___ หลงพระจันทร์ ☽ ___ | บทที่ 4 (12/06/65)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ___ หลงพระจันทร์ ☽ ___ | บทที่ 4 (12/06/65)  (อ่าน 2082 ครั้ง)

ออฟไลน์ x กระต่ายสีเลือด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0


***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************








「 หลงพระจันทร์ ☽ 」
คุณเจโรม x อารัญ





ผมไม่เคยเจอใครที่เหมือน 'คุณเจโรม' มาก่อน
นักเขียนนิยายที่น่าค้นหา รักสันโดษและมีเสน่ห์ ทั้งยังสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
ทว่าผมกลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างในรอยยิ้มและท่าทีของเขา
อะไรบางอย่างที่หมายถึง 'ความลับ'





- - -




Coercion , Dubious consent
Sexual Harassment, (BDSM)
x ไม่มีการฆาตกรรม
x ไม่มีการทรมานผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย

นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศและพฤติกรรมไม่เหมาะสม
ผู้อ่านอายุต่ำกว่า 18+ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
หากอ่านแล้วรู้สึกถึงสภาวะกดดัน แนะนำให้กดปิด


( x พริกกระต่าย )

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-06-2022 19:03:40 โดย x กระต่ายสีเลือด »

ออฟไลน์ x กระต่ายสีเลือด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: หลงพระจันทร์ ☽ | บทที่ 1
«ตอบ #1 เมื่อ20-11-2021 16:33:51 »




[ หลงพระจันทร์ ]
Jerome x Arlan
- 1 -




















23:29 น.







ตายแล้วไปไหน

ชีวิตหลังความตาย







ผมในช่วงวัย 22 ปีกำลังคิดวนเวียนอยู่ในหัวอย่างไม่รู้จบ ไม่ใช่ว่าสิ้นหวังจนอยากหาทางไปโลกใบสุดท้ายเพียงแต่คิดว่าอีกไม่นานผมอาจจะอดตาย หลังจากที่เงินก้อนสุดท้ายในบัญชีถูกนำไปจ่ายเป็นค่าหอพักจนหมด

ไหนจะต้องหาเงินค่ากินค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไหนจะต้องหาเงินมาจ่ายค่าเทอมเพื่อให้ตัวเองได้เรียนต่อในปีสุดท้าย มันเป็นเงินจำนวนก้อนใหญ่ที่ผมนอนคิดไม่ตกว่าจะไปหามาจากไหน ถ้ายังลอยเคว้งหางานทำไม่ได้สักที

ทุนเรียนฟรีพร้อมค่าใช้จ่ายคงใช้ไม่ได้กับเด็กที่มีผลการเรียนธรรมดาอย่างผม

ถ้าไม่เรียนก็ไม่มีชีวิตที่ดี

ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีเงินไว้ใช้จ่าย

นั่นแหละ ผมชักเริ่มไม่แน่ใจว่าจะมีชีวิตเพื่ออะไร สุดท้ายแล้วผมก็เหลือแค่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้อยู่ดี ไม่มีทั้งเงิน ทั้งครอบครัวและความฝัน

เสียงท้องร้องดังโครกครากสลับกับเสียงแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊คตัวเก่า มือเลื่อนเม้าส์กดเข้าหน้าเว็บเสิร์ชหางานพาร์ทไทม์เป็นครั้งที่ร้อย หน้าเดิมๆ ถูกเปิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า







งานพาร์ทไทม์

งานเงินดีตอนกลางคืน

งานกลางคืน

กู้เงินนอกระบบ…







ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองพระจันทร์เต็มดวงข้างนอกหน้าต่างจากห้องพักเล็กๆ หยุดความคิดชั่ววูบและบอกตัวเอง อย่าคิดทำอะไรโง่ๆ พรุ่งนี้ต้องออกไปเดินหางานทำต่อ เผื่อแถวนี้จะมีงานลูกจ้างรายวันให้พอทำได้สักงาน อย่างน้อยก็พอจะมีเงินมาประทังชีวิตตัวเองได้บ้าง

หากบนโลกนี้มีปาฏิหาริย์จริงก็คงดี ผมเองอยากจะขอเงินไว้ต่อชีวิตอีกสักหน่อยเหมือนกัน

ติ๊ง..

เสียงแจ้งเตือนอีเมลในโน้ตบุ๊คดังขึ้น ข้อความข่าวสารจากเว็บหางานถูกส่งมาทุกครั้งที่มีประกาศรับสมัคร วันละห้าฉบับ สิบฉบับ แต่การตอบรับอีเมลสมัครงานของผมยังคงว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เสียงโทรศัพท์เพื่อเรียกไปทำงานอย่างที่หวัง

Rrrr

คงจะมีก็แค่ ‘แทนทัพ’ เพื่อนสมัยเด็กและเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่โทรมาหาบ่อยๆ

“ว่าไง”

[เป็นยังไง หางานได้หรือยัง]

“ยังเลย เปิดๆ ดูอยู่” ผมเอนหลังพิงเก้าอี้ หลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า การหางานพาร์ทไทม์เงินดีๆ ในช่วงปิดภาคเรียนบนเว็บไซต์ยากกว่าการเดินเท้าไปสมัครงานเป็นแรงงานถูกกดราคาขั้นต่ำเป็นไหนๆ คนตกงานก็เยอะ เรียนยังไม่จบ ไม่มีประสบการณ์ก็เป็นข้อจำกัดในการหางานทำ

[เสียงเหมือนคนไม่มีแรง ได้กินข้าวบ้างไหมวะ]

“กินสิ เพิ่งกินไปเอง” ผมตอบ อย่างน้อยก็ยังมีข้าวสารติดหม้อไว้ประทังชีวิตอยู่แหละนะ

[กินเยอะๆ ปิดเทอมแล้วก็อย่าเงียบหายไปนะเว้ย ถ้าเครียดเรื่องเงินก็ยืมเงินกูก่อน มีเมื่อไหร่ค่อยคืน]

“ก็ของเก่ายังไม่ได้คืนเลย จะยืมอีกได้ไง” ผมหัวเราะ มองแบงก์สีแดงยับๆ สามสี่ใบบนโต๊ะ เข้าใจความเป็นห่วงของเพื่อน “ตอนนี้ยังพอมีเหลืออยู่ ไม่ต้องห่วง”

[เหลือเท่าไหร่]

“…” ผมเงียบ ไม่ได้ตอบ คำนวณเงินในใจอย่างน้อยถ้าเจียดเงินใช้จ่ายอย่างประหยัดก็น่าจะพอค่ากินอีกสักสองสามสัปดาห์ แต่สิ่งที่กังวลคือเงินค่าเทอมที่ต้องจ่ายต่างหาก

[กูเป็นห่วงจริงๆ นะ อย่าฝืนมาก ของเก่าไม่คืนก็ยืมอีกได้ มึงมีแล้วค่อยคืน]

“อือ ถ้าไม่ไหวจริงๆ จะบอก ..ขอบคุณมากนะ”

[บอกให้จริงเถอะ ไม่ต้องมาขอบคุณอะไรหรอก]

“ช่วยตั้งเยอะขนาดนี้ไม่ขอบคุณได้ไง” ผมหัวเราะ ทัพเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ไม่ต่างอะไรจากคนในครอบครัว แม้พวกเราจะฐานะต่างกันแต่ทัพไม่เคยทำให้ผมรู้สึกด้อยกว่าเลยสักครั้ง มีแต่จะช่วยเหลือให้กำลังใจ

[แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย เออ กูจะบอกว่าพี่ปุ่นถามถึง จำพี่ปุ่นได้ไหม]

“จำได้สิ ปีก่อนช่วยให้ได้ทำงานเป็นสตาฟตั้งหลายวัน” ผมจำลูกพี่ลูกน้องของทัพที่นิสัยดีอย่างพี่ปุ่นได้ ผมได้ค่าจ้างงานสตาฟอีเว้นท์ที่พี่ปุ่นช่วยแนะนำตั้งหมื่นกว่าแต่ก็ใช่ว่างานมันจะมีตลอด

[พี่ปุ่นกำลังต้องการคนไปช่วยงาน ถ้ามึง-]

“งานอะไร ฮัลโหลทัพ? ทัพได้ยินไหม”

เสียงทัพขาดหายไปก่อนจะพูดจบ

หลังจากนั้นก็มีเสียงติ๊ดดังยาวๆ เหมือนกับถูกตัดสายทิ้ง ผมลดมือลงมองหน้าจอโทรศัพท์ มองสัญญาณที่ขึ้นเต็มปกติ อาจเป็นเพราะฝนใกล้จะตกกับห้องที่อยู่มุมอับ คลื่นสัญญาณจึงไม่ค่อยดีเท่าที่ควร

ติ๊ง

ผมละความสนใจจากสายที่ถูกตัดไปของแทนทัพ เมื่อเสียงแจ้งเตือนอีเมลใหม่ที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ตอนแรกผมคิดว่าคงเป็นข้อความแจ้งเตือนจากเว็บสมัครงานเหมือนทุกที แต่ไม่ใช่.. เมื่อพิจารณามองดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทำให้รู้ว่าผมคิดผิด

หัวใจผมกระตุกวูบ เพ่งมองหน้าจอให้แน่ใจอีกครั้ง







inbox : แจ้งนัดสัมภาษณ์งาน







ผมแทบลืมหายใจตอนอ่านหัวข้ออีเมล ไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าใจผมเต้นแรงจนจะหลุดจากอก แต่ถึงอย่างนั้นก็กลัวว่าจะเป็นสแปมอีเมลที่ตัวเองชอบทิ้งเมลไว้ตามเว็บหางานหรือบางทีก็อาจจะงานลูกโซ่ หาคนไปเป็นตัวแทนขายอะไรแปลกๆ ทำให้ผมดีใจเก้อ

ขอให้เป็นงานที่ดีเถอะ

ผมภาวนา กดเข้าอ่านอีเมลอย่างระวังราวกับกลัวว่ากดผิดแล้วมันจะหายไป หน้าจอโน้ตบุ๊คกะพริบเปลี่ยนหน้า ข้อความในอีเมลมีเนื้อหาแจ้งนัดสัมภาษณ์งานในวันเสาร์นี้ ตอนสิบโมงตรงพร้อมทั้งแนบแผนที่ในการเดินทางมาให้เรียบร้อย

บ้านเลขที่ 9

ผมรู้ว่ามันไม่ดีที่ส่งอีเมลไปหลายๆ ที่จนจำไม่ได้ว่าตัวเองส่งไปที่ไหนบ้าง จำต้องย้อนกลับไปอ่านในอีเมลที่ตัวเองส่งไปอีกครั้งถึงได้นึกออก และไม่แปลกใจว่าสถานที่ทำงานจะเป็นบ้านที่พักอาศัย

ผมจำได้อย่างเลือนรางว่าอาทิตย์ก่อนมีประกาศหางานจากโพสต์นึงในกลุ่มปิดของเฟสบุ๊ค รับสมัครผู้ช่วยนักเขียนชั่วคราว รายละเอียดงานก็เหมือนทั่วไป ไม่สิ ผมว่ามันเป็นงานที่คนคอมเม้นว่าสนใจเยอะสุดเลยก็ว่าได้

งานช่วยหาไอเดียความคิดเกี่ยวกับนิยาย ช่วยหาข้อมูลสำหรับการเขียน ทำงานวัน 8 ชั่วโมง หยุดเสาร์อาทิตย์ตามปกติ ผมจำได้ว่ามีค่าเดินทางพร้อมทั้งอาหารให้ต่างหาก ระยะเวลางานแค่สามเดือน บวกกับค่าตอบแทนที่ดูดี ใครๆ ก็อยากได้งานนี้ ผมเกือบจะเลื่อนผ่าน หากไม่เห็นว่าเขารับเฉพาะผู้ชายไม่จำกัดอายุ ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์

แต่ผมไม่คิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะได้รับอีเมลตอบกลับจากงานนี้

แม้จะไม่ใช่การตอบรับเข้าทำงาน เป็นเพียงแค่การนัดสัมภาษณ์เท่านั้นแต่มันทำให้ผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง นับว่าโอกาสดีๆ ได้เดินทางมาหาผมแล้ว



























เช้าวันเสาร์ฝนตกลงมาอย่างไม่เป็นใจ ความชื้น ถนนที่เปียกและอากาศที่เย็นลงทำผมรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว รวมถึงการเดินทางด้วยรถสาธารณะประจำทางเป็นไปอย่างลำบากกว่าเดิม

มันไม่ใช่การเริ่มต้นวันที่ดีเท่าไหร่ ผมได้แต่ภาวนาขอให้สายฝนช่วยชะล้างความโชคร้ายและให้ได้งานทำสักที

หยดน้ำฝนที่เย็นฉ่ำตกกระทบร่มในมือก่อนจะตกกระทบลงพื้นกระจายเป็นวงกว้าง รถติดกว่าที่คิด จากที่พักมาถึงปลายทางใช้เวลานานกว่าปกติเกือบยี่สิบนาที ไม่นับรวมกับที่ผมต้องมายืนติดแหง็กอยู่ตรงป้ายรถเมล์เก่าๆ เกือบสิบนาที โชคดีที่ยังพอจะมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อย

ย่านผู้ดีเก่าในกรุงเทพ…

แม้จะรู้ล่วงหน้าจากแผนที่ว่าเป็นย่านคนมีเงินแต่พอเอาเข้าจริงผมยิ่งกังวลและประหม่า

ทันทีที่ฝนเริ่มซาลง ผมไม่รอช้าที่จะขยับเท้าเดินทางไปบ้านหลังตามนัด สอดสายตามองสำรวจบ้านหลายหลังที่เดินผ่าน รถราคาแพงหลายคันที่ขับสวนทางเป็นระยะบนถนนคอนกรีตเรียบเสมอกันอย่างดี บรรยากาศเงียบสงบเป็นส่วนตัว ไม่วุ่นวาย ไม่จอแจด้วยผู้คน แตกต่างจากที่ผมอยู่อย่างสิ้นเชิง

ผมก้มมองสำรวจตัวเองอีกครั้ง…ครั้งที่สิบ

เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีดำ ชุดที่คิดว่าสะอาดและดูดีที่สุดในตู้เสื้อผ้า บางทีเขาเห็นผมแล้วอาจเปลี่ยนใจอยากได้คนที่ดูคล่องแคล่ว เป็นมืออาชีพ มีประสบการ์สูงมากกว่านักศึกษาธรรมดา ตัวผอมแห้งเหมือนไม่มีแรงอย่างผมก็ได้

ผมรู้ว่าควรจะมั่นใจในตัวเองแต่ชีวิตหลายปีที่ทำงานก็ใช่ว่าจะเจอแต่นายจ้างที่ดี สัจธรรมบนโลกใบนี้สอนให้เราเรียนรู้ คนบางคนไม่ได้ใจดีและหวังดีกับเรามากขนาดนั้น

แผนที่ในโทรศัพท์ถูกยกขึ้นมาดูอีกครั้ง ตำแหน่งที่ตั้งที่ถูกแนบมากับอีเมลค่อนข้างละเอียดชัดเจน บ้านประตูรั้วไม้ทึบอยู่สุดซอยทางตันแยก 13 ใช้เวลาเดินจากต้นซอยราวๆ 5-10 นาที

ไม่แย่เท่าไหร่ ผมหมายถึงแถวนี้ก็ไม่ได้อยู่ในซอยเปลี่ยวหรือลึกจนลับตาคนอย่างที่นึกกลัว ความจริงผมเองก็กังวลเลยบอกกับทัพเอาไว้ว่าตัวเองไปสัมภาษณ์งานที่ไหน เผื่อมีอะไรขึ้นมาจะได้ตามหาผมเจอ

ถึงผมใกล้จะอดตายก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่กลัวตาย จริงไหม

ทว่าผมคงต้องคิดใหม่

เมื่อหยุดยืนหน้าบ้านเลขที่ 9

ผมแหงนหน้ามองประตูรั้วไม้ทึบและกำแพงบ้านที่สูงเกือบสองเมตรอย่างระงับอาการสั่นไหวในใจ มันสูงเสียจนบดบังตัวบ้านจากสายตาของคนภายนอกอย่างมิดชิด บ้านสีขาวหลังใหญ่ข้างในถูกปกคลุมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ราวกับถูกซ่อนเอาไว้

หากไม่สังเกตก็คงไม่เห็น

ฝนหยุดตกแล้ว ผมยังยืนละล้าละลังอยู่ที่หน้าประตูรั้วใหญ่ ทุกอย่างเงียบสงบจนชักไม่แน่ใจว่ามาถูกบ้าน ผมไม่มีแม้แต่เบอร์โทรติดต่อเพื่อโทรแจ้ง อีเมลมีรายละเอียดแค่วันและเวลา สถานที่นัดหมายก็เท่านั้น

แต่ยังไม่ทันที่จะได้หันไปมองรอบๆ เพื่อหาอะไรสักอย่างเช่นกริ่งประตู เสียงอินเตอร์คอมไร้สายตรงกำแพงไม่ไกลจากที่ยืนอยู่ก็ดังขึ้นพอดี







(…เข้ามาได้เลยครับ)







เป็นเสียงทุ้มๆ ของผู้ชายคนหนึ่ง…

พร้อมกับเสียงดังคลิกเบาๆ ที่ประตูรั้วเล็กเหมือนกับถูกปลดล็อกราวกับเป็นคำอนุญาตให้เข้าไปข้างใน สถานที่ไม่คุ้นชินทำท้องไส้ของผมปั่นป่วนพร้อมๆ กับความหวังที่จะได้งานจากบ้านหลังใหญ่โอ่อ่าค่อยๆ หดเล็กไป

ผมผลักประตูเล็กเข้าไปเหมือนกับอลิซในดินแดนมหัศจรรย์

ทุกอย่างหลังประตูให้ความรู้สึกราวกับหลุดเข้ามาอยู่ในหนังสือแต่งบ้านและสวน ผมมองสวนขนาดใหญ่ซ้ายมือ มองสนามหญ้าสีเขียวบริเวณหน้าบ้าน ความสวยงามและกว้างขวางทั้งหมดถูกซ่อนไว้หลังกำแพงสูงใหญ่ จนอดไม่ได้ที่จะคิดภาพการตั้งแคมป์นอนดูดาวนอกบ้านคงได้บรรยากาศเหมือนมาพักค้างแรมรีสอร์ทไม่มีผิด

ยังไม่นับพื้นคอนกรีตพิมพ์ลายขัดมันอย่างดีที่ทอดยาวไปถึงโรงจอดรถกับชานหน้าบ้านขนาดใหญ่ ทั้งร่มเงาและความเย็นจากต้นไม้ใหญ่ที่ปกคลุม มีรั้วรอบขอบชิดสูงจนเรียกว่าเป็นบ้านส่วนตัวที่ตัดขาดจากความวุ่นวายภายนอกโดยสมบูรณ์แบบ

ผมยืนมองด้วยความคิดหลายอย่างประดังประเดเข้ามาในหัว บางทีงานเขียนของเขาอาจเป็นแค่งานอดิเรก รองจากงานธุรกิจร้อยล้านอะไรสักอย่าง

ความเงียบรอบตัวที่ไม่มีใครเดินออกมามองคนแปลกหน้าอย่างผมเลยสักคน ทำให้ผมต้องกึ่งเดินกึ่งจ้ำเท้าเพราะกลัวจะโดนหาว่ามายืนด้อมๆ มองๆ ไม่ต่างกับโจร

ประตูหน้าบ้านเป็นกระจกกรอบไม้บานใหญ่สูงจากพื้นจรดเพดาน มันถูกปิดไม่ให้มองเห็นด้านในด้วยม่านสีครีม เห็นแค่เพียงไอเย็นที่ขึ้นเกาะบนกระจกที่พอจะทำให้รู้ว่ามีคนเปิดแอร์อาศัยอยู่เท่านั้น

มือทั้งสองข้างผมชื้นไปหมด ความประหม่าแล่นไหลผ่านไปทั่วทั้งตัว

ผมสูดหายใจเรียกความกล้าทั้งหมด ถ้ากลัวก็คงมีแต่จะอดตาย

ก๊อกๆ

“ขอ..อนุญาตนะครับ”

ผมผลักประตูเข้าไปข้างในบ้านอย่างเบามือที่สุด บ้านเงียบเชียบ.. ไม่มีใครนั่งอยู่ตรงห้องโถงรับแขก ไม่ใครเลยสักคน สัมผัสได้เพียงความเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศปะทะผิวพร้อมกับกลิ่นก้านหอมลอยมาแตะจมูก

ผมไม่อยากจะเสียมารยาทแต่บรรยากาศชักทำผมนึกถึงเรื่องผีหลายๆ เรื่องที่เคยฟัง

“นั่งรอก่อนนะคะ”

“ครับ?” ผมสะดุ้งเกือบสุดตัว หลังจากเหยียบพื้นโถงทางเดินเข้าบ้านอย่างเงอะงะ หันไปเจอคุณป้าที่เดินออกมาจากด้านหนึ่งของบ้านอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ผู้หญิงวัยกลางคนห้าสิบเศษๆ แต่งกายด้วยชุดแม่บ้านสีครีม ท่าทางสุภาพ หน้าตากับรอยยิ้มใจดีทำผมอุ่นใจขึ้นมานิดหน่อย

อย่างน้อยก็ไม่ยืนเคว้งคว้างไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงดี

“คุณเขาติดสายคุยงานอยู่ค่ะ อีกสักครู่น่าจะลงมา”

“ครับ ขอบคุณมากนะครับ” ผมยิ้มตอบ ไม่สามารถหยุดอาการประหม่าของตัวเองได้ นั่งบนโซฟาสีเข้มราคาแพงอย่างระวัง ยกมือขอบคุณหลังจากที่คุณป้าวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะตรงหน้า เธอมองหน้าผมแล้วยิ้มอย่างใจดี

“ทำตัวตามสบายนะคะ”

“..ครับ” ผมอ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง มองแผ่นหลังของคุณป้าที่เดินกลับไปทางเก่า คุณป้าดูใจดีราวกับผมเป็นแขกมาติดต่องานมากกว่าคนมาของานทำ

แต่ผมไม่รู้จะทำตัวตามสบายในบ้านที่กว้างขวาง โอ่อ่าและแอร์เย็นเฉียบขนาดนี้ได้ยังไง ผมห่อตัวลงกับเสื้อเชิ้ตบางๆ ของตัวเอง หวังให้มันช่วยสร้างความอบอุ่นก่อนจะหันมองสำรวจรอบบ้านอย่างถือวิสาสะ อย่างไม่รู้ว่าควรทำอะไรฆ่าเวลารอดีนอกจากการมอง

สวนภายนอกได้รับการตกแต่งอย่างดีมากแค่ไหน ภายในบ้านก็เป็นไปอย่างที่คิด บางทีอาจจะมากกว่าที่ผมคิดนิดหน่อยด้วยซ้ำ ชั้นหนังสือบิวอินท์ติดผนังสูงจรดเพดานสะดุดตา

ร้อยเล่ม.. ห้าร้อยเล่ม.. เยอะมากพอที่จะบอกว่าเจ้าของบ้านเป็นพวกรักการอ่านไม่ก็นักสะสมหนังสือ หรืออาจจะไม่แปลกที่คนในบ้านหลังนี้เองก็เป็นนักเขียน

ทุกอย่างในบ้านราวกับเปิดกูเกิ้ลหาภาพเพื่อเป็นเรฟตกแต่งบ้าน ผมมองเพดานสูงโปร่ง หน้าต่างบานใหญ่ที่ถูกปิดด้วยผ้าม่านอย่างตื่นตาตื่นใจ ทั้งสวยงาม ทันสมัย กว้างขวางแต่ยังคงเรียบขรึมด้วยเฟอร์นิเจอร์สีเข้ม

ผมหยุดไม่ได้ที่จะมองสำรวจไปเรื่อย ทุกอย่างในบ้านเต็มไปด้วยความน่าสนใจ ไม่ว่าจะพื้นไม้ พรมนุ่มๆ ที่เท้า โซฟาสีน้ำเงินตัดกับโต๊ะไม้สีน้ำตาลและไฟสีส้มยิ่งทำให้บ้านดูอบอุ่นเป็นเท่าตัว ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างดี ไม่ใช่แค่เลือกซื้อตามใจแล้วนำมาวางรวมๆ กันเท่านั้น มันยังแสดงถึงรสนิยมของเจ้าของบ้านที่ไม่ใช่แค่หรูหราอึมขรึมอย่างเดียว

ถ้าผมมีเงินมากพอ ผมเองก็อยากมีบ้านแบบนี้สักหลัง

นานเกือบสิบห้านาทีที่ผมยังคงนั่งรออยู่บนโซฟาตัวใหญ่ แต่แล้วความเย็นฉ่ำจากแอร์ภายในบ้านทำผมต้องเสียมารยาทอีกครั้งด้วยการขยับตัวลุกขึ้นเดินก่อนที่จะหนาวสั่นทั้งตัว

ตู้โชว์หน้าทีวีจอใหญ่ถูกจัดเรียงด้วยหนังสือต่างประเทศกับตุ๊กตาเซรามิกขนาดเล็ก ดูค่อนข้างมีราคา น่าจะเป็นของสะสมจากการไปเที่ยวต่างประเทศอย่างที่ผมมักเห็นในบ้านคนมีเงินชอบสะสม บางอย่างดูเป็นของเก่าราคาแพง บางอย่างก็ดูเป็นของตกแต่งตามยุคสมัย

จนกระทั่งสายตาของผมหันไปสะดุดกับบางสิ่ง

รูปทรงคล้ายกับก้อนหิน ไม่สิ มันคล้ายกับคริสตัลใสขนาดประมาณสองนิ้ว ผิวสัมผัสขรุขระ ส่องประกายวิบวับ สวยจนผมเผลอยืนมองมันอย่างไม่ละสายตา ความยับยั้งชั่งใจเหมือนถูกกัดกินหายไปทีละนิด มันดึงดูดผมเสียจนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือหยิบมันขึ้นมามองใกล้ๆ

ผมชูมันขึ้นสูง... กลิ้งมันเล่นกับแสงไฟจนสะท้อนประกาย

ปรากฎให้เห็นฟองน้ำเล็กๆ เคลื่อนที่อยู่ข้างใน

มันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“ผลึกควอตซ์น่ะครับ ผมมีอีกหลายก้อนเลยถ้าคุณสนใจอยากดู”

“ขอโทษครับ”

ผมสะดุ้งสุดตัวรีบวางผลึกที่ว่าอะไรนั่นกลับลงที่เดิมอย่างกลัวความผิด แต่แล้วสิ่งที่ทำให้ผมตกใจกลับไม่ใช่การที่ถูกจับได้ว่าตัวเองได้ทำเรื่องเสียมารยาทลงไปแล้ว เพราะทันทีที่หันหลังกลับไปผมกลับพบว่าคนพูด ยืนอยู่ข้างหลังห่างกันไม่ถึงหนึ่งคืบดี ใกล้จนผมตกใจเซถอยหลังจนเกือบชนตู้โชว์

โชคดีที่มือใหญ่ยังคว้าต้นแขนผมเอาไว้ทัน

“ขอโทษที่ทำให้ตกใจครับ เห็นคุณดูท่าทางสนใจผลึกควอตซ์”

“มะ..ไม่..ครับ” ผมก้มมองพื้นอย่างเงอะงะ หาเสียงตัวเองแทบไม่เจอ ไม่ใช่ความผิดเจ้าของบ้าน ผิดที่ผมถือวิสาสะลุกมาหยิบจับของในบ้านโดยไม่ขอมากกว่า

ผมไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนเดินมายืนอยู่ข้างหลัง

ไม่รู้ตัวจริงๆ …

“ผมคงเสียมารยาทมากที่ให้คุณรอนาน”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้นานมากครับ” ..ผมต่างหากที่เสียมารยาท ผมนึกต่อในใจ เสียงทุ้มๆ ทำผมทั้งคลายกังวลทั้งตื่นตนก อย่างน้อยก็ไม่ได้มีน้ำเสียงตำหนิทั้งที่คนเสียมารยาทเป็นคนแปลกหน้าอย่างผม 

ผมโล่งใจที่ไม่โดนต่อว่าว่าเป็นขโมย

เขาปล่อยมือออกจากต้นแขนและขยับตัวถอยหลังให้ระหว่างเราได้มีพื้นที่หายใจมากขึ้น จังหวะนั้นเองที่ผมมีโอกาสเงยหน้ามองหน้าเขาชัดๆ ไม่ใช่แค่ปกคอเสื้อเชิ้ตสีดำหรือกางเกงสแล็คเข้ารูปรับสะโพกและขายาวๆ เท่านั้น

“ผมเจโรมครับ เจ้าของงานที่เรียกคุณอารัญมาสัมภาษณ์ในวันนี้”
















- tbc -



#หลงพระจันทร์
ฝากน้องอารัญกับคุณเจโรมไว้ในอ้อมอกด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2022 12:00:10 โดย x กระต่ายสีเลือด »

ออฟไลน์ cakecoco-boom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 201
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Re: หลงพระจันทร์ ☽ | บทที่ 1
«ตอบ #2 เมื่อ20-11-2021 20:01:02 »

รอตอนต่อไปนะคะ :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ x กระต่ายสีเลือด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0




[ หลงพระจันทร์ ]
Jerome x Arlan
- 2 -


















“ผมเจโรมครับ เจ้าของงานที่เรียกคุณอารัญมาสัมภาษณ์ในวันนี้”

ผมมองคนตรงหน้าแล้วนิ่งไปอย่างตกตะลึง เขาไม่ใช่ผู้ชายวัยห้าสิบหรือผู้หญิงวัยสี่สิบที่มีบุคลิก มีความมั่นใจในตัวเองสูงอย่างภาพวาดในหัวผมแม้แต่น้อย เรียกว่าห่างไกลในความคิดมากเลยทีเดียว

ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าอายุราวๆ สักสามสิบเศษ รูปร่างสูงสง่าผ่าเผย ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกายน่าค้นหา ผิวของเขาขาวจนผมมองเห็นเส้นเลือดฝาดจางๆ บนใบหน้าได้ในทันที เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำตัดผิวขาวจนเกือบซีดและกางเกงเข้ารูปรับกับหุ่นที่สูงใหญ่อย่างลงตัว

หากไม่นับรวมดาราที่เคยเห็นในทีวี คนตรงหน้าก็คงเป็นผู้ชายหน้าตาดีมากคนแรกที่ผมได้เห็นด้วยสายตาของตัวเอง

คุณเจโรมไม่ได้หน้าตาเหมือนคนต่างชาติหรือคนยุโรปเลยซะทีเดียว ถึงชื่อเขาจะให้ความรู้สึกแบบนั้นก็ตาม เขาดูออกไปทางลูกครึ่งเอเชียที่มีเสี้ยวฝั่งยุโรปเสียมากกว่า

ไม่รู้เหมือนกันว่าในหัวสมองของผมนึกชมคนตรงหน้าไปกี่ร้อยครั้ง แม้ผมไม่ได้นิยมชมชอบเรื่องการกำหนดกะเกณฑ์วัดความหน้าตาดีของใคร แต่คุณเจโรมคงจะเป็นผู้ชายในอุดมคติของใครหลายคนน่าดู เขาทั้งดูภูมิฐาน ทั้งท่าทีสุภาพสุขุม มีรอยยิ้มที่ชวนมอง

มีเสน่ห์ในความสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ

ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างในรอยยิ้มและท่าทีของเขา ไม่ใช่ว่าไม่น่าไว้วางใจ

แต่ผมก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร

“นั่งก่อนสิครับ”

ผมเม้มปาก ขยับเท้าตามหลังและนั่งบนโซฟาที่เดิม คุณเจโรมนั่งถัดออกไปอีกฝั่งด้วยท่าทางไม่ถือตัว

“สวัสดีครับ ผมอารัญครับ” ผมยกมือไหว้คนตรงหน้า พยายามข่มอาการเงอะงะ เมื่อรู้ตัวขึ้นมาว่ายังไม่ได้ทักทายเพราะมัวแต่ตกใจ

“ทำตัวตามสบายเถอะครับ ถือว่ามานั่งคุยเล่นกันก็ได้”

ผมคิดไม่ออกเลยจะทำตัวตามอย่างที่เขาว่าได้ยังไง

“มาไกลหรือเปล่าครับ”

“ไม่ไกลครับ" ผมตอบอย่างประหม่าก่อนจะรีบพูดต่อเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเรื่องระยะการเดินทางอาจมีผลต่อการรับเข้าทำงาน "ปกติใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีแต่วันนี้ฝนตก รถติดเลยนานนิดหน่อยน่ะครับ” 

“เดินทางไม่ลำบากใช่ไหมครับ”

“ไม่ครับ นั่งสายเดียวก็ถึงแล้วครับ”

“ดีครับ” คุณเจโรมยิ้ม ท่าทางสบายๆ ของเขากลับทำผมรู้สึกประหม่ามากกว่าเดิม ไม่รู้สิอาจจะเป็นเพราะบรรยากาศภายในบ้าน หรืออาจเป็นเพราะ..คุณเจโรม ทุกอย่างในตัวของเขา เริ่มทำผมตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ผิดที่ผิดทาง

“เรซูเม่ของผมครับ” ผมยื่นแฟ้มงานที่เตรียมเอาไว้ทันทีก่อนจะกำมือที่ชื้นจนเกือบเปียกของตัวเองเอาไว้

“คุณอารัญรู้รายละเอียดงานแล้วใช่ไหมครับ”

“ครับ”

“ผมเห็นในประวัติว่าเคยช่วยงานในโรงพิมพ์ด้วย พาร์ทไทม์เหรอครับ?”

“เปล่าครับ ไม่ใช่..งานพาร์ทไทม์” ผมเงียบไปชั่วครู่ราวกับทำเสียงตัวเองหายไปในอากาศ ไม่เป็นไร ทุกอย่างมันโอเค “แต่ก่อนบ้านเคยมีกิจการโรงพิมพ์น่ะครับ ส่วนคุณแม่เคยเป็นนักเขียนเก่า ผมเลยได้ช่วยงานบ่อยๆ แต่…นานมากแล้วครับ”

ผม...ไม่อยากจะพูดถึงอดีตมากนัก 

ผมเตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้ไว้มากมายในหัว แต่คงเป็นความโชคดีที่คุณเจโรมไม่ได้ถามอะไรต่อมากนัก เขาเพียงแค่พยักหน้ารับฟังแล้วก้มหน้าอ่านประวัติในมือเท่านั้น ผมเคยผ่านสัมภาษณ์งานมาก็มากแต่คนตรงหน้าคงเป็นคนแรกและคนเดียวที่ไม่ได้ซอกแซกถามต่อเรื่องกิจการของที่บ้าน บางทีมันอาจไม่ได้น่าสนใจอะไรแต่สำหรับบางคนก็ไม่ได้คิดเช่นนั้น

“คุณอารัญยังเรียนอยู่หรือเปล่าครับ”

“กำลังจะขึ้นปีสุดท้ายแล้วครับ ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างปิดภาคเรียนครับ”

“ถ้างั้นก็คงมาทำตามกำหนดเวลางานได้ไม่มีปัญหา” คุณเจโรมเงยหน้าขึ้นมอง ท่าทางจริงจังและมันยากที่ผมจะมองสบตาเขาตรงๆ โดยไม่หลบสายตา “คุณอารัญรู้ใช่ไหมครับว่าผมกำลังมองหาผู้ช่วยนักเขียน”

“ครับ”

“รู้เรื่องขอบเขตงานหรือยังครับว่าต้องทำอะไร”

“ช่วยคิดไอเดียงาน หาข้อมูล กับงานอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมาย..ครับ”

“พูดกันตรงๆ นะครับ” คุณเจโรมวางแฟ้มในมือลงบนโต๊ะ ผมรู้สึกถึงความกดดันแล่นเข้ามาประชิดตัว “นอกเหนือจากงานแล้วผมอยากได้คนที่พอจะช่วยจัดการเรื่องความสะอาดได้ด้วย”

“ความสะอาดเหรอครับ?” 

“ครับ แต่ไม่ใช่ว่าจะให้มาเป็นคนทำความสะอาดบ้านหรอกนะครับ" คุณเจโรมคลี่รอยยิ้ม "แค่ช่วยปัดฝุ่นหนังสือในห้องทำงานส่วนตัวกับห้องหนังสือ ผมมีหนังสือหลายเล่มที่ค่อนข้างต้องระวังเป็นพิเศษ คงจะดีถ้าได้คนที่เข้าใจมาดูแลพวกมัน ส่วนเรื่องเงินผมจะแยกพิเศษให้ต่างหาก คุณอารัญมีปัญหาเรื่องนี้ไหมครับ”

“ไม่มีครับ ผมทำได้ครับ” ข้อเสนอที่เพิ่มเงินพิเศษ ทำผมเผลอตอบเสียงดังจนดูเสียมารยาท ถ้าคุณเจโรมหมายถึงการทำความสะอาดเพิ่มเติมด้วย ไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะปัญหาอย่างเดียวของผมตอนนี้คือการไม่มีงานทำ ไม่มีเงินต่างหาก

“ครับ ดีใจที่คุณอารัญดูท่าจะชอบทำความสะอาดด้วย” รอยยิ้มและน้ำเสียงเชิงเย้าแหย่ของคุณเจโรมทำผมรู้สึกร้อนฉ่าไปทั้งหน้า

“ขอโทษด้วยครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบนะ คนที่ดูกระตือรือร้นแบบคุณอารัญ” คุณเจโรมยิ้ม เหยียดตัวตรงวางมือบนตักมองผมด้วยท่าทีจริงจัง ดูดีเสียจนเหมือนนักธุรกิจคุยงานใหญ่มากกว่าสัมภาษณ์งาน “แต่ว่ายังมีอีกเรื่องที่คุณอารัญต้องรู้เพิ่มอีกนิดหน่อยเกี่ยวกับงานของผม”

“…”

“ดูเหมือนคนที่ช่วยโพสต์งานให้ไม่ได้ระบุรายละเอียดสำคัญที่ควรใส่ลงไป ผมเลยต้องแจ้งให้คุณอารัญทราบก่อนถึงจะเสียมารยาทที่มาพูดเอาวันสัมภาษณ์ หวังว่าคุณอารัญคงจะไม่ถือสา”

“ไม่ครับ" ผมไหวหน้าทันที ขอแค่ได้งานเรื่องอะไรก็ไม่สำคัญนักหรอก "เรื่องอะไรเหรอครับ”

“ผมเป็นนักเขียนนิยายแนวอีโรติกครับ”

“…”

“ไม่แน่ใจว่าคุณอารัญจะสะดวกใจที่ต้องช่วยหาไอเดียให้งานแนวนี้ด้วยไหม”

“...อีโรติก?”

“ครับ นิยายอีโรติก”

ผมมองหน้าคุณเจโรมแล้วนิ่งไปอีกครั้ง โอเค ฟังไม่ผิดแน่นอน นิยายอีโรติก…ค่อนข้างอยู่เหนือความคาดหมายของผมไปมากเลยทีเดียว คนตรงหน้าดูเหมาะกับนิยายสืบสวนหรือนิยายปรัญชาอะไรแนวนั้นมากกว่าด้วยซ้ำแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมควรจะเอามาตัดสินเขาเลย

“คือผมไม่เคยทำแนวนี้มาก่อนเลยครับ” ผมยอมรับตรงๆ หลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง มันคงดีกว่าโกหกไปแล้วทำเขาเสียงาน ความมั่นใจอันน้อยนิดที่จะได้งานนี้หดหายจนเหลือศูนย์ “แต่ไม่ได้ลำบากใจถ้าได้ทำนะครับ”

“ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจใช่ไหมครับ?”

“ไม่ครับ”

“ทัศนคติเรื่องงานเพื่อให้งานเป็นไปตามทิศทางเดียวกันค่อนข้างสำคัญ ถ้าหากคุณไม่แน่ใจผมอยากให้คุณได้มีเวลากลับไปคิดเพราะทางเราเองก็ผิดที่ไม่ได้แจ้งผู้สมัครงานก่อน”

“ผมแน่ใจครับ”

ผมรับคำหนักแน่น

คุณเจโรมหยุดพูด เขามองผมอย่างพิจารณาอีกครั้ง

ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังทำท่าทางดูมั่นใจในตัวเองหรือดูอยากได้งานมากไปจนไม่น่าเชื่อถือหรือเปล่านะ

“คือ…ผมชอบอ่านเลยเลือกเรียนคณะอักษร ถ้าได้ทำงานหลายๆ แนวน่าจะเป็นการเรียนรู้ที่ดี ส่วนเรื่องแนวงานเขียน ผมเคยช่วยงานเพื่อนที่เป็นนักเขียนกับแนวพวกนี้บ่อย” ผมลังเลใจขึ้นมานิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ “แต่เอ่อ..เป็นนิยายชายรักชายครับ”

“ถ้างั้นคุณอารัญก็ไม่มีปัญหาเรื่องแนวชายชายด้วย?”

“..ครับ”

คุณเจโรมมองผมด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า หากผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองมากไป เขาดูค่อนข้างพอใจในคำตอบและผมเองก็ดีใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้แสดงสีหน้าหรือท่าทีอย่างที่ผมกลัว ผมไม่มีปัญหาเรื่องแนวนิยายและก็อยากทำงานกับคนที่มีทัศนคติเปิดกว้างเช่นกัน

ผมไม่ได้โกหกที่เคยช่วยงานเพื่อนเกี่ยวกับฉาก sex หรือแนวงานชายรักชาย ไม่ว่าจะแนวไหนมันก็คือผลงานศิลปะของการใช้ภาษาทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือจะอ่านเพื่อจรรโลงใจก็ตามแต่ทั้งหมดนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรหรอก ถ้าหากทางทฤษฎีผมได้คะแนนเก้าสิบ ภาคปฏิบัติผมคงติดลบร้อยเลยทีเดียว

“ดีครับ ถ้าอย่างนั้นนอกจากแนวงานที่ผมทำแล้วก็ยังมีอีกอย่างที่คุณอารัญจะต้องทำสัญญาลงนามเอาไว้ด้วย”

“ครับ?”

“ผมอยากให้คุณอารัญช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวของผม"

"..."

"ไม่พูดเรื่องงาน ไม่พูดเรื่องของผมกับใคร...แม้แต่คนสนิท ผมค่อนข้างหวงความเป็นส่วนตัวน่ะครับ หวังว่าคุณอารัญคงไม่มีปัญหาเหมือนกันใช่ไหมครับ?”

“ครับ ไม่มีครับ”

ผมไม่มีคำถามต่อในใจ ทุกอย่างคือคำตอบเมื่อคุณเจโรมได้พูดออกมา คำพูดและน้ำเสียงที่เหมือนเป็นคำสั่งกลายๆ และผมก็เข้าใจในทันที ไม่ว่าจะบ้านที่กำแพงสูงเหมือนถูกตัดขาดจากภายนอกหรือเรื่องรับงานเฉพาะผู้ชายเท่านั้น

คุณเจโรมคงจะเป็นนักเขียนประเภทเก็บตัว รักสันโดษหรืออาจมีหน้าตาในสังคมที่ผมไม่มีวันเข้าถึง

ผมไม่ควรรู้อะไรมากนัก นอกจากงานที่ได้รับมอบหมาย

“ทดลองงานหนึ่งอาทิตย์นะครับ ถ้าหากไม่ผ่านผมจะให้ค่าเสียเวลาคุณด้วย”

“ครับ?”

“วันจันทร์นี้สะดวกเริ่มงานเลยไหมครับ ทำงานวันละ 7 ถึง 8 ชั่วโมง หากงานไม่เสร็จคุณอารัญสามารถค้างคืนได้ใช่ไหมครับ”

ผมมองหน้าคุณเจโรมอย่างงุนงง การสัมภาษณ์งานเหมือนยังไม่ทันได้คุยอะไรมากเลยด้วยซ้ำ ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสเอาไว้ทันที

“สะดวกครับ ผมค้างคืนได้ครับ”

“ดีครับ ส่วนนี่เป็นหนังสือที่ผมเขียน คุณอารัญน่าจะลองเอาไปอ่านเพื่อรู้แนวการเขียนก่อนที่เราจะได้เริ่มทดลองทำงานด้วยกัน” คุณเจโรมหยิบหนังสือที่อยู่ใต้โต๊ะไม้ขึ้นมาสามเล่มแล้ววางลงตรงหน้าผม

“นิยายแปล?”

“ฉบับแปลไทยครับ น่าจะอ่านง่ายกว่า” คุณเจโรมอธิบาย ท่าทางใจดี “ผมเขียนนิยายภาษาอังกฤษส่งสำนักพิมพ์ต่างประเทศแต่คุณอารัญไม่ต้องช่วยเรื่องนั้น ผมแค่อยากได้ไอเดียดีๆ เพิ่มเติมเวลาคิดงานไม่ออก ช่วงนี้สมองมันไม่ค่อยรักดีเท่าไหร่”

แม้คุณเจโรมจะพูดจาติดตลก ผมกลับทำแค่เพียงเม้มปากเป็นเส้นตรง หยิบหนังสือตรงหน้าขึ้นมามองพร้อมกับความรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้องนับร้อยตัว ยังคงเป็นอีกเรื่องที่เหนือความคาดหมายของผม คุณเจโรมเป็นผู้ชายที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเท่และมีเสน่ห์มากจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงหน้าตา ทั้งท่าทางที่ไม่ถือตัวและความสามารถของเขา ไม่แปลกที่จะมีบ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้

แต่อาจจะแปลกก็ตรงที่เขาประกาศรับสมัครงานแบบทั่วๆ ไปและยอมรับคนไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้อย่างผมให้ทดลองทำงานด้วย

ใช่ ผมไม่มีแม้แต่ทักษะด้านภาษาอังกฤษที่ดีด้วยซ้ำ

“ไม่ต้องเครียดนะครับ ขอแค่คุณอารัญกระตือรือร้นอยากจะทำก็พอ”

“…”

“ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเขียนนิยายอีโรติกเหมือนกัน ทุกอย่างคงถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เหมือนที่คุณจะได้ทำงานนี้ด้วย”

ผมบีบหนังสือในมือจนแน่นราวว่ากับได้ฝากทั้งชีวิตไว้กับมัน ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยอ่านแต่ไม่เคยได้อ่านเพื่อศึกษาเรียนรู้อย่างจริงจังมากนัก การอ่านกับการมาเป็นผู้ช่วยในงานเขียนมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมหมายมั่นตั้งใจทำให้ดีแต่ก็ไม่รู้เลยว่าความจะมากพอต่อการทำงานนี้หรือไม่

“ขอบคุณมากครับ วันจันทร์ผมต้องมากี่โมงเหรอครับ”

“เวลานี้ก็ได้ครับ หรือถ้าวันไหนคุณอารัญอยากจะสายสักหน่อยก็โทรมา อ้อ ยังไม่มีเบอร์ใช่ไหมครับ งั้นจดเบอร์โทรไว้เผื่อมีอะไรจะได้โทรแจ้ง”

“ได้ครับ” ผมล้วงโทรศัพท์เครื่องเก่าๆ จากกางเกงอย่างเขรอะเขินเพราะโทรศัพท์ที่ใช้ทั้งเก่า ตกรุ่นมาหลายปีแถมยังหน้าจอแตกจนเกือบมองไม่เห็น ไม่มีอะไรเข้ากับบ้านราคาแพงหลังนี้เลยสักนิดเดียว ผมรีบกดเซฟเบอร์คุณเจโรมเรียบร้อยแล้วยัดเก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม

“วันทำงานเอาเสื้อกันหนาวมาก็ได้นะครับ ถ้าคุณหนาว”

“ขอบคุณครับ” ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำขาของผมตึงจนรู้สึกเจ็บเมื่อต้องเหยียดยืนตรงอีกครั้ง แต่มันก็ยังไม่มากเท่ากับตอนที่คุณเจโรมขยับเท้าเดินเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่เป็นประกายไม่ต่างกับผลึกควอตซ์ทำผมรู้สึกเหมือนโดนดึงดูดอีกครั้ง

“ผมดีใจที่ได้เจอคุณอารัญนะครับ”



































ช่วงเย็นของวันอาทิตย์ แทนทัพขับรถมาชวนผมออกไปกินข้าวที่ห้างใกล้ๆ กับหอพัก ถึงจะเกรงใจที่ทัพออกปากเลี้ยงข้าวเพราะผมยังไม่มีเงินมากพอจะจ่ายค่าข้าวมื้อละเป็นร้อยแต่ทัพก็ยังเป็นคนที่เก่งในเรื่องหว่านล้อมให้ผมไม่กล้าปฏิเสธคำชวนจนได้

ทัพเลือกร้านชาบูเล็กๆ ร้านประจำที่ชอบมากินกันบ่อยครั้งไม่ว่าจะเปิดเรียนหรือสอบเสร็จ ราคาไม่ได้แพงมากและนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมยอมตกลงออกมาด้วย

“ฉลองให้กับคุณอารัญที่ได้งาน” ผมหัวเราะขำ มองหน้าแทนทัพที่อารมณ์ดีกว่าคนได้งานอย่างผมเสียอีก

“ไม่เห็นต้องฉลอง หาเรื่องอยากกินเองมากกว่า”

“นานๆ ทีกินทีก็ต้องมีเรื่องฉลองหน่อยสิจะได้พิเศษ เมื่อวานไปสัมภาษณ์งานเป็นไงบ้าง ดีเปล่า?”

“ก็..ปกติดี เหมือนงานทั่วๆ ไป” ผมตักหมูในหม้อต้มขึ้นมาใส่จานไม่ยอมมองสบตาเพื่อน ผมไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับงานมากนัก อย่างที่รู้คุณเจโรมต้องการรักษาความเป็นส่วนตัวและผมก็จะรักษาสัญญาเช่นกัน

“ไม่ได้ไปรับงานอะไรแปลกๆ นะ?”

“งานอะไรที่ว่าแปลก” ผมมองเพื่อนทั้งรอยยิ้ม เข้าใจความหมายของแทนทัพแต่ก็แสร้งทำเป็นถามกลับ “ไม่รับงานแบบนั้นหรอก ไม่ใช่ว่าไม่กลัวสักหน่อย”

ผมตอบโดยที่ไม่แน่ใจว่าสำหรับแทนทัพหรือคนอื่นการช่วยงานเขียนนิยายอีโรติก นับเป็นงานแปลกไหมแต่สำหรับผมมันก็เป็นงานเขียนอย่างหนึ่ง

“ถ้าไม่ใช่งานแปลก กูก็สบายใจหน่อย ย่านนั้นมีแต่คนรวย ผู้ดีเก่าแก่ ถ้าเจอคนไม่ดีก็ต้องปฏิเสธนะไม่ใช่ฝืนทำต่อ”

“ได้ครับคุณแทนทัพ”

“คุณทัพเทิบอะไร เมื่อวันนั้นที่โทรไปอยู่ดีๆ สายก็ตัด กำลังจะบอกเลยว่าพี่ปุ่นเปิดร้านกาแฟแล้วอยากได้พนักงานเพิ่ม มึงน่าจะไปทำได้ พี่เขาเอ็นดูมึงจะตาย”

“สงสัยที่ห้องไม่ค่อยมีสัญญาณ ตอนนั้นอีเมลสัมภาษณ์งานมาพอดีเลยแต่ว่ายังต้องทดลองทำงานหนึ่งอาทิตย์นะ ไม่รู้ว่าจะได้งานจริงๆ ไหม”

ผมเองก็ชักไม่มั่นใจว่าตัวเองจะทำได้ดี

หลังจากที่กลับมาจากบ้านคุณเจโรม ผมเอาหนังสือนิยายที่ได้รับมาเปิดอ่านในทันที ตั้งใจจะดูแนวงานเขียน แม้จะเป็นฉบับแปลไทยมาอีกทีแต่ถึงอย่างนั้นเนื้อหาก็เป็นสิ่งที่คุณเจโรมเขียนไว้อยู่ดี

นิยายรักอีโรติก ไม่ใช่เพียงแค่เสนอฉากหวาบหวิวอย่างเดียว มีทั้งฉากบู๊ ฉากดราม่าที่นิยายเล่มนึงตัวเอกเป็นตำรวจสืบสวนคดี อีกเล่มเป็นนักธุรกิจสุดฮอต เนื้อเรื่องชวนน่าติดตาม ผูกปมชวนให้สงสัยอยากรู้ตอนจบจนผมเปิดอ่านถึงตีสาม

แน่นอนว่าบทสำคัญคงไม่พ้นเกี่ยวกับเรื่อง sex บางฉากก็วาบหวาม บางฉากก็เร่าร้อน ฉากบนเตียงที่เรียกว่าเหมือนพาตัวเองเข้าไปมีอารมณ์ร่วมอยู่ในนั้นด้วย ทำผมรู้สึกร้อนฉ่าไปทั้งหน้า ถึงอย่างนั้นก็ตั้งใจอ่านเพราะมันเป็นส่วนสำคัญที่ผมต้องเรียนรู้และเข้าใจ

ทว่ายังมีนิยายเล่มหนึ่ง…

ผมคิดว่ามันค่อนข้างต่างจากเล่มอื่นๆ เรียกว่าเป็นรสนิยมส่วนตัวชัดเจน เนื้อหาค่อนข้างดุดันและหยาบโล้น รวมถึง…อุปกรณ์ที่ใช้ตอนมีเซ็กส์

ผมไม่ได้ตัดสินว่าคนเขียนจะต้องเป็นอย่างนั้นซะทีเดียว

ไม่มีนักเขียนแนวฆาตกรต้องเป็นฆาตกรจริงๆ สักหน่อย

“มึงทำได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ไหวร้านกาแฟพี่ปุ่นก็ต้องอยากรับคนขยันอย่างมึงเข้าทำงานอยู่ดี อย่ากังวล ได้งานพี่ปุ่นทำแน่นอน”

“ขอบใจนะ” ผมยิ้ม แทนทัพพูดแบบนั้นผมก็เบาใจ ถ้าหากพลาดงานนี้ผมก็ดีใจที่จะได้ทำงานกับคนใจดีอย่างพี่ปุ่นแต่งานของคุณเจโรมก็เป็นสิ่งที่ท้าทายและไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับโอกาสดีๆ ผมเองก็อยากรู้ว่าตัวเองจะข้ามขีดจำกัดเรื่องงานไปได้ถึงขนาดไหนเหมือนกัน

“ว่าแต่งานที่ได้ เกี่ยวกับงานอะไรนะ เขียนนิยายใช่ไหม?”

“ก็ช่วยหาไอเดียการเขียนแหละ หาข้อมูลงาน คงจะมีให้ช่วยทำความสะอาดหนังสือบ้าง”

“อืมม ก็ดีนะ ถ้าได้งานนี้ตอนเรียนจบแล้วจะได้มีเรซูเม่ดีๆ” ผมพยักหน้า อีกแค่ปีเดียวก็จบแล้ว ถ้าได้งานตรงตามสายที่เรียนมาก็คงดี บางทีหลังจากจบงานนี้คุณเจโรมอาจมีคอนเนคชั่นแนะนำผมให้ไปทำงานอื่นต่อ หวังว่านะ

“แล้วเป็นอะไร ดูไม่ค่อยสดชื่น”

“ก็เปล่านะ อาจจะเหนื่อยมั้ง เมื่อคืนนอนฝันร้ายไปหน่อย”

“ฝันร้ายเรื่อง?” ผมเงยหน้ามองทัพ ลังเลใจที่จะเล่าขึ้นมาแวบนึง ไม่ใช่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่อยากเล่าอะไรหรอกแต่แค่..ไม่รู้สิ “ก็เล่าออกมาจะได้คลายเครียด ไม่เก็บไปคิดคนเดียวไง”

“ฝันไร้สาระน่ะ แค่..ฝันว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในบ้านหลังนึง”

“บ้านร้างเหรอ”

“เปล่า ไม่ใช่บ้านร้างแต่ไม่รู้บ้านใคร” ผมโกหกดื้อๆ รู้ทั้งรู้ว่าบ้านหลังนั้นคือบ้านของใคร ผมจำได้ไม่ผิดอย่างแน่นอน “เห็นภาพว่าตัวเองกำลังเดินเล่นในสวน สักพักสายตาก็หันไปเห็นว่ามีคนกำลังยืนมองอยู่หน้าบ้าน”

“ผี?”

ผมส่ายหน้า เอาตะเกียบเขี่ยหมูในถ้วย

ไม่รู้คิดผิดหรือคิดถูกที่เล่าออกมาให้แทนทัพฟัง มันเป็นแค่เรื่องไร้สาระแต่ตัวเองก็แอบสงสัยว่าทำไมถึงฝันเหมือนกัน

“ไม่ใช่ผีแล้วน่ากลัวยังไง ฝันว่าไปบ้านหลังนึงแต่ไม่ใช่บ้านร้าง หันไปเห็นคนยืนมองอยู่ก็ไม่ใช่ผีอีก”

“ก็พอหันไปเห็นตกใจก็เลยวิ่งหนีนั่นแหละ เคยวิ่งหนีในฝันไหม เหนื่อยเหมือนจริงเลย”

“เคยดิ ตอนฟังเรื่องผีแล้วเก็บไปฝันว่าวิ่งหนีผี ตื่นมาหอบอย่างกับวิ่งจริง” ผมหลุดขำ ความจริงทัพค่อนข้างกลัวผีแต่ก็ชอบฟังเรื่องอะไรพวกนี้มาก ซึ่งดูขัดกับบุคลิกคุณชายมาดเซอร์ของมันนิดหน่อย

“นั่นแหละ ไม่รู้ทำไมถึงวิ่งหนีเหมือนกันทั้งที่ในฝันก็รู้ว่าเป็นคน” ผมชะงักนิดหน่อยก่อนเล่าต่อ “แต่พอจะหนีออกประตู ประตูบ้านที่เหมือนว่าควรจะอยู่ตรงนั้นก็หายไป”

“…” ทัพแทบจะวางช้อนลง

“หันไปอีกที..ก็เจอคนที่เคยตรงหน้าบ้าน เขาย้ายมายืนอยู่ข้างหลังแทนแล้ว”

“ผี?”

“ก็บอกว่าไม่ใช่ผี” ผมหัวเราะ “ไม่รู้ว่าใคร..ก็ตื่นพอดีเลย แค่นั้นแหละ”

“ตอนแรกยืนอยู่หน้าประตูบ้านแล้วหันมาอีกทีเห็นว่ายืนอยู่ข้างหลัง จะไม่ใช่ผียังไง ดูก็รู้ว่าผี”

ใช่ ผู้ชายในฝันคนนั้นไม่ใช่ผีหรอก

แต่เป็น ‘คุณเจโรม’ ต่างหาก

ผมจำเขาได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ

ผมคิดว่าตัวเองคงจะตกใจกับเหตุการณ์ก่อนหน้าและคิดเรื่องงานก่อนนอนมากไปจนเก็บไปฝัน แต่สิ่งที่ติดใจคงมีเพียงเรื่องเดียว… ผมรู้สึกเหมือนว่าคุณเจโรมกำลังพูดอะไรบางอย่าง

บางอย่างที่ผมไม่ได้ยิน



















- tbc -
#หลงพระจันทร์

แม้เพิ่งจะถึงแค่ตอนที่ 2
แต่มีคนบอกรออ่านสักคนสองคนก็ดีใจมากแง้วค่า t-t
ขอบคุณมากนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2022 12:01:35 โดย x กระต่ายสีเลือด »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
รอๆตอนต่อไป :hao7: :hao3:

ออฟไลน์ x กระต่ายสีเลือด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0



[ หลงพระจันทร์ ]
Jerome x Arlan
- 3 -




















เช้าวันแรกของการทำงานอากาศอึมครึมเหมือนฝนจะตก ท้องฟ้าที่ไม่ปลอดโปร่งทำผู้คนออกไปทำงานด้วยสีหน้าเหนื่อยล้ากว่าทุกวัน ผมเผื่อเวลาออกจากห้องไวกว่าปกติราวๆ สามสิบนาทีและหยุดยืนอยู่หน้าบ้านเลขที่ 9 ตอนสิบโมงเช้าด้วยอาการใจเต้นไม่เป็นส่ำ

ความกังวลและความตื่นเต้นบีบรัดจนรู้สึกหายใจไม่สะดวก ความคิดในหัวก็พลันแล่นวูบอย่างแง่ร้ายว่าใครจะไปรู้ล่ะ บางทีผมอาจจะถูกไล่ออกตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทดลองงาน เพราะเผลอซุ่มซ่ามทำอะไรผิดพลาดหรือนายจ้างเริ่มรู้สึกคิดผิด อยากได้คนฉลาดมากกว่านี้แทน

ผมคิดวุ่นวายในหัวอย่างน่ารำคาญ สุดท้ายก็ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างเวทนาตัวเอง

จังหวะเดียวกับที่เสียงประตูรั้วเล็กปลดล็อกดังคลิกราวกับถูกตั้งอัตโนมัติรอเวลาผมมาถึง เป็นอีกครั้งที่หลังกำแพงสูงใหญ่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกยังคงทำผมรู้สึกเหมือนอลิซในดินแดนมหัศจรรย์ไม่ว่าจะทั้งความจริงหรือในความฝันก็ตาม…

บริเวณบ้านโดยรอบยังคงให้ความรู้สึกเงียบสงบ สนามหญ้าและสวนสวยได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ไม่มีแม้แต่เศษใบไม้ตกหล่นหรือร่องรอยความเสียหาย แม้ว่าเมื่อคืนที่ผ่านมากรมอุตุจะแจ้งถึงพายุฝนลมแรงกระจายทั่วกรุงเทพ

กว้างแค่ไหนกันนะ...

ผมพยายามคาดเดาพื้นที่ทั้งหมด หลังจากที่สังเกตเห็นว่าทางเดินของสวนทอดยาวเข้าไปบริเวณหลังบ้าน

แทนทัพเล่าให้ฟังว่าแถวนี้มีแต่บ้านผู้ลากมากดีมีเชื้อสาย ผืนที่ดินหลายร้อยไร่ถูกตกทอดเป็นมรดกเก่าแก่จากบรรพบุรุษไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน จนผมอดคิดไม่ได้ว่าบางทีคุณเจโรมอาจจะเป็นลูกหลานตระกูลดังหรือไฮโซในสังคมที่ผมเข้าไม่ถึง หากลองพิจารณาทั้งหน้าตาและการวางตัวของคุณเจโรมก็ดูจะเป็นคำตอบที่เป็นไปได้สำหรับการคาดเดาไปเรื่อยเปื่อย

ผมเคาะประตูกระจกบานใหญ่หน้าบ้านด้วยความรู้สึกไม่ต่างจากวันแรก ภายในบ้านยังคงเงียบเชียบ มีเพียงกลิ่นจากก้านหอมลอยอบอวลไปกับความเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศเหมือนเช่นเคย

“นั่งรอก่อนนะคะ” ผมหยุดยืนอยู่ตรงโถงทางเข้าบ้าน มองสบตาคุณป้าคนเดิม เธอยิ้มต้อนรับพร้อมแก้วน้ำเปล่าในมือราวกับภาพเดจาวู “คุณเขาติดสายคุยงานอยู่ค่ะ อีกสักครู่น่าจะลงมา”

“…ขอบคุณครับ”

ผมเจือรอยยิ้มตอบนั่งลงบนโซฟาราคาแพงตัวเดิม พลางหยิบเสื้อคาดิแกนสีน้ำตาลเข้มออกจากกระเป๋าสะพายและสวมใส่มันเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายทันที ผมไม่ค่อยชอบอากาศที่เย็นจัดนัก และคุณเจโรมคงจะมองออกถึงได้ออกปากบอกให้ผมพกเสื้อกันหนาวมาด้วยได้

ผลึกควอตซ์ยังคงวางอยู่ที่เดิม

มันเปล่งประกายระยิบระยับราวกับเรียกหา

ผมพยายามเมินเฉยต่อแรงดึงดูด ทำแค่นั่งมองมันจากโซฟาเท่านั้น ไม่กล้าที่จะลุกเดินเพ่นพ่าน แม้ว่าเจ้าบ้านไม่ได้ว่ากล่าวตำหนิอะไร ผมก็ละอายใจในความเสียมารยาทของตัวเองอยู่ดี

สิบนาทีผ่านไปผมยังคงนั่งนิ่งรออยู่ที่เดิม กระทั่งได้ยินเสียงฝนค่อยๆ รินเม็ดก่อนสาดเทลงมาอย่างหนัก ผมถือโอกาสผุดตัวลุกขึ้นเดินไปแง้มผ้าม่าน มองกลุ่มเมฆสีเทาและหยาดฝนเม็ดใหญ่ตกกระทบพื้นผ่านกระจกหน้าต่าง

โชคดีที่ฝนตกหลังจากที่ผมมาถึงที่ทำงานแล้ว หากตกไวกว่านี้คงไม่พ้นที่ต้องนั่งรถแท็กซี่ราคาค่าโดยสารแพงพอๆ กับข้าวสองสามมื้อ อันที่จริงเงินที่ผมเหลือจากการยืมแทนทัพแทบไม่พอค่ารถแท็กซี่ด้วยซ้ำ

“รอนานไหมครับ”

เสียงของคุณเจโรมเรียกให้ผมละสายตาจากฝนด้านนอก หันกลับมามองสบตากับเจ้าของบ้านที่กำลังก้าวขายาวๆ เดินมาหยุดยืนตรงข้าง เขาใช้มือใหญ่แหวกม่าน ทอดสายตามองออกไปไกลก่อนจะปิดมันลง

คุณเจโรมยังคงให้ความรู้สึกเหมือนวันแรกที่เจอไม่มีผิด

เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนแรงดึงดูดยิ่งกว่าผลึกควอตซ์นั้นด้วยซ้ำ

“...ไม่นานครับ”

“โชคดีนะครับที่คุณอารัญมาถึงก่อนฝนตก” คุณเจโรมระบายยิ้มมุมปาก เขายืนห่างไม่กี่คืบ ผมลอบมองริมฝีปากและสันจมูกคมอย่างห้ามใจตัวเองไม่ได้ “เห็นทีว่านอกจากเสื้อกันหนาวแล้ว ช่วงนี้คุณน่าจะต้องพกร่มมาเพิ่มด้วย”

“พรุ่งนี้ผมจะพกมาด้วยครับ” ผมรับคำอย่างเก้อเขิน หลุบตาลงกำชายเสื้อคาดิแกนที่ใส่จนแน่น แม้ข้างนอกฝนจะตกจนอากาศเย็นชุ่มฉ่ำแค่ไหน ทว่าภายในบ้านของคุณเจโรมยังคงเปิดเครื่องปรับอากาศจนเห็นไอน้ำเริ่มเกาะกันตรงขอบกระจกใส

“เชิญชั้นสองเถอะครับ วันนี้ผมจะให้คุณอารัญเริ่มงานง่ายๆ อย่างจัดหนังสือก่อน จะได้รู้ว่าเล่มไหนอยู่ตรงชั้นไหน เวลาผมต้องการให้ช่วยหยิบ”

“ครับ”

“สองสามวันนี้ผมยังมีธุระเรื่องงานอยู่ คงต้องให้คุณอารัญช่วยจัดการไปคนเดียวก่อนนะครับ”

“ไม่มีปัญหาครับ” ผมคว้ากระเป๋าสะพายเดินตามหลังคุณเจโรมออกจากห้องรับแขก รู้สึกเบาใจขึ้นมาที่อย่างน้อยวันแรกของการเริ่มทำงานผมคงไม่ถูกไล่ออกเพียงเพราะจัดหนังสือเข้าชั้นไม่เป็น

 

 

 

บ้านของคุณเจโรมกว้างขวางกว่าที่เห็นภายนอกมาก

หลังจากเดินพ้นประตูโค้งตรงห้องรับแขก ถึงได้เห็นว่าซ้ายมือมีประตูกระจกบานเฟี้ยมสูงจรดเพดาน กินพื้นที่ราว ๆ เกือบห้าเมตร มันถูกเชื่อมติดกับระเบียงไปยังพื้นที่พักผ่อนในสวนนอกบ้าน ส่วนขวามือเป็นห้องนั่งเล่นส่วนตัวและถูกกั้นกลางด้วยบันไดขึ้นชั้นสอง ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลือพื้นที่ของบ้านลึกเข้าไปด้านใน

 

 

 



 

 

 

 

“ชั้นสองมืดหน่อยนะครับ ผมยังไม่ได้เรียกคนงานให้ขึ้นมาเปลี่ยนหลอดไฟ”

คุณเจโรมหันมาบอกทันทีที่เดินขึ้นมาถึงด้านบน โคมไฟห้อยเพดานมีหลอดไฟติดเพียงหนึ่งในสี่ดวง ช่วงฝนตกฟ้าครึ้มมีแสงลอดผ่านจากทางหน้าต่างแค่เพียงเล็กน้อยแต่นั่นก็สว่างมากพอที่จะมองเห็นพื้นทางเดินและบริเวณโดยรอบ

ชั้นสองของบ้านคุณเจโรมแน่นขนัดไปด้วยของตกแต่งเก่าแก่ตามทางเดิน ไม่ว่าจะกรอบรูป ตู้ไม้ทรงวินเทจ แจกันดูมีราคาหรือรูปปั้นแกะสลักที่เหมือนเห็นได้ในพิพิธภัณฑ์ ถ้าให้เดาคุณเจโรมคงจะเป็นนักสะสมของเก่ามีค่าราคาแพงพอๆ กับหนังสือ

“ห้องนี้เป็นห้องหนังสือครับ” คุณเจโรมหยุดยืนที่หน้าห้องก่อนจะหันมองไปยังอีกห้องที่อยู่ติดกันตรงสุดทางเดินของบ้านพอดี “ส่วนห้องนั้นเป็นห้องทำงานของผม มีปัญหาอะไรก็เคาะเรียกได้ตลอด”

“ได้ครับ”

ห้องหนังสือที่บอกจะเรียกว่าห้องสมุดขนาดย่อมเลยก็ว่าได้ มันกว้างราว ๆ ห้องพักผมสองห้อง กำแพงรอบด้านถูกบิวอินท์ด้วยตู้ชั้นไม้สูงจรดเพดาน กลางห้องมีโต๊ะกลางกับโซฟาเบดที่ตอนนี้กลายเป็นที่วางหนังสือแทนที่นอนเล่น และหน้าต่างบานกว้างสามารถมองออกไปเห็นต้นไม้ขนาดใหญ่ด้านนอก

“ผมหาหนังสือไม่เจอเลยรื้อกระจัดกระจายไปหน่อย คงต้องใช้เวลาหลายวันแต่ไม่ต้องรีบหรอกนะครับ”

ผมพยักหน้ารับคำ มองกองหนังสือที่เกือบจะครึ่งของชั้นวางทั้งหมดถูกกองไว้กลางพื้นห้องและบนโซฟาเบด หนังสือที่คุณเจโรมหาคงจะเป็นเล่มสำคัญมากน่าดู แวบแรกผมนึกว่ามีพายุเข้าห้องเสียด้วยซ้ำ

“มีอะไรที่ผมต้องระวังเป็นพิเศษไหมครับ”

“ไม่มีครับ” คุณเจโรมยิ้ม ใช้สายตาคมมองตอบจนผมเป็นฝ่ายที่ต้องหลบสายตาเสียเอง “คุณอารัญแค่ช่วยเก็บใส่ชั้นตามรหัสข้างหนังสือก็พอ ต่อไปจะได้รู้ว่าต้องหยิบหนังสือจากชั้นไหน”

“ได้ครับ”

“ถ้าหากมีเล่มไหนที่อยากอ่านจะหยิบกลับไปก็ได้นะครับ”

“เอ่อ...ครับ” ผมกระดากอายเกินกว่าจะพูดตรงๆ เมื่อลองใช้สายตากวาดดูเห็นจะมีแต่หนังสือภาษาต่างประเทศเต็มไปหมด ออกจะเกินความรู้ความสามารถในการอ่านของผมไปหน่อย

“ตู้แรกขวามือเป็นหนังสือภาษาไทยครับ” คุณเจโรมยิ้มราวกับอ่านความคิดผมออก “ลองเลือกไปอ่านวันละเล่มสองเล่มจะได้ช่วยงานผมได้มากขึ้น”

“ขอบคุณมากครับ”

ถึงจะเกรงใจแต่หากคุณเจโรมว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่องาน ผมก็จะทำตามนั้น

“ผมยังมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องนึง”

“ครับ?”

“คุณอารัญแพ้ขนแมวไหมครับ”

ผมเอียงคอมองคุณเจโรมแล้วนิ่งไปชั่วครู่ สมองกำลังประมวลคำถามอย่างหนักว่าเรื่องการแพ้ขนแมวเกี่ยวกับการเข้ามาทำงานนี้ยังไงหรือแค่ถามเพื่อชวนคุยเท่านั้น แต่ดูเหมือนคำตอบของคำถามจะถูกเฉลยพอดีกับที่ผมมองเห็นบางอย่างกำลังเดินนวยนาดเข้ามาในห้อง

แมวดำ…?

ผมมองเห็นดวงตาสีเหลืองกลมโตคล้ายลูกแก้วก่อนที่จะทันสังเกตเห็นว่าเป็นแมวไทยสีดำตัวโตเต็มวัยด้วยซ้ำ มันเดินด้วยท่าทีคล่องแคล่ว สะบัดหางฟูใหญ่หยุดนั่งตรงข้างเท้าของคุณเจโรม

“ลูนครับ มาจากชื่อพระจันทร์ในภาษาฝรั่งเศส” คุณเจโรมยิ้ม มองผมเหมือนกับที่ลูนกำลังทำ “มันอยู่บ้านนี้ตัวเดียวตั้งแต่เด็ก คุณอารัญกลัวแมวไหมครับ ถ้าหากไม่ชอบ ผมจะได้พามันไปไว้ห้องอื่น”

“ไม่กลัวครับ” ผมตอบทันที สบตามองลูนอยู่อย่างนั้น ลังเลที่จะเอ่ยถามเสียงเบา “ผมขออุ้มได้ไหมครับ”

ลูนรู้เรื่องฉลาดเกินแมว

ราวกับฟังออกว่าผมกับคุณเจโรมพูดถึงอะไร มันเดินตากลมเข้ามาใกล้หลังจากนั่งนิ่งอยู่ใกล้เจ้าของนานสองนาน ผมสบสายตาคุณเจโรมที่พยักยิ้มเชิงอนุญาตก่อนก้มลงไปอุ้มมันเอาไว้ ขนของลูนนิ่มลื่นเหมือนแพรไหมและเย็นฉ่ำจากอากาศภายในบ้าน

“เคยเลี้ยงแมวมาก่อนไหมครับ”

“…เคยครับ” ผมสบตามองเจ้าตากลมสีเหลืองในอ้อมแขน “ตอนเด็กๆ ผมเคยเลี้ยงแมวไทยสีดำ แต่ก็เด็กจนเกือบจำความไม่ได้แล้วครับ”

“ท่าทางลูนจะชอบคุณ”

“แมวดำนิสัยเชื่องอยู่แล้วมากกว่าครับ”

“คงจะอย่างงั้น” ผมยิ้มตอบคุณเจโรม นึกถึงแมวตัวแรกที่แม่เป็นคนเลี้ยงเอาไว้ก่อนที่มันจะจากไปตามอายุขัย หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเลี้ยงสัตว์อีกเลย แค่เคยรับฝากสัตว์เลี้ยงเป็นบางโอกาสเท่านั้น

“จะให้ลูนอยู่เป็นเพื่อนก็ได้นะครับ”

ผมมองคุณเจโรมอย่างลังเล กลัวจะดูแลได้ไม่ดีพอจนเกิดปัญหา

“ลูนชอบมานอนห้องนี้บ่อยๆ มันก็คงอยากอยู่กับคุณ”

คุณเจโรมขอตัวกลับไปทำงานที่ค้างเอาไว้ต่อ

ทิ้งแมวตัวนุ่มอย่างลูนเอาไว้เป็นเพื่อนทำงาน ผมยกกองหนังสือออกจากโซฟาเบดทั้งหมดก่อนอุ้มลูนมานั่งตรงนั้น แม้ไม่ได้มีประสบการณ์เรื่องการเลี้ยงแมวมากมายแต่ลูนกลับว่านอนสอนง่ายจนผมอดยิ้มด้วยความสงสัยไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วที่มันว่าง่าย ไม่ขยับตัวไปไหนคงเพราะชอบนอนมากกว่า

ลูนทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายความกังวลและความประหม่าอย่างน่าประหลาด พูดกันตามตรงผมยังไม่สามารถทำใจให้ชินกับบรรยากาศของบ้านและคุณเจโรมได้เลย

ฝนข้างนอกยังคงตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย ผมยืนมองผ่านหน้าต่างในห้องหนังสือพลางสำรวจบริเวณสวนข้างบ้านอย่างสนใจ น่าเสียดายที่สภาพอากาศไม่แจ่มใสเท่าไหร่นัก บานกระจกจึงขุ่นมัวไปด้วยละอองฝนที่สาดเข้ามา

ผมตัดใจและเริ่มลงมือเก็บหนังสือในห้อง เรียนรู้วิธีจากหนังสือที่ยังวางอยู่ในชั้น ทุกเล่มมีสติกเกอร์เล็กๆ เขียนเลขติดเอาไว้ตรงสัน แค่นำกลับไปตามเลขชั้นของมันไม่มีอะไรที่ยุ่งยาก คงจะมีแค่การก้มๆ เงยๆ พยายามจัดเรียงทุกอย่างอยู่ในระเบียบ ไม่ว่าจะความหนาเล่ม ความสูงของเล่มที่ทำผมมึนหัวไม่ใช่น้อย

หนังสือเกือบทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษ มีบางเล่มที่ผมพอจะอ่านออกแต่บางเล่มก็ดูเหมือนจะเป็นภาษาที่ไม่สามารถเข้าใจได้เลย ผมเริ่มตระหนักถึงความรู้ในหัวตัวเองอย่างจริงจัง หลังจากเรียนจบ มีงานประจำมีเงินเดือนแล้ว ผมคงต้องไปลงคอร์สเรียนภาษาสักที

ช่วงเช้าหมดไปกับการเก็บหนังสือเข้าชั้นวาง แม้คุณเจโรมจะบอกว่าไม่ต้องรีบแต่ผมก็ไม่กล้าทำงานเอื่อยเฉื่อย ใช้เวลาจัดการกองหนังสือจนข้ามวันข้ามคืน ต่อให้มันจะเยอะจนผมคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักสองวันเลยก็ตาม

เมื่อถึงเวลาเที่ยงตรงคุณป้าแม่บ้านคนเดิมขึ้นมาตามให้ผมลงไปทานอาหารที่เตรียมเอาไว้ แม้ใจจริงอยากจะตั้งใจทำงานยาวจนถึงเย็น ก็เกรงจะโดนตำหนิว่าไม่รู้จักเวล่ำเวลาว่าตอนไหนควรพักหรือควรทำอย่างที่แทนทัพบ่นบ่อยๆ ผมจึงเดินตามลงมายังชั้นล่าง นึกดีใจที่ตัวเองได้งานที่ให้ทั้งค่าเดินทางพร้อมข้าวมื้อเที่ยง

ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล่อง ข้าวราดแกง อาหารอะไรผมก็ทานได้ทั้งนั้น ผมนึกคิดไปเรื่อยว่าคงจะได้ไปทานกับคุณป้าหรือไม่ก็คนสวนที่ยังไม่ได้เห็นหน้าสักที

ทว่า…ผมคิดผิด

“นั่งสิครับ”

ผมเม้มริมฝีปากแน่น ความอึดอัดใจก่อตัวขึ้นในอกอย่างฉับพลัน มองคุณเจโรมที่นั่งรออยู่ในห้องอาหารอย่างพยายามเก็บอาการ เขามองผมด้วยรอยยิ้มเชื้อเชิญแม้ว่าผมจะยังยืนตัวตรงไม่ขยับ

“หรือคุณอารัญไม่อยากทานข้าวกับผม”

“เปล่าครับ” ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ มองคุณเจโรมที่เอ่ยน้ำเสียงเชิงหยอกล้ออย่างขบขัน สบตามองเหมือนบอกให้ผมนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตรงข้ามเสียที

“ผมไม่ใช่คนแบ่งเจ้านายกับลูกน้องขนาดนั้นหรอกครับ ทานข้าวด้วยกันจะได้อร่อยมากขึ้น”

“แต่…”

“นั่งเถอะครับ”

ผมเลื่อนเก้าอี้นั่งลงอย่างว่าง่าย พ่ายแพ้ต่อสายตาของคนตรงหน้าอย่างสมบูรณ์แบบ

ผมทำงานมาก็มาก ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเจอเจ้านายใจดีอย่างคุณเจโรมแต่สถานที่และบรรยากาศรอบบ้าน แม้แต่ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังทำตัวไม่เหมาะไม่ควร อยู่ผิดที่ผิดทางจนน่าอึดอัด

สุดท้ายแล้วความหิวก็ทำให้ผมสนใจแต่อาหารตรงหน้า ที่ผ่านมาผมต้องเจียดเงินใช้จ่ายอย่างประหยัด กินมื้ออดมื้อเพื่อจะได้ไม่หิวมากไปจนตาลาย ครั้งสุดท้ายที่ได้กินอาหารหลากหลายบนโต๊ะคงเป็นตอนที่แทนทัพชวนไปกินข้าวที่บ้านหลายเดือนก่อน

“อร่อยไหมครับ”

“อร่อยมากครับ” ผมยกมือบังปาก พยายามจะไม่รีบร้อน ไม่ตักข้าวเยอะจนเสียมารยาทแต่กับข้าวก็อร่อยจนไม่มีจานไหนเลยที่รู้สึกว่าทานแล้วไม่ถูกปาก ผิดกับคุณเจโรมที่ดูจะทานน้อย ค่อยๆ ทานเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างผู้ดี

“ป้านวลคงดีใจ” คุณเจโรมยิ้ม ยังคงเป็นคุณป้าคนเดิมที่ก้าวเข้ามารินน้ำในแก้วพร้อมกับรับคำชม ผมเจือยิ้ม กลืนข้าวลงคอด้วยความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่หิวโซแล้วบังเอิญมาเจอคนใจดีให้ข้าวทาน

อาหารบนโต๊ะถูกเก็บไปจนหมด เมื่อเจ้าของบ้านอย่างคุณเจโรมไม่ลุก ผมก็ได้แต่นั่งทำตัวไม่ถูกจนกระทั่งผลไม้จานเล็กๆ ถูกวางตรงหน้า ความเกรงใจท่วมล้นจนผมต้องออกปากพูดถึงจะรู้ว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก

“จริงๆ ไม่ต้องมีมื้อเที่ยงให้ผมก็ได้นะครับ” ผมบอกเสียงเบา บางทีกับลูกจ้างคนอื่นๆ คุณเจโรมคงจะใจดีแบบนี้ด้วยเหมือนกันแต่สำหรับผม.. ผมกลับรู้สึกว่ามันมากไปหน่อย

“ทำไมเหรอครับ อาหารไม่ถูกปาก?”

“ไม่ครับ” ผมรีบส่ายหน้า “คือ… ผมออกไปทานข้างนอกน่าจะไม่เป็นการรบกวนมากกว่า”

“ข้างนอกตรงไหนเหรอครับ” คุณเจโรมย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่ยากจะจับอารมณ์ มือใหญ่ใช้ส้อมจิ้มซีกแอปเปิลบนจานจนได้ยินเสียงดังกึก “แถวนี้ไม่มีร้านอาหารหรอกครับ”

“ผมเห็นตรงปากซอย…”

“ช่วงนี้ฝนตกทุกวัน ออกไปข้างนอกกลับเข้ามาคงต้องใช้เวลา”

ผมสบตามองแววตาและรอยยิ้มเรียบๆ ของคุณเจโรม ความรู้สึกเหมือนกับโดนไล่ต้อนให้จนมุมด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง

“ผมเข้าใจว่าคุณอารัญลำบากใจแต่อย่าคิดมากเลยครับ” คุณเจโรมยกน้ำขึ้นดื่ม เอ่ยด้วยท่าทีเรียบเฉยราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก “ผมรับใครมาทำงานที่บ้านก็อยากชวนทานข้าวไป คุยเรื่องงานไปด้วยตามปกติ”

“...”

“ใช่ไหมครับป้านวล”

“ใช่ค่ะ คุณอารัญอย่าคิดมากเลยค่ะ”

“ครับ...เข้าใจแล้วครับ”

ผมมองไม่ออกเลยว่าจะไม่ทำตัวให้คิดมากได้ยังไง....

 

 

 

 

 

 

 



- tbc -
ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านนะคะTT #หลงพระจันทร์

ออฟไลน์ x กระต่ายสีเลือด

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0




[ หลงพระจันทร์ ]
บทที่ 3 : ฟ้าหลังฝน
















“สรุปแล้วคือ...อยากจะลาออก?”

“ไม่ใช่แบบนั้น”

ผมถอนหายใจกอดเข่าตัวเอง มองแทนทัพผ่านหน้าจอโทรศัพท์ที่ทั้งเก่าและแตกด้วยความรู้สึกกลุ้มใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน วันแรกของการทำงานที่ควรจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีผมกลับทำทุกอย่างพังไม่เป็นท่า

หลังจากมื้ออาหารที่แสนอึดอัดจบลง คุณเจโรมกลับไปจัดการธุระต่อ ส่วนผมเหลืองานกองโตที่อาจจะต้องใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายหมดไปกับการเก็บหนังสือเข้าชั้น ลูนยังคงนอนบิดขี้เกียจอยู่ในห้องไม่ไปไหน ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร... แม้ว่าบรรยากาศระหว่างมื้ออาหารจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

กระทั่งคล้อยบ่ายแก่ คุณป้าเดินขึ้นมาแจ้งกับผมว่าคุณเจโรมมีธุระด่วนต้องออกไปข้างนอกและจะกลับเข้ามาอีกทีตอนค่ำจึงอนุญาตให้ผมเลิกงานก่อนเวลาเกือบชั่วโมง ทว่าเมื่อผมเอ่ยขอเลิกตามเวลาปกติเพื่อจัดการหนังสือตรงหน้า คุณป้ากลับยืนกรานตามคำสั่งที่ได้รับ

วินาทีนั้นเองที่ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจ...

ผมทำอะไรพลาดไปหรือเปล่านะ

“แค่รู้สึกเหมือนว่าจะโดนไล่ออกต่างหาก” ผมตอบอย่างหวั่นใจ นึกถึงงานที่ตัวเองได้รับมอบหมายให้ทำอย่างไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

[เขาพูดหรือเปล่าว่าจะไล่ออก]

“ไม่ได้พูด…”

[ถ้าเขายังไม่ได้พูด จะคิดมากทำไม ไอ้เราก็นึกว่าเขาโทรมาบอกว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงานแล้ว แค่เขาบอกให้เลิกงานก่อนเวลาเอง]

“ก็ไม่รู้สิ เราทำเรื่องเสียมารยาทในโต๊ะอาหารขนาดนั้น มันก็ดูน่าไล่ออกไม่ใช่เหรอทำตัวเป็นคนเรื่องมากน่ะ”

ผมเล่าให้แทนทัพฟังเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเรื่องที่คุณเจโรมชวนทานอาหารหรือเรื่องความไม่สบายใจทุกอย่าง ผมหยุดความกังวลในใจไม่ได้เลย พยายามค้นหาคำตอบว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหนเพื่อจะได้กลับไปแก้ไขมันในพรุ่งนี้

แม้แทนทัพจะยืนยันว่าไม่มีใครโดนไล่ออกจากงานเพียงเพราะปฏิเสธการทานข้าวร่วมโต๊ะก็ตาม แต่ผมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ดี คุณเจโรมอาจไม่พอใจก็ได้ใครจะไปหยั่งรู้

“อย่างแรกเลยนะต้องหยุดความคิดมากในหัวตัวเองให้ได้ก่อน” แทนทัพพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “มึงยังไม่ได้ทำงานผิดพลาดร้ายแรงเลยและถ้าเขาอยากจะไล่ออก คงบอกตรงๆ ไม่มาเสียเวลาหรอก คนอยากสมัครงานนี้เยอะแยะไม่ใช่เหรอ”

“อือ”

“เรื่องกินข้าวก็อีก คนรวยไม่ถือตัวก็มีเยอะไป ดูพ่อกูดิ เรียกลุงขับรถดวลเหล้ากันบ่อยจะตายไป”

“เหรอ...”

“หรือถ้าไม่สบายใจจะลาออกไหมล่ะ”

“ทำแบบนั้นได้ที่ไหน ยังต้องใช้เงินอยู่นะ”

ผมทำหน้าจ๋อยจนแทนทัพหัวเราะเสียงดัง หากไม่ใช่ว่าเงินค่าจ้างจากงานของคุณเจโรมเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายแล้ว ผมคงจะไม่กระวนกระวายใจ คิดมากกลัวทำงานผิดพลาดขนาดนี้หรอก เงินจำนวนนั้นมากพอที่จะจ่ายค่าเทอมกับค่ากินไปได้อีกหลายเดือน

“อย่าคิดมากเลย ได้เจอเจ้านายใจดี เขาคงเอ็นดูแหละเห็นเด็กนักศึกษามาฝึกงานด้วย ตัวผอมแห้งคงอยากให้กินข้าวเยอะๆ”

“ไม่ได้ผอมขนาดนั้นสักหน่อย” พอเห็นแทนทัพยิ้มแซว ยืนยันหนักแน่นว่าทุกอย่างไม่น่ากังวล ผมก็เริ่มยิ้มออกได้บ้าง “โอเค ถ้าทัพว่างั้น เราก็จะพยายามไม่คิดมาก”

“ดีมาก ทำใจให้สบาย ควรจะดีใจไม่ใช่เหรอเจอเจ้านายใจดี ถ้าเจอเจ้านายชอบเอาเปรียบสิต้องกลุ้มใจ เหมือนไอ้เหี้ยนั่น”

“มันก็ดีใจอยู่หรอกแต่ก็แอบกังวล”

ผมถอนหายใจ จริงอย่างที่แทนทัพพูด ที่ผ่านมาผมเคยเจอเจ้านายเบี้ยวค่าจ้างจนต้องไปร้องไห้ยกมือไหว้ขอให้จ่ายเงินด้วยซ้ำ หักยิบย่อยจนแทบไม่เหลือเงินกิน ผิดกับคุณเจโรมที่มีน้ำใจ การหยิบยื่นให้ใครคงไม่ใช่เรื่องใหญ่นักหากมีเงินทองมากมาย

“เข้าใจแหละว่าคนใจดีบางทีก็น่ากลัว ระวังตัวเอาไว้ก่อนถูกต้องแล้ว ว่าแต่เขาไม่ได้ดูเป็นแบบนั้นใช่ไหม”

“แบบไหน?”

“แบบพวกหื่นกาม ชอบลวนลามลูกจ้างไง ไอ้พวกนี้นะนัดไปทำงานวันแรกก็ออกลายแล้ว”

“บ้า ไม่ใช่” ผมรีบไหวหน้าปฏิเสธ “เขาก็...ดูสุภาพดี”

“ถ้าดีแล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น” แทนทัพขมวดคิ้ว ขยับตัวมามองผมผ่านหน้าจอโทรศัพท์ มันชอบบอกว่าเวลาผมดีใจหรือเจอเรื่องไม่สบายใจ ชอบแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าทุกที

“ไม่รู้สิ บอกไม่ถูกเหมือนกัน เขาดูเป็นคนใจดีอยู่นะ...” ผมตอบอย่างไม่เต็มเสียงเท่าไหร่ คุณเจโรมไม่ใช่คนประเภทที่ดูเหมือนจะมีเล่ห์เหลี่ยมอะไร ออกจะสุภาพชวนให้ลำบากใจด้วยซ้ำ แต่ผมแค่รู้สึก…เหมือนมีอะไรสักอย่างที่อธิบายไม่ถูก

“ก็พยายามเว้นระยะห่างไว้ เขาใจดีก็รับไว้อย่าคิดมาก แต่ถ้าโดนลวนลามก็หาข้ออ้างนั้นลาออกเลยนะเว้ย สู้ได้สู้เลย เรื่องกฎหมายเดี๋ยวให้พ่อกูจัดการให้” แทนทัพชอบทำเป็นเล่นจนผมหลุดหัวเราะ ทำอย่างกับจะไปรบราสู้ใครที่ไหน

“ไม่หรอกน่า”

“สมัยนี้ไว้ใจใครได้ ยิ่งไปทำงานที่บ้านเขายิ่งต้องระวังเลย”

“ครับ เข้าใจแล้วครับคุณแทนทัพ ผมสู้แน่นอน”

“ดีมาก หายเครียดแล้วอะดิ เวลากังวลก็ท่องเอาไว้ว่าจงหยุดคิดๆๆ เนี่ย เรื่องหางานไม่ยากเลย พี่ปุ่นยังถามถึงทุกวันเลยนะ”

“อ้าว พี่ปุ่นยังไม่ได้พนักงานเหรอ”

“ไม่รู้ดิ เห็น..บอกว่ารอ...น้อ…ง..อา...ระ...แต่..”

“ทัพ...ฮัลโหล แทนทัพ?” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้จอโทรศัพท์เห็นภาพขาดๆ หายๆ ได้ยินปลายสายทำเสียงตะกุกตะกักอยู่สักพักก่อนจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

“โหลๆ ได้ยินๆ เหมือนสัญญาณขาดแฮะ สงสัยคืนนี้ฝนจะตกหนัก”

“อืม ถ้าพรุ่งนี้ฝนไม่ตกบ้างก็คงดี”

ผมเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าครึ้ม เมฆหนาจนบดบังให้เห็นพระจันทร์ลอยเลือนรางอยู่ไกลๆ ช่วงนี้ฝนตกติดต่อกันเกือบทั้งอาทิตย์ ชวนให้รู้สึกถึงบรรยากาศหดหู่ บางทีผมก็รู้สึกไม่ชอบหน้าฝนเท่าไหร่นัก ทั้งว้าเหว่ ทั้งเงียบเหงา …รู้สึกไม่ปลอดภัย









คล้ายว่าสิ่งที่ขอไว้ก่อนนอนจะเป็นผล

หลังจากที่ฝนตกหนักตลอดทั้งคืน เช้าของวันใหม่กลับท้องฟ้าปลอดโปร่ง แดดจ้า อากาศแจ่มใสชวนผู้คนออกมาทำงานด้วยสีหน้าสดชื่นราวกับรอแสงแดดจากพระอาทิตย์มานาน คงจะมีเพียงแต่ผมที่ยืนรอรถโดยสารประจำทางด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าเพราะนอนกระสับกระส่ายทั้งคืน

แม้จะพยายามไม่คิดมากแค่ไหน ทว่าหลังจากที่ล้มหัวนอนทุกอย่างกลับประดังประเดเข้ามาชัดเจนจนผมนอนหลับๆ ตื่นๆ ด้วยอาการฝันร้ายว่าคุณเจโรมส่งข้อความมาแจ้งว่าพรุ่งนี้ผมไม่ต้องไปทำงานที่บ้านอีกแล้ว เพราะงั้นตลอดทั้งเช้าผมเลยหยิบโทรศัพท์ติดมือคอยเช็กมันซ้ำๆ ทุกห้านาที

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด คิดกังวลไปก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี

ผมถอนหายใจนึกรำคาญตัวเอง เงยมองกำแพงบ้านที่สูงใหญ่ตรงหน้าพยายามข่มใจตัวเองให้สงบ ไม่นานเกินรอเสียงคลิกเบาๆ ที่ประตูรั้วเล็กก็ดังขึ้น ผมผลักบานประตูเข้าไปข้างใน สายตาก็พลันหันไปเห็นบางอย่าง



ลูน...



ผมเบิกตากว้างมองแมวสีดำตัวโตที่นั่งอยู่ตรงสวนอย่างตกใจ ตากลมสีเหลืองสนิทกำลังนั่งนิ่งจ้องมองผมอย่างไม่ลดละสายตา ลูนไม่ยอมเดินเข้ามาหา นั่งนิ่งจนผมเริ่มคิดว่าลูนหลุดออกมาข้างนอกเพียงลำพังโดยไม่มีใครรู้หรือเปล่า

“ลูน… เดี๋ยวก่อน”

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ ลูนกลับลุกเดินหนีดื้อๆ เหมือนเห็นผมเป็นคนแปลกหน้า ผมรีบเดินตามหมายจะจับตัวเอาไว้ ทว่าแมวตัวกลมก็วิ่งคลาดสายตาหลบหายเข้าไปในสวนข้างบ้านอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะตามทัน

ผมหยุดฝีเท้าก้มมองพยายามดูให้แน่ใจว่าลูนไม่ได้หลบซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้แถวนั้น ใจก็นึกห่วงกลัวลูนจะหลุดหายไปไกลแต่ถ้าจะให้เดินลึกเข้าไปในสวนเพื่อตามหาก็คงไม่เหมาะ อาจกลายเป็นว่าผมบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวมากกว่าหวังดีช่วยไล่จับแมว

ควรจะทำยังไงดี… ผมยืนกระสับกระส่าย ตั้งท่าที่จะเดินหันหลังกลับเพื่อรีบไปบอกคนในบ้าน อย่างน้อยก็เผื่อว่าลูนหนีออกมาจริงๆ จะได้ไปไม่ไกลมาก ทว่าความรู้สึกเหมือนถูกใครยืนมองอยู่ที่หางตา ทำให้ผมต้องหันขวับไปทันที

“หาอะไรอยู่หรือครับคุณ”

“!!”

ผมผวาสุดตัวอย่างไม่อาจเก็บอาการตกใจ เมื่อหันมองไปตรงใต้ต้นไม้ใหญ่เห็นคุณลุงวัยกลางคนค่อยๆ เดินโผล่พ้นร่มเงาใบไม้พร้อมกรรไกรตัดหญ้าในมือ…

“ขอโทษที่ทำให้ตกใจครับ”

“ไม่...ไม่ครับ ผมแค่ไม่ทันมอง” หัวใจผมเต้นถี่แรงจนเหมือนจะหลุดออกมา ยกมือขึ้นทาบอกรีบสูดหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดอย่างนึกโล่งอกที่ไม่ใช่ผีสางอะไรอย่างที่นึกกลัว คงจะเพราะวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามาถึงไม่ทันสังเกตเห็น

“หาอะไรอยู่หรือครับ กระผมจะได้ช่วยหา”

“เอ่อ…พอดีผมเห็นแมววิ่งมาทางนี้น่ะครับ” ผมตอบ ยากเกินกว่าจะคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ คุณลุงเดินกุมมือเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีนอบน้อม หน้าตาดูเป็นมิตร

“ลูนน่ะหรือครับ”

“ครับ ผมเห็นลูนวิ่งหลัดๆ มา ไม่แน่ใจว่ามันหลุดออกมาหรือเปล่า”

“อ๋อ ไม่ได้หลุดออกมาหรอกครับ เช้าๆ มีแดดลูนจะชอบออกมาวิ่งเล่นข้างนอกบ้าน บางทีก็นอนเล่นตรงระเบียงสวนข้างบ้านนู้นน่ะครับ ตรงนั้นมีประตูแมวเข้าออกได้ตลอด”

“เหรอครับ ผมก็นึกว่าลูนหลุดออกมาตกใจแทบแย่” ผมยิ้มอย่างโล่งใจ

“เดี๋ยวสักพักลูนก็กลับเข้าบ้านแล้วล่ะครับ” คุณลุงยิ้มตอบ เงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วหันมาพูดต่อด้วยน้ำเสียงเนิบๆ “วันนี้อากาศดีแต่แดดก็เริ่มจะแรงมากแล้ว คุณอารัญเข้าบ้านเถอะนะครับ”

“ครับ?”

“คุณเจโรม ท่านคงจะรออยู่”

“…ครับ” ผมรับคำแล้วนิ่งไป รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อยที่คุณลุงรู้จักชื่อทั้งที่เราเพิ่งเคยเจอกันแต่คิดๆ ดูแล้วคงจะทราบมาจากป้านวล บ้านคุณเจโรมหลังใหญ่โต ผมกลับไม่ค่อยเห็นคนในบ้านสักเท่าไหร่ “ว่าแต่คุณลุงครับ...”

“ครับ ต้องการให้ช่วยเหลืออะไรหรือครับ”

“ไม่ครับๆ แค่..เรียกผมว่าอารัญก็พอครับ ไม่ต้องมีคุณหรอก”

ผมเอ่ยบอกอย่างประหม่า ตั้งแต่เหยียบเข้าบ้านก็ถูกเรียกคุณอารัญตลอด แม้จะพอเข้าใจความไม่ถือตัวตั้งแต่เจ้านายจนคนงานในบ้านแต่ผมเข้ามาทำงานเป็นลูกจ้าง ไม่ได้มีฐานะต่างอะไรจากป้านวลหรือคุณลุงเลย

คุณลุงยังคงมองหน้าผมด้วยรอยยิ้ม ท่าทีสุภาพนอบน้อมถ่อมตนจนผมนึกลำบากใจ

“เกรงว่าคงจะทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับคุณอารัญ”























เมื่อหมดความกังวลว่าลูนจะหนีออกมาเที่ยวข้างนอก ผมจึงเดินกลับไปยังประตูหน้าบ้านที่ถูกปิดเงียบ แม้วันนี้แดดจะค่อนข้างจัดแต่ก็ยังพอมีลมเบาๆ พัดผ่านเป็นระลอกชวนให้เปิดหน้าต่างรับลม บ้านของคุณเจโรมก็ยังคงเปิดแอร์เย็นฉ่ำจนเห็นไอน้ำเกาะตรงบานกระจกอยู่ดี

ผมมองแล้วได้แต่นึกหนาวสั่นขึ้นมาเมื่อลองคิดถึงค่าไฟตามประสาคนไม่มีเงินมาก วันนี้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะรีบจัดการเคลียร์หนังสือให้เสร็จ ผมนึกพลางยกมือเคาะประตูสองสามทีเชิงขออนุญาตก่อนเปิดเข้าบ้านเหมือนเช่นทุกครั้ง

ทว่าวันนี้กลับเหมือนมีอะไรแตกต่างจากทุกวัน...

ไม่ใช่เรื่องที่ผมเจอลูนนอกบ้านหรือเจอลุงคนสวนยืนใต้ต้นไม้ใหญ่แต่เพราะประตูตรงหน้าถูกเปิดออกก่อนที่ผมจะผลักมันเข้าไป

“เชิญครับ”

คุณเจโรม…

ผมมองคนตรงหน้าแล้วนิ่งไปอึดใจ ด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวว่าจะได้พบหน้ากะทันหัน ตลอดสองวันที่ผ่านมาผมมักจะเปิดประตูไปพบกับความว่างเปล่า ไม่ใช่เจ้าของบ้านที่ยืนยิ้มราวกับกำลังยืนรอผม รอ..เหมือนที่คุณลุงบอก

“เอ่อ...รอลูนเหรอครับ?” คงจะน่าเกลียดเกินไปถ้าหากผมนึกเข้าข้างตัวเอง บางทีคุณเจโรมคงมารอเจ้าแมวตัวกลม “ผมเห็นลูน...”

“ไม่ครับ ผมรอคุณอารัญ”

“…”

“เข้าบ้านเถอะครับ วันนี้แดดแรง”

“...ครับ”

อยู่ดีๆ ภายในหัวก็รู้สึกมึนงงอย่างน่าประหลาด ผมเดินเข้ามาในบ้านด้วยความรู้สึกเหมือนลอยละล่องราวกับเท้าไม่ติดพื้น ยิ่งมองรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าคมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนไม่เป็นตัวเอง แม้ควรรู้สึกโล่งใจที่เห็นคุณเจโรมดูไม่ได้โกรธหรือติดใจเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ก็เหนือความคาดหมายมากไปเสียหน่อยที่เห็นเขามายืนเปิดประตูรอแบบนี้

“คุณอารัญเจอลูนเหรอครับ”

ปึง- เสียงประตูถูกปิดลงพร้อมๆ กับความคิดในหัว ผมหันมองหน้าคุณเจโรมที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อย่างประหม่า ความสูงของเขาทำให้ผมดูตัวเล็กลงถนัดตา

“ครับ ผมเห็นลูนนั่งอยู่ตรงสวนแต่พอเรียกแล้วก็วิ่งหนีไป”

“เหรอครับ เวลาลูนอยู่ข้างนอกไม่ค่อยยอมให้ใครจับเท่าไหร่น่ะครับ” คุณเจโรมบอก ใช้สายตาคมเลื่อนมองหน้าผากที่เต็มไปด้วยเหงื่อจนผมต้องรีบยกมือขึ้นเช็ด อธิบายอย่างเขินอาย

“ตอนแรกผมนึกว่าลูนหลุดออกจากบ้านน่ะครับเลยวิ่งตามไป แต่ลุงคนสวนบอกว่าเช้าๆ ลูนชอบออกไปเดินเล่นข้าง…”

“คนสวนเหรอครับ?” คุณเจโรมเลิกคิ้วมอง ย้อนถามด้วยสีหน้าสงสัยโดยที่ผมยังไม่ทันจะพูดจบ ท่าทีของเขาทำผมนิ่งไปแวบนึง

“ครับ คนสวน…บ้านคุณเจโรมมีคนสวนใช่ไหมครับ”

ผมรีบถามกลับอย่างเสียมารยาท ใจที่สงบกลับเต้นรัวทันที ทว่าคุณเจโรมยังคงไม่ตอบ มองผมด้วยสีหน้าที่ตั้งคำถามเหมือนว่าคุณพูดเรื่องอะไรน่ะ ที่นี่ไม่มีคนสวนหรอก ยิ่งทำผมหน้าถอดสี ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว

“แต่เมื่อกี้…ผมคุยกับคนสวนจริงๆ นะครับ… ไม่มีเหรอครับ?”

ผมถามย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถ้าหากคนที่คุยไม่ใช่คนสวนแล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะ คุณลุงวัยกลางคนที่ถือกรรไกรตัดหญ้าออกมาจากมุม..อับสายตา

ผมตาโต เงยมองคุณเจโรมด้วยสีหน้าตื่นตนกอย่างไม่ปิดบัง จังหวะนั้นเองที่คุณเจโรมจุดรอยยิ้มตรงมุมปาก ผมถึงตระหนักได้ว่าตัวเอง...โดนแกล้งเข้าให้แล้ว

“มีครับ ลุงแดงเป็นคนสวนที่นี่มานานมากแล้ว ไม่ใช่ผีที่ไหนหรอก”

“อย่าแกล้งกันแบบนี้สิครับ” ผมถอนหายใจเสียงดังด้วยความโล่งอก แวบแรกผมเชื่อสนิทใจด้วยซ้ำว่าตัวเองเจอดีเข้าแล้ว ก่อนที่จะเผลอตำหนิอีกฝ่ายอย่างลืมตัว “ขอโทษด้วยครับ”

“คุณอารัญกลัวผีเหรอครับ”

“ผม…ไม่เคยเจอและก็ไม่อยากเจอครับ”

คุณเจโรมมองผมด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เดินนำขึ้นไปยังห้องหนังสือชั้นสอง ผมลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างโล่งใจ มองแผ่นหลังกว้างๆ ของคนตรงหน้าด้วยความคาดไม่ถึงว่านอกจากคุณเจโรมจะชอบพูดจาเป็นกันเองไม่ถือตัวแล้ว เจ้าตัวจะมีอารมณ์ขัน นึกแกล้งคนอะไรแบบนี้ด้วย

ทว่ามันก็ช่วยลดความประหม่าและความอึดอัดใจของผมที่มีต่ออีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี บางทีผมคงจะคิดมากไปเอง











“เมื่อวานผมมีธุระด่วนต้องออกไปข้างนอกเลยไม่ได้เข้ามาคุยด้วย คุณอารัญจัดหนังสือเป็นยังไงบ้างครับ”

“ผมพยายามคัดแยกหมวดหนังสือก่อนเก็บเข้าชั้นครับจะได้ไวขึ้น คุณเจโรมอยากให้ผมช่วยอะไรเพิ่มไหมครับ”

“ยังไม่มีครับ” คุณเจโรมทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา เมื่อมีผู้ชายสองคนอยู่ด้วยกันในห้อง ห้องหนังสือก็ดูจะแคบลงถนัดตา “หนังสือคงต้องใช้เวลาเก็บอีกนานหน่อย ถ้าเหนื่อยก็นั่งพักได้นะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมตั้งใจว่าจะทำให้เสร็จ...”

“ยังเหลืออีกเยอะ ยังไงก็เอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้”

“แต่ว่า...”

“ทำอย่างที่ผมบอกเถอะครับ”

คุณเจโรมคงเป็นเจ้านายคนแรกที่ใจดีจนผมรู้สึกเกรงใจ อยากจะทำงานตรงหน้าให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำแต่หากทำตามที่เขาบอก ผมมีเวลาทดลองงานแค่ 1 อาทิตย์ขืนใช้เวลาหมดไปกับการเก็บหนังสืออย่างเดียว ไม่ได้ช่วยอะไรอย่างอื่นคงไม่พ้นได้แค่ค่าเสียเวลางานเท่านั้น

“คุณอารัญอ่านนิยายที่ให้ไปหรือยังครับ”

“อ่านแล้วครับ เมื่อวานผมเอามาคืนคุณเจโรมด้วยแต่ลืมบอกไป”

ผมวางหนังสือในมือลง หมายจะเดินไปหยิบถุงหนังสือที่วางทิ้งไว้ในห้องแต่คุณเจโรมกลับยกมือห้าม จังหวะเดียวกับที่เจ้าแมวตัวกลมเดินนวยนาดเข้ามาในห้องท่าทางไม่ทุกข์ร้อนที่ปล่อยให้ผมวิ่งไล่ตาม มันกระโดดขึ้นไปนอนบนตักเจ้าของ มองผมเหมือนที่เจ้าของกำลังทำ

“เก็บไว้เถอะครับ ผมให้”

“..ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณ จะปฏิเสธอย่างเกรงใจก็รู้สึกว่าเปล่าประโยชน์ “นิยายคุณเจโรมสนุกมาก ผมอ่านรวดเดียวถึงตีสาม”

“ครับ ขอบตาของคุณก็พอจะบอกได้อยู่” คุณเจโรมยิ้มเรียบๆ ทำผมรู้สึกเขรอะเขิน ไม่ได้ชมเพื่อเอาใจเลยสักนิดเดียว “อ่านจบหมดทุกเล่มที่ผมให้ไปเลยเหรอครับ”

“ครับ เมื่อวันอาทิตย์ผมไม่ได้มีธุระไปไหนเลยมีเวลาอ่านทั้งวัน”

“คุณอารัญชอบเรื่องไหนเป็นพิเศษไหมครับ”

“เรื่อง...ครับ” ผมตอบทันที อยากจะชวนแทนทัพคุยเรื่องนิยายด้วยก็กลัวจะพลั้งปากพูดอะไร “ตอนที่เมสันกับเจนโดนคนร้ายซุ่มโจมตีแล้วพลัดหลงกันในป่า อ่านแล้วลุ้นมากเลยครับ ไหนจะเนื้อเรื่องหักมุมหลอกคนอ่านนั่นก็ด้วย หลอกจนสนิทใจ นึกว่าจอชเป็นผู้ร้ายพอเฉลยแล้ว ผม...เอ่อ”

“ครับ พูดต่อสิครับ”

“ผมอ่านแล้วร้องว้าวออกมาเลยครับ สนุกมาก” ใบหน้าผมร้อนฉ่า เมื่อรู้ตัวว่ากำลังปล่อยให้คุณเจโรมนั่งมองผมที่พูดจ้อไปเรื่อยไม่หยุด ผมเป็นพวกมนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดีนัก ถ้าหากไม่สนิทใจผมแทบไม่กล้าอ้าปากคุยยาวๆ ด้วยซ้ำ

“แล้วฉากเลิฟซีนล่ะครับ ไม่สนุกเหรอ?”

คุณเจโรมลูบขนของลูนเบาๆ คำถามที่เหมือนกับว่ากำลังทดสอบ ผมเผลอบีบข้อนิ้วมือเย็นๆ ของตัวเองใต้หนังสือเล่มหนาอย่างประหม่า แม้รู้ว่ามันเป็นงานที่ต้องให้ฟีดแบ็คนักเขียนแต่ก็เขรอะเขินขึ้นมานิดหน่อย เมื่อต้องพูดต่อหน้าตรงๆ แถมนักเขียนอย่างคุณเจโรมก็หล่อมากจนเหมือนเป็นพระเอกนิยายที่ว่าด้วย

“สนุกครับ อ่านแล้วรู้สึกคล้อยตาม ถึงจะมีฉากเลิฟซีนเยอะแต่ไม่ได้ดูยัดเยียดมากเกินไปจนอ่านแล้วอึดอัด พระเอกในนิยายทุกเรื่องมีคาแรกเตอร์นิสัยแตกต่างกันไปแต่พอลองอ่านดีๆ ก็จะดูใจเย็นและเข้าใจนางเอกมาก โดยเฉพาะตอนมีฉากเลิฟซีนที่ดูชัดเจนว่าพระเอก...”

“....”

“…มักเต็มไปด้วยความต้องการ โหยหาแต่ก็รั้งรอเฝ้าดูท่าทีอยู่ตลอดเวลา”

“...อย่างงั้นเหรอครับ” คุณเจโรมยิ้มเรียบๆ ก้มมองลูนที่นอนอยู่บนตัก “อีกเล่มนึงเป็นยังไงบ้างครับ ผมได้รับรีเควสจากบก. ให้ลองเขียนแนวที่แตกต่างจากเดิมบ่อยๆ เพิ่งลองเขียนเป็นเรื่องแรก ได้อ่านใช่ไหมครับ? ”

“อ่านครับ” ผมพยักหน้า นึกถึงนิยายที่เนื้อหาแตกต่างจากเล่มอื่นๆ “ตอนเมลินดาบอกว่าเธอไม่อยากมีเซ็กส์แบบนั้น... เอ่อ แบบที่ดูล่อแหลม แดนก็ให้เวลาเธอกลับไปตัดสินใจทั้งที่จะเซ้าซี้ทำให้เธอจำยอมเลยก็ได้ ผมว่ามันดีมากเลยครับ อ่านแล้วรู้สึกตื่นเต้นคล้อยตามอารมณ์ตัวละครมากกว่าอึดอัด”

ผมนึกถึงฉากที่ตัวละครทั้งสองคนนั่งตัวเปลือยเปล่าอยู่บนเตียง แดนไม่ใช่พระเอกนิสัยอ่อนโยนหรือใจเย็นเลยสักนิดเดียวแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดทนรอความยินยอมจากคนรัก หลังจากที่เมลินดายอมเปิดใจ ผมรู้สึกว่าพวกเขาเหมือนจิ๊กซอว์ที่ตามหากันจนเจอสนุกสุดเหวี่ยงกับเรื่องบนเตียงไปเลยด้วยซ้ำ

“ต่อให้เป็นแนวรสนิยมส่วนตัว คนลองอ่านครั้งแรกก็น่าจะชอบนะครับ มีฉากหยาบโล้น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอนาจารอะไร”

“มีตรงไหนน่าเบื่อบ้างไหมครับ’

“ไม่มีนะครับ” ผมนิ่งไปอย่างตกตะกอนความคิด “คุณเจโรมไม่ค่อยชอบนิยายตัวเองเหรอครับ”

“ไม่ครับ แค่เขียนมากก็รู้สึกจำเจไปหน่อย” คุณเจโรมยิ้ม ขยับตัวอย่างชวนมอง “บางทีก็เขียนไปแต่ไม่ค่อยรู้สึกร่วมด้วยสักเท่าไหร่”

“อาจต้องลองเปลี่ยนบรรยากาศดูบ้างครับ”

“หมายถึง...เซ็กน่ะเหรอครับ? ”

“ไม่ใช่ครับ” ผมหน้าขึ้นสี เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของคุณเจโรมก็เริ่มมองออกว่าตัวเองกำลังถูกล้อเล่นเข้าอีกครั้งแล้ว “หมายถึงตอนทำงานน่ะครับ ลองเปลี่ยนที่คิดงานหรือไปสถานที่ที่ชอบ น่าจะช่วยได้อยู่นะครับ”

“สถานที่ที่ชอบ... ครับ เดี๋ยวผมจะลองดู”



























- tbc -

น้องอารัญ said : 'บ้านคุณน่ะมีผี' 'ผมไม่ออก ออกแล้วจะเอาอะไรกิน' ฝากติดตามด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ #หลงพระจันทร์ 

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
 :katai4: :katai5:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด