CaLL Me:ครวญรัก(อิโรติก/ลึกลับ)ปฐมบทแรก-ศึกรุกศาสตร์รัก
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: CaLL Me:ครวญรัก(อิโรติก/ลึกลับ)ปฐมบทแรก-ศึกรุกศาสตร์รัก  (อ่าน 3674 ครั้ง)

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครั



ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

                                                       *****************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-10-2024 23:58:50 โดย keisarinna »

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: CaLL Me (Le Miel):ครวญรัก
«ตอบ #1 เมื่อ05-12-2023 21:41:51 »

Title : CaLL Me (Le miel) : ครวญรัก
Author: Keisarinna
Rating: NC 17
Genre: Erotic Drama : Mystery & Thrillers
Length: Series Fiction : Period
Status: Preview Special Complete
Summary:
การรอคอยที่มั่นคง รอการกลับมา รอการเคียงคู่คลอเคลียกับคนรัก...
การว่ายเวียนหมุนวนไปตามกฎแห่งกรรม จุติ เจ็บป่วย ดับสูญ...
จะเรียกความสุขหรือความทุกข์บางครั้งหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรักก็ไม่อาจแยกแยะได้
คำเตือน นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเพื่อความบันเทิงในการอ่านเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
องก์ 0 - ยินดีต้อนรับ
ยินดีต้อนรับ - Welcome To My World
           กลีบปากสีชมพูสวยใสพร่ำอ่านบทกวีที่บังเอิญเก็บมาได้จากระเบียงในห้องนอนอย่างตั้งอกตั้งใจ มือเรียวแตะผิวกระดาษอย่างเบามือราวกับกลัวเนื้อกระดาษจะขาดวิ่นด้วยมือทั้งสอง ผิวกระดาษที่เคยขาวกระจ่างเริ่มขึ้นดอกดวงสีน้ำตาลอ่อนประปรายอยู่หลายแห่งเหมือนจะสลายไปกับมือเมื่อจับต้อง แต่ความเก่าคร่ำคร่าก็ไม่ได้กลบบังความเข้มคลักของน้ำหมึกแห้งกรังที่ยึดเกาะแนบแน่นบนเนื้อกระดาษเก่าเก็บแผ่นนั้นได้ หากแต่กลับกันข้อความเหล่านั้นกลับยิ่งกระจ่างชัดยิ่งขึ้น
มาซิมากับฉัน...
เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
หลั่งสัมพันธ์เลือดรสหวานปานขาดใจ
เอนกายลง ข่มตานอนคล้ายคนหลับ
มากับฉัน อย่าตระหนักร่างรับรักล่องหนหาย
ด้วยอกอุ่น ด้วยสัมผัส ด้วยรสจูบซ่านทรวงกาย
รอนะ รักมิคลายถึงเร่ร่อนรอนแรมนาน
เพื่อคุณ...เพราะตัวคุณ..ฉันยอมได้ ฝืนตรรกะไซร้ไร้ความตาย...
            “ท่องบ้าอะไรเชอร์รี น่ากลัวชะมัดเลย” เสียงเล็กติดขี้อ้อนแบบเด็กๆ ทำให้คนที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านบทกวีต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
            “บรื้อ” ร่างบางอีกคนพ่นน้ำลายแตกฟองฟอดเพราะปากรูปกระจับพ่นลมจากด้านใน ส่งกลีบปากอิ่มตีกันส่งเสียงดังแปลกๆ ชวนให้ขัน
            ช่างเหมือนกันจริง ๆ ถ้าทำเสียง ฮ้า! ฮ้า! อีกนิด...ใช่เลยสัตว์โลกตัวน้อยในคราบมนุษย์เดินดิน
            “อ่านกลอน อีโรติกดีนะ...นายอ่านบ้างซิเมลย์” เด็กหนุ่มแก่วัยกว่ายื่นบทกลอนไปให้เมลย์ได้อ่านบ้าง
            “กลอนอะไร มีแต่เรื่องตายๆ ไม่อ่านหรอก อ่านกลอนแบบนั้นในที่แบบนี้” ตาเรียวสีฟ้ากระจ่างเหลือบตามองบรรยากาศวังเวงในปราสาทเก่าหลังนี้ นี่ถ้าไม่ใช่ญาติคนสนิทลากเขาให้มาเป็นเพื่อน เพื่อตอบแทนการสอนปรัชญาแสนยากในการสอบปลายภาคแล้วก็เขาจะไม่มาเหยียบที่นี่เด็ดขาด
            บ้านพักตากอากาศอารมณ์ไหนกัน...ยังกับปราสาทท่านเคาท์แดร็กคิวล่า!
            "โห้ว!...ฉันไม่อ่านด้วยหรอก” เมริส์ส่ายหน้าพร้อมโบกมือปฏิเสธพัลวัน
            “ไม่อ่านจริงอ่ะ ภาษาเพราะออกอ่านแล้วรู้สึกวูบวาบดีออกนะ” เชอร์รียังคะยั้นคะยอให้ญาติผู้น้องได้อ่านบ้าง
            “วูบวาบยังไง?” คนฟังถามด้วยความสงสัย แต่ก็ยังจดๆ จ้องๆ แผ่นกระดาษเก่าคร่ำครึที่อยู่ในมือเรียวเล็กๆ นั่น
            “ก็...แบบนี้ไง”
            “!” มือเรียวไล้แผ่วเบาผ่านส่วนกลางลำตัวบริเวณเป้ากางเกงของเมลิส์ พร้อมทำตาเชื่อมหวานฉ่ำส่อความนัยมาให้หนุ่มน้อยวัยแรกรุ่นถึงกับขนลุกซู่...ความเสียววาบผ่ากลางลำตัวจนร้อนวูบเลยทีเดียว!
         ..แล้วสติก็เริ่มกลับมา..
            “อ้า...แกล้งกันได้ไง เอามาอ่านก็ได้” มือเรียวดึงมือที่ถือกระดาษเก่านั่นให้หันมาทางเขา
            “มันอ่านยังไง? ” ตาเรียวตวัดมองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย ถึงเขาจะด้อยวิชาการแต่เขาก็ไม่ได้โง่ขนาดอ่านหนังสือไม่ออกหรอกนะ
            “ถามแปลกน่าน้องรัก ก็ใช้ตาดูปากก็อ่านออกเสียงออกมาไง” เชอร์รี มองญาติผู้น้องแบบดุๆ นี่ถึงกับประสาทแตกเลยเหรอเนี่ย ลูบนิดลูบหน่อยเองนะ!
            “ก็ตัวหนังสือมันกลับหมด ดีเลย! ไปทาบกับกระจกอ่านแล้วกัน” ร่างบางวิ่งขึ้นไปบนชั้นบนของปราสาทโบราณ จุดหมายคือกระจกบานใหญ่ขนาดเท่าตัวเขาในห้องนอนโอ่โถงที่เขาใช้เป็นที่ซุกกายนอนหลับใหลเมื่อคืนนี้
            “เดี๋ยวซิไปด้วย เมลิส์อย่าวิ่ง อันตรายนะ!” คนร้องเตือนวิ่งตามมาติด ๆ สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมอ่านบทกลอนที่เขาอ่านไปไม่ออก
         หรือกระดาษแผ่นนั้นมันแปลก ๆ ...จะคิดมากไปหรือเปล่า
            ช่างมันเถอะ! แต่...

            “นี่เมลย์ ทำไมนายอ่านไม่ได้ฉันยังอ่านได้เลยนะ” มือบางดึงมือคนแผ่นกระดาษเก่าเก็บเบาๆ เพื่อมองดูกระดาษสีหมองที่อยู่ในมือของอีกคน
           “ต้องทำแบบนี้ไงถึงอ่านออก เชอร์รีฉันฉลาดเห็นไหมล่ะ” เมลิส์ชี้แจงด้วยสำเนียงพึงพอใจสีหน้าท่าทางดูภาคภูมิใจในความฉลาดของตัวเอง
         …เรื่องอื่นนอกเหนือการเรียนเขาไม่โง่นะ...
             ...ก็แค่ไม่อยากอ่านหนังสือยากๆ ไปสอบเท่านั้นเอง!...

            เรียวปากอิ่มสีแดงสดค่อยๆ อ่านตัวหนังสือที่สะท้อนออกมาด้านหน้ากระจกเงาบานใหญ่ที่เขาลงทุนวิ่งกระหืดกระหอบจนถึงห้องของตัวเองโดยมีญาติผู้พี่รักวิ่งตามมาติด ๆ
            “อ่านยากจังนะ” คิ้วเรียวขมวดเป็นปมตาเรียวจับจ้องไปที่เงาตัวหนังสือที่สะท้อนบนผิวกระจกเงาบานหนา
มาเถอะให้เราสองได้พลอดกาย
เสียงหวานไซร้หาได้ไร้สิ้นทรวงหวาม
สัมผัสเคล้ายวนยั่วเย้าเทพอำพราง
เอนกายลง ทับทาบฉัน ...ทาสรักคุณ
นำฉันไปล่องหนหายปลายจักษุ
โหมโรมรัน พลันไล่ล่า ท้ากระหาย
ขอแค่ฉัน...ได้เป็นหนึ่งคู่ข้างกาย...ไม่อาจตายรอนแรมลาข้ามเขตกาล
            “ว้าว! อีโรติกสุดๆ ...เอนกายลงทับทาบฉันทาสรักคุณ…กรี๊ด!”
            บทกลอนที่ขับขานออกมาแทบทำเชอร์รีหลอมละลายเสียให้ได้ ความ รู้สึกช่างแตกต่างจากกลอนที่เขาอ่านบทแรกอย่างสิ้นเชิงบทที่เขาอ่านนั้นแม้จะดูน่ากลัวแต่ก็กลับอบอุ่นอ่านแล้วรู้สึกหวิวในหัวใจ
            ‘โหยหา’ ...ใช่แล้วเหมือนร่างกายโหยหาอะไรบางอย่างที่รอคอยมานานแสนนาน
            “นายกรี๊ดเหรอนั่น ผู้ชายที่ไหนเขาร้องเสียงประหลาดอย่างนั้นกัน”
            เมลย์เอามืออุดหูเมื่อได้ยินเสียงกรี๊ดแหบแห้งบาดแก้วหูจากน้ำเสียงของวัยแตกหนุ่ม พยายามทำใจฟังทั้งที่ไม่ชอบเสียงแหบเปร่งๆ ของเชอร์รีนักในระยะหลังมานี้ แต่ตัวเขาเองก็ต้องเป็นเหมือนกันเมื่อเข้าวัยหนุ่ม
            “ดูนายซิ เขินจนหน้าแดงไปหมดแล้ว"  นิ้วเรียวจิ้มไปที่แก้มยุ้ยของเมลย์ที่เริ่มขึ้นสีชมพูสวยรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ผิวเนียนนุ่มบนใบหน้าอ่อนหวานนั่น
            “…เสียงหวานไซร้หาได้ไร้สิ้นทรวงหวาม...โอ้ว! ฟังแล้วมันร้อนๆ หนาวๆ เลยนะเนี่ย” สองมือเชยหน้าหวานใสให้ขึ้นมาสบตากลมโตสีอำพันของตัวเอง
            “แหม...ของนายก็ใช่ย่อยที่ไหนกัน ฉันจำได้นะ เดี๋ยวๆ นึกก่อนอะไรน้า...หลั่งสัมพันธ์เลือดรสหวานปานขาดใจ ฮะ ฮ่า หลอนชะมัด นายนิยมรักแนวนั้นหรือเชอร์รี” มือเรียวของเมลย์แกล้งลูบไล้อกบางได้รูปสวยของญาติผู้พี่ส่งอารมณ์หวามมาให้ ทำให้เชอร์รี่หน้าขึ้นสีแทบจะทันที
            “ว่าแต่เขาตัวก็หน้าแดงเหมือนกันแหละน่า แล้วทำมาเป็นพูดดีไป”
            “ฮะ ฮ่า” , “ฮ่า ฮ่า”
            เสียงหัวเราะสดใสของทั้งสองคนดังก้องทั่วห้องนอนใหญ่เงาทั้งสองที่ทอดผ่านกระจกบานใหญ่สะท้อนภาพเด็กชายสองคนรูปร่างเพรียวบางต่างวัยกัน
            เด็กน้อยหนึ่งรอยยิ้มสดใสใบหน้าละมุนอ่อนโยนกับอีกหนึ่งหนุ่มน้อยใบหน้าหวานชดช้อยเจือยิ้มงามดึงดูดใจ
         มันก็แค่บทกลอนที่เก็บได้หรือมีเล่ห์ลับกลใดซ่อนอยู่ในกลอนแผ่นนั้น...
         ในระหว่างเด็กหนุ่ม และเด็กน้อยน่ารักทั้งสองคนกำลังส่งเสียงหัวเราะสดใสดังกึกก้องจนดังไปทั่วปราสาทมืดทึบ
        นานเท่าไหร่แล้วที่ความสดใสห่างหายไปจากปราสาทสีโศกแห่งนี้ เชอร์รีและเมลย์ เปรียบดังแสงสว่างให้กับปราสาท เสียงหัวเราะที่สดใส ความร่าเริงสนุกสนานอย่างเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่นแต่งเติมปราสาทหลังนี้ให้กลับมามีชีวิตชีวา
            ทุกที่ในปราสาทที่มีเชอร์รีความสวยงามความอ่อนช้อยกัดกร่อนความแข็งแกร่งดุดันให้ดูอ่อนบางลง
            ทุกแห่งในตัวปราสาทที่มีเมลย์ความสดใสสุกสกาวแผดซ่านฉายทับความดำมืดถมึงทึงให้ลางเลือน

อยู่คนเดียว อยู่โดดเดี่ยว อย่างเดียวดาย
อยู่เพื่อรอ อยู่เพื่อรัก ที่หาได้จักเสื่อมมลาย
ข้ามภพชาติ ข้ามกาลไกล ท้ารอยร้าวเคล้ารอยอาลัย
พันทิวา หมื่นราตรี ขอมั่นภักดี หทัยรักนี้ หาไม่มรณา
     
  … “กลับมาแล้วซินะ...หัวใจแห่งข้า” …

          เรื่องนี้ค่อยๆ ทยอยลงนะค่ะท่านผู้อ่านอย่าพึ่งใจร้อน คอมเม้นท์ให้กำลังใจ และบอกความรู้สึกของคุณผู้อ่านได้นะคะ
          ไม่ต้องตกใจไป องก์ 0 นะคะ เพราะเป็นตอนเปิดเรื่อง ความจริงอยากจะใช้คะว่า special แต่ใช้องก์ละ ดูเป็นบทละครเก่าๆ  ช่วงนี้จะองก์ 0-1/2/3 ไปเรื่อยๆ จนจบนะคะไม่ต้องงงกัน เพราะยังไม่ได้ขึ้นเรื่องจ้า *หัวเราะบ้าคลั่ง*
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-12-2023 11:03:14 โดย keisarinna »

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: CaLL Me (Le Miel):ครวญรัก
«ตอบ #2 เมื่อ05-12-2023 21:53:07 »

โหมโรง-บทกลอนซ่อนรัก
ภาคอธิบายบทกลอนซ่อนรัก
ว่าด้วยเรื่องบทกลอนที่เป็นบทเด่นในเรื่องนี้จ้า
แบบ 2 ภาษา พร้อมคำแปลนะคะ ตอนต่ออาจจะไม่ลงทวนบทลอนอีก บทแรกกันเลยค่ะ

Come to our life …
take on blood... sweet on syrup
lay down asleep…
with me… take you
warm up my hold, cares, kisses
simulated step, feel paradise told
waiting as long as one sigh soul
for you...
only you I need…will take an undead life flow

มาซิมากับฉัน...
เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
หลั่งสัมพันธ์เลือดรสหวานปานขาดใจ
เอนกายลง ข่มตานอนคล้ายคนหลับ
มากับฉัน อย่าตระหนักร่างรับรักล่องหนหาย
ด้วยอกอุ่น ด้วยสัมผัส ด้วยรสจูบซ่านทรวงกาย
รอนะ รักมิคลายถึงเร่ร่อนรอนแรมนาน

เพื่อคุณ...
เพราะตัวคุณ..ฉันยอมได้ ฝืนตรรกะไซร้ไร้ความตาย...

       อ่านกลอนแล้วพอจะนึกถึงบรรยากาศรักของทั้งสองคู่ได้บ้างกันแล้วนะคะ สำหรับใครที่ยังอ่านแล้วไม่เข้าใจจะบอกไว้ตรงนี้เลยจ้า
       บทแรกของคู่ที่หนึ่ง นี่คือบทรัก No! คือบทกลอนของพระเอกทุกอย่างที่สรุปรวมมาไว้ในกลอนคือตัวตนจริงๆ ของเขา กลอนบทนี้บอกความคิด การแสดงออกทางความรักของตัวละครแบบสมจริงที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเจอกันอีกกี่ครั้งพระเอกยอดชายของเราก็จะเป็นแบบนี้ และอีกอย่างอ่านกลอนจบสามารถสรุปเรื่องเลยก็ได้ แต่อย่าเลยน้า รอคนแต่งมาแต่งให้อ่านดีกว่า เดี๋ยวคนอ่านจิ้นกันเองจนจบคนแต่งไม่รู้จะแต่งให้ใครอ่านล่ะยุ่งเลย

      มาพูดถึงการแต่งกันบ้าง กลอนทั้งสองบทนี้ถูกเขียนขึ้นเป็นภาษาอังกฤษก่อน แต่งไปแต่งมาทำไมมันเรทอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าพึ่งจะมารู้นะคะ แต่รู้มานานแล้วหล่ะ และจงใจให้เป็นแบบนี้ด้วย

       แต่อ่านภาษาอังกฤษจะไม่เรทมากมายนัก แต่พอแต่งแปลงเป็นภาษาไทยเท่านั้นแหละ กลับมาอ่านอีกทีก็ต้องตั้งสติดีๆ กลัวจะกลายเป็นกลอนลามกอนาจารไป อ่านไปแล้วก็วูบวาบดีค่ะ เหอๆ วูบวาบเนี่ย กลัวจะโดนแบนคิดภาพตามกันเองนะจ๊ะแล้วแต่ประสบการณ์ 55+ ต่อบทที่สองของอีกคู่กันนะคะ

Let’ s us come annoy
take noises form your soul
possess touch…invitees lust such as free rove
lay on me… I’ m going be your slave role
take me…with yours
bluntness, violate and desirous throw
for me…
I’ m one you need… will take myth an undead cruel
มาเถอะให้เราสองได้พลอดกาย
เสียงหวานไซร้หาได้ไร้สิ้นทรวงหวาม
สัมผัสเคล้ายวนยั่วเย้าเทพอำพราง
เอนกายลง ทับทาบฉัน ...ทาสรักคุณ
นำฉันไปล่องหนหายปลายจักษุ
โหมโรมรัน พลันไล่ล่า ท้ากระหาย

ขอแค่ฉัน...
ได้เป็นหนึ่งคู่ข้างกาย...ไม่อาจตายรอนแรมลาข้ามเขตกาล

      และนี่คือกลอนประจำตัวของพระเอกคนที่สอง กลอนบทนี้แทนสถานะของเขาเองก็ได้ค่ะ ว่าจะยอมเป็นทาสรัก แต่จะเป็นทาสรักของใคร...จิ้นล่วงหน้ากับไปก่อนก็ได้ อ่านไปก็เหมือนเป็นคนชั่งออดอ้อน เป็นคนขี้เหงา(อะไรจะขนาดนั้น) และก็รู้สึกถึงความผิดหวังกลายๆ นี่ขนาดยอมเป็นทาสรักแล้วยังจะไม่สมหวังในรักอีกหรือเนี่ย แต่เองทรมานเอง ป๊าดดโธ่!

ตกลงในเรื่องนี้สมหวังเน๊อะ...ใช่ไหม?
เสริมความสัมพันธ์ระหว่างพระนายกับกลอนบทนี้
บทกลอนนี้จะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้า

       1. คนที่อ่านไม่ใช่เชอร์รี และเมลย์ เพราะกลอนบทนี้ทำให้นายเอกของเรา ระลึกอดีตได้ แต่ต้องมีความสัมพันธ์รักกับคู่ของตัวเองเท่านั้น ประมาณตราตรึงด้วยการร่วมกายรวมใจเป็นหนึ่งประมาณนั้นเลย

       2. กลอนบทนี้คืออาถรรพ์ หรือกลอนต้องคำสาป ไม่ว่าคู่ไหนก็หนีคำสาปไม่ได้ ทั้งที่ใจจริงแล้วไม่มีพระเอกคนไหนอยากให้เป็นเช่นนั้น แต่...ถึงทั้งสองคู่จะต้องเจ็บปวดจากการจากลา และการทนทุกข์กับการรอคอยด้วยอาถรรพ์แห่งกลอน แต่ต่างก็เต็มใจที่จะติดตามคนรักไปทุกภพทุกชาติ

      ส่วนนอกเหนือจากนั้น....คนอื่นที่กลอนร่อนไปหาคือบุคคลถูกเลือกต้องเป็นคนที่มีด้านมืดในจิตใจถึงสามารถอ่านกลอนได้และสัมผัสตัวตนพระเอกสองหน่อของเราได้ เพราะความมืดมิดในจิตใจคนเปรียบเหมือนซาตาน ซาตานที่อยู่ในจิตไร้สำนึก นี่คือความชั่วร้ายที่ดึงดูดด้านมืดด้วยกันให้เข้า ประมาณเหมือนมองตาก็รู้ใจ

      พระเอกต่างไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่เทวดา เทพเจ้าหรือพวกกึ่งเทพ หรือจัดอยู่ในจำพวกปีศาจ และผีสาง แต่จัดอยู่ในประเภทผู้มีพลังเวท มีวิชาด้านมืด คล้ายพ่อมดหมอผีแต่ดูดีกว่านั้น (เยอะ) ถึงจะอยากจะทำดีอยากช่วยคนไม่ได้ตาย แต่ก็ไม่สามารถช่วยคนเหล่านั้นได้ ไม่เช่นนั้นคงได้อยู่คนรักกันได้ทุกชาติแล้ว

       แล้วทำไมต้องดึงดูดพลังความชั่วร้าย...

       เพราะไม่ใช่มนุษย์น่ะสิคะ คนที่เวียนว่ายอยู่ในวังวนเหนือกาลเวลาไม่ใช่คนปกติแน่นอน สาเหตุหรือต้นกำเนิดเรื่องทั้งหมด จะอยู่ในบทที่ 1 รอกันหน่อยคะ

       การอยู่เหนือธรรมชาติต้องใช้พลังช่วยค่ะพลังอำนาจด้านมืดที่รุนแรง คือสิ่งที่ทำให้สามารถข้ามผ่านจักรภพแต่ละช่วงไปได้ ไม่ใช่เห็นเด็กหนุ่มเห็นคนสวยก็หวังอึ๊บอย่างเดียวไม่ใช่ๆ การหื่นกระหายแบบนั้นสนองตัณหาอย่างเดียว (ถึงอยากแค่ไหนทั้งสองก็ไม่ร่อนกลอนสวาทมาหาหรอกค่ะเพราะช่วยอะไรไม่ได้) พระเอกของเราต้องหมั่นเติมพลังดำมืดแห่งจิตใจเรื่อยๆ ในการต้านแรงถ่วงจำเป็นต้องใช้ดวงวิญญาณที่กระหายเลือดเพื่อต่อเติมพลังต้านสังสารวัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิด

     3. ใครก็ตามที่ได้อ่านกลอนนี้สามารถขอสิ่งที่ปรารถนาได้หนึ่งอย่าง ได้แต่ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน และต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ถ้าขอในสิ่งที่ฝืนชะตาชีวิตทำไม่ได้ค่ะ (แต่ท่านชายท่านก็มีเล่ห์ของเขาแหล่ะค่ะ อย่าให้ท่านอยากได้ตัวแล้วกันน้อยรายจะรอดปลอดภัย) ทำได้แค่เพียงดลบันดาลให้เหตุการณ์บางอย่างเกิดเร็วขึ้น หรือชะลอให้มันเกิดช้าลงเท่านั้น ซึ่งการคาดคะเนนั้นใช้หลักความน่าจะเป็น อาจเกิดข้อผิดพลาดหรือผลที่เกิดคาดคำนวณไว้บ้างแต่สำเร็จผล (คนแต่งไม่กล้ารับประกัน กรั่ก ๆ)

      ข้อแลกเปลี่ยนนั้นไม่ยากค่ะ ไหนๆ ก็จะต้องตายแล้วขอหมดทั้งตัวเลยแล้วกัน (มันจะเริ่มหื่นเกินพอดีไปแล้วนะเนี่ย เดี๋ยวคนอ่านจะคิดว่าตัวพระเอกหื่นเกิน) ขอแลกเปลี่ยนนั้นคือ “การเสพบริสุทธิ์” ต่อหนึ่งคำขอ

      “การเสพบริสุทธิ์” มีหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องเป็นเซ็กส์ นอกจากร่วมรักแล้ว การหลั่งเลือดก็ถือเป็นการเสพความบริสุทธิ์ การครอบครองดวงวิญญาณที่ดีจิตใจสะอาดก็ถือเป็นการเสพบริสุทธิ์...สารพัดสาระเพ แต่ตั้งชื่อให้ผู้ขอรู้สึกเสียตัวไปอย่างนั้นเอง (โอ๊ะ...คนแต่งนี่ยังไง ก็คนแต่งวางคอนเซ็ปอีโรติกนี่นา ต้องจิ้นกันลึกซึ้งหน่อย)

       แนวเรื่องนี้เป็นแฟนตาซี ย้อนยุค และ ลึกลับนะคะท่านผู้อ่าน อย่าไปคิดมากมายจ้าเอาบรรยากาศเป็นหลัก ที่เหลือให้เรื่องราวเล่าเรื่องไปจิ้นกันไป อาจลงช้านะคะ เนื้อหาล่อแหลมอยู่ต้องตะล่อมโดยใช้บทกลอนมาช่วยบ้างเพื่อบรรเทาความรุนแรง อย่างไรก็เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนด้วยนะคะ

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: CaLL Me (Le Miel):ครวญรัก
«ตอบ #3 เมื่อ05-12-2023 22:27:50 »

องก์ 1  - ร่ายรักเล่ห์ล่องหน
           กลับมาแล้วซินะ...หัวใจแห่งข้า
            ฟังซิ...

          ตัวปราสาทแข็งแกร่งแต่กำลังกรีดร้องอย่างโหยหวนทรมาน ความเย็นชื้นของผิวผนังกำลังกลั่นความร้อนจนไอน้ำพรมเกาะทั่วทุกผืนอณู พื้นปราสาทหยาบกร้านส่งแรงสะท้านอย่างแผ่วเบา เงาสีดำลอยตัวแล้วแทรกไปทั่วทุกสารทิศ ปราสาทหลังนี้กำลังตื่นหลังจากหลับใหลมานานแสนนาน
           พ่อบ้านสูงวัยผู้อยู่อาศัยร่มไม้ชายคาคุ้มฟ้าฝนหลบเภพภัยในปราสาทหลังนี้มาเกือบค่อนชีวิต เริ่มนึกถึงเรื่องเล่าขานของปราสาทแห่งมนต์ขลังหลังนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน สายตาที่น่าจะฝ้าฟางไปตามอายุกาลกลับมองเห็นภาพชายหนุ่มสองคนได้อย่างชัดเจน…ใครกันเชื้อเชิญพวกท่านให้กลับมาที่นี่!....
           “...เมื่อใด ที่จิตใจเจ้าเรียกข้า รัตติกาลจะนำพาให้เจอกันและเมื่อนั้นเราสองต้องต่างตอบแทน...”       
            พ่อบ้านผู้คุ้นเคยกับตำนานรีบสั่งข้าทาสในปราสาทรีบวางคบเพลิงชุบน้ำมันว่านต้านอาถรรพ์จนทั่วบริเวณตามความเชื่อของท้องถิ่น ที่ไหนมีแหล่งน้ำที่นั่นจะถูกน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์จากโบสถ์ท่านคุณเจ้าเทผสมลงจนทั่ว ไม่แบ่งแยกว่าเป็นแหล่งน้ำดื่มหรือน้ำใช้ พงหญ้าที่ขึ้นรกอยู่รอบบริเวณถูกทำให้โล่งเตียนไม่ว่าจะถางหรือเผา คนงานทำงานกันอย่างไม่รู้เหนื่อย
            เมื่อตะวันลาลับจะพลบค่ำคบเพลิงถูกจุดรับความมืดจนสว่างไสว เวรยามถูกจัดวางอย่างรัดกุม กระสุนเหล็กกล้าผ่านพิธีกรรมทางศาสตร์แห่งความเชื่อ พร้อมปืนกระบอกสั้นยาวแนบติดตัวพร้อมใช้งานได้ทันท่วงที
            ...หากจะหาทางปกป้อง แค่เพียงคิดได้ ทุกอย่างได้สายเกินการณ์...
            ร่างบางทอดกายลงนอนบนเตียงนุ่มสีสะอาด หลังจากอาบน้ำชำระล้างความเหนื่อยล้าที่พรั่งพรูมาจนแทบกระอักเลือดตาย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไรขึ้นมาดื้อๆ ทั้งที่ตั้งแต่เช้าจรดวันเขาก็ปกติดีทุกอย่าง ยังออกไปช่วยคนงานปักคบเพลิงรอบตัวปราสาทอยู่เลย ไหนยังวิ่งเล่นกับเมลย์ไปทั่วสวน ลานน้ำพุหน้าปราสาท ยังรวมหัวกันแกล้งคุณพ่อบ้านอีกด้วย แต่ไม่เห็นจะเหนื่อยล้าหมดแรงเหมือนตอนนี้เอาเสียเลย ไม่ว่าจะที่มือ แขน ไล่ลงไปยัง เอว สะโพก เรียวขา ฝ่าเท้าชาดิกแทบไร้ความรู้สึก เหมือนคนเป็นอัมพาต
            กลัวจับใจ...ถึงจะทำใจเรื่องสุขภาพของตัวเองมานานว่าอาจใช้ชีวิตไม่ยืนยาวเช่นคนอื่น
            ความเย็นวาบฉาบทั่วแผ่นหลังบาง เตียงที่เคยอ่อนนุ่มอบอุ่น ในตอนนี้เขาสัมผัสได้แต่ความเย็นจนสั่นสะท้าน ความอ่อนนุ่มไม่ทำให้เขาอยากเอนตัวลงนอนเสียแล้ว แต่ไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับเขยื้อนกายไปไหน ทุกอย่างรอบตัวเหมือนหมุนวนไปทั่วทุกทิศทาง สมองที่เคยสั่งการตามปกติเริ่มอ่อนล้าชะลอตัว ดวงตากลมโตค่อย ๆ หรี่เปลือกตาลงจนมืดมิดดำสนิท
            ความรู้สึกกลัวส่งสัณญาณให้หวั่นใจ ความมืดมิดที่เกาะกุมรอบตัวช่างน่ากลัวเหลือเกิน
           (...มาซิมากับฉัน...) น้ำเสียงหวานปานน้ำผึ้งดังแผ่วเบาที่ใบหูบาง เสียงขับขานกลอนคร่ำครึกลับดังก้องในโสตประสาท ตาเรียวโตพยายามเปิดหนังตาที่หนักอึ้งให้มองดูร่างผู้มาเยือนยามวิกาล…แต่ทำได้เพียงนอนนิ่งต้อนรับการมาเยือนของบุคคลในเงามืด
           (...เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน...) ปลายมือเย็นค่อย ๆ ลากผ่านใบหน้า กลางอก หน้าท้อง ขาเรียวจรดปลายเท้า ผิวสัมผัสอันแผ่วเบา…แต่ตัวเขากลับร้อนวูบวาบไปกับสัมผัสชวนละลายนั่น
           ร้อน...แรงสัมผัส แต่ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บจากเบื้องลึกแห่งจิตใจ
           เข้าใจแล้วว่า เตียงยังคงอุ่นเหมือนเดิม มีแต่ตัวเขาเท่านั้นที่โดนดูดกลืนด้วยไอเย็นดั่งใกล้ตาย!
           (...หลั่งสัมพันธ์เลือดรสหวานปานขาดใจ...)
           “อ๊ะ...เจ็บ!” ผมร้องออกมาเมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างรุกล้ำเข้ามาในตัวของผม ความแข็งขืนที่สอดแทรกเข้ามาแม้จะไม่ใหญ่มากนักแต่มันทำให้ผมอึดอัด จนอยากดันตัวออกไปจากสิ่งแปลกปลอมนั่นแต่ไร้สามารถ ร่างกายผมกลายเป็นอัมพาตไปเสียหมด
           (...เอนกายลง ข่มตานอนคล้ายคนหลับ...) น้ำเสียงหวานทุ้มนุ่มนวล ชวนให้เคลิบเคลิ้มยังคงดังอย่างต่อเนื่องที่ข้างหูของผม เหมือนกำลังร่องลอยร่างกายผมกำลังถูกยกสูงขึ้น
            ไม่นะ...ไม่
            ผมจะโดนทำอะไร!
            จะพาผมไปไหน?
            ลืมซิ..ลืมตา
            วิ่ง..หนีไปให้ไกลจากห้องนี้ ได้แต่นึกคิด ถ้าทำได้คงหลบหนีจากตรงนี้ได้

           “เจ็บ…เอามันออกไป” หยาดน้ำตาเริ่มไหลหลั่งออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิท
           “ได้โปรด...เอามันออกไปผมขอร้อง”
            เจ็บจนร้าวไปหมด มีบางอย่างเริ่มแทรกเข้ามาในตัวของผม ค่อยๆ เพิ่มความอหังกาฬทั้งร้อนทั้งอึดอัด ยิ่งร่นสะโพกหนีของสิ่งนั้นก็ยิ่งดันลึกเข้ามา ความปวดร้าวที่มีตอนนี้เริ่มชาจนผมเลิกใส่ใจกับมัน
            ผมนึกว่าตัวเองจะชิน แต่กลับสะดุ้งทุกครั้งเมื่อสิ่งแปลกปลอมสอดเข้าออกความรู้สึกใหม่ไม่รัญจวนใจนัก ผมพยายามจะเบี่ยงสะโพกออกแต่ยิ่งดันออกเหมือนของแปลกปลอมที่กระจุกอยู่ที่ตัวผมนั้นยิ่งดันเข้ามาลึกขึ้นลึกขึ้น
            เสียว! ไปทั่วแนวกระดูกสันหลัง...
            นี่ผมเป็นอะไรทุกครั้งที่ดันตัวออกแต่ผมกลับดันกลับเข้าไปใหม่ ทั้งที่สิ่งแปลกปลอมด้านในแน่นิ่งแทบไม่ขยับไปไหน ผมกลับเป็นฝ่ายขยับขับเคลื่อนมันเสียเองทุกครั้งที่ดันตัวเข้าออกผ่านสิ่งสิ่งนั้น เสียงแปลกประหลาดในตัวผมมันจะคอยเปล่งออกมาให้ได้อายอยู่เรื่อย
            (...มากับฉัน อย่าตระหนักร่างรับรักล่องหนหาย...)
            “ฮะ...ยะ...อย่า..มะ..มัน!”
            ผมแทบจะขาดใจให้ได้เมื่อเจ้าสิ่งนั้นหมุนวนอยู่ในช่องร้อนรักทั้งกระอักกระอ่วนปั่นป่วนมวนในท้องเมื่อความคับขึงไม่แน่นตึงเหมือนช่วงแรกสิ่งนั้นขยับเข้าออกจากเชื่องช้าเล้าโลมแล้วค่อยๆ เร่งโหมโรงจนแน่นอกหายใจขัด ทั้งเจ็บ ทั้งอึดอัด ทั้งเสียวซ่าน ยากบรรยายความรู้สึกที่ตัวเองกำลังได้รับอยู่ตอนนี้
            ผมอยากร้องไห้...
            ตัวผมเป็นอะไรไป…
            ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้…หลากหลายคำถามที่ไร้คำตอบชวนให้ท้อใจ

            ทุกครั้งที่สิ่งนั้นสอดใส่ลมหายใจเหมือนติดขัด ใบหน้าร้อนผ่าวเสียวแนวสันหลังวูบวาบแขนขาสั่นเทาร่างกายเหมือนไร้น้ำหนัก ยิ่งสิ่งนั้นขยับเร็วขึ้นๆ ผมรู้สึกได้ว่าตัวผมโยกโยนไปมา ผมแทบจะลืมไปเลยว่า ผมได้นอน หรือนั่ง หรืออยู่ในท่าอะไรซักอย่างบนเตียงของผมเอง
            “คุณคือใครกัน...แล้วจะทำอะไรผม...”
           ปลายนิ้วกรีดน้ำตาจากหางตาที่ปิดสนิททั้งสองข้างของผม มือเย็นยะเยือกนั้นทำไมมันช่างอบอุ่นอ่อนโยนขนาดนั้น ผมอยากเห็นเขา ผมต้องทำเช่นไร หรือเขาคนนั้นเป็นภูตผีปีศาจ เป็นซาตานจำแลงที่หน้าตาน่ากลัวน่าขยะแขยงหรือ ถึงต้องปิดตาผมไว้เช่นนี้
           แต่ความรู้สึกลึก ๆ มันกลับบอกว่าไม่ใช่ จังหวะหัวใจที่เต้นกระชั้นถี่ทุกครั้งที่ปลายนิ้วเย็นสัมผัสร่างกายของผมมันช่างดูคุ้นเคย...ใครกัน
           (...ด้วยอกอุ่น ด้วยสัมผัส ด้วยรสจูบซ่านทรวงกาย...) กลอนบทนี้ กลอนเมื่อเช้า เขาจะทำผมเหมือนในบทกลอนเหรอ!
           ไม่..นะ จะเอาเปรียบผมแบบนี้ไม่ได้ ผมอยากเห็นหน้าเขา...
           “ขะ...ขอผมลืมตาเถอะนะ...ผ ผม...อ๊า....ออ..อยากเห็นหน้าคุณ”
            ผมออกเสียงลำบากขึ้นเมื่อความแข็งขึงรุกล้ำเร็วขึ้นและแรงมาก มากจนสะโพกผมเกร็งจนปวดร้าวไปหมด ปลายเท้าจิกกดลงไปบนที่นอนนุ่ม มือดึงทึ้งผ้าคลุมเตียงสีอ่อนอย่างบ้าคลั่ง และความเป็นชายของผมกำลังเรียกร้องการปลดปล่อยบางอย่าง ความรู้สึกแปลกประหลาดเข้าจู่โจมทั่วร่างกายโดยเฉพาะบริเวณบุรุษเพศปวดระบม ผมรู้สึกถึงการตั้งลำสั่นระริก
           ยามผมโยนตัวตามแรงส่งเบื้องล่าง ส่วนแข็งตึงตีระรัวดั่งเกลียวคลื่นบนหน้าท้องราบเรียบทิ้งคราบชื้น ความรู้สึกเหนอะหนะชวนไม่สบายตัว คงเป็นเพราะสายรักน้ำแรกรุ่นของผมเป็นแน่
           ผมอายจนอยากจะแทรกตัวหนีหายไปจากตรงนี้เลยจริงๆ เด็กวัยหนุ่มคนอื่นอาจบรรเทากำหนัดแล้วหลายครั้ง เปรียบกับผมที่ร่างกายไม่แข็งแรงนักเป็นหนังคนละม้วนกันเลย...ทำไมเขาต้องทำกับผมถึงขนาดนี้ ผมไปทำอะไรเขาตอนไหน เขาถึงทำเรื่องน่าอายแบบนี้กับผม
           (...รอนะ รักมิคลายถึงเร่ร่อนรอนแรมนาน...)
            ทุกอย่างรอบตัวผมหยุดการเคลื่อนไหวลง...สิ่งแปลกปลอมหลอมมลายเหมือนถูกถอน ความแฉะชื้นถูกทาบมาที่อกของผม
            สิ่งนี้หรือที่มันเคยอยู่ในตัวของผม…มือเย็นเฉียบของเขา...
            ร่างกายผมไม่ยอมหยุด...มันยังต้องการ
            ไม่นะ...มันน่าอายที่จะ ร้องขอให้เขาทำแบบเดิมอีก
            ไม่อยากให้เขาถอดถอน...
            ไม่อยากให้เขาหยุด...
            ผมเป็นบ้าอะไร...ร่างกายไม่รักดีไม่ยอมหยุดสั่น และยังแอ่นรับผิวสัมผัสเย็นชื้นนั้นอย่างบ้าคลั่ง

            เสียงเขากระซิบอีกครั้ง..เป็นน้ำเสียงที่อบอุ่นอ่อนโยน เมื่อเขาเรียกชื่อของผมด้วยเสียงที่คุ้นเคย...
            ‘คุ้นเคย’ ผมไม่เคยเจอเขาเลยด้วยซ้ำนะ?
            (...เพื่อคุณ...เพราะตัวคุณ..ผมยอมได้ ฝืนตรรกะไซร้ไร้ความตาย...)
           ผมเบิกตากว้างสุดความโค้งโตของเบ้าตา เป็นครั้งแรกที่เขาให้ผมเห็นหน้า ใบหน้าหล่อเหลาแต่ดูเย็นชา ดวงตายาวเรียวสวยแต่แข็งกระด้าง นัยน์ตาสีนิลดูมืดมิดเฉยชาแต่กลับรู้สึกว่าช่างเร่าร้อนรุนแรงคุกรุ่นด้วยความนัยบางอย่างที่ทั้งอันตรายและต้องรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
           ตัวผมสั่นเทาขึ้นมาในทันที สองมือผมโอบกอดตัวเองไว้ ผิวสัมผัสเนื้อแนบเนื้อทำให้ผมต้องก้มลงไปมองร่างกายตัวเอง
ตัวผมเปล่าเปลือย ไม่มีแม้เสื้อผ้าคลุมกายซักชิ้นเดียว
           ผมเปลือยกายต่อหน้าชายคนนี้!
           ก่อนที่ผมจะพูดอะไรออกไปริมฝีปากอวบอิ่มคู่นั้นก็ประกบทับบนเรียวปากผมเสียแล้ว...
           แล้วทุกอย่างนับตั้งแต่วินาทีนี้ไป ผมได้รู้แล้วว่าทุกทุกอย่างของผมเป็นของคนคนนี้
           "เรียกชื่อเราสิ เณอรีน แล้วเราจะให้เจ้าในสิ่งที่ต้องการ" น้ำเสียงแห่งรักครางครวญชื่อคนรักอย่างโหยหา
           “รักเรา? ...แต่เราชื่อเชอร์รี” ชื่อที่เรียกร้องความรักด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเหมือนร้างลามาเนิ่นนานนั่นฟังดูแล้วคลับคล้ายคลับคลาชื่อของเขา
           “นำเรา...” คนเงามืดวอนขอความต้องการที่ร่ายกายโหยหา
           “นำทางเรา...” ขอร้องให้คนรักชักนำชี้ทางสว่างเหมือนทุกครั้งที่เคยๆ มา
          “แล้วเราต้องทำเช่นไร..." เชอร์รีฟังคำขอที่แสนน่าสงสารอดที่จะช่วยไม่ได้
           เสียงหวานครางกระเส่าบ่งบอกความต้องการที่จะสอดประสานหลอมรวมกันกับชายหนุ่มเบื้องหน้า
          "เฌอรีนที่รัก คุณไม่ต้องทำอะไรปล่อยกายปล่อยใจไปกับผมก็พอ..."
สองร่าง สานรักสอด สัมผัสพลิ้ว หิวกระหาย
เปียกชื้น ทั่วเรือนกาย หาได้ห่าง ช่วงนาที
ทางร้อน กรุ่นเบื้องล่าง สอดประสาน รักเสียดสี
เสียงร้อง ครวญครางมี น้ำไหลปรี่ ชุ่มอุ่นเปรม

            มือเรียวค่อย ๆ สัมผัสใบหน้าสงบนิ่งแลดูเย็นชาช้าๆ นิ้วมือค่อยๆ ลูบไล้ไปทั่วใบหน้าคมอย่างรักใคร่โหยหา
           “เด-อุส-มาร์ส” ชื่อใครบางคนที่เคยรู้จักและผูกพันดังขึ้นในห้วงคำนึง
            ริมปากอิ่มบรรจงจูบแผ่วเบาลงบนท้องแขนขาวนวลเนียน ไล่ประพรมจูบหวานไปเรื่อยๆ ผ่านไหล่บาง ซอกคอขาว ปลายคางมน ริมปากแดงสีเชอร์รี่ฉ่ำวนมาที่จมูกเรียวสวยได้รูป แล้วจรดตรงหน้าผากโหนกใส ไล่เรียวปากหยักให้กลับทวนทิศทางจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
            แขนเรียวโอบรอบคอแกร่งให้โน้มลงไล้โลมรสจูบอ่อนหวานให้แนบชิดผิวเนื้อมากยิ่งขึ้น สองร่างต่างเรียกร้องรักซึ่งกันอย่างโหยหา ดวงตากลมโตมองร่างสูงตรงหน้า ไม่อาจละสายตาให้ห่างหายไปจากใบหน้าคมหล่อเหลานี้ได้
          “เราขอโทษ...”
           อ้อมกอดอบอุ่นโอบล้อมร่างบางที่กำลังสั่นสะท้าน...
           สะท้านด้วยความเจ็บปวด
           สะท้านด้วยความรู้สึกตื้นตันกดดันแห่งจิตใจ
           สะท้านด้วยแรงสะอื้นไห้

           รู้ดีต่อให้หลั่งไหลน้ำตาใสจนกลั่นตัวกลายเป็นหยดเลือดก็ไม่อาจทดแทนความเจ็บปวดของคนเบื้องหน้าได้
           “ข..ขอโทษ กระหม่อมไม่ดีเอง ผิดแต่ผู้เดียว ผิดไปแล้ว”
            มือหนาลูบแผ่นหลังบางที่กำลังสั่นเทาช้าๆ เบียดร่างกายหนาให้แนบชิดร่างบางมากขึ้น จนแทบจะกลืนกินเป็นร่างกายเดียว
            (“ไม่ต้องขอโทษเรายอดรัก ไม่มีใครผิดมันคือพรหมลิขิต ชะตาชีวิตที่ใครก็เปลี่ยนไม่ได้”)
           แม้จะแทรกตัวในอกอุ่นของร่างใหญ่กว่าแต่แรงสะอื้นกลับไม่มีทีท่าจะสงบลง ยิ่งทาบร่างขนาบนาบแนบแน่นกับคนร่างสูง กลับยิ่งซึมซับความเจ็บปวดที่สั่งสมแทรกซึมทั่วทุกอณูของร่างแกร่งเบื้องหน้าทำให้ร่างบอบบางแทบแหลกสลายไปด้วยความเจ็บปวด ความทนทุกข์ทรมานที่ซ่อนซึมแทรกแซงดังปลายแหลมของแท่งเข็มทิ่มแทงไปทั่วเรือนร่าง
           (“คิดจะทำอะไรยอดรักของข้า”)
           ร่างบางกดช่องทางรักโอบอุ้มแก่นเนื้อร้อนอย่างไม่ลังเลในความเจ็บปวดที่จะได้รับ
           (“อย่า! ให้เลือดออก!”)
           สายไปเสียแล้ว เมื่อไม่ได้เตรียมการเสพรักไว้รอความบอบช้ำทางรักจึงปริฉีกตามขนาด
           “บรรเทาความทรมานของท่าน มาที่กระหม่อได้เลย”
           ความแข็งขืนเบียดชิดความอ่อนนุ่มอุ่นชื้นด้วยน้ำต้องห้ามหนืดข้นค่อยๆ ไหลซึมจนเปียกชุ่มทั่วช่องทาง แรงกดบดเบียดเริ่มแรงและเร็วขึ้น พันธสัญญาดุจน้ำอมฤตเปรียบตัวแปรแห่งความลุ่มหลง ความอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนแรงดุดัน ความสัมพันธ์ทางกายที่เนิบนาบเชื่องช้าแปรเปลี่ยนเป็นจาบจ้วงโจนทะยาน สองร่างโยกโยนสนองรสเสพรักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
            ถึงจะเจ็บปวดแต่ก็สุขสมหาได้โรยรา แม้วันเวลาจะผันผ่านไปกี่ภพชาติ ร่างกายนี้ไม่มีวันจืดจางรอวันหวนคืน กลับมาอยู่ในเงื้อมมือของผู้เป็นที่รักทุกครั้งครา
            “ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน แบ่งความเจ็บปวดมาให้ร่างกายอันอดสูนี่ได้รู้บ้าง”
            หยาดน้ำตาร่วงไหลอาบสองแก้มเนียนของเชอร์รี่ ไม่อาจรู้ได้ว่าเจ็บที่ไหนกันแน่ ทางรักที่แสบร้อน การโถมเข้าเคลื่อนออกที่รวดเร็วรุนแรงไร้ความปรานี แต่ลึกๆ กลับเสียวซ่านอิ่มเปรมกับความสุขระลอกแล้วระลอกเล่าจนแทบจะรับไม่ไหว หรือความทุกข์ทนทรมานที่ร่างสูงเบียดบังไว้ในจิตใจ ทุกแรงสัมผัสเข้าออกสอดแทรกแฝงความเจ็บปวดที่ฝังลึกของอีกคนหนึ่งให้รับรู้
            ภาพในอดีตฉายวาบตามจังหวะโยนตัวรับความหฤหรรษ์...
            ทุกครั้งที่ร้องขอ
            ทุกครั้งที่แรงกระแทกประชิดตัว
            ทุกครั้งที่ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายซ้ำซาก

            (“อ่า..เฌอรีนที่รักของข้า”) เสียงครวญรักที่ฟังแล้วชวนใจจะขาดรอน ๆ หัวใจดวงน้อยเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสียให้ได้
            “ขอโทษ...ที่ให้คุณรอมานานแสนนาน...เหนือเกล้าของกระหม่อม ข้าน้อยกลับมาแล้ว...เรามาแล้ว...กลับมาเพื่อเป็นของเดอุสมาร์ส” เสียงพร่ำพรรณนาสับสนอลหม่านเหมือนคนสองร่างไม่อาจเปรียบเปรย
เชอร์รียังไม่ทันจะเอื้อนเอ่ยพันธสัญญา ฉับพลันสติสัมปชัญญะขาดสะบัดดับวูบจมสู่สภาวะหยุดนิ่งแห่งกาลเวลา
           เรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนการแก้ไขและปรับปรุงจะทยอยลงเรื่อยๆ ลงกี่ครั้งก็แก้ทุกครั้งไม่ถูกใจไคซ์เสียทีหวังว่าปรับปรุงแก้ไขครั้งนี้น่าจะได้นิยายครวญรักที่สมบูรณ์ที่สุด ฝากเรื่องนี้ไว้ด้วยนะคะชาวเล้าเป็ดทุกคน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-12-2023 14:52:28 โดย keisarinna »

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: CaLL Me (Le Miel):ครวญรัก
«ตอบ #4 เมื่อ04-01-2024 18:08:11 »

องก์ 2 : ร้ายเล่ห์ล่องหารัก
          ร่างบางเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างเนือยๆ ย่างก้าวแต่ละทีดูโอนเอนซวนเซไม่ตรงทาง เขาสวมชุดคลุมอาบน้ำสีขาวสะอาดปกปิดร่างกายอย่างลวกๆ การแต่งกายล่อแหลมด้วยเสื้อคลุมที่ถูกสวมแบบส่งๆ ขอแค่มีเครื่องแต่งกายปิดบังความอนาจาร จึงออกมาในสภาพจะหลุดไม่หลุดแหล่แต่สภาพหมิ่นเหม่นั้นไม่เป็นที่ใส่ใจของเขาเลยแม้แต่น้อย ดีแค่ไหนแล้วที่ยังหาอะไรมาคลุมตัวเองได้ เพราะมือทั้งสองข้างไร้ซึ่งเรี่ยวแรงไปดื้อๆ แม้แต่จะสวมชุดนอนก็ยังไม่ได้ต้องถือคาไว้อยู่ในมื
          แปลกจัง อยู่ๆ ก็เหมือนคนไร้เรี่ยวแรงหรือเราจะไม่สบาย
          ไข้ขึ้น...ตัวร้อน... แพ้แดด...พ่ายลม...ก็ไม่น่าใช่...เมื่อตอนกลางวันยังวิ่งเล่นอยู่กับเชอร์รีอยู่เลย ตอนหัวค่ำก็ยังไม่มีอาการเหนื่อยอ่อนแบบนี้ หรือเป็นการเปลี่ยนผ่านสู่วัยหนุ่ม! ต้องรีบสวมเสื้อก่อนไม่อย่างนั้นคงเป็นหวัดแน่ ๆ แค่เสื้อก็ยังดี
          เมลย์ค่อย ๆ เดินโซซัดโซเซมาที่กระจกบานใหญ่บริเวณปลายเตียงนอน มือเรียวคลี่เสื้อนอนสีอ่อนออกมา
          พรึ่บ! เสื้อนอนร่วงหล่นไปกองอยู่บนพื้นพรมสีขรึม ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะคว้าเสื้อเนื้อบางให้กลับมาอยู่ในอุ้งมือ ทำได้แค่ปล่อยให้มันนอนกองอยู่ด้านหน้าเท้าเรียวไว้อย่างนั้น ตาเรียวสวยปรายตามองกางเกงที่เข้าชุดกับสีเสื้อ แล้วก็ปล่อยให้มันหล่นลงไปกองไว้ในบริเวณเดียวกัน ขนาดเสื้อยังไม่มีปัญญาใส่ แล้วกางเกงไม่ต้องหวัง ถ้าจะให้ยกขาข้างหนึ่งแล้วทรงตัวอยู่บนขาอีกข้างหนึ่งได้หกล้มหัวทิ้งหน้าคะมำแน่ๆ
          จริงซิ....เชอร์รี่ เป็นยังไงบ้าง? จะเป็นเหมือนเขาหรือเปล่า?
         ไม่ได้การ...เขาจะยืนเป็นตอไม้ตายซากอยู่ในนี้ไม่ได้ต้องไปดูแลเชอร์รี่ มือคว้าเอาเสื้อคลุมเอาสวมอย่างลวกๆ
         ขาเรียวพยายามก้าวออกห่างจากกระจกเงาบานใหญ่ แล้วเดินตรงไปยังประตู แต่ขาสองข้างกลับหนักอึ้งเหมือนก้อนหินแข็งกร้าวขึ้นมากะทันหัน ความเจ็บร้าวพุ่งปะทะทุกครั้งที่จะก้าวหนีออกมาจากกระจก ความเจ็บปวดทำให้ร่างบางหยุดความคิดที่จะก้าวขาเดิน ลำตัวบางเอนทาบผนังผิวกระจกเย็นเฉียบเพื่อพยุงไม่ให้ล้มไปกองอยู่กับพื้น ใบหน้าวัยละอ่อนมองเงาตัวเองที่สะท้อนออกมาจากบานกระจกใสเบื้องหน้า
          นายมันทุเรศสิ้นดีเมลย์ แม้แต่คนที่คิดจะปกป้องยังทำไม่ได้
          แค่นี้ก็อ่อนแอ...เจอความเจ็บปวดเข้าหน่อยก็ท้อแท้สิ้นหวัง แล้วนายจะไปดูแลคนสำคัญได้อย่างไร
          ‘ไม่...ผมไม่ใช่คนอ่อนแอ!’
          "อ๊าก!" ผมร้องเสียงหลงหลังจากที่พยายามรวบรวมพละกำลังที่มีทั้งหมดก้าวหนีไปจากกระจกเนื้อเรียบบานนั้น ความเจ็บปวดแผ่ซ่านวิ่งพล่านไปทั่วเรียวขาทั้งสองข้าง แขนขาพาลเย็นเฉียบอย่างฉับพลัน
           (...มาเถอะให้เราสองได้พลอดกาย…) น้ำเสียงอ่อนละมุนดังแผ่วเบาที่บริเวณใบหู...ผมเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม ผมได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดที่ข้างหูผม ผมเงยหน้าขึ้นมองกระจกบานใหญ่แทบจะในทันที
          แปลกจัง ผมไม่เห็นใครเลย นอกจากตัวเองกับ...กับชุดคลุมหมิ่นเหม่ ที่ผมสวมทับอยู่บนตัวอย่างลวก ๆ ชุดนี้
          ‘ไม่นะ! สายรัดเอวมันกำลังจะหลุด’
          (...เสียงหวานไซร้ หาได้ไร้ สิ้นทรวงหวาม...) โอ้ว..ไม่! ผมพยายามที่จะจับชุดคลุมไม่ให้มันเปิดเห็นสัดส่วนและของสงวนของผมแต่มือผมไม่ยอมให้ความร่วมมือเลยซักนิด ยิ่งผมพยายามขยับมือแต่เหมือนมันกลับยิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย
          “เป็นไงเป็นกันอยากหลุดก็หลุดไป ในนี้ก็ไม่มีใครเข้ามาอยู่แล้วนี่”
          ชายเสื้อคลุมที่ซ้อนทับกันอยู่ค่อยๆ คลายตัวออกจากกัน เปิดเผยสัดส่วนบริเวณกลางลำตัวเป็นแนวตรงยาวผ่าผ่านขนาบทาบตั้งแต่ลำคอ ไหล่กว้างผึ่งผายด้วยเริ่มเข้าวัยหนุ่ม หว่างอกบางหน้าท้องแบนราบและส่วนอ่อนไหวสะดุดตา
          ผมพยายามใช้ ต้นขาปิดบังความอุจาดลูกนัยน์ตา พยายามเบี่ยงสายตาหนีภาพปลุกเร้าของตัวเองที่ฉายตำตาอยู่เบื้องหน้า แต่เหมือนโดนแรงดึงดูดให้ต้องจ้องตอบกลับไปที่กระจกเงาบานใหญ่เพียงแห่งเดียว
          อายตัวเองทำไมผมต้องมานั่งพินิจพิเคราะห์ตัวเองตอนนี้ด้วย
          (...สัมผัสเคล้า ยวนยั่วเย้า เทพอำพราง...) อะไรบางอย่างดันให้ตัวผมแนบทับลงไปบนกระจกผืนเรียบเย็นเฉียบ ความเย็นแทรกซึมไปตามผิวเนื้อเนียน ความรู้สึกบางอย่างกำลังวิ่งพล่านอยู่ในตัวผม
          (...เอนกายลง ทับทาบฉัน ...ทาสรักคุณ...) เสียง..ใครกัน? ทำไมต้องอ่านกลอนบทนั้นให้ดังก้องอยู่ในหัวเขา
          “อ๊า...อะ...อุ๊บ!” น่าอายจริง ๆ ผมเปล่งเสียงอะไรออกมาเนี่ยมันเหมือนเสียงผู้หญิงที่อยู่ในหนังปลุกกำหนัดไม่ผิดเพี้ยน ถึงจะไม่ได้ดูจริงจังแต่เพื่อนๆ ก็เคยเอามาให้เขาได้ดูเปิดหูเปิดตา
          (...นำฉันไป ล่องหนหาย ปลายจักษุ...) “อ๊า...” ไม่! น้ำเสียงน่าเกลียดนี่
          “อื้มม...”
          เมื่อไหร่แรงดันบริเวณสะโพกมันจะหยุดซักที ทุกครั้งที่สะโพกผมโดนดันให้แนบลงสัมผัสพื้นผิวกระจกนั่น เจ้าน้องชายล่อนจ้อนของผมก็แนบสนิททาบแนวลำตัวยาวแนบชิดเบียดตัวกับพื้นผิวเรียบเย็น
          ตอนแรกผมรู้สึกเจ็บ อยากจะขืนสะโพกต้านแต่ก็ทำไม่ได้...ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
          แต่ ตอนนี้ ผมรู้สึกดีอย่างประหลาด...
          แรงดันที่กระทั้นเป็นจังหวะ จากหนักๆ แรงๆ เป็นช่วงๆ ค่อยๆ เพิ่ม จังหวะขึ้น
         กระชั้นขึ้น...หนักหน่วงขึ้น...เร็วขึ้น...แรงขึ้น...
         สะโพกกลมมนของผมไม่รีรอที่จะตอบรับจังหวะกระแทกอย่างบ้าคลั่ง พร้อมเสียงครางชวนอับอายนั่น
         ทุกจังหวะสงบลง หยุดนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมสัมผัสได้ถึงความชื้นบริเวณใบหน้าด้านข้างที่ทาบบนผืนกระจกใส หยาดเหงื่อเกาะพราวไหลรวมกันมายังใบหน้าซีกนั้นจนผมรู้สึกถึงความชื้นแฉะ
         (...โหมโรมรัน พลันไล่ล่า ท้ากระหาย...) ลมหายใจร้อนชื้นของผมเป่ารดผิวกระจกใสจนขึ้นฝ้าบางๆ แล้วก็จางหายไป บริเวณหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจเข้าออกสูดรับออกซิเจนเพื่อทดแทนการขาดหายไปเป็นช่วงๆ ปลายเล็บจิกลงบนกระจกจนนิ้วมือสั่นระริก
          และ...ผิวกระจกบริเวณส่วนน่าอายของผมที่เบียดตัวอยู่ เปรอะเปื้อนน้ำใส ๆ ไหลเยิ้มออกมาจากส่วนปลายแรกแย้มที่ขยายออกอย่างเต็มที่ ความอึดอัดพุ่งทะยานมาที่ส่วนปลายแก่นกายสีสวยไหวสั่นแล้วปลดปล่อยอย่างทะลักทะลาย...
          อุบาทว์จริงๆ …
          ผมทบทวนเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมา...มันไม่ได้ต่างจากการช่วยตัวเอง! ต่อหน้ากระจก...ช่วยตัวเองกับกระจก!...
          (...ขอแค่ฉัน...ได้เป็นหนึ่ง คู่ข้างกาย...ไม่อาจตาย รอนแรมลา ข้ามเขตกาล…) กลอนบทต่อมายังคงดังก้องอยู่ในสมองของผมอย่างต่อเนื่องผมรู้สึกได้ว่าเสื้อคลุมถูกถลกขึ้นไปอยู่เหนือสะโพก...
          ผมตกใจ! อยากต่อต้านผู้รุกรานความบริสุทธิ์ของผม ถึงผมจะไม่ประสีประสาเรื่องอย่างว่า แต่ผมก็ไม่โง่ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เหตุการณ์เริ่มเกินขอบเขตไปแล้ว ถึงจะอ่อนประสบการณ์ด้านความรักแต่ไม่ได้ขลาดเขลาการเสพใคร่
          แต่จะทำอะไรได้...อยากจะทำอะไรก็ทำ รีบทำให้มันจบ ๆ ผมจะรีบไปหาเชอร์รี่
          “อ๊า...เจ็บ!!” อะไรบางอย่างแทรกเข้ามาในตัวผมอย่างรวดเร็วต่างจากครั้งแรกมากนัก ขาผมสั่นพั่บๆ เม็ดเหงื่อซึมออกมาทั่วไรผมชื้น ความกลัวเริ่มเกาะกุมทั่วร่างกาย มือผมจิกลงบนผืนกระจกเพื่อระบายความเจ็บ ความปวดร้าวแสดงขอบเขตไปทั่วสะโพกจนชาดิก แน่นิ่งแช่อยู่นานความกลัวค่อยๆ จางหายไปทีละน้อยๆ อย่างน้อยก็รับรู้ว่าผมจะไม่เจ็บมากไปกว่านี้…ถ้า
          คน... ผี…ภูต...หรือจะตัวอะไรก็ตาม ที่กำลังย่ำยีผมอยู่นี้ ใจดีพอ
          เสียงคนร่ายบทกลอนยังคงดังอยู่ในโสตประสาท น้ำตาก็เอ่อล้นไหลรินออกมา ไอความร้อนเกาะผืนกระจกจนเกิดฝ้าสีขาวจางๆ ไปทั่วบริเวณที่ใบหน้าหวานได้พ่นผ่อนลมหายใจ ทั้งที่อากาศหนาวเย็นแต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงไอเย็นเลยซักนิด
          ผมเริ่มรู้แล้วว่า…ตัวผมได้เชื้อเชิญความอัปรีย์มาสู่ตัวเอง...
          เชอร์รี่จะเป็นอย่างไรบ้าง...!
          'ได้โปรด...อย่าทำอะไรเชอร์รี่เลยชีวิตที่มีอยู่ของเขาช่างเหมือนดอกไม้งามที่รอวันโรย’
          “ลงกับผมคนเดียวเถอะ...ทำผม...ย่ำยีผมให้อับอาย...ทำร้ายร่างกายผมให้พอจนคุณพอใจแล้วปล่อยญาติผู้เป็นที่รักของผมไป อย่าให้คนบริสุทธิ์แบบนั้นต้องแปดเปื้อน” เด็กน้อยฟังคำภาวนาของตัวเองที่พร่ำบอกใครบางคนไม่หยุดหย่น
          ตัณหาราคะ ถ้าปราถนา...เชิญลงที่ผมนี่!
          สภาพรอบตัวยังคงสงบเงียบเชียบ ผมพยายามพูดจาอ้อนวอนต่อสรรพสิ่งที่อำพรางตัวอยู่ในเงามืด แม้มันจะดูสูญเปล่าแต่ผมก็อยากจะขอร้อง เพื่อคนคนนั้น ผมยอมแลกได้ถึงจะเอาวิญญาณของผมไป...ผมก็จะให้ แค่เพียงให้เชอร์รี่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
          … (“แด่เดอมีทรี คนที่ผมเฝ้ารอมานานแสนนาน”) ...
          ผมรีบหมุนตัวกลับมายังเสียงพูดอ่อนโยน ทุ้มลึกละมุนหู
          เสียงนี้...เสียงที่ผมมักได้ยินตอนหลับใหล เสียงที่ผมเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ผมจะได้เห็นหน้าบุคคลที่พร่ำรำพันคำหวานให้ผมได้ฟังแทบจะทุกคืน
          เขาอยู่ที่นี่...เขาอยู่กับผมแล้วที่ปราสาทแห่งนี้
          “อา!” ช่องทางที่เชื่อมระหว่างผมกับคนๆ นั้นเบียดหมุนวนตามจังหวะเอี้ยวตัวของผม เขายกขาทั้งสองข้างของผมโอบรอบเอวหนาของเขาไว้หลวมๆ
          … (“อดทนหน่อยนะ...คนดี เจ็บนิดเดียว แล้วคุณจะจำผมได้”) ...
          “อ๊ะ!” ผมแทบจะสิ้นสติเมื่อคนแปลกหน้าดันแทรกลึกไปจนสุด ร่างกายเราสองคนเชื่อมชิดแนบสนิทยิ่งกว่าเก่า ผมกระพริบตาถี่ๆ ไล่หยาดน้ำตาที่เอ่อล้นจนมองทุกอย่างลางเลือนไปหมด โดยเฉพาะผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าผม ใบหน้าสองเราห่างกันเพียงไม่กี่เซ็นต์ มือเขาค่อยๆ ลูบไล้ต้นขาผมไปมา เหมือนมันจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้บ้าง
          เพราะตอนนี้ผมกลับรู้สึกอึดอัด และร่างกายช่วงล่างมันปวดแปลกๆ อยากจะทำอะไรกับสิ่งที่สอดแทรกเข้าในตัว แต่ก็ไม่รู้ว่าผมต้องจัดการกับมันยังไง
          ... (“ขยับนะที่รัก...”) ... ทันทีที่เขาขยับตัวออกแล้วดันเข้าไปใหม่ซ้ำๆ ช้าๆ มันยิ่งทำให้ผมทรมาน อาการปวดที่ผมบรรยายไม่ถูกก็ยังไม่หายไปเสียที
          “ผะ...ผมรู้สึกแปลกๆ” ผมเริ่มเป็นฝ่ายดันสะโพกเข้าหาเขาเสียเอง แต่ทุกอย่างดูเชื่องช้าขัดหูขัดตาผมไปเสียหมด
          “ทำให้ผมรู้สึกดีกว่านี้ก่อน” แทบไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้ยินน้ำเสียงของตัวเองส่งคำสั่งเอาแต่ใจ และเน้นหนักบ่งชี้ความต้องการทางเพศเช่นนี้
          ผมสาบานผมเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากชายคนนั้น จากนั้นสติผมก็หลุดลอย ในหัวผมโล่งไปหมด ผมได้แต่ปล่อยตัวปล่อยใจ ไปกับแรงกระแทกถี่กระชั้น แรงเสียดสีจากภายในที่ร้อนระอุ เสียงเนื้อกระทบกันไม่หยุดหย่อนกระแทกย้ำๆ ซ้ำที่จุดๆ เดิมมันทำให้ผมแทบคลั่ง
          “พะ พอ...ผมไม่ไหวแล้ว สุดทนแล้ว”
          ทันทีที่ผมหลุดประโยคนั้นออกไป...ผมรู้สึกว่าแล้วว่าผมก็เหมือนนางเอกหนังต้องห้าม...ไม่เป็นไรผมยอมขอให้คนที่ผมห่วงใยปลอดภัย
           ... (“คิดถึงใครอยู่ เดอมีทรีคุณต้องคิดถึงแต่ผมเท่านั้น...อย่าลืมซิ”) ...
          ผะ..ผมรู้สึกว่าเขาทำรุนแรงขึ้น...แต่ทำไมยิ่งแรง..ผมก็ยิ่งรู้สึกดี ผมเอื้อมแขนสองข้างคล้องลำคอแกร่งเพื่อพยุงตัว หวังให้ช่วยผ่อนแรงกระแทกกระทั้นที่รุนแรงนั้นได้บ้าง
          ทำไมนะ...ผมรู้สึกว่าเหตุการณ์นี่มันเกิดซ้ำๆ ย้ำๆ แต่ที่เดิม ๆ
          ใบหน้าขาวนวลใส แววตาคมไหวระยิบระยับด้วยไฟปรารถนา ช่วงไหล่กว้างผึ่งผายจนผมเผลอพรมจูบไล่เรียงตามแนวกระดูกเหยียดตรง แล้วไล้ริมฝีปากบนลำคอแกร่งไปเรื่อยจนถึงปลายคาง ร่างโปร่งสูงเพรียวเป็นฐานให้ผมได้ร่ายทำนองรักจาบจ้วงโจนทะยานต่ำมิดขั้วและสูงเสียดยอดปลายแก่นกายที่อุ่นร้อนสอดใส่ร่องริ้วอ่อนนุ่มอย่างหิวกระหาย
          คำพูดสั่นเทิ้มไม่ได้สรรพ ทุกซุ่มเสียงครางกระเส่าในลำคอ ร่างกายโยกขยับเป็นจังหวะ หยาดเหงื่อเย็นชื้นเกาะพราวตามใบหน้าหล่อเหลานุ่มนวล
          ทุกอย่างของคนๆ นี้เป็นของผม!
          ที่เดิมตำแหน่งเดิมความใคร่ในแบบเดิม ...
          บทรักที่โหมพัดกระหน่ำเริงร่านช่ำชองกับคน คนเดิม...

          ทุกการเคลื่อนไหวมีแค่ผมเท่านั้นที่ได้สัมผัส!
          “ระ...แรงหน่อย ยูดาล์สรู้ใช่ไหมทำให้ผมรู้สึกดีต้องทำยังไง!” ร่างกายบิดเร้ายั่วยวนเมื่อความต้องการทางร่างกายถูกเร่งเร้าและเติมเต็มอย่างรู้ใจ
          ... (“บอกแล้วไง ประเดี๋ยวคุณต้องจำผมได้”) ...
          “อื้ม...คิดถึงผมหรือเปล่า...รักผมซิ แบบเดิมๆ” รุกล้ำรุนแรงแค่ไหนก็ยังไม่รู้จักดับความกระหายที่ปะทุขึ้นอย่างไร้การควบคุม แรงรักแรงอารมณ์พุ่งทะยานไร้สติสัมปชัญญะที่จะควบคุมให้กลับมาสู่ภาวะความพอดี
          ร่ายมนต์ เริงรัก ประทับสวาท ไม่ว่าเมื่อไหร่ร่างกายไม่เคยเรียนรู้คำว่าพอ
          … (“หึ...ใจร้ายไม่เปลี่ยนเลยเดอมีทร์ที่รัก ผมจะรักคุณให้คุณจำไปจนตาย”) ...
          ผมประกบริมฝีปากลงบนเรียวปากอิ่มที่แสนจะคุ้นเคย...ผมสาบานผมไม่เคยเจอชายคนนี้เลย
          ปลายลิ้นผมเกี่ยวตวัดไล่ต้อนลิ้นหนาอย่างชำนาญ...ผมสาบานนี่คือจูบแรกของผม
          สะโพกกลมโยกพลิ้วรับสอดสัมผัสร้อนปรนเปรอแรงกระสันอย่างคนรู้ใจเสพรสรักอย่างกระหายร้อนแรง…ผมสาบานผมบริสุทธิ์แต่ไม่ผุดผ่องนักตามประสาเด็กผู้ชายเริ่มเข้าวัยหนุ่ม
          ผมคือใคร...ผมเป็นใคร....
          ใครบางคนอยู่ในตัวผม? หรือมันคือตัวตนจริงๆ ของผมกันแน่!
          แต่...ผมรู้สึกดีจัง...
          ยูดาล์ส ทาสรักของผม นานแค่ไหนเขาก็จะยังรักแต่ผม
          "ดี!ทาสรัก...ของข้าทำให้ระลึกถึงมากกว่านี้สิ" เสียงใครคนหนึ่งกรีดร้องเรียกหารักอย่างโหยหา จนร่างกายของเมลย์สั่นเทิ้มสุดจะต้านทานแรงโหยไห้แห่งจิตวิญญาณที่สะท้อนออกมาจากทุกอณูในร่างกายนี้
ร้อนแรง แต่อบอุ่น ร้อนรุ่ม กรุ่นอ่อนโยน
ร้อนรัก จาบจ้วงโจน ร้อนแรงดล คาวคราบรัก และภักดี
ร้อนแรง อัคคีสาน ร้อนรุ่มการณ์ คาวโลกีย์
ร้อนรัก สอดเสียดสี สองร่างนี้ หล่อหลอม รวมหนึ่งเดียว
ร้อนแรง ซ่านทรวงจิต ร้อนรุ่มฤทธิ์ ลิ้นปราดเปรียว
ร้อนรัก ชื้นลำเรียว ถางทางเปลี่ยว ช่องหวานหอม ห่างโรยรา
ร้อนแรง ดั่งเสพติด โยนโยก ชิดโหยหา หายใจ ล้ากายา รักหรรษา
เผาอุรา ลิ้มโลกันตร์

          เสียงถอดถอนลมหายใจดังสอดรับกันเป็นจังหวะพร้อมเสียงครางครวญไม่หยุดหย่อน
          ร่างกายทั้งสองเกร็งกระตุกก่อนการปลดปล่อยพันธนาการแห่งรักจนล้นเอ่อทั้งภายในและภายนอก สายใยสีขาวขุ่นชโลมร่างอิ่มเอมทั้งกายใจของคนทั้งคู่
          ยิ่งกว่าการร่วมรัก ยิ่งกว่าความกำหนัดในอารมณ์ใคร่
          ยิ่งกว่าความรักที่หล่อหลอมรวมใจ ยิ่งกว่าความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งใด
          วิญญาณรักพันธะใจปลดปล่อยไซร้จากภูตบาล
         “มันยังไม่สายไปใช่ไหม...ถ้าเราอยากเป็นคนทำพันธสัญญาครั้งนี้เสียเอง!”
         (... “เดอมีทรี! แน่ใจแล้วหรือที่จะทำ” …)
          หากนี่คือการตัดสินใจครั้งแรกและครั้งเดียวในชาตินี้ ขอให้การติดสินใจครั้งแรกและครั้งสุดท้ายจงสัมฤทธิ์ผล ผมขอใช้ตัวเองหันเหวิถีทางแห่งอาถรรพ์ ขอใช้ความตั้งมั่นด้วยจิตบริสุทธิ์ตอบแทนคำขอที่จะบังเกิดผลในอีกไม่กี่อึดใจ
          “หากมีใครต้องสูญสิ้นวิญญาณ คน ๆ นั้น ขอให้เป็นข้าเอง ใช้ชีวิตทั้งหมด คืนชีวิตให้ญาติอันเป็นที่รักคนเดียวบนโลกได้มีชีวิตอยู่ต่อไปในชาตินี้”
          ให้ดอกไม้ผ่องอำไพได้ชูช่อโล้สายลมล้อแสงแดดอาบแสงจันทร์หมื่นแสนวันหาได้ร่วงโรย
          รับรู้การร้องขอ วงล้อรับวัฏสาร เอื้อนเอ่ยธุรการ เสนอข้า ต่างตอบแทน
          “ขอโทษ...ข้าเดินผิดทาง ผิดเองทั้งหมด ผมอยากแก้ไขแม้ผลที่ได้จะเล็กน้อย”
          (... “แล้วข้าล่ะจะทนได้อย่างไร อดทนรอเจ้าเพื่ออะไร” …)
          "ยูดาล์สทุกอย่างมันเกิดจากผม ปล่อยผมให้แก้ไขปมในอดีตชาติ”
          (... “ข้าปล่อยเจ้ามาตลอด...แต่คนที่ไม่ยอมปล่อยข้าคือเจ้า” …)
          “จะเสียใจไปไย สรรพสิ่งล้วนมีชีวิตและทางเดินเป็นของตนเอง”
          ชายร่างสูงมองเข้าไปยังดวงตาสีฟ้ากระจ่างสดใสหวังจะสัมผัสความหมายของหัวใจในร่างที่เขาแสนรักตรงหน้า การสื่อความหมายที่ตัวเขาไม่เคยมีวันจะหยั่งถึง ร่างบางโอบกอดเขาอ้อมกอดที่อบอุ่นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรัก แต่กลับเหว่ว้าว่างเปล่าในความรู้สึกของยูดาล์ส
          “แปลกจังนะ ทุกครั้งที่คุณสัมผัสผม ผมได้แต่เจ็บปวด” เสียงเด็กน้อยย่างเข้าวัยแตกหนุ่มพรรณาโวหารเกินอายุได้น่าหมั่นไส้นักคนซึมเศร้าได้แต่หยุดนิ่งตั้งใจฟัง
          “เจ็บปวดที่รักคุณไม่ได้มากเท่าที่คุณรักผม อ้อมกอดของคุณทำให้ผมทรมานที่ไม่สามารถโอบรับกอดตอบคุณโดยที่ไม่นึกถึงคนอื่น” ยูดาล์สพยักหน้ารับพร้อมถอนใจออกอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อต้องมาฟังเด็กน้อยพูดจาแก่แดดแก่ลมแต่กลับอิ่มอกอิ่มใจจนไอร้อนตีขึ้นใบหน้า
          "รสรักของคุณผมซาบซึ้งใจ ไม่ว่ามากแค่ไหนผมก็ไม่เคยพอ" เสียงเพราะเสนาะหูเอ่ยวาจาเจื้อยแจ้วเปิดเผย
          ยังไม่ทันได้ได้ลิ้มรสความกระหยิ่มยิ้มย่องให้สาแก่ใจต้องสะดุดหน้าทิ่มเพราะทำถามที่ยากจะตอบมากมายจากคนร่างเด็กความคิดโต
          "ผมเคยเป็นคนเลวอย่างนั้นหรือ คุณผู้มาเยือน แต่...ถึงผมจะเลว แล้วทำไมคุณยังมาหาผมอีกล่ะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
          (... “มันไม่ใช่ความผิดคุณ...คุณไม่ต้อ...ง” …) มือบางปิดริมฝีปากสีเข้มอิ่มสวยไม่ให้เอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ
          “คุณรักผมใช่ไหม”
          (... “รัก...รักมาก” …)
          “ทางเดียวที่ผมจะได้อยู่กับคุณอีกครั้ง...”
          (... “ไม่...ข้าไม่ต้องการให้เจ้าต้องทรมานแบบนี้” …)
          “แต่ผมต้องการ ผมต้องการคุณนะให้ผมได้อยู่ในที่ๆ เดียวกับคุณ”
          (... “คุณไม่ได้ทำเพื่อผม คุณทำเพื่อเฌอรีน คุณไม่ได้รักผมจริง” …) เสียงสะท้านแหบแห้งสั่นเครือด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่คนแสนรักหาได้ทำทุกอย่างเพื่อเขาดังคำกล่าวหวานหูประโยคนั้นไม่
         “เชอร์รี่น่ะเหรอผมเกิดมาก็ถูกสอนให้ทำทุกอย่างเพื่อญาติผู้พี่อันเป็นที่รักอยู่แล้ว ผมมีหน้าที่ดูแลให้ดีเปลี่ยนมันไม่ได้ สำหรับคุณมันแปลกมากเลยผมกลับรู้สึกว่าผมเกิดมาเพื่อวันนี้”
         มือเรียวดึงมือหนาทาบทับที่หน้าอกด้านซ้าย รอยยิ้มหวานปานเทวดาองค์น้อยทำให้ร่างบางตรงหน้าเหมือนดังคนพิเศษที่เกิดมาเพื่อตัวเขาจริงๆ
         "ถึงผมจะให้ความรักไม่ได้ครึ่งหนึ่งที่คุณรักผม แต่ทุกอย่างที่เป็นผมเป็นของคุณไปแล้วนะ” คนได้ฟังยิ่งปลื้มปริ่มอิ่มเอมใจแต่อยากให้คนผู้เป็นที่รักได้ใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ปกติมากกว่าเร่ร่อนรอยเคว้งเป็นจิตวิญญาณล่องลอยไร้ร่างกาย
          (..." อย่าเลย ผมขอร้องอย่าทำแบบนี้...ได้โปรด"…)
          “ฟังผมนะพ่อคนสวย...ต่อจากนี้ไป ผมจะกลับไปยังที่ของผม ที่ๆ มีคนชื่อคล้ายๆ ผมอยู่ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป จนกว่าวิญญาณผมจะสูญสลาย” ไม่พูดเปล่าสองมืออูมยังประคองคนหนุ่มหน้าสวยต่างวัยให้มองสบตาระยะใกล้

          เพล้ง!
          กระจกใสแตกร้าวไปครึ่งบาน เศษเสี้ยวที่แตกหักล่วงหล่นลงบนพื้นสีเข้มทึบทึม มือเรียวกำเศษกระจกชิ้นถนัดมือค่อยๆ กดความคมแวววาวบนลำคอขาวเนียนค่อยๆ เพิ่มแรงกดช้าๆ นิ้วเรียวขาวซีดรีบจับมืออูมที่เต็มใจทำอัตวินิบาตกรรมหวังทำการหยุดยั้งก่อนเกินการณ์
          เรียวแรงมหาศาลของจิตภูตมีหรือจะสู้แรงคน...
          น้ำทับทิมสีเข้มกลิ่นเหมือนผงเหล็กไหลออกมาทีละนิดๆ จากหยดเล็กๆ รวมตัวกันเป็นทางยาวแล้วบรรจงไหลรวมดั่งธารโลหิตลงมาเรื่อยๆ ลำเลียงไล่มาช้าๆ ผ่านลำคอขาว ผ่านแผงอกบาง เสื้อคลุมสีขาวดูดซับความเปียกชุ่มอุ้มธารน้ำสีแดงไม่ให้ไหลลงยังเบื้องล่างแต่ไม่อาจห้ามการไหลรินบนลำคอของผู้สวมใส่ได้
          (... “ทำไมต้องเป็นคุณ” …) ใบหน้าเย็นแนบเนื้ออุ่นอ่อนนุ่มที่ข้างแก้มร่างเด็กของคนรักในชาตินี้ ดวงหน้าอดสูสงสารเมลย์ที่เลือกวิธีเจ็บตัวทำพันธสัญญาซาตาลความตายมีหลากหลายอย่างหากเลือกที่จะไม่ตายทรมานเขาก็คงไม่ทุกข์ใจ
          “อย่าร้องไห้ ยูดาล์สเรากำลังจะมีความสุข ต่อจากนี้ไป....” / “อย่าเศร้าไปคนงามของผม เราจะมีความสุข ต่อจากนี้ไป” เสียงทั้งสองผสานกันทั้งโสตประสาทและเสียงสัมผัสทั้งดีใจทั้งประหลาดใจที่ชาตินี้อาจได้ควงคนงามถึงสองคนต่างวัย!
คมวาบแวววาวปาด  เศษแหลมกราดกรีดเนื้อองค์
มือกดกรีชปลงลง   ปลดเปลื้องทรงระทนทุกข์
ขมขื่นสุขดุจพรายลวง  อนึ่งทรวงดวงหทัยหาย
ครวญคร่ำครากรีดกราย  หลั่งเลือดไล้โลมกายา
อาถรรพ์คณนา    สุดปรารถนาจงลงทัณฑ์
มัจจุราชกัณฑ์ร้องก้อง รับเลือดนองผ่องตัวข้า โปรดพาจิตวิญญา
คนรักหวนคืนหล้า สลับร่างแปลงญาณตรา ตราบชั่วกาละนานเทอญ
(ร่ายสุภาพ)
          ตอนที่ 2 ลงแล้วนะคะ ฝากผลงานเรื่องนี้อีกเรื่องและเรื่องต่อๆ ไปด้วยจ้า  :katai3:

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
องก์ 3 - เจื้อยแจ้วเจรจา
          ร่างบางวิ่งกระหืดกระหอบตรงรี่มายังห้องนอนเมลย์ทันทีที่ได้ยินเสียงกระจกแตกลอยแว่วมากระทบโสตจับทางเสียงได้ว่ามันมาจากที่นี่
          แม้ร่างกายจะเหนื่อยอ่อนไร้เรี่ยวแรง การเคลื่อนไหวที่ทำได้ไม่รวดเร็วดังใจสั่ง สะดุดขาที่อ่อนล้าของตัวเองจนล้มไม่เป็นท่าอยู่หลายครั้ง แต่ร่างบางก็ไม่ละความพยายามจนมาถึงห้องผู้เป็นทั้งญาติเป็นทั้งเพื่อนคนสนิท

          ความผูกพันที่มากกว่ารัก มากกว่าความผูกพัน ที่ทั้งสองรู้ดีว่าเกิดมา “เพื่อกันและกัน” เมลย์บอกเขาเสมอมา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะอยู่เคียงข้างกันพร่ำบอกเขาเสมอมาว่ารักมากกว่าใคร
          โกหก...เมลย์โกหก เพราะกำลังจะไปจากเชอร์รีคนนี้...
          “เมลย์! โอ้!...เมลย์ คุณพ่อบ้านช่วยด้วย!...มีใครอยู่ไหมช่วยด้วย!” เสียงหวีดร้องดังก้องปราสาทอึมครึม
          “เชอร์รีอย่าลำบากเลย”
          เชอร์รีพยายามห้ามเลือดที่ไหลรินออกมาจากลำคอที่เคยขาวเนียน แต่ยิ่งกดเลือดก็ยิ่งไหลล้นมากขึ้น ร่างบางตกใจรีบชักมือกลับมือบางสั่นไหวได้แต่โอบกอดคนตรงหน้าไว้เมื่อสัมผัสได้ถึงผิวกายอันหนาวเย็น
          “เมลย์ตายแล้วเราจะอยู่ยังไง ทำไมต้องทำแบบนี้ทำไม ฮือ… เมล์เคยบอกจะปกป้องบอกจะอยู่เพื่อกันและกัน แล้วทำไม ทำไมล่ะ!”
          น้ำเสียงโหยไห้ปานจะขาดใจตายเสียให้ได้ ทั่วร่างสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น ภาพความโศกาเบื้องหน้าต่อคนไร้หัวใจก็คงอดหวั่นไหวไปกับความโศกเศร้าเสียใจที่มากล้นยากจะกักกดอารมณ์ไม่ให้น้ำใสเอ่อชื้นคลอเบ้าตาช่างทำได้ยากเย็น
          “ผ...ผมจะไม่ตาย จะอยู่กับเชอร์รีตลอดไป ร...เราต้องอยู่ด้วยกัน..ตลอดไป”
          รอยยิ้มที่สวยที่สุดที่เคยมอบให้คนพิเศษคนหนึ่ง ที่หัวใจเคยบอกว่ารักคนนี้ รักมากแต่ก็รักอีกคนมากเช่นกัน...
          “เชอร์รี อยู่ต่อไปนะ...อยู่ด้วยกัน...รับช่วงเวลาที่เหลือของผมเอาไว้ด้วย” เมลย์กระซิบกระซาบจนคนตั้งใจฟังต้องแนบหูข้างริมฝีปากเพื่อจะฟังให้ถนัดมากขึ้น
          “ไม่ต้องพูดแล้ว ใครก็ได้ช่วยด้วย!” เชอร์รียังไม่ละความพยายามที่จะเรียกผู้ใหญ่เข้ามาช่วยเหลือ
          “อยู่ต่อให้มีสุขนะเชอ...ร”
          “เมลย์! ได้โปรด...” สองมือโอบกอดร่างญาติผู้น้องไว้แนบกาย พยายามจะอุ้มยกให้ลุกขึ้นแต่พละกำลังไม่สามารถฉุดร่างทิ้งกายหยาบที่หนักอึ้งขึ้นมาได้
          “ขอโทษ ผมจะ..จะแก้..ฮึก!...ไข” ก่อนสิ้นสัมปชัญญะจะวูบดับภาพเหตุการณ์ต่างๆ ไหลหลั่งเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาไม่รู้ภพไหนชาติไหน เจ้าตัวคุ้นเคยกับทุกเหตุการณ์เหมือนพึ่งผ่านมาไม่นาน พอจะมีแรงปรือตาขึ้นตอบรับแสงเจิดจ้าหนึ่งหนุ่มคุ้นหน้าและอีกหนึ่งร่างคุ้นกายาทอดแขนต้อนรับสู่อีกโลกดั่งความตั้งใจ
          “เมลย์!... ใครก็ได้ช่วยที...ช่วยด้วย!”
          เสียงร้องเรียกเพื่อนรักดังก้องทั่วทั้งห้อง น้ำเสียงวิงวอนขอร้องให้ใครซักคนหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่เมลย์น้องรักของเขา

...วิถีแห่งอาถรรพ์ กำลังร่ายเวทมนต์ฑณกัณณ์ ตามร้องขอ...

          “ฮะ...ฮึก” ร่างบางชักกระตุกเหมือนโดนแรงกระแทกบางอย่างอัดกดลงมาอย่างรวดเร็วบริเวณทรวงอก
          “อ่ะ!..ช..ชวย...ช่วยด้วย” เชอร์รีล้มตัวนอนแนบร่างชุ่มเลือดของเมลย์ ลมหายใจเริ่มขาดหายเป็นช่วงๆ จนริมปากอิ่มสวยต้องอ้าปากช่วยสูดอัดอากาศเข้าปอดเพื่อช่วยระบบหายใจถ่ายเทออกซิเจนให้หัวใจได้สูบฉีดไหลเวียนเลือดดีไปหล่อเลี้ยง
          การทำงานบางอย่างในร่างกายเริ่มผิดปกติ กระบวนการหายใจเริ่มติดขัด ร่างกายเริ่มหอบโยนตัวขึ้นลงช้าๆ ริมฝีปากสีสวยเริ่มขึ้นสีคล้ำ ใบหน้าที่เคยขาวใสเริ่มซีดเซียว ดวงตากลมโตดูสดใสเปล่งประกายเริ่มหม่นหมองเลื่อนลอย
          ทุกครั้งที่ร่างกายเป็นแบบนี้ ทุกครั้งที่ความน่ากลัวจากโรคกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้รุกรานลมหายใจของการมีชีวิตรอด
          ทุกครั้งที่เคยกลัว...ทุกครั้งที่ต่อต้านแต่ไม่ใช่ครั้งนี้
           “เมลย์ รอก่อน...รอ” ร่างร่อแร่อยู่รอมร่อยิ้มบางเบาตอบรับความตายด้วยความปรีดี

หัวใจ ดวงนี้ อ่อนล้า เหลือเกิน
รวยริน เชิญลิ้ม ล่วงล้ำ อัตตา
รอบกาย รุมร้อน โลมเร้า เหลือคณา
อยากหาย อยากหลบ ประสบเพลา
เชิญเถอะ อุษา พาตัวข้า ล่องลอยไกล
จากนี้ ตรงนี้ ขอแค่ หยุดนิ่ง
ไร้รัก แนบอิง ไร้สิ้น ปรารถนา
คำว่าตาย คำว่าวาย ชีวา
ถึงแม้ม้วย มรณา จะไม่ขอ ร้องอ้อนวอน


          วัฎจักรสืบสารคำร้องขอเริ่มทำการข้อเสนอรอรับบรรณสารขั้นตอนการทำเนินงานเริ่มเปิดฟันเฟือง
          “ยูดาล์ส ถอยออกมา”
          “ครับคุณชาย” สิ้นทำสั่งร่างสูงหลีกทางให้อีกคนได้ทำพันธกิจให้เสร็จทันเวลาและรวดเร็ว
          นิ้วเรียวยาวบรรจงกดสัญลักษณ์รูปดาวห้าแฉกลงบนหน้าผากเนียนซีดของเมลย์ รอยเล็บแหลมคมทิ่มแทงผิวเนื้อถึงเลือดจะออกมาไม่มากนัก แต่ก็ซึมตามรอยกดจนปรากฏรูปสัญลักษณ์พันธผูกพัน
          ไอสีขาวค่อยๆ แทรกตัวผ่านคราบเลือดจางบนหน้าผาก จากสีขาวฝ้า โปร่งใสเริ่มรวมกลุ่มก้อนเป็นเงาบางเจือจางแล้วเด่นชัดจัดเจนเป็นรูปร่าง เหมือนดั่งบุคคลธรรมดาแต่ดวงตายังปิดสนิท โลหิตไหลรวมตัวกันเป็นสัญลักษณ์รองรับร่างเด็กหนุ่มทั้งสอง
          “น้องรัก...พี่มารับแล้วเจ้าจงตื่นมาเถิด...คำขอเจ้าสำเร็จสมประสงค์แล้ว”
          ทันทีที่ดวงตาเรียวเปิดออกรับรู้การกลับมาอีกครั้งที่ต่างจากเดิม คนคนหนึ่งที่เขาจำได้เลือดเนื้อเชื้อขัยไม่อาจลืมเลือน
          “น้อมรับคำท่านพี่ แล้ว...”
          “เฌอรีนจะปลอดภัย...อย่างน้อยก็ช่วงนี้”
          “ข้า...”
          “ปิดวาจากเสียเถิด...คนสำคัญของเจ้ารออยู่...ใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่า ทดแทนช่วงเวลาที่น้องละเลยมันไป”
          “น้อมรับบัญชา”
           ร่างบางเดินดั่งลอยมาหายูดาล์สช้าๆ สองแขนเรียวอ้าออกกว้างเตรียมโอบรับคนเบื้องหน้าด้วยความเต็มใจ จากนี้ไปอ้อมกอดนี้จะมีแต่คนรู้ใจเคียงข้างกาย
           “ยูดาล์ส” ใบหน้ายิ้มแย้มดุจเทวดาองค์น้อยๆ ได้กลับมาอยู่บนใบหน้าหวานอีกครั้งหนึ่ง ร่างดั่งกลุ่มควันบางเบาไม่อาจทำให้ชายหนุ่มผู้เฝ้ารอได้โอบกอดได้สมรัก เขาเดินตรงเข้าหาร่างบางดั่งต้องมนต์สะกด
           ไม่มีคราใดที่เขาไม่หวั่นไหว ไม่มีครั้งใดที่เขาไม่ต้องทุกข์ทน...
           อ้อมกอดตรงหน้าแม้จะหนาวเหน็บว่างเปล่า แต่หัวใจของเขาขอน้อมรับความหนาวเย็นด้วยความเต็มใจ ถึงมีแค่ช่วงเวลาน้อยนิดเขาก็พร้อมจะตักตวง ไม่สนใจคำร้องขอใดๆ จากคนตรงหน้าอีกแล้ว
           “ข้ากลับมาหาท่านแล้ว” ริมปากรูปกระจับเย็นชืดบรรจงจูบแผ่วเบาริมปากอิ่มสวย
           “ตัวคุณเย็นจัง...” ยูดาล์สลูบไล้เรือนร่างบางเบาไปทั่ว ทุกผิวสัมผัสที่พาดผ่านช่างหนาวสะท้านถึงหัวใจ ด้วยคำขอยังไม่สิ้นสมบูรณ์ร่างจำแรงจึงยังไม่เสมือนจริง
           “ทำให้ร้อนสิ...ทำได้ใช้ไหม”
           คนร่างสูงยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะอุ้มร่างบางเบาดั่งนุ่นขึ้นแนบอกแล้วเดินกลืนหายไปกับความมืดมิดแห่งรัตติกาล

          เสียงเอะอะเอ็ดตะโรดังระงมไปทั่วปราสาทตั้งตระหง่านถมึงทึง เหล่าคนงาน และพ่อบ้านต่างตะโกนกันโหวกเหวก เสียงสั่งงานดังเป็นระยะคนงานต่างเตรียมการกันชุลมุน
          จุดมุ่งหมายของพ่อบ้านคือห้องชั้นบนของคุณหนูทั้งสอง ตัดสินใจเปิดห้องคุณคนเล็กก่อนเป็นคนแรกแล้วต้องตกใจแต่ประคองสติไว้ให้แก้การณ์ที่ไม่คาดคิด รักษาชีวิตทั้งสองคนให้รอดปลอดภัยให้ได้มากที่สุด

          “คุณหนู!...ใครก็ได้เตรียมรถออกที อาการคุณหนูเชอร์รีกำเริบ....เร็ว!”
          “คุณหนูเมลย์...คุณเมลย์! เร็วเลย! รีบเอารถออก อุ้มคุณทั้งสองไปที่รถ เร็วๆ เร่งด้วยจะไม่ทันการณ์” พ่อบ้านสั่งการถี่ขึ้นเมื่อเห็นสภาพการณ์ทั้งหมด
          “อะไรครับคุณพ่อบ้าน”
          “ไอ้งั่งเอ้ย! ฉันพูดจนคอจะแตก เอารถออกไปโรงพยาบาลด่วน!”
          “คะ...ครับ”
          “เรียกพวกที่เหลือมาคนหนึ่งยกร่างคุณเมล์ยด้วย! แล้วรีบตามมา”
          “ครับ!”
          ชายสูงวัยหงุดหงิดเมื่อคนงานวัยหนุ่มแน่นทำงานอึดอาดเงอะงะไม่ทันใจ ถึงอายุจะมากแล้วแต่พละกำลังมีเหลือหลายมือกร้านหยาบอุ้มร่างเชอร์รีอย่างระมัดระวัง แล้วยังหันไปสั่งการให้คนงานที่ตามมารีบนำร่างเมล์ยมากับเขาด้วย
           เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขับเคลื่อนความหวังแห่งการมีชีวิตรอดของหนึ่งชีวิต และอีกหนึ่งชีวิตค่อยๆ แผ่วลงรอหยุดนิ่ง ปราสาทลึกลับภายใต้เงาจันทร์แห่งนี้ได้กลับสู่ความเงียบสงบอีกครา เสียงจิ้งหรีด จักจั่น หรือเรไรก็ได้เงียบหายไปพร้อมกับความสับสนอลหม่านของปุถุชนในคฤหาสน์หลังนี้
           มีผู้เร้นกายาซ่อนตัวในเงามืดภายในตัวปราสาทเฝ้ารอคนสำคัญที่ต้องกลับมาสักวันหนึ่งในภายภาคหน้า...ที่อาจไม่ใช่วันพรุ่งนี้


ชะตากรรม...พระเจ้าสินะที่อยู่เหนืออำนาจของข้า


ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
จุดจบแห่งพันธะ

15 ปีต่อมา

พรหมเอ๋ยพรหมลิขิต เพื่อนคู่คิด หรือมิตร เหล่าสหาย
ล้วนพันผูก สืบสัมพันธ์ ไม่ขาดคลาย เสื่อมสลาย ได้แต่ร่าง ใช่วิญญาณ์
รักเก่าก่อน พลิกภพ ประสบพักตร์ ประจักษ์รัก หวนคืน เสน่หา
ใครจะขัด มนต์บดบัง จันทร์โรยรา ไม่มีหงอ รอเวลา ข้าจัดเจน

          ทุกอย่างในห้องนอนกว้างกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ร่างบางค่อยๆ แทรกตัวลงบนที่นอนอ่อนนุ่ม ปิดเปลือกตาลงช้าๆ แขนสองข้างปล่อยตามสบายแนบข้างลำตัวบาง ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มสวย รอยยิ้มสดใสอ่อนหวานดั่งเทวดาองค์น้อย ภาพเงาของคนสองคนซ้อนทับจนกลายเป็นคนๆ เดียวกัน
          “เมลย์…” ริมฝีปากสวยขยับเรียวปากแผ่วเบาเรียกชื่อคนหนึ่งที่อยู่ในจิตใจและร่างกาย
          มือเรียวสัมผัสลงบนแผงอกบางด้านซ้ายอย่างแผ่วเบา ร้อยพันคำถามอัดแน่นในอกแต่ไม่อาจถามได้ เพราะคำพูดของคนที่อยากถามไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว
          ‘สบายดีหรือเปล่า…’
          ‘มีความสุขดีไหม...’
          ‘พากลับมาที่เดิมของเราสองคนแล้วนะ’
          ‘สิบห้าปีแล้วที่เราสองคนคุยกันแบบนี้’
          ‘หัวใจจากเมลย์ที่ให้มา เรารักษามันอย่างดีเลยนะ เราทำกิจกรรมที่น่าสนใจได้หลายอย่าง โดยที่ไม่ต้องนั่งอ่านแต่หนังสือในห้องด้วยล่ะเมลย์’
          หลากหลายคำถามที่เฝ้าถามกับตัวเองบ่อยๆ แม้ไม่เคยได้คำตอบแต่ตัวเองรับรู้อยู่ตลอดว่าอีกคนหนึ่งอยู่ใกล้ชิดกับตัวเองเสมอมา แต่...ร่างหนึ่งที่มีถึงสองวิญญาณก็หนีชะตากรรมไม่พ้นอยู่ดี หัวใจของคนเคยแข็งแรงกลับอ่อนล้าเร็วกว่ากาล
          ‘ผมกลับดีใจซะอีกที่เราสองคนจะได้เจอกันซักทีและผมก็จะได้เจอเขาคนนั้นด้วย ‘เดอุสมาร์ส’
          ‘เคยเล่าให้เมลย์ฟังแล้วใช่มั้ย เดอุสกอดเราไว้ทุกคืน สองเรานอนประคองโอบรักกันทุกวินาที’
          ‘เขินนะเนี่ย...สงสัยคงต้องใช้กลอนอิโรติกแผ่นนั้นแล้วมั้ง ถึงจะยอมมีอะไรกับ ฮ่า ฮ่า’
          ‘ไม่ต้องห่วงนะ เราเข้มแข็งขึ้นมากแล้ว ไม่ร้องไห้ไร้เหตุผล ใช้ชีวิตปกติทุกอย่างแทนส่วนของเมลย์ให้แล้ว ต่อจากนี้ขอใช้ส่วนที่เหลือของตัวเองบ้างนะ’
เชอรี่ร่ำไรพูดคุยกับตัวเองเหมือนคุยกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเป็นพฤติกรรมตามปรกติตั้งแต่เขาได้ฟื้นขึ้นมาจากฝันร้ายพร้อมชีวิตและหัวใจดวงใหม่ที่มาจากเมลย์
          ช่วงชีวิตสุดท้ายที่เหลืออยู่อยากอยู่กับคนที่ตราตรึงอยู่ในจิตตรึงตาตรึงใจจนไม่อาจลืมได้ด้วยกาลเวลา
          ริมฝีปากบางเริ่มเอ่ยคำกลอนบทเก่าอันคุ้นเคย...
          สิบห้าปีที่เขาไม่สามารถลืมเลือนคืนวันที่ทั้งตื่นเต้นทั้งอ่อนหวานอบอวลด้วยไอรักและตัณหารวมทั้งเป็นคืนวันที่แสนเจ็บปวด อีกทั้งการเกิดกฎเวลาแห่งความทรงจำกับการพลัดพรากจากลา
          แต่หลังจากสิ้นสุดคืนนั้น...ร่างที่กำลังรอคอยวันแห่งการเริ่มต้นใหม่ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไปพร้อมๆ กันกับ “การอุทิศให้จากเมลย์”
          สองคนได้ใช้ชีวิตร่วมกับเป็นร่างเดียว กินด้วยกัน เล่นด้วยกัน เรียนด้วยกัน เศร้าไปด้วยกัน ดีใจไปด้วยกันและอาจตายไปด้วยกัน
          พ่อแม่ของทั้งสองครอบครัวเป็นทั้งญาติเป็นทั้งเพื่อนรักความผูกพันจึงถูกส่งต่อมายังลูกหลานของทั้งสองครอบครัว เชอรีและเมลย์จึงสนิทกันมากเล่นด้วยกันตั้งแต่ยังพูดประโยคแรกไม่ได้ด้วยกระมัง ทุกย่างก้าวของเด็กสองคนมีกันและกันเหมือนผูกพันกันมาเช่นนี้เสมอ
          แต่เชอรีมีร่างกายอ่อนแอ เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วแต่เด็ก...เมลย์เป็นเด็กชายแข็งแรงและบ้าพลังเด็กน้อยอ่อนไวกว่าแบกความหดหู่ของญาติที่รักไว้ด้วยความสดใสร่าเริง
          หลังจากการลืมตาตื่นอีกครั้ง ผมได้สัมผัสไออุ่นแห่งรักที่หัวใจของผม ผมกลับมีชีวิตอีกครั้งพร้อมหัวใจของเมลย์ ในร่างกายตัวเอง ผลของการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะดำเนินไปได้ด้วยดีแต่ผลของการผ่าตัดต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ประเมินผลว่ามีดีหรือมีข้อเสียอย่างไรและรักษาแก้ไขตามอาการกันไป
          เมลย์รักษาสัญญาเสมอหัวใจดวงน้อยที่เขาได้มาใช้การได้ดีเหมือนเราได้รวมเป็นคนเดียวกัน
          ขอบคุณจริง ๆ ความเสียสละของคนๆ หนึ่ง ผมหาได้มีอะไรจะตอบแทนนอกจากประคับประคองให้ตัวของผมกับหัวใจของเมลย์เดินและเต้นไปพร้อม ๆ กัน
          ตอนนี้ผมพาเจ้าของหัวใจกลับมาคืนเจ้าตัว และผมเองกำลังดำเนินชีวิตที่เหลือด้วยแรงวิญญาณที่เหลือของตัวเอง
          เสียงแผ่วเบาของเชอรียังคงเอื้อนเอ่ยบทกลอนคล้องจองไปเรื่อย ๆ เหมือนกับจำบทกลอนบทนั้นได้อย่างขึ้นใจ
          (...มาซิมากับฉัน...เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน…เรียกหาหรือ...) น้ำเสียงนุ่มแผ่วเบากระซิบคำชวนหวามบริเวณใบหู
          (... “พร้อมเป็นของข้าทั้งจิตวิญญาณแล้วหรือยัง” …)
          “ก็ยอมตั้งแต่เมื่อสิบห้าปีก่อนแล้วนี่” เสียงหวานพูดจากระเง้ากระงอดกระออมกระแอมตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
          (... “ตอนนั้นเจ้ายังเด็ก แต่ตอนนี้ไม่…”)
          ดวงตาคมกริบมองสำรวจไปทั่วทั้งร่างกาย ถึงจะอยู่ในช่วงวัยหนุ่มเต็มภาคภูมิ แต่สรีระยังคงไว้ซึ่งความงดงามไม่เปลี่ยนแปลง นิ้วมือเรียวยาวลูบไล้ใบหน้าของคนแสนรักด้วยความโหยหา ส่งสายตาสื่อความหมายลึกซึ้งมาให้
          “แล้วยังไงคุณก็แสดงให้ดูสิ...ว่าผู้ใหญ่เขาทำกันแบบไหน เดอุสมาร์ส” รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนริมปากร่างสูง แค่เพียงเสี้ยววินาที
           (...เรียกร้องแบบนี้คง…ไม่ต้องเรี่ยมเร้เรไรโอ้โลมให้เริงอารมณ์…) ร่างบางถูกกดให้อยู่ในท่านอนคว่ำ ใบหน้าและช่วงอกแนบชิดผิวเตียงสีขาว สะโพกมนกลมกลึงยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้มือหนารูดอาภรณ์ทุกชิ้นที่เกะกะขัดการลูบไล้ออกจากเรียวขาได้โดยง่าย สะโพกสวยดันสัพยอกแก่นกลางลำตัวกระตุ้นความสงบราบเรียบให้เริ่มแข็งเกร็งตัว มือหนารวบเอวบางให้แนบชิด นิ้วเรียวเปิดทางรักให้ซึมซับความอุ่นนุ่มแทรกซอนส่วนร้อนชื้นจนทรวงซ่าน
          “อะ...อ่า”
          (... “หึ...ตอบรับดีขนาดนี้ไม่ใช่เด็กน้อยน่ารักเมื่อสิบห้าปีก่อนแล้วจริงๆ ด้วย” …)

ครางครวญชวนกระหาย ลิ้นโลมลายทั่วช่องทาง
สอดแทรกปางลำพราง กระแทกย้ำซ้ำช่ำชอง
สะโพกโยกพลิ้วไหว แอ่นเอนให้รายรัดร้อน
แก่นรักชุ่มเปียกปอน อิ่มชอุ่มรักหวานหอม
กลีบปากกวาดเมามอม ไม่หยุดหย่อนยอมเลิกรา
ย่ำค่ำคืนจากลา เปรมตรึงตรานิรันดร

          ร่างกายเร่าร้อนค่อยๆ คลายอุณหภูมิลงช้าๆ จนถึงจุดนิ่งสนิทและแน่นิ่งดั่งติดลบของอุณหภูมิ ร่างเนื้อกายหยาบเย็นชืดเกินคนปกติไปแล้ว แต่อ้อมอกแกร่งยังคงโอบกอดคนรักไว้ไม่ไหวติง
          ไร้น้ำตา...
          ไร้ความโศกเศร้าเสียใจ...
          ไร้คำพูดจาใดๆ ถ่ายทอดความปวดร้าวในจิตใจที่จะให้คนในอ้อมกอดได้รับรู้ มีเพียงรอยยิ้มบางๆ และรอยจูบแผ่วเบาบนหน้าผากโหนกสวย
          “แล้วเจอกันอีก...เฌอรีนที่รัก”
          เมื่อเวลาได้มาถึงทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนจัดสรรตรงต่อเวลาอีกฟากฝั่งก็เช่นกัน
          “ยูล...ผมเจ็บที่หัวใจ...ทรมานเหลือเกิน ยู...ยูล์ช่วยด้วย” ร่างทิพย์แบกรับความเจ็บปวดรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
          (... “อดทนไว้คนดี คงหมดเวลาสำหรับเราแล้ว” …) ร่างสูงอุ้มร่างบางที่บิดตัวไปมาอย่างคนคลุ้มคลั่งสิ้นสติบนเตียงนอนนุ่มสีขาวนวลตาให้มานอนแนบนิ่งทาบหน้าลงตรงอกแต่ดูเหมือนไออุ่นจะหาได้เยียวยาอาการปวดร้อนแสบร้าวได้ดังใจคิด คนร่างเล็กยังคงดิ้นขลุกขลักไปมาอย่างทุกข์ทน
          “โอ้ย! ผมปวด ผมปวดแสบปวดร้อน...โอ้ย! ร้อน..ผมร้อนไปหมดทั่วตัวเลย ยูลช่วยผมด้วยสิ” ร่างสูงใบหน้าสวยอมเศร้าถูกชื่อสั้นๆ อยู่หลายครั้งหลายคราแต่ความสามารถและปัญญาที่มีไม่อาจแก้ความเจ็บปวดแสนสาหัสของคนรักร่างเล็กได้
          ชายหนุ่มตรงหน้าไร้ซึ่งคำพูดจาใดๆ ได้เพียงโอบกอดร่างบางไว้แนบอกเช่นเดิม เรียวปากที่เก็บกักคำพูดจาเป็นล้านคำบรรจงจุมพิตไปทั่วใบหน้าหวานที่กำลังบิดร่างไปมาในอ้อมอกอย่างทนทุกข์ทรมาน
          (... “อดทนไว้...ทรมานอีกนิดทูลหัวของข้า” …)
          “อืม....มม” รอยดาวห้าแฉกปรากฏขึ้นบนหน้าผากกลมมนอีกครั้ง…มนตราสะกดวิญญาณเริ่มคลายตัว ไอจางๆ ค่อยๆ แทรกตัวออกจากรอยแยกสีคล้ำบริเวณหน้าผากอย่างช้าๆ
          “ยู...ไม่....ยูลช่วยผมด้วย ผมจะอยู่กับยูล...อย่าให้ผมไป...ผมไม่ไป” เมลย์ร้องโวยวายเหมือนคนไร้สติ เขาไม่อยากจากคนรักอีกแล้วไม่ว่าจะทางไหนจะให้เป็นผีสางเป็นวิญญาณล่องลอยเขาก็ต้องการไปเวียนว่ายตายเกิดโดยที่ไม่มีอดีตรักตามติดไปด้วย
           (“ส่งเดมีทรีน้องข้ามา”) เสียงคมเฉียบออกคำสั่งอย่างเยือกเย็น
           “พี่ฮะ ผมไม่อยากไปช่วยผมด้วย” อ้อมกอดที่เปลี่ยนไปทำให้น้องชายในอดีตชาติทำตัวเป็นเด็กน้อยอยู่ในโอวาสเป็นดิบดี
           (“น้องพี่...หลับตาเจ้าเสียสิ”) เดอุสวางมือลงบนรอยสัญลักษณ์ ปาดหน้ามือวนไปมาจนร่องรอยห้าแฉกลบเลือนและจางหายไป นัยน์ตาเรียวค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ ทั้งที่เมื่อครู่ยังส่งเสียงเอะอะโวยวาย
           (“หายทรมานหรือยังน้องรักของข้า”) ใบหน้าสงบนิ่งพยักหน้าแทนคำตอบช้าๆ น้ำตาไหลรินเต็มผิวหน้าโดยไร้ความหมาย ดิ้นรนทุรนทุรายไปอย่างไรล้วนเสียแรงเปล่าร่างไร้กายต้องจากลาโลกนี้ไปไม่ช้าก็เร็ว
           (“หลับให้สบายน้องรัก...ดูแลคนสำคัญแทนพี่ด้วย”)
           “ท่านพี่ช่างลำเอียงนัก...” น้ำเสียงสุดท้ายไม่ได้จงเกลียดจงชังอะไรเป็นเหมือนคำพูดน้อยเนื้อต่ำใจที่ต้องเป็นผู้จากพลัดพลากแต่ฝ่ายเดียว
          ร่างบางของอดีตผู้เป็นน้องค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงแสงสว่างเท่าดวงลูกไฟเล็กๆ ลอยไปมาเหนือฝ่ามือของชายผู้เคยเป็นพี่เมื่อชาติใดชาติหนึ่งมาก่อน
           มือหนาบรรจงกดลูกไฟลงบนอกด้านซ้ายของเชอรีช้าๆ แสงสว่างค่อยๆ แทรกตัวลงไปในร่างแน่นิ่งเย็นเฉียบ ส่งดวงไฟน้อยๆ นำพาคนทั้งคู่ไปสู่เส้นทางแห่งสังสารวัฏ
           ...ลิขิตสวรรค์...ไม่ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้...สินะ!
           เสียงปึงปังเปิดประตูหลายบานอย่างรวดเร็ว ทำลายความเงียบสงัดของปราสาทกึ่งบ้านที่ตั้งตระหง่านโดดเดี่ยวท่ามกลางหมู่แมกไม้
          ขายหญิงสูงวัยคู่หนึ่งวิ่งกระหือกระหอบมายังห้องนอนที่ร่างไร้วิญญาณของลูกชายสุดที่รักนอนนิ่งไม่ไหวติง ด้านหลังมีหนุ่มวัยกลางคนวิ่งตามถึงอุปกรณ์การแพทย์เข้ามาด้วย
          แพทย์หนุ่มรีบวิ่งตรงไปยังคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียง วินิจฉัยตามวิชาชีพแล้วรีบทำกระบวนการยื้นชีวิตเชอรีอย่างสุดความสามารถ ชายชราคนดูแลคฤหาสน์เดินตามมาเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ไม่ห่าง หวังช่วยทำการช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน แต่คงได้แต่ยืนมองผู้เป็นแม่ร้องไห้โหยหวนปานจะขาดใจเมื่อสุดท้ายแล้วการช่วยชีวิตไม่อาจดึงลูกชายกลับมามีชีวิตได้
          “คุณ...ลูกไปสบายแล้วปล่อยแกไปเสียเถิด” ผู้เป็นพ่อโอบร่างของผู้เป็นภรรยาที่กำลังโผกอดและเขย่าร่างของลูกชายราวกับคนเสียสติ
          “ทำไมแกต้องมาที่นี่อีก ทำไม...แกไม่มานี่แกก็ไม่ตาย เชอรีฟื้นสิลูก...ฟื้นมาพูดกับแม่เหมือนทุกทีไงลูก...ลูกแม่” มือเรียวของผู้เป็นแม่สั่นไหวยามลูบไล้เนื้อตัวของลูกชายอันเป็นที่รัก โดยมีอ้อมกอดแข็งแรงของผู้มีสามีประคองกอดอยู่ด้านหลัง
          ลอร์ดผู้เป็นเจ้าของบ้านปล่อยให้ผู้เป็นภรรยาระบายความเสียใจครวญคร่ำคำถามต่างๆ มากมายไม่มีใครตอบได้นอกจากเจ้าของชีวิตที่ลิขิตตัวเองให้มายังสถานที่แห่งนี้ สองมือของคนเป็นพ่อคอยบีบเรียกสติจากไหล่บางที่ตอนนี้สั่นกระตุกด้วยแรงสะอื้น
          “ส่งแกกลับไปที่ของแกเถอะที่รัก ทั้งที่เราต่างทำใจกันมานาน...บางทีแกอาจคิดถึงเพื่อนของแก” มือของคนเป็นพ่อละมาวางบนหน้าผากของลูกรัก แม้จะทำใจมาตั้งแต่ลูกน้อยเกิดและจนเติบใหญ่ เมื่อเห็นความจริงชัดเจนแต่ยังมีความหวังทำให้หลงลืมและยืนอยู่หน้าเหวอย่างประมาท คนที่ได้ชื่อว่าใจหนักแน่นเข้มแข็งกลับน้ำตาไหลรินอาบแก้มสากไม่อาจกลั้นเก็บความเสียใจ
          “ฮือ...ฮึ...ฮือ แกจะมีความสุขใช่ไหมคะ” ผู้เป็นมารดายังทำใจตัดขาดจากลูกชายได้ยากลำบากช่วงเวลาที่ให้ทำใจผ่านมาเนินนานจนไม่เคยคิดถึงการพลัดพลากตายจากตั้งแต่วันที่เชอรีได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจของเมลย์
          “ใช่...แกจะมีความสุข...ที่สุดแล้ว” คู่หญิงชายสูงวัยประคองกอดร่างเย็นชืดไร้ลมหายใจของผู้เป็นลูกชายไว้เป็นครั้งสุดท้าย ทั้งหมอและคนรับใช้ได้แต่ก้มหน้ารับรู้ความอาลัยรักของครอบครัวที่มีให้เชอรีและเมลย์

บทส่งท้าย

          “สุขติทั้งคู่ใช่หรือไม่” ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนายเอ่ยถามบ่าวคนสนิทด้วยน้ำเสียงไม่ใคร่จะใส่ใจนัก ไม่ใช่ไม่ไยดีแต่เพราะรักมากจนไม่อาจทนดูต่อไปได้ หากต้องมีชีวิตอยู่โดยไร้คนคู่เคียง ไร้ร่างแนบชิดของผู้เป็นที่รัก เขาจึงยอมที่จะแลกวิญญาณกับความเป็นอมนุษย์ ให้กิเลสมีอำนาจเหนือสำนึกชั่วดี ยอมต่อต้านกฎแห่งแดนสรวง ยอมก่อกลลวงหลอกล่อนรกภูมิ และยอมขายตัวเองเพื่อจะเป็นเจ้าแห่งซาตาน
          ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น ... เพราะรัก ...
          ไม่ว่ากงล้อธรรมจักรจะพาคนรักของเขาไปอยู่ภพใด กรรมดีกรรมชั่วจะดลให้คนรักต้องเกิดดับเวียนว่ายใช้ผลบุญหรือใช้หนี้กรรมอยู่ชนชั้นแห่งเชื้อชาติใด เขาจะติดตามและอยู่เคียงคู่จนไร้การเกิดดับ
          แม้สุดท้ายตัวเองอาจไร้ซึ่งแหล่งสิงสถิต ไร้เรียงนาม ไร้รูปพรรณ เป็นเพียงสสารลอยละล่องในมวลอากาศ แต่หากต้องแลกให้ได้มาซึ่งความสุข ได้เสพรักเพียงชั่วครู่ให้อิ่มเปรมกับผู้เป็นที่รัก สวรรค์หรือนรกก็ขัดขวางเขาไม่ได้!
          “สู่สุขาวดีแล้วทั้งสองดวง” คนสนิทตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำโทนปกติ เรียวปากอิ่มสวยฉาบด้วยรอยแย้มยิ้มอยู่เสมอ ดูเหมือนจะไม่ทุกข์เนื้อร้อนใจเช่นเดียวกับผู้แสดงตัวว่าเป็นนาย
          “รออีกแล้วคุณชาย เราสองคน....กับการรอคอยที่ไม่มีวันสิ้นสุด” ชายหนุ่มหน้าสวยกริยางดงาม เปล่งน้ำเสียงตัดพ้อต่อการจากลามากกว่าน้อยเนื้อต่ำใจกับสถานภาพที่เป็นอยู่
          “เบื่อหรือเปล่ายูดาล์ส ขอโทษที่ทำให้นายต้องเวียนว่ายอยู่กับฉันแบบนี้” มือหนาโอบรอบไหล่กว้าง บีบเบาๆ ย้ำความรู้สึกที่ตรงกับคำพูด
          “ที่ไหนมีคุณชายที่นั่นต้องมีผมก็ถูกต้องดีแล้ว” มือเรียวเอื้อมไปบีบมือหนาที่พาดวางอยู่บนหัวไหล่ ตอบรับความห่วงใยที่ถูกหยิบยื่นให้
          ปราสาทหลังนี้ร้างลาเจ้าของได้ไม่นาน...ตำนานบทใหม่ถูกสรรค์สร้างด้วยกลไกแห่งซาตานแต่กลับเป็นคำกล่าวขานแห่งความรักที่เลื่องลือ
           “ที่นี่กำลังมีคนมาเยือน” เสียงกระซิบที่ข้างหูดึงความสนใจของยูดาส์ยิ่งนัก
           “เดากันเล่นไหม กลอนบทไหนของสองเราที่ผู้มาเยือนจะเปิดอ่าน” เสียงเรียบเฉยของเดอุสแสดงความกระตือรือร้นขึ้นมาเล็กน้อย แต่แววตาและสีหน้าดูปิติปรีดายิ่งนัก
          “ผู้ใดกันเล่า” รอยยิ้มสวยเผยกว้าง เพราะนานๆ ครั้งจะเห็นผู้เป็นนายจะตื่นเต้นจนควบคุมอาการไว้ไม่อยู่
          “สายสัมพันธ์เก่าก่อนไซร้ สายใยตัดไม่ขาด”
          ยูดาส์ผู้ติดตามหาได้สนใจหาผู้ทำพันธสัญญา หากไม่เกี่ยวกับคนรักในอดีตชาติแล้วความสงสัยใคร่รู้ในตัวเหมือนจะมอดไหม้กับพร้อมกับกายหยาบของตัวเองไปเสียแล้ว
           “อืม...การรอคอยบางครั้งก็ไม่น่าเบื่อเสมอไป”
           “คุณชาย...คงไม่เล่นกลไกพิศดาร” ผู้เป็นบ่าวถึงกับนิ่งอึ้ง ไม่อาจเข้าถึงความนัยของผู้เป็นนาย
           “คำถามของเจ้าชวนให้ขบคิดนัก”
            :katai2-1:เจอกันตอนพิเศษของคนพิเศษของท่านทั้งสองเขานะคะทุกคน :katai5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2024 20:43:43 โดย keisarinna »

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนพิเศษ 1 : รักแสนเศร้าสาส์นเงารัก

คนหนุ่มคนสาว             คนจ้าวคนข้า
มีรักมีลา                     มีค่ามีคุณ
รักกรุ่นรักเจือจุน           รักขุ่นรักมัว
คนดีคนชั่ว                  คนขี้กลัวคนกล้าหาญ
แรกรักแลกวิญญาณ      แรกการณ์แลกกาย
ขายร้ายขายรัก             ขายกลจักรขายอุบาย
หวังรักหวังร่างกาย       หวังแม้นตายหวังมั่นคง
เสน่ห์รักเสน่หลง          เสน่ห์อวยองค์เสน่หามิคลาย

(กลอนสี่)

          เด็กหนุ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งบริเวณลานหน้าปราสาท นึกเดาเอาว่าคงเคยเป็นสวนสวยอย่างดีห้อมล้อมรอบลานน้ำพุรูปทรงกลมกลึง รอยยิ้มสวยฉาบเคลือบริมฝีปากกว้างอวบอิ่มเมื่อสมองฉายภาพสวยงามต้องใจ
          แต่ความถมึงทึงของตัวปราสาทสร้างความอึดอัดแรงกดทบด้วยความน่าเกรงขามกำลังคุกคามหนุ่มหน้าสวยให้ค่อยๆ ซึมซับความน่าเกรงกลัว ประสาทสัมผัสทั่วทั้งตัวสนองตอบฉับไวจนขนลุกตั้งชัน

          “ปราสาทอะไรน่ากลัวเป็นบ้า แอชมีด์ไปหลวมตัวซื้อมาได้ไงนะ...แล้วทำไมเราต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย”
          เด็กชายวัยรุ่นบ่นพึมพำกับตัวเองไปมา คิดหาคำตอบอยู่เงียบๆ คนเดียว ร่างกายสูงโปร่งตรงหลักกายวิภาคตามเกณฑ์เจริญพันธุ์ ขัดกันก็แต่ใบหน้าหวานสวยที่ออกจะเกินเด็กผู้ชายวัยเดียวกันไปหน่อย หนุ่มน้อยกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งสำรวจสภาวะแวดล้อมแปลกใหม่ตามวัยอยากรู้อยากเห็น
          เด็กหนุ่มเฉิดฉาย...ทั่วทั้งเรือนกายและหน้าตา..
          “แอชมีด์ต้องเห็นอะไรดีๆ แน่ ไม่อย่างนั้นไม่ซื้อปราสาทซอมซ่อแบบนี้มาหรอก ถูกหลอกหรือเปล่าก็ไม่รู้” ร่างสูงเดินลิ่วๆ สำรวจบริเวณห้องโถงโปร่งตาไปเรื่อยๆ เดินเข้าห้องนั้นทะลุออกห้องนี้ตามประสาเด็กอยากรู้
          “ถูกใจไหมลุกซ์...มีห้องหนังสือด้วยที่ชั้นบน” เสียงทุ้มต่ำของชายวัยกลางคนตะโกนบอกเด็กหนุ่มอย่างเอ็นดู
          “หรือฮะ....ว้าว!” เด็กหนุ่มชะโงกหน้าออกมาจากห้องใดห้องหนึ่งและวิ่งขึ้นไปชั้นบนทันที
          “ไม่ต้องวิ่ง เราอยู่กันที่นี่ตลอดซัมเมอร์เลย ถ้าชอบเราจะอยู่ที่นี่ตลอดไปดีไหม” มือแกร่งฉุดรั้งรอบเอวเด็กหนุ่มให้แนบชิดอ้อมอกปลายจมูกลอบสูดกลิ่นกายแรกรุ่นด้วยความระเริง
          “ผมรักแอชชี่ที่สุดเลย” ใบหน้าสวยหวานคลี่ยิ้มพิสุทธิ์ ริมฝีปากเหยียดกดจูบแผ่วเบาบนโหนกแก้มสูง นัยน์ตาสวยเพริศพริ้งระบายความหวานฉ่ำ กระตุ้นความรู้สึกซาบซ่านที่หลบซ่อนเร้นทรวงให้หนุ่มใหญ่ตรงหน้าเหมือนได้กลับคืนสู่วัยหนุ่มฉกรรจ์อีกครั้ง
          อ้อมกอดโอบรัดรุนแรงแสดงอารมณ์หวงแหนตีตราเป็นเจ้าของ ไม่อยากให้คนตรงหน้านี้หายไปไหนได้อีก คนในอ้อมแขนก็หาได้ขัดขืนพฤติกรรมเห็นแก่ตัวที่แสดงออกผ่านอ้อมกอด เด็กหนุ่มห่อตัวเล็กน้อยแขนเรียวทั้งสองโอบกระชับอ้อมแขนแข็งแรง หัวใจดวงน้อยเปิดรับไออุ่นจนแทบอยากจะหยุดลมหายใจไว้ที่ตรงนี้
          ...อ้อมกอดของคนที่รักเขา...
          “ท่านครับ…รถพร้อมแล้วครับ”  คนสองคนจำใจคลายความรัดแน่นแห่งรักให้มลายลง แต่ยังประคับ ประคองอ้อมแขนของกันไว้หลวมๆ
           “ดูแลลุกซ์ตอนฉันไม่อยู่ด้วยนะ ใครหน้าไหนก็ห้ามให้เข้ามาเด็ดขาด!” ผู้เป็นนายกำชับคนสนิทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
           “ครับท่าน” ชายร่างกำยำก้มหน้ารับคำสั่งแล้วเดินแยกตัวออกไป
           “ลุกซ์”
           “ฮะ!! ว่าไงครับ” เสียงตอบกลับมาช่างแผ่วเบาเหลือเกิน จนเจ้าของเสียงต้องปรับให้ดังปรกติ รู้สึกใจคอไม่ดีเหมือนเหตุการณ์บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นเหนือการคาดเดา ถ้าเขาเอ่ยคำทัดทานไม่ให้ไปจะเหนี่ยวรั้งไว้ได้...หรือเปล่า
           “แอชชี่ไปทำธุระสองสามวันถึงกลับมาอยู่ที่นี่ดูแลตัวเองด้วย...ถ้าเสร็จเร็วจะรีบกลับ” จูบอ่อนโยนประทับกึ่งกลางหน้าผากอย่างนุ่มนวล
           “ครับ ไม่ต้องห่วงผม” สุดท้ายก็ต้องรับคำอย่างว่าง่ายตามเดิม ไม่อยากพลัดพรากแต่ก็ไม่อยากขัดให้อีกคนต้องไม่สบายใจ
          “แล้วช่วงนี้อย่าพึ่งออกไปเล่นข้างนอกล่ะ” หนุ่มใหญ่สวมกอดร่างสูงอีกครั้ง น้ำเสียงกังวลดังก้องเหมือนจะสะท้อนเส้นเสียงให้คนฟังได้รับรู้ถึงความรู้สึกภายใน
          ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีต่อการตัดสินด้วยแรงปรารถนาแห่งรักยังไม่อาจสร้างความว้าวุ่นใจได้มากเท่าตอนนี้ รู้ดีว่าเด็กหนุ่มใบหน้าหวานต้องหวาดผวาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน อ้อมกอดที่โอบรัดตอบเขาเหมือนอยากรั้งไม่ให้ไปไหน อ้อมกอดแห่งรักเอ่ยคำทัดทานแทนเจ้าตัวจนหมดสิ้น ใช้ร่างกายของกันและกันสื่อสารแทนคำพูดมันช่างเป็นความเคยชินที่แสนเจ็บปวด...
           ...รักมาก...แต่เอ่ยคำๆ นั้นไม่ได้เต็มปากนัก
           “ทำไมครับ เรื่องยังไม่จบอีกหรือฮะ” น้ำเสียงว้าวุ่นและกังวลใจเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง
           ‘...ไม่อีกแล้ว...ไม่อยากต่อสู้กับแม่ตัวเอง เพราะคนพ่ายแพ้จนย่อยยับก็คือ ตัวเขา
          เพียงแค่คิดจะสู้...มันคือความปราชัย
          เพียงแค่คิดอยากชนะ...นั่นก็คือการสูญเสีย
          ...ไม่เอาแล้ว...อยากจะหยุดความคิดอกุศลแบบนี้เสียที บางทีถ้าไม่มีเขาเรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
          ถ้าเขาไม่เกิดมา ถ้าเขาไม่ต้องการความรัก
          ถ้าเขา...’
          “ลุกซ์! อย่าทำหน้าแบบนั้นมันกำลังจะจบแล้ว เดี๋ยวจะรีบกลับมาอยู่ด้วย รอนะรอผะ... (ผม) ” มันยังไม่ถึงเวลาที่จะเรียกแทนตัวแบบนั้นรอให้ปรับความเข้าใจกับผู้ให้กำเนิดเสียก่อน จัดการความสัมพันธ์ที่ทับซ้อนให้คลายปม เพียงเท่านั้นไม่ว่าเธอคนนั้นอยากได้อะไร ทรัพย์สมบัติใดที่ใจปรารถนาเขาจะยกให้ครอบครอง
          สมบัติ...เงินทอง...ผมจะทดแทนให้ ให้คุ้มกับค่าเสียเวลาของเธอ แต่ถ้าเธอยังดื้อแพ่งผมคงต้องใช้วิธีการขั้นเด็ดขาดเสียที
          “แล้วมอ...”
          “อย่า! เธอไม่ควรมีคนเช่นนั้นเป็น...!” น้ำเสียงกราดเกรี้ยวตวาดใส่คนตรงหน้าจนชะงักงัน
          “อ... ฮะ” ลุกซ์สีหน้าสลดฉับพลัน ทำไมเขาจะไม่รู้ที่ให้กำเนิดเป็นแบบนี้เพราะใครถ้าไม่ใช่เขา
          “ไปนะ...ไปเอารถออกเดี๋ยวฉันตามไป” หนุ่มใหญ่หันหน้าไปสั่งลูกน้อง แล้วหันมากำชับว่าที่คนรักของตัวเอง
          “สัญญานะ...” มือหนากุมมือเรียวมาแนบอกของตน ขอเพียงแค่คนตรงหน้าปลอดภัยไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไปมากน้อยแค่ไหน เขาจะยอมเสียมัน แต่จะไม่ยอมเสียคน ๆ นี้ไปอีกแล้ว
          'ยามที่จากกัน ยามที่ไม่เห็นหน้า ยามไม่ได้ยินเสียง
          เขาเรียนรู้แล้วว่า...ชีวิตที่ไม่มีลุกซ์มันทรมานเจ็บปวดร้าวรานขนาดไหน'
          “ครับ...สัญญาว่า?” ใบหน้าเปื้อนยิ้มหันมาสนใจใบหน้าหล่อสมวัยของชายตรงหน้า
          “อย่าเชื่อใจใคร แม้แต่แม่ของเธอ”
          “ครับ...แล้ว” เด็กหนุ่มรับคำแล้วก้มหน้าลงต่ำ มีมือหน้าเชยคางให้ดวงตาคู่สวยกลับขึ้นมาสบนัยน์ตาอีกครั้ง
          “ว่าไง...”
          “ผมเชื่อใจแอชชี่ได้หรือเปล่า” แววตาหวาดกลัวพยายามข่มความตื่นตระหนกไว้ภายใน ซ่อนความอัปยศไว้ตราบจนวันตายเขาจะไม่ปริปากพูดถึงมันว่ายามขาดคนปกป้องเขาโดนอะไรบ้าง
          กลัว..กลัวเหลือเกิน กลัวต้องกับไปเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง ถ้าต้องเป็นเช่นนั้น เขาเลือกที่จะตาย...ตายไปกับความอัปยศนั่น
          “ทุกอย่างผมทำเพราะลุกซ์ผู้เป็นที่รัก” ชายสุงวัยกว่าบอกด้วยความหนักแน่นเรียกความมั่นใจให้คนรักวัยหนุ่ม
          “ผมเชื่อใจคุณได้ ใช่ไหมฮะ” น้ำตาแห่งความปลื้มใจล้นปริ่มที่ขอบตา
          '...แค่ผมเชื่อใจก็เป็นพอแล้วใช่ไหม...เชื่อใจในรักที่คุณมีให้ผม...ความรักที่ต้องแลกกับความสัมพันธ์ทางสายเลือดของผู้ให้กำเนิด'
          “รีบไปรีบกลับนะครับ...ผมจะรอ”
          รอยยิ้มกว้างตามแบบฉบับชายใจดีแสนอบอุ่นมีให้เด็กหนุ่มในอุปการะคนนี้เสมอ เด็กดีน่ารัก อ่อนหวานและบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ในสายตาของเขาผู้มีศักดิ์เสมือนพ่อทูนหัว...ลุกซ์ คือทุกอย่างทั้งชีวิตและจิตใจ
           และ...จากนี้ไปสินะ อีกไม่นาน เขาจะได้ครอบครองเด็กน้อยน่ารักคนนี้อย่างสมบูรณ์ เขาหลงกลอยู่ในวังวลเกมส์ใจจากหญิงใจร้ายมานานเกินพอแล้ว
          ...อีกไม่นาน...

           วันเวลาผ่านพ้นอย่างว่องไวเด็กหนุ่มเปิดความรู้ใหม่ๆ กับหนังสือมากมายหลากหลายประเภทสร้างจินตนาการแปลกใหม่ให้แก่เขา ลุกซ์หมดเวลาไปวันๆ กับห้องอันเงียบสงบทรงสี่เหลี่ยมแห่งนี้โดยไม่รู้เบื่อ
           "คุณหนูลุกซ์ครับ" เสียงพ่อบ้านเคาะประตูเรียกผ่านผิวเรียบหยาบของบานประตู
           "ครับ" เด็กหนุ่มเดินไปเปิดประตูต้อนรับพร้อมรอยยิ้มสวย
           "ผมเจอกระดาษแผ่นนี้ตกอยู่หน้าห้องหนังสือ" ชายสูงวัยยิ้มตอบกลับมาแล้วยื่นแผ่นกระดาษใบหนึ่งให้
           "กระดาษ เอ๋?...ขอผมดูหน่อยสิครับ" มือเรียวรับแผ่นกระดาษเก่าคร่ำคร่ามาถือไว้ในมือ รอยหมึกสีจางค่อยๆ ปรากฏเด่นชัดขึ้นอย่างช้า ๆ

    “....อ่านชิ...อ่านฉัน...”
    แล้วคุณจะได้รับความสุขเหนือสิ่งอื่นใด สุขล้นจนยากลืมเลือน

          “บ้า! แล้วคิดบ้าๆ...รู้สึกแบบนั้นได้ยังไงกัน!”
          “คุณหนูพูดว่าอะไรนะครับ?” ด้วยวัยที่มากขึ้นทำให้โสตทัศน์ได้ยินคำรำพึงได้ไม่ชัดเจนทำให้ข้ารับใช้ถามซ้ำเมื่อได้ยินคำพูดจากคนพิเศษของเจ้านายลอยมาแผ่วเบาเหมือนสายลมโชย
          “มะ...ไม่มีอะไรเดี๋ยวผมขอตัวนะครับ”
          “เชิญตามสบายครับ...อาหารพร้อมตอนหนึ่งทุ่มครับ คุณหนูจะให้ผมขึ้นมาเรียกหรือเปล่าครับ” พ่อบ้านไม่ได้ติดใจกับคำถามที่รอคำตอบอีก ตอนนี้สมควรแก่เวลาที่จะเตรียมอาหารเย็นแล้ว
          “ไม่ครับเดี๋ยวผมลงไปทานเอง...ขอบคุณฮะ”
          สิ้นสุดการสนทนา ร่างสูงเพรียวเดินกลับเข้าห้อง ค่อยๆนั่งลงบนเตียง   สีขาวสะอาดตาอย่างช้าๆ เหมือนคนกำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่คนเดียว
          …“ความเชื่อใจเป็นเรื่องที่ทำกันง่ายๆ”…
          “พามาที่นี่ทำไมนะ?...อยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้นอยู่ดี” ร่างบางเอนกายลงนอนบนเตียงหนานุ่มอย่างคนไร้เรี่ยวแรง
          แค่เชื่อใจทำไมมันช่างยากเย็นขนาดนี้
          ผมรู้ว่าคุณไปพบแม่
          ผมรู้ว่าคุณไปพูดเรื่องของผม
          แต่ผมยังหวั่นใจ
          ใครกันจะยอมเสียคนรักได้ง่ายๆ
          ใครกันจะยอมรับได้เมื่อผู้ชายที่ตัวเองรัก... รักลูกตัวเอง
          แล้วคุณเองจะจิตใจมั่นคงขนาดไหนกัน ถ้าต้องเห็นน้ำตาหญิงที่เคยรักหนักหนาร้องไห้ตัวสั่นสะท้านอยู่เบื้องหน้า…แอชชี่ยังจะใจแข็งได้หรือ?
          ผู้หญิง ก็ต้องคู่กับผู้ชาย...
          ผู้หญิง อ่อนแอ คู่กับผู้ชายที่แข็งแกร่งและคอยปกป้อง
          ผู้หญิง สวยชดช้อย คู่กับผู้ชายท่วงท่าสง่างามผึ่งผาย เดินเรียงเคียงคู่กระเซ้าเคล้าพะนอ
          ผม...เป็นผู้ชาย...คุณรู้บ้างไหม
          ผมเป็นเด็กผู้ชาย แต่อยากได้ความรู้สึกแบบคนผู้หญิง
          ผมอยากได้การปกป้อง…
          ผมอยากได้คนดูแล…
          ผมอยากได้ความรัก...จากคนที่เป็นคนรักของแม่ตัวเอง!
          ผมมัน...ชักนำให้คุณทรยศต่อศีลธรรมอันดีงาม
          ผิด...
          มันผิด…
          ไม่...
          มันไม่ผิด!!
          ความรักไม่เคยผิด
          ตัวเขาเองที่ผิด...
          ผิดที่ปล่อยให้ความรักนั่นอยู่เหนือศีลธรรมเกินเลยกว่าศักดิ์ระหว่างพ่อบุญธรรม กับ ...ลูกเลี้ยง...

          เมื่ออยู่กับตัวเอง...ลุกซ์ ไม่เคยเสแสร้งใบหน้าหวานงอง้ำ รอยยิ้มจริงใจกลายเป็นรอยยิ้มเยาะให้ชะตาชีวิตของตัวเอง
          เมื่ออยู่กับตัวเอง...เด็กหนุ่ม ไม่เคยหลบซ่อนความรู้สึกลึกๆ ภายในใจ มือเรียวกระชากผ้าปูที่นอนสีบริสุทธิ์แล้วดึงรั้งให้กลับมาห่อหุ้มพันรอบกายตัวเองที่เริ่มจะสั่นเทา
          เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวเอง...มนุษย์ผู้โหยรัก ไร้แล้วซึ่งหัวโขน
          เมื่ออยู่กับตัวเอง...จะหลอกตัวเองอย่างไรก็หนีความจริงไปไม่พ้น
          น้ำใสๆ เริ่มเอ่อชื้นรอบขอบตาล่าง หยาดน้ำกลั่นตัวไหลรวมกันอาบสองแก้มสุกแดงเปล่งปลั่งด้วยคอยสะกดกั้นแรงสะอื้นไห้ บังคับเสียงสะอึกสะอื้นให้ดังเงียบๆ แต่กึกก้องอยู่ทั่วร่างกาย หาได้เปล่งประกายแดงซ่านด้วยความสุขสมแช่มชื่น
          ถ้าผม...ไม่ใช่ตัวผม คุณยังจะรักผมแบบนี้ไหม?
          ถ้าผม...ไม่มีหน้าตาแบบนี้ คุณยังจะรักผมไหม
          ถ้าผม...
          ถ้า...
          ผมอยากจะเชื่อคุณ...
          แค่เชื่อคุณเท่านั้น...ผมจะมีความสุข...ใช่ไหม ?
          นายมันบ้าลุกซ์....

หยาดน้ำใส รดรินใจ อยู่ไม่ห่าง
โดดเดี่ยวร้าง ด้วยรายล้อม คนหลงใหล
หวังบางอย่าง ที่อยากครอง ทั้งกายใจ
อยากเข้าใกล้ คำว่ารัก จากใจจริง
รักที่ตัว ที่หัวใจ ใช่ภายนอก
แสดงออก โลภลุ่มหลง ได้และทิ้ง
รักหลงลวง คงอยู่ได้ เปรียบดั่งปลิง
สะดีดสะดิ้ง ต่อไปไย ก็ไม่คลาย...
          ขอให้รักผมให้ตลอด ถึงจะหลงใหลแค่เพียงร่างกาย
          ขอให้รักจนกว่าตัวคุณตาย รักตราบชั่วกาลเวลาจะมลาย
          รักแค่ผม เพียงผมคนเดียว...


          ปราสาทหลังนี้…รับรู้แรงอธิฐาน
          ตั้งมั่น คงทน และแข็งแกร่ง
          อ้างว้าง เดียวดาย แต่ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยไอรัก
          หากแต่ใครจะสังเกต
          หากแต่ใครซักคนได้เฝ้าระวัง...
          คืนนี้ ตัวปราสาทที่หนาวเหน็บกำลังจะรุ่มร้อนดั่งสุมไฟ
          คืนนี้ ราตรีกาลที่ยาวไกลจะสิ้นสุดแค่เพียงกายสัมผัส
          และคืนนี้ ผู้ที่แฝงกายในเงามืดกำลังปรากฏกายพร้อมสหายคู่ใจ


         
“เมื่อใดที่จิตใจเจ้าเรียกหา รัตติกาลจะนำพาให้เจอกัน และเมื่อนั้นเราสองต้องต่างตอบแทน...”

           
           มาต่อให้แล้วนะคะ รักเราเงาสามคน o13 ว่าไปนั่นนิยายรักสุดโรแมนติกในบรรยากาศสุดหลอนอัดเดตให้นักอ่านทุกคนแล้วค่า เชิญเข้ามาอยู่ร่วมบรรยากาศสุด....บรรยายได้ ณ บัดนี้ :hao6:

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คำเตือน
นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงให้การอ่านและส่งเสริมจินตนาการพลพรรคคนรักสายวายเท่านั้น เนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ บุคคล และสถานที่ใดๆ ทั้งสิ้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
NC 18+
เยือนย่ำรัตติกาลจำแลง
          ฟิ้วว...กระดาษเก่ากรุใบหนึ่งลอยขึ้นและร่อนตัวลงยังเป้าหมายและทิ้งกายอันแผ่วเบาลงบนใบหน้าใครคนหนึ่ง
          ‘หือ?’
          นัยน์ตาคมค่อยๆลืมขึ้นเมื่อผิวหน้าสัมผัสได้ถึงวัตถุเนื้อเรียบที่ลงแรงปะทะจนสงบวางนิ่งอยู่ข้างใบหน้า มือเรียวค่อยๆ จับกระดาษเก่าแผ่นนั้นช้าๆ ก่อนที่จะควานหาแสงสว่างบนหัวเตียงเพื่อมองข้อความให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ริมปากเหยียดตรงค่อยๆ เอ่ยคำหวานตามบทกลอนเกริ่นกล่าว
         “...มาซิมากับฉัน...เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน หลั่งสัมพันธ์เลือดรสหวานปานขาดใจ เอนกายลง ข่มตานอนคล้ายคนหลับ มากับฉัน อย่าตระหนักร่างรับรักล่องหนหาย ด้วยอกอุ่น ด้วยสัมผัส ด้วยรสจูบซ่านทรวงกาย รอนะ รักมิคลายถึงเร่ร่อนรอนแรมนาน…กลอนอะไรเนี่ย? นี่มันกระดาษที่พ่อบ้านให้มานี่นา”
         ร่างสูงเพรียวค่อยๆ ขยับกายลงจากเตียงนอนอุ่น เดินลากปลายนิ้วเรียวไล้นิ้วไปบนผืนผนังเย็นชื้นอย่างช้าๆ ไปยังสวิตช์ไฟ หวังจะกระจายแสงสว่างให้ทั่วห้อง
        แต๊กๆ! เสียงเปิดปิดสวิตส์ดังขึ้นอยู่พักหนึ่งแล้วคนตั้งหน้าตั้งตาเปิดถึงกับถอดใจ
        “ชิส์...ไฟเสียเหรอเนี่ย เฮ้อ....”
         ดวงจันทร์กลมโตสีเหลืองนวลสาดส่องเรือนร่างสีน้ำผึ้งนวลเนียน ร่างสูงเพรียวสวยกึ่งนั่งกึ่งนอนบนพื้นพรมสีขรึมเข้ม ใบหน้าซีกซ้ายผุดผ่องยามต้องลำแสงสว่างบางเบาของแสงจันทร์
         “อ๊าก!” ดวงตาคมจ้องมองใครบางคนบนผิวกระจกบานใหญ่ สันจมูกทอดเงาโด่งสวย ริมปากอิ่มเหยียดเชิดเล็กน้อยยามจ้องมองภาพสะท้อนใครคนหนึ่งในกระจก
         “ตัวเราเองนี่หว่า!”
         สายตาคมตวัดไปที่มือเรียวที่ยังกำแผ่นกลอนชวนหวิวไว้แน่น...ก่อนตัดสินใจยกขึ้นทาบแสงจันทร์ อ่านบทกลอนต่อไปอย่างช้าๆ
         “ทำไมอ่านไม่ออก...อ่ะ! กระจก...อืม..อย่างนี้นี่เอง”
         กระดาษแผ่นเดิมแนบชิดกระจกบานใหญ่ ปรากฏตัวหนังสือในลักษณะปกติ ปากอิ่มสวยขยับขับขานกลอนไปเรื่อยๆ
         “มาเถอะให้เราสองได้พลอดกาย เสียงหวานไซร้หาได้ไร้สิ้นทรวงหวาม สัมผัสเคล้ายวนยั่วเย้าเทพอำพราง เอนกายลง ทับทาบฉัน ...ทาสรักคุณ นำฉันไปล่องหนหายปลายจักษุ โหมโรมรัน พลันไล่ล่า ท้ากระหาย ขอเป็นหนึ่งคู่ข้างกาย...ไม่อาจตายรอนแรมราข้ามเขตกาล อะ! ภาพที่สะท้อนในกระจกทำไม...นะ นี่ใช่ตัวผมจริงๆหรือนี่!”
        ผมรู้สึกร้อนวูบวาบเมื่อเห็นท่าทางเชื้อเชิญของตัวเองในกระจกบานใหญ่ เสื้อนอนตัวโคร่งถลกร่นขึ้นมาเหนือเข่าเกินหนึ่งฝ่ามือ เผยเนื้อเนียนสีสวยยามต้องแสงจันทร์ผ่องนวล สาบเสื้อเปิดกว้างโชว์แผงอกสวยเรียบตึงเพราะกระดุมตั้งแต่สามเม็ดบนหลุดออกมาจากรังดุม แสงเงาฉาบผ่านใบหน้าและเรือนร่างได้สวยงามลงตัว
         ภาพแบบนี้หรือที่ทำให้ใครบางคน หลงใหลในตัณหาเผลอใจให้ราคะเข้าครอบคลุมจิตใจ!...
         ผมพยายามขยับขาปิดความเชื้อเชิญด้วยท่าทางของตัวเองแต่ทำไม่ได้ หน้าของผมก็ยังคงมองกระจกอยู่อย่างนั้น สักพักความเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นบนตัวของผม ความเย็นวาบไล่ทาบทามตั้งแต่ปลายเท้ามาถึงทรวงอก ไล่เรียงมาที่ลำคอและใบหน้า ผมหายใจถี่กระชั้น ใบหน้าเริ่มขึ้นสีด้วยความเสียวซ่านระคนความอับอายที่ส่วนกลางลำตัวของร่างกายเริ่มชูชัน
         ผมได้ยินบทกลอนบทแรกดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาท น้ำเสียงอ่อนนุ่มเย็นชาชวนให้ลุ่มหลงเคลิบเคลิ้ม..
        (มาซิมากับฉัน...
         “อ๊ะ!....” ร่างกายบิดเบียดบนพื้นพรมคล้ายถูกแรงสัมผัสที่โชกโชน ปลายเท้าจิกดันผิวหยาบแข็งจนลำตัวหลักลอย
         บทกลอนที่ละบทขับขานสำเนียงเป็นเสียงกลอนกัดกร่อนหลอนประสาท
         “อืมม!” ศีรษะถูกไถพื้นพรมหนาใบหน้าสะบัดเกลือกลิ้งปาดป่ายซ้ายขวาเพื่อคลายความรัญจวน
         “อ้า!…” มือเรียวทึ้งขนสั้นกุดของพรมผิวหยาบ ปลายเล็บจิกกดขยำจนยับย่นเป็นรอยริ้วบนผิวพรมหนาสีเรียบเข้ม ปลายเล็บออกแรงบิดทั้งจิกทึ้งและฉุดดึงไม่หยุด
         “หยะ...หยุด!”  น้ำเสียงขาดเป็นห้วงๆ ร้องขอใครซักคนที่ทำรุ่มร่ามกับตัวเองให้หยุดการกระทำอุกอาจเช่นนี้
         “ดะ...ได้โปรด” ปลายลิ้นฉ่ำปาดฉาบบนริมฝีปากแห้งผากเหมือนขาดน้ำมาเป็นเวลานาน
         “อืม...ไม่นะ!” สะโพกได้รูปบิดส่ายไปมา ต้นขาเรียวพยายามปกปิดของสงวนบริเวณลำตัวไม่ให้โด่งนูนตื่นตัวตามแรงอารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้น
         “อะ....อ้า” ลำตัวเพรียวเหยียดตรงสุดตัว แผ่นหลังเนียนถูกดันให้สูงเหนือพื้นพรมอุ่นรองรับแรงปะทุบางอย่างที่ร่างกายบ่งบอกว่าอีกไม่ช้าทุกส่วนประสาททั่วลำตัวจะต้องหดเกร็งยิ่งกว่านี้
         “อ๊ะ...จะออ..ก!” ลำแสงสว่างสาดซัดไปทั่วทุกอณู สมองไม่สามารถตอบรับสิ่งรอบตัวได้อีกนอกจากน้อมรับความสุขประหลาดล้ำที่เกิดขึ้นที่ช่วงกลางลำตัว
         “แฮ่ก! แฮ่ก!” ส่วนชูชันหดเกร็งและกระตุกปล่อยความหฤหรรษ์เป็นน้ำเหนียวหนืดสีขาวนวลความข้นคลักสาดกระจายจนอุ่นชื้นเต็มกางเกงชั้นในเนื้อบาง เนื้อผ้าอ่อนนุ่มเปียกชื้นด้วยซึมซับน้ำรักแรกรุ่น ทรงชั้นในชายห่อตัวรับแกนเนื้อระริกน้อยๆ หลังการปลดปล่อยเป็นระยะจนนิ่งสงบ
         “อ้า…” ผมมองเห็นแต่แสงสีขาวแตกซ่านทั่วไปหมด สมองผมมึนงง โล่งโปร่งไปหมดเหมือนลอยอยู่ในอากาศธาตุ ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ มือผมสัมผัสความเปียกชื้นบริเวณชายเสื้อตัวยาว และกางเกงชั้นในที่เปียกซกจนทำให้รู้สึกไม่สบายตัวบริเวณนั้น
         “ฝันเปียก!!”
        “อยากทำให้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคุณหนูลุกซ์” ความเย็นวาบส่งผ่านไปทั่วแผ่นหลัง น้ำเสียงแหบพร่าปัดเป่าลมหายใจอุ่นอยู่บริเวณซอกคอสีน้ำผึ้งสวย
         มือสองข้างของผมถูกรั้งขึ้นเหนือศีรษะ กระดุมค่อยๆหลุดออกทีละเม็ด ทีละเม็ด จนหมด
         “อ๊า...อุ๊บ..” ผมหลุดเสียงประหลาดออกมาอีกแล้ว
         “กลอนนั่น! อื้ม....อ้าก...เจ็บ!” มีบางอย่างสอดเข้ามาที่ตัวผม...ผมกลับอ้าขารับมันแต่โดยดี มันไม่ถูกต้อง! ผมต้องปกป้องตัวเองไม่ใช่หรือ!
         "คะ...คุณ” ผมเห็นหน้าผู้รุกรานชัดเจนในเงาจันทร์ ดวงตาของเขาทำให้การรับรู้ภาพเบื้องหน้าของผมพร่ามัว ผมรู้สึกได้ถึงการคืบคลานเข้ามาในตัวผมอย่างช้า ๆ
         อึดอัดจัง...ร่างกายผมเหมือนถูกยกให้ลอยขึ้น จนเผลอโอบรอบคอคนนัยน์ตาสวยคู่นั้นเอาไว้แน่น
         ผมสะดุ้งเมื่อนิ้วมือเย็นสอดเข้ามาเพิ่ม นิ้วเรียวกวาดวนไปโดยรอบรุกเร้านวดคลึงเปิดช่องทางให้ขยับขยายออกไปอีก ในขณะที่แก่นกายใหญ่ค่อยๆ ถูกช่องร้อนเนื้อนุ่มเนียนกลืนกินทีละนิด ๆ
         “ผ่อนคลายคุณหนู”
         มันน่าอายจริงๆ แต่ร่างกายผมกลับตอบสนองตามคำพูดของคนน้ำ เสียงนุ่ม พร้อมทำตามอย่างว่าง่ายถึงจะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่ร่างกายกลับค่อยๆ ปรับตัว
        “อย่างนั้น...อืม เก่งจัง อย่างนั้น คุณหนูคนดีของพวกเรา”
         สายตาระยิบวาบหวานสอดประสานนัยน์ตาของผม แทบไม่รู้ตัวเลยว่าผมยิ้มรับคำชมชวนสยิวนั่นไปได้อย่างไร ความร้อนชื้นกวาดเวียนวนบริเวณซอกคอของผม ผมเอนคอรับความอุ่นฉ่ำอย่างหลงใหล
         “อะ...คุณ...พวกคุณ?!”
         ...“พวกเราเป็นอย่างไรหรือ”…น้ำเสียงนุ่มทุ้มจากเบื้องหลังทำให้ผมสั่นสะท้าน มือใครซักคนช้อนใบหน้าผมให้หันไปสบตาดวงตาสีนิลเบื้องหลัง แต่เบื้องล่างของผมก็ยังถูกรุกรานจากนิ้วเย็นวาบไม่หยุดหย่อน ทั้งที่กายรุ่มร้อนสอดรับช่องทางจนสุดแล้ว แต่นิ้วมือยังช่วยปรับช่องทางให้คลายตัวยิ่งขึ้นอีก แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิ้วๆ  จนผมปวดหนึบไปทั่วทั้งสะโพก ทุกอย่างรอบตัวผมเหมือนหยุดการเคลื่อนไหวเมื่อลิ้นหนาโลมไล้คลอเคลียริมฝีปากของผมอย่างช้าๆ
         ฉากอล่างฉ่างแบบนี้เหมือนในหนังสือต้องห้ามที่เขาแอบอ่านในห้องหนังสือไม่มีผิด ต่างกันแต่หนังสือที่ว่ามีแต่รูปภาพเขาไม่สามารถรู้วิธีการอันถ่องแท้ได้และทำอย่างถูกต้อง
         “จะ....จูบผม..ทะ..ที” ผมเอ่ยปากร้องขออย่างกล้าๆกลัวๆ เผยอริมฝีปากรับก่อนจะค่อยๆ ส่งลิ้นตัวเองสัมผัสลิ้นหนาผิวสากนั่น ผมเห็นรอยยิ้มของเขา ใบหน้าหล่อเหลาแต่เย็นชา ลิ้นที่ส่งสัมผัสมายังเรียวลิ้นผมเร่าร้อนจนผมเผลอตัวร้องครางออกมาเบาๆ
         “อื้อ....ทำไมมันใหญ่ขึ้น อ้า ไม่เอา...เอาออกไป”
         ...“ประเดี๋ยวจะรู้สึกดีเองคุณหนูลุกซ์”
         “ผะ...ผมไม่ไหว..อ๊ะ!”
         ...“อีกนิดเดียวความสุขกำลังจะมา...อยากได้รักแท้ไม่ใช่หรือครับ เราสองคนจะมอบให้เอง”
         ...“พวกเราพร้อมแสดงให้ดูคนรักกันเค้าแสดงออกกันอย่างไร คุณหนูลุกซ์ที่รัก”
         “อ้า...อ๊ะ...หยุดก่อน ผมหายใจไม่ออก...อื้อ”
         ...“ขยับตัว ช้าๆ ค่อยๆ กลืนกินเราสองคนลงไปในตัวคุณหนูลุกซ์ซะสิ”
          “สะ...สองคน...พวกคุณทำบ้า อะไร...ครั้งแรกของผมนะ! เอามันออกไป!!”
         ...“เราสองคนจะรักคุณให้สุดกำลัง”
         ความอัดแน่นถาโถมช่องทางเบื้องล่างจนผมจุกแน่นบริเวณช่องท้อง ความปวดหนึบๆ หน่วงๆ ลามไล้เหมือนริ้วคลื่นไล่แล่นตามแนวกระดูกสันหลังจนสุดถึงต้นคอ
         ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อพวกเขาทั้งสองพร้อมใจดันความเป็นชายเข้ามาในตัวผมคนเดียว
         ผมพยายามขยับสะโพกตามที่ใครซักคนบอก...
         แต่มันช่างทำยากเย็นเหลือเกิน ขาทั้งสองข้างของผมสั่นระริก จนมือใครสักคน ลูบไล้คลำคลึงสะโพกผมให้ผ่อนคลายความเจ็บปวด
        ...มันจะช่วยได้ไหม..
         เหมือนจะช่วยได้ ไม่เช่นนั้นคงไม่นวดคลึงแบบนี้!
         ผมรู้สึกคับแค้นใจอย่างมาก ทำไมต้องรุมผมแบบนี้ด้วย นี่มันข่มขืนกันชัดๆ เลย
         แต่ก็ทำอะไรไม่ได้...เพราะความรู้สึกทางร่างกายไม่ได้คัดค้านอย่างชัดเจน ซ้ำยังชักจูงความรู้สึกทางใจให้คลอยตามไปด้วย
         ความร้อนชื้นเปียกชุ่มบริเวณหางตาทั้งสองข้างหยาดน้ำใสเกาะพราวชุ่มทั่วทั้งดวงตา หนึ่งในสองคนจูบซับหยาดน้ำตาอยู่เนืองๆ จูบแผ่วเบาเหมือนเป่ามนต์ให้ผมหายเจ็บปวด
         ...“อยากให้ช่วยไหม”
         ผมพยักหน้ารับทั้งที่ไม่รู้ว่าจะช่วยผมอย่างไรได้ มือหนาสัมผัสกายรักของผมแล้วรูดขึ้นลงจากช้าๆ ค่อย ๆ เร่งจังหวะเร็วขึ้นๆ จนผมเองต้องโยกสะโพกสอดรับ
         เมื่อความรู้สึกบางอย่างวิ่งพล่านพร้อมที่จะระบายความอัดแน่น ผมอ้าปากจะร้องห้ามแต่น้ำเสียงกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อจูบเร่าร้อนกดทับลงมาบนริมฝีปากอย่างรวดเร็ว ลิ้นหนากวาดปาดป่ายไปทั่วช่องปาก จังหวะจูบที่รุนแรงและแผ่วเบาสลับไปมาจนผมแทบสำลักในความเสียวซ่าน   
         ผมเริ่มขยับสะโพกสอดประสานกับจังหวะมือหนาที่รูดแก่นรักผมขึ้นลงๆ  มือผมปาดป่ายไปทั่วเพื่อหาที่ยึดเกาะ แผงอกประดับด้วยเม็ดสีชมพูเข้มบนร่างกายถูกขบกัดเบาๆเป็นจังหวะ ผมขยับสะโพกรับเร็วขึ้น แอ่นแผ่นหลังดันหน้าอกให้รับสัมผัสวาบหวาม
         ภาพบุคคลเบื้องหน้า ทั้งด้านหน้าและข้างหลังส่งเสียงครางไม่รู้ศัพท์ว่าเสียงใครเป็นใคร เสียงครางดังก้องไปทั่วห้อง ผมเผลอกดหัวคนเบื้องหน้าให้ส่งสัมผัสลึกซึ้งอย่างลืมตัว
         “อื้อ...อื้อ...” ผมรู้สึกความกักกดบริเวณแก่นกายของผม มันอัดแน่นพร้อมจะปลดปล่อยเต็มทีแล้ว
         มือหนาถูเค้นบีบคลึงสะโพกอย่างต่อเนื่อง ลิ้นสากกวาดวนรอบฐานถันจรดปลายจนแข็งตึงเป็นไตเรียวปากอิ่มดูดดึงอย่างย่ามใจ
         “ผะ...ผม ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วจริง ๆ ฮะ” ส่วนปลายของผมสั่นจนผมรู้สึกได้ใกล้สิ้นสุดการเก็บกักเต็มทีแล้ว
          ...“ไปสู่ห้วงแห่งสุขกระสันด้วยกันสิคุณหนูลุกซ์”
         แรงเสียดสีสอดสลับรุนแรงตัวผมเหมือนถูกโยนขึ้นลงจนสั่นคลอนไปหมด
         ไร้ซึ่งความเจ็บปวด...
         รู้สึกแต่ความแน่นตึงจนชาไปทั่วสะโพก
         รู้สึกถึงความเสียวซ่านจนแทบลืมหายใจเมื่อแก่นกายทั้งสองสลับกันเสียดเบียดช่องทางรักและสอดประสานเป็นจังหวะเดียว ความกำซ่านก่อประทุจนผมต้องครางเสียงประหลาดอย่างลืมตัว
         อ้อมแขนแกร่งโอบกอดผมทางด้านหลังดันตัวผมให้ขึ้นลงตามจังหวะกระแทกกระทั้น
         อ้อมกอดด้านหน้าโอบรั้งสะโพกให้พลิ้วไหวโยกโยนพร้อมบีบคลึงคลายความเครียดเกร็ง
         ผมค่อยปล่อยน้ำแห่งสุขออกมาทีละนิดจนชุ่มบริเวณหน้าท้องแข็งแกร่งของชายนัยน์ตาหวามเบื้องหน้าเรียวขาผมโอบรัดเอวเขาไว้แน่น แขนสองข้างโอบรอบคอคนด้านหลังโน้มรั้งให้ใบหน้าคมซุกไซร้ซอกคอ
         ร่าน! ต้องเรียกแบบนี้สินะ โลภซะด้วย!
        นี่ผมชอบความรักหยาบโลนแบบนี้หรือ....แต่รู้สึกดีมากก็เท่านั้น....
สามรักหยาบ กระแทกโยน โหนจนหอบ
ช่องทางตอด สองลำรัก อย่างโหยหา
จังหวะโจน กระชั้นถี่ ปรี่อัตรา
ส่องลำล่า ไล่ต่างรัก เบียดซอกซอน
รั้งเร่งร่อน ขจรจัด จังหวะโขก
สามร่างโยก ทะยานลึก รักรุ่มร้อน
เร่งน้ำสี นวลเปรมเปี่ยม สุดลิดรอน
สามคนนอน อบสะท้าน ปานขาดใจ
ต่อแล้วนะคะค้างไว้นานเลยจะมาทยอยอัพให้ทีละตอนๆ นะคะ จะไม่ลงทียาวๆ แล้วค่า พลังชีวิตให้เหลือค่ะเรื่องนี้ :jul1:
เรามาเจอกันตอนจบของตอนพิเศษนี้ตอนหน้านะทุกคน :katai4:

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
           แต่งตอนนี้รู้สึกหดหู่ มั่นเตียงสติตัวเองด้วยนะท่านผู้อ่าน คิดให้เยอะทำแล้วคิดมันจะพลาดจนแก้ไขไม่ได้ อินจัด! :hao5:
          คำเตือน เหตุการณ์ในนิยายเรื่องนี้ทั้งหมดทุกเหตุทุกเพศภัยเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเพื่อความบันเทิงเพียงเท่านั้น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
          ย้ำคำเตือน Violence,Depression,Pseudo-Incest,Angst
          เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากห้องโถงด้านล่าง ปลุกคนกำลังนอนสะลึมสะลือให้ตื่นขึ้นรับรู้ความเป็นไปในเหตุการณ์ ดวงตาคู่สวยกระพริบปริบๆ ไล่ความอ่อนล้าที่ดวงตา
          ดวงหน้าอ่อนแรงหันกลับไปมองที่หน้าต่างประเมินเวลาจากสภาพแวดล้อมนอกตัวปราสาท ท้องฟ้าเปิดไม่เต็มที่ นี่คงเพิ่งรุ่งสาง

          ลุกซ์พยายามขยับร่างกายแต่ทุกส่วนดูเหมือนจะเป็นอัมพาตหนักอึ้งไปทั่วทั้งตัว หัวสมองไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองเพียงชั่วคืน ยิ่งพยายามขยับตัวอาการปวดระบมที่สะโพกยิ่งวิ่งแล่นลงไปยังปลายเท้าไร้เรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวให้ลุกขึ้นจากที่นอนให้ไปรับรู้เหตุการณ์ด้านนอก
          “ลุกซ์!!!...แกอยูไหน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงแผ่ดแหลมของผู้หญิงดังก้องมาที่โถงหน้าห้องนอน
          “มาดาม! ห้ามเข้านะครับ...ช่วยกันจับไว้เร็ว!” แว่วเสียงพ่อบ้านดังฝ่าแพงหนาเข้ามาภายในห้อง
          เสียงโวยวายอะไรกัน...มาครั้งนี้กะจะฆ่ากันให้ตายเชียวหรือ...
          แม่...รักผู้ชายมากกว่าลูกหรือ อิจฉาลูกที่ผู้ชายที่รัก รักลูกตัวเองมากกว่าหรืออาฆาตที่ชายที่รัก รักผู้ชายด้วยกันเอง!จะอย่างไหนก็สุดแล้วแต่นี่คงแค้นใจกำลังสองถึงพกพาความโมโหโทโสมุ่งร้ายมาที่ผม
          แม่มักบอกเสมอว่าผมหน้าเหมือนพ่อ...แล้วพ่อก็หนีจากแม่ไปตั้งแต่ผมเกิด มือเรียวของแม่ชอบบีบเค้นที่ใบหน้าของผมแรงๆ ผมนึกว่าท่านรัก...ผมถึงทน
          แววตาก้าวร้าวที่รุกรานตัวผม...บ่งบอกเสมอว่า ผมมันตัวจัญไร แต่ผมก็ทนเพราะดวงตาคู่นี้มองแค่ผมคนเดียว
          อดทนไว้เมื่อผมโตขึ้นผมจะปกป้องผู้เป็นแม่ ผมจะทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวทดแทนส่วนที่ขาดเติมเต็มความอบอุ่นที่ขาดหายไปแต่ผมทำไม่ได้! ผมจากแม่มาผมอดทนจนผมโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ไหว ผมละทิ้งคำสัญญานั่นเดินหันหลังให้ผู้เป็นแม่ไปกับคนที่แม่รัก
          ผมเลือกความรัก...ที่ทั้งชีวิตไม่เคยได้จากคนเป็นแม่ผู้หญิงผู้สูญเสีย...สูญสิ้นทุกอย่างเพราะผมเองไปพรากมันมา
นรกคงกำลังรอรับผมอยู่แล้วซินะ...
          ผมจะโดนพิพากษ์ลงทัณฑ์หนักหนาสาหัสขนาดไหนกัน...
          ไม่เป็นไรถึงจะตาย ผมก็ยินดี ผมจะขอตอบแทนบุญคุณที่ท่านให้ด้วยชีวิต ชีวิตที่พรากผู้เป็นที่รักถึงสองคนไปจากท่านถ้าหญิงผู้ให้กำเนิดจะลิดรอนสิทธิ์การดำรงชีพผมเต็มใจให้ เราสองคนจะได้ไม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณกัน จบสิ้นกันเสียที!
           “ไอ้ลูกไม่รักดี แย่งได้แม้แต่ผัวของแม่ตัวเอง วันนี้ฉันจะฆ่าแก..ปล่อยนะ ปล่อยฉัน!”…
           แม่หรือ...ผมไม่มีคนทำหน้าที่เป็นแม่ที่ดีมานานแล้ว...
           เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นๆ และเข้ามาใกล้เขาขึ้นทุกทีๆ คุณพ่อบ้านคงไม่อาจต้านความโกรธเจียนคลั่งของแม่ได้กระมัง...?
          “คุณหนูอย่าออกมานอกห้องนะครับ...อย่าออกมานอกห้อง ล็อกกลอน ล็อก!” เสียงตะโกนบอกทำให้ลุกซ์พยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นทำตาม
          ปัง! ปัง! เสียงเหมือนพลุดังก้องอยู่นอกห้อง
           เสียงคุณพ่อบ้านตะโกนบอกถึงประตู กลอน! ล็อกกลอน.... ลุกเร็วเข้า! ไปที่ประตูแล้วล็อกกลอน
สายเกินไปเสียแล้ว
           “อยู่นี่เองสินะนางเด็กร่านสวาทเลี้ยงไม่เชื่อง” แม่วัยสาวร่างอรชรแต่นัยน์ตาแฝงความมุ่งมั่นมาดร้าย เดินกร่างถือปืนแนบขนาบลำตัว เมื่อถึงเตียงนอนหลังเขื่องมือเรียวตวัดผ้าคลุมตัวออกทันที
           “กรี๊ด...กะ....แก!” เสียงกรีดร้องมาพร้อมกับความเจ็บชาบนใบหน้าไปครึ่งซีก เสียง เพี้ยะ! ของฝ่ามือบางๆ ยามกระทบใบหน้าทำไมถึงก้องอยู่หัวไม่หยุดหย่น
          “แพศยา!...แกมันร่าน.. แก๊..” เสียงกร่นด่าทอต่อไว้ไปในทางเสื่อมเสียดังขึ้นและคำหยาบคายรุนแรงขึ้นแต่หูของเขาอื้ออึงแทบไม่ได้ยินเสียงอะไร
          ใบหน้าสวยหันไปตามแรงตบของผู้ให้กำเนิดไม่ได้คิดต่อต้านหรือหลบหนี ‘นังร่าน’ หรือ ผมเป็นผู้ชายนะ...หรือจะติดเชื้อร่านผู้ชายเหมือนใครกัน!
          “อยากมากนักทำไมไม่ไปล่อคนอื่นมายุ่งกับคนของชั้นทำไม...ห๊า”
          แอชชี่เป็นคนที่เท่าไหร่ของคุณกันนะ ผมจำไม่ได้แล้วสิ...เห็นคุณก็รักหมดทุกคนนั่นแหละยกเว้นตัวผม
          สายตาชิงชังมองร่างกายตรงหน้าอย่างโกรธแค้น ใบหน้าหวานนอนนิ่งไม่ไหวติง เสื้อนอนตัวโคร่งคล้องไว้หลวมๆ ที่ปลายไหล่โค้งมน ริมปากเหยียดบวมเจ่อจนกินเลยความเอิบอิ่ม รอยแดงปรากฏทั่วตามร่างกาย ด่างดวงสีแดงแต้มแต่งบนที่นอน เหมือนความบริสุทธิ์เปรอะเปื้อนปนคราบใคร่สีขาวขุ่นอยู่ประปราย
          มือเรียวเล็กกระชากขาสองข้างให้แยกออก ความรุนแรงแห่งรักที่ขังเอ่ออยู่ด้านในค่อยๆ ซึมออกมาด้านกรอยช้ำแดงสีเข้มยังไม่จางหายไป สร้างความรู้สึกแตกต่างมากมายทางความคิดและสีหน้าท่าทางจนไม่อาจคาดเดาความคิดจากหน้าตาของผู้หญิงสวยคนนี้ได้
          “อุบาทว์! แก่มัน...มัน...กรี๊ด...มันผิดเพศฉันจะต้องฆ่าแก กำจัดแกไม่ให้ทำอย่างนี้กับใครอีก! ไม่! ต้องไม่ใช่แบบนี้” เสียงตะโกนแหลมปรี๊ดบาดถึงของหัวของผู้หญิงใจสลายคนหนึ่งทำให้คนรับใช้ที่ตรงมายังที่เกิดเหตุต้องตั้งสติควบคุมสถานกาณ์ไม่ให้เหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นเพราะมหันตภัยร้ายแรงอยู่ในมือบางๆ ที่สั่นเทาของอดีตนายหญิง
          ร่างบางยังคงนอนนิ่งไม่สะทกสะท้าน
          จะอยู่หรือจะตาย...ก็คงไม่ต่างกันขอแค่มีคนรักผมต้องการผมก็พอแล้ว
          “ทำไม ! ทำไมทำกับฉันอย่างนี้ ...ทำไมฮือๆ” มือบางสั่นเทานิ้วเรียวเกาะเหนี่ยวไกปืน ถึงจะไม่หนักจนเกินกำลังจะถือไหวแต่มือบางประคองเจ้ามัจจุราชกระบอกดำช่างดูหนักอึ้งอย่างน่าใจหาย
          “กะ...แกจะแย่งทุกอย่างไปจากฉันทำไม…ไหนแกบอกจะดูแลฉัน...แล้วนี่อะไร หา...นี่มันอะไร!” ทั่วร่างของหญิงสาววัยสามสิบกว่าสั่นสะท้านทั้งแรงแค้นแรงรักแรงหึงหวงผสมปนเปกันยุ่งวุ่ยวาย
          ลูก...กับอดีตคนรักที่หนีหน้าหายไปตั้งแต่เด็กน้อยนี่เกิดมา
          เด็กน้อยที่เกิดมาเหมือนจงใจจะกลั่นแกล้ง ด้วยใบหน้าที่ถอดแบบชายคนรักให้ยิ่งปวดใจ
          ทุกครั้งที่เห็นหน้าทุกครั้งที่ชิดใกล้ เกลียด...แต่ก็เกลียดไม่ลง...รัก...แต่ก็แสดงออกได้ไม่ถนัดใจ…
          “ทำไม...ฉันไม่ฆ่าแกตั้งแต่เกิดเลี้ยงแกมาทำไมให้ฆ่าฉันทั้งเป็นฮือๆ” เสียงร่ำไห้คร่ำครวญตีโพตีพายพาลให้นึกถึงเรื่องราวเก่าก่อนแม้จะมีทุกข์แต่ก็ยังมีความสุขหล่อเลี้ยงหัวใจได้บ้าง ทั้งที่นึกเสียใจที่เอาความโมโหเคียดแค้นไปลงกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่ตัวเองเป็นคนทำให้เขาได้เกิดด้วยความรักโดยเนื้อแท้ เพราะความรักเพราะความหนุ่มสาวนั้นกลิ่นรักกลิ่นสวาทชั่งหอมหวนยั่วยวนใจและกาย
          “ฆ่า...ผม...เถอะ…ถ้ามันทำให้สบายใจหลุดพ้นความเกลียดชังในตัวผม แม่จะได้พบความสุขเสียที” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบนิ่งสงบเหมือนรอคอยวันเวลานี้ให้มาถึง
          “แกอย่ามาพูดดี ! แกมันจะรู้อะไรแกมันไม่ใช่ฉัน” คนเป็นแม่จะฆ่าลูกตัวเองได้ลงคอได้อย่างไรกัน เธอหยุดคิดนิ่งสนิทมือยังสั่นเทา
          ไม่...เด็กคนนี้มันแย่งทุกอย่างไปจากแก!
          ไม่...เด็กคนนี้แย่งความรักไปจากแก ทุกอย่างมันแย่งไปหมด
          ไม่...ไม่..ไม่ ยิงมัน! ฆ่ามัน! มันเกิดมาเพื่อทำลายล้างแก!
          แม้แต่คนที่แกรัก...มันก็แย่งไปครอง!
           มะ ไม่....ไม่ใช่นะ! ช่วงเวลาไร้ความมั่นคงทางจิตใจแรงกายแรงใจมักยิ่งใหญ่กว่าสติและความคิด

          ปัง! มัจจุราชจุดฉนวนยมโลกเปิดต้องรับสู่ภพนิรันดร์ เด็กหนุ่มแรกรุ่นใบหน้าสวยนอนสงบแน่นิ่งไม่ไหวติง
           “มะ...ไม่นะ..นี่ฉันทำอะไรลงไปลุกซ์!”  ผู้เป็นแม่หวังจะเข้าไปประคองกอดลูกชาย แขนขาไร้เรี่ยวแรง ทรวงอกเหมือนโดนของแข็งกระแทกอัดจนจุกแน่นแทบขาดอากาศหายใจ
          “ฉันทำอะไรลงไป!...ทำไปได้ยังไง...ฆ่าลูกตัวเอง...เพราะผู้ชายคนเดียว ฉะ...ฉัน!...
          “คุณทำอะไร!” แรงกระชากจากด้านหลังดึงร่างบางอรชรจนแทบปลิวออกมาจากร่างไร้วิญญาณตรงหน้า
          “พระเจ้า! ไม่นะ...” มือหนาประคองใบหน้าหวานที่หลับพริ้มไม่รับรู้เหตุการณ์อันใดอีกแล้วฉับพลันใบหน้าโกรธแค้นหันมาเพ่งเล็งหญิงผู้เป็นต้นเหตุ
           เธอมองแววตาท่าทางชิงชังแล้วสะท้อนถึงตัวเอง สายตาแบบนั้น...คือสายตาที่ผู้เป็นแม่มองลูกชายมาตลอดสิบห้าปี
           สายตาแบบนั้น...ทำให้เธอตัดสินใจทำอะไรขลาดเขลา
           เพราะสายตาแบบนั้น...การกระทำที่สะท้อนออกมาความเป็นแม่พึ่งสำนึกเอาตอนสูญเสียไปแล้วทุกอย่าง
          “คุณ! คุณสั่งคนทำลายเขายังไม่พอคุณยังฆ่าเขาได้อีกเหรอคุณมันไม่ใช่คนคุณมันเป็นแม่สันดานเลว”
            แม่สันดานเลว..อย่างนั้นหรือแล้วใครที่มันหลอกฉันหวังแฝงอยากได้ตัวนังเด็กนั่นกัน มันก็เลวพอๆ กันนั่นแหล่ะอย่ามายกตัวว่าดีกว่ากันนักเลย   
          ความโกรธถาโถมลามลุ่มพุ่งทะยานไปถึงสมอง มือเรียวกำด้ามปืนไว้แน่น
          ที่เลว ที่ชั่ว เป็นเพราะใคร?
          ใครกันที่เสนอจะให้ทุกอย่างแค่เพียงออกห่างจากลุกซ์
          ใครกันที่ขอให้ยกลูกชายตัวเองให้กับคนรัก
          คิดหรือทรัพย์สินเงินทอง มันทดแทนความรักได้
          คิดหรือสมบัติพวกนั้นฉันต้องการ
          สิ่งที่ต้องการคือ ‘คุณ’  ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ทรัพย์สิน
          แล้วสิ่งที่คุณขอร้องคืออะไร
          ขอให้ฉันเดินจากไปและทิ้งลูกชายไว้กับคุณ
          คุณบอกว่ารักลูกชายฉัน...
          แล้วฉันล่ะ...ใส่ใจกันบ้างไหม
          ทำไมฉันต้องเป็นฝ่ายสูญเสียตลอดทำไมฉันจะเป็นฝ่ายเลือกบ้างไม่ได้!

          “พูดบ้าอะไรของคุณ ฉันทำอะไร! อยากตามไปอยู่ด้วยกันนักก็เอาเลยเดี๋ยวฉันสงเคราะห์ให้ตายตามกันไป ก็ดี...หึ”
          เพี้ยะ! เมื่อโดยเองกับตัวถึงได้รู้ว่าความเจ็บแสบที่ใบหน้าเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดที่ต้องเสียลูกตัวเองไป
          “คุณกล้าตบฉันหรือ”
          “ผมจะทำมากกว่านั้นอีก...อิจฉาละสิ อิจฉาที่ผมรักเขาอิจฉาที่ผมจะเลิกกับคุณแล้วมาอยู่กับเขา หึ...คุณมันใจทราม”
          “ใจทรามฉันนะหรือ...ใครกันแน่ที่ใจทราม!” เสียงต่อว่าผลัดกันลากดึงอดีตที่เคยผิดพลาดมาสาดใส่กันร้อนยิ่งกว่าน้ำเด็ดเผาไหม้ยิ่งกว่าเปลวไฟ
          โป๊ก! ด้ามปืนแข็งปะทะใบหน้าไม่ได้เบาเลยถึงจะด้วยน้ำมือของผู้หญิงบอบบาง เรียกเลือดเรียกสติแอชมีด์ให้เย็นลงได้บ้างถ้าความโมโหไม่บดบังความคิดและสติ
          “คุณกล้าเอาด้ามปืนตบผมหรือ!” มือหยาบแตะเลือดที่ไหลย้อยลงมาจากขมับ
          “ฉันจะฆ่าคุณด้วย คนวิปริตผิดเพศอย่างคุณก็ไม่สมควรอยู่ให้รกโลกเหมือนกัน” ปลายกระบอกปืนส่องตรงมาที่ร่างหนาที่กึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าสวยไร้แววปรานีแม้แต่น้อย
          “นี่อย่านะ...บ้าไปแล้วหรือไง!” ลำแขนหนาปัดป้องใบหน้าและลำตัวตามสัญชาตญาณ
          แต่ตายไปก็ดีเหมือนกัน ชีวิตที่ไม่มีลุกซ์ผู้เป็นที่รักอยู่ไปก็ไร้ความหมายทนทรมานอยู่ไปวันๆ แค่คิดต้องดำเนินชีวิตอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังก็ไม่อยากอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว
           ยิงเถอะ...ผมพร้อมจะตายตามคนรักไป จากคอยปัดป้องชายหนุ่มเริ่มผ่อนคลายและยอมสละชีวิตเพื่อรัก
          ปัง! ปัง! มัจุราชตัดบทให้จบได้โดยไว จารึกโศกนาฎกรรมแห่งความรักไว้แทนที่ความเจ็บปวดที่จะยิ่งทวีความยิ่งใหญ่ตราบเท่าความรักที่ตัวละครมีให้แก่กัน
          “กะ....แก” ร่างบางล้มคว่ำใบหน้าแนบพื้นเลือดหลั่งไหลทั่วบริเวณแผ่นหลังบาง
          “นายท่านเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” คนรับใช้รีบกรูเข้ามาดูเจ้านายตัวเอง แต่เจ้าตัวไม่สนใจความเจ็บปวดใดๆ ทั้งนั้นเพราะเขามีส่วนที่เจ็บกว่าบาดแผลภายนอก
          “ลุกซ์...ผมขอโทษแม้แต่คนที่ผมรักผมก็ยังปกป้องไม่ได้...ฮึ...ฮือ..” หนุ่มใหญ่เดินเข้าไปประคองกอดร่างไร้วิญญาณของคนรักด้วยความหวงแหน ไม่นึกรังเกียจที่ร่างกายนี้จะเคยตกเป็นของใคร จะผ่านใครกระทำระยำชำแรกความบริสุทธิ์แต่ครั้งไหนเขาก็ยังจะรักและถวิลหาไม่นึกรังเกียจเลยซักครั้ง
          แต่เพราะอยู่ในคำนิยามของสังคมของคนที่ได้ชื่อว่า “พ่อ” จะพ่อเลี้ยงหรือพ่อกำมะลอพ่อทูนหัว เขาจึงได้แต่เฝ้ามองเพ้อฝันนึกคะนึงหาอยู่ห่างๆ ครั้งเมื่อจะได้รักครองคู่สมใจปรารถนาก็ต้องมีอันพลัดพรากจนไม่อาจสัมผัสกัน
          มือหนาค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมออกจากร่างเย็นเฉียบ บรรจงเช็ดคราบใคร่ออกจนหมดประพรมน้ำหอมกลิ่นหวานอ่อนๆ ที่เจ้าตัวชอบพรมร่าง สองมือจัดแต่งเสื้อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ให้กับผู้เป็นที่รัก
          มือหนาแปรงเรือนผมนุ่มสีธรรมชาติอย่างเบามือ ริมปากจรดบรรจงจุมพิตบนหน้าผากเนียน และประกบจูบบนริมฝีปากบวมอิ่มสีซีด สองแขนประคองกอดร่างไร้วิญญาณเหมือนไม่อยากพรากจากไปไหนน้ำตาลูกผู้ชายไหลรินด้วยเข้าใจผิดว่าเพราะตนทำให้ผู้ที่รักต้องโดนรุมกระทำชำเราทางร่างกายและเป็นเหตุให้แม่ลูกต้องทำวิบากกรรมกันเอง
          “ทำไมผมไม่ตัดสินใจแต่แรกว่าผมรักคุณไม่ใช่แม่ของคุณ...ผมมันโลเลเองถึงต้องจบลงแบบนี้ ผมขอโทษ”
          ...ผมรักคุณ...รักคุณตั้งแต่แรกพบ...หลงคุณตั้งแต่แรกเห็น ผมเองที่เดินผิดทางมาโดยตลอด
          “ฮือ ฮึ..ผมมันไม่กล้าเองผมมันขี้ขลาดเองลุกซ์ที่รัก”
          หนุ่มใหญ่ก้มลงกอดร่างไร้วิญญาณเป็นครั้งสุดท้าย ร่างที่ไร้การตอบสนองไออุ่นที่เคยได้สัมผัสไม่อาจถ่ายทอดถึงกันได้อีกแล้ว คำรักที่ต้องการเอื้อนเอ่ยแต่พูดไปก็ไม่อาจส่งผ่านร่างหลับใหลได้ซึมซับความรู้สึกนั้นได้อีก
          “ยกโทษให้ผมด้วยเรื่องแม่ของคุณ...ผมขอโทษ” ไม่ว่าต้นเหตุจะมาจากแอชหรือไม่แต่เขาเต็มใจยอมรับผิดด้วยสมัครใจ สุดท้ายเขาเองไม้เหลือใครให้อิงใจพิงกายอีกแล้ว
          งานส่งร่างไร้วิญญาณคนทั้งคู่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายและสงบเงียบเป็นที่สุด คนทั้งสองไม่ใคร่เดียจฉันท์เหมือนที่เห็นภายนอกเขารู้ดีแต่อารมณ์รักรุนแรงจิตใจป่มเพาะความชอกช้ำแสนสาหัสคนป่วยทางใจนั้นยากแท้จะรักษาแต่สุดท้ายแล้วคนทั้งคู่ก็ยังนอนเคียงกัน
          ลิลลี่สีขาวถูกวางทาบบนหน้าอกของลุกซ์เป็นการสั่งรักจากลาเป็นครั้งสุดท้าย
          ดอกไม้สีบริสุทธิ์ที่ต้องการบ่งบอกการเริ่มต้นชีวิตคู่ ชื่อดอกไม้รักแห่งสวรรค์สื่อนัยมากมายที่มีให้ต่อคู่รัก เขาตั้งใจซื้อมาเพื่อรับขวัญความสัมพันธ์แห่งใจ ไม่คิดเลยว่าจะต้องวางไว้ทาบอกส่งร่างไร้วิญญาณคืนกลับไปให้แดนสรวง
          เขาอาจเลือกดอกไม้ผิดประเภทแต่หาใช่ผิดที่ความหมาย ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้ความรักบริสุทธิ์มีความสุขกับรักไร้มารยามายาวนาวเพราะการเลือกที่จะทำลายและยึดครองผลที่ได้รับก็สาสมกับเจตนา
          “ผมรักคุณ...และจะรักแค่คุณเพียงคนเดียว”
         
ขอให้รักผมให้ตลอด ถึงจะหลงใหลแค่เพียงร่างกาย
          ขอให้รักจนกว่าตัวคุณตาย
          รักตราบชั่วกาลเวลาจะมลาย
          รักแค่ผม เพียงผมคนเดียว...

สมปรารถนา...ปวารณาตอบรับ
ธุรกรรมเสร็จสรรพ
เก็บรับค่าจัดจ้าง
แสบสันทนทรมาน
ด้วยมรณะกาลเหมาะสมแล้วแก่กรรม

“เมื่อใดที่จิตใจเจ้าเรียกข้า รัตติกาลจะนำพาให้เจอกัน
และเมื่อนั้นเราสองต้องต่างตอบแทน...”

           อ้าย คนแต่งกรีดร้องค่า เสร็จ จบ ครบ ถ้วน ใครสายดาร์คขอเชิญเลยนะค้าท่านผู้อ่าน คนแต่งเหนื่อยเหลือเกินค่า จะเริ่มเกริ่นนำเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักนะคะท่านผู้อ่านขอฝากนิยายสีเทาๆ เรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจท่านผู้อ่านด้วยค่ะ
         แต่งจบอารมณ์ไม่จบพรุ่งนี้ต่ออีกหน่อยถึงความสัมพันธ์สองหนุ่มรติกาล :z2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2024 06:07:13 โดย keisarinna »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
   
The end of Special 

     
          ทุกสรรพสิ่งดำเนินต่อไปด้วยความเงียบเชียบ ภายใต้สายตาสองคู่ที่เฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยความนิ่งสงบ
          “เกินคาดนะ แต่ก็ดี...อ๊าก!” เดอุสมาร์สกางแขนกว้างเปิดรับเงาสีทะมึนพุ่งปะทะร่างกายของตัวเองจนตัวโก่งงอ
          “คุณชาย!” คนสนิทยืนประคองอยู่ไม่ห่างเมื่อชายที่มีศักดิ์สูงกว่าสั่นสะท้านจนยืนไม่ติดพื้นแล้วทรุดตัวลงนั่งอย่างคนสิ้นแรง
          ...บาปบริสุทธิ์แห่งรักมีพลังร้ายแรงเสมอไม่ว่ายุคไหน…
          “ไม่เป็นไร...หึๆ คงอยู่ได้อีกนาน โดยไม่ต้องพึ่งนายยูล” มือหนาพยายามดันพื้นดึงตัวเองให้ลุกขึ้นจากการรับพลังด้านมืดที่ครั้งนี้ดูเหมือนจะรับมือยากลำบากกว่าทุกราย
          “ผมยินดี...แล้วคุณหนูลุซ์” ยูดาล์สยังคงเหม่อมองไปเบื้องหน้า ความโศกสลดทำให้เขาเศร้าใจ แต่ลึกไปสุดขั้วหัวใจกลับรู้สึกกระหยิ่มยิ้มเยาะในชะตากรรมของมวลมนุษย์ พลังบางอย่างที่เขาต้องการสะกดไว้กำลังตื่นตัวอย่างช้าๆ และไม่แน่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาอาจต้องพ่ายแพ้มัน
          “ฮือ...ช่วยไม่ได้หรอกลิขิตคือลิขิต ฉันไม่สามารถเปลี่ยนให้เขามีชีวิตรอดแล้วอยู่อย่างเป็นสุขกับชายคนนี้ได้”
          “แต่เราก็เป็นเอ่อ...สาเหตุ” ผู้เป็นสหายกระอ้อมกระแอ้มเอ่ยคำตัดพ้อ
          “เราไม่ใช่สาเหตุ...แค่ทำให้ทุกอย่างมันเกิดเร็วขึ้น”
          “แต่...”
          “ยูลสหายข้า ฉันต้องทำเพื่อการอยู่รอด ถ้าร่างฉันสูญสลายเจ้าก็ไม่อาจอยู่ต่อไปได้...เราทำเพื่ออยู่รอด”
          “มัน...ผิดไหมที่เราเอ่อร่วมรักข้ารู้สึกผิดที่...”
          “อย่าคิดมาก เสพรักบริสุทธิ์เพื่อพลังของฉันกฎคือกฎเราผู้นี้เลือกแล้ว”
          “น้อมรับบัญชา”
          “นายคนเดิมยังไม่กลับมาอีกหรือ...ยูดาล์สผู้เป็นดังเพลิงไฟนายซ่อนเขาไว้ไหนกัน” นิ้วยาวเชยคางเพื่อนรักเพื่อนแค้นแต่อดีต เพ่งพิศที่ดวงตากระจ่างสวยนั่น แสงอาทิตย์ที่เคยร้อนแรงบัดนี้มอดไหม้หมดแล้วหรือกำลังคุกรุ่นเติมเชื้อไฟให้กลับมาโชติช่วงชัชวาลอีกครา
          “ยากแท้จะรับมือต่อสิ่งนั้น”
          “ช่างเถอะ…ถ้าไม่ชอบคราวต่อไปไม่ทำก็ได้...แต่คนที่อ่านกลอนได้ต้องสังเวยชีวิตเป็นการตอบแทน”
          “คุณชาย!”
          “หมดทางเลือก...ชีวิตของฉัน หรือของเธอไม่มีทางเลือกให้เป็นคนดีมากนักหรอก” สิ้นบทสนทนาอันยืดยาวสองร่างประสานสายตาโดยไร้คำกล่าวใด    
          “พยุงฉันหน่อยซิ” มือซีดขาวยื่มมาตรงหน้ายูดาล์สขอความช่วยเหลือที่ไม่อาจขัดคำได้
          “ครับ...ข้าจะไม่พูดถึงกฎของคุณชายอีก”
          หนึ่งร่างและองค์ทรงพยุงกันและกันลอยลับแทรกกายหายเข้าสู่ความมืดมิดภายใต้เงาของปราสาทแห่งรติกาล
The end of Special 


CALL ME VOL.1 ::: COMING SOON

         
อย่ากลัว...
          เรียกผมสิ...แล้วผมจะปรากฎกายต่อหน้าคุณ...
เสียงเพลงออ คลอเคลีย เลียดสายลม
ความโหยหา กรีดคม บ่มเกลียวคลื่น
สาดสาย แรงรัก กระเซ็นซัด ทุกค่ำคืน
ร้อนรน จนต้องตื่น ฝืนกายา
กายสั่น สัมผัสชื้น ด้วยอากาศ
แต่ไม่อาจ ฝืนเดินกลับ ความห่วงหา
สายลมรัก ล้อมอุ่นชุ่ม ดุจน้ำตา
เทพยาดา หรืออสูร ร่ายกลลวง
เสกมนต์ตรา ปลุกกายจิต ให้มอดไหม้
จนคลั่งไคล้ ใหลหลง ไม่ขาดช่วง
แสบร้อนกาย เกินโรคร้าย ภัยทั้งปวง
เจ็บเหมือนบ่วง คอยบีบรัด เจียนขาดใจ...TBC...

           ตอนพิเศษจะออกขายทางออนไลน์ให้ดาวน์โหลดกันนะคะ ตอนนี้อยู่ในช่วงเพิ่มเต็มตอนพิเศษลงขายภายในเล่ม รวมเล่มจะเป็นฉบับอันคัดไม่ตัดตอนเหมือนลงในบอร์ดเปิดนะคะ
          ฝากอุดหนุนกันด้วยนะ เติมแรงใจให้ผู้แต่งด้วยจ้าอยากอัตเดตคอมฯใหม่ด้วยจะได้พิมพ์นิยายได้ยาวๆ ตอนนี้เครื่องจะไหม้จ้าร้อนมากเครื่องร้อนเด้อไม่ใช่งานร้อน จะแจ้งอีกครั้งเมื่อพร้อมให้ซื้อออนไลน์นะคะท่านผู้อ่านทุกท่าน แล้วเจอกันน้า
:mew1:

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
           
ประกาศรวม e-book ตอนพิเศษสองตอนของเรื่อง Call Me : Special The Myth เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ
เราสายวายชาวเล้าเป็ดไปตามเก็บกันได้แล้วนะคะ อ่านรอปฐมบทไปพลางๆ กันก่อนค่า

เรื่องราวของนายเอกที่ต้องเวียนว่ายเปลี่ยนภพชาติเริ่มบทชีวิตใหม่ไปเรื่อยๆ ซีรี่รักปรับภพเปลี่ยนชาติแนวเกิดใหม่โดยมีคู่พระเอกอำนาจอหังกาฬเฝ้ารอตามหาคอยกระตุ้นความรักความทรงจำครั้งอดีต ร้ายบ้างดีบ้างแล้วแต่พ่อพระเอกจะเสกสรรหยอกเย้าด้วยความรัก
e-book เล่มนี้รวมตอนพิเศษสองตอนออกมาให้อ่านรอปฐมบทเล่มแรกนะคะ เนื้อหาแต่ละตอนไม่ใช่เรื่องต่อเนื่องและจบบริบูรณ์ในเล่มทุกตอนค่า
https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNjg3MDQwMyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjMyMzkyOSI7fQ
CALL Me Vol.1
Prologue : ปฐมบทก่อเกิด The Beginning Of The Myth

Intro:
          “ว๊าก!...มาแล้ว มะ...มันมาแล้ว!!” เสียงเอ็ดตะโรของชายคนหนึ่งเมื่อเห็นผู้มาพักแรมยามเมื่อพายุโหมกระหน่ำในคืนเดือนมืดเช่นนี้
           “...!...”
           “กลัว!...กลัวแล้ว เอาไป! เอาคืนไป มะ...ไม่ กลัว กลัวแล้ว” ชายผู้นั้นวิ่งไปตะโกนไปจะหกล้มหกลุกก็ดันตัวขึ้นวิ่งกรุกกรักๆ ดูขบขัน
           ชายหนุ่มหันกลับไปมองชายชราด้วยความงุนงง ดวงตาคมจับจ้องภาพชายแก่วิ่งหนีตัวเองไปอย่างรวดเร็วจนแผ่นหลังงองุ้มหายลับสายตา
   
           ฉับพลันมโนภาพในสมองฉุกให้คิดหลังผ่านเหตุการณ์ประหลาดเพียงไม่กี่นาที ถ้ามองไม่ผิดเขาได้สบตากับชายชราคนนั้น ถึงจะเพียงชั่วครู่
          ความหวาดกลัวที่มองเห็น
          ความยำเกรงที่สัมผัสได้...

          ประโยคที่ดังรอดมาจากริมฝีปากซีดจางนั่นมันเกิดขึ้นเมื่อเห็นหน้าของเขา มือหนาเกาะกุมที่ต้นแขนตัวเองบีบเบาๆ เรียกสติฟุ้งซ่านให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
          “คุณชาย...”
          “อ่ะ...หางเสือ กับเสาเรือเสียหายมากหรือเปล่ามิกค์”
          “พอสมควรแต่พอเยียวยาได้ ใกล้จะถึงมาเธอร์แลนด์แล้วด้วย ผมว่าจะหาคนมาซ่อมแซมก็น่าจะเอาอยู่”
      “นึกถึงเมื่อคืนสิยังกับทะเลพิโรธ ทำให้มันแน่นหนาไปเลยมาถึงเมืองท่าแบบนี้แล้ว ฉันอยากกลับบ้านจะแย่ แล้วก็อยากกลับพร้อมอวัยวะครบสามสิบสองส่วนด้วย”
          “หึๆ...รับทราบ จะให้แรงงานรีบจัดการโดยด่วน” เมื่อรับคำจบช่วงไหล่ตั้งแผ่นหลังกว้างของผู้ร่วมเดินทางค่อยๆ หายเข้าไปในกลุ่มคนที่เดินกันขวักไขว่บริเวณท่าเทียบเรือ
          ผู้คนต่างดำเนินชีวิตในช่วงเช้าตรู่เป็นปกติ ถึงชายหนุ่มจะไม่ทราบที่มาที่ไปของชุมชนแห่งนี้ก็ตาม ถึงสภาพแวดล้อมและบรรยากาศการใช้ชีวิตจะคล้ายๆ กับอีกหลายแห่งที่เขาได้แวะพักและเติมเสบียง
          ท่าเรือแปลกตาที่มองไปทางไหนก็สร้างแต่ความแปลกประหลาดใจ
          ...ผิดปกติ...
          แต่อะไรที่ทำให้คิดว่าผิดปกติ ... เขาเองก็ยังไม่หยั่งรู้ได้

          หลังจากเรือกลฝ่าห่าพายุอย่างหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา สภาพเครื่องจักรและตัวเรือบึกบึนของเรือกลเดินสมุทรไม่ได้บอบช้ำมากนักจนล่องต่อไปไม่ได้ แต่ก็ไม่สามารถดันทุรังให้แล่นต่อไปไหวโดนที่ไม่ตรวจสภาพให้เรียบร้อย
          ชายหนุ่มยังจำแรงพายุที่โหมกระหน่ำเมื่อคืนได้ดีไม่มีเลือน กระแสคลื่นเหวี่ยงจนเรือเหล็กกล้าต้องโคลง กระแสลมแรงพัดโหมโจนทะยานเหมือนจะหอบเรือทั้งลำลอยละลิ่วไปสู่ฟากฟ้ามืดมิดในยามค่ำคืน
          และที่สำคัญ ความรู้สึกของเขาเองต่อพายุกลางทะเลในครั้งนี้ เจ็บปวดแสบร้อนตามเนื้อตัว เหมือนจะแผดเผาเขาทั้งเป็นทั้งที่เดินเรืออยู่ท่ามกลางพายุฝนและลมทะเล
          ร้อนที่ว่าแปลก...คือร้อนแรงเหมือนเปลวไฟหวังจะเผาให้ตายทั้งเป็น
          “แปลกจัง...ทำไมบ้านเมืองนี้ผู้คนหนาตาแต่กลับเงียบเหงาวังเวงน่าประหลาด”
          เขาหลับตาลงเปิดโสตรับรู้ถึงสายลมที่พัดผ่านพาตัวเองมาที่นี่ หูอาจจะแว่วหรือสภาพจิตใจก่อให้เกิด ด้วยพึ่งผ่านช่วงวิกฤตแห่งความเป็นความตายจนรอดผ่านมาได้ ทำให้เกิดความคิดจินตนาการเรื่อยเปื่อยตามเรื่องตามราวแม้จะได้ยินเพียงสายลมพัด
          ...ข้า กำลัง จะ กลับ มา...
          สิ่งที่จิตใจได้ยินทำให้ชายหนุ่มถอนใจไล่ความคิดแฟนตาซีให้หลบพ้นไปจากห้วงความคิดออกไปก่อน
          สองเท้าก้าวเดินตามทางทอดยาวไปเรื่อยๆ ยิ่งก้าวก็ยิ่งห่างไกลจากความวุ่นวาย ยิ่งไกลออกไปกลับยิ่งอ้างว้างเดียวดาย ที่น่าแปลกยิ่งกว่าคือยิ่งเดินกลับยิ่งอ่อนล้า
          เขาตัดสินจะเดินกลับไปยังอู่ต่อเรือที่กำลังซ่อมแซมเรือบริเวณท่าเรืออีกครั้ง แต่สุดสายตามองเห็นประภาคารที่ดึงดูดความสนใจอยากเดินไปสำรวจ แสงจากที่นี่นำพาให้ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางแล้วมายังที่แห่งนี้
          ด้วยความน่าพิศวงบันดาลความอยากรู้ให้เขายังคงก้าวขาเดินตรงไปข้างหน้า กลิ่นทะเลเริ่มจางลงคงเหลือแค่กลิ่นดินกลิ่นต้นไม้เข้าแทนที่
          สายลมจากชายฝั่งโบกพัดจนตัวโยนกลับลดแรงลงเหลือเพียงสายลมพัดเอื่อยเฉื่อยเย็นสบาย หาได้รู้ว่าตัวเองทิ้งตึกประภาคารไว้เบื้องหลังทิ้งห่างเดินหนีไกลห่างไปเรื่อยๆ
          สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนบรรยากาศแปลกตาทำให้คนหนุ่มผู้กล้ารักการท้าทายอยากกลายเป็นผู้พิชิตในผืนแผ่นดินที่น่าสนใจ
เขาเจอปราสาทร้างเก่าแก่แห่งหนึ่งตั้งอยู่กลางหน้าผาสูง สภาพสิ่งก่อสร้างไร้การดูแลและไม่มีใครพักอาศัยใต้ร่มเงาใหญ่โตของที่พักสูงศักดิ์
          นักสำรวจรู้สึกถึงความอ่อนกำลังจากขาทั้งสองข้าง แม้แต่จะก้าวเดินทีละก้าวๆ ยังยากลำบาก การเดินป่าขึ้นเขาใช้เรียวแรงได้เยอะอย่างนี้เชียวหรือ? เรี่ยวแรงที่เคยมีค่อยๆ มลายหายไปช้าๆ คนร่างกายแข็งแรงอย่างเขาอ่อนเปลี้ยเสียกำลังอย่างไม่รู้สาเหตุ
          ความปวดร้าวแล่นริ้วตรงมายังหน้าอกด้านซ้ายอย่างรวดเร็วจนมือหนาต้องกดเกาะกุมหน้าอกไว้ ปลอบประโลมร่างกายไม่ให้ความเจ็บปวดทำร้ายเขามากไปกว่านี้
          ความปวดแสบร้อนย้อนกลับมาทำร้ายผิวกายเขาอีกครั้ง ร่างหนาทรุดตัวอยู่ในท่าคุกเข่าลงกับพื้น ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด ลำตัวโค้งงอต่อต้านการประทุษร้ายที่ไม่รู้ผู้ใดเป็นผู้กระทำ
          พื้นโถงที่ย่างย่ำแปรเปลี่ยนสภาพเป็นห้องโถ่งกว้างโอ่อ่า
          …คุ้นตาเหลือเกิน…
          ลำขายาวก้าวช้าๆ ตรงไปยังบัลลังก์ที่ประทับ ชายหนุ่มนั่งลงช้าๆ ค่อยๆ ซึมซับความคุ้นเคยที่ห่างร้างมาเนิ่นนาน บัลลังก์ที่ทั้งสุขและทุกข์ ทรงพลังอันยิ่งใหญ่ฮึกเหิมแต่อ้างว้างเดียวดาย
           บัลลังก์...ความรัก...การสูญเสีย...
          “ยินดีต้อนรับองค์ราชันย์ ข้ารอคอยท่านมานานแสนนาน” เสียงทรงพลังกังวานก้องทำให้เขาก้มลงมองร่างใครคนหนึ่งด้านหน้า
           “...!?...”
           “องค์ราชันย์ โปรดปลดปล่อยตัวข้าน้อยทาสผู้ด้อยค่าขี้ข้าผู้ต่ำต้อยด้วยการรับของสิ่งนี้เถิด”
          กล่องกำมะหยี่สีแดงเลือดถูกส่งออกมาจากมือสั่นเทาของชายชราคนเดิมที่เจอบริเวณท่าเทียบเรือ คนที่วิ่งหนีจากเขาไปอย่างไม่คิดชีวิตเมื่อได้มองหน้ากันพร้อมตะโกนเสียงดังบอกให้คนอื่นๆ บนเกาะให้รีบหนีจากเขาไป
          ชายแก่หมอบตัวติดพื้นหินอ่อนสีเทาดำแนบสนิทจนแทบแทรกตัวลงสู่พื้นพสุธา
ชายหนุ่มยอมเดินลงจากตั่งหยิบของสิ่งนั้นขึ้นมาแล้วเปิดออก ลำแสงวับวาวของเจ้าสิ่งมีค่านั้นตกกระทบสบนัยน์ตาพอดิบพอดี
           เขาหยิบแหวนวงเกลี้ยงมีหัวอัญมณีสีนิลประดับพร้อมเหล่าหมู่เพชรน้ำงามล้อมรอบดูน่าเกรงขามและทรงพลัง น่าแปลกใจนักขนาดพอเหมาะพอดีรับนิ้วชี้ของเขาจนน่าตกใจ
           ทันทีที่สวมใส่...ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงชาด เสียงลมกรรโชกรุนแรงจนลำแสงจากแรงเทียนดับวูบพร้อมสติสัมปะชัญญะ แต่ก่อนจะดับสิ้นทุกประสาทสัมผัส
            ปลายหางตายังคงมองเห็นรอยยิ้มฉีกกว้างโชว์เรียวฟันแหลมสีเหลืองขุ่นขะมัวขะมอเกินมนุษย์มนา หน้าตาแหยแกมองไม่ออกว่ายินดีหรือยินร้าย
           ไม่ทันจะได้มองร่างชายชราจรดเท้า ร่างของคนที่หรี่ตามองได้สลายหายไปเหมือนสายลม หอบคนทั้งคนพัดหายกลายเป็นฝุ่นผงปลิวว่อนไปพร้อมอากาศ
           เฉกเช่นเดียวกับตัวของชายหนุ่มก็ได้หลับลึกไถลหลงไปอีกมิติ ที่มีใครบางคนรั้งดึงให้จมลงดำดึ่งสู่โลกรติกาล

          ลุกโชติช่วงด้วยรักและเจ็บปวด   
          ปรารถนาร้าวรวดเจ็บปวดร้าว
          เปลวเพลิงแสดสีส้มสดลุกแพรวพราว   
          แผดเผากร้าวดุดันกวาดล้างบางเมือง
          พลเมืองต่างคิดหนีชีวีรอด   
          บ้างก็มอด มรณา คาคุ้มเหมือง
          สมดั่งมาดมุ่งอาฆาตความรุ่งเรือง   
          พาจิตเสื่อมฆ่าคนรักด้วยไฟกัลป์
          หาจังหวะตนไม่อยู่ลวงหลอกล่อ   
          ผูกมัดคอแขนตัวเท้าป่าวเดียดฉันท์
          เดรัจฉานยังรู้รักชีวิตมัน   
          เอ็งใครกันช่างบังอาจเผาคนกู
          ต่อแต่นี้ด้วยความสัตย์จักสาบาน   
          ให้วายปราณ ม้วยชีวัน ไม่หนีหาย
          จะอาฆาต พยาบาท จนตัวตาย   
          สูญสลาย เป็นอสูร พร้อมเอาคืน...
...TBC


ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
          ไคซ์ขอท็อค!!...อยากทึ้งหัวตัวเอง เล่นใหญ่แต่งใหญ่ ทุ่มทุนสร้างหลายแสนล้านเซลล์สมองมาก มีเรื่องไหนแต่งสบายๆ บ้างนะ อ๋อ! เรื่องคลั่งร้าย น่าจะอ่านง่ายที่สุดแล้วเน๊อะ น้องแซมมี่! มาอีกแล้วค่ะคนแต่งหลอนรักน้องอีกแล้ว ....
          เรื่องนี้คนแต่งเคยแต่งฟิคมาก่อนนะคะ ตอนแต่งคู่ชิปเอาสนุกได้ฟินแต่งมันๆ อ่านจิกหมอนกันไป แต่พอมาปรับเป็นนิยายออลิจิแล้วต้องปรับอีกมากเลยค่ะ โดยเฉพาะบทพูดแบ่งเป็นระดับๆ เดี๋ยวก็มือลั่นพิมพ์เป็นภาษาปัจจุบัน เดี๋ยวก็กลับเป็นคนอดีต ปั๊ด! จิงงสับสนหลายตอน โผล่ไปจีนโบราณ เพลมไปกรีก แวะไปทักทายละครเสด็จพี่บ้าง ไม่กลมกล่อมสักที แก้แล้วแก้อีกก็ยังไม่ถูกใจ อ่านแล้วยังไม่ได้ความรู้สึกที่อยากให้เป็น เลยเป็นนิยายที่อัตเดตช้าสุดและรีไรซ์ตลอดเวลา ขอแค่อย่าให้อ่านซ้ำ 555+ รู้แล้วสินะว่าช้าเพราะอะไร
          ไคซ์อยากเม้าส์มอยกับท่านผู้อ่านทุกท่านนะคะส่งหลังบ้านมาคุยกันได้ค่ะ

ปฐมบทที่ 1 น้อมนำเทพสงคราม ปราบยุทธการแห่งรัก
          งามสง่าเหนือชายชาตรี ถือกำเนิดโดยดุษฎีแห่งเลือดเนื้อขัตติยะ บุญญานุภาพถึงพร้อมด้วยรูปทรัพย์และคุณสมบัติ หล่อหลอมองค์ราชันย์งดงามเจิดจรัส ดุจเทพบุตรผู้ทรงจุติจากท้องนภา
          เส้นพระเกศาทอประกายสวยสีเปลือกไม้ ลดหลั่นไล่ระดับยาวละ พระอังสะกว้าง พระพักตร์เรียวโหนกพระปรางงามดุจชาติชาตรี ตัดพระเนตรคมกริบแข็งกร้าวกล้า แกร่งทรงอำนาจน่าเกรงขาม พระนาสิกโดดเด่นทอดรับสันพระกรามจรดปลายโด่ง สอบเข้ารับโอษฐ์หยักเข้ารูปสวย พระหนุโค้งมนผิดแผกจากพระชนกที่กรามกว้างปลายหนุเหลี่ยม
          เดอร์ อุสมาร์ส องค์ราชันย์ผู้สูงส่ง ทรงเพียบพร้อมด้วยพระสิริโฉม และรูปองค์สูงสง่าสมสัดส่วน องค์กษัตริย์คู่บุญในระบบกษัตราธิปไตย ผู้ที่แคว้นน้อยใหญ่ต่างนอบน้อมยอมศิโรราบเป็นประเทศราช และข้าบ้านรองเมืองเชิดชูอำนาจให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรในทิศนี้
          งามประดุจเทพฟ้ามาจุติ ทั้งประชาข้าฟ้าและข้าไพร่ต่างแซ่ซ้อง ราษฎร์ต่างบ้านราชรัฐต่างเมืองยอมสยบแทบพสุธา เพื่อประจักษ์พักตร์เพียงลอบมองสบนัยน์ตา ยากจะหาคำบรรยายอันเป็นเลิศมาเปรียบเปรย
        โกโสยพัสตร์ คลุมบดบังรูปพักตร์ลงครึ่งหน้า ผ้าผืนขาวเนื้อบางเบาไม่อาจซ่อนบดบังความงดงาม ขนงโค้งงามสอดรับจักษุมืดสนิทดวงกลมโต เนตรดาราแวววาวขับดวงพักตร์ให้ชดช้อยอ่อนละมุน ผิวผ้าโค้งรับนาสิกโด่งปลายมนดันผ้าไหมเนื้อดีลอยเด่นบนสันนาสา ชายผ้าลู่รับนาบแนบเนื้อเนียนพิสุทธิ์บนใบหน้า  อังศุกประหนึ่งเสมือนฉลองพักตร์แก้วกัลยา มิให้ผู้ใดหลงใหลและยลโฉมมนัสญา
          ถึงรูปองค์ดูบอบบางแต่สัดส่วนยังคงความชาตรีไม่บกพร่อง บ่าตรงผึ่งผายสง่าองค์ ลำตัวสอบรับเอวคอดและแนวสะโพกโค้งอย่างพอดี ทั้งรูปพักตร์และทรวดทรง ดั่งภาพวาดจิตรกรรมที่จิตรกรเอกสร้างรังสรรค์ หากกระนั้นเป็นคำเปรียบเปรยก็หาได้อวดอ้างคำชมเชยที่ไม่คู่ควร
          เรือนกายสวมชุดทรงขาวกระจ่าง ปักเลื่อมคริสตัลแวววับตัดลำแสงสะท้อน ด้วยเม็ดมุกสีขาวนุ่มนวลตา ความยาวคลุมองค์ตั้งแต่กระหม่อมจรดปลายขา ผมสีดำขลับดุจนิลมณี ยาวเหยียดตรงถึงกลางพระขนอง พลิ้วไหวตามจังหวะดำเนินกาย เยื้องย่างภายใต้ชุดทรงสีบริสุทธิ์นั่น
          ผ้าคลุมหน้าเนื้อบางเบา ปิดซ่อนใบหน้าหวานงามชดช้อย ไม่ต่างจากท่วงท่ากิริยา เหล่าขุนนางและข้าราชบริพาร รวมไปถึงไพร่ฟ้าทาสแผ่นดินแห่งจอมจักรีเดอร์อุสมาร์ส ล้วนเรียกขานนามบุคคลแห่งฟ้าว่า“ทรงขาว”

พระอังสะ แปลว่า บ่า
โกโสยพัสตร์ แปลว่า ผ้าไหม
อังศุก แปล ผ้าเนื้อบาง

แบบว่านั่นชื่อตอนเหรอเนี่ย อะไรเข้าสิง...เหมือนหนังจีนในบทตัวละครเทพกรีก :ruready มาๆ ต่อนะคะ
ฝากอุดหนุนผลงานไคซ์ด้วยนะคะ  :mew1: ต่อแล้วๆ ไปค่ะๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-10-2024 00:14:37 โดย keisarinna »

ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

        “หากวันหนึ่ง ข้าสามารถอยู่เหนือฟ้า...เจ้าจะอยู่เคียงข้างข้า เหมือนวันนี้ใช่หรือไม่”
        “หากพระองค์คือผู้กุมชะตาชีวิต วาทะสิทธิ์ใดคงไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าสุรเสียงนี้ แต่หากหาได้เป็นเช่นนั้น...”
         “แต่...ข้าอยากอยู่กับเจ้าอย่างสงบสุข แค่มีบ้านหลังเล็กริมธาร มีดอกไม้บานสะพรั่งยามฤดูร้อน ใบไม้และยอดหญ้าเขียวขจีเมื่อหน้าฝน และสีสันพฤษชาติที่ผลัดเปลี่ยน ย่างเข้าฤดูหนาวเจ้าและข้าเราสองคนคงจะมีความสุขไม่น้อย”

         ...ความสุขอันบริสุทธิ์มักจะสิ้นสุดเมื่อมวลมนุษย์เริ่มหายใจ...

         “พระองค์ไม่เบื่อบ้างหรือ กับคำถามซ้ำซากประโยคนี้?”
         “ตอบดีๆ ถ้าไม่ถูกใจข้าจะลงทัณฑ์เจ้าให้หลาบจำเลยทีเดียว”
         “กระหม่อมคือคนของฟ้า เมื่อฝ่าบาททรงอยู่เหนือฟ้า...คงไม่มีที่ไหนที่กระหม่อมจะกล้าเหยียบย่างได้นอกจากอยู่แทบเท้าฝ่าพระบาท”
         “ข้าอยากให้เจ้าอยู่เคียงข้าง หาได้อยากให้อยู่ใต้ฝ่าเท้าเหมือนเช่นข้าทาสนางกำนัลไม่”
        “เป็นพระกรุณายิ่งแล้ว”
        “เหตุใดชอบพูดจาทำร้ายใจข้านัก สนุกหรือไง ที่ทำให้ข้าต้องเจ็บปวดกับคำพูดเหล่านั้น”
        “ขอประทานอภัย กระหม่อมทูลลา”
         ความรักขององค์ราชันย์เปรียบดั่งน้ำจันฑ์รสเลิศ เมื่อได้ลองจรดลงบนริมฝีปาก กลิ่นสุราหอมละมุนลอยฟุ้งติดปลายจมูกให้มอมเมา ตั้งแต่ยังไม่ได้ลิ้มรสชาตินุ่มอันกลมกล่อมสมความเป็นเอก แต่ฤทธาหาได้อ่อนอุ่นเหมือนรสชาดไม่ กลับเร่าร้อนดุจเปลวไฟแผดเผาร่างกายได้แสบร้อนเจียนขาดใจ ผลที่ได้หาได้ทำให้เข็ดขยาด กลับ อยากดื่มด่ำกำสรวลในรสชาติ
         ยิ่งมึนเมารสเหล้าก็ยิ่งหวานหอม ยิ่งกลิ่นหอมแทรกซึมผ่านผิวกายยิ่งสราญใจ จอกหนึ่ง จอกสอง ตามด้วยจอกสาม สี่และห้า จอกแล้วจอกเล่าจนกว่าร่างกายจะถูกเผาไหม้จนไร้สิ้นแม้สติประคองตัว
         หากทรงตรัสคำหวาน ดั่งคำเยินยอล่อหลอกให้หลงใหล ยกศักดิ์กลบกำพืดให้ทัดเทียม เยี่ยงเกียรติระดับสูงเฉกเช่นชนชั้นผู้นำ เป็นผู้ใดที่ได้ฟังเป็นผู้ใดที่ได้รับยศศักดิ์นั้นย่อมดื่มด่ำหลงระเริง
         เหมือนโดนมอมเมา ยิ่งกว่าได้ลิ้มรสสุราชั้นยอดที่หวานหอมฉ่ำชุ่ม แต่ฤทธ์ร้ายเร่าร้อนกัดกิน ความซาบซ่านชำแรกผ่านภายในกาย ตั้งแต่ปลายลิ้นจรดศูนย์ถ่วง จนปวดมวนทั่วช่องท้อง
         แต่จอกสุราทองคำรองรับเหล้าชั้นหนึ่งดั่งตัวข้า คงได้แค่เพียงรองรับสุราชั้นยอด ขับกล่อมรสฝาดให้ยิ่งหอมหวานน่าลิ้มลอง เพิ่มดีกรีความร้อนแรงแผดเผาผู้ดื่มด่ำจนมอดไหม้
         “จะไปไหน ยอดรักของข้า ดื่มซักจอกหนึ่ง เพื่อข้า” มือหนาค่อยๆ ดันจอกเหล้าเข้าใกล้ริมฝีปากสีสดแดงระเรื่อนั้น ช่างแดงเด่นชัดเหมือนดังผลเชอร์รี่ ที่แคว้นเหนือนำมาบรรณาการ แต่รสชาติของเรือนกายตรงหน้าหวานล้ำกว่าเป็นไหนๆ หวานหอมยิ่งกว่าผลพีชสุกงอมเสียยิ่งกระไร
         “กระหม่อมไม่...” มือเรียวพยายามป้องปัดแต่ก็ไม่เป็นผล
         “น่า...ฉลองให้ข้าหน่อย แคว้นทางใต้ยอมศิโรราบแก่ข้าแล้ว เราจะมีบรรณาการทะเล ประชาราษฎร์จะได้ไม่เป็นโรคประหลาดคอโตนั่นอีก”
         “กระหม่อม...อื้อออ” จอกเหล้าทรงสูงทำจากไม้เนื้อหอมถูกดันเข้าสู่ริมฝีปากอิ่มสวย น้ำจันฑ์รสฝาดแต่ทิ้งความหวานอ่อนๆ เมื่อผ่านปลายลิ้นลงสู่ลำคอระหง สีข้นคลั่กดั่งเลือด ทำให้น้ำจันฑ์ดูน่ากลัวมากกว่าน่าลิ้มลอง แต่ก็อดติดใจในรสชาดแปลกประหลาดนั้นไม่ได้ ได้ดื่มทีไรรู้สึกร่างกายกระปรี้กระเปร่ากระชุ่มกระชวยอย่างน่าอัศจรรย์
         “ดื่ม” มือหนาดันแก้วรูปร่างประหลาดพร้อมน้ำจันฑ์รสฝาด เข้าริมฝีปากของคนในอ้อมกอดอีกครั้ง
         “ฝ่าบาท!!!” ผ้าคลุมหน้ากลายเป็นผ้าเช็ดปากอย่างรวดเร็ว ปิดสนิทแนบแน่นเสียจนอีกคนอ่อนใจแต่ก็ไม่ลดความพยายามที่จะส่งจอกน้ำจันฑ์ให้อีกคนได้ดื่ม
         “อีกจอกนะ” น้ำเสียงคะยั้นคะยอไม่ยี่หระ แต่ผ้าผืนบางช่างน่ารำคาญใจเสียกระไร มือหนาตวัดชายผ้าที่คล้องใบหูนิ่มปลดมันออกอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเห็นริมฝีปากที่ปิดสนิทยิ่งทำให้ขัดใจมากกว่าเก่า
         เมื่อใช้คำหวานไม่ได้ผลเห็นทีต้องใช้ร่างกายบีบบังคับ ราชันย์กรอกน้ำโลหิตจันฑ์เข้าปากอย่างรวดเร็ว อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังงุนงง บีบปลายคางมนให้ริมฝีปากอิ่มนั่นเผยอออก แล้วทาบริมฝีปากประชิดแน่น ค่อยๆ หลั่งน้ำจันฑ์ช้าๆ จนหมด ปลายลิ้นหนากวาดซับความหอมหวานภายใน ทั้งกลิ่นกายทั้งรสไวน์หลอมรวมจนคนลิ้มลวงตักตวงไร้แล้วซึ่งการยับยั้งชั่งใจ
         “มะ...อือ”
         “รสสุราที่ผ่านริมฝีปากเจ้า มอมเมาข้ายิ่งนัก” เมื่อต้องละความดื่มด่ำ ความวาบหวามผ่านคำพูดก็ดำเนินต่อเนื่องทันที
ครั้งจะทรงทำตามอำเภอใจแบบเดิมอีก ร่างสวยใบหน้างามต้องรีบปิดเม้มริมฝีปากแน่นและหันหน้าหนี แต่มีหรือคนห่างบ้านไกลเมืองมานานจะยินยอม มือหนาแทรกผ่านชุดทรงช้าๆ ลูบไล้เนื้อนวลเนียนไปเรื่อยๆ จนเจอสิ่งที่ปรารถนา
         “พ...พอก่อน...อื้ออ” การลูบไล้แผ่วเบาเริ่มเร่งเร้าหนักแน่นและรุนแรง แต่การต่อต้านยังมีมาเป็นระยะ
         “ฉลองให้ข้าเถิด คืนนี้ข้าอยากขอพละกำลังของคนจากฟากฟ้า”
         “พละกำลังกระหม่อมไม่มีให้หรอกฝ่าบาท…หยุดเถอะ กระหม่อม...จ...เจ็บ”
         “ข้าเจ็บกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่านัก...”
         “อือ...นี่คือคำขอพละกำลังหรือ กระหม่อมไม่เคยรับรู้ วิธีการที่พระองค์ใช้มาก่อน”
         “ไม่ใช่ นี่คือความต้องการจากหัวใจ และ...ร่างกายของข้าเองที่มีให้กับเจ้า ยอดดวงใจแห่งข้า ข้ากำลังขอความรักต่อเจ้า”
         “คำหวานเหล่านี้ ทรงโปรยต่อนางสนมเถิด”
         “ก็รู้อยู่ข้ามีให้เจ้าคนเดียวเท่านั้น ยังจะประชดไปไย...ข้าอยากลิ้มรสกายเจ้าเจียนคลั่งอยู่แล้ว”
         องค์ราชันย์เบียดสะโพกดันความเหิมเกริมบดสะโพกสวย ถูไถเวียนวนจนคนได้รับสัมผัสความกระหื่นกระหายแข็งขึงถึงกับถอยร่นสะโพกหนี มือหยาบกร้านด้ามกระบี่และศาตราวุธเข้ายื้อยุดเอวบางไม่ให้ร่นถอย พร้อมบังคับให้ร่อนสะโพกบดรับความต้องการที่เก็บกักมายาวนาน ความกระด้างที่ทวีขึ้นทำให้คนของฟ้าอดคิดในใจไม่ได้ว่า ใจคอพระองค์คิดจะครอบครองกันทั้งเครื่องทรงให้จงได้หรืออย่างไร
         “อ...อ๊ะ...อย่าบีบสิ กระหม่อมเจ็บนะ” คนรูปงามถูกองค์ราชันย์ขานนามเหน็บแนมตามราษฎรถึงกับเอ่ยปากโอดครวญกับพฤติกรรมหยาบกระด้างแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์รักและความต้องการ
         “เจ็บ...อะไร” น้ำเสียงทุ้มต่ำที่จงใจกระซิบข้างใบหูบางไม่ได้สนใจคำตัดพ้อสักเท่าไหร่ ยิ่งได้ฟังคำร้องขอความเห็นใจยิ่งทำให้อยากฟังเสียงร้องครางครวญซะมากกว่า
         “ห่างไม่กี่เดือนเล้าโลมกระหม่อมหน่อยสิ หรือทรงลืมแม้แต่วิธีการหรือกระไร” มือเรียวถูไถผ่านเนื้อผ้าบริเวณยอดอกของตัวเองช้าๆ จากที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับการปรนเปรอ ต้องสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อมือหนาที่กดคลึงบดขยี้ส่วนปลายแห่งยอดชายให้ระคนเสียวซ่านและเจ็บปวด ยังไม่ทันซาบซ่านกับอารมณ์แปลกใหม่ร่างทั้งร่างถูกยกขึ้นแนบอกอย่างไร้การลังเล
         “เจ้าก็รู้ข้ามีวิธีของข้าเสมอ”
         “ฝ...ฝ่าบาท...อื้อ” เรียวปากอุ่นร้อน ไล่ทาบทับเรือนกายที่กำลังเผยผิวพรรณผุดผ่องช้าๆ มือหนาค่อยๆ ปลดชุดคลุมออกทีละชั้น เมื่อชั้นนอกหลุดพ้นชั้นต่อๆ ไปก็ค่อยๆ ถูกปลดเปลื้องจนเหลือเพียงนวลเนื้อผ่องพิสุทธิ์สีมุกท่ามกลางแสงจันทร์และเหล่าดวงดารา
         เรือนร่างสวยงามหาได้เอียงอายที่จะเผยความกระจ่างของผิวเนื้อ กายเปลือยเปล่านอนบดเบียดบนผิวที่นอนยั่วสายตา ผ้าม่านบังตาเนื้อโปร่งบางที่เคยขึงเสาเตียงทั้งสี่ด้านถูกจอมราชากระตุกร่วงหล่นคาฝ่ามือ
         มือหนาบรรจงทับทบผืนผ้าให้หน้าผ้ามีขนาดกว้างพอดิบพอดีกับลำคอเรียว ค่อยๆ คล้องผ้าพันรอบลำคอสองทบพอหลวมๆ ชายผ้าทั้งสองถูกดึงให้กลับไปคล้องบนหัวเตียงเหล็กดัดลวดลายพันธุ์ไม้ดอกงดงาม แล้วลากกลับมาพันรอบข้อมือทั้งสองข้างของตัวเอง
         “ฝ่าบาท! เล่นอะไรพิเรน”
         “ชู่ว...จะพาขึ้นสวรรค์ ต้องกระทำพิธีการ...ตัวเจ้าผู้ชำนาญการจงสนองปรัมพิธี”
...TBC.
เมาส์กันนะคะ มาแนวนี้จะจบปวดตับไหมหนอคนแต่งยังได้กลิ่นเศร้าแบบแปลกๆ มันแปลกๆ นะเค๊อะท่านผู้อ่าน :hao4: ท่านผู้อ่านอยากจะพูดคุยกันส่งมาหลังบ้านได้นะคะ เรื่องครวญรักลงเล้าเป็ดขอปรับนิดหน่อยให้ไม่มีเรทหนักฮาร์ดคอร์ ส่วนท่านผู้อ่านที่ต้องการเสพขั้นเต็มขั้น จะส่งลิงค์ให้หลังบ้านนะคะ เด็กๆ น้องๆ อายุต่ำกว่า 18 อ่านในเล้าเป็ดก็ฟินพอแล้วจ้า

ฝากE-bookด้วยนะคะ
ปลุกตำนวนยุนแจ และยูซุต้อนรับฮาโลวีนใครเป็นสาวกกลับหลุมมาเดี๋ยวนี้เลยค่า
Call Me ฉบับฟิคhttps://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNjg3MDQwMyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjMyNzkyNyI7fQ
A DAY ย้อนคืนวันวาน https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNjg3MDQwMyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjMyNzkzMSI7fQ

นิยายวายออลิจินัล
Waiting for,...season1https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNjg3MDQwMyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjMyMTQwNCI7fQ
Call Me: special the Myth https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiNjg3MDQwMyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjMyMzkyOSI7fQ


ออฟไลน์ keisarinna

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ปฐมบทที่ 1 (จบ) - น้อมนำเทพสงคราม ปราบยุทธการแห่งรัก

         “ชู่ว...จะพาขึ้นสวรรค์ ต้องกระทำพิธีการ...ตัวเจ้าผู้ชำนาญการจงสนองปรัมพิธี”
         “สวรรค์? ประเดี๋ยวกระหม่อมขาดใจตายก่อนเป็นแน่”  เฌอรีนทาบมือลงบนลำคอเบาๆ ความอึดอัดที่ถูกรัดล้อมด้วยผ้า ทำให้เขาหายใจติดขัด มือเรียวลูบไล้ผิวผ้าแต่ไม่ได้ดึง หรือขยับให้การบีบรัดคลายตัว

         ทุกครั้งที่มือหนาส่งแรงดึงรั้งเบาๆ ผืนผ้ารัดรอบคอแน่นขึ้น เนื้อตัวร้อนผ่าวจนต้องดันร่างกายที่นอนราบเรียบ ให้บิดเร้าร่อนเรือนร่างรับแรงตึงรัดที่ลำคอ ศีรษะหงายแหงนเหมือนเรียกหาลมหายใจ เรียวปากอิ่มเผยอสูดรับอากาศ เพื่อชดเชยลมหายใจที่ติดขัดเป็นช่วงๆ
         เดอร์อุสมาร์สยังคงหยอกล้อ ช่วงเวลาแห่งการหายใจอย่างต่อเนื่อง ร่างกายสีนวลขาวค่อยๆ ถูกทรมานจนขึ้นสีเลือดฝาดไปทั่วทั้งตัว ความเสียวกระสันสอดแทรกความตื่นตัวจนปวดหนึบทั่วช่องท้อง ความรัญจวนที่แอบแฝงในช่วงที่ร่างกายกำลังจะขาดลมหายใจ ถูกระบายออกมาช้าๆ จนความเป็นชายเปียกชุ่ม ความแข็งขืนขมวดแน่นเต้นระรัวอยู่ภายในกาย
         ทุกๆ จังหวะที่ร่างกายทนทรมาน ต่างเรียกร้องการปลดปล่อยจนร่างบางต้องสั่นสะท้านเกร็งสะโพกให้ไหวช้าๆ ตามจังหวะดึงของคนที่ต้องการกุมลมหายใจของเขา
         นัยน์ตาคู่สวยหลับตาพริ้ม น้อมรับการทรมานที่ผสานความรัญจวน จนริมฝีปากต้องเจือรอยยิ้มบางๆ  รอยยิ้มที่อีกคนเห็นแล้วสะท้านถึงหัวใจ ยิ่งเผยยิ้มมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากจะแกล้งให้สำลักรสชาติ ความหรรษาที่เขาเองเป็นคนปรุง และจงใจป้อนอย่างสุดความสามารถทั้งหมดที่มี
         ยิ่งติดใจรสชาติ ยิ่งเสพติดจนไม่อาจขาดได้ ยิ่งเรียกร้องยิ่งเปิดเผยแรงรักที่ต้องการ เขาเองยิ่งอยากจะกระทำให้อีกคนหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้นเหมือนกัน แต่มาคิดกลับกันอีกที เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายหลงใหลและเสพติดจนชาตินี้ก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ พิษรักที่แทรกซึมทั่วร่างกาย จะมีใครคนไหนอีกที่จะถอนมัน และทำให้เขาหายการเสพติด ที่สักวันเขาเองอาจจะต้องตายไปพร้อมกัน
         ปลายลิ้นสากค่อยแทรกซึมผ่านความอุ่นร้อนภายในอยากช้าๆ ค่อยๆ คลายความตึงเครียดที่ตัวเขาเสพรักอย่างไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ไม่ว่าจะอีกครั้งผ่านไปความสุขทั้งใจและกายที่ได้ ไม่เคยเจือจางลงเลยซักครั้ง
         ลงลิ้นละเลียดเลาะมายังปลายฉ่ำชื้น รสหวานฝาดดั่งหยาดน้ำหวานอุ่น ลงลิ้มชิมรสกวาดซับน้ำหวาน คนที่รักขับออกมา เรียวปากหยักดูดซับแรงบ้างเบาบ้าง ความแรงอารมณ์ที่โหมกระหน่ำจนแน่นไปทั่วหน้าอก
         และริมฝีปากเดียวกันนี้ก็คอยป้อนผลไม้รสหวาน ถึงจะส่งเข้าปากแต่ผิดที่ผิดทางที่หาใช่ริมฝีปากสีสวยที่พเยิดเผยอ แต่เป็นปากทางรักที่คอยร้องรับ และเรียกร้องการเติมเต็ม จากร่างกายเขาเท่านั้น  เลือดในกายไหลพลุ่งพล่าน แต่ต้องคุมจังหวะให้ตัวเอง ไม่เผลอกระตุกดึงชายผ้ารุนแรง
         “อะ...เอามันออกเถิดกระหม่อมเจ็บ” คำอ้อนวอนที่ฟังดูน่าสงสารและเห็นใจ แต่ร่างกายของคนร้องขอความเมตตาไม่ได้แสดงออกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด เรียวปากอิ่มถูกเรียวฟันขบเม้มซักพัก แล้วก็ต้องเผยอปากสูดรับอากาศที่พอจะมี ช่วงเวลาไม่ถึงนาทีให้ร่างกายรีบตักตวง
         “มันจะช่วยให้เจ้าไม่ต้องเจ็บมากเวลาข้า...เข้าไปอยู่ในกายเจ้า” เขาเองก็ไม่รู้ว่าความคิดนี่น่าสนใจจนเมื่อเห็นพวงองุ่นสีแดงพวงใหญ่ที่แท่นบูชานั่นแล ที่ติดใจเขานักหนาคือขนาดของแต่ละผลที่ไม่ธรรมดาและสีแดงเข้มของมัน ทำให้พาลรู้สึกเสียวไปถึงโคนลิ้นเมื่อนึกถึงรสชาติจะเป็นอย่างไรถ้า...
        “อ...อ่า ใส่มาอีกทำไมกัน”
        “ข้าจะใส่เรื่อยๆ จนกว่าเจ้าจะเลิกบ่นว่าเจ็บ”
         ทรงขาวกัดริมฝีปากไม่ให้ครางออกมามากกว่านี้ ยิ่งร้องครางยิ่งทำให้อีกคนกระหยิ่มในใจ และแสดงออกมาทางการกระทำ แค่นี้ตัวเขาเองก็ปลดปล่อยไปหลายครั้งแล้ว ไหนจะผืนผ้า ไหนจะลูกอะไรสักอย่างที่เรียงหน้าทยอยเข้าสู่ร่างกาย ปลายลิ้น ริมฝีปากสุดจะสุขเกษมกายและใจ
         แค่เขาได้รับจูบผ่านริมฝีปากก็รัญจวนจนร่างกายอ่อนเปลี้ยไปหมดแล้ว แล้วนี่มหาบพิตรปรนเปรอช่องทางนั้นเหมือนที่เคยทำบนริมฝีปากของเขา แค่คิดแค่รู้ถึงแรงสัมผัส เขาเองต้านการเก็บกักไว้ไม่อยู่เหมือนกัน เหมือนร่างกายนี้ไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไป
         ถึงจะไม่ชอบรักที่ตอบสนองกันอย่างรุนแรง แต่ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่เกิดความต้องการมันกลับทวีความรุนแรงทุกครั้งหรือเพราะเราสองคนเป็นผู้ชาย เพศที่แข็งแรง เพศที่ต้องเกิดมาเป็นผู้ปกป้องเพศที่อ่อนแอก เพศที่มีความรุนแรงทางอารมณ์ เพศที่พระเจ้าคงไม่ได้จงใจสร้างมาเพื่อสนองความต้องการซึ่งกันและกัน
         เขาแทบไม่อยากจะคิดว่าถ้าคนทระนงคนนี้ไปทำแบบนี้กับใครอื่น...เขาคงต้องเจ็บปวดทรมานไม่ต่างจากการเสพสมในรสรักที่ร้องแรงนี้แน่ๆ
         “อ๊า...ทีละผลสิท่านเหนือหัวเดอร์ อุสมาร์ส ใจคอจะดันมาทั้งพวงเลยหรือไง”
         “นึกว่าลืมชื่อข้าไปแล้ว...และ...นึกว่าเจ้าชอบใหญ่ๆ ซะอีก”
         ท่าทางที่เหมือนคิดอะไรเวียนวนอยู่คนเดียว ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่อยากดึงสติชู้รักให้กลับมาจดจ่ออยู่ที่เขา แล้วก็มักจะเรียกร้องความสนใจได้สำเร็จทุกครั้งไป 
         เขาไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ ในสำนวนการใช้คำที่ยกให้เขาเป็นกษัตริย์อยู่ตลอดเวลา มันฟังดูห่างเหินและก็เจ็บปวดทุกครั้ง และคำบาดใจเหล่านั้นมักหลุดออกจากปากเฌอรีน ตอนที่มีสติครบสัมปชัญญะเสมอ
         “อ๊ะ...อ่า...พอก่อนได้ไหมกระหม่อม...กระหม่อม...”
         “กระหม่อมอะไร พูดให้จบสิ”
         “ขะ...ข้างใน อ่ะ...อ่า...ชุ่มไปหมดแล้ว”
         “ฮ่ะ...ฮ่า ดีสิ ข้าอยากแช่กายในที่ชุ่มฉ่ำ”
         แรงบีบรัดตัวภายในทำให้ทรงเรื่อนขาวผ่อง สั่นสะท้านจนอยากได้รับการผ่อนคลาย เขาหมดแรงดิ้นรนไปไหนแล้ว ร่างกายเบาหวิวเหมือนกับไม่ได้อยู่ในโลกนี้ การปลดปล่อยติดๆ กันทำให้เขาจวนเจียนจะสิ้นสติเสียให้ได้ ถ้าไม่ทำอะไรที่มากไปกว่านี้เขากลัวว่าเมื่อถึงช่วงเวลาแห่งแรงรักโหมกระพือจริงๆ เขาอาจหมดสติไปเสียก่อนก็เป็นได้
         “อะ...พอเถิดกระหม่อม...มะ...ไม่”
         “พูดดังๆ สิ ข้าไม่ได้ยิน”
         “พระองค์...กระหม่อม...ไม่อยากได้ผลองุ่น อยากได้ท่าน”
         เรียวปากหยักยกยิ้มอย่างพอใจ... ‘ก็แค่นี้ คำกล่าวที่รอคอย’...
         เสียงกระซิบผ่าวเบาที่ซอกหูทำให้คนที่ได้ฟังต้องยิ้มรับพลางพยักหน้าช้าๆ ... ‘ชอบหรือเปล่า’… แล้วใครจะปฏิเสธในเมื่อมีความสุขเอ่อล้นถึงเพียงนี้
         เดอร์ อุสมาร์สดึงร่างที่นอนหมดเรี่ยวแรง พร้อมกับพันธนาการผืนผ้าให้ลุกขึ้นมานั่งซ้อนบนตัวเขา ที่คุกเข่าอยู่ตรงปลายเตียง มือทั้งสองค่อยๆ ผ่อนความแน่นของเกลียวผ้าออกทีละทบๆ จนร่างถูกพันธนาการ รู้สึกหายใจได้สะดวกขึ้น
         นัยน์ตากลมโตฉายแววระยับ เมื่อสองสายตาสอดประสานกัน สีหน้าดูตื่นตระหนกเล็กน้อย ยามจำนวนเกลียวที่พันรอบข้อมือค่อยๆ เพิ่มขึ้นอีกครั้ง มือเรียวแตะรอบลำคอที่ค่อยๆ ถูกผืนผ้าแนบชิดรู้สึกอึดอัดเหมือนคล้ายขาดอากาศหายใจ
         “ไว้ใจข้าหรือไม่ยอดรัก”
         “เดอร์ อุสมาร์ส! ท่าน!” แรงดึงจากผ้ารัดแน่นถึงจนต้องแอ่นกายเบียดเข้าหาอีกคน ความร้อนผ่าววิ่งพล่านเหมือนคนทุรนทุราย เหมือนร่างกายนี้กำลังจะตายลงในอีกไม่กี่อึดใจ
         ขณะเดียวกันความรู้สึกถูกเติมเต็มค่อยๆ ดันเข้ามาให้ร่างกายช้าๆ เขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงเส้นเลือดเต้นตุบๆ เสียงบดเบียดภายในกายที่แทรกผ่านความความฉ่ำชุ่ม ผลองุ่นเหล่านั้นคงแหลกละเอียดภายในกายเขาในไม่ช้า
         เสียงชำแรกความเป็นชาย ดังกึกก้องอยู่ในศีรษะ รู้สึกแปลกที่ได้ยินเสียงเหมือนคนย่ำเท้าย้ำๆ อยู่ในร่างกายเขา ร่างกายโยกโยนไปมาเริ่มสั่นกระตุกเบาๆ เมื่อร่างกายเหมือนเรียกร้องอากาศหายใจ
         เขาได้ยินเสียงหอบกระเส่าแว่วมาให้ห้วงความคิด เสียงหอบต่ำๆ เสียงครางในลำคอที่คล้ายคนทนทรมานกับอะไรบางอย่าง ยิ่งเสียงนั้นดังมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งทำให้เขาได้ใจว่าเจ้าของเสียงนั่นกำลังทรมานเพราะดื่มด่ำในร่างกายของตัวเอง 
         “ข้ายกทุกอย่างให้หมดแล้ว ทั้งตัวและหัวใจ มากกว่าถวายหัวใจ ข้ารักท่านเดอร์ อุสมาร์ส”
         โลกทั้งใบเหมือนหมุนเคว้งคว้างไปรอบตัว ร่างกายกดกระหน่ำย้ำรัก ช่วงอกเสียดสีบดเบียดจนชูชัน วงแขนเรียวกดรั้งสะบักหนาตึงแน่นให้แนบชิดยิ่งกว่าเดิม ฝ่ามือลูบไล้รอยโหนกนูนเหมือนดั่งฐานปีกขนาดใหญ่ของหมู่เทพ สองร่างกายสอดประสานเร่งทะยานให้ทันแรงอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
         ทรงขาวเฌอรีนครางเสียงหวิว เหมือนร่างกายจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ อากาศที่กษัตริย์เดอร์ อุสมาร์สเปิดโอกาสให้กักเก็บไว้ในร่างกายเหลือน้อยลงทุกทีๆ แรงโยนยกจากเบื้องล่าง ความเปียกชื้นเหนอะหนะที่หน้าขา การสอดรับประสานกันได้ไม่ติดขัด กลิ่นหวานของผลไม้เย้ายวนจนแสบจมูก
         ก่อนที่สติของเขาจะหลุดลอยออกจากร่าง มือแกร่งกรากกรำศาสตราวุธคลายเกลียวผ้ารอบข้อมือออกทีละเกลียวๆ แรงฮึกเหิมด้านล่างเริ่มย้ำรุนแรง ให้ทันอารมณ์สูงสุดของคนทั้งคู่ ร่างหนาดันตัวทาบทับให้นอนราบบนผิวเตียงพร้อมกับปลายผ้าที่หลุดออกปลดพันธนการ
         ประสาทสัมผัสเริ่มกลับคืนมา ร่างด้านบนเริ่มขยับอีกครั้งทั้งเร็วและแรงสลับหยุดนิ่งเหมือนจะทรมานให้เขาตายเพราะความต้องการที่โหมสะบัดอีกระลอก
         น้ำเสียงหอบทุ้มต่ำยังดังอยู่ข้างใบหู ร่างกายคลายความตึงเครียด รู้ดีว่าต้องขยับสะโพกเปิดทางรับรุกแบบไหนที่ จะให้อีกคนร้องครางด้วยความซาบซ่านดื่มด่ำ จมสู่ห้วงรักที่ไม่รู้ลืม
         “รักเจ้าเหลือเกินเฌอรีน”
         เดอร์ อุสมาร์สกระซิบเบาๆ ริมฝีปากหยักดูดซับคำหวาน ที่จะตอบกลับมาไว้หมดสิ้น ไม่ต้องฟังก็รับรู้ว่าคนที่เขารักจะตอบเขาว่าอย่างไร ปลายลิ้นเรียวเกี่ยวตวัดอย่างเอาใจ ใบหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อด้วยทั้งแรงอารมณ์ และคงกระดากอายที่เป็นฝ่ายเชิญชวน
         เขายังคงอ้อยอิ่งกับริมฝีปากเชื้อเชิญ กวาดซับความหวานให้สมอยากมาเนิ่นนาน กายรักด้านล่างก็ยังตามส่งเร็วสลับช้า ดึงไม่ให้เขาถึงอารมณ์ได้เร็วนัก คืนนี้เขาอยากจะรักคนเบื้องล่างให้ขาดใจ 
         เสียงครางประท้วงแผ่วเบา จนสุดจะเดาออกว่าอีกคนต้องการให้เขาสนองตอบจุดไหน คนคุมบทรักยังเลาะเล็มผิวกายขาวกระจ่างชื้นเหงื่อไม่เร่งรีบ ซุกไซ้ซอกคอดึงดูดยอดอกบีบเค้นความแข็งขึงทุกการกระทำสอดคล้องตรงจังหวะ เขาเกร็งหน้าท้องให้ขึ้นลอนเพื่อเพิ่มสัมผัสรัญจวนจนคนรักครางออกมาอีกครั้ง เรียวขาสวยตวัดดันสะโพกเขาให้โถมใส่เข้ามา เขาเองต้องรีบส่งจูบหวานๆ กดย้ำๆ ก่อนจะเร่งเร้าด้วยจูบจาบจ้วงร้อนแรงเพื่อเอาใจ
         “รักกันอีกเถิดเดอร์อุสมาร์ส รักกัน รักให้มากๆ”
         “ทุกวันนี้ยังรักไม่พออีกหรือ ให้สุดตัวขนาดนี้ ไม่รู้สึกอะไร ดอกหรือ?”
         เหมือนถูกคนรักกลั่นแกล้งให้อับอายด้วยคำร้องให้รักมากๆ เสียมากกว่า แต่นั่นก็แค่การกลั่นแกล้งให้เขาต้องร้อนผิวหน้าและเร่งความระอุของผิวกายแค่นั้น 
         ความรักที่เฌอรีนร้องขอมันมากกว่านั้น รู้สึกลึกซึ้งมากกว่าการร่วมรัก ยิ่งกว่าสองร่างได้แนบชิดผูกพันธะสัญญาแห่งร่างกายและจิตใจไว้ด้วยกัน สิ่งเหล่านั้นที่กล่าวมาเป็นแค่เพียงรูปรสที่มนุษย์ทั่วไปโหยหา เพราะสำหรับพวกเขาทั้งสอง ความรักนั้นหยั่งรากลึกไปถึงจิตวิญญาณ ผูกสัมพันธ์รักร้อนแรงเชื่อมสองร่างเป็นหนึ่งเดียวประดุจพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เย้ยกฎมนเทียรแห่งสรวงสรรค์
         ทั้งที่ท่องจำจดอย่างซาบซึ้งทุกคำพยากรณ์แต่เราทุกคนก็เลือกที่จะฝืนเพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการ ยอมแลกบางสิ่งบางอย่างเพื่อความสุขของตัวเอง

         มนุษย์รั้นกายหยาบกร้าน ญาณอาจหาญดื้อดึงดัน ควรแก่โทษสวรรค์ทัณฑ์ บัญญัติร้ายหนักกลายเบาเหตุร้ายกร่างย่างกาย พลายกำเนิดเกิดมหันต์ภัย ปัดเป่าห่างก้าวไกล ล้างอาเพศไซ้เสียสิ้น...อันตรธาน
TBC...

         ไคซ์เปิดเพจรับสมัครเพื่อนนิยายนะคะ เข้าไปแอดกันได้ค่ะจะได้พูดคุยเรื่องนิยายและเรื่องอื่นๆ ด้วยกันได้น้า
         Keisarinna Novel https://www.facebook.com/profile.php?id=61568112267298
         เนื่องจากเป็นบอร์ดเปิดเรทหรือฉากรักจะถูกตัดทอนและปรับเปรียนให้เหมาะสม หากท่านนักอ่านต้องการเสพเรทแบบไร้การปรับไปตามได้ในเฟสนะคะ มีช่องทางเข้าไปอ่านแบบไม่ตัดเรทจ้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด