ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 23 : 1-6-65
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD] ตอนที่ 23 : 1-6-65  (อ่าน 7686 ครั้ง)

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ


******************************************************************************


  ตอนที่ [ 1 ]
หมู่บ้านท้อแท้แห่งตำบลคับพวง

พ.ศ.2537

ท้องทุ่งกว้างใหญ่ รวงข้าวสีทองโน้มลงสะท้อนแสงอำพันระยิบระยับตา สัญญาณบ่งบอกฤดูกาลเก็บเกี่ยวที่กระชั้นเข้ามา ลมหนาวซึ่งพัดผ่านแถวสักทองต้นใหญ่ เรียงต้นริมไร่ข้าวโพด โชยมาเป็นครั้งคราว 

เมื่อสองปีก่อน ตัวผมยังห่วงซุกซน ขณะที่ทุกคนง่วนลงแขกข้าวกันอย่างขมักขเม้นนั้น  ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นนกคุ่มลายติดกับดัก ด้วยหวังว่าจะได้ตัวเมียเอาไปทำเป็นนกต่อ

ปีนี้หลาย ๆ อย่างเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกายของผมเอง รู้สึกเจ็บ ๆ คัน ๆ ที่หัวนมแปลก ๆ

อาชาญยิ้มอ่อน เมื่อถูกถามด้วยความสงสัยว่าผมจะเป็นมะเร็งเต้านมเหมือนกับอาเพ็ญไหม

อาเขยตอบด้วยเสียงอ่อนโยนว่า

“ต้นน้ำกำลังแตกเนื้อหนุ่มต่างหาก เหมือนต้นข้าวแตกกองาม รอวันออกรวง”

ตรงกันข้ามกับไอ้เป๊บซี่ ลูกชายพระหน่อเล็กของน้าแหววซึ่งหัวเราะขบขันทันที เมื่อเรื่องนี้รู้ถึงหู
มันเย้ยผมว่า

   “โง่และขาวเผือกอย่างมึง ต้องเทียบกับไอ้เผือกที่โตแต่ตัว แต่สมองเท่ามด”

   ไอ้เผือกเป็นพ่อควายพันธุ์ดี สง่าและองอาจ แค่ชายตามองควายตัวเมียก็ระริกหางเข้าใส่ ยิ่งไปกว่านั้นมันมีราคาสูงที่สุดในคอกของพ่อ

แน่นอนที่สุด ผมย้อนคำพูดของไอ้เป๊บซี่ เพราะผมไม่ใช่คนประเภทยอมลงให้ใครง่าย ๆ

   “ฉลาดมากเลยนะมึงน่ะ ถึงได้มาเรียนร่วมห้องเดียวกันกับกูเนี่ย”

   “ใบรายงานผลการเรียนของกูเคยมีเกรดสี่โว้ย เกรดสี่ซึ่งคนอย่างมึงไม่เคยได้ลิ้มลอง”

   “วิชาสุขศึกษาแค่ตัวเดียวเนี่ยนะ”

   “อย่างน้อย มันก็ช่วยให้กูรู้ล่ะกันว่านมแตกพานไม่ใช่มะเร็งเต้านม”

   ผมเลยจำใจ ยกความภาคภูมิให้แก่มัน

อาชาญเป็นเขยไกลมาจากพัทลุง รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ หน้าตาคมคาย อาเล่าว่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ในช่วงที่ถนนใหม่ตัดเข้ามาในหมู่บ้าน อาชาญเป็นนายช่างคุมงานก่อสร้าง ได้มาพบรักกับอาเพ็ญซึ่งเป็นสาวงามประจำอำเภอ ผู้ครองมงกุฎพร้อมสายสะพาย

ศรรักเล็งจากหนุ่มหล่อปักลงกลางอกสาวสวย แต่ไปไม่ถึงกลางใจพ่อตา...

อุปสรรคขวางกั้นเสียดฟ้าสูงยิ่งกว่าขุนเขาสาปยา นั่นคือเงินทองมิอาจกองตระหง่านถึง มิวายช่วยกันทำดีจนกระทั่งพ่อตาตาย แต่สุดท้ายได้แค่ที่นาแปลงน้อยซึ่งอยู่ลึกติดตีนเขา

อาชาญโศกเศร้ายิ่งนัก เมื่อครั้งที่อาเพ็ญตายจากด้วยโรคมะเร็ง ตอนนั้นผมอายุได้สิบขวบ เท่ากันกับไอ้แชมป์ลูกชายโทนของอา เราทั้งคู่เกิดมาคาบกรรมกันดั่งคำของแม่ว่า เราโตมาด้วยกัน จากน้ำนมเต้าเดียวกันของอาเพ็ญ

“ฉันไปบ้านอานะแม่”

ผมตะโกนบอกแม่ซึ่งดายพริกอยู่ท้ายสวนกับลูกจ้างช่วยงานสองคน ผู้ที่เห็นวิทยุทรานซิสเตอร์สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ป้าเอิบกับป้าอาบ สองแฝดหน้าตาเหมือนกันเป๊ะ แต่รสนิยมต่างกันลิบ   ป้าเอิบชอบสีเหลือง ในขณะที่ป้าอาบคลั่งไคล้สีแดง ป้าเอิบชื่นชอบเพลงลูกทุ่ง แต่ป้าอาบกลับถูกใจเพลงคลาสสิค กรรมไม่รู้อีโหน่อีเหน่เลยไปตกอยู่ที่วิทยุซอมซ่อจะพังมิพังแหล่ สีเหลืองครึ่งแดงครึ่งเครื่องนั้น

รายได้หลักของแม่ นอกจากพริก ขิง ข่า ตะไคร้ กับใบมะกรูดแล้ว สวนพริกห้าไร่ก็มีกระชายกับพริกไทยซึ่งแม่ส่งประจำให้กับแม่ค้าหลายเจ้าในตัวเมือง

“ตะวันจะลับฟ้า นกกากลับรังหมดแล้ว เอ็งยังจะไปอีกรึ”

“ฉันไปช่วยอา เอาควายของพ่อเข้าคอกจ้ะ”

“เออ ๆ ระวังงูเงี้ยว เขี้ยวขอ ด้วยล่ะ” แค่ผมบอกว่าไปทำงานให้พ่อ แม่ก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว

พ่อผมชื่อผัน ภูก้อนคำ เป็นผู้ใหญ่บ้านที่ละเอียด ถี่ถ้วน  ไม่พูดมากความ แม่กับลูกบ้านจึงค่อนข้างเกรงใจ งานหลักของพ่อนอกจากค้าสัตว์และประชุมกับทางการแล้ว ก็มีงานพิจารณาว่าความให้กับชาวบ้านซึ่งมาตีกลองร้องทุกข์อยู่เป็นประจำ

หมู่บ้านท้อแท้แห่งตำบลคับพวง ลูกบ้านถกเถียงกันไม่เคยเว้นวัน...

ทว่า แท่นประหารของพ่อไม่เหมือนของเปาบุ้นจิ้น เพราะไม่มีหัวสุนัขและไม่มีคมดาบ มีก็แต่แป้นปั้มยางกับน้ำหมึกสีดำจากไส้ผลมะคังแดงกับถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ที่เอาไว้ตีตราประทับตรึงบนใบหน้า ซึ่งแต่ละข้อคำก็ว่ากันไปตามแต่ละคดี

คดีเบา ๆ อาทิเช่น ผัวเมียทะเลาะกันเอย คำว่า ‘ละเหี่ยใจ’ คืออักขระโจษจัณฑ์ทั่วทั้งหมู่บ้าน จากเหนือจรดใต้

คดีความที่ใหญ่อีกนิด อย่างเช่นเมื่อปีที่แล้วฝนแล้งหนัก ตาแห้งกับตาถึกแย่งน้ำเข้าที่นาของตน ไม่ปฏิบัติตามคำประกาศของพ่อท่ามกลางสภาหมู่บ้านว่า

“ปีนี้ ทางการห้ามทุกคนทำนาปรัง เพราะน้ำในระบบชลประทานต่ำระดับมาก”

ตาแห้งกล่าวหาตาถึกว่าแอบสูบน้ำจากที่นาของตน  ฝ่ายตาถึกก็อ้างว่าเพราะตาแห้งลักลอบดูดน้ำจากคลองทดน้ำไปใช้เสียหมด   
 สุดท้ายทั้งสองเฒ่าไม่กล้าออกจากบ้านนานนับสัปดาห์ จนกระทั่งถึงวันที่ถ้อยคำ ’น่าอับอาย’ บนใบหน้าเลือนหาย

นับวันข้อคำอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งใช้สืบเนื่องกันมาหลายชั่วอายุคน มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งวันหนึ่ง ผมเห็นพ่อถอนใจยาว ขณะนั่งมองหีบบรรจุแป้นคำกองโต

ต่อมา อีกไม่กี่วัน พ่อก็ตัดสินใจเรียกประชุมสมาชิกวุฒิสภาหมู่บ้าน ผู้ซึ่งมากด้วยอาวุโส ทุกคนก้าวยักแย่ยักยันมาพร้อมกับไม้เท้าคู่ชีพ  เยื้องย่างเข้ามาในศาลาว่าการข้าง ๆ วัด

พ่อกล่าว หลังจากครบองค์ประชุมแล้วว่า

“ที่เรียกผู้อาวุโสมาในวันนี้ เพราะอยากถามความคิดเห็น เรื่องเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านของเราเสียใหม่”

เสียงฮือฮา ดังอื้ออึง เมื่อสิ้นประโยคของพ่อ หลายคนสวดยับโดยไม่ถามไถ่ถึงเหตุผลกันก่อน

อันที่จริง ชื่อของหมู่บ้านเรา...ถ้าหากสืบย้อนกลับไป ไล่จนถึงโคตรเหง้าต้นตระกูลผู้ก่อตั้ง สมัยเมื่อเจ้าผู้ครองนครเชียงรายถูกพม่าตีพ่ายถอยร่นลงมา กระทั่งแลเห็นว่าที่แห่งนี้มีขุนเขาโอบล้อมโดยรอบ แหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การตั้งทำเลถิ่นฐานแห่งใหม่ บนยอดเขายังพบต้นท้อยักษ์ต้นหนึ่ง จึงขนานนามสถานที่นี้ว่า

‘ท้อแท้’

ตาอินนั่งลง หลังจากเล่าความหลังในเรื่องนี้ จำนวนครั้งที่เท่าไหร่ไม่อาจนับ เพื่อตอกย้ำให้ลูกหลานจดจำถึงความองอาจของต้นตระกูลบรรพบุรุษ ขณะที่ ตานาสำทับซ้ำว่า

“อย่างไรเสียชื่อของหมู่บ้านเราก็ต้องมีคำว่า ท้อ”

ยายมาถ่มน้ำหมากลงกระโถน เสียงดังปรี๊ด ก่อนจะลุกขึ้น ยืนอย่างทระนงโดยไม่อาศัยไม้เท้าช่วย เสนอชื่อใหม่ให้เลือกซึ่งมีแค่สองชื่อเท่านั้นที่พอจะทดแทนกันได้ นั่นก็คือ…

 ‘ท้อจริงจริง’ กับ ‘ท้อแล้วท้ออีก’

สุดท้าย พ่อยอมถอดใจ น้อมรับคำท้อแท้ซึ่งมีมาแต่บรรพบุรุษดั้งเดิม

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2022 11:43:58 โดย Marakun »

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD]
«ตอบ #1 เมื่อ25-09-2021 20:54:45 »

  ตอนที่ [ 2 ]
ยู้ฮู หนูเป็นสาวแล้ว
ผมจูง’ไอ้แหลง’จักรยานคู่ชีพสีสันถูกใจแม่ยก ตัวคันสีเหลืองซี่ล้อสีแดงออกสู่ทางลูกรัง เป้าหมายอยู่ไกลลิบ ติดตีนเขา

บ้านไม้ของอาชาญ ลักษณะคล้ายกระท่อมสองหลังทอดถึงกันด้วยชานไม้ที่มีความยาวประมาณสามก้าวกระโดด

ก่อนขึ้นคร่อมบนอานเบาะ ผมโบกมือตอบกลับป้าเอิบและป้าอาบ แล้วออกแรงถีบ’ไอ้แหลง’ให้แล่นฉิวไปตามแรงลม

เสียงเพลงลูกทุ่งจังหวะสนุกเพลงหนึ่งไล่หลังมาแว่วๆ จากวิทยุพกพาซึ่งบอกไม่ได้ว่าเป็นของใครเครื่องนั้น

ยู้ฮูวววว หนูเป็นสาวแล้ว
แจ่มแจ๋วเนื้อหนังตึงเดี๊ยะ
สาวแรกแตกดังเปรี๊ยะๆ
น่าเจ๊าะ น่าเจี๊ยะ จริงๆ
หนูเป็นสาวสแตนดาร์ด
หนุ่มฮาร์ทหนุ่มพังก์อย่านั่งนิ่ง
อยากได้เนื้ออ่อนเป็นหมอนอิง
มายดาร์ลิ่ง เวลคัมทูมี
ยู้ฮูวววว หนูเป็นสาวแล้ว
 ยู้ฮูวววว หนูเป็นสาวแล้ว
........

ต้นสักทองยืนตระหง่านเรียงแถวสลับริมทางลูกรังซึ่งกว้างกว่าล้อเกวียนเล็กน้อย คันทางถูกยกสูงกว่าท้องนา ตลอดสองข้างทางที่จักรยานแล่นผ่าน กลุ่มดอกหญ้าสีเดียวกันกับดอกเลา สูงไม่ถึงหัวเข่าลู่ลมไล่สองซี่ล้อ

เวลานาทีไม่ถึงสิบ ผมเบรกตัวโก่งกับรั้วบ้านของอาชาญ ยื่นมือข้างหนึ่งปลดตะขอเชือกซึ่งคล้องเกี่ยวกับเสารั้วเอาไว้

จากนั้น เข็น’ไอ้แหลง’เดินเข้าด้านใน กระทั่งถึงชานกลางบ้าน พิงมันเอาไว้กับต้นเสาแล้วกระโดดขึ้นบันไดทีละขั้น สี่ห้าครั้งก็ถึงพื้นไม้ซึ่งอาเพ็ญเคยใช้ลูกมะพร้าวแห้งผ่าครึ่งขัดถูด้วยความอุตสาหะ จนกระทั่งกลายเป็นมันขึ้นเงา

เพลานั้น มีเด็กน้อยวัยกำลังซนสองคน ทั้งเล่นและช่วยงานอาเพ็ญ ในคราวเดียวกัน...

ถึงแม้ว่า กาลเวลาจะผ่านไปเกือบสิบปีแล้ว แต่ผมยังจำภาพรอยยิ้มเย็นตา งดงามดุจพระจันทร์ยิ้ม กับแววตาอันอบอุ่นของอาเพ็ญซึ่งทอดมองมาที่ผมได้เป็นอย่างดี

ในเพลานี้ ตรงเฉลียงหน้าบ้าน ซึ่งผมเคยไถลเปลือกลูกมะพร้าวตามความยาวของแผ่นไม้ ปรากฏโต๊ะเก้าอี้ครบชุดกับเตียงหนึ่งหลัง อีกทั้งเครื่องนอนหมอนมุ้งวางระเกะระกะ ขวางทางเข้าออกอยู่หน้าประตูห้องที่ปิดสนิท  ข้าวของแต่ละชิ้นล้วนใหม่เอี่ยม หุ้มด้วยพลาสติก มองแล้วดูเหมือนว่าเพิ่งจะมีคนยกพวกมันมาวางหมาด ๆ

เสี้ยววินาทีนั้นเอง ผมเกิดคำถามว่าอาชาญซื้อข้าวของมีใช้ในบ้านแล้วอีกทำไม โดยปกติผมไม่ใช่คนขี้สงสัย ถ้าไม่เจอไอ้แชมป์นั่งซึมอยู่บนเถียงนาใต้ต้นพุทราใหญ่เพียงลำพัง เมื่อหลายวันก่อน
 
ไอ้แชมป์เล่าด้วยเสียงสั่นเครือว่าอาชาญไม่กลับบ้านหลายวันแล้ว ขลุกตัวอยู่ที่บ่อนพนันแห่งใหม่ในเมือง...

ยอมรับว่า ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับอาชาญ ควายฝูงนี้พ่อตัดสินใจให้อาเป็นคนดูแลด้วยความไว้วางใจ โดยไม่สนใจคำทัดทานของแม่ด้วยซ้ำ ซ้ำร้ายแม่ยังถูกพ่อตำหนิอีกว่า หลงงมงายกับคำทำนายของเทพธิดาพยากรณ์ซึ่งอวตารมาในร่างทรง แล้วทำนายทายทักว่าอาชาญจะทำให้พ่อต้องอับอายขายขี้หน้าในท้ายที่สุด

ใจจริงแล้ว ผมอยากปาลูกระเบิดซึ่งก่อตัวเดือดดาลในช่องท้องหลายลูก แต่ทว่าไม่อยากเห็นไอ้แชมป์สะเทือนใจมากไปกว่านี้ จึงตัดสินใจนั่งลงอย่างเงียบๆ วางมือสัมผัสไหล่ของมันเบา ๆ

ผ่านไปสักพัก เมื่อเงยหน้าขึ้น สายตาปะทะลูกพุทราป่าสุกเต็มต้น ข้อมือของไอ้แชมป์ก็ถูกผมจับเขย่า พลางบอกให้มันไปหาภาชนะมารอง จากนั้นผมก็ปีนขึ้นไป ขย่มสองสามครั้ง ลูกเล็กๆ สีแดงก็หล่นพราวเกลื่อนพื้นมากมาย

นอกจาก ลูกพุทราป่าจะช่วยละลายความหม่นหมองซึ่งลอยเป็นเงาเหนือหัวไอ้แชมป์ให้มลายหายไปในชั่วพริบตาแล้ว เย็นนั้น ผมก็หอบลูกพุทราไปฝากป้าเอิบกับป้าอาบอีกด้วย คำขอบอกขอบใจที่เกินเบอร์ของทั้งคู่ ทำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้

หลังจาก ยืนเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตรงเฉลียงหน้าบ้าน...
สักพักหนึ่ง ผมก็ชะโงกดูอีกฝั่งทางซ้ายมือซึ่งเป็นห้องครัว ตะโกนเรียกก็แล้ว ไม่มีคนขานรับ จึงตัดสินใจกระโดดลงจากชาน วิ่งอ้อมขวาไปด้านหลังผ่านไร่ข้าวโพด ถูกใบสากคายของมันเสียดผิวอยู่หลายครั้ง ก่อนจะทะลุออกทุ่งหญ้ากว้าง...

แลเห็นอยู่เบื้องหน้าสูงทะมึนเสียดฟ้านั่นคือ...ขุนเขาสาปยา

ลักษณะรูปร่างของมัน เหมือนกับนักรบผู้องอาจที่ร่างกายใหญ่ยักษ์ นอนตะแคงข้าง และหลับไหลอยู่ด้วยความเหนื่อยล้า
แสงสีส้มสาดกระทบยามพลบค่ำ เผยส่วนเว้าบริเวณซอกคอกับหัวไหล่สูงชัน ก่อนจะลาดลงบริเวณเอวสอบ อกหนาใหญ่ถูกห่มคลุมด้วยแถบผ้าขาวจากม่านหมอก พาดทบเป็นชั้น ๆ

ในยามโพล้เพล้ ท่ามกลางบรรยากาศวังเวงแห่งท้องทุ่ง ชวนให้ขุนเขาลูกยักษ์ซึ่งหลับใหลมาเนิ่นนาน ดูน่าเกรงขามทวีคูณ

ทุ่งหญ้าไม่มีฝูงควาย
ใต้ต้นพุทราก็ไม่มีไอ้แชมป์ แต่ทว่ามีชายแปลกหน้ายืนอยู่ตรงนั้นสามคน




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2022 14:52:27 โดย Marakun »

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD]
«ตอบ #2 เมื่อ25-09-2021 21:03:52 »

  [ 3 ]
อาชาญแสนดี

หลังจากเตร็ดเตร่รอบบ่อน้ำ ใกล้ตีนเขา เสาะหาจิ้งหรีดสักพัก เงยหน้าขึ้น ทั้งสามคนก็อันตรธานหายไป

หนึ่งคนเป็นชายสูงวัย รูปร่างเตี้ย ผิวขาว แต่งกายภูมิฐาน พูดพลางชี้ไม้ชี้มือพลาง วาดนิ้วไปตามอาณาบริเวณชายขอบแนวเขา ซึ่งดูเหมือนว่าภายใต้อาณาเขตที่เขาชี้จะเป็นของอาชาญทั้งหมด

ที่เหลือสองคนสวมชุดดำพูดเป็นแค่คำว่า “ครับนาย” คนหนึ่งผิวคล้ำ ตัวอ้วนใหญ่ อีกคนผอมแลซีดเซียว ในตอนนั้นพวกเขาหันมามองผมซึ่งโผล่พรวดออกจากไร่ข้าวโพด เพียงแค่ปราดเดียว จากนั้นก็ไม่สนใจผมอีก

อันที่จริงผมอยากจะอวดพวกเขาว่า ที่ดินฟากแม่น้ำฝั่งนี้โดยทั้งหมดเป็นของพ่อผม ที่ตรงนั้นของอาชาญซึ่งพวกเขากำลังสนใจอยู่นั้นมีไม่ถึงหนึ่งส่วนสิบของพ่อด้วยซ้ำ...  :-[
 
พระอาทิตย์ดวงส้มเริ่มแขวนต่ำกว่าปลายไม้แล้ว เมื่อไม่เห็นไอ้แชมป์ ผมจึงสันนิษฐานเอาเองว่า มันคงต้อนควายเข้าคอกซึ่งอยู่ติดไร่มันสำปะหลังเป็นอันเรียบร้อย

โรงนอนควายจะอยู่ห่างจากตัวบ้านของผมเกือบหลักกิโล ในบริเวณเดียวกันนั้น นอกจากโรงนอนที่ล้อมรั้วแน่นหนา มีหลังคากันแดดกันฝนอย่างดีแล้ว ใกล้ ๆ กันนั้น ยังมีอาคารนอนเหมือนหอคอยสูงอีกหลังหนึ่ง

หน้าที่เฝ้ายามและสุมไฟไล่แมลงในเวลากลางคืนจะเป็นของคนงานคนหนึ่ง ผู้ซึ่งพเนจรเข้ามาในหมู่บ้านท้อแท้อย่างคนไร้สติ
เนื่องจากแม่เป็นคนเห็นอกเห็นใจคนตกทุกข์ได้ยาก หลังจากช่วยรักษาอาการของชายคนนั้นหายแล้ว จึงให้เขาอาศัยอยู่กับเราจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

ด้วยเหตุว่าผิวกายที่ดำเหมือนถ่าน คนในหมู่บ้านจึงเรียกชายพเนจรว่า...มืด  และอีกประการหนึ่งซึ่งถูกใจพ่อที่สุด นั่นก็คือเขาไม่เคยหลับไหลในตอนกลางคืน

ผมคนเดียวเท่านั้นที่เรียกแกว่า ลุงแดร็ก

เพราะครั้งหนึ่งในอดีตขวัญอ่อน อายุของเรื่องเล่าผ่านมาหลายปีแล้ว ลุงแดร็กฉีกยิ้มยิงฟันยื่นสีงาช้างคล้ายฟันท่านเคาน์แดร็กคูล่า พร้อมทั้งเปล่งเสียงแหบแห้งว่า คอของผมขาวเหมือนสีฟันของแกเลย !!!

จากวันนั้น ทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ลุงแดร็ก ผมมีอันต้องหดคอและใช้สองมือกุมต้นคอเอาไว้เสมอ
อาชาญหัวเราะอย่างขบขัน ตรงกันข้ามกับไอ้เป๊บซี่ มันไล่ให้ผมไปกินยาของลุงแดร็กจนกว่าจะหมดกระปุก

เวลาของเรื่องเล่าที่ไล่เลี่ยกันนั้น...

ผมเคยขนานนามให้ป้าเอิบกับป้าอาบเพราะคลั่งไคล้กล้วยหอมจอมซน หลงใหลทั้ง ‘บีหนึ่ง’ และ ‘บีสอง’ จึงเพี้ยนเอามาเรียกป้าอ.คูณสองด้วยใจรักว่า

‘อี’หนึ่ง กับ ‘อี’สอง

เท่านั้นแหล่ะ...โดนแม่ตบหัวคว่ำแทบจะทันที โทษฐานไม่มีสัมมาคารวะ และไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ จากนั้น E1 กับ E2 จึงหมดโอกาศเติบโต

 
ในหน้าหนาว เมื่อพระอาทิตย์ลาลับยอดไม้ ความมืดก็เข้าครอบงำแทบจะทันที ไม่มีเวลาอ้อยอิ่ง รอให้ฟ้าเล่นแสงขมุกขมัว

ผมตัดสินใจเดินย้อนกลับเส้นทางเดิม ไอเย็นจากละอองหมอกทำให้ผมห่อไหล่เข้าหากันโดยอัตโนมัติ
สักพักก็มาถึงบ้านหลังแฝด มองเห็นแสงสีส้มอมทองจากไส้ตะเกียงดวงเล็กหลายดวงใต้โคมแก้วบนเสารั้ว ส่องแสงเป็นประกายโดยรอบตัวบ้าน

อาชาญกับผู้ชายอีกสองคนกำลังย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้าด้านใน ขณะที่ตรงราวระเบียง สาวใหญ่คนหนึ่งยืนกอดอกพิงสะโพกกับหัวเสา    ผ้าคลุมผืนเล็ก บาง ถูกเธอคลี่ออกแล้วบรรจงคลุมหัวไหล่ตัวเองอย่างกรีดกราย อันที่จริงความบางและขนาดของตัวผ้า ไม่น่าจะช่วยให้เจ้าหล่อนคลายความหนาวได้เลย

ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่า ความสวยของเธอเกิดจากเครื่องสำอางซึ่งประโคมลงบนหน้าจนกระทั่งหนาเตอะกับเสื้อผ้าอาภรณ์ช่วยเสริมส่ง หรือเป็นเพราะว่าบุคลิกดุจนางพญาของเธอกันแน่

ขณะที่ผมกำลังพิจารณาตัวเธอ ผู้หญิงคนนั้นก็เอี้ยวใบหน้ามามอง และในบัดดลผมก็นึกออกอย่างทันควัน

เจ๊เชอรี่...นั่นเอง
หล่อนเป็นเจ้าของบ่อนไฮโล

สองสามปีมานี้ ไม่มีใครไม่รู้จักผู้ทรงอิทธิพลคนใหม่ในอำเภอนี้ เพราะมีตำรวจใหญ่นายหนึ่งคอยหนุนหลัง บ่อนเถื่อนของเธอเลยกลายเป็นบ่อนถูก ยืนหยัดท้าทายกฎหมายได้ด้วยอำนาจเงินตรา

ว่าแต่...เจ้าของบ่อนพนันมาทำอะไรที่นี่ล่ะ ?

ในระหว่างที่ ผมกวาดตามองหาไอ้แชมป์ สายตาดั่งปลายมีดสองเล่มก็พุ่งมาที่ผม ก่อนจะทอดลงต่ำ เลื่อนจากใบหน้าของผมลงมาจ้องจี้หยกซึ่งห้อยคอผมอยู่ เขม็งมองที่จุดนั้นอย่างแน่นิ่ง

ท่ามกลางความอึมครึมของบรรยากาศ ใบหน้าคมเข้มกับหนวดเคราเขียวครึ้มของอาชาญก็โผล่ออกมา
…คนชี้นำวิถีชีวิตแห่งลูกผู้ชายให้แก่ผม
…อาเขย ผู้สร้างความมั่นใจให้กับผมทุกครั้งบนสังเวียนสนามปั่น บ่อยครั้งที่กลยุทธ์ของอาชาญเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ทำให้จิ้งหรีดของผมต้องเจ็บตัว

“อ้าว ! ต้นน้ำ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ อาเห็นก็แต่จักรยานของเรา แต่ไม่เจอตัวเรา” อาชาญร้องทักเสียงกังวาน  ทอดทุ้มลงต่ำอย่างอ่อนโยน

ผมยืนอยู่หน้าชานบันได มองเลยจากคนหนึ่งไปยังอีกคน ด้วยสายตาที่ต้องการคำตอบมากกว่าอยากจะตอบคำถาม อาชาญมองตามสายตาของผม จากนั้นก็พูดตะกุกตะกัก ราวกับคนติดอ่างที่ห่วงหน้าพะวงหลังว่า

“นี่ เอ่อ...พะ พี่...พี่เชอรี่...อ๋อ !... เออ ! ใช่  ใช่สิ...จากนี้ ต้นน้ำต้องเรียกว่า อา...อาเชอรี่”

“อาเชอรี่...เหรอฮะ ?”

ผมทวนซ้ำประโยคนั้น ท้ายเสียงค่อนข้างสูง เมื่อเดาเรื่องราวได้เองทั้งหมดแล้ว ผมจึงไม่คิดจะมองอาชาญหรือแม้แต่ผู้หญิงของเขา หมุนตัวก้าวฉับยาว ตรงดิ่งไปห้องไอ้แชมป์ด้วยความร้อนใจ

รูปถ่ายของอาเพ็ญในกรอบไม้สักซึ่งเคยเด่นหราติดอยู่บนผนังถูกใครบางคนปลดลงมาวางแอบอยู่กับพื้น เยื้องด้านหน้าประตูห้องนอนของไอ้แชมป์  โชคยังดีที่มันคว่ำหน้า ผมจึงไม่เห็นปฏิกิริยาจากรูปภาพว่าปวดร้าวกับเรื่องนี้เพียงใด

ก่อนจะผลักบานประตูเข้าไป หัวใจของผมกระตุกเล็กน้อย เพราะรู้สึกเป็นกังวลต่ออาการรันทดของคนที่อยู่ข้างในนั้น

แต่ทว่า พอประตูเปิดอ้า ในห้องที่มืดมน กลับไร้เงาของคนผอมบาง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-03-2022 15:52:28 โดย Marakun »

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD]
«ตอบ #3 เมื่อ25-09-2021 21:09:01 »

  [ 4 ]
ผู้หญิงจุ้นจ้านคนนั้น

หลังจากย้ายของเสร็จ ก่อนจะลงจากเรือน  คนงานสองคนนั้นก็ยกมือลานายหญิงของเขาโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเลย
 
ขอสารภาพตามตรงว่า ผมไม่ชอบสายตาของเธอ มันเหมือนมีดที่สลักขึ้นจากน้ำแข็ง ทั้งแหลมคมและเยือกเย็น
เธอคอยจับจ้องผมอยู่ทุกย่างก้าว

“หน้าตาสะอาดสะอ้าน ผิวพรรณผุดผ่อง แต่ว่า...กิริยามารยาทคงต้องปรับกันใหม่” หล่อนพูดเปรย ๆ

เดาว่า เธอคงหมายถึงเรื่องที่ผมลืมยกมือไหว้กระมัง

“ไอ้แชมป์ยังไม่กลับมาเหรอฮะ อา ?” ผมยิงคำถามกับอีกคน ด้วยความร้อนใจ

“ยังเลย” อาชาญตอบ ไม่ยอมสบตาผม

“นี่ก็มืดแล้ว...แค่เอาควายเข้าคอก ทำไมถึงนานนักล่ะฮะ ?” ผมพูด พลางยกข้อมือขึ้นดูเวลา

 เอ ! ผมกลายเป็นคนขี้สงสัยตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะเนี่ย

 “เอาควายเข้าคอกรึ...?” แต่สุ้มเสียงของอาชาญ ฟังดูเหมือนประหลาดใจเสียเต็มประดา

 ผู้หญิงคนนั้นเดินตรงมาที่ผม ยกมือขึ้นกอดอก แล้วบอกว่า

“เธอคงยังไม่รู้ เพื่อนของเธอหนีออกจากบ้านไปแล้ว”

ผมหันขวับไปมองอาเขยแทบจะทันที เพราะต้องการคำยืนยันในคำพูดของหล่อน

“คงไม่ไปไหนไกลหรอก อยู่แถว ๆ บ้านน้าแหววนั่นแหล่ะ”

“แล้ว...อาไปตามหรือยังฮะ ?”

“ประเดี๋ยว พอหายโกรธ แชมป์ก็กลับของเขาเอง”

ผมรู้สึกเจ็บจุกในช่องอก อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

บ่อยครั้งที่ไอ้แชมป์น้อยใจพ่อแล้วมาอยู่บ้านผม ค้างหลายวัน จนกระทั่งแม่ต้องออกปากบอกให้มันกลับบ้าน สาเหตุก็เพราะอาชาญไม่เคยใส่ใจลูกชายแบบนี้นี่เอง

“ถ้าอาไม่ตาม แล้ววันหยุดล่ะฮะ...ใครจะช่วยอาดูแลควาย ?”

ผมพยายามอธิบาย ด้วยความหวังว่าอาชาญจะเห็นคุณค่าของไอ้แชมป์บ้าง อย่างน้อยวันหยุดเสาร์อาทิตย์ พวกเราก็ทุ่มเทกันอย่างเต็มที่ พยายามแบ่งเบางานต่าง ๆ อย่างสุดกำลัง

เจ๊เชอรี่ตอบคำถามของผมด้วยเสียงเรียบเย็นว่า

“เรื่องนั้นน่ะ...เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ชั้นให้คนของชั้นจัดการเรียบร้อยแล้ว จากนี้ไปหน้าที่ของพวกเธอมีอย่างเดียวเท่านั้นคือเรียนหนังสือ”

ผมเหลือบตาไปมองอาเขยด้วยความผิดหวัง เจ็บปวดที่เห็นต้นแบบวิถีชีวิตยกบทบาทสำคัญให้กับคนอื่น ละทิ้งสิ่งที่ตัวเองควรต้องใส่ใจอย่างเช่นความรู้สึกและจิตใจของไอ้แชมป์
 
ผู้หญิงคนนี้จัดแจงเองทั้งหมด โดยไม่รอฟังความคิดเห็นจากใคร

จู่ ๆ ผมก็นึกไปถึงชายแปลกหน้าสามคนนั้นใต้ต้นพุทรา เดาได้เลยว่าทั้งสามคนต้องเป็นคนของเธออย่างแน่นอน
 
เมื่อไม่เห็นประโยชน์ที่จะคุยกับอาชาญในเวลานี้ ความผิดหวังบวกกับความขุ่นเคืองทำให้ผมกระโดดลงจากชาน สับขาหนีเต็มความยาว ทิ้งจักรยานเอาไว้ตรงนั้นอย่างไม่ใยดี

“เดี๋ยวสิ ! ต้นน้ำ ลูก...มาคุยกันก่อน”

เสียงอาชาญวิ่งไล่หลัง ขณะที่ผมก้าวขาเร็วขึ้นกว่าเดิม จนกระทั่งได้ยินเพียงเสียงฝีเท้ากับลมหายใจของตน

เส้นทางมืดมิดในคืนเดือนดับ ทำให้ผมสะดุดกอหญ้า หน้าคะมำ

แต่...ช่างแม่งปะไร !

ตัวผมก็แค่หกล้ม ทว่า...ไอ้แชมป์ล่ะเกิดอะไรกับมันบ้าง ?

ความเย็นชาของอาที่แสดงออกให้ลูกเห็นต่อหน้าผู้หญิงคนใหม่ ต่อให้มีพลังใจเข็มแข็งมากแค่ไหน ในใจลึก ๆ ก็ต้องปวดร้าวด้วยกันแทบทั้งนั้น อาชาญไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่าไอ้แชมป์เป็นคนเซนส์ซิทีฟสูง

ในตอนนี้ อาชาญคงลืมถ้อยคำของตนหมดสิ้นแล้ว...

เมื่อครั้งอาเพ็ญจากพวกเราไปใหม่ ๆ อาชาญจมปลักอยู่กับความโศกเศร้าทุกวี่วัน อาเคยพูดว่า เราสองคนเปรียบเสมือนลมหายใจสุดท้ายของอาที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้ ก่อนจะนอนอามักจะเล่านิทานให้เราฟัง เกาหลังให้จนกระทั่งพวกเราหลับ

ท่ามกลางความวิเวก วังเวง ทั่วท้องทุ่งกังวานก้องไปด้วยเสียงหวีดปีกของจักจั่นเรไร

มันช่างร้อง...เสียงแหลมใส กรีดแทงหัวใจที่มืดดำยิ่งนัก

เพลานี้ ผมเริ่มตระหนักว่าหัวใจดวงน้อยคิดถึงอาเพ็ญมากขนาดไหน เมื่อไม่เห็นแสงจันทร์ส่องนำ ขับไล่ความมืดมนบนเส้นทางแต่ละก้าวที่ขาก้าวเดิน
 
และแล้ว ก็มาถึงเรือนไม้โบราณ ยกใต้ถุนสูง ไฟนีออนเปิดสว่างทั้งหลัง ผมเหยียบขั้นบันไดที่เคยถัดขึ้นถัดลงทีละขั้นอย่างเชื่องช้า ไม่สนใจแม้แต่จะเหลียวมองราวบันไดซึ่งเคยโหนเล่น เดินอย่างเซื่องซึม ผ่านเฉลียงซึ่งแม่กำลังนับถุงผักที่บรรจุเสร็จแล้ว

เช้ารุ่งวันพรุ่งนี้ แม่ต้องส่งแม่ค้าเจ้าประจำ บางรายก็มารับเองจนถึงบ้าน แต่บางรายแม่ก็บวกเงินเพิ่ม จากนั้นก็จัดแจงหาคนไปส่งให้ถึงที่

เสียงตำน้ำพริกดังสนั่นในครัวเป็นฝีมือของป้าเอิบ ด้วยเหตุว่าป้าเอิบไม่มีครอบครัวจึงอาศัยอยู่กับเรา เป็นเสมือนญาติคนหนึ่ง ขณะที่ป้าอาบอยู่กับสามีขี้เมาชื่อ’จ่าอ้วน’ หัวโต ๆ แต่ร่างกายผอมกะหร่อง อาจกล่าวได้ว่าเหมือนไม้เสียบกับลูกชิ้นปิ้ง อย่างไรก็อย่างนั้น

ทั้งสองอ.ต่างไม่มีลูกไว้สืบสกุล
 
ภายในโถงบ้าน พ่อนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานกับเอกสารราชการกองพะเนินตรงหน้า ช่วงนี้ใกล้วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว งานของพ่อจึงมีมากกว่าปกติ

ผมทิ้งน้ำหนักลงบนโซฟาหวายตัวหนึ่ง โซฟาชุดนี้พ่อหามาสำหรับต้อนรับผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งนานปีจะมีครั้ง

อึดใจต่อมา แม่ก็ตามเข้ามา ถามผมเหมือนต้องการเย้ยซ้ำ ว่า

“เห็นรึยังล่ะ ? เมียใหม่ของอาเอ็งน่ะ”

ถึงแม้ผมจะไม่มีคำตอบ แต่สีหน้าของผมคงชัดเจนมากพอ แม่เลยได้ที ว่าต่อเป็นชุดฉอด ๆ

“ปากก็บอกว่ารักแม่เพ็ญเหลือเกิ๊น เมียตายยังไม่ทันไรเลย พาผู้หญิงคนใหม่เข้าบ้านซะแล้ว ลูกเต้าตาดำ ๆ ไม่เคยใส่ใจหรอก”

“ไม่ทันไรของแม่จัน เรื่องมันก็ผ่านมาจะครบหกปีแล้วนะ”

พ่อค้านเบา ๆ แต่นั่นประดุจว่าเติมเชื้อฟืนเข้าไปในกองเพลิง แม่ยิ่งออกอาการปะทุหนัก

“แหม๊…! เข้าข้างกันดีเหลือเกิน เป็นเหมือนกันหมดนั่นแหล่ะ พวกผู้ชาย...เกลียดนัก !”

“ใช่..! เกลียดนัก ผู้หญิงจุ้นจ้าน”

โดยฉับพลัน ผมโพล่งคำนั้นออกไปพร้อมทั้งทะลึ่งตัว ลุกขึ้นนั่ง

เสียงของแม่ชะงักเงียบไปชั่วอึดใจ

“นี่..เอ็ง!.. เอ็ง...ว่าแม่รึ ?”

“เอ่อ !...ป่าวจ้ะ ฉันว่าผู้หญิงจุ้นจ้านคนนั้นต่างหาก แม่ไม่จุ้นจ้านแค่จัดจ้านน่ะ แซ่บบบ !”

ทันใดนั้น พอดีกับป้าเอิบยกขันโตกสำรับข้าวเข้ามา ทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจเรื่องราวดีนักแต่ก็รับคำต่อจากผมอย่างทันท่วงที ว่าพลางหัวเราะไปพลาง

 “ใช่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า น้ำพริกของป้าวันนี้........แซ่บ..! เลียสากกันเลยทีเดียว”

ปกติแล้ว คนบ้านนี้ก็มักจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องแบบนี้แหล่ะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งป้าเอิบที่ประสาทหูเริ่มหย่อนสภาพ

ในค่ำนั้น ระหว่างมื้อเย็น เมียใหม่ของอาถูกเราสามคนเมาท์แรง ทั้งโขลก ทั้งสับ ใส่เครื่องยำจนเละ โดยที่พ่อนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 08:47:54 โดย Marakun »

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD]
«ตอบ #4 เมื่อ25-09-2021 21:16:16 »

  [ 5 ]
อัดลม แห่งเขาสาปยา

ภายหลังกลับจากส่งข้าวลุงแดร็ก ผมเห็นแม่กับป้าเอิบตรงเฉลียงบ้าน นั่งอยู่กลางแคร่ กำลังพับเก็บถุงใส่ผัก

ผมนั่งลงปลายแคร่ แล้วจึงออดอ้อน

“แม่จ๋า พรุ่งนี้ ฉันขอไปบ้านน้าแหววนะจ้ะ”

แววตาของแม่ฉาบประกายขุ่นเคือง อย่างทันทีทันใด

“เอ็งจะไปทำไม ?”

ผมตระหนักดีในเรื่องนี้ ถ้าหากไม่รีบแก้ไข แม่คงไม่ยอมให้ผมได้ย่างกรายไปเฉียดที่นั่นเป็นแน่

“ฉันจะไปตามไอ้แชมป์กลับบ้านจ้ะ”

“ไอ้แชมป์นี่ก็กระไร เอะอะอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ก็หนีออกจากบ้านตะพึด ที่อื่นมีให้ไปอีกถมถืดก็ดั้นไม่ไป”

ผมนิ่งเงียบ ปล่อยให้แม่บ่นเรื่องของไอ้แชมป์อยู่สักพัก
ก่อนหน้านี้ในระหว่างมื้อเย็น ผมเล่าเรื่องให้แม่ฟังทั้งหมดแล้ว
 
“ขืนให้เอ็งไปบ้านน้าแหวว มิต้องเจอกับไอ้เปรตนั่นดอกรึ ?”
 
ผมรู้ว่าแม่กำลังพูดถึงใคร และคนคนนั้นมีอทธิพลอย่างไรกับแม่บ้าง

“โถ่ ! แม่จ๋า  แม่ก็รู้ว่าฉันไม่ต้องการจะข้องเกี่ยวอะไรกับหมอนั่นเลย สำคัญที่สุดไม่ใช่ว่าตอนนี้เขาไม่อยู่บ้านหรอกหรือจ้ะ”

“ถ้าตอนนี้พี่ชายของเอ็งยังมีชีวิตอยู่ แม่คงจะมีความสุขมากกว่านี้ ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา  ต้นน้ำเอ้ย ! ชีวิตของคนเป็นแม่ไม่มีความสุขใดสำคัญไปกว่าการได้เห็นลูกของตนเติบใหญ่ ออกเหย้าออกเรือน แทนที่จะ...”

ท้ายประโยคเสียงของแม่สั่นเครือ ผมดึงมืออวบอิ่มแต่หยาบกร้านมากุมเอาไว้ข้างหนึ่ง

“ข้าก็แค่เป็นห่วงเอ็ง ไม่อยากเห็นเอ็งต้องพบจุดจบเหมือนกับ...ไอ้กล้า”

“แม่บอกเสมอว่า น้ำเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ฉันต้องเข้มแข็งกว่าพี่ต้นกล้าสิจ้ะ ฉันสัญญา...ฉันจะไม่ทำอะไรให้แม่ต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”

นัยน์ตาของแม่ลดความแข็งกระด้างลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะบอกผมด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“อย่าลืม เอาพริกสดไปฝากแม่แหววด้วยล่ะ”   
                                                                     
ถึงแม้เรื่องเลวร้ายจะผ่านไปเกือบห้าปีแล้ว แต่สำหรับแม่ดูเหมือนว่าความตายของพี่ต้นกล้าเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวันวาน   ถึงอย่างไรก็ตามเยื่อใยที่แม่มีต่อน้าแหววก็ยังเหมือนเดิม ไม่เสื่อมคลาย

อันที่จริง ผมคิดว่าคนที่น่าเห็นใจมากที่สุดควรจะเป็นน้าแหวว เพราะเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของเธอแม้แต่นิดเดียว

ป้าเอิบเขยิบเข้ามาจนกระทั่งตัวชิดติดกับตัวผม แล้วกระซิบถามว่า

“แม่จันสั่งป้าตำน้ำพริกรึ”

ว่าแล้วก็หัวเราะร่าอย่างภาคภูมิในรสสากของตน จากนั้นกระวีกระวาดเข้าครัวอย่างรวดเร็วโดยไม่รอคำตอบ

ผมถอนใจ รู้สึกโล่งอกที่แม่อนุญาต ขณะเดียวกันก็เหนื่อยใจไปกับป้าเอิบ


 
วันหยุดถัดมา หลังจากช่วยงานในสวนเสร็จ ผมก็หอบถุงพริกของแม่กับน้ำพริกของป้าเอิบมุ่งตรงไปบ้านน้าแหววทันที

บ้านน้าแหววจะอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ และอยู่ลึกถึงท้ายคลอง ทางเดินริมคลองเป็นคอนกรีต ลักษณะไม่กว้างมาก โย้ขึ้นโย้ลงตามความสูงต่ำของเสาตอม่อ ทั้งสองฟากคลอง บ้านเรือนส่วนใหญ่ทำด้วยไม้ เจ้าของบ้านบางหลังผมรู้จักดี แต่บางหลังผมก็ไม่คุ้นเคย ถึงกระนั้นพวกเขาก็ถามสารทุกข์สุกดิบของแม่ตลอดทั้งเส้นทาง

เมื่อก่อนสมัยเด็ก ผมมาบ้านน้าแหววบ่อยเพราะมีน้ำคลองให้เล่น นับตั้งแต่พี่ต้นกล้าเสียชีวิตก็ห่างหายไป

หลังจาก เดินฝ่าลมหนาวมาสักพักก็ถึงคลองแยก บริเวณนี้เคยมีเด็กตกน้ำตายคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าผมจะว่ายน้ำแข็งแต่สภาพอากาศอย่างนี้ก็ไม่อยากสัมผัสน้ำแม้แต่ปลายเล็บ

ผมพยายามทรงตัวอย่างระมัดระวังบนขอนไม้ขนาดกลางซึ่งทำเป็นสะพานง่ายๆให้คนเดินข้าม ที่สำคัญมันไม่มีราวให้จับ เราต้องประคองตัวเองให้ดี

พ่อเคยคิดจะเปลี่ยนสะพานนี้เป็นคอนกรีตที่แข็งแรงและปลอดภัยกว่านี้ แต่สุดท้ายก็ต้องน้อมรับกับความท้อแท้ เนื่องจากมติของผู้อาวุโสที่เป็นเอกฉันท์ ทุกคนต้องการให้คงเอกลักษณ์แบบดั้งเดิมของมันเอาไว้อย่างนี้
 
“ระวังหน่อย !..ตาหวาน”

เสียงทุ้มกังวาน ทั้งห้าวหาญและนุ่มนวลเคล้ากันของใครคนหนึ่ง  ดังมาจากด้านหลังพร้อมกับข้อมือแข็งแรงที่ประคองเอวของผมเอาไว้ ไม่ให้หล่นตูมลงไป

มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่เรียกผมอย่างนี้ ลำคอของผมตั้งแข็งขึ้นโดยอัตโนมัติ ฝืนใจก้าวต่อจนกระทั่งสุดปลายทาง จึงหันไปมองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“ไอ้ขายาว !”

โดยไม่ทันคาดคิด ผมหลุดสมญานามซึ่งครั้งหนึ่งเคยเรียกขานเขาออกมา

มีนักปราชญ์นิรนามท่านหนึ่งกล่าวเอาไว้ว่า ความซวยมักมาเยือนเราในยามพลบค่ำเสมอ เห็นทีว่าจะเป็นเรื่องจริง
ณ เวลานี้ คนที่ผมไม่อยากเจอตัวมากที่สุดก็คือ

พี่ชายของไอ้เป๊บซี่ คนนี้...!

อันที่จริงเขามีชื่อเล่นครับ แต่ฟังแล้วรู้สึกจั้กกะจี้ เพราะความตะมุตะมิของมันซึ่งผมคิดว่าไม่เหมาะสำหรับคนอย่างเขาเลยแม้แต่น้อย ชื่อเล่นของเขาคือ...
อัดลม
แต่คนส่วนใหญ่เรียกกันสั้น ๆ ว่า...อัด เพราะนิสัยที่ชอบตีรันฟันแทงของเขา

เรื่องร้าย ๆ นักเลงหัวไม้คนนี้เหมาทำทั้งหมด จนกระทั่งนาม ’อัด เขาสาปยา’ ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งคับพวง เดือดร้อนน้าแหววที่ต้องวิ่งเต้นปิดคดี สูญเงินไปหลายแสนก็เพราะลูกชายคนนี้

ทั้ง  …ขโมยควาย
      …ฉุดผู้หญิง
และ ...ไล่ยิงคู่อริต่างถิ่น

จนกระทั่ง...นำพาความตายมาสู่พี่ชายของผม

คนที่จงเกลียดจงชังเขามากเสียยิ่งกว่าใคร ๆ นั่นก็คือ...แม่

บางครั้งแค่หลุดปากเอ่ยชื่อของเขาในคราวเผลอ แม่ถึงกับเบ้ปาก ขากถุยราวกับกินยาขม
 
“เอ็งจะไปแห่งหนใดรึ..? ตาหวาน”

ถึงแม้เขาจะเป็นคนรุ่นใหม่แต่ว่าคำพูดบางคำยังติดมาจากคนรุ่นเก่าอยู่ มีหลายวลีที่พวกผมไม่เอามาใช้แล้ว
 
ผมเลือกที่จะไม่ตอบ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกว่าน้ำเสียงที่เขาใช้ถาม ฟังดูนุ่มหูแปลกกว่าที่เคยก็ตามที ก็เพราะว่า...เขาไม่ได้เอ่ยชื่อของผม

ในขณะเดียวกัน อีกหนึ่งถ้อยคำของแม่ก็ผุดขึ้นมาตอกย้ำความคิด เมื่อสมัยที่ผมเอาแต่วิ่งแจ้นไปฟ้องแม่ว่าถูกนายอัดลมแกล้งอีกแล้ว แม่เคยว่า‘ยุ่งกับหมา หมาก็เลียปาก’  คนประเภทนี้ก็คล้ายกับสุนัข ถ้าเราทำดีกับมัน มันก็จะตามติดเราตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแล้ว อยู่ให้ห่างเป็นดีที่สุด เมื่อเราไม่สนใจ สักพักมันก็จะเลิกยุ่งกับเราเอง

“พอโตมา…เป็นใบ้ซะงั้น”

ในขณะความคิดของผมกำลังล่องลอย ฝ่ายน้้นก็เปรยกับตนเองเบา ๆ ยิ้มขรึม

ดูเหมือนว่า สำนวนข้างต้นจะเอามาใช้กับ’นายขายาว’ไม่ได้เสียแล้ว เพราะเขายืนดักอยู่ด้านหน้าทำให้ผมหนีไปไหนไม่พ้น เลยจำใจต้องพูดกับเขา

“นายถามใคร ?”

ผมต้องบอกเพื่อน ๆ ก่อนนะครับว่า แต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยเรียกนายอัดลมว่า’พี่’

เหตุผลง่าย ๆ ก็คือ...ไม่อยากเรียก
และอีกอย่างหนึ่ง... ผมไม่ใช่คนประเภทปิดบังอารมณ์ตนเอง จนสามารถเอาสิ่งที่รักและสิ่งที่เกลียดมารวมไว้ในห้องใจเดียวกันได้ จนบางครั้งแยกแทบไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังดีหรือร้ายอยู่

“มีเอ็งกับข้าแค่สองคน จะให้ถามหมาที่ไหนวะ?!”

นั้นไงล่ะ !... ในที่สุด หางที่แอบเอาไว้ก็โผล่ออกมาให้เราเห็นจนได้ เขาแกล้งพูดดีได้ไม่นานนักหรอก

 “ฉันไม่ได้ชื่อ ตาหวาน”

เขาจุ๊ปาก ทำเสียงจิ๊กจั๊กเหมือนจิ้งจกทัก ฉีกยิ้มกว้างอย่างกับพอใจในคำตอบของผมเสียเต็มประดา ก่อนจะยิงอีกหนึ่งประโยคคำถามซึ่งทำให้หนังหัวของผมถึงกับร้อนวูบ

“หรือเอ็งจะให้ข้าเรียกว่า…คนสวย”



 :katai1: :katai1: :katai1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 10:02:01 โดย Marakun »

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ทุ่งรัก ทุ่งเสน่หา [EFFECTIONATE FIELD]
«ตอบ #5 เมื่อ25-09-2021 21:30:08 »

  [ 6 ]
ทหารรังแกประชาชน

ผมชูกำปั้นขึ้นแทนคำตอบ

แต่ทว่า นายอัดลมหัวเราะงอหงาย ราวกับว่าเขากำลังดูคลิปตลกที่มันจี้เส้นนักหนา กระทั่งเป้สีเขียวขี้ม้าใบใหญ่ที่แบกเอาไว้บนหลังโยกคลอนไปมา

ผมกวาดตามองชุดที่เขาสวมใส่ สีเขียวเข้มลายพรางเท่ห์ ๆ เมื่ออยู่บนเรือนร่างสูง ยาว ส่งเสริมให้เขาแลดูเจริญหูเจริญตาขึ้นเป็นกอง แต่...ก็ดูดีแค่ภายนอกเท่านั้นแหล่ะ


ห้าปีก่อน หลังจากพี่ชายของผมตายไปไม่นานนัก
หมู่บ้านท้อแท้ของเรามีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันสิบกว่าคนที่อายุเข้าเกณฑ์คัดเลือกทหาร
ในเวลานั้น…นายอัดลมจับได้ใบแดงเพียงคนเดียว
คนที่ดีใจและสมใจที่สุดน่าจะเป็นน้าแหวว เพราะบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เอาไว้หลายแห่ง ด้วยตั้งความหวังว่าวินัยแบบทหารจะสามารถขัดเกลานิสัยของลูกชายคนโตได้


ต่อมา เขาสอบบรรจุเป็นนายทหารชั้นประทวนซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาจับพลัดจับผลูอีท่าไหนได้ จำได้แค่ว่าตอนนั้นน้าแหววจัดงานใหญ่โต มีโต้ะจีนและเวทีดนตรีขนาดใหญ่ พ่อก็ไปร่วมงาน ยกเว้นแม่กับป้าเอิบที่อ้างว่าไว้ทุกข์แด่พี่ต้นกล้ายังไม่ครบร้อยวัน
ตัวผมเอง เนื่องจากไม่อยากเห็นแม่เสียใจเลยปฏิบัติตนตั้งอยู่ในกรอบอย่างเคร่งครัด ถึงแม้อยากจะไปเล่นสนุกด้านหน้าเวทีตามประสาเด็กในเวลานั้นก็ตามที

เสียงกระแอมของเขา ดึงสติของผมกลับมา

 “จะบอกอะไรให้ ตอนเด็ก ๆ เวลาเอ็งนอนหลับ เอ็งชอบละเมอจับแมมมอธข้าตลอด ไม่ใช่จับอย่างเดียวนะ...ขยำขยอกด้วย พอข้าดึงมือออก สักพักเอ็งก็จับอีก จับทั้งคืน เพราะฉะนั้น ช่วยบอกให้ข้าสบายใจสักหน่อยเถิดหนา ข้าควรจะเรียกเอ็งว่ากระไรดี”

“!.ฯ?@#.!”

ผมอ้าปากหวอไปชั่วขณะ ถึงแม้จะมั่นใจอย่างไม่ต้องกังขาว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นไม่ใช่ความจริง

น่าอายที่สุด !...หน้าตาเจ้าเล่ห์ แล้วยังกล้าปั้นน้ำให้เป็นตัวได้อย่างชั่วร้ายชะมัด

“ไงล่ะ...ถึงกับหน้าซีดเป็นไก่ต้ม”

“พูดบ้าๆ ใครเชื่อก็เหี้ยละ”

 “คืนนี้ เอ็งนอนกับข้าไหมล่ะ!...มาพิสูจน์กันว่า ระหว่างชมรมนิยมเต่าขนานแท้กับคนพ่ายแพ้แมมมอธ หน้าตาอย่างเอ็งจะถูกจัดให้อยู่หมวดไหน”

ดวงตาของเขาส่งประกายวิบวับ ขณะเดียวกันมุมปากก็ถูกยกขึ้นข้างหนึ่ง

ถึงแม้ผมจะรู้ดีว่า เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ ชอบโกหก แต่ผมก็ไม่กล้าตกปากรับคำ ครั้งหนึ่งซึ่งจำฝังใจ เขาเคยหลอกให้ผมวิ่งตามไป จนกระทั่งถึงดงไม้ใต้ต้นข่อยเพื่อจะไปดูไอ้เข้ตัวเท่าศาลา ใหญ่กว่าชาละวันถึงสิบเท่า เพราะเขารู้ว่าผมชอบเล่นน้ำแล้วสมมุติตนเป็นไกรทอง

เมื่อไปถึง อย่าว่าแต่เหี้ยเลย กิ้งก่าสักตัวก็ไม่มี...

เขาพูดหน้าตาเฉยว่าเมื่อกี้มันยังอยู่ คงจะแปลงกายเป็นคนไปแล้ว แถมบอกให้ผมตามหาชาละวันในร่างคน โดยสังเกตผู้ชายก้นใหญ่ๆ ซ้ำร้ายยังทำเป็นใจดี ช่วยบอกวิธีเผยร่างจริงของมันให้อีกด้วย

“เอ็งประกบนิ้วชี้เข้าหากันสองข้างอย่างนี้ แล้วทิ่มร่องก้นมันตรงๆ ให้สุดกำลัง”

ในครั้งนั้น ถือเป็นคราวเคราะห์ของลุงนุ้ยตูดกะละมัง และเป็นคราวซวยของผมเองถึงโดนพ่อเฆี่ยนด้วยไม้เรียวเสียยับ


ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ รู้สึกเจ็บจี๊ดตรงหน้าผากเหมือนโดนอะไรดีด

“เอ็งยังไม่ตอบคำถามข้าเลย…จะรีบไปแต่หนไหน ?”

หลังจากเก็บนิ้วชี้ไว้ในที่ของมันแล้ว นายอัดลมก็คาดคั้นจะเอาคำตอบ แต่ผมเลือกที่จะถามกลับ

“ไอ้แชมป์อยู่ที่บ้านนาย ใช่ป่าว?”

เขาถอนหายใจเฮือกยาว อย่างกับว่าจำใจทนฟังเรื่องที่มันน่าเบื่อเสียเต็มประดา

“ข้ารับคำสั่งจากหน่วยพิเศษ มาที่นี่เพื่อปฏิบัติราชการลับโดยเฉพาะ ไม่ได้มาเพื่อช่วยใครตามหาผู้ชาย”

ให้ตายสิ !..อยากจะเอาหัวกระแทกพื้นคอนกรีตให้มันรู้แล้วรู้รอด คุยกับจิ้งหรีดยังได้ประโยชน์เสียกว่า

“อีกอย่าง ข้าเพิ่งเดินทางมาถึง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นในชุมชนของเราบ้าง”

จังหวะนั้นเอง มีผู้ชายคนหนึ่งปั่นจักยานสวนทางมาบนทางเดินแคบๆ พร้อมทั้งลั่นกระดิ่ง ส่งสัญญาณขอทาง

เมื่อชายคนนั้นพ้นไป ผมรีบฉวยจังหวะที่นายอัดลมเผลอ ผลักเขาอย่างแรงชนกับกำแพงบ้านหัวมุมหลังหนึ่ง เสียงดัง

กึก !

จากนั้น รีบฉีกตัวออกด้านข้างแล้วจ้ำอ้าวหนี

นายอัดลมสืบเท้าไล่หลังมาติดๆ เป้ขนาดใหญ่ของเขาถูกยกออกจากแผ่นหลัง ก่อนจะเหวี่ยงลงบนไหล่บางๆ ของผม น้ำหนักมโหฬารของมันทำให้ผมถึงกับสะดุด หยุดอยู่กับที่

“ไหน ๆ ก็จะไปกินข้าวฟรีที่บ้านข้าแล้ว ช่วยแบกเป้หน่อยละกัน”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็ทิ้งถุงผ้าเอาไว้ตรงนั้น มือสองข้างล้วงในกระเป๋า เดินลิ่วไป โดยไม่สนใจว่าผมจะทำอย่างไรกับมัน

เป็นทหาร...รังแกประชาชนชัด ๆ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 09:56:26 โดย Marakun »

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนที่ [ 7 ] 
คนน่าเบื่อ !

ผมลากเป้ ถูครืดคราดไปกับพื้นอย่างทุลักทุเล ผ่านกระชังเลี้ยงปลาหลายแพกระทั่งมาถึงคลองแยกท้ายสุด พอเลี้ยวซ้ายก็เห็นบ้านสีขาวสองชั้น หากเรามองสูงขึ้นไป ที่ชั้นสองจะเห็นระเบียงโดยรอบตัวบ้านกับหน้าต่างซึ่งติดม่านสีฟ้า

เนินหญ้าหน้าบ้านมีขนาดความกว้างเกือบครึ่งสนามฟุตบอล แต่ละมุม ตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับต้นเล็กสลับแซมต้นใหญ่ เหล่าผีเสื้อบินฉวัดเฉวียนสีสันตัดกันกับกุหลาบเลื้อยสีสดซึ่งชูช่อ ออกดอกบานสะพรั่งเกยก่ายกับแนวรั้ว

ห่างกันเพียงเล็กน้อย ต้นสักทองขนาดทัดเทียมกัน เรียงต้นเป็นทิวแถวตามแนวยาวของรั้วไม้ บางต้นมีโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่ภายใต้เงาครึ้มของมัน

ผมไม่ได้มาที่นี่ แค่เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง ต้นสักทองกลุ่มนี้สูงจรดหลังคาบ้านเสียแล้ว
 
ที่ซุ้มศาลา เยื้องห่างออกไปจากหน้าบ้าน นายอัดลมนอนเอกเขนกในเปลตาข่าย ขาเรียวยาวของเขาเหยียดจนสุดอย่างกับคนหมดแรง หนังตาปิดสนิท ปลายแคร่อีกตัวข้าง ๆ กันนั้น น้าแหววนั่งอยู่และกำลังพูดอะไรบางอย่างกับฝ่ายนั้น

ตอนที่ผมยกมือไหว้ ดูเหมือนว่าน้าแหววจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
 
จู่ ๆ ภาพมโนก็ทำให้ผมนึกไปถึงเพลงกล่อมลูกบทหนึ่ง บางทีถ้าหากนายอัดลมจะตัวเล็กกว่านี้สักสิบเท่า เป็นไปได้ว่าเราอาจจะได้ฟังเพลงแม่กาเหว่าด้วยหนึ่งบท

มโนภาพซึ่งไม่อาจจะนึกภาพต่อ ทำให้ผมยิ้มขำ

หลังจาก ดันเป้ด้วยปลายเท้าไปกองแหมะที่หน้าห้องครัว ผมก็ย้อนกลับมา วางถุงผักกับกระปุกน้ำพริกลงบนแคร่ ได้ยินคำพูดของน้าแหววชัดหูว่า

“อีกอย่าง ลุงหมายก็รักลูก ให้ความช่วยเหลือเรามาตลอด...”

ดวงตาของน้าแหววเบิกโตขึ้นเหมือนคนไม่คาดคิดมาก่อน เมื่อแลเห็นผม เรื่องที่กำลังคุยอยู่เลยค้างเอาไว้แค่นั้น

“ต้นน้ำ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ลูก ?”

ผมทำได้แค่ฉีกยิ้มให้เต็มหน้าที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร หยิบของที่แม่ฝากมายกขึ้นชูประกอบคำสนทนา

“อันนี้ แม่ฝากมาฮะ ส่วนเจ้าแซ่บ...นี่ ก็ฝีมือของป้าเอิบ”

น้าแหววนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ สีหน้าและแววตาเปล่งประกายเหมือนคนป่วยเรื้อรังได้เจอหมอมือดี นัยน์ตาระรื่นด้วยน้ำหล่อเลี้ยงกระพริบซ้อนกันติด ๆ สองสามครั้ง

ในช่วงที่ผ่านมา เราอาจมีท่าทีเย็นชาต่อน้าแหววมากเกินไป จนกระทั่งบ่อน้ำใจซึ่งแต่ก่อนนั้นเคยมีต่อกันอย่างล้นหลาม บัดนี้เกือบแปรสภาพกลายซากเป็นตะกอนขุ่นเคืองเสียสิ้น

น้าแหววผลุดลุกจากแคร่ ตรงเข้ามาโอบกอดผม พลางกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ในอก

“ขอบคุณน้ำจิตน้ำใจของพี่จันกับป้าเอิบจริง ๆ ขอบใจน้ำด้วยนะลูก อุตส่าห์เอามาให้น้าด้วยตัวเองจนถึงที่” พูดพลางยกมือผ่ายผอมขึ้น ปาดน้ำตาออกทิ้งข้างแก้ม ทั้งสองข้าง

“โอ้โฮเฮะ ! ยังไม่ทันเปิดกระปุกเลย น้ำพริกของป้าเอิบก็สำแดงฤทธิ์แล้วเหรอฮะ” ผมพูดกระเซ้า

น้าแหววยิ้มทั้งน้ำตา จากนั้นดันตัวผมออกห่างเล็กน้อย กวาดตาสำรวจขึ้นลงอย่างถ้วนถี่

“โตเป็นหนุ่มหล่อ ไม่ทิ้งเชื้อแม่เลย...”

ประโยคนี้ ทำให้ผมยิ้มบ้าง
แหม !... เป็นใครก็ต้องรักคำชม ถึงแม้จะพิศวงกับคำว่า’ไม่ทิ้งเชื้อแม่’ ก็ตาม...เพราะอะไรน่ะหรือครับ
ก็...แม่ของผม ใคร ๆ ก็ชมว่า สวยเหมือนนางเงาะป่า

 “ปีนี้ น้ำอายุสิบหกใช่ไหมลูก? ความสูงกำลังไล่กวดลูกชายน้าเลยมั้ง”

“ไอ้เป๊บซี่น่ะเหรอฮะ ?”

“ไม่ใช่จ้ะ คนนั้นน่ะ เขาตัวเล็กเหมือนพ่อของเขา น้าหมายถึงตาอัดต่างหากล่ะ”

ผมอดกระหยิ่มยิ้มย่องไม่ได้ เหลือบตามุ่งร้ายไปทางเปลญวน
เมื่อก่อน หมอนั่นชอบเอาความได้เปรียบในด้านรูปร่างและพละกำลังที่เหนือกว่ามาใช้ข่มเหงผมอยู่บ่อยครั้ง
จากนี้ไป...แค่คิด นายก็สิ้นอนาคตแล้ว

นายอัดลมยังคงหลับตาสนิท อย่างคนไม่รู้เหนือรู้ใต้

น้าแหววฉุดให้ผมนั่งลงปลายแคร่ด้วยกัน ผมสบโอกาสพินิจพิเคราะห์ผู้หญิงตรงหน้า ถึงแม้น้าแหววจะมีรูปร่างผอมบาง แต่ทุกอณูเนื้อของผู้หญิงคนนี้อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งความทรหด กว่าจะเฟื่องฟูอย่างเช่นทุกวันนี้ได้ ชีวิตต้องฟันฝ่ามรสุมอยู่หลายต่อหลายครั้ง

ในอดีต เมื่อครั้งแรกแย้ม น้าแหววหนีความอัตคัดไปขายแรงงานอยู่ต่างแดนนานหลายปี กระทั่งวันที่ย้อนกลับมาเพื่อต่อสู้กับคำครหาเพียงลำพังอย่างอดกลั้นอดทน เนื่องจาก...ท้องโย้นายอัดลม

โดยที่ ไม่มีผู้ใดรู้ว่า พ่อของเขาเป็นคนเชื้อชาติอะไร !?

น้าแหววเองก็ไม่เคยปริปากในเรื่องนี้ ต่อให้มีคนอยากรู้ เฝ้าเพียรถามอยู่บ่อยครั้งก็ตามที ผู้คนต่างพากันเดาส่งกันไปเองว่า พ่อของเขาเป็นชาวอาหรับหลังจากได้เห็นใบหน้าของเด็กน้อยแล้ว

อีกสิบปีต่อมา น้าแหววก็ตัดสินใจอยู่กินกับนายทหารคนหนึ่งซึ่งมาประจำการที่กองร้อยลาดตระเวนระยะไกล ห่างจากหมู่บ้านของเรา ลึกเข้าไปในหุบเขาราวสิบกิโล

หลังจากคลอดไอ้เป๊บซี่ไม่ถึงปี สามีก็เสียชีวิตกะทันหัน

แม่เล่าว่า ในตอนนั้นน้าแหววไม่มีน้ำตาให้ใครเห็นแม้สักหยด นับได้ว่าเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมากที่สุดคนหนึ่ง
 
ถึงแม้เรื่องเลวร้ายจะถาโถมกันเข้ามา ระลอกแล้วระลอกเล่า นอกจากไม่เสียเวลาคร่ำครวญต่อโชคชะตาแล้ว น้าแหววยังเลือกที่จะสู้อย่างทันท่วงที ด้วยการขอเช่าหน้าน้ำทำกระชังเลี้ยงปลา

จนกระทั่ง ในท้ายที่สุดก็ลืมตาอ้าปากได้ กลายเป็นเจ้าของแพปลาขนาดใหญ่หลายแพในปัจจุบัน

ผมรักและศรัทธาในตัวน้าแหววมาก พอ ๆ กับรักอาเพ็ญ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสองคนเป็นเพื่อนซึ่งห่วงใยกันและกัน มีความรักให้กันประดุจญาติพี่น้อง

“ไอ้แชมป์อยู่ที่นี่ใช่ไหมครับ น้า?”

อย่างทันทีทันใด ผมตรงเข้าประเด็นร้อนของตนซึ่งมาถึงที่นี่ในวันนี้ เพราะยังไม่รู้ว่า...คนที่ผมตามหา อยู่ที่ไหนกันแน่ ? ไอ้แชมป์มาอยู่ที่นี่ จริงดั่งที่อาชาญคาดเดาเอาไว้ไหม ?
ถ้าหากไม่เจอไอ้แชมป์ที่นี่ บางทีมันก็อาจจะอยู่ที่บ้านเพื่อนในห้องเรียนของมัน ไม่คนใดก็คนหนึ่ง

“น่าเบื่อ !”

จู่ๆ หมอนั่น...คนที่ผมเข้าใจว่าหลับไปแล้วก็สบถคำนี้ออกมา สายตามึนงงสองคู่หันไปมองตำแหน่งเดียวกันโดยไม่ได้นัด

ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการ บางครั้งเมื่อเราต้องการคำตอบ สิ่งที่ได้มักเป็นความว่างเปล่าเสมอ แต่ทว่าการกระทำของเขาเพียงน้อยนิด กลับส่งผลกระทบต่อคนอื่นอีกมากมาย

ในครั้งนี้ นายอัดลมก็แค่พลิกตัวหันข้าง เสมือนหนึ่งว่าเขาต้องการเมินเราทั้งคู่

ผมเห็นน้าแหววมองเขาด้วยสายตาของคนเป็นแม่ ซึ่งเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก

และนั่น ทำให้ผมรีบถามซ้ำประโยคเดิมอย่างทันท่วงที ไม่เช่นนั้นครั้งนี้คนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำเล็ก ๆ ของเขา คงหนีไม่พ้นตัวผม

น้าแหววบุ้ยปากขึ้นไปชั้นบน ผมจึงยิ้มได้ด้วยความสบายใจ

หลังจาก คุยกับน้าแหววต่ออีกสักพัก ผมก็ขอตัวออกจากตรงนั้น ด้วยเกรงว่าน้าแหววจะรับรู้ถึงความรู้สึกของผม ซึ่งเอือมระอาเต็มทนกับคนที่เอาแต่นอนพลิกตัวไปมา พร้อมกับโพล่งคำว่า...

น่าเบื่อ !

ทุกครั้งที่ผมเล่าเรื่องเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนให้น้าแหววฟัง

อันที่จริง ผมก็อยากได้ ‘ยาเบื่อ’ สักสิบซองมาเทกรอกปากเขาให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่นับว่าโชคของผมยังดีที่มีน้าแหววอยู่ตรงนั้น ไม่เช่นนั้นผมอาจมีคดีติดตัวตั้งแต่แรกเริ่มของชีวิตวัยรุ่นก็ได้


 :ling2: :ling2: :ling2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 10:38:59 โดย Marakun »

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
  [ 8 ]
คนเศร้าสร้อย

บันไดด้านข้างตัวบ้านนำผมขึ้นสู่ชั้นบนซึ่งแบ่งออกเป็นสองซีกด้วยโถงทางเดิน พื้นห้องลื่นเท้าบ่งบอกนิสัยเจ้าของบ้านว่าเป็นคนละเมียดละไมคนหนึ่ง

ตู้ไม้ทรงสวย ณ มุมห้องตัวเดิมโดดเด่นขึ้นกว่าเดิมเพราะม่านหน้าต่างผืนใหม่ เนื้อบาง ซึ่งปลิวไสวเป็นครั้งคราวยามต้องลม

ห้องนอนของน้าแหววจะอยู่ทางฝั่งตะวันออกติดกับห้องพระ ส่วนของไอ้เป๊บซี่อยู่อีกฝั่งทางซีกตะวันตก ขณะที่ ‘คนซึ่งผมไม่ควรจะเอ่ยนาม’อยู่ชั้นล่างกับแมวตัวหนึ่งของเขา

ตอนนี้ ฐานะของน้าแหววมีกินมีใช้จนกระทั่งเนรมิตสิ่งที่ลูกชายหลงใหลเอาไว้ในบ้านได้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นห้องบันเทิงของไอ้เป๊บซี่ซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยเครื่องเล่นเกมส์ คอมพิวเตอร์และโฮมเธียเตอร์

ขณะเดียวกัน ชั้นล่างก็มีห้องดนตรีอีกห้องหนึ่งของนายคนนั้น

ตรงกันข้ามกับบ้านผม ถึงแม้จะไม่ขัดสนแต่ก็มีโทรทัศน์ขาวดำแค่เครื่องเดียว ซึ่งจำเป็นต้องมี เพราะแม่กับป้าเอิบติดละครหนักมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ แม่ดาวพระศุกร์เล่นส่องสกาวทั่วท้องนภาจนชาวบ้านชาวเมืองติดกันงอม

คนส่วนใหญ่ยกย่องผู้ใหญ่ผันเป็นบุคคลต้นแบบ สาเหตุเพราะพ่อมีสินทรัพย์ที่เปลี่ยนจากทรัพย์สินมากเกินกว่าใคร  ๆ

แต่ผมกลับคิดว่าระหว่างตระหนี่กับมัธยัสถ์ มันมีความก้ำกึ่งกัน แค่เส้นบาง ๆ เท่านั้น

เมื่อใดก็ตาม ที่ผมเอ่ยปากกับพ่อแล้วตัวเลขในบัญชีของพ่อกลายเป็นลบ น้ำเสียงที่พ่อซักมักเข้มข้นเสมอ ผมต้องยกแม่น้ำสะแกกรังทั้งสายมาเป็นเหตุผลในการตอบคำถามอยู่บ่อยครั้ง

โชคยังดีที่พ่อแค่ตระหนี่ ถ้าถี่เหนียวด้วยล่ะก็...แม่น้ำทุกสายคงได้เดือดร้อนกันเป็นแถบ

โชคดียิ่งกว่านั้น ผมมี ‘พ่อทูนหัว’ คนหนึ่งคอยเนรมิตข้าวของให้โดยไม่ซักไซ้ไล่ความ อาชาญบอกว่า ‘พ่อทูนหัว’ เป็นเพื่อนของอา และเป็นนายหัวใหญ่อยู่ทางใต้มีอิทธิพลบารมีมาก ตัวตนของท่านผมยังไม่เคยเจอ มีแค่จี้หยกพร้อมสร้อยคอกับรูปถ่ายหนึ่งใบแทนตัวท่านเท่านั้น

ก่อนหน้าที่อาเพ็ญจะล้มเจ็บเพียงไม่กี่วัน อาชาญสัญญาว่าจะพาผมกับไอ้แชมป์ล่องใต้ไปกราบ‘พ่อทูนหัว’  แต่ทว่าเรื่องร้าย ๆ ก็มาเกิดขึ้นเสียก่อน

เวลานี้ ผมไม่รู้ว่าอาชาญยังจำคำสัญญาเหล่านั้นได้บ้างไหม?


ขณะแง้มบานประตู เสียงซาวด์เอฟเฟกต์ก็ดังกระหึ่มสวนออกมา นอกจากไอ้แชมป์กับไอ้เป๊บซี่แล้ว ในห้องนั้น ก็มีคนตัวเล็กแต่ชื่อใหญ่กว่าตัว อีกคนหนึ่ง

 มันชื่อว่า...มังกร พ่อของมันเป็นช่างสักลายที่ฝีมือฉกาจ หาตัวจับยากคนหนึ่ง

วันนี้ ‘แกงค์มารไม่เคยท้อ’ ของเราในสมัยเด็ก ๆ ขาดก็แต่ไอ้ขวัญกับไอ้เพชร ฝาแฝดคู่นั้นกลายเป็นหนุ่มอย่างเต็มตัว หลังจากจบชั้นประถมหก ไม่ใช่เด็กหนุ่มอย่างพวกเรา ที่ก้ำกึ่งกันระหว่างเรียนและเล่น

ไอ้เป๊บซี่กับไอ้มังกรกำลังเมามันกับปุ่มกดในมือ ขณะที่ไอ้แชมป์นั่งแกะตัวโน๊ตด้วยกีตาร์ ไม่ห่างกันนัก

หลังจากหย่อนสะโพกลงด้านข้าง แชมป์ก็หยุดปลายนิ้ว มันชำเลืองมองผมด้วยหางตาแค่แวบเดียว ก่อนจะเอ่ยปากถาม

ทว่าเสียงที่ดังกระหึ่ม ผมจำต้องโน้มคอเข้าหาร่างผอมบาง จนกระทั่งใบหูแนบชิดติดกับใบหน้าของมัน

โดยปกติ ไอ้แชมป์ก็เป็นคนพูดเสียงเบาเหมือนเราคุยกันในห้องสมุดอยู่แล้ว

ไอ้แชมป์ถามซ้ำอีกครั้ง ซึ่งดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

“สักเกมส์ไหม ?”

ผมมองหน้ามันตรง ๆ ถามกลับโดยไม่อ้อมค้อม

“มึงไม่คิดจะกลับบ้านเลยเหรอวะ ?”

“กูมีบ้านด้วยเหรอ”

มันตอบ เลี่ยงออกเส้นบายพาสซะงั้น ดูเหมือนว่า คนที่ผมตามหาด้วยความห่วงใยจะติดใจบ้านน้าแหววเข้าแล้ว

ใบหน้าของคนตรงหน้าผมนั้น จืดสนิท หนังตาแทบจะเป็นเส้นตรง ตาตี่ ๆ เหมือนถูกขีดด้วยปลายพู่กันโดยฝีมือของจิตรกรฝึกหัด ผู้ซึ่งละเลงลบด้วยหนังยางครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งขนคิ้วบางกิ่ว ดูไร้ระเบียบ

ถ้าหากมีคนทึกทักหรือเดาส่งว่า ไอ้แชมป์เป็นลูกของเจ็กฮง ร้านขายของชำหน้าปากซอยข้างวัด อาจกล่าวได้ว่าร้อยทั้งร้อยไม่มีใครคัดค้าน

ขณะที่ นัยน์ตาหยาดน้ำผึ้งของอาเพ็ญ ทั้งหวานและหยาดเยิ้มเหมือนเพชรา เชาวราษฎร์ ดาราผู้มีชื่อเสียงตลอดกาล ในทำนองเดียวกัน เสน่ห์แบบชายชาญของอาชาญก็เกิดจากประกายตาคมเข้ม บวกกับคิ้วหนาและหนวดเคราเขียวครึ้ม

ทั้งหมดทั้งมวล ตรงกันข้ามกับไอ้แชมป์อย่างสิ้นเชิง

นัยน์ตาของไอ้แชมป์ปรากฏแววเศร้าอย่างชัดเจน ชนิดที่ว่าไม่ต้องสังเกตเราก็เห็น ใบหน้าไม่มีเค้าของอาเพ็ญกับอาชาญเลยแม้แต่น้อย และนั่นเป็นปมด้อยของมันซึ่งผมตระหนักดีที่สุดในเรื่องนี้

ด้วยเหตุว่า ดีเอ็นเอของพ่อแม่ยอมให้ความแปลกแยกปรากฏแทนที่บนหน้า รอยด่างทางความรู้สึกจึงตราไว้ในดวงจิตนับจากนั้น

“เมื่อวานกูไปหามึงที่บ้าน ถึงได้รู้ว่ามึงอยู่นี่”

ผมมองตาอีกฝ่ายในขณะพูด นอกจากประกายหม่นหมองแล้วก็ไม่เห็นสิ่งอื่น

“อาชาญให้กูมาตามมึง”

บางทีความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกอาจจะดีขึ้นก็ได้ ซึ่งผมอยากให้เป็นอย่างนั้น จึงตัดสินใจปล่อยลูกแกะตัวหนึ่งออกไปเดินเฉิดฉาย

สีหน้าของไอ้แชมป์บ่งบอกความไม่เชื่ออย่างชัดเจน

“แน่ใจว่าพูดความจริง”

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าไอ้แชมป์เป็นคนเฉลียวฉลาดสมกับตำแหน่งนักเรียนดีเด่นในด้านวิชาการของมัน

ผมยิ้มแห้ง
จบกัน ชีวิตลูกแกะฝึกหัดตัวน้อย
แต่...ในเมื่อเราขึ้นบนหลังเสือแล้ว ก็ต้องก้าวลงอย่างสง่างามสิวะ เมื่อคิดดังนั้นผมจึงยืดอก สูดลมเข้าเต็มปอด ตอบกลับด้วยเสียงเข้มว่า

“เออ !”

ไอ้แชมป์จ้องหน้าผมเหมือนตำรวจคอยดักพิรุธผู้ร้าย มันส่ายหัว ก่อนจะกล่าวในเชิงตำหนิว่า

“ต่อให้พยายามแค่ไหน มึงก็โกหกไม่เป็นอยู่ดี ขอร้องเหอะ! ต้นน้ำ… อย่าให้โลกของมึงต้องแปดเปื้อนด้วยถ้อยคำโป้ปดอีกใบหนึ่งเลย”

ไอ้แชมป์ต่อว่า หนังตาตี่กระพริบซ้ำถี่ ๆ น้ำหล่อเลี้ยงสีใสเอ่อซึม กลบนัยน์ตาสีดำแกมเทาคู่นั้น

“แค่คนเดียวที่เปลี่ยนไปตั้งแต่แม่ตาย จนบางครั้งกูเผลอคิดว่า...กูอาจไม่ใช่ลูกของเขา กูก็เจ็บมากพอแล้ว มึงอย่าสำเนาความทรมานเพิ่มให้กูอีกคนจะได้ไหม”




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 10:50:08 โดย Marakun »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
มีต่อรึเปล่า รออ่านนะจ๊ะ (พ่อมึงสิ) ยืมเพลงฮิตติดหู มาโฆษณา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
[9]
เรื่องของผัวเมีย

บนจอภาพสีเขียว บรรดานักเตะเสมือนกำลังไล่ตามลูกกลมๆ กับเสียงโห่ร้องจากซาวด์เอฟเฟกต์ซึ่งไล่กระชั้นตามติด

ผมพูดอย่างจริงใจว่า

“กูขอโทษ…กูแค่อยากให้มึงกลับบ้าน”

“มึงเจอเมียใหม่ของพ่อด้วยใช่ไหม ?”

ไอ้แชมป์กำลังหมายถึงผู้หญิงจุ้นจ้านคนนั้น ซึ่งสายตาของหล่อนแสดงเจตจำนงค์อย่างชัดเจน มันตามรังควานผมอยู่ตลอดเวลา ผมกำหินสีเขียวตรงกลางสร้อยคอเอาไว้ด้วยมือสองข้างจนแน่น ประหนึ่งกลัวว่ามันจะหายไป  ในขณะพยักหน้าแทนคำตอบ

“กูจะรอ จนกว่าพ่อจะย้ายเข้าบ้านของเขา” ไอ้แชมป์ตั้งคำมั่น

อันที่จริง ผมก็อยากแต้มพู่กันให้โลกมีสีสวย แล้วลากเอาพระอาทิตย์ไปขึ้นทางทิศตะวันตกแบบนั้นบ้าง

ไอ้แชมป์คงยังไม่รู้ความจริงว่า ในตอนนี้เจ๊เชอรี่เล่นบทนำแทนอาชาญที่บ้านหลังแฝดเรียบร้อยแล้ว เธอคงไม่ย้ายออกในเร็ววันอย่างที่มันคาดเดา

“แต่มึงจะอาศัยบ้านน้าแหววตลอดไปไม่ได้”

ผมทำได้เพียงคว้ากระดาษกับปากกามา แล้วขยี้คำว่า ‘เกรงใจ’ เพื่อจี้ต่อมอีกฝ่าย  ไอ้แชมป์ถอนหายใจเฮือกอย่างกับคนแก่ที่แก้ปัญหาลูกหลานไม่ตก

ชั่วขณะหนึ่งที่มันจ้องหน้าผมอย่างครุ่นคิด จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงที่เบากว่าเดิมเกือบครึ่งเท่า

“กูอยู่บ้านมึง...ได้ไหม ?”

ผมนิ่ง สมองไตร่ตรองอย่างหนักเหมือนกำลังนั่งสอบชั่วโมงฟิสิกส์

ถึงแม้ แม่จะบ่นบ้างอะไรบ้างทุกครั้งที่ไอ้แชมป์มาค้างด้วย แต่พ่อก็เมตตามันทุกเมื่อ

บางที ในครั้งนี้พ่ออาจจะช่วยเกลี้ยกล่อมทำให้ไอ้แชมป์กลับบ้านเร็วขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น อีกอย่างถ้ามันอยู่บ้านผมก็ต้องดีกว่าอยู่ที่นี่ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่แม่รู้ความจริงว่านายอัดลมกลับมาบ้านแล้ว ผมคงไม่ได้มาที่นี่อีก

ในโรงเรียน เราก็เรียนกันคนละห้อง กิจกรรมชมรมก็ต่างกัน โอกาสคุยกันจึงมีน้อย

คิดได้ดังนั้น ผมจึงพยักหน้าแทนคำตอบ

ทันใดทันใดนั้น เสียงห้าวและห้วน ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“ตาหวาน...เป้ของข้า อยู่ที่ใด ?”

ผมแทบไม่รู้ตัวเลยว่า คนที่ผมไม่อยากจะเอ่ยนามมานั่งประกบหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตงิดใจเล็กน้อยว่าเขามองไม่เห็นจริง ๆ  หรือต้องการระรานผมกันแน่...!?

 แต่ถึงกระนั้น ผมก็ตอบเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“วางไว้หน้าห้องครัว”

“ข้างบนนี้ ไม่ใช่สถานที่สำหรับพลอดรักกัน ถ้าคันบั้นท้ายนักก็ลงไปข้างล่างกับข้า”

ถึงแม้จะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้นัก แต่น้ำเสียงสะบัดและท่าทียียวนของอีกฝ่ายก็ทำให้ผมรู้สึกคันในอารมณ์

“ได้ ! มาวัดกันเลย สักตั้ง”

เขาหัวเราะหึ

“ยอมรับความจริงแล้วรึ ว่าคันบั้นท้าย”

“เปล่า ! ชั้นคันไม้คันมือ อยากต่อยนายต่างหาก”

เขาทำเสียงจิ๊กจั๊ก และผมก็รู้สึกอยากบีบคอจิ้งจก ตัวที่อาศัยอยู่ในช่องปากที่น่ารังเกียจนั่น

“อย่างเอ็งนี่ ข้ายินดีนอนให้กระทำตามที่ใจต้องการ”

“ดีแต่พูด เล่นกันตรงนี้เลยสิ อย่าคิดเอาน้าแหววมาเป็นโล่กำบังอยู่ข้างล่าง ต้องการอะไรก็ลุกขึ้นมา”

ผมท้าทายอย่างจริงจัง ผงาดขึ้นยืน

คนก่อเรื่องให้อารมณ์ขุ่นมัว สปริงตัวขึ้นราวกับเสือดาวทะยานตะครุบเหยื่อ เขาเดินวนรอบตัวผมอย่างเชื่องช้า มือสองข้างล้วงเข้าในกระเป๋ากางเกง พร้อมทั้งใช้สายตาสำรวจ ขึ้นและลง

แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้น เขาโน้มตัวเข้ามา ใกล้จนปลายจมูกของเราห่างกันไม่ถึงครึ่งคืบ ทว่าผมไม่เหมือนสมัยเด็ก ๆ ถึงยอมอ่อนข้อให้กับเขาอย่างง่าย ๆ

ตรงกันข้าม ผมจ้องตาเขาอย่างท้าทาย

ภายใต้นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้คู่นั้น นอกจากเปลวไฟสองดวงกระพือพะเยิบพะยาบสะท้อนเป็นเงาให้เห็นแล้ว ข้างในนั้นยังมีเหล่าอสูรตัวน้อยกระโดดหย็องแหย็ง กอดคอกันเต้นรำราวกับเป็นผู้กำชัย

นายอัดลมเคลื่อนใบหน้าออกด้านข้าง ใกล้ซอกหูของผม ลมหายใจร้อนผะผ่าวของเขาเป่าระบายที่จุดสยึมกึ๋ยอย่างจงใจ
ผมยืนแข็งทื่อ รูขุมขนนับล้านเส้นลุกชันแทบทั้งตัว

เสี้ยววินาทีแห่งการตอกย้ำ ริมฝีปากชั่วร้ายก็แตะลงข้างแก้มผมอย่างรวดเร็ว

“เชี่ย ! ทำเหี้ยอะไรของนาย”

ผมรู้สึกหน้าร้อนวูบ เหมือนเลือดทุกหยดแล่นมารวมตัวเป็นกระจุกอยู่ที่เดียวกัน ดูเหมือนว่าลมในท้องจะทำให้ร่างกายของผมขยายใหญ่ขึ้น ไม่กลัวแม้กระทั่งหน้าอินทร์หรือหน้าพรหม  กระโจนเข้าใส่อีกฝ่าย พร้อมทั้งปล่อยหมัด แต่ทว่าปะทะเพียงแค่ลม
 
เขาเอี้ยวใบหน้าเล็กน้อยก็หลบกำปั้นของผมได้อย่างว่องไว

ไอ้แชมป์ช่วยดึงสติของผมอยู่ด้านหลังด้วยการรั้งตัวเอาไว้ ขณะที่ไอ้เป๊บซี่ทิ้งเกมส์ในมือ หันจากผู้เล่นสนามเทียมมาเป็นกรรมการแท้ห้ามมวยแทน

“เฮ้ยมึง ! ใจเย็น ๆ ดิวะ พี่กูแค่แหย่เล่น”

จู่ ๆ บทเพลงซึ่งเคยร้องอย่างสนุกสนานเมื่อครั้งงานกีฬาสีก็ดังก้องขึ้นในหูว่า ‘แหย่รู ๆ ๆ...เอาไม้แหย่รู’

ผมฮึดฮัด ตวาดเสียงบ้าบอ ซึ่งไม่รู้กาลเทศะออกไปอย่างแรง

“กูไม่ใช่เมียงู… โว้ย !”

“…”

ราวเศษเสี้ยววินาที คำว่างุนงงทำให้เพื่อนของผมยืนสงบนิ่งกันชั่วขณะ ประหนึ่งว่าทุกคนกำลังไว้อาลัยแด่เมียงูตัวนั้น ซึ่งถูกไฟนัยน์ตาของผมแผดเผา

น่าแปลก คนที่ควรจะร้อนรน กลับไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลย และดูเหมือนว่าเขากำลังพอใจที่เห็นผมโกรธ นายอัดลมตีหน้ายิ้มระรื่น มุมปากฉีกกว้างเกือบถึงใบหู        เผลอมองใบหน้าเจ้าเล่ห์ที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มพราวแล้ว ก็รังแต่พลอยฟ้าพลอยฝนจะเดือดดาล คำถามที่เขาใช้ก็ยิ่งบาดอารมณ์

“พวกเอ็งเป็นผัว-เมียกันหรือ ?”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ไอ้มังกรซึ่งโอบแขนรั้งตัวผมอยู่ หน้าตาตื่นทันที โดยปกติมันเป็นคนตกใจง่ายและกลัวไปสารพัดสิ่ง คนขี้กลัวรีบออกตัว

“พี่อัด !...พวกผมไม่ใช่กะเทยนะ”

ผมตะเบ็งเสียง คำรามอย่างสุดกำลังว่า

“เออ...เรื่องของผัว-เมีย แล้วมันหนักส่วนไหนของนายวะ จะเอาไงก็ว่ามา”




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 11:09:41 โดย Marakun »

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
  [ 10 ]
ร้ายกาจเกินกำลังต้าน

เขาไม่โต้ตอบ แต่ฮุมฮัมเนื้อเพลง
...
เอา ๆ ๆ ๆ เอาแน่
ฉันรักเธอจนเมาซมซานก็เพื่อต้องการเธอมาดูแล
ฉันรักเดียว ใจเดียวเพียงเธอ
ถ้าไม่ได้เจอโดนยิงลอยแพ
...

ไอ้แชมป์ช่วยดึงสติของผม โดยการแตะหัวไหล่

“ต้นน้ำ มึงกำลัง…โกรธ !”

คำเตือนของมันทำให้ผมรู้สึกตัว

บ่อยครั้งที่การกระทำเล็ก ๆ แต่สำหรับเราถือเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่เสมอ หลังจากดับความพลุ่งพล่านของผมแล้ว ไอ้แชมป์ก็หันหน้าเข้าหาอีกฝ่าย

“ลูกพี่! เลิกเล่นเถอะครับ กลับมาทั้งที ผมว่าหาเรื่องดี ๆ มาฉลองกันจะดีกว่า”

แค่ได้ยินคำว่า ‘ฉลอง’ เท่านั้นแหล่ะ เจ้าพ่อบันเทิงอย่างไอ้เป๊บซี่ก็รีบสนับสนุนความคิดนั้นทันที

“จริงด้วยพี่อัด...จังหวะเหมาะเลยครับ เหล้าโทของลุงสักกำลังหมักได้ที่ แกน่าจะแบ่งให้เราบ้างสักไห”

ว่าแล้วก็ผลักไอ้มังกรให้ตรงออกทางประตู โดยไม่ใส่ใจใบหน้าของมันซึ่งขาวซีดลงอย่างทันตา

“อ๊ะ อ๊ะ...ทำเป็นงง ไปเลย...ไปกับกูเลย ไปขอพ่อมึงด้วยกัน”

“จะดีเหรอวะ ถ้าพ่อรู้ว่ากูเอาเรื่องนี้มาบอกมึง กูโดนกระทืบตายแน่”

“ถ้าอย่างนั้น มึงคงต้องเลือกแล้วล่ะ...ระหว่างตีนพ่อมึงในวันข้างหน้ากับตีนกู ณ เวลานี้ ตีนใครจะทำให้มึงตายเร็วกว่ากัน”

เพียงเท่านั้นเอง นอกจากฝุ่นตลบแล้ว ผมก็มองไม่เห็นแผ่นหลังของทั้งคู่อีก

ว่าแต่ เพื่อน ๆ สงสัยกันบ้างไหมครับ ?
ทำไมไอ้แชมป์ถึงเรียกนายอัดลมว่า ‘ลูกพี่’

ก็...ตั้งแต่ เขาอุปโลกน์ตัวเองขึ้นเป็นอาจารย์นั่นแหล่ะ ราวกับว่าตนเป็นผู้เชี่ยวชาญการบรรเลงเพลงสายเสียนักหนา แล้วก็หลังจากที่เขายกกีตาร์ตัวหนึ่งให้มัน ซึ่งผมเดาว่าก็คงจะเป็นตัวที่เขาไม่ใช้งานแล้วนั่นแหล่ะ นับจากวันนั้น ไอ้แชมป์ก็ตกอยู่ภายใต้เสน่ห์ของเขา

รู้ทั้งรู้ว่า ระหว่างผมกับลูกพี่ของมันเหมือนกระดูกสองท่อนที่ไขว้กากบาทกัน แถมโปะซ้ำอีกชั้นด้วยหัวกะโหลกสีแดง

ไอ้แชมป์คอยตอกย้ำผมอยู่บ่อยครั้ง ว่านายอัดลมเป็นคนดีที่หาตัวจับยากคนหนึ่งบนโลกใบนี้

มิหนำซ้ำ มันยังบอกผมอีกว่า ให้มองคนของมันเสียใหม่ด้วยใจที่ปราศจาก...อคติ

ผมอยากจะอุทานคำว่า ‘อะไรนะ?’ เป็นภาษาอังกฤษ แล้วกลอกตามองบน พร้อมกับตะโกนว่า

โอวว มายย ก๊อดด !

น่าเจ็บใจอย่างที่สุด !

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไอ้แชมป์ก็เป็นเพื่อนที่ผมไว้ใจ ยามใดที่ความหม่นหมองในตัวมันถูกหมางเมิน เมื่อนั้นผมก็จะเจอเพื่อนที่ฉลาดหลักแหลมและรู้ใจเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน อย่างเช่นเวลานี้

ผมเหลือบตามองไอ้แชมป์ซึ่งผลักดันนายอัดลมไปที่ประตู มันกำลังสับหลอกความสนใจของเขา จากอาการแปลกประหลาดอย่างหนึ่งซึ่งก่อตัวขึ้นภายในร่างกายผม

ขณะนั้น แม้สักเล็กน้อยผมก็ไม่กล้ากระดิก ร่างกาย ณ เวลานี้ประดุจว่ากำลังโดนแขวนขึง ตรึงอยู่ปากเหว ด้วยเส้นด้ายเล็กจิ๋วไม่กี่เส้นซึ่งจวนจะขาดอยู่รอมร่อ

ผมฝืนร่างกายอย่างสุดกำลัง พยายามอย่างเต็มที่ที่จะกลั้นลมเอาไว้ในช่องท้อง จนกระทั่งสั่นเทิ้มไปทั้งตัว จากหางตาปรากฏร่างสูงยาวของนายอัดลมถูกไอ้แชมป์กวาดต้อนไปที่ประตูราวกับนักโทษ

เขาถอยหลัง ก้าวหลุน ๆ พลางเหลียวมองผมไปพลางอย่างไม่วางตา

“พวกเอ็งสองคนดูมีพิรุธ กระไร ๆ อยู่”

ถึงแม้จะยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี แต่ทว่านายอัดลมก็มิวายตั้งข้อสังเกตแบบนักเลงที่เฝ้าระวังภัย

ทันทีทันใด เมื่อเขาพ้นประตู ลับไป

ธาตุลมในตัวผมก็ระเบิดตัว ราวกับว่าวันนี้คือวันนรกแตก !

หลังจากระบายลมในช่องท้องหมดแล้ว ผมก็ถอนหายใจครั้งใหญ่ ด้วยความโล่งอก

เป็นความโชคร้ายของผมเอง ทุกครั้งที่โกรธ ธาตุไฟในตัวมักจะแตกซ่าน แล้วกลายสภาพเป็นก้อนลม ปริมาณมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับขีดความรุนแรง

ไอ้แชมป์เคยช่วยผมรับมือกับเรื่องนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง จากความ ดื้อรั้นของไอ้เผือก สุดท้ายความพยศของมันก็ถูกกำราบลงด้วยเกลือเค็ม ๆ แค่ก้อนเดียว

ผมนึกไม่ออกเลยว่า  ถ้านายอัดลมรู้เรื่องนี้เข้า สภาพของผมจะเป็นอย่างไร อาจต้องซ่อนความโอ้ปป้าเอาไว้ภายใต้หน้ากากฮีโร่ตัวใดตัวหนึ่ง หรือปกปิดให้มิดด้วยปี๊บสิบชั้นเลยก็เป็นได้

โชคดีที่มีไอ้แชมป์ ความลับสุดยอดจึงไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้

ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า นายอัดลมเป็นตัวอันตรายซึ่งยากเกินจะรับมือ รอยยิ้มชั่วร้ายกับใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเขาสามารถกระตุ้นความโกรธของผมได้อย่างง่ายดาย

จากนี้ ผมต้องระมัดระวังให้มาก หากเป็นไปได้ก็จะอยู่ให้ห่างจากหมอนั่น    อาจต้องใช้เวลาสักระยะในการหาวิธีกำราบรูปแบบที่ร้ายกาจเช่นเขา

เมื่อใดก็ตามที่นายอัดลมตกเป็นลูกไก่อยู่ในกำมือ

เมื่อนั้น ผมจะยัดเยียดขุมนรกให้กับเขา

จะไม่ใส่ใจในเสียงเว้าวอนของเขาเลย แม้แต่นิดเดียว



 :fire: :angry2: :angry2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 11:33:19 โดย Marakun »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
[ 11 ]
เผลอ

ในภายหลัง ไอ้แชมป์บอกกับผมอย่างมาดมั่นว่า เรื่องบาดหมางระหว่างผมกับนายอัดลมสามารถลบล้างได้ แค่เราทั้งคู่ดวดเหล้าด้วยกันหนึ่งครั้ง

ผมปฏิเสธ เพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้และยืนยันที่จะกลับบ้าน เนื่องจากไม่ได้บอกแม่เอาไว้ว่าจะมาค้างที่นี่ด้วย

ไอ้แชมป์ไม่ละความพยายาม มันสัญญา ถ้าหากคืนนี้ผมอยู่ร่วมวงฉลองด้วย พรุ่งนี้เช้ามันจะกลับบ้านพร้อมผม ขณะเดียวกัน น้าแหววก็เว้าวอน ขอให้ผมอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อน

นายอัดลมขันอาสา หลังจากทานข้าวเสร็จ เขาจะเป็นคนพาผมไปส่งเอง

ผมปฏิเสธสิ่งที่เขาแสร้งทำด้วยการบอกน้าแหววว่าผมขอค้างคืนที่นี่  น้าแหววยิ้มรับเต็มหน้า จากนั้นก็สั่งเด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกของแม่บ้านให้ไปบอกคนงานที่แพ ให้ช่วยเอาปลามาส่งที่บ้านด้วย

ทันใดนั้น ไอ้มังกรก็นึกสนุก เสนอไอเดียแข่งเกมส์ตกปลาภายในเวลาที่กำหนด ถ้าใครได้ปลาตัวใหญ่ที่สุด คนนั้นเป็นผู้ชนะ ซึ่งทุกคนก็กระเหี้ยนกระหือรือจะเล่นด้วย


ขณะเดินเรียงแถวออกจากบ้านหลังขาว ในมือของแต่ละคนก็หิ้วอุปกรณ์กันคนละอย่าง

ผมถือกระแป๋งน้ำ เดินอยู่หลังสุด ถัดจากไอ้แชมป์ แต่ถึงกระนั้นก็ได้ยินคำสนทนาจากคนด้านหน้าทุกถ้อยคำ
ไอ้เป๊บซี่ถามพี่ชายของมัน ว่า

“พี่อัดยอมทำตามความต้องการของแม่แล้วใช่ไหมพี่ ?”

“เอ็งหมายความถึงเรื่องใด ?”

“ฉันหมายถึง การแต่งงานกับพี่มะปราง” ไอ้เป๊บซี่ตอบ

“น้องชายข้า ! พี่ชายของเอ็งเป็นคนทำตามหัวใจตัวเองเท่านั้น จำคำของพี่เอาไว้เสียจะดี หากไม่ใช่เพราะความปรารถนาแล้ว ข้าจักไม่กระทำตามผู้ใดทั้งนั้น ”

ถ้าไม่คิดเอาเอง ผมรู้สึกว่าเสียงของนายอัดลมดังกว่าปกติ ขณะที่เขาเอี้ยวคอหันมา

“พี่มะปรางกับอีเปรี้ยวเป็นเพื่อนกันก็จริง แต่นิสัยก็ต่างกันมากอยู่” ไอ้เป๊บซี่กล่าวลอย ๆ อาจเป็นเพราะคำตอบที่มันได้รับยังไม่ชัดเจนพอ

พี่มะปรางเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนของผมใกล้จะครบปีแล้ว อายุใกล้เคียงกันกับนายอัดลม หน้าตาน่ารัก กิริยาแช่มช้อย และมีผิวสีน้ำผึ้งแบบสาวไทยแท้ ๆ

ขณะที่ ผมนึกถึงลูกสาวคนเดียวของลุงหมาย ไอ้มังกรก็ตั้งคำถามเกี่ยวพันถึงผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนที่ไอ้เป๊บซี่เรียกจิกสรรพนามนำหน้าอย่างชิงชัง

“เปรี้ยว...คนที่เขาพูดกันว่า พี่อัดฉุดมาทำเมียน่ะเหรอ ?”

 “มึงก็พลอยเป็นไปเหมือนกับคนอื่นด้วย หลงเชื่อคำโกหกของอีเปรี้ยว“

ไอ้เป๊บซี่เป็นเดือดเป็นร้อนทันทีทันใด มันต่อว่าไอ้มังกร พร้อมทั้งทิ้งหางตามาทางผม ท้ายประโยคคำว่าคนอื่น

ทุกครั้งที่มีคนกล่าวหาพี่ชายสุดที่รัก ไอ้เป๊บซี่มักทำตัวเป็นเมืองหน้าด่านสาดกระสุนน้ำลายโต้กลับเสมอ ผมตระหนักดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะครั้งหนึ่ง เราสองคนโต้เถียงกันรุนแรงเกี่ยวกับเหตุการณ์หนึ่งในอดีต ที่นายอัดลมเคยกระทำต่อผม


ตอนอายุหกขวบ วัยกำลังซน ผมปีนขึ้นควายรุ่นตัวหนึ่ง ซึ่งมันไม่เคยถูกฝึกมาก่อนจึงยังไม่เชื่องพอ ไอ้ทุยตัวนั้นดีดรุนแรงจนกระทั่งผมเจ็บหนัก และกลัวการขี่ควายแบบฝังใจ

พอนายอัดลมรู้ว่าผมกลัวอะไร เขาก็จับผมโยนขึ้นหลังควายแก่ตัวหนึ่ง โดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องกับน้ำหูน้ำตาของผมที่หลั่งออกมาราวตุ่มแตก

ในวันนั้น ไอ้เป๊บซี่โต้แย้ง ว่า

“ทุกวันนี้ที่มึงกล้าขี่ควายได้ ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะฝีมือของพี่ชายกูล้วน ๆ หรอกเรอะ ?”

มันย้ำว่า พี่ของมันทำตามตำราลูกผู้ชาย

‘อะไรก็ตามที่เราขลาดกลัว ยิ่งต้องเข้าหา แล้วฝึกจิตให้ฉลาดอยู่เหนือความกลัว เมื่อนั้น ความขลาดกลัวจะสูญสิ้นจากเราเอง’

แต่มันไม่ได้บอกด้วยว่า เจ้าของตำราทิพย์เล่มนั้นก็คือพี่ชายของมัน นั่นเอง

“ใช่ กูเลิกกลัวควาย”

ผมยอมรับกับมันอย่างลูกผู้ชายเช่นกัน โดยไม่จำเป็นต้องอ้างตำราใด ๆ  แถมทิ้งท้ายด้วยว่าผมเกลียดและไม่อยากเห็นหน้านายอัดลมพอ ๆ กันกับไม่อยากเห็นผี

ตราบจนทุกวันนี้ ไอ้เป๊บซี่ก็ยังอุทิศตนเป็นองครักษ์พิทักษ์พี่ชายด้วยความรักและภักดีไม่เคยเปลี่ยนแปลง

“พี่กูไม่ได้ฉุดโว้ย กูเป็นพยานได้ อีเปรี้ยวมานอนค้างเอง ตอนที่พ่อของมันมาตาม มันกลัวลุงเสือจะฆ่าตาย ก็เลยกุเรื่องขึ้นมาโกหกทุกคน”

ไอ้เป๊บซี่ยืนกรานด้วยคำพูดเดิม ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง วันนั้น มันกับน้าแหววเข้าเมืองหลวง และยังไม่กลับจากเยี่ยมญาติทางพ่อด้วยซ้ำ

“เลิกพูดได้แล้วน่า เอ็งไม่เหนื่อยบ้างหรือไรกับการแก้ไขความคิดของใครต่อใครเขา คนเขาจะว่ากระไรก็ปล่อยเขาพูดไปเถอะ เราเป็นผู้ชายจะกลัวอันใดกับถ้อยคำติฉินนินทาเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงแค่นี้”

นายอัดลมตำหนิแกมสอนสั่ง ผมมองไม่เห็นสีหน้าของเขา เนื่องจากเดินอยู่ด้านหลัง

ระหว่างนั้นเอง ความคิดของผมก็ตีกันวุ่นอยู่ข้างใน

ถ้าเป็นเรื่องเท็จ แล้วทำไมเขาถึงยอมจ่ายค่าสินไหมง่าย ๆ ตามที่คู่กรณีเรียกร้องล่ะ ?

เสี้ยวเวลานาทีหนึ่งซึ่งผมนึกถึงพี่ต้นกล้า ถ้าหากพี่ชายของผมยังมีชีวิตอยู่ เขาคงช่วยยืนยันความจริงในเรื่องนี้ได้ เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นพี่ต้นกล้าอยู่ที่นั่นด้วย และเป็นพยานบุคคลแค่คนเดียว
 

และแล้ว พวกเราก็มาถึงกระชังปลาของน้าแหวว ซึ่งลอยเคว้งอยู่ริมคลอง ช่วงเวลาย่ำค่ำ แม่น้ำยมกับแม่น้ำน่านหนุนขึ้นพร้อม ๆ กัน เลยทำให้น้ำในคลองเอ่อท้นเปี่ยมตลิ่ง

ผักปอดกอเล็ก กอใหญ่ ทยอยลอยมา

คนงานเฝ้ากระชังคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเรา นายอัดลมอธิบายบางอย่างกับเขา สักพักคนงานคนนั้นก็กลับที่พักของเขาไป

ไอ้มังกรแจ้งกฎเกณฑ์ว่า ผู้เล่นต้องจับปลาด้วยคันเบ็ดพร้อมทั้งต่อสู้กับความหนาวในเวลาครึ่งหนึ่งของชั่วโมง และคัดเอาปลาตัวที่ใหญ่ที่สุดที่แต่ละคนจับได้มาประชันกันในภายหลัง

ผมปฏิเสธที่จะเล่นเกมส์นี้ เนื่องจากเป็นคนแพ้อากาศหนาว มันจึงให้ผมเป็นคนคุมเกมส์ อึดใจต่อมา แต่ละคนก็เหลือเพียงกางเกงในตัวเดียวกับคันเบ็ดในมือคนละคัน

“อยากมีหุ่นเท่ห์ ๆ แบบลูกพี่บ้างจัง”

ไอ้แชมป์เปรยอย่างชื่นชม พลางมองดูแขนขาตัวเอง

ผมเผลอสติ จึงมองตามที่มันชักพา และต้องยอมรับตามตรงว่า นายอัดลมเป็นคนรูปร่างดีคนหนึ่ง แบบนักกีฬาชั่วโมงฝึกมาก ถึงแม้เรือนร่างของเขาจะสูงเพรียว แต่มัดกล้ามทุกมัดแน่นขนัด ผิวคล้ำแลดูดำลงกว่าเดิมเล็กน้อยเพราะกรำแดด  แต่ก็เนียนละเอียด

มีขนสีดำบาง ๆ กลุ่มหนึ่งตรงช่วงอก และลามเลื้อยละเอียดลงเป็นอุยอยู่แถวสะดือ ก่อนจะหายเข้าไปใต้กางเกงในสีหม่นที่พยุงอาวุธประจำกายเอาไว้ กางเกงในเนื้อบางของเขาตุงย้วยลงด้านล่างตามน้ำหนักของแรงโน้มถ่วง

ท่าทาง...เจ้าตอร์ปิโดคงจะหนักเอาการ

ผมคิดเล่น ๆ อย่างขำ ๆ

ทันใดนั้นเอง สายตาดั่งคบเพลิงของนายอัดลมก็เหลียวฉับ มองมาทางผม

แค่เศษเสี้ยววินาทีเท่านั้น ที่สายตาของเราปะทะกัน

ผมหลบลูกกะตาอย่างปุบปับ หันไปมองที่อื่นทันควัน

...นกกระจาบทอง สีเหลืองอ่อนคู่หนึ่ง มีรังรักโอบคู่นอนก่อนค่ำแล้วที่กอปรือ เยื้องห่างออกไปเล็กน้อย ข้าง ๆ กันนั้น กลางวงล้อมใต้เงาอึมครึม ต้นลำพูใบครึ้มปรากฏแสงหิ่งห้อย กระพริบปริบปรับให้เห็น...



เวลาผ่านไป...
นานแค่ไหนผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าหัวใจตัวเองยังคงเต้นผิดจังหวะอยู่

พอดึงสายตากลับมาตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ก็พบว่าดวงตาคู่นั้นยังคงจ้องอยู่ และร้ายไปกว่านั้นเขากำลังยิ้ม


เชี่ย...!



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-06-2022 10:31:03 โดย Marakun »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
พี่ต้นกล้า เป็นเพื่อน หรือแฟน กับนายอัดลม หว่า

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
[ 12 ]
Game Master กับ Player จอมอึด


ไอ้มังกรบอกว่า ในครึ่งชั่วโมงนี้ นอกจากควบคุมเวลาให้แม่นยำแล้ว ผมซึ่งบัดนี้ถูกเรียกว่าเกมมาสเตอร์ต้องตักน้ำเต็มถังสาดไปยังผู้เล่นแต่ละคนทุก ๆ ห้านาที

ผมยอมรับโดยไม่ต้องกังขาว่า ถูกใจเกมส์ตกปลาของไอ้มังกรอย่างที่สุดของที่สุด

ขณะที่ไอ้เป๊บซี่ร้องโอดโอย แค่ถอดผ้ามันก็ว่าหนาวเกินพอแล้ว แต่ถึงกระนั้นในตอนท้ายมันก็ลงเล่นเกมส์ เนื่องจากไอ้มังกรเพิ่มเหล้าของลุงสักอีกห้าไหเป็นรางวัลล่อตาล่อใจ

นายอัดลมขอเป็นคนแรกที่จะโดนผมสาดน้ำ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการอวดเบ่งหรือว่าอย่างไร ขณะที่พรรคพวกของผมเลือกที่จะจับไม้สั้นไม้ยาวเพื่อจัดลำดับคิวกัน

ในขณะผมนั่งฆ่าเวลา รอสามคนนั้นอยู่ข้างบ่อด้วยการโกยถังพลาสติกขึ้นแล้วเทน้ำลงอย่างครึ้มใจ หมอนั่นก็เดินตามมา จากนั้นก็หย่อนสะโพกลงข้างตัวผม ฝ่ามือของเขาสัมผัสระกับผิวน้ำ ขณะสายตาจับอยู่ที่ใบหน้าผม ส่วนริมฝีปากก็เปรยว่า

“เย็นเอาเรื่อง”

ผมขยับตัวหนี ลุกไปนั่งอีกที่หนึ่ง เขาก็ลุกตาม แต่ทว่าเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากท่อนขาของเขาแนบชิดติดกับท่อนขาของผมจนเนื้อของเราแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

ถ้าผมขยับอีกครั้ง มีหวังในรอบนี้ หมอนี่ต้องคร่อมตักผมแน่...

“ตรงนี้ก็เย็นพอ ๆ กับตรงนั้น”

ผมเริ่มควบคุมสติ
 
ขณะสูดลมเข้าปอด  ภาพควายในมโนก็ออกมาโลดแล่นพร้อมกับถูกนับจำนวนอยู่ข้างใน   พยายามสร้างจินตนาการว่า ควายฝูงนั้นเรียงหน้ากันเข้ามาเพื่อสัมผัสกับน้ำเย็น ๆ ซึ่งผมโกยขึ้นจากบ่อด้วยฝ่ามือ แล้วลูบไล้ตัวมัน

“สนุกมากรึไง ?” นายอัดลมถาม

เมื่อเห็นผมไม่ตอบ เขาก็เริ่มพูดจาแปลก ๆ

“ท่าทางเอ็งคงกำลังขาดน้ำ ตรงข้ามกับตัวข้าเสมือนว่าในตอนนี้น้ำในตัวมีมากจนแทบจะระเบิด บางที
เขื่อนที่กักเก็บเอาไว้อาจพังทลายได้ง่าย ๆ แค่ใครสักคนพูดคำว่า...อิคึ อิคึ”

“ฉันรู้สึกสนุกที่จะได้เห็นใครบางคนถูกทรมานต่างหาก”

ผมโต้ตอบ พลางซัดน้ำก้นถังใส่เขา

นายอัดลมส่งเสียงซี๊ดซ๊าด นัยน์ตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับเหมือนตาพระเอกของป้าเอิบ ขณะเข้าพระเข้านางในละครไม่มีผิด ป้าเอิบบอกว่าตาของพระเอกคนนั้นยิ้มได้...


หลังจากจับไม้สั้นไม้ยาวเสร็จ ไอ้มังกรซึ่งได้คิวท้ายสุดก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าเกมส์ของมันกำลังเริ่มต้น

“ไอ้น้ำ...มึงต้องสาดน้ำให้เต็มถังนะเว้ย แล้วก็วนให้ครบทุกคน” มันออกคำสั่ง

อย่างทันทีทันใด ผมซึ่งตั้งท่ารออยู่แล้วก็ประเคนน้ำใส่นายอัดลมเป็นคนแรก  หากตักน้ำให้ล้นถังได้ผมคงจะทำ

รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่เขาไม่แสดงอาการใด ๆ ให้เห็น นอกจากรอยยิ้มที่ฉีกจนกว้างเหมือนเช่นเคย

เมื่อถึงคิวของไอ้แชมป์กับไอ้เป๊บซี่ ทั้งคู่ออกอาการสะดุ้งจนตัวยืด ขณะที่ไอ้มังกรกระโดดเหยง ๆ ราวกับกุ้งดีดหนีน้ำร้อน

ในเวลาต่อมา ทุกคนก็จดจ่อสมาธิอย่างแน่วแน่กับปลาซึ่งเริ่มตอดเบ็ดทันทีที่พวกเขาทิ้งเหยื่อลงไป แม้ว่าร่างกายของใครบางคนจะมีอาการหนาวสั่นปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนก็ตามที

ผ่านไปทั้งหมดสามรอบ...

ไอ้มังกรก็ตะโกนขึ้นก่อนใครว่า มันพอใจในขนาดของตัวปลาที่จับได้แล้ว

พอรอบที่สี่...

ไอ้แชมป์กับไอ้เป๊บซี่ก็พูดในลักษณะเดียวกันบ้าง ทั้งสามคนรีบสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว

“หนาวว่ะ... กูกลับก่อนนะ”

ไอ้แชมป์ยอมรับกับผม เสียงของมันขาดเป็นห้วง ๆ เนื่องจากขากรรไกรแข็งค้าง หลังจากพูดเสร็จก็หิ้วถังปลา วิ่งตามสองคนนั้นไปซึ่งไม่ร่ำไม่ลาอย่างรวดเร็ว

“เฮ้ย ! พวกมึง... “ ผมร้องตาม

อึดใจต่อมา หลังจากเหลือบมองเวลาครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจของผมก็เริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรให้นายอัดลมเลิกเกมส์นี้เร็วขึ้น

“ถ้าการจับเวลา มันน่าเบื่อนัก...ก็มาตกปลาด้วยกันสิ” เขาชวนคุย เหมือนอยากทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัด
ผมรีบฮุบโอกาสซึ่งเขาเปิดช่องให้อย่างทันทีทันใด

“แค่นายเก็บคันเบ็ดแล้วกลับขึ้นบ้าน ชั้นก็หายเบื่อแล้วล่ะ”

“ในฐานะที่เอ็งเป็นเกมมาสเตอร์ ไม่มีผู้เล่นแม้สักคนทนเล่นเกมส์ของเอ็งจนกระทั่งครบเวลา เอ็งยังคิดจะยอมให้มันจบง่ายดายกระนั้นหรือ”

“แค่นายมองข้ามเงื่อนไขของเวลา เกมส์นี้ก็ถือเป็นอันจบน่า”

ผมกล่าวอย่างใจเย็น ถึงแม้ข้างในจะโต้แย้งเขาว่า

มันใช่เกมส์ของฉันที่ไหนกันเล่า…!

“เอ็งกำลังจะบอกให้ข้าทำเรื่องทุจริต คอรัปชั่นอยู่” เขาว่า

“บ้าน่า...นายกำลังทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ต่างหากเล่า มันก็แค่เกมส์โง่ ๆ เกมส์หนึ่ง จะเอาดินที่ตัวตุ่นขุดมาปั้นให้เป็นภูเขาทำไม ?...นายเองก็จับปลาตัวใหญ่ได้ตั้งหลายตัว ชั้นรับรองว่านายชนะใส ๆ อีกอย่างนายก็รู้ว่าตอนนี้ทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว”

“เอ็งคนเดียวกระมังที่เข้าใจเยี่ยงนั้น ใช่ว่ากลับทุกคนเสียเมื่อไหร่”

สรุปแล้ว เขาไม่ใส่ใจในสิ่งที่ผมพล่ามเลยแม้แต่น้อย

“ก็ได้ ๆ ตกลง... เอาเป็นว่า ชั้นจะพูดให้ถูกต้องและเข้าใจง่ายอีกนิด ชั้นเบื่อที่จะต้อง...มานั่งเฝ้านาย !”

“ข้าว่า เอ็งเลิกเพ่งนาฬิกาเถอะ” เขาสรุปทันทีทันใด พร้อมกับชักคันเบ็ดขึ้นมา

ปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งดิ้นโง่ ๆ อยู่กลางอากาศ

นายอัดลมปลดมันออกจากตะขอ โยนลงถัง แล้วติดเหยื่อชิ้นใหม่เข้าไปอีกครั้ง
 
ปลาพวกนั้นดิ้นกันขลุกขลักอยู่ในพื้นที่แออัด ซึ่งต่างจากผมที่เดินอึดอัดอยู่บนพื้นที่กว้าง

นายอัดลมเอ่ย ขณะยืนหันหลังให้ผมว่า

“ถ้าเอ็งอยากแก้เบื่อด้วยการตีหนอน แล้วกระฉูดน้ำเล่นจนกระทั่งครบเวลา ข้าก็ไม่ว่ากระไรดอก”

ผมรู้ดีว่าเขาจงใจพูดยั่วโทสะ จึงย้อนแค่เบาะ ๆ ว่า

“หนังหน้าของนายคงหลอมด้วยเหล็กล้า ถึงพูดเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไม่รู้สึกอายปาก”

เขาหัวเราะหึ หึ

“เอาอย่างนี้ ข้าจะช่วยสงเคราะห์และแก้อาการเบื่อให้เอ็ง ด้วยโชว์ที่แสนเย้ายวน”

พูดเสร็จ เขาก็หมุนสะโพกควงเป็นวงกลม พร้อมกับเดินไปด้านหน้าสลับมาด้านหลังเหมือนนกกระเด้าลมเดิน

ผมยอมรับว่ารู้สึกประหลาดใจที่เห็นหมอนั่นในท่วงท่าตลกอย่างคนเสียสติแบบนั้น แต่ถึงกระนั้น ผมก็พูดบางอย่างซึ่งทำให้เขาหยุดการกระทำในสิ่งที่กระตุ้นน้ำย่อยจากลำไส้อย่างเลวร้ายลง

“การแสดงเหมือนคนปวดท้องขี้ ฉันว่านายรีบขึ้นบ้าน แล้วไปเข้าห้องน้ำไม่ดีกว่าเรอะ”

อึดใจต่อมา เขาก็วางคันเบ็ดลง แล้วสปริงข้อเท้าดีดตัวขึ้นกลางอากาศ ม้วนหลังตีลังกา ก่อนจะลงเท้ายืนกับพื้นอย่างสง่างาม

ถ้าเป็นการกระทำของคนอื่น ผมคงกล่าวคำชื่นชมจากใจจริง แต่ความมาดมั่นของฝ่ายนั้นทำให้ผมเบะปาก

“ถามหน่อยเถอะ นายคิดว่าโชว์ของนายต่างจากสมัยเด็ก ๆ ตอนที่พวกเราเล่นน้ำแล้วใช่ไหม ? ชั้นว่า...เจ้าจ๋อซึ่งตัวเล็กกว่านายเกือบร้อยเท่าก็ทำแบบเดียวกันนี้ได้”

ชั่วครู่หนึ่ง  เขาทำท่าลังเล เหมือนกำลังชั่งใจกับอะไรบางอย่าง

ผมรู้สึกว่า ตัวเองชักจะถือไพ่เอาไว้ในมือ จึงยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งอย่างนึกลำพอง

รวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด นายอัดลมถอดกางเกงชั้นในของเขาลงสู่ปลายเท้า ก่อนจะเตะมันทิ้งด้วยขาข้างหนึ่ง

สาบานได้ว่า ผมดึงสายตาหนีไม่ทันความว่องไวของเขาอย่างแท้จริง อีกทั้งตกใจ ระคนไม่คาดฝัน

พับผ่าสิ !

ผมตะโกนขึ้นว่า

“ทำบ้าอะไรของนาย ไม่รู้จักอายคนบ้างหรือไง ?”

ถึงแม้ท้องฟ้าจะมืดมนแกมทะมึน แต่แสงไฟจากหลอดนีออนซึ่งติดอยู่โดยรอบก็สว่างเจิดจ้า สามารถเห็นอะไรต่อมิอะไรได้อย่างชัดเจน

ลูกกะตาแจ่มแจ้งเจ้ากรรมดันสั่งการสมองอย่างฉับพลัน จดจำทั้งรูปลักษณ์และรูปทรงอลังการ ซึ่งดูเหมือนว่ามันไม่สะทกสะท้านต่อสภาพอากาศเลยแม้แต่น้อย

เหนือแพไหมดกดำ หลุมสะดือลึกบุ๋มลง ท่ามกลางขนอุยลู่น้ำ :hao6:

เขาก้มมองต่ำ ถามผมด้วยน้ำเสียงติดไปทางภาคภูมิ

“เอ็งคิดว่า ข้าควรจะอายกระนั้นรึ ?”

ผมกระชากสายตาขึ้น จากความมโหฬารผ่านหน้าท้องแบนราบกับซิกแพคลาง ๆ จากหน้าอกแน่นเนื้อขึ้นสู่ใบหน้าคมเข้ม

นายอัดลมกล่าวต่อ พร้อมทั้งหัวเราะเบา ๆ ว่า

“ดูเอ็งทำหน้าเหมือนปลาบู่ตกใจ...อย่างกับว่าเมื่อก่อนไม่เคยจับมันกระนั้นแหล่ะ ทั้ง ๆ ที่สมัยเด็ก ๆ ...”

“เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว ชั้นอับอายแทนขนาดของนายต่างหาก”

ผมรีบตัดบท ก่อนที่เขาจะพล่ามต่อในเรื่องบ้า ๆ อย่างเพ้อเจ้อ

ทันทีทันใดนั้น ตาของเขาก็ลุกวาว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ฉายฉาบโดยรอบมุมปาก

“ถ้าเช่นนั้น เอ็งคงไม่อายกระมังที่จะสำแดงให้ข้าได้เห็น ถือว่าเป็นบุญตาของข้าสักครั้ง”

“ฝันไปเถอะ ! “ ผมปฏิเสธ

“ชั้นไม่ใช่พวกจำอวด เอะอะ ๆ ถอด เหมือนอย่างนายหรอก”

ปี๊บ ! ปี๊บ !
ทันใดนั้นเอง สัญญาณบอกเวลารอบที่ห้าก็ดังขึ้น

ผมตักน้ำจนเต็มถัง แล้วสาดโครมไปที่เขาประหนึ่งว่ามันจะช่วยระบายความอัดอั้นลงได้
สาดแล้ว สาดอีก แล้วก็...สาดอีก

ขณะเดียวกัน ผมก็ตัดสินใจแล้วว่า ผมต้องเป็นคนถอดปลั๊กของเกมส์นี้ เวลาของเกมส์สิ้นสุดแล้ว


 :m16: :m16: :m16:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 14:08:44 โดย Marakun »

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
นายอัดลม รักน้องน้ำฝังจิตฝังใจ

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
[13]
 ช้างป่าหรือว่ายีราฟ ?

ขณะเฉียดถังปลา ความระรานแล่นจากสมองลงสู่ปลายเท้า

ผมเดินสะดุด มันล้มคว่ำ กลิ้งหลุน ๆ

นายอัดลมตะกายถังของเขา มองตามปลาตัวโตซึ่งสะบัดหางแห่งเสรีภาพครั้งใหญ่ใต้ผิวน้ำ ก่อนที่พวกมันจะดำดิ่งลึกลงก้นบ่อ

“เอ็งนี่ !...”

เขาคำรามได้เพียงแค่นั้น ส่วนที่เหลือ...คือบทละครซึ่งผมจัดเต็ม

“เอ็ง ๆ ข้า ๆ”

เริ่มต้นความสนุกจากการเล่นคำสรรพนามของเขา ต่อจากนั้นผมก็งัดเอาทักษะการแสดงจากชมรมศิลปะการละครออกมา

“ต้นน้ำ...เจ้าทำอะไรลงไปล่ะเนี่ย”

“ข้า...ข้าเสียใจ...ข้าไม่มีเจตนาเลยจริง ๆ”

“ท่านนักบุญผู้มีใจเมตตาของเหล่าข้า...พวกข้า...ปลาตัวน้อยซาบซึ้งใจยิ่งนักที่ท่านให้กำเนิดชะตาชีวิตครั้งใหม่ หัวใจของท่านเปี่ยมล้นด้วยเมตตา บุญคุณครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก พวกข้าจักไม่มีวันลืมเลย...ท่านนักบุญผู้มีใจเมตตาของข้า”

เพราะความเงียบของอีกฝ่าย ผมจึงเหล่ตาข้างหนึ่งขึ้นมอง

นายอัดลมกำลังเพ่งมองมาทางผม  ไม่ปรากฏให้เห็นว่านัยน์ตาของเขามีอาการขุ่นเคืองแต่อย่างใด ในนั้นมีแววประหลาดบางอย่างซึ่งผมก็อธิบายไม่ถูก

ผมหมุนตัว และซ่อนยิ้มขำ ก่อนจะก้าวขาออกจากตรงนั้น

ทันใดนั้นเอง เขาก็ตะโกนขึ้นว่า

“ในเมื่อพวกเจ้าเป็นปลาตัวน้อย เหตุใดจึงมาอยู่บนบกเล่า ความจริงที่ถูกต้อง พวกเจ้าควรจะอยู่ในน้ำต่างหาก”

วินาทีต่อมา แผ่นหลังของผมก็สัมผัสถึงแรงกระชากวูบหนึ่ง อึดใจต่อจากนั้นทั้งผมและเขาก็หล่นตูมลงน้ำพร้อม ๆ กัน



ผมรู้สึกว่า...ระยะทางจากแพปลาถึงบ้านหลังขาวไกลมาก เหมือนโลกไปดาวอังคาร ไกลชนิดไม่มีที่สิ้นสุด

ที่บริเวณลานบ้าน เพื่อน ๆ ของผมกำลังช่วยกันก่อไฟพร้อมกับกางเต้นท์หลังหนึ่ง ขณะที่น้าแหววกับเด็กรับใช้คนหนึ่งกางเสื่อปูพื้นในพื้นที่ติดกัน

“ตายแล้ว !…” น้าแหววอุทานอย่างตกใจเมื่อแลเห็นผม จากนั้นปรี่เข้ามาโอบร่างผมซึ่งหนาวสั่นจนขากรรไกรกระทบกันระรัวเข้าสู่ตัวบ้านอย่างรวดเร็ว

“ทำไมถึงเปียกทั้งตัวแบบนี้ล่ะ ?” น้าแหววขมวดคิ้วถาม

จังหวะไล่เลี่ยกันนั้นเอง นายอัดลมก็ตามเข้ามาถึงด้านใน

ในบทละคร คนที่เป็นตัวร้ายต่อให้ยืนหายใจเฉย ๆ คนก็รู้ว่าเขาเล่นบทร้าย อย่างไรก็ตามผมช่วยบอกใบ้ผู้แสดงบทร้ายให้คนดูเข้าใจง่ายอีกนิด โดยการชูนิ้วกลางข้างหนึ่งใส่เขา
 
น้าแหววหันไปดุนายอัดลม เป็นจริงเป็นจังประดุจนักแสดงที่เข้าถึงบทบาทแม่เสือสาวกำลังหวงลูกอ่อน

“ทำไมถึงชอบแกล้งน้องนักนะ คอยดูเถิด !...ถ้าครั้งนี้น้องเกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกละก็ แม่จะจัดการเจ้า ไม่ต้องรอให้ถึงมือป้าจันทร์ดอก”

เขานิ่งเงียบ อึดใจต่อมา ตัวร้ายไร้บทพูดก็เดินเข้าห้องของเขาไป

น้าแหววสั่งผมให้รออยู่ตรงนั้น ก่อนจะกระวีกระวาดไปหาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน ผมพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมร่างกายไม่ให้มันสั่น

หายไปแค่ชั่วอึดใจ น้าแหววก็หอบเสื้อกับกางเกงปรี่เข้ามา
แต่ ทันใดนั้น...
ผ้านวมผืนหนึ่งก็โยนตัดหน้าออกมาจากมุมใดมุมหนึ่ง

ในชั่วโมงหนาวเหน็บสิ้นความทระนง ผมคว้าผ้าผืนนั้น แผ่ออกเต็มความยาวของมัน ก่อนจะโอบกระชับไออุ่นเข้าหาตัว กลิ่นกายของความเป็นชายฟุ้งกระจายโดยรอบตัวผม

“เอ็งควรจะแช่น้ำร้อนด้วย ไม่เช่นนั้นอาจจับไข้ได้ง่าย ๆ เหมือนสมัยเด็ก ๆ รอที่นี่...อย่าไปไหน ข้าจะไปเตรียมน้ำอุ่น”
 
นายอัดลมออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ต่างไปจากเดิม เสียงของเขาคล้ายกับตอนพลบค่ำไม่มีผิด ขณะประคองผมเดินข้ามสะพาน

น้าแหววบอกผมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล หลังจากนายอัดลมลับตาไปแล้วว่า

“พ่อคนนั้นน่ะ...บางครั้งชอบเล่นอะไรแผลง ๆ ต้นน้ำก็อย่าถือสาเลยนะลูก”
ผมรับปาก เพราะไม่อยากเห็นน้าแหววคิดมาก ดูเหมือนว่าเจอกันในรอบนี้ น้าแหววจะผอมลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ
“เสื้อนวมกับกางเกงตัวนี้น้าซื้อมา ด้วยความตั้งใจว่าจะให้เป็นของขวัญวันเกิดตาอัดเขา แต่พอเจ้าตัวแลเห็น ก็บอกว่าชุดนี้เหมาะสำหรับต้นน้ำมากกว่าตัวเขา แถมยังกำชับให้น้าเก็บเสื้อกับกางเกงชุดนี้เอาไว้ให้ดี รอจนกว่าวันที่ต้นน้ำจะมาเยือนที่นี่”

น้าแหววพูด พลางลูบชุดในมืออย่างเบามือ

“พ่อคนนั้นน่ะ...เขาชอบอะไรที่มันเก่า ๆ บางครั้งก็เล่นอะไรรุนแรง  ยิ่งรักแรงก็ยิ่งเล่นแรง ถ้าเมื่อไหร่พี่เขาเล่นจนเกินพอดี ขอให้บอกน้านะลูก น้าจะจัดการให้เอง”

 


ที่บ้านน้าแหววมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ซึ่งสามารถแช่ได้พร้อมกันสองคน นายอัดลมกำลังผสมน้ำร้อนกับน้ำเย็นลงอ่าง
ไอน้ำขาวขุ่นลอยโขมงกลุ่มใหญ่… :katai5:

อุต๊ะ...ผมอยากจะฝังตัวในน้ำอุ่น ตั้งแต่วินาทีนี้เลย :hao7:

“นายทำให้มันเร็วกว่านี้หน่อย ไม่ได้หรือไง ”

เขามองหน้าผม ทำท่าเหมือนอยากจะดุ แต่แล้วก็บอกผมว่า

“ถอดเสื้อผ้าก่อนเถอะ“

ผมทำตามอย่างว่าง่าย รีบคลายผ้านวมที่หุ้มตัวราวกับหนอนไหมออก แขวนชุดซึ่งถือมาด้วยบนตะขอแขวน จากนั้นถอดเสื้อตัวนอก ตามด้วยตัวใน พาดทั้งหมดรวมกันบนราวแขวนผ้า

ในขณะปลดเข็มขัด ใจก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งซึ่งเฝ้าเขม็งมอง

จู่ ๆ ความหวามไหวในอกก็ตื่นตัวขึ้น เสมือนว่าสองตุ่มนูนกำลังถูกอีกฝ่ายโลมไล้ด้วยสายตา ผมเห็นลูกกระเดือกของนายอัดลมขยับขึ้นแล้วขยับลงซ้อน ๆ กัน

อย่างทันท่วงที ผมยกแขนทั้งสองข้างขึ้นไขว้กันเป็นรูปกากบาท หัวไหล่ห่อเข้าหากัน ขณะที่ลำตัวก็บิดไปด้านข้างโดยอัตโนมัติ

“นายออกไปข้างนอกก่อนสิ” ผมออกคำสั่ง ขณะยืนหันหลังให้เขา

ฝ่ายนั้นทำท่าเหมือนกับไม่ได้ยิน ผมรีบเร่งเร้าอย่างทันทีทันใดว่า

“เดี๋ยวนี้เลย ! ”

อย่างแน่นอนที่สุด เขาไม่คิดเชื่อฟังคำสั่งของผมอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่านายอัดลมกำลังทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

“ข้าก็อยากแช่น้ำเหมือนกัน อาบพร้อมกันเลยจะได้ประหยัดน้ำ” คนดื้อรั้นถอดเสื้อของเขาอย่างว่องไว และกำลังจะตามด้วยตะขอกางเกง
 
“ไม่ได้”

ผมตะโกนเสียงดังราวฟ้าผ่า เนื่องจากตระหนักแก่ใจดีว่าด้านในของเขาไม่เหลืออะไรห่อหุ้มอยู่ ฉวยผ้าจากราวแขวนผ้ามาถือไว้ในมือ พร้อมกับยื่นคำขาดสำหรับอีกฝ่าย

“ถ้านายไม่ออก ชั้นไม่อาบ อยากจะแช่ก็แช่ไปเลย”

เขาหยุดชะงัก กางเกงคาสะโพก

“เอ็งจะกระมิดกระเมี้ยนไปใย อะไร ๆ ข้ากับเอ็งก็มีเหมือนกัน” นายอัดลมทำหน้ามุ่ย

ผมสะบัดหัว ปฏิเสธอย่างแรง ขณะเดียวกันข้างในก็แย้งเขาว่า

มันเหมือนกันที่ไหนเล่า

ของนาย...ช้างแอฟริกันผสมพันธุ์กับยีราฟชัด ๆ

อันที่จริง ใช่ว่าผมจะไม่เคยแก้ผ้าต่อหน้าคนอื่น ตอนเข้าค่ายรักษาดินแดน เรียกได้ว่าพวกเราถอดกันล่อนจ้อนไม่เหลือติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว
 
อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นไม่ใช่ตอนนี้ และยิ่งไปกว่านั้น ผมกับนายอัดลมก็ไม่ได้คุ้นเคยกันจนถึงขั้นสามารถแบ่งปันความเป็นส่วนตัวของกันและกันได้ สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผมไม่ชอบความรู้สึกบางอย่างซึ่งเกิดขึ้น ในขณะยอดปทุมถันของผมถูกเขาจ้องมอง

และแล้ว ในที่สุด...

ผมก็ได้แช่อ่างน้ำท่ามกลางไออุ่นอย่างลำพัง ด้วยความสบายตัว และสบายใจ


 :เฮ้อ:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 14:28:44 โดย Marakun »

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
สนุกมากค่าา

หมั่นไส้พี่อัดจริงๆ อย่ามาแกล้งน้องน้ำนะ :m16:


 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
[14]
ตาหวาน

ข้างกองไฟ ไอ้มังกรห่มผ้าผืนใหญ่ ส่วนไอ้แชมป์ขับกล่อมพวกพ้องด้วยเพลงรักหวานซึ้ง ขณะที่น้าแหววร้อยมะลิอยู่กลางแคร่ซึ่งยกจากศาลามาวางอีกทอดหนึ่ง

เยื้องห่างออกไป ที่ซุ้มศาลา นายอัดลมกำลังเสวนากับเพื่อนร่วมรุ่นของเขาคนหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ไอ้หล่อ...หายไปไหนวะ ?” ผมถาม ขณะหย่อนสะโพกระหว่างไอ้แชมป์กับไอ้มังกร พวกเราให้สมญานามไอ้เป๊บซี่เนื่องจากความพยายามหล่อของมันนั่นเอง

ไอ้แชมป์หยุดเกากีตาร์ชั่วขณะ แล้วตอบผมว่า

“ไปบ้านลุงหมายน่ะ ขอยืมตัวพี่มะปรางมาช่วยลูกพี่ทำกับข้าว”

“อ้าว ! แล้วป้านวลล่ะ ?” ผมยังคงสงสัย ก็เพราะบ้านนี้มีแม่ครัวกับเด็กรับใช้อีกคนหนึ่ง


“คนแพ้เกมส์ก็ต้องลงมือทำเองซิวะ” ไอ้มังกรตอบแทรก
“นี่คือประกาศิตของผู้ชนะ คนแพ้ก็ต้องน้อมรับชะตากรรมอย่างคนขี้แพ้” มันชูหมัดขวาขึ้นข้างหนึ่งในขณะประกาศ  ทำราวกับว่ากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางคอนเสิร์ตวงไมโครไงงั้น

“แต่มึงดันให้พี่มะปรางมาช่วยลูกพี่...นี่สิ” ไอ้แชมป์แหย่ พลางเคาะนิ้วกับคอกีต้าร์

ผู้ชนะหันขวับไปที่ศาลา ลดเสียงพูดลงจนกลายเป็นกระซิบ

“กูนึกบรรลัยขึ้นได้น่ะเซ่ เฮียอัดทำกับข้าวเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้...เกือบซวยปากกันแล้วไหมล่ะ “

จังหวะนั้นเอง นายอัดลมก็หันมา เขามองมาทางพวกผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คนที่เขาเสวนาด้วยในชั่วโมงนี้เป็นสมุนเก่าเมื่อคราวอดีต    ดูเหมือนว่าพอนายอัดลมกลับมา พวกพ้องก็นำข่าวปัจจุบันทันด่วนมาบอกอย่างทันท่วงที

ผมไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน แต่รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรชอบกล   โดยปกติในบทละครเมื่อผู้ร้ายปรากฏตัว เรื่องเลวร้ายมักจะตามมาเสมอ

น้ำขาวขุ่นเทจากไหไหลลงครึ่งแก้ว ก่อนจะสาดเข้ากระเพาะพรวดเดียว

“เหล้าดี มีแอลกอฮอล์ 19 โมเลกุล !” ผมกล่าว

“ไอ้เหี้ยน้ำ...เพลาได้ มึงก็ช่วยกูเพลาหน่อยสิวะ” ไอ้มังกรร้อง “มึงเล่นแดกแบบนี้ กว่าไอ้พวกนั้นจะมาเหล้ากูก็หมดไหก่อนพอดี”

“ใครมาวะ ?” ผมถาม

“ไอ้เพชรกับไอ้ขวัญไง...มึงก็เห็น ๆ อยู่ มีงานไหนที่ไอ้หล่อของเราจะขาดสองคนนั้นได้บ้าง”

“ไม่ใช่ว่า เหล้าเดิมพันมีทั้งหมดห้าไหเหรอวะ ?” ผมซักต่อ

“ตอนนี้เหลือสองไหเว้ย !...ความจริงแล้วพ่อตกปากให้มาแค่ไหใหญ่ไหเดียวเอง ที่เหลือกูพลั้งปากว่ะ  แต่ในเมื่อเกมส์นี้ผู้ชนะก็คือกู เพราะฉะนั้นแล้วทั้งหมดก็ต้องตกเป็นของกูสิ...ใช่ไหมวะ กูก็เลยเอาไปคืนในยุ้งข้าวเรียบร้อยแล้ว ขโมยเพิ่มมาแค่ไหเดียว เผื่อว่าโทษหนักจะได้กลายเป็นเบา” ไอ้มังกรรำพึงรำพัน

ผมตบไหล่มันอย่างเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะรินเหล้าให้ไอ้แชมป์ แล้วเทอีกหนึ่งแก้วสำหรับเจ้าของเหล้าด้วย

ท่ามกลางสีหน้าพิลึกพิลั่นของใครบางคน แก้วทั้งสามใบก็กระทบกันดังกริ๊ง

“ดื่มโว้ย...เพื่อชีวิตแสนรันทดของคนเป็นลูกอย่างพวกเรา”

“...”


เวลาต่อมา หลังจากเพื่อนคนนั้นถูกภรรยาสาวดึงตัวกลับ นายอัดลมก็ตามพี่มะปรางเข้าไปช่วยงานในครัว ป้าแม่ครัวได้แต่ทำลับ ๆ ล่อ ๆ เนื่องจากน้าแหววสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่มย่ามในนั้น

หลังจากไอ้เป๊บซี่ยกหูโทรศัพท์ไม่ถึงห้านาที ไอ้ขวัญกับไอ้เพชรก็มาถึง

เกือบหนึ่งชั่วโมงผ่านไป อาหารหลายสำรับก็เริ่มทยอยออกมา นายอัดลมถือจานใหญ่มาด้วยใบหนึ่ง ก่อนจะวางลงตรงหน้าผม

“ปลาแรดทอดตะไคร้จ้า จ่าทำเองกับมือเลยนะ”
คุณครูมะปรางคนสวยบอกกับทุกคนพร้อมด้วยรอยยิ้ม ขณะยกหม้อแกงตามมาด้านหลัง

ไอ้ขวัญกับไอ้เพชรยกนิ้วขึ้นพร้อมกัน อุทานว่า

 “สุโค่ย !”

 “น่ากินมากเลยครับเฮีย ว่าแต่...จะอร่อยเหมือนหน้าตาไหมนะ?” ใครคนใดคนหนึ่งตั้งคำถามขึ้น

“ข้อนี้...พวกเอ็งคงต้องเอาคำตอบจากคนชิมแล้วล่ะ”

นายอัดลมว่า พลางตักเนื้อปลา แล้วราดน้ำจิ้ม ยื่นช้อนมาจ่อตรงหน้าผม

“ทำไมต้องเป็นชั้นด้วย ?” ผมถาม

“ก็เพราะว่า ปลาตัวนี้เป็นตัวเดียวที่ข้าเหลืออยู่”

ผมก็เลยถึงบางอ้อ...นายตัวร้ายกำลังต้องการชำระแค้นผมนี่เอง เพราะผมทำให้เขาแพ้เกมส์ บางทีอาหารจานนี้อาจมียาพิษ พอกลืนลงท้องปั๊บ อาจเข้าสู่ห้วงนิทราเหมือนกับเจ้าหญิงสโนไวท์...

จะให้ผมไว้ใจคนเจ้าเล่ห์เช่นเขาได้อย่างไรกัน

“เอ่อ...คือว่าชั้น...ชั้นเป็นหวัด ลิ้นก็เลยไม่รู้รสน่ะ” ผมอึกอัก

“อะไรของมึงวะ...ก่อนหน้านี้ ยังบอกกูอยู่เลยว่าเหล้าดีมีแอลกอฮอล์ 19 โมเลกุล” ไอ้มังกรท้วง

เพื่อน ๆ เคยเป็นกันบ้างไหมครับ ? ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ระหว่างอยากถลกหนังหัวตัวเองกับทุบกะโหลกของอีกฝ่าย

“กูพูดเอาใจมึง โว้ย !” ผมตะคอก พลางถลึงตาใส่

“ถ้าเช่นนั้น...เอ็งคงไม่รังเกียจกระมังที่จะเอาใจข้าอีกคน เอ !... หรือว่ารังเกียจมาก แม้กระทั่งกินไข่แทนตัวก็ทำไม่ได้ แกงปลาไหลก็ซดน้ำไม่ลง” นายอัดลมฉวยโอกาส ขณะผมเพลี่ยงพล้ำ องครักษ์ของเขาก็กระโดดเข้าเสริมทัพอีกคนอย่างทันทีทันใดเช่นกัน

“อายุสิบหกแล้ว มึงก็ยังทำตัวเหมือนเด็กไม่เคยเปลี่ยน”
ไอ้เป๊บซี่เบ้ปาก ในขณะต่อว่าผม พลางหยิบกระจกจากกระเป๋าขึ้นมาส่อง ด้านซ้ายที ด้านขวาที

เพื่อน ๆ เคยเป็นกันบ้างไหมครับ ? ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ระหว่างอยากถลกหนังหัวตัวเองกับทุบกะโหลกของอีกฝ่าย

“กูพูดเอาใจมึง โว้ย !” ผมตะคอก พลางถลึงตาใส่
“ถ้าเช่นนั้น...เอ็งคงไม่รังเกียจกระมังที่จะเอาใจข้าอีกคน เอ !... หรือว่ารังเกียจมาก แม้กระทั่งกินไข่แทนตัวก็ทำไม่ได้ แกงปลาไหลก็ซดน้ำไม่ลง”
นายอัดลมฉวยโอกาส ขณะผมเพลี่ยงพล้ำ องครักษ์ของเขาก็กระโดดเข้าเสริมทัพอีกคนอย่างทันทีทันใดเช่นกัน

“อายุสิบหกแล้ว มึงก็ยังทำตัวเหมือนเด็กไม่เคยเปลี่ยน”
ไอ้เป๊บซี่เบ้ปาก ในขณะต่อว่าผม พลางหยิบกระจกจากกระเป๋าขึ้นมาส่อง ด้านซ้ายที ด้านขวาที

ผมเหลือบตาไปทางน้าแหววซึ่งสังเกตการณ์อยู่ข้างกองไฟอย่างเงียบ ๆ  เมื่อเห็นเงาเทาหม่นใต้แสงสีส้มจาง ๆ อาบใบหน้า จึงจำใจงับปลายช้อนของอีกฝ่าย

ทันใดนั้นเอง...
แมวสีน้ำตาลตัวหนึ่ง ตาสองข้างไม่เหมือนกันก็เข้ามาคลอเคลียที่บริเวณข้อเข่า ผมจึงโน้มตัวลง ประคองแมวตัวนั้นขึ้นมาอย่างเบามือ

“ว่ากระไร ? ” นายอัดลมคาดคั้นอย่างคนต้องการคำตอบ

“เอ่อ...ฉันว่าให้ ’เจ้าน้ำตาล’ ช่วยตัดสินจะดีกว่า ถ้าไม่กินก็แปลว่า รสชาติเหมียวไม่รับประทาน”

หากจะให้ยอมรับโต้ง ๆ ว่าอร่อย ก็เกรงว่าคนมั่นใจจะมั่นหน้าจนเกินพอดี ผมจึงตัดสินใจโยนคำถามของเขาให้แมวเป็นคนตอบ โดยลืมความจริงไปข้อหนึ่งว่าแมวกับปลาก็พอ ๆ กันกับน้ำตาลใกล้มด จนกระทั่งแมวของเขากินปลาจนเกลี้ยง แถมยังร้องเหมียวราวกับต้องการขออีก

“บางทีนายก็ต้องมีหิวบ้างใช่ไหมล่ะ...น้ำตาล เพราะว่าเจ้าของของนายทิ้งนายไปเสียนาน” ผมพูดกับแมว

นายอัดลมดึงตัวแมวไปจากผม เอ่ยประโยคหนึ่งซึ่งทำให้ใจของผมกระตุก

“เจ้าของแมวที่แท้จริง ไม่เคยเหลียวแล’ตาหวาน’เลยต่างหาก”

พี่มะปรางขยับเข้าหาฝ่ายนั้น สัมผัสตัวแมวในอ้อมแขนของเขา พลางตั้งคำถามราวกับว่าเธอไม่ได้ยินชื่อก่อนหน้านั้นซึ่งผมเอ่ยเรียก

“แมวตัวนี้น่ารักจัง ชื่ออะไรเหรอคะ ?”

“อันที่จริง ชื่อน้ำตาลครับ แต่ผมเรียกเขาว่า...ตาหวาน”

นายอัดลมตอบอีกฝ่าย ลงท้ายคำอย่างไพเราะ

“เพราะสีตาของมันเหรอคะ ?”

เขามองหน้าเธอ ก่อนจะชำเลืองมาทางผม ขณะตอบด้วยเสียงห้วน สั้น  ปราศจากรอยยิ้มว่า

“ครับ”



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 15:01:57 โดย Marakun »

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
[ 15 ]

แมวกำพร้าที่น่าสงสาร



จวบจนพระอาทิตย์สาดไออุ่นลอดม่านหน้าต่าง

เสียงหืดหอบในคอปลุกให้ผมลืมตาตื่น ก่อนจะพบว่าตัวเองนอนลำพังบนฟูกนอนหนานุ่มกับแมวสีน้ำตาลตัวหนึ่ง ในห้องผนังสีเทาที่แขวนด้วยโปสเตอร์ขาวดำหลากรูปทรงล้อมแซมแผ่นเสียงเก่าขนาดใหญ่ และที่มุมหนึ่งของห้องมีซีดีเพลงกองใหญ่กับกีตาร์คลาสสิกตัวหนึ่ง

ในขณะความคิดกำลังตีกันอย่างสับสน แมวขนปุยตาฟ้าข้าง เหลืองอำพันข้างก็ขยับ ขยุกขยิก อยู่เหนืออกผม เสียงแหบแห้งของมันทำให้ผมหวนนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งเมื่อครั้งอดีต

วันนั้นมีสายฝนเทห่าใหญ่ และเหตุเกิดในอีกห้องหนึ่งถัดไป

ผมจำได้ว่า...

พอบานประตูเปิดอ้าออก เสียงดนตรีในห้องนั้นก็พลันหยุดชะงักลง อาการชะงักงันของใครคนหนึ่งที่พักไม้บนหน้ากลอง ทำให้สิ่งรอบข้างพลอยเบรกตามไปด้วย

พี่ต้นกล้าวางมือจากคีย์บอร์ดเบส และอีกสองคนก็ค้างนิ้วคาอยู่กับเส้นเอ็นของกีตาร์ซึ่งแต่ละคนสะพายไหล่ของตนเอาไว้

ทุกอย่างชะงักค้าง สายตาสี่คู่เล็งมาที่ผมเป็นจุดเดียวกัน ราวกับเห็นสัตว์ประหลาดตัวน้อยแบกเสื้อกับกางเกงเปียกโชกบุกเข้ามา แล้วปล่อยหยดน้ำทิ้งลงพื้นแหมะ ๆ ในนั้นมีสายตาคู่หนึ่งทำให้ผมรู้สึกประหม่า

ผมหยุดก้าวเท้า ยืนอยู่หน้าประตู ก่อนจะตะเบ็งเสียงว่า

“พี่กล้าคั้บ น้ำขอเลี้ยงลูกแมวได้ไหมค้าบ ?”

“ไม่ได้” อย่างทันทีทันใด พี่ต้นกล้าปฏิเสธผมเสียงห้วน

“เอ็งก็รู้ว่าพี่แพ้ขนมัน”

 “แต่ว่าลูกแมวไม่ใช่น้องหมาซักหน่อย...พี่กล้าแพ้ขนหมานี่ฮะ ?” ผมกล่าวอ้างอย่างเด็กอายุสิบขวบ

“จะหมาหรือแมวก็มีขนเหมือนกันทั้งนั้นแหล่ะน่ะ” พี่ชายผมยืนยัน

เมื่อหลายปีก่อน...

ผมเคยเลี้ยงลูกหมาตัวหนึ่ง ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์พี่ต้นกล้าก็ขโมยหมาของผมไปทิ้ง ดังนั้นการถูกปฏิเสธในครั้งนี้ ผมจึงไม่ประหลาดใจเท่าใดนัก ในทางกลับกันหากพี่ต้นกล้าชักธง’ตกลง’ขึ้นสู่ยอดเสาแบบง่าย ๆ คงทำให้ผมสับสนไม่ใช่น้อย

 “ไอ้กล้า...เอ็งแพ้ขนหมานับจากเมื่อใด ?” น้ำเสียงเจือความสงสัยถามจากคนที่นั่งอยู่หลังกลองชุด ไม้ในมือที่เขาใช้บรรเลงบนหน้ากลองถูกรวบเข้าหากัน ก่อนจะลุกขึ้นยืน

พี่ต้นกล้านิ่งเงียบ ไม่ตอบคำถามของนายอัดลม

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมต้องง้างเอาคำยินยอมจากปากพี่ชายผมมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์อีหรอบเดิมก็อาจฉายวนซ้ำอีกครั้ง

“น้ำเห็นซากศพแม่แมวที่ถูกหมากัดตายด้วยคับ ลูกแมวไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ แถมพี่กับน้องก็ไม่มี จะเอาชีวิตรอดได้อย่างไรกันล่ะฮะ...พี่กล้า พี่ไม่สงสารมันบ้างเหรอ ขืนปล่อยเอาไว้แบบนั้น ลูกแมวกำพร้าตัวเล็ก ๆ จะใช้ชีวิตลำพังได้ยังไงกัน มันร้องหาพ่อแม่จนเสียงแหบเสียงแห้ง...น่าสงสารมากเลยนะฮะ”

“พี่บอกว่าไม่ให้เลี้ยงก็ไม่ให้เลี้ยงสิ ไป...ออกไปได้แล้ว อย่าเอาเรื่องไร้สาระของเอ็งมากวนใจการซ้อมวงของพวกเรา”

ทันใดนั้น นายอัดลมก็พูดแทรกขึ้น เส้นผมที่ยาวระเกะระกะถูกเขารวบเข้าหากันด้วยสองมือ มัดหนังยางอย่างรวดเร็วจนตึง

 “ข้าเลี้ยงเอง”

หลังจากจบชั้นมัธยมปลาย ผมคิดว่านายอัดลมไม่น่าจะเคยเข้าร้านเสริมหล่อ เพราะเคยได้ยินแม่กล่าวตำหนิเขาอยู่บ่อยครั้งว่าไว้หนวดไว้เคราอย่างกับโจรป่า แน่นอนที่สุดป้าเอิบเห็นคล้อยความคิดเห็นของแม่ ในขณะที่ป้าอาบกลับเห็นตรงกันข้าม กล่าวชื่นชมซึ่งทำให้แม่หน้าคว่ำว่านายอัดลมเถื่อนดิบ หล่อ เหมือนพระเอก‘จำเลยรัก’

“ลูกแมวที่เอ็งว่าน่าสงสาร อยู่หนใด ?” คนขายาวก้าวสวบ ๆ สองสามครั้งก็เข้าประชิดตัวผม

“ยะ อยู่...อยู่บนต้นตะขบ ชายทุ่ง หลังบ้านลุงหมาย”

ผมตอบเขาตะกุกตะกักด้วยความประหม่า

“พาข้าไป ถ้ามันไม่น่าเวทนาอย่างที่เอ็งเล่าละก็...” เขาขู่ ดุดันดุจพญาราชสีห์โหด

ทุกครั้งที่เข้าใกล้นายอัดลม ผมรู้สึกทั้งร้อนและหนาวปะปนกันเหมือนตัวเองเป็นหนูตัวน้อย เดาทางอีกฝ่ายไม่ออกเลยว่าตอนไหนกำลังเล่นล่อหลอก และเมื่อไหร่ที่เขาพร้อมตะปบ

แม้กระทั่ง...

ในเช้าตรู่ที่อากาศเย็นยะเยือก ขณะนอนอยู่บนฟูก ท่ามกลางอาณาเขตซึ่งไร้ตัวตนของเขา
แมวสีน้ำตาลในอ้อมแขน ขยับตัว ส่งเสียงอ้อนเบา ๆ
 
จู่ ๆ ผมก็รู้สึกตัวสั่นเหมือนกำลังจับไข้ ความคิดที่สับสนวิ่งตีกันอย่างวกวนจนหัวแทบระเบิด

ทำไมผมอยู่ที่นี่ ? และ...ผมมาที่ห้องนี้ได้อย่างไรกัน ?

ความทรงจำซึ่งสมองบันทึกอย่างสะลึมสะลือในคืนที่ผ่านมา ถูกย้อนไล่เรียงเรื่องราว ลำดับท้ายสุดคลับคล้ายคลับคลาว่า อาชาญแบกผมขึ้นขี่หลังด้วยความทุลักทุเล เนื่องจากผมไม่ให้ความร่วมมือ แถมยังปล่อยหมัดอย่างสะเปะสะปะอีกด้วย

หรือว่าผมเมาหนักมาก จนกระทั่งแยกใครเป็นใครไม่ออก !




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 15:18:15 โดย Marakun »

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
ทำไม ไม่ขึ้นหน้า 2 หน้า 3 ล่ะ สนุกมาก พี่อัดหลงรักน้องตาหวานนี่เอง

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบบบบบ  สนุกมากกกกก   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
มาต่อไวๆ นะไรท์
       :pig4: :pig4: :pig4:
 :L1: :L1: :L1: :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
[ 16 ]
ร้อนใจเพราะนาย...



จำได้ว่า...

งานฉลองเปิดฉาก พอเหล้าขาด ไอ้มังกรก็วิ่งรอกไปเอามาเพิ่ม

หลังจากเก็บสำรับข้าวไม่นาน ไอ้ขวัญกับไอ้เพชรก็ขอตัวกลับ คู่แฝดที่หน้าตาดีชนแก้วกับผมเพียงไม่กี่ครั้ง เนื่องจากพรุ่งนี้เช้าทั้งคู่ต้องรีบตื่นก่อนฟ้าสาง ก่อนซังข้าวที่เปียกชื้นจากหมอกลงหนาจะแห้งวาย

ตามวิถีของคนทำนาแห่งหมู่บ้านท้อแท้ เมื่อเก็บเกี่ยวและมัดข้าวเป็นฟ่อนแล้ว พวกเขาต้องตากแดดทิ้งไว้อีกสามแดด ในวันถัดไปจึงทยอยขนไปกองที่ลานกลางบ้าน ติดศาลาว่าการข้าง ๆ วัด ซึ่งที่นั่นมีเครื่องนวดพร้อมสีข้าวได้ในตัวเครื่องหนึ่ง รอกระทั่งถึง‘วันถลุงข้าว’ งานใหญ่ประจำปีของที่นี่

ในวันนั้นลานกลางบ้านที่กว้างใหญ่จะแลดูแคบลงถนัดตา เพราะคนจำนวนมากที่หลั่งไหลกันมาเพื่อฉลองเมล็ดข้าวใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าความรื่นเริงเบอร์นี้ไอ้เป๊บซี่ไม่เคยพลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้มันเป็นโต้โผงานด้วยแล้ว

“เอ็งรู้หรือไม่ ? กาลใดที่ผู้ใหญ่ผันจะลงแขกข้าว” นายอัดลมถามผม ขณะพ่นควันออกปลายจมูก

ผมเงยหน้าขึ้น มองการกระทำของเขาอย่างรู้สึกทึ่ง ควันบุหรี่ถูกปั้นกลางอากาศให้เป็นก้อนกลม ๆ อย่างน่าอัศจรรย์
คนใกล้ตัวผมไม่มีใครสูบบุหรี่เลยแม้แต่คนเดียว

อาชาญเคยเป็นสิงห์รมควันคนหนึ่ง แต่ทว่าเลิกสูบอย่างเด็ดขาดแล้ว อาบอกว่าเหนือสิ่งอื่นใดหากเราสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ อุปสรรคในจักรวาลที่ว่ายิ่งใหญ่ล้วนดูเล็กกระจิริด ฉะนั้นการกีดกันจากมนุษย์คนหนึ่งซึ่งสวมวิญญาณพ่อตาจึงไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจ

ความเด็ดเดี่ยวแบบชายชาตรีคือเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้อาเพ็ญตัดสินใจเลือกอาชาญเป็นคู่ชีวิต ถึงแม้จะเห็นความลำบากรอท่าอยู่
 
แต่ทว่า...ช่างน่าอนาถนัก ที่สิบหกปีผ่านไปสัตบุรุษของอาชาญก็มีอันเปลี่ยนแปลง


สติของผมถูกดึงกลับเพราะใครบางคนจ้องมอง ผมรีบตอบคำถามของเขาว่า

“วันเสาร์หน้า”

“...”

นายอัดลมมีท่าทีเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็ชะงักเอาไว้ เขาก้มลงมา จ้องหน้าผมเหมือนกำลังค้นหาสิ่งผิดปกติบางอย่าง

“อย่าเอาตาไข่ห่านของเอ็งมาใช้มองข้า...แบบนี้”

จู่ ๆ ผมก็ถูกตำหนิอย่างไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย

“สายตาของฉัน ! แบบไหนล่ะ ?”

“แบบที่เอ็งทำ นั่นปะไร” เขากล่าวห้วน ๆ ขยี้ปลายบุหรี่ลงกับพื้น จนกระทั่งสีแดงเข้มของมันดับสนิท

“ฉันก็กำลังงงอยู่นี่ไงเล่า ” ผมพูด เกาหัวยิก

ฝ่ายนั้นสะบัดหลังแขนเป็นเชิงว่าไม่ใส่ใจ พลางเอ่ย

“ช่างเถิด เอาเป็นว่าข้าขอเตือนเอ็ง อย่าได้ชม้ายชายตาต่อหน้าใครต่อใครเยี่ยงนั้นเป็นอันขาด เพราะการกระทำที่บ้องตื้นจะขยับเอ็งเข้าใกล้โซนอันตราย”

 ในขณะพูด นายอัดลมก็ทิ้งหางตาไปด้านหลังผม

บ่อยครั้งที่ผมตีความประโยคคำพูดของเขาไม่ออก อย่างเช่นในครั้งนี้กับคำว่าชม้ายชายตา แต่ดูจากท่าทางของอีกฝ่ายก็พอจะเดาได้อย่างเลา ๆ ว่าเขาต้องการเตะก้นผมเป็นการสั่งสอน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผมจะไม่ชอบขี้หน้านายอัดลม แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นลั่นวาจาห้ามฝ่ายตรงข้ามมองหน้า
บางทีขีดความไม่พอใจระหว่างเราอาจมีไม่เท่ากัน ผมคงประเมินความไม่พอใจสำหรับเขาต่ำเกินไป

นัยน์ตาของผมกลอกขึ้นมองบนอย่างอัตโนมัติ ประกายขุ่นเคืองเหล่ไปทางไอ้แชมป์ด้วยความขัดใจ

ดูลูกพี่ของมึงเอาเองเถอะ !
กูยอมลดเกียรติลงเกินครึ่ง ชนแก้วกับเขาก็หลายครั้ง หาใช่ว่ามันจะช่วยให้เปลวแดดกลายสภาพเป็นเม็ดฝนได้ ในทางกลับกันพญาพิรุณยังคิดจะฟาดสายฟ้าลงกลางแผ่นหลังของกูอีก…


ในขณะนั้น ไอ้แชมป์กำลังสมทบกับไอ้เป๊บซี่วนแก้วชนกับคู่แฝด ถือเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งของสองคนนั้นในการดึงอีกฝ่ายเอาไว้ ขณะที่ไอ้มังกรนั่งโงนเงนอยู่ข้างกองไฟ จวนจะฟุบลงกับพื้นอยู่รอมร่อ

“ฉันก็แค่อยากลองดูดบุหรี่...แค่นั้น”

ผมแถลงไขความเข้าใจบางอย่างแก่นายอัดลม เผื่อว่ามันจะช่วยให้ความรู้สึกของเขากระจ่างขึ้นมาบ้าง

“มันไม่เหมาะสำหรับเอ็งหรอก” เขาสบถ

 “แต่เหมาะสำหรับนาย ว่างั้นเถอะ” ผมตีรวน

ทว่าถ้อยคำของเขาต่อจากนั้น สร้างความประหลาดใจแก่ผม อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“วัตถุประสงค์ของสิ่งเสพติดทุกประเภท ล้วนผลิตมาเพื่อคนที่ไม่มีใครต้องการ จำพวกปราศจากรัก...ซึ่งเอ็งไม่ใช่”

“...”

จังหวะนั้นเอง น้าแหววก็เข้ามา เอ่ยปากขอให้นายอัดลมไปส่งพี่มะปรางจนถึงเรือนของเธอ คนลั่นวาจาว่า ’จะทำตามหัวใจปรารถนาเท่านั้น’ ปฏิเสธชนิดที่ว่าเด็ดบัวไม่เหลือใย โดยไม่เห็นแก่หน้าหญิงสาวอีกคนซึ่งตามหลังมาติด ๆ

ใบหน้าเลือดฝาดของพี่มะปรางถึงกับเปลี่ยนสี จากแดงสลับเหลือง เหลืองสลับซีด

เดิมที ผมตั้งใจว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของนายอัดลม แต่พอเหลือบตาไป  เห็นความวุ่นวายใจฉาบบนดวงหน้าซูบผอมของน้าแหววก็อดที่จะตำหนิความใจยักษ์ของเขาไม่ได้

ประโยคนั้น ผมจำได้ดี

“โถ่เอ้ย ! บ้องตื้นชะมัดยาด ฉันจะบอกอะไรนายอย่าง ไม่ว่าจะรู้หรือไม่ก็ต้องรู้ เพราะความเย็นชาแถมบ้าอำนาจ ไม่ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นแบบนี้ นี่ไงล่ะ...พวกปราศจากรัก”

นายอัดลมขมวดคิ้วเข้าหากัน หน้าตึงไร้รอยยิ้ม ตาคมกริบจ้องมองผมอย่างแน่นิ่ง...

ผมนึกถึงเสือร้ายตัวหนึ่งที่มันกระโจนออกจากร่างของนายอัดลม ก่อนจะทะยานขึ้นคร่อมพี่ต้นกล้า แล้วประเคนหมัดใส่เขาแบบไม่ยั้ง...
จำได้ว่า ในครั้งนั้นผมกรีดร้องด้วยความตกใจ

พอถึงบทนี้ใจที่ว่าแน่ของผมก็เริ่มชักเข้าชักออก มือสองข้างประสานกันแน่น ขณะก้มดูข้อมือ พลันนึกประหลาดใจเข็มนาฬิกาว่าทำไมถึงกระดิกตัวช้ากว่าปกติ

สักพัก นายอัดลมก็ลุกขึ้นยืน และ...เดินจากไป

ไม่มีแม้แต่คำสบถหรือก่นด่าสักคำ เขาก็แค่นิ่งมอง

หนึ่งชั่วโมงต่อมา...

ไอ้ขวัญกับไอ้เพชรก็ไปจากไอ้เป๊บซี่ ไอ้แชมป์กลับมาเกาเอ็นกีตาร์อีกครั้ง เกือบจะติดกองไฟ ใกล้ ๆ กันนั้นไอ้มังกรนอนหงาย ปากอ้า หนังตากระพือ และน้ำลายไหลย้อย

อึดใจต่อจากนั้น ไอ้เป๊บซี่ก็ขึ้นเรือน ทิ้งไว้เพียงความมุ่งมั่นของมันที่ตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้จะตื่นก่อนไก่ เพื่อไปช่วยงานไอ้ขวัญกับไอ้เพชร

หลังจากไปส่งพี่มะปรางแล้ว นายอัดลมก็เงียบหายไร้ร่องรอย เหมือนควันบุหรี่ของเขาที่พอเคล้าเข้าสายลมก็สลาย หายไปกับอากาศ

ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งหนาว กองไฟซึ่งเคยอบอุ่นก่อนหน้านี้ เมื่อปราศจากคนเติมเชื้อ ไอร้อนก็หรี่เปลวลงกลายเป็นริบหรี่อย่างจวนจะดับ

ผมรู้สึกเหมือนว่าลมในปอดไหลวกวน ย้อนไปย้อนมา เพราะติดกับอยู่ในคำพูดคำหนึ่ง

พวกปราศจากรัก...? !

ปลายบุหรี่คาปากติดไฟสีแดงวาบ ควันของมันถูกอัดเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะพ่นออกปลายจมูกเลียนแบบใครบางคน

ความน่าพิสมัยของเจ้าแท่งมวนขาวถูกถุยคะแนนอย่างทันท่วงที ต่างจากน้ำสีขาวขุ่น ยิ่งผมยกบ่อย ความอร่อยยิ่งโหมกระหน่ำ

และแล้ว สติของผมก็ดับอย่างฉับพลันเหมือนถูกถอดปลั๊ก




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2022 15:30:28 โดย Marakun »

ออฟไลน์ HamsteR

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 140
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
สนุกดีครับ อ่านเพลินเลย  o13

ออฟไลน์ Marakun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
[ 17 ]
วันวุ่นวาย
:z6:

ไอ้แชมป์นั่งอยู่ใต้โคนต้นสัก สายตาทอดออกทุ่งนานอกแนวรั้วไม้หลังบ้าน มองเห็นไกล ๆ  สูง ๆ ต่ำ ๆ หลายลูกซ้อน ๆ กันคือกลุ่มเขาหินซ้อน หากจะว่ากันตามจินตนาการแบบเด็ก ๆ หมู่บ้านของเราก็คล้ายกับเมืองลับแล เนื่องจากถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง

อากาศในเช้านี้หนาวเย็นกว่าเมื่อวันก่อน ถึงแม้ผมจะสวมเสื้อฮู้ดอย่างหนา  แต่สายลมก็หอบไอเย็นแบบจับจิตเข้าบาดทะลุถึงเนื้อใน

“หนักหัวชะมัด” ผมบ่น เมื่อเข้าใกล้ไอ้แชมป์

มันหันหน้ามา ขมวดคิ้วถามผมว่า

“เมื่อคืน มึงนอนที่ไหน?  กูพาไอ้กรไปฉี่ พอกลับมาก็ไม่เห็นมึงแล้ว นึกว่าเข้านอนในกระโจมเสียอีก”

“เอ่อ...กู...ก็...นอนห้องที่น้าแหววจัดให้ไง สามคนในกระโจมหอยหลอดมีหวังคงทับกันตาย”  ผมโบ้ยคำตอบ รู้สึกกระดากปากที่จะพูดความจริง ขณะเดียวกันก็มองหาใครบางคนแถว ๆ นั้นไปด้วย

นอกจากห่วงใยผู้อื่นแล้ว ไอ้แชมป์ก็ยังเป็นคนช่างสังเกตอีกด้วย มันเหลือบตามองแล้วจึงบอกผมว่า

“ไอ้กรกลับบ้าน ส่วนไอ้เป๊บซี่ป่านนี้น่าจะมัดข้าวหลายฟ่อนละ กูกำลังนึกอยู่ว่า...” คิ้วบาง ๆ คู่นั้นขมวดเข้าหากันจนเป็นรูปสระไม้ผัด
“ตัวเองเผลอรับปากมันตอนไหน ถึงได้มาปลุกกูตั้งแต่เช้ามืด”

“ตอนเมาล่ะมั้ง” ผมช่วยหาคำตอบ

ในความเป็นจริงที่ทุกคนรู้กันก็คือ ไอ้แชมป์เป็นคนตื่นง่าย ขยับตัวไว ซึ่งต่างจากผม  :katai5:

ขณะนี้ พระอาทิตย์โผล่สาดแสงเลยยอดเขาทั้งดวงแล้ว เป็นเวลาที่น้าแหววสั่งงานอยู่หน้าบ่อ ผมมองกระเป๋าผ้าของไอ้แชมป์ซึ่งวางคู่กันกับกีต้าร์โปร่งบนโต้ะหินอ่อน ก่อนจะถามว่า

“มึงบอกน้าแหววหรือยัง ?”

มันพยักหน้า จากนั้นก็แจ้งข่าวร้อน ๆ สำหรับวันนี้

“ลูกพี่อัดจะไปกับเราด้วย”

“ไป... ! ทำไมวะ”  ผมถาม รู้สึกถึงน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก

“กราบพ่อผู้ใหญ่...” ไอ้แชมป์ตอบด้วยโทนเสียงอันเป็นปกติของมัน
“เห็นว่ามีเรื่องจะปรึกษากับลุงผัน”

“เอ่อ...กูคิดว่า พวกเราไปก่อนจะดีกว่า” ผมตัดสินใจเองเสร็จสรรพ รู้สึกสังหรณ์ใจทะแม่ง ๆ พิกลเหมือนเห็นลางร้าย

เมื่อเย็นวาน หลังจากตกปากรับคำกับน้าแหววแล้ว ผมก็หมุนเบอร์โทรศัพท์กลับบ้าน ถึงแม้จะได้รับคำตอบให้ค้างที่นี่ได้ แต่ปลายสายไม่ใช่บุคคลที่ทำให้ผมคลายกังวล

เงาใครคนหนึ่งวูบวาบทะลุผ่านแถวต้นไม้พุ่ม การเคลื่อนไหวนอกแนวรั้วมีความเร็วพอประมาณ ไอ้แชมป์ยกแขนขึ้นชี้นิ้ว และบอกว่า

“นั่นไง วิ่งมาโน่นแล้ว”

นายอัดลมนั่นเอง !
เขาโผล่จากพุ่มไม้ สวมเสื้อยืดเขียวพื้นแบบทหาร กางเกงผ้าขาสั้นสีเดียวกัน ใส่รองเท้าสำหรับออกกำลังกายสีดำ เหงื่อท่วมตัว

ครั้นใกล้เข้ามา ผมจึงเห็นใบหน้าของเขาฝังด้วยรอยยิ้มพราว

“เมื่อคืน หลับสบายไหมจ้ะ ?”

ผมรู้สึกเหมือนโดนขวดโหลบรรจุน้ำตาลกระแทกเข้าลิ้นปี่ คำลงท้ายของเขาหวานจนแสบลำไส้

อย่างที่ผมบอกนั่นแหล่ะครับ นายคนนี้มีออร่าอันตรายรอบทิศ คุณไม่สามารถเดาได้เลยว่าในแต่ละวันจะเจอกับอะไรบ้าง บางครั้งคุณอาจเห็นเทพหิมะตอนหน้าร้อน ขณะที่เทพสายฟ้าก็ปรากฎตัวอย่างเงียบเชียบยามเหมันต์ได้เช่นกัน

แล้วยังไงน่ะหรือ...!
ต่อจากคำลงท้ายก็อาจจะตามมาด้วยอะไรสักอย่าง แล้วค่อยลามไปถึงเรื่องที่หลับที่นอนซึ่งผมกระดากปากจะพูดเป็นแน่แท้

แต่ทว่า...ไอ้แชมป์ขโมยซีนด้วยการวิสัชนาคำถามของเขา

“หลับสบายมากครับ ต้องขอบคุณความเอื้อเฟื้อของลูกพี่ที่บอกเด็กเอาผ้าห่มมาให้”

ผมเมินคำถามที่ไม่ปกติ หันไปยกกระเป๋าผ้าของไอ้แชมป์ใส่บ่า ก้าวขาออกเดิน พลางบอกเจ้าของกระเป๋าว่า

“มึงจะรอเสด็จพร้อมใครก็ตามใจมึง กูขอปิดม่านก่อนล่ะ”

เสียงหัวเราะในคอของใครบางคนดังขึ้นเบา ๆ

ไอ้แชมป์มองซ้ายทีขวาที ก่อนจะคว้ากีตาร์ติดหลัง เปล่งเสียงพูดที่ดังกว่าปกติ พร้อมทั้งถอยหลังเดิน
 
“เจอกันที่บ้านลุงผันนะครับ   ลูกพี่”

ผมเชื่อว่า นายอัดลมต้องอาบน้ำและเปลี่ยนชุดใหม่ อย่างน้อยที่สุดเขาก็เสียเวลาเกินกว่าสามนาที

...นับตั้งแต่วันที่ควายของพ่อถูกขโมย แม่ยัดถ้อยคำสกปรกและถุยน้ำลายกระทบหน้าเขา นายอัดลมก็เปลี่ยนไป ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เขาตัดผมสั้นทรงสกินเฮด ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาเหมือนหยกที่ถูกเจียระไน

ทั้ง ๆ ที่รู้ตัวดีว่ามีคนจงเกลียดจงชัง แต่ในวันสำคัญนายอัดลมก็เทียวกราบพ่อพร้อมข้าวของติดไม้ติดมือไม่เคยขาด มิหนำซ้ำยังเผื่อแผ่ถึงคนที่รังเกียจตนด้วย

แรกเริ่มเดิมที แม่โยนสิ่งของของเขาทิ้งต่อหน้าต่อตา ในคราวหลังก็ใช้ป้าเอิบเอาไปคืน บางชิ้นคนคืนก็แอบงุบงิบเนื่องจากเห็นว่าข้าวของหลายชิ้นที่เขาเอามาให้นั้นเป็นเครื่องใช้ในครัวซึ่งที่บ้านยังไม่มี อาทิเช่น เครื่องบดเนื้อกับหม้อตุ๋นดินเผาอย่างดี

ระยะหลัง แม่กลายเป็นคนเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเห็นแม่จับปากกาเซ็นต์เองกับมือ ก่อนจะรับตู้เย็นซึ่งใหญ่กว่าอันเก่าซึ่งทางร้านนำมาส่งให้ตามคำสั่งซื้อของคนที่อยู่กรมทหารในขณะนั้น...
:hao4:

ผมไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร ถึงได้เกิดเรื่องร้ายขึ้นพร้อม ๆ กัน

ในระหว่างทาง เราเจอคนงานเฝ้ากระชังคนเมื่อวานวิ่งกระหืดกระหอบมา เมื่อสอบถามก็ได้ความว่า กระชังปลาของน้าแหววกำลังถูกนักเลงในชุดเครื่องแบบก่อกวนอย่างไร้สาเหตุ และเขากำลังไปตามนายอัดลมมาช่วย

อย่างทันทีทันใด ไอ้แชมป์รีบปลีกตัวจากผม เพื่อเรียกไอ้เป๊บซี่กับพรรคพวกมาเป็นหน่วยเสริม ขณะที่ผมขอตัวกลับก่อน เนื่องจากรู้สึกกังวลเกี่ยวกับคนที่บ้านจนไม่อาจขยายเวลาเพิ่มเพื่อเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ อีกอย่างผมเชื่อว่านายอัดลมสามารถจัดการปัญหานี้ได้

ขณะเดียวกัน ความเป็นกังวลของผมก็เกิดขึ้นจริงที่บ้านเรือนไทย

เสียงเอะอะของแม่ดังโหวกเหวกอยู่ด้านหน้าทางขึ้นบันได ในขณะป้าเอิบกับป้าอาบวิ่งชุลมุนเกือบจะชนกันเอง ดูอลหม่านเหมือนฝูงผึ้งกำลังแตกรัง

ที่ใต้ถุนเรือน ร่างผอมกระหร่องของจ่าอ้วนนอนชักกระตุกอยู่กับพื้น ตัวเกร็ง นิ้วมือนิ้วเท้าหงิกงอ  หนังตาปลิ้นกลับ ห่างกันออกไปเพียงเล็กน้อย ลุงแดร็กลงเข่านั่งคุดคู้อยู่ท่ามกลางกองเลือดสีแดงฉาน



 :jul1:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-02-2022 18:01:40 โดย Marakun »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
เขียนดีมากๆ เลยครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด