องก์ 2 : ร้ายเล่ห์ล่องหารัก
ร่างบางเดินออกมาจากห้องน้ำอย่างเนือยๆ ย่างก้าวแต่ละทีดูโอนเอนซวนเซไม่ตรงทาง เขาสวมชุดคลุมอาบน้ำสีขาวสะอาดปกปิดร่างกายอย่างลวกๆ การแต่งกายล่อแหลมด้วยเสื้อคลุมที่ถูกสวมแบบส่งๆ ขอแค่มีเครื่องแต่งกายปิดบังความอนาจาร จึงออกมาในสภาพจะหลุดไม่หลุดแหล่แต่สภาพหมิ่นเหม่นั้นไม่เป็นที่ใส่ใจของเขาเลยแม้แต่น้อย ดีแค่ไหนแล้วที่ยังหาอะไรมาคลุมตัวเองได้ เพราะมือทั้งสองข้างไร้ซึ่งเรี่ยวแรงไปดื้อๆ แม้แต่จะสวมชุดนอนก็ยังไม่ได้ต้องถือคาไว้อยู่ในมือ
แปลกจัง อยู่ๆ ก็เหมือนคนไร้เรี่ยวแรงหรือเราจะไม่สบาย ไข้ขึ้น...ตัวร้อน... แพ้แดด...พ่ายลม...ก็ไม่น่าใช่...เมื่อตอนกลางวันยังวิ่งเล่นอยู่กับเชอร์รีอยู่เลย ตอนหัวค่ำก็ยังไม่มีอาการเหนื่อยอ่อนแบบนี้ หรือเป็นการเปลี่ยนผ่านสู่วัยหนุ่ม! ต้องรีบสวมเสื้อก่อนไม่อย่างนั้นคงเป็นหวัดแน่ ๆ แค่เสื้อก็ยังดี
เมลย์ค่อย ๆ เดินโซซัดโซเซมาที่กระจกบานใหญ่บริเวณปลายเตียงนอน มือเรียวคลี่เสื้อนอนสีอ่อนออกมา พรึ่บ! เสื้อนอนร่วงหล่นไปกองอยู่บนพื้นพรมสีขรึม ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะคว้าเสื้อเนื้อบางให้กลับมาอยู่ในอุ้งมือ ทำได้แค่ปล่อยให้มันนอนกองอยู่ด้านหน้าเท้าเรียวไว้อย่างนั้น ตาเรียวสวยปรายตามองกางเกงที่เข้าชุดกับสีเสื้อ แล้วก็ปล่อยให้มันหล่นลงไปกองไว้ในบริเวณเดียวกัน ขนาดเสื้อยังไม่มีปัญญาใส่ แล้วกางเกงไม่ต้องหวัง ถ้าจะให้ยกขาข้างหนึ่งแล้วทรงตัวอยู่บนขาอีกข้างหนึ่งได้หกล้มหัวทิ้งหน้าคะมำแน่ๆ
จริงซิ....เชอร์รี่ เป็นยังไงบ้าง? จะเป็นเหมือนเขาหรือเปล่า?
ไม่ได้การ...เขาจะยืนเป็นตอไม้ตายซากอยู่ในนี้ไม่ได้ต้องไปดูแลเชอร์รี่ มือคว้าเอาเสื้อคลุมเอาสวมอย่างลวกๆ
ขาเรียวพยายามก้าวออกห่างจากกระจกเงาบานใหญ่ แล้วเดินตรงไปยังประตู แต่ขาสองข้างกลับหนักอึ้งเหมือนก้อนหินแข็งกร้าวขึ้นมากะทันหัน ความเจ็บร้าวพุ่งปะทะทุกครั้งที่จะก้าวหนีออกมาจากกระจก ความเจ็บปวดทำให้ร่างบางหยุดความคิดที่จะก้าวขาเดิน ลำตัวบางเอนทาบผนังผิวกระจกเย็นเฉียบเพื่อพยุงไม่ให้ล้มไปกองอยู่กับพื้น ใบหน้าวัยละอ่อนมองเงาตัวเองที่สะท้อนออกมาจากบานกระจกใสเบื้องหน้า
นายมันทุเรศสิ้นดีเมลย์ แม้แต่คนที่คิดจะปกป้องยังทำไม่ได้ แค่นี้ก็อ่อนแอ...เจอความเจ็บปวดเข้าหน่อยก็ท้อแท้สิ้นหวัง แล้วนายจะไปดูแลคนสำคัญได้อย่างไร
‘ไม่...ผมไม่ใช่คนอ่อนแอ!’
"อ๊าก!" ผมร้องเสียงหลงหลังจากที่พยายามรวบรวมพละกำลังที่มีทั้งหมดก้าวหนีไปจากกระจกเนื้อเรียบบานนั้น ความเจ็บปวดแผ่ซ่านวิ่งพล่านไปทั่วเรียวขาทั้งสองข้าง แขนขาพาลเย็นเฉียบอย่างฉับพลัน
(...มาเถอะให้เราสองได้พลอดกาย…) น้ำเสียงอ่อนละมุนดังแผ่วเบาที่บริเวณใบหู...ผมเงี่ยหูฟังด้วยความตั้งใจ ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม ผมได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดที่ข้างหูผม ผมเงยหน้าขึ้นมองกระจกบานใหญ่แทบจะในทันที
แปลกจัง ผมไม่เห็นใครเลย นอกจากตัวเองกับ...กับชุดคลุมหมิ่นเหม่ ที่ผมสวมทับอยู่บนตัวอย่างลวก ๆ ชุดนี้
‘ไม่นะ! สายรัดเอวมันกำลังจะหลุด’
(...เสียงหวานไซร้ หาได้ไร้ สิ้นทรวงหวาม...) โอ้ว..ไม่! ผมพยายามที่จะจับชุดคลุมไม่ให้มันเปิดเห็นสัดส่วนและของสงวนของผมแต่มือผมไม่ยอมให้ความร่วมมือเลยซักนิด ยิ่งผมพยายามขยับมือแต่เหมือนมันกลับยิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย
“เป็นไงเป็นกันอยากหลุดก็หลุดไป ในนี้ก็ไม่มีใครเข้ามาอยู่แล้วนี่”
ชายเสื้อคลุมที่ซ้อนทับกันอยู่ค่อยๆ คลายตัวออกจากกัน เปิดเผยสัดส่วนบริเวณกลางลำตัวเป็นแนวตรงยาวผ่าผ่านขนาบทาบตั้งแต่ลำคอ ไหล่กว้างผึ่งผายด้วยเริ่มเข้าวัยหนุ่ม หว่างอกบางหน้าท้องแบนราบและส่วนอ่อนไหวสะดุดตา
ผมพยายามใช้ ต้นขาปิดบังความอุจาดลูกนัยน์ตา พยายามเบี่ยงสายตาหนีภาพปลุกเร้าของตัวเองที่ฉายตำตาอยู่เบื้องหน้า แต่เหมือนโดนแรงดึงดูดให้ต้องจ้องตอบกลับไปที่กระจกเงาบานใหญ่เพียงแห่งเดียว
อายตัวเองทำไมผมต้องมานั่งพินิจพิเคราะห์ตัวเองตอนนี้ด้วย
(...สัมผัสเคล้า ยวนยั่วเย้า เทพอำพราง...) อะไรบางอย่างดันให้ตัวผมแนบทับลงไปบนกระจกผืนเรียบเย็นเฉียบ ความเย็นแทรกซึมไปตามผิวเนื้อเนียน ความรู้สึกบางอย่างกำลังวิ่งพล่านอยู่ในตัวผม
(...เอนกายลง ทับทาบฉัน ...ทาสรักคุณ...) เสียง..ใครกัน? ทำไมต้องอ่านกลอนบทนั้นให้ดังก้องอยู่ในหัวเขา
“อ๊า...อะ...อุ๊บ!” น่าอายจริง ๆ ผมเปล่งเสียงอะไรออกมาเนี่ยมันเหมือนเสียงผู้หญิงที่อยู่ในหนังปลุกกำหนัดไม่ผิดเพี้ยน ถึงจะไม่ได้ดูจริงจังแต่เพื่อนๆ ก็เคยเอามาให้เขาได้ดูเปิดหูเปิดตา
(...นำฉันไป ล่องหนหาย ปลายจักษุ...) “อ๊า...” ไม่! น้ำเสียงน่าเกลียดนี่
“อื้มม...”
เมื่อไหร่แรงดันบริเวณสะโพกมันจะหยุดซักที ทุกครั้งที่สะโพกผมโดนดันให้แนบลงสัมผัสพื้นผิวกระจกนั่น เจ้าน้องชายล่อนจ้อนของผมก็แนบสนิททาบแนวลำตัวยาวแนบชิดเบียดตัวกับพื้นผิวเรียบเย็น
ตอนแรกผมรู้สึกเจ็บ อยากจะขืนสะโพกต้านแต่ก็ทำไม่ได้...ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
แต่ ตอนนี้ ผมรู้สึกดีอย่างประหลาด...
แรงดันที่กระทั้นเป็นจังหวะ จากหนักๆ แรงๆ เป็นช่วงๆ ค่อยๆ เพิ่ม จังหวะขึ้น
กระชั้นขึ้น...หนักหน่วงขึ้น...เร็วขึ้น...แรงขึ้น...
สะโพกกลมมนของผมไม่รีรอที่จะตอบรับจังหวะกระแทกอย่างบ้าคลั่ง พร้อมเสียงครางชวนอับอายนั่น
ทุกจังหวะสงบลง หยุดนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมสัมผัสได้ถึงความชื้นบริเวณใบหน้าด้านข้างที่ทาบบนผืนกระจกใส หยาดเหงื่อเกาะพราวไหลรวมกันมายังใบหน้าซีกนั้นจนผมรู้สึกถึงความชื้นแฉะ
(...โหมโรมรัน พลันไล่ล่า ท้ากระหาย...) ลมหายใจร้อนชื้นของผมเป่ารดผิวกระจกใสจนขึ้นฝ้าบางๆ แล้วก็จางหายไป บริเวณหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะหายใจเข้าออกสูดรับออกซิเจนเพื่อทดแทนการขาดหายไปเป็นช่วงๆ ปลายเล็บจิกลงบนกระจกจนนิ้วมือสั่นระริก
และ...ผิวกระจกบริเวณส่วนน่าอายของผมที่เบียดตัวอยู่ เปรอะเปื้อนน้ำใส ๆ ไหลเยิ้มออกมาจากส่วนปลายแรกแย้มที่ขยายออกอย่างเต็มที่ ความอึดอัดพุ่งทะยานมาที่ส่วนปลายแก่นกายสีสวยไหวสั่นแล้วปลดปล่อยอย่างทะลักทะลาย...
อุบาทว์จริงๆ … ผมทบทวนเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านมา...มันไม่ได้ต่างจากการช่วยตัวเอง! ต่อหน้ากระจก...ช่วยตัวเองกับกระจก!...
(...ขอแค่ฉัน...ได้เป็นหนึ่ง คู่ข้างกาย...ไม่อาจตาย รอนแรมลา ข้ามเขตกาล…) กลอนบทต่อมายังคงดังก้องอยู่ในสมองของผมอย่างต่อเนื่องผมรู้สึกได้ว่าเสื้อคลุมถูกถลกขึ้นไปอยู่เหนือสะโพก...
ผมตกใจ! อยากต่อต้านผู้รุกรานความบริสุทธิ์ของผม ถึงผมจะไม่ประสีประสาเรื่องอย่างว่า แต่ผมก็ไม่โง่ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เหตุการณ์เริ่มเกินขอบเขตไปแล้ว ถึงจะอ่อนประสบการณ์ด้านความรักแต่ไม่ได้ขลาดเขลาการเสพใคร่
แต่จะทำอะไรได้...อยากจะทำอะไรก็ทำ รีบทำให้มันจบ ๆ ผมจะรีบไปหาเชอร์รี่
“อ๊า...เจ็บ!!” อะไรบางอย่างแทรกเข้ามาในตัวผมอย่างรวดเร็วต่างจากครั้งแรกมากนัก ขาผมสั่นพั่บๆ เม็ดเหงื่อซึมออกมาทั่วไรผมชื้น ความกลัวเริ่มเกาะกุมทั่วร่างกาย มือผมจิกลงบนผืนกระจกเพื่อระบายความเจ็บ ความปวดร้าวแสดงขอบเขตไปทั่วสะโพกจนชาดิก แน่นิ่งแช่อยู่นานความกลัวค่อยๆ จางหายไปทีละน้อยๆ อย่างน้อยก็รับรู้ว่าผมจะไม่เจ็บมากไปกว่านี้…ถ้า
คน... ผี…ภูต...หรือจะตัวอะไรก็ตาม ที่กำลังย่ำยีผมอยู่นี้ ใจดีพอ
เสียงคนร่ายบทกลอนยังคงดังอยู่ในโสตประสาท น้ำตาก็เอ่อล้นไหลรินออกมา ไอความร้อนเกาะผืนกระจกจนเกิดฝ้าสีขาวจางๆ ไปทั่วบริเวณที่ใบหน้าหวานได้พ่นผ่อนลมหายใจ ทั้งที่อากาศหนาวเย็นแต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงไอเย็นเลยซักนิด
ผมเริ่มรู้แล้วว่า…ตัวผมได้เชื้อเชิญความอัปรีย์มาสู่ตัวเอง...
เชอร์รี่จะเป็นอย่างไรบ้าง...!
'ได้โปรด...อย่าทำอะไรเชอร์รี่เลยชีวิตที่มีอยู่ของเขาช่างเหมือนดอกไม้งามที่รอวันโรย’ “ลงกับผมคนเดียวเถอะ...ทำผม...ย่ำยีผมให้อับอาย...ทำร้ายร่างกายผมให้พอจนคุณพอใจแล้วปล่อยญาติผู้เป็นที่รักของผมไป อย่าให้คนบริสุทธิ์แบบนั้นต้องแปดเปื้อน” เด็กน้อยฟังคำภาวนาของตัวเองที่พร่ำบอกใครบางคนไม่หยุดหย่น
ตัณหาราคะ ถ้าปราถนา...เชิญลงที่ผมนี่!
สภาพรอบตัวยังคงสงบเงียบเชียบ ผมพยายามพูดจาอ้อนวอนต่อสรรพสิ่งที่อำพรางตัวอยู่ในเงามืด แม้มันจะดูสูญเปล่าแต่ผมก็อยากจะขอร้อง เพื่อคนคนนั้น ผมยอมแลกได้ถึงจะเอาวิญญาณของผมไป...ผมก็จะให้ แค่เพียงให้เชอร์รี่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป
… (“แด่เดอมีทรี คนที่ผมเฝ้ารอมานานแสนนาน”) ...
ผมรีบหมุนตัวกลับมายังเสียงพูดอ่อนโยน ทุ้มลึกละมุนหู
เสียงนี้...เสียงที่ผมมักได้ยินตอนหลับใหล เสียงที่ผมเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ผมจะได้เห็นหน้าบุคคลที่พร่ำรำพันคำหวานให้ผมได้ฟังแทบจะทุกคืน
เขาอยู่ที่นี่...เขาอยู่กับผมแล้วที่ปราสาทแห่งนี้
“อา!” ช่องทางที่เชื่อมระหว่างผมกับคนๆ นั้นเบียดหมุนวนตามจังหวะเอี้ยวตัวของผม เขายกขาทั้งสองข้างของผมโอบรอบเอวหนาของเขาไว้หลวมๆ
… (“อดทนหน่อยนะ...คนดี เจ็บนิดเดียว แล้วคุณจะจำผมได้”) ...
“อ๊ะ!” ผมแทบจะสิ้นสติเมื่อคนแปลกหน้าดันแทรกลึกไปจนสุด ร่างกายเราสองคนเชื่อมชิดแนบสนิทยิ่งกว่าเก่า ผมกระพริบตาถี่ๆ ไล่หยาดน้ำตาที่เอ่อล้นจนมองทุกอย่างลางเลือนไปหมด โดยเฉพาะผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าผม ใบหน้าสองเราห่างกันเพียงไม่กี่เซ็นต์ มือเขาค่อยๆ ลูบไล้ต้นขาผมไปมา เหมือนมันจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้บ้าง
เพราะตอนนี้ผมกลับรู้สึกอึดอัด และร่างกายช่วงล่างมันปวดแปลกๆ อยากจะทำอะไรกับสิ่งที่สอดแทรกเข้าในตัว แต่ก็ไม่รู้ว่าผมต้องจัดการกับมันยังไง
... (“ขยับนะที่รัก...”) ... ทันทีที่เขาขยับตัวออกแล้วดันเข้าไปใหม่ซ้ำๆ ช้าๆ มันยิ่งทำให้ผมทรมาน อาการปวดที่ผมบรรยายไม่ถูกก็ยังไม่หายไปเสียที
“ผะ...ผมรู้สึกแปลกๆ” ผมเริ่มเป็นฝ่ายดันสะโพกเข้าหาเขาเสียเอง แต่ทุกอย่างดูเชื่องช้าขัดหูขัดตาผมไปเสียหมด
“ทำให้ผมรู้สึกดีกว่านี้ก่อน” แทบไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้ยินน้ำเสียงของตัวเองส่งคำสั่งเอาแต่ใจ และเน้นหนักบ่งชี้ความต้องการทางเพศเช่นนี้
ผมสาบานผมเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากชายคนนั้น จากนั้นสติผมก็หลุดลอย ในหัวผมโล่งไปหมด ผมได้แต่ปล่อยตัวปล่อยใจ ไปกับแรงกระแทกถี่กระชั้น แรงเสียดสีจากภายในที่ร้อนระอุ เสียงเนื้อกระทบกันไม่หยุดหย่อนกระแทกย้ำๆ ซ้ำที่จุดๆ เดิมมันทำให้ผมแทบคลั่ง
“พะ พอ...ผมไม่ไหวแล้ว สุดทนแล้ว”
ทันทีที่ผมหลุดประโยคนั้นออกไป...ผมรู้สึกว่าแล้วว่าผมก็เหมือนนางเอกหนังต้องห้าม...ไม่เป็นไรผมยอมขอให้คนที่ผมห่วงใยปลอดภัย
... (“คิดถึงใครอยู่ เดอมีทรีคุณต้องคิดถึงแต่ผมเท่านั้น...อย่าลืมซิ”) ...
ผะ..ผมรู้สึกว่าเขาทำรุนแรงขึ้น...แต่ทำไมยิ่งแรง..ผมก็ยิ่งรู้สึกดี ผมเอื้อมแขนสองข้างคล้องลำคอแกร่งเพื่อพยุงตัว หวังให้ช่วยผ่อนแรงกระแทกกระทั้นที่รุนแรงนั้นได้บ้าง
ทำไมนะ...ผมรู้สึกว่าเหตุการณ์นี่มันเกิดซ้ำๆ ย้ำๆ แต่ที่เดิม ๆ
ใบหน้าขาวนวลใส แววตาคมไหวระยิบระยับด้วยไฟปรารถนา ช่วงไหล่กว้างผึ่งผายจนผมเผลอพรมจูบไล่เรียงตามแนวกระดูกเหยียดตรง แล้วไล้ริมฝีปากบนลำคอแกร่งไปเรื่อยจนถึงปลายคาง ร่างโปร่งสูงเพรียวเป็นฐานให้ผมได้ร่ายทำนองรักจาบจ้วงโจนทะยานต่ำมิดขั้วและสูงเสียดยอดปลายแก่นกายที่อุ่นร้อนสอดใส่ร่องริ้วอ่อนนุ่มอย่างหิวกระหาย
คำพูดสั่นเทิ้มไม่ได้สรรพ ทุกซุ่มเสียงครางกระเส่าในลำคอ ร่างกายโยกขยับเป็นจังหวะ หยาดเหงื่อเย็นชื้นเกาะพราวตามใบหน้าหล่อเหลานุ่มนวล
ทุกอย่างของคนๆ นี้เป็นของผม!
ที่เดิมตำแหน่งเดิมความใคร่ในแบบเดิม ...
บทรักที่โหมพัดกระหน่ำเริงร่านช่ำชองกับคน คนเดิม... ทุกการเคลื่อนไหวมีแค่ผมเท่านั้นที่ได้สัมผัส! “ระ...แรงหน่อย ยูดาล์สรู้ใช่ไหมทำให้ผมรู้สึกดีต้องทำยังไง!” ร่างกายบิดเร้ายั่วยวนเมื่อความต้องการทางร่างกายถูกเร่งเร้าและเติมเต็มอย่างรู้ใจ
... (“บอกแล้วไง ประเดี๋ยวคุณต้องจำผมได้”) ...
“อื้ม...คิดถึงผมหรือเปล่า...รักผมซิ แบบเดิมๆ” รุกล้ำรุนแรงแค่ไหนก็ยังไม่รู้จักดับความกระหายที่ปะทุขึ้นอย่างไร้การควบคุม แรงรักแรงอารมณ์พุ่งทะยานไร้สติสัมปชัญญะที่จะควบคุมให้กลับมาสู่ภาวะความพอดี
ร่ายมนต์ เริงรัก ประทับสวาท ไม่ว่าเมื่อไหร่ร่างกายไม่เคยเรียนรู้คำว่าพอ
… (“หึ...ใจร้ายไม่เปลี่ยนเลยเดอมีทร์ที่รัก ผมจะรักคุณให้คุณจำไปจนตาย”) ...
ผมประกบริมฝีปากลงบนเรียวปากอิ่มที่แสนจะคุ้นเคย...ผมสาบานผมไม่เคยเจอชายคนนี้เลย
ปลายลิ้นผมเกี่ยวตวัดไล่ต้อนลิ้นหนาอย่างชำนาญ...ผมสาบานนี่คือจูบแรกของผม
สะโพกกลมโยกพลิ้วรับสอดสัมผัสร้อนปรนเปรอแรงกระสันอย่างคนรู้ใจเสพรสรักอย่างกระหายร้อนแรง…ผมสาบานผมบริสุทธิ์แต่ไม่ผุดผ่องนักตามประสาเด็กผู้ชายเริ่มเข้าวัยหนุ่ม
ผมคือใคร...ผมเป็นใคร....
ใครบางคนอยู่ในตัวผม? หรือมันคือตัวตนจริงๆ ของผมกันแน่!
แต่...ผมรู้สึกดีจัง...
ยูดาล์ส ทาสรักของผม นานแค่ไหนเขาก็จะยังรักแต่ผม
"ดี!ทาสรัก...ของข้าทำให้ระลึกถึงมากกว่านี้สิ" เสียงใครคนหนึ่งกรีดร้องเรียกหารักอย่างโหยหา จนร่างกายของเมลย์สั่นเทิ้มสุดจะต้านทานแรงโหยไห้แห่งจิตวิญญาณที่สะท้อนออกมาจากทุกอณูในร่างกายนี้
ร้อนแรง แต่อบอุ่น ร้อนรุ่ม กรุ่นอ่อนโยน
ร้อนรัก จาบจ้วงโจน ร้อนแรงดล คาวคราบรัก และภักดี
ร้อนแรง อัคคีสาน ร้อนรุ่มการณ์ คาวโลกีย์
ร้อนรัก สอดเสียดสี สองร่างนี้ หล่อหลอม รวมหนึ่งเดียว
ร้อนแรง ซ่านทรวงจิต ร้อนรุ่มฤทธิ์ ลิ้นปราดเปรียว
ร้อนรัก ชื้นลำเรียว ถางทางเปลี่ยว ช่องหวานหอม ห่างโรยรา
ร้อนแรง ดั่งเสพติด โยนโยก ชิดโหยหา หายใจ ล้ากายา รักหรรษา
เผาอุรา ลิ้มโลกันตร์
เสียงถอดถอนลมหายใจดังสอดรับกันเป็นจังหวะพร้อมเสียงครางครวญไม่หยุดหย่อน
ร่างกายทั้งสองเกร็งกระตุกก่อนการปลดปล่อยพันธนาการแห่งรักจนล้นเอ่อทั้งภายในและภายนอก สายใยสีขาวขุ่นชโลมร่างอิ่มเอมทั้งกายใจของคนทั้งคู่
ยิ่งกว่าการร่วมรัก ยิ่งกว่าความกำหนัดในอารมณ์ใคร่
ยิ่งกว่าความรักที่หล่อหลอมรวมใจ ยิ่งกว่าความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งใด
วิญญาณรักพันธะใจปลดปล่อยไซร้จากภูตบาล
“มันยังไม่สายไปใช่ไหม...ถ้าเราอยากเป็นคนทำพันธสัญญาครั้งนี้เสียเอง!”
(... “เดอมีทรี! แน่ใจแล้วหรือที่จะทำ” …)
หากนี่คือการตัดสินใจครั้งแรกและครั้งเดียวในชาตินี้ ขอให้การติดสินใจครั้งแรกและครั้งสุดท้ายจงสัมฤทธิ์ผล ผมขอใช้ตัวเองหันเหวิถีทางแห่งอาถรรพ์ ขอใช้ความตั้งมั่นด้วยจิตบริสุทธิ์ตอบแทนคำขอที่จะบังเกิดผลในอีกไม่กี่อึดใจ
“หากมีใครต้องสูญสิ้นวิญญาณ คน ๆ นั้น ขอให้เป็นข้าเอง ใช้ชีวิตทั้งหมด คืนชีวิตให้ญาติอันเป็นที่รักคนเดียวบนโลกได้มีชีวิตอยู่ต่อไปในชาตินี้”
ให้ดอกไม้ผ่องอำไพได้ชูช่อโล้สายลมล้อแสงแดดอาบแสงจันทร์หมื่นแสนวันหาได้ร่วงโรย
รับรู้การร้องขอ วงล้อรับวัฏสาร เอื้อนเอ่ยธุรการ เสนอข้า ต่างตอบแทน
“ขอโทษ...ข้าเดินผิดทาง ผิดเองทั้งหมด ผมอยากแก้ไขแม้ผลที่ได้จะเล็กน้อย”
(... “แล้วข้าล่ะจะทนได้อย่างไร อดทนรอเจ้าเพื่ออะไร” …)
"ยูดาล์สทุกอย่างมันเกิดจากผม ปล่อยผมให้แก้ไขปมในอดีตชาติ”
(... “ข้าปล่อยเจ้ามาตลอด...แต่คนที่ไม่ยอมปล่อยข้าคือเจ้า” …)
“จะเสียใจไปไย สรรพสิ่งล้วนมีชีวิตและทางเดินเป็นของตนเอง”
ชายร่างสูงมองเข้าไปยังดวงตาสีฟ้ากระจ่างสดใสหวังจะสัมผัสความหมายของหัวใจในร่างที่เขาแสนรักตรงหน้า การสื่อความหมายที่ตัวเขาไม่เคยมีวันจะหยั่งถึง ร่างบางโอบกอดเขาอ้อมกอดที่อบอุ่นที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรัก แต่กลับเหว่ว้าว่างเปล่าในความรู้สึกของยูดาล์ส
“แปลกจังนะ ทุกครั้งที่คุณสัมผัสผม ผมได้แต่เจ็บปวด” เสียงเด็กน้อยย่างเข้าวัยแตกหนุ่มพรรณาโวหารเกินอายุได้น่าหมั่นไส้นักคนซึมเศร้าได้แต่หยุดนิ่งตั้งใจฟัง
“เจ็บปวดที่รักคุณไม่ได้มากเท่าที่คุณรักผม อ้อมกอดของคุณทำให้ผมทรมานที่ไม่สามารถโอบรับกอดตอบคุณโดยที่ไม่นึกถึงคนอื่น” ยูดาล์สพยักหน้ารับพร้อมถอนใจออกอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อต้องมาฟังเด็กน้อยพูดจาแก่แดดแก่ลมแต่กลับอิ่มอกอิ่มใจจนไอร้อนตีขึ้นใบหน้า
"รสรักของคุณผมซาบซึ้งใจ ไม่ว่ามากแค่ไหนผมก็ไม่เคยพอ" เสียงเพราะเสนาะหูเอ่ยวาจาเจื้อยแจ้วเปิดเผย
ยังไม่ทันได้ได้ลิ้มรสความกระหยิ่มยิ้มย่องให้สาแก่ใจต้องสะดุดหน้าทิ่มเพราะทำถามที่ยากจะตอบมากมายจากคนร่างเด็กความคิดโต
"ผมเคยเป็นคนเลวอย่างนั้นหรือ คุณผู้มาเยือน แต่...ถึงผมจะเลว แล้วทำไมคุณยังมาหาผมอีกล่ะ ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
(... “มันไม่ใช่ความผิดคุณ...คุณไม่ต้อ...ง” …) มือบางปิดริมฝีปากสีเข้มอิ่มสวยไม่ให้เอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ
“คุณรักผมใช่ไหม”
(... “รัก...รักมาก” …)
“ทางเดียวที่ผมจะได้อยู่กับคุณอีกครั้ง...”
(... “ไม่...ข้าไม่ต้องการให้เจ้าต้องทรมานแบบนี้” …)
“แต่ผมต้องการ ผมต้องการคุณนะให้ผมได้อยู่ในที่ๆ เดียวกับคุณ”
(... “คุณไม่ได้ทำเพื่อผม คุณทำเพื่อเฌอรีน คุณไม่ได้รักผมจริง” …) เสียงสะท้านแหบแห้งสั่นเครือด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่คนแสนรักหาได้ทำทุกอย่างเพื่อเขาดังคำกล่าวหวานหูประโยคนั้นไม่
“เชอร์รี่น่ะเหรอผมเกิดมาก็ถูกสอนให้ทำทุกอย่างเพื่อญาติผู้พี่อันเป็นที่รักอยู่แล้ว ผมมีหน้าที่ดูแลให้ดีเปลี่ยนมันไม่ได้ สำหรับคุณมันแปลกมากเลยผมกลับรู้สึกว่าผมเกิดมาเพื่อวันนี้”
มือเรียวดึงมือหนาทาบทับที่หน้าอกด้านซ้าย รอยยิ้มหวานปานเทวดาองค์น้อยทำให้ร่างบางตรงหน้าเหมือนดังคนพิเศษที่เกิดมาเพื่อตัวเขาจริงๆ
"ถึงผมจะให้ความรักไม่ได้ครึ่งหนึ่งที่คุณรักผม แต่ทุกอย่างที่เป็นผมเป็นของคุณไปแล้วนะ” คนได้ฟังยิ่งปลื้มปริ่มอิ่มเอมใจแต่อยากให้คนผู้เป็นที่รักได้ใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ปกติมากกว่าเร่ร่อนรอยเคว้งเป็นจิตวิญญาณล่องลอยไร้ร่างกาย
(..." อย่าเลย ผมขอร้องอย่าทำแบบนี้...ได้โปรด"…)
“ฟังผมนะพ่อคนสวย...ต่อจากนี้ไป ผมจะกลับไปยังที่ของผม ที่ๆ มีคนชื่อคล้ายๆ ผมอยู่ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป จนกว่าวิญญาณผมจะสูญสลาย” ไม่พูดเปล่าสองมืออูมยังประคองคนหนุ่มหน้าสวยต่างวัยให้มองสบตาระยะใกล้
เพล้ง! กระจกใสแตกร้าวไปครึ่งบาน เศษเสี้ยวที่แตกหักล่วงหล่นลงบนพื้นสีเข้มทึบทึม มือเรียวกำเศษกระจกชิ้นถนัดมือค่อยๆ กดความคมแวววาวบนลำคอขาวเนียนค่อยๆ เพิ่มแรงกดช้าๆ นิ้วเรียวขาวซีดรีบจับมืออูมที่เต็มใจทำอัตวินิบาตกรรมหวังทำการหยุดยั้งก่อนเกินการณ์
เรียวแรงมหาศาลของจิตภูตมีหรือจะสู้แรงคน...
น้ำทับทิมสีเข้มกลิ่นเหมือนผงเหล็กไหลออกมาทีละนิดๆ จากหยดเล็กๆ รวมตัวกันเป็นทางยาวแล้วบรรจงไหลรวมดั่งธารโลหิตลงมาเรื่อยๆ ลำเลียงไล่มาช้าๆ ผ่านลำคอขาว ผ่านแผงอกบาง เสื้อคลุมสีขาวดูดซับความเปียกชุ่มอุ้มธารน้ำสีแดงไม่ให้ไหลลงยังเบื้องล่างแต่ไม่อาจห้ามการไหลรินบนลำคอของผู้สวมใส่ได้
(... “ทำไมต้องเป็นคุณ” …) ใบหน้าเย็นแนบเนื้ออุ่นอ่อนนุ่มที่ข้างแก้มร่างเด็กของคนรักในชาตินี้ ดวงหน้าอดสูสงสารเมลย์ที่เลือกวิธีเจ็บตัวทำพันธสัญญาซาตาลความตายมีหลากหลายอย่างหากเลือกที่จะไม่ตายทรมานเขาก็คงไม่ทุกข์ใจ
“อย่าร้องไห้ ยูดาล์สเรากำลังจะมีความสุข ต่อจากนี้ไป....” / “อย่าเศร้าไปคนงามของผม เราจะมีความสุข ต่อจากนี้ไป” เสียงทั้งสองผสานกันทั้งโสตประสาทและเสียงสัมผัสทั้งดีใจทั้งประหลาดใจที่ชาตินี้อาจได้ควงคนงามถึงสองคนต่างวัย!
คมวาบแวววาวปาด เศษแหลมกราดกรีดเนื้อองค์
มือกดกรีชปลงลง ปลดเปลื้องทรงระทนทุกข์
ขมขื่นสุขดุจพรายลวง อนึ่งทรวงดวงหทัยหาย
ครวญคร่ำครากรีดกราย หลั่งเลือดไล้โลมกายา
อาถรรพ์คณนา สุดปรารถนาจงลงทัณฑ์
มัจจุราชกัณฑ์ร้องก้อง รับเลือดนองผ่องตัวข้า โปรดพาจิตวิญญา
คนรักหวนคืนหล้า สลับร่างแปลงญาณตรา ตราบชั่วกาละนานเทอญ
(ร่ายสุภาพ)
ตอนที่ 2 ลงแล้วนะคะ ฝากผลงานเรื่องนี้อีกเรื่องและเรื่องต่อๆ ไปด้วยจ้า