เธอยอมจะอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วสิ? " เสียงมันถามขึ้นราบเรียบ ราวกับไม่ได้มีสิ่งใดแอบแฝง แต่ผมเห็นนะ ชัดเต็มสองตาเลยด้วยว่ามันกำลังแอบยิ้มชั่วร้ายอยู่!

"ม...ไม่อยู่! ไม่ให้ใครอยู่ทั้งนั้นแหละ!! ..."

"อ้อเหรอ? ตามใจแล้วกัน ฉันเอาคุณอาพจน์กับน้องพิงมาอยู่เฉย ๆ ก็ได้นะ พ่อฉันยินดีจะตาย ส่วนเธอ...ก็แล้วแต่"

"เดี๋ยว! ฉันไม่อยู่แล้วจะเอาพ่อกับน้องฉันมาอยู่ทำไม!? ตลกเหรอ!? ล้อกันเล่นใช่ไหม!? "

"คอยดูพรุ่งนี้ก็แล้วกันนะ"

มันว่าแค่นั้นแล้วก็ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเริ่มถอดเสื้อสูทเจ้าบ่าวออก พลางเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าขนหนูผืนสีขาวขึ้นพาดคอ เฮ้ย! นี่มันคิดจะไปอาบน้ำทั้งที่ยังคุยกันไม่เสร็จเนี่ยนะ!?

"เดี๋ยวก่อนสิคุณ! แบบนี้มันไม่ตลกเลยนะ! เฮ้ยย! คุยกันก๊อนนนน!" ดู๊ดูมัน! ห้ามแล้วก็ยังเฉย เดินเฉิบ ๆ สบายใจเลยนะเอ็ง! ร้อนถึงผมต้องวิ่งหอบชุดเจ้าสาวโคตรหนักกะเยาะกะแยะเข้าหามันด้วยความยากลำบาก

Oops!

โครม!

หมับ!!

“!!?”

“...”

อ่า...

เสียงที่คุณได้ยินนั่นไม่ใช่อะไรหรอกครับ...เสียงผมเอง

เป็นผมที่ดันเหยียบชายกระโปรงจนล้มคะมำไม่เป็นท่า พร้อม ๆ กับอารามตกใจทำอะไรไม่ถูกก็เลย...คว้าหมับ...เข้าที่ต้นขาของมันแบบพอดีเป๊ะ...

เอิ่ม...คุณนึกภาพตามนะ

มัน...ยืนกอดอกก้มมองผมแบบแอบเหยียดเล็ก ๆ

ผม...นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้นสองมือกอดขามันแบบนางเอกหนังจำเลยรัก ใบหน้าผมเงยขึ้นมองหน้ามัน สายตาผมฉายแววเว้าวอนไม่ปิดบัง ก่อนจะขอร้องมันออกไปว่า...

"อิฉัน...จะอยู่ที่นี่เองค่ะ อย่าลากโคตรเหง้าสักหลาดของอิฉันมาลงหลักปักฐานที่นี่เลยนะคะ" ผมขอร้องพร้อมน้ำตาคลอเบ้า เจ็บครับ...เจ็บใจสุด ๆ ครับ!

"...จะดีเหรอ? เดี๋ยวเธอจะเหงาเอานะ" ขยี้เก่งจริงนะไอ้ยักษ์!!

"ไม่เป็นไรค่ะ...อิฉันทนได้…โปรดเก็บพ่อฉันให้ไกลมือพ่อคุณเถอะค่ะ!"

นี่ผมยอมลงทุนอ้อนวอนมันขนาดนี้เลยนะ เรื่องผมน่ะเรื่องเรื่องเล็ก แต่พรหมจรรย์พ่อผมน่ะเรื่องใหญ่ ก็ขอมันแบบโต้ง ๆ แบบนี้แหละ! ให้มันระแคะระคายบ้างว่าพ่อมันกำลังจะแอบคิดไม่ซื่อกับพ่อผม ดังนั้นถ้ามันไม่อยากได้พ่อใหม่ให้รีบกันพ่อมันออกไปไกล ๆ บัดเดี๋ยวนี้!

แต่แทนที่จะสลด ตกอกตกใจ มันกลับยิ้มครับ ยิ้มหวานละมุน ก่อนจะเตะเข้ามุมตุงตาข่ายผมอย่างจัง ด้วยประโยคที่ว่า...

"ไม่ดีรึไง ให้ผู้ใหญ่เขาได้สานสัมพันธ์กัน พ่อเธอก็โสด พ่อฉันก็โสด คนเหงา ๆ มาเจอกันก็ให้เขาได้มีความสุขกันบ้างสิ หึหึ"

"...!!? "

มันว่าแค่นั้นแล้วก็สลัดขามันหลุดออกจากวงแขนผมเดินตรงเข้าห้องน้ำไปโดยไม่หันกลับมามองผมอีกแม้แต่หางตา...

ไม่นะ...มันกำลังสมรู้ร่วมคิดกับลุงเจ้าบ้านพ่อมัน เพื่อรวบหัวรวบหางพ่อผมอยู่! ไม่ยอมนะ! ผมจะต้องปกป้องพ่อผมด้วยชีวิต!!



++++++++++++++++



จบการย้อนความ...

เป็นไงครับ ความรันทดหดหู่ของผม มันเล่นเอาพ่อผมมาขู่ขนาดนั้น จะให้ผมทำอะไรได้ล่ะครับ นอกจากยอมมันไปแบบกล้ำกลืนฝืนทน ให้ตายเถอะ เชื่อไหมว่าโสรยานางเอกจำเลยรัก ยังไม่รันทดเท่าผมเลย

ฮือ...จำไว้เลยนะไอ้ยักษ์เปรต ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวยนะเว้ย! อยากให้อยู่กูก็จะอยู่ แล้วมึงคอยดูฤทธิ์กูก็แล้วกัน!



แกร๊ก...

ในที่สุดมันก็ออกจากห้องน้ำมาเสียที พ่อคุณพ่อขนุนหนัง พ่ออาบน้ำเป็นชาติได้กว่าจะเสด็จกลับจากห้องสรง พ่อขัดสีฉวีวรรณจนหนังกำพร้าลอกหมดแล้วมั้งนั่น! ที่อยู่ผิวพ่อก็ขาวผ่องอำไพหาใดเปรียบอยู่แล้ว เหลือขี้เกลือให้มันเกาะเอาไว้บ้างเถอะ! แม่งงง อั้นฉี่รอจนกูจะเป็นนิ่วอยู่แล้ว ฮึ่ย!

“อ้าว? ทำไมยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าอีกล่ะ?” พอออกมาเจอสภาพเต็มยศของผมมันก็ถามขึ้นหน้าตาเฉย...มึงเห็นกระเป๋าเสื้อผ้ากูไหมล่ะ? ไอ้ลูกกะตาเม็ดถั่วเขียว!

มันออกมาด้วยกางเกงนอนเสื้อยืดสบาย ๆ มีผ้าเช็ดผมสีขาวพาดคออยู่ สภาพหลังอาบน้ำของมัน บอกตรง ๆ ว่าเซ็กซี่ไม่น้อย จนขนาดผมเป็นผู้ชายด้วยกันยังอิจฉา มันเองก็ยืนจ้องผมอยู่ครู่ใหญ่เพราะคำถามที่มันยิงมายังไม่ได้รับคำตอบ ผมเงียบ มันก็เงียบ ผมเริ่มขมวดคิ้ว แต่มันกลับเมิน ก่อนจะเดินท่อม ๆ ไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้าของตัวเอง จากนั้นก็หยิบชุดอะไรสักอย่างโยนมาให้ตรงหน้า

“โทษที ฉันลืมไปว่าเธอมาแต่ตัว ชุดนั้นเธอคงพอใส่ได้มั้ง” มันว่า ผมก้มมองเสื้อผ้าในมือก็เห็นเป็นกางเกงวอร์มขายาวเนื้อผ้าอย่างดีมีหูรูด กับเสื้อยืดสีตุ่นที่น่าจะเข้ารูปมัน แต่ดันใหญ่ไปหน่อยสำหรับผมล่ะนะ

“...ขอบใจ” ผมขอบใจมันไปตามมารยาทก่อนจะหอบตัวย้วย ๆ พอง ๆ ของตัวเองอุ้ยอ้ายไปห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ปัญหาอย่างแรกของผมต่อจากนี้ไม่ใช่การจะอยู่ที่นี่ต่อไปยังไง แต่เป็นการถอดไอ้ชุดรัดประคดนี่ต่างหาก

มันแก้ยังไงวะ!?

เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก...ตรูซึ้งก็วันนี้ T^T

ห่านเอ๊ยยยย...ตรูจะปลดซิปหลังมันยังไงวะ!?

ไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานเท่าไรที่ผมงมอยู่ในห้องน้ำ มันนานเกือบชาติในความคิดของผม ตัวผอม ๆ ง่อย ๆ ของผมนั่งชันเข่า บิดซ้ายบิดขวา หามุมที่ใช่องศาที่ชอบแบบไม่หยุดไม่พักเพื่อพยายามรูดไอ้ซิปแน่นปั่กนี่ให้หลุดออกจากกันให้ได้

เกือบแล้ว...

อีกนิดเดียว...

ในที่สุด!

"อ๊างงงงงงง...ออกแล้ว…!!"

แกร๊ก!

"..."

(ทั้งสามอย่างนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน...)

หนึ่งเสียงร้องครางสะเด่าเมื่อสามารถเสร็จสมอารมณ์หมาย (เพราะในที่สุดก็รูดซิปชุดหลุดออกมาได้เสียที)

อีกหนึ่งไร้ซึ่งสรรพเสียง มีเพียงใบหน้าแสดงอาการตกใจเล็ก ๆ

ประตูสีขาวยังคงเปิดค้างไว้...

"เอ่อ...ขอโทษที เห็นว่านานแล้วไม่ออกไปสักทีฉันเลยนึกว่าเธอเป็นลม...อืม...เชิญตามสบายก็แล้วกันนะ"

มัน...พูดแค่นั้นแล้วปิดประตูออกไป

ทิ้งผมในสภาพหันหลังให้ประตู ชันเข่าคร่อมอ่างอาบน้ำด้านนอกไว้ กระโปรงย้วยร่นขึ้นจนเห็นเนินต้นขาขาว? มือหนึ่งรูดซิปที่หลังเผยผิวนวลเนียน? มือหนึ่งยึดขอบอ่างอาบน้ำไว้แน่น...เข้าเหลี่ยม เข้ามุม ให้อารมณ์ชวนฝัน...

ฉิบหายละ!

เฮ้ยไอ้ยักษ์กลับมาก๊อน! กูร้องเพราะกูดีใจที่รูดซิปชุดได้ ไม่ได้ร้องเพราะเข้ามุมฟินข้างขอบอ่าง!! ...เอิ้ว!! หมดกันความเป็นกุลสตรีของกรู๊ววววว!



++++++++++++++++++



หลังจากนั้นอีกเป็นชั่วโมงครับ กว่าผมจะออกจากห้องน้ำ ถึงจะรูดซิปได้ แต่กว่าจะเอามันออกจนพ้นตัวไส้ผมก็แทบจะปลิ้นออกมาพร้อมชุด ลำบากเข้าขั้นสาหัสกว่าจะล้างเครื่องสำอางที่โบ๊ะไว้จนหนาเป็นนิ้ว ผมที่ยีจนยับแล้วจับตั้งกะบังแข็งเป๊กเอาไว้ ชิมมงชิมเมอร์อะไรสักอย่างที่ทาตัวเอาไว้เสียจนตัวเลื่อม กว่าจะขัดจนเห็นหนังกำพร้าตัวเองได้นี่เล่นเอาหน้ามืดไปเจ็ดแปดตลบ

ชีวิตจริงมันยิ่งกว่านิยาย

ถ้ารู้ว่าเกิดเป็นหญิงมันลำบากขนาดนี้ กูไม่มาเกิดซะดีกว่า!!

(แต่เอ๊ะ? ผมเป็นผู้ชายนี่หว่า เหอะ ๆ สงสัยเริ่มอิน)

กว่าผมจะออกจากห้องน้ำมาได้ก็เหนื่อยแทบสลบ เพราะถึงจะกำจัดคราบเจ้าสาวออกจากตัวแล้ว แต่ผมก็ยังต้องแต่งองทรงนมตัวเองให้ยังคงเด้งดึ๋งดั๋งน่ามอง เรื่องนี้จะลืมไม่ได้เลยครับ ไม่งั้นเสี่ยงความแตกได้ง่าย

เดินเข้าห้องมาด้วยใจหวังจะหย่อนตัวลงนอนบนที่นอนอุ่นนุ่มนิ่ม แต่ต้องฝันสลายทันทีที่เห็นมันนอนยาวอยู่บนเตียงแล้วเรียบร้อย ตายล่ะ มัวแต่ยุ่งเรื่องเครื่องทรงจนผมลืมมันไปเลย เดี๋ยวนะ ไอ้งานแต่งลวงโลกนี่แค่การร่วมห้องกันก็แทบขาดใจแล้ว นี่อย่าบอกนะว่าต้องถึงขนาดร่วมเรียงเคียงหมอน! ไม่นะ!! ไอ้พึ่งยังมิเคยต้องมือชายเลย!!

"นี่…คุณเล่นนอนเต็มเตียงแบบนี้ แล้วอิฉันจะนอนไหน? " นี่ถามจริงนะ ไม่ได้เจตนากวน แต่รู้สึกสายตามันที่ละจากหนังสือมามองผมนั้น...เอิ่ม โคตรเย็นชา ดูท่าจะเหม็นเบื่อกันมาก ๆ

"เตียงออกจะกว้าง เธอจะนอนที่ไหนก็ตามสบายเถอะ" มันว่าแล้วก็ละสายตาไปอ่านหนังสืออะไรสักอย่างของมันต่อ เฮ้ยเดี๋ยว! นี่มันคิดจะให้ลูกผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างผมนอนร่วมเตียงกับมันจริงดิ!?

“คุ๊ณ! อิฉันเป็นผู้หญิงนะ จะให้นอนเตียงเดียวกับคุณได้ยังไง!? เดี๋ยวฉันก็ขายไม่ออกกันพอดีสิ!” อิพึ่งจีบปากจีบคอ สองมือยกขึ้นปิดนมปลอมตัวเองพร้อมจริตสะดีดสะดิ้ง

“ถ้าไม่นอนเตียง โซฟาตรงมุมห้องก็ว่างอยู่นะ พื้นห้องก็ยังมี เดี๋ยวฉันบอกพิสมัยให้บอกเด็กเอาฟูกกับผ้าห่มมาให้” มันถอนหายใจเอือม ๆ บอกผมให้เลือกที่นอนก่อนจะกดโทรศัพท์ตามหาหัวหน้าแม่บ้านแบบไม่แคร์เลยว่าผมทำหน้ายังไงอยู่ ไอ้เรื่องนอนโซฟานี่ยังพอทน แต่พื้น...พื้น!? มันจะให้ผู้หญิงนอนพื้น!?

ไอ้สุภาพบุรุษ!!

“คุณภาคีคะ อิฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ นะคะ นี่หัวใจคุณทำด้วยอะไร? ถึงได้ขับไสไล่ส่งอิฉันให้นอนพื้นนอนปูน! ผู้ดีเขาดูถูกคนจนกันอย่างนี้สินะคะ! ใช่สินะ อิฉันมันจน ถึงได้ยอมละทิ้งทุกศักดิ์ศรีความเป็นคนมาแต่งกับคุณเพียงเพื่อแลกกับเศษเงินของคุณไม่กี่บาท! ยอมกระทั่งการถูกกักขังเป็นทาสในเรือนเบี้ยอยู่ที่นี่ ทั้ง ๆ อย่างนั้น...คุณยังเหยียดหยามฉัน...ขนาดให้นอนพื้นราวกับไม่ใช่คน ฮึ่ก...คุณมันเลือดเย็น คุณมันเป็นคนไม่มีหัวใจ คุณมันคือซาตานในคราบของมนุษย์ อะ....ฮึ่ก ฮรึ่ก วาสนาอิฉันมันต่ำต้อย ถึงได้คอยแต่จะโดนรังแก…”

ยาวครับ จู่ ๆ วิญญาณนางเอกละครโศกก็เข้าสิงผมเฉย ผมอินขนาดลงไปนั่งพับเพียบกัดชายผ้าขนหนูของตัวเองอยู่บนพื้น บีบน้ำตาซิก ๆ เลยนะ เอาสิ ดาวพระศุกร์ที่ว่าแน่ เจอดาวพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกอย่างผมเข้าไปนี่ชิดซ้ายไปเลย เอาเข้าจริงผมก็งงตัวเองนะว่าทำไปทำไม โซฟาที่มันให้นอนก็ปรับเป็นเตียงนอนได้แบบกว้างขวางโล่งโจ้งไม่ต่างที่นอนน้อง ๆ คิงไซซ์แค่คลานขึ้นไปนอนเสียก็จบ ไม่รู้จะมัวมาหาเรื่องหาราวกับมันอยู่ทำไม

แต่ก็นั่นแหละครับ ผมรู้ว่ากำลังทำเรื่องไร้สาระ แต่พอเห็นสีหน้ากับสายตาเหยียด ๆ ของมันเลยอดไม่ไหว อยากให้กูอยู่ด้วยนักก็อย่าคิดหาความสงบสุขเลยมึง!

ผมแกล้งร้องอยู่อย่างนั้นกระทั่งคุณพิสมัยเอาชุดเครื่องนอนชุดใหม่ตามที่มันสั่งมาให้ เชื่อไหม แม้แต่คุณป้าหน้าตายด้านอย่างคุณพิสมัยเขายังทำหน้าฉงนกับสิ่งที่ผมทำเลย และทันทีที่ได้ยินเรื่องที่ผมร่ายเป็นบทละครโศกเท่านั้นแหละ...

“คุณหนูคะ? ทำไมถึงทำกันขนาดนี้ละค่ะ หนูพจมานเขาต้องจากอกคุณพ่อมาแสนจะโดดเดี่ยว ทำไมถึงต้องรังแกกันขนาดให้นอนพื้นนอนเสื่อแบบนี้ด้วย”

หึหึ ต้มหมู! ป้าเข้าข้างผมเรียบร้อย ขำหน้าอิหลักอิเหลื่อของไอ้ยักษ์มันสุด ๆ ผมนี่รีบก้มหน้าบีบน้ำตาจนไหล่สั่น เรื่องแบบนี้พอได้ทีต้องขยี้ให้ถึงเครื่อง! วะ ฮะ ฮ่า!

“ผมก็ให้เขานอนเตียงด้วยกันแล้วครับป้าพิสมัย แต่เขาไม่ยอม...” มันแถครับ แก้ตัวน้ำขุ่น ๆ !!

“ฮรื้ออออ...อะเฮือก...ฮื้ออออ” มันพูดไม่ทันจบผมก็รีบบีบน้ำตาหนักขึ้นไปอีกพร้อมแถมลูกสะอื้นจนคอสะเทือนให้ด้วยเพื่อเรียกคะแนนป้า อย่านะป้า อย่าไปยอมมัน

“ไหนคุณหนูเคยบอกว่าการแต่งงานนี้แค่แต่งในนามไงคะ? หรือคุณหนูเปลี่ยนใจแล้ว?”

“แต่งแค่ในนามสิครับ สามปีแยกทาง ไม่เปลี่ยน”

“งั้นคุณหนูจะให้เขานอนร่วมเตียงด้วยได้ยังไงคะ หนูพจมานเขาเป็นผู้หญิงยิงเรือจะไปนอนร่วมเตียงกับผู้ชายได้ยังไงกัน?”

“พอเถอะครับผมไม่เถียงแล้ว จะให้ผมทำยังไงก็ว่ามาเลยแล้วกัน”

เย้! ในที่สุดมันก็พ่ายแพ้แก่ความดี ฮะฮะฮ่า ข้าน้อยขอคารวะท่านป้าพิสมัยสามครั้ง

“ต้องแยกกันนอนค่ะ”

‘เยส!’

“ก็แยกอยู่นี่ไงครับ ผมนอนเตียง เขาจะไปนอนไหนก็ตามใจ” ไม่ครับป้า ผมไม่นอนโซฟา ไม่นอนพื้น ผมจะนอนเตียง ป้าอย่าไปยอมมันนะ!

“คุณหนูคะ ในฐานะสุภาพบุรุษแล้ว...คุณหนูต้องรู้จักเสียสละนะคะ” ท่านป้าเอ่ยเสียงเรียบแต่ทรงด้วยพลัง อา...รักป้าจัง

“โอเค ให้เขาไปนอนห้องรับรองแขกก็ได้ครับ นอนที่นั่นถาวรไปเลย!” มันว่า ออกอาการหัวเสียไม่น้อย แต่ก็เข้าทางผมพอดี เยส! แยกห้องนอน วู้ปี้! ไม่ต้องยัดนมนอนแล้วตรู ฮ่าฮ่า!

โอเคไอ้ยักษ์ ข้อเสนอนี้กูดีล เพราะงั้นกูจะยอมคืนความสงบให้มึง หึหึ

“ไม่ได้ค่ะ! ถึงจะแค่แต่งหลอก แต่ทั้งคู่ต้องอยู่ห้องเดียวกัน ไหน ๆ ก็ถึงขั้นนี้แล้วกรุณาทำตามกฎของพินัยกรรมให้ครบสมบูรณ์จะดีกว่านะคะ”

...แต่แล้วคำตอบของป้าก็ทำให้ผมกับไอ้ยักษ์ถึงกับสตั๊น...

เฮ่ยป้าครับ? ป้าดีมาตลอดแล้วนะ อย่ามาเสียคะแนนตรงนี้สิ ไม่เอา ผมไม่ร่วมห้องกับมัน ป้าถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลย!

“คุณหนูนอนโซฟาไปก่อนแล้วกันค่ะคืนนี้ เดี๋ยวตอนเช้าดิฉันจะให้เด็ก ๆ เอาเตียงเล็กมาเปลี่ยน” ป้าว่างั้นก่อนหันมาหาผม “ส่วนหนูพจมาน คืนนี้นอนเตียงใหญ่ไปก่อนนะคะ พรุ่งนี้ป้าเปลี่ยนเป็นเตียงเล็กให้”

ไม่ใช่แค่เพียงพูดปากเปล่า ป้าแกจัดแจงลากไอ้ยักษ์ลงไปตั้งไว้ที่โซฟาตัวหรูนุ่มฟู แล้วดึงผมขึ้นเตียงตัวใหญ่กลางห้องดังที่ป้าลั่นวาจาไว้

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

เห็นว่าพวกผมนั่งนิ่งตามที่ป้าต้องการแล้ว ป้าก็กล่าวลาแล้วจากไป ผมชำเลืองไปมองหน้าไอ้ยักษ์ที่ตอนนี้เป็นยักษ์ไปทั้งหน้าเพราะโคตรจะเคืองผม เห็นแบบนั้นผมก็รีบคลานขึ้นเตียงคลุมโปงนอนทันที ใครจะอยู่ให้มันด่าล่ะครับ แล้วขืนไม่รีบ เดี๋ยวมันแย่งที่นอนอีกผมแย่เลยนะ

อิอิ...ที่นอนนุ่มฟู

อา...พรุ่งนี้ชงน้ำผึ้งมะนาวดื่มหน่อยดีกว่า เสียงจะได้ใส ๆ



++++++++++++++++++++



คร่อก...ฟรี้...

คร่อกกกก...ฟรี้...

คร่อกกกก...

แอร์เย็นฉ่ำ ทำเอาร่างบอบบางเคลิ้มหลับอย่างลืมตน แถมยังกรนเสียงดังกระหึ่มด้วยเพราะเหน็ดเหนื่อยจัดมาทั้งวัน

หน้าอกหน้าใจที่ยัดเอาไว้ เริ่มถูกตะกุยออกจากอก เพียงเพราะเจ้าตัวรู้สึกอึดอัด อีกทั้งยังคันคะเยอจนทนไม่ไหว

ดึ๋ง...

ดึ๋งงง...ดึ๋ง

แปะ...

ก้อนซิลิโคนกลมเด้ง กระเด้งกระดอนตามแรงปัดป่าย กลิ้งหลุน ๆ ไปหยุดตรงเท้าขาวสะอาดของใครอีกคนที่ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟา

มือแกร่งเรียวขาวค่อย ๆ หยิบของสิ่งนั้นขึ้นมาพินิจพิเคราะห์ ด้วยความสงสัย

ดึ๋ง...

ดึ๋งงง...ดึ๋ง

แปะ...

ไม่ช้าไอ้ลูกกลม ๆ เด้งดึ๋งดั๋งอีกลูกก็กระดอนตามมา สังเกตต้นตอแล้วเห็นว่าน่าจะมาจากคนที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ชายหนุ่มจึงได้แต่สงสัยว่าเจ้าสาวหมาด ๆ ของเขาปาอะไรมา จะว่าแกล้งกันก็คงไม่ใช่ เพราะสาวเจ้าเล่นหลับทิ้งตัวกรนสนั่นขนาดนั้น

เมื่อทนความสงสัยไม่ไหว ชายหนุ่มก็วางหนังสือของตัวเองลง แล้วลองเดินไปดูคนที่หลับลึกเสียหน่อย อุตส่าห์สงสารเห็นว่าเหนื่อยมาทั้งวันแถมยังห่างบ้าน คืนนี้เลยจำยอมให้แย่งเตียงนอนแบบไม่ขัดขืน กะว่าดึกสงัดแล้วจะได้อ่านหนังสือสงบ ๆ ที่ไหนได้ คนหลับใหลกลับยังไม่สิ้นฤทธิ์...ว่าแต่ ไอ้ก้อนน้ำสีชมพูสองก้อนนี่มันอะไรกัน?

เมื่อถึงข้างเตียง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้เป็นเจ้าของห้องก็ได้แต่กอดอกมองร่างบอบบางที่นอนด้วยท่วงท่าสุดยอดอยู่บนเตียง...

‘ผู้หญิงอะไร นอนอ้าปากกรนเสียงดังฉิบ! ’

ภาคีได้แต่ถอนหายใจ

หญิงสาวตรงหน้าเขานอนหงายไม่เป็นท่า แขนหนึ่งยกขึ้นสูงพาดไว้กับหมอนใบใหญ่เหนือศีรษะ อีกมือล้วงเข้าไปเกาอะไรบางอย่างอยู่ในเสื้อที่เลิกสูงจนเกือบถึงฐานหน้าอก สองขาแหกออกกว้าง แบะออกเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยที่สองเท้าประกบกันไว้แบบพอดีเป๊ะ

‘นอนได้...อุบาทว์มาก’

ภาคีหางตากระตุกยิกจนได้แต่ส่ายหน้า แทบจะรีบอยากไปล้างตาจากสิ่งที่เห็น แต่ในขณะที่กำลังจะหยิบผ้านวมขึ้นปิดกายหญิงสาวเพื่อกันความอุจาด อะไรบางอย่างตรงกึ่งกลางหว่างขาของคนหลับลึกก็ทิ่มตาเข้าเสียก่อน

‘อะไรวะนั่น? ’

อะไรบางอย่างที่กำลังตุงเด่นอยู่ในกางเกงวอร์มเนื้อบาง

บางอย่างที่คุ้นตาอย่างประหลาด คล้ายว่ามันจะเหมือนกับบางสิ่งที่เขามี

หัวใจของภาคีเต้นรัวขึ้น คิ้วหนาขมวดมุ่น

‘ผู้หญิง...มันมีไอ้ตุง ๆ นั่นด้วยเหรอวะ? ’

แต่ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่ตรงนั้น...ตุง...โด่ขึ้นมาแบบนี้

แกร่ก แกร่ก...

จังหวะกำลังใช้ความคิด หญิงสาวก็ขยับตัวเกาหน้าอกตัวเองเข้าพอดี

เสื้อยืดตัวบางเลิกสูงขึ้นจนเห็นขอบเสื้อชั้นใน ภาคีคิดจะหลบสายตาตามมารยาทแต่บังเอิญชายหนุ่มกลับเห็นอะไรบางอย่างเสียก่อน…



‘ไม่มีหน้าอก!? ’




+++++++++++++++++++



อุคริ อุคริ เก๊ามาแร้วววววว....

ตอนหน้าน้องพจมานของเราจะเผชิญชะตากรรมยังไงต่อไปน๊า

พ่อพระเอกของเราล่ะ จะจับไต๋ได้ในครั้งนี้หรือเปล่า

ตอนหน้าเปิดตัวเพิร์ท น้องชายหัวแก้วหัวแหวนของพี่พอลนะคะ

ส่วนคู่คุณพ่อนั้น...ตอนหน้ามีรุกค่ะ อิอิ

ปล...พี่พอล คือชายกลางค๊า (พี่สาวคนโต แพท , น้องชายคนกลาง พอล , น้องชายคนเล็ก เพิร์ท)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2024 04:01:38 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

07 ระยะ...อันตราย

อรุณรุ่งยามเช้าช่างสดใสสวยงาม ร่างแบบบางบนที่นอนนิ่มค่อยๆ ขยับตัวเบาๆ แพขนตากะพริบไหวเมื่อรู้สึกได้ถึงแสงสว่าง...

อา...ไอ้พึ่งหลับสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"ตื่นแล้วเหรอ? " อื๋อ...เสียงไม่ค่อยคุ้น...

"ตื่นเช้าเหมือนกันนี่" ชัดเลย! ผมหันไปตามเสียงทันทีแล้วก็ได้พบกับสามีหมาด ๆ ของผมที่กำลังแต่งองค์ทรงหล่ออยู่ตรงตู้กระจกบานเขื่องหน้าเตียง...ว่าแต่กระจกบานโคตรใหญ่นั่น...มันอยู่ตรงนั้นตั้งกะเมื่อคืนจริงเหรอ? ไหงผมไม่เห็นมันเลยอ่ะ!?

สงสัยได้เพียงครู่ พอไอ้คุณสามีผมกดรีโมตในมือปึ๊บ ตู้กระจกก็เลื่อนปรื้ดเก็บกลับเข้าผนัง...เนียนกริบ

คุณพระ!! บ้านนี้มันจะไฮเทคไปไหนเนี่ย!!?

"ตื่นแล้วก็อาบน้ำลงไปกินข้าวไป ป่านนี้คงตั้งโต๊ะแล้ว" มันว่า ขณะผมยังนั่งมึนๆ เอ๋อ ๆ อยู่ แล้วมันก็คว้ากุญแจรถกับกระเป๋าสตางค์เดินออกไปแบบไม่ร่ำไม่ลา แต่จังหวะที่มันจะพ้นประตูห้อง ยังอุตส่าห์โผล่หน้ากลับมามองผมอีกรอบพร้อมออกคำสั่ง

"เดี๋ยวสิบโมงฉันกลับมารับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านเธอกัน เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ" มันว่างั้นแล้วก็จากไป เออ...ดีเว้ย สั้นง่ายได้ใจความ สื่อสารคล่อง!

ผมไม่ได้สนใจนัก ว่ามันสั่งเสียว่าอะไรไว้บ้าง จำได้แต่คำว่าข้าวเช้ามันสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาท...

ข้าวเช้า...อา ข้าวเช้าของบ้านผู้ดีนี่มันต้องเลิศพระเจ้าข้าแน่ ๆ แค่คิดน้ำลายไอ้พึ่งก็ล้นเอ่อ...อิอิ รีบอาบน้ำดีฝ่า...

เอ๊ะ?

น...นั่นอะไรวะ? ลูกกลม ๆ สีชมพู...สองลูกตรงข้าง ๆ หมอน...

คุ้นตา...มันคุ้นตาจนน่ากลัว...

เชี่ยยยยย! นมกรู้ววววว!?

ตกใจลืมแต๊บไปเลยครับผมงานนี้ กว่าจะตั้งสติได้ก็ทึ้งผมตัวเองหลุดไปเป็นกระจุก

ไอ้สามีชั่วข้ามคืน มันรู้ไหมวะ มันเห็นไหมวะ...มันเห็นว่ากรูซุกนมไหมวะ!!?

คิดสะระตะออกอ่าวออกทะเลได้พักใหญ่ ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนมันออกไปเมื่อเช้ามันไม่ได้มีทีท่าอะไร สั่งให้ลงไปกินข้าว กับบอกจะมารับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านตอนสิบโมง...ถ้ามันรู้แล้ว มันคงตะปบคอผมตาย หรือไม่ก็คงแจ้งตำรวจจับผมไปแล้วล่ะ ไม่ปล่อยให้นอนเสวยสุขแถมตามลงไปกินข้าวเช้าหรอกจริงไหม?

...มันยังไม่เห็น ฟันธง!!

คิดเข้าข้างตัวเองได้ก็สบายใจขึ้นเยอะครับ เฮ้อ...คืนนี้สงสัยต้องใส่แบบรัดกุมกว่านี้หน่อย หลุดออกมาตอนไหนกันนะไอ้เรารึก็ออกจะนอนเรียบร้อย....



+

+

+



อาบน้ำเสร็จสรรพ ผมก็เฉิดฉายลงมาชิวที่ด้านล่าง ชุดวันนี้ของผมสวยเริดอย่าให้เซด ปิดหน้าเว้าหลังเซ็กซี่สุดๆ แล้วคุณรู้ไหม ว่าผมได้ชุดนี้มาได้ยังไง หึหึ...ใครจะเชื่อครับว่าสามีตัวยักษ์ของผมมันจะเป็นคนจัดเอาไว้ให้ ตอนที่ผมกำลังจะเข้าไปอาบน้ำเมื่อเช้า จู่ ๆ คุณป้าพิสมัยก็มาเคาะห้อง บอกว่าคุณหนูพอลของเธอให้เอาเสื้อผ้ามาให้ผมใส่เพราะผมไม่มีชุดใหม่ติดตัวมา ดูสิครับ มันเอาใจใส่ผมขนาดนี้เลยนะ นี่ถ้าผมเป็นผู้หญิงมีมดลูก ผมคงท้องไปแล้วล่ะ ฮ่าฮ่า แต่พอดีผมดันเป็นผู้ชายมีต่อมลูกหมากแทนมดลูกนี่สิ เลยได้แค่รู้สึกซาบซึ้งใจแค่นั้น

มาเช็กสภาพพร้อมเจอผู้เจอคนของผมวันนี้กัน

ทรงผม : รวบครึ่งหัวด้วยยางมัดผมชั้นดีที่คุณพิสมัยเอามาให้ ปล่อยผมอีกครึ่งหัวยาวสลวยสวยเก๋เป๋ไปเป๋มาอยู่กลางหลัง

หน้า : ช่วงนี้เทรนด์หน้าสดมาแรงครับ ผมก็หน้าสดสนิทตามเทรนด์ ไม่มีแม้แต่แป้งรองพื้น แต่ไม่มีปัญหาครับ หน้าผมยังคงใสย่อง นวลผ่อง น่ามอง แหมก็คนมันเกิดมาตัวขาว หน้าหวาน ตาโต ปากแดง เหมือนพ่ออ่ะ สวยในกมลสันดานแบบไม่ต้องแต่งแต้ม รู้สึกรักสิ่งที่พ่อให้มาก็วันนี้แหละ ฮ่าฮ่า

หนวด : ดีว่าบ้านผมไม่บ้าขน ขนทั่วร่างเลยไม่ได้เยอะเป็นยวงๆ เหมือนผู้ชายหลายๆ ประเภท แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยหรอกครับ พอจะหร็อมแหร็มบ้าง อย่างหนวดนี่ถ้าไม่โกนสักสองสามวัน ตอมันก็เริมผุดบ้างตามอัธยาศัย เมื่อเช้าเห็นมันโผล่พ้นผิวขึ้นมาหน่อยเลยจัดซะ (ปล. ยืมที่โกนหนวดไฟฟ้าของไอ้สามีร่างยักษ์ของผมนั่นแหละ จั๊กเดียมโคตร ๆ แต่ฟินสุด ๆ วันหลังจะขอยืมใช้ใหม่นะโยกเยก)

เสื้อผ้า : สามีผมเลือกมาดีครับ เสื้อยืดสีฟ้าอ่อนด้านหน้าปิดถึงคอ ด้านหลังเว้าลึกเล็กน้อย ให้พอมีลมโกรกผ่าน กระโปรงเอวยางยืดสีขาวพอง ๆ ฟู ๆ ดูน่ารักน่าชังเหมาะกับหนังหน้าผมแบบสุด ๆ (เอ๊ะ? ...นี่ผมเริ่มชอบชุดผู้หญิงขึ้นมาแล้วเหรอเนี่ย?)

หน้าอก : นมพร้อม ใจพร้อม เราทำได้!

เช็กแล้วผ่าน ก็ถึงเวลาผมเดินพล่านโชว์ตัว ไหนอ่ะห้องครัว แปดโมงแล้วอ่ะ พึ่งหิวข้าวแล้วคร๊าบบบบ...

ปึ่ก!!

Oops!! ไรวะ เลี้ยวหลบกำแพง แม่งยังจะมาเจอกำแพงอีกชั้นเหรอเนี่ย บ้านคนรวยนี่ซับซ้อนจังครับ โอย...เล่นเอามึน

“เธอเป็นใคร? ”

โอ๊ะ! กำแพงพูดได้ด้วย ผมเงยหน้ามองทันทีครับนึกว่าเจอสิ่งอัศจรรย์ ที่ไหนได้กลายเป็นผู้ชายตัวโย่งอีกคนที่ผมไม่ค่อยคุ้นหน้า แต่เอ...เหมือนเคยเห็นที่ไหน

หนุ่มหน้าละอ่อนรูปร่างสูงโปร่ง (สูงจริง ๆ นะ อย่างน้อยก็มากกว่าผมเป็นสิบเซนติเมตรอ่ะ) ความสูงของไอ้หมอนี่น่าจะไม่ต่างกับไอ้ยักษ์สามีผมมากนัก แต่ตัวบางกว่าหน่อย ผิวก็คล้ำกว่า ผมรองทรงสีน้ำตาลแดงฟู ๆ หน้ามัน...แน่นอนว่าหล่อ (ชิ...เกลียดกรรมพันธุ์บ้านนี้จริง!) ปากงี้แดงเชียว วู้ย! หล่อไปไหนวะ หล่อไม่แพ้ไอ้ยักษ์เลยนะเนี่ย

“ฉันถามว่าเธอเป็นใคร!? นี่เป็นใบ้หูหนวกเหรอ? ” อู้วววส์ ปากดีเป็นศรีแก่ตัวมากเลยครับ คำชมที่ผมมอบให้คุณเมื่อครู่ ผมขอถุยทิ้งตรงนี้เลยครับ! ถุ้ย! คุณมึงเริ่มก่อนนะครับ อย่าหาว่าไอ้พึ่งใจร้ายนะคร๊าบ!

“เอ๊ะ? คุณเป็นคนบ้านนี้หรือเปล่าคะเนี่ย?” ผมไม่ตอบมันครับ แต่เป็นการถามมันตอบกลับไป แถมตีหน้าแบ๊วแอ๊บใสสุดฤทธิ์

“ฉันก็ต้องเป็นคนบ้านนี้สิ! ถามอะไรของเธอ!?” ไอ้ยักษ์หน้าอ่อนตะคอกกลับมา หน้ามันเริ่มออกอาการแดงเดือด อุ๊! ขึ้นไวซะด้วยวุ้ย

“อ้อ...คนบ้านนี้เหรอคะ ตายจริง...ดิฉันเห็นกิริยาค่อนข้างหยาบคาย เอ่อ ต่ำ...จนนึกว่าเป็นพวกช่างประปา หรือคนนอกเสียอีกค่ะ ว่าแต่คุณเป็นใครคะเนี่ย?” ผมดัดจริตจีบปากจีบคอใส่มัน ชนิดที่มันคงอยากเอามือใบลานของมันตะปบคอผมใจจะขาด ก็เอาสิ...เอากับไอ้พึ่งสิ ว่ากูใบ้ กูจัดชุดใหญ่เลยเป็นไงล่ะ เอ็งเป็นใครข้าไม่รู้หรอกเว้ยไอ้ยักษ์เด็ก แต่เอ็งมาทำเจ๋งกับข้านี่ ไม่จบสวยแน่ครับ รับประกัน!

“...อ่อ...จำได้แล้ว นึกว่าใคร” จู่ ๆ มันก็เปรยหน้านิ่ง ผมอึ้งสิครับ อุตส่าห์ก่นด่าจิกด่าออกไปกะให้มันดิ้นเร่า ๆ ที่ไหนได้มันนิ่งใส่ผมเฉย แถมยังแสยะยิ้มยียวนด้วย!

“เฮ้ย!? ” ไม่ทันตั้งตัว จู่ ๆ มันก็ใช้มือมารของมันดันตัวผมพรวดเดียวติดกำแพงบ้าน โดยไม่แยแสครับว่าผมจะเจ็บหรือไม่ บ้านนี้มันมีแต่สุภาพบุรุษจริง ๆ ! กับผู้หญิงมันก็ไม่มีปรานี! (เอ่อ ขอยกเว้นลุงท่านเจ้าบ้านไว้คนหนึ่งก็ได้)

“เมียแต่งของพี่นี่เอง...” มันว่าขณะยันแขนข้างหนึ่งค้ำเหนือหัวของผมไว้ ยื่นหน้าเข้าใกล้จนปลายจมูกแทบจะชนกัน ลมหายใจมันหอมผมพิสูจน์แล้วและลมหายใจผมก็หอม การันตีได้ แต่...มันใช่เรื่องที่มันกับผมต้องหน้าใกล้กันในระยะแลกลมหายใจแบบนี้ไหมเนี่ย!?

“อ้าว...อย่าเพิ่งหนีสิพี่สะใภ้คนสวย! คุยกันก่อนดิ” ไอ้นี่นอกจากจะกวนเบื้องล่างแล้วมันยังไวเป็นวอกอีกต่างหาก พอผมจะเบี่ยงตัวหลบเท่านั้น มืออีกข้างของมันก็ยันโครมเข้ามาขวางทางหนีชนิดที่ว่าเฉี่ยวปลายจมูกผมไปเพียงนิดเดียว

โดนกั้นคอกสมบูรณ์แบบครับงานนี้ ก็ได้แต่กัดฟันทนเพราะผมทำอะไรมากไม่ได้ อยากกลายร่างกลับเป็นชายแล้วแลกกับมันสักหมัดสองหมัดจริงเว้ย!! อะไรกันวะผู้ชายบ้านนี้ ขยันกั้นคอกกูจริง!

“รู้ว่าดิฉันเป็นใครแล้วก็กรุณาถอยออกไปหน่อยค่ะ มันอึดอัด!” แม้ว่าผมจะอยากกระชากคอมันลงมาแล้วขู่ใส่หน้ามันมากแค่ไหน ชีวิตจริงผมก็ทำได้แค่บีบเสียงแหลมอ้อนวอนมันด้วยสีหน้าเหม็นเบื่อก็เท่านั้น อยากจะแสดงความกักขฬะแต่ดันทำได้แค่ท่องพุทโธ ธรรมโม สังโฆในใจ พลางสะกดจิตตัวเองไปด้วยว่าตอนนี้เราเป็น... กุลสตรีไทย กุลสตรีไทย...

“อย่าหมางเมินนักสิครับ...เรายังไม่เคยคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเลยนะ เจอกันแค่วันแต่งของพี่แป๊บ ๆ เอง พี่ชื่ออะไรผมยังไม่รู้เลย...ผมชื่อเพิร์ทนะ เป็นน้องคนเล็กของบ้าน..แล้วพี่สะใภ้ล่ะ ชื่ออะไร? หึหึ” เหอะ! มันแสร้งพูดจาดีมีสัมมาคารวะ ทั้งที่ท่าทางของมันตรงกันข้ามกับคำพูดมันอย่างกับหน้ามือส้นเท้า แถมไอ้ท้ายประโยคมันนี่ยังอุตส่าห์ก้มมากระซิบที่หูผมอีก! ขนกูลุกไปทั้งหัวเลยไอ้เด็กเปรต! ตรูพี่สะใภ้เอ็งนะ นี่เอ็งทักทายเมียพี่เอ็งโดยการไซ้ซอกคอเขาเหรอไอ้ลูกหมา!

“พึ่งค่ะ! ดิฉันชื่อพึ่ง เรียกพี่พึ่งก็ได้ค่ะ!” ผมรีบตอบพร้อมยันมือผลักมันออกจากตัวแบบไม่ต้องคิด เพราะรู้สึกได้ว่าไอ้เด็กเวรนี่กำลังเข้าใกล้ผมจนเรียกได้ว่าอยู่ในระยะอันตราย แล้วเสียงที่มันใช้ก็ระคายรูหูผมจนขนคอลุกซู่ งานนี้ไอ้พึ่งจะไม่ทน!!

หมับ!! อร๊าก! ไอ้เด็กเหี้ย!

เหมือนไอ้เด็กเวรตรงหน้าจะเป็นพวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา มันถึงได้กล้าคว้าข้อมือผมตรึงเข้ากำแพงทั้งสองข้าง เล่นเอาผมทั้งตกใจทั้งโมโห มันเหมือนกับที่เคยเห็นในหนังเลยครับเวลานางเอกโดนพระเอกเข้าฉากเลิฟซีนอ่ะ ไอ้ที่มีปากเสียงกันนิดหน่อยก็ถูกกดเข้าผนังห้องให้คุณแม่บ้านได้จิกหมอนลุ้นกันตัวโก่ง...ต่างกันหน่อย ตรงที่ผมไม่ใช่นางเอก และไอ้เด็กเวรห่านนี่ก็ไม่ใช่พระเอก เพราะฉะนั้นเหตุการณ์นี้จิกหมอนไม่ได้นะครับ!!!

ห้ามลุ้นให้ได้กัน ลุ้นให้ผมรอดจากมันดีกว่า!!

“พี่พึ่ง...อายุเท่าไหร่แล้วเหรอ 20? หรือว่า 21เท่าพี่พอล? ”

เชี่ยไรวะเนี่ย? ชวนคุยชิว ๆ ประหนึ่งนั่งจิบชายามบ่ายกันอยู่ทั้งที่เอ็งกำลังตรึงข้าอยู่กับกำแพงเนี่ยนะไอ้เช็ดเป็ด!? นี่เอ็งกำลังทดสอบความอดทนข้าอยู่ใช่ไหม!!?

ใช่ว่าผมจะหลุดจากมันไม่ได้หรอกนะ แต่การออกแรงดิ้นมากไปก็กลัวเดี๋ยวความจะแตก ผมเลยต้องทนโดนมันรังแกแล้วท่องมะโมตัสสะในใจอีกรอบ ฮึ่ย! สัพเพ สัตตา!!

“20 ค่ะ!” กูตอบแล้วนะ! ปล่อยกูเสียที!!

“อ่อ งั้นก็ยังเรียนอยู่สินะ เรียนที่ไหนอ่ะ?” แน่ะ!? ยังจะถามกูอีก!? ปล่อยกูก๊อนนน!!

“ดรอปเรียนอยู่ค่ะ!” ผมตอบอย่างเสียไม่ได้ พร้อมออกแรงดิ้นมากขึ้น ขอบอกเลยนะครับว่าผมเองก็ไม่ใช่คนผอมที่อ่อนแอ ออกจะแรงเยอะด้วยซ้ำ แต่ให้ตายเถอะ ผมหลุดจากมันไม่ได้!! ผมอยู่ในท่าที่ค่อนข้างเสียเปรียบในเชิงรบ แถมไอ้เด็กบ้านี่ยังแรงเยอะอย่างกับวัวกับควาย!! ว๊อยย! ไม่กลัวความแตกนะผมเตะอัดจุดตายมันไปแล้ว!

“ดรอปเรียน? อย่างนี้นี่เอง ดรอปเรียนออกมาหาผัวสินะครับพี่พึ่ง”

ห่ะ!? มัน...มันว่าไงนะ?

“เห็นว่าเทวินทร์วงศ์รวยเข้าหน่อย ก็ตัวสั่นริกๆ ถึงขั้นทิ้งการเรียน แล่นมาแต่งงานด้วยถึงที่ ผัวรวยเสียอย่างก็สบายไปทั้งชาติ คิดอย่างนั้นสินะครับ พินัยกรรมอายุสามปีคงใช้กับผู้หญิงอย่างพี่ไม่ได้หรอก เพราะคงทำทุกวิถีทางให้ตัวเองได้อยู่ยาวอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ! ว่าที่คุณนายใหญ่บ้านเทวินทร์วงศ์นั่งกินนอนกินไปทั้งชาติ...เหอะ! ”

“...” 

“อย่ามาทำเล่นตัวไปหน่อยเลย อย่างเธอมันก็แค่ผู้หญิงชั้นต่ำเท่านั้นแหละ หมื่นพิทักษ์เหรอ? ตลกว่ะ! ครบสามปีตามสัญญาเมื่อไหร่ เดี๋ยวพี่ฉันก็เฉดหัวเธอทิ้ง!”

“...” 

พรึ่บ!

หมับ!

“อ๊าก! โอ๊ยยย!”

ไม่ต้องตกใจครับ เป็นเสียงมันที่ร้องไม่เป็นภาษา ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันไปอยู่บนพื้นโดยมีผมจับแขนมันหักอยู่และมีเท้าผมอยู่บนหลังมันได้ยังไง เหมือนผมจะลืมตัวไปชั่วขณะ ลืมไปว่าผมกำลังเล่นบทเป็นใคร ลืมไปว่าตัวเองอยู่ในฐานะอะไร เหมือนสมองผมตื้อไปพักใหญ่ ๆ พอรู้สึกตัวขึ้นไอ้เวรตะไลนี่มันก็มาอยู่ใต้ตีนผมเสียแล้ว

แล้วถึงผมจะรู้ตัว ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมก้มลงไปกระซิบข้างหูมันเบา ๆ ช้า ๆ ชัด ๆ!

“เออ...ไม่เถียงว่ะ ว่าทำเพื่อเงิน! แต่น้องช่วยไสหัวไปถามพี่ชายตัวเองก่อนดีไหมว่าใครกันแน่ที่ระริกระรี้อยากแต่งงานเสียให้ได้ ใช่พี่สะใภ้คนนี้ หรือพี่ชายคนดีของน้องกันแน่ที่อยากได้มรดกจนเนื้อตัวสั่น!”

“หน็อย!” มันคำราม แต่ผมไม่ปล่อยให้มันได้พ่นอะไรออกมาอีก

“แล้วก็ช่วยจำไว้ด้วยนะคะ ว่าอย่ามาดูถูกตระกูลของพี่อีก ไม่อย่างนั้นคราวหน้า พี่จะหักแขนคุณน้องทีละข้อเลยค่ะ พี่สัญญา!”

ผมพูดแค่นั้นก่อนจะปล่อยตัวไอ้เด็กเวรให้หลุดรอดอุ้งมือมารของผม ดีนะว่ายังรักษาสติในช่วงท้ายเอาไว้ได้ เกือบไปแล้วเกือบโมโหหน้ามืดจนลืมดัดเสียง และตอนนี้หัวใจผมก็ยังเต้นแรงอยู่ด้วยความหงุดหงิด แรงดันเลือดที่ฉีกพล่านทำให้ผมจำได้แล้วว่าไอ้น้องชายคนเล็กของบ้านนี้ผมเคยเจอกับมันที่ไหน

มันคือคุณลูกค้ากิตติมศักดิ์ที่ระเห็จหัวผมออกจากบาร์ที่ทำงาน แน่นอนว่าพี่มันคงไม่ใช่ใครอื่น ‘ไอ้ยักษ์สามีชั่วข้ามคืน’ ของผมนั่นเอง!

“แสบนักนะเธอ!” หายเจ็บลุกขึ้นได้มันก็คว้าคอผมไว้ทันที แต่พอเจอสายตาอาฆาตของผมเข้ามันก็ค่อย ๆ หดมือกลับไป

รู้ตัวแล้วสินะ...ว่ากูของจริง!

“ทำอะไรกันอยู่น่ะ ตาเพิร์ท! อ้าว...น้องพึ่ง? ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ ตื่นเช้าจังนะเรา”

เสียงหวานทักมาแต่ไกล ขณะที่ผมกับไอ้เด็กเปรตนี่กำลังจะตีกันตายไปข้าง ก็จะใครล่ะ ก็พี่แพทคนสวยสุดเซ็กซี่ของผมนั่นแหละ

พอเจ๊มาอารมณ์ผมก็เปลี่ยนเลยครับ ชุดเดรสเข้ารูปสั้นเสมออะไรต่อมิอะไร โชว์ต้นขาขาวผ่อง คอเสื้อยังคว้านลึกโชว์เนินเนื้อกลมเด้งเป็นปกติ เล่นเอาหัวใจที่เต้นระห่ำด้วยความโมโห กลายเป็นเต้นระส่ำเพราะความเจริญหูเจริญตาที่ตรงเข้ามาหากระแทกหน้าแบบจัง ๆ แทน

ลืมสิ้นครับ...ไม่ใช่แค่ลืมเรื่องที่โมโหไอ้เด็กเวรข้าง ๆ นี่ด้วยนะ ลืมกระทั่งเรื่องที่ตัวเองกำลังปลอมตัวอยู่เลยแหละ หน้าผมตอนนี้เคลิ้มมากบอกเลย นี่ถ้าไม่ติดว่าเจ๊แกมีสามีฝรั่งตาน้ำข้าวกับลูกแฝดสองแล้วล่ะก็ คอนเฟิร์มครับ ผมจีบเจ๊แกจริงๆ ว่าแต่เจ๊มาได้จังหวะพอดีเลยครับ ช่วยจัดการไอ้เด็กเวรนี่ทีเถอะ มันลามปามน้องสะใภ้เจ๊ใหญ่เลยเนี่ย (ฟ้อง)

“ว่าแต่แกเถอะตาเพิร์ท แกทำอะไรพี่เขาน่ะ!? ฉันเห็นนะ!"

สุดยอดครับเจ่เจ้ เล่นมันเลยครับ ด่ามันหนัก ๆ เอามันให้ร้องแง ๆ เลยครับ...อิอิ ส่วนผมก็วิ่งแถกเข้าไปหลังเจ๊คนสวยทันที ทำทีไร้เดียงสาน่าปกป้อง เอาซี้ มึงกล้าทำอะไรกู มึงก็หน้าตัวเมียล่ะวะ หึหึ

"ก็ยัยนี่มัน...!"

"ตาเพิร์ท! นี่พี่สะใภ้แกนะ ให้เกียรติเขาด้วย!"

ใช่ ๆ ให้เกียรติตรูด้วย ไอ้เด็กเห่อ....มอย...!!

"...เข้าข้างกันเข้าไปเหอะ! ยัยนี่มันโคตรร้าย พี่ระวังมันไว้แล้วกัน!" พูดแค่นั้นมันก็สะบัดตูดจากไป ไม่สนใจที่พี่คนสวยมันเรียกสักคำ

"เพิร์ท! นั่นแกจะไปไหนแต่เช้า!? " มันไม่สนแต่เจ๊ไม่แคร์เดินไปกระชากตัวถามกันซึ่งหน้า อูย...เจ๊ใหญ่ ใหญ่จริง

"ไปสโมฯ โค้ชนัดไปคุยเรื่องเข้าค่ายภาคฤดูร้อน! ไม่ได้เที่ยวเล่นหรอกน่า!! "

มันหันมาบอกพี่แพทเสียงเล็กเสียงน้อย ผมรู้นะว่ามันอายผมที่มันโดนพี่สาวจวกต่อหน้า แต่ก็ไม่มีสิทธิ์อิดออด ฮ่าๆ ความรู้สึกมันผมโคตรเข้าใจ สมัยแม่ผมยังอยู่ก็แบบนี้แหละ ไม่มีใครขัดใจนางได้

สถานการณ์วุ่นวายจบลงที่ตรงนั้น แล้วผมก็ได้ไปกินเบรคฟัสท์ยามเช้ากับเจ่เจ้แพทสองต่อสองสมใจครับ ข่าวว่าท่านลุงเจ้าบ้านออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ไอ้ยักษ์สามีผมก็หายหัวไปแต่เช้าเช่นกัน น้องเล็กอย่างไอ้เด็กเวรนั่นก็เพิ่งจะไสหัวไปเมื่อกี้ ด้านเจ้าคุณย่าท่านทานที่เรือนเล็กของท่านอยู่แล้ว ไม่ค่อยได้มาร่วมโต๊ะกับเรือนใหญ่

ดังนั้น...สวรรค์ของผมจะไปไหนเสีย วะฮะฮ่า

“อร่อยไหมจ๊ะน้องพึ่ง อาหารถูกปากหรือเปล่า?” พี่แพทเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความห่วงใยเพราะเห็นผมเอาแต่เขี่ย แล้วทำตาเยิ้มใส่เจ๊แกอยู่นั่น

“ถูกค่ะ....อร่อยมาก...” เสียงผมค่อนข้างยานคางเพราะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่ ทำไงได้เนินอกอิ่มตู้มเต็มตาของเจ๊เขากำลังจะตำตาผมบอด ไม่รู้หน้าอกหน้าใจเจ๊จะใหญ่ไปไหนครับ เวลานั่งมันเลยตั้งอยู่บนโต๊ะพอดี อา....กำเดาจ๋า อย่าเพิ่งไหลนะลูก....เฮือก...

“เอ่อ...พึ่ง คือที่จริงพี่มีเรื่องอยากจะขอร้องพึงหน่อยน่ะจ้ะ”

พอเจ๊แกเปรยขึ้น จากที่กำลังเคลิ้มๆ ผมนี่รีบเรียกสติตัวเองเป็นการใหญ่ เพื่อรับฟังคำขอร้องจากพี่แพทคนสวยขวัญใจผม ใบหน้าที่ยิ้มแย้มน่ามองตลอดเวลาของเธอตอนนี้ดูเศร้าหมองไปนิดหน่อย แสดงว่าเรื่องที่เธอจะขอร้องผมมันต้องหนักมากแน่ๆ ดูจากสีหน้าพี่แพทแล้ว...แหมอยากเข้าไปกอดปลอบใจจัง

“ได้ค่ะพี่แพท ไม่ว่าเรื่องอะไรพึ่งก็จะช่วยเต็มที่เลยค่ะ” แล้วใบหน้าแบบนั้นของสาวงามจะทำให้หัวใจสิงห์ของลูกผู้ชายอกสามศอกอย่างผมอดรนทนดูดายได้ยังไงกันล่ะครับ งานนี้ผมกระแดะเสียงแต๋วยืดอกรับคำเต็มที่!

“พี่ดีใจจังค่ะน้องพึ่ง...ว่าแล้วว่าน้องพึ่งเป็นคนดี น่ารัก” อรั๊ยยยย ไม่ขนาดนั้นหรอกคร๊าบบบ (เขินม้วน)

“ความจริงแล้ว พี่มีเรื่องไม่สบายใจมากอยู่เรื่องหนึ่ง...ก็เรื่องตาพอลนั่นแหละ” เปิดประเด็นมาก็เรื่องใกล้ตัวเลยครับ ว่าไงครับเจ๊ คนของผมไปทำอะไรให้เจ๊ขัดเคืองใจครับ บอกมาได้เลยเดี๋ยวน้องพึ่งของเจ๊คนนี้จัดการให้เอง

“ถึงการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นการแต่งเพียงในนามอย่างที่พึ่งกับตาพอลคิดกัน แต่ที่จริงแล้ว พี่อยากให้มันเป็นเรื่องจริงมากเลยนะ ถ้าพึ่งจะช่วยพี่ได้...” เสียงพี่เว้าวอนมากครับ ฟังแล้วใจสั่น แต่...เรื่องที่พี่กำลังจะขอร้องนี่...ผมว่ามันชักจะเหม่ง ๆ นะครับ

“จะเป็นไปได้ไหมที่พึ่งกับพอล จะเป็นคนรักกันจริงๆ เป็นสามีภรรยากันจริง ๆ น่ะจ้ะ” นั่นไง! ตูว่าแล้ว! ช้อนในมือผมแทบร่วงเลยนะ เจอคำขอแบบนี้เข้าเนี่ย

“เอ้อ...มันคงยากไปนะคะพี่แพท คือพึ่งว่าคุณพอลเขาไม่มีวันชอบพึ่งหรอกค่ะ” แล้วไอ้พึ่งเองก็ยังไม่อยากเข้าป่าเดียวกันตอนนี้ด้วยครับเจ๊!

“พี่เข้าใจจ๊ะว่าพึ่งคงลำบากใจ แต่พี่อยากให้พึ่งช่วยจริงๆ นะ พี่ขอพูดตรงๆ เลยแล้วกัน คือตอนนี้ตาพอลไปติดผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง ผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า...ตรงส่วนนั้นพี่ยังพอจะทนมองข้ามได้ แต่ผู้หญิงคนนั้นดันเป็นแม่หม้ายลูกติด ต่อให้สวยให้ดียังไงพี่ก็รับไม่ได้ค่ะน้องพึ่ง ผู้หญิงคนนั้นอายุมากกว่าพี่เสียอีก แต่ตาพอลเพิ่งจะยี่สิบเอ็ดเองนะ แบบนี้มันหลอกเด็กชัดๆ เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าฝ่ายนั้นเจตนาไม่ดี ทำแสร้งเป็นเจียมตัว แต่ก็หลอกเอาที่ดินเอาสมบัติของตาพอลจนได้ แถมที่ดินที่ผู้หญิงคนนั้นอยากได้ยังเป็นทรัพย์สมบัติของเจ้าคุณเทียดที่เหลือทิ้งเอาไว้! ตาพอลเร่งจะแต่งงานตามพินัยกรรมก็เพื่อที่ดินฝืนนั้น เพื่อเอาไปให้มัน! พี่ยอมไม่ได้ค่ะน้องพึ่ง!”

ใส่ยับครับ มาเต็มแบบ nonstop! เล่นเอาผมพูดไม่ออก เจ๊ไปเก็บกดจากไหนมา! ช้อนจานกระจุย ตัวเจ๊เองก็ลุกขึ้นยืนทุบโต๊ะไปเล่าไป จนผมเกือบลืมภาพเจ๊แพท นางฟ้าคนงามตามปกติของผมไปเลย

“!!?”

“ขอร้องละคะ ตอนนี้มีแค่น้องพึ่งเท่านั้นที่พี่จะหวังพึ่งพาได้...”

หัวใจไอ้พึ่งกระดอนหายไปแล้วครับ และอย่าถามถึงหน้าตาว่ามันเหวอไปถึงไหน ตอนที่พี่แพทคนงามทะลึ่งตัวข้ามโต๊ะพรวดเดียวถึงตัวผม แล้วคว้ามือผมไปจับไว้แน่น พร้อมทั้งเค้นให้ผมยอมจำนนด้วยสายตา...น่ากลัวอ๊า!!

“ได้โปรด! ทำยังไงก็ได้ค่ะ ให้ตาพอลเลิกรักยัยผู้หญิงคนนั้น น้องพึ่งต้องช่วยพี่นะคะ!”

“...ค่ะ”

นั่นคือคำตอบเดียวที่ผมสามารถพูดได้ในตอนนี้...ขณะที่ตัวผมยังอยู่ในอุ้งมือเจ้าแม่...ในระยะอันตราย

+
+
+
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2024 04:03:08 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
“เอ้านี่! ข้อมูลทั้งหมดที่มึงอยากได้”

ชายร่างสูงโปร่งหล่อเหลาทักขึ้น พร้อมทั้งโยนซองสีน้ำตาลลงตรงหน้าเพื่อนรัก

“เออ ขอบใจว่ะ สมแล้วที่พ่อมึงเป็นคนใหญ่คนโตในกรมการปกครอง” ภาคียิ้มให้เพื่อนซี้ที่วันนี้อุตส่าห์ตื่นเช้าตามที่เขาโทรเรียก แล้วยังช่วยใช้เส้นสายหาข้อมูลสำคัญที่เขาต้องการได้อีก

“เกี่ยวไรกับพ่อกู ต้องขอบใจน้ากูที่อุตส่าห์ใช้เส้นช่วยให้ต่างหาก เนี่ยกูโทรไปอ้อนตั้งนานกว่าจะได้มา มึงเลี้ยงข้าวกูเลย” หนุ่มหน้าใสบ่นอุบ ก่อนจะอ้าปากหาวหวอด ๆ เพราะยังตื่นไม่เต็มตา

“เออ กูเลี้ยงแน่ มึงอยากกินอะไรกูเลี้ยงไม่อั้นเลย” ภาคีรับคำ ขณะเปิดซองดูเอกสารที่เขาต้องการ

เพียงแค่เห็นข้อมูลในกระดาษใบนั้น ชายหนุ่มก็กระตุกยิ้มเย็น สายตาที่คมกล้าอยู่แล้วยิ่งทอประกายกร้าว

“เฮ้ย ไอ้พอล มึงจะเอาข้อมูลของไอ้คนนี้ไปทำไมวะ นามสกุลเหมือนเมียมึงเลยว่ะ ‘หมื่นพิทักษ์’”

“เออ...ญาติเมียกูเอง...”

“ญาติสนิทซะด้วย”



+++++++++++++++++++



“สวัสดีครับ” เสียงทุ้มหวานหูเอ่ยทักทาย ขณะถือวิสาสะเดินเข้าถึงภายในบ้านโดยไม่มีคนเชิญ

“อ้าวสวัสดีครับ คุณภาส ขอโทษครับไม่ได้ออกไปต้อนรับ ไม่นึกว่าคุณจะมา” เจ้าบ้านตัวเล็กรีบออกมารับหน้าตาตื่น ด้วยไม่นึกว่าแขกคนสำคัญจะมาเยือนถึงบ้าน และตอนนี้ก็มายืนเด่นอยู่กลางบ้านเรียบร้อย

"ผมมีของอยากจะให้คุณพจน์วันนี้ให้ได้น่ะครับ เลยต้องรีบมา ใจมันร้อน"

ทันทีที่ได้นั่งข้างกันที่โซฟาห้องรับแขก ภาสก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชวนฟังพร้อมรอยยิ้มกระชากใจอย่างที่เคยใช้อยู่บ่อยๆ

รอยยิ้มที่พจน์เห็นทีไร เป็นต้องหน้าแดงทุกที

"...เอ่อ ไม่เห็นต้องมีอะไรมาฝากกันเลย ผมเกรงใจจังครับ แค่ที่มาทำบ้านให้ใหม่แบบนี้ผมก็เกรงใจจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงอยู่แล้ว" พจน์ละล่ำละลักเอ่ยปากหมายปฏิเสธของมีค่าที่อีกฝ่ายตั้งใจเอามาให้ จริงอยู่ที่เขารู้สึกดีกับอีกฝ่ายไม่น้อย แต่ก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจเหลือเกินที่เป็นแต่ผู้รับอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้

"รับไปเถอะครับ คุณพจน์ เราเองก็เหมือนญาติสนิทกัน ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย คิดเสียว่าเป็นพี่เป็นน้อง" เห็นคนตัวเล็กพยายามปฏิเสธด้วยใบหน้าที่แสดงความลำบากใจชัดเจน สองแก้มแดงระเรื่อลามมาจนปลายจมูก คงเพราะพจน์เป็นคนขาวจัดแค่แสดงอารมณ์เพียงนิดทั้งแก้ม ปลายจมูก ขอบตาและริมฝีปากต่างก็พากันเห่อพากันแดงราวกับเด็กเล็ก จนดูเผิน ๆ แทบจะมองไม่ออกเลยว่าคนตัวเล็กตรงหน้าคนนี้อายุถึง 43 ปีแถมยังมีลูกที่โตแล้วอีก 2 คน

ในสายตาภาสนั้น พจน์ช่างเป็นคนรุ่นลุงที่...น่ารัก น่าค้นหาเหลือเกิน

"แต่ผมเกรงใจจริงๆ นะ...ผมรับอะไรเพิ่มไม่ได้แล้วล่ะครับ" พจน์ยังคงพยายามปฏิเสธ

"รับไปเถอะครับ เพื่อผม...นะ" แต่ภาสไม่ปล่อยให้พจน์ได้ปฏิเสธอีก หนุ่มใหญ่ขยับเข้าประชิดคนที่นั่งติดกันแล้วรีบประคองสองมือน้อยๆ นั่นขึ้นจรดตรงอกของตน ทำทีอ้อนวอนอย่างเต็มที่

มามุกนี้พจน์ก็จนปัญญาจะเล่นตัวตัว สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้ารับของฝากด้วยความลำบากใจ

เมื่อเปิดกล่องดูเห็นเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด พจน์ก็แทบจะส่งคืนเจ้าของ มันแพงเกินกว่าที่จะรับเอาไว้ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายยัดเยียดให้จนได้ในที่สุด

"เอาไว้เถอะครับ คุณพจน์เองก็ไม่มีมือถือติดตัวไม่ใช่เหรอ เวลาผมอยากคุยกับคุณตอนที่ไม่มีเวลามาหาแล้วยังติดต่อไม่ได้นี่...ผมทรมานใจนะ"

"...เอ่อ..."

คำพูดส่อความหมายในเชิงลึกล้ำที่พจน์ยากจะทำความเข้าใจ ทำร่างเล็กเหวอไปเล็กน้อย แล้วพยายามประมวลเข้าข้างตัวเองไปว่า ที่อีกฝ่ายพูดมา คงหมายถึงเวลามีเรื่องสำคัญแล้วติดต่อลำบากกระมัง...

แต่อย่างไรเสียการรับของที่มีมูลค่าขนาดนี้ไว้ก็ทำให้พจน์ลำบากใจอยู่ดี

"...แต่...ผมใช้ไม่เป็นหรอกครับ...เดี๋ยวผมไปซื้อรุ่นอาม่าใช้น่าจะเหมาะกับผมมากกว่า" จึงได้แต่หาเหตุผลที่สมควรแก่การปฏิเสธแบบรักษาน้ำใจ (เท่าที่จะคิดได้)

“งั้น...ผมสอนให้ดีไหมครับ?”

“เอ๊ะ? ”

แทนที่ถูกปฏิเสธจริงจังแบบนั้นแล้วจะรามือดันไปเข้าทางเฉย ภาสยิ้มร่าขยับเข้าใกล้จนแทบแนบกายสนิท ทำทีพยายามสอนคนด้อยเทคโนโลยีให้พอจะใช้ของบรรณาการที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาให้ได้

พจน์ออกอาการประหม่าในทีแรกที่ถูกเข้าประชิด แต่เพียงครู่ก็คลายอาการ เพราะมัวแต่จดจ่อกับการสาธิตอันน่าตื่นตาตื่นใจ ชายวัยกลางคนร่างจ้อยได้แต่คิดว่าเทคโนโลยีนี่มันช่างน่าทึ่งเหลือเกิน เกิดมารู้จักแต่ รุ่น 3310 ที่ตอนนี้พังสนิทเก็บกรุไปนานกว่าสิบปี จากนั้นเขาก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับอะไรที่เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารอีกเลย จนกระทั่งตอนนี้นี่แหละ

“เดี๋ยวผมโหลดไลน์ลงเครื่องให้นะครับ สมัครไว้ เราจะได้คุยกัน มันคุยแบบเห็นหน้าได้ด้วยนะครับ เอ้าลองดู...”

“ส่วนอันนี้เป็นเฟซบุ๊คครับ เวลาคุณอยากจะพูดอะไรให้กลุ่มเพื่อนๆ คุณได้รับรู้ คุณก็สามารถโพสต์ในนี้ได้ โดยการพิมพ์แบบนี้ แล้วกดโพสต์...”

“ตรงนี้เป็นอินเทอร์เน็ตครับ เราสามารถหาสิ่งที่เราต้องการรู้ได้จากตรงนี้ กดเข้าไปครับ แล้วก็พิมพ์ลงตรงช่องนี้...กดเสิร์ช...”

“แล้วก็อันนี้คือยูทูป เราเอาไว้ดูคลิปต่างๆ ครับ หนังก็มี การ์ตูนก็มี เรียกได้ว่ามีทุกคลิปที่คุณพจน์อยากดูเลยนะ ความบันเทิงเล็กๆ ในมือคุณครับ”

ภาสตั้งอกตั้งใจอธิบายฟังก์ชันทุกอย่างเท่าที่คนในอ้อมแขนสามารถใช้ได้ ให้เจ้าตัวได้เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด

พจน์เองก็นั่งนิ่ง ตั้งอกตั้งใจเรียนรู้อยู่ในอ้อมอกของภาสเหมือนกัน

คนตัวเล็กยังไม่รู้ตัวเลยว่าตนตกอยู่ในสภาพนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ซึ่งคนตัวใหญ่...ตั้งใจ และปูทางมาอย่างดี

ภาสอมยิ้มเล็ก ๆ ที่หลอกล่อพจน์ได้สำเร็จ เพราะคนตัวเล็กช่างเล่นตัวจนเข้าถึงยากเหลือเกิน ชีวิตหนุ่มใหญ่เจ้าของธุรกิจหลายพันล้านอย่างเขาไม่เคยขาดผู้หญิง ทั้งดีทั้งไม่ดีกรูเข้ากันมาไม่เคยขาด บางครั้งก็ยังเคยมีหนุ่มบางประเภทเข้าหาบ้างถึงเขาจะไม่ได้รังเกียจเพศเดียวกัน แต่ก็ไม่เคยคิดสานต่อกับใครเป็นพิเศษไม่ว่าหญิงหรือชาย

ทั้งที่คิดว่าหัวใจคงตายด้านไปพร้อมกับภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วนั้น...แต่ทันทีที่ได้พบกับพจน์ครั้งแรก ชายวัยใกล้เคียงกันที่ยังดูอ่อนกว่าวัยมาก ซ้ำยังตัวเล็กจนเข้าขั้นน่ารักกระชากใจ ในแบบที่เขาไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อน หัวใจด้านชาเพราะผ่านชีวิตมานานก็เริ่มกระชุ่มกระชวยอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงคิดไม่ซื่อกับอีกฝ่ายที่เป็นผู้ชายเหมือนกันได้ แต่...พอได้เจอครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ครั้งที่สี่....เรื่อยมา หัวใจสั่นไหวดวงนี้ก็มั่นใจแล้วว่า

‘คนนี้แหละ...ของจริง’

“...เอ่อ...คุณภาส?”

เสียงทุ้มสั่นเอ่ยท้วงทันควัน เสียงนั้นทำให้ภาสรู้สึกตัวว่าตอนนี้ใบหน้าของเขากับอีกฝ่ายใกล้เกินจนปลายจมูกแทบจะแนบชิด ใบหน้าของคนในอ้อมแขนดูตกประหม่าและเห่อแดงไปหมด คิดในใจว่าแย่จริงดันเผลอตัวไปเสียได้ แต่ทว่าพอลองคิดดูอีกทีระยะขนาดนี้ก็อาจเป็นความบังเอิญที่พอดีสุด ๆ

พจน์รีบหลับตาปี๋ เมื่อภาสเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้มากขึ้น ระยะอันตรายเกินไปจนชายหนุ่มถึงกับกลั้นหายใจ หัวใจเต้นแรง ลมหายใจหอบถี่ สมองโล่งโจ้งขาวโพลนไปหมด เพราะไม่สามารถประมวลผลได้เลยว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรกับเขากันแน่

ภาพผู้ชายสองคน...ที่แนบชิดกันขนาดนี้ พจน์ไม่เคยเจอมาก่อน

แล้วจุดประสงค์ของผู้ชายสองคนที่ต้องมาแนบชิดกันขนาดนี้ พจน์ก็ไม่รู้เหตุผล!

เฮือก!!

มัวแต่ประมวลผล เลยโดนรุกคืบเข้ามาอีก ปลายจมูกของอีกฝ่ายเฉียดผิวแก้มไปนิดเดียวตอนที่เขาเบี่ยงหน้าหลบ

แต่...ถึงจะหลบพ้น สภาพที่ถูกกักตัวไว้ในวงแขนอีกฝ่ายบนโซฟานี่ ก็ดูจะไม่ปลอดภัยเท่าไหร่นัก

‘จะเอายังไงดีนะเรา...’

“พ่อ!!”





+++++++++++++++++



ถาม : ใครขัดใจเสียงเรียก พ่อ! ที่โผล่มาในจังหวะนี้บ้าง!?

หุหุ เกือบไปแล้วนะ พ่อพจน์

ใครเข้าสู่ระยะอันตรายมากกว่ากันนะ

ระยะอันตรายยังไม่จบ

พบกันตอนหน้านะจ๊ะ

รักนะจุ๊บๆ

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

08 ย่ำยี...ยับเยิน

“พ่อ!! ”

เสียงเรียกพ่อดังลั่นหลายเดซิเบล ทำเอาสองร่างต้องผละจากกันแบบร้อนรน

หนึ่งคนโล่งอกถึงขนาดพรูลมหายใจ

แต่อีกคนขัดใจจนต้องแอบเดาะลิ้นเบา ๆ

“ทำอะไรกันอยู่น่ะคะ!?” เสียงแผดกร้าวระอุร้อนที่พวกคุณได้ยินนั้น ใช่เสียงใครครับ ‘ไอ้พึ่ง’ คนดีคนนี้นี่แหละ ทว่าพวกคุณอาจจำหน้าผมยามปกติไม่ได้ เพราะตอนนี้หน้าผมเปลี่ยนไปมาก มันแดงก่ำ ตาถลน และเขี้ยวเริ่มโง้ง ปฏิกิริยาตอบสนองทางร่างกายแบบฉับพลันกับศัตรูทางธรรมชาติที่เข้าหาพ่อผมแบบไม่บริสุทธิ์ใจ

หน็อยไอ้ตาลุงท่านเจ้าบ้าน!

สภาพท่านในสายตาผมตอนนี้ไม่ต่างจากเพลี้ยตัวเขื่องที่หมายจะเกาะกินดูดดึงน้ำหวานจากดอกไม้แสนสวยงามบริสุทธิ์อย่างพ่อของผม! งานนี้ไอ้พึ่งยอมไม่ได้เด็ดขาด!!

ทั้งพ่อพจน์และอิตาลุงท่านเจ้าบ้านหันมามองผมเป็นตาเดียว พ่อผมน่ะหน้าตาอิหลักอิเหลื่อน่าสงสาร ส่วนตาลุงนั่น...แค่สายตาลุงที่มองมาผมก็รู้แล้วว่า ‘มันเป็นสายตาที่มองผมเป็นตัวเกะกะ!’

“...พ...พึ่ง.....คือ...พ่อ...” ระหว่างผมจ้องสะกดสายตากับตาลุงท่านเจ้าบ้าน พ่อพจน์ผู้ใสซื่อของผมก็พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายที่จะอธิบายสภาพที่เป็นอยู่...อย่าพยายามครับพ่อ งานนี้ไม่ต้องออกโรงปกป้องใครละ ปกป้องตัวพ่อเองดีกว่า อิตาลุงนี่ตั้งใจงาบพ่อเลยนะ ผมการันตี ดูสายตาลุงแกสิ โคตรหื่นใส่พ่ออ่ะ!

“อ๊ะ...ขอโทษครับคุณพจน์ พอดีผมหน้ามืดแบบไม่มีสัญญาณเตือนอีกแล้ว...คือผมเป็นบ่อยๆ น่ะครับ จู่ๆ ก็วูบ...” หืม!!? ใครนะ? ใครหน้ามืด วูบบ่อย? พ่อคงไม่เชื่อเขาใช่มั้ย?

“เอ๊ะ? จริงเหรอครับ? ” เฮ้ย! พ่อ!! พ่อครับ อย่าเพิ่งไปไหลตามเขาอย่างนั้นดิ!

“ครับ...ขอโทษจริงๆ นะครับ ผมไม่เจตนา คือว่าพออายุเยอะขึ้นแล้วร่างกายมันก็ยากจะคอนโทรลน่ะครับ บางทีก็วูบไปเฉยๆ อย่างเมื่อครู่...” อย่ามาสตรอเบอรี่นะลุง! วูบเวิบอะไร!? ผมเห็นลุงเพิ่งกลายร่างเป็นหมาป่าอยู่หยกๆ อย่ามา แหล....!! พ่ออย่าไปเชื่อลุงแกนะ!! แกแหลล้วน ๆ เลย แหลได้หน้าตายไม่อายปากอีกต่างหาก!!

“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง เมื่อกี้คุณแค่วูบสินะครับ น่าเห็นใจจัง โรคคนแก่นี่น่ากลัวนะครับ ผมเองก็อายุเยอะแล้วเหมือนกัน คงต้องระวังไว้บ้าง” เอิ้ววว! พ่อ! อย่าไปเชื่อตาลุงหมาป่าห่มหนังลูกแกะนะ! สภาพรูปร่างล่ำบึ่กอย่างลุงแกน่ะ โคตรถึกเกินมนุษย์ เชื่อผม! ลูงแกวูบไม่เป็นหรอก!!

“ครับ...อายุอย่างเรา ๆ ต้องหมั่นดูแลตัวเอง แต่ถ้าจะให้ดี...ต้องมีคนช่วยดูแลด้วยครับ...ดูแลซึ่งกันและกัน”

“จริงด้วยสินะครับ บางทีถ้ามีเพื่อนๆ ร่วมด้วย การดูแลสุขภาพในวัยเราก็คงดูสนุกขึ้น”

“งั้น...เรามาร่วมมือกัน พิชิตโรคร้ายวัยกลางคนกันนะครับ”

“เอาสิครับ”

คุยกันเพลินลืมลูกลืมเต้าเลยครับงานนี้ พ่อผมโดนลุงแกหลอกโดยสมบูรณ์ หน็อย...เอาความอ่อนแอมาหลอกล่อพ่อผม ใช้ความใจดีของพ่อผมเป็นสะพาน ดู๊ดูความร้ายกาจของลุงแกสิครับ จับมือพ่อผมขึ้นแนบอกเฉย แถมพ่อผมยังยิ้มร่าอารมณ์ดีที่ได้เพื่อนอีก ฉิบหาย พรหมจรรย์พ่อผมจะยังอยู่ได้อีกนานมั้ยเนี่ย...

มโนภาพผมมาทันที...

ภาพที่พ่อพจน์แสนใสซื่อของผมที่มีเขาลูกแกะน้อยเป็นไอเท็ม กำลังถูกฉีกทึ้งเสื้อผ้าปิดกายโดยราชาหมาป่าตัวถึกอย่างตาลุงท่านเจ้าบ้าน...

อร๊ากกก! เรื่องแบบนี้ไอ้พึ่งจะไม่ทน!!

“...!?” ทั้งที่ผมอยากจะเข้าไปขัดขวางระหว่างสองคนนั้นใจจะขาด แต่ทำไมร่างกายผมขยับไม่ได้ล่ะเนี่ย จะพูด จะตะโกน ก็ทำไม่ได้ ใครอำกูวะ!!

“ปล่อยรุ่นใหญ่เขาคุยกันเถอะนา”

เสียงกระซิบชวนขนคอลุกทำผมสะดุ้งในตอนแรก มานึกขึ้นได้ตอนหลังว่าเป็นไอ้สามีชั่วข้ามคืนของผมนั่นเอง มันมาด้วยนี่หว่า ผมเกือบลืมไปแล้วแน่ะ

ว่าแต่...มันล็อกเอวกับปิดปากผมไว้ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย!!?

“...งื้อ...อื้อ...งื้มมมม!!” ผมพยายามดิ้นรนสุดกำลัง เพื่อจะเข้าไปขัดขวาง อิตาลุงท่านเจ้าบ้านที่กำลังจะลากพ่อพจน์ของผมเข้าสวนต้องห้ามในไม่ช้า

“อ้าว? มาด้วยเหรอ พอล?” ตาลุงท่านเจ้าบ้านหันมาถามลูกชายด้วยใบหน้านิ่งเฉย แต่ประกายตาแฝงอะไรบางอย่างที่เหมือนจะรู้กันแค่สองคนพ่อลูก

“ครับพ่อ พาพึ่งเขามาเก็บเสื้อผ้าน่ะ เขายังไม่ได้เอาเสื้อผ้าไป” เฮ่ย! ไอ้ยักษ์ยิ้มกรุ้มกริ่ม หมายความว่ายังไงวะ!!?

“เอ๊ะ? พึ่งต้องไปอยู่ที่โน่นเหรอครับ? ผมนึกว่า...ลูกจะยังอยู่ด้วยกันที่นี่” พ่อพจน์ผมเริ่มออกอาการนั่งไม่ติดเมื่อรู้ว่าผมกำลังจะโดนลักพาตัวไปอยู่อีกบ้านแบบไม่ยินยอม พ่อจ๋า ช่วยพึ่งด้วย!!

“คุณคงเหงา ผมเข้าใจครับ แต่ว่าเราจำเป็นต้องให้มันเป็นไปตามข้อกำหนดของพินัยกรรมที่สองสามีภรรยาต้องอยู่ด้วยกันจนกว่าจะครบตามสัญญา...” กระแสจิตผมในที่สุดก็ส่งถึงพ่อพจน์คนดี แต่ทันทีที่พ่อพจน์ผมทำท่าจะลุกขึ้น อิตาลุงหมาป่าจ่าฝูงนั่นก็คว้าพ่อผมเอาไว้แบบทันควัน จากนั้นก็ปั้นหน้าเป็นแกะแก่ไร้พิษภัย!

“...อย่างนั้นเหรอครับ...” แล้วพ่อผมก็...ถูกหลอกล่อด้วยใบหน้าราวพระโพธิสัตว์ของตาลุงนั่นอีกแล้ว!! โถ่! อยากจะรีบตายไปถามปู่กับย่าจริงๆ เลี้ยงลูกมายังไงให้ใสแบ๊วขนาดนี้เนี่ย!!? ทำไมถึงเป็นคุณลุงลูกสองที่ซื่อใสไร้มลทินขนาดนี้นะพ่อ!!!?

“ผมสัญญาครับว่าจะดูแลหนูพึ่งเป็นอย่างดี รับรองได้ว่าตาพอลจะดูแลแบบไม่ยอมให้ริ้นไรไต่ตอมเด็ดขาด เมื่อไหร่ที่คิดถึงก็มาหาได้ตลอดนะครับ มาค้างนานๆ เลยก็ได้ เทวินทร์วงศ์ของผมรอต้อนรับคุณพจน์เสมอครับ” ฮึ่ย!! อย่าไปเชื่อนะพ่อ ดูแลดีกะสัมภเวสีอะไรของลุงวะ!? เห็นมันโอบเอวรักใคร่เนี่ย มันไม่ได้แค่โอบนะ มันล็อกเอาตาย แถมพอจะอ้าปากมันก็ใช้อีกมือประกบปิดปากผมเฉย สภาพนี้ มันดูแลผมดีตรงไหน!!?

“งั้นพวกผมขอตัวไปเก็บของสักครู่นะครับ เดี๋ยวลงมาคุยด้วย” ไอ้ยักษ์พูดขึ้นก่อนลากผมพรืดๆ ออกจากสวนอีเดนของพ่อพจน์กับตาลุงนั่นไป...ม่ายยย...กูจะอยู่ตรงนี้!!

ภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็นก่อนจะถูกขืนใจพาตัวจากไป คือ ใบหน้าของพ่อแกะแสนซื่อที่ตกอยู่ในอุ้งมือของลุงราชาหมาป่าผู้หิวกระหาย...



+++++++++++++++++





“ปล่อยอิฉันนะ!”

ผมสะบัดสะบิ้งเต็มที่เมื่อโดนลากมาปล่อยไว้กลางห้องได้ เหนื่อยมากบอกเลย ไอ้ยักษ์ปักหลั่นบ้านี่ มันไม่รู้ทางก็ไม่ถาม พาวนชั้นสองอยู่ได้ บ้านผมเป็นคฤหาสน์เก่า มีหลายห้องว่าง มันอุดปากผมพาวนแทบทุกห้อง อยากถามมันนักว่าทำไมเมิงไม่ปล่อยกูก๊อน!?

“ห้องอยู่ซะลึกเชียว หาตั้งนาน” มันว่า... ก็เออสิ! อยู่ในสุด เพราะอยากอยู่ติดหน้าต่างเยอะๆ ได้ยินมันบ่นผมก็ยิ่งหงุดหงิด ขอพูดอีกครั้ง แล้วทำไมเอ็งไม่ถามข้าก่อน!!?

“เอ้า...ยืนนิ่งอยู่ทำไมล่ะ เก็บของเข้าสิ หรือต้องให้ทำให้? ” เออ! อยากเก็บอยากทำก็ทำเองไปสิ! ข้าไม่ได้อยากไปอยู่บ้านเอ็งนี่!

“เงียบ...ตามใจนะ ฉันนอนรอได้ทั้งวันแหละ โดยเฉพาะพ่อฉัน...ป่านนี้คงเพลิน...” เฮ่ย! ผมเกือบลืมแน่ะ พ่อผม! คิดได้ผมก็ผลุนผลัน ถลันถลาออกจากห้องแบบไม่ต้องมีโหมโรง

ปึ้ง!!

“เฮ้ย!?” เฉี่ยวปลายจมูกไปนิดเดียวขอบอก เฉี่ยวไปนิดเดียวจริง ๆ กับฝ่ามือใหญ่ ๆ ขาว ๆ ของไอ้สามีในนาม ที่ทุบลงบนบานประตูเสียงดังสนั่น...จี๊ดดดดดด...วิ้งงง....แก้วหูผมสะเทือนจนขี้หูแทบร่วง

“จะไปไหน?” มันถามเสียงต่ำ แฝงอารมณ์ข่มขู่ ใบหน้ามันนิ่งกระด้างในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

ใช่ว่าผมจะไม่เคยถูกมันตะปบคร่อมร่างตรงประตู อย่างเมื่อคืนหลังงานแต่งก็โดนมันคร่อมไปแล้วรอบนึง แต่ตอนนั้นถึงมันจะหน้านิ่ง แถมมีอารมณ์คุกรุ่นเล็ก ๆ แต่มันอ่อนโยนกับผมกว่านี้ ผมมั่นใจ ต่างกับแววตามันตอนนี้ที่คล้ายจะทึ้งหัวผมให้ได้แบบหน้ามือหลังตีน! แอบกลัวขึ้นมาแวบหนึ่ง

แต่...ถึงมันจะน่ากลัวแค่ไหน พรหมจรรย์พ่อพจน์ของผมก็น่าเป็นห่วงเกินกว่าผมจะยอมโดนหน่วงอยู่บนนี้!

เอาวะ! น่ากลัวแล้วไง อย่างมากก็แค่แลกหมัด ไอ้พึ่งไม่สนโว้ย!

“จะไปดูพ่อ! กรุณาหลบด้วยค่ะ!” ผมบอกมันออกไปแบบตึงๆ ให้เหมาะกับหนังหน้าโหดได้อีกของมัน

แต่แทนที่มันจะสลด มันเสือกยิ้มครับ! ยิ้มมุมปาก ในองศาที่น่าเอาหมัดกระแทกสักทีแบบสุดๆ ตัวมันสูงกว่าผม เวลาเราหันเผชิญหน้ากัน ผมต้องเงยมองมันแบบหลังชนประตู ส่วนมันยืนยันแขนซ้ายแขนเดียวกักผมไว้แบบชิว ๆ แค่แขนเดียว ก็กั้นผมเอาไว้ได้ทั้งตัวเพราะมันทั้งสูงทั้งยักษ์ แค่ยืนบังกันก็มิดตัวผมแล้ว จึงไม่แปลกที่เวลามันก้มค้อมลงมาเล็กๆ เพื่อจ้องหน้ากัน ผมจึงดูเหมือนถูกมันข่มแบบไม่เหลือที่ให้ดิ้น และไอ้มุมก้มนี่แหละ สายตาที่มันมองมา เลยกลายเป็นเหยียดหยันแบบสุดๆ นี่ถ้าไม่ติดว่าผมเป็นผู้หญิงอยู่ ผมต่อยมันคว่ำจริง ๆ นะ ไอ้สายตาแบบนั้นน่ะ!

ว่าแต่...นี่มันใช้สายตากวนเบื้องล่างขนาดนี้มองผู้หญิงได้ไงวะเนี่ย! ถุย! ไอ้สุภาพบุรุษ!!

“หึ…” มันหัวเราะขึ้นเบาๆ ตอนนี้ขมับไอ้พึ่งเริ่มมีเส้นเลือดปูดขึ้นหน่อยแล้วนะ!

“ฟังภาษาคนรู้เรื่องหรือคะ ถอย ไป ค่ะ!!” ช้า ๆ ชัด ๆ เน้น ๆ เผื่อมันฟังภาษาคนของผมไม่ออก แต่ยิ่งผมพูดมันกลับยิ่งหัวเราะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เย็นไว้ไอ้พึ่ง!!

“หึหึ...จะไปดูทำไมนักหนาล่ะ แค่พ่อ ๆ เขาคุยกันมันมีอะไรน่าดูนักเหรอ?” มันถามเสียงชิลด์

“พ่อฉันกำลังตกอยู่ในอันตราย เพราะพ่อใครบางคนจ้องจะงาบท่าเดียวอยู่ยังไงล่ะ!! สมควรลงไปดูหรือยัง!?” ผมกดเสียงให้ต่ำลงเพื่อข่มขู่มันบ้าง ดัดสงดัดเสียงอะไรตอนนี้ผมลืมสิ้นไปหมดแล้ว ลองมันกวนโอ๊ยผมอีกที ผมจัดมันสักหมัดสองหมัดแน่!

“พ่อฉันสุภาพพอน่า ไม่จับพ่อเธอกินตอนนี้หรอก...”

“รู้ได้ยังไง!?”

“เอาเถอะ เชื่อสิ หรือต่อให้กิน...ก็น่าจะไม่ทำพ่อเธอเจ็บนักหรอก...หึหึหึ”

พูดจบมันก็หัวเราะร่า เหมือนสาสมใจที่ไล่ต้อนผมได้ และ ณ ขณะนี้ ขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า...เส้นความอดทนของผม ได้ขาดสะบั้นไปเรียบร้อยแล้ว...

ก่นด่าว่าหน้ากูเหี้ย ไข่กูเล็กยังพอทนคบ!

แต่จาบจ้วงถึงพ่อพจน์ที่เคารพ…กูคงคบมึงเอาไว้ไม่ได้แล้ว ไอ้ลูกหมา!!!



ผล็อก!!



เสียงดังฟังชัดนัดเดียวจอด...หมัดเน้น ๆ บรรจงขยี้หนัก ๆ ลงข้างโหนกแก้มขวาของมันแบบไม่มีการยั้งแรง ถึงผมจะเตี้ยแต่หมัดผมหนักนะ บอกเลย!

มันเซไปก้าวนึงเพราะแรงหมัดของผม ก่อนจะชำเลืองมามองด้วยสายตาคาดโทษกันอย่างที่สุด

แล้วไง? อารมณ์นี้ผมไม่กลัวแล้วครับ! กางขาออกพร้อมตั้งรับเต็มที่ เรื่องต่อยตีผมไม่มีถอย

“นี่เธอกล้าต่อยฉันเลยเหรอ?” มันถามขณะใช้มือซ้ายลูบสันกรามขวาเบาๆ ใช้ลิ้นดุนแก้มเช็กสภาพแผลแตกด้านใน

“เออ! ฉันต่อยได้ทุกคนแหละ ถ้าไอ้คนนั้นมันกล้าพูดถึงพ่อฉันไม่ดีน่ะ! ถ้าทนไม่ได้ ก็หย่ากันตอนนี้เลย เลิก!”

“เลิก? กล้าพูดนะ หึ! เห็นฉันยอมเข้าหน่อย ก็พูดโก่งค่าตัวจังนะ เอะอะก็จะเลิก ๆ ๆ เนี่ย”

“ฉันไม่ได้โก่งค่าตัว! ฉันพูดจริง! ถ้าต้องอยู่กับคนแบบคุณ ฉันไม่ขอทนดีกว่า เงินทุกบาทที่ได้รับมา สัญญาเลยว่าจะคืนให้แบบไม่ให้ขาดสักสลึง!”

“มีปัญญารึไง? อย่าทำเป็นโลกสวยอยู่เลย คนอย่างเธอ แค่มองก็รู้ว่าหน้าเงิน ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน...ถึงได้เร่ เอาตัวใส่พานมาให้ฉันถึงที่แบบนี้ไง...ในเมื่อที่เป็นอยู่ เธอก็ได้แต่กำไรเน็ต ๆ อยู่แล้ว ข้างล่างนั่น...ก็ให้พ่อฉันได้กำไรบ้างเถอะ...”



พรึ่บ!

ผมไม่รู้ว่าจังหวะนั้นมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ภาพที่เห็นทีเพียงผมที่กระโดดไปตะปบคอมันจนล้มลงไปนอนบนเตียงโดยที่ผมกำลังคร่อมร่างมันพร้อมใช้มือขวากดคอมันอยู่



ในตอนนั้นผมลืมสิ้นถึงสิ่งที่พึงกระทำ เพราะคำพูดของไอ้ยักษ์ที่มันกล้าจาบจ้วงถึงพ่อผมทำเอาฟิวส์ขาดจนลืมไปเลยว่าสภาพใส่กระโปรงแล้วอ้าขาคร่อมตัวมันแบบนี้มันไม่เหมาะสม เพราะในวันนี้ ชั่วโมงนี้ วินาทีนี้ มันพูดในสิ่งที่ผมทนไม่ได้ที่สุด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรอกนะ ภาคีเจ้าบ่าวที่อย่างน้อยก็ยังมีความเป็นสุภาพบุรุษนิดหน่อยของผมเมื่อคืนตอนนี้ถึงได้กลายเป็นไอ้ชั่วปากมอมในสายตาผมนัก เกิดอะไรขึ้นกับมันผมไม่รู้ล่ะแต่การที่มันทำถึงขนาดนี้ ผมคงยกโทษให้มันไม่ได้

สายตาผมตอนนี้ใกล้มีไฟสาดออกมาเต็มทน แต่สายตาของมันที่ถูกผมกดลงใต้ร่างกลับเย็นชาเหมือนกับไม่ได้ตกใจหรือยี่หระที่ผมกลายร่างจากสาวน้อยเป็นนางเสือจนน่าสงสัย ถึงอย่างนั้นผมก็ช่างหัวแม่งมันแล้ว ในเมื่อมันกล้าหยามคนที่ผมรักได้ ผมก็จะเหยียดหยันคนที่มันรักให้เละเทะไปพร้อมกัน! แต่คนอย่างผมไม่ชั่วพอจะเล่นถึงบุพการีของมันหรอกนะ อย่างน้อยพวกท่านก็ไม่ได้มารู้เห็นความชั่วของมันด้วย การที่ผมจะไปว่าท่าน ผมคงเลวเท่ามัน บัวเหนือน้ำอย่างผมเลือกแล้วว่า...

“ผู้หญิงอย่างฉันที่เร่หาเงินหน้าด้าน ๆ กับอิเจ๊แม่หม้ายลูกติดที่อยากได้ทั้งเงินเอาทั้งที่ดินแบบฟรี ๆ โดยการหลอกสามีเด็กให้แต่งงานกับคนอื่นเพื่อผลาญสมบัติตระกูลน่ะ...ใครกันแน่วะ ที่อย่างหนา......อุ๊บ!!? ”

ควับ!

โครม!!

เกมพลิก...ไม่ต้องหาต้นตอครับ เสียงนั้นมาจากตัวผมเองที่ลอยหวือเดียวลงไปกองอยู่บนเตียงโครมใหญ่ กลายเป็นฝ่ายถูกคร่อม กลายเป็นฝ่ายโดนกดด้วยมือเพียงข้างเดียวของมัน

ในดวงตาผมยังคงโชนแสง แต่ไฟในดวงตาของมันกลับสาดแสงยิ่งกว่า ผมกะว่างานวิวาทต้องมาถึง แต่เพียงพริบตาเดียวไอ้ยักษ์ห่ากลับเปลี่ยนแววตาของมันเป็นในแบบที่ทำให้ขนคอผมลุกชันเป็นแผง โดยเฉพาะเมื่อมันแลบลิ้นเลียริมฝีปากในแบบที่ไม่ต้องแปลความหมาย

เชี่ยแล้ว!

“เฮ้ย! ถอยออกไปเลย!”

งานนี้ผมแหกปากร้องลั่นสิครับ เพราะทั้งตัวของผมถูกไอ้ยักษ์หน้าโหดลากมาขึงพืดอยู่กลางที่นอน แถมมันยังโถมตัวคร่อมทับผมไว้แบบไม่เปิดทางหนี...

เดี๋ยวนะ...นี่อย่าบอกนะว่าผมไปสะกิดต่อมอารมณ์หื่นของมันตรงไหนเข้าน่ะ!? ผมไม่กลัวที่จะต้องวิวาทกับมัน แต่การถูกทำอะไรแปลกๆ แบบนี้มันทำให้ผมตั้งรับไม่ถูก

ในเพศสภาพปกติจะไม่กลัวมันเลยสักนิด แต่ในสภาพปลอมเป็นหญิงนี่...

ชีวิตเอ็งอันตรายเกินไปแล้วไอ้พึ่ง!!

เชี่ยยยยย! กระโปรงมันร่นขึ้นมาถึงขาอ่อนแล้ว!

“คุณภาคี! ปล่อย!!” ผมเริ่มแหกปาก

“เธอรู้จักเขาได้ยังไง!?”

+

+

+
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2024 04:03:56 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
“เธอรู้จักเขาได้ยังไง!?”

มันกดเสียงต่ำถามผมขึ้นโดยไม่สนใจว่าผมจะดิ้นรน ก่นด่า สองมือมันกดยันสองมือผมตรึงแน่นกับที่นอนในท่าที่ทำให้ผมเสียเปรียบในด้านยุทธศาสตร์การรบอย่างสิ้นเชิง การเอาตัวไม่รอดทำเอาผมรู้สึกหงุดหงิดทวีขึ้นไปอีก

จะคุยจะด่าก็ช่วยให้อยู่ในสภาพที่ไม่ล่อแหลมขนาดนี้หน่อยได้ไหมวะ!? ตรูไม่ใช่นางเอกหนังพิศาลนะเว้ย เอะอะจับกด ไอ้เวรนี่!!

เพราะฉะนั้น...กูไม่ตอบ!!

“ฉันถามว่าเธอรู้จักเขาได้ยังไง!” มันตะคอกเสียงดังขึ้น แต่มีหรือจะสะท้านรูหูผม...หูกูดับไปตั้งแต่มึงตบประตูแล้ว เหอะ!

หึหึ...เอาเลยพ่อ ตะคอกให้คอแตกตาย กูก็ไม่ตอบ!

“ปล่อย!” ผมข่มมันกลับบ้าง เมื่อเห็นว่ามันเงียบไปเพราะข่มขู่เท่าไหร่ก็ไม่ได้ทำให้ผมสะท้าน

ขอโทษนะคนอย่างไอ้พึ่ง ผ่านศึกเหนือเสือใต้มานักต่อนัก คิดว่าแค่ลมโกรธาของลูกผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดินอย่างคุณหนูภาคีจะทำให้ผมระคายได้เหรอ ตะคอกได้ตะคอกไป ไอ้ข้อมือกูนี่ก็บีบให้มันหักไปเลยก็ได้นะถ้าจะกดซะจมขนาดนี้น่ะ!

“เขาเป็นผู้หญิงที่ดี”

“...?” เห็นผมเงียบ ไม่หือไม่อือ ไม่กลัวไม่เกรง สุดท้ายมันก็เลิกใช้อารมณ์ข่มผม แล้วหันมาพูดจาเนิบนาบด้วยโทนเสียงราบเรียบแทน

แต่....ท่าทางของมันแบบนี้แหละที่ผมกลัว!

“ป...ปล่อย...” ผมพยายามดิ้นรนอีกครั้ง ไม่สนแล้วว่าไอ้กระโปรงสีขาวพองๆ ของผมมันจะร่นไปถึงไหนต่อไหน

“ดีเกินกว่าคนอย่างเธอจะไปดูถูกได้ง่าย ๆ” มันยังคงพล่ามพรรณนาถึงความดีงามของคนรัก

“เออ รู้แล้ว! เมียคุณเป็นคนดีคนประเสริฐค่ะ! แต่ถ้าดีขนาดนั้นทำไมไม่เอามากกที่บ้านเสียเลยละคะ จะให้อิฉันเข้าไปอยู่ทำไม! แล้วกรุณาปล่อยช่วยอิฉันด้วยค่ะ!” แต่มันเกี่ยวกับผมไหมล่ะ อยากชื่นชมเมียแกก็ชมไปสิ จะมากดคนอื่นติดที่นอนอยู่เพื่อ!?

พอผมตั้งท่าจะลุกขึ้นก็ถูกไอ้ยักษ์มันโถมกดทั้งตัวไว้ วูบแรกผมก็กะจะอาละวาดให้เต็มที่ แต่พอได้เห็นหน้ามันเท่านั้นแหละ สันหลังผมชาวาบเลย เย็นเจี๊ยบตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงขั้วหัวใจ เพราะสิ่งที่ผมได้เห็นจากไอ้ยักษ์ที่กำลังกดตรึงผมอยู่นั้น คือดวงตาดำมืดทะมึนที่มีบรรยากาศคุกคามอย่างชัดเจน...

ผมเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่า ผมดันปากมอมจนเผลอทำให้ไอ้ยักษ์บนร่างสติขาดไปเสียแล้ว แต่ผมผิดเหรอในเมื่อมันจาบจ้วงพ่อผมก่อน?

“เขาไม่ใช่เมียฉัน” มันว่า เสียงเรียบสนิทไร้คลื่นลม แต่สายตามันแม่งโคตรซูเปอร์พายุทอร์นาโดระดับ F5

“...อา...ไม่ใช่...ก็แล้วไปสิ...เอิ่ม...ปล่อยก่อน...ได้ไหมคะ?” ผมสู้คนครับ แต่ในกรณีที่มีทางสู้เท่านั้น ซึ่งในสถานการณ์ตกเป็นรองเขาทุกประตูรูช่องขนาดนี้ ผมยอมลงให้ก็ได้ โอยยย...คุณพี่ยักษ์ครับ ปล่อยผมไปเถ๊อะ...

ผมพร่ำอ้อนวอนมันเป็นนางเอกละครโศกตอนโดนตัวร้ายลากเข้าป่าหมายล่าพรหมจรรย์ ในหนังส่วนใหญ่ผมเห็นรอดทุกราย เพราะถ้าตัวร้ายไม่ใจอ่อนก็มีพระเอกมาช่วยทัน...

ผมรู้สึกอย่างนั้น จนกระทั่งมันพูดบางอย่างออกมา

“เขาไม่เคยเสนอตัวอยากเป็นเมียฉัน...แต่เธอคงไม่แน่” อื๋อ? มันว่าอะไรนะ ใครไม่แน่? อะไรคือไม่แน่?

“เดี๋ยว! จะทำอะไร!?” ผมยังไม่ทันจะได้ตีความคำพูดของมันเลย จู่ๆ มันก็โน้มตัวลงมาใกล้ทั้งที่สองมือมันยังตรึงผมไว้อยู่ แถมยังรุกแบบไม่ให้ตั้งตัวโดยการแทรกตัวหนาๆ ยักษ์ๆ ของมันเข้ามาตั้งมั่นอยู่ตรงหว่างขาของผม!

เชร้ดเข้!! ท่านี้มันหมิ่นเหม่เกินไปแล้ว!!

“ก็ทำให้เราเป็นผัวเมียที่ถูกต้องตามพฤตินัยไงล่ะ”

ตาดำผมเหลือกหายไปทันทีที่ได้ยินคำพูดมัน เพราะแปลความหมายไม่ทัน พลันสะดุ้งเฮือกที่สัมผัสได้ถึงริมฝีปากร้อนผ่าวของมันนาบเข้าที่ซอกคอผมแบบไม่ให้สัญญาณเตือน ไม่ต้องตีความแล้วครับงานนี้!! ไอ้ยักษ์หื่นกาม ไอ้สารเลวนั่นมันจะปล้ำผม!!!

“อยะ...อย่า! ว๊ากกก อื้อ ปล่อยนะ! เหวออออ! เอิ้ววว อยะ อย่าจับตรงน๊านนน!!! ”

ไอ้พึ่งถึงกับครางกระเส่าครับงานนี้ สองมือน้อย ๆ (?) พยายามผลักไสให้มันออกจากตัวอย่างสุดกำลัง เกิดมาไม่เคยโดนผู้ชายด้วยกันกดมาก่อนเล่นเอาก้อนสติปลิวละล่อง

เอิ้ววว อย่าทำข้าพเจ้าเลย ได้โปรด...ไอ้พึ่งยังไม่เคยต้องมือชาย อย่างน้อยช่วยเบามือหน่อย......?

“อย่ามาทำสะดีดสะดิ้งน่า มันไม่เหมาะกับเธอหรอก หึหึ” มันว่าก่อนจะก้มลงมาคลุกวงในผมต่อขณะที่ผมเองก็กำลังพยายามเอี้ยวหน้าหลบการรุกรานของมันอย่างเอาเป็นเอาตาย ขนลุกครับตอนนี้ ขนอะไรที่ลุกได้พากันลุกเกรียวไปทั้งตัวอย่างกับโดนผีหลอก ผมเกร็งไปทั้งตัวตอนที่ไอ้ริมฝีปากร้อนๆ ชื้นๆ นิ่มๆ ของมันโดนเข้ากับซอกคอผม แถมยัง!

“โอ๊ย!? ” ไอ้ห่าลาก นี่ไม่ใช่แค่ไซ้ซอกคอแล้ว มันเสือกกัดผมด้วย! มันงับจมเขี้ยวจนเหมือนเนื้อคอผมจะขาดไปกับฟันของมันอยู่รอมร่อ!

ไอ้เหี้ย ไอ้ซาดิสม์! เอื๊อกกกก....คอกูจะขาดแล้วว!!

“ไอ้คนเฮงซวย ไอ้หน้าตัวเมีย รังแกผู้หญิง!”

“ปล่อยดิฉันนะ! อ๊า! เลิกกัดซะที!!”

“คุณมันคนใจบาป อื้อ โหดร้ายทารุณ อ๊ากกก!!”

“อ๊ะ...อยะ...อย่า อ๊ายยย!” ให้ตาย ไม่รู้ผมจะด่ามันยังไงแล้ว มันทำมากกว่านี้อีกหน่อย ผมจะไม่เหลือสติครองความเป็นกุลสตรีด่าแบบผู้ดีอย่างนี้แล้วนะ! อีกแค่นิดเดียวฟาร์มสัตว์เลื้อยคลานในปากผมจะออกสู่โลกกว้างแล้วนะ! กูกราบล่ะ หยุดลวนลามกูที ฮรืออออ...

จุ๊บ จ๊วบ ฟอด...

เสียงมันระดมหอม ระดมจูบ โดนบ้างเฉียดบ้างทั้งหน้าทั้งคอผมยังคงดังระงมจนผมเริ่มเสียว (เอ่อ...เสียวจะเป็นลมนะครับ อย่าเพิ่งคิดลึก (-.,-) )

ผัวะ! เผียะ! ตุบ! พลั่ก!

สองมือผมก็ยังทำหน้าที่ทั้งผลักทั้งยันปลายคาง ทั้งทุบตีร่างยักษ์ ๆ ของมัน ถ้าไม่ติดว่าใส่กระโปรงอยู่ผมคงยกเท้ายันมันออกไปด้วยแล้ว แต่ให้ตายไม่กระเทือนหนังกำพร้ามันเลยสักกระผีก ซ้ำพอผมออกฤทธิ์มากไปก็ยังถูกมันกดตรึงข้อมือทั้งสองข้างลงบนเตียงอีกรอบอีก

แต่ที่กระชากวิญญาณผมที่สุด ไม่ใช่ที่โดนมันดูดคอครับ แต่เป็นตอนนี้!!

ตอนที่มันเบียดลูกชายมันบดเข้าหาหว่างขา...ที่กบดานของลูกชายตัวน้อยๆ ของผม ถึงตรงนี้ผมเบิกตาโตเป็นไข่ห่าน เชี่ยเอ๊ย...ไอ้บ้า ไอ้ห่านฟัก! มึงเล่นถูขนาดนั้น...เดี๋ยวลูกชายกูตื่น!! งื้ออออออ... (T^T)

พื้นที่ร่างกายเราสองเสียดสีกันจนโคตรจะร้อนระอุ ผมพยายามดิ้นแล้วแต่เพราะข้อมือทั้งสองข้างยังถูกตรึงไว้ แถมยังถูกไอ้ยักษ์เลวนี่โถมทับมาทั้งตัวจนแทบหายใจหายคอไม่ออก

ยิ่งดิ้นรนผลักไส แรงบีบที่กดอยู่ที่ข้อมือยิ่งแรงมากขึ้น

ยิ่งดิ้นรนผลักไส ร่างกายก็ถูกเสียดสีหนักขึ้น

ยิ่งดิ้นรนผลักไส ซอกคอก็แดงช้ำมากขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งดิ้นรนผลักไส...

ลูกชายผมก็เติบใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ!

...ฉิบหายแล้ว!!

“อ๊ะ...ปล่อยกู...ไอ้เหี้ยยย…อ๊า...!!” เมื่อสุดทนผมก็เผลอสบถด่าออกไปแบบลืมตัว ตัวผมยังคงถูกกดคาอยู่ใต้ร่างมัน เบี่ยงหน้าหลบมันไปมาแบบสุดใจขาดดิ้น ถึงจะรู้สึกเหมือนไอ้บ้าที่กำลังจะปล้ำผมอยู่ดูเหมือนแกล้งมากกว่าจริง แต่ใครจะรู้ใจผู้ชายล่ะ ต่อให้ผมเองก็ผู้ชายเหมือนมันก็เถอะ!

หัวใจผมเต้นแรงราวกับจะกระดอนออกมา ลมหายใจก็หอบหนักเพราะใช้แรงไปกับสงครามครั้งนี้แบบมหาศาล เรี่ยวแรงแทบจะไม่เหลือในการสู้กับมันแล้วครับตอนนี้ มันบี้จนผมอ่อนไปหมด อยากจะร้องไห้เป็นนางเอกมากเลยตอนนี้....

“ปากร้ายเหมือนกันนี่...แอ๊บแตกแล้วเหรอ?” มันกระซิบเย้ยอยู่ข้างหู เสียงมันยังคงนิ่ง ต่างกับผมที่ทั้งหอบ ทั้งเสียงกระเส่า

ฮึ่ย! ขายขี้หน้าที่สุด!!

“...เลว...” ผมด่าออกไปได้แค่นั้นแหละครับตอนนี้ พยายามยั้งปากอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้หลุดคำว่า @#adf$%@#&!! ออกมา

“หึหึ...เธอนี่ดู ๆ ไปก็ยั่วดีเหมือนกันนะ แค่ทำอะไรนิดหน่อย...ตัวก็แดงไปหมด” มันกระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหู

เอิ้วว!! อิห่าน กูขนลุก!! ขนทุกเส้นบนตัวผมลุกเกรียวโดยพร้อมเพรียงอีกรอบ ยั่วบ้านโคตรเหง้าสักหลาดเอ็งเรอะ! กำลังจะเปิดคอกหมาในปาก แต่พอมันพูดคำต่อหลังตามมา ผมถึงกับต้องรีบหุบปากทันควัน

“ยิ่งดิ้นก็ยิ่งน่ากิน” คำนั้นแค่คำเดียว ทำผมสงบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เลิกดิ้น เลิกโวยวาย อ่อนระทวยเป็นขี้ผึ้ง...

คุณชายภาคีครับ ผมไม่ขัดขืนแล้วครับ เลิกพยศเลิกดิ้นอย่างเด็ดขาด อะไรที่เคยล่วงเกินคุณผมต้องกราบขออภัยด้วยนะครับ จากนี้ไปผมจะเป็นเด็กดี อะฮึ่ก...อะฮึ่ก ให้ตาย ไอ้พึ่งไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้ย่อยยับขนาดนี้มาก่อนเลย

“หืม? อะไรเนี่ย? ” ระหว่างที่ผมนอนระทดระทวยรอความเมตตา จู่ๆ มันก็อุทานขึ้นเบาๆ อะไรของคุณพี่อีกล่ะคร๊าบ...พี่ยังจะเอาอะไรอี๊ก...

“อะไรดุนหน้าท้องฉันอยู่น่ะ? ”

“!!?” เฮือก!!

ลูกกะตาดำผมเหลือกอีกรอบ! มันรู้สึกถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนผมแล้ว! พึ่งน้อยลูก! ทำไมลูกพ่อถึงซุกซนขนาดนี้!? ทำไมถึงผงาดง้ำค้ำโลกไม่ดูเวล่ำเวลาเลยวะลูก!!

“...ผ...ผ” เหตุผลร้อยพันตีกันให้ยุ่งอยู่ในหัวผม อะไรดีวะ บอกมันว่ายังไงดีวะ!? 

ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนปลาบู่ชนเขื่อนจนขาดอากาศ ในขณะที่มันเลิกคิ้วมองผมด้วยความสงสัยด้วยนัยน์ตาฉายแววประหลาด?

“ผะ? อะไรคือผะ? เธอซ่อนอะไรเอาไว้ในที่อย่างนั้นกันหืม?” มันถามพร้อมยิ้มร้ายใส่ผม รอยยิ้มนั่นมันคืออะไรวะ? มันรู้อะไรหรือเปล่าวะ!?

“ผ...ผ...ผ้าอนามัยค่ะ!!”

ผมพูดจบพร้อมหน้าเอ๋อ มันฟังจบพร้อมอึ้ง ‘ผ้าอนามัย’ กูเอาอะไรคิดวะเนี่ย?

“ผ้าอนามัย?” มันทำหน้าฉงนถามไถ่ ผมก็อยากบอกมันว่าไม่ใช่ แต่คงไม่ทันแล้ว...

“ค่ะ...มันคือผ้าอนามัย อิฉันมีประจำเดือนอยู่ค่ะ”

ตอบมันออกไปพร้อมรอยยิ้มแสนหวานบนใบหน้าที่มีแต่เหงื่อแตกพลั่กๆ เป็นน้ำตก

ไม่คิดไม่ฝันเลยนะ ว่าวันหนึ่งไอ้พึ่งจะมีเมนส์เป็นของตัวเองด้วย...



พ่อครับ แม่ครับ บรรพบุรุษครับ...ไอ้พึ่งน้อย...โตเป็นสาวแล้วนะครับ



++++++++++++++



หลังจากพจนประกาศตัวว่าเป็นวันนั้นของเดือน ภาคีก็ยอมปล่อยตัวอีกฝ่ายแต่โดยดี

“โอเค...งั้นวันนี้ฉันขอผ่าน ขอโทษนะที่ทำให้ค้าง พอดีฉันไม่นิยมฝ่าไฟแดง” ชายหนุ่มเอ่ยเย้าคนใต้ร่าง ก่อนจะผละตัวเองออกจากร่างนั้นอย่างอ้อยอิ่ง แล้วยืนจ้องไปที่คู่กรณีแบบไม่วางตา

คนที่มองยังไงก็คือหญิงสาวผอมบาง ค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นนั่งอย่างอ่อนแรง เรียวขาขาวที่โผล่พ้นชายกระโปรงที่ร่นสูง ดูเนียนตาไร้รอยเส้นขนเกะกะ กล้ามเนื้อส่วนเกินก็ไม่มี มันเรียวสวยขาวเนียน จนภาคียังนึกชื่นชม ผมเผ้ายาวยุ่งนั่นก็ของแท้ ใบหน้าขาวสะอาดตาที่ยังคงแดงระเรื่อน่ามองนั่นก็ของจริง...

เป็นผู้ชายที่สวยจนต้องขอออกปากชม ภาคีคิดอย่างนั้นแล้วพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกแปลก ๆ ของตัวเองไว้ ยิ่งมองเห็นสภาพหลุดลุ่ยของพจนที่เกิดจากฝีมือของตนแล้วภาคีก็ยิ่งรู้สึกขัดเขินเจือความรู้สึกผิด เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเลยแค่ต้องการแกล้งทำให้กลัว ความโมโหที่ฝ่ายนั้นพูดถึงคนในดวงใจทำให้เผลอหนักมือไปหน่อย แต่พอคิดถึงสิ่งที่ฝ่ายนั้นเองก็ติดค้างตนเพราะกล้ามาหลอกกันก็รู้สึกว่าเท่าเทียม

ทว่า...ทั้งที่เขาควรขยะแขยงที่ต้องทำแบบนั้นกับผู้ชายด้วยกันแต่เขาดัน...รู้สึกแปลก ๆ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าพจนเป็นผู้ชายแต่กลิ่นกายของฝ่ายนั้นก็ทำให้ดันเผลอทำเกินกว่าที่ตั้งใจ...จนเกือบเลยเถิด

“...!!” ภาคีรีบสะบัดความคิดประหลาดออกจากหัวเพื่อปรับอารมณ์ให้กลับมาเย็นชาเหมือนเดิม

“ขอบคุณค่ะ...ที่รักษากฎจราจร...” พจน เอ่ยตอบรับด้วยน้ำเสียงเครือสั่น และดูเหมือนเจ้าตัวจะเริ่มรู้สึกได้ถึงสายตาที่เพ่งพิจารณามายังตนจึงรีบเก็บเนื้อเก็บตัวให้เรียบร้อย เพราะไม่สามารถเดาใจคนที่ยังคงยืดกอดอกจดจ้องตัวเองอยู่ได้ หัวใจยังเต้นรัวแรงจนมือไม้สั่น จะอาละวาดแหกปากออกฤทธิ์ใส่อีกฝ่ายก็ไม่กล้าแล้ว เพราะกลัวว่าภาคีจะเกิดบ้าอะไรขึ้นมาอีก

“...อ...อิฉันเก็บของได้เลยไหม?” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายออกไป แบบไม่เข้าใจตัวเองว่าจะถามไปทำไม? หรือเพราะเมื่อครู่เขาถูกข่มขวัญจนประสาทหลอน ตอนนี้เลยกลายร่างเป็นเด็กดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน?

“เอาสิ...ให้ช่วยไหมล่ะ?” ภาคีอนุญาตพร้อมออกปากจะช่วย

“ไม่เป็นไรค่ะ อิฉันทำเองเร็วกว่า!!” พจนก็ร้องห้ามทันควันอย่างที่ภาคีคิดไว้ และไม่ต้องให้เสียเวลา พจนรีบคว้ากระเป๋ามายัดของตัวเองใส่แบบไม่รอช้า เรียกได้ว่าคว้าอะไรได้ก็หมกใส่ไว้ก่อน ยัดของลงกระเป๋าไปก็ก่นด่าคนที่ยืนจ้องไม่ละสายตาอยู่ข้างหลังไป ‘พ่องจะเฝ้าทุกอิริยาบถเลยใช่ไหม แม่ง!!’

“ไม่เห็นมีผ้าอนามัยเลย? หมดเหรอ?” จู่ ๆ ภาคีก็ถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่นเอาคนที่กำลังกุลีกุจอเก็บของถึงกับสะดุ้งวาบ

คำถามที่จี้ใจดำที่เล่นเอาพจนตัวแข็งทื่อ!

“ค่ะ! หมดค่ะ!!” หนักหัวพ่อมากไหมคะ!? พจนเกือบจะต่อด้วยประโยคนี้ แต่ดีที่หุบปากได้ทันเสียก่อน

“เหรอ? อืม...งั้นเดี๋ยวคงต้องแวะซื้อสินะ” ภาคียังคงจี้ไม่หยุด พจนที่หันหลังอยู่ไม่มีทางเห็นว่าใบหน้าเขาตอนนี้สะใจกับปฏิกิริยาของตนมากแค่ไหน

“ค่ะ! ช่วยแวะให้ซื้อสักโหลเถอะค่ะ! วันมามาก อิฉันใช้เปลือง!! ” พจนกระแทกเสียงตอบแบบไม่พอใจนัก ได้แต่คิดปลงในใจด้วยความกรุ่นเกรี้ยว

‘พุทโธ ธัมโม สังโฆ เวรกรรมตามกูทันแล้วสินะ! ไอ้ยักษ์ห่านี่ คงเป็นเจ้ากรรมนายเวรกูสินะ! ต้องหาเวลาเข้าวัดไปกรวดน้ำคว่ำขวัญให้แม่งบ้างแล้ว!! ’

ชายหนุ่มได้แต่คิดก่นด่าในใจพลางนึกสงสัยว่าทำไมสามีร่างยักษ์ปักหลั่นของเขาไม่นั่งเงียบไร้ตัวตนไปแบบที่เคยทำอยู่บ่อยๆ ทำไมต้องมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตเขามากมายอย่างนี้ด้วย แล้วที่เขาถูกอีกฝ่ายล่วงเกินขนาดนี้ เขาควรจะดำเนินชีวิตยังไงต่อไปดี ดูสิ ถูกกระทำย่ำยีเสียยับเยิน จนแทบจำสภาพเก่าไม่ได้

ทั้งที่เพิ่งปลงได้ แต่พอคิดถึงเรื่องที่เพิ่งถูกหยามไปเมื่อครู่ พจนได้แต่แช่งชักหักกระดูกภาคีในใจอย่างเหลืออด...

‘ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้ภาคี เทวินทร์วงศ์ ไอ้ยักษ์ห่า! ไอ้เฮงซวย!! ไอ้พึ่งคนนี้ขอสาบานไว้ต่อตู้เสื้อผ้านี่เลยว่าแค้นนี้ต้องมีวันชำระ! กรูจะทำให้เอ็งรู้สึกเสียใจที่เกิดมาเลยทีเดียว คอยดู! สาธุ! ขอให้เอ็งโดนหญิงทิ้ง!!’

ในขณะที่พจน ยังนั่งก่นด่าแช่งชักอีกภาคีอยู่ในใจนั้น ฝ่ายภาคีเองก็กำลังนึกอะไรสนุกๆ อยู่เหมือนกัน...

‘ก็ได้…นายพจน หมื่นพิทักษ์ ฉันจะยอมให้นายหลอกต่อไปก็ได้ เอาสิ...อยากรู้เหมือนกันว่านายจะทนอยู่ในสภาพผู้หญิงแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน แต่บอกไว้เลยนะ วันไหนนายหลุดเผยไต๋ วันนั้นนายเจอหนักแน่!’



+++++++++++++++++



รู้สึกว่าพี่พอลกำลังจะข้ามประตูสู่โลกใหม่ในไม่ช้า

ส่วนน้องพึ่งที่ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่นั้น...จะรอดเงื้อมพี่พอลหรือเปล่าน๊อ 555

ขอบคุณที่ติดตามนะค๊า

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
Re: พจมาน 18 มงกุฎ : ตอนที่ 09 เปิดตัว
«ตอบ #16 เมื่อ07-02-2024 03:11:37 »


09 เปิดตัว

วันทั้งวันผ่านไปอย่างน่าหดหู่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับไอ้ยักษ์กันแน่วันนี้มันถึงเล่นงานผมทุกครั้งที่มีโอกาสโดยเฉพาะตอนขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า...

เอ่อ...อย่าให้ผมต้องพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลยครับบอกตรง ๆ ขนยังลุกไม่หาย...

แต่ในความสิ้นหวังยังมีแสงสว่างรำไรให้ได้เห็นครับอะไรน่ะเหรอ...

ฮี่ฮี่...

เดี๋ยวผมจะได้กลับไปอยู่ที่บ้านตั้ง 5 วันแน่ะครับคุณผู้ชม

5 วันเชียวนะ 5 วันเชียว กว่าผมจะขอร้องอ้อนวอนไอ้ยักษ์สำเร็จนี่แทบจะกราบมันเลยนะครับ

อิอิ เรื่องมันมีอยู่ว่าพอดีเมื่อตอนเย็นก่อนจะกลับจากบ้านพ่อพจน์ผมรู้มาว่าที่วันนี้ไอ้พิงไม่อยู่บ้านเพราะมันต้องไปสโมสรเพื่อรับแบบฟอร์มการเข้าค่ายเก็บตัวภาคฤดูร้อนประจำปีที่จะมีขึ้นในวันมะรืนนี้นั่นก็หมายความว่าพ่อพจน์ของผมต้องอยู่บ้านคนเดียวถึง 5 วันเต็ม เป็นแบบนี้ใครจะปล่อยให้พ่อพจน์ผู้แสนจะน่ารักอยู่บ้านหลังใหญ่ในซอยเปลี่ยวคนเดียวได้ล่ะครับ (แม้ว่าอิตาลุงท่านเจ้าบ้านจะจ้างบอดี้การ์ดคุมเอาไว้ตั้ง 5 คนก็เถอะ!)

ดังนั้นลูกยอกตัญญูอย่างผมจึงต้องมาอยู่เฝ้าพ่อตามระเบียบยังไงล่ะครับ

มะรืนนี้แล้วมะรืนนี้แล้ว...

ความดีใจของผมมันเต็มล้นมากเลยขอบอก

ความบันเทิงใจรอผมอยู่ตรงหน้าทว่ากว่าจะถึงวันนั้นผมต้องฝ่าฟันอุปสรรคอีกเล็กน้อย...

นั่นคือ..สองคืนที่เหลือนี่ผมจะผ่านมันไปได้ยังไง...

แหม...แค่เปิดประตูออกจากห้องน้ำปุ๊บก็เจอเลยครับไอ้ตัวอันตรายมันนอนไขว่ห้างสบายอารมณ์สไลด์ไอแพดของมันบันเทิงอยู่เชียว! ถ้าท่านผู้ชมยังจำได้ คงนึกออกใช่ไหมครับว่าคุณพิสมัยเธอเสนอตัว จะให้เด็กๆ ขนเตียงแยกมาให้ แต่มันครับ มันเลย! ตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน คำแรกที่มันสั่งคุณพิสมัยคือ ‘เตียงไม่ต้องนะป้า ผมว่านอนโซฟาสบายดี ไม่เอาเตียงแยกแล้ว’

ทั้งที่มันพูดกับป้าพิสมัยเขาไปอย่างนั้น แต่ดูที่มันทำสิครับ! นอนโซฟาสบายดี แล้วเอ็งจะมานอนแถกเหงือกอะไรบนเตียงวะ ไอ้ห่านจิกเอ๊ย!!

หึ...ก็ได้แต่มโนก่นด่ามันในใจแหละครับ กระจอก ๆ อย่างผมน่ะ ชีวิตจริงน่ะเหรอ...เดินย่ำต๊อกขนผ้าผวยไปนอนโซฟาตามยถากรรมยังไงล่ะครับ...T^T

นี่ถือเป็นบุญคุณแล้วนะ เพราะถ้ามันให้นอนพื้นขึ้นมา ผมคงได้ร้องจริงๆ แน่

“จะหอบผ้าไปไหน?” มันถามขึ้นเมื่อผมหอบผ้าผ่อนเดินลิ่วไปที่ที่โซฟา ถามทั้งๆ ที่มันไม่หันมามองหน้าผมเลยแม้ชายตา

“...นอนโซฟา” ผมเองก็ตอบแค่นั้น ไม่อยากต่อคำกับมันเยอะครับ แค่ก! เจ็บคอ

“นอนทำไมที่โซฟา เกะกะ” เอ้า? ซะงั้นอ่ะพ่อ ไม่นอนโซฟาแล้วพ่อจะให้นอนไหนครับพ่อครับ!?

“มานอนบนเตียงนี่” เอ๊ะ? ให้นอนเตียง แสดงว่ามันจะนอนโซฟาแทนผมสินะ ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองใช่ไหม? (หัวใจเริ่มมีความหวังครับ รอยยิ้มเริ่มมา)

“...ค...คุณจะนอนโซฟาเหรอ?” ผมถามออกไปด้วยแววตาแห่งความหวัง ให้ตายเถอะ คุณพี่ภาคีของผม ขอโทษที่ผมเคยว่าร้ายพี่ต่าง ๆ นานา ไม่นึกว่าเนื้อแท้แล้วพี่จะเป็นคนน่าเคารพศรัทธาได้ขนาดนี้...ขอบคุณครับที่พี่ยอมเสียสละ

“ใครจะไปนอนโซฟากัน? ฉันก็นอนบนเตียงนี่น่ะสิ” อ้าว? ยังไม่ทันจะสรรเสริญจบ พี่ก็ตลบหลังผมซะแล้ว!?

“...” ผมเงียบ หางตาขวากระตุกยิก ๆ (ตั้งแต่ผมแต่งเข้ามาเป็นเมียมันนี่มีเรื่องให้ผมพูดไม่ออกเยอะแยะไปหมด ทั้งที่สันดานผมเป็นคนพูดน้ำไหลไฟดับแท้ ๆ)

เงียบ...และทำหน้าแบบ...กำลังด่าพ่อใครสักคนผ่านทางสายตา

“อึ้งทำไม?” ยังมีหน้าจะถามนะคนเรา เอ็งไม่ให้ข้านอนโซฟา แถมเอ็งจะนอนเตียง ถามอีกครั้ง เอ็งคิดจะให้ข้านอนไหน?

“ไม่ให้นอนโซฟา แล้วจะให้อิฉันนอนไหน?” หางสงหางเสียงไม่ต้องมีแล้วครับงานนี้ แถมหน้าผมยังหาเรื่องยิ่งกว่าเดิมคูณสิบ

ทว่าดูเหมือนสีหน้าและอาการของผมจะไม่ได้ทำให้มันกระเทือนครับ ผมเห็นนะ มันแสยะยิ้มน้อยๆ ก่อนจะช้อนตาขึ้นมามองผม แล้วตอกย้ำให้ยิ่งเจ็บช้ำระกำทรวง

“ก็นอนด้วยกันบนเตียงนี่ไง” ว่าพลางตบเตียงข้างตัวมัน ปุปุ

เดี๋ยวนะ...ขอสตั๊นสัก 10 วิ

เอ๊ะ? มันว่าอะไรนะ? นอนกับมัน? เตียงเดียวกัน? บร้า!! งานนี้ถึงกับเลิกคุยครับบอกเลย ผมเมินจากมันทันทีพร้อมหอบผ้าผวยเดินดุ่ยๆ ไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา แล้วคลุมโปงหนีความจริงทุกประการต่อหน้าต่อตามันนั่นแหละ ไม่ได้ท้าทายนะ ผมแค่รู้สึกว่าการเปิดศึกในคืนนี้อาจไม่เป็นผลดีกับตัวผมนักก็เท่านั้น ภาพจำยังชัดเจน เรื่องเมื่อกลางวันตอกย้ำให้ผมรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวขึ้นเยอะ!

“...”

“...”

เนิ่นนาน...ผมเงียบ มันเงียบ เมื่อไม่เห็นมันจะบ่นว่าอะไร ผมก็เริ่มเคลิ้ม อ่ะนั่นแน่ะ...นั่นไง...พระอินทร์ท่านกวักมือเรียกหย็อย ๆ แล้ว...

พรึ่บ!

หืมมมมม!?

“ว๊ากกกกกกก!!” เสียงผมเองครับท่านผู้ชม ร้องลั่นแบบลืมไปเลยว่ากำลังแต่งหญิงอยู่

ก็จะไม่ให้ผมร้องได้ยังไงล่ะ นอนอยู่ดีๆ ตัวก็ลอยขึ้นเฉย แถมไม่ต้องหาต้นตอด้วย แค่ลืมตาขึ้นมองก็เห็นเลยล่ะ....

ไอ้ยักษ์บ้ามันอุ้มผม!!

ช้อนตัวขึ้นในท่าอุ้มเจ้าสาวด้วย! อุ้มขึ้นมาทั้งที่ตัวผมห่อผ้าห่มอยู่อย่างนั้นแหละ! ไม่เหวอแดกก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วครับอารมณ์นี้

“ไอ้บ้า! ปล่อยนะ!”

“เฮ้ย! บอกให้ปล่อย...แอ่ก!” โวยวายเสียงแหลมบ้างทุ้มบ้างได้ไม่กี่คำ ทั้งตัวผมก็ถูกโยนโครมลงไปบนเตียง จุกแบบไม่ต้องสืบ แถมยังไม่ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว มันก็ทิ้งตัวลงมานอนเคียงข้างอย่างไม่มีเคอะเขิน พอจะกลิ้งหลบก็ถูกมันคว้าเอาไว้ นี่อย่าบอกนะว่ามันจะปล้ำผมอีกแล้ว!? ไอ้บ้า ฝ่าไฟแดงตำรวจจับนะเว้ย!!

“ฮื่อ อย่าดิ้นน่า” อร๊าก! ไอ้บ้า อย่ามากระซิบข้างหูกันแบบนี้นะกูขนลุก!!

“ปล่อยนะ! ถอยออกไปเลยไอ้หื่น ไอ้คนโรคจิต วิตถาร สันดานสำส่อน ไอ้คนมักมากในกาม...อู้อี้ อู้อี้...!!” ผมด่ามันสารพัดเท่าที่จะงัดออกมาด่าได้แต่ไม่รู้มันจะได้ยินหรือเปล่านะ เพราะผมคลุมโปงนอนคว่ำด่ามันทั้งที่หน้ายังซุกอยู่กับหมอน!

“หึหึ...ช่างเป็นภรรยาที่ใจจืดใจดำกับสามีเสียเหลือเกินนะ เอาเถอะ ฉันยังไม่ทำอะไรเธอวันนี้หรอก” มันว่า พลางหัวเราะในลำคอเบา ๆ ราวกับจะเย้ยที่ผมกลัวมันจนหางจุกตูด

“ง...งั้นอิฉันกลับไปนอนโซฟาได้แล้วใช่ไหม?” ได้ยินที่มันพูดผมก็รีบถามออกไปแบบไม่ต้องการคำตอบ แค่อยากบอกให้มันรู้ว่ากูไปแล้วนะ ไม่ต้องมารั้ง เห็นมันเงียบไม่ตอบผมก็เลยค่อย ๆ พลิกตัวกลับมาเลิกผ้าห่มตัวเองมอง แต่แค่เห็นมันนอนเท้าแขนซ้อนหลังผมอยู่ อาการป๊อดของผมก็เริ่มทำงาน งานนี้ไอ้พึ่งขอถอยตั้งหลักอีกรอบ

“นี่...บอกว่าอย่าดิ้นไง ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก แค่อยากให้นอนเตียงเดียวกันเฉย ๆ เอง”

“ท...ทำไมต้องนอนเตียงเดียวกันด้วยล่ะ เราแต่งงานกันแค่ในนามไม่ใช่เหรอ? แบบนี้มัน...”

“ก็ถ้ามันจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา มันไม่น่ายินดีกว่ารึไง?”

“...!!?” อึ้งสิครับได้ยินแบบนั้นเข้าไป รู้สึกเลยว่าตอนนี้มันกำลังเล่นปูไต่อยู่บนแขนผมอยู่!

“เพราะงั้น ก็เริ่มด้วยการนอนเตียงเดียวกันนี่แหละ”

“ไม่เอา! เดี๋ยว! เฮ้ยยย!!”

เหมือนจะไม่ทันแล้วครับ มันพูดเองเออเอง แล้วก็นอนกอดเอว พร้อมเอาขามาตะกายตัวผมไว้ ทั้งที่ผมยังคงห่อผ้าห่มเป็นแหนมอยู่อย่างนั้น ไม่มีเห็นใจ ไม่ฟังการทัดทาน อยากเถียงก็ไม่ได้ เพราะโดนมันล็อกไว้จนหายใจแทบไม่ออก

เอาไงดีวะ เอาไงดีวะ ผมได้แต่นอนคิดอยู่ในอ้อมกอดมัน

มันนิ่งไปแล้วครับตอนนี้ เงียบกริบ หรือผมควรจะดิ้นหนีมันตอนนี้ดี

แต่ถ้าดิ้น มันตื่น มันอาจทำสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงอีกก็ได้ หรือผมควรจะสมยอมนอนให้มันกอดอยู่อย่างนี้ไปก่อน...

อ๊ากกก...คิดไม่ตก!!

คิดสิคิด…

คิด...

......

..........

..............z z Z Z Z

“หลับง่ายเป็นเด็กเล็กเลยนี่หว่า” ภาคีเปรยขึ้นเบา ๆ กับร่างที่สงบไปแล้วในอ้อมแขน หลักฐานว่าอีฝ่ายถึงนิทรานั้นหาไม่ยาก แค่เสียงกรนเบา ๆ ออกจากกองผ้าห่มที่ม้วนตัวอยู่ก็ทำให้รู้ได้แล้วว่าอีกฝ่ายหลับสนิท

“นี่เรียกว่าไม่ระวังตัว หรือไม่รู้ร้อนรู้หนาวดีนะ” ชายหนุ่มบ่นต่ออีกเล็กน้อยพลางล้มตัวลงนอนอยู่ข้างกัน แขนซ้ายก่ายหน้าผากคร่ำครวญคิด ตกใจไม่น้อยเลยในคราแรกที่ได้รู้ว่าเจ้าสาวหมาด ๆ ของตนเป็นผู้ชายปลอมตัวมา แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครหาญกล้าทำเรื่องบ้าบิ่นขนาดนี้ แต่พอลองใคร่ครวญดูก็รู้สึกว่านี่อาจเป็นเรื่องดีแล้วก็ได้...

ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย...ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเผลอรัก

ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย...ยามที่เลิกรากันไป ก็จะไร้ร่องรอยเจ้าสาวคนนี้

ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย...ในตอนสุดท้ายอาจได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

ถ้าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย...3 ปีจากนี้ไปของเขา อาจไม่น่าเบื่อเหมือนที่เคยจินตนาการไว้

...หึหึ แค่ได้แกล้งไปนิดหน่อยวันนี้ เขาก็ถูกใจปฏิกิริยาที่อีกฝ่ายแสดงตอบกลับมาจะแย่ ผู้ชายอะไร พอเข้าตาจนก็โพล่งออกมาว่ามีประจำเดือน ยิ่งเห็นอีกฝ่ายแกล้งสวมรอยเป็นผู้หญิงแบบเก้ ๆ กัง ๆ เหมือนบ้าง หลุดบ้าง ยิ่งทำให้เขาสนุกครื้นเครง ที่จริงแล้ววันนี้เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำกับหมอนี่ถึงขนาดนั้นหรอก ไอ้ที่จะให้ไปซุกไซ้ซอกคอของผู้ชายด้วยกันเขาเองยังรู้สึกขนลุก แต่ไม่รู้ทำไมตอนนั้นถึงเผลอทำเกินเลย แค่เพราะหงุดหงิดที่ฝ่ายนั้นล้ำเส้น เมื่อต่อยปากไม่ได้เลยแกล้งให้ได้กลัวเพื่อให้หลุดความจริงเรื่องปลอมตัวออกมา

แต่พอทำแล้วเห็นฝ่ายนั้นตระหนกก็ดันเกิดความรู้สึกสนุก อีกทั้งกลิ่นเฉพาะตัวบางอย่างของฝ่ายนั้นก็ดันถูกใจจนทำให้เขาเผลอตัวไปหน่อย ดีว่านึกขึ้นได้เสียก่อนว่าเจ้าของซอกคอหอมหวานกับผิวเนียนลื่นมือนั่นเป็นผู้ชาย สมมติว่าถ้าเป็นผู้หญิงเขาต้องลำบากแน่ๆ

ได้ถูกตราหน้าว่าไอ้เลวรังแกผู้หญิง เป็นโรคจิตวิตถารเหมือนที่ไอ้หมอนี่ด่าเอาจริงๆ แน่

แต่ในเมื่อไอ้โจรต้มตุ๋นข้างหน้าเขานี้เป็นผู้ชายที่ไม่ได้เนียนกับการปลอมตัวเป็นผู้หญิงเลยสักนิด คิดไปก็พานจะอยากเห็นหน้าอิหลักอิเหลื่อนั่นอีกจัง อยากรู้นักว่าถ้าพจนรู้ว่าเรื่องที่ตัวเองพยายามปกปิดกับเขานักหนา มันแตกตั้งแต่เข้าหอคืนแรก เจ้าตัวจะทำหน้ายังไง ปากดี ๆ แสบ ๆ แบบนั้น คงได้ทำให้เขาขำได้ไม่หยุดอีกแน่ ๆ

“เอาเถอะ ฉันจะยังไม่กดดันนายจนเกินไปก็แล้วกัน”

“ฉันจะยอมอดเปรี้ยวไว้เคี้ยวกระดูกเปราะ ๆ ของนายไม่ให้เหลือซากเชียว...หึหึ”



+

+

+
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2024 04:04:41 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

เวลาผ่านไปสองวัน ไวราวกับโกหก...

เผลอแป๊บเดียวก็เช้าวันที่สอง วันที่ผมจะได้ระเห็จตัวเองกลับไปอยู่บ้านพ่อพจน์ ผ่านมาได้อย่างเรียบร้อย เงียบเชียบ และงุนงง เชื่อไหมครับไอ้ยักษ์ที่เคยลวนลามผมสารพัดในวันนั้นสองคืนหนึ่งวันที่ผ่านมากลับเมินผมอย่างกับผมเป็นเพียงอากาศธาตุหรือขี้ไรฝุ่นในห้องมัน เมื่อวานตอนเช้าตื่นมามันก็หายไปทั้งวันบอกว่ามีนัดกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยทำอะไรสักอย่างกลับมาเสียดึก โดยที่ไม่หือไม่อือกับผมสักคำ...

อ่อ...พูดมาประโยคหนึ่ง... ‘ถ้ายังดื้อ ไม่ยอมนอนบนเตียงดี ๆ คราวนี้ฉันจะปล้ำนะ’ ข่มขู่แบบหน้าตายไร้อารมณ์ร่วม แต่ก็เพียงพอให้ขนตูดผมลุกซู่ชูชัน ขนาดเป็นผู้ชายด้วยกันยังกระอักกระอ่วน นี่ถ้าผมเป็นผู้หญิงยิงเรือจริง ๆ คงได้สติแตกเพราะความหื่นจนน่ากลัวของมัน ไอ้ยักษ์เอ๊ยหล่อเสียเปล่าจริง ๆ คำขู่ของมันนี่เล่นเอาผมเจ็บอกซ้ายลามลงต่อมลูกหมากเลยครับ...ฮือ...

โดนแบบนั้นเข้าไป ลูกผู้ชายอย่างผมจะทำอะไรได้ นอกจากไสตัวขึ้นไปนอนห่อเป็นแหนมปลาบู่อยู่บนเตียงข้างมันเหมือนคืนก่อน พร้อมเฝ้าภาวนา ‘อย่านะมึง...อย่าเอาน้องชายเอ็งมาถูผ้าอนามัยกูอีกนะ...เดี๋ยวมันจะโด่...’ (- * -)

แล้วก็เช้ามาอย่างปลอดภัย ผมลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีที่แสงแดดยามเช้าทอแสงเรืองรองเข้ามาในห้อง ไม่รู้ว่าเป็นเวรหรือบุญกันแน่ที่ต่อให้ผมจะพรั่นพรึงกับไอ้ยักษ์แค่ไหน พอหัวถึงหมอนได้ก็หลับเหมือนตายทันที เพราะติดนิสัยที่เมื่อก่อนมีเวลานอนน้อยจึงต้องรีบหลับให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อที่จะมีแรงไปทำงานต่อ ผมบิดตัวงัวเงียตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าไอ้ยักษ์มันยังหลับอยู่ข้างๆ ผมนั่งมองหน้าตายามหลับของมันนิ่งๆ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

...ไม่อยากยอมรับเลยจริงจริ๊ง แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความจริงที่ว่า แม่งเอ๊ยขนาดหลับ ‘ยังหล่อ’

แต่ช่างหัวมันเถอะ ใครจะสน เป็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักก็ว่าไปอย่าง แอบขนลุกใส่ตัวเองอยู่แวบหนึ่งที่ดันไปหวั่นไหวกับภาพผู้ชายด้วยกันหลับ สะบัดหน้าแรงๆ เรียกสติแล้วรีบลงจากเตียงไปอาบน้ำ เฮ้อ เลิกเพ้อ เลิกเพ้อ!!

9 โมงเช้าอาบน้ำเสร็จสรรพกินข้าวอิ่มแปล้ผมก็ลงมานั่งยิ้มเผล่รอมันอยู่ตรงโถงห้องรับแขก แหม...ก็คนจะได้กลับไปนอนบ้านตั้ง 5 วันจะไม่ให้มีความสุขได้ยังไงล่ะครับ นี่ถ้าไม่ติดว่าไอ้ยักษ์คาดโทษไว้ว่าถ้าหนีไปเองโดยไม่บอกมัน มันจะไปลากหัวผมกลับมาละก็ป่านนี้ผมเปิดตูดไปนานแล้วไม่รอคุณชายท่านแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่ตั้งนานสองนานหรอก

"นั่งยิ้มอะไรคนเดียว? "

ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์เล็กน้อยเมื่อถูกมันเรียกจากทางด้านหลัง พอหันไปมองก็เห็นคนหล่อหนึ่งอัตราเดินหน้าเชิดมา เหอะ...หนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบนาทีเศษๆ กว่าเทพท่านจะเสด็จลงจากดาวดึงส์! คนอะไรอาบน้ำนานอย่างกับผู้หญิง มันขัดอะไรของมันนานขนาดนั้นกันวะ?

“ไปกันได้แล้ว” ไม่ทันจะให้ผมได้แก้ต่างว่านั่งยิ้มทำไม มันก็เรียกให้เดินตามมันออกไป โดยที่ตัวมันก้าวฉับๆๆ นำไกลไปเกือบถึงหน้าประตูแล้ว (เดินไวฉิบ...) ผมเดินตามมัน (แบบแทบจะวิ่ง) ไปจนถึงรถ พอออกตัวจากบ้านได้ ผมก็ยิ้มกริ่มขึ้นมาอีกรอบเพราะในที่สุดก็จะได้กลับบ้านเสียที

แต่แค่ยิ้ม มันก็เริ่มแขวะผมอีกแล้ว

“เพิ่งรู้นะ ว่าได้เจ้าสาวเป็นใบ้” ดอกแรก

ผมเผลอเบะปาก แต่ก็จริงของมันครับ ข้อนี้ผมไม่เถียง ผมเงียบจริง ตั้งแต่ตื่นมายังไม่ได้พูดกับมันสักคำ และก็ไม่คิดจะพูดด้วยเพราะลูกผู้หญิงต้องไว้ตัว วะ ฮ่าฮ่า! ล้อเล่นครับ ความจริงมันก็เป็นแค่อารยะขัดขืนเล็กๆ ของผมเท่านั้นเองแหละ เพราะโดนมันทำไว้เยอะแถมไม่ให้โอกาสได้ตอบโต้ด้วย จะให้ออกฤทธิ์ สภาพเพศปลอมที่เป็นอยู่ก็ไม่อำนวย ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ผมเลยไม่คุยด้วยแม่งเลย เอาสิ จะพูดว่าด่าทออะไรก็แล้วแต่จะพอใจเถอะ ไม่รับฟังเสียอย่าง เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เข้าหูหมาทะลุหูแมวกันไป...

“...เอาเถอะ ไม่อยากพูดด้วยก็ตามใจ แต่หยิ่งให้มันตลอดก็แล้วกันนะ” มันว่างั้น แต่ผมก็ยังคงลอยหน้าลอยตาไม่แยแส แถมวางแผนไว้แล้วว่าเดี๋ยวพอถึงบ้านจะสะบัดตูดลงจากรถแบบไม่ลาสักคำ คอยดู...

แต่เอ๊ะ? มันเลี้ยวทำไม?

หืม? นี่ไม่ใช่เส้นที่ไปบ้านผมนี่

เฮ่ย? มันจะพาผมไปไหนวะ!?”

“นี่คุณ! ทางนี้ไม่ได้ไปบ้านอิฉันนี่!!” งานนี้หยิ่งต่อไม่ได้แล้วครับ ผมรีบถามมันออกไปทันที เผื่อว่าความจริงมันอาจจะแค่เลี้ยวผิดทาง

“...” แต่มันไม่ตอบครับ ไม่พูดสักคำ นอกจากหันมาแสยะยิ้มพร้อมยักคิ้วให้ ก่อนจะบึ่งรถเบี่ยงเข้าซอกในช่องทางที่จะขึ้นทางด่วน โดยไม่สนใจเสียงลูกนกลูกกาอย่างผมสักนิด! เผลอแป๊บเดียวมันผ่านช่องอีซี่พาสแบบเนียน ๆ แล้วบึ่งขึ้นบูรพาวิถีไปแล้วครับตอนนี้!!

“คุณจะพาอิฉันไปไหนเนี่ย!?” ผมโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นมันยังไม่ยอมสนใจไยดี

“คุณภาคี!?” นอกจากเสียงดังยังแหลมสูง เอาสิ! ถ้าไม่ยอมตอบ ไม่คอผมก็แก้วหูมันได้แตกไปข้างแน่!

“หึ...เลิกเป็นใบ้แล้วเหรอ? เสียงดังซะด้วย” ไม่สลดแถมกวนกลับเสียงชิลด์ สภาพนั้นทำความดันผมพุ่งขึ้นหัวจนหน้าแทบมืด ทำไมถึงได้กวนเบื้องล่างได้ขนาดนี้กันครับ!? ไอ้คุณภาคี เทวินทร์วงศ์!!

“คุณจะพาอิฉันไปไหน!? ลงทางด่วนข้างหน้านี่เลยนะ! อิฉันจะกลับบ้านพ่อ!!” มันยังเริงร่า แต่ผมไม่บ้าไปกับมันด้วยหรอก

“ไม่ลง” โว้ะ! ไอ้นี่!! วอนเสียจริง เดี๊ยะพ่อเขวี้ยงด้วยซิลิโคนหัวแตก!

“งั้นก็จอดค่ะ! อิฉันลงเอง!!”

“จอดไม่ได้ กลางทางด่วนแบบนี้เดี๋ยวตำรวจมาจับเอา” มันตอบพร้อมทำตาใส

“ช่างหัวตำรวจค่ะ! จะลงค่ะ ช่วยจอดด้วยค่ะ!! ” ผมแทบจะหวีด นี่มือผมเริ่มจีบหน่อย ๆ แล้ว

“ไม่จอดค่ะ” อร๊ากกก! ดูมันยังมีอารมณ์มาพูดคะขา! ไม่ได้สลดเลยใช่ไหมกับใบหน้าที่จะกลายเป็นยักษ์เข้าไปทุกทีของผมเนี่ย!?

“คุณภาคี!”

“ไม่พาไปขายหรอกน่า จะโวยวายทำไมกัน” มันว่าก่อนจะกระชากตัวรถบึ่งสู่บูรพาวิถีด้วยความเร็วที่น่าจะโดนกล้องส่องจับ!

ผมจำไม่ได้แล้วว่าหลังจากนั้นผมโวยวายอะไรออกไปบ้าง จำได้เพียงว่ามันไม่ได้ตอบโต้อะไร นอกจากทำหน้าตายด้าน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว แล้วก็เหยียบเอา เหยียบเอา เร็วจี๋จนผมนึกกลัวตอนมันเข้าโค้ง แม้รถมันจะยี่ห้อดังราคาหลายล้าน แต่มันก็ไม่ได้การันตีนี่ว่าถ้าหลุดโค้งร่อนลงทางด่วนไปแล้วผมจะไม่เละจนจำซากไม่ได้นะครับ (T^T)

นั่งหลังจมเบาะอย่างหมดแรง เพราะเกร็งจนเยี่ยวเหนียว เพียงชั่วโมงเดียวผมก็มายืนอยู่ตรงหน้าหาดบางแสนแบบงงๆ นี่มันพาผมมาทะเลเพื่อ!? เอามาเล่นน้ำเรอะ? แล้วดูสารรูปผมสิ เสื้อยืดคอเต่าสีขาวกับกระโปรงบานสีโอลด์โรสเนี่ย มันเหมาะจะมาทะเลตรงไหน!?

“คุณพาอิฉันมาทำอะไรที่นี่เนี่ย?” ผมถามมันออกไป ด้วยสีหน้าแบบหมางงเต็มที่

“ตามมาสิ” แต่มันก็ไม่ได้สนใจจะตอบ กลับเดินลิ่วๆ นำผมไปแบบไม่เหลียวหลัง จะเอายังไงต่อดี ผมรีบใช้สมองอันชาญฉลาดของตัวเองประมวลผลเพื่อหาทางหนีทีไล่ จะให้เดินตามมันไปง่ายๆ?

ไม่! ไม่มีทาง!! มันไม่ใช่วิสัยไอ้พึ่งครับ ถ้ามันอยากเที่ยวทะเลนักก็เที่ยวไปคนเดียวแล้วกัน ไอ้พึ่งลาล่ะ!

คิดได้ผมก็กระชับสายกระเป๋าสะพายฟรุ้งฟริ้งในมือเอาไว้มั่นแล้วหันหลังเดินฉับ ๆ ไปคนละทิศกับมันทันที ‘เอ๊...คิวรถตู้เข้ากรุงเทพอยู่ไหนหว่า?

หมับ!

“โอ๊ะ!? เฮ้ย! เอากระเป๋าอิฉันคืนมานะ!!” ไม่ทันไปได้ถึงไหนผมก็โดนมันคว้าต้นแขนผมเอาไว้แถมยึดกระเป๋าฟรุ้งฟริ้งไปจากผมเฉย

“ตามมาดี ๆ !” แถมก้มลงมาขู่เบา ๆ ตรงข้างหู

“ไม่ไป! อิฉันจะกลับบ้าน!” ผมปฏิเสธหันไปจ้องหน้าหาเรื่องมันอย่างจริงจัง

“ตามมาเลย” มันไม่ฟัง มือใหญ่เท่าใบลานขาว ๆ ของมันเริ่มกระชากต้นแขนผมแรงขึ้น...

ในเมื่อมันไม่ยอมปล่อย ผมก็ไม่ยอมถอย การยื้อยุดฉุดกระชากจึงเริ่มขึ้นจนคนที่เดินผ่านไปมาเริ่มให้ความสนใจมองมาที่พวกผมเป็นตาเดียว จากนั้นก็เริ่มซุบซิบ แต่ไอ้ยักษ์มันไม่สนการตกเป็นขี้ปากชาวบ้านเพราะมันยังพยายามลากผมถูลู่ถูกังอยู่ ขนาดว่าผมพยายามขืนตัวแทบตายยังไหลไปกับแรงวัวแรงควายของมัน งานนี้ไอ้พึ่งจึงจำเป็นต้องหาวิธีเอาตัวรอดทางใหม่…

เฮ้อ...ไม่อยากทำแบบนี้เลยเน่อ...

ผมแสยะยิ้ม หึหึ...น้องยักษ์คนดี น้องเป็นฝ่ายวอนหาเรื่องเองนะ!

“กรี๊ดดด! อร๊ายยย!! ปล่อยนะไอ้โรคจิต!!”

ลั่นทุ่ง...

หุหุ เสียงผมเองแหละครับ ผมเองที่แหกปากร้องแรกแหกกระเชอเชิญชวนผู้คนที่เดินผ่านไปมาให้ต้องหยุดดูกันเป็นตาเดียวด้วยความตั้งอกตั้งใจ อิอิ อยู่บ้านเอ็งใหญ่ไอ้ยักษ์ แต่นอกบ้าน...เอ็งข้าก็เท่ากันแหละวะ!

“เฮ้ย? ทำอะไรของเธอเนี่ย?” มันรีบหันมากระซิบถามพร้อมทำหน้าเลิ่กลั่ก เพราะคงไม่นึกว่าผมจะมาไม้นี้

แต่...ผมแคร์ไหมล่ะ...ฮ่าฮ่า หน้าไม่ทนเท่าพี่ก็รีบหนีไปเสียไอ้น้อง!!! เอ้า แหกปากต่อ!!

“ช่วยด้วยค่า! ไอ้โจรหื่นกามมันจะฉุดหนูวววว์!!”

“พจมาน!”

“ช่วยด้วยคร่าา ใครก็ได้ช่วยที! อร๊ายยยย!!”

ได้ผลครับ ชาวบ้านเริ่มแห่มามุงดูเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นเร้าใจกันเยอะขึ้น เมื่อไทยมุงเริ่มมาทีมอาสาที่จะช่วยก็เริ่มมี นั่นๆ พี่คนนั้นเตรียมเข้าชาร์ตแล้วครับ คึคึ...ผมงี้โคตรสะใจที่ได้เห็นไอ้ยักษ์หน้าซีดเป็นไก่ต้มแต่ก็ยังพยายามปั้นหน้านิ่ง กูเห็นนะว่าเหงื่อมึงแตกพลั่ก ๆ ฮี่ ฮี่ ไงล่ะ รู้ฤทธิ์ไอ้พึ่งแล้วรึยัง ฮ่าฮ่าฮ่า กร๊ากกกกก...

และแล้วสุดท้าย มันก็ยอมปล่อยมือ ผมงี้เกือบกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ ฮะฮะฮ่า ชัยชนะครั้งแรกของผม!!

รื่นเริงอยู่ได้ครู่เดียวก็ต้องอึ้งยิ่งกว่าเมื่อมันยืดตัวขึ้นแล้วเปลี่ยนสีหน้าจากซีดเผือดเป็นฉีกยิ้มโปรยเสน่ห์ แผ่ออร่าความหล่อสว่างเจิดจ้าส่องประกายปิ๊งปั๊งไปยังกลุ่มไทยมุงทั้งชายหญิง เชื่อไหมครับแค่ยิ้มเดียวทุกคนหยุดชะงักราวกับติดสตั้นไม่เว้นแม้กระทั่งผม โอ้วมายด์ก๊อด! รอยยิ้มพ่อราวกับเทพยดาแน่ะ ผมถึงกับอ้าปากค้าง

“เอ่อ...อย่าเพิ่งเข้าใจกันผิดนะครับ เราสองคนเป็นสามีภรรยากัน เธองอนที่ผมไม่ว่างพาไปฮันนีมูนเสียทีแถมยังพามาเที่ยวได้แค่บางแสน เธอโกรธผมมากจนอยากจะหนีกลับบ้านเองอย่างที่พี่ป้าน้าอาเห็น...ผมขอร้องนะครับ ให้ผมได้ง้อแฟนผมหน่อย ขอโทษที่ทำให้ต้องเสียเวลากัน...เอาใจช่วยให้ผมง้อภรรยาของผมสำเร็จด้วยนะครับ”

มันว่าแค่นั้น ทุกคนก็ปรบมือเกรียวกราวอย่างไร้ตรรกะ ท่ามกลางความอึ้งแบบไร้ที่สิ้นสุดของผม ตาที่โตอยู่แล้วของผมเบิ่งโตกว่าไข่ห่านอีกครับตอนนี้ คนอะไรตอแหลได้ละมุนละม่อมขนาดนี้วะ!? นี่แค่มันยิ้มพร้อมตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จด้วยน้ำเสียงหวานละมุนหูแค่นั้น...แค่นั้นจริงๆ ทุกคนก็หันไปเชื่อมันเสียสนิท ผมได้ยินมีบางคนพูดด้วยนะว่า...

‘กะแล้วว่าพ่อหนุ่มไม่มีทางเป็นคนร้ายได้หรอก หล่อขนาดนี้’

‘แหม...คุณภรรยาก็ช่างแง่งอนเนอะ’

‘วุ้ย...ผัวหล่อขนาดนี้ เป็นฉันไม่มีงอนเด็ดขาด’

‘ง้อให้หนักเลยหนุ่ม เมียพยศเหลือเกิน ฮ่าฮ่า...’

มากมายหลายเสียงประเดประดัง อยากจะเถียงออกไปใจแทบขาดว่าจริง ๆ แล้วมันตอแหล! ผมไม่ได้งอนมันที่ไม่ได้พาไปฮันนีมูน!! แต่ก็ได้เพียงอ้าปากพะงาบ ถึงอยากจะโวยวายระดับรัชดาลัยต่อแต่เพราะไทยมุงเยอะไปผมกลัวว่าเรื่องมันจะเลยเถิดจนถึงมือตำรวจขึ้นมาคนที่ลำบากมันจะกลายเป็นผมแทนไอ้ยักษ์เพราะชนักที่ปักหลังผมอยู่ตอนนี้นั้นใหญ่กว่าไอ้ยักษ์เยอะ

คิดได้แบบนั้นปากผมก็หุบสนิท แขนขาที่เอาแต่ทุบไอ้ยักษ์อยู่เมื่อครู่ไหลไปอยู่ข้างตัวอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว เพราะจู่ๆ ก็ตันมุขในการเอาตัวรอดขึ้นมาเสียเฉยๆ เมื่อน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟผมก็จำใจโดนมันหนีบเข้ารักแร้... (T^T)

“เดี๋ยวถ้าผมง้อไม่สำเร็จภรรยาของผมเธอต้องหนีผมกลับอีกแน่ วานช่วยดูหน่อยนะครับ ถ้าใครเจอเธอหลบหนี ช่วยพามาคืนผมด้วยนะครับ”

หน็อย...ไม่ใช่แค่แก้ตัวพลิ้วมันยังดิ้นรนขอความเมตตาหน้าด้านๆ จากผู้ชุมนุมอีก! แถมทุกคนยังยกมือกดไลค์มันด้วย ผมงี้ได้แต่กลอกตามองบน ให้ตาย! ไอ้หล่อตอแหลครับพี่น้องอย่าไปหลงคารมมัน!! อยากจะร้องบอกความจริงให้ก้องโลกแต่ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าจำใจปล่อยตัวปล่อยกายให้มันโอบเอวพาเดินจากฝูงชนไปเงียบๆ (ที่เงียบน่ะผม แต่มันน่ะโบกมือให้แฟนคลับเกรียวกราว)

“บอกแล้ว...อย่าดื้อ”

เสียงมันกระซิบสะใจ พร้อมโอบกระชากลากผมให้ตามมันไปแบบไม่ห่างตัว ดิ้นก็ไม่ปล่อยแถมขู่ว่าถ้าไม่อยากโดนอุ้มโชว์คนแถวนี้ก็ให้ทำตัวดีๆ อยากขัดขืนอยู่หรอก ถ้าไม่เห็นหน้าที่แสดงความกริ้วชัดเจนเสียก่อน ไหนจะเสียงอันเย็นเยียบเสียดใจของมันอีก ไม่บอกก็รู้ว่าคำขู่ของมันอ่ะเรื่องจริง...

ก็ได้วะ...ผมยอมมันอีกรอบก็ได้วะ...ฮรืออออ...

+

+

+

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

“ไง ไอ้พอล มาช้าว่ะ”

เสียงใครบางคนตะโกนทักไอ้ยักษ์ปักหลั่นมาแต่ไกล ทำเอาผมที่เดินก้มหน้างุดๆ อยู่ต้องเงยขึ้นไปมอง โอ๊ะ...หล่อเว้ย เพื่อนไอ้ยักษ์แต่ตัวไม่ยักษ์เท่ามันนะครับ เพื่อนมันคนนี้ตัวเล็กกว่าไอ้ยักษ์หน่อย แต่...ก็สูงกว่าผมอยู่ดี ผิวขาว หน้ากระเดียดไปทางหวานนิด ๆ ตางี้โตเชียว แต่คิ้วเข้มมาก ผมสั้นจัดทรงยุ่งเหยิงสีน้ำตาลอ่อนรับกับปากแดงๆ ชนิดที่ต้องมองเหลียว แหม...นี่ถ้าไม่พูดภาษาไทยนะ ผมว่าต้องเผลอคิดว่าเป็นนักร้องเกาหลีหลุดออกมาจากโปสเตอร์แล้วล่ะ

“เออ กูมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ แล้วนี่พวกมึงมากันครบยัง?” ไอ้ยักษ์ตอบกลับหน้าตาย ขณะที่มือมันยังไม่ยอมปล่อยออกจากเอวของผม

และดูเหมือนไอ้เกาหลีเพื่อนมันจะสังเกตเห็นมือไอ้ยักษ์บนเอวผมพอดี หน้าหวานยกยิ้ม ปากแดงๆ ก็แกล้งแซวขึ้นมาทันที...

“โอ้...พาเจ้าสาวหมาด ๆ มาเปิดตัวด้วยเหรอวะ เฮ้ยยยย....เกลียมัวป่ะเนี่ย ฮ่าฮ่า” ผมกลอกตาแทบจะเป็นเลขแปด กับการแซวที่ชวนอารมณ์เสียสุด ๆ ของไอ้หน้าเกาหลีที่กำลังจะเป็นเกาเหลาในไม่ช้า จนนึกอยากดีดปากแดง ๆ นั่นให้ช้ำสักเผียะสองเผียะ!

“เออ ก็เมื่อวานพวกมึงบอกอยากเห็นเพราะตอนงานแต่งไม่ได้เข้าร่วม กูเลยพามาให้พวกมึงได้สมอยาก จะได้เลิกกระจองอแงใส่กูกันเสียที” มันบอกเพื่อนพร้อมกระตุกผมเข้าอ้อมแขนมันกระชับขึ้น อื้ม...ถ้าจะล็อกตัวกันขนาดนี้ ช่วยเอาโซ่มาล่ามคอไปเลยเหอะ!

“แหม...อภิชาตเพื่อนจริง ๆ เลยนะมึงไอ้พอล ไป ไป เข้าไปข้างในกัน พวกนั้นรอมึงจนกึ่มนำไปแล้ว”

“แต่เช้าเลยนะพวกบ้านี่ หึหึ ตะวันยังไม่ทันตรงหัวเลยเสือกเมากันเสียแล้ว” ไอ้ยักษ์บ่นพลางหัวเราะ พร้อมกับลากผมตามหลังเพื่อนมันเข้าข้างในอย่างที่ถูกเชื้อเชิญ

“ปล่อยได้แล้วคุณ อิฉันเดินเองได้” ผมกระซิบบอกมัน นี่จริงจังเลยนะ ไม่ได้คิดหนีด้วย ผมไม่อยากให้เพื่อนคนอื่น ๆ ของมันเห็นสภาพนี้ของผมอ่ะ น่าอายจนแทบจะเอาหน้าแทรกรูหนี...

“อย่าดื้อ” มันไม่ยอมปล่อย แถมปรามอย่างกับผมเป็นเด็กเล็ก ๆ ‘ดื้อพ่อง!! ’

“อิฉันไม่หนีหรอกน่า ปล่อย!” แต่ผมเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน จะอะไรนักหนา ก็บอกว่าไม่หนีไม่หนี ยังจะล็อกตัวไว้อยู่ได้!

“ยังอีก!” คราวนี้มันเริ่มคำรามข่ม เล่นเอาผมอยากจะว้ากใส่หน้ามันสักที ถ้าไม่ติดว่าเพื่อนมันหันมาคุยด้วยเสียก่อน

“นั่นไง พวกมันปาร์ตี้กันอยู่ริมสระฝั่งโน้น เดี๋ยวมึงเดินไปถึงพวกมันคงโห่รับเป็นทาง ฮ่า ฮ่า” ไอ้เกาเหลาหันมาบอกก่อนจะเดินถึงกลุ่มมันไม่ถึงอึดใจ แล้วก็เป็นดังวาจาที่มันลั่น ให้ตายเถอะ! แค่พวกเหลือบมาเห็นผมสองคนก็ถึงกับโห่รับกันเป็นทางอย่างที่ไอ้เกาเหลาว่าไว้จริงๆ ด้วย

...โอยยย เหมือนเส้นเลือดข้างขมับจะแตกรอมร่อ

‘ฮิ้วววว คุณชายพาเมียมาโชว์แล้วเว้ย ฮ่าฮ่า’

‘เมียสวยนี่หว่า...ฝีมือเว้ย น่าอิจฉาว่ะ ฮ่าฮ่า’

‘แนะนำเดี๋ยวนี้เลยมึง แม่ง...งานแต่งก็ไม่เชิญพวกกู รู้อีกทีก็ลงข่าวหนังสือพิมพ์แล้ว’

เสียงระงมเซ็งแซ่จนผมจับคำพูดไม่หวาดไม่ไหว มันนั่งกันอยู่แค่ 3 คน ทำไมเสียงมันดังนักวะ!?

“ชื่อพจมาน จบนะ” มันแนะนำแค่นั้นแล้วดันตัวผมเข้าไปนั่งที่ว่างกลางวง ผมยังประดักประเดิดเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยชินนักกับสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาเป็นตาเดียว (ถ้าเป็นสาว ๆ จะไม่ว่าสักคำ...แต่นี่มันดงชายฉกรรจ์ทั้งนั้น...บอกตรง ๆ เหม็นเขียว!)

“สวัสดีครับ พจมาน...” ทุกคนทักผมเหมือนจะนัดกัน ช่างพร้อมเพรียงจนน่ากลัว ว่าแต่...ไอ้ยักษ์ก็ช่างแนะนำ ให้เรียกพจมาน กูเขินนะ (-*-)

“ช...ชื่อพึ่งค่ะ เรียกพึ่งดีกว่า” ผมพยายามแนะนำตัวออกไปใหม่ด้วยเสียงดัดจริตของตัวเอง ใบหน้าของผมยังคงก้มต่ำ เพราะกลัวว่าเชิดหน้ามากไปเดี๋ยวกระเดือกจะโผล่จากคอเสื้อ และพฤติกรรมแบบนั้นของผมก็ทำให้เกิดเสียงแซวเซ็งแซ่อีกรอบ

‘น่ารักจังครับน้องน้ำผึ้ง ขี้อายเสียด้วย’ แม่ง!! ไม่ได้อายเว้ย! แค่เสื้อมันเกี่ยวลูกกระเดือกกูอยู่ แล้วกูชื่อพึ่ง ไม่ใช่น้ำผึ้ง! หูหาเรื่องนะเอ็ง!

‘ไม่ติดว่าเป็นเมียเพื่อนนี่ผมจีบไปแล้ว ฮ่าฮ่า’ ฮึ่ย! อย่ามาชวนกูเข้าป่านักเลย แค่เพื่อนมึงคนเดียวกูก็เต็มกลืนแล้ว!

ต่อให้ในใจผมจะเดือดเป็นลาวาแต่เบื้องหน้าผมก็ทำได้แค่กัดฟันยิ้มเหี้ยมๆ ให้พวกมันไป โดยที่ไอ้ยักษ์ไม่มีแม้แต่จะออกปากปกป้องอะไรผมเลย โน่น! มาถึงก็ยกแก้วกระดกกับไอ้เกาเหลาที่นั่งข้างกัน ไม่แม้แต่จะเหลือบมาสนใจผมแม้สักนิดว่ากำลังต้องการความช่วยเหลือแค่ไหน หน็อย! ไอ้ใจจืด!

หลังจากทักทายปราศรัยกันพอหอมปากหอมคอพวกมันก็เริ่มคุยกันต่อ โดยมีผมอยู่ในหัวข้อบ้าง ไม่อยู่บ้าง ผมก็สนใจบ้างไม่สนใจบ้าง พลางจิบน้ำเปล่าที่ตั้งอยู่ตรงหน้าแก้เก้อไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่จะเสร็จๆ ไปสักทีวะ อยากกลับบ้านจะแย่แล้วเนี่ย!

“จริงสิ...ไอ้พอล มึงจะมีลูกเลยไหมวะ เออ...แล้วน้องผึ้งของมึงเขายังเรียนอยู่หรือเปล่า? ที่มึงเคยบอกกู น้องเขาอ่อนกว่าพวกเราปีหนึ่งสินะ น่าจะเพิ่งขึ้นปี 3 นี่ ใช่ไหม?” ไอ้เกาเหลาถามขึ้นแบบตรงประเด็น เล่นเอาผมสะดุ้งวูบ โปรดอย่าคาดหวังครับพี่เกาหลีผมไม่มีมดลูกครับพี่...

“อืม ยังเรียนอยู่ แต่ถ้าพลาด...อันนั้นก็อีกเรื่อง” คำตอบของไอ้ยักษ์เรียกเสียงโห่ร้องได้อีกระลอก และทำเอาตาผมแทบถลน ‘ถ้าพลาด’ ของมึงหมายถึงอะไรวะ!? ตอนนี้หน้าผมแดงยิ่งกว่ามะเขือเทศอีกขอบอก แดงจนแซวก็ทั้งวงว่าผมคงเขินมาก ทั้งที่ความจริงแล้วผมกำลังเดือดมากต่างหาก ไม่กลัวโดนลากเข้าซังเตยกตระกูลนี่ผมคงเปิดไข่ให้พวกแม่งดูไปแล้ว!

“เฮ้ย เดี๋ยว ๆ ไอ้พอล คุยกันมาตั้งนานนี่มึงไม่คิดจะแนะนำพวกกูให้น้องเขารู้จักมั่งเหรอวะ หวงจังนะมึง” จบเรื่องลูกเต้าก็ลากเข้าเรื่องแนะนำชื่อต่อ เฮ้อ! เมื่อไหร่ประเด็นเกี่ยวกับผมจะหมดออกจากวงสนทนานี่เสียทีหนอ?

“อยากแนะนำก็ทำเองสิวะ ไม่มีปากเหรอมึง?” ไอ้ยักษ์แดกดันเพื่อนมันกลับไป พลางยิ้มเย้ยเบา ๆ

“ชิ หวงล่ะสิมึง กลัวน้องเขาจะชอบกูมากกว่าก็บอกมา ฮ่าฮ่า...เอ่อ น้องน้ำผึ้งครับ พี่ชื่อพี่คริสครับ เจอที่ไหนทักได้เลยนะ...” หัวโต๊ะผู้เป็นตัวตั้งตัวตีในการแนะนำตัวเอ่ยทักผมเสียงใสวิ้ง เริงร่า สมกับหน้าลูกครึ่งของมันแหละครับ ผมสีน้ำตาลทองตัดสั้นทำทรงหัวตั้ง ตาสีฟ้า อย่าให้ต้องบรรยายครับว่ามันหล่อขนาดไหน เอาเป็นว่าออร่าฟุ้ง จนผมต้องเบือนหน้าหนีด้วยความริษยาเลยแหละ

“ได้ทีหม้อใหญ่เลยนะ ไอ้คริสตอริส” แต่เพราะไอ้ลูกครึ่งมันหยอดเสียงหวานไปหน่อย เลยโดนไอ้เกาเหลามันแซวซะเสียหมา

“คริสโตเฟอร์เว้ยไอ้สัตว์! ชื่อกูเสียหายหมด!” แต่ไอ้ลูกครึ่งก็ไม่ได้น้อยหน้า ด่ากลับซะไม่สมกับหน้าลูกครึ่งของมันเลย

“ฮ่าฮ่า...เออน้องผึ้ง พี่ชื่อบอมพ์นะ ไทยแท้ไม่ผสมชาติใด แต่แฟนคลับบอกว่าพี่หน้าคล้ายดาราเกาหลี เลยเรียกพี่ว่าคิมบอม น้องผึ้งจะเรียกแบบนั้นด้วยก็ได้นะครับ” คราวนี้ไอ้เกาเหลามันแนะนำตัวเองบ้าง ตอนมันบอกว่าไทยแท้นี่ผมเกือบไม่เชื่อเลยนะ หน้ามันโคตรดาราเกาหลีอ่ะ

“ส่วนพี่ชื่อชีต้าครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะ บ้านพี่เปิดร้านจิวเวอรี่ เห็นหน้าน้องน้ำผึ้งปุ๊บ พี่อยากให้สร้อยอัญมณีที่เหมาะกับน้องผึ้งสักเส้น เอาเบอร์พี่ไหม? เราจะได้ติดต่อกัน โอ๊ะ! แอดไลน์มาก็ได้นะ” คนต่อมาที่แนะนำตัวคือไอ้เสือชีต้า ตัวมันน่าจะเล็กสุดในกลุ่ม (น่าจะพอ ๆ กับผมนะแต่มันอาจสูงกว่าหน่อย) ผมดำขลับ ตัดสั้น ไถข้างหูเสียเกรียน มีลายกราฟฟิคแนว ๆ ด้วย ถึงหน้าตาจะน่ารัก แต่ก็ดูกวนโอ๊ยไม่หยอกและแน่นอนว่าไอ้นี่หม้อหนักกว่าไอ้ลูกครึ่งเสียอีกครับ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ขอเบอร์ขอไลน์กันเลยทีเดียว อยากบอกเหมือนกันว่าผมไม่มีมือถือ แต่ยังไม่ทันอ้าปากก็ต้องอึ้งเมื่อไอ้เสือชีต้าถูกไอ้ลูกครึ่งโบกหัวทิ่มไปต่อหน้า...พร้อมกับคำพูดที่ว่า ‘อย่าแย่ง กูจองแล้ว! ’

...เอ่อ เดี๋ยวนะ ตัดข้อที่ผมเป็นผู้ชายทิ้งไป ผมก็ยังรู้สึกว่า...พวกมึงจะแย่งหม้อเมียเพื่อนกันทำไมวะ!?

จากนั้นสงครามย่อม ๆ ระหว่างไอ้ลูกครึ่งกับเสือชีต้าก็เริ่มขึ้น แต่เพราะชีต้าตัวเล็กกว่าไอ้ลูกครึ่งเยอะ สุดท้ายเลยโดนไอ้ลูกครึ่งลากเข้าไปซุกรักแร้ แบบสาแก่ใจคนทำสุด ๆ

หลังแนะนำตัวกันไปเกือบครบวง ผมก็หันมาหาคนที่นั่งอยู่ขวามือของผม ถ้าจำไม่ผิดคนคนนี้เงียบมาตั้งแต่ต้นเลยครับ ไม่พูด ไม่แซว เอาแต่นั่งยิ้ม และจิบเหล้ามองเพื่อน ๆ มันหม้อผมไปเรื่อย แม้แต่ตอนนี้ก็ไม่คิดจะแนะนำตัว...

เอ่อ นี่ผมไม่ได้เรียกร้องหรอกนะ เพียงแค่สงสัย เอ๊..หรือว่ามันจะไม่ชอบหน้าผมกันนะ? เลยเฉยซะ

“อย่าจ้องขนาดนั้นสิครับ พี่เขินนะ”

อื๋อ? เล่นเอาผมสะดุ้งนิดหน่อยเลยครับ ที่มันทักมาแบบนั้น เอ๊ะ? นี่ผมเผลอจ้องมันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? แต่ให้ตาย หมอนี่หล่อลากไส้ของจริง หล่อขนาดที่ว่าผมเป็นผู้ชายด้วยกันยังละสายตาไม่ได้เลยอ่ะ คือไม่ได้หล่อโดดเด่นเหมือนไอ้ยักษ์ ไม่ได้พระเอกเกาหลีเหมือนไอ้เกาเหลา ไม่ได้ลูกครึ่งเหมือนไอ้คริสและไม่ได้น่ารักเหมือนไอ้ชีต้า...แต่พี่แกหล่อแบบมีเสน่ห์แปลก ๆ

ผู้ชายตรงหน้าผมนั้น ผมยาวระคอ ผูกครึ่งหนึ่งไว้กลางหัว การรวบผมตึงนั้นเผยใบหน้าสะอาดสะอ้าน จมูกโด่งสัน ริมฝีปากกระจับบางเฉียบสีอ่อน ๆ รับกับหน่วยตาคมที่มีเครื่องประดับเป็นขนตายาวทรงเสน่ห์ สายตาที่มองมายังผมไม่มีความรู้สึกอะไรแฝงมาทั้งนั้น แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับคิดว่ามันโคตรจะมีพลังดึงดูด แค่มันยิ้มให้นิดเดียว หัวใจผมก็กระตุกวูบทันทีอย่างห้ามไม่อยู่...หล่อฉิบหาย หล่อวัวตายควายล้ม หล่อผัวแห่งชาติ! นี่ถ้าผมเกิดเป็นผู้หญิงล่ะก็ บอกเลยคนนี้แหละพ่อของลูก!

ฉ...ฉิบหายละ...นี่ผมเริ่มชอบเข้าป่า (เดียวกัน) ซะแล้วหรือนี่!?

“พี่ชื่อฝ้ายครับ ห้ามแซวว่าชื่อพี่สาวแตกนะ” (^^) ในที่สุดพี่เขาก็บอกชื่อกับผม พร้อมยิ้มให้แบบเทพบุตรจุติ ใครจะแซวพี่ลงกัน...พี่เล่นยิ้มซะผมเคลิ้มขนาดนี้ (เอ๊ะ? รู้สึกสรรพนามที่ผมใช้กับพี่เขาจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย แต่ใครจะสน...)

พ่อครับ...แม่ครับ...บรรพบุรุษครับ...

ผมเจอไอดอลของตัวเองแล้วครับ!!

‘กูว่าเมียมึงเสร็จไอ้ฝ้ายแน่ มึงระวังไว้เลย’ ผมได้ยินไอ้เกาเหลากระซิบบางอย่างกับไอ้ยักษ์...ใครเสร็จใครไม่รู้ รู้แต่พี่เขาโคตรเท่อ่ะ ผมละสายตาจากพี่เขาไม่ได้เลย ใครบอกพี่ว่าชื่อฝ้ายแล้วสาวแตกเหรอครับ ผมว่ามันเข้ากับบุคลิกนุ่มนวลชวนฝันของพี่จะตาย น้องพึ่งคอนเฟิร์ม!



+

+

+

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
จากสาย คล้อยบ่าย ย้ายมาเย็นย่ำ ผมไม่ยักเห็นพวกมันจะย้ายตูดกันไปไหนเสียที มีลงเล่นน้ำในสระ สั่งข้าวเที่ยงมาทานที่โต๊ะ จากนั้นก็ก๊งกันต่อ คอแม่งก็แข็งกันเหลือเกิน ผมเริ่มชักเหม่ง ๆ สิครับงานนี้ ไอ้ยักษ์ก็ดื่มเข้าไปใช่น้อย แล้วนี่มันจะขับกลับกรุงเทพไหวเหรอเนี่ย เจอด่านจับเป่าแม่งซวยกับมันอีก ไอ้ผมเองก็ขับรถยังไม่แข็งเสียด้วย ใบขับขี่ก็ไม่มี แล้วถ้ามันจะค้างที่นี่ ผมจะกลับยังไงล่ะ เดี๋ยวสงสัยต้องไปถามคนแถวนี้ดูหน่อย ว่าคิวรถตู้เข้ากรุงเทพอยู่ตรงไหน แล้วมันจะหมดกี่โมง

“เฮ้ย ใครเห็นที่เปิดขวดบ้าง?” นั่งเหม่อ ๆ อยู่ หูผมก็บังเอิญไปได้ยินคนหาที่เปิดขวด “จะเปิดขวดโซดาสักหน่อย ใครเอาไปวางตรงไหนเนี่ย” ใช่ใครที่ไหน ไอ้เสือชีต้านั่นเอง ที่เริ่มคุ้ยหาที่เปิดขวด โดยที่ในมือถือขวดโซดารออยู่ก่อนด้วย

“มึงนั่นแหละเปิดคนสุดท้าย แดกไปแล้วหรือเปล่า?” ไอ้ลูกครึ่งที่ช่วยหาอยู่เอ่ยปากถามพร้อมแดกดันออกมา (ด้วยถ้อยคำที่ไม่สมกับหน้าตาของมันอีกครั้ง)

“กูจะแดกมันลงไหมล่ะ มึงนี่ก็กล้าถาม” ชีต้าเริ่มอารมณ์เสียครับ หน้าตาน่ารักขมวดยู่น่าเอ็นดู...เอ๊...นี่ผมคิดอะไรอยู่ ในที่สุดความพลุ่งพล่านของชีต้าก็เรียกให้เพื่อน ๆ มันเริ่มขยับตูดช่วยกันหา อะไรวะ แค่จะเปิดขวดโซดา มันจะอะไรกันนักหนาวะเนี่ย วุ้ย...ไอ้พวกลูกคุณหนูเอ๊ย!

ด้วยความที่รำคาญกับภาพตรงหน้าเหลือเกิน ผมเลยหยิบโซดาบนโต๊ะขึ้นมาสองขวด แล้วก็...

ป๊อก! ซ่า...

แค่นี้ครับ ง่าย ๆ แต่...อื๋อ? ผู้หญิงที่เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ ไม่ควรเปิดขวดโซดาด้วยขวดโซดาเป็นใช่ไหม?

อะครือ...มันอาชีพเก่าผมอ่ะ พนักงานชงเหล้าในบาร์...มันก็เลยเอิ่ม...ชินไปนิด

อ่ะ...แก้ตัวไม่ออกเลยครับงานนี้ เมื่อทุกสายตาบนโต๊ะ จับจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว แบบ...ไม่กะพริบตาซะด้วย

ไอ้พึ่งค่อย ๆ บรรจงวางขวดโซดาลงบนโต๊ะอย่างใจเย็น พลางส่งขวดที่เปิดแล้วให้ชีต้าพร้อมรอยยิ้มหวานฉ่ำ

“เอ่อ...แค่บังเอิญน่ะค่ะ คือพึ่งเคยเห็นในทีวี แล้วก็เลยลองทำตามดู...” กูรู้ว่ามึงรู้ว่ากูตอแหล แต่ช่วยเก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจ แล้วรับขวดโซดาที่กูอุตส่าห์เปิดให้ไปเสียทีเถอะนะ...ได้โปรด... (T^T)

แล้วคำขอของผมก็สัมฤทธิผล ชีต้ารับขวดโซดาจากผมไปด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม...ใช่จะมีแค่มันนะ ทุกคนในโต๊ะเลยแหละที่มองผมด้วยสายตาเดียวกัน คุณพระคุณเจ้า...ไอ้พึ่งอยากจะมุดรูหนีไปให้ไกลจริง ๆ เลย!! กลายเป็นสก๊อยส์ไปเสียแล้วกู...ฮือ อุตส่าห์รักษาภาพพจน์กุลสตรีดีเด่นมาตั้งนาน

“...สักแก้วไหมครับ น้องน้ำผึ้ง”

และนั่นคือผลตอบแทนของความสามารถของผมครับ เมื่อไอ้ชีต้ายิ้มหวานพลางส่งแก้วน้ำสีอำพันมาให้

จบกัน...ชีวิตกุลสตรีไทยของไอ้พึ่ง... (เอียงหน้าน้ำตาตกใน)

“สนุกกันไปก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวฉันมา” ระหว่างผมกำลังอิหลักอิเหลื่อกับแก้วเหล้าในมือ จู่ ๆ ไอ้ยักษ์ก็ลุกขึ้นเหมือนเตรียมตัวจะไปไหน หรือว่ามันจะกลับบ้านแล้ว ผมงี้รีบลุกตามแทบวางแก้วเหล้าไม่ทัน แต่พอได้ยินเพื่อนมันถามเท่านั้นแหละใจผมเหี่ยวทันที

“เฮ้ยไปไหนวะไอ้พอล” ไอ้เกาเหลาตะโกนถามทันทีที่ไอ้ยักษ์เดินออกจากโต๊ะสังสรรค์มา

“กูจะไปห้างหน่อย มีของต้องซื้อ” แล้วคำตอบของมันก็ทำร้ายหัวใจผมจี๊ด จะมืดอยู่แล้ว ยังจะไปซื้ออะไรอีก!? แล้วจะได้กลับบ้านกันตอนไหนล่ะ? ไม่ได้การงานนี้ต้องมีเคลียร์!!

“กูไปด้วย! กูจะไปซื้อกางเกงใน ไม่ได้เอาติดตัวมา” ยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปาก ไอ้ลูกครึ่งก็ลุกพรวดออกตัวนำหน้าผมไป โผเข้ากอดคอไอ้ยักษ์ที่ตัวพอ ๆ กัน ลากพรืด ๆ กันออกไปแบบไม่มีเหลียวมองคนอ้าปากค้างอย่างผมเลยแม้แต่น้อย

โอ๊ย! ไม่ทนแล้วโว้ย!!

“นี่คุณ! เมื่อไหร่จะกลับกันเสียที! นี่มันเย็นมากแล้วนะ!” ผมถลาตามมันไปแบบไม่รักษาจริต ผมทนมันมาทั้งวันแล้วและคิดว่ามันควรจบลงเสียที

พอวิ่งถึงตัวผมก็คว้าแขนมันให้หันมาประจันหน้า แล้วถามมันออกไปต่อหน้าไอ้ลูกครึ่งนั่นแหละ มันหน้าตึงขึ้นทันทีกับการกระทำของผม โดยผู้ร่วมเหตุการณ์อย่างไอ้ลูกครึ่งก็ได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่ก งุนงงไม่น้อยกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ยักษ์ (แน่ล่ะ สามีภรรยาที่ไหนที่เวลาคุยกัน จะถลึงตาใส่กันแบบแทบจะแดกเลือดแดกเนื้อกันแบบนี้)

“ไม่กลับ” มันตอบพร้อมดึงแขนมันออกจากมือผมแบบไม่เบานัก ก่อนจะแสยะยิ้มบาง ๆ อย่างเลือดเย็น

“หมายความว่ายังไง!?” และผมก็ไม่คิดจะยอมแล้วเหมือนกันงานนี้มีเทศกาลผัวเมียตีกันโชว์คนทั้งโรงแรมแน่ ๆ

“คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่ ไม่เห็นรึไง เรามีปาร์ตี้กันอยู่” ไอ้ยักษ์มันยังคงยียวน ยืนกอดอกตอบผมหน้านิ่ง

“งั้นคุณก็อยู่ไปคนเดียวแล้วกัน!” เออ! อยู่ได้อยู่ไป กูไม่อยู่ด้วยเด็ดขาด! ว่าแล้วผมก็เข้ากระแทกไหล่มันดังปั่ก แล้วเดินห้อจากไป ไม่สนใจแล้วทั้งนั้นว่าเบื้องหลังจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหอะ! ง้อที่ไหนล่ะ ไม่ต้องมีเอ็ง พี่วิน พี่ตู้ก็ยังรอกูอยู่ สาวสวยขนาดกูนี่ ขี้คร้านจะรีบจอดรับกันเป็นแถว ปัดโถ่!!

หมับ!

เสียงมันจับผมเหวี่ยงพรืดเดียวจากตรงหน้ามันถอยกลับมาที่เดิมแบบทีเดียวอยู่ ไม่แปลกใจหรอกครับเพราะกะไว้อยู่แล้วว่ามันจะต้องจับผมเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา รู้ว่ามันไม่มีทางปล่อยผมกลับไปง่ายๆ แต่ที่ดันทุรังอยู่เนี่ยก็เพื่อให้งานมันกร่อย เพื่อให้มันหมดสนุก ให้มันรำคาญผมเยอะ ๆ สุดท้ายมันจะได้ทนไม่ได้แล้วไล่ผมไปให้พ้นหน้าเสียที...หุหุ แผนผมเองแหละ ผู้ชายที่ไหนจะทนได้ถ้าเจอผู้หญิงเยอะ เดี๋ยวถ้ามันยังไม่ยอมปล่อยนะ ผมจะอาละวาดต่อหน้าเพื่อนมันให้ดู!

“อย่าฤทธิ์มากนัก! รออยู่ที่นี่แหละ” มันพูดใส่หน้าผม ไม่ได้ดังมากแต่ก็ติดจะกระชากห้วนพอสมควร ดูจากคิ้วที่ขมวดจนแทบเป็นปมเดียวของมัน ผมก็พอรู้แล้วครับว่าไอ้ยักษ์มันคงหงุดหงิดไม่น้อย

“อิฉันจะกลับไปหาพ่อ!!” แต่ผมกลัวที่ไหนล่ะ รีบก้าวเข้าประชิดตัวมันทันทีพร้อมตีสีหน้ายียวนไปด้วย มันเสียงต่ำมา ผมก็เสียงแหลมสู้ เอาให้แก้วหูระบมกันไปข้าง แค่ก แค่ก

“...หึ ไม่ต้องห่วงพ่อเธอนักหรอกน่า คืนนี้ท่านมีคนอยู่เป็นเพื่อนแล้ว” มันพ่นลมหายใจพลันเหยียดยิ้มไม่ยี่หระกับเสียงแหลมระคายหูของผมเลยสักนิด แถมยังเอ่ยเรื่องที่ระคายหูสะเทือนใจผมมากกว่า

คนที่มันบอกว่าอยู่เป็นเพื่อนพ่อผม...อย่าบอกนะว่า...

คืออิตาลุงท่านเจ้าบ้าน!?

หน็อย! ว่าแล้วเชียวว่าสองพ่อลูกนี่ต้องมีแผนการชั่วร้าย ตาลุงนั่นจ้องงาบพ่อผมอยู่ วันปกติลุงแกหาโอกาสไม่ได้เพราะผมสั่งไอ้พิงให้เฝ้าไว้ไม่วางตา แต่คืนนี้ไอ้พิงไม่อยู่และผมที่อาสาเป็นหมาเฝ้าพ่อก็ถูกดันถูกบังคับลากคอมาเสียไกลยันบางแสนด้วยฝีมือไอ้ลูกชายตัวร้ายของลุง แบบนี้มันมัดมือชกกันชัด ๆ!

ฉิบหายแล้ว! ถ้าคืนนี้ผมกลับบ้านไม่ได้ พรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ผุดผ่องของพ่อพจน์ต้องหม่นหมองเพราะต้องมลทินของตาลุงท่านเจ้าบ้านแน่ๆ!

แตกตื่นสิครับงานนี้ “ปล่อย! อิฉันจะกลับ! ไม่ยอมให้อยู่กันสองต่อสองแน่!” พอรู้ว่าพ่อพจน์กำลังตกอยู่ในอันตรายร่างกายของผมก็เข้าโหมดพร้อมสู้ ผมรีบกระชากตัวออกจากมันอย่างแรงจนเซถอยหลังด้วยแรกกระชากเสียหลายก้าว ภาพความรุนแรงนั้นส่งผลให้เพื่อน ๆ มันเริ่มลุกขึ้นเพื่อเข้ามาห้ามการตีกันของผมกับไอ้ยักษ์

“จะหวงไปทำไมนักหนา ปูนนั้นกันแล้ว...” ไอ้ยักษ์ห่าเอ่ยขึ้นเบา ๆ แต่มันก็ดังพอที่ผมจะได้ยินถ้อยคำระยำหมาของมัน

“!!?”

พรวด!! ซ่า...

มือผมไวเท่ากับปากมันนั่นแหละครับ ไม่ต้องรอให้พูดจบผมก็คว้าแก้วเหล้าในมือของเพื่อนมันขึ้นมาสาดใส่หน้าไอ้ยักษ์แบบเต็มเหนี่ยวเกลี้ยงแก้วโดยที่ไม่มีใครได้ทันอ้าปากห้ามเพราะมัวแต่ตาค้างกับสิ่งที่ได้เห็น โชคดีที่เหล้าในแก้วมันไม่เยอะมากแต่น้ำแข็งอ่ะ กระแทกหน้าไอ้ยักษ์เต็ม ๆ บอกแล้ว...ด่าว่ากูเจี้ยวเล็กยังพอคบ แต่จาบจ้วงถึงพ่อพจน์ที่เคารพ ก็คงทนคบกันไม่ได้อีก!

“ถ้ายังไม่หยุดปากดี คราวนี้ไปทั้งแก้วแน่!” ผมเอ่ยเสียงเย็นด้วยความโมโห เพื่อนไอ้ยักษ์กรูกันเข้ามาล้อมเราสองคนไว้เพราะดูสถานการณ์เริ่มเลวร้าย คงยังงงกันไม่น้อยว่าผมกับมันเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางไหนทั้งที่เพิ่งแต่งงานกันได้แค่ไม่กี่วัน? แล้วคงแปลกใจยิ่งกว่าที่กุลสตรี (แต่เปลือก) อย่างผม ลุกขึ้นมาเป็นศัตรูกับเพื่อนของพวกมันด้วย

“เฮ้ย! ไอ้พอลใจเย็น!!” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่ทั้งร่างของผมจะลอยหวือขึ้นจากพื้น

ตูมมมมม!! ซ่าาาา!!

เสียงดังฟังชัดพร้อมพรายน้ำแตกฟองฟ่องขนาดนี้คงไม่ต้องบอกใช่ไหมครับว่าตอนนี้ตัวผมอยู่ที่ไหน

ครับ...ไอ้ยักษ์มันโยนผมลงน้ำไปต่อหน้าต่อตาธารกำนัลแบบไม่สนใจเลยว่าจะกลายเป็นหน้าตัวเมียในสายตาคนอื่น ดีนะที่ผมว่ายน้ำเป็นถึงยังตีขาลอยคอเท้งเต้งอยู่ในสระน้ำได้ ไม่อย่างนั้นนอกจากหน้าตัวเมียแล้วมันคงได้พ่วงตำแหน่งฆาตกรใจโฉดไปด้วยแน่!

ผมโผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้ก็เจอกับพวกเพื่อน ๆ ของมันยืนออกันอยู่ที่ริมสระเตรียมจะโดดลงมาช่วยผมกันเต็มที่ แต่พอเห็นผมลอยคอขึ้นมาได้ก็เหลือเพียงยื่นมือมาช่วยกันดึงผมขึ้น แต่ก่อนจะได้มือใครมาช่วยไอ้ยักษ์ก็เข้ามาขวางไว้แล้วเป็นคนดึงผมขึ้นจากน้ำเอง จะดิ้นก็ไม่ทันเพราะมันเล่นดึงพรวดเดียวทั้งตัวผมลอยหวือขึ้นมานั่งเรียบร้อยตรงขอบสระอย่างกับตัวผมเบาเป็นนุ่นชุ่มน้ำเลยทีเดียว

ทั้งตัวเปียกปอนเป็นลูกหมา เสื้อผ้าฟูฟ่องยามปกติเปียกลู่ไปกับร่างผอมแห้งของผมจนหมด ผมที่ตอนนี้จำต้องอยู่ในอ้อมแขนมันอย่างไม่มีทางเลือกนั้นถึงกับกัดฟันมองหน้าที่เปียกฉ่ำและคลุ้งไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ของมันแบบเลี่ยงไม่ได้ สองแขนมันยังคงจับต้นแขนผมไว้แน่นแล้วกระซิบเสียงต่ำเพื่อเอ่ยบางประโยคที่อยากให้ได้ยินเพียงสองคน

“ภาส เทวินทร์วงศ์ เป็นสุภาพบุรุษพอ เลิกดูถูกน้ำใจพ่อฉันเสียที!”

มันพูดแค่นั้นแล้วผละออกจากตัวผมไป ก่อนจะหันไปออกคำสั่งกับไอ้เกาเหลาทิ้งท้ายเอาไว้ด้วย

“ไอ้บอมพ์ ไอ้ชีต้า ไอ้ฝ้าย เมียกูดื้อหน่อยฝากดูเอาไว้ให้กูด้วย” แล้วมันก็จากไปทั้ง ๆ อย่างนั้น จากไปโดยทิ้งความรู้สึกค้างคาให้กับผม

‘เลิกดูถูกน้ำใจพ่อฉันเสียที!’ คำคำนี้ของมันทิ่มแทงใจผมเป็นที่สุด ภาพความหลังตีรวนขึ้นมาในหัวอย่างห้ามไม่ได้...

ยอมรับเลยครับ ว่าเถียงไม่ออกสักคำ

ไอ้ยักษ์...มันไม่เคยจาบจ้วงพ่อพจน์ของผมก่อน...

มีแต่ผม...ที่ไปจาบจ้วงพ่อของมัน...

มีแต่ผม...ที่เริ่มดูแคลนน้ำใจของลุงท่านเจ้าบ้านก่อน...

พอหัวเย็นลงผมก็หนีความจริงไม่พ้น...ว่าแท้จริงแล้ว...เรื่องนี้

เป็นผมเอง...ที่ผิด

“เอ่อ...น้องน้ำผึ้ง? ขึ้นมานั่งเก้าอี้ก่อนดีกว่าไหม?” ไอ้เกาเหลาผู้ดูแล เอาผ้าขนหนูมาคลุมตัวผมไว้ก่อนจะช่วยพยุงตัวผมขึ้นให้นั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ กัน ความจริงผมก็อยากจะขอบใจมันนะ แต่ตอนนี้สมองของมันดันตื้อจนพูดอะไรไม่ออก.

“อ้าว? ไอ้ฝ้ายมึงจะไปไหนวะ?”

“เดี๋ยวกูมา”

เสียงโหวกเหวกดังอยู่รอบตัวแต่สมองผมไม่อาจประมวลผลได้ในตอนนี้ว่าเป็นเสียงของใคร ที่ไหน อย่างไร เพราะดันเจ็บช้ำกับคำที่ไอ้ยักษ์มันเพิ่งด่าทิ้งท้ายไว้อยู่

“น้องผึ้ง...พี่ว่าน้องไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา...เอ่อ...ถ้าไม่รังเกียจใช้ห้องน้ำที่ห้องพี่ก่อนก็ได้ รู้สึกห้องที่ไอ้พอลเปิดไว้มันจะเอาคีย์การ์ดไปด้วย” ไอ้พี่เกาเหลายังพยายามดูแลผมอย่างเต็มที่ คงเห็นว่าผมเป็นผู้หญิงบอบบางแหละนะ โดนไปขนาดนี้คงบอบช้ำน่าดู และคงกลัวว่าตัวผมที่เปียกซ่กขนาดนี้จะสั่นสะท้านเป็นลูกนกจนจับไข้ขึ้นมา...แต่...ขอโทษนะพี่เกาเหลา...ที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ร่างกายยังสบายดี แต่หัวใจนี่สิ...

หัวใจแห่งความเป็นสุภาพบุรุษของผม มันกำลังรู้สึกผิด!

“เอ่อ...น้องน้ำผึ้ง...” พี่เกาเหลาเริ่มเรียกผมเพื่อทดสอบว่าสติของผมยังอยู่ครบหรือเปล่า

“ขอโทษค่ะ...ขออิฉันยืมมือถือหน่อยได้ไหมคะ?” แต่สิ่งที่ผมตอบพี่เขากลับไปกลับเป็นการขอยืมมือถือ พี่เกาเหลาเหวอไปเล็กน้อยก่อนกุลีกุจอหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาให้ผม...

เจ็บใจตัวเองก็ตรงนี้แหละ ที่ไม่ยอมซื้อมือถือเสียที ยังดีนะที่เมื่อวานซืนจดเบอร์มือถือเครื่องใหม่ของพ่อพจน์มาแล้ว

พอรับมือถือจากเจ้าของผมก็ส่งสายตาขอเวลาส่วนตัวจากพี่เกาเหลาทันที และเหมือนทุกคนตรงนั้นจะเข้าใจและยอมเลี่ยงออกไปให้ผมได้อยู่ตามลำพังอย่างรู้งาน ผมเองก็รีบกดเบอร์ที่เมมโมรี่อยู่ในความทรงจำทันทีที่เป็นอิสระจากการถูกจับจ้อง

เสียงรอสายเป็นเพลงหวานน่าฟัง เป็นตาลุงท่านเจ้าบ้านแน่ที่ตั้งให้เพราะพ่อผมคงทำพวกนี้ไม่เป็น แค่ได้ยินผมก็ยิ้มออกมาขณะพร้อมฟังเสียรอสายแสนไพเราะนั้นต่อไป

“ฮัลโหล? พจน์พูดครับ”

ครู่หนึ่งก็มีเสียงรับจากปลายสาย น้ำเสียงอ่อนหวานเจือความอ่อนโยนที่ได้ยินเมื่อไหร่ก็ทำให้อบอุ่นหัวใจได้เสมอ แค่ได้ยินเสียงของพ่อน้ำตาของผมก็พานจะไหลเสียให้ได้ อย่าหาว่าเป็นลูกแหง่เลยครับ...อ่ะ ยอมรับก็ได้ ว่าผมติดพ่อมากจริง ๆ ฮือ...อยากกลับไปกอดพ่อง่า...

“ฮัลโหล...พ่อ...นี่พึ่งนะ” ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้เสียงสั่น กลัวว่าพ่อจะไม่สบายใจ

“อ้าว? พึ่งเหรอลูก ว่าไง เที่ยวสนุกไหม?” พ่อถามเหมือนรู้...เออ จริงสินะ ตาลุงคงบอกแล้วแหละ แกเตี๊ยมกับลูกแกแล้วนี่

“ก็ดีพ่อ...แล้วนี่พ่ออยู่กับใคร?” ก็ถามไปงั้นทั้งที่ผมก็รู้อยู่เต็มอกว่าพ่ออยู่กับใคร เผื่อพ่อจะมีอะไรฟ้อง เผื่อตาลุงจะลวนลาม...บ้าจริง...เผลอคิดในทางไม่ดีอีกแล้ว

“อ๋อ วันนี้คุณภาสเขามานอนเป็นเพื่อนพ่อแน่ะลูก ขนของมาเต็มบ้านเลยนะ พ่อเกรงใจเขาจะแย่แล้วเนี่ย” เสียงของพ่อฟังดูหนักใจจริงจัง เกี่ยวกับของที่ตาลุงขนมา ว่าแต่มันคืออะไรหว่า

“อะไรอ่ะพ่อ?”

“พวกเครื่องออกกำลังกายน่ะ พอคุยกันเรื่องสุขภาพวัยกลางคน เขาก็ขนมาให้พ่อใหญ่เลย เห็นบอกว่าจะทำห้องฟิตเนสให้ด้วย พ่อก็เกรงใจอยู่นะ แต่ก็ขำจนหยุดไม่อยู่ ไม่นึกเลยว่าคุณภาสเขาจะเป็นคนจริงจังขนาดนี้ นี่ดูท่าจะขาดเพื่อนวัยเดียวกันจริง ๆ”

ผมได้แต่ฟังพ่อพจน์เล่าไปหัวเราะไป แล้วก็เออออตามพ่อไปบ้าง ไม่มีกระแสลำบากใจในเสียงใสๆ นั้น มีแต่ความรื่นเริงที่ผมไม่ได้ยินมานาน...

ตาลุงท่านเจ้าบ้าน...คุณลุงภาส...ไม่ได้ทำอะไรหยามเกียรติพ่อพจน์ของผมจริง ๆ แม้จะอยู่ด้วยกันสองคน พ่อก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัด

ผม...คิดมากไปเอง

ผม...ให้ร้ายลุงมากเกินไปเอง...

“พ่อ...ผมขอคุยกับลุงเขาหน่อยสิ” พ่อผมคงอึ้งไม่น้อยที่จู่ ๆ ผมก็ขอคุยกับลุงท่านเจ้าบ้าน แต่ท่านก็ยอมเรียกให้แต่โดยดี

“ว่าไงหนูพึ่ง” เพียงอึดใจเดียวเสียงทุ้มน่าฟังอันเป็นเอกลักษณ์ของลุงท่านเจ้าบ้านก็ดังมาตามสาย ตัวจริงเสียงจริง ลุงมาแอบตีท้ายครัวตอนผมไม่อยู่จริงๆ

“คุณลุงคะ...พึ่งรู้นะว่าคุณลุงคิดยังไงกับพ่อของพึ่ง...” ตรงประเด็นครับคนอย่างผม ไม่มีอ้อมค้อม ลูกผู้ชายตัวจริงไม่ต้องมีเกริ่นนำให้มากความ

“...ครับ แล้วแต่หนูพึ่งจะคิดเลย” และคำตอบลุงก็ไม่มีปฏิเสธเสียด้วย หน็อย...

“...หนูคงไว้ใจคุณลุงได้ใช่ไหมคะ?” ลุงคงไม่งาบพ่อผมเสียคืนนี้ใช่ไหมครับ เราต้องมาทำสัญญาลูกผู้ชายกันก่อน ผมเพิ่งโดนลูกชายลุงจิกหัวมา ดังนั้นผมขอคำยืนยันหน่อยเหอะ!

“พ่อหนูเขายิ้มสวยนะ” อื๋อ...นั่น ไม่ใช่คำตอบที่ผมอยากได้นะลุง เข้าใจอะไรผิดไปเปล่า?

“กว่าลุงจะทำให้พ่อหนูยิ้มให้ลุงได้ ใช้เวลาตั้งนาน...ลุงเองก็อยากรักษามันไว้นาน ๆ เหมือนกันนะ”

คำตอบของลุงทำผมสะอึก ผมถึงกับยิ้มออกมาเลยนะขอบอก ไม่ได้เห็นด้วยกับลุงเลย แต่ที่ยิ้มเนี่ยเพราะมุกลุงมันเสี่ยวมากต่างหาก มุขของคนยุคลุงจริง ๆ น้ำตาผมจะไหลให้ได้...

แต่เอาเถอะ...ผมก็โล่งใจขึ้นหน่อยแล้วแหละนะ...

จากนั้นผมก็คุยกับพ่อพจน์อีกหน่อยเพื่อกำชับให้พ่อคอยระวังภัยทุกลมหายใจไว้ก่อนและพ่อพจน์ของผมก็รับปากขำๆ ก่อนจะวางสายกันไป

จะว่าผมสบายใจแล้วน่ะเหรอ....เปล่าเลย ไม่มีทางที่ผมจะสบายใจขึ้นได้หรอก เพราะไม่ว่าจะคิดยังไงการที่จู่ๆ ผมมาโผล่ถึงบางแสนแทนที่จะได้ไปนอนกอดพ่อเนี่ยก็เพราะแผนการของสองพ่อลูกนั่นแล้วจะให้ผมวางใจได้อย่างไร แต่ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่ภาวนาต่อฟ้าฝนว่าให้ตาลุงท่านเจ้าบ้านรักษาสัญญาลูกผู้ชายที่ให้ไว้กับผมอย่างเคร่งครัด กับภาวนาให้สกิลการเอาตัวรอดอันน้อยนิดของพ่อพจน์ยังพอใช้การได้ นอกนั้นก็สุดแล้วแต่บุญกรรม...

ขอโทษนะลุง...ถ้าพรุ่งนี้พ่อผมยังอยู่ดีมีสุข ผมจะยอมออกปากขอโทษลุงอย่างจริงจัง ที่ตั้งแง่กับลุงจนเกินไปก็แล้วกันนะ…

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
“เดี๋ยวพวกพี่จะขับรถตามไอ้พอลไปที่ห้าง น้องน้ำผึ้งจะไปด้วยกันหรือเปล่าครับ?” พี่เกาเหลาถามผมอีกครั้งขณะมาส่งผมทิ้งไว้ที่ห้องของมัน

“ไม่เป็นไรค่ะ...อิฉันรอที่นี่ดีกว่า” เสียงผมเริ่มสั่น ไม่ใช่อะไรหรอกครับแค่มันเริ่มหนาวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไอ้พี่เกาเหลาเห็นสภาพผมเข้าก็รีบไล่ผมไปอาบน้ำแล้วตัวเองจึงออกจากห้องไป เวลาตอนนี้เกือบจะทุ่มแล้ว ฟ้ามืด ลมเย็น แถมแอร์ในห้องก็เย็นเจี๊ยบ พอมันได้โดนกับเสื้อผ้าชื้น ๆ ของผมเท่านั้นแหละ ฮึ่ย! ไอ้พึ่งไม่รอแล้ว! เข้าไปอาบน้ำอุ่นดีกว่า!!

ซ่า....

เฮ้อ....อุ่นสบาย (หุหุ อย่าตกใจครับที่ผมใช้ห้องน้ำโรงแรมเป็น เอ่อ...อย่าเพิ่งด่าผมนะ สมัยทำงานที่บาร์น่ะ ก็พอจะมีแม่ยกพาเข้าไปนอนเล่นในห้องหรู ๆ อยู่บ้าง...เอ่อ แค่ไม่กี่ครั้งเอง ง่ะ...อย่ามองอย่างนั้นสิ....ผมเลิกแล้วครับ ไม่ทำอีกแล้วครับ...เอิ่ม...อย่าบอกพ่อพจน์ของผมนะ เดี๋ยวท่านเสียใจ)

เอ้อ แชมพูโรงแรมนี้ดีจัง ฟองฟ่อดเชียว ชอบ ๆ อิอิ

ครืด!!

“เฮ้ย! ไอ้บอมพ์ พวกนั้นหายไปไหนกันหมดวะ? ”

อ๋า...!?

“...”

ถึงกับเกือบอุทานออกไป...ว้าย ตาเถร เณรชี! ด้วยใบหน้าที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ฟองน้ำขัดตัวในมือร่วงผล็อยลงแทบเท้า...

เอ่อ...พี่ฝ้าย พี่ไอดอล...พี่จะทะลึ่งพรวดพราดเข้ามาทำไมอ่ะคับ?



++++++++++++++++++++




“ตกลง...น้องหลอกเพื่อนพี่อยู่ใช่ไหม?”

แค่ลืมล็อกประตูห้องน้ำ...จากนางฟ้าก็กลายร่างเป็นนักโทษประหารในทันใด ในห้องเปิดแอร์เย็นเจี๊ยบ ตัวผมก็ยังคงชื้น โดยเฉพาะหัวของผมที่เรียกได้ว่า...แฉะ ชนิดที่ว่าฟองแซมพูยังตกค้างอยู่บนเส้นผมอยู่เลย...เรื่องเสื้อผ้าอย่าถามถึงครับ ล่อนจ้อน ตอนนี้มีเพียงเสื้อคลุมของโรงแรมเท่านั้นแหละที่คลุมตัวอยู่ เรียกได้ว่าสารรูปอเนจอนาถแถมยังต้องนั่งสารภาพบาปกับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่ถึงวันด้วย ชีวิตติดกรรมจริง ๆ ครับ

“ว่าไงครับ? ตกลงน้องจะบอกความจริงพี่ได้หรือเปล่า? หรือจะให้พี่รอไอ้พอลกลับมาก่อน?”

อูย...ขู่ได้ขู่ใหญ่เลยนะพี่ไอดอล เห็นว่าผมศรัทธาในความหล่อขรึมของพี่เข้าหน่อย เล่นใหญ่รัชดาลัยเชียวนะ...เอิ่ม...ก็ว่าไปนั่น ตัวจริงผมได้แต่นั่งจ๋อง มโนไปได้เลยว่าเป็นโจรกระจอกโดนจับประจานโดยมีของกลางครบถ้วนกองอยู่ตรงหน้า แล้วมีนักข่าวรุมถ่ายรูปพรึ่บพรั่บ...หน้าตา...ไร้อนาคต

“ผม...ผมปลอมเป็นผู้หญิง...เพื่อหลอกคุณภาคีจริง ๆ ครับ”

คำสารภาพแรกจากปากของผม มันช่างบางเบา ไม่เคยรู้เลยว่าตัวผมเองตอนที่ถูกต้อนจนมุม จะจ๋อยเป็นหมาหงอยได้ถึงขนาดนี้ พี่ไอดอล...พี่ปราบผมอยู่จริง ๆ (นี่ศรัทธาเพิ่มเลยนะเนี่ย)

“หลอก เพื่อเงิน?” สั้น ๆ ตรงประเด็นแทงกลางใจดังฉึก! คนแบบพี่นี่แนวผมเลย (เอ่อ...ไม่ใช่เวลามาชื่นชมพี่เขาสินะ)

“ครับ...” ผมเองก็ตอบออกไปสั้น ๆ ไร้คำแก้ต่างใด ๆ ผมผิดจริง ผมยอมรับ แล้วที่เงียบเนี่ย...คือกำลังหาทางรอดครับ เรื่องอะไรจะมายอมตายเอาตอนนี้กันล่ะ ภาระผมยังอีกเพียบเลยนะ ไหนจะพ่อ ไหนจะน้อง ไหนจะเรียน...

"ไม่มีเหตุผลมากกว่านี้รึไง?” พี่ไอดอลถามขึ้นเมื่อเห็นผมเงียบไม่ยอมพูดอะไรเสียที ตัวพี่เขาที่ยืนอยู่ไกล ๆ เริ่มสืบเท้าเข้าใกล้ผมที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนโซฟาเรื่อย ๆ ไม่อยากบอกเลยครับว่าในมือพี่เขาถือหลักฐานชิ้นสำคัญเอาไว้ด้วย...เหอะ ๆ นมปลอมผมเอง

“บอกเหตุผลดี ๆ มาสักข้อสิ พี่ว่าหน้าตาน้องก็ดูไม่ใช่คนเลวร้ายนะ ทำไมถึงเลือกทำเรื่องแบบนี้ ถ้าเหตุผลน้องฟังขึ้นพี่อาจเห็นว่าคนเรามันตัดสินใจผิดพลาดกันได้แล้วอาจให้โอกาสน้องได้กลับตัวกลับใจนะ” เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า พร้อมเอ่ยวาจาอันน่าเลื่อมใส ไอดอลของผมจริง ๆ เหอะให้ตาย พี่ครับ โตขึ้นผมจะเป็นให้ได้อย่างพี่เลย

น่าแปลกนะคำพูดแค่ไม่กี่คำของพี่เขาก็ทำให้โจรกระจอกอย่างผมเปิดปากสารภาพความจริงทุกสิ่งอย่างหมดเปลือกได้ชนิดสิ้นไส้สิ้นพุง

“ผมชื่อพจน หมื่นพิทักษ์ ชื่อเล่นว่าพึ่ง...ถึงผมจะไม่ใช่ผู้หญิง...แต่ผมคือตัวจริงที่เทวินทร์วงศ์ตามหา”

“...หมายความว่ายังไง?”

คำเปิดหัวเรื่องคงเรียกความสนใจจากพี่ไอดอลไม่น้อย เพราะถึงขนาดที่พี่เขาต้องลากที่นั่งใต้โต๊ะเครื่องแป้งข้าง ๆ โซฟา มานั่งประจันหน้ากับผมเลยทีเดียว ใบหน้าหล่อคมยื่นเข้ามาใกล้เหมือนจะกลัวพลาดตอนสำคัญที่ผมกำลังจะเล่า แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะฟังเรื่องราวทั้งหมดจากผมอย่างเต็มที่

แล้วหลังจากนั้น...เรื่องราวทุกอย่างก็ไหลออกจากปากผมราวกับน้ำตกทีลอซู พรั่งพรูเป็นห่าฝน เรียกได้ว่ามีเท่าไหร่ ไหลหมด...หมดเนื้อ หมดตัว



+

+

+



ยี่สิบห้านาทีโดยประมาณ พงศาวดารบ้านผมก็ถูกเปิดโปงออกจากปากจนสิ้น หลังฟังจบพี่ไอดอลก็เอาแต่เงียบเหมือนกำลังพินิจพิเคราะห์อะไรสักอย่าง ใบหน้าหล่อบาดใจยังคงจ้องผมตาไม่กะพริบ เอ่อ....พี่ครับ ถึงพี่จะเป็นไอดอลของผมแต่เราก็เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงวัน พี่เล่นเอาเบ้าหน้าในอุดมคติของผมมาจ้องเอ๊าจ้องเอาแบบนี้...ผม...ใจสั่นนะ

หมับ...

อื๋อ?

ขณะกำลังก้ม ๆ เงย ๆ เพราะไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จู่ ๆ บนหัวเย็นชืดของผมก็อุ่นวาบด้วยฝ่ามือของคนตรงหน้า อึ้งสิครับ ตั้งแต่เกิดมานอกจากญาติผู้ใหญ่ที่เคารพ ยังไม่เคยมีใครลูบผมของผมอย่างอ่อนโยนแบบนี้มาก่อนเลย เฮ้ย! แล้วปกติผมก็ไม่ชอบให้ใครเล่นหัวง่ายๆ ด้วยนะ ไหงพอคนตรงหน้าเป็นพี่ไอดอล ผมถึงใจง่ายอย่างนี้ล่ะ!! ฉิบหายแล้ว! เส้นทางลูกผู้ชายอันรุ่งโรจน์ที่รออยู่ของผม มันเริ่มมีขวากหนามหน้าตาคล้ายพี่ไอดอลเข้ามากีดขวางทางแล้วใช่ไหม!?

“พี่เห็นใจเรานะ และพี่ก็รู้สึกทึ่งที่เราเป็นคนเก่งกล้าได้ขนาดนี้ แต่...เราก็รู้อยู่แก่ใจใช่ไหมว่าสิ่งที่ทำ...มันผิด”

สรรพนามที่พี่เขาใช่เรียกผม มันช่างอ่อนโยนจนผมอดใจสั่นไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาบ้านผมจนมาก ชีวิตปากกัดตีนถีบ พอแม่ตาย หนี้สินก็มากล้นพ้นตัว จนต้องออกจากมหาลัยเพื่อทำงานใช้หนี้และส่งเสียน้องชายคนเดียวให้ได้เรียนต่อ ชีวิตเรียกได้ว่าแกร่ง จนแข็งเป็นเหล็กไหล ไม่เคยเชื่อในโชคชะตา ไม่เคยฝากความหวังไว้ในมือใคร ลำแข้งตัวเองเท่านั้นที่ผมให้ความศรัทธา ชีวิตมีแต่คนหน้าไหว้หลังหลอก เข้ามาวุ่นวายไม่ขาด ความอบอุ่นในชีวิตที่ยังเหลืออยู่ที่ผมให้ความเชื่อมั่นมีเพียงอ้อมกอดอุ่นของพ่อพจน์กับไอ้พิงเท่านั้น

ผมไม่เคยวางใจในความอบอุ่นจอมปลอมจากมือที่ลูบผมของผมทุกครั้ง เพราะมันย่อมมาพร้อมกับสิ่งที่ผมต้องแลกด้วยเสมอ และแน่นอนว่าสิ่งที่ผมแลกกลับไปกับความจอมปลอมนั่นก็คือการลวงหลอกไม่ต่างกัน หลายๆ มือที่เคยลูบเส้นผมของผม ให้เพียงความรู้สึกเย็นชา กับความแข็งกล้าราวหินผาสู่หัวใจของผม

แต่ครั้งนี้มันกลับแตกต่าง...

ความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้จากฝ่ามือที่อยู่บนศีรษะผมตอนนี้คือความอบอุ่น...อบอุ่นอย่างไม่มีเงื่อนไข ผมรู้สึกได้ว่าคนคนนี้ให้ความเอ็นดูผมจากหัวใจ ให้ความเห็นใจในความที่ผมคือตัวผม ไม่ใช่เพียงรูปร่างหน้าตาอย่างคนอื่นๆ

อ...ไอดอล...ของผม....คนอย่างพี่นี่มัน....มัน....

โคตรเทวดาของผมจริง ๆ!!

“...ผม....แต่ผม...ไม่มีทางเลือก” หมดกันไอ้พึ่ง แค่พี่เขาลูบหัวเข้าหน่อย บ่อน้ำตาก็ตื้นขึ้นมาเชียว ไม่ใช่แค่น้ำตาไหลนะ เสือกสะอื้นด้วย!! หมดกันแล้ว ความเป็นลูกผู้ชายอันแข็งแกร่งของผม

“พึ่ง...” พี่ไอดอลเขาคงตกใจแหละครับ ที่จู่ ๆ ผมก็ร้องไห้ออกมา (แถมไม่ใช่แค่น้ำตาร่วงเผาะด้วยนะ...ทะลักเป็นเผาเต่าเลยงานนี้...วู้ อายจนอยากจะมุดรูหนี!)

“ได้โปรดครับ...ขอเวลาให้ผมอีกหน่อย...ไว้ผมตั้งตัวได้ ผมจะเอาเงินมาใช้คืนเทวินทร์วงศ์ทุกบาทเลย...แต่ตอนนี้ผมขอร้อง อย่าเพิ่งเปิดโปงผมเลยนะ...ผมไม่มีทางไปแล้วจริงๆ” ทั้งสะอื้น ทั้งอ้อน มาครบชุดครับงานนี้ ใครก็ได้ช่วยมาตบเรียกสติผมที อร๊ากกกก หมดกัน ภาพพจน์อันแข็งแกร่งสมชายชาตรีที่อุตส่าห์สั่งสมมา

พี่ไอดอล...รับผิดชอบชีวิตผมเลยนะ เอิ๊ก!

“อย่าร้องสิ เราทำแบบนี้พี่ลำบากใจนะ พี่ปลอบคนไม่เป็นเสียด้วย....เอาล่ะ พี่จะยังไม่บอกใครเรื่องพึ่งก็ได้”

ภาพผมที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนหมดสภาพ ทำพี่ไอดอลถึงกับทำอะไรไม่ถูก มือที่ลูบผมของผมอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นขยับมาช่วยซับน้ำตาให้ ตอนแรกก็แค่มือเดียว แต่เพราะน้ำป่ากำลังไหลหลาก มือเดียวเลยเอาไม่อยู่ สุดท้ายสองมือของพี่เขาเลยต้องร่วมด้วยช่วยกันประคองหน้าผมไว้ แล้วช่วยเช็ดช่วยปาดให้อย่างอ่อนโยน พร้อมกับรับปากว่าจะให้โอกาสผมด้วย…

พอได้ยินปุ๊บ น้ำตาที่ไหลเป็นเขื่อนแตกของผม ก็หยุดทันทีเหมือนปิดก๊อกน้ำ หึหึ

“จ...จริงเหรอครับ...” ผมถามพี่เขาออกไปด้วยเสียงที่ยังเครือสั่นนิดๆ ไม่ได้อยากจะใช้มารยานักหรอกนะ แต่มันเป็นกมลสันดานเสียแล้วอ่ะครับ ยิ่งเจอคนที่อบอุ่นจริงใจอย่างพี่ไอดอลเข้าแล้วด้วยไอ้พึ่งอ้อนตายเลยเอ้า!

“อืม...พี่ไม่บอกใครก็ได้ แต่พึ่งต้องให้สัญญากับพี่นะว่าจะไม่ทำอะไรที่เลยเถิด ไม่สร้างปัญหาใด ๆ ให้กับบ้านเทวินทร์วงศ์ของไอ้พอลเพื่อนพี่ และที่สำคัญพึ่งต้องคอยรายงานพี่ทุกระยะด้วยว่าทุกอย่างยังเรียบร้อยดีหรือเปล่า ให้พี่ได้วางใจ ได้ไหม?”

เหมือนจะดี แต่คำสั่งเสียยาวเหยียด จะหลบตาก็ไม่ได้ เพราะพี่แกเล่นบล็อกหน้าผมไว้ด้วยสองมือที่ช่วยปาดน้ำตาให้อยู่เมื่อครู่

“ไม่ต้องทำหน้าไม่เข้าใจ รู้ไหม ตอนนี้เราทำให้พี่กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้ว ถ้าเราเกเรจนความแตกเมื่อไหร่ พี่คงเสียเพื่อนเพราะช่วยเราแน่”

คำอธิบายของพี่ไอดอลทำผมสะอึก จริงของพี่เขาครับ ผมเกือบลืมไปเลยว่าพี่เขาเป็นเพื่อนร่วมก๊วนกับไอ้ยักษ์ การที่ผมเรียกร้องให้พี่เขาช่วยเก็บเรื่องของผมเป็นความลับก็เท่ากับว่าเป็นการขอร้องให้พี่เขาร่วมมือกับผมเพื่อหลอกเพื่อนตัวเองไปด้วย

“ผมขอโทษ...พี่ไม่ต้องช่วยผมแล้วก็ได้นะครับ...อย่าเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงกับผมเลย...”

ผมกลับคำให้การทันที ไม่เอาครับ ถ้าจะตายผมขอตายคนเดียวดีกว่าลากคนที่ไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลยมาตายด้วย แต่พอผมพูดจบพี่เขาดันยิ้มให้ สองมือที่ยังประคองหน้าผมอยู่กระชับแน่นขึ้น ล็อกให้ผมต้องสบตาคมกล้าทรงเสน่ห์คู่นั้นตรง ๆ

“ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ พี่รับปากแล้วว่าจะช่วยเราพี่ก็จะไม่คืนคำเช่นกัน”

“พี่...ฝ้าย...”

ทึ่งเลยครับ คำพูดของพี่เขาทำผมทึ่งมาก

“เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนะ”

ให้ตาย พี่ครับ พี่คือผู้ชายในอุดมคติของผมจริงๆ!! ผมต้องโตไปเป็นผู้ชายอย่างพี่ให้ได้ รอผมตั้งตัวได้ก่อนนะ ผมจะเจริญรอยตามพี่เลย!

“เอ้า ๆ อย่าร้องอีกสิ บ่อน้ำตาตื้นจังนะเรา”

บ่อน้ำตาตื้น ก็เพราะตื้นตันไงครับพี่... ผมได้แต่นั่งยิ้มไปร้องไป ให้พี่เขาเช็ดน้ำตาให้ป้อยๆ แฮ่...มีความสุขจริงจังเลยขอบอก ถ้ากรีดเลือดตอนนี้ได้ ผมคงขอพี่เขากรีดเลือดสาบานเป็นพี่น้องกันไปแล้ว พี่ชายแบบนี้แหละที่ผมอยากมีมานาน...

ทว่าความสุขมักอยู่กับเราไม่เคยนาน...เพราะในระหว่างที่ผมกำลังจะขอสาบานเป็นพี่น้องกับพี่ไอดอลอยู่นั้น มือมารที่สาม สี่ ห้า ก็ถลากันเข้ามาซะแล้ว...

แกร๊ก...

“น้องน้ำผึ้งครับ ไอ้พอล...มา...แล้ว..........เอ่อ...”

นำทีมด้วยไอ้พี่เกาเหลา ที่เข้ามาปุ๊บก็ถึงกับหวอ...ก็แหงล่ะ สภาพที่ไอ้พี่เกาเหลาและคณะได้เห็น คงไม่พ้นภาพผมกับเพื่อนตัวเองกำลังจะเล่นชู้กันสินะ

ทั้งเรื่องที่ผมกับพี่ไอดอลนั่งติดกัน โดยที่มือของพี่เขายังคงตระกองหน้าผมอยู่ ใบหน้าของเราแทบจะติดกัน

และที่สำคัญ...

สภาพของผม...ที่มีเพียงชุดคลุมอาบน้ำปิดป้องเนื้อนวลนาง

‘เชี่ยฝ้าย มึงกำลังทำอะไรวะ?’ เสียงพี่คนหนึ่งอุทานขึ้นเบา ๆ จังหวะนั้นผมกับพี่ไอดอลจึงรีบผละจากกันทันที หน้าตาของทุกคนในที่นั้นเครียดขึง แต่มันไม่ได้น่ากลัวไปกว่าคนที่ยืนกอดอกพิงตัวอยู่ที่หน้าประตู

เชี่ย...ไอ้ยักษ์ ที่หน้านิ่งอย่างกับรูปสลักแบบไม่แสดงอารมณ์อะไรเลยในสถานการณ์แบบนี้นี่...

แม่ง...โคตรน่ากลัวครับพี่น้อง!!



++++++++++++++++++++

น้องพึ่งได้พวกเพิ่มพร้อมงานเข้า 555

ขอบคุณที่ติดตามนะค๊า

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

10 เบา ๆ

“พึ่ง กลับห้อง”

เสียงเย็นเยียบ ดังขึ้นท่ามกลางห้องเงียบเชียบ เหล่าชายฉกรรจ์หน้าตาดีต่างคนต่างก็หุบปากสนิท เหลือเพียงหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มเท่านั้นที่เริ่มเคลื่อนตัวโกยผ้าผ่อนเปียกชื้นพร้อมนมปลอมขึ้นแนบอก

"เฮ้ยพอลมันไม่ใช่อย่างที่มึงคิดนะ..."

ระหว่างที่ผมโกยทุกอย่างแล้วเดินไปหาไอ้ยักษ์แบบหงอย ๆ พี่ไอดอลของผมก็เดินตามมาติด ๆ แล้วเปิดประเด็นเพื่อจะอธิบายความให้ไอ้ยักษ์ฟังทันที

"...แล้วมึงว่ากูคิดอะไรล่ะ...ฝ้าย?" แต่ยังไม่ทันที่พี่ไอดอลจะได้เปิดปากไอ้ยักษ์ก็สวนขึ้นแบบเล่นเอาอึ้งกันไปทั้งห้อง และขอบอกเลยครับตอนนี้หน้าไอ้ยักษ์มันกวนเบื้องล่างสุด ๆ เลยแถมยังไม่ใช่แค่ตอบกวนนะมันยังแดกดันต่อตามท้ายมาอีกด้วย

“...การที่เพื่อนสนิทคนหนึ่งเป็นเดือดเป็นร้อนแทบเป็นแทบตายกะอีแค่กูสั่งสอนเมียกูโดยการจับโยนน้ำ ถึงขนาดต้องวิ่งตามไปหาเรื่องเทศนากูถึงข้างนอกบอกให้กูใจเย็น แล้วไง? จากนั้นมึงก็ตามมาช่วยปลอบประโลมหัวใจที่บอบช้ำของเมียกูในห้องสองต่อสอง...แนบชิด ช่วยปาดน้ำตา ช่วยโอ๋ ในขณะที่เมียกูใส่แค่เสื้อคลุมอาบน้ำตัวเดียว...มึงว่า...กูควรคิดยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดีล่ะ?”

ไอ้ยักษ์มันลอยหน้าลอยตาพูดเป็นฉาก ๆ หน้ามันไร้อารมณ์มากครับตรงข้ามกับคำพูดแสบสันโคตร ๆ ลักษณะที่มันว่ามานี่...ชู้ชัด ๆ บอกตรง ๆ ผมงี้อยากจะตะโกนใส่หน้ามันจะแย่ว่า ‘กูเป็นผู้ชาย!’ จะได้ไม่ต้องลากพี่ไอดอลมาลำบากผิดใจกับเพื่อนฝูงแบบนี้

เครียดสิครับ...ไอ้พึ่งไปต่อไม่ถูกเลยงานนี้ โอ๊ย! กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง...!

“มึงจะคิดยังไงก็ช่าง แต่กูขอบอกมึงไว้เลยว่ากูกับพึ่งไม่ได้คิดจะทำเรื่องอกุศล...” โถ...พี่ไอดอล พี่ยอดขมองอิ่ม ทูนหัวของน้อง เพื่อนพี่มันอกุศลขนาดนั้น พี่ยังจะพยายามอธิบายเพื่อช่วยเหลือผม ฮึ่ก...โอ๊ย น้ำตาผมจะไหล

“มึงเก็บคำอธิบายของมึงไว้ใช้กับคนอื่นเหอะว่ะ...พึ่ง กลับห้อง!” ดู๊ดูมัน! กล้าหยาบคายใส่พี่ร่วมสาบานแสนดีของผมได้ งานนี้ไอ้พึ่งไม่ยอมเด็ดขาด เอาวะ!

“ถึงเรื่องมันจะคล้ายหนังน้ำเน่า แต่ความจริงไม่ใช่อย่างที่คุณเห็นนะ!”

เงียบกันไปทั้งห้องอีกรอบ เมื่อผมแผดเสียงแหลมปี๊ดขึ้นมาบ้าง (เกือบเผลอไอออกมาแน่ะ เพราะดัดจริตเกิน) หน้าผมเอาจริงเอาจังสุด ๆ จ้องมันตาเขียวตาคว่ำ แต่มันกลับแค่ยืนกอดอกพิงกรอบประตูมองผมเหยียด ๆ หน็อย...แค่เห็นก็อยากจะถวายแหวนให้สักวง เอากลางกระหม่อมซะดีมั้ง!

“จริงอยู่ที่มันน่าเข้าใจผิดตรงที่พี่ฝ้ายเขาช่วยเช็ดน้ำตาให้อิฉัน แต่มันก็แค่นั้น ไม่มีอะไรเกินเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นพวกคุณจะทำยังไงคะ? ถ้าเห็นผู้หญิงรุ่นน้องนั่งร้องไห้ฟูมฟาย เสียใจอย่างแสนสาหัส เพราะถูกคนรักทำร้ายร่างกาย...พวกคุณจะทิ้งเธอไว้คนเดียวได้ลงคอไหมคะ? จะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยอะไรเลยเหรอคะ?”

เอากับผมสิ! ซีนอารมณ์ผมเก่งนะ สวมวิญญาณนางเอกช่องเจ็ดกันเลยทีเดียว คึคึ...เหวอกันไปเลยนะพวกเอ็ง...หึหึหึ แค่นี้ยังน้อย เดี๋ยวเจอกูรันทดใส่แบบเต็มสตรีมก่อน แล้วพวกเอ็งจะรู้ กูน่ะระดับบัลลังก์เมฆเดอะมิวสิคัลเลยนะเว้ย!

“...นั่นสินะคะ...อิฉัน...คงดูเป็นผู้หญิงไม่ดี เป็นคนใจง่ายขนาดนั้นเลยสินะคะ คนต่ำต้อยอย่างอิฉัน...ถูกเข้าใจผิดแบบนี้ก็สมควรแล้วล่ะค่ะ”

ไงล่ะ...สลดกันเป็นแถว ผมจี้โดนจุดสุภาพบุรุษเข้าใช่ไหมล่ะ หึหึ นี่แอคติ้งยังไม่ได้ใส่เต็มนะ ไม่งั้นมีน้ำตาแตกแน่

“น้องน้ำผึ้ง...พวกพี่ไม่ได้คิดอย่างนั้นนะครับ” นั่นไง มีตกหลุมพรางมาคนละ พ่อเสือชีต้าเดินเข้ามาพูดใกล้ผมเลยนะ คงอยากให้เห็นใบหน้าแสดงความจริงใจ แถมมีไอ้ลูกครึ่ง ตามพยักหน้าหงึกหงักอยู่ด้านหลังด้วย

พอเริ่มมีคนเข้าข้าง ผมงี้รีบก้มเลย เดี๋ยวเผลอแสยะยิ้ม คึคึคึ

“...อิฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ใครจะว่ายังไง อิฉันก็คงไม่มีสิทธิ์แก้ตัวหรอก ขอแค่เพียงเรื่องเดียว เรื่องอัปยศที่มันเกิดขึ้นครั้งนี้ ขอให้อิฉันเป็นคนผิดเพียงคนเดียวเถอะนะคะ พี่ฝ้ายเขาไม่ได้ผิดอะไรเลย พี่เขาแค่เพียงมีหัวใจที่อ่อนโยน เลยช่วยปลอบใจอิฉันที่กำลังเศร้าหมองก็เท่านั้น...” จบคำก็บีบน้ำตากระซิก สะอึกสะอื้น บอกเลย ถ้าผมเป็นดาราก็คงได้รางวัลตุ๊กตาทองเลยล่ะ

ได้ผลครับ ท้ายที่สุดทุกคนก็เข้าข้างผมกันเต็มที่ แล้วก็ช่วยกันพูดให้ไอ้ยักษ์เข้าใจ แน่นอนว่ามันหน้าหงิกยิ่งกว่าตอนเห็นผมกับพี่ไอดอลตอนแรกเสียอีก คงรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้ล่ะซี้ ฮ่า ฮ่า

ระหว่างที่คนอื่น ๆ กำลังช่วยคุยกับไอ้ยักษ์ ผมกับพี่ไอดอลก็ลอบสบตากันเล็กน้อย ผมยิ้มมีเลศนัยทันทีที่เห็นหน้าพี่เขา ส่วนพี่ไอดอลเองก็ได้แต่แอบยิ้มบาง ๆ พลางส่ายหน้าน้อย ๆ กับความเกรียนของผม

“พอได้แล้วพวกมึง พึ่งกลับห้อง”

แอ๊ะ? ได้ยินเสียงไอ้ยักษ์โวยขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก่อนที่ตัวผมจะถูกตะปบลากรวดเดียวถึงหน้าประตู ท่าทางไอ้ยักษ์มันจะหงุดหงิดไม่น้อย เพราะหน้ามันเหี้ยมโคตร มือมันที่ตะปบเอวผมอยู่ก็แน่นมาก โอบกระชับแนบสนิท ชนิดที่ดิ้นไม่ได้กันเลยทีเดียว

“เฮ้ย? ไอ้พอล มึงอย่ารุนแรงกับน้องเขานักดิวะ!” คิดดูแล้วกันครับว่าไอ้ยักษ์ใช้แรงขนาดไหนในการลากผมออกจากห้องพี่ไอดอล แค่หลุดจากประตูออกมาได้ ทุกคนที่เหลือก็รีบออกมาช่วยผมเป็นการใหญ่ อารมณ์นี้ต้องมีดราม่า คิดได้ก็กำลังจะเล่นบทละครโศกอีกสักรอบครับ ติดแค่เรื่องเดียว...

ตรงที่มันเหวี่ยงผมเข้าห้องเสียก่อนจะได้อ้าปากไงครับ...แง่ง...ห้องข้าง ๆ กันเลยนี่หว่า ประตูติดกันเชียว!



+

+

+



ถูกผลักเข้ามาในห้องปุ๊บ ก็ได้แต่ยืนมองมันปิดประตูตามหลังมาติด ๆ ในหัวของผมก็กำลังลำดับความคิดมากมายที่จะรับมือกับไอ้ยักษ์หน้าโหด

...แหม...ก็ไม่เคยมีประสบการณ์เป็นชู้แล้วโดนสามีจับได้อ่ะครับ จะรับมือทีก็ต้องรอบคอบไว้ก่อน

เอาไงดีวะ...

“...ไง...ร้ายนะเธอ สามีไม่อยู่แค่แป๊บเดียว ก็หาสแปร์ได้ซะแล้ว” มันแดกดัน พร้อมยิ้มเหี้ยมให้ผม ขณะสืบเท้าเข้ามาใกล้ช้า ๆ เนิบ ๆ เอิ่ม...ความจริงผมควรเจ็บกับคำพูดนี้สินะ แต่ให้ตายเถอะ ผมดันรู้สึกจั๊กเดียมเสียมากกว่า...โดนว่าแบบนี้...เล่นเอา ขนลุกพิลึก

“ก็บอกว่าไม่ได้มีอะไรในกอไผ่ไงล่ะ ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอคะ?” ผมก็ได้แต่เถียงออกไป พร้อมถอนหายใจเหนื่อยหน่าย (แค่ก เสียงเริ่มจะแหบหน่อย ๆ ละเนี่ย) มันจะเอาอะไรกับผมนักหนา ตัดเรื่องที่ผมเป็นผู้ชายทิ้งไป (เพราะมันไม่รู้) ถึงยังไงผมก็เป็นแค่เมียแต่งในนาม ที่มันไม่เคยจะให้ความสนใจ ความจริงเรื่องหยุมหยิมแค่นี้ มันไม่น่าให้ความสำคัญนะ เป็นผมนี่ผมปล่อยยาว แล้วแต่สาวเจ้าจะปรารถนาเลยล่ะ

คิดไปคิดมา...

เอ๊ะ? หรือว่า...?

มันจะเริ่มคิดลึกกับผมแล้ว!? (เผลอยกมือขึ้นปิดหน้าอกตามสัญชาตญาณทันที)

“เธอคิดว่าแค่ปฏิเสธไปส่ง ๆ แล้วฉันจะเชื่อรึไง? ต้องสั่งสอนกันซะหน่อยแล้วล่ะ”

“...!!?”

มัวแต่คิดโน่นคิดนี่ เลยไม่รู้ตัวว่าโดนมันเข้าประชิดตัวตอนไหน สถานการณ์คุ้นเคยจนผมผงะ อย่าบอกนะว่า

‘มันจะทำแบบวันนั้นกับผมอีก!?’

“เอ๊ย! นี่คุณจะทำอะไรน่ะ!!?” ผมแทบตะโกนใส่หน้ามันทันทีที่เอวของผมถูกมันรวบเข้าไปหา ตัวผมเล็กกว่ามันหลายเบอร์เกินไป แถมในสภาพหมิ่นเหม่จะล่อนจ้อนแบบนี้ ทำให้การเคลื่อนไหวของผมยิ่งมีภาระ จึงทำได้เพียงขัดขืนมันแต่พองาม แล้วหาทางเอาตัวรอดให้ได้

ให้ตายเหอะ! ไอ้นี่ก็หื่นกะกูจัง! ปากบอกไม่รักไม่สน แต่มือมึงอ่ะลวนลามกูตลอดเลย! โธ่เว้ย! เพราะไอ้พึ่งคนนี้เกิดมาเป็นสาวสวยถึงได้ต้องตกเป็นเหยื่อราคะของพวกผู้ชายหื่นกาม แม่ง!! หลุดจากตรงนี้ไปได้กูจะไปเข้าร่วมโครงการเพื่อนหญิงพลังหญิง รณรงค์ตัดกระเจี๊ยวไอ้พวกห่านี่ให้เหี้ยนเลยคอยดู!

“ทำให้เธอหลาบจำไง จะได้ไม่ไปเที่ยวหว่านเสน่ห์พร่ำเพรื่ออีก” มันยิ้มเหี้ยม ก่อนเอ่ยถ้อยคำที่เหี้ย (ม) กว่า! และเพราะผมมัวแต่แตกตื่นกับท่าทีของมันเลยไม่ทันสังเกตว่าในความเหี้ยมหื่นนั้นในสายตาของมันมีความสนุกซ่อนเร้นไว้อยู่!?

“อ๊ะ! เดี๋ยว!!”

ตุบ!

ยังไม่ทันจะได้บริภาษ ไอ้ยักษ์ห่ามันก็เหวี่ยงหวือเดียว ทั้งตัวผมก็ปลิวละล่องลงไปนอนชมเพดานบนเตียงหรูนุ่มนวลชวนฝัน แต่ยังไม่ทันจะได้ฝัน ก็โดนมันโถมร่างทับมาทั้งตัวแบบไม่ให้ตั้งหลัก

“แอ๊ก!!” เสียงผมร้องแบบไม่ไว้ตัว ก็มันเล่นกระโดดทับลงมาแบบไม่กลัวผมไส้แตก จะเหลือสติอะไรให้ร้องวี้ดว้ายได้ทันละครับ (โอย...ไส้แทบปลิ้นออกมาแน่ะ)

“ทับลงมาได้ ถ้าไส้แตกตายทำไงฮะ!?” โมโหไปหน่อยเลยใส่ซะ!

แต่ดูเหมือน...ผมจะพลาดซะแล้วล่ะ

“ฤทธิ์เยอะจังนะกับสามีที่ถูกต้องเนี่ย...ทีกับเพื่อนสามีล่ะก็...ออเซาะซะ”

ไอ้ยักษ์ก้มลงกระซิบอยู่ใกล้ ๆ ใบหน้าเราห่างกันไม่ถึงคืบ อยากพูดอะไรสักอย่างแต่อารมณ์นี้พูดไม่ออกสักคำเลยครับ ทำไมน่ะเหรอ อย่าลืมสิว่าผมโป๊อยู่ แค่มันผลักผมลงเตียง เสื้อคลุมตัวโคร่งของผมก็กระพือหวือเปิดแพร่บแบะออกโชว์ขาอ่อนขาวนวลเนียน สาบเสื้อจิเปิดแหล่ไม่เปิดแหล่ ตายโหง! นมต้มกู!! (ตกใจเพราะยังไม่ได้ใส่นมปลอมเนี่ยแหละ!)

หน้าผมซีดแล้วซีดอีกสิครับ มือไม้ที่จะเอามาปิดของสงวนก็โดนมันจับเอาไปตรึงไว้กับเตียง ถูกจับกดอย่างสมบูรณ์แบบ แถกดิ้นไม่ได้เลยสิงานนี้ อ๊าก! พระพุทธเจ้าทรงโปรด!

“เป็นอะไรไป? ยอมแพ้เหรอ?” ไอ้ยักษ์มันยิ้มยียวน พร้อมถามคำถามที่มันก็น่าจะรู้คำตอบ ฮึ่ย! หยามกันขนาดนี้ ไอ้พึ่งจะไม่ทน!

“คุณมันหน้าตัวเมีย! ทำร้ายผู้หญิงได้หน้าด้าน ๆ ผู้ชายหน้าทนแบบคุณ อิฉันไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เห็นอิฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ไร้ทางสู้ คิดจะรังแกยังไงก็ได้อย่างนั้นสินะ หึ! นี่น่ะเหรอผู้ดีแห่งเทวินทร์วงศ์ สุภาพบุรุษสุด ๆ เลยสินะ!”

ยาว หึ! บอกเลย อย่าให้ไอ้พึ่งรู้สึกไม่พึงใจ ปากพ่อก็หนึ่งในตองอู (เอ๊ะ...เหมือนลืมสถานภาพตัวเองไปครู่...)

“...อ้า...ยังมีฤทธิ์อยู่นี่”

หลังจากโดนผมจวกยับ แทนที่ไอ้ยักษ์จะสลด หรือมีอารมณ์โมโหเดือดดาล อย่างที่ผมจินตนาการว่ามันอาจบีบคอผมตาย ณ วินาทีนี้ แต่เปล่า...มันกลับยิ้มเฉยแถมยังเย้ยผมสวนมาอีก อยากจะด่าต่อ แต่พ่อดันทิ่มหน้าพรวดลงมาหาด้วยทีท่าข่มขวัญเสียก่อน ใกล้...จนผมต้องรีบเบือนหน้าหลบ ใจอยากจะเอาหัวโขกให้หน้าหงาย ติดแต่ว่ามัวแต่ขนลุกขนพองอยู่เลยไม่ได้ทำเสียที

ก็จะไม่ให้ขนลุกไหวเหรอครับ ลมหายใจมันรดอยู่ข้างแก้มผมเลยเนี่ย อร๊ากกก!!

เห็นผมยังเก่งกร่าง หึหึ...ใช่ว่าผมจะไม่กลัวมันนะ กลัวจนสั่นบอกเลย แต่ที่ทำเป็นใจดีสู้เสืออยู่เนี่ย ไม่ได้แน่นักหรอก แต่ยามจนตรอก มันไร้ทางเลือกจริงๆ จะให้นอนนิ่งรอมันลวนลามทางเพศอีกรอบเหมือนวันนั้นมันก็ไม่ใช่แนวผมอ่ะนะ เลยขอดิ้นรนเอาไว้ก่อนล่ะ รอดไม่รอด ค่อยว่ากันทีหลัง

กลัวโดนข่มขืน?

จะกลัวทำไมล่ะครับ แค่มันเปิดผ้ามาเห็นไข่ผม มันก็คงกรี๊ดจนขนหัวลุกแล้ว

แต่ที่ผมกลัวน่ะ เรื่องเดียวเลย

ถ้าความแตกขึ้นมาก็ถึงคราอาสัญคาเท้ามันแน่ครับ เผลอ ๆ ได้ไปนอนหยอดข้าวต้มต่อในซังเตด้วย ลักษณะมันจะนิยมผมน้อยอยู่ซะเมื่อไหร่ ด้วยนิสัยเลวทรามอย่างมันถ้าลองมันรู้ความจริงนะ มันเล่นผมถึงฆาตวาดชีวาวายแน่!

ผมกลืนน้ำลายเอื๊อก เมื่อคิดคำตอบโต้ไม่ออก สภาพล่อแหลมเกินกว่าจะตั้งสติไหว จะพูดยังไงให้มันลุกจากตัวไปก่อนดีนะ!? แค่แป๊บเดียวก็ได้ ขอเวลาจัดระเบียบร่างกายนี๊ดดด

“ออกไปจากตัวอิฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!” อ่ะแหม...อยากตบปากตัวเอง นี่มึงคิดได้แค่เนี่ย? นางเอ๊ก นางเอก!

แต่หลุดปากออกไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ ผมเลยหันมาพยายามดิ้นรน ทั้งขัดทั้งขืนแทน สองข้อมือที่ถูกกดไว้แน่นเกินไปจนดิ้นให้หลุดยาก ทั้งยังไอ้ชุดคลุมอาบน้ำที่ป้องกันอะไรไม่ได้เลยนี่อีก ขยับนิดก็จะหลุด ขยับหน่อยก็จะเปิด ยิ่งท่อนล่างยิ่งแล้ว แม้ไม่เห็นก็รู้สึกได้ ว่าขาอ่อนของผมมันโผล่ออกมาทั้งท่อนแล้ว...

แอร๊ยยย อีกนิดเดียวเท่านั้น อีกเพียงนิดเดียว ลูกชายผมจะโผล่มาตากหน้าสู่สายตาไอ้ยักษ์มันอยู่รอมร่อแล้วววว!!

“ว๊อยยย!! ออกไปนะ ไอ้...!! ”

“หุบปาก!”

ยังไม่ทันจะด่า ไอ้ยักษ์ก็ตะคอกปรามในระยะประชิด...แน่นอนว่าต้องมีละอองน้ำลายมันกระจายเต็มกกหูผมแน่ๆ และอึดใจต่อมา สงครามน้ำลายที่ผมเป็นฝ่ายเสียเปรียบขนาดที่ว่าอ้าปากแทบไม่ออกก็เริ่มขึ้น...ด้วยความสยดสยอง

“ฟังนะ พจมาน หมื่นพิทักษ์ ที่จริงแล้ว...ฉันคนนี้ไม่เคยหยาบคายหรือทำร้ายผู้หญิงที่ไหนมาก่อนเลย จะเรียกว่าสุภาพบุรุษก็ได้” มันเริ่มเรื่อง ยกยอตัวเองว่าเนื้อแท้ดั่งทองทา ไม่ใช่กากสถุลถ่อยอย่างที่ผมเห็น

ถุย! เชื่อมึงกูก็ออกลูกเองได้แล้ว!

“และตอนนี้...ก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่” สะตอเหอะ!

“อิฉันโคตรเชื่อคุณเลยค่ะ! ไม่ทำร้ายผู้หญิง เหอะ!!” แดกเข้าให้ หมั่นไส้พ่อสุภาพบุรุษเหลือเกิน..เอ๊ะ? เหมือนลืมสถานภาพของตัวเองอีกรอบ...

“หึ...ยังไม่รู้ตัวอีก” อีกละ ยิ้มเยาะอีกละ ไอ้นี่แม่งด่าไม่สลด! ฮึ่ย! ไอ้ยักษ์ห่าหน้าซีเมนต์!! ว่าแต่...มันงึมงำอะไรนะ ฟังไม่ถนัดเลยแฮะ

“เออ ดู ๆ ไปเธอก็หน้าตาน่ารักดีนี่...” อื๋อ!? ไหงมันกลายเป็นหนังคนละม้วนแบบนี้วะ? ไบโพล่าเรอะ!?

“ปากนิด จมูกหน่อย ตาโต...ผิวพรรณก็ขาวเนียน ปากแดงธรรมชาติด้วย...” เฮ่ย!? อย่ามาทำเสียงกระเส่าแบบนั้นนะ!

“ซี๊ด...ยั่วยวน ใช้ได้เลยนี่...” เชี่ยแล้วมีซี๊ดด้วย!! เสียงซี้ดเดียวของมันเล่นเอาขนอ่อนผมลุกตั้งแต่ขนหัวแม่เท้าขึ้นมายันขนหัว!

ใครก็ได้ช่วยผมทีครับ ไอ้ยักษ์หื่นกามมากตอนนี้!! ผมสัมผัสได้เลยว่ามันกำลังเกิดอารมณ์กำหนัดกับร่างกายอันแสนเซ็กซี่เย้ายวนของผม สภาพเสื้อคลุมที่เลื่อนหลุดลงมาจนเผยหัวไหล่นวลเนียน ต้นขาอ่อนด้านขวาที่โผล่พ้นสาบเสื้อคลุมขาวผ่องน่าสัมผัส ลมหายใจหอบสะท้านจากการดิ้นเร่าอยู่ใต้ร่างกายกำยำ? ...เอ่อ...เป็นผมถ้ามีหญิงสาวหน้าตาดีมีอาภรณ์ติดร่างน้อยชิ้น มานอนแบอยู่ใต้ตัวผมแบบนี้ ผมเองก็คงหื่นไม่ต่างไอ้ยักษ์มันหรอก...ก็เข้าใจอยู่หรอกนะ แต่มันต้องเป็นสภาพของการยินยอมพร้อมใจ ไม่ใช่การบังคับฝืนใจแบบนี้สิ และที่สำคัญ! กูเป็นผู้ชายไอ้ช้างลาก ปล้ำกูไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นม๊าาา!! งื้ออออ ใครก็ได้ช่วยไอ้ช้างของลูกช้างด้วย!! กรี๊ดดดด!! (สติผมแตกอย่างสมบูรณ์)

“อืม...ชักทนไม่ไหวแล้วสิ ริ้นไรมันเยอะเหลือเกิน สงสัยต้องรีบตีตราจองซะแล้ว” ห๊ะ!?

อื้อหือ เสียงกระซิบของมันช่างแตกพร่า สายตาที่มองผมมาก็โคตรหื่น...อร๊ากกก!! ไอ้พึ่งตาถลนสิครับงานนี้ ไม่นะ ตรูยังไม่พร้อมจะมีสามี ตรูเพิ่งยี่สิบ ยังไม่ได้บวชแทนคุณพ่อแม่เลย ยังโดนเบียดไม่ได้!!

“#$#@*%=@#*$#&%8฿#...” แล้วในที่สุดผมก็ร้องไม่เป็นภาษา เมื่อถูกไอ้ยักษ์ห่าเข้าซุกแล้วคลุกวงใน สองมือของผมที่หลุดจากการเกาะกุมของมันก็รีบสาวเสื้อคลุมปิดร่างเป็นการใหญ่ แต่ก็ได้แต่ท่อนบนแหละครับ ผมทำอะไรกับท่อนล่างของตัวเองไม่ทันจริง ๆ เผลอแป๊บเดียว มันแทรกร่างเข้าหว่างขาผมเรียบร้อยแล้ว!!

...เอ่อ...อย่าเพิ่งคิดลึกครับ ผมหมายถึง ไอ้ยักษ์มันย้ายท่อนล่างมันที่คร่อมผมอยู่ในตอนแรก มาประทับอยู่ตรงกลางระหว่างขาสองข้างที่ถูกมันจับถ่างออกเฉย ๆ มะ...ไม่ใช่อย่างที่พวกคุณจินตนาการนะ อย่าเพิ่งคิดไปไกลกันสิ คือมันยังไม่ได้ชักไอ้หนูมันออกมาแหย่คูหาสวรรค์ของผมแต่อย่างใดนะ มันแค่มายึดฐานที่มั่นตรงที่ว่างกลางหว่างขาผมเฉย ๆ เก็ตไหม? เก็ตแล้วนะ....เอ้า! มาสติแตกกันต่อ

“ถอยไปนะ! อ๊ะ!!” ผมร้องต่อ ยิ่งดิ้นรนชายผ้าคลุมก็ยิ่งเลิกสูง จนผมต้องรีบจกมือลงไปคว้าไว้ ก่อนลูกชายจะออกมายิ้มแฉ่ง (ลูกชายยิ่งผมเผ้ารุงรังอยู่...อุ๊ย?) สภาพอเนจอนาถเกินทน มือหนึ่งต้องปิดเบื้องบนที่นมก็ไม่มี มือหนึ่งต้องปิดเบื้องล่างที่ถ้าเปิดอล่างฉ่างอาจมีปัญหาถึงชีวิต เส้นผมหมาดน้ำยาวสยายไปบนผืนผ้า ดวงตาเบิกโพลงเพราะวิตกจริตกับการกระทำอันเดาทิศทางไม่ได้ของไอ้ยักษ์ห่าซาดิสม์ ชีวิตไอ้พึ่งวันนี้มันช่างซวยซ้ำซ้อน!

“อย่าดิ้นนักสิ หึหึ ไม่รู้รึไง...ยิ่งดิ้นมันยิ่งเร้าอารมณ์นะ” ย๊ากกกกก!! ไอ้หัวกรวย ไม่ต้องมาเร้าอารมณ์กะเรือนร่างตรูเลยนะ!! ว่าแล้วก็ดิ้นพล่านสิครับจะนิ่งอยู่ทำไมล่ะ

“อร๊ายยยย! คุณจะทำกับอิฉันแบบนี้ไม่ได้นะ คนบ้า คนผีทะเล!! ออกไป๊!!” ด่าเป็นสาวน้อยเลยกรู ทั้งที่อยากจะขุดโคตรเหง้า อยากจะจิกเรียกไอ้หัวอวัยวะเพศชายจะแย่ แต่ก็ต้องตั้งสติให้มั่น โอยยยย...ชีวิต เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก แต่เกิดเป็นชายแต่งหญิง แม่ง....ลำบากกว่า!!

“ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ ก็เราแต่งงานกันแล้วนี่” มันหยัดตัวขึ้นเล็กน้อย สบสายตากับผม พร้อมตั้งคำถาม (ที่ดูเหมือนจะไม่ได้ต้องการคำตอบ)

“แต่คุณบอกว่ามันเป็นแค่การแต่งในนาม!”

“...หมายถึงไม่จดทะเบียน แต่ไม่ได้สัญญานี่ว่าจะไม่แตะต้อง...” เวรแล้วไง! อย่าบอกนะว่าไอ้พึ่งจะถึงคราวโดน!? คุณพระ! พ่อจ๋า แม่จ๋า!

“คนสับปลับ! ไม่รักษาสัญญา! คุณทำแบบนี้เท่ากับข่มขืนนะ! ถึงจะแต่งงานกันแล้ว แต่การข่มขืนมันก็ผิดกฎหมายนะ! การทำร้ายผู้หญิงมันบาปนะ คนจะตราหน้าคุณว่าหน้าตัวเมีย โคตรเหี้ย เลวระยำ บัดซบ หมาไม่แดก แต่ถ้าคุณหยุดตอนนี้ อิฉันจะเชื่อว่าคุณคือสุภาพบุรุษตัวจริง เพราะงั้นหยุดการกระทำบ้าบิ่นของคุณเดี๋ยวนี้เลยนะ หยุดสิ บอกให้หยุดไง อร๊ากกกกกก!!”

ไม่รู้อะไรเป็นอะไรแล้วครับตอนนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง ผมหลับตาปี๋ พ่นทุกอย่างในความคิดออกมาเป็นท่อประปาแตก สองมือยังคงปิดนมปิดเนินเนื้อสาว (?) ของตัวเองมิดชิด ปากก็ทั้งด่าทั้งโวยวาย เอาสิ! ถ้าไอ้ยักษ์มันจะสามารถมีอารมณ์คึกกับผู้หญิงปากหมาก็ให้มันรู้ไป!

คิก...

!!?

เหมือนได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่ข้างกกหู ดวงตาของผมก็เบิกโพลงขึ้นทันทีตามปฏิกิริยาตอบรับอัตโนมัติของร่างกาย ผมไม่ได้หันไปมองมันในตอนนี้ เพราะใบหน้าของมันยังซุกอยู่ใกล้ ๆ กกหู แต่หางตาผมก็เหมือนจะเห็นว่าร่างของไอ้ยักษ์กำลังสั่นน้อย ๆ

มันกำลังหัวเราะ!?

หัวใจผมเต้นผิดจังหวะไปสเต็ปหนึ่งเลยนะ รู้สึกชาวาบขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้ายันปลายผม...

มัน...ล้อผมเล่น!?

ผมรู้สึกได้ว่าหัวใจผมกำลังเต้นรัว แน่นอนว่าดวงตาผมกร้าวขึ้นนิดหน่อย ผมรู้สึกได้ว่ามันผินหน้าขึ้นมามองผม และผมเองก็หันไปจ้องหน้ามัน ผมยังไม่ได้พูดอะไร มันเองก็ไม่ได้พูดอะไร เราเพียงจ้องตากัน มันจุดรอยยิ้มเยาะที่มุมปาก ราวกับกำลังต้องการจะเหยียดหยันให้ผมเดือดดาลมากขึ้น

“...คุณ...”

ก๊อก ก๊อก ก๊อก...

!!?

เสียงเคาะประตูดังรัว ราวกับระฆังหมดยก เสียงแว่ว ๆ จากทางหน้าประตูดูเหมือนคนเคาะจะร้อนใจไม่น้อย ผมกับมันเหลือบมองหน้ากัน และในเสี้ยววินาทีนั้น ผมกระโจนตัวขึ้นทันที เป้าหมายคือการวิ่งไปดราม่าแถวหน้าประตู

“อ๊ะ! ปล่อยนะ!!” แต่ก่อนจะได้ลุกก็โดนไอ้ยักษ์โถมตัวมาทับไว้อีก มึงจะเหนียวไปไหนเนี่ย!! แถมไม่ใช่แค่ทับ มือปลาหมึกของมันยังทึ้งเสื้อคลุมตัวเดียวในชีวิตของผมจนร่นลงมาถึงต้นแขน นี่ถ้าผมไม่ตะปบเอาไว้ได้ทันล่ะก็ หัวนมแพลมไปแล้วครับพี่น้อง! แค่นั้นไม่พอนะ มันเลิกชายเสื้อเปิดต้นขาให้ผมด้วย!!

“ชู่...ถ้าไม่อยากโดนปล้ำ ก็อยู่นิ่ง ๆ! แล้วฉันจะปล่อย” พริบตาที่ผมกำลังจะแหกปาก กะจะสู้ตายกับการยื้อยุดชุดคลุมร่างหมิ่นเหม่ของผมอยู่นั้น จู่ ๆ มันก็ผละออก แล้วใช้นิ้วชี้เรียวยาวของมันแตะที่ริมฝีปากของผมไว้ พลางยื่นเงื่อนไขที่ผมเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเหตุผล

แต่เงื่อนไขมันก็น่าสนใจพอจะทำให้ผมหุบปากล่ะนะ เมื่อเห็นผมนิ่งไปตามที่มันขอ ไอ้ยักษ์ก็ยกยิ้มพอใจ ผมสังเกตได้ว่าแววตาของมันแฝงประกายประหลาด?

“ห้ามตุกติกล่ะ อย่าหาว่าไม่เตือน” มันสำทับพร้อมชี้หน้าผมเป็นเชิงข่มขู่ ผมได้แต่พยักหน้าหงึกหงักแล้วนิ่งอยู่ในท่าเดิม เสื้อผ้าที่ถูกเลิกถูกร่น มันก็ไม่ยอมให้ผมจัดเข้าที่เข้าทาง

ผมขมวดคิ้วมองไปที่มันด้วยความไม่เข้าใจ มันเองก็จ้องผมนิ่ง ก่อนจะทำเรื่องที่ผมคิดไม่ถึง!

จู่ ๆ ไอ้ยักษ์มันถอดเสื้อ กับปลดกระดุมกางเกงยีน? เผยร่างขาว ๆ ล่ำ ๆ สู่สายตาของผม เฮ่ย!? บอกจะปล่อยตรู แล้วเมิงจะแก้ผ้าทำไมวะ!? สมองผมประมวลผลเตรียมรับมือทันที แต่แทนที่ไอ้ยักษ์จะกระโจนเข้ามา มันดันหันหลังเดินไปที่ประตูที่มีคนเคาะอยู่ไม่หยุดแทน

ตอนนั้นเอง ผมก็ได้ประจักษ์แล้วถึงเหตุผลในการกระทำทั้งหมดของมัน...

ซึ่งแน่นอนว่า...

ผมรู้เมื่อสายไปเสี้ยววินาที...

แกร๊ก!

“เฮ้ย โทษทีว่ะ พวกกูไม่สบายใจที่ปล่อยมึงเข้าใจผิด คือไอ้ฝ้ายอธิบายให้พวกกูฟังแล้วว่า...อุต๊ะ!”

ไอ้เสือชีต้าอาศัยความที่ตัวเล็กสุดถลานำเข้ามาแล้วโพล่งพร่ำไม่หยุดทันทีที่ไอ้ยักษ์เปิดประตู แต่พูดไม่ทันจบไอ้เสือน้อยก็ได้แต่อึ้ง พวกที่ตามมาข้างหลังก็อึ้ง หึหึ...อย่ามาแต่พวกมันเลย ผมเองก็อึ้ง

ลองคิดภาพตามนะครับ...หากคุณไปเคาะประตูห้องใครสักคน จากนั้นก็มีเจ้าของห้องที่เป็นผู้ชายมาเปิดให้ โดยที่สภาพของชายคนนั้นกำลังเปลือยท่อนบน กางเกงยีนรูดซิปสุดเปิดอ้า เห็นขอบกางเกงในกับไรขนตรงท้องน้อยสุดเซ็กซี่ และเมื่อมองผ่านชายคนนั้นเข้าไปในห้อง ก็พบกับสาวน้อยหน้าตาบ๊องแบ๊วกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงกว้างในสภาพเสื้อคลุมอาบน้ำหลุดลุ่ย โชว์ต้นแขนขาวยาวตลอดแผ่นหลัง อีกทั้งต้นขาขาวผ่องที่โผล่พ้นชายเสื้อที่เลิกสูงนั่นอีก...

ลักษณะที่เห็นคงไม่ต้องมีคำบรรยายใด ๆ สักคำให้ลึกซึ้งใช่ไหมครับ...เป็นใครก็ต้องคิดว่า...

‘มันกำลังปั่บ ปั่บ ปั่บกันแน่ ๆ!’

“ขอบใจที่เป็นห่วงกันนะ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ พวกกูกำลังเคลียร์กันอยู่...อย่างที่เห็น” มันพูดพร้อมหลิ่วตามาทางผมเล็กน้อย ตอกย้ำความสัมพันธ์อันแสนเร่าร้อนที่เพิ่งโดนขัดจังหวะไปหยก ๆ

“แหม...พวกกูลืมไป พวกมึงมันข้าวใหม่ปลามัน หึหึ งั้นพวกกูไม่กวนละนะ ไปเร็วไอ้ชีต้า มองจนน้องน้ำผึ้งเขาจะวาร์ปเข้ามาอยู่ในลูกกะตามึงแล้ว!” ไอ้ลูกครึ่งทักขึ้นก่อนจะขอตัวแล้วลากเพื่อนตัวเล็กของมันไปด้วย

จะเหลือก็เพียงพี่ไอดอลที่รั้งท้ายอยู่หลังสุด พี่เขามองผมด้วยสายตาที่แสดงความสงสัยชัดเจน จะให้ทำไงล่ะครับ ผมได้แต่สบตาพี่เขาแล้วส่ายหน้ายิก ๆ อย่างน้อยขอพี่ช่วยเข้าใจผมด้วยเถอะครับว่าทั้งหมดนี่น่ะ ไอ้ยักษ์มันกุเรื่องขึ้นทั้งนั้นเลย!

ไม่ถึงห้านาทีนับตั้งแต่ประตูถูกเปิด ทุกอย่างก็กลับมานิ่งสงบ ไอ้ยักษ์ปิดประตู ก่อนจะเดินเฉิบ ๆ เข้าห้องน้ำไป แต่ก่อนหน้ามันจะถึงประตูห้องน้ำ มันหันมามองผมแวบหนึ่ง ซึ่งใบหน้ามันขณะที่ได้สบตากันนั้นโคตรประทับอยู่ในจิตวิญญาณ



‘ฮึ่ย!! ไม่ต้องมายักคิ้วให้กูเลยไอ้หัวอวัยวะเพศชายยยย!!’


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2024 04:07:03 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

ภายในห้องน้ำสุดหรูของโรงแรมระดับห้าดาว ร่างสูงใหญ่กำลังยืนกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่จนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล กว่าจะปรับอารมณ์ได้ก็ล่วงไปครู่ใหญ่ ภาคีถึงกับต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อปรับอารมณ์ให้คงความเป็นปกติ

วันนี้เขาอารมณ์ดีกว่าทุกครั้ง เพราะได้ระบายอารมณ์หงุดหงิดไปกับการกลั่นแกล้งพจน ทั้งที่จริงตอนที่เข้าไปเห็นภาพไอ้ฝ้ายกับเจ้าสาวของตนใกล้ชิดกันนั้นเขายังไม่ทันคิดอะไรเลยด้วยซ้ำเพราะในหัวดันเห็นไปว่าก็เป็นผู้ชายทั้งคู่ มาคิดได้ก็ตอนเห็นเพื่อน ๆ พากันระส่ำระสายถึงได้นึกขึ้นได้ว่าตนควรต้องโกรธเลยสวมรอยไปงั้น บอกเลยเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นถ้าจ้าวสาวตัวดีของเขาจะยอมสงบปากสงบคำอยู่เฉย ๆ ไม่ออกฤทธิ์ออกเดชปกป้องไอ้ฝ้ายจนออกนอกหน้า...

มันเลยทำให้เขาอดหงุดหงิดไม่ได้ พจน...คนเดียวที่นายควรเห็นหัวและไว้หน้าคือฉันคนนี้ต่างหาก!

ยอมรับว่าในตอนแรก เขาค่อนข้างหงุดหงิดกับเจ้าสาวกำมะลอของเขาไม่น้อย ที่อีกฝ่ายกล้าปลอมเป็นผู้หญิงมาหลอกกัน แต่ในเมื่อมันเป็นเพียงแค่การแต่งกันในนาม เป็นเพียงเรื่องที่สร้างขึ้นเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ที่เขาปรารถนา ดังนั้นเขาจึงยอมที่จะมองข้าม ‘เพศสภาพ’ ที่แท้จริงของพจนไปและตั้งใจไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย

แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกันว่าทำไมพอได้ใกล้ชิด เขากลับอดไม่ได้ที่จะแกล้งแหย่อีกฝ่ายเล่น ไม่ได้ตั้งใจ? แค่เผลอ? เขาก็ไม่รู้เหตุผลหรอก รู้เพียงเขารู้สึกอารมณ์ดี และสนุกทุกครั้งที่ได้กลั่นแกล้งพจน ได้เห็นสีหน้าอิหลักอิเหลื่อของคนที่พยายามรักษาความลับที่แตกไปตั้งนานแล้วอย่างเอาเป็นเอาตาย แสร้งเป็นหญิงสาวผู้เรียบร้อย ทั้งที่ตัวเองแสนจะกระโดกกระเดก

ยอมรับว่าเขาเริ่มเสพติดการกลั่นแกล้งเจ้าสาวหนุ่มของตนเข้าเสียแล้ว

ในตอนแรกที่ทำ ที่แกล้งว่าจะปลุกปล้ำก็ตั้งใจเพียงแค่ต้องการข่มขู่ให้สำนึกเจียมตัวไว้บ้างว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรก็ได้ เขามั่นใจว่าการจับกดนั้นสามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับชายที่ปลอมเป็นหญิงพอสมควรอยู่แล้ว เพราะต่อให้ไม่ต้องกลัวเรื่องการโดนล่วงละเมิด ก็ต้องกลัวว่าหากความแตกขึ้นมา ชีวิตก็จบไม่สวย

ดังนั้น เรื่องวันนั้นที่เกิดขึ้น จึงเป็นความตั้งใจจริงจังของเขาล้วน ๆ

แต่ใช่ว่าจะไม่แปลกใจตัวเองที่ทำหลาย ๆ อย่างลงไป ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นผู้ชาย ทั้งกอด ทั้งหอม ทั้งจับกด เรื่องเดียวที่ยังไม่ได้ทำหลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายก็คือ ‘จูบ’

ถามตัวเองบ่อยครั้งว่าทำเรื่องอย่างนั้นกับผู้ชายได้ยังไง? รู้สึกขยะแขยงไหม?

ถ้าเป็นกับผู้ชายคนอื่นเขาอาจตอบ ‘ใช่’ แต่กับพจนคำตอบที่ได้กลับเป็น ‘ไม่’ เขาไม่ได้รู้สึกขยะแขยง หรือรังเกียจในร่างกายของพจนเลย กลับรู้สึกสนุกเสียมากกว่าที่ได้แหย่อีกฝ่ายเล่น อาจเพราะอีกฝ่ายแต่งหญิงแล้วขึ้น ไม่ดูขัดตา อาจเพราะอีกฝ่ายตัวเล็กบอบบาง ไม่ถึกทึนเหมือนผู้ชายทั่วไป อาจเพราะอีกฝ่ายหน้าหวาน ชนิดที่เรียกได้ว่า ‘สวย’ อาจเพราะอีกฝ่ายมีผิวขาวใสสัมผัสลื่นมือ อาจเพราะกลิ่นเฉพาะตัวของอีกฝ่ายนั้นหอมถูกใจ อาจเพราะ...

ภาคีได้แต่ส่ายหน้ายิก เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังคิดไปไกล จึงรีบพยายามกลบเกลื่อนด้วยการขำตัวเอง

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ...ที่เขามองว่าการอยู่กับพจนก็ไม่ได้เลวร้าย แถมยังดูสนุกท้าทายมากเสียด้วย

และสิ่งที่เขาเตรียมไว้ให้ภรรยาในนามของเขาคืนนี้ ก็สุดจะเซอร์ไพรซ์ รับรองว่าทันทีที่พจนเห็นสิ่งเขาเตรียมไว้ให้ อีกฝ่ายต้องกัดลิ้นตายไปให้พ้น ๆ อย่างแน่นอน...

“เอาตัวให้รอดแล้วกันนะไอ้โจรกระจอก หึหึหึ”


 

++++++++++++++++++
 

ฮั่นแน่ พี่พอล ทำเป็นหมายหัวน้อง ที่จริงตัวเองแอบคิดลึกแล้วใช่ม๊าาา 5555


ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

11 คู่...ฟ้าประทานพร! (เพิร์ท x พิง)

ค่ายเก็บตัวนักกีฬาว่ายน้ำของสโมสรว่ายน้ำโรงเรียนคุณหนูชื่อดัง

สโมสรนี้สามารถปั้นนักกีฬาระดับเยาวชนทีมชาติมีชื่อมาแล้วนักต่อนัก

และในปีนี้ก็เช่นกันที่สโมสรดังสามารถเฟ้นหาดาวรุ่งมากฝีมือได้

ดาวเด่นที่มีถึงสองคน

หนึ่งคือคุณหนูอัจฉริยะที่ล่าเหรียญมามากมายทุกการแข่งขันมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ลูกชายคนสุดท้องของนักธุรกิจใหญ่ตระกูลดัง

‘เพิร์ท ภูริ เทวินทร์วงศ์’

ส่วนอีกหนึ่งคือเด็กนักเรียนโควตานักกีฬาว่ายน้ำฝีมือฉกาจฉกรรจ์ แม้จะยังไม่ได้มีชื่อเนื่องจากยังไม่เคยลงแข่งรายการสำคัญแต่ฝีมือก็แพรวพราวจนสามารถพูดได้ว่าช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ที่ยังไม่ดังเพราะขาดโอกาส ไม่ได้ขาดฝีมือ นักเรียนทุนที่ยาจกที่สุดในโรงเรียน

‘พิง พชร หมื่นพิทักษ์’

เป็นเรื่องโชคดีของสโมสรที่มีดาวรุ่งถึงสองดวง

แต่โชคร้ายหน่อย ที่ทั้งคู่ไม่ถูกกัน ชนิดที่เรียกได้ว่า เป็นศัตรูทางธรรมชาติของกันและกันเลยก็ว่าได้ เจอหน้ากันเมื่อไหร่ ได้เรื่องทุกที ถึงขนาดที่ว่าโค้ชของทีมต้องแบ่งสันปันส่วนในสโมสร เพื่อแยกดาวสองดวงที่ปะทะกันบ่อยครั้งให้ได้โคจรเป็นที่เป็นทาง ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันจนเกิดมหันตภัยร้ายต่อเพื่อนร่วมทีมอีก...



ประวัติการปะทะ

1.) เพิร์ทใช้สีแดงราดตู้ล็อกเกอร์พิง (ลำบากเพื่อนร่วมสโมสรต้องทำความสะอาด)

2.) พิงเอาน้ำปลาร้าราดตู้ล็อกเกอร์เพิร์ท (เหม็นคลุ้งจนใช้ห้องล็อกเกอร์ไม่ได้ไปหลายวัน)

3.) เพิร์ทเปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำของพิงเป็นจีสตริง

4.) พิงเปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำของเพิร์ทเป็นผ้าขาวม้าขาด ๆ

5.) ปล่อยน้ำในสระฝ่ายตรงข้าม

6.) แอบเปลี่ยนตารางซ้อม

7.) ฯลฯ



ในช่วงแรกดาวดวงใหม่ค่อนข้างเสียเปรียบ เพราะเป็นเพียงเด็กโควตาและยากจน จึงโดนดาวเด่นพวกมากแย่งซีน และกลั่นแกล้งสารพัด แต่ช่วงหลังๆ มาดาวดวงใหม่เริ่มไหวตัวได้ และพยายามหลบเลี่ยงการปะทะซึ่งหน้า

แต่มันไม่ใช่แค่เพียงการหลบหนีให้พ้นๆ ไปวันๆ เท่านั้น เพราะดาวดวงใหม่แสบกว่าที่ใครๆ คิด

ในเมื่อเล่นต่อหน้าไม่ได้ พวกก็ลอบกัดเสียเหวอะ

นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายุ่งด้วยกับดาวใหม่เด็กโควตา เพราะนอกจากจะศรัทธาในฝีมือที่ไม่เป็นสองรองใครแล้ว ยังหวาดหวั่นกับการเอาคืนที่ไม่สามารถคาดเดาได้ของอีกฝ่ายอีกด้วย

และการเข้าค่ายสโมสรนักว่ายน้ำดาวรุ่งในคราวนี้ ทั้งโค้ชและเพื่อนร่วมทีมก็ได้แต่อกสั่นขวัญแขวนอีกแล้ว เพราะไม่อาจวางใจได้เลยว่าดาวรุ่งกับดาวเด่นจะไม่หาเรื่องตีกันจนค่ายแทบแตก เฉกเช่นดังการเข้าค่ายครั้งแรกเมื่อปีก่อน ขนาดว่าอีกฝ่ายมาเข้าร่วมแค่วันสุดท้ายวันเดียว ยังสามารถมีเรื่องกันจนเลือดตกยางออกได้เลย...นี่ถ้าทั้งคู่ไม่ใช่ยอดฝีมือ คงได้โดนไล่ออกจากสโมสรไปนานแล้ว...

แถมปีนี้...ยังเข้าร่วมเก็บตัวในค่ายเต็ม 5 วันทั้ง 2 คนอีก

ทุกคนคงได้แต่อธิษฐาน ว่าขอให้การเข้าค่ายในครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดีทีเถิด...



แต่คำภาวนา ไม่เคยสัมฤทธิผล เพราะอีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้ สองดาวจะเข้าปะทะกันอีกครั้ง



สามทุ่ม...

ณ ค่ายเก็บตัวภาคฤดูร้อนวันแรก ชมรมว่ายน้ำ สโมสร SQR.

“ฮัลโหล พ่อจ๋า ทำอะไรอยู่”

เสียงทุ้มหวานดังขึ้นหลังสโมสร ขณะแอบมาหยอดเหรียญโทรหาคนที่ตนห่วงใยทุกลมหายใจเข้าออก ‘พ่อพจน์สุดที่รัก’ ร่างบอบบางบิดไปมาอยู่ตรงหน้ากำแพงข้างตู้โทรศัพท์สาธารณะเด็กหนุ่มร่างสะโอดสะองที่ใครเห็นก็ต้องชมว่าเทวดาช่างปั้น ผิวขาวเนียนละออหมดจด (จนนึกไม่ถึงว่าจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ) ผมรองทรงสั้นไถด้านข้างนิดหน่อย หน้าม้านั้นเสยตั้งเปิดหน้าผากเหลี่ยมสวยน่ามอง คิ้วหนารับกับดวงตากลมหวาน จมูกโด่งรั้น เข้ากับริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ใครเห็นก็ต้องรู้สึกชื่นชม มองเผิน ๆ อาจต้องเหลียวหลัง เพราะไม่อาจตัดสินได้ในครั้งแรกว่าชายหญิง จะว่าหล่อก็ใช่ จะว่าสวยก็เถียงไม่ออก จึงได้แต่เรียกกันลับหลังว่า ‘พ่อหนุ่มหน้าสวย’ เจริญรอยตามพ่อ และพี่ชายมาติดๆ

พชร ยืนคุยโทรศัพท์ตู้สาธารณะกับบิดาของตนไปพลาง บิดกายม้วนไปม้วนมา มือไม้เองก็อยู่ไม่สุข จิ้มนู่น แหย่นี่ไปเรื่อย ซึ่งเป็นบุคลิกส่วนตัวตอนคุยโทรศัพท์กับบิดาของตน ซึ่งชายหนุ่มเคยโดนเพื่อนๆ ล้ออยู่บ่อยครั้งว่า ‘คุยกับพ่อ เหมือนคุยกับแฟน...จะเขินไปไหน!?’

อากาศช่วงปลายเดือนเมษายนร้อนอบอ้าว พ่อหนุ่มพิงเลยใส่เพียงเสื้อกล้ามสีดำ กับกางเกงกีฬาสีน้ำเงินขาสั้นเต่อ โชว์เรียวขาขาวผ่อง และแน่นอนว่าพ่อคุณหนีบอีแตะตราช้างดาว (เก่ามาก)

“อิอิ คิดถึงพ่อง่ะ ไม่เจอหน้าทั้งวัน คืนนี้ก็ไม่ได้นอนกอด”

“เออ พี่พึ่งมานอนกับพ่อด้วยใช่ป่ะ อิจฉาง่ะ...”

“อะไรนะ? อ้าว? ทำไมอ่ะ ก็ไอ้พี่พึ่งมันรับปากแล้วนี่ว่าจะมานอนเป็นเพื่อนพ่อช่วงที่พิงไม่อยู่อ่ะ ไหงไม่ยอมมาล่ะ!? เหลวไหลง่ะ เจอหน้าจะด่าให้เช็ดเลย!”

“โหย ไม่เป็นไรได้ไงพ่อจ๋า พ่ออ่ะ ให้ท้ายไอ้พี่พึ่งมันเกินไปแล้ว ไม่รู้ล่ะ ยังไงพิงก็ไม่ยอมอ่ะ ปล่อยพ่อจ๋านอนคนเดียวได้ยังไงกัน!?”

เสียงบ่นงุ้งงิ้ง เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

“อะไรนะ? พ่อจ๋าบอกว่านอนกับใครนะ!?”

“เฮ้ย! ตาลุงนั่น ทำไม ฮึ่ย! ไล่กลับไปเลยนะพ่อ แบบนี้มันอันตรายกว่านอนคนเดียวซะอีก!”

“อะไรนะ? โธ่ พ่อจ๋าอ่ะ พ่อไว้ใจคนอื่นมากเกินไปแล้วนะ...”

เสียงหวานพาลขึ้น ด้วยอารมณ์หงุดหงิดเหลือประมาณ แต่ในวินาทีนั้นเอง

“เฮ้ย! หนวกหูว่ะ!!”

“!!?”

“แม่ง กระแดะจ๊ะจ๋าอยู่ได้ อีตุ๊ดเอ๊ย!”

ไม่ต้องหาต้นตอให้เมื่อยตุ้ม เพียงแค่ได้ยินคำสบประมาท พชรก็รู้ได้ในทันทีว่า ไอ้เสียงกาลากินีนี่เป็นของใคร! ไม่ต้องเสียเวลาหาด้วยเพราะแค่เหลือบตานิดเดียวก็เห็นร่างตะคุ่มๆ ยืนพิงกำแพงสูบบุหรี่อยู่ไม่ไกล

“แค่นี้ก่อนนะครับพ่อ เดี๋ยวพิงโทรหาใหม่...ครับ ฝันดีครับ เอ่อ พ่อต้องล็อกห้องดี ๆ นะ แค่นี้แหละ สวัสดีครับ”

แกร๊ก...

พชร รีบเอ่ยราตรีสวัสดิ์ผู้เป็นบิดา ก่อนจะรีบวางสายโดยพลันเพื่อเร่งหนีห่างจากคนที่เขาชังน้ำหน้ามากที่สุด เพราะไม่อยากจะหักคอใครตายแถวนี้!!

“หึ! แค่เห็นหน้ากูก็รีบหนีหางจุกตูดเลยนะ ทำไม กลัวกูเหรอ?”

ยังไม่ทันที่พชรจะเดินพ้นออกมา เสียงดูแคลนก็ดังตามหลังมาเข้าหูเสียก่อน ปกติก็ว่าจะไม่ยุ่ง เพราะโค้ชขอร้องเอาไว้ แต่วันนี้ดูท่าอีกฝ่ายจะวอนเจ็บตัวจนทนไม่ไหว พชรชะงักเท้าอยู่ที่เดิมนิ่ง ก่อนจะชำเลืองใบหน้ากลับไปมองคนที่เพิ่งเดินออกจากเงามืดของหลังอาคาร

ร่างสูงใหญ่ สมส่วนไปทั้งตัว อยู่ในชุดเสื้อกล้ามของสโมสร กับกางเกงกีฬาสีน้ำเงินประจำชมรมว่ายน้ำ ผิวคล้ำแดดเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าใสสะอาด ผมรองทรงสีน้ำตาลแดงฟูเป็นเอกลักษณ์ เห็นแค่หางตาก็รู้แล้วว่าเป็นใคร

“กูไม่ได้หนี...กูแค่ไม่อยากเตะหมา เดี๋ยวจะหาว่ารังแกสัตว์”

พชรตอบโต้ด้วยเสียงราบเรียบ ล้วงนิ้วก้อยเข้าไปแคะขี้หูพลางหันมาสบตากับภูริในเชิงหยามหยัน

แน่นอนว่าคำปรามาสของพชร สามารถกระชากใจของภูริได้ทั้งดวง

กระชากหัวใจแห่งความอาฆาตพยาบาท!

“สัตว์! ปากดีนะมึง!”

ได้ยินคำสบประมาทภูริถึงกับของขึ้น ชายหนุ่มทิ้งก้นบุหรี่บนพื้นพร้อมขยี้จนป่น ก่อนจะสาวเท้าเข้าหาพชรอย่างเอาเรื่อง เขาสองคนไม่ได้ปะทะกันมาเป็นเดือนแล้ว ดังนั้นพอได้โคจรมาเจอกัน มันเลยต้องจัดให้หนักหน่อย

“มึงด่าใครหมา ไอ้ตุ๊ด!?”

ไม่พูดพร่ำทำเพลง พอเข้าประชิดตัวได้ ภูริก็คว้าคอของพชรเหวี่ยงเข้ากำแพงทันที แบบไม่ให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว

“แล้วมึงด่าใครตุ๊ดล่ะไอ้หมา? ปล่อยกู!”

พชรปรามขึ้นเมื่อถูกภูริโถมเข้ากดตัวเขาแนบกับกำแพงไว้ โดยที่แขนของอีกฝ่ายดันตรงคอเขาไว้อยู่ แม้จะมีมือเขาช่วยคานน้ำหนักไว้ แต่ด้วยมวลร่างกายที่ต่างกัน ทำให้แรงโถมของอีกฝ่ายดูหนักนิดหน่อยสำหรับพชรอยู่ดี ชายหนุ่มพยายามนับหนึ่งถึงร้อยในใจ เขาไม่อยากลงมือกับอีกฝ่ายเพราะกลัวโค้ชจะต่อว่าเอาอีก

พชรเป็นศิลปะป้องกันตัวหลายแขนงที่ได้จากการฝึกพิเศษ (แบบเอาเป็นเอาตาย) ของพี่ชาย แต่ภูรินั้นไม่ได้เป็นศิลปะป้องกันตัวเหมือนเขา ดังนั้นเมื่อปะทะกันทีไร อีกฝ่ายต้องได้เลือดทุกครั้ง และเขาก็โดนโค้ชดุทุกที ทั้งๆ อย่างนั้น ภูริยังรนหาเรื่องไม่หยุด จนพชร สุดจะระอา...

“กูไม่ปล่อย! แน่จริงมึงก็ดิ้นให้หลุดเองสิ!” ภูริท้าทาย พร้อมยักคิ้วหนาให้พชรในเชิงเหนือกว่า ร่างกายสูงใหญ่ของภูริกดร่างพชรไว้จนมิด เรียกว่าแทบจะจมหายไปในกำแพง คนตัวใหญ่คุกคามเต็มที่แต่ดูเหมือนตัวเล็กจะไม่ได้ยี่หระ

“อย่ารนหาเรื่องน่าคุณหนู มึงก็รู้กูยั้งมือไม่เป็น” พชรพยายามเตือน เพราะที่ผ่านมาเขาทำอีกฝ่ายตาเขียวมาแล้วนักต่อนัก หนุ่มน้อยหน้าสวยเหยียดยิ้มเย็น ดวงหน้าหวานใสไม่มีเค้าสลด หรือแม้แต่เกรงกริ่งในการคุกคามของร่างใหญ่โตตรงหน้าเลยแม้แต่นิด

งานนี้กลับเป็นภูริเอง ที่ต้องขบกรามกรอด

“หึ! อย่าคิดว่าเอาพี่สาวมาหลอกพี่ชายกูจนได้แต่งเขาตระกูล แล้วมึงจะจองหองกับกูได้นะ กูไม่มีวันนับตระกูลยาจกของมึงเป็นญาติเด็ดขาด!” เมื่อรู้ตัวว่าไม่สามารถข่มอีกฝ่ายได้จากแรงกาย ภูริจึงเลือกที่จะทำร้ายหัวใจของพชร ด้วยเรื่องการแต่งงานของพี่ชายและพี่สาวของพวกตนเพื่อเกี่ยวดองสองตระกูลตามพินัยกรรมเจ้าคุณเทียด

งานนี้ได้ผล เพราะใบหน้าระบายยิ้มร้ายของพชรเมื่อครู่นั้นเปลี่ยนสีเป็นมุ่งร้ายด้วยสายตาอาฆาต สมกับที่ภูริตั้งใจในที่สุด

“...กลับไปถามพี่มึงก่อนดีไหม? ว่าใครกันแน่ที่เร่หาเมียออกสื่อ เพราะอยากได้มรดกจนตัวสั่น”

ทว่าภูริก็สะใจได้ไม่นาน เพราะทันทีที่ใบหน้าสวยสะอาดตาตรงหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม ถ้อยคำเชือดเฉือนเป็นเอกลักษณ์ก็พรั่งพรูผิดกับหน้าตา

“ไอ้ตุ๊ดนี่!”

“พูดไม่ออกล่ะสิ เพราะมันเป็นเรื่องจริงใช่ไหมล่ะ หึ! ผู้ดีแต่เปลือก!”

“หุบปากไปเลยนะมึง”

“ทำไม? มึงปมใช่ไหมล่ะ คอยแต่หาเรื่องคนอื่นเขาไปวัน ๆ แม่ง เรียกร้องความสนใจเหรอ? ปัญญาอ่อน”

“ใครเรียกร้องความสนใจมึง ไอ้ตุ๊ด! เพราะคนขวางหูขวางตาเหี้ย ๆ อย่างมึงเสือกมาชูคอเป็นญาติกูไง กูเลยรับไม่ได้”

“หุบปากไปเลยไอ้ลูกแม่ไม่อุ้ม! กูไปชูคอเป็นญาติมึงตอนไหน? มั่วฉิบหาย อยากเป็นตายล่ะไอ้ห่านจิกเอ๊ย!”

“เฮอะ! หรือมึงจะเถียง ว่ามึงไม่ได้หวังเงินจากพวกกู!!”

คำถากถางสุดท้ายมาพร้อมกับแรงกระแทกหน่วงหนักของท่อนแขนที่ทาบทับอยู่ตรงคอของฝ่ายตรงข้าม ภูริกัดฟันกรอด ถ่ายทอดทุกคำทุกประโยคออกมาด้วยความรู้สึกดูแคลนล้วน ๆ

ชีวิตเขามีเพียงสี่คน พ่อ พี่สาว พี่ชาย และเขา อยู่ด้วยกันมาด้วยความรักและห่วงใยกันและกันอย่างสุดซึ้ง ดังนั้นเขาจึงรับไม่ได้ที่จะมีพวกไม่ประสงค์ดีเข้ามากล้ำกรายหมายทำร้ายครอบครัวของเขา พวกกาฝาก พวกไฮยีน่ากระหายเงิน เขาจะไม่มีวันยอมให้คนเหล่านี้ได้ชูคอเสวยสุขในบ้าน ในตระกูลของเขาเป็นอันขาด!

แต่สิ่งที่ภูริไม่รู้ คือพชรเองก็เป็นเช่นเดียวกับเขา ที่ยึดมั่นในครอบครัวที่สุด และตั้งมั่นที่จะปกป้องครอบครัวของตนทุกวิถีทาง!

พชรนิ่งเงียบไปในอึดใจนั้น ก่อนจะทำสิ่งที่ภูริถึงกับร้องไม่ออก

ฟึ่บ!

โครม!!

“!!?”

พริบตาเดียวเท่านั้น ไม่ทันที่ภูริจะได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ เขารู้สึกถึงลมผ่านหน้าเพียงวูบเดียว จากนั้นกว่าจะรู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่ร่างกระแทกพื้นเข้าเต็มรักนี่หละ! สมกับเป็นพชร ศิลปะการต่อสู้เหนือชั้นกว่าภูริเยอะ

แค่ลงไปนอนกองยังไม่พอ พริบตาที่จะผวาตัวลุก ก็โดนเท้าเบอร์ 41 ของพชรเหยียบทับลงมาตรงยอดอก

จุก...จนถึงกับพูดไม่ออก

ภูริไม่อาจเห็นใบหน้าจากมุมสูงของพชรที่หันหลังให้กับแสงไฟ แต่กระแสความคุกคามที่ส่งมานั้น ภูริสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน

“เออ พวกกูต้องการเงิน...มากด้วย!”

เสียงเรียบเย็น เอ่ยปากยอมรับด้วยความเต็มใจ พชรไม่เถียงภูริในเรื่องนี้ เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่เขาคงไม่อาจปฏิเสธได้ เขาไม่อาจหลอกตัวเองหรือใครเพื่อรักษาศักดิ์ศรีงี่เง่าที่เอามาใช้แลกข้าวสารกรอกหม้อไม่ได้

ในเมื่อความจริงคือความจริงวันยังค่ำ เขาก็จะยอมรับมันเอง

“แต่มึงไม่ต้องกลัวไปหรอกนะไอ้เศรษฐีขี้งก สักวันข้างหน้า พวกกูจะใช้คืนให้ทุกสลึงแน่นอน!”

พชรทิ้งท้าย ก่อนจะเคลื่อนกายออกจากร่างที่นอนหงายอยู่ใต้ฝ่าเท้า รู้ดีว่าเรื่องบาดหมางระหว่างเขากับภูริคงไม่มีวันจบ ตราบใดที่ยังอยู่ชมรมเดียวกัน ตราบเท่าที่พี่ชายคนเดียวของตนยังอยู่ในบ้านหลังนั้น เพียงแต่วันนี้ เรื่องที่เขาอยากจะพูดมันจบแล้ว

หมับ!

“เฮ้ย!?”

โครม!!

ในตอนที่พชรคิดว่าตนมีชัยเหนือร่างบนพื้นได้แล้วนั้น เขาดันประมาทไปหน่อย จึงทำให้ถูกอีกฝ่ายเหนี่ยวร่างรั้งตัวลงมาคลุกฝุ่นด้วยกันจนได้

และทันทีที่พชรเพลี่ยงพล้ำ ภูริก็โถมกายขึ้นคร่อมร่างอีกฝ่ายเอาไว้ พร้อมกดสองแขนว่องไวของพชรตรึงกับพื้นไว้อย่างเหนียวแน่น

“มึงคิดว่าจะหยามกูเสร็จ แล้วสะบัดตูดไปง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอวะ!?”

ภูริแสยะยิ้มถามขึ้นทันทีที่พิชิตร่างของพชรให้อยู่นิ่งได้

“คิดว่ามึงเป็นคนเดียวที่มีศาสตร์การต่อสู้รึไง? มึงคิดว่าปิดเทอมสองเดือนที่ผ่านมากูปล่อยมันเสียเปล่างั้นเหรอ?”

ภูริหยันอีกฝ่ายออกไป พร้อมทั้งภูมิใจในตัวเองไม่น้อย ที่สู้อุตส่าห์ใช้วันหยุดไปเรียนวิชาศาสตร์การต่อสู้เพิ่มเติมมา

ทว่า ดูเหมือนเวลาของเขาจะหมดลงเสียก่อน

“เฮ้ย! ใครทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ!?”

เสียงคุ้นหูตวาดถามมาแต่ไกล ภูริไหวตัวทันทีที่ได้ยิน เพราะเจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน โค้ชพิษณุ ผู้คุมทีมของสโมสรนั่นเอง

ซ้ำไม่ใช่เพียงแค่โค้ชธรรมดา พิษณุยังมีศักดิ์เป็นอาของภูริอีกด้วย! ลูกพี่ลูกน้องคนสนิทของตระกูลเทวินทร์วงศ์ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของภูริไม่น้อยเลยทีเดียว

งานเข้า!

ภูริรีบผละจากร่างของพชรทันที แต่กลับถูกพชรใช้ขาเกี่ยวตัวเอาไว้อย่างแน่นหนา ขนาดที่ว่าสะบัดก็ไม่หลุด

“ไอ้เชี่ยตุ๊ด! ปล่อยกู!!”

“ฝันไปเหอะ!”

พชรแสยะยิ้มร้ายด้วยสายตาคมปลาบราวเหยี่ยวฉกเหยื่อ

“ไอ้...!!”

“ทำอะไรกันน่ะ เพิร์ท พิง!?”

หนีไม่ทันเสียแล้ว ภูริถึงกับสบถ ส่วนพชรนั้นก็รีบผลักร่างใหญ่โตของอริออกจากตัว ก่อนจะดีดร่างถลาเข้าหาโค้ชพิษณุทันที

“ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ ผมแค่เตือนเขาดี ๆ เรื่องสูบบุหรี่ บอกว่าเดี๋ยวจะโดนโค้ชดุเอา แต่เขากลับทำร้ายผม ต่อยผมจนล้มกลิ้ง แล้วเขาก็ขึ้นมาคร่อมผมไว้ กระชากตัวผมขึ้นกะจะต่อยผมให้น่วม นี่ถ้าโค้ชมาไม่ทัน ผมตายคาหมัดของภูริเขาแน่ ๆ”

ไม่ใช่เพียงแค่เล่า แต่พชรยังอุตส่าห์ปั้นเรื่อง แถมยังเค้นสีหน้าหวาดกลัวอย่างเต็มที่ ร่างบอบบางสั่นระริกอยู่ข้าง ๆ โค้ชพิษณุอย่างน่าสงสาร แน่นอนว่าตั้งใจปลิดลมหายใจของภูริให้ขาดวิ่นด้าวดิ้นแด!

ตอแหลได้โล่ จนภูริยังคิดไม่ถึง

และระหว่างที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั้น ภูริก็โดนโค้ชเอ็ดเป็นการใหญ่ โคตรสมใจพชรแบบสุด ๆ

“ทำไมทำตัวเหลวไหลอย่างนี้นะเพิร์ท? อาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเพิร์ทถึงได้ไม่ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่เสียที? อาบอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามสูบบุหรี่ ทำไมถึงยังดื้อ หรือต้องให้อาไปรายงานท่านย่ากัน? เฮ้อ...สร้างแต่เรื่องให้อาปวดหัวได้ตลอดเลยนะตาเพิร์ท เอาล่ะ ขอโทษเพื่อนซะ แล้วกลับไปนอนได้แล้ว”

คำเทศนายาวเหยียดแบบน้ำไหลไฟดับ ของโค้ชที่มีศักดิ์เป็นคุณอา เล่นเอาภูริเถียงไม่ออก ไม่ได้ไม่อยากเถียง แต่เถียงไม่ทันต่างหาก

“เอ้า ยังเงียบอยู่อีก ขอโทษเพื่อนซะสิ เพิร์ท”

เพราะมัวแต่นิ่งอึ้ง เลยโดยเร่งเร้าจากอาโค้ชสำทับ ภูริได้แต่ขบกรามแน่นด้วยความขัดเคืองใจ เพราะอาโค้ชพิษณุคือคนที่เขาให้ความเคารพมาก ไม่อยากทำให้อาโค้ชรู้สึกแย่ แต่ก็ไม่อยากต้องเอ่ยปากขอโทษศัตรูคู่อาฆาตอย่างพชรด้วย

“...โทษ”

สุดท้ายความเคารพต่อคุณอาก็มาเหนือกว่าความขัดข้อง ภูริจึงยอมเอ่ยคำขอโทษ ที่ไม่ได้มาจากใจเลยแม้แต่นิด ซ้ำยังสั้นและเบามากอีกต่างหาก

เบาขนาดที่ว่าโค้ชพิษณุยังต้องส่ายหน้า

แต่สำหรับพชร เด็กหนุ่มโคตรสาแก่ใจ ที่ได้เห็นหน้าเจื่อน ๆ ของคู่แค้นแสนชาติ

“เอ้า ๆ เลิกแล้วต่อกันนะ ป่ะ ไปนอนได้แล้ว”

ในเมื่อจำเลยยอมรับผิด และโจทก์ไม่เอาความ ศาลจึงตัดสินปล่อยตัวตามระเบียบ โดยโค้ชพิษณุเป็นฝ่ายเดินนำและพชรเดินตามหลังไปติด ๆ

แต่ก่อนจะลับร่าง พชรผินหน้าเหยียดยิ้มกลับมาทางภูริเล็กน้อย

แล้วแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ด้วยความสาแก่ใจอย่างสุดขีด ทำเอาภูริถึงกับเบิกตาค้างด้วยความดาลเดือด

จากนั้นก็ทิ้งไป ปล่อยภูริไว้กับความอ้างว้าง...และความคั่งแค้นเจ็บแสบ



ฝากไว้ก่อนเหอะ ไอ้ตุ๊ดเวรตะไล!




+++++++++++++++++++



เปิดตัวคู่แค้น ที่อนาคตจะจบลงที่คำว่าเพื่อนซี้ ผ่างๆๆๆ

คู่นี้ห้ามจิ้น ไม่ได้คู่กันค่ะ เป็นเพื่อนเท่านั้น

จริง ๆ นะ!!
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2024 04:08:06 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

12 เดรสแดง

น...นี่มันอะไรวะ!?

คำตะโกนบอกเล่าไร้ซึ่งสรรพเสียง ดังก้องไปทั้งหัวใจไหวหวั่น ริมฝีปากปิดสนิทสีโอลด์โรสสั่นพั่บพะเยิบพะยาบ ดวงตากลมโตเบิกกว้างแทบจะถลนหลุด ดวงหน้าซับสีเลือดฝาดแดงก่ำ แทบจะเป็นแดงช้ำดำเขียว เมื่อเห็นสิ่งที่ผู้ร่วมห้องโยนปุลงบนเตียงกว้าง

ชุดเดรสเปิดไหล่สีแดงสด แนบเนื้อ สั้นเสมอหู ชุดปลุกใจเสือป่าที่ถ้าไปอยู่บนร่างของสาวสวยหมวยเอ็กซ์ ผมเองก็ทนน้ำลายสอไม่ไหว

และตอนนี้ผมเอง...ก็ชักจะไม่ไหวแล้วครับ น้ำลายไม่ได้สอนะ แต่เข้าขั้นฟูมปากเลยเถอะ!

เพราะอะไรน่ะเหรอ...

“เอ้า จะยืนมองหน้านิ่งอยู่ทำไมล่ะ? แต่งตัวซะสิ จะได้ไปหาข้าวกินกัน จะใส่เสื้อคลุมชื้น ๆ นั่นอีกนานไหม?”

นั่นไงครับ ต้นเหตุ

“...ว่าแล้วยังยืนเฉยอีก อุตส่าห์ซื้อชุดมาให้ เห็นว่าไม่ได้เอาเสื้อผ้ามา...เอ๊ หรือว่า ที่ยืนเฉยอยู่เนี่ย เพราะอยากให้ฉันช่วยใส่ให้?”

ฮึ่ย! ไอ้ซอกข้างไข่ ไอ้เปรต ไอ้...โว้ย! ไม่รู้จะด่ามันว่ายังไงดี นี่มึงคิดยังไงให้เมียมึงใส่ชุดโป๊ขนาดนี้วะ!? อยากด่าออกไปใจจะขาด ติดตรงมันยื่นมือมาหาเสียก่อน แถมบอกจะช่วยแต่งตัวให้นี่แหละ เลยต้องรับถอยมาตั้งหลักรับมือไอ้ยักษ์ไร้สามัญสำนึกมันก่อน

“ไม่ต้องมาช่วย! อิฉันไม่ใส่ค่ะ! นี่คุณคิดอะไรของคุณอยู่เนี่ย!? ชุดโป๊ขนาดนั้น ฉันไม่มีวันใส่เด็ดขาด!!” ผมไม่ยอมหรอก ใช่ว่าผมจะไม่เหมาะกับชุดรัดติ้วนี้หรอกนะ มั่นหน้าสุด ๆ เลยล่ะขอบอก เบ้าหน้าระดับผมน่ะใส่ออกมายังไงก็สวย แต่ที่ไม่ยอมเนี่ย เพราะมันรัดติ้วไง รัดขนาดนั้น ผมจะไปแต๊บลูกชายผมไว้ตรงไหน? ลูกผมยิ่งโตเกินวัยอยู่ แล้วไหนจะคอเสื้อกว้างขวางนั่นอีก นมปลอมน่ะผมมียัด แต่ไร้ปัญญาโกยเนินเนื้ออย่างสิ้นเชิง ให้ตายเถอะ แถมมันยังเปิดไหล่โล่งโจ้งอีก ลูกกระเดือกจุ๋มจิ๋มของผมได้หลุดออกมาโชว์หราสิครับ!

รวม ๆ แล้ว อันตรายต่อการแต่งกายในชุดนี้สุด ๆ ให้ตายเหอะ ชุดทั้งห้างมึงไม่ซื้อวะไอ้ยักษ์!? มาแบบนี้กูไม่มีทางเลือกเลยนะเว้ย!

ใช่ว่าผมจะอยากเล่นตัวกับมันนะ แต่มันต่างหากที่ยั่วยุผมให้ต้องต่อสู้กับไอ้ชุดวัดใจนี่

“แล้วเธอจะแก้ผ้าไปกินข้าวรึไง?” มันยิ้มยียวน มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ไม่กิน! ไม่ไปไหนทั้งนั้น!!” ยิ่งมันกวน ผมก็ยิ่งดื้อ

“ต้องไป!” ยิ่งเห็นผมดื้อ มันก็ยิ่งตื๊อ (แถมยังค่อย ๆ เยื้องย่างเข้ามาใกล้ผมอีก)

“ไม่ไป!” ผมยังเสียงแข็ง (แม้จะเริ่มเหงื่อแตก และก้าวถอยตั้งหลังทีละก้าว)

“พจมาน!”

“ไม่ต้องมาเรียก ไม่ไป!!”

คราวนี้ผมเอาจริง แต่ดูเหมือนไอ้ยักษ์มันก็เอาจริงด้วย เพราะหน้ามันที่เพิ่งยิ้มยียวนผมเมื่อครู่ เริ่มตึงขึ้นจนบึ้งบูด ท้ายสุดตามันเริ่มขวางเมื่อยื่นมือออกมาหมายจะคว้าตัวผมไว้แต่ผมดันหลบทัน

“อยากต่อจากเมื่อกี้ใช่ไหม? ได้นะ ถ้าจะไม่กินข้าว ฉันก็จะกินเธอแทน!”

อี๋! บัดสีบัดเถลิง!! ประโยคสุดท้ายมาพร้อมมือมารที่คว้าเอวผมเข้าไปรวบไว้ไม่เบานักหลังจากออกไล่ล่ากันมาพักใหญ่ๆ

และประโยคเดียวพร้อมแววตาอาฆาตราวกับอาชญากรของมันนี่แหละ ที่ทำให้ผมได้แต่ยืนตัวลีบตัวเล็ก แล้วพยักหน้ายินยอมพร้อมใจกับมันอย่างเอาเป็นเอาตาย

“อร๊ากกก ยอมแล้ว! ใส่ก็ได้! จะใส่เดี๋ยวนี้แหละ จะไปกินข้าวด้วยแล้ว!! ปล่อยอิฉันก่อนเถอะ!!” ผมละล่ำละลักขอความเมตตาทันควัน ก่อนที่มันจะกิน (หัว) ผมเข้าไปจริง ๆ หน้ามันทั้งโหดทั้งหื่น เล่นเอาผมกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอแทบไม่ทัน

“งั้นก็รีบเข้า” มันยอมปล่อยผมในที่สุด (อย่าเรียกว่าปล่อยเลย เรียกว่าถีบออกจากตัวดีกว่า ผลักจากวงแขนซะผมแทบหน้าทิ่ม)

“ให้เวลา 10 นาที ถ้าช้ากว่านี้ก็เตรียมใจไว้เลย!” แน่ะ มีข่มขู่ต่อท้ายด้วย ฮึ่ย! อย่าให้ถึงวันของกูบ้างนะ กูจะแก้ผ้าเอาไข่ฟาดหน้ามึงให้ตาบอดไปเลย ไอ้ยักษ์หัวกรวย!!




++++++++++++++++++++




ต๊อก ต๊อก ต๊อก ต๊อก

เสียงมีดสับกับเขียงเป็นจังหวะ มีดคมกริบซอยหอมแดงเป็นแว่นเล็ก ๆ ได้อย่างสวยงามชำนิชำนาญ ร่างบอบบางในผ้ากันเปื้อนสีน้ำเงินเรียบ ขยับกายพลิ้วไหวคล่องแคล่ว ทำเอาคนรอ มองจนเพลิน

“หอมจังครับ ท่าทางน่าอร่อย”

และดูเหมือนจะเพลินไปหน่อย เพลินจนเผลอเดินเข้ามาโอบจากด้านหลัง คร่อมร่างแนบชิด สูดความหอมอบอวลใกล้ ๆ อาหารประเภทไหนกันนะ หอมเหมือนแชมพูสระผมขนาดนี้...หอม

“อยู่กันสองคนผมไม่ว่าอะไรหรอกนะครับ แต่อย่าทำตอนลูกผมอยู่ก็พอ”

เสียงหวานที่ทักขึ้นทำเอาชะงัก ภาสมองคนที่ยังก้มหน้าก้มตาหั่นผักตรงหน้าตนทันทีด้วยความรู้สึกที่ค่อนข้างจะตกใจไม่น้อย

“รับปากผมสิครับ” พจน์เอ่ยย้ำ เมื่อเห็นว่าภาสนิ่งไปนาน นั่นแหละภาสถึงได้รู้สึกตัวว่ากำลังทำตัวเสียมารยาทกับเพื่อนใหม่ของตนอยู่ หนุ่มใหญ่ถอยหลังทันที แบบไม่ต้องให้พูดซ้ำ สองมือที่เคยคิดไม่ซื่อพยายามหน่วงเหนี่ยวอีกฝ่ายไว้เมื่อครู่ยกขึ้นสูงเสมอศีรษะ ‘ยอมรับผิด ยอมให้ลงโทษโดยไม่มีเงื่อนไข’ โดยเฉพาะตอนที่พจน์หันมายิ้มน้อย ๆ ให้ด้วยแววตาที่รู้ทัน

สายตานั่นทำเอาคนอย่างภาสถึงกับเย็นสันหลังวาบ นี่อย่าบอกนะว่าลูกแกะน้อยที่เขาเห็นอยู่ต่อหน้า แท้จริงแล้วจะเป็นพญาสิงห์ห่มหนังลูกแกะ?

คงเพราะเห็นว่าภาสอึ้งเงียบไปนาน พจน์จึงหันมายิ้มหวานให้ พร้อมเอ่ยปลอบใจเสียงหวานฉ่ำ “แต่ตอนนี้ลูกผมไม่อยู่ เพราะงั้น ผมไม่ว่าอะไรหรอกนะ” ร่างเล็กพูดพลางหยิบข้อไก่ทอดหอมกรุ่นเดินเข้ามาหาร่างสูงใหญ่ของเพื่อนใหม่มือปลาหมึก “ผมรู้ว่ามันเป็นสกินชิพ ของคนเป็นเพื่อนกัน”

อ้ำ...พจน์เอ่ย ก่อนยื่นมือเข้าหาภาสพร้อมป้อนทั้งข้อไก่ทอดชิ้นน้อยทั้งปลายนิ้วเรียวนุ่ม ส่งถึงปากคนหน้าเหวอ ก่อนยิ้มทะเล้นส่งท้าย แล้วหันกลับไปวุ่นวายกับการทำอาหารเย็นต่อ

ทิ้งภาสให้ยืนเคี้ยวข้อไก่ทอดแบบงง ๆ ด้วยใบหน้าที่ร้อนฉ่า...

ก่อนจะทอยิ้มออกมาช้า ๆ พร้อมดวงตาที่จับจ้องหลังลูกแกะน้อยไม่วางตา




++++++++++++++++++++




วิ้ววววว!

เสียงผิวปากหวิวดังขึ้นทันทีที่หัวแม่เท้าผมจรดหน้าประตู ไอ้พวกบ้าแห่กันมาต้อนรับขับสู้ถึงที่ พอมันเห็นผมเท่านั้นกรูเข้ามาล้อมกันอย่างกับต้อนไก่ ผมเข้าใจก็วันนี้เองว่าสาว ๆ เขารู้สึกกันยังไง เวลาโดนหนุ่ม ๆ รุมแซว

เชี่ยเอ๊ย...ขนลุก!!

“อ๊ะ ขอโทษที่เสียมารยาทจ๊ะน้องผึ้ง พี่เจอคนสวยทีไรปากไวทุกที ยั้งไม่เคยทัน ขอโทษนะจ๊ะ” ไอ้ชีต้าตัวน้อยขอโทษขอโพยทันทีที่เห็นค้อนวงใหญ่ในลูกตาผม ไอ้ลูกครึ่งเองที่กำลังจะอ้าปากแซวซ้ำก็หุบปากฉับ ก่อนจะยิ้มเผล่ให้อย่างรู้บรรยากาศว่าไม่ควรสอดปากขณะที่ด้ามค้อนยังคาตาผมอยู่

“ชุดนี้นี่อย่าบอกนะว่าไอ้พอลมันซื้อให้ จุ๊ จุ๊ เซ็กซี่ขยี้ใจสุดๆ” ไอ้เกาเหลาทักพร้อมกอดอกพินิจพิจารณาสาระร่างงามพร้อมของผมไม่วางตา ผมได้ยินเสียงหัวเราะ ‘หึ’ ด้วยความสาแก่ใจเล็ก ๆ อยู่ด้านหลังผมเอง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้ไอ้ยักษ์ห่ากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่

ไอ้พึ่งได้แต่เศร้า ท้อแท้ และหมดหวังต่อการมีชีวิตอยู่ต่อไปในค่ำคืนนี้ แต่จะให้ทำอย่างไรเล่า ในเมื่อภาระไอ้พึ่งยังเต็มสองบ่าขนาดนี้ คิดได้ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจอ่อนแรง เอาวะ จะหนักหนาแค่ไหน ไอ้พึ่งก็ทำได้แค่กัดฟันสู้ต่อไปล่ะวะ

“จะยืนทื่ออยู่ทำไม ไปได้แล้ว” ไอ้ยักษ์แดกดันเมื่อเห็นผมมัวแต่เหม่อลอย ก่อนกระแทกไหล่ผมเบา ๆ แล้วเดินนำไป พร้อมเพื่อน ๆ ของมันโดยไม่สนใจผมแม้สักนิดว่าไอ้ชุดสับปะรังเคนี่ มันสร้างภาระในการเดินกับผมมากแค่ไหน

ทั้งรัด ทั้งสั้น เดินไม่ระวังหน่อย ก็พานจะหดขึ้นเสมอแต๊บไข่ ไม่ต้องพูดถึงตอนยกไม้ยกมือ แค่เกาหัว ชายกระโปรงก็เด้งจนแก้มตูดโผล่ มันเป็นชุดผู้หญิงเซ็กซี่อ่ะครับ สาวสวยมีทรงก็คงไม่มีปัญหา แต่ผมเป็นผู้ชายไง สะโพกไม่ได้ผายขนาดผู้หญิงทั่วไป แถมยังสูงกว่ามาตรฐานสาวร่างเล็กขึ้นมานิดอีก แค่ยืนเฉย ๆ ชายกระโปรงก็แทบเสมอหรรมส์แล้ว!

ก้าว ชิด ก้าว ซ้าย ขวา ขวา ซ้าย ขวา ผมพยายามเดินแบบระมัดระวังที่สุด เหนือเข่าขึ้นไป ไม่ขยับเด็ดขาด สับเท้าให้เร็วเข้าเป็นพอ ดีนะที่ไอ้ยักษ์มันยังปรานีให้ผมใส่รองเท้าคัชชูส้นเตี้ย ที่ผมติดตัวมาจากกรุงเทพ ไม่อย่างนั้น หากมันบังคับใส่ส้นสูงล่ะก็ แต๊บคงเอาไม่อยู่...

ว่าแล้วก็ซอยเท้าตาม ท่าเดียวกับสาวญี่ปุ่นตีนเกี๊ยะ เตาะแตะ เตาะแตะ

“ทำไมเดินแบบนั้นล่ะพึ่ง?” เสียงสวรรค์ดังตามหลัง เรียกผมหันกลับไปมองทันควัน

นั่นไง...พ่อจุฑาเทพของผม น้ำเลี้ยงเพียงหนึ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่บนโลกแร้นแค้น ‘พี่ฝ้าย’ (TT^TT) พี่ยังอุตส่าห์หยุดรอผม ทั้งที่ไอ้สามีเฮงซวยนั่นเดินหายวับ ราวกับว่ามันอาจหายลับไปแล้วจากโลกใบนี้ พี่ฝ้ายผู้มีน้ำใจเหลือล้นดั่งเทพยดาผู้มาโปรดลูกหมาตาตุ่มดำ ๆ อย่างไอ้พึ่ง ฮึ่ก...พ่อพระของน้อง แค่เห็นรอยยิ้มพี่ น้ำตาไอ้พึ่งคนนี้ก็รื้นเอ่อ...

“พี่...พี่ดูมันทำกับผมสิ ชุดรัดติ้วจนลูกผมจะห้อยออกมาโชว์ตัวอยู่แล้ว ดูมันทำกับผมซี่!!” เพื่อไม่ให้น้ำใจพี่ท่านเสียเปล่า ผมเลยจัดการฟ้องซะ ว่าไอ้พอลล่า ไอ้เพื่อนบังเกิดเกล้าของพี่ มันทารุณกรรมผมขนาดไหน นี่ยังไม่รวมวีรกรรมที่มันจับผมลอกคราบนั่งเป็นข่าวฉาวกับมันเมื่อกี้นะ หลายกระทงเลย ขอบอก!!

“พี่ว่านะพึ่ง เราต้องไปทำอะไรให้ไอ้พอลมันหมั่นไส้เอาแน่ ๆ ปกติมันไม่เคยแกล้งใครแรง ๆ นะ อืม...หรือมันอาจไม่ได้แกล้ง? ก็มันไม่รู้นี่ว่าเราเป็นผู้ชายน่ะ แล้วชุดนี้ก็ออกจะสวย เหมาะกับเราดีออก มั่นใจหน่อยสิ” ที่พี่ไอดอลพูดออกมาเนี่ย ต้องเพื่อปลอบใจผมแน่ ๆ ดูแกยิ้มมีเลศนัยแปลก ๆ “แต่พี่ว่าหน้าพึ่งจืดไปหน่อย เดี๋ยวพี่แต่งหน้าให้”

หืมมม? น้ำใจพี่ไอ้ดอลทำผมอึ้งไปพัก เดี๋ยวนะ... “พี่แต่งหน้าเป็นด้วยเรอะ?”

“พอได้อยู่ เคยมีแฟนเป็นช่างแต่งหน้าสาวไฟแรงสูงน่ะ” คำตอบพี่ทำเอาเงิบ ไม่นะมองยังไงพี่ก็ไม่ใช่หนุ่มไฟแรงขนาดนั้น บอกผมมา พี่โดนไก่แก่แม่ปลาช่อนหลอกเอาใช่ไหม? “เดี๋ยวแวะที่รถพี่ก่อนแล้วกัน รู้สึกจะมีเครื่องสำอางที่แฟนเก่าทิ้งไว้ในรถตอนเลิกกันเหลืออยู่ พี่จะแต่งให้พึ่งสวยจนไอ้พอลตาค้างเลยทีเดียว” ไม่ทิ้งเวลาให้ผมมโนเลยว่าพี่น่าสงสารขนาดไหน ที่โดนแม่ไก่หลอกฟัน พี่ไอ้ดอลก็ดันผมเดินหน้าพรืด ๆ ไปโดยไม่สนใจชายกระโปรงผมเลยสักนิด...อร๊ายยย มันจะเปิดแล้ว!!



+

+

+



“หลับตาสิพึ่ง...อืม สวยแล้ว”

“เผยอปากอีกหน่อย...หึหึ เซ็กซี่มาก”

“เอานี่ใส่ไว้แล้วกันนะ พรางกระเดือกเราได้พอดีเลย”

“หืม...สวยเหมือนกันนะเรา แต่งออกมาแล้วดูเป็นสาวเปรี้ยวขึ้นมาเลย”

“ค่อยโล่งใจหน่อย ที่ไม่เหมือนกะเทย หึหึ”

“เอาล่ะ...เรียบร้อย...”

เสียงทุ้มรื่นหู กระซิบพร่าพรายอยู่ข้างหูซ้าย หูขวา นุ่มนวลชวนฝันจนแทบจะละลาย ไหนจะปลายนิ้วอ่อนโยนที่ไล่สัมผัสไปทั้งใบหน้าพาใจสั่นแบบแปลก ๆ

เอ๊ะ...แว่ว ๆ อะไร..กะเทย ๆ นะพี่?

“เอ้า ไหนลืมตาซิ” ในที่สุด ผมก็ได้รับอนุญาตให้ลืมตา หลังจากหลับตามโนภาพฝันอันแสนระทดระทวยอยู่นาน (เพราะสยิวกิ้วอยู่กับปลายนิ้วพี่ไอดอลแก...ก็แหม ผมไม่เคยต้องมือชายโดยสมยอมพร้อมใจขนาดนี้นี่นา แถมยังเป็นผู้ชายระดับจุฑาเทพอย่างพี่ไอดอลอีก จะไม่ให้ผมเขินไงไหว แหะ แหะ)

พอลืมตาปิ๊ง...ก็ตาสบตาปั๊บ

ใบหน้าของพี่ไอดอลยังอยู่ใกล้เกินกว่าระยะมนุษย์ปุถุชนคนปกติทั่วไปที่เขาจะใกล้กัน ใกล้ซะจนลมหายใจหอม ๆ ของพี่แกกระทบใบหน้า อา...กลิ่นคนหล่อมันสดชื่นอย่างนี้นี่เอง...

“เฮ้ย...อย่ามาทำตาเคลิ้มขนาดนั้นดิ พี่ยังไม่อยากผิดใจกับเพื่อนเพราะเผลอไปแย่งเมียมันนะ” เพลินได้แค่อึดใจ ก็โดนเฮียแกดีดหน้าผากเล่นซะเงิบ พร้อมแดกดันเล็ก ๆ ที่เล่นซะไปไหนไม่ถูก แหมพี่ ผมแค่อินกับความหล่อพี่เองนะ ไม่ได้กะจะชวนคิดลึกเสียหน่อย วู้...

แถมไม่ให้เวลาปรับอารมณ์เลยสักกะตี๊ด ทันทีที่ดีดเสร็จพี่แกก็ฉุดผมออกจากรถ ปิดประตูโครม แล้วดันตัวผมเดินกลับเข้าสู่ตัวโรงแรมต่อ งง ๆ อยู่ครู่ แต่พี่แกเฉลยออกมาก่อนว่า มีผับอยู่ชั้นใต้ดิน และคงเพราะท่าเดินเป็นสาวญี่ปุ่นตีนเกี๊ยะ ที่พยายามเดินซอยปลายเท้ายิก เพราะกลัวกระโปรงรัดติ้วมันจะพะเงิบโชว์แก้มก้นกลมเด้ง

พรึ่บ

“เอ้า คลุมไว้ มัวแต่เดินท่านั้น เดี๋ยวได้ล้มหัวทิ่ม หึหึ” คงเพราะสารรูปผมมันดูไม่ได้ซะจนพี่ไอดอลทนไม่ไหว พี่แกเลยถอดเสื้อคลุมสีดำตัวเขื่องของตัวเองมาคลุมให้ผมแทน ขอบคุณความใหญ่โตของมันเหลือเกิน ความยาวมันเลยแก้มก้นผมไปหลายนิ้ว ไอ้พึ่งอุ่นใจราวลูกแมวตกน้ำแล้วเจอขอนไม้ รอดตายแล้วตรู...

“ขอบคุณมากเลยพี่ฝ้าย โหยทำไมไม่ให้แต่แรกล่ะค๊าบ ปล่อยผมซอยยิกอยู่ได้”

“อ้าว? ผิดอีก งั้นเอาคืนมาเลย”

“แฮ่...ผมล้อเล่น แหม หัวก็ไม่ล้าน ขี้น้อยใจจ๊าง อิอิ”

“หึหึ...ไอ้แสบเอ๊ย”

เถียงไปเถียงมาผมชนะครับ อิอิ ก็ใช่ว่าจะเก่งมาจากไหน แต่เพราะใจพี่แกหล่อไง เลยยอมหยวนให้เด็กน้อยตาดำ ๆ ฮี่ฮี่ ผมโคตรฟินอ่ะ ตอนพี่แกผลักหัวผมเบา ๆ แล้วเรียกผมว่า ‘ไอ้แสบ’ ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงวัน แต่ผมรู้สึกว่าผมกับพี่เขาเราต้องเป็นมหามิตรที่ดีต่อกันมากแน่ ๆ ผมรู้สึกเคารพพี่ฝ่ายสุด ๆ อ่ะ และรู้สึกได้เลยว่าพี่เขาเองก็คงเอ็นดูผมอยู่ไม่น้อย...

อ๊ะแหม...ผมเองก็เป็นพี่คน มีน้องชายกับเขาเหมือนกันนะ เพราะงั้นกิริยาอะไรก็แล้วแต่ที่ผมเคยทำกับไอ้พิงน้องรักด้วยความเอ็นดูมันน่ะ เวลาใครทำกับผมแบบนั้น ผมย่อมรู้สึกได้อยู่แล้วว่าใครที่เอ็นดูผมไม่ต่างน้องชาย...ฮี่ ฮี่

“จีบกันเสร็จหรือยัง?”

อรหันต์หมายนิพพานต้องผจญหมู่มารฉันใด เวลาอันสุขสราญของไอ้พึ่งก็ย่อมถูกพร่าผลาญด้วยมารผจญฉันนั้น ขอแค่เวลาหายใจหายคอบ้างไม่ได้เลยรึไงกัน!?

ไม่ต้องถามถึงเจ้าของเสียงมาร แทบไม่ต้องหันไปมองด้วยว่ามันทำหน้าแบบไหนอยู่ แค่เห็นสีหน้าเจื่อนยิ้มลงของพี่ฝ้าย ผมก็รู้ในทันทีเลยว่าไอ้มารตัวนั้นมันทำหน้าดัดจริตแบบไหนอยู่

“พี่ฝ้าย พาพึ่งไปจากที่นี่ทีได้ไหม? พึ่งยังไม่อยากเจอหน้ามัน” ผมรีบกระซิบบอกพี่ไอดอลทันที ก่อนที่ไอ้ยักษ์มารนั่นจะเดินมาถึงตัว “เฮ้ย อย่ามัวแต่อึ้งดิพี่ ไปเร็ว” ไม่พูดเปล่า ผมรีบฉุดแขนพี่ไอดอลลากพรืด ๆ ออกไป

ในหัวตอนนั้นไม่คิดอะไรนอกจากหนีจากไอ้ยักษ์ จนลืมนึกไปเลยว่าพี่ไอดอลแกสะดวกจะไปกับผมหรือเปล่า เอาวะ เดี๋ยวค่อยขอโทษแกทีหลังแล้วกัน...

หมับ!!

“เฮ้ย!?”

หันหลังยังไม่ทันได้ก้าว ทั้งตัวของผมก็ลอยคว้าง เข้าปะทะกับกับอะไรบางอย่างดังปั่ก ยินเสียงตะคอกขู่ถามว่าจะไปไหนอยู่เหนือหัวแว่ว ๆ ก็พอรู้แล้วว่าไอ้ที่แนบหลังอยู่น่ะคือแผ่นอกกำยำของมัน...หึ! กำยำ! ไอ้ล่ำ ไอ้ยักษ์!

ผมดิ้นพอเป็นพิธี พอเห็นว่าไม่มีทางดิ้นหลุดจากมือมันแน่แล้วผมก็หยุดดิ้น การทำอะไรเสียเวลาเปล่าไม่ใช่วิสัยผม แต่ก็นะ แค่หยุด ไม่ได้ตอบคำถามอะไรของมัน

ไม่ได้งอนเป็นสาวเอาแต่ใจ แค่ไม่สบอารมณ์มันมาก ๆ อีกอย่าง ผมเพิ่งจะดื่มด่ำอยู่กับความสำเริงสำราญอยู่เมื่อครู่ จู่ ๆ พอเจอมันเข้ากะทันหันเลยปรับอารมณ์ไม่ทันก็แค่นั้น

“ปล่อยผัวยืนรอจนท้องกิ่ว แต่เมียกลับระริกระรี้อยู่กับเพื่อนผัว...ให้คิดว่าไงเนี่ย?” นั่นไง ฟังเสียงหมาในปากมันดูสิครับ แบบนี้ยังจะให้ผมทนไหวได้ยังไง ไม่ใช่ทนไม่ได้หรอกนะ ตลอดเวลาที่อยู่กับมันมาผมก็ทน ท๊น ทน ทนจนรู้สึกว่าใจผมจะเป็นเหล็กกล้าขึ้นทุกวัน แต่คนเรามันก็ต้องมีพักกันบ้าง โดยเฉพาะตอนนี้

แต่ขืนผมดันทุรังไปก็มีแต่เสียกับเสีย ไม่ว่ายังไงตอนนี้ผมมันก็เป็นได้แค่เบี้ยล่าง ในเมื่อยิ่งแข่งยิ่งแพ้ ผมเป็นฝ่ายถอยให้ก็ได้ ไหน ๆ ก็ยอมมันมาทั้งชีวิตแล้ว ขี้เกียจรบกับมันแล้วครับ

ตอนนี้...ผมอยากพักรบกับมันสุด ๆ

...เฮอะ...ยอมก็ได้วะ!

“เฮ้ย พอล มึงพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะ กูกับพึ่ง เราไม่ได้คิดอกุศล...”

“นั่นเรื่องของมึง กูแค่พูดไปตามที่กูเห็น...ขอโทษว่ะ คนมันเคยมีแผล”

ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปาก พี่ไอดอลกับไอ้ยักษ์ก็ออกปากเถียงกันข้ามหัวผมไปมาเสียก่อน เอ่อ ดูท่าจะเรื่องราวจะยิ่งบานปลายแล้วล่ะ ผมไม่เห็นหรอกนะ ว่าไอ้ยักษ์ทำหน้าตายังไงอยู่ แต่ที่รู้ๆ มือมันบีบแขนผมแรงมาก (นี่กะจะให้แขนกูเละคามือมึงเลยไหม?) และอีกอย่างที่ทำให้ผมรู้ว่าเรื่องนี้เริ่มจะไม่ใช่แค่การโต้เถียงกันธรรมดาๆ ก็คือสีหน้าของพี่ฝ้าย ที่เครียดขึง ดุดัน จนแตกต่างจากพี่ชายที่แสนใจดีอบอุ่นเสมอของผมอย่างกับคนละคน...

อ้าวเวรละ ถ้าพวกเอ็งคิดจะตีกัน แล้วคนตรงกลางอย่างกูล่ะ?

“เฮ้ย พอล ฝ้าย มาอยู่กันตรงนี้เอง อาหารมาเสิร์ฟแล้วนะเว้ย ไอ้ชีต้ากับไอ้คริสต์แดกนำไปไม่รอแล้ว รีบเข้าเลย เดี๋ยวตามไอ้สองตัวนั้นไม่ทันนะ” แก๊งงง!! ฮ่า...ราวเสียงสวรรค์ ผมนี่รีบหันไปมองพี่เกาเหลาคนที่ที่เดินยิ้มเผล่มาแต่ไกลทันทีเลย กรรมการห้ามมวยมาแล้ว!! ตอนที่พี่เขาเดินมาทางผมนะ ผมงี้รีบส่งสายตาขอความช่วยเหลือเลย แล้วก็แทบร้องกรี๊ดครับ เพราะทันทีที่พี่เกาเหลาแกได้สบตาผมเข้า แกก็ขยิบตาเป็นนัยว่า ‘เดี๋ยวพี่เคลียร์ให้ครับน้อง’

“ว้าว น้องน้ำผึ้ง แต่งหน้าแล้วสวยอย่างกับนางแบบแน่ะครับ โห...ไม่น่ารีบแต่งกับไอ้พอลมันเลย พี่โคตรเสียดาย...” ง่ะ...ไอ้พี่เกาเหลา ผมให้พี่เคลียร์ไอ้สองตัวที่มันจะโดดขย้ำคอกันตรงนั้น ไม่ใช่ให้เดินแถกเข้ามาแซวกูถึงตรงนี้ นั่นไง ไม่ทันจบประโยค โดนไอ้ยักษ์ของผมโบกซะหัวทิ่มเลย เป็นไงล่ะ สมน้ำหน้า ไอ้ยักษ์มันหวงเมียมันมากเลยนะ ขอบอก...เอ๊ะ? เหมือนจะเผลอพูดอะไรที่น่าขนลุกโคตร ๆ ออกไป

...บรื๋ออ

แต่ดูเหมือนจะได้ผลนะ ไอ้ยักษ์เลิกจ้องล้างผลาญพี่ไอดอลผมไปเลย แต่หันกลับมามองผมแทน เอ่อ...นี่คง...ดีแล้วสินะ

“หึ...สวยดีนี่” มันก้มลงมามองหน่อย ก่อนแสยะยิ้มน้อย ๆ แล้วตะปบเอวลากผมตรงดิ่งเข้าตัวคลับของโรงแรม และดูเหมือนมันจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“ถอดเสื้อคลุมซะ” ชิ กะแล้วเชียว ว่าต้องให้ถอด

“...ไม่” แต่ไอ้พึ่งไม่ยอมสละขอนไม้แล้วจมน้ำตายเพื่อไอ้ยักษ์นี่เด็ดขาด

“ถอดออก!” เสียงมันเริ่มคำรามต่ำ...แม่ม มึงเป็นหมาเดือนห้าเหรอวะไอ้ยักษ์พิตบูลล์ หาเรื่องกัดเขาไปทั่วเลยนะเอ็ง หึ! กูไม่ถอด!!

นอกจากไม่ถอดแล้วยังไม่ตอบโต้อะไรมันอีกด้วย สะบัดตัวจากวงแขนมันแล้วเดินเชิดกลางฝูงชน เอาซี่ ถ้ามึงจะหน้าตัวเมียพอ ก็มาเล่นงานกูต่อหน้าธารกำนัลได้เลย หึหึ ไอ้พึ่งขอท้าดวล!!

ดวล...ดวล...ดวล...

ดวล กลายเป็นด้วนทันใด ไอ้ยักษ์ ไอ้สารเลว ไอ้ผู้ชายหัวกร๊วยยยยย!!

ไอ้ห่านจิกจับผมขึ้นพาดบ่า พาดิ่งเข้าห้องน้ำชายแบบหน้าด้าน ๆ ตายห่าแล้วไอ้พึ่ง!!




+++++++++++++++++



บอกเลยตอนต่อไป...ไอ้พึ่งไม่รอด 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-02-2024 04:08:59 โดย thearboo »

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
13 รักสามเส้า เราสามคน

คำเตือน!!

ช่วงครึ่งแรกพระเอกเรื่องนี้จะเลว ๆ นิสัยเสียหน่อยนะจ๊ะ อนุญาตให้ด่าได้เต็มที่!

เนื้อเรื่องออกแนวตลก เน้นฮา ดราม่านิดหน่อย และหาสาระกับความสมเหตุสมผลไม่มีนะจ๊ะ

++++++++++++++++++++++++++



ร่างบนบ่าดิ้นเร่าพร้อมกรีดร้องโหยหวน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ภาคีสะทกสะท้าน เรียวปากเยาะขึ้นเล็กน้อย นึกขำสัมผัสที่รู้สึกได้ 'ไอ้หมอนี่ขนน้อยชะมัด' คงเพราะขาขาวเนียนเกินชายแบบนี้นี่เอง เพื่อนเขาถึงได้คอยดูแลนักหนา คิดแล้วก็พาลหมั่นไส้หนัก อยากเปิดโปงไอ้คนลวงโลกนี้ให้รู้แล้วรู้รอด หากไม่ติดว่ามีผลประโยชน์ค้ำคออยู่ละก็ภาคีคิดไปแล้วว่าเขาคงขยี้ไอ้พจมาน 18 มงกุฎตัวนี้ตายคามือไปนานแล้ว

แต่เอาเถอะ...

เขาจะยังปรานีมันไว้หน่อยก็ได้ เพราะไอ้โจรกระจอกนี่ ยังมีอะไรให้เล่นสนุกได้อีกเยอะ

อย่างเช่น...ตอนนี้

หึหึ...นี่ฉันยอมเปลืองตัวเลยนะ



+

+

+



"ปล่อยอิฉันนะ!! อร๊ายย!! ไอ้โรคจิต ไอ้ฆาตกร!"

ผมร้องลั่นแทบสิ้นสติครับ ที่มันจับผมพาดบ่าเป็นกระสอบข้าวสารแล้วจ้ำอ้าวเข้าห้องน้ำแบบไม่แคร์สายตาชาวบ้านชาวช่อง ไม่สนใจเสียงเรียกของเพื่อนมันที่ด้านหลัง ทั้งยังไม่ระคายแม้ผมจะดิ้นเร่าๆ สักแค่ไหน ความจริงแล้วกะอีแค่การถูกจับขึ้นพาดบ่านั้นไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงหากผมจะใช้ศิลปะป้องกันตัวที่ผมมีในการหลบหนี ทว่าฝีมือมันเหนือกว่าผมมาก มันเล่นล็อกทุกจุดที่ผมจะสามารถหาช่องเล่นงานมันกลับ จบสนิทสิครับทีนี้ กลายเป็นกระสอบข้าวเปื่อยเลยเชียว...ฮืออออ...

แกร๊ก!

"เฮ้ย! ล็อกทำไม!? นี่คุณ! วางฉันลงเดี๋ยวนี่นะ!!" วางกูลงนะ!!

จะไม่ให้ผมกรี๊ดไงไหว มันเล่นล็อกประตูห้องน้ำ ขังตัวมันกับผมไว้ในห้องปิดตายเพียงสองต่อสอง และยังไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งสติสมประดี มันก็วางตัวผมลงตามที่ผมขอ แต่ว่า...

ไอ้เปรตนี่มันดันวางผมลงตรงขอบซิงค์อ่างล้างหน้า กระชากเสื้อคลุมของพี่ไอดอลทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี ก่อนจะจับขาผมแยกออกจากกันแล้วแทรกตัวมันเข้ามายึดที่มั่น สองแขนเท้าลงกับตัวซิงค์เพื่อคร่อมกักผมไว้

ใกล้...ขนาดที่ว่าแม้ผมจะเอนตัวหงายไปจนหลังชนผนัง ยังรู้สึกว่าหน้ามันห่างจากหน้าผมไม่ถึงคืบ จะหนีบขาก็ติดสะโพกมัน กระโปรงก็ดันร่นขึ้นจะเกือบเสมอไข่ ผมจ้องช่องว่างระหว่างเราด้วยใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ

แค่คืบเท่านั้น...ลูกชายมันที่นอนนิ่งอยู่ใต้กางเกงยีนสีดำ กับลูกชายผมที่ถูกจับหลบกบดานอาจจะมาพานพบกันในไม่ช้า แค่ผมหรือมันขยับเข้าหากันอีกเพียงนิด...เชี่ยละ ฤาจะถึงเพลาชนช้าง ณ ครานี้...ไม่นะ!! ∑ (Q口 Q)

คิดได้ผมก็รีบกระถดตูดถอยกรูด แม้หลังชนผนังจนไร้ทางหนี แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ลูกผมต้องเผชิญหน้าตรง ๆ กับลูกมัน!!

“เฮ้ย! ทำอะไรของคุณวะ!!” แต่ทันทีที่ขยับมันก็คว้าหมับเข้าสะโพกผม! เป็นนัยว่าไม่ยอมให้หนีเด็ดขาด เล่นเอาผมนี่คว้าชายกระโปรงปิดไข่แทบไม่ทัน มันยิ้มแล้วโน้มลงมาหาผมมากขึ้น ให้ตายเถอะ ตรูจะเป็นหนึ่งเดียวกับกระจกแล้วนะเอ็ง!

“ทีผัวเข้าใกล้ล่ะหลบจังนะ แต่พอกับชายอื่นทำกระดี๊กระด๊า” มันก้มลงกระซิบที่ข้างหูผม ขอบอกว่าเสียงมันโคตรชวนสยิว ขนคอผมลุกเกรียวอย่างไม่ต้องสงสัย ปากร้องออกไปไม่เป็นภาษา เอนหลบซ้ายหลบขวา ก็ไม่ยักพ้นหน้ามัน ถ้าไม่กลัวไข่โผล่ผมจะยกขายันยอดหน้ามันให้รู้แล้วรู้รอด!!

ปึง ปึง ปึง ปึง!!

เฮ้ย! ไอ้พอล คุยกันดี ๆ นะเว้ย อย่าทำอะไรน้องน้ำผึ้งนะ!! เสียงเคาะประตูโครมคราม จากด้านนอก พร้อมเสียงโหวกเหวกโวยวายของบรรดาเพื่อน ๆ ไอ้ยักษ์ที่กำลังพยายามเกลี้ยกล่อมเพื่อนมันอย่างเต็มที่

พอล! มึงออกมาคุยกันก่อน เฮ้ยมึงอย่าหน้ามืดฆ่าน้องน้ำผึ้งกูหมกส้วมนะเว้ย! น้ำเสียงและวาจาแบบนี้ ไอ้ชีต้าร์แน่ ๆ ขอบใจนะพี่ พังประตูเข้ามาเลยเถอะ จะมัวพิรี้พิไรให้หญ้ายาวอยู่ไย ไอ้พอลเพื่อนพี่มันจะแดกผมเข้าไปทั้งตัวอยู่แล้ว!!

ไอ้เชี่ยพอล มึงอย่าเงียบดิวะ โผล่หัวออกมาคุยกันก่อน เสียงพี่เกาหลี ช่วยตะโกนเข้ามาแทรกแซง หวังเตือนสติเพื่อนมันให้กลับตัวกลับใจ

แต่ดูเหมือนเสียงโหยหวนข้างนอกประตูนั่นมันราวกับเสียงหมาเห่าใบตองแห้งในความรู้สึกของไอ้คุณพอล เพราะแทนที่มันจะเชื่อเพื่อนมัน แล้วปล่อยตัวผมเป็นอิสระแต่โดยดี มันกลับกระทำการทำเรื่องที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

เรื่องที่ทำให้ไอ้พึ่งถึงกับกรี๊ดสาวแตก!!

“อร๊ากกกก ช่วยด้วย...อุ๊บ!!?”

ผมร้องเสียงหลงเมื่อโดนมันตะปบเอวแล้วลากพรืดเข้าหาอย่างแรง เป้าปะทะเป้าเล่นเอาแต๊บน้อยถึงกับจุก สองขาถูกแหกออกกว้างตามสรีระของสะโพกมันจนชายกระโปรงร่นสูง สองตาผมเบิกโพลงราวกับเห็นท่านยมบาลมารอรับอยู่ตรงหน้า แผดเสียงสุดหลอดเพื่อขอความช่วยเหลือ ใครก็ได้เหอะช่วยพังประตูเข้ามาที!! แต่ไอ้ยักษ์ซาดิสม์มันกลับไม่ยอมปล่อยให้ผมได้ร้องแรกแหกกระเชอได้อย่างสบายใจ ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าอะไรไม่รู้ยัดพรวดเข้ามาในปากของผม เล่นเอาเกือบสำลักจนน้ำตาเล็ด พยายามจะใช้มือแกะออก ก็พาลต้องพบกับสิ่งที่สยดสยองกว่านั้น

แขนสองข้างของผมถูกมันจับตรึงติดกระจกไว้เหนือหัวของผมด้วยมือเพียงข้างเดียวของมัน แรงแขนโคตรทรงพลังจนผมยังต้องขอศิโรราบ มือเดียวล็อกผมอยู่นิ่งเป็นตุ๊กตาได้เลย ถึงตรงนี้ก็หนีมันไม่พ้นแล้วครับโดยเฉพาะท่อนล่างที่พอยิ่งดิ้น มันก็ยิ่ง...เสียดสี

เพราะมันปักหลักร่างมันอยู่กึ่งกลางร่างผม สภาพที่ผมนั่งถ่างขาอ้าซ่าให้มันได้ยืนหล่อเหลาอยู่แบบนี้ บอกได้เลยว่าน้องชายไซซ์มาตรฐานในกางเกงในเนื้อบางของผมนั้นได้สัมผัสกับเป้าไอ้ยักษ์มันอย่างเต็มที่เรียบร้อยแล้ว

เอ้าเลยสิ!!...เบียดอีก เบียดเข้าไป เบียดให้มันไฟลุกไปเลยนะไอ้หัวกรวย!!

"หยุดดิ้นเสียทีน่า ทำตัวว่าง่ายๆ หน่อย เดี๋ยวฉันจะยอมปล่อยให้" มันพูดขึ้นหลังโรมรันกันมาพักใหญ่ๆ เหนื่อยแล้วสิมึง! จับกูกดได้ แต่ก็ไม่นานหรอกเว้ย!! ศึกนี้ไม่กูก็มึงล่ะ!

ผมปรามาสมันทางสายตา ด้วยความลืมตัวว่ากำลังตกเป็นเบี้ยล่าง ลืมเสียสนิทว่ากำลังรักษาความลับของตัวเองแบบสุดชีวิตอยู่

“หึ...ไม่ยอมง่ายๆ สินะ มองกันแบบนี้ ขอล่ะ อย่าทำให้ฉันโมโหไปมากกว่านี้เลยนะพจมาน เรามาตกลงกันดีๆ ดีกว่า...ก่อนที่ตรงนั้นมันจะลุกเป็นไฟไปเสียก่อน” มันว่าพลางชำเลืองมองจุดเสียดสี ที่ผมพยายามเบี่ยงตัวหลบแทบเป็นแทบตาย สายตามันที่มองมาไม่ได้กรุ้มกริ่มเหมือนเวลาพวกผู้ชายจะแกล้งหยอกสาว แต่กลับเป็นแววตาท้าทาย เหมือนมันกำลังจะวางเดิมพันอยู่ว่าผมจะทำยังไงต่อ สายตาของมันที่ทำให้ผมลืมไปเลยว่าตัวเองอยู่ในคราบผู้หญิง

ผมมองตามัน มันมองตาผม สักพักผมเริ่มคิดได้ เอ๊ะ? นี่มัน...ยังเห็นว่าผมเป็นผู้หญิงอยู่หรือเปล่าวะ?

“ว่าไง? จะยอมอยู่นิ่งๆ ได้หรือยัง?” มันถามย้ำ ที่คราวนี้ผมพยักหน้ารับรัวๆ คนที่พอมีทักษะการต่อสู้ติดตัว ย่อมมีสัญชาตญาณหยั่งรู้ว่าอันตรายมันเข้าใกล้ตัวเรามากแค่ไหนแล้ว

และตอนนี้ผมรับรู้ได้ว่าไอ้บักยักษ์นี่ ไม่มีความเมตตาปรานีให้ผมเลยแม้แต่เศษเสี้ยว...

เออ กูยอมมึงก่อนก็ได้วะ ไอ้หน้าตัวผู้เอ๊ย! ให้กูหลุดไปได้ก่อนเหอะมึง!!

มันยอมปล่อยมือ แต่ยังไม่ยอมถอยห่าง

“มีอะไรก็ว่ามา” ผมเองก็ถามมันขึ้นทันทีที่มันเอาไอ้ขยุ้มผ้าเวรนี่ออกจากปากให้ เหงื่อผมแตกเต็มหลัง ทั้งที่หนาวแอร์จนขนลุก เฝ้ารอหาโอกาสว่าเมื่อไหร่มันจะเปิดช่องว่างพอให้ผมเจาะออกไปได้ ไอ้ยักษ์เองก็เป็นศิลปะการต่อสู้ แถมยังดั้งสูงกว่าผม หากมันไม่พลาดไม่เผลอ ผมเองก็ไม่อาจใจร้อนลงมือ

“ตอนนี้เธอเป็นผู้หญิง ยังรู้ตัวอยู่สินะ” ตาขวาผมกระตุกยิกทันทีที่มันทุกขึ้น เฮ้ย...ความหมายมันแปลก ๆ นะ “ไม่ใช่แค่ผู้หญิงข้างทาง แต่ยังถือสถานะเป็นเมียแต่งของฉันอยู่" อ๋อ..เออ อันนั้นก็รู้อยู่แล้ว มึงจะมาย้ำกูทำไมวะ? เมียแต่ง ที่แต่งเพียงในนาม ไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยวกัน กูยังจำคำมึงได้ชนิดท่องจำขึ้นใจเลยนะเว้ย

ผมพยักหน้ารับคำมัน ในขณะที่คิ้วผมขมวดเป็นปมเพราะความไม่เข้าใจมัน และหน้าผมยิ่งบู้เข้าไปอีก เมื่อได้ยินประโยคถัดมา

"เพราะฉะนั้น...เลิกเล่นหูเล่นตา แล่นชายอื่นนอกจากผัวตัวเองเสียที ไม่อายตัวเองก็ช่วยเห็นแก่หน้าฉันบ้าง โดยเฉพาะกับไอ้ฝ้าย เลิกระริกระรี้กับมันได้แล้ว"

อื้อฮือ...เล่นเอาหน้าชาไปแถบเลยครับกับคำค่อนขอดของมัน นี่ถ้าผมเป็นผู้หญิงจริง ๆ คงได้กัดลิ้นตัวเองตายเสียเดี๋ยวนี้ไปแล้ว ขนาดหน้าด้าน ๆ อย่างผม ยังแสบหน้าแปล๊บ ๆ แบบนี้มีหรือคนอย่างไอ้พึ่งจะทนหุบปากเฉยอยู่ไหว...

เออ...กูผิดที่แรดไปหน่อย แต่มึงด่ากูแรงไปไหม? ไอ้คุณสามีในนาม! ทีหลังถ้าเห็นกูบ้าผู้ชายอยู่มึงก็เข้ามาตบหัวกูให้ทิ่มเลยเหอะ ไม่ต้องลากมาเคลียร์ในห้องลับให้วุ่นวายแบบนี้ก็ได้ กูเข้าใจแล้ว และช่วยเอาไข่มึงไปให้พ้นหน้าไข่กูที!

เฮ้อออ...ก็ได้แต่คิดในใจแหละครับ แม้อยากจะผรุสวาทออกไปใจแทบขาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการหุบปากสงบสติอารมณ์ แล้วด่าทางสายตาแทน แต่เอ๊ะ? เดี๋ยวนะ รู้สึกผมจะค้นพบหนทางเอาคืนนิดหน่อยแล้วล่ะ

หึ...ห้ามนู่นห้ามนี่กูดีนักใช่ไหม!

“หึง...เหรอคะ คุณภาคี?”

ไงล่ะ! เจอคำนี้เข้าไปมันถึงกับหน้าม้าน เฮ้ย...อ่อนเอ๊ย ทำมาเป็นหึง ทำมาเป็นหวง หึหึ กูรู้ว่ากูสวยจนมึงอดใจไม่ไหว แต่ไม่ดีนะการกลืนน้ำลายตัวเองแบบนี้อ่ะ คึคึ “อิฉันก็เข้าใจคุณอยู่หรอกนะว่าคงอดใจไม่หลงรักอิฉันไหว ขอโทษนะคะที่อิฉันไม่รู้ตัวเอาเสียเลย ถึงได้ทำให้คุณหึงหวงจนหน้ามืดแบบนี้ นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นอะไรกันมากไปกว่าภรรยาในนามนะเนี่ย...” เมื่อเจอช่องว่างก็ต้องรีบถ่างมันออก จี้เข้าไป ขยี้เข้าไป ให้ได้เจ็บแสบไม่ต่างกัน ฮะฮ่า

เอาซี่...เอ็งจะหลงใหลได้ปลื้มอะไรในตัวข้าก็หลงไปเถอะ วันใดวันหนึ่งข้างหน้าที่ความลับของข้าถูกเปิดเผยขึ้นมาแล้วเอ็งจะน้ำตาเช็ดหัวเข่า ฮ่าฮ่า

เอ่อ...รู้สึกผมจะครื้นเครงไปหน่อย

รื่นเริงบันเทิงใจที่สามารถสกัดดาวโจรอย่างมันได้ โดยลืมมองเงาหัวตัวเองไปเสียสนิทเลยว่ามันจางไปขนาดไหนแล้ว เพราะมัวแต่ผยองจนลืมสังเกตว่ามันทำสีหน้าแบบไหนอยู่ แถมยังลืมดับว่าส่วนนั้นของผมกับมันยังคงประจันหน้าในระยะประชิด!!

“นั่นสินะ ก็คงหึงจริง ๆ นั่นแหละ ก็...เมียทั้งคนนี่นา” แอ๊ะ? มันกระซิบอยู่ข้างหูผม เดี๋ยวนะ โดนลูบคมไปขนาดนี้มันต้องโกรธ ต้องหน้าเสียสิ ไม่ใช่ยังเยือกเย็นอยู่แบบนี้ได้ เฮ้ย! แล้วมันเข้าใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่อีกเนี่ย!?

“คงเพราะยังไม่ได้เป็นอะไรกันนี่เอง...แมลงวันถึงชุมนัก ตามตอมไม่เลิก สงสัย...ต้องรมยาฆ่าแมลงสักหน่อยแล้วมั้ง...” อื๋อ! อย่าโน้มหน้ามาใกล้ตอนที่เอ็งทำหน้ายิ้มยั่วชั่วร้ายอย่างนั้นได้ไหมวะ? แล้วแมลงวันตอมคืออะไร นี่กูไม่ใช่ขี้นะเว้ย! มึงเทียบผู้หญิงงามเป็นขี้เนี่ยนะ!?

ถึงกับระส่ำระสายสิผม มือไม้มันเริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว! ไอ้เชี่ยยักษ์ ไม่ต้องมากอดกูเลย! แล้วก็เลิกลูบหลังลูบขากูเสียที เชี่ย! กูเสียว!!

“เฮ้ย! นี่จะทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย!?” ผมถามออกไปเสียงสั่น สำนึกได้แล้วครับว่าตอนนี้ยังเป็นสาวน้อยอยู่ เมื่อกี้ระริกระรี้ไปหน่อยจนเผลอตัวยั่วอารมณ์ (เดือด) จนเกินงามไปเสียแล้ว เอาไงดีวะเนี่ย!?

ทันทีที่หลุดคำถามเห่ย ๆ แบบนั้นออกไป ผมก็แทบอยากตบปากตัวเองสักฉาด เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามันกำลังตั้งหน้าตั้งตาจะปล้ำผมให้ได้ในห้องน้ำแล้วยังเสือกมีหน้าไปถามเป็นสาวน้อยว่ามันจะทำอะไรอีก เฮ้ย!?

ผล็อก!

โอ๊ะ!

อูย...อารามตกใจ เลยซัดเข้าไปเต็มหน้าพ่อคุณหมุนตามแรงมือเลยครับ

ชัดเลยว่าเสียงดังฟังชัดเมื่อสักครู่นั้นคือเสียงของปลายหมัดอัดเข้าสันกรามแบบสุดแรงกล้าม ผมเห็นเต็มสองตาว่าใบหน้ามันหันคว้าง พร้อมตัวล่ำเซแซ่ด ๆ พอตั้งสติได้ว่าไม่ควรนั่งเอ๋อรอมันสวนกลับ สมองก็สั่งการให้ร่างกายของผมหมุนตัวลงจากขอบที่ล้างหน้าทันทีเพื่อหนีออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด

แต่แค่พริบตาเดียวเท่านั้น ทั้งตัวของผมก็ปลิวหวือตามมือมันกลับไปปักหลักที่เดิม อย่างกับเดจาวู

“ปล่อย!” ผมตะโกนสุดเสียง จำไม่ได้แล้วว่าลืมแอ๊บเสียงหรือเปล่า หรืออารามตกใจอาจทำให้ผมเผลอหลุดเสียงแมนสุดโต่งออกไปเสียแล้วก็เป็นได้

“หมัดหนักดีนี่” แต่ดูเหมือนไอ้ยักษ์มันจะไม่ได้ยิน หรือมันอาจโมโหจนหน้ามืดหูดับไปแล้ว คว้าตัวผมกลับมาได้ คราวนี้มันดันผมเสียจนตัวแอ่น การเผชิญหน้ากันครั้งนี้ทำเอาผมหน้ามืด เหงื่อแตกเต็มขมับในห้องน้ำที่มีแอร์เย็นฉ่ำ สายตาที่มันจ้องมาเล่นเอาหนาวสันหลังวาบ

มันปากแตกครับ... แตกขนาดมีเลือดหยดติ๋งตรงมุมปากกันเลยทีเดียว

‘อนาถ...ชายวิปริตแต่งหญิง ถูกกระทืบจมกองเลือดตายสนิทคาห้องน้ำโรงแรมดัง คาดถูกจับได้ว่ามาหลอกฟันเงินเศรษฐีตระกูลดัง แต่ถูกจับได้คาหนังคาเขาเสียก่อน...’

พาดหัวข่าวหน้าอาชญากรรม แล่นวาบเข้ามาให้หัวของผม ราวกับภาพ Full HD มีกระทั่งมโนเห็นภาพตัวเองคาดตาเป็นปื้นดำออกข่าวช่องดัง มีนักข่าวนั่งกระพือข่าวฉาวด้วยเสียงเซอร์ราวด์รอบทิศทาง โดยมีคลิปภาพในสภาพปางตายของผมโชว์หราอยู่ในจอทีวี...

น่ากลัวเกินไปจนตัวผมเองยังสะดุ้ง พอดึงสติกลับมาได้อีกครั้ง ก็ต้องรีบละล่ำละลักขอโทษขอโพยมันเป็นการใหญ่สิครับจะรอช้าอยู่ไย คนอย่างไอ้พึ่งเก่งไม่กลัว กลัวตายอย่างเดียวเลย

“ข...ขอโทษ...คืออิฉันไม่ได้ตั้งใจ ก...ก็คุณทำอิฉันกลัวนี่ อิฉันเลยต้องป้องกันตัวไง โอ๊ย!!”

ผมจำต้องร้องออกมาอีกรอบ เมื่อไอ้ยักษ์เปรตมันออกแรงบีบแขนผมจนเจ็บแปลบ ความเจ็บร้าวผลักดันให้ผมต้องดิ้นรนออกจากตัวมันอีกรอบ หูแว่วเสียงโวยวายจากนอกห้องน้ำที่ยังคงเคาะยังคงตะโกนโหวกเหวก ห่างกันเพียงเอื้อมมือแต่มันคือแสนไกล ร่างไอ้ยักษ์ปิดทางหนีผมเสียมิด แววตาและสีหน้าของมันที่มองมา โหดไม่ต่างจากฆาตกรเลือดเย็นที่ผมเคยเห็นในหนัง

แพนิกสุดก็คงเป็นตอนที่มันแลบลิ้นออกมาเลียเลือดที่มุมปากมันนั่นแหละ มองเผิน ๆ ก็เซ็กซี่อยู่หรอก แต่ภาพแบบนั้นสำหรับผม มันโคตรน่าขนลุกเลยครับ ให้ตายเถอะ!!

สัญญาณอันตรายจี้ดิ่งผ่ากระหม่อม ผมดิ้นรนออกจากการทาบทับของมันอีกครั้ง แต่ทั้งบิด ทั้งสะบัดแขนเจ้ากรรมก็ไม่ยอมหลุดจากพันธนาการมือมารของไอ้ยักษ์เวรนี่ได้เสียที แถมรู้สึกว่ายิ่งดิ้นผมยิ่งเพลี่ยงพล้ำให้กับมันเสียอีก เพราะดูเหมือนผลสุดท้าย มันก็เข้ามาปักหลักกลางหว่างขาของผมได้อีกแล้ว

โอ๊ย...ไอ้เชี่ยหื่นนี่! มึงจะเอากูให้ได้ในห้องน้ำนี่เลยใช่ไหม!?

“เฮ้ย!! ปล่อยนะเว้ย!!” ผมทั้งร้องทั้งดิ้นทั้งผลัก เพราะมันเปลี่ยนกระบวนท่าในการโรมรัน และท่าใหม่ของมันก็เล่นเอาผมผวา

ท่าใหม่ ที่มันอุ้มสมตัวผมขึ้นนั่งบนขอบอ่างเจ้ากรรมอีกครั้ง แล้วใช้แขนทั้งสองข้างช้อนใต้เข่าให้ยกชันและเปิดอ้า...พร้อมเสียงกระซิบร้ายกาจ จากริมฝีปากของมันที่ขยับอยู่ตรงริมหู

“มาเล่นสนุกกันหน่อยเป็นไง ฉันจะทำให้เธออ่อยใครไม่ได้อีกเลย!”

ทันทีที่มันพูดจบสติสัมปชัญญะของไอ้พึ่งก็ขาดการติดต่อจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง...ถึงขั้น...ล่องลอย

สัมผัสเดียวที่ยังพอรับรู้ได้...

ไอ้ห่า!! อย่าเอาเป้ามึงมาถูห่อหมกกู!



+++++++++++++++++++

ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า

อย่าดิ้นนักเลยมันไม่มีประโยชน์หรอก” ภาคีแสร้งกระซิบเสียงพร่า ยิ่งไอ้โจรกระจอกตัวร้ายในอ้อมแขนพยายามดีดดิ้นเขาก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น หมายจะหักกระดูกเสียให้จบไปหากมันยังจะพยศไม่เลิก

กึ่งกลางร่างกายของอีกฝ่ายที่อ้ากว้าง เร่งเร้าให้ภาคีเบียดกายเข้าไปกลั่นแกล้งแสร้งใช้กึ่งกลางกายไซซ์เกินมาตรฐานของตนลงโทษคนไม่รู้จักสำนึกตัวเสียหน่อย

ผู้ชายด้วยกัน ทำไมภาคีจะไม่นึกรังเกียจ แต่พอกับเจ้าสาวในนามตรงหน้า ชายที่แต่งหญิงได้งามเกินหญิง แถมยังก๋ากั่นจนน่าหมั่นไส้ น่าแปลกที่ภาคีกลับไม่นึกเดียดฉันท์ ที่จะกลั่นแกล้งอีกฝ่ายด้วยร่างกายของตน

ไม่รู้สึกขยะแขยง แถมยังชอบใจเสียอีกที่เห็นมันดิ้นเร่าอยู่ใต้ร่าง

‘หึหึ...ไม่เบาเหมือนกันนี่หว่า นึกว่าจะเล็กสมตัวเสียอีก’

เพียงสัมผัสแรก ภาคีก็อดชมเปาะในใจไม่ได้ไอ้ 18 มงกุฎของเขานี่ดูภายนอกไม่ออกเลยว่าจะซ่อนรูป เห็นรูปร่างออกจะสะโอดสะอง หน้าตาก็ออกจะน่ารัก ที่ไหนได้ ความเป็นชายกลับไม่เล็กเหมือนรูปร่าง ภาคีลอบยิ้มเยาะ เพราะยังไงก็แพ้เขาอยู่ดี

“โธ่เว้ย! บอกว่าให้ปล่อยไงล่ะ ไอ้คนสับปลับไหนบอกว่าจะไม่แตะต้องอิฉันเด็ดขาดไงเล่า! ไอ้หื่น ไอ้ตัณหากลับ ไอ้โรคจิต!!” เสียงพจนตะโกนก่นด่าไม่ยั้ง อารามตื่นตระหนกตกใจทำเอาลืมแอ๊บเสียงเสียสนิท เสียงแหบห้าวจึงเผยออกมาต่อหน้าของภาคีโดยไม่รู้ตัว

ภาคีแสยะยิ้มร้ายทันทีที่โดนผรุสวาทใส่ 'เออ...ยังมีแรงเก่งได้อยู่สินะ เอาสิ...อยากรู้เหมือนกันว่าจะเก่งได้อีกนานแค่ไหน'

ยิ่งพจนโวยวาย ภาคีก็เริ่มแกล้งหนัก จากที่แค่กระทบกระทั่ง คราวนี้เขาตั้งใจบดขยี้เข้าจุดศูนย์กลางของพจนแบบเต็มรัก โดยไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวทัน สองแขนล็อกสองขามั่น ร่างท่อนบนโถมใส่ทับคนดิ้นเร่าไว้ให้อยู่นิ่ง ส่วนท่อนล่าง...ก็ขยับบดบี้ ตั้งใจกระทำอนาจาร ตั้งใจให้ออกมาลามกหยาบโลนที่สุด

'อยากรู้นักว่ายังจะแอ๊บได้อีกนานแค่ไหน! ไอ้โจรกระจอก!!'

...ความหลงใหล บางครั้งก็มาแบบไม่ทันตั้งตัว ภาคีในตอนนี้ก็เช่นกัน

รู้ทั้งรู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นใครก็ไม่อาจห้ามใจให้กระทำสิ่งที่น่าอาย ทั้งที่คนตรงหน้าเป็นผู้ชายกลับเลือกใช้วิธีกอดจูบลูบคลำอย่างไม่ยั้งคิด ถ้าคนคนนี้เป็นผู้หญิงเขาคงถอยห่างชนิดตัวใครตัวมันแบบสุดกู่ ไม่ต้องการผู้หญิงคนนี้ให้ต้องมัวหมองเพราะแค่ได้ชื่อว่าแต่งงานกันก็น่าจะเสียเปรียบเขาที่เป็นผู้ชายมากพอแล้ว

แต่เพราะไอ้โจรนี้ไม่ใช่ผู้หญิง แถมยังเกรียนไม่มีที่สิ้นสุดนี่แหละ จึงทำให้ภาคีอดไม่ไหวที่จะกลั่นแกล้ง...

โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามันกำลังจะมากไป

มากไปเพราะหัวใจที่เต้นแรงในอกนี้กำลังคิดร้ายและคิดไม่ซื่อ!!

"อย่า...อ๊ะ!!"

พจนร้องจ้าเมื่อริมฝีปากอุ่นชื้นของคนที่พันธนาการเขาไว้ก็ประทับลงมาตรงซอกคอเปลือยเปล่า สร้อยเส้นสวยที่ฝ้ายอุตส่าห์ใส่ให้ ถูกปลดหายไปตั้งแต่ตอนไหน พจนแทบไม่รู้สึกตัว เพราะมัวแต่นิ่งอึ้งตะลึงงัน มาได้สติก็ตอนที่ถูกลิ้นร้อนของภาคีไล้เลียลงต่ำ พจนเบิกตาโพลง สองมือที่ยังว่างลงมือทั้งทุบ ทั้งข่วนวงแขนกำยำที่รัดตรึงเขาไว้ แต่ดูจะไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก เพราะริมฝีปากร้อนระอุชวนขนลุกขนพองของภาคียังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม เล่นเสียจนพจนครางไม่เป็นภาษา เพราะต้นคอคือจุดอ่อนของชายหนุ่ม พจนไม่เคยยอมให้สาวคนไหนที่เคยขึ้นเตียงด้วยได้สัมผัสซอกคอของตัวเองเลยแม้สักคน...

แต่ไอ้หมอนี่ไม่ใช่ผู้หญิง!!

เขากำลังโดนผู้ชายดูดคอ!! มิหนำซ้ำ ยังเอาเป้ามันมาเสียดสีเป้าเขาด้วย!!

"...อย...อย่านะ...อื้อ...อ...ออ..." พจนครางกระเส่าอย่างหมดทางเลือก ตื่นตระหนกตกใจก็ไม่เท่าที่โดนทำให้เสียวซ่าน สองมือที่เคยผลักดัน ตอนนี้ดันยึดติดเกาะจับไว้กับไหล่กว้างแนบแน่น เมื่อจุดอ่อนไหวทั้งสองที่ถูกย่ำยีพร้อมๆ กัน

ภาคีถอนริมฝีปากออกมาหลังแกล้งสูดกลิ่นหอม พร้อมสร้างร่องรอยน่าอับอายให้คนใต้ร่างเสียยาวนาน กลิ่นน้ำหอมที่เขาบังคับพรมให้ช่างรัญจวนใจอย่างที่คิด กลิ่นที่ทำให้เขาเคยตกหลุมรัก แม้มันจะแตกต่างออกไปหน่อย ราวกับว่ามีกลิ่นที่หอมรุนแรงกว่ามากลบเกลื่อนไว้ ทว่า ณ ตอนนี้ เขาแยกไม่ออกแล้วว่ากลิ่นไหนเป็นกลิ่นอะไร

รู้แค่...หอมเหลือเกิน

เขาปรารถนาต่อเจ้าของกลิ่นนี้เหลือเกิน

“อ๊ะ...อือออ...อึก...ปละ...ปล่อย” ในที่สุด เมื่อความเร่าร้อนห่างออกจากซอกคอ ก็พอให้พจนได้หายใจหายคอคล่องขึ้นหน่อย เบื้องล่างแม้ยังคงติดพัน แต่มันไม่ได้ขยับเสียดสีแล้ว จึงยังพอเรียกสติของพจนได้บ้าง ร่างผอมบางหอบสะท้าน ลำพังแค่ออกแรงดิ้นรนคงไม่ทำให้เหนื่อยหนัก แต่ที่เหนื่อยหอบจนตัวโยนแบบนี้เป็นเพราะต้องพยายามกลั้นความหวามไหวไม่ให้ปฏิกิริยาทางร่างกายมันแสดงตัวออกมาอย่างสุดกำลัง ทั้งยังต้องคอยกัดฟันไม่ให้ส่งเสียงครางหวามจากการที่ถูกไอ้หื่นตรงหน้านี้ย่ำยีตรงซอกคอขาวร่วมกับเบื้องล่าง

ความเสียวซ่านมันทวีสูงจนหัวใจแทบหยุดเต้น ดังนั้นเมื่อภาคียอมหยุดให้ พจนก็พอจะได้หายใจคล่องคอ...แม้จะแค่ครู่เดียวก็เถอะ

ในตอนนั้นด้วยความหวามไหวจนสติพร่าเบลอ พจนจึงไม่ทันได้สังเกตว่าใช่เพียงเขาที่หอบหายใจ ภาคีเองก็แทบไม่ต่าง

ผู้กระทำอย่างภาคีเองนั้นอยากทุบหัวตัวเองสักหมัดเพื่อเรียกสติ ที่เผลอลอบมองใบหน้าเย้ายวนเกินชายของพจนแล้วดันเกิดอารมณ์ขึ้นมาจริงๆ!!

ใบหน้าที่หวานเกินชายแดงระเรื่อ ริมฝีปากเองก็แดงจัดจากการขบเม้มเพื่อสกัดอารมณ์ใคร่ของบุรุษเพศ ลำคอขาวไล่ยาวจนเนินอกแบนราบที่เต็มไปด้วยร่องรอยสีกุหลาบบางเบาจากผลงานชิ้นโบว์แดงของตัวภาคีเอง และที่ยิ่งกว่านั้น...ส่วนล่างยังร้อนฉ่าเสียจนแทบหยุดไม่ได้ อีกทั้งเสียงหอบหายใจแหบพร่าเร้าใจนั่น ก็มีผลไม่น้อยต่อภาคีไม่น้อยเช่นกัน

ภาคีเริ่มฉุกใจว่าหากเขาเล่นเกมนี้ต่อไป คงไม่ใช่แค่เจ้าโจรจอมปลอมที่ต้องเสียท่า...ไม่แน่ว่า เขาเองก็อาจเพลี่ยงพล้ำตามไปด้วย

เบื้องล่างที่ตอนแรกแค่แกล้งกระทบกระทั่งเฉียดฉิว ไม่รู้เมื่อไหร่ที่มันเริ่มเบียดชิด หนักหน่วง...และ...ร้อนขึ้น

ภาคีกัดฟันกรอด ไม่ได้! เขาจะปล่อยใจเคลิ้มไปตามร่างกายไม่ได้เด็ดขาด! งานนี้เขาต้องถือไพ่เหนือกว่าสิ ไม่ใช่ล่มจมไปพร้อมกัน!!

ว่าแล้วผู้รุกรานอย่างภาคี ก็หาวิธีเอาชีวิตรอดอย่างสุดกำลัง พยายามตั้งสติอันน้อยนิด ลิดรอนหนทางต่อสู้ของพจนไปเรื่อย ๆ

โดยที่ภาคีไม่รู้ตัวเลยว่า การกระทำย่ามใจของตน มันจะเป็นการลิดรอนหนทางดิ้นรนเอาตัวรอดของตนด้วยเช่นกัน...

"ถ้าจะให้ปล่อย ก็ช่วยพูดให้จริงจังอย่างนี้หน่อยสิ" ภาคีกระซิบด้วยน้ำเสียงทุ้มพร่าตรงข้างหูของพจน น้ำเสียงติดกระเส่าเล็กๆ ที่สะท้านหัวใจคนฟังไม่น้อย พจนที่แทบจะสิ้นเรี่ยวสิ้นแรงอยู่แล้วจึงเกือบจะละลายหายไปจากโลกทันทีที่เสียงกระซิบสุดท้ายมาพร้อมริมฝีปากที่ขบเม้มตรงใบหูด้วย "ทำหน้ายั่วแบบนั้น...มันพานจะหยุดไม่ได้เอานะ"

“บ...บ้ารึไง!! ทำหน้ายั่วเมื่อไหร่กัน! มีแต่คุณนั่นแหละ ที่หื่นกามไปเองทั้งนั้น!! ป...ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ!!” พจนพยายามตวาดทั้งที่ปลายเสียงยังสั่นไหว แม้สติสตังจะยังไม่เข้าที่เข้าทาง แต่ก็พอจะเรียกแรงฮึดได้บ้าง เขาจึงเริ่มดิ้นรนอีกรอบก่อนที่จะเคลิ้มไปกับอีกฝ่ายมากไปกว่านี้

บ้าเอ๊ย!! เกลียดความเป็นตัวผู้ของตัวเองก็วันนี้! ทั้งที่กำลังโดนลวนลาม ทั้งที่ควรนึกรังเกียจแท้ ๆ แต่เขากลับพ่ายแพ้ต่อแรงขับทางธรรมชาติของตัวเองเสียได้!

“ก็ยั่วอยู่นี่ไงล่ะ ฮื่อ...อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวฉันก็ของขึ้นอีกหรอก ทีนี้ถ้าไม่ 'เสร็จ' ฉันไม่หยุดให้จริง ๆ ด้วย!” คำพูดสุดท้าย ภาคีเลือกที่จะกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของพจน ชนิดที่เรียกได้ว่าแนบสนิทกว่าที่เคย และยกยิ้มพึงใจกับปฏิกิริยาที่ได้รับจากคนตรงหน้า

“ค...คุณเสียสติไปแล้วใช่ไหม? นี่คุณจะปล้ำอิฉันในนี้จริง ๆ เหรอ!?” พจนถามเสียงสั่น สองมือพยายามผลักอกหนาออกให้พ้นตัวสุดแรงเกิด สองขาที่ถูกช้อนสูง เตะถีบดิ้นรน

“ปล้ำ? ฉันก็ไม่ได้อยากทำในห้องน้ำหรอกนะ...หรือเธออยาก?” ถามออกมาหน้าตาเฉย พร้อมเบื้องล่างเข้าประชิดอีกรอบ แม้จะผ่านกางเกงยีนเนื้อหนา ภาคีก็สัมผัสได้ว่าตรงความนุ่มนิ่มที่สะดุ้งเยือกไม่หยุดของพจนนั้น มันเริ่มมีปฏิกิริยาที่ไม่อาจซ่อนอยู่

“อ๊ะ...ม...ไม่ได้อยาก...เสียหน่อย...คุณมัน...อื้อ...บ้า!...อ๊า...เลิกถูเสียที!!” ยิ่งร้องห้าม ดูเหมือนภาคีจะยิ่งขยี้ไม่หยุด เกมที่ชายหนุ่มเปิดเกมบุก กะว่าจะแค่เล่นสนุก เริ่มจริงจังขึ้นโดยที่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้สึกตัว

เบื้องล่างร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง ในระดับที่ภาคีเองยังคาดไม่ถึง “อืม...เลิกยั่วฉันเสียทีเถอะ!!?” สะโพกแกร่งขยับสวน บดเบียดรุกเร้ารุนแรงขึ้น แม้มันจะเป็นแค่การสัมผัสผ่านเนื้อผ้า ทว่ากลับให้ความรู้สึกติดอกติดใจอย่างประหลาด จิตใต้สำนึกของเขาตะโกนร่ำร้องให้เขาหยุดกระทำ แล้วผละจากร่างของผู้ชายตรงหน้าไปเสีย! คนคนนี้เป็นผู้ชาย!! ไม่ใช่ผู้หญิง! หยุดสิ หยุดสิ หยุดเสียที!!

แต่ดูเหมือนร่างกายจะยิ่งทำตรงกันข้ามกับความคิดแบบสุดโต่งเสียแล้ว

“ฮื่อ...เอาอะไรมาดุนฉันอยู่น่ะ…?” ภาคีเพ้ออย่างลืมตัว มือข้างหนึ่งผละออกจากการช้อนขาของอีกฝ่ายให้อ้ากว้าง เปลี่ยนมากระชับบั้นท้ายกลมแน่นนั้นให้รับกับการเสียดสีรุนแรงของตนแทน ในหัวภาคีขาวโพลนไม่ประมวลผลผิดชอบชั่วดี ตอนนี้กำหนัดบังตาจนมืดบอด ความเสี้ยนกระสันครอบงำร่างกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้ทั้งรู้ว่าพจนเป็นผู้ชาย ขนาดกล่องดวงใจของอีกฝ่ายพุ่งชูชันดุนดันขึ้นสู้ขนาดนั้น เขายังรู้สึกปรีดิ์เปรมอยู่ได้! กึ่งกลางร่างกายร้อนจัดจนไม่อาจรั้งสติ ริมฝีปากที่ว่างอยู่ก็รีบหางานทำโดยการโจนจูบไปทั่วซอกคอขาวที่ขวางหูขวางตาอยู่ตรงหน้า

เพราะสมองพร่าเบลอไปแล้วเนื่องจากถูกสัญชาตญาณดิบเข้าควบคุม หัวใจจึงเป็นส่วนเดียวที่ยังร่ำร้องว่าเขากำลังทำร้ายตัวเอง ไม่! ไม่! ไม่! ไม่! ไม่! หยุด! หยุด! หยุด! หยุด! หยุด! หยุดเสียทีสิโว้ย!!!

“...ห๊ะ!? อ๊ะ พูดอะไรน่ะ...ค...คิดไปเองหรือเปล่า! อื้อ! ไม่เอานะ ไม่ไหวแล้ว! อย่าถูแบบนั้น...ไม่...อ๊ะ!...อื้อ!!” ในขณะที่ภาคีพยายามห้ามตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย พจนเองก็ได้แต่คร่ำครวญเสียงกระเส่าขอร้องให้ภาคีหยุดการกระทำ...

ปากร้องห้าม แต่ร่างกายกลายเป็นนายของจิตใต้สำนึก ถูกรุกรานไล่ต้อนหนักเข้า ลำคอที่หดเกร็งมาโดยตลอด กลับหงายเริดขึ้น เพื่อเปิดทางให้ริมฝีปากร้อนผ่าวได้จาบจ้วงได้เต็มที่ สองแขนที่เคยผลัก ก็เปลี่ยนเป็นกระชากคออีกฝ่ายเข้ามากอด สองขาที่เคยเตะถีบต่อต้าน ตอนนี้เกี่ยวรัดบั้นเอวสอบไปเรียบร้อย

ไม่ต้องถามถึงส่วนเร้นลับ

ความเสียวซ่านผ่านเนื้อผ้า พาสะโพกน้อย ๆ ของพจนเด้งรับทุกกระบวนท่าอย่างไม่ต้องสงสัย....

“...บ้าเอ๊ย!!”

ทั้งส่วนล่างที่ขยับตอบรับ ทั้งเสียงครางห้ามแต่กลับหอบกระเส่าเชิญชวน โดนตอบสนองรุนแรงขนาดนั้น ภาคีก็ไม่อาจยับยั้งตัวเองอีกต่อไป ร่างสูงสบถพร้อมกับเคลื่อนเข้าประกบริมฝีปากกับพจนทันที ทั้งที่เคยสัญญาสาบานไว้กับตัวเองแท้ๆ ว่าจะไม่มีวันจูบกับผู้ชายอีกเด็ดขาด! แต่ตอนนี้มันกลับ...ห้ามใจไม่อยู่เสียแล้ว!

เรียวลิ้นของภาคีโจนจ้วงเข้าหาปลายลิ้นสั่นระริกของพจนทันทีที่อีกฝ่ายเปิดโอกาส ลิ้นร้อนกระหวัดพันกับลิ้นน้อย ๆ ของนั่นราวกับมีชีวิต แม้พจนเองจะเคยมีประสบการณ์กับเหล่าสาวเล็ก สาวน้อย สาวใหญ่มาก็ไม่ถือว่าน้อย แต่ไม่เคยเลยที่จะมีจูบที่ดูดดื่มเร่าร้อนถึงเพียงนี้ ลิ้นร้ายของภาคีกวาดชิมความหวานทั่วโพรงปากของพจนราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักหายใจ ทั้งเพดานปาก โคนลิ้น หรือแม้กระทั่งไรฟัน พจนไร้เรี่ยวแรงในการต่อต้าน มือไม้สั่นระริก ในหูอึงอล ราวกับจะเป็นลมเสียให้ได้

‘เวรเอ๊ย ไอ้ห่านี่มันจะจูบเก่งไปไหนวะ!? พี่สาวคนแรกที่เปิดซิงกูยังไม่จูบเก่งขนาดนี้เลยนะ!!’ ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นมาในสมองที่พร่าเบลอของพจนอย่างสุดห้าม

‘ทำไมจูบมันถึงได้เร้าใจแบบนี้วะ! จูบเก่งเกินไปแล้ว!? ’ ฝ่ายภาคีเองก็แทบจะแย่กับจูบหวานล้ำที่พจนสนองให้ สมองเขาแทบละลาย เพียงได้เกี่ยวปลายลิ้นกัน...

ขณะที่ภาคีตั้งตาตั้งตาในการจู่โจมตะโบมจูบร่างเล็กตรงหน้า ทั้งปาก แก้มนิ่มและซอกคอหอมหวาน จนกระทั่งริมฝีปากอุ่นขบลงบนติ่งหูนิ่ม พจนก็ดิ้นรนสุดแรงอีกครั้ง เขากำลังจะเสร็จ!! สติสุดท้ายสั่งเขาว่าให้ผละออกจากร่างนั้น ต้องรีบหนีจากภาคีให้เร็วที่สุด ลูกชายเขาเติบโตเต็มที่จนไม่มีที่จะซ่อนแล้ว ขืนเสร็จขึ้นมา ความลับต้องแตกแน่ๆ!!

เมื่อรู้ตัวพจนจึงรวบรวมเรี่ยวแรงสุดชีวิตสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนของคนตรงหน้านี้ให้ได้ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลใดๆ ภาคีที่อารมณ์ลุกโชนโถมกายทาบทับพจนไว้มั่นพลางขยับกายหนักหน่วง ภาคีปล่อยมือไม่ได้เพราะเขาเองก็กำลังจะเสร็จแล้วเหมือนกัน!!

“อยะ...อย่านะ...อ๊ะ!!” ถึงที่สุดแล้วพจนเองก็ไม่อาจทานทนได้อีก ชายหนุ่มรวบร่างภาคีเข้ามากอดแน่น สองขาเรียวยาวโอบกระชับสะโพกของภาคีไว้มั่น จังหวะสุดท้ายกำลังจะมาถึง ณ อารมณ์นี้ เขาไม่สนศีลธรรมจรรยาบรรณ หรือศักดิ์ศรีดีชั่วอะไรอีกต่อไปแล้ว!!

ความลับจะแตกตอนนี้ก็ช่างแม่งแล้ว!!

"…!!" เสียงภาคีครางต่ำในลำคอขณะทะยานสู่จุดสุดยอด

"อ๊ะ!...งื้อ...!!" เช่นเดียวกับพจนที่ร้องออกมาเบา ๆ พร้อมร่างที่กระตุกไหว

ในหัวทั้งคู่เป็นสีขาวโพลน ลมหายใจหอบถี่ ชีพจรเต้นเร็ว และราวกับทั้งโลกหยุดนิ่ง และเพียงแค่นั้นร่างของทั้งคู่ก็ก้าวข้ามขีดจำกัดของความอดทน ภาคีระเบิดความต้องการออกมาพร้อมๆ กับที่พจนปลดปล่อยความสุขสมเอ่อล้นในร่มผ้า

ภาคีเกร็งร่างเบียดเข้าหาพจนราวกับจะหลอมรวมกับอีกฝ่ายให้เป็นหนึ่ง ร่างผอมบางของพจนกระตุกสองสามครั้งพร้อมกับปลดปล่อยของเหลวอุ่นระอุพุ่งออกมาจนเปียกฉ่ำไปทั้งกางเกงชั้นใน ถึงจุดสุดยอดทั้งที่ไม่ได้รับการแตะต้องอื่นใดมากไปกว่าการเสียดสี แรงกระตุกทำให้ภาคีที่ยังเบียดชิดอยู่รับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าโจรกระจอกในอ้อมกอดของเขาเองก็เสร็จสมไปพร้อมกัน

...เสร็จด้วยกันทั้งคู่ ก็ถือว่าวิน ๆ

.

.

.



...ซะที่ไหนล่ะ!!



++++++++++++++++++


ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า
“...ช...ช่วย...ปล่อยอิฉันก่อนได้ไหม...” เสียงหอบสะท้าน ดังขึ้นที่ข้างหูของภาคีเบา ๆ เสียงแหบพร่าเสียดหัวใจไหวสั่น ตอนนี้ภาคีมีสติครบถ้วนแล้วหลังจากได้ปลดปล่อยความอัดอั้น แต่ความอับอายกลับตีรวนจนแทบไม่กล้าขยับ เขาเป็นคนเริ่มเกมนี้ ความคาดหวังเดียว ณ จุดเริ่มต้น คือการทำให้เจ้าจอมลวงโลกได้อับอายเสียบ้าง

ก็แค่อยากเห็นพจนร้องไห้...

ก็แค่อยากทำให้ฝ้าย รู้ว่าไม่ควรสอดมือเข้ามายุ่ง...

ภาคีกัดฟันกรอด เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาพลาดไปตอนไหน พลาดท่าขนาดที่ว่า กว่าจะมารู้สึกตัวอีกที สถานภาพเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างกับพจนไปเสียแล้ว...ดันเสร็จเพราะผู้ชาย รู้ถึงไหน อายถึงนั่น!!

...แล้วเขาจะเอายังไงต่อไป กับชั้นในที่แฉะฉ่ำไปหมดดีล่ะทีนี้

“...คุณภาคี...?” เสียงเรียกร้องดังขึ้นอีกครั้ง เรียกสติภาคีกลับมาได้อย่างสมบูรณ์ ชายหนุ่มปล่อยร่างในอ้อมแขนทันที แล้วรีบผละตัวออกห่าง

“เฮ้ยเธอ! เป็นอะไรหรือเปล่า!?” พอปล่อยให้เป็นอิสระ พจนยืนโงนเงนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทรุดฮวบลงบนพื้น ภาคีตกใจไม่น้อยจึงรีบถลาเข้าช่วยพยุง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสองมือเรียวผอมที่ผลักเขามาสุดแรง

“ออกไปก่อน ขอร้องล่ะ!” พร้อมคำร้องขอที่เขาจะต้องรีบทำตามแน่ ๆ ถ้าอีกฝ่ายไม่ล้มลงเสียก่อนแบบนี้

ภาคีหน้าแดงซ่าน เมื่อเห็นกิริยาน่าสงสารของพจน ร่างนั้นนั่งพับเพียบคุดคู้ สองมือกำชายกระโปรงสั้นเต่อ พยายามดึงลงปิดของพึงสงวนอย่างสุดกำลัง คราบความเปียกชื้นไหลเป็นทางที่เห็นราง ๆ ตรงซอกขาขาว ทำภาคีต้องรีบเบือนหน้าหนี

เขารู้สาเหตุที่อีกฝ่ายต้องลงไปนั่งจุมปุกแล้ว

ความรู้สึกผิดของภาคีแล่นวาบเข้าปักกลางอก แต่ก็แค่ครู่เดียว จริงอยู่ว่าเขาอาจทำเกินกว่าเหตุ แต่มันก็ไม่อาจลบล้างบาปของคนโกหกหลอกลวงอย่างพจนได้หรอก ภาคีจ้องมองคนที่นั่งคุดคู้อยู่ตรงหน้าเงียบงัน ก่อนจะถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกมาห่อตัวของพจนเอาไว้ แล้วผุดลุกขึ้นคว้าเสื้อคลุมของฝ้ายที่เขาโยนทิ้งไว้บนพื้นถือติดมือออกจากห้องน้ำไป

"เฮ้ย! ไอ้เชี่ยพอล! แม่งพวกกูเคาะประตูกันจนมือเกือบหัก ทำเชี่ยอะไรน้องน้ำผึ้งของกูเปล่าวะ!? "

เปิดประตูห้องน้ำออกมาปุ๊บ ชีต้าร์ก็ถลาเขามาจิกด่าทันที แต่ภาคีไม่ได้ให้ความสนใจนัก เขาเดินฝ่าฝูงเพื่อน และฝูงชนไปโดยไม่ตอบคำถามใด ๆ ทั้งนั้น

...เขาต้องรีบกลับห้อง แล้วทำหัวเย็นให้เร็วที่สุด!

"เอาของมึงคืนไป!" คนเดียวที่ภาคีเอ่ยปากพูดด้วยคือฝ้าย คนที่ภาคีต้องคืนเสื้อให้เท่านั้น สองอดีตเพื่อนรักสบตากันครู่หนึ่งก่อนที่ภาคีจะรีบผลุนผลันเดินจากไป โดยไม่สนใจว่าใครจะตะโกนตามหลังมายังไงบ้าง

ชีต้าร์และคริสต์ออกอาการอึ้งกับเพื่อนไม่น้อย

ฝ้ายยังคงเงียบ

จะมีก็เพียงบอมพ์ ที่เดินตามภาคีไปด้วยเท่านั้น...



++++++++++++++++++++



เฮ้อ...

ใครจะเข้าใจผมบ้าง...สมองผมมันไม่ประมวลผลแล้วตอนนี้ มันวิ้ง ๆ เหมือนมีดอกไม้ไฟแตกพร่างอยู่ในหัว ตัวผมไร้เรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิง ขาสั่นอย่างกะลูกวัวลูกควายเพิ่งเกิดจนร่วงแหมะลงมากองบนพื้นอย่างกับแขนขามันจะง่อยไปเสียหมด ต่างกันหน่อยตรงเหตุผลที่แขนขาผมหมดแรง ไม่ใช่เพราะตกใจที่ขาสัมผัสพื้นโลก แต่หมดเรี่ยวแรง...

เพราะผมเพิ่ง ‘เสร็จ’

ครับ...พวกคุณฟังไม่ผิดหรอก ผมเพิ่งเสร็จจริง ๆ แค่ถูกถูไถ ลูกชายใจง่ายของผมมันก็เสร็จสมอารมณ์หมายให้เขาเสียเฉย ๆ โดยไม่ยอมปรึกษาพ่อมันคนนี้เลยว่าพร้อมจะเสร็จกับมันไหม?

ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเสื้อคลุมสีดำที่อยู่บนตัวผมตอนนี้เป็นของใคร ไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครอุ้มผมออกจากห้องน้ำ...

ผมถูกอุ้มในท่าเจ้าสาว โดยไม่มีอาการขัดขืน เพราะตอนนั้นสมองยังเบลอ ๆ ถ้าคุณเคยตกใจกับอะไรสักอย่างจนสติหลุด คุณจะเข้าใจผมตอนนี้เลยครับว่าต่อให้ลูกตายังเบิกโพลงอยู่ แต่มันก็ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว

เมื่อกี้ผมเพิ่งถึงจุดสุดยอดและตัวผมยังชาอยู่เลย

ไม่เคยเสร็จแบบสมองขาวโพลนอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยมีสาวคนไหนทำผมเคลิ้มจนเบลอได้ขนาดนี้

ผมถึงอย่างรุนแรง ชนิดที่ขนลุกไปทั่วตัว ยอมรับจากใจโดยไม่ปิดบังเลยครับว่า...

ผมตัวเบา หัวโล่งสัด ๆ !

หลังยอมรับแล้ว ก็ขอหนีความจริงหลบเลียแผลใจสักครู่นะครับ เพราะหัวใจผมยังบอบช้ำอยู่...

บอบช้ำเหลือเกินที่ผมถูกทำให้เสร็จได้ง่าย ๆ ...โดยผู้ชายด้วยกัน!

(แถมผมยังเป็นฝ่ายถูกกระทำอีกต่างหาก!! โลกนี้มันบ้าไปแล้ว!!)



+

+

+



พึ่ง...

เฮ้...พึ่ง...

เสียงใครสักคนพยายามเรียกให้ผมออกจากภวังค์...

“พึ่ง!”

“อ๋า!! เอ้อ...พี่ฝ้าย?” ผมขานเสียงหลง เมื่อถูกตะโกนใส่หูจนฟื้นคืนสติเต็มตาในที่สุด และพบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้คือพี่ฝ้าย

พวกคุณเอ้ย อย่าหาว่าผมสำออยเลยนะ แค่เห็นหน้าพี่ฝ้าย น้ำตาผมก็ทะลักแบบไม่ให้ตั้งตัวเลยครับ ไม่รู้ทำไม ร่างกายผมมันชอบทรยศกันอยู่เสมอ

“เออ! พี่เอง หลับในเหรอเราน่ะ? เรียกตั้งนาน อ้าว ๆ อย่าเพิ่งร้องสิ เฮ้ย...พึ่ง!” เห็นผมร้องกระจองอแง พี่ฝ้ายแกก็สติแตก ผู้ชายทั่วไปน่ะ แพ้น้ำตาผู้หญิง แต่ไม่รู้พี่แกจะแพ้น้ำตาลูกผู้ชายอย่างผมไหม...ให้ตายเถอะครับ ผมหยุดร้องไห้ไม่ได้!!

หมับ!...

คงเพราะผมร้องไห้หนักไป คงเพราะผมมันน่าสมเพชมาก พี่ฝ้ายก็เลยกอดผม พี่เขาสูงกว่าผมเยอะ ตัวหนากว่าผมมาก พอกอดทีตัวผมที่รูปร่างแคระแกร็นเป็นเด็กกะโปโลเลยจมหายเข้าไปในตัวพี่แกอย่างกับเนื้องอก...ตัวพี่แกหอมมาก นี่ถ้าไม่เกรงใจผมอาจเผลอไซ้หัวนมพี่แกไปแล้ว

“ไปกันเถอะพึ่ง” หืม? จู่ ๆ พี่แกก็ชวนไปไหนสักที่ เอ่อขอโทษครับ เมื่อกี้ผมมัวแต่เมากลิ่นหัวนมพี่อยู่ พี่จะชวนผมไปไหนนะ?

“ไปซื้อชุดใหม่กัน”



+++++++++++++++++++



“พอล มึงโอเคแน่นะ...” เสียงเพื่อนสนิทอย่างบอมพ์ทักขึ้น เมื่อเห็นว่าพอลมีอาการเหม่อจัด

“อืม...กูโอเค ขอกูอยู่คนเดียวได้ไหม?” พอลตอบ ก่อนคว้าผ้าขนหนูขึ้นพาดบ่า เขาต้องอาบน้ำก่อน ไม่อย่างนั้นสมองคงยังมึนเบลอไม่เลิกแน่ ๆ เขาต้องการให้สายน้ำ ล้างภาพติดตา ภาพของเจ้าสาวกำมะลอที่ตรึงแน่นอยู่ในสมอง ล้างมันออกให้หมด

“พอล...กูว่าไอ้ฝ้ายมันไม่ได้มีเจตนาไม่ดีหรอก มึงอย่าคิดมากไปเลย...” เห็นเพื่อนเครียด บอมพ์ก็พยายามปลอบใจ พวกเขาสี่คนเป็นเพื่อนรักกัน แม้พอลกับฝ้ายจะเคยมีปัญหาไม่ลงรอยกัน แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นเพื่อนรักกันอยู่ บอมพ์ไม่อยากให้เกิดเรื่องที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันต้องระหองระแหงออกไปอีก จึงอยากพยายามตะล่อมคุยกับพอลที่เริ่มตั้งแง่กับฝ้ายก่อนเป็นอันดับแรก

“กูขออยู่คนเดียวบอมพ์ มึงออกไปก่อนเถอะ” แต่ดูเหมือนภาคีจะยังไม่มีอารมณ์ฟังหรือรับสารอะไรในตอนนี้ ชายหนุ่มตัดบททันควัน “ขอล่ะ” ก่อนจะหายตัวเข้าห้องน้ำไป ทิ้งเพื่อนที่ดีที่สุดของตน ให้ยืนถอนหายใจพรูด้วยความห่วงใยอยู่ด้านนอก

ซ่า.....

น้ำเย็นจัดไหล่ผ่านร่างกายด้วยความตั้งใจ ร่างสูงใหญ่สมส่วน ยืนสงบนิ่งอยู่ใต้สายน้ำ ชายหนุ่มพยายามจัดระบบระเบียบความคิด ที่ยุ่งเหยิงของตนให้เข้าที่ โดยการอาศัยน้ำเย็นๆ ช่วยรั้งสติ

คงเพราะน้ำเย็นมาก หัวใจเขาจึงชาดิก คงเพราะน้ำมันเย็นมาก ผิวขาวผาดของเขาจึงขึ้นสีแดงระเรื่อ โดยเฉพาะใบหน้า...

ให้ตายเถอะ ยิ่งเขาพยายามสลัดภาพของพจนออกจากหัวมากเท่าไหร่ มันก็ดูเหมือนจะยิ่งติดตรึงลึกล้ำมากขึ้นเท่านั้น!

..อ๊ะ...อย่า...อื้อ...ไม่ไหว...อ๊า... น้ำเสียงสั่นพร่าแสนเย้ายวนยังคงก้องอยู่ในหู

ใบหน้าแดงซ่านหลับตาพริ้มหงายเริดรับจุมพิตที่เนื้ออ่อนตรงซอกคอขาว หอมละมุน

ริมฝีปากบางสวย แดงยั่ว กับเรียวลิ้นเล็กแสนเซ็กซี่ ที่ตอบรับริมฝีปากเขาไม่ขาดระยะ...

“บ้าเอ๊ย!...”

พอลสบถออกมากอย่างเสียไม่ได้ เขากำลังจะแย่ ภาพของพจนกำลังจะทำให้เขาแย่

มือขวาต่อยกำแพงห้องน้ำอย่างแรงด้วยความเจ็บใจ

แต่มือซ้ายกลับค่อยๆ เคลื่อนลงต่ำ…



++++++++++++++++++++



“ไงเรา สบายตัวขึ้นไหม?” พี่ฝ้ายคนดีคนเดิมของผมทักขึ้น เมื่อเห็นว่าผมเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดผมก็ได้สลัดชุดเดรสแดงงี่เง่านั่นออกจากตัวได้สำเร็จ แทบอยากกราบหัวนมพี่ฝ้ายแกอีกครั้งที่พาผมมาซื้อชุดใหม่ให้ใส่ เป็นเสื้อวอร์มกับกางเกงวอร์มสบาย ๆ พี่ฝ้ายบอกว่าจะได้ไม่ต้องใส่ยกทรง เพราะเสื้อมันตัวใหญ่ พรางนมได้ แต่ต้องโกยผมยาว ๆ มาปิดไว้ข้างหน้าด้วย

อูยยย...คุณไม่เป็นผม คุณไม่รู้หรอกว่าตลอดเวลาที่ต้องใส่ชุดชั้นในดันทรงมันทรมานแค่ไหน ดังนั้นการได้เปลือยนมในครั้งนี้ มันโคตรเลอค่าสำหรับผมยิ่งนัก

ผมยิ้มแฉ่ง กระโดดกอดเอวแกจากข้างหลังไปที ซุกหัวไซ้หลังแกไปด้วย บอกเลยว่ารักเฮียฝ้ายขึ้นอีกร้อยเท่า!!

หลังจากพี่ฝ้ายพาผมมาซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนแล้ว แกพามาแวะกินผัดไทยเจ้าเด็ดก่อนกลับโรงแรมด้วย อิ่ม ฟิน จนผมเกือบจะลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

จนกระทั่ง...ถึงตอนที่รถกลับมาจอดที่โรงแรมนี่แหละ

“พี่ฝ้าย...พี่พาผมกลับกรุงเทพเลยได้ไหม? ผม...ยังไม่อยากเจอหน้ามัน”

ผมพูดขึ้น โดยไม่ได้หันไปมองว่าพี่ฝ้ายจะทำหน้ายังไง ผมยังไม่พร้อมจะเจอหน้าไอ้ยักษ์ตอนนี้จริง ๆ นะ มันยังทำใจกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วอีกอย่าง ถ้าผมต้องกลับเข้าไปนอนกับมัน แล้วจู่ ๆ มันหน้ามืดจับผมปล้ำขึ้นมาจริง ๆ ผมจะทำยังไง? แม่ง แค่คิดจิตผมก็หลุดแล้ว

เกิดเดดแอร์ครู่หนึ่งระหว่างผมกับพี่ฝ้าย ผมรู้แหละว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ และการกระทำของผมก็คงเป็นการรบกวนพี่แกมากเกินไป พี่ฝ้ายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในห้องน้ำนั่น ไม่แน่พี่แกอาจเข้าใจไปแค่ว่า ผมโดนไอ้พอลเหยียบหน้าเอาเฉยๆ จนทรุดแค่นั้น...คิดขึ้นได้ผมก็รีบยิ้ม แล้วรีบหันไปบอกพี่แกว่า ผมโอเค ผมแค่ล้อเล่น

และมันเป็นจังหวะเดียวกับที่พี่ฝ้ายหันมาหาผม

พี่แกไม่ได้พูดอะไร แต่หน้าพี่ฝ้ายดูเครียดสุด ๆ เห็นแบบนี้ผมเลยพูดอะไรไม่ออก ได้แต่เพียงนั่งทื่อ มองมือพี่แกที่ยื่นมารูดซิปเสื้อวอร์มให้ปิดขึ้นมาจนสุด

แค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าแกคงพอเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องน้ำบ้าง ในเมื่อตั้งแต่ซอกคอลงไปของผมมันเต็มไปด้วยรอยจูบ เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่าผมโดนมันทำอะไรมาบ้าง

พี่แกดูเครียดจัด ผมจึงยิ้มขึ้น จับมือพี่แกไว้ แล้วพูดออกไปอย่างที่ลูกผู้ชายควรทำ

“ยังไม่ถึงขั้นที่พี่คิดหรอกครับ ผมยังรักษาเวอร์จิ้นไว้ได้แบบเฉียดฉิว มันยังไม่รู้หรอกว่าผมเป็นผู้ชาย ไม่อย่างนั้นมันคงกระทืบผมตายคาห้องน้ำ แถมเรียกตำรวจมาลากคอผมไปแล้ว...ผมโอเคพี่ฝ้าย พี่ไม่ต้องเครียดนะ”

จบคำผมรีบลงจากรถเลย ผมต้องแสดงให้พี่ไอดอลเห็นว่าผมไม่เป็นอะไร จะคอยพึ่งแต่พี่เขาก็คงไม่ใช่สไตล์ผมแหละนะ เรื่องนี้ผมผูกปมมันขึ้นมาเอง ผมก็ต้องแก้เองสิ!

สู้โว้ย!!

พี่ฝ้ายไม่พูดอะไร แม้แต่การให้กำลังใจ แค่ลูบหัวผมเบา ๆ แล้วพาผมมาส่งที่ห้องไอ้ยักษ์

ใจผมจี๊ดมากเพียงแค่ได้เห็นประตู ให้ตายสิ ใจผมมันแกว่งอีกแล้ว ไม่ได้นะ! ผมต้องสู้สิ!!

“เกิดอะไรขึ้น วิ่งมาห้องพี่แล้วกันนะ”

พี่ฝ้ายพูดขึ้น ขณะมองผมใช้คีย์การ์ดเปิดประตู

ผมพยักหน้าทำท่าสู้ตาย แล้วก็...

แกร๊ก!..

ผมเปิดประตูเข้าไปเพื่อพบว่าไอ้ยักษ์เปรตมันไม่อยู่ห้อง ผมเอ๋ออยู่แป๊บ แต่ก็คิดขึ้นได้ว่า ช่างแม่ง มันจะไปตายห่าที่ไหนก็ช่าง ดีเสียอีก เดี๋ยวผมจะได้ล็อกห้องไม่ให้มันเข้ามาเสียเลย

“ผมโอเคแล้วล่ะพี่ พี่กลับห้องไปเหอะ มีไรเดี๋ยวผมสายในไปหา” เห็นว่าทางโล่ง ผมก็เบาใจ จึงหันมาร่ำลาอาลัยพี่ไอดอลคนดีของผมเสียหน่อย

“อืม ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีนะ” พี่แกลูบหัวผมอีกครั้ง ก่อนอวยพรให้ฝันดี

ผมตะเบ๊ะมือให้ อวยพรแกกลับ มองแกเดินจากไปก่อนจะปิดประตูลง...

...แล้วหาทางล็อกแม่ง ไม่ให้ไอ้ยักษ์เปรตตะไลห่านจิกมันเข้ามาในห้องได้! ขั้นแรก! เอาโซฟายันประตูไว้แม่มมม!!



+++++++++++++++++



ฝ้ายเดินกลับห้องตัวเอง พร้อมกับพบว่าพอลเพิ่งออกจากห้องของตน...

ในห้องนั้นมีเพื่อนคนอื่น ๆ อยู่กันครบ แต่ฝ้ายไม่มีสิทธิ์ได้เข้าไปร่วมจอยในตอนนี้ เพราะเขาถูกพอลรั้งไว้เสียก่อน

ด้วยคำถามที่ว่า...

“มึงคิดจะทำอะไรกับเมียกูวะ?”

คำถามจี๊ดตรงประเด็น แต่คำตอบที่ฝ้ายตอบออกไปกลับไม่ใช่คำตอบของคำถาม...

แต่คือคำถาม เพื่อหาคำตอบที่ตรงกว่า...



“มึงรู้มานานแล้วสินะพอล ว่าพึ่งเป็นอะไร?”




++++++++++++++++++++

ตัดฉึ่บ!! อิอิ ขอหายหัวไปสักแปบนะคะ อาทิตย์หน้าจพมาลงตอนต่อไปให้เน่ออออ

ขอบคุณที่ติดตามนะค๊าาา

รักเสมอค่า


ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า


14 ความลับที่ไม่เคยลับ

“มึงรู้มานานแล้วสินะพอล ว่าพึ่งเป็นอะไร?”

ฝ้ายถามจริงจัง ด้วยคำถามที่เหมือนจะชัดเจนแต่ก็มีความคลุมเครืออยู่ในที มันเปิดกว้างและท้าทายว่าอะไรกันแน่นะคือสิ่งที่ฝ้ายต้องการรู้ และจริง ๆ แล้วภาคีรู้อะไรเกี่ยวกับพจนกันแน่?

ภาคีนิ่งเงียบเช่นเดียวกับที่ฝ้ายนิ่งฟัง ก่อนที่ผู้ถูกถามจะเหยียดยิ้มบางออกมาน้อย ๆ

"หึหึ...พึ่งเป็นเมียกู กูย่อมรู้เรื่องเกี่ยวกับเมียกูอยู่แล้ว หรือมึงว่ายังมีเรื่องอะไรที่กูไม่รู้?" ภาคียียวนกลับ ทั้งที่ตัวเองก็ยังคาใจว่าแท้จริงแล้วฝ้ายรู้อะไร

"...เป็นเมียเหรอ ได้แค่ในนามสินะ" ฝ้ายย้ำด้วยสายตาจริงจังที่กำลังค้นหาความจริง

ภาคีเองก็มองมาทางเพื่อนรักตรง ๆ โดยไม่มีการหลบสายตา ต่างก็พยายามค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในดวงตาของฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ลดละ "แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่าพึ่งเป็นเมียกูแค่ในนาม?" ภาคีลองโยนหินถามทาง พอจับทางได้บางอย่างแต่ยังไม่อาจฟันธง

“การทำร้ายผู้หญิง...ไม่ใช่วิสัยมึง” ฝ้ายดักคอขึ้น เมื่อเห็นว่าเพื่อนเริ่มเบี่ยงประเด็น “และกูคิดว่ามึงยังไม่เปลี่ยนไปเป็นคนแบบนั้นแน่”

“ใช่...กูไม่ชอบทำร้ายผู้หญิง ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร” ภาคียิ้มแล้วตอบเพื่อนรักออกมาตรง ๆ โดนถามมาขนาดนี้ เขาก็พอเดาได้แล้วว่าฝ้ายคงเริ่มระแคะระคายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจ้าโจรกระจอกเข้าแล้ว

หรือไม่บางทีอาจรู้แล้วก็ได้ว่าเจ้าสาวในนามของเขานั้นแท้จริงแล้วเป็น...ผู้ชาย!

หากแต่การได้รับรู้ก็ไม่ได้ทำให้ภาคีรู้สึกดีขึ้นแต่อย่างใด จริงอยู่เขาควรคลายความหมางใจกับเพื่อนซี้ว่าไม่ได้หวังตีท้ายครัว เพราะอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าเจ้าสาวของเขานั้นมันจอมปลอม แต่กลับอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้จริง ๆ เมื่อไพล่นึกไปว่า

'ยังไม่ทันข้ามคืน ก็ไปสนิทขนาดยอมบอกเล่าความลับของตัวเองให้กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของคนที่ตัวเองกำลังหลอกอยู่ฟังได้ยังไง?'

และที่น่าหงุดหงิดกว่านั้นคือ

'เพื่อนรัก ดันเข้าข้างเจ้าโจรของเขานี่แหละ!'

“...นี่...คือคำตอบของมึงสินะ พอล” แค่ประโยคเดียวของภาคี แม้จะไม่ได้ตรงกับคำถามที่ส่งไป แต่นัยซ่อนเร้นในคำพูดนั้นก็มีความหมายชัดเจนแล้วว่า

‘ความลับที่พจนพยายามรักษาอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น มันไม่เคยเป็นความลับเลยในสายตาของภาคี’

สิ้นคำคาดเดาของฝ้าย ภาคีก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่โต้ตอบว่าใช่หรือไม่ "แล้วมึงเข้าใจว่ายังไงล่ะ? ตกลงมึงรู้เรื่องอะไรระหว่างกูกับพึ่งกันแน่..." แต่แกล้งเบี่ยงเบนยียวน เย้าอารมณ์เพื่อนซี้ออกมาแทน

ภาคีทำแสร้งทำเป็นไม่ใคร่ใส่ใจ ทั้งที่ในใจร้อนรุ่มดังไฟสุมเพราะยังไม่รู้ตัวว่าตนกำลังถูกเผาไหม้ด้วยแรงริษยา ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังอิจฉาฝ้ายอย่างหนักที่ได้รับความไว้วางใจและรอยยิ้มใสซื่อของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา!

"กูก็แค่รู้...เรื่องที่มึงรู้เท่านั้นแหละ" ฝ้ายเองก็ไม่คิดลดราวาศอก ถูกยอกมาก็ย้อนไป ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้ผมยาวเคลียไหล่ส่งยิ้มให้เพื่อนรักตอบกลับรอยยิ้มที่ส่งมา

ยิ้มประสานยิ้มอยู่ครู่ ก่อนจะเลือนหายไปช้า ๆ

"ถ้ามึงรู้เหมือนที่กูรู้จริงว่าเมียกูเป็นอะไร...แต่มึงก็ยังเข้าข้างฝ่ายนั้น นี่มึงยังเป็นเพื่อนกูใช่ไหมเนี่ย?" คราวนี้สีหน้าและน้ำเสียงของภาคีเริ่มจริงจังขึ้นมา สายตาคมกล้าที่สบสายตาเพื่อนตนฉายแววคาดคั้นเต็มกำลัง จี้ใจดำเข้าไปให้อีกฝ่ายได้สำนึกเสียทีว่าใครกันแน่ที่ผิด

'รู้แล้วจริง ๆ ด้วย' ในที่สุดความจริงก็ปรากฏ ฝ้ายฟันธงลงไปแบบนั้น เพราะไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่น เพื่อนของเขารู้แล้วจริง ๆ ว่าพจนคือผู้ชาย!

ถึงคำตอบของเพื่อนรักจะยังคลุมเครืออยู่บ้างแต่แค่นี้ฝ้ายก็พอจะรู้แล้วว่าจะรับมือภาคีอย่างไร เขาไม่อยากผิดใจกับเพื่อน เพราะแค่คดีเก่าก็เกือบเข้าหน้ากันไม่ติดไปพักหนึ่งแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะดูดายพจน น้องชายคนใหม่ผู้น่าสงสารที่ลากเขาตกกระไดพลอยโจนได้ลงคอ

ถึงพจนจะผิดจริงก็เถอะ

"...มึงอย่าคิดไปไกลขนาดนั้นสิวะพอล กูก็แค่แปลกใจที่จู่ ๆ มึงก็ทำกับเมียมึงแบบนั้น มันผิดวิสัยเกิน กูก็แค่ลองพิสูจน์ด้วยตัวกูเท่านั้นเอง" ฝ้ายพยายามไกล่เกลี่ย ขั้นแรกต้องเคลียร์ความรู้สึกของภาคีก่อน เขาไม่อยากสร้างปมไปมากกว่านี้ การถูกเพื่อนเมินไม่ใช่สิ่งที่พึงปรารถนา แต่ที่ยิ่งกว่าคือไม่อยากให้น้องชายคนใหม่ต้องโดนกลั่นแกล้งอะไรไปมากกว่านี้ด้วย

ยิ่งได้พูดคุย ฝ้ายก็ยิ่งแจ้งแก่ใจแล้วว่าที่ภาคีลงมือกับพจนรุนแรงขนาดนั้น ทั้งจิกกัด กลั่นแกล้ง ไม่แคล้วคงเพราะมันเขี้ยวพจนเหลือเกินที่กล้ามาหลอกตนแน่ ๆ แต่สิ่งที่ยังติดค้างในใจของฝ้ายก็คือการที่ภาคีไม่คิดปริปากเปิดโปงนี่สิที่สร้างความสงสัยให้ฝ้ายไม่น้อย

มีเหตุผลจำเป็นที่ต้องใช้พจนในคราบผู้หญิงเป็นเครื่องมืออย่างนั้นหรือ?

ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย แต่เก็บงำเงียบไว้ไม่ยอมแม้กระทั่งจะให้เจ้าตัวได้รู้ แล้วคอยกลั่นแกล้งให้ฝ่ายนั้นได้ตกประหม่าอับอายสารพัด

นี่หรือว่า...

ภาคีจะชอบพึ่งไปแล้ว?

"...ถ้าแค่นั้นจริง กูก็ขอบใจ ที่มึงยังใส่ใจกูอยู่" ภาคียิ้มบางพลางตบไหล่เพื่อนสนิทเบา ๆ

"มีอะไรก็บอกกูได้นะเว้ย เรื่องแบบนี้เก็บไว้คนเดียวมันเหนื่อยนะ" เห็นว่าเพื่อนยอมเปิดใจ ฝ้ายเลยรีบคว้าโอกาส ภาคีเป็นคนฉลาด ไม่ใช่คนที่จะหลอกถามอะไรง่าย ๆ ใจถึงใจเท่านั้นที่จะทำให้ภาคียอมเปิดปาก

"กูยังไม่พร้อมว่ะ แค่รู้ว่ากูจำเป็นก็พอ" ภาคีเลือกที่จะตอบแค่นั้น "ถ้าอยากช่วย กูขอแค่มึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็พอ" แล้วรีบขอคำมั่นจากเพื่อนของตนแทน

คำขอที่แฝงความหมายว่าอย่าเข้าไปจุ้นไม่เข้าเรื่อง

"เข้าใจกูนะ" ภาคีทิ้งท้าย ตบไหล่เพื่อนอีกสองสามที แล้วเดินผ่านไปเพื่อกลับห้องของตัวเอง

และคงไปถึงได้หากไม่ถูกฝ้ายรั้งไว้เสียก่อน

"อย่าทำอะไรพึ่ง"

ฝ้ายโพล่งออกมาทำเอาภาคีชะงักหยุด สองเพื่อนรักพูดคุยกันโดยไม่มองหน้า พวกเขายังหันหลังให้กันอยู่แบบนั้น

เพราะมันอาจสบายใจกว่า ที่ไม่ต้องสบตากัน

"กูไม่อยากให้มึงโดนเข้าใจผิดว่ารังแกผู้หญิง"

"...อืม" ภาคีตอบเพียงแค่นั้นแล้วมุ่งหน้าเดินจากไป พร้อมกับฝ้ายที่เดินจากตรงนั้นไปด้วยเช่นกัน

ฝ้ายเลือกที่จะพูดให้เป็นกลางที่สุด

แต่ภาคีรู้ดีว่าความหมายซ่อนเร้นในถ้อยคำที่แสร้งว่าห่วงใยตนของเพื่อนเขาแท้จริงมันคือ 'อย่าทำอะไรพึ่ง เพราะฝ้ายเป็นห่วง'

ภาคียิ้มเยาะกับตัวเอง...

'ไอ้ฝ้าย...ขอแค่เป็นคนของกู ต่อให้เป็นผู้ชายมึงก็ยังจะแย่งสินะ'



+

+

+



"เฮ้ย มันคุยอะไรกันตั้งนานสองนานวะชีตาร์ มึงได้ยินไหม?" คริสต์กระซิบถามบนหัวเพื่อนซี้

"แม่ง กูก็ยืนอยู่กับมึงเนี่ย...ได้ยินว่าน้องน้ำผึ้งเป็นอะไรสักอย่าง...เฮ้ย คิมบอม มึงแปลสารอะไรได้บ้างไหมวะ?" ชีตาร์บ่น ก่อนจะเงยไปถามบอมพ์ที่ยืนหลบอยู่อีกด้านของประตูห้อง

"..." บอมพ์ไม่ได้ตอบอะไร มีเพียงใบหน้าเครียดขรึมเท่านั้น

"เอ้า ถามแล้วเงียบ ตกลงมึงรู้ไหมเนี่ยว่าพวกมันคุยอะไรกัน" เงียบจนคนรอคำตอบอย่างชีตาร์ถึงกับบ่นอุบ

"...กูไม่ได้ยิน" บอมพ์พูดเพียงแค่นั้น และเป็นจังหวะที่เพื่อนสองคนที่เจรจาบางอย่างกันอยู่ด้านนอกจบการปราศรัยและแยกย้ายพอดี

"เชี่ย...ไอ้ฝ้ายมันมาทางนี้แล้ว!" คริสต์กับชีตาร์ไหวตัวทันทีรีบกลับหลังหันวิ่งห้อถลากลับที่ประจำของตัวเองที่โซฟา พลางยกแก้วเหล้ากระดกอึก ๆ เพื่อแสร้งว่าไม่นะ...ไม่ได้แอบฟังแต่อย่างใด

เหลือก็แต่บอมพ์ที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปยังห้องข้างกัน ภาคียืนนิ่งอยู่ตรงหน้าห้องนั้นด้วยท่าทีลังเล ความละล้าละลังที่ไม่เหมาะกับบุคลิกของเจ้าตัวนั้นยิ่งทำให้คิ้วของบอมพ์ขมวดมุ่น

สุดท้ายดูเหมือนในที่สุดภาคีก็ไม่ยอมเข้าไปในห้องของตัวเอง ที่แน่นอนว่าคงมีภรรยาสาวสวยนอนรออยู่

ภรรยาสาวอายุน้อย ที่บอมพ์รู้สึกไม่ชอบหน้าเธอเลยตั้งแต่แรกพบ

หญิงสาวรูปร่างบอบบาง ที่มักแสดงออกว่าตัวเองช่างอ่อนแอบอบบางจนทุกคนต้องเข้าไปประคบประหงม หว่านเสน่ห์ไปทั่วไม่ว่ากับใครทั้งที่ตัวเองก็มากับสามีแท้ ๆ!

ทั้งยังเป็นต้นเหตุให้เพื่อนต้องบาดหมางกันอีก ยิ่งคิดบอมพ์ยิ่งขบกรามแน่น เขาไม่ชอบแม่น้ำผึ้งนี่เลยจริง ๆ!

ไม่ชอบด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา และด้วยอีกเหตุผลส่วนตัวที่เขาไม่อาจบอกใคร...

ระหว่างที่บอมพ์กำลังใช้ความคิด ภาคีก็ละจากหน้าห้องของตัวเองไปในที่สุด ร่างสูงใหญ่มุ่งหน้าไปทางโถงลิฟต์ แผ่นหลังที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ เรียกให้บอมพ์ออกตัวเดินตามออกไปด้วย

เขาต้องตามไป...ปลอบใจเพื่อนรัก

'หมับ!'

ทว่า...กลับถูกคว้าไหล่เอาไว้ ในจังหวะที่เดินสวนกับฝ้ายมาโดยไม่สนใจจะทักทาย

"กูว่าตอนนี้ไอ้พอลยังไม่อยากได้คนปลอบหรอก" ฝ้ายเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เขาไม่ได้หันไปมองด้วยซ้ำว่าบอมพ์มีปฏิกิริยากับคำพูดของเขายังไง

พวกเขาต่างยืนสวนทางกัน มีเพียงมือซ้ายของฝ้ายเท่านั้นที่ดันไหล่บอมพ์ไว้ แม้ไม่ได้แรงนักแต่ก็มากพอที่จะทำให้บอมพ์ไม่สามารถสลัดตัวออกไปได้ง่าย

"กูก็แค่จะไปดูมันหน่อย" บอมพ์ตอบ ก่อนจะแหงนหน้ากลับมาสบตากับฝ้ายที่สูงกว่ากันเล็กน้อย แล้วย้ำบางประโยคที่สะเทือนความสัมพันธ์ระหว่างกัน "กูอยากให้พอลมันรู้ว่าอย่างน้อย เพื่อนที่ไม่หักหลังมันก็ยังมีอยู่"

แน่นอนว่าประโยคที่บอมพ์เน้นย้ำ จี้ใจดำของฝ้ายไม่น้อย คนสูงกว่าก้มต่ำลงมองสบตาคนที่จดจ้องอยู่ก่อน แล้วเหยียดยิ้มขึ้นเล็กน้อย

"มึงสปอยล์มันมากไปหรือเปล่า? ไม่ต้องตามไปประคบประหงมขนาดนั้นก็ได้มั้ง" ฝ้ายสัพยอกออกไปกลาย ๆ แสร้งว่าไม่รู้สึกอะไรนักกับถ้อยคำของบอมพ์ สิ้นคำฝ้ายฝ่ายนั้นก็หน้าตึงขึ้นทันที

"เรื่องของกูเถอะ มึงไม่ต้องยุ่ง" เมื่อต่อว่าแล้วไม่ได้ผล บอมพ์ก็สะบัดไหล่ออกจากมือของฝ้ายที่ยังยึดไหล่เขาอยู่

ไม่ได้อยากชวนทะเลาะ เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็เคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน สนิทสนมกันมากจนกระทั่งวันที่ฝ้ายหักหลังพอล

วันที่บอมพ์รู้ใจตัวเอง...

"แต่กูไม่ให้ไป"

สะบัดไหล่พ้น เดินจากมาได้เพียงไม่กี่ก้าวก็โดนคว้าเอาไว้อีก แล้วคราวนี้บอมพ์โดนฝ้ายรวบไปทั้งตัว

"เฮ้ย! ปล่อยกู!!" เสียงทุ้มตะคอกห้าว แขนขวาดันตัวเพื่อนฝ้ายที่เขามาประชิดขัดขวางให้ออกห่าง มือซ้ายก็แกะท่อนแขนที่เกาะหนึบอยู่ตรงเอวให้พ้นทาง แต่ดูเหมือนแรงกล้ามจะต่างกันอยู่ไม่น้อยเพราะสุดท้ายแล้วบอมพ์ก็โดนฝ้ายลากเข้าห้องที่มีชีตาร์และคริสต์นั่งร่วมเหตุการณ์ตาปริบ ๆ ได้ในที่สุด

"ฉิบหาย...มันล้งเล้งกันอีกคู่แล้วเหรอวะ" คริสต์เอี้ยวตัวมากระซิบข้างชีตาร์ที่หน้าเหวอไม่ต่างตัวเอง

"เออ แม่ง นี่มาเที่ยวหรือทำสงครามวะ" ชีตาร์รีบหันไปพยักหน้ารัว แล้วรีบยกแก้วเหล้ากระดกรวดเดียวแสร้งไม่รู้ไม่เห็นที่เพื่อนบอมพ์ถูกเพื่อนฝ้ายลากทั้งตัวโยนโครมลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม แล้วเสนอตัวลงไปนั่งเบียด (พร้อมกั้นคอก) ไว้ พลางชงเหล้าให้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น...

ได้ยินเสียงเถียงกันไปมาอยู่สองสามคำ ก่อนจะเงียบไป ดูท่าทางจะเป็นบอมพ์ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จนต้องรับแก้วเหล้าที่ฝ้ายชงมาให้อย่างจนใจแล้วยกกระดกรวดเดียวหมดอย่างไม่มีทางเลือก

บอมพ์สงบลงได้ ฝ้ายก็ยิ้มบาง ๆ แล้วหันไปชงเหล้าของตัวเองบ้างโดยไม่สนใจเลยว่า เพื่อนรักอีกสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมันจะเกร็งดิกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากแค่ไหน...

โอย...ไอ้ชีตาร์คันปากอยากเผือก!!

เออ! ไอ้คริสต์ก็อยากสารแนบ้างเหมือนกัน!!





+++++++++++ ตัดฉับ!! ++++++++++++

คิดถึงนะคะทุกคน ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ

รักเสมอ


ออฟไลน์ thearboo

  • อยากให้ชีวิตมีปุ่มSkip...!
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 475
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
    • thearbooเพจจ๊า


15 หญิงเดียวในดวงใจ

ปึ่ง ปึ่ง ปึ้ง ปึ้ง!!

อือ...เสียงไรวะ

งืม...แจ๊บ แจ๊บ

ปึ่ง ปึ่ง ปึ้ง ปึ้ง!!

ฮะ!? เสียงทุบประตูนี่หว่า! ทันทีที่สติเริ่มมา ผมก็ทะลึ่งตัวลุกจากเตียงนุ่ม สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือแสงสว่างเจิดจ้าที่สาดซัดเข้ามาในห้องพัก

เช้าแล้ว...

เช้าขึ้นมาตัวคนเดียว โดยไม่มีใครอื่นมารบกวน ผมกะพริบตาปริบ ๆ เพื่อขับไล่ความมึนงง

ปึ่ง ปึ่ง ปึ้ง ปึ้ง!!

คราวนี้เสียงดังฟังชัดแจ่มแจ๋ ผมจับจ้องไปที่หน้าประตูทันทีแบบไม่ต้องคิด เคาะโหดขนาดนี้...ไอ้ยักษ์ชัวร์

ผมนั่งชั่งใจอยู่ครู่ ก่อนจะค่อย ๆ ย้ายก้นตัวเองลงจากเตียงด้วยหัวใจแกว่งไปแกว่งมา

เมื่อคืนมันไม่ได้กลับมานอนห้อง...

แต่ตอนนี้มันมาแล้ว

ผมยืนสงบนิ่งอยู่หน้าประตูบานเขื่องเพื่อพยายามเจริญสติ ท่ามกลางเสียงเคาะห้องอย่างเมามันของคนที่รออยู่ด้านนอก

ผมสูดหายใจเข้าปอดแบบลึกสุดใจ...แล้วก็

แกร๊ก...ฟึ่บ!!

ผมกระชากประตูเปิดทันทีแบบไม่ให้ใครได้ตั้งตัว แม้กระทั่งตัวเอง ก็แหม...ขืนมัวแต่พินิจพิจารณา มีหวังผมคงไม่ยอมเปิดเป็นแน่

ยังไม่พร้อมจะเจอหน้ามันหรอกนะ แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องหนีอยู่แบบนี้เหมือนกัน

มันสิที่ต้องรู้สึกผิด!

“จะไม่กลับแล้วใช่ไหม? กรุงเทพฯ น่ะ!”

ประโยคแรกกระแทกหน้าไม่ใช่คำว่า Good morning baby... ดังที่คิด (คิดเพ้อเพี้ยนไปงั้น เพราะถ้ามันพูดสิแปลก...แค่คิดก็ขนคอลุกซู่) ไม่รู้ว่ามันไปนอนไหนมา ที่แน่ ๆ ตอนนี้หน้ามันบอกบุญไม่รับสุด ๆ

แต่ก็ใกล้เคียงกับหน้าผมแหละนะ เรื่องระยำที่มันทำกับผมเมื่อวาน มันยังฝังแน่นในซีรีเบลัมของผมประหนึ่งปรสิตติดตัวไปจนตาย ผมยืนทื่ออยู่ตรงนั้น ส่งสายตาอาฆาตให้มันอย่างอดรนทนไม่ไหว มันเองก็ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าผม สายตามันที่มองมาก็ส่อแววอาฆาตมาดร้ายไม่ต่างกัน

คิดว่าคงจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป...ทว่า

ให้ตายเถอะ จู่ ๆ ภาพจุดไคลแมกซ์ซาบซ่านที่เพิ่งผ่านมาเมื่อคืนวานก็ไหลเข้าหัวเป็นท่อประปาแตก แถมยังได้ยินเสียงตัวเองครางอ๊าง ๆ ดังขึ้นในหูอย่างกับกำลังเกิดขึ้นตรงหน้า มาทั้งภาพทั้งเสียง โจมตีอย่างกับโดนน้ำทะเลหนุน

ภาพที่ผมรวบมันเข้ามากอดแน่น ภาพที่ผมเอาขาเกี่ยวเอวมันเข้าหาตัวเพื่อเพิ่มพื้นที่สัมผัส เสียงครางต่ำ ๆ ของมันที่ดังอยู่ข้างหู เสียงโหยหวนของผมตอนที่กำลังเสร็จกิจ...

...หน้าผมแดงเห่อขึ้นทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย

โว้ย!! อยากตบเรียกสติตัวเองสักที นั่นมันไม่ใช่เรื่องควรจะมาเขินนะไอ้พึ่ง! เอ็งโดนเขาขืนใจ แล้วไยมายืนเคลิ้มคิดถึงภาพลามกอนาจารขนาดนั้นแล้วเขินม้วนต้วนขนาดนี้เล่า! ไอ้พึ่ง ไอ้บ้า!

ก่นด่าตัวเองในใจไม่เท่าไหร่ ผมก็ยิ่งต้องสตั๊นหนักกว่าเก่า สองตาผมเบิกโพลงราวกับเห็นผี

ให้ตายเถอะคุณ!

ไอ้ยักษ์แม่งก็กำลังหน้าแดง!?

แดงมากจนหน้าขาว ๆ ของมันโดนย้อมเป็นลูกมะเขือเทศยันหู

มันหน้าแดง...ผมก็หน้าแดง

แดงสู้กันอยู่หน้าประตูอย่างอึ้ง ๆ คล้ายสมองไม่สั่งการ มือไม้ทำอะไรไม่ถูกไปหมด มันเกาหัว ส่วนผมก็เริ่มบิดชายเสื้อวอร์ม...

เอิ่ม...มันชักจะไปกันใหญ่ แบบนี้มันไม่ใช่แล้ว...

“ถอยออกไปสิ จะยืนเกะกะอีกนานไหม?” มันพูดออกมาในที่สุด ขณะเบือนสายตาหลบหน้าผมไป

ผมเบี่ยงตัวหลบตามที่มันขออย่างเก้ ๆ กัง ๆ เหยด...ผมไม่เป็นตัวของตัวเองเลยให้ตายเถอะ!

...ก่นด่าตัวเองไปก็แค่นั้น ผมยังคงยืนแน่นิ่งอยู่กับที่ มือขวาเอื้อมขึ้นมาตะปบตรงอกข้างซ้ายของตัวเองแน่น หัวใจผมเต้นแรงจนจะทะลุออกปาก เลือดลมสูบฉีดปรู๊ดปร๊าดจนเส้นเลือดในร่างแทบระเบิดตู้มให้มันรู้แล้วรู้รอด...

แต่ยืนหอบหื่นอยู่ได้แค่ครู่เดียวเท่านั้นแหละครับ เพราะทันทีที่ไอ้ยักษ์จ้ำพรวดเลยผมออกจากห้องไป มันก็ทิ้งท้ายไว้แค่ว่าถ้าไม่รีบตามไปมันจะทิ้งผมไว้ที่นี่ งานนี้ไอ้พึ่งก็ตาเหลือกสิครับ!

...จะบ้าเรอะ! ตูยังไม่ได้แปรงฟันเลยนะ!!



+

+

+



จากความอลหม่านที่พัทยา ก็ผ่านมาได้สามวันแล้ว วันนั้นมันลากผมกลับเลยโดยไม่ยอมแวะไหน บึ่งยาวเข้ากรุงเทพฯ ขนาดที่เพื่อนๆ ของมันยังทำตัวกันไม่ถูก จนต้องขับตามมาส่งถึงบ้านทั้งกันทั้งยวง เราล่ำลากันด้วยดี มีไอ้ชีตาร์ร่ำร้องขอเบอร์มือถือกับไอดีไลน์ของผมเป็นการใหญ่ ผมเองก็ได้แต่ปฏิเสธไป เพราะผมไม่มีมือถือ พี่ฝ้ายไม่ได้พูดอะไร มีเพียงแอบตบไหล่ผมเบา ๆ เท่านั้น ก่อนพวกพี่แกจะแยกกันกลับบ้านช่องของตัวเองกันไป

ผมขอมันออกจากบ้านทันที เพราะต้องกลับไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อพจน์ มันไม่ว่าอะไร แค่บอกให้คนขับรถไปส่งแทนการที่ผมจะโหนรถเมล์ไปเองอย่างที่ออกตัวไว้ตอนแรก

นั่นเป็นการคุยกันครั้งสุดท้ายของเรา ครั้งสุดท้ายจริง ๆ ให้ตายสิ ทั้งที่คืนนั้นที่พัทยา มันปู้ยี่ปู้ยำผมเสียจนแทบไม่เหลือชิ้นดีแท้ ๆ ขอโทษสักคำก็ไม่มี แถมยังหายหัวไปทั้งคืน นอนไหนก็ไม่รู้ เช้ามาก็ลากกลับ บนรถก็ไม่ทักสักคำ

หนักกว่านั้น...แค่ผมเดินเฉียดตัวมัน มันก็ผงะหนีทันที ทั้งหน้าแดง ทั้งหวงตัว ทำอย่างกับหน้าผมแสดงอารมณ์หื่นกามจ้องจะปล้ำมันตลอดเวลาอย่างนั้นแหละ จากนั้นก็เฉดหัวผมออกจากบ้านมา ทั้งที่ยังไม่ทันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียด้วยซ้ำ...กระทั่งตอนนี้แหละ

แต่ก็ใช่ว่าผมจะคิดมากอะไรนักหรอกนะ ดีเสียอีก ที่มันว่าง่าย ๆ ผมก็ได้กลับมานอนตีพุงให้พ่อพจน์เห่กล่อม ได้อ้อนพ่อทั้งวัน เหมือนตอนก่อนหน้าจะแต่งเข้าบ้านเทวินทร์วงศ์ แบบนี้มีความสุขจะตาย ได้กลับเป็นชาย ไม่ต้องแต่งหญิง เดินใส่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเที่ยวทั่วบ้านได้ เดินเกาไข่ได้ ไม่ต้องพะว้าพะวังว่าจะมีใครมาเห็นให้เสียจริต

เฮ้อ...บ้านเรานี่แหละ สวรรค์บนดินแท้ ๆ เชียว...

ถ้าไม่ติดที่ว่าลุงภาสแกจะมาเยี่ยมทุกเย็นอ่ะนะ!!

‘ฮื่อ...อย่าเพิ่งหยิบไปกินก่อนสิครับ มือซนจริง ๆ เลย’

‘หึหึ ขอโทษครับ ก็อาหารฝีมือคุณมันน่าอร่อยจนผมอดใจไม่อยู่นี่นา’

วันนี้ก็เช่นกัน โน่นงุ้งงิ้งกันอยู่สองคนกับพ่อผมอยู่ในครัวโน่น ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าผมจะอยู่ในสภาพซกมกจกกะเปรตขนาดไหน ขนาดใส่แค่เสื้อวอร์ม (พรางนม) กับกางเกงเจ ๆ สีฟ้าลายแจ่ม แกยังไม่สนใจผมเลย ก็โอเคแหละนะ ที่แกไม่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดมาก แต่การที่มาเทียวไล้เทียวขื่อพ่อพจน์ของผมทุกวันแบบนี้ ผมก็ไม่ได้ยินดีสักเท่าไหร่หรอกนะ!

แต่เอาเถอะ การที่ลุงภาสแกมาที่นี่แทนที่จะพาพ่อผมไปที่อื่นมันก็ยังพอวางใจได้บ้างล่ะนะ

อย่างน้อย ๆ ก็อยู่ในสายตาผม ที่จับจ้องอยู่ทุกการเคลื่อนไหว...ฟิ้ง!

ฟิ้ง!

ฟิ้ง ฟิ้ง...

ฟิ้งงงง...

“เอ่อ หนูพึ่ง?”

แอ๊ะ? จู่ ๆ ก็โดนคนที่กำลังจดจ้องไม่วางตาทักขึ้นมา ผมก็ถึงกับเหวอจนสติกระพือหายแวบไปครู่หนึ่ง

“ฮะ อ่ะ ขาลุงภาส?” ผมขานรับออกไปทันพอดีกับที่ลุงภาสส่งมือถือจ่อมาถึงตัว

“เรียกพ่อภาสดีกว่านะ นี่จ๊ะ...แพทโทรหาหนูแน่ะ” ลุงภาสยิ้มหวาน แอบมีคำสั่งกลาย ๆ มาด้วย

“...ขอบคุณค่ะ ลุง...เอ่อ...พ่อภาส” ผมจำต้องเรียกออกไปแบบเกร็ง ๆ แต่มันก็สามารถทำให้ลุงแกส่งยิ้มหวานจนตาหยีให้ได้ ก่อนยื่นมือออกไปรับไอโฟนรุ่นล่าสุดจากมือลุงแก แล้วพูดกรอกใส่สายด้วยความสงสัย พี่แพทมีอะไรกับผมกันนะ?

“ฮัลโหล พึ่งพูดค่ะ พี่แพทมี...”

“พึ่ง! อยู่ที่บ้านใช่ไหม!? รีบอาบน้ำแต่งตัวเลย พี่กำลังเข้าไปรับ!”

เอ๋อ? เจ๊มาเป็นชุด เล่นเอาผมงงเป็นหมาเอ๋อ ไม่ทันจะได้ตอบอะไรสักคำเจ๊แกก็ตัดสายไป ปล่อยผมอ้าปากค้างอยู่กับมือถือที่ดัง ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด จากสายที่ถูกตัดขาด

จะประมวลผลว่าอะไรเป็นอะไรก็ไม่ทัน เพราะผมแปลสารอะไรจากพี่แพทเลยไม่ได้สักอย่าง รู้เพียงอย่างเดียวคือต้องแต่งตัวรอสินะ

ลังเลอยู่ระหว่างคำสั่งเจ๊แพทกับภารกิจพิทักษ์พ่อพจน์อยู่ครู่ ผมก็ต้องตัดใจเดินไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเสียไม่ได้ เพราะสัญชาตญาณมันร้องเตือนผมว่า ‘ห้ามขัดใจเจ๊แพทเด็ดขาด!!’



++++++++++++++++++++++



"พี่ทนมาสองวันแล้ว และพี่จะไม่ทนอีก!"

พี่แพทแผดเสียงเสียจนผมสะดุ้ง หัวใจดวงน้อย ๆ ของผมแทบจะกระดอนหลุดออกจากอกได้ทุกเมื่ออยู่แล้วในตอนนี้

ผมเกร็งไปทั้งตัวจนเยี่ยวเหนียวเพราะพี่แพทแกเล่นเหยียบเอา เหยียบเอา เร็วจี๋จนผมนึกกลัวตอนพี่แกทิ้งโค้ง รถมันจะหลุดออกจากขอบถนนเสียให้ได้ ขนาดรถร่วมทางไม่น้อยเจ๊แกยังดริฟต์ซะ แซงซ้ายปาดขวาแบบไม่กลัวตำรวจโบก แม้รถมันจะยี่ห้อดังราคาหลายล้าน แต่มันก็ไม่ได้การันตีว่าถ้าหลุดโค้งร่อนข้ามเกาะกลางถนนไปแล้วผมจะไม่เละจนจำซากไม่ได้นะครับ

...ผมรู้สึกเดจาวูกับเหตุการณ์ประมาณนี้ชอบกล

ผมนั่งหลังจมเบาะอย่างหมดแรง เพราะเกร็งจนเยี่ยวที่เหนียวอยู่แล้วเริ่มจับตัวเป็นก้อนนิ่ว เพียงครู่เดียวจากชานเมืองขาเข้ารถโล่ง ๆ ก็สู่ตัวเมืองหลวงแออัดคับคั่ง นั่นแหละพี่แพทถึงได้ชะลอตีนผีของแกได้เสียที แล้วในที่สุด พี่แพทก็เปิดปากบอกเล่าทุกเหตุผลที่ลากตัวผมออกจากบ้าน เหตุผลที่ทำให้หัวใจผมเต้นแบบแปลก เพราะเริ่มรู้ตัวแล้วว่า...

งานเข้าไอ้พึ่งอีกแล้ว!

"พี่ทนมาสองวันแล้ว และพี่จะไม่ทนอีก!" นั่นคือประโยคแรกที่พี่แพทผรุสวาทออกมา หน้าสวย ๆ ของพี่แกฉายแววอาฆาตมาดร้ายเสียจนผมเองยังไม่กล้าสอดปาก ได้แต่นั่งตัวเล็กตัวลีบรอฟังว่าเรื่องอะไรกันนะที่ทำให้พี่แพทคนดีของผมโกรธพาลดาลเดือดได้ขนาดนี้...อูย...

“มันมาตั้งแต่เมื่อวาน นั่งเครื่องถ่อลงมาจากลำปางโน่น ทั้งที่พี่อุตส่าห์รั้งแล้วรั้งอีก แต่ตาพอลก็ไม่ยอมฟัง แล่นไปรับกันถึงสนามบิน คงไปจองโรงแรมหรูให้อยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ เมื่อวานกว่าไอ้พอลมันจะกลับมาก็ปาไปเที่ยงคืนกว่า เมื่อเช้าก็ออกไปหามันตั้งแต่ไก่โห่ ฮึ่ย!! นังนั่นมันมีดีตรงไหนกันนะ นังไก่แก่แม่ปลาช่อน วนเวียนหลอกหลอนน้องชายฉันอยู่ได้!!”

พี่แพทใส่ไม่ยั้งเลยครับ ไม่ยั้งเลยจริง ๆ ด่ากราดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ใบหน้างดงามแช่มช้อยแดงก่ำจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม โดยเฉพาะเส้นเลือดเขียว ๆ ที่กำลังปูดเป่งตรงขมับนั่น...น่ากลัวอ่า

“ตาพอลก็เหมือนกันมีเมียหัวโด่อยู่ทนโท่ยังจะโร่ไปเทียวไล้เทียวขื่อมันอยู่ได้ โอ๊ย! ยิ่งคิดพี่ก็ยิ่งโมโห!! ”

อา...ฟังมาถึงตอนนี้ ผมพอจะรู้เค้าลาง ๆ แล้วล่ะครับว่าพี่แพทหมายถึงอะไร

หญิงเดียวในใจไอ้ยักษ์ที่มันบูชาหนักหนาขนาดยอมแต่งงานการเมืองเพื่อรับมรดกตกทอดตามพินัยกรรม เพื่อที่จะได้ขนสมบัติพัสถานหลังหย่ากับผมไปปรนเปรอแม่หม้ายเรือพ่วงคนที่มันรักกว่าใครคนคนนั้นลงมาเยี่ยมถึงกรุงเทพสินะ ไอ้ยักษ์คงมีความสุขน่าดู...แหม ในจุดนี้ผมเข้าใจมันดีเลยล่ะสมัยยังทำงานในบาร์ เวลามีแขกสาวใหญ่เสน่ห์แรงมาติดพันผมก็เฝ้านับวันรอเหมือนกัน แล้วนี่ยิ่งเป็นผู้หญิงที่รักด้วยแล้ว หึหึ ไอ้พอลคงเริงร่าน่าดู...

ผมคิดไว้อย่างนั้น เพราะไม่เห็นว่าการที่ไอ้ยักษ์มันไปลั้ลลาอยู่กับสาวที่มันรักมันจะผิดตรงไหน

ทว่า...พี่แพทกลับไม่คิดอย่างผมนี่สิ

"เพราะงั้นวันนี้แหละพึ่ง! เราต้องจัดการขั้นเด็ดขาดเสียที!" พี่แพทหันมาพูดกับผม ขณะเลี้ยวรถหรูเข้าโรงแรมที่หรูไม่แพ้กัน ผมหันไปมองพี่แกอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

อาการละล้าละลังของผมไม่ได้ทำให้พี่แพทสงสาร พอจอดรถได้เท่านั้น พี่แกก็ลากผมพรืด ๆ เข้าโรงแรมไป จุดมุ่งหมายคือห้องอาหารที่ชั้นยี่สิบสาม

สาวสวยสูงโปร่งหุ่นงามราวกับนางแบบที่หลุดออกมาจากแคทตาล็อกแฟชั่น ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม พี่แพทในชุดเดรสสีน้ำเงินจ๋าคอปาดกว้าง เดินลากร่างหญิงสาวที่ส่วนสูงไม่ต่างกันมากอย่างผม เดินจ้ำอ้าวแบบไม่มีสงสารว่าผมจะเดินลำบากขนาดไหนกับรองเท้าส้นสูงสีขาวมุขและชุดที่พี่แกเอามาบังคับใส่ถึงบ้าน เดรสคอเต่าแขนยาวสีขาวบางแถมสั้นเต่อ ที่ถ้าสาวน้อยใส่คงดูน่ารักราวกับนางฟ้าแสนหวาน แต่พอมันอยู่บนตัวผม...บอกตรง ๆ ว่ามันสั้นไป๊! แถมด้วยความที่พี่แพทแกรีบมากผมเลยแต๊บไม่ทัน ลูกชายในกางเกงในชายสีขาวธรรมดาจึงยังอยู่ดี ตุงเด่นเป็นธรรมชาติ โชคช่วยที่เดรสที่ใส่อยู่เป็นกระโปรงปล่อยชายไม่เข้ารูป ไม่อย่างนั้นคงหรรษากันกว่านี้แน่

ติ๊ง... [twenty three floor]

สัญญาณลิฟต์ร้องขึ้นเบาๆ เมื่อขึ้นมายังชั้นที่ 23 ตามที่พี่แพทต้องการ ออกจากลิฟต์ได้พี่แพทก็ลากผมเข้าไปในโซนร้านอาหารสไตล์ SOUTH AMERICAN WINE DINNER โคตรหรูแบบไม่มีประหม่า แล้วหย่อนตัวลงนั่งโต๊ะตัวหนึ่งก่อนจะชี้ชวนให้ผมมองไปที่โต๊ะอีกตัวตรงฝั่ง See view ริมกระจกสุดโรแมนติกที่มีสองหนุ่มสาวนั่งทานอาหารอยู่ตรงนั้น ทั้งคู่นั่งกันคนละฝั่งทำให้ผมเห็นเพียงใบหน้าของหญิงสาว แต่ผมก็จำได้แหละนะว่าผู้ชายที่นั่งหันหลังให้ผมอยู่คือไอ้ยักษ์ไม่ผิดแน่...

แต่แฟนมันนี่แจ่มฉิบหาย นี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่ามีลูกสองและแก่กว่าหลายปีแล้วล่ะก็ ผมต้องนึกว่านางเป็นแค่สาวมหาลัยอายุน้อยแน่ ๆ ใบหน้าสวยหวานอ่อนกว่าวัย ผมยาวสีดำสนิท รวบหัวไว้หลวม ๆ ยิ่งขับให้ใบหน้าดูหวานขึ้นไปอีก ริมฝีปากกระจับสีชมพูอ่อน จมูกโด่งเล็ก ตาโตหวานเจี๊ยบ คิ้วตกน้อย ๆ ดูน่าทะนุถนอม รูปร่างบอบบางในชุดเดรสสีชมพูอ่อน ขับผิวขาวผ่องให้น่ามองขึ้นไปอีก...ซืด...น้ำลายสอเลยครับ เข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้วว่าทำไมไอ้ยักษ์พอลถึงหลงเธอคนนี้นัก...

เป็นผม...ผมก็หลง คนอะไร สวยอย่างกับนางฟ้า

“พึ่ง!”

เสียงเกรี้ยวกราดเล็ก ๆ พร้อมความเจ็บแปลบที่ต้นแขนที่โดนพี่แพทตีดังเผียะ เรียกสติผมให้กลับเข้าที่จนต้องรีบกลืนน้ำลายสอ ๆ ให้กลับเข้าปากทันที แล้วก็สันหลังชาวาบขึ้นทันใดเช่นกัน เมื่อเห็นแววตาของพี่แพท

ซี้ด...แม่เสือชัด ๆ จะโดนตะปบคอขาดตายไหมเนี่ยตรู...

ไอ้พึ่งน้อยได้แต่โอดครวญกับหัวใจดวงน้อย ๆ ของตัวเอง....อะฮึ่ก....

“จะไปมองเคลิ้มทำไมเนี่ย เฮ้อ พี่รู้ว่าพึ่งคงยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับน้องชายพี่” คงเห็นผมนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พี่แพทเลยถอนหายใจพรู ก่อนจะเอื้อมมือมาคว้ามือผมไปประคองไว้ แล้วเอ่ยถ้อยคำบางอย่างที่คล้ายการวิงวอน

"แต่พึ่งยังจำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ได้ใช่ไหม? ว่าพึ่งจะช่วยพี่เรื่องตาพอล" ซะเมื่อไหร่ล่ะ นี่มันข่มขู่ชัด ๆ! การทวงสัญญาด้วยสายตาที่บีบคั้นขนาดนั้นของพี่แพท ทำเอาผมกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอด้วยความยากลำบาก...อย่าบอกนะว่า...

"พึ่งต้องไปแสดงตัวต่อหน้ามันว่าพึงคือเมียที่ถูกต้องตามกฎหมายของตาพอล ทำให้มันได้รู้ว่ามันไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยวกับพอลได้อีกต่อไปแล้ว"

กูว่าแล้ว...ผมแทบหงายหลังทันทีที่ได้ฟังประกาศิตพี่แพทที่ผ่าเปรี้ยงลงกลางกระหม่อมผมจนแทบแยก

ผมเหลือบมองไปทางโต๊ะของไอ้ยักษ์อีกครั้งพร้อมกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคออีกเอื๊อกใหญ่ แล้วหันกลับมามองใบหน้าเกรี้ยวกราดของพี่แพทอีกที แอบสะดุ้งไปรอบก่อนหันกลับไปมองทางไอ้ยักษ์อีกครั้ง มองเสี้ยวหน้าไอ้ยักษ์ที่กำลังแย้มยิ้มมีความสุข พร้อมแอบขอโทษมันในใจ...

ขอโทษนะโยกเยก...

เอาล่ะเว้ย...ยุทธการแรงเงา ตบน้อยหน้ากระทรวง ตบหลวงหน้ากอง...อุบัติขึ้นแล้ว!!

ฮึ่ก...น้ำตาตกในไอ้พึ่งไหลหลั่ง



++++++++++++++++++++


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด