แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [จบแล้ว]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [จบแล้ว]  (อ่าน 6902 ครั้ง)

ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -14-
«ตอบ #30 เมื่อ07-09-2021 23:34:27 »

แฟน║FRIEND WITH BENEFIT

บทที่

-14-

อยากให้รู้ว่ารักเธอ


“ถึงแม้จะผิดหวัง แต่การได้รักใครสักคน ก็ทำให้เราได้ใช้หัวใจ”



“มึง ๆ อชิอัปฯ รูปลงเฟซวะ” ผมหันขวับ ทิ้งเกมตรงหน้าอย่างไม่สนใจว่าจะแพ้หรือเปล่า

“ไหนเอามาดูดิ” ผมว่า

“มึงไม่มีเฟซฯ อชิเหรอ”

“ไม่มี”

“ต้องให้ถึงมือกูอีกล่ะ” นิวจิปาก แต่ก็ยอมส่งมือถือมา

ผมหยิบขึ้นดูแล้วอยากแหกปากร้องดัง ๆ แต่ก็ทำได้แค่กรีดร้องแผดเสียงในลำคอ โมเมนต์แบบนี้คนแอบรักเท่านั้นที่จะเข้าใจ

อชิตะเอาข้อความจากโน้ตใบสุดท้ายโพสต์ ผมส่งไปว่า ‘ชอบ’

“มึงเอาไงต่อดีวะ” ผมหันไปปรึกษานิว

“รอบหน้ามึงก็เอาของไปให้มันเอง แล้วลองสารภาพดู”

“จะดีเหรอวะ”

“มาถึงขั้นนี้ละ กลัวอะไร”

ก็จริงอย่างที่มันว่า แต่มันก็เสี่ยงอยู่นา...

“มึงกูยืมเฟซฯ มึงหน่อยดิ”

“?”

“กูอยากโพสต์ แต่ถ้าโพสต์เฟซฯ กู อชิไม่รู้แน่”

“โพสต์ไร?”

"โพสต์อะไรดีวะ กูอยากให้เขารู้เป็นนัย ๆ" หยุดคิดอยู่ครู่ ผมก็ลองหาแคปชันเสี่ยว ๆ แต่ก็ดูตลกไป สุดท้ายนิวก็บอกให้โพสต์เพลง

"มึงโพสต์แล้วแท็กกูมาไม่ดีกว่าเหรอ กูโพสต์ไป อชิก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นมึง"

"เอางั้นเหรอวะ"

"เออ เชื่อกู" ว่าจบมันหันไปเล่นเกมต่อ

ผมเลือกเพลงที่สื่อถึงความรู้สึกของตัวเองอย่างเพลงสักวันหนึ่ง ของ มาริสา ผมฟังครั้งแรกจากภาพยนตร์เรื่องสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก แม่งโคตรตรงกับชีวิตคนแอบรัก

หาเพลงได้ ผมก็จัดการโพสต์เอง แท็กเอง อนุมัติเอง ปิดคอมแล้วบอกลานิวทันที



วันนี้ผมกลับบ้านเอง ปกติแล้วถ้าเล่นเกมหลังเลิกเรียน ผมจะให้นิวมาส่งที่บ้าน แต่วันนี้ผมมีเรื่องที่อยากทำ และฟ้าก็เข้าข้างผมด้วย เพราะแม่ออกเวร เลยว่างอยู่บ้านทั้งวัน

ผมวิ่งปรี่เข้าไปกอดย่างอารมณ์ดี

“คุณนาย...”

“อะไรกัน อยู่ ๆ มากอดแม่เนี่ย” ผมไม่ตอบ หอมแก้มแม่ไปฟอดใหญ่ วิ่งขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้ววิ่งตรงไปยังห้องเก็บของ เพื่อหาอุปกรณ์ที่พอมี

จำได้ว่าแม่เคยเก็บเอาไว้ในนี้นะ...

แม่จัดทุกอย่างเป็นระเบียบ ทำให้หาของง่าย ผมถือไม้นิตติ้ง กับก้อนไหมพรมสีขาว กับสีฟ้าอีกสองสามก้อนออกมาด้วย

“คุณนายสอนผมหน่อย” แม่มองหน้าอย่างประหลาด แต่ผมก็ไม่ได้ลงรายละเอียด บอกแค่ใกล้หน้าหนาวแล้ว

แต่ก็ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้วจริง ๆ นั่นแหละ

ผมตั้งใจจะถักผ้าพันคอ แล้วเอาไปให้อชิตะด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าข้อความที่เขาโพสต์จะไม่ได้มีใจความอะไรมากมาย แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี

“คุณนายทำไมตรงนี้มันพันกัน” ผมชอบนั่งมองเวลาแม่ถักไหมพรมบ่อย ๆ มันดูเหมือนง่าย แต่พอได้ลองถักเองเรื่อย ๆ เหมือนผมจะเริ่มงง แล้วก็กลับมาเข้าใจ แล้วก็งงอีกครั้ง มันเป็นแบบนี้วนไปวนมา

หลังจากคล่องมือ ผมก็เอาขึ้นมาถักต่อในห้องนอนของตัวเอง ถักตัดสลับสีฟ้าขาว แถวแรกมันจะเยินหน่อย ๆ แต่พอเริ่มชินก็เริ่มเป็นทรงมากขึ้น

“สกายกินข้าวลูก” เสียงแม่ตะโกนบอก

“ผมไม่หิวครับ” ผมตอบ

นาทีนี้ผมลืมความหิวไปหมดแล้ว อยากรีบถักให้เสร็จเร็ว ๆ จะได้เอาไปให้อชิตะ

จากหนึ่งแถวเพิ่มเป็นสอง ขยับมาเป็นสาม นั่งถักจนดึกก็พลอยหลับไปทั้งที่ยังไม่อาบน้ำ

ตื่นมาอีกทีก็เช้าเสียแล้ว สิ่งแรกควรเป็นล้างหน้าล้างตา แต่ผมกลับเลือกหยิบไม้นิตติ้งขึ้นมาถักต่อจากเมื่อคืน ขนาดผมเข้าไปอึ ยังเอาไปนั่งถักข้างในด้วยเลย

จะว่าไปมันก็เพลินดีเหมือนกันนะ

“อะไรกันเนี่ย จะถักทั้งวันเลยหรือไง” แม่ถามเสียงใส

“ผมรีบใช้”

“แทนที่จะเอาเวลาไปอ่านหนังสือ จะสอบกลางภาคแล้วไม่ใช่หรือไง!”

“เอ๊ะ! คุณนี่ยังไง วันหยุดก็ให้ลูกพักบ้างไม่ได้เหรอ”

“คุณนายผมขึ้นไปข้างบนนะ” ว่าจบผมก็ลุกจากโซฟาตัวยาว

ผมคุยกับแม่เรื่องเรียนต่อแล้ว แม่ยังไม่ให้บอกพ่อ รอให้ผมได้ที่เรียนแล้วค่อยบอกทีเดียว เดี๋ยวแม่จะเป็นคนคุยเอง

อยากหนีออกจากบ้านทุกครั้งที่พ่อพูดถึงเรื่องเรียน มันอึดอัด มันกดดัน เหมือนตัวเองทำให้พ่อผิดหวังยังไงก็ไม่รู้

ผมเกลียดความรู้สึกนี้ที่สุด...





พักกลางวันนี้ผมได้ข้อความจากใครบางคน เป็นคนที่ผมรอมาตลอดหลายวัน เขาต้องการเจอผมเพื่อเอาของมาให้ด้วยตัวเอง

ผมไปยังจุดนัดหมายตามที่ในกระดาษโน้ตเขียนเอาไว้ นั่งรออยู่พักใหญ่ คนที่เดินเข้ามาก็ทำให้ผมตกใจ

สกายเป็นคนส่งโน้ตพวกนี้เหรอ?

เหมือนมีความรู้สึกบางอย่างเข้าแทรก มันทั้งตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน แต่พอนึกถึงเรื่องที่สกายกับนิวคบกัน ผมก็รู้สึกโกรธขึ้นมาซะงั้น

ยังไม่อยากเจอหน้าเขาในตอนนี้เลย...

ผมตั้งท่าจะลุกเดินหนี แต่ทว่าเสียงของสกายก็ฉุดให้ผมต้องหยุด

“เดี๋ยวสิ...”

“...?” สกายหยิบเอาของบางอย่างออกมาจากกระเป๋านักเรียน พร้อมกับโน้ตหนึ่งแผ่น

พอมองออกว่ามันเป็นไหมพรม แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะมันถูกพับเอาไว้เป็นระเบียบ “ของใคร?” ผมถามเสียงเรียบ แต่ก็รับผ้ามาไว้ในมือ

มันคือผ้าพันคอ

“คือ...” สกายยืนนิ่ง ไม่ยอมพูดอะไรจนผมเองต้องเป็นคนเริ่มพูด เพราะรู้สึกอึดอัด ยิ่งเห็นหน้าสกายผมก็ยิ่งอยากออกไปจากตรงนี้

“งั้นเราไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวสิ คือว่า... เราเดินผ่านมาพอดี มีคนตรงมุมตึกขอให้เราเอามาให้อชิ” ผมถอนหายใจ ยัดผ้าพันคอคืนใส่มือสกาย

“งั้นก็ฝากบอกด้วยนะว่าเลิกส่งมาได้แล้ว รำคาญ ไม่ชอบ มันไร้สาระ!”

เขายืนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดโพล่งออกมาจนผมตกใจ “ก็เอาไปให้เองดิวะ กูไม่ใช่นกพิราบนะเว้ย” ว่าจบก็หมุนตัวเดินออกไป

เขาไม่เคยขึ้นกูขึ้นมึงกับผมเลย นี่เป็นครั้งแรก ผมได้แต่ยืนงงกับเหตุการณ์

สกายเดินย้อนกลับมาอีกครั้ง เพราะเดินเลยถังขยะ เขาเอาผ้าพันคอทิ้งลงถังขยะ แล้วเดินกระแทกเท้าจากไป

เหลือผมที่ยืนอยู่ตรงนี้คนเดียว โน้ตแผ่นเล็กตกอยู่ที่พื้น คงเพราะโมโหมาก สกายเลยไม่ทันสังเกต

ผมหยิบมันขึ้นมาอ่าน ‘ใกล้หน้าหนาวแล้ว เราถักเองเลยนะ :’) ' ผมฉีกยิ้มกับข้อความ ทุกอย่างพังหมดแล้ว เพียงเพราะผมไม่อยากเจอสกายเท่านั้น ที่ผ่านมาผมรออ่านข้อความของเขามาตลอดแท้ ๆ

จากนี้ไปคงไม่มีอีกแล้วสินะ...



เวลายังคงเดินต่อไปข้างหน้า ผันผ่านจากวันเป็นเดือน ผมได้ที่เรียนต่อแล้ว เราทุกคนต่างต้องเดินไปข้างหน้า เติบโตและเรียนรู้ ก้าวเข้าสู่อีกช่วงวัย...

หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับสกายอีกเลย อยากขอโทษ แต่ไม่มีโอกาส สกายเอาแต่หลบหน้า ผมเลยเลิกเข้าไปวุ่นวาย ไม่อยากให้เขาอึดอัดไปมากกว่านี้ แต่กับนิวผมยังมีคุยกันบ้างเหมือนอย่างตอนนี้

“นะอชิกูขอ”

“ไม่เอาพวกมึงไปกันเถอะ”

นิวมาชวนผมไปเที่ยวเชียงใหม่ส่งท้าย เพื่อนหลายคนก็ไปกัน รวมถึงสกาย

และเพราะสกายไปผมถึงไม่อยากไป อยากให้เขาเที่ยวสนุก ๆ ถ้าผมไปด้วยเขาคงจะอึดอัด

“ไปเถอะ กูขอนะ ไหน ๆ เราจะแยกย้ายกันแล้ว อย่างน้อยก็ได้เลี้ยงส่งกันหน่อย สกายก็อยากให้มึงไปนะเว้ย”

“...”

จริงเหรอ?

“ไปเถอะ กูอ้อนมึงมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะอชิ”

“เออ ๆ พรุ่งนี้กี่โมง”

“สองทุ่ม ไปถึงก็เช้าพอดี”

“อืม” ผมตอบสั้น ๆ

นิวขอตัวกลับในทันที เพราะต้องไปรับสกายมานอนที่บ้าน ส่วนผมก็เดินกลับเข้ามาขออนุญาตแม่ โชคดีที่พี่สายกลับมาอยู่บ้านแล้ว ผมเลยไม่ต้องเป็นห่วงว่าแม่จะอยู่คนเดียว ช่วงนี้แกป่วยบ่อยมาก

ผมขึ้นมาเก็บกระเป๋าเตรียมเดินทางในวันพรุ่งนี้ แล้วเช็กสภาพอากาศเชียงใหม่ล่วงหน้า เพื่อจะได้รู้ว่าต้องเอาอะไรไปเพิ่มอีกหรือเปล่า



ผมให้พี่สาวมาส่งก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมง มีเพื่อนในห้องบางคนมาก่อนแล้ว คิรินเองก็มาด้วยเช่นกัน ผมโทรไปชวนเขาเมื่อคืน ผมไปเขาเลยยอมมาด้วย คิรินค่อนข้างเก็บตัว เขาไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากผม

ไม่นานทุกคนก็มาครบ เราไปกันทั้งหมดสิบคน พอถึงเวลาที่ต้องไปจริง เพื่อนบางคนก็ติดธุระเลยเหลือกันแค่นี้

นิวอาสาไปซื้อตั๋วรถทัวร์ให้ทุกคน เมื่อถึงเวลาขึ้นรถ เราก็แยกกันนั่งเป็นคู่ ผมนั่งคู่กับคิริน สกายเองก็นั่งคู่กับนิว ผมมองสองคนนั้นหยอกกันจากด้านหลังอยู่เงียบ ๆ

ไม่นานรถก็เคลื่อนตัวออกจากสถานีขนส่ง เพราะเดินทางในช่วงกลางคืน พวกเราจึงหลับกันง่าย ตื่นขึ้นมาอีกทีก็หกโมงเช้า ถึงที่หมายพอดี

มาถึงก็มีเจ้าหน้าที่ที่คุยกันเอาไว้ก่อนหน้ามารอรับที่ท่ารถ เรามุ่งหน้าไปยังดอยค้ำฟ้า ระหว่างทางเจ้าหน้าที่ให้เราแวะซื้อของสดเอาไว้ เพราะข้างบนไม่มีร้านสะดวกซื้อ

การเดินทางเต็มไปด้วยมิตรภาพ และความสนุกสนาน ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ นิวเอากีตาร์มาด้วย เลยมีกิจกรรมให้ทำเยอะขึ้น

เมื่อถึงปากทางเข้าเจ้าหน้าที่ก็พาเราย้ายไปขึ้นรถอีกคัน เป็นรถที่เหมาะกับการเดินทางขึ้นเขามากกว่า จากตอนแรกที่สนุกก็เริ่มนั่งกันเงียบเพราะระหว่างทาง รถโยกไปโยกมา ฝุ่นตลบอบอวล หัวแดงไปตาม ๆ กัน

ใช้เวลาร่วมชั่วโมงเราก็มาถึงที่พัก เจ้าหน้าที่บอกกฎบางอย่างที่พวกเราจำเป็นต้องรู้ และให้พักผ่อนรอเวลาไปยังจุดชมวิว

ที่นี่มีบ้านพักบริการ แต่พวกเราเลือกกางเต็นท์กันข้างนอก เพื่อเอาบรรยากาศ

ตกเย็นเจ้าหน้าที่พาพวกเราไปยังจุดชมวิว อยู่ไม่ไกลจากที่พัก บรรยากาศยามเย็นหนาวจนต้องหยิบเสื้อที่หนากว่าปกติขึ้นมาสวม ลมโชยกระทบผิวหน้าจนขนลุกชัน

ท้องฟ้าถูกย้อมไปด้วยสีทอง ภูเขาวางซ้อนสลับสวยงามราวกับถูกจับวาง ความเมื่อยล้าระหว่างเดินทางหายเป็นปลิดทิ้ง

“ก็ใส่หมวกไว้ เดี๋ยวเป็นหวัด” นิวว่า

“ไม่เอาผมกูเสียทรง”

เสียงคุ้นหูกำลังยืนเถียงกัน นิวพยายามเอาหมวกให้สกาย แต่อีกคนดื้อดึงไม่ยอมท่าเดียว เถียงกันอยู่สักพักเพื่อนคนอื่นก็เริ่มเอ่ยปากแซว

“อะไรกับพวกมึง ยืนเถียงกันอย่างกับผัวเมีย”

“เดี๋ยวกูตบดิ้น” พูดจบสกายก็หันมามองผม ก่อนผมจะหลบตาผินหน้ามองบรรยากาศต่อ

เราเก็บภาพบรรยากาศกันจนเมมฯ แทบเต็ม ยืนดื่มด่ำสูดเอาอากาศบริสุทธิ์กันจนเต็มปอด เจ้าหน้าที่ก็พากลับมายังที่พักในเวลาต่อมา

ตกดึกเราแบ่งหน้าที่กันทำอาหาร ผมได้มาล้างผักกับสกาย คิรินถูกใช้ให้ไปย่างหมูกับนิว อยากชวนเขาคุย แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี ได้แต่มองหน้าสลับกับมองผักในมือ

“เดี๋ยวเรายกไปเอง” ผมว่า

“ไม่เป็นไร ช่วยกันก็ได้” ผมพยักหน้ารับ แบ่งผักกลับมาที่โต๊ะ

อาหารทั้งหมดถูกนำมาวางไว้ เราก็เริ่มนั่งทาน และเริ่มพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ

หลังทานข้าวเสร็จ เก็บล้างทุกอย่างเข้าที่ เราก็พากันไปนั่งที่หน้าเต็นท์ของดิว มีกองไฟเล็ก ๆ ที่เจ้าหน้าที่เป็นคนก่อให้ นิวหยิบกีต้าร์ขึ้นมาร้องเพลง ข้างบนนี้มีพวกเราแค่สิบคน กับเจ้าหน้าที่ที่พักอยู่ไม่ไกล จึงสะดวกที่จะร้องเพลงและพูดคุย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเสียงดังโหวกเหวก

“นี่ ๆ กูเอาของดีมา” ว่าจบ ดิวก็หมุดกลับเข้าเต็นท์ หยิบเอาขวดชาเขียวติดมือมาห้าขวด

“ชาเขียว” นิวหรี่ตามอง

“เดี๋ยวรู้” ดิวฉีกยิ้ม ลุกขึ้นไปหยิบแก้วมาตามจำนวนคน แล้วรินเครื่องดื่มลงไป นิดเดียว “มาเที่ยวทั้งที่เล่นเกมกันหน่อย”

ผมยกแก้วขึ้นดม ก็พอรู้ว่ามันคือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

“แต่เรายังอายุไม่ถึงกันเลยนะ กินเหล้าแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ” คิรินว่า

“โฮ ไอ้อ้วนมึงคิดอะไรเยอะแยะ กินเอาสังคมมึงรู้จักไหม” นิวตอบ

“พอ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน มึงดูมันดิ เนิร์ดขนาดนั้นจะไปรู้เรื่องอะไร มา ๆ เล่นเกมกันดีกว่า” ว่าจบดิวก็เริ่มอธิบายกติกาเกม “กูเสนอเกม ‘กูไม่เคย’ ถ้ากูพูดว่ากูไม่เคย... แล้วใครเคยต้องแดก เรามาวอร์มกันก่อนหมดแก้วสิครับ” ว่าจบทุกคนก็ยกเครื่องดื่มในมือขึ้น กระดกรวดเดียวหมดแก้ว ก่อนดิวจะเป็นคนเริ่มรินเครื่องดื่มให้ใหม่

“กูขอก่อน” นิวว่า “กูไม่เคย...ไม่ช่วยตัวเอง ใครเคยแดกครับ”

“โฮ ไอ้นิวคำถามเหี้ยอะไรเนี้ย” ไม่มีใครไม่ดื่ม ยกเว้นคิริน

“ไอ้อ้วนมึงไม่เคยจริงดิ” นิวว่า

“...” คิรินพยักหน้ารับ ทุกคนลงความเห็นว่าคิรินเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ดื่มจึงได้สิทธิถามต่อ “เราไม่เคยติดศูนย์” สิ้นสุดคำถาม ทุกคนก็ร้องครวญคราง มีผมกับคิรินที่ไม่ได้ยกดื่ม ที่เหลืออีกแปดคนล้วนผ่านประสบการณ์ติดศูนย์กันมาหมด

"ขนาดคำถามมึงยังเนิร์ด" ดิวว่า

“นั้นดิ” แม็กที่นั่งอยู่ถัดจากผมเห็นด้วยกับดิว “คำถามต่อไปกูขอ... กูไม่เคย...ชอบผู้ชาย” ทุกคนนิ่งสนิท มีเพียงนิวคนเดียวที่ยกขึ้นดื่ม

ทุกสายตามองไปยังนิว “มองทำไม ไม่เห็นจะแปลก” นิวยกไหล่อย่างไม่สนใจ

“งี้มึงกับสกาย...?”

“ถ้าจะเป็นผู้ชายกูขอใครก็ได้ ที่ไม่ใช่นิวอะ ฮ่า ๆ” สกายว่า หัวเราะจนตัวโยน

“ระวังเถอะพวกมึง กูเห็นมาเยอะหยอกกันไปกันมาได้กันเอง”

“ไม่มีทาง” สกายส่ายหน้าไหว ๆ

“ต่อ ๆ กูขอถาม” ปราชญ์ยกมือขอ “คำถามคลาสสิกที่พลาดไม่ได้ กูไม่เคยแอบชอบเพื่อนตัวเอง ใครเคยแดกครับ”

ผมชั่งใจอยู่ครู่ แต่ก็ยกดื่ม มีหลายคนที่ยกดื่ม รวมถึงนิว กับสกายด้วย แต่ที่น่าตกใจคือคิรินเองก็ดื่มด้วยเช่นกัน

“ไอ้นิว! มึงเคยแอบชอบเพื่อนด้วยเหรอวะ” ดิวว่า

“เปล่า...กูแค่คอแห้ง” ผมรู้ว่าที่นิวยกขึ้นดื่ม เพราะเขาเองแอบชอบสกาย แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญแล้วแหละ การที่เขาทั้งคู่ยกขึ้นดื่มมันก็ชัดแล้ว

“แล้วมึงล่ะอชิ ยกแดกแสดงว่ามี” ดิวหันมาถามผม

“อืม” ผมตอบสั้น ๆ

“เฮ้ย! ใครคือผู้โชคดีวะ” ทุกคนมองอย่างสนอกสนใจ

“เพื่อนน่ะ...ตอนนี้เขามีแฟนไปแล้ว”

“เหี้ย...เศร้าเลย” ปราชญ์ว่า “งั้นมึงถามต่อเลยอชิ”

“...กู---” ยังไม่ทันถาม สกายก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

“กูขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ว่าจบเขาก็ลุกออกไป โดยที่นิวเองก็เดินตามไปติด ๆ

“มึง กูว่าพวกมันสองคนยังไง ๆ อยู่นะ”

“กูก็คิดงั้นนะบีหนึ่ง”

พวกเรายังนั่งเล่นเกมกันต่อ ไม่นานนิวก็เดินกลับมา แต่เขากลับมาเพียงคนเดียว สกายปวดหัวเลยขอตัวไปนอนก่อน

เวลาล่วงเลย ทุกคนเริ่มไม่ไหวขอตัวเข้านอน ส่วนคนที่ยังไม่ง่วงก็นั่งดื่มกันต่อ

ผมขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำ แต่สายตาดันเห็นว่าสกายนั่งพิงต้นไม้อยู่ห่างจากจุดที่เรานั่งสังสรรค์ ไม่รู้เลยว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว

ผมเดินกลับมาที่เต็นท์ของตัวเอง หยิบเอาหมวกไหมพรมติดมือ เท้าสาวตรงไปยังจุดที่สกายนั่งอยู่

“เราขอนั่งด้วยได้ไหม”

“...” สกายไม่ตอบ แต่ก็พยักหน้ารับเป็นการอนุญาต

“ใส่ไว้สิ เห็นนิวบอกว่าสกายปวดหัวอยู่ น้ำค้างมันเยอะ”

“ถ้าเราใส่ แล้วอชิจะใส่อะไร” ผมฉีกยิ้มดึงฮู้ดขึ้นสวม สกายจึงยอมรับหมวก

“ปวดหัวไม่ใช่เหรอ ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ”

“ตรงนี้ดาวสวย”

“...”

ก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ บริเวณนี้โล่งมาก เห็นท้องฟ้าได้เต็มตา วันนี้ท้องฟ้าโปร่งเลยได้เห็นดาวส่องแสงระยิบระยับ ประดับอยู่บนท้องฟ้ามืด

เราทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไรอีก นอกจากนั่งมองดาวอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งสกายเริ่มพูดขึ้น

“ดาวสวยเนอะ เสียดายที่ตอนกลางวันมองไม่เห็น”

“เพราะแสงจากดวงอาทิตย์กลบหมดไง” ผมว่า

“เราก็คงทำได้แค่รอให้ตะวันลับขอบฟ้าสินะ”

“ถึงตอนกลางวันจะไม่เห็น แต่ดาวก็ยังลอยเด่น คู่กับท้องฟ้าตลอดนะ...”

เราฉีกยิ้มกว้างให้กัน ครั้งสุดท้าย

มันยังคงฝังลึกในม่านความทรงจำ ก่อนที่เราต่างแยกย้ายกันไปเติบโต

วันทรงจำของผมชื่อ สกาย...



@งานเลี้ยงรุ่นที่สี่สิบเก้า ปี 2564

“ไงอชิ ปีนี้ก็มาอีกเหรอ” คิริน เด็กอ้วนตอนนั้น ได้กลายเป็นหนุ่มหล่อ กล้ามแน่น นักธุรกิจใหญ่ที่มีหุ้นส่วนทั้งในและต่างประเทศ ปกติคิรินจะอยู่เมืองนอกเป็นหลัก

“อืม แล้วนี่มาอยู่ไทยนานไหม” ผมว่า

"รอบนี้อยู่ยาวไม่มีกำหนด พ่ออยากให้มาประจำที่ไทย"

“ไว้เรานัดกินข้าว เจอกันบ่อย ๆ คิดถึง”

“ได้ดิ หล่อแล้วแต่เราก็ยังเพื่อนน้อยเหมือนเดิมนะ ฮ่า ๆ” ผมยืนคุยกับคิรินอยู่พักใหญ่ เพราะนาน ๆ เจอกันที

เพื่อนคนอื่น ๆ ก็แวะเวียนเข้ามาทักทาย ถามสารทุกข์สุกดิบกันไปเรื่อย จริง ๆ ผมไม่อยากมาเท่าไหร่ ที่มาเพราะหวังใจจะได้เจอคนในความทรงจำ แต่ปีแล้วปีเล่า ผมก็ไม่เคยเห็นเขาโผล่มา

โลกโซเชียลของเขาไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ นอกจากเพื่อนเก่าของผมจะเป็นคนอัปฯ รูป แต่มันก็ไม่เคยถูกแท็กถึงเจ้าตัวสักครั้ง เขากลายเป็นคนสาบสูญ หายไปจากวงจรชีวิตผม...

แต่ปีนี้มันต่างออกไป...

“อชิ ๆ ปีนี้ไอ้นิวลากสกายมาได้วะ” ดิวเดินเข้ามาโอบไหล่ ชี้ไปทางนิว

มันเหมือนม้วนฟิล์มเก่าถูกดึงออกมาฉายใหม่ ภาพในวันวานที่เคยคิดว่าถูกกาลเวลาพรากไป มันได้ตอกย้ำว่าผมยังรู้สึก

หัวใจเต้นเร็ว แต่ทว่าภาพมุมมองกลับเคลื่อนไหวช้าลง จังหวะที่สกายมองมายังผมแล้วฉีกยิ้ม เหมือนเวลาของผมถูกหยุดเอาไว้ ผมไม่เคยลืมเขาได้เลยสักวัน...











#แฟนwithbenefits



เรื่องนี้ต้องตีนิว ก่อนเลย // วิ่งไปหยิบไม้เรียว



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-





*ชื่อตอนเพลง อยากให้รู้ว่ารักเธอ - Joni Anwar





-กำลังทยอยแก้คำผิด-

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
«ตอบ #31 เมื่อ07-09-2021 23:52:47 »

 :impress2: :-[

ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -15-
«ตอบ #32 เมื่อ08-09-2021 02:25:08 »

แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-15-

ฉันจะรู้ได้ไง ว่าเธอนั้นคิดยังไง


สิ่งมหัศจรรย์ของคนแอบชอบอย่างเรา

คือคนที่เราชอบ เขาเองก็ชอบเราเช่นเดียวกัน...


สายตาเพ่งมองหน้าคนที่เพิ่งสารภาพว่าชอบผมผ่านความมืดสลัว มีเพียงแสงไฟจากห้องน้ำที่เปิดทิ้งไว้ ทำให้พอมองเห็นคนที่หลับสนิท "หลับสบายไปปะ" ผมบ่นอุบอิบคนเดียวเบา ๆ ใจจริงอยากชกหน้ามากกว่า

ฮึ่ย! ออกมาจากห้องน้ำอีกที เขาก็ชิงหลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเสียแล้ว

ตั้งแต่กลับมา เขาก็ไม่พูดถึงเรื่องที่สวนสาธารณะอีกเลย เขาเป็นคนสารภาพเองแท้ ๆ ว่า 'เขาชอบผม' แต่ทำไมมีผมคนเดียวที่คิดมากจนนอนไม่หลับ

WTF!!!!!!

แล้วชอบของเขาคืออะไรวะ?

ชอบแบบเพื่อน หรือ ชอบแบบคนรัก แม้กระทั่งเรื่องที่บอกว่าจะกลับมาอธิบาย เขาก็ไม่พูดถึง แถมยังทำตัวปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้พูดกันตามตรง เรื่องมันควรจะจบแล้ว ในเมื่อเราต่างชอบพอกันอยู่

แต่!

มันติดตรงที่ อชิตะมีอาซาทั้งคน แถมทั้งคู่ยังดูเข้ากันได้ดีเสียด้วย แบบนี้ผมจะไม่กลายเป็นมือที่สามเหรอ เราสองสามคนอะไรแบบนี้ไม่เอานะ เสียทรงซ้อหมด

คนตัวโตกว่าขยับตัวพลิกเพียงนิดเดียว ผมก็รีบหลับตาปี๋ เพราะกลัวถูกจับได้ว่าแอบมองเขาอยู่ ผมสัมผัสได้เพียงความรู้สึก ไม่กี่อึดใจเขาก็ใช้แขนสอดเข้ามาระหว่างช่องว่างของคอกับหมอน แล้วดึงผมเข้าไปกอดจนจมอก

มันใกล้มาก ใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจของอชิตะที่กำลังเต้นระรั่วไม่ต่างจากผม ไม่นานเสียงหายใจสม่ำเสมอของเขาก็บอกชัด... คนที่ดึงผมเข้าไปกอดหลับเสียแล้ว ผมเองก็ควรนอนเช่นกัน

กลิ่นหอมเย็นอ่อน ๆ ลอยขึ้นมาแตะจมูก มันไม่ใช่กลิ่นของน้ำหอม หรือกลิ่นสบู่ แต่เป็นกลิ่นกายเฉพาะตัวของอชิตะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่ได้กลิ่น ผมถึงรู้สึกสบายใจ มันช่วยขับกล่อมให้คนจิตใจฟุ้งซ่านสงบลง พรุ่งนี้จะเป็นยังไงค่อยคิดก็แล้วกัน

ผมเหวี่ยงแขนขึ้นกอดตอบคนตัวใหญ่ ต่างฝ่ายกระชับวงแขนให้เราได้ใกล้กันยิ่งกว่าเดิม ก่อนบรรยากาศ และความอบอุ่นจะขับกล่อมให้เราทั้งคู่จมลงสู่ห้วงนิทรา

หวังว่าตื่นมาเรื่องทั้งหมดจะไม่ใช่แค่ความฝันที่ผมมโนขึ้น...



ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงมือถือดังแผด หน้าจอโชว์เบอร์ของคนสนิทอย่างนิว ผมขยี้ตาตัวเองสองสามที ปรับโฟกัสสายตาได้ ก็กดรับสายทันที

“ว่า”

[รับช้า]

“กูเพิ่งตื่น โทรมาแต่เช้ามีอะไร” ผมถามเข้าประเด็น นิวเป็นประเภทที่พูดอ้อมโลกกว่าจะเข้าประเด็นได้ ต้องคอยดึงมันกลับเข้าเรื่องตลอด

[จะชวนไปเดท วันนี้กูลางาน]

“ประสาท! ถ้าจะโทรมากวนตีน กูวางนะ”

[อชิอยู่ห้องไหม ว่าจะไปหา]

“ไม่อยู่ เออ! มาก็ดีมีเรื่องจะคุย”

[ได้ค่ะที่รัก พี่จะรีบไปหานะจ๊ะ]

“นะจ๊ะพ่องมึงสิ!”

ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด!

มันรู้ว่าจะด่าต่อ ถึงได้รีบตัดสาย ผมได้แต่ส่ายหัวไปมา แต่ไหนแต่ไรนิวก็ชอบพูดอะไรชวนขนลุกตลอด แค่คิดภาพตอนที่ตัวเองกำลังคบกับนิว คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ นรกไม่เกินจริง!

ข้าง ๆ ที่เคยมีคนตัวใหญ่นอนอยู่ ตอนนี้เขาหายไปแล้ว หรือว่าเรื่องเมื่อวานจะเป็นแค่ความฝัน จังหวะที่กำลังเมาขี้ตาตัวเอง ผมก็เหลือบไปเห็นโน้ตแผ่นเล็กแปะอยู่ที่หมอนฝั่งที่อชิตะนอน มันยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องทั้งหมดคือความจริง

ผมหยิบมาอ่าน ‘เรามีประชุมเช้า ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำสระผมนะ เมื่อคืนเรานอนน้ำลายไหลใส่หัวสกายด้วย’

เฮ้ย! เหมือนมือมันเด้งจับหัวตัวเองดูอัตโนมัติหลังอ่านจบ แบบนี้ไม่ได้ปะ

ผมลุกจากเตียง หยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ที่ประจำ แล้วตรงเข้าห้องน้ำทันที ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือเปล่าเรื่องน้ำลาย แต่กันไว้ก่อนก็ดี

ประตูห้องน้ำเปิดออก เท้าผมก็ต้องชะงักเมื่อหน้ากระจกมีโน้ตอีกแผ่น ‘เรื่องน้ำลายเราพูดเล่นนะ แต่คิดว่าสกายต้องรีบลุกแน่ ๆ อาบน้ำแล้วรีบออกไปกินข้าวล่ะเดี๋ยวเย็นหมด’ ผมฉีกยิ้มกว้างโดยไม่มีเหตุผล แปรงสีฟันของผมถูกบีบเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อย

แม่ง! น่ารักฉิบเป๋ง

ผมใช้เวลาไม่นานนักจัดการตัวเอง แล้วออกมากินข้าวตามที่โน้ตว่าไว้ ผมไม่ได้สนใจอาหารเท่าไหร่ เพราะโน้ตแผ่นสีเหลืองดึงความสนใจผมไปหมดแล้ว ‘Eat Me <3’

แม่จะฟาดให้เรียบเลยครับ ผมจัดการอาหารเช้าหน้าตาธรรมดาที่อร่อยที่สุดในจักรวาลจนเกลี้ยง เดินเอาจานไปล้าง แล้วเดินหาโน้ตจนทั่วห้องเผื่อว่ามันจะมีอีก แผ่นสุดท้ายมันจบที่โต๊ะกินข้าวนั่นแหละ

ผมหยิบโน้ตสามใบออกมาอ่านซ้ำแล้วฉีกยิ้มคนเดียว ครั้งหนึ่งผมก็เคยเขียนโน้ตส่งให้อชิตะแบบนี้ แต่เขาคงไม่มีทางรู้ เพราะเรื่องของเราคงจะเป็นไม่ได้

พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว รอยยิ้มก็ค่อย ๆ จางหายไปจากใบหน้า เศร้าเฉยเลยวะ มองดูนาฬิกานี่ก็จะเที่ยงแล้วแต่นิวยังไม่โผล่มา ผมตัดสินใจกดต่อสายหามันอีกครั้ง

[ว่า...]

“รับช้าวะ ออกมายัง”

[กูไม่ได้ขับรถไป มึงมี’ไร]

“กูอยากเล่า กูรอมึงมาหาที่ห้องไม่ไหวแล้ว เรื่องอชิ...”

[…]

“เขาบอกชอบกูวะ”

[...ก็ดีแล้วหนิ]

“แต่...”

[ค่อยเล่า เดี๋ยวกูรีบไป] เอ้ากดตัดสายซะงั้น อะไรของมันวะ

ผมทำได้แค่นั่ง ๆ นอน ๆ รอนิวอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่านั่งรถมาจากเชียงใหม่หรือยังไง ถึงได้ช้าขนาดนี้

ไม่รู้ว่าผมจดจ่อกับการมาของนิวเกินไปหรือเพราะมันช้าจริง ๆ ทักไปก็ไม่ตอบ นั่งรออยู่เกือบบ่ายสองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมรีบลุกวิ่งไปเปิดทันทีเพราะรู้ว่าคนที่อยู่หน้าห้องคือใคร

“กว่าจะมา”

“กว่าจะหารถได้ แถมโดนลุงที่ไหนก็ไม่รู้ หลอกขายดอกไม้เนี่ย แม่ง! ตั้งห้าร้อย” ว่าจบมันก็ยกดอกกุหลาบขึ้นมาสองดอก สีมันค่อนข้างแปลกตา แต่ก็สวยแบบแปลก ๆ พิลึกแฮะ เรื่องดอกไม้เอาไว้ก่อน ตอนนี้เรื่องของผมน่าปวดหัวมากกว่า

นิวเดินเข้ามาในห้อง วางกระเป๋าที่เคาน์เตอร์ครัว เปิดตู้เย็นหาของกินแล้วเดินดุ่ม ๆ ไปที่โซฟาตัวยาว ทิ้งตัวลงนั่งด้วยท่าทีสบายราวกับว่านี้เป็นห้องมัน

แต่ก็ไม่แปลกหากมันจะคิดแแบบนั้น เพราะเมื่อก่อนมันเข้าออกห้องผมเป็นว่าเล่น เผลอ ๆ มันอาจจะรู้จักห้องผมดีกว่าผมซะอีก แต่จะมีพักหลังที่อชิตะมาหาผมบ่อย นิวเลยแทบจะหายไปจากวงจร

“มีอะไรว่ามากูพร้อมล่ะ” พูดจบมันก็หยิบขนมใส่ปากเคี้ยวจนแก้มป่อง มือก็พลางกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อย

“เอามานี่เลยค่อยดู” ผมแย่งรีโมทออกจากมือมัน แล้วทิ้งตัวลงนั่งโซฟาตัวเดียวกัน “อย่างที่กูโทรบอกมึงในสายนั่นแหละ อชิบอกชอบกู”

“ไม่ดีหรือไง มึงเองก็ต้องการแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ แต่มึงลืมอะไรไปหรือเปล่า อชิมีคนที่ชอบแล้วนะเว้ย แบบนี้ก็จะไม่กลายเป็นมือที่สามเหรอวะ”

“มึงคุยกันหรือยังล่ะ”

“ยังเลย”

“ไปคุยกันตรง ๆ อย่าคิดเอง โต ๆ กันแล้ว ไม่ใช่แบบเมื่อก่อน”

“กูกลัวจะเสียเพื่อน”

“มึงเสียคำว่าเพื่อนตั้งแต่วันที่คิดเกินเพื่อนไปแล้ว” ผมเบ้ปากหรี่ตามองนิว คำคมบาดจิตของมัน คงไม่พ้นเอามาจากเพจไหนสักเพจแน่ ๆ

“ก็กลัวอยู่ดี”

“ไปคุยกัน...”

“ถ้าเขาไม่เลือกกูละ”

“...ไปคุยกัน”

“จะดีเหรอวะ”

“ไป! คุย! กัน!”

“เออ ๆ มึงแม่ง...” เสียงถอนหายใจดังขึ้นในความเงียบ

ผมคงต้องคุยกับอชิตะ อย่างที่นิวว่านั่นแหละ การที่คนที่ชอบเขาชอบเรากลับ มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ๆ สำหรับผม แต่ถ้ามันผิด ผมก็พร้อมถอย

ถึงจะอยากได้จนตัวสั่นระริก แต่ผมยังมีศีลธรรมอยู่นะเว้ย

“ดูทีวีได้ยังอ่า...”

“เออ!”

ผมนั่งมองนิวนอนกอดถ้วยไอศกรีม มันตักกินอย่างสบายใจ ตาก็มองจอไม่กะพริบ มึงจะสบายไปปะ มาไม่ช่วยอะไร ยังเปลืองไฟ เปลืองแอร์ มาแย่งอากาศหายใจอีก หงุดหงิดเว้ย!

“เอามาเลยไม่ต้องแดก เปลือง!” ว่าจบผมก็แย่งช้อนจากมือนิว แล้วดึงถ้วยไอศกรีมไว้กับตัว

“อยากแดกไม่ไปเอาถ้วยใหม่ว้า มึงนี่!” เสียงหัวเราะเกิดขึ้น เพราะผมทำมันหัวเสียได้ ผมก็มีความสุข

“เออ ช่วงนี้มึงเป็นไงบ้าง มีใครเข้ามาจีบบ้างปะ”

“ไม่เชิง” ว่าจบช้อนในมือผมก็ถูกแย่งกลับไป พร้อม ๆ กับไอศกรีมโดนตักพร่องไปคำใหญ่

“...?”

“พักหลังชอบมีคนซื้อของมาวางไว้ที่โต๊ะทำงาน”

“หู้ยย พี่นิวของเราก็ฮอตเหมือนกันนี่หว่า”

“รู้แบบนี้แล้ว จะชอบกูก็รีบชอบนะ หึ”

“มึงชื่ออชิเหรอ...” ผมว่า

“...” นิวไม่ตอบ นั่งทำหน้าสลด ปกติมันต้องเถียงผมสิ หรือว่ามันจะโกรธ

“โกรธกูเหรอ?”

“นี่ไงล่ะ!” ช้อนตักไอศกรีมที่นิวถืออยู่ แปะเข้าที่หน้าผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ความเย็นของไอศกรีมเย็นเฉียบ แต่ก็ดับความร้อนของหัวผมไม่ได้

“มึงจะเปิดวอร์กับกูเหรอไอ้นิว!”

สงครามขนาดย่อมได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมใช้มือล้วงเข้าไปในถ้วยไอศกรีม กลิ่นหอมหวานรสวานิลลาอยู่ในมือผมได้ไม่นาน มันก็ย้ายไปอยู่ที่หน้าของนิว จากนั้นผมก็รีบลุกเพราะรู้ว่ามันไม่ยอมแน่

“อย่าเอาของกินมาเล่น ที่บ้านไม่สอนมึงเหรอ” ผมชี้หน้าว่ามันทั้งที่หลักฐานยังเหนียวไหลลงมาเลอะมือ

“แหม...ในมือมึงนี่ไม่เล่นเลย”

“ก็มึงเริ่มก่อน”

นิวใช้ลิ้นแตะไอศกรีมที่เปื้อนมุมปาก “ไอศกรีมที่มึงป้อน อร่อยกว่าตักกินเองอีก” ว่าจบมันก็ขอใช้ห้องน้ำเพื่อล้างเอาคราบที่เลอะออก

“...” 0-0

พูดอะไรของมันวะ...

ผมเดินตามมันเข้าไปล้างหน้าของตัวเองบ้าง นิวถอดเสื้อออกแล้วค่อย ๆ ใช้น้ำล้างคราบเหนียวที่ไหลลงไปยันคอ

“ขยับไปกูล้างด้วย” ผมเอาสะโพกดันให้นิวให้ขยับไป

“ตรงแก้มด้วย” ผมมองนิวผ่านกระจกบานใหญ่ ก่อนมันยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบที่แก้มผมออก "ออกละ"

“...” บางครั้งนิวก็ชอบทำตัวอ่อนโยน ถ้าผมไม่ชอบอชิตะก่อน คงตกหลุมรักมันไปแล้ว “อย่าไปพูดแบบนั้น แล้วก็อย่าทำแบบนี้กับใครนะเว้ย”

“?”

“ถ้าเขาเข้าใจผิดว่ามึงชอบเขาขึ้นมา จะแย่เอา”

“เออ...ก็ทำแค่กับมึงคนเดียว”

ปัง!

พลั่ก!

เหตุการณ์หลังจากจบประโยคของนิว เสียงประตูห้องน้ำถูกผลักกระแทกเสียงดัง อชิตะไม่รู้ว่าโผล่มาตอนไหน เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ...เขาดันนิวจนชิดกับประตู

“ไอ้นิว! มึงจะทำอะไร!” อชิตะกดเสียงต่ำ

“กูทำอะไรวะอชิ”

“ก็เห็น ๆ อยู่ ไหนมึงเลิกชอบสกายแล้ว ทั้งที่มึงก็รู้ว่ากูชอบสกาย มึงก็ยังทำแบบนี้!”

ชอบ...?!

“พอได้แล้ว!” ผมพูดโพล่งเสียงดังใส่ ท่ามกลางความสับสนมึนงง “นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ ชอบอะไรกัน”

“...”

“...”

ไม่มีใครให้คำตอบอะไรกับผม ความเงียบทำให้บรรยากาศโดยรอบเหมือนมีมวลควันสีดำปกคลุม

ที่อชิตะพูดกับนิวแบบนั้นมันหมายความว่าอะไรกันแน่

“ไอ้นิว...มึง...”

“เออ...กูชอบมึง” เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่คอ ในหูเหมือนมีเสียงวิ้ง ๆ ดังก้อง เพื่อนที่ผมสนิทที่สุด ไว้ใจมันที่สุด กำลังบอกว่าชอบผม ที่ผ่านมาเวลาที่มันพูดว่าชอบผม คือความจริงงั้นเหรอ “แต่ก็แค่เคย...ตอนนี้กูไม่ได้ชอบมึงแล้ว พวกมึงสบายใจได้” นิวพูดต่อ

ผมกลายเป็นคนหาลิ้นตัวเองไม่เจอมันซะดื้อ ๆ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างยากลำบาก

“ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม กูกลับล่ะ”

“...”

“อชิมึงมีอะไรก็พูดไปตรง ๆ อย่าปล่อยให้มันคิดเอง กูฝากเพื่อนกูด้วย” ว่าจบนิวก็ตบไหลอชิตะเบา ๆ แล้วเดินออกจากห้องน้ำ

ทิ้งผมให้ยืนงุนงงกับเหตุการณ์ มันแปลกนะ เหมือนพวกเขาสองคนรู้เรื่องกันมาตลอด มีเพียงผมคนเดียวที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ไม่ว่าจะเรื่องที่อชิตะชอบผม หรือเรื่องที่นิวเองก็ชอบผมเหมือนกัน

“สกาย...”

“กลับไปก่อน เราขออยู่คนเดียว”

"..."

"ขอคีย์การ์ดห้องเราคืนด้วย"







#แฟนwithbenefits



*ชื่อตอนเพลง เดาไม่เก่ง - ทรีแมนดาวน์



-กำลังทยอยแก้คำผิด-


ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -16-
«ตอบ #33 เมื่อ08-09-2021 15:05:37 »

แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-16-

เธอรักทุกสิ่ง แต่เธอไม่เคยจะรักฉัน...





[เดี่ยว New]


เฟรนด์โซน สถานะที่เข้าแล้วออกอยาก ใครที่กล้าท้าทายอำนาจจุดจบไม่สวยสักราย ไม่ต้องมาพูดนะว่าไม่จริง ‘ผมสมหวัง’

ก็มึงสมหวังไง ส่วนกูก็นกทั้งฝูง มึงสมหวังมึงก็พูดได้สิวะ!

ฮืออออ เสียใจอีกแล้ววะ ขนาดทำใจมาแล้วแท้ ๆ ยังเจ็บขนาดนี้

ก่อนออกมาจากห้องสกาย ผมได้สารภาพ ว่าเคยชอบเขา ตอนที่ได้ยินอย่างนั้น เขาทำหน้าตกใจราวกับเห็นผี เรื่องนี้ต้องโทษอชิตะคนเดียวเลย เขาทำให้ความลับที่ผมเก็บไว้มานานถูกเปิดเผย

มาถึงห้องผมก็จัดการเอาดอกกุหลาบสีแปลกเสียบโง่ ๆ ใส่ในแจกันบนหัวนอน ผมจำได้ว่าตอนเด็กคุณครูเคยพาทำ มันก็แค่สีผสมอาหารกับดอกกุหลาบสีขาว แต่ไหน ๆ ก็เสียค่าโง่ไปตั้งห้าร้อยแล้วนี่เนอะ

"โอ๊ะ!" จังหวะที่กำลังเอาดอกกุหลาบสีดำเสียบที่แจกัน ผมก็ดันโดนหนามของมันทิ่มนิ้ว จนเลือดสีแดงซึมออกมา 

ให้ตายเถอะ นี่มันวันอะไรกัน ทำไมมีแต่เรื่องให้เจ็บไปหมด...

ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง ความเงียบทำให้รู้สึกเหงา แต่ทว่าวันนี้มันเหงากว่าที่เคย อาจเป็นเพราะเรื่องที่เจอมา จึงทำให้อารมณ์ตอนนี้ทิ้งดิ่งยิ่งกว่าเก่า

ไม่อยากอยู่ห้อง...

ไวกว่าความคิดผมก็ดีดตัวลุกขึ้น พาตัวเองไปอาบน้ำ จำได้ว่าพี่ที่ทำงานให้บัตรกำนัลส่วนลดบาร์ในโรงแรมเค มันอยู่ไม่ไกลจากที่พักผมเท่าไหร่ ว่ากันว่าเป็นสถานที่ชาวเราชอบไปกัน ผมเองยังไม่เคยไปเลยสักครั้ง ไม่แน่ที่นั้นอาจจะเจอคนรอดามใจผมอยู่ก็ได้

ผมหยิบเสื้อเชิ้ตสีดำขึ้นสวมกับกางเกงยีนสีดำสนิท เสริมด้วยเครื่องประดับสีเงิน พรมน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตจนทั่วทั้งตัว วันนี้นิวจะออกล่า... 

ยืนหมุนตัวเช็กความเรียบร้อยหน้ากระจกเสร็จ ผมก็หยิบนาฬิกาข้อมือใส่ คว้ากุญแจรถสัญชาติญี่ปุ่นสีดำเมทัลลิก ราคาเจ็ดหลักต้น ๆ ที่ยังผ่อนไม่หมด และก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหมดเร็ว ๆ นี้ เดินลงมายังลานจอดของคอนโดฯ

ปักหมุดโรงแรมเสร็จสรรพ ผมก็ขับรถก็เคลื่อนออกจากคอนโดฯ สู่ถนนกว้าง ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เพราะรถที่หนาแน่นทำให้รู้สึกเหมือนเดินทางข้ามจังหวัด

มาถึงพนักงานก็เดินมาเปิดประตูรถให้ แล้วเอารถผมไปจอดเก็บไว้ โรงแรมหรูหราหมาเห่ากว่าที่คิดไว้ค่อนข้างมาก ภายในเน้นตกแต่งสีดำทองเรียบหรู ในลิฟต์มีพนักงานยืนรอต้อนรับคอยให้บริการ

ผมขึ้นมายังชั้นสี่สิบเก้าที่เป็นโซนบาร์ ด้านในบรรยากาศหรูหราตามมาตรฐานบาร์ของโรงแรม เสียงดนตรีเพลงแจ๊ซเปิดดังคลอเบา ๆ เข้ากับสถานที่และบรรยากาศ

จำนวนคนมีอยู่มาก แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด อาจเป็นเพราะบรรยากาศสบาย ๆ ของที่นี่ ผมเดินมานั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์ แล้วสั่งเนโกรนีนั่งจิบเหงา ๆ เรียกน้ำย่อยคนเดียว สายตากวาดมองไปจนทั่ว ก่อนจะประสานเข้ากับผู้ชายตัวเล็กที่นั่งอยู่ไม่ไกล เขาส่งยิ้มมา และผมก็ส่งยิ้มกลับไป

จังหวะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปหาเขาคนนั้น ผมก็ถูกใครบางคนจากด้านหลังรั้งเอาไว้ แล้วตามมาด้วยเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทัก

“เราเคยเจอกันหรือเปล่าครับ”

มุขโคตรกาก...

“...” ผมหันกลับไปมอง แต่ไม่ได้ไม่ตอบกลับ ไม่ได้หยิ่งนะ แต่เขาไม่ใช่สเปคผมก็เท่านั้น

“คุณคงจำผมไม่ได้ แต่ผมว่าผมจำคุณได้” ผมหันขวับไปยังปลายเสียง พอมองดูชัด ๆ ก็หล่อดีนี่ แต่ผมก็ไม่ชอบเขาอยู่ดีนั่นแหละ ผมชอบตัวเล็กน่ารัก แบบสกายอะ หุ่นบาง ๆ ตัวขาว ๆ น่าทะนุถนอม

ไม่ใช่ดูลูกครึ่ง หุ่นล่ำแบบนี้! ยืนทีนึกว่าคุยกับเสาไฟ ผมสูงร้อยแปดสิบสอง แต่อีตาคนนี้ดูสูงกว่านั้น

“...”

“ให้ผมเลี้ยงเครื่องดื่มคุณนะ เราจะได้นั่งคุยกัน”

ใจถึงพึ่งได้ หูผึ่งทันทีพอได้ยินคำว่าเลี้ยง...

“ตามใจคุณ” หึ! รวยนักเหรอ ขอใช้เงินหน่อยแล้วกัน ไหน ๆ วันนี้ก็เจอแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้

“ผมขอดรายมาตินี่ครับ” สั่งเสร็จเขาก็หันกลับมาถาม “คุณดื่มอะไรดีครับ”

“แล้วแต่คุณสั่งมาผมก็ดื่มได้หมด”

“ขอโอลด์แฟชั่นด์อีกที่ครับ”

นี่กะมอมกันเลยหรือไงวะ แต่ของฟรี แดก ๆ ไปเถอะ คิดอะไรมาก แค่ไม่เมาก็พอแล้ว

“คุณมาที่นี่บ่อยไหม ผมไม่เคยเจอคุณเลย”

อะไรของเขาวะ... ตอนแรกบอกเหมือนรู้จัก

“คุณจำผมได้ไม่ใช่หรือไง”

“หึ ครับคุณนิว...” ผมหันขวับเมื่อชื่อตัวเองถูกเรียกโดยคนแปลกหน้า

“คุณรู้จักผม?”

“ก็ไม่เชิง” ยิ่งมองผมก็ยิ่งเกลียดหน้าหล่อร้ายของเขา นัยน์ตาเขาฉายแววดูเป็นคนอันตราย

“แล้วคุณชื่ออะไร”

“หมดแก้วสำหรับคำถาม” มุมปากคนพูดกระตุกยิ้ม ผมรู้ได้ทันทีว่าเขามันร้ายจริง ๆ

แค่แก้วเดียวเพื่อรู้ชื่อก็คงไม่เป็นไร...

ผมยกเครื่องดื่มตรงหน้ารวดเดียวจนหมด ความหวานทำให้กลืนลงคอง่ายขึ้น แต่ก็ยังดับรสร้อนไม่ได้อยู่ดี

“ใจเด็ดนี่ ผมเควิน” เควินไหนวะ ทั้งชีวิตไม่เคยรู้จักชื่อนี้เลย

“ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มากก่อน คุณอย่ามาหลอกผมซะให้ยาก”

“พี่ชายคุณชื่อนีโอหรือเปล่าล่ะ”

เฮ้ย! มันรู้ได้ไงวะ หรือว่า...

“เพื่อนไอ้โอเหรอ”

“หมดแก้วสำหรับคำตอบ”

ไอ้เวรนี้จะเอาแบบนี้ใช่ไหม!

ผมจ้องหน้าเควินเขม็ง นอกจากไม่สะทกสะท้านแล้ว เขายังยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะ อีกสักแก้วคงไม่เป็นไร ผมจะไม่ถามอะไรเขาอีกแล้ว แค่สองแก้วก็เริ่มตึง ๆ

ชงเข้มไปไหมอ่า... กะเอาให้ร่วงตั้งแต่แก้วแรกเลยหรือไง

ผมกำแก้วเครื่องดื่มแก้วที่สองแน่นกว่าครั้งแรก กลั้นหายใจกระดกรวดเดียวจนหมด แล้วกระแทกแก้วเปล่าลงตรงหน้าไม่แรงไม่เบานัก ก่อนเขาจะสั่งเครื่องดื่มเพิ่มอีก

ดูแล้วคงจะมีอีกหลายคำถามที่ผมต้องถามเขาอีกแน่ แต่ฝันไปเถอะ ผมจะไม่ถามอะไรเขาอีกแล้ว

“ผมไม่รู้จักพี่นีโอเป็นการส่วนตัว แต่เราอายุเท่ากัน”

อายุเท่ากันเหรอวะ เพื่อนโรงเรียนเก่าเหรอ?

ไม่ใช่แน่ ชื่อโคตรอินเตอร์...

เพื่อนสมัยมหา’ลัยเหรอ?

แต่ที่มหา’ลัยไม่เคยมีชื่อนี้อยู่ในสารบบความทรงจำผมเลยนะ แล้วรู้จักยันชื่อพี่ผมขนาดนี้ ต้องเป็นคนใกล้ตัวสิ

“คุณเป็นใครกันแน่ ในสารระบบความจำผมไม่เคยมีชื่อนี้”

“หมดแก้วครับ”

“คุณจะบ้าหรือไง...” ผมรู้สึกมึนเล็กน้อย ปกติผมไม่ใช่คนคออ่อนขนาดนี้ แต่เพราะท้องว่าง แถมยังกระดกรวดเดียวจนหมดไปสองแก้วติด ไม่ล้มก็เก่งแล้ว

“ก็ถ้าคุณอยากรู้ คุณก็แค่ดื่มแลกกับคำตอบ”

โธ่เว้ย!!! คำถามสุดท้ายแล้วกัน มากกว่านี้ผมขับรถไม่ไหวแน่

เครื่องดื่มแก้มที่สามถูกยกดื่มอีกครั้ง ใบหน้าผมร้อนวูบวาบไปหมด ฝ่ามือเริ่มชาเพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่ม เลือดในกายก็พลันสูบฉีดจนหัวใจเต้นแรงบีบรัดจนหายใจถี่ขึ้น

“จะตอบได้หรือยัง!”

“ผมคือ...”

[จบเดี่ยว New]



ผมออกจากบ้านในรอบหลายวัน เพราะข้าวกล่องแช่แข็งเหลือกล่องสุดท้าย ช่วงนี้ผมเริ่มรับงาน เพราะไม่อาจทนอยู่เฉย ๆ ได้โดยไม่ให้ตัวเองคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ผมตั้งใจจะตัดความสัมพันธ์กับอชิตะ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ เลยกะจะหักดิบโดยการหายไปเงียบ ๆ มันซะเลย

แต่ตลอดสัปดาห์อชิตะทั้งโทร และส่งข้อความหาผมตลอด ผมเปิดอ่านทุกข้อความ แต่ก็ไม่คิดจะตอบกลับ ส่วนนิวหายตัวอย่างกับคนสาบสูญ ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ในโลกออนไลน์ ปกติแล้วมันแทบจะอัปเดตสเตตัสทุกห้านาทีแท้ ๆ

ความสัมพันธ์มันยุ่งเหยิงไปหมด มันเริ่มจากที่นิวชอบผม ผมชอบอชิตะ ส่วนอชิตะนี่ชอบผมตอนไหนกันนะ เพิ่งมาชอบหรือชอบนานแล้วก็ไม่รู้

แต่ก็นะ... จะชอบตอนไหนก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อเขามีคนของเขาอยู่ ต่อให้ชอบกันแค่ไหนก็ไม่มีทางเป็นไปได้



Rrrr…

เสียงมือถือแผดเสียงดัง ผมกดปิดเสียงทันที แล้วจ้องหน้าจอที่ปรากฏชื่อของอชิตะอยู่อย่างนั้น

อชิตะโทรมาอีกแล้ว... วันนี้เป็นสายที่สามของวันแล้วสินะ ผมรอจนสายถูกตัดไปจึงเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม ผมยังไม่พร้อมคุยกับเขาตอนนี้ ขอเวลาทำใจอีกสักพักก็แล้วกัน

“สกาย!” แขนขวาถูกดึงรั้ง จนเสียการทรงตัว กระแทกเข้ากับแผ่นอกของคนเรียกตัวโต กลิ่นหอมเย็นเอกลักษณ์บอกชัดว่าเขาคือใคร

“อชิ!” ดวงตาทั้งสองเบิกโพลง เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะรีบผลักให้เราออกห่างจากกัน ไม่คิดว่าเราจะบังเอิญเจอกันที่นี่

“เราโทรไป ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์ เป็นอะไร!” อชิตะว่า 

เห็นหมดแล้วสินะ...

"เปล่า...ไม่ได้เป็นอะไร แค่ไม่ว่าง"

“โกรธเราเหรอ เราขอโทษ” 

“...เราจะโกรธอชิทำไม ในเมื่อเราเป็นคนยื่นข้อเสนอเรื่องนี้เอง” ผมไม่กล้าสบตา เพราะเขาเอาแต่จ้องผมเขม็ง สายตาเขาเย็นเหยียบจนรู้สึกเย็บวาบไปทั้งตัว "เราก็แค่อยากจบแล้ว เราเหนื่อย"

“...”

สายตาผมเหลือบไปเห็นอาซาอยู่ด้านหลัง เขากำลังเดินตรงมายังอชิตะ ยิ่งเห็นว่ามาด้วยกันแบบนี้ยิ่งเข้าใจ ผมควรจบความสัมพันธ์นี้ให้เร็วที่สุด ต่อให้อยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ผมก็เป็นได้แค่ตัวสำรอง

อาซาต่างหากที่เป็นตัวจริง...

“พอเถอะ ไหน ๆ ก็เจอกันแล้ว เราพูดตรง ๆ เลยแล้วกัน เรื่องของเรามันไม่มีทางเป็นได้ จบมันเถอะนะ”

ในขณะที่อชิตะบอกว่าชอบผม แต่เขาก็มีตัวจริง แบบนี้จะให้ผมไปอยู่ตรงไหน ความรักมันควรมีสองคนไม่ใช่เหรอ

“แต่สกายชอบเรานี่ เราเองก็ชอบสกาย ทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้”

“แล้วยังไง ในเมื่ออชิก็มีอาซาทั้งคน...” ตอนที่พูดประโยคนี้ออกมา ทำไมถึงได้รู้สึกอยากร้องไห้นะ เป็นคนขอจบความสัมพันธ์เองแท้ ๆ

“สวัสดีครับพี่สกาย” อาซาเอ่ยทักทายเมื่อมาถึง ท่าทีเขาดูเป็นมิตรกว่าตอนแรกที่เจอมาก เขาเป็นเด็กน่ารัก ผมทำร้ายเขาไม่ลงจริง ๆ

“สวัสดีครับ” ผมตอบกลับ

“แม่ล่ะอาซา” อชิตะว่า

บิงโก้! เปิดตัวกับครอบครัวขนาดนี้ 

“เคลียร์ค่าอาหารอยู่ครับ อีกสักพักคงตามมา”

“เราขอตัวก่อนนะ” ผมบอกลาอชิตะ “พี่ก่อนไปะครับน้องอาซา” แล้วก็หันไปบอกลาอาซาด้วยเช่นกัน หัวตาเริ่มร้อนผ่าว ผมพยายามกะพริบตาถี่ขึ้น เพื่อให้น้ำตาที่กำลังเอ่อออกมาแห้งไป

ผมไม่สามารถทนยืนอยู่ตรงนี้ได้ ใจมันเจ็บไปหมด...

“วันนี้เราขอไปหาสกายที่ห้องนะ” ไม่รู้ว่าทำไมอชิตะถึงพูดอย่างนั้น ทั้งที่อาซาเองก็ยืนอยู่ตรงนี้

ถ้าเขากล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าคนรัก เขาก็แค่ผู้ชายที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง

“อย่าดีกว่า” ผมว่า

“...”

“นี่ใช่สกายหรือเปล่าเนี่ย” ผมหันไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ในวงสนทนา “จำพี่ได้หรือเปล่า พี่สายเอง”

“อ้อ...จำได้ครับ สวัสดีครับพี่สาย” ถึงจะเจอไม่บ่อย แต่ก็พอจำได้ว่าอชิตะมีพี่สาวอยู่หนึ่งคน

“ไม่เจอกันนานเลย หล่อขึ้นเยอะเลยนะเรา”

“ขอบคุณครับ”

“แม่ครับ สงสัยเราต้องกลับกันสองคนแล้วล่ะ พี่อชิจะไปบ้านแฟน” อาซาว่า

แม่! อาซาเรียกใครว่าแม่นะ!? แล้วใครแฟน อาซาแฟนอชิตะไม่ใช่เหรอ หรือมีคนอื่นอีก ผมพยายามมองไปยังด้านหลัง แต่ก็ไม่มีใครอีกนอกจากพวกเราที่ยืนอยู่

“อาซา...อย่าพูดแบบนั้น พี่สกายตกใจแล้วเห็นไหม” พี่สายว่า

“ก็พี่อชิบอกให้อาซาแบ่งพี่อชิให้กับพี่สกายนี่ครับ ถ้าไม่ใช่แฟนแล้วจะเรียกว่าอะไร”

“แก่แดดจังนะเรา”

“เอ่อ ขอโทษครับ อาซาลูกพี่สายเหรอ” ผมถามสิ่งที่อยู่ในใจออกไป

“ใช่จ้ะ”

ใช่จ้ะ ใช่จ้ะ ใช่จ้ะ~~ เสียงพี่สายที่ตอบผมดังก้องอยู่ในหู ราวกับเสียงแอคโค่ดังสะท้อนไม่จบสิ้น

ถ้าอย่างนั้น อาซาก็เป็นหลานของอชิตะ... หรือว่าเรื่องที่เขาบอกว่าจะกลับมาอธิบายหมายถึงเรื่องนี้

ว๊ากกกกกกกกกกกกก!!!

ผมเข้าใจผิดไปเองเหรอ เหมือนโลกกำลังจะถล่ม ฟ้ากำลังจะทลายลงมา เอาบทดราม่าของผมคืนมา เพ้อไปเป็นสิบหน้ากระดาษ มันจะหักมุมที่ผมโก๊ะแบบนี้ไม่ได้

แอร๊ย~ เขินจนไม่กล้ามองหน้าอชิตะเลย

“อชิงั้นพี่กลับก่อนนะ”

“พี่เอารถกลับนะ ผมจะกลับกับสกาย”

“โอเค”

ผมยืนอ้าปากค้าง มองพี่สายเดินจากไปพร้อมกับกุญแจรถ โดยมีอาซาเดินตัวติดหนึบไม่ห่าง

“เราจะคุยกันได้หรือยัง” หันมองกลับมายังอชิตะ ด้วยสภาพที่กายหยาบไร้วิญญาณ อับอายจนไม่รู้ต้องทำหน้ายังไง

“...”

“ทำไมซื้อแต่ข้าวกล่องเนี่ย”

ได้โปรดอย่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไหม แบบนี้ยิ่งอึดอัดนะเว้ย หน้าร้อนไปหมดแล้ว

“คือ...เรา”

“รีบซื้อของเถอะ ค่อยไปคุยกันที่ห้อง” พูดจบเขาก็เดินถือข้าวกล่องในรถเข็นเดินไปเก็บที่เดิม

รถเข็นที่เคยเต็มไปด้วยอาหารสำเร็จรูป ตอนนี้มันถูกแทนที่ด้วยของสด แน่นอนว่าเป็นของที่ไม่ค่อยมีติดห้องผมเท่าไหร่ สดที่สุดในห้องก็คงจะเป็นไข่ที่ใช้ต้มกินกับมาม่า 

ระหว่างที่เลือกซื้อของ เขาก็ถามนั่นนี่ตามปกติ อะไรที่ผมไม่ชอบ ผมก็แอบเอาออกจากรถเข็นในตอนที่เขาเดินไปหยิบของอย่างอื่น

“วันนี้กินสปาเกตตีนะ”

“อืม ๆ"

ซื้อจนพอใจ เขาก็เข็นรถไปคิดเงิน เราย้ายมายืนเถียงกันต่อที่หน้าเคาน์เตอร์ เพราะเรื่องแย่งกันจ่ายเงิน ยื้อแย่งกันอยู่สักพักผมก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ เหนื่อยไม่มีแรงจะเถียงแล้ว

เราเหมือนพวกคู่ที่อยู่กินกันมานาน ช่วยกันซื้อของเข้าบ้าน เถียงกันบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็ตามใจผม เรากลับมาถึงห้องในเวลาต่อมา แค่คีย์การ์ดแตะประตูให้เปิดออก ผมก็ถูกเขาจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว

ตุบ!

เสียงของที่ถือมาด้วยถูกวางกองไว้ที่พื้น หัวหอมใหญ่กลิ้งออกจากกระเป๋าผ้า มะเขือเทศสีแดงสวยเองก็กลิ้งกระจายตามพื้นห้อง เสี้ยววินาทีต่อมาริมฝีปากของเราก็ประกบกัน

“อุ๊บ! เดี๋ยวก่อน” เรียวลิ้นฉกฉวยเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว รสจูบที่ห่างหายไปเป็นอาทิตย์เต็มไปด้วยความกระหาย เขากวาดเอาทุกอย่างภายในปากจนสติเตลิด มือหนาจับล็อกประคองใบหน้าให้รับจูบถนัดถนี่มากขึ้น สมองขาวโพลนพล่าเบอลไปหมด 

เขาอุ้มผมลอยขึ้นกับพื้น ขาทั้งสองหนีบสะโพกอัตโนมัติ เพราะกลัวตก ริมฝีปากตะโบมจูบอย่างไม่ลดละจนหายใจแทบไม่ทัน ฟันขาวครูดขบเม้มเน้นย้ำหนักเบาจนริมฝีปากล่างบวมช้ำ

“ไม่เดี๋ยวแล้ว รู้ไหมว่าต้องอดทนแค่ไหน” 

“อื้ออออ หายใจไม่ทัน” ลมหายใจอุ่นร้อนพรูดออกทางจมูก สัมผัสผิวคอบอบบางจนขนอ่อนตามตัวลุกชัน

“คิดถึง คิดถึงมาก ๆ”












#แฟนwithbenefits



-,,-



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*





*ชื่อตอนเพลง โดยปราศจากฉัน – WHATFALSE








-กำลังทยอยแก้คำผิด-


ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
«ตอบ #34 เมื่อ08-09-2021 20:20:03 »

คือลือมาก

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
«ตอบ #35 เมื่อ08-09-2021 20:44:56 »

 :pig4:
 :heaven

ออฟไลน์ Koyokid16

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
«ตอบ #36 เมื่อ08-09-2021 21:26:36 »

 :mc4: กว่าจะเข้าใจตรงกันนะนู่สกาย
ตอนนี้ย้ายมารอคู่นิว อะไรยังไง :hao3:

ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -17-
«ตอบ #37 เมื่อ10-09-2021 02:53:52 »

แฟน║FRIEND WITH BENEFIT

บทที่

-17-

ฉันจะพาเธอลอย



ผมถูกอชิตะอุ้มเข้ามาในห้อง ก่อนจะถูกเขาวางลงกับที่นอนนุ่มอย่างไม่ถนอมนัก ผมสัมผัสถึงความเร่าร้อนผ่านแววตา เขาปลดเสื้อเชิ้ตสีพื้นลงไปกองที่พื้น แล้วกระโจนขึ้นมาซ้อนหลังผมเอาไว้

เรายังมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีก แต่ตอนนี้ต่างคน ต่างไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงภาษากาย ที่ตอบโต้กันอย่างตรงไปตรงมา ปากทำหน้าที่เพียงเปล่งเสียงครางกระเส่า

ร่างกายพันเกี่ยวสอดประสานเราเข้าด้วยกัน มือไม้ปัดป่ายไปทั่วเรือนร่าง เสื้อผ้าที่ใช้ปกปิดร่างกาย เริ่มหลุดออกทีละชิ้น ไม่นานเราทั้งสองก็เปลือยเปล่าแนบชิดแลกเปลี่ยนความอบอุ่น ลิ้นร้อนโลมเลียใบหู พร้อมกลับฝ่ามือที่ฟอนเฟ้นเค้นหน้าอกเต็มมือ

“ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์...” เสียงแหบพร่ากระซิบบอก "รู้ไหมว่าเราคิดมากแค่ไหน"

“อ๊า!” ฝ่ามือหนากอบกุมแกนกายที่กำลังตั้งชันชี้ขึ้น เขาใช้นิ้วโป้งถูวนส่วนปลายระหว่างรอยแยกปริ่มน้ำ "อื้อ หยุดก่อน"

"ตอบ!"

"อะ! เรา เรา ผิดเอง"

"เรื่องอะไรครับ"

"ที่... ที่ไม่ยอมรับ โทรศัพท์ อ๊า...!" แกนกายรู้สึกปวดหนึบ เพราะจังหวะที่เขาขยับมือ "แต่อชิก็ไม่ยอมอธิบายอะไรนี่..." ฝ่ามือที่กำลังชักรูดหยุดชะงักทันที

"เราขอโทษ" ริมฝีปากถูกครอบครองอีกครั้ง จูบอ่อนโยนปลอบประโลมจนผมใจอ่อน ยอมให้อภัยเขาทั้งหมด ให้ตายผมมันคนใจง่ายชะมัด "ชอบหรือเปล่า"

ฝ่ามือปล่อยจากการครอบครองแกนกาย ย้ายมาบดขยี้ตุ่มไตจนขึ้นแข็งขึงสู้มือ น้ำเหนียวใสที่เปรอะมือทำให้ปลายนิ้วลื่นไปกับจุดอ่อนไหวที่สุดของร่างกาย

"ชอบ ดีมากเลย" เขายกยิ้มพอใจ ก้มลงส่งปลายลิ้นหยอกล้อตุ่มไต แทนการใช้ปลายนิ้วขยี้ ขนแขนลุกชันเมื่อร่างกายปะทะกับความเสียวซ่าน ฝ่ามือจิกกำหัวไหล่แกร่ง เพื่อระบายความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน

ผมว่าอชิตะไม่ได้มีอารมณ์หรอก แต่ผมว่าเขาหิวมากกว่าไม่ว่าจะซอกไหม มุมไหน ผมก็ถูกเขาขบกัด ดูดเม้มจนขึ้นรอยแดงจ้ำไปทั่วทั้งตัว ไม่เว้นแม้แต่ช่องทางหลัง เขาใช้ปลายลิ้นสอดเข้ามาพร้อมกับเรียวนิ้ว ความคิดฟุ้งก่อนหน้ากระจายหายไปในอากาศ เหลือเพียงร่างกายที่บิดเร่าไปมาอยู่บนที่นอน

“อะ...อชิ! ไม่เอา ไม่เอาลิ้น”

“อยากได้อะไรครับคนดี” คำพูดของเขามันสวนกับการกระทำ เขามันร้ายตาใส

“อะ! ตรงนั้น” อชิตะรู้ว่าผมต้องการอะไร แต่เขาจงใจแกล้งผม “อ๊า อชิ!” ช่องท้องกระตุกวูบ เขาครอบริมฝีปากลงมาที่แกนกายจนสุดความยาว ผงกหัวขึ้นลงถี่ สลับกับดูดส่วนปลาย

ปลายนิ้วขยับถี่เข้าออกย้ำจุดกระสันเสียวซ่าน จนช่องทางหลังขมิบตอดรัด ร่างกายสั่นสะท้านจวนเจียนจะถึงปลายทาง

“อยากได้ของอชิแล้วครับ...” มุมปากคนฟังกระตุกยิ้ม เขาแลบลิ้นริมฝีปากตัวเองราวกับจะจับผมกิน

“You look so cute” ว่าจบขาทั้งสองก็ถูกจับให้กางออกกว้างกว่าเดิม เจลหล่อลื่นสีใสไร้กลิ่นถูกบีบชโลมเพื่อป้องกันไม่ให้ได้รับบาดเจ็บระหว่างที่ทำ สวมป้อมปราการเสร็จเขาก็จับท่อนร้อนรักจ่อที่ช่องทางหลัง แหวกแก้มก้นออกเปิดทางให้ดันแกนกายเข้ามา ค่อย ๆ ดันเข้ามาทีละนิดไม่นานก็เข้าไปจนสุดความยาว แล้วแช่ค้างเอาไว้สักพัก

“ซี๊ดดด! ข้างในตัวสกายร้อนจนจะละลายอยู่แล้ว” 

“หยุดพูดลามก แล้วขยับสักที” >////<

“ลามกเหรอ แต่เรากำลังมีอะไรกันอยู่นะ” หน้าผมเห่อร้อนกับประโยคที่เขาพูดออกมา ให้ตายเขาไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไงตอนที่พูด

สวบ!

“อึก!...” เขาถอยแกนกายออกอย่างเชื่องช้า แล้วสวนกลับมาเข้ามาด้วยแรงเท่าเดิม ทั้งจุก ทั้งอึดอัด แต่กลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

น้ำตาเม็ดใสไหลกลิ้งลงมาสองแก้ม ความรู้สึกวาบหวามถาโถมให้ขาทั้งสองสั่นเทา ทุกครั้งที่ขยับเข้าออกส่วนปลายคอดหยักครูดกับผนังด้านในจนร้องครางออกมาไม่เป็นภาษา

เสียงครางหวานของผม กระตุ้นให้อชิตะตอกสะโพกเข้ามาหนักขึ้น เขาเร่งจังหวะกระชั้นถี่ยิ่งกว่าเก่า ร่างกายถูกแรงโหมโรมรันจนไหวขึ้นลง ผมหลับตาปี๋ไม่กล้ามองหน้าเขาด้วยความเขินอาย ถึงแม้จะมีอะไรกันหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่บ่อยนักที่เราจะทำไปพร้อมกับมองหน้ากัน

อชิตะโน้มหน้าลงมากดจูบหน้าผาก ขยับไปที่พวงแก้ม จูบซับน้ำตารสเค็มปร่า ก่อนจะปิดปากผมให้เก็บกลืนเสียงครางลงคอด้วยริมฝีปาก จูบเพียงไม่นานเขาก็ผละออก

“มองหน้าหน่อยคนดี”

“ไม่เอา” ส่ายหน้าไหว ๆ พลางยกมือปิดหน้าที่กำลังบิดเบ้

“..." เขาไม่ตอบ รวบข้อแขนผมขึ้นไว้เหนือหัว ก้มลงขบเม้มยอดอก ดูดดึงจนพอใจ เขาก็หยัดตัวตรงแล้วดันสะโพกเข้ามาจนลึกย้ำจุดจีสปอตด้านใน 

“อื้อออ...อ๊ะ! อชิ” ผมปรือตาขึ้นมองใบหน้าขาว ที่ถูกสีแดงก่ำแต่งแต้มพาดยาวลามไปจนถึงใบหูทั้งสองข้าง

“เข้ามาลึก ๆ เลย" อชิตะขบฟันแน่นจนขึ้นสันกราม เส้นเลือดที่แขนนูนเห็นเป็นเส้นชัด ไม่อยากคิดเลยว่าข้างล่างส่วนร้อนจัดจะเป็นยังไง ความคิดลามกปลุกสัญชาตญาณดิบออกมา "อ่า...อชิ อื้อออออ! รู้สึกดีจนเหมือนจะเสร็จเลย”

“ทนอีกนิดนะครับ” ว่าจบ อชิตะก็สวนสะโพกเข้ามาเน้นหนัก ผมคล้ายคนเมาขาดสติ สมองพร่าเบลอ เอาร้องขอเรื่องที่ตอนมีสติดีไม่กล้าพูด

เสียงหน้าขากระแทกกับสะโพกกลมเสียงดังตับ ตับ ตับ หยาบโลนไปทั้งห้อง มันแสบ ๆ คัน ๆ แต่ผมก็ไม่อยากให้เขาหยุดโหมแรงเข้ามา

“อชิ ไม่ไหวแล้ว...” สิ้นสุดประโยค ของเหลวสีขาวกลิ่นคาวก็ฉีดพุ่งขึ้นมาที่หน้าอก ปลายเท้าจิกเกร็ง ช่องทางหลังเองก็ตอดกระตุก ขมิบรัด แต่ทว่าเขายังไม่มีท่าทีที่จะหยุดเคลื่อนตัวเข้ามา

กระแทกกระทั้นหนักลึกอีกเพียงสี่ห้าครั้ง เขาก็ปลดปล่อยหยาดอุ่น กระตุกเกร็งอยู่ครู่เขาจึงถอดถอนแกนกายออกมา ปลายป้อมปราการปรากฏหลักฐาน เป็นของเหลวสีขาวขุ่นอยู่ที่ส่วนปลายถุงยางฯ มันถูกมัดทิ้งไว้ข้างเตียง แล้วหันไปหยิบซองใหม่บนหัวนอน

“เดี๋ยว...ไหนสปาเกตตี” ผมหิวจริง ๆ นะ

“แต่เรายังไม่อิ่มนี่”

“อือออ...งั้นรอบนี้ขอช้า ๆ นะ”

“ไม่รับปาก” สิ้นสุดประโยค เขาก็ใช้ปากฉีกซองสีเงิน แล้วจัดการสวมมันลงไปที่แกนกลางที่ยังตั้งแข็ง

ผมถูกจับพลิกให้นอนคว่ำหน้าลงกับหมอน ยกสะโพกลอยเด่นโชว์รอยจีบสีแดงที่เพิ่งเสร็จจากกิจกรรมเมื่อครู่ เพราะเพิ่งทำกันเสร็จช่องทางหลังจึงยังอ่อนนุ่ม ทำให้เข้ามาง่ายกว่ารอบแรก ไม่นานร่างกายเราก็เชื่อมประสานกัน แกนกายร้อนระอุ พร้อมจะทำให้ผมละลายกลายเป็นของเหลวชั่วพริบตา

ฝ่ามือจิกกำผ้าปูเพื่อระบายความเสียวซ่านจนมุมหลุดลุ่ย บทรักเริ่มขึ้นอีกครั้ง...เขาโน้นตัวลงมาดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้ ก่อนจะใช้มือช้อนปลายคางให้ยกขึ้นรับจูบ

มาคิด ๆ ดู ถ้าตอนนั้นผมสารภาพรักกับเขาไปจะเป็นยังไง มีความเป็นได้สองอย่างคือ เราอาจจะได้คบกัน หรือแม้แต่คำว่าเพื่อนเราก็ไม่มีสิทธิ์ใช้

แล้วถ้าหากเราได้คบกันล่ะ?

ตอนนี้เราจะยังรักกันดีอยู่หรือเปล่า

ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ผมขอไม่แก้ไขอะไรทั้งนั้น เพราะตอนนี้มันดีที่สุดแล้ว...

...

..

.



“ซี๊ดดดดด ...สะโพก” ขยับตัวเพียงนิดเดียว ความเจ็บก็แล่นแปล๊บไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน แต่ดูจากชุดที่อชิตะเปลี่ยนให้ คงพาผมไปอาบน้ำทำความสะอาดเรียบร้อย

นอกหน้าต่างมืดสนิท แสงจากดวงตะวันถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผมลุกนั่งจัดระเบียบตัวเอง แล้วปล่อยปลายเท้าลงสัมผัสพื้นยืนนิ่ง ๆ เพื่อทรงตัว ช่องทางหลังไม่เกิดบาดแผล แต่ก็รู้สึกคัดเคืองทุกครั้งที่ก้าวขา

ครั้งนี้เหมือนถูกอชิตะทบทั้งต้นทั้งดอก สาบานได้ผมจะไม่หายไปจากเขาเป็นอาทิตย์อีกแน่ เล่นเอาร้าวระบมไปทั้งตัว เพียงสาวเท้าออกนอกอาณาเขตห้องนอน กลิ่นอาหารหอมฟุ้งเรียกน้ำย่อยคนเพิ่งตื่นได้เป็นอย่างดี

“ตื่นแล้วเหรอ กำลังจะเข้าไปปลุกเชียว”

“...” ผมไม่ได้ตอบ เพียงแค่พยักหน้ารับ แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่าง สปาเกตตีซอสมะเขือเทศจานใหญ่วางอยู่ตรงหน้าส่งกลิ่นหอมโชยขึ้นมาแตะจมูกยั่วน้ำลาย

นั่นมะเขือเทศที่กลิ้งอยู่หน้าประตูสินะ... เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เรามีเซ็กซ์กันทันทีหลังจากที่กลับมาถึงห้อง ยังไม่ทันเก็บข้าวของอะไรเลยด้วยซ้ำ พอคิดเรื่องลามกแล้วก็รู้สึกมวนท้องน้อยทันที

ส้อมทางซ้ายมือถูกขึ้นม้วนเส้นสปาเกตตี ใส่ปากเคี้ยวจนแก้มป่องด้วยความหิว

“หิวเหรอ”

“อืม ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า”

“นึกว่าอิ่มแล้วซะอีก” อชิตะว่าพลางกลั้วหัวเราะลำคอ

“เดี๋ยวเถอะ!” ผมว่า ใช้สายตาคาดโทษเอาไว้ก่อน ผมยังมีเรื่องที่อยากถามเขาเยอะมาก ระหว่างนั่งกินผมก็เรียบเรียงคำถามในหัว ก่อนจะเอ่ยออกไป

“อชิคือว่า...”

“เป็นแฟนกันนะ” ยังไม่ทันถามจบ อชิตะก็พูดแทรกขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่สิ่งที่เขาพูดออกมาทำเอาช็อกตาค้าง ส้อมในมือสั่นอย่างกับแผ่นดินไหว

เคร้ง!

และในที่สุดผมก็หมดเรี่ยวแรงถือส้อม มันร่วงหล่นกระทบจานเซรามิกเสียงดัง

“อะ อะ อชิ วะ ว่า ยังไงนะ” 0 [] 0

“เป็นแฟนกับเรานะสกาย”

“ฝันอยู่เหรอ หรือเรายังไม่ตื่นวะ” ผมเกาหัวตัวเองแกรก ๆ สับสนไปหมด นี่มันโลกความจริงหรือความฝันกันนะ “โอ๊ย! เจ็บอชิ” อชิตะยื่นมือจากฝั่งตรงข้ามมาบีบแก้มทั้งสองข้างเอาไว้ ก่อนจะออกแรงดึง

“ฝันอะไรล่ะ”

“เจ็บนะเว้ย” เอามือลูบแก้มตัวเองป้อย ๆ “อยู่ ๆ ก็มาขอเป็นแฟน ใครจะไม่ตกใจล่ะ”

“...เราชอบสกาย สกายชอบเราหรือเปล่าล่ะ”

“...” ถามตรงจังวะ เขินเป็นนะเว้ย

“ถ้าไม่ชอบ งั้นเรากลับก็ได้นะ”

“เปล่า ๆ ชอบ ชอบมากเลย” อชิตะปล่อยปากยิ้มออกมาอย่างพอใจ วินาทีนั้นผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังแกล้งผมอยู่

ไอ้คนบ้า!

“งั้น...ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่สกายต้องปฏิเสธนี่”

“อชิไม่คิดว่ามันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ คือแบบว่าเราเพิ่งจะ เอิ่ม...ยังไงดีล่ะ”

“เราสองคนเสียเวลากันมามากเกินไปแล้ว เราอยากเป็นคนที่อยู่ข้าง ๆ สกาย อยากดูแลไม่ว่าจะตอนป่วยหรือตอนมีความสุข”

“หืมมม อย่างกับกำลังขอแต่งงานแหนะ”

“แต่งกันเลยดีไหม”

“เดี๋ยวก๊อนนนนนนนน” ผมรีบร้องห้าม ก่อนที่มันจะไปกันใหญ่ อชิตะใส่อะไรลงไปในสปาเกตตีเนี่ย

“คำตอบ?”

“...” แง้เขิน อชิตะก็เอาแต่นั่งจ้องหน้า ใจอยากตอบว่าแต่งค่ะ แต่ปากมันไม่ยอมขยับ “อืม”

“อืม อะไร...”

“อชิอย่าแกล้ง!” หน้าผมร้อนผ่าวไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงขึ้นสีแดงจัด เหมือนซอสมะเขือเทศในจานแน่ ๆ

“ก็ตอบเหมือนไม่เต็มใจเลยนี่ เราบังขับสกายหรือเปล่า” ว่าจบเขาก็ทำหน้าหงอย

เจ้าแมวน้อย ตะไมตะเล็กตะน้อยน่ารักแบบนี้นะ (สายตาที่สกายมองอชิตะ)

“เป็นอยู่แล้ว ก็ชอบมาตั้งนะ---” อุ๊ย! ผมรีบเอามือปิดปากตัวเองเอาไว้ ก่อนจะหลุดพูดอะไรน่าอายออกไปอีก

“เราก็ชอบสกายนานแล้วเหมือนกัน”

แหม! กล้านาน ผมชอบเขาตั้งแต่มอสี่ ตอนมอสี่เขายังบอกว่าไม่ชอบผู้ชายอยู่เลย เอาอะไรมานานก๊อนนนน

แต่เอ๊ะ! ชอบมานานแล้วทำไมไม่บอกวะ

“อชิถามอะไรหน่อยสิ”

“ว่า”

“ที่บอกว่านานแล้วนี่ ตั้งแต่ตอนไหนเหรอ?”

“ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ” ฮะ! ครั้งแรก แบบนี้ก็ชอบผมก่อนที่ผมจะชอบเขาน่ะสิ

ฉ่า~ เสียงหน้าผมร้อนอีกแล้ว ถ้ามันเป็นไฟคงเผาผมจนมอดไหม้กันไปข้าง

"ครั้งแรกก็สงกรานต์เลยอะนะ"

"ใช่..."

"แต่ตอนมอสี่ เราได้ยินอชิบอกว่าไม่ชอบผู้ชายนี่"

"ตัดรำคาญน่ะ พี่เขาตื้อ" เวร ผมคิดเองเออเองมาแต่ไหนแต่ไรเลยเหรอวะ "แล้วสกายล่ะ ชอบเราแล้วทำไมไม่บอก" อชิตะถามกลับ

"ถ้าอชิไม่ชอบเราขึ้นมา เราอาจเสียเพื่อนก็ได้" อชิตะพยักหน้ารับเห็นด้วย ผมว่าเขาเองก็คงคิดแบบเดียวกันกับผม (มั้ง)

เรานั่งกินกันต่อ พลางหาเรื่องคุยกันไปเรื่อย ๆ มันคงจริงอย่างที่เขาว่า เราเสียเวลากันมามากแล้ว ต้องขอบคุณนิวที่ชวนผมไปงานเลี้ยงรุ่นปีนี้ ทำให้เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในวันที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และที่หน้าเหลือเชื่อคือ เราเป็นแฟนกันแล้ว

“เราเคยฝันถึงสกายด้วยนะ” อชิตะว่า

ว้าว *0* แบบนี้เรียกว่าคลั่งรักแล้ว ผมยังไม่เคยแอบฝันถึงเขาเลยนะ (หรือเปล่าวะ)

“ฝันว่าอะไรเหรอ” ผมถามออกไปด้วยความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม

“ฝันเปียก”

แค่ก! แค่ก! แค่ก!

แม่ย้อย...ถึงกับสำลัก นี่คงเป็นธาตุแท้ของเขาจริง ๆ สินะ หื่นตั้งแต่เด็กเลยนี่หว่า ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อน

“ในฝันเป็นยังไง เล่าได้ไหมอยากรู้” แต่ก็นะต่อมเผือกมันทำงาน อยากรู้จริง ๆ ว่าในฝันเขาจะร้อนแรงเหมือนตัวจริงหรือเปล่า

“ไม่มีอะไรนะ สกายแค่ใช้ปากให้เราจนเสร็จ”

ช็อก 0 [] 0!

ชีวิตจริงผมยังไม่เคยทำให้เขาเลยสักครั้ง มีแต่เขาที่กินไอจ้อนผม...

วันนี้หมดเรื่องเซอร์ไพร์ยังอ่า ถ้ายังผมว่าวันนี้ผมได้ตายจริง ๆ แน่ แล้วทำไมเขาถึงพูดออกมาโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ดูไม่ขัดเขิน เหมือนเป็นเรื่องปกติที่พูดออกมาง่าย ๆ

“ไว้จะสานฝันนะ” อชิตะว่างเงยหน้าขึ้นมอง แล้ววางส้อมในมือ “จะทำอะไรน่ะ” เขาก้มหน้าลงทำท่าขยุกขยิก ไม่หยุด

“ถอดกางเกง”

“ไอ้บ้า! ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้เนี่ย”

“เพิ่งรู้เหรอ”

“เมื่อก่อนน่ารักจะตาย ทำไมเดี๋ยวนี่ร้าย”

"ไม่ชอบ?"

“ชอบ... แซ่บดี หึ ๆ” ผมว่า พลางหัวเราะเบา ๆ

“อยากจูบจัง”

“คิดแต่เรื่องลามกถูกมะ”

“ถ้าสกายเห็นความคิดเราจริง ๆ สกายอาจจะนั่งร้องไห้ก็ได้นะ”

"อยากเห็นจัง" ว่าจบผมก็ใช้ส้อมตักเส้นสปาเกตตียกขึ้นสูง แล้วค่อย ๆ ใช้ลิ้นตวัดเส้นลงมา ก่อนจะพูดปิดท้ายให้เสียดายเล่น "แต่ไม่ใช่วันนี้นะ หมดโควตาแล้ว"

อชิตะไม่ตอบ แต่สีหน้าเขาดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

ผมโดนต้นจนเปื่อย ภายนอกดูเป็นคนน่ารักใส ๆ แบบน้ำเปล่า หารู้ไม่นี่มันวอดก้าชัด ๆ



กินข้าวเสร็จผมก็เดินไปช่วยอชิตะล้างจาน แล้วออกมานั่งดูหนังด้วยกัน บรรยากาศไม่ต่างจากตอนที่ยังไม่เป็นแฟนเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกกลับตรงกันข้าม เหมือนทุกอย่างถูกปลดล็อก มีแต่ความสบายใจหลงเหลืออยู่...

ผมเดินกลับเข้ามาในห้องก่อนอชิตะ เพราะงานที่รับไว้ยังค้างอยู่ ช่วงสี่ทุ่มกว่าเขาก็กลับเข้ามาในห้องนอน

“สกายมีปฏิทินไหม”

“มีแบบตั้งโต๊ะได้หรือเปล่า”

“ได้... ขอปากกาด้วย”

“มีแต่เมจิกสีแดง ได้หรือไหม”

“...” เขาไม่ตอบ รับปากกาไว้ในมือ แล้วก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างลงในปฏิทิน

"อชิเขียนอะไรอะ" ผมถามเพราะเห็นเขาดูตั้งใจ

เขียนเสร็จเขาก็เอามาตั้งที่โต๊ะทำงานผมตามเดิม

“วันนี้เราเป็นแฟนกันวันแรก” อชิตะว่า

ผมหันขวับไปที่ปฏิทินตั้งโต๊ะ ตรงวันที่วันนี้มีรอยปากกาเมจิกสีแดงวาดเป็นรูปหัวใจ มีตัวหนังสือเขียนกับกำเอาไว้ว่า ‘สกายเป็นของอชิตะ’









#แฟนwithbenefits



จะพยายามมาอัปทุกวันนะฮับ ทดแทนที่หายไปนาน

ส่วนเรื่องของนิว ตั้งใจว่าจะแยกเป็น Spin-off แอบแฟนตาซีนิด ๆ

ตอนนี้เริ่มวางพล็อตไว้แล้ว กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ปกออกมาหน้าตาเป็นยังไงดี

ยังไงก็ฝากนักอ่านรอติดตามด้วยนะฮับ

รัก <3


*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ





*ชื่อตอนเพลง The TOYS - ลาลาลอย (100%)







-กำลังทยอยแก้คำผิด-

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
«ตอบ #38 เมื่อ10-09-2021 04:08:52 »

ดีงับ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
«ตอบ #39 เมื่อ10-09-2021 07:06:31 »

 :oo1: :jul1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
« ตอบ #39 เมื่อ: 10-09-2021 07:06:31 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
«ตอบ #40 เมื่อ10-09-2021 22:27:42 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -18-
«ตอบ #41 เมื่อ11-09-2021 14:29:04 »

แฟน║FRIEND WITH BENEFIT

บทที่

-18-

โชคดีแค่ไหนเมื่อหมดใจที่ฉันมี ได้พบเธอ



“อยู่ที่นั่น ก็อย่าดื้อเข้าใจไหม”

“ครับ ผมจะเป็นเด็กดี”

“แกก็ดูแลตัวเองดี ๆ ถึงแล้วพี่จะข้อความไว้”

“ครับ”

“สกาย พี่ไปก่อนนะ ฝากอชิด้วย”

“ครับพี่”

จะดูแลอย่างดีเลยครับ มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ใครมองผมจะเอานิ้วจิ้มตามันให้บอดไปเลยครับ

วันนี้พี่สายต้องเดินทางพาอาซาไปรักษาที่เมืองนอก ตามแพลนที่เคยวางเอาไว้ก่อนหน้า เรื่องทั้งหมดจริง ๆ มันไม่มีอะไรซับซ้อนเลยสักอย่าง เพียงแค่ผมเข้าใจผิดไปเองทั้งหมด

พี่สายกอดอชิตะครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินหายเข้าไป เราทั้งคู่ยืนมองทั้งสองคนจนลับสายตา

“จะไปบ้านเลยหรือเปล่า” ผมว่า

“ขอแวะเข้าไปเอาเอกสารที่บริษัทก่อน”

ส่วนผมกับอชิตะหลังจากตกลงเป็นแฟนกันแล้ว ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ฟิลเตอร์สีชมพู ตอนนี้เราทั้งสองกำลังจะย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้วนะ

อี๊ดดดดดด~

สกายไม่แห้งแล้ง!

“งั้นไปกันเลยไหม เดี๋ยวรถติด” อชิตะว่า ยื่นมือส่งมา เป็นอันเข้าใจตรงกัน

ผมยกฝ่ามือวางไว้ให้เรียวนิ้วสอดประสาน เราเดินจับมือกันไม่แน่นจนอึดอัด ไม่หลวมจนไม่รู้สึก ไม่มีใครเดินนำหน้า หรือต้องมีใครเดินตามหลัง ในทุก ๆ ก้าว มีเราที่เดินไปข้างหน้าพร้อมกัน

ผมชอบบรรยากาศตอนนี้ที่สุด ช่วงวันหยุดผมขอให้เขาสอนทำอาหาร เพราะอยากทำให้เขากินบ้าง แต่ต่อให้ตื่นเช้าแค่ไหน ผมจะเห็นอาหารพร้อมทานวางเตรียมเอาไว้ที่โต๊ะตลอด

ชอบ...เวลาที่อชิตะจับผมนั่งบนตัก แล้วช่วยกันเลือกหนัง เถียงกันแทบตาย สุดท้ายเขาก็ยอมผมทุกครั้ง เราจะผลัดกันป้อนขนมระหว่างดูไปด้วย แต่ถ้าวันไหนเขาเป็นคนเลือกก่อน ไม่ถึงสิบนาทีผมจะหนีไปเฝ้าพระอินทร์

ชอบ...ตอนที่เรามีเซ็กซ์ด้วยกัน ตอนที่เสียงหายใจของเราหอบถี่ หัวใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ ผิวเนื้อที่เบียดเสียด มันเหมือนทั้งหมดที่ว่ามา กำลังหลอมละลายเราให้กลายเป็นคนคนเดียวกัน หลังจากเสร็จกิจกรรม เราจะมานอนกอดก่ายปัดป่ายใต้ผ้าห่ม เขาเป็นคนแรกของทุกเช้า และคนสุดท้ายของวัน

ชีวิตไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมาย มันยังคงธรรมดาเรียบง่ายเหมือนเดิม

สำหรับผม ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าการได้รักเขาอีกแล้วล่ะ...



เครื่องยนต์ดับสนิทใต้ตึกสูง ผมรู้ว่าบ้านอชิตะทำธุรกิจ แต่ก็ไม่คิดว่าจะใหญ่โตโอ่อาจขนาดนี้

เพียงแค่เท้าเหยียบเข้าไปในตึก ทุกคนที่เห็นอชิตะจะยกมือสวัสดี และทักทาย ทุกฝีก้าวที่เดินเหมือนตัวเองกำลังถูกสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ตลอด อาจเป็นเพราะผมไม่เคยมา หรือไม่ก็เพราะอชิตะเดินจับมือผมไม่ห่างตัว

หน้าประตูไม้สีเข้มขนาดใหญ่มีเลขานั่งอยู่ ชีวิตดั่งนิยาย ผมเพิ่งเคยเห็นของจริง ก็วันนี้แหละ

“คุณศิลา ถ้ามีงานด่วนโทรหาผมเท่านั้นนะครับ ผมแค่แวะมาเอาของ” อชิตะว่า

“ครับ”

แหม! ลุคคุณชายเงียบขรึม เขาทำหน้านิ่งเรียบอย่างกับคนไร้ความรู้สึก น้ำเสียงทุ้มต่ำดูมีเสน่ห์สุด ๆ อยากให้ภาพตัดไปตอนที่อยู่ห้องด้วยกันสองคน

ซู๊ดปาก! ซู๊ดคอ!

ไม่มีอะ...ไอ้นิ่ง ๆ ขรึม ๆ ดุจคุณชายจุฑาเทพแบบนี้

อชิตะผลักประตูไม้บานใหญ่เข้าไป ด้านในแตกต่างจากด้านนอกสิ้นเชิง ผนังห้องแต่ลายหินอ่อนสีขาว สลับกับไม้สีอ่อนสบายตา ด้านหลังโต๊ะทำงานของเขาเป็นกระจกใส มองเห็นวิวทั้งกรุงเทพเลยมั้ง

ผมเดินไปเกาะกระจกมองอย่างอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะถูกคนตัวโตสวมกอดจากด้านหลัง

“ชอบหรือเปล่า ถ้าชอบจะพามาบ่อย ๆ”

“เธอพูดเหมือนเราไม่มีงานมีการ”

“ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้ทำ เธออดนอนบ่อย ๆ เป็นห่วง”

“ครับ ๆ จะรับงานให้น้อยลง” ปลายจมูกเย็นเฉียบกดลงที่พ่วงแก้มใส ก่อนจะตามาด้วยเสียงสูดลมหายใจลึกดังฟอดใหญ่

“จะว่าไปมุมนี้ก็ดีนะ เห็นวิวไปด้วย...” เขาเว้นวรรคให้คิดต่อ ริมฝีปากเผยอออกงับที่ท้ายทอย แล้วใช้ปลายลิ้นตวัดเบา ๆ

ขนอ่อนลุกชัน ไม่รู้ว่าเพราะอยู่สูงหรือยังไง ช่องท้องมันหวิวไปผมด

“อชิ...นี่มันที่ทำงานนะ อื้ม...”

เขาใช้ปลายจมูกไล้ไปตามกรอบหน้า ปล่อยให้ลมหายใจอุ่นสัมผัสผิว ปลายเล็บนิ้วชี้กรีดกรายจากหลุมสะดือขึ้นมาอย่างเชื่องช้าจนถึงหน้าอก แล้วฟ้อนเฟ้น คลึงยอดอกไปพร้อมกัน

“ตื่นเต้นดีออก” ผมแพ้อีกแล้ว แพ้เสียงแหบพร่าที่กระซิบข้างหู ร่างกายมันอ่อนระทวยทุกครั้งที่ได้ยิน ผมชอบเวลาถูกอชิตะชักนำให้รู้สึกคล้อยตามไปกับบทรัก

“ถ้ามีคนเข้ามาเห็น จะทำยังไง”

“ไม่มีใครเข้ามา จนกว่าจะได้รับอนุญาต”

ก๊อก ๆ ก๊อก ๆ

ไม่ทันขาดคำก็มีเสียงคนเคาะประตู แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยผมให้เป็นอิสระ

“ว่า” อชิตะตะโกนตอบกลับ

“คุณคิรินจะเข้ามาพบตอนเที่ยง ไม่ทราบว่าจะให้ผมเรียนยังไงดีครับ”

“บอกเขาว่า ฉันจะรอ”

“ครับ...”

เสียงจากหน้าประตูเงียบลงแล้ว แต่ตรงนี้พยายามเก็บเสียงอย่างสุดความสามารถ

“คิรินคือใคร” ผมว่า

“สนใจเรื่องของเราเถอะ” อชิตะยกแขนขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ “เรามีเวลาอีกสี่สิบนาที” ว่าจบเขาก็รวบแขนผมขึ้นให้ทาบกับกระจก ใช้ปลายเท้าแตะ ขาผมเบา ๆ เพื่อให้แยกขาออก สะโพกกลมถูกยกแอ่นขึ้นในองศาที่ควร กางเกงถูกรั้งลงไปกองไว้ที่หน้าขา พร้อมกับอันเดอร์แวร์สีขาว

อชิตะปลดเข็มขัดของตัวเองออก ตามด้วยเสียงซิปกางเกงถูกรั้งลง ผมหันไปชำเลืองมอง เขากำลังใช้มือชักรูดแกนกาย ก่อนจะฉีดถุงยางอนามัยสวม

ขี้โกงชะมัด! ทีกับผมดึงกางเกงจนแทบจะหลุดออกจากตัว แต่ตัวเองถอดแค่เข็มขัด กับรูดซิปลงเท่านั้น

เมื่อทุกอย่างพร้อม เขาก็จับแกนกายจ่อเข้ากับรอยจีบ แล้วค่อย ๆ ดันเข้ามาทีละนิด เราไม่มีเจลหล่อลื่น มันจึงค่อนข้างฝืด และเจ็บ

“ผ่อนคลายหน่อยค่ะคนดี”

“อะ! ช้า ๆ” เพียงไม่นานท่อนเอ็นร้อนระอุก็ดันเข้ามาจนสุด “ขยับช้า ๆ ก่อนนะ เจ็บ” ผมว่า

“แค่เจ็บอย่างเดี๋ยวเองเหรอ?”

“อื้อ ทำไมชอบแกล้ง ก็รู้ว่าเขิน!” ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะ หึ ๆ แล้วจากนั้นเขาก็เริ่มขยับสะโพกออก แล้วดันเข้ามา “อ๊า...” ผมพยายามอย่างมาก เพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียงดัง แต่ทว่ามันก็เก็บเอาไว้ไม่อยู่

ช่องทางหลังเริ่มนุ่มจนขยับเข้าออกง่ายขึ้น เขาก็เพิ่มความเร็ว ตัวสั่นคลอนขึ้นลงตามแรงโหม จังหวะที่เขาสวนสะโพกเข้ามา ฝ่ามือหนาก็จับล็อกดึงสะโพกผมให้สวนรับไปพร้อม ๆ กัน แกนกายผมเริ่มปวดหนึบแข็งชันตั้งขึ้นทั้งที่ยังไม่ถูกสัมผัส

ผมก้มหน้ากำหมัดแน่น เป็นการมีเซ็กซ์ที่อึดอัดที่สุด อยากหวีดร้องแค่ไหนก็ทำได้แค่เก็บกลืน มีบ้างที่หลุดครางออกมาเสียงดัง

อชิตะโน้มตัวลงมาบีบปลายคางให้ผมหันไปมองวิวเมือง ก่อนจะสอดนิ้วเข้ามาในช่องปาก ผมใช้ลิ้นตวัดหยอกล้อ แล้วผงกหัวให้ปลายนิ้วเข้ามาจนลึกถึงในลำคอ แล้วขยับออก ดูดเลียนิ้วมือจนเสียงดังจ๊วบจ๊าบ

“ชอบหรือเปล่า”

“ชอบ...อ๊ะ! ชอบมาก ใจจะขาดแล้วอชิ...อ๊าา อะ”

“ซี๊ดดดด แน่นมากเลยคนดี” อชิตะซู๊ดปากเสียงดัง ขยับสะโพกสอบถี่เข้ามากระแทกย้ำจุดเล้นลับให้เสียวซ่านไปทั้งตัว เสียงผิวเนื้อกระทบกันดัง จนลืมคิดไปเลยว่าข้างนอกจะได้ยินหรือเปล่า

“อชิ จะเสร็จแล้ว อื้ออออ” ขาทั้งสองสั่นจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ยังดีที่อชิรวบตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้ ไม่งั้นคงล้มแน่ “อชิ!” น้ำตาที่เอ่อคลอทำให้ภาพตรงหน้าพร่าเบลอ ร่างกายสั่นสะท้าน ขยับรับกับแรงโหม กระแทกถี่เพียงไม่กี่ครั้ง ของเหลวสีขาวก็ฉีดพุ่งออกมาเลอะกระจก คราบน้ำกามไหลย้อยเป็นทางยาวลงมา

ร่างกายเบาหวิวราวกับโลกไร้แรงโน้มถ่วง อชิตะยังคงขยับต่ออยู่หลายนาที ก่อนจะครางต่ำถึงปลายทางเช่นเดียวกัน จังหวะที่ถอนแกนกายให้หลุดออกจากการเชื่อมต่อ มีเสียงดังพล็อกในความเงียบ จากที่หน้าร้อนอยู่แล้ว มันกลับยิ่งร้อนกว่าเก่าจนแทบไหม้

น่าอาย! น่าอายที่สุด!

ผมปล่อยให้เขาเช็ดทำความสะอาด จัดการใส่กางเกง แล้วให้เขาอุ้มไปนอนที่โซฟาตัวยาว

ตอนที่ทำมันก็ฟินอยู่หรอก แต่พอหลังจากนั้นนรกของจริง ช่องทางหลังบวมแดง แถมยังแสบอีกต่างหาก นั้นเป็นเพราะเราไม่มีเจลหล่อลื่น ตอนนี้แค่จะนั่งยังรู้สึกไม่โอเคจนต้องนอนคว่ำหน้า

ผมงอนที่เขาทำผมเจ็บตัว เลยไม่ยอมตอบเวลาที่เขาถาม ผมนอนอยู่ตรงนี้ไม่นาน เสียงประตูก็ดังขึ้นอีกหน

“คุณคิรินมาแล้วครับ” เสียงจากเลขาหน้าห้องคนเก่าว่า

“ให้เข้ามา”

เสียงประตูดังแอ๊ด ผมหันกลับไปมองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ผู้ชายคลายจะเป็นลูกครึ่งตัวใหญ่พอ ๆ กับอชิตะเลย แต่ว่าเขากล้ามแน่นกว่าคงจะตามแบบฉบับคนโซนยุโรปละมั้ง

“เอาไปยาที่ฝากซื้อ” ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของคนที่อยากรู้อยากเห็น ที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟา “เบา ๆ บ้าง สกายก็ตัวแค่เนี่ย”

เฮ้ย! ทำไมรู้จักผมวะ

ผมหันไปมองหน้าอชิ ไม่ต้องเอ่ยปากเขาก็รู้ว่าผมจะถามอะไร

“สกายจำคิรินได้ไหม”

“...” ผมส่ายหน้าไม่ตอบ เพราะยังงอนอยู่

ว่าแต่คิรินไหนวะ... ผมทำท่านึก

“คิรินเด็กอ้วนที่ชอบอยู่กับเราตอนมอหกไง”

พออชิตะขยายความ ผมก็นึกตามก่อนจะจำได้ว่าเด็กอ้วนตัวขาว ๆ เตี้ย ๆ คนนั้นคือคนที่กำลังยืนหล่ออยู่ตรงนี้

“ฮะ!!!!” ดวงตาทั้งสองเบิกโพลง เป็นไปได้ไง ผมถึงกับต้องชันตัวขึ้นมอง

“หล่อจนจำไม่ได้ล่ะสิ”

“บุ้ย~ งั้น ๆ อชิหล่อกว่า” ผมเบ้ปากใสไปหนึ่งที เพราะบังอาจมาเทียบกับอชิตะ แฟนผมได้ยังไง

“ฮ่า ๆ เออยอมก็ได้”

“ว่าแต่ไม่เจอกันนานเลย หายไปไหนมาอะ”

“เราไปเรียนต่อที่เมืองนอกน่ะ เพิ่งกลับมาอยู่ไทย”

“อ๋อ...” ผมขานรับ

“จะคุยกันอีกนานไหม มีอะไรก็รีบพูด มีธุระต่อ” อชิตะเอ่ยเสียงทุ้ม ดึงหน้าขรึม

จะเก๊กทำไมของเขาเนี่ย... มันหล่อนะรู้ไหม หัวใจจะวาย

“ก็เรื่องงานนั่นแหละ ที่บริษัทจะเปิดยื่นประมูลสร้างคอนโดฯ สนใจไหม?”

“ก็สนใจอยู่นะ แต่...มันคงยาก ได้ข่าวว่าคนสนใจเยอะ” อชิตะกระตุกยิ้ม

“ถ้าจะเอา ก็ไม่ยาก” คิรินว่าจบก็ฉีกยิ้มอีกคน

คนพวกนี้เขาคุยกันไม่กี่คำ ก็เข้าใจแล้วเหรอ ผมที่นอนอยู่ตรงนี้ยังไม่เข้าใจอยู่เลย

ผมหันหน้าหนีเพราะยิ่งฟังก็ยิ่งง่วง ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้หนังตาหนัก และปิดลงในที่สุด



ผมรู้สึกตัวตื่นในตอนที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม ผ้าห่มผืนเล็กสีขาวห่มคลุมตัวเอาไว้ทำให้รู้สึกอุ่น

อชิตะยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตามเดิม

“เห็นหลับ เลยปล่อยให้นอน”

“ทีหลังปลุกก็ได้” ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรู้สึกเหนียวที่ก้นแปลก ๆ กำลังเอามือล้วงเข้าไปในกางเกงเพื่อแตะดู แต่อชิตะห้ามไว้ก่อน

“เราทายาไว้”

“ขอบคุณนะ” หายโกรธก็ได้ เห็นว่าน่ารักหรอกนะ ว่าแต่... “เธอเอายามาจากไหนอะ”

“ฝากคิรินซื้อมานั่นแหละ”

วี๊ดดดดด!!!! แบบนี้เขาก็รู้สิว่าผมกับอชิตะ...

จากตอนแรกที่หายโกรธแล้ว ผมก็กลับมาบึ้งตึงใส่เขาอีกหน ถามคำตอบคำ ไม่อยากตอบก็แค่พยักหน้า

หลังจากผมตื่นได้ไม่นาน อชิตะก็เก็บของที่จำเป็นใส่กระเป๋า แล้วพาผมกลับมาที่บ้านของเขาในเวลาต่อมา

ในบ้านเงียบสนิทเพราะไม่มีใครอยู่แล้ว ผมเดินตามอชิตะเข้าไปในห้องนอน “เราไม่ค่อยกลับมานอนเท่าไหร่ รกหน่อยนะ” ผมพยักหน้ารับ แล้วก็เริ่มเดินสำรวจ ปล่อยให้อชิตะเก็บข้างของที่จำเป็น เพื่อเอาไปใช้ที่ห้องผม

ผมเดินสำรวจต่อไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่หัวนอน มันมีกระดาษโน้ตสีซีดแปะเรียงกันอยู่ มองปราดเดียวก็รู้ว่านี่เป็นโน้ตที่ผมเคยส่งให้เขาเมื่อสมัยเรียน มันนานมากแล้ว นานจนบ้างแผ่นก็ไม่มีรอยน้ำหมึกปากกาหลงเหลือให้เห็นข้อความ

“ของแฟนเหรอ” ผมแกล้ง ๆ ถาม อชิตะหันกลับมามอง แล้วตอบอย่างไม่คิดอะไร

“ไม่ใช่” ว่าจบเขาก็หันไปเก็บกระเป๋า แต่ก็ยังขยายความต่อ “นานแล้วตั้งแต่ช่วงสมัยเรียนมอปลาย”

“อ๋อ...” ผมพยักหน้า แล้วเดินสำรวจต่อ ก่อนจะเหลือบไปเห็นปากกาวางอยู่

ผมหยิบปากกาขึ้นมา แล้วลงมือเขียนลงทับกระดาษโน้ตสีซีด ผมจำมันได้ทุกตัวอักษร...

เหมือนถูกฉุดให้ย้อนกลับไปในวันนั้น วันที่ฉีกยิ้มทุกครั้งที่มีข้อความจากอชิตะตอบกลับมา ผมยังคงเขียนจนไปถึงใบสุดท้าย จำได้ว่าวันนั้นผมเอาทิ้งไปแล้วนี่ ทำไมถึงได้มาอยู่กับอชิตะล่ะ

“เธอ...ทำไมเธอมีโน้ตใบนี้”

อชิตะวางมือจากทุกอย่าง แล้วลุกขึ้นเดินตรงมาทันที เขาหยุดมองทุกข้อความที่ผมเขียนเอาไว้ใหม่ ด้วยข้อความเดิม

“มันหมายความว่ายังไง ทำไมถึง...”

“อืม มันเป็นของเราเอง”

เราฉีกยิ้มให้กันกว้างกว่าที่เคย แล้วยืนจูบกันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ขอบคุณอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเวรกรรมหรือพรหมลิขิต ที่ทำให้เราได้กลับมาเจอกันในวันที่ทุกอย่างลงตัว ผมมีความสุขมากจริง ๆ

ต่อให้นานแค่ไหน ที่ตรงนี้จะยังเป็นของอชิตะ มันจะไม่เปลี่ยนไป เหมือนที่ผ่านมา...












#แฟนwithbenefits



เฮ้อ~ ลูกเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ





*ชื่อตอนเพลง เมื่อพบเธอ - Pchy







-กำลังทยอยแก้คำผิด-

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
«ตอบ #42 เมื่อ11-09-2021 19:24:45 »

 :z1: :haun4:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
«ตอบ #43 เมื่อ11-09-2021 19:58:59 »

 :pig4:
 o13

ออฟไลน์ Pakeleiei

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 862
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
«ตอบ #44 เมื่อ17-09-2021 12:16:19 »

อชิน่ารักมากเลยยยยยนยยนย

ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -19-
«ตอบ #45 เมื่อ21-09-2021 00:38:40 »

แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-19-

ปฏิเสธใจตัวเองไม่ได้จริงๆ



หลังจากจบงานเลี้ยงรุ่น


โลกใช้เวลาสามร้อยหกสิบห้าวันเพื่อโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทุก ๆ สี่ปีจะมีหนึ่งวันเพิ่มเข้ามา เป็นสามร้อยหกสิบหกวัน แต่คุณรู้หรือเปล่า...ต่อให้วันเวลาเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าไหร่ โลกก็ยังหมุนรอบดวงอาทิตย์ดวงเดิม

ผมคงเหมือนโลกล่ะมั้ง เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ๆ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี รู้ตัวอีกทีผมก็หมุนรอบคนคนเดิมเสียแล้ว...

สกายเป็นเหมือนท้องฟ้าของผม บางวันเขาก็ทำให้ผมสดใสเหมือนวันที่ฟ้าโปร่ง แต่ในบางคราว เขาก็ทำให้ผมเศร้าใจไม่ต่างจากท้องฟ้าในวันที่ถูกเมฆฝนบดบัง...

ผมคิดว่าตัวเองลืมสกายได้แล้ว จนกระทั่งผมได้กลับมาเจอเขาอีกครั้งในงานเลี้ยงรุ่น มันเหมือนผมพึ่งจะรู้ตัวว่า ที่ผ่านมาผมไม่เคยลืมเขาได้เลย 'รักแรกของผม'

หลังจากจบงานวันนั้นทุกอย่างได้เปลี่ยนไป สถานะที่เคยเป็นเพียงแค่เพื่อน ขยับเข้ามาเป็นเซ็กซ์พาร์ทเนอร์ จริง ๆ ผมไม่ถูกใจสถานะนี้เท่าไหร่นัก เพียงแต่ผมต้องไหลตามน้ำไปก่อน ผมเชื่อว่า ผมสามารถเปลี่ยนความรู้สึกเขาได้...

ติ้ง!

เสียงข้อความจากสกายทักหาผมตลอดหลายวันที่ผ่านมา ผมอยากกดอ่านใจจะขาด แต่ก็ไม่อาจทำอย่างที่ใจต้องการ หากผมเปิดอ่านข้อความสกายตอนนี้ แน่นอนเลยว่าผมต้องพุ่งตัวไปหาเขาในทันที

ผมกดต่อสายหาเลขาหน้าห้องในเวลาต่อมา...

“ศิลา รบกวนช่วยเอาตารางงานของทั้งเดือนมาให้ที”

[ได้ครับ]

ไม่นานศิลาเลขาของผมก็เดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารวาระต่าง ๆ ที่ผมต้องทำตลอดทั้งเดือน

“งานอะไรที่คุณพอจะเร่งให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้ได้ คุณช่วยขยับให้ผมหน่อยสิ”

“ผมว่ามันจะหนักไปนะครับ”

“ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ”

“ได้ครับ”

ศิลาโค้งตัวแล้วเดินถือเอกสารเดินออกไป ผมอยากให้หนึ่งวันมีสักสี่สิบแปดชั่วโมง ทุกอย่างคงจะเสร็จเร็วกว่านี้



เอกสารจำนวนมาก ถูกยกมาวางไว้บนโต๊ะผมอยู่ทำงานจนเช้าอยู่หลายวัน บางวันต้องยกเอามาทำต่อที่บ้าน สามสี่วันมานี้ไม่มีข้อความจากสกายส่งมา นั่นทำให้ผมยิ่งร้อนใจอยากไปหาเขาให้เร็วที่สุด

“กาแฟครับคุณอชิ” ศิลายกเครื่องดื่มกลิ่นหอม รสขมเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะทำงาน “ผมว่าคุณอชิตะพักบ้างก็ดีนะครับ ช่วงนี้คุณดูโทรม ๆ”

“มันทำให้ผมดูหล่อน้อยลงหรือเปล่า” ผมว่าเอินหยอก

“ฮ่า ๆ ไม่หรอกครับ บอสผมหล่อที่สุดแล้ว”

“ผมขอถามอะไรคุณหน่อยสิ”

“ได้สิครับ”

“คุณมีแฟนหรือเปล่า”

“มีสิครับ ผมอายุปูนนี้แล้วนะ” ศิลาว่าพลางเกาแก้มตัวเอง

“คุณจีบแฟนคุณยังไง”

“อืมม....” ศิลาทำท่าคิดอยู่พัก ก่อนจะเริ่มพูดต่อ “ช่วงจีบ ๆ กันก็ซื้อของที่เขาชอบไปฝาก พาไปกินของอร่อย ๆ หาเวลาว่างคุยเนียน ๆ อะไรประมาณนี้แหละครับ”

“...” ให้ตายเถอะ นี้ก็เป็นอาทิตย์แล้วที่ผมขาดการติดต่อ แบบนี้ผมจะขยับความสัมพันธ์กับสกายได้หรือเปล่า

“อย่าบอกนะครับว่าคุณอชิตะกำลังตามจีบใครอยู่”

“ก็คงงั้น...” ผมก้มหน้าทำงานต่อสักพัก ปล่อยให้ศิลาเดินอมยิ้มออกไปทำงานของตัวเอง

ในใจคิดฟุ้งถึงเรื่องสกายไม่หยุด ผมควรทักไปหาสกายหรือเปล่า ไวกว่าความคิด ผมก็หยิบมือถือกดเข้าแชทที่ปักหมุดเอาไว้บนสุด แล้วพิมพ์ข้อความ

คิดถึงจัง เจอกันหน่อยไหมl

ส่งไปแบบนี้คงไม่ดีมั้ง หายไปหลายวันจู่ ๆ มาบอกว่าคิดถึงได้ไง ผมกดลบข้อความ แล้วกดพิมพ์ใหม่อีกครั้ง

สวัสดี ทำอะไรอยู่l

เชยไปหรือเปล่านะ ไม่ดีกว่า... เป็นอีกครั้งที่ผมกดลบข้อความทิ้ง ในห้องทำงานเงียบสนิท มีเพียงเสียงผมใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ ป๊อก ป็อก ป๊อก

ผมนั่งมองหน้าจอนิ่ง ๆ อยู่แบบนี้มาหลายนาทีแล้ว คิดไม่ออกเลยว่าจะเริ่มทักไปยังไงก่อนดี

ติ้ง!

เสียงข้อความดังขึ้น หนนี้เป็นข้อความจากพี่สาย เป็นข้อความรูปภาพที่พี่แกชอบส่งมาให้ทุกเช้า ‘สวัสดีวันจันทร์’ หรือผมจะกดส่งต่อไปให้สกายดีวะ

โธ่เว้ย!!! พอกันที ผมชักหงุดหงิดตัวเอง ไม่ทงไม่ทำมันแล้วงาน ผมกดมือถือเลื่อนหาเบอร์ของคนที่ไม่ได้ติดต่อมานาน แล้วกดโทรออก

Ninew

“นี่อชินะ...อยู่ห้องหรือเปล่า...โอเคส่งโลเคชันมาจะรีบไป” ผมกดวางสายนิวในเวลาต่อมา

เสื้อสูทสีดำสนิทพาดอยู่บนเก้าอี้ทำงานถูกหยิบขึ้นมาสวม เท้าสาวเท้าจ้ำอ้าวออกจากห้องทำงานอย่างเร็วรี่

“ศิลา ยกเลิกประชุมของวันนี้ทั้งหมด ผมมีนัดสำคัญ”



หลังจากวันนั้นที่ผมให้นิวพาไปหาสกาย กลับมาผมก็ยอมลดเวลาพัก เพื่อเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนที่จะหยุดยาว วันหยุดต่อจากนี้ผมจะนอนกกสกายทั้งวันทั้งคืนเลยคอยดูสิ และวันนี้ก็มาถึง...

“ศิลา ผมจะหยุดยาว ถ้ามีอะไรด่วนก็ส่ง’ เมลมา อะไรที่จัดการเองได้ก็ทำได้เลย ผมให้อภิสิทธิ์คุณ”

“ได้ครับคุณอชิ”

เท้าก้าวยาวมายังลิฟต์ตัวใหญ่ที่ใช้สำหรับผู้บริหาร ระหว่างรอเสียงมือถือก็แผดเสียงดังออกมา เป็นสายจากพี่สาวผมเอง คุยกันอยู่พักใหญ่ ใจความสำคัญหลักคือ อีกไม่นานพี่สายจะพาอาซาไปรักษาตัวที่อเมริกา ผมไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด แต่ผมต้องเปลี่ยนแผนจากที่จะไปห้องสกาย ก็ถือโอกาสชวนสกายออกไปข้างนอกแทน

ผมใช้ข้ออ้างว่าจะไปซื้อของให้หลานเพื่อดึงสกายออกมา ใจจริงอยากชวนเขาเดตมากกว่า แต่ไม่รู้จะพูดยังไง ก็ในเมื่อผมกับเขาสถานะเราเป็นเพียง... ก็นั่นแหละนะ

ผมขับรถกลับมาที่บ้านเพื่ออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เสื้อในตู้ถูกหยิบออกมาวางไว้บนเตียงอยู่จำนวนหนึ่ง ลองหยิบออกมาทาบที่ตัวดูความเหมาะสม นี่จะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้ออกไปข้างนอกด้วยกัน ผมอยากทำให้เขาประทับใจที่สุด

“ใส่สูทตัวนี้ดีไหมนะ” ผมหยิบสูทสีอ่อนขึ้นมาทาบที่ตัว “สกายจะดูออกไหมว่าเราตั้งใจเลือกชุด งั้น...เปลี่ยนดีกว่าเดี๋ยวเขาจับได้” ผมหยิบเสื้อตัวใหม่ออกจากตู้ ลองอยู่หลายชุดสุดท้าย ผมก็หยิบแค่เสื้อเชิ้ตสีพื้นโง่ ๆ มาหนึ่งตัว

ผมขับรถมายังห้องสกายในเวลาต่อมา เคาะห้องไม่นานเขาก็เปิดประตู วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตฟ้าอ่อน กับกางเกงขาสั้นสีครีม เข้าคู่กับรองเท้าผ้าใบขาวดูสบาย ๆ รู้สึกโชคดีจริง ๆ ที่ไม่หยิบสูทใส่มา

เรามาถึงห้างสรรพสินค้าเกือบเที่ยง ผมจึงชวนเขาทานข้าวก่อนเพราะผมยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า คิดว่าสกายก็น่าจะยังไม่ได้ทานมาเช่นกัน 

ทานข้าวเสร็จก็ตรงไปดูของขวัญให้อาซาต่อทันที ผมให้สกายช่วยเลือกของขวัญให้อาซา เพื่อเอาไว้ใช้เป็นตัวแทนผมตอนที่ไปอยู่ที่นู่น และผมก็เลือกตัวที่สกายเลือกนั่นแหละ

หลังจากเลือกของขวัญเสร็จ ผมชวนสกายมานั่งทานไอศกรีมที่ร้านเจ้าประจำของอาซา ไม่รู้ว่าสกายจะชอบกินไหม แต่เวลาที่คนส่วนใหญ่เดตกัน มักจะเข้าร้านแบบนี้ ผมเคยเห็นในหนังที่อาซาชอบดู

ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมอยากทำ แต่แอบสังเกตเห็นสกายอ้าปากห้าวอยู่หลายครั้ง ผมจึงตัดสินใจถามเขาไปตรง ๆ

“สกายจะกลับเลยไหม”

“อชิไปไหนต่อหรือเปล่าล่ะ”

“อืมม...” ผมหยุดคิดสักพัก “ก็ไม่นะ ว่าจะไปนอนเล่นที่ห้องสกายนั่นแหละ” หลังจากจบประโยค สกายก็ตักไอศกรีมเข้าปากไม่ยั้งมือ

ชอบขนาดนั้นเลยหรือไง รู้แบบนี้คงพามาบ่อย ๆ

ผมนั่งมองเขากินอยู่เงียบ ๆ เวลาที่เขาเคี้ยวเนื้อไอศกรีมเต็มปากจนแก้มป่อง มันดูน่ารักมาก แถมเขายังทานเลอะอย่างกับเด็กไม่มีผิด

“สกายค่อย ๆ กินเลอะหมดแล้ว” ว่าจบผมก็ใช้นิ้วโป้งปาดเอาคราบที่เลอะมุมปากของคนตัวเล็กมาชิม รสชาติมันหวานกว่าปกติเป็นเท่าตัว ใจจริงผมอยากใช้ปากประกบ แล้วลิ้มรสหวานด้วยลิ้นของผมเองมากกว่า

แค่คิดผมก็อยากอุ้มสกายออกจากร้าน แล้วตรงไปยังห้องของเขาในทันที

“...”

“หลานเรายังไม่กินเลอะขนาดนี้เลย” ผมว่า สกายที่นั่งอึ้งอยู่รีบใช้หลังมือเช็ดคราบที่ติดมุมปากตัวเอง แต่ทว่าที่ปากสะอาดแล้ว แต่ที่หลังมือนี่สิ “ดูสิเนี่ยเอามือเช็ดก็เปื้อนสิ” ผมคว้าข้อมือเล็กไว้ ไม่ให้เขาเช็ด เพราะผมจะเป็นคนเช็ดให้เขาเอง

เพียงแค่ก้มหน้าลง เหมือนเขาจะรู้ความคิดผมจึงเอ่ยทักท้วง

“จะทำอะไรคนเต็มร้าน”

“มุมนี้ไม่มีใครเห็นหรอก” ก่อนที่เขาจะมีคำถาม ถามต่อ ผมก็ใช้ลิ้นร้อนโลมเลียหลังมือที่เปื้อนไอศกรีมจนสะอาด

สกายนั่งหน้าแดงก่ำลามไปจนหูทั้งสองข้าง เป็นปฏิกิริยาที่น่ามองเสียจริง ๆ ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี่เนี่ย ไม่คิดเลยว่าจะทำผมปั่นป่วนได้ถึงเพียงนี้

“ขอบคุณครับ” สกายดึงมือกลับแล้วนั่งก้มน่ากินไอศกรีมต่อ

ผมปล่อยให้เขานั่งกินต่ออยู่พัก เขาก็เริ่มบ่นว่าไม่ไหว เราจึงออกมาคิดเงินด้านนอก

“พี่อชิ...” เสียงคุ้นหูตะโกนเรียกจากด้านหลัง ผมหันกลับไปมอง

อ่า...อาซานี่เอง

“อาซามาได้ไง” ผมว่า

“อาซามากินไอศกรีมกับเพื่อน...ว่าแต่คนนี้ใครครับ ทำไมมากับพี่อชิล่ะ”

“นี่สกาย” ผมเริ่มแนะนำสกายให้อาซารู้จัก แต่ก็ไม่รู้จะบอกยังไงดี ผมจึงให้แนะนำว่าเขาเป็นเพื่อน “เพื่อนพี่เอง”

“สวัสดีครับ เพื่อน พี่ อชิ!” ฟังจากเสียง ผมก็รู้ได้ทันทีว่าอาซากำลังหวงผมอยู่ เขาเป็นแบบนี้กับทุกคน ไม่ว่าจะกับแฟนคนไหนก็ตาม แต่เขาเป็นเด็กดีนะ ถ้าคุยกับเขาด้วยเหตุผล เขาก็เข้าใจ

“เรียกพี่สกายก็พอครับ”

“พี่อชิ... รถเพื่อนอาซาเสีย พี่อชิไปส่งอาซาหน่อยนะ”

“เพื่อนพี่ไม่ได้เอารถมาน่ะ อาซาเรียกรถกลับเองได้ไหมครับ”

“แต่ว่า... อาซาไม่ชอบนั่งรถกลับเองนี่ พี่อชิก็รู้”

“นะพี่อชิ นะ... นะ... นะ... นา...”

“อชิไปส่งน้องเถอะ เดี๋ยวเรากลับเอง” สกายที่ยืนฟังอยู่พูดขึ้น

“เอางั้นเหรอ แต่เรามาด้วยกันนะ”

“ไม่เป็นไร เราไปก่อนนะไว้เจอกัน”

ผมไม่ได้รั้งสกายเอาไว้ แต่ผมสัญญาแล้วว่าจะไปหาเขาที่ห้อง ผมตัดสินใจจะไปส่งอาซาแล้วค่อยกลับไปหาสกาย

“อาซา เราไม่น่ารักเลยนะ เราต้องคุยกัน”

“ไม่รู้ อาซาไม่รู้อะไรทั้งนั้น” ผมใช้มือบีบจมูกเจ้าเด็กดื้อไปหนึ่งที แล้วพากันเดินมายังลานจอดรถ

“คาดเข็มคัดด้วย” ผมว่า

“ไม่เอามันอึดอัด” ผมไม่รอให้เขาเถียงต่อ แต่เปลี่ยนเป็นเอื้อมมือไปหยิบมาคาดให้แทน

“วันนี้ไม่น่ารักเลยนะ ทำไมพูดกับเพื่อนพี่อชิแบบนั้น”

“...” อาซาไม่ตอบ นั่งอมลมทำแก้มป่อง ก่อนจะดึงหน้าผมเข้าไปใกล้ แล้วใช้หัวโขกกับหัวผมอย่างแรง “พี่อชิต่างหาก ผมเห็นนะว่าพี่อชิเลียมือพี่สกาย เพื่อนที่ไหนทำแบบนี้กัน...” ว่าจบเขาก็หันไปนั่งตัวตรงกอดอกตัวเอง

“กลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่า” ว่าจบผมก็ออกรถทันที

ใช้เวลาบนถนนไม่นานเราก็มาถึงบ้าน ผมอธิบายเรื่องต่าง ๆ ให้อาซาฟังด้วยเหตุผล เหมือนเขาจะเข้าใจ แต่ก็ยังหวงผมราวกับเด็กกลัวถูกแย่งของเล่น

อาซาไม่ค่อยชอบแฟนของผมเท่าไหร่ เพราะคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกแย่งความรักไป แต่ผมเชื่อว่าเขาจะรักสกาย เหมือนที่ผมรักเขาแน่นอน...



‘ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน’ ประโยคนี้มันจริงเสมอ หลังจากวันที่ผมคุยกับอาซาเสร็จ ผมก็ตรงไปยังห้องของสกายในทันทีเรามีเวลาอยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง ผมก็ต้องกลับก่อนแต่เห็นว่าเขาหลับสบายผมเองก็ไม่กล้าปลุก 

พี่สายโทรหาผมแต่เช้า เพราะกำหนดที่พี่สายวางเอาไว้ว่าอีกสองเดือนจะเดินทางถูกกระชับให้เร็วขึ้น อาซามีอาการแทรกซ้อน หากช้ากว่านี้อาซาคงไม่พร้อมเดินทาง

ช่วงนี้จะค่อนข้างวุ่นวายเพราะต้องเตรียมเอกสารหลายอย่าง แต่ผมก็ยังแบ่งเวลามาหาสกายในแต่ละวัน แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผมจะได้อยู่ด้วยกัน

วันที่ผมเสียใจที่สุดคือวันที่ผมทิ้งเขาไว้ในห้องคนเดียว เดินออกมาโดยไม่อธิบายอะไรสักคำ นั้นคือความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่

ผมตัดสินใจที่จะพูดความรู้สึกของตัวเองหลังจากเคลียร์เรื่องทุกอย่างจบ นิวเล่าให้ฟังว่าสกายเองก็ชอบผมมานานแล้ว เรื่องทั้งหมดมันอาจจะผิดที่ผมไม่เคยพูดออกไปตรง ๆ แต่วันนี้ผมพร้อมแล้ว ผมจะไม่รออะไรอีกต่อไป เขาควรจะได้รู้สักที่ว่าผมชอบเขา ชอบมาตลอด ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ที่ตรงนี้ก็ยังเป็นเขาเสมอ...







#แฟนwithbenefits





กลับมาแล้วคร่าบบบบ ตอนนี้เขียนนิยายจบแล้ว มีตอนพิเศษแถมให้อีก 1 ตอน 

จะมาอัปเรื่อย ๆ จนจบเลยนะครับ

รัก <3





ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ







-กำลังทยอยแก้คำผิด-

ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -20-
«ตอบ #46 เมื่อ21-09-2021 01:36:44 »

แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-20-

ความสัมพันธ์ที่เรียกว่ามิตรภาพ



ชีวิตของผมกลับเข้าสู่สภาวะปกติ งานที่ห่างหายไปนานตอนนี้ผมก็กลับมาทำตามเดิม อชิตะก็ย้ายมาอยู่กับผมแทบจะถาวร อาซาหลังจากไปรักษาตัวต่อที่อเมริกา ตอนนี้อาการดีขึ้นจนแทบกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ ทุกอย่างกำลังลงตัว จะมีก็แต่ นิว...

ตั้งแต่วันนั้น ผมก็ติดต่อนิวไม่ได้มาสองเดือนแล้ว ไม่รู้เลยว่าเป็นยังไงบ้าง อันที่จริงผมไม่ได้โกรธอะไรนิว ในทางกลับกัน ผมกลับรู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่เคยรู้อะไรเลย ที่ผ่านมาผมเอาแต่พูดถึงอชิตะอยู่ตลอด

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยแอบรักเพื่อนตัวเอง ผมย่อมรู้ดีว่ามันเจ็บแค่ไหน

“อือออ ที่รักตื่นก่อนไม่ปลุกอีกแล้วนะ” ผมสะดุ้งโหยง เพราะเสียงทุ้มที่กำลังพาร่างโงนเงนเดินเข้ามาในห้องน้ำ ก่อนจะทิ้งหัวซบลงมาที่ลาดไหล่จากด้านหลัง แขนแกร่งเหวี่ยงขึ้นสวมกอดเอาไว้หลวม ๆ

“ก็เธอหลับสบายขนาดนั้นใครจะกล้าปลุก” ผมว่า

“ตื่นขึ้นมาไม่เจอตกใจมากเลย”

ไม่รู้ว่าจากกระต่ายตัวน้อยในวันนั้น โตขึ้นมาเป็นแมวยักษ์ได้ยังไง ตั้งแต่ที่ตกลงเปลี่ยนสถานะ เขาก็อ้อนเก่งเป็นเท่าตัว มันก็ดีน่ารักอยู่หรอก แต่บางครั้งก็น่าตบ อย่างเช่นตอนนี้

“อชิ! หยุดบีบก้นเดี๋ยวนี้เลยนะ!!!” นี่มันแมวหื่นชัด ๆ

“ก็มันเด้งสู้มือเค้าอะ เนี่ย ๆ ดูสิ เด้งดึ้ง ๆ เลย”

โวยยยย!!! ผมล่ะอยากฟาดให้หลับ มือไม้มันซุกซนไปหมด เดี๋ยวจับก้น เดี๋ยวเขี่ยไข่ กวนทั้งคืนยังไม่พออีกหรือไงฟะ

ผมรีบจัดการบีบยาสีฟันใส่แปรงแล้วส่งให้เขา ก่อนที่มือเขาจะซุกซนไปมากกว่านี้ จะว่าไปบรรยากาศตอนนี้ถ้าบอกว่าผมกำลังฝันอยู่ผมก็เชื่อนะ อชิตะคือคนที่ผมคิดว่าไม่มีทางเป็นเรื่องจริงได้มาตลอด แต่จู่ ๆ เขาก็ยืนอยู่ตรงนี้ข้าง ๆ ผม แถมยังมีฟองยาสีฟันยังเต็มปากอีกต่างหาก

“ปากหอมแล้วขอดมหน่อย” ว่าจบเขาก็กดริมฝีปากบางงับลงมา มันไม่ใช่จูบร้อนแรง เพียงแค่ขบเบา ๆ เท่านั้น ไม่นานนักเราก็ผละออกจากกัน

“เลิกเล่นแล้วรีบอาบน้ำเถอะ” ผมว่า



เราใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำ แล้วออกมาช่วยกันทำข้าวเช้า แต่ส่วนใหญ่อชิตะจะมีหน้าที่หลักในการทำอาหารในทุก ๆ วัน จะมีบางวันที่ต้องทำกินเองบ้าง แต่ส่วนมากผมจะสั่งเอาเสียมากกว่า ไม่ก็ต้มมาม่ากินง่าย ๆ

ระหว่างนั่งอชิตะทำอาหารผมก็เปิดมือถือ เขี่ยเล่นตามปกติ จนกระทั่งเฟซบุ๊กแจ้งเตือนวันนี้เมื่อห้าปีที่แล้ว ผมชอบกดเข้าไปดู บ้างข้อความก็เป็นอดีตที่ผมอยากลบ บางอันอ่านแล้วก็ตลกดี ไม่คิดว่าตัวเองในวันนั้นจะบ้าได้ขนาดนี้

เลื่อนมาเรื่อย ๆ ผมก็มาสะดุดกับรูปภาพหนึ่ง เป็นรูปผมกับนิวกำลังนั่งกินหมูกระทะด้วยกัน หน้าผมแดงก่ำเพราะเครื่องดื่มขวดสีเข้มที่ตั้งอยู่ด้านหน้า สภาพของนิวเองก็ไม่ต่างกัน

ผมจำได้ว่าวันนั้น ผมเห็นอชิตะเปิดตัวแฟนในเฟซบุ๊ก หลังจากที่เราเข้ามหา’ลัยได้ไม่นาน นิวเห็นผมเศร้าเลยพาผมไปนั่งกินเบียร์ย้อมใจที่ร้านหมูกระทะ วันนั้นเราทั้งคู่กอดคอกันเมาเละไม่ต่างกับหมา

มันไม่เคยทิ้งผมไปนานขนาดนี้เลย ที่ผ่านมาเราทะเลาะกันบ่อยก็จริง แต่ไม่กี่วันผมจะได้ยินเสียงมันเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหู มันเป็นเพื่อนคนเดียวของผมจริง ๆ

“อชิ...”

“ครับ?”

“นิวหายไปเลย...” มือที่กำลังถือมีดหั่นผักอยู่หยุดชะงัก เขาวางมีดลง แล้วเดินมานั่งคุกเข่าข้าง ๆ ทั้งที่ยังสวมผ้ากันเปื้อนอยู่ “เราเป็นห่วงมัน มันไม่เคยหายไปนานขนาดนี้”

“เอาอย่างนี้ไหม ไหน ๆ วันนี้ก็วันหยุด เราทำกับข้าวไปกินที่ห้องนิวกัน” อชิตะว่า

“แต่นิวจะอยากเจอเราเหรอ ขนาดเราทักไปนิวยังไม่ตอบเลย”

“นิวคงตกใจแหละ มันเก็บความรู้สึกมานาน เราเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ด้วย มาช่วยกันทำอาหารด้วยกันดีกว่าอย่าคิดมากเลย เธอสองคนสนิทกันมากกว่าเราที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็กซะอีก”

“เธอไม่หึงใช่ไหม” ผมว่า

“ไม่หึงครับ แต่หวงมากกว่า อีกอย่างเรารู้ว่านิวไม่ได้คิดอะไรกับสกายแล้ว”

“โอเค งั้นเดี๋ยวเราช่วยทำอาหารนะ จะได้เสร็จเร็ว ๆ”

ผมใช้เวลาช่วงเช้าด้วยกันกับอชิตะในครัว หน้าที่ผมไม่ได้ทำอะไรมากมาย แค่ล้างผัก หั่นหมูง่าย ๆ ก็เท่านั้น ไม่นานนักเราก็จัดการเอาอาหารใส่กล่อง แล้วออกเดินทางในเวลาต่อมา

ระหว่างทางผมลองส่งข้อความหานิวดูอีกครั้ง แต่ทว่าก็ยังไม่มีการตอบกลับ ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเพราะอะไร หรือมันโกรธผมงั้นเหรอ

“นิวไม่ตอบเหรอ” อชิตะว่า

“อืม เธอว่านิวโกรธเราหรือเปล่า”

“ไม่หรอก เราว่ามันน่าจะแค่ไม่กล้าเจอหน้าเธอมากกว่า” ว่าจบอชิตะก็ยกมือลูบหัวอย่างแผ่วเบา

รถจอดนิ่งสนิทใต้คอนโดของนิว รถสัญญาชาติญี่ปุ่นสีดำวาววับจอดนิ่งสนิทอยู่ ผมจำเลขทะเบียนได้แสดงว่ามันคงอยู่ห้อง

ผมกดลิฟต์ไปยังชั้นเก้า จะว่าไปผมก็ไม่ได้มาที่นี่นานแล้วเหมือนกัน อชิตะเดินนำหน้าผมไปไม่ไกลนัก ก่อนจะมาหยุดหน้าห้องเก้าศูนย์สอง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

อชิตะเคาะประตูอยู่หลายครั้ง ผมได้ยินเสียงตึงตังข้างใน แต่กลับไม่มีใครออกมาเปิดประตู

แกร๊ก!


ประตูแง้มออกนิดเดียว นิวยื่นหน้าออกมาเห็นเพียงแค่ส่วนหัว ผมได้แต่ยืนแอบอยู่ข้างประตู ปล่อยให้อชิตะยืนรับหน้าแทน

“มาแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่า” นิวว่า

“ขอเข้าไปได้ไหม”

“เอ่อ...คือ...”

“มีแขกเหรอ”

“เปล่า ๆ ห้องรก รอแป๊บนะ” ว่าจบนิวก็ปิดประตู อชิตะหันมาสบตากับผมอย่างงุนงง ยืนรออยู่พักมันก็กลับมาเปิดประตูอีกครั้ง

ผมเดินตามหลังอชิตะเข้าไป ถอดรองเท้าที่ชั้นวางแล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะในโซนครัว

“รองเท้าใครวะ ไม่คุ้น” อชิตะที่เดินตามมาที่หลังถาม 

มีรองเท้าด้วยเหรอ? ผมไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่สนใจนิว

“ของกูนี้แหละ”

“มึงใส่รองเท้าใหญ่กว่ากูอีกเหรอ”

“เรื่องของกูนา ว่าแต่พวกมึงมาแต่เช้ามี’ไร”

“กูกับสกายทำกับข้าวมาเผื่อ” อชิตะยกกล่องข้าววางไว้บนโต๊ะ “กูขอใช้ห้องน้ำหน่อยนะ”

“เฮ้ย ๆ ใช้ห้องข้างนอก ในห้องนอนกู... กู...กูขี้ลืมกด” อวสานอาหารเช้า

“เหี้ยสกปรกสัด!”

“เออกูลืม...” อชิตะพยักหน้ารับ หันมามองผม ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

ผมรู้ว่าอชิตะต้องการให้ผมคุยกับนิวตามลำพัง

“เป็นไงบ้าง” ผมเป็นคนเริ่มเปิดประเด็นก่อน

นิวเดินมาหยิบกล่องอาหาร แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์ครัว จัดการเอากับข้าวที่ทำมาใส่จาน แล้วเอามาวางที่โต๊ะ

“สบายดี มึงล่ะ” นิวตอบ

“สบายดี...”

“...” นิวไม่พูดอะไรต่อ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึก...

“ถามจริง ๆ เถอะนิว...มึงเป็นอะไร กูทำอะไรผิดเหรอ จู่ ๆ มึงก็หายไป มึงไม่เคยหายไปนานขนาดนี้เลยนะเว้ย! มึงบอกกูมาสิ กูทักไปก็ไม่ตอบ กูทำอะไรผิด” ความอึดอัดที่ถูกกดเอาไว้ระเบิดออกมา ตู้ม! เป็นโกโก้ครั้นช์ มันมาพร้อมกับหยดน้ำตาเม็ดใส

ยิ่งมันไม่พูดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ ผมทำอะไรผิด หรือว่ามันเกลียดผม ไม่พอใจอะไรก็ควรบอกกันตรง ๆ ไม่ใช่หายไปแบบนี้

“สกายอย่าร้อง กูขอโทษ”

“ขอโทษอะไรของมึง กูไม่ต้องการ กูต้องการคำอธิบาย ฮือออ~” ผมยกมือปาดน้ำตาออกจากสองแก้ม “ตอนกูเศร้ามึงก็อยู่กับกู พอตอนกูมีความสุขมึงเสือกหายไปดื้อ ๆ แบบนี้ได้ยัง ไอ้คนเหี้ย!”

“สกายมึงใจเย็น ๆ ก่อน”

“ไอ้คนเลว!”

“เดี๋ยววววววว มึงฟังกูก๊อนนนน”

“ฮึก ฮึก ฮึก! ซู๊ดดดด~” ผมสูดน้ำมูกที่กำลังย้อยกลับเข้าไป แล้วฮึบน้ำตาเอาไว้

“มึงไม่ผิดอะไรเลย กูแค่ไม่กล้าเจอหน้ามึง กูคิดว่ามึงอาจจะเกลียดกู”

เวร! ผมอยากจะด่าว่าชาติหมาเป็นภาษาละติน แต่ดันสะกดไม่เป็นมันเลยรอดไป

“แค่เนี่ย เลว! เอาน้ำตากูคืนมา”

“กูโกหกมึงมาตลอดเลยนะเว้ย มึงไม่โกรธกูเหรอ”

“โกรธ แต่โกรธที่มึงหายไปมากกว่า”

“กูขอโทษ ดีกันนะมึง”

“ไม่ต้องเลย มึงมันคนเหี้ย กูเป็นห่วงมึงมากนะรู้ไหม ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ”

“กูขอโทษไง กูเปลี่ยนมือถือใหม่ ไลน์กูก็เปลี่ยน”

“เฟซบุ๊กล่ะ ไม่เห็นมึงออก”

“ช่วงนี้งานกูเยอะ กูแทบไม่ได้จับมือถือเลย”

“คนตอแหลมึงมันชอบแก้ตัว”

“มึงนี่นะ เออกูรับผิดทุกอย่างแล้ว หายโกรธกูได้หรือยัง”

“ก็ได้ แต่ที่หลังมีอะไรพูดกันตรง ๆ” จริง ๆ ผมไม่ได้โกรธอะไรมันเลย แค่ไม่เข้าใจที่มันหายไปก็เท่านั้น

ผมใช้เวลานั่งคุยกับนิวอยู่สักพัก อชิตะก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

“ดีกันแล้วใช่ไหม” อชิตะว่า

“เธอนิวแกล้งเรา” ผมหันไปกอดเอวคนตัวใหญ่ที่กำลังยืนอยู่ด้านข้าง

“ขี้มูกน่าเกลียดมาก” อชิตะโน้มตัวไปหยิบทิชชูกลางโต๊ะมาสองสามแผ่น “สั่งออกมา”

“ฮือ...ไม่เอาเราเช็ดเอง”

“สั่งมาเถอะหนา” ผมยอมสั่งน้ำมูกใส่กระดาษทิชชูที่อชิตะถืออยู่อย่างว่าง่าย

“รักกันมาก รักกันเหลือเกิน มีใครเห็นกูไหมครับ กูอยู่ตรงนี้” นิวว่าพลางกลอกตาไปมา

“อย่าอิจฉาเพื่อน” ผมว่า

หลังจากคุยกันเสร็จ เราทั้งสามคนก็นั่งกินข้าว เรากลับมาพูดคุยกันเหมือนปกติราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

อย่างที่ผมว่านั่นแหละ นิวอยู่กับผมทุกช่วงเวลาจริง ๆ ไม่ว่าจะเศร้าสุด ๆ หรือวันที่ผมมีความสุข ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน คำว่ามิตรภาพไม่เคยหายไป

ถ้าผมกับนิวเป็นแฟนกัน เราอาจจะอยู่ไม่ถึงวันนี้ก็ได้ ไม่ใช่ว่านิวไม่ดีนะ แต่นิวมันเป็นคนกวนตีน อยู่กับผมไม่ได้หรอกประสาทจะกิน อย่างนิวต้องเจอคนที่ปราบมันได้เท่านั้น

หลังจากอาหารเช้าจบลง นิวก็ไล่พวกผมกลับทันที 

เมื่อหลายวันก่อนพี่โจโทรมาให้ผมเข้าไปเอาของที่บ้าน พี่แกเข้าไปคุยงานกับลูกค้ามา เขาเลยฝากของผมมาด้วย แกโทรบอกผมหลายวันแล้วแหละ แต่ผมไม่ว่างสักที ไหน ๆ วันนี้ก็ออกมาแล้วถือโอกาสแวะไปเอาเลยแล้วกัน

ผมให้อชิตะขับรถไปบ้านพี่โจที่อยู่แถวคอนโดฯ เป็นหมู่บ้านจัดสรร ไม่นานรถก็ดับสนิทหน้าบ้านหลังใหญ่ ผมกดออดเรียกอยู่ครู่เจ้าของบ้านก็เดินออกมาพร้อมกับกล่องของที่ลูกค้าฝากมา

คุยเสร็จผมก็เดินกลับเข้ามาในรถ

“เธอ” ผมหันไปยังปลายเสียงทุ้ม

“ครับ?”

“เราว่านิว แปลก ๆ”

“โอ๊ยเธอ มันก็เป็นคนแปลก ๆ แบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสิ”

“?” ผมหันกลับไปมองทันที อชิตะบอกนิวแปลก แต่ผมว่าไม่แปลกนะ ถ้าบอกนิวปกติยังฟังดูน่าแปลกกว่าอีก

“ก็ตอนที่เราไปเข้าห้องน้ำ เอาเห็นแปรงสีฟันสองอัน”

“ของมันล่ะมั้ง”

“รองเท้าแปลก ๆ ที่หน้าห้องอีก มันคู่ใหญ่มากเลยนะ”

“มันอาจจะซื้อมาผิดไซซ์ไง เธอคิดมาก”

“เราว่านิวมีแฟน”

นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันมีผมต้องรู้สิ

“ไม่หรอกมั้ง ถ้ามีมันคงบอกเราไปแล้วแหละ”

“คงงั้นล่ะมั้ง” ว่าจบเขาก็หันไปสนใจถนนต่อ

เราใช้เวลาบนถนนกว้างไม่นานก็มาถึงคอนโดฯ มาถึงห้องผมก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตัวยาว พรูดลมหายใจออกทางจมูกอย่างสม่ำเสมอ รู้สึกเหมือนทุกอย่างที่หนักอยู่ในอกถูกยกออก หลังจากนี้ชีวิตผมก็จะกลับมาปกติจริง ๆ เสียที

ผมชันตัวลุกขึ้นนั่ง หยิบกล่องที่เพิ่งได้มาแกะออกดู ในกล่องประกอบไปด้วยถุงมืออุ้มเท้าแมวนุ่มนิ่มน่ารักหนึ่งคู่ กับคาดผมหูแมวสุดคิวท์ มีปลอกคอสีแดงครบเซท มีป้ายห้อย Made in Japan ลูกค้าคิดอะไรอยู่ถึงได้ให้ของแบบนี้กับผม

แต่จะว่าไปมันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว ถ้าอชิตะใส่มันต้องน่ารักแน่ ๆ เลย

มุแง้~

แค่จินตนาการก็อยากวิ่งไปอุ้มแล้วกล่อมนอน

ไวกว่าความคิดผมก็ลุกขึ้นแล้วสาวเท้าตรงไปยังห้องนอนทันที อชิตะกำลังนั่งเช็กอะไรบางอย่างในไอเพดอยู่

“เธอออออ...” ผมกระโจนขึ้นเตียง พลางเรียกอชิตะจนเสียงยาน

“ว่าไงครับ” อชิตะตอบแล้วยกแขนขึ้นโอบไหล่ผมเอาไว้ แต่ก็ยังไม่ละสายตาจากหน้าจอไอเพด

“ทำอะไรอยู่ ว่างไหม”

“เราเช็กข้อมูลลูกค้านะ ศิลาเพิ่งส่งมา”

“อ๋อ ไม่ยุ่งมากใช่ไหม”

“...” ไม่ตอบก็ถือว่าไม่ยุ่ง

“เราแกะห่อที่ลูกค้าให้มาแล้ว เราได้นี่มา” ว่าจบผมก็ยกหูแมวขึ้นมา “เธอใส่ให้ดูหน่อยสิ”

“สกายเราขอเช็กงานก่อนได้ไหม เดี๋ยวเราเล่นด้วย”

“ใส่แป๊บเดียวเอง” ผมพยายามเอาคาดผมสุดน่ารักใส่ไปที่หัวของอชิตะ แต่ทว่าโดนเขาคว้าแขนเอาไว้ก่อน

“เราขอเช็กงานก่อนแป๊บเดียว”

“แค่ใส่แป๊บเดียว มันก็ไม่ได้นานนี่”

“ก็ใช่ แต่เราแค่อยากเช็กงานให้เสร็จก่อน”

อชิตะพยายายามดึงคาดผมออกจากมือผม จังหวะที่เขาพยายามแย่งมาจากมือ ทำให้คาดผมกระเด็นตกลงที่พื้น

เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่ที่หูแมวกระทบพื้นเสียงดัง กรุ๊งกริ๊ง นอนแอ้งแม้ง

เท่านั้นแหละหัวผมร้อนขึ้นมาทันที...ผมตัดสินใจลุกจากเตียงโดยไม่พูดอะไรอีกเลย

“สกาย!” ผมไม่คิดจะหันกลับไปมองเขา เดินออกมาจากห้องแล้วตรงไปที่ลิฟต์กดลงไปชั้นล่าง

ผมออกมาขนาดนี้เขายังไม่ออกมาตามอีกเชอะ! รักเรามันเก่าแล้วละสิ พอได้กันแล้วก็ไม่สนใจกัน หมดโปรแล้วใช่ไหม ไอ้คนใจร้ายยยยย~ 

อชิตะทำเกินไปหน่อยบอกกันดี ๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องเอาของผมทิ้งเลยนี่ อีกอย่างก็แค่ใส่ มันจะเสียเวลาสักเท่าไหร่เชียว

ยืนอยู่หน้าคอนโดฯ ไม่นานรถแท็กซี่ก็จอดเทียบ

“ไปคอนโดJ ครับ”





#แฟนwithbenefits









มี NC สองตอนติดเด๋อ (21,22)

แล้วเจอ NC อีกทีตอนพิเศษเลย





ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ













-กำลังทยอยแก้คำผิด-

ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -21-
«ตอบ #47 เมื่อ21-09-2021 03:01:35 »


แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-21-

โกรธกันแล้วในใจของเธอมีความสุขไหม

 

รถแท็กซี่กลับมาจอดที่หน้าคอนโดฯ สูงคุ้นตา ผมไม่รู้จะไปไหนเลยตัดสินใจมาหานิว ผมโกรธที่อชิตะทำกับผมแบบนี้ ไม่รู้แหละผมว่าเรื่องนี้ผมไม่ผิด ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ หรือว่าเขาจะมีคนอื่น เขาเลยไม่ยอมตามมาง้อผม

ผมเดินมาหยุดหน้าห้องของนิวหลังจากกลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ยืนเคาะประตูอยู่ไม่นาน นิวก็ออกมาเปิดประตู

“ไง...มาทำไมอีกล่ะมึง”

“...” ผมไม่ตอบแต่ผลักประตูห้องให้กว้าง แล้วเดินเข้าไป

ผมถอดรองเท้าไว้ที่ชั้นวาง ทุกอย่างไม่มีอะไรแปลกตา แต่ก็อดคิดถึงคำพูดของอชิตะไม่ได้ ที่ชั้นวางมีรองเท้าคู่ใหญ่ แต่มันก็ไม่เห็นมีเลยนี่หว่า...

“อชิไม่มาด้วยเหรอ” เสียงใสเอ่ยถาม

“ไม่ต้องพูดถึงชื่อนี้เลย กูโสด” ผมเดินกระทืบเท้าไปยังโซฟาตัวยาว “วันนี้กูขอนอนด้วยนะ” ผมว่าต่อ

“ทะเลาะกันอะดิ” นิวว่าพลางหย่อนสะโพกลงนั่งข้าง ๆ วางแก้วน้ำเปล่าไว้ให้

“ก็อชิแม่งปัดของตกจากมือกูอะ จริง ๆ พูดดี ๆ ก็ได้อะ”

“งั้นเล่าให้กูฟังตั้งแต่ต้น”

ผมใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีเล่าเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ต้นให้นิวฟัง มันเองก็เป็นผู้ฟังที่ดี ไม่พูดแทรกสักคำ รอจนกระทั่งผมเล่าจบ

“กูว่าเรื่องนี้มึงผิดนะ” นิวว่า หลังจากที่นั่งฟังมาสักพัก

“ได้ไง กูไม่ผิด”

“ก็อชิก็บอกแล้วนี่ เขาขอเช็กงานก่อน” นิวขยายความ

“ก็แค่ใส่เองหรือเปล่าวะ มันก็ไม่ได้นานอะ ไม่เห็นต้องปัดออกขนาดนี้”

“มันแค่บังเอิญตกหรือเปล่า”

“มึงเข้าข้างอชิเหรอ กูเพื่อนมึงนะเว้ย” ผมหันไปแหวใส่นิว เพิ่งจะดีกันเมื่อเช้า เดี๋ยวผมจะโกรธมันด้วยอีกคน

“ก็ได้มึงถูก แต่กูจะบอกอะไรให้นะ มึงทะเลาะกันเรื่องเล็กมากเลยนะ”

“...”

“มึงลองคิดดูดี ๆ กว่าพวกมึงจะคบกันได้ใช้เวลาไปตั้งเท่าไหร่ พอได้คบกัน มึงกลับเอาเวลาที่ควรจะมีความสุขมาทะเลาะกันด้วยเรื่องแค่นี้เองเหรอวะ”

เชรด! จริงของมันวะ พออารมณ์เย็นลงก็รู้สึกแย่ขึ้นมาทันที

“อชิก็พออชิ ตามใจมึงจนเสียนิสัย พอวันหนึ่งขัดใจมึงนิดหน่อย มึงก็เลยไม่เข้าใจ”

“กูควรทำยังไงดีวะ พูดซะกูรู้สึกผิดเลย”

“กลับไปคุยกัน”

“ไม่เอา กูจะรอให้อชิมาง้อกูก่อน เสียฟอร์ม” -..-

“ระวังเถอะจะเสียมัน...” พูดจบนิวก็ลุกหายเข้าไปในห้องนอน ปล่อยให้ผมนั่งอยู่ที่โซฟาคนเดียว

ผมนั่งเปิดทีวีหาอะไรดูไปพลาง ๆ รอให้อชิตะโทรมา ผมจะรีบย้ายก้นออกจาห้องนิวไปเลยทันที แต่นั่งอยู่นานอชิตะก็ยังไม่โทรมาสักที รอจนฟ้ามืดก็ยังไร้วี่แววเสียงมือถือ

มือถือ...

เอ๊ะ! เชี่ยลืมหยิบมือถือมา เหมือนภาพจำกำลังแฟรชแบคกลับไปตอนที่ผมเดินออกมาจากห้อง ผมไม่ได้หยิบอะไรออกมาด้วยนอกจากกระเป๋าตังค์ ถึงว่าอชิตะไม่โทรตามผมเลย

“สกาย” นิวเดินออกมาจากห้องนอน พร้อมกับหยิบกุญแจรถเดินตรงมายังผมที่ยังนั่งอยู่ที่โซฟา

“อะไร”

“กลับห้องเถอะ เดี๋ยวกูไปส่ง” นิวว่า

“ไม่เอา ยังไม่อยากกลับ”

“อชิโทรมา บอกว่ามึงไม่ได้หยิบโทรศัพท์ไป กลับเถอะเดี๋ยวกูไปส่ง มันเป็นห่วงมึงมากเลยนะ”

“เป็นห่วงแล้วทำไมไม่มารับเอง”

“ทำไมมึงถึงดื้ออย่างนี้นะ ไม่กลับก็ไม่กลับตามใจ”

จังหวะที่นิวกำลังหมุนตัวเดินเข้าห้อง ผมรีบหยุดนิวเอาไว้ก่อน “กลับ ๆ มึงไปส่งกูนะ”

“ก็แค่เนี่ย”

ผมรีบลุกขึ้น แล้วเดินตามนิวออกมายังลานจอดรถทันที ระยะทางจากที่นิวอยู่ค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร นิวเอาผมมาทิ้งไว้ที่หน้าคอนโด แล้วมันก็ขับรถกลับทันที

ผมเดินกลับมาหยุดหน้าห้องของตัวเอง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วแตะคีย์การ์ดเปิดเข้าไป

ในห้องโถงมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากห้องนอนลอดออกมาจากใต้ประตู

“อชิ...” ผมตะโกนเรียกแฟนตัวเอง แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ ผมเปิดไฟในห้องโถง แล้วสาวเท้าไปยังห้องนอน

ภาพตรงหน้าทำผมอ้าปากค้าง ยืนตะลึงงันกับสิ่งที่เห็น อชิตะนั่งอยู่บนเตียงในสภาพที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าบดบัง ทั้งยังใส่คาดผมหูแมว กับปลอกคอสีแดงมันถูกสวมเอาไว้อย่างหลวม ๆ

โอ๊ย! เลือดหมดตัว...น่ารักกว่าในจินตนาการของผมเสียอีก

“สกาย...เราขอโทษนะ เราผิดเอง”

ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง พอเอาเข้าจริง ๆ ผมต่างหากที่ผิด อชิตะยอมง้อผมขนาดนี้ แต่ผมกลับทำตัวไม่น่ารักเอาเสียเลย

“เธอไม่ผิดเลย เราต่างหากที่งี่เง่า ทั้งที่อชิบอกแล้วว่าทำงานเสร็จจะเล่นด้วย แต่เรายังดึงดัน”

“หายโกรธกันนะ ทะเลาะกันแบบนี้ไม่ดีเลย ตอนที่เธอเดินออกไป เราคิดว่าเธออยู่ข้างนอก พอรู้ว่าไม่อยู่เราตกใจมากเลย”

“แล้วเธอรู้ได้ไงว่าเราอยู่ห้องนิว”

“นิวโทรมาบอก เราตั้งใจจะไปรับแต่นิวบอกว่าให้รอก่อน”

อ้อ...ฝีมือนิวนี่เอง

“เราขอโทษนะ ต่อไปจะไม่ทำตัวไม่น่ารักอีก” ผมว่าพลางกอดอชิตะเอาไว้แน่น

แขนแกร่งยกขึ้นกอดตอบกลับ เสียงกระดิ่งที่คอ กับคาดผมดังทุกครั้งที่เขาขยับตัว

“ไม่เป็นไร ถ้าสกายงี่เง่าเราจะเป็นคนง้อเอง”

“...” พยักหน้ารับ “ทำขนาดนี้ เพราะรักเรามากใช่ไหมล่ะ” ผมว่าก่อนจะถูกผลักในนอนราบกับที่นอน

“มากกว่าที่เธอรู้” ว่าจบริมฝีปากของเราก็ประกบกัน

ปล่อยให้เรียวลิ้นแทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกันในโพรงปาก สลับขมเม้มกลีบปากอย่างร้อนแรงและยาวนาน

มันยาวนานพอที่จะให้เสื้อผ้าที่อยู่บนเรือนร่างของผมหลุดออกจนหมด เหลือเพียงอันเดอร์แวร์สีเข้มเป็นปราการด้านสุดท้าย

ฝ่ามือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน ถูกตรึงไว้กับเตียง เขายังคงตะโบมจูบไปทั่วตัว ทุกที่ที่ริมฝีปากบางสัมผัสจะฝากรอยตีตราประทับเอาไว้ขึ้นสีกลีบกุหลาบ

เขาคลายฝ่ามือออกแล้วค่อย ๆ โลมเลียแผ่นอกกว้าง ขยับเคลื่อนไปจนถึงแอ่งสะดือ หน้าท้องหดเกร็งขึ้นลงตามจังหวะของปลายลิ้นร้อนตวัด แกนกลางลำตัวแข็งชันดุดันขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน ส่วนปลายปริ่มน้ำใสจนอันเดอร์แวร์เปียกชื้นน่าอาย

อชิตะงับลงเบา ๆ ที่ส่วนปลาย แล้วใช้ลิ้นร้อนตวัดตั้งแต่ส่วนโคนไล่ขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ความเสียวซ่านพลันพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งตัว เขาโลมเลียอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อย ๆ งับขอบอันเดอร์แวออก

แกนกายดีดผึงตรงหน้าอชิตะทันทีที่อันเดอร์แวร์หลุดออก เขาลุกชันตัวขึ้น แล้วเอี้ยวตัวไปหยิบเจลหล่อลื่นบนหัวนอน

ผมถูกเขาใช่แขนสอดใต้ข้อพับขาทั้งสอง กระตุกเพียงนิดเดียวร่างกายก็ขยับมาอยู่ที่ขอบเตียง ขาทั้งสองถูกกางออกกว้างเพื่อให้เห็นทุกสัดส่วน

อชิตะนั่งคุกเข่ากับพื้นบีบเจลเย็นป้ายที่รอบจีบปิดสนิท ลูบวนสักพักก็สอดนิวเข้ามาก่อนจะก้มใช้ปากครอบลงมาที่แกนกลางลำตัวที่กำลังตั้งชันชี้หน้า

“อ๊า...อะ...อชิ” ฝ่ามือสอดเข้ากับกลุ่มผมสีดำขลับ ทุกครั้งที่เขาขยับหัวขึ้น เสียงกระดิ่งก็สั่นตาม

เข้าใจความรู้สึกผีเสื้อนับล้านบินในท้องก็วันนี้แหละ ยิ่งทำทั้งข้างหน้า ข้างหลังพร้อมกัน ก็ยิ่งรู้สึกอยากปลดปล่อยเร็วกว่าเดิม

“จะเสร็จแล้ว อื้อ...อะ!” อชิตะง้อนิ้วเพียงเล็กน้อยเพื่อให้โดนจุดเร้นลับด้านใน ไม่นานร่างกายก็กระตุกเกร็งฉีดพ่นน้ำกามกลิ่นขาวออกมา

“ทำไมวันนี้ปล่อยเร็วจัง” อชิตะเช็ดคราบคาวที่เปรอะหน้าออก ก่อนจะโน้มตัวลงมาบดจูบอย่างหนัก “ชอบให้ทำพร้อมกันเหรอ” ว่าจบเขาก็เลียแก้มผม

แพ้เสียงแหบพร่าแบบนี้อีกแล้ว ร่างกายมันไร้เรี่ยวแรงต่อต้านทุกครั้งจริง ๆ

“อือ...อชิอย่าแกล้ง” เขาใช้ท่อนเอ็นร้อนชนกับช่องทางหลังไปมาอย่างจงใจแกล้ง เขารู้ว่าผมต้องการอะไร

“เมี้ยว~” อชิตะเลียนแบบเสียงแมว ทำท่าคลอเคลียโลมเลียไม่หยุด

เลียขนาดนี้มันหมาชัด ๆ

เขาลุกชันตัวดันเข่าทั้งสองของผมให้แนบกับแผ่นอก “จับเอาไว้ดี ๆ นะครับ” ผมสอดแขนใต้ข้อพับขาของตัวเองล็อกเอาไว้ให้กางออกแบบที่เขาต้องการ

เจลใส่ถูกชโลมอีกครั้ง ก่อนจะดันท่อนร้อนรักเข้ามาในโพรงอุ่น ผมรู้สึกเต็มอิ่มเมื่อเขาดันเขามาจนสุดความยาว ทั้งจุกทั้งเสียวปะปนกันไปหมด

เขาเริ่มขยับแกนกายออกจนเกือบสุด แล้วดันกลับเข้ามาด้วยแรงเท่าเดิม ทำแบบนี้อยู่ซ้ำ ๆ จึงค่อย ๆ เพิ่มความเร็ว

แรงส่งของเอวสอบ ทำให้ร่างกายไหวขึ้นลงตามแรงกระแทกกระทั้น เสียงกระดิ่งดังจนน่ารำคาญ

“อชิจูบหน่อย” อชิตะโน้มตัวลงมาจูบอย่างที่ผมร้องขอ จังหวะที่เรากำลังจูบกันอยู่ ผมจัดการเอาคาดผมหูแมวออก แล้วขว้างลงจากเตียง เหลือเพียงปลอกคอแมวสีแดง แต่เสียงความน่ารำคาญก็น้อยลงจนรับได้

“ไม่ชอบเหรอ”

“ไม่...อ๊า! รำคาญ” อชิตะคลี่ยิ้มออกมาแล้วชันตัวขึ้นอีกครั้ง ขยับสะโพกถี่ยิ่งกว่าเดิม

ส่วนปลายคอดหยักขูดกับผนังด้านในจนขนลุกชัน มันรู้สึกดีจนน้ำตารื้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความสุขสมที่ได้รับมันมีมากจนต้องเปล่งเสียงออกมา

“อชิ อื้อ...อ๊ะ! ตรงนั้นแหละ”

“ตรงไหน...” อชิตะว่าพลางขยับเอวช้าลงเรื่อย ๆ ทำไมเขาถึงชอบแกล้งผมนักนะ

“จะทำอะไร” เขาจับแขนผมออกแล้วสอดแขนเข้าไปที่ข้อพับขาผมแทน ออกแรงเพียงนิดเดียวตัวผมก็ถูกยกขึ้นทั้งที่ข้างล่างยังเชื่อมต่อกันอยู่ เขาพลิกตัวลงนอน แล้วให้ผมอยู่ข้างบนแทน แกนกายใหญ่โตดันเข้ามาลึกจนหน้าท้องนูนขึ้นมา

“ตรงไหนเราไม่รู้ สกายลองขยับเองนะ” นึกไว้แล้วว่าเขาจงใจจะแกล้งผม แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิด

ผมเริ่มขยับสะโพกขึ้นแล้วขยับลงอย่างเชื่องช้า พอเริ่มเข้าจังหวะก็เร่งความเร็วขึ้น ข้างในแน่นขนัด มันรู้สึกเสียวซ่านจนกระตุกตอดรัดไม่หยุด อชิตะครางต่ำออกมาเป็นระยะ

“อชิเราจะเสร็จอีกแล้ว”

“พร้อมกันนะคนดี” ว่าจบเขาก็ใช้ฝ่ามือกอบกุมแกนกายของผมเอาไว้เต็มมือ แล้วเริ่มขยับถี่ตามแรงเคลื่อนขึ้นลง

“อา...อะ...อชิ...จะเสร็จแล้ว อ๊าาาา!” ร่างกายเบาวูบ ของเหลวสีขาวถูกปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งที่สอง อชิตะเองก็ปลดปล่อยรอบแรกออกมาอุ่นเต็มช่องทางหลัง

จังหวะที่ขยับสะโพกออกจากแกนกาย ของเหลวด้านไหนก็ไหลย้อยออกมา ฝ่ามือหนาฟาดลงที่สะโพกกลมจนเสียงดังเพียะ

“อีกรอบนะ”

“รอบสุดท้ายแล้วนะ” ผมว่า

“ครับ” ไม่รู้ว่าผมเชื่อเขาได้มากน้อยแค่ไหน แต่ผมก็ยังเชื่อที่เขาพูดอยู่ดี “นอนคว่ำแล้วยกก้นขึ้นหน่อยสิคนดี”

ผมทิ้งตัวนอนคว่ำยกสะโพกลอยขึ้นอย่างว่าง่าย เสียงฝ่ามือฟาดลงที่สะโพกกลมดังเพียะอีกหลายครั้ง มันเจ็บ ๆ คัน ๆ แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่โดนฟาดหนัก ๆ

ผมใช้มือแหวกแก้มก้นออกเพื่อเปิดช่องให้ท่อนร้อนเข้ามา “รอบนี้ช่วยเอ็นดูเราหน่อยนะ”

“จะเอ็นดูให้ใจขาดเลยครับ” ว่าจบเขาก็ใช้แกนกายถูขึ้นลงระหว่างกลาง แล้วจับแกนกายดันเข้ามาเพียงส่วนปลาย แล้วดึงออก แล้วก็ดันกลับเข้ามาใหม่ซ้ำ ๆ

"อื้ออออ เข้ามาเถอะครับ อย่าเล่นแบบนี้"

"ทำไมละ ก็ข้างหลังเธอมันน่ารักมากเลยนี่"

"...มันเสียว"

"เดียวนี้ทะลึ่งใหญ่เลยนะ ทำแบบนี้กับใครอีกหรือเปล่า" มือหน้าจับล็อกเอวบางเอาไว้มั่น แล้วดึงสะโพกให้สวนรับกับความใหญ่โตที่กำลังดุดันเข้ามา

“อ๊า...แค่กับเธอ เธอคนเดียว” เขาขยับเข้าออกอย่างไม่เร่งรีบ แต่แรงโหมที่กระแทกเข้ามากลับหนักหน่วง และลึกจนจุกท้อง

"น่ารักที่สุด..."

ความสุขสมปนจุปะปนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเราทั้งคู่ต่างถึงปลายทางกันอีกหลายครั้ง วันนี้เขาพิสูจน์แล้วว่ารอบสุดท้ายไม่มีอยู่จริง

แต่ผมก็มีความสุขทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่เขามอบให้ ผมก็ยินดีรับไว้ มันคงจะจริงอย่างที่นิวว่า ทำไมเราต้องเสียเวลาทะเลาะกันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง สู้เอาเวลามาทำสิ่งที่มีความสุขด้วยกันจะดีกว่า

เวลาต่อจากนี้ไป ผมไม่รู้หรอกว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน เรายังต้องเจออีกหลายเรื่องราว ผมจะไม่สัญญา แต่ผมจะอยู่ข้าง ๆ เขาแบบนี้จนกว่าจะถึงวันที่เราต้องแยกจากกัน

 

สามวันต่อมา

@ออฟฟิศอชิตะ


วันนี้ผมย้ายมานั่ง ๆ นอน ๆ ที่ออฟฟิศอชิตะ เพราะไม่อยากอยู่ห้องคนเดียว ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนก็อยู่ได้มาตลอด นี่ถ้าอชิตะทิ้งผมไป ผมจะทำยังไงเนี่ย

Rrrr…

“ครับ ได้ครับเดี๋ยวผมลงไป” อชิตะกดวางสาย แล้วหันมาพูดกับผม “เธอลงไปรับของให้หน่อย”

“ของอะไรอะ”

“เดี๋ยวก็รู้เองแหละนา ลงไปรับให้หน่อย”

“ครับ ๆ”

ผมลุกจากโซฟาตัวยาว จัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วลงไปยังชั้นล่าง

“มารับของครับ ของคุณอชิตะ”

“สักครู่นะคะ” พนักงานเดินหายกลับไปด้านหลัง ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับกล่องพัสดุสีขาวขนาดกลาง “เซ็นชื่อคนรับตรงนี้เลยค่ะ”

เซ็นทุกช่องตามที่พนักงานบอกเสร็จ ผมก็เดินอุ้มกล่องสีขาวขึ้นมา แอบลองเขย่าเบา ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงก๊อกแก๊ก

มาถึงผมก็ส่งกล่องพัสดุให้อชิตะ

"ของเธอ สั่งมาให้" ผมหรี่ตามองด้วยความสงสัย วันเกิดผมก็ไม่ใช่ ช่วงเทศกาลสำคัญอะไรก็ไม่มี

“อะไรน้า อชิสั่งอะไรให้นะ”

“แกะดูสิ” ไม่รู้หรอกว่าคืออะไร แต่จู่ ๆ แฟนให้ของขวัญใครบ้างที่จะไม่ตื่นเต้น

ผมวิ่งออกไปหยิบคัตเตอร์มากรีดกล่อง ค่อย ๆ แกะออกอย่างระมัดระวัง

แต่แล้วผมก็หน้าชาวาบเมื่อเห็นของข้างใน ผมมองมันสลับกับหน้าของอชิตะ เขาคลี่ยิ้มมุมปากชวนเย็นวาบเข้าไปลึกถึงกระดูก

เขาบอกว่าซื้อให้ผมสินะ...

 

 

 

 

 

แมววววโป๊ววววว >3<



 

#แฟนwithbenefits

 

 

ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ

 

 

 

-กำลังทยอยแก้คำผิด-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2021 03:06:39 โดย -Piagpun- »

ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -22-
«ตอบ #48 เมื่อ21-09-2021 05:20:08 »


แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-22-

Tonight Baby we can get it on, yeah

 

เมื่อคืนก่อนผมยอมแต่งตัวอย่างที่สกายต้องการ มีเหรอที่ผมจะยอมคนเดียว ผมกดเข้าอากู๋ค้นหาชุดกระต่ายน้อยหวังจะให้สกายได้ใส่ แต่ทว่าผมดันบังเอิญไปเจอเว็บผู้ใหญ่ มันถูกใจผมก็ตรงที่หางสีขาวกลมขนนุ่มฟู หัวยางซิลิโคนสั่นได้นี้แหละ

ราคามันค่อนข้างแรงอยู่นะ แต่ถึงอย่านั้นก็อย่าคิดมากไป ผมกดสั่งมาหนึ่งชิ้น พร้อมกับหูกระต่าย แล้วกดตัดบัตรโดยไม่นึกเสียดาย คำสั่งซื้อถูกจัดส่งไปยังร้าน สิบนาทีต่อมาสถานะการสั่งซื้อก็ถูกเปลี่ยนเป็นกำลังจัดส่ง ผมรอสินค้าอยู่ประมาณสองวัน เจ้าหน้าที่ส่งของก็โทรมาแจ้งว่าฝากของไว้กับหน้าเคาน์เตอร์ของบริษัท

“เธอลงไปรับของให้หน่อย” ผมหันไปบอกสกายที่กำลังนอนเล่นเกมอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องทำงาน

“ของอะไรอะ”

“เดี๋ยวก็รู้เองแหละนา ลงไปรับให้หน่อย”

“ครับ ๆ” สกายพยักรับอย่างว่าง่าย วางมือถือแล้วเดินออกไปทันที รอไม่นานนักเขาก็เดินกลับขึ้นมาพร้อมกับกล่องสีขาว

“ของเธอ สั่งมาให้” ผมว่า เมื่อสกายยื่นกล่องส่งมาให้ผม

“อะไรน้า อชิสั่งอะไรให้นะ” ใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นซับสีเลือดชมพูระเรือ ท่าทางคงจะดีใจ อยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าได้เห็นของข้างในจะทำหน้ายังไง

“แกะดูสิ”

สกายวิ่งออกไปหยิบคัตเตอร์ค่อย ๆ กรีดอย่างประณีต เขาค่อย ๆ คลี่กล่องออกช้า ๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นซีดเผือด มองของข้างในสลับกับหน้าผมซ้ำไปซ้ำมา

“อะ...อะ...ไรเนี่ย” ผมเดินตรงเข้าไป โน้มตัวลงเล็กน้อยแล้วกระซิบเบา ๆ

“คืนนี้ช่วยสานฝันเราที” ผมคลี่ยิ้มอย่างผู้ชนะ แต่ทว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้กลับหน้าแดงจัด

ตลอดทั้งวันผมเฝ้ารอเวลาเลิกงาน และในที่สุดเวลาที่รอคอยก็สิ้นสุด ผมขับรถตรงกลับมายังห้องโดยไม่จอดแวะที่ไหน มาถึงเราทั้งคู่ก็อาบน้ำพร้อมกัน ผมอาสาใส่หางกระต่ายให้สกาย แต่เขาไม่ยอม และดันให้ผมออกมารอนอกห้องน้ำ

“สกายจะออกมาได้หรือยัง” ผมเรียกคนที่อยู่ในห้องน้ำนานหลายนาที

“อชิ เอาจริงเหรอ เราว่ามันตลก”

“ออกมาเหอะน่า ถ้าไม่ออกมาเราไปเอากุญแจมาเปิดเดี๋ยวนี้แหละ” ผมแค่ขู่เขาไปอย่างนั้นแหละ ยังไงเขาก็ต้องออกมา

“ไม่ ๆ ออกแล้วใจเย็นหน่อย”

แกร๊ก!

สกายค่อย ๆ เปิดประตูเดินออกมาอย่างเชื่องช้า บนตัวเขามีเสื้อเชิ้ตสีขาวของผมอยู่ บนหัวสวมหูกระต่ายสีขาว ใบหน้าเขาขึ้นสีแดงจัดอย่างน่าเอ็นดู

“จ้องอะไรขนาดนั้นเล่า เขินเป็นนะเว้ย” ผมไม่ตอบ ดึงชายเสื้อด้านหลังของเขาขึ้น

หางกระต่ายสีขาวฟูอยู่ที่ลูกพีชสีขาวน่าตี ผมเลือกขนาดของหัวซิลิโคนไซซ์เล็กสุด เพราะเป็นห่วงเขาเรื่องความปลอดภัย

“เอาอันนี้ออกได้ไหมเรารู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้”

“น่ารักดีออก เราชอบ” ว่าจบผมก็ช้อนตัวกระต่ายตัวน้อยไปวางไว้บนเตียง ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเอาเนกไทสีแดงเข้มออกมาหนึ่งเส้น

เขารู้ดีว่าผมจะทำอะไร ไม่ต้องรอให้บอกเขาก็ยื่นมือทั้งสองข้างให้มัดแต่โดยดี ผมไม่ได้มัดเน้นมาก แต่ก็ไม่ได้มัดหลุมจนขยับออกได้

“ลงไปนั่งข้างล่างสิ”

สกายขยับตัวลุกขึ้น แล้วลงไปนั่งกับพื้นข้างเตียงอย่างว่าง่าย ผมหยิบรีโมทที่แถมมากับหาง แล้วกดระดับแรงสั่นเริ่มที่เบาสุดก่อน

“อ๊ะ...อชิ” เสียงครางหวานหลุดออกมาจากลำคอสวย เขาสะดุ้งนิดหน่อย คงจะเพราะตกใจ ผมช้อนปลายคางของเขาขึ้นรับจูบปลอบประโลม ก่อนจะผละออกจากกัน แล้วรั้งขอบกางเกงในตัวเองให้ต่ำลง งัดเอาท่อนเนื้อร้อนระอุออกมา ฝ่ามือกอบกุมแกนกลางลำตัวที่ยังขยายไม่เต็มที่เอาไว้แล้วค่อย ๆ ชักรูดขึ้นลงอย่างเชื่องช้าต่อหน้าสกาย ไม่นานมันก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น

สกายคลานเข่าเข้ามาแล้วใช้ปลายลิ้นสัมผัสส่วนปลาย ในขณะที่ฝ่ามือกำลังชักรูดขึ้นลง ความรู้สึกเสียวเล่นปราดไปทั้งตัว

“สั่นแรงอีกนิดนะ” ว่าจบผมก็หยิบรีโมททีวางไว้ข้างตัวขึ้นมาปรับเพิ่งระดับ

“อะ...อื้มมมม” เสื้อเชิ้ตสีขาวถกขึ้นเห็นก้นกลมเด่นชัด หางกระต่ายสีขาวฟูสั้นอยู่ระหว่างกลางแก้มก้นทั้งสอง

ทั้งภาพทั้งเสียงครางหวานส่งให้แรงอารมณ์พุ่งสูง ฝ่ามือจับแก่นกายที่กำลังถูกโลมเลียจ่อไปที่ริมฝีปากสีชมพู “อ้าปากหน่อยสิคนดีขา” เขาช้อนหน้าขึ้นมองทั้งน้ำตายังรื้นออกมาเป็นหน่วยอยู่ปลายหางตา พวงแก้มใสขึ้นสีแดงระเรื่อ

ทั้งน่าเอ็นดู และน่ากลั่นแกล้งให้ร้องไห้อยู่บนเตียง...

สกายเผยอปากครอบส่วนปลายปริ่มน้ำเอาไว้ ก่อนจะค่อย ๆ กดศีรษะลงมา กว่าจะค่อย ๆ ขยับลงมาจนสุดความยาว เล่นเอาเหนื่อยทั้งคู่ แต่พอเริ่มคุ้นแล้วก็เริ่มขยับง่ายขึ้น

ฟันขาวครูดแกนกายจนรู้สึกเจ็บแปล๊บ แต่ก็รู้สึกเสียวซ่านไปพร้อม ๆ กัน มันเข้าไปลึกจนส่วนปลายชนเข้ากับลำคอ

ผมกดเพิ่มแรงสั่นไปที่ระดับสูงสุด เสียงครางหวานอืออา ในลำคอหลุดออกมาเป็นระยะ จนกระทั่งเขาปลดปล่อยออกมา ร่างกายบางสั่นเทาไปทั้งตัว อีกสักพักสกายต้องไม่ไหวแน่ ผมกดหยุดระบบสั่น แล้วค่อย ๆ ขยับศีรษะของเขาให้ขยับเร็วขึ้น

ในที่สุดความรู้สึกที่อัดอั้นก็พร้อมปลดปล่อยออกมา ผมเผลอสวนสะโพกเข้าไปในจังหวะสุดท้ายก่อนจะฉีดพุ่งของเหลวสีขาวหนืดลงคอ

แค่ก! แค่ก! แค่ก!

สกายสำลักเอาน้ำออกมาบางส่วน แล้วฟุบตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้นอย่างหมดสภาพ มันดีกว่าตอนที่ผมฝันเสียอีก ถึงแม้ว่าท่าทางของเขาจะเงอะงะ ไม่ได้ชำนิชำนาญเหมือนตอนที่ผมเคยฝันก็ตาม

“หวานจัง” เขาว่าพลางเอาลิ้นแตะเลียหยดน้ำที่เปรอะตามมุมปาก ทำไมถึงได้ยั่วเก่งจนอารมณ์พลุ่งพล่านได้ขนาดนี้นะ

ผมอุ้มร่างบางวางลงบนเตียงอย่างไม่ถนอมนัก แล้วจัดการแยกขาทั้งสองให้อ้ากว้าง ช่องทางรักขมิบรัดหางกระต่ายสีขาวอย่างอวดดี ผมค่อย ๆ ดึงหางสีขาวออกเพื่อใส่อย่างอื่นที่ใหญ่กว่าเข้าไปแทน

“อึก! จุกท้อง” ผมดันแกนกายเข้าไปรวดเดียวจนสุด ผมรู้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำ เพราะช่องทางหลังอ่อนนุ่มพร้อมแล้ว

เอวสอบกระเสือกกระสนดันเข้าไปจนลึกสุดโคน แล้วขยับออกเพื่อไล่อากาศด้านในออกมา

ข้างในตัวสกายร้อนจัดจนสามารถทำให้ผมละลายกลายเป็นของเหลวได้ภายในพริบตา

“ซี๊ดดด อาา...” ผมซู๊ดปากเสียงดังด้วยความเสียวซ่าน สกายทั้งตอดทั้งรัดจนผมแทบคลั่ง ส่วนรอยหยักส่วนปลายขูดผนังด้านในทุกครั้งที่ขยับเข้าออก เวลาที่แกนกายสัมผัสกับจุดกระสั่นด้านใน ร่างกายเขาจะบิดจนร้องครางหวานออกมาอย่างน่าเอ็นดู

ผมโน้มตัวลงไปบดจูบริมฝีปากอิ่ม ขบเม้มริมฝีปากล่างอย่างดูดดื่ม น้ำลายใสไหลย้อยเปียกชื้นตามมุมปาก ลิ้นร้อนตวัดเก็บทุกหยาดหยดไม่ให้เหลือหลักฐาน

“อ๊ะ! แรงอีกเข้ามาลึก ๆ เลย” ผมชอบมองหน้าตอนที่เขามีความต้องการที่พุ่งสูง เขาจะปรือตามมองอย่างเว้าวอน ทั้งที่ดวงตายังมีหน่วยน้ำตาอยู่ แพขนตาเปียกชื้น ใบหน้าแดงจัดล่ามไปจนถึงคอ ร่างกายเขาสั่นคลอนขึ้นลงไปตามแรงโหมโรมรัน ทั้งยังหายใจหอบถี่ ใบหน้าเริ่มบิดเบ้ส่ายไปมาเมื่อร่างกายกำลังจะปลดปล่อย

“อะ...อ๊า...อะ อชิเราไม่ไหวแล้ว” เสียงร้องแหบพร่างบอกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะสวนสะโพกตอกเข้าไปจนลึกสุด

ผมเองก็ปลดปล่อยของเหลวออกมา โดยมีคนใต้ร่างรองรับเอาไว้ ขยับรีดเอาทุกหยาดหยดออกมาจนหมด แต่ผมก็ยังไม่คิดจะถอนแกนกายออก

"อชิ...เอาออกได้แล้ว" ผมขยับถอยออกอย่างที่เขาว่า แต่ก็สวนกลับเข้าไปดังเดิม "อึก! อ๊า"

"ยังไม่อิ่มเลย" ว่าจบผมก็ยกขาเล็ก ๆ ทั้งสองขึ้นพาดบ่าเอาไว้

กระดุมเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่หลุดออกมาจนเห็นหัวไหล่วับ ๆ แวม ๆ ถึงแม้เราจะเห็นทุกอย่างของกันและกันหมดแล้ว แต่ทว่าการได้เห็นอะไรแบบนี้ก็ชวนตื่นเต้นไม่แพ้กัน

ผมโน้มตัวลงไปกัดหัวไหล่ขาวจนขึ้นรอยฟัน แรงกัดทำให้สกายจิกเล็บลงกลางแผ่นหลังจนได้เลือด แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมหยุด ริมฝีปากงับลงที่ยอดอกทั้งที่ยังมีเสื้อกั้นอยู่ น้ำลายชุ่มจนเห็นยอดอกสีชมพูผ่านเสื้อตัวบาง ช่วงล่างก็สอดส่ายควานไปจนทั่ว เรียกเสียงครางได้เป็นอย่างดี

"อ๊า...อชิ รู้สีกดีจัง"

สะโพกโยกตอกเข้าไปหนัก และลึกกว่าเดิม ผมรู้ดีว่าเขาชอบแบบไหน ตรงไหนที่จะทำให้เขาถึงปลายทาง แต่ผมยังไม่ต้องการให้เขาถึงในตอนนี้

"อื้มม อยากปล่อยแล้ว แต่มันยังไม่โดน"

"ไม่เห็นต้องรีบเลย คืนนี้ยังอีกยาว" สกายพยายามใช้มือช่วยตัวเอง โชคดีที่ผมยังไม่แก้มัดเขา แต่ดึงปลายเนกไท แขนทั้งสองก็ถูกยกขึ้นไว้เหนือหัว

ขยับโยกจนหนำใจก็ช้อนคนตัวเล็กยกขึ้นไปที่มุมห้อง แล้วดันแผ่นหลังเขาให้ติดกำแพง แขนทั้งสองคล้องคอผมโดยอัตโนมัติเพราะกลัวว่าตัวเองจะตก

ผมว่าหูกระต่ายนี้เหมาะกับสกายมากนะ ยิ่งเวลาเขาแสดงสีหน้าตอนที่ถูกกระทำ ยิ่งทำให้ผมอยากแกล้งเขาเพิ่มขึ้น "อื้อ ลึกจัง"

"ชอบหรือเปล่า" ผมว่า

"อะ...ชอบ ขาสั่นไปหมดแล้ว" ขาสั่นจริง ๆ อย่าที่เขาว่านั่นแหละ ขนาดผมอุ้มอยู่ยังรู้สึกได้เลย "เราอยากเสร็จ อชิช่วยหน่อยสิ" ว่าจบเขาก็บดริมฝีปากลงมา ลิ้นร้อนตวัดพันเกี่ยวน้ำลายปะปนจนแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร จังหวะผละริมฝีปากออกน้ำลายเหนียวไหลยืดออกมาเป็นทาง

ออดอ้อนขนาดนี้ใครจะไปทนไหวกัน ผมยกสะโพกกลมขึ้นแล้วทิ้งลงให้น้ำหนักตัวเราโหมเข้าหากัน สกายร้องครางจนเสียงแห้งแหบในที่สุดเราทั้งคู่ก็ปลดปล่อย

"กระต่ายตัวนี้หื่นจัง ปล่อยออกมาเยอะเลย"

"ก็ใครทำล่ะ...ชิ!" สกายทิ้งตัวลงซบกับแผ่นอก หอบหายใจเสียงดัง

"ไปอาบน้ำกันเถอะ"

"..." สกายพยักหน้ารับอย่างไร้เรี่ยวแรง

ผมพาเขาเข้ามาในห้องน้ำ แล้วจัดการวางเขาไว้ที่เคาน์เตอร์ล้างมือ แกนกายค่อย ๆ ถอนออกอย่างเชื่องช้าจนออกมาหมด ผมเริ่มมองสำรวจร่างกายของคนตัวเล็ก ผิวขาวเต็มไปด้วยรอยดูดช้ำ และรอยฟันทั่วทั้งตัว ไม่เว้นแม้แต่ซอกขา ช่องทางหลังแดงพอ ๆ กับก้นกลม รอยจีบขมิบเข้าอย่างน่าเอ็นดู ของเหลวสีขาวขุ่นค่อย ๆ ไหลย้อยออกมาเป็นทาง

"หยุดมองเดี๋ยวนี้เลย รู้นะว่าคิดอะไรอยู่"

"ถ้ารู้แล้วงั้นไม่ต้องขออนุญาตสินะ" ว่าจบผมก็คลี่ยิ้มร้ายก่อนบทรักจะเริ่มต้นอีกครั้ง

ที่ผมคลั่งได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะหางกระต่าย หรือหูที่เขาสวมอยู่ แต่เป็นใบหน้าของเขาที่สามารถยั่วยวนให้เกิดอารมณ์ได้ทุกครั้งที่มอง ไม่ว่าจะสองหรือสามครั้ง ผมก็ไม่เคยรู้สึกพอ ผมเสพติดสกายไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม เขาทำให้ผมรู้สึกขาดเขาไม่ได้...

หลังจากอาบน้ำทำความสะอาดตัวแล้ว ผมก็จัดการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนผืนใหม่ เพราะผื่นเก่าเปรอะไปด้วยน้ำรัก เรานอนกอดกันเหมือนทุกคืน แต่ทว่าคืนนี้เราต่างก็เปลือยเปล่าแลกเปลี่ยนความอบอุ่นผ่านผิวเนื้อที่ปัดปายสัมผัสกัน

กลิ่นหอมเย็นอ่อน ๆ จากตัวสกายทำให้ผมเคลิ้มหลับไปอย่างง่ายดาย เช่นทุกวัน...

 

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้า ปล่อยให้สกายนอนต่ออีกหน่อย เพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสาม

กางเกงขายาวถูกหยิบขึ้นมาสวมเพียงชิ้นเดียว แล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อแปรงฟันล้างหน้า ออกมาเตรียมตัวทำอาหารเช้าเหมือนอย่างเคย

แต่ทว่าวันนี้มีเสียงแปลก ๆ ดังมาจากด้านนอก แวบแรกคิดว่าเป็นนิว แต่คีย์การ์ดของมันอยู่ที่ผม คงไม่ใช่ขโมยขโจรที่ไหนขึ้นมาหรอกใช่ไหม แต่นั่นก็เป็นไปได้ยาก ระบบความปลอดภัยของที่นี่ถือว่าดีเลยทีเดียว

ผมค่อย ๆ แง่มประตูออกไปอย่างเบามือ ผู้หญิงตัวเล็กกำลังยืนทำอะไรบางอย่างอยู่ในโซนครัว เขาเดินหยิบจับทุกอย่าง อย่างคุ้นชิน

เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาหันมา ผมก็จำได้ทันทีว่าเขาคือใคร...

“คุณน้า...”

 

 

คุณกาโต่ยยยย อย่าไปยอม!!!! ส่งก้นใสมาสู้เลยเอาเส่


 

#แฟนwithbenefits

 

 

ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ

 

 

 

-กำลังทยอยแก้คำผิด-


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
«ตอบ #49 เมื่อ21-09-2021 16:57:11 »

 :pig4:
 :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
« ตอบ #49 เมื่อ: 21-09-2021 16:57:11 »





ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -23-
«ตอบ #50 เมื่อ21-09-2021 19:06:00 »

แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-23-

แล้วมันจะผ่านไปด้วยดี


แสงแดดยาวเช้าสาดส่องผ่านม่านสีขาวบางในห้องนอน คนข้างกายของผมไม่อยู่แล้ว หากเป็นเมื่อก่อนผมคงต้องคิดหนักแน่ที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอเขา แต่เดียวนี้หากไม่เจอเขาบนเตียง ผมจะพบเขาได้ในครัว พร้อมกับอาหารเช้ากลิ่นหอม

ลุกขึ้นบิดขี้เกียจอีกสองสามที แล้วก้มหยิบเสื้อเชิ้ตที่พื้นขึ้นมาสวมแบบลวก ๆ คาดผมหูกระต่ายเมื่อคืนถูกใช้ไม่ให้ผมปรกหน้า แล้วเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา

ผมเดินออกมาเช็ดหน้าเช็ดตาเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกไป แต่ทว่าวันนี้กลับรู้สึกแปลกตา ไม่มีคนตัวโตยืนเตรียมอาหารอยู่ในครัว แถมยังไม่มีกลิ่นหอม ๆ ของอาหารเช้า ได้ยินเพียงเสียงพึมพำจากโซนนั่งเล่น

นิวมาเหรอ?

ผมสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ ก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับผู้หญิงตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างอชิตะ

“คุณนาย!” ผมว่าเสียงดังจนแม่หันกลับมามอง แม่กวาดสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ผมรีบคว้าเอาคาดผมหูกระต่ายสุดแบ๊วบนหัวขว้างทิ้งอย่างไร้ทิศทาง ก่อนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวเดียว

“สกายจะไปไหน มานั่งนี้สิ” จังหวะที่หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง น้ำเสียงเย็นเหยียบของแม่ก็ทำให้ผมเท้าทั้งสองหยุดชะงัก

ผมจำใจเดินก้มหน้าไปนั่งข้าง ๆ แม่ทั้งที่สภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยขมฟันของคนตัวโตที่นั่งอยู่ด้านข้าง

“โอ๊ย~ คุณนาย หยิกผมทำไม” ผมร้องเสียงหลงเมื่อแม่หยิกเอว

“โทรไปไม่เคยจะรับ มันเป็นยังไง”

“ผมขอโทษ คุณนายเลิกหยิกผมเถอะ อ๊ากกกกกก เจ็บบบบบบบ”

“แล้วนี่ยังไง! มีแฟนแล้วก็ลืมบ้านลืมช่อง ลืมแม่ไปเลยใช่ไหม” ผมไปมองหน้าแม่สลับกับหน้าอชิตะ ก่อนจะนั่งทำหน้าสลด

“เอ่อคือ...”

“ไม่ต้องมาเอ่อคืออะไรทั้งนั้น ถ้าอชิไม่บอก แม่จะได้รู้จากปากลูกตัวเองตอนไหนฮะ พูดแล้วมันก็น่าจะตีมันให้ตาย” ว่าจบแม่ก็เริ่มลงมือหยิกเอวผมอีกครั้ง

เสียงร้องโอดครวญเกิดขึ้นอีกหลายครั้งที่แม่เริ่มบ่น ช่วงก่อนมาเจออชิตะ ผมทำงานข้ามวันข้ามคืนจนเผลอลืมคนรอบตัวไปบ้าง เห็นแม่โทรมาตลอดนั่นแหละ ว่าจะโทรกลับแต่มันก็ลืมตลอด

“แม่แค่แวะมาถาม...พรุ่งนี้วันเกิดพ่อแก จะกลับบ้านหรือเปล่า” ผมชะงักไปนิดเมื่อแม่เริ่มพูดถึงพ่อ

หลังจากช่วงที่ผมจบมอหก ผมก็สารภาพกับพ่อตรง ๆ ว่าผมไม่ได้เรียนหมออย่างที่เขาตั้งใจไว้ และยังบอกเรื่องที่ผมชอบผู้ชายอีกด้วย

เราทะเลาะกันใหญ่โต ครั้งสุดท้ายที่ผมได้คุยกับพ่อ คือวันที่เขาตบหน้าผม แล้วบอกให้ผมไปให้พ้น แม่พาผมมาอยู่หอก่อนที่มหาลัยจะเปิดเทอม ช่วงเวลานั้นผมทั้งเคว้ง และเหงามาก โชคดีได้นิวค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนบ่อย ๆ ผมเลยหยุดคิดฟุ้งซ่านได้บ้าง

จนถึงตอนนี้ผมกับพ่อก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย เขาคงโกรธผมมากจริง ๆ ครอบครัวเราเป็นหมอกันหมด ลูกพี่ลูกน้องของผมตอนนี้ก็เป็นหมอ บางคนอยู่เมืองนอก มีผมที่ผ่าเหล่าผ่ากอออกมาคนเดียว

ผมยังจำประโยคนั้นได้เป็นอย่างดี พ่อบอกกับผมว่า ‘ผมคือความอับอายของวงศ์ตระกูล’

เพียงเพราะผมไม่เรียนหมอเหมือนญาติคนอื่น

เพียงเพราะผมแตกต่าง

ผมเลือกเกิดไม่ได้นี่ ผมก็แค่เด็กคนหนึ่งที่ต้องการให้ครอบครัวเข้าใจ และยอมรับสิ่งที่ผมเลือกก็เท่านั้นเอง...

“สกาย!” ผมสะดุ้งเฮือกออกจากภวังค์

“ครับ?”

“แม่อยากให้เราไปนะ”

“...”

“พ่อเป็นคนให้แม่มาถาม จริง ๆ พ่อโทรมาแล้วแต่ไม่มีคนรับสาย” ผมมองหน้าแม่นิ่ง ไร้เสียงตอบกลับ

พ่อเคยโทรหาผมด้วยเหรอ...

“อชิ...” แม่เรียกอชิตะ

“ครับ เดี๋ยวผมจะลองคุยให้”

“แม่ฝากด้วยนะ เดี๋ยวแม่ต้องรีบกลับก่อน”

“ครับ เดี๋ยวผมลงไปส่ง”

“ไม่เป็นไร อยู่เป็นเพื่อนสกายเถอะ”

“ครับ สวัสดีครับ”

แม่ลุกจากโซฟาตัวยาว สาวเท้าเดินห่างออกไป เสียงปิดประตูดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าแม่ออกไปเรียบร้อยแล้ว ผมเองก็ลุกขึ้นเดินกลับเข้ามาในห้องนอนเงียบ ๆ

มือถือถูกหยิบขึ้นมา เพื่อเช็กดูข้อมูลการโทรเข้า โทรออก มีเบอร์ของพ่อโทรเข้ามาจริง ๆ อย่างที่แม่ว่า เป็นสายจากช่วงอาทิตย์ก่อน น่าจะเป็นวันที่ผมทะเลาะกับอชิตะ แล้วหนีไปห้องนิว วันนั้นผมลืมหยิบมือถือไปด้วย

“เธอ...ทำอะไรอยู่ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม เดินเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง ก่อนจะฝังจมูกลงกลางศีรษะ แล้วกดลงมาที่แก้ม

“เปล่า...”

“เล่าให้ฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้เลย รู้สึกไม่สบายใจไปด้วย”

“มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก”

“ถ้างั้นพรุ่งนี้เราไปไหว้คุณพ่อเธอกันดีไหม”

“...” เป็นอีกครั้งที่ผมเงียบ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากไป แต่พ่ออยากให้ผมไปจริง ๆ เหรอ

ผมกลัว...

กลัวว่าคำพูดเหล่านั้นจะกลับมาทำร้ายผมอีก สำหรับผมไม่มีคำพูดไหนเจ็บเท่าคำพูดของคนในครอบครัวอีกแล้ว...

“ไม่ต้องคิดมากนะคนดี พรุ่งนี้เราจะไปด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะอยู่ข้าง ๆ สกายเอง” น้ำตาเม็ดใสหยดลงมาอาบแก้มทั้งสอง คำพูดแสนธรรมดาแต่ทว่ากลับอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก



ช่วงเช้าอชิตะโทรบอกแม่ว่าวันนี้ผมจะเข้าไป สาย ๆ ของวันเขาเลยชวนผมออกไปซื้อของขวัญให้พ่อ เราช่วยกันเลือกอยู่นาน สุดท้ายก็ได้นาฬิกาโรเล็กซ์ตัวเรือนสีเงินมาหนึ่งเรือน

บ่ายคล้อยเราก็ออกเดินทาง บ้านที่ไม่ได้มานานจนจำแทบไม่ได้ แต่ทว่ามันยังคงเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมหยุดนิ่งอยู่หน้าบ้านคุ้นตา ก่อนจะสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ฝ่ามือ ผมหันกลับไปมองเจ้าของฝ่ามือหนา เขาฉีกยิ้มกว้าง กระชับมือให้แน่นขึ้น แล้วพาผมเดินเข้ามาในบ้าน

ก้าวแรกที่สัมผัสพื้นขาผมก็เริ่มสั่น แต่เพราะอชิตะยังคงกำมือผมเอาไว้แน่น เป็นการบอกว่าเขาจะอยู่ข้าง ๆ อย่างที่เคยบอกเอาไว้ ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง

เมื่อเดินเข้ามาในตัวบ้านภาพบรรยากาศเก่า ๆ ก็ย้อนกลับมา ข้างนอกบ้านว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแล้ว ในบ้านเองก็ยังเหมือนเดิม ราวกับว่าไม่เคยมีใครเคลื่อนย้ายมัน

“มากันแล้วเหรอ แม่กำลังจัดโต๊ะพอดี”

“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” อชิตะปล่อยมือผม แล้วเดินตรงไปยังแม่ ทิ้งให้ผมยืนอยู่กลางบ้าน

“สกายเดินเล่นก่อนก็ได้นะ อีกสักพักเลยกว่าจะเสร็จ”

“ครับ” ผมตอบเพียงสั้น ๆ แล้วเดินไปรอบบ้าน ทุกอย่างยังเหมือนเดิมจริง ๆ กรอบรูปผมตอนเด็กก็ยังแขวนอยู่ตรงที่เก่า รูปตอนที่ผมปั่นจักรยานครั้งแรก หรือแม้แต่รูปตอนที่ผมเต้นในงานของอนุบาลหมีน้อย

พอได้มาเดินดูแบบนี้ก็อดยิ้มตามไม่ได้ มันตลกดีนะที่ตอนเด็ก เราเฝ้าภาวนาทุกวันว่าอยากโตเป็นผู้ใหญ่ ดูผมตอนนี้สิ วิงวอนกับพระเจ้าขอให้ตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งก็ยังไม่ได้

เป็นผู้ใหญ่ไม่สนุกเลย เป็นเด็กเจ็บสุดก็แค่ไข่กระแทกกับอานจักรยาน

“สกาย” เสียงแม่ตะโกนเรียกผมให้หลุดจากภวังค์ “ขึ้นไปตามพ่อหน่อยแม่จัดโต๊ะเสร็จแล้ว” ผมมองกลับไปที่อชิตะ เขาเพียงแค่ฉีกยิ้มแล้วพยักหน้าเบา ๆ

ผมสาวเท้าขึ้นไปยังชั้นสองอย่างเชื่องช้า ทุกก้าวกำลังเดินผ่านความทรงจำ ภาพวันเก่า ๆ ไหลผ่านเข้ามาราวกับจอหนังกำลังฉายภาพยนตร์

จำได้ว่าห้องพ่อกับแม่อยู่มุมสุดของบ้าน ทุกครั้งที่จะไปห้องพ่อกับแม่จะต้องผ่านห้องของผมก่อน

ผมเดินผ่านห้องตัวเองไป ก่อนจะเดินถอยหลังกลับมาเพราะประตูเปิดอยู่ ผมชะโงกหน้าเข้าไป เห็นพ่อกำลังนั่งอยู่ที่ปลายเตียง เขากำลังเปิดดูสมุดอะไรบางอย่าง ผมเปิดประตูเพื่อเดินเข้าไปเงียบ ๆ เขากำลังนั่งดูสมุดอัลบั้มรูปของผม มันเป็นรูปที่ผมได้รางวัลต่าง ๆ จากช่วงที่เรียนมหา’ลัย ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเก็บไว้ อาจจะเป็นแม่อีกนั่นแหละ เพราะพ่อไม่เคยสนใจสิ่งที่ผมทำ

“พ่อ...” ผมเอ่ยเรียก ก่อนพ่อจะค่อย ๆ หันกลับมาอย่างเชื่องช้า

ทุกอย่างในบ้านยังคงเดิม แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปก็จริง แต่พ่อกลับดูแก่ลงอย่างเห็นได้ชัด รอยย่นบนหน้าผาก และรอยตีนกาที่หางตาขึ้นเป็นริ้ว เราไม่ได้เจอกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ

“สกาย...ไหนแม่แกบอกว่าแกไม่มาไง”

“วันนี้วันเกิดพ่อนี่ครับ ผมก็ต้องมาสิ”

“...”

เราทั้งคู่ต่างเงียบใส่กันจนเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน “แม่ให้ผมขึ้นมาตามครับ” ว่าจบผมก็เดินหมุนตัวออกมา แต่ยังไม่ทันก้าวขา เสียงของพ่อก็ฉุดรั้งให้เท้าผมเก้าไม่ออก

“สกายพ่อยอมแพ้แล้ว”

“...”

“ยกโทษให้พ่อได้ไหม...”

ผมหันกลับไปฉีกยิ้มกว้างทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำตา ที่ผมร้องไห้ไม่ใช่เพราะผมเสียใจ แต่เป็นเพราะผมดีใจต่างหาก

“พ่อ...ผมขอโทษ” คนเป็นพ่อลุกขึ้นเดินเข้ามาสวมกอดผมเอาไว้ แล้วลูบหัวปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน “ผมทำให้พ่อผิดหวังใช่ไหม ผมขอโทษ ผมพยายามแล้ว”

“ไม่เอาสกาย อย่าร้อง พ่อผิดเอง พ่อปล่อยให้ความคิดของตัวเองอยู่เหนือทุกอย่าง จนลืมคิดถึงความรู้สึกลูก”

“...”

“สกายของพ่อเก่งมาก พ่อเห็นเราในข่าวบนอินเทอร์เน็ตเยอะมาก คนที่โรง’บาลพูดถึงลูกพ่อกันทั้งนั้น ทุกคนเห็นความสามารถของลูก มีแค่พ่อที่ถือทิฐิปิดหูปิดตาจนมองไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไร กระทั่งวันที่ลูกไม่อยู่แล้ว พ่อถึงได้เข้าใจทุกอย่าง”

“พ่อไม่โกรธผมจริง ๆ ใช่ไหม”

“สกายคือความภาคภูมิใจของพ่อนะ...”

คำ ๆ เดียวที่ผมเฝ้ารอฟังมาทั้งชีวิต ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินมันออกมาจากปากของพ่อ แต่วันนี้เขาพูดมันออกมาอย่างง่ายดาย ประโยคสั้น ๆ เหมือนปลดล็อกความกลัวใจของผมทิ้งจนหมดสิ้น ที่ผ่านมาผมเคยทำร้ายตัวเองด้วยการโทษตัวเองซ้ำ ๆ อยู่บนความไม่เข้าใจ และขาดความรู้

แต่วันนี้ผมเป็นความภูมิใจของเขา แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว...

เราทั้งคู่ลงมาชั้นล่างด้วยสภาพดวงตาแดงก่ำด้วยกันทั้งคู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผ่านการเสียน้ำตากันมาอย่างหนักหน่วงแค่ไหน

“ไงคู่นี้ดีกันแล้วล่ะสิ” แม่ว่า

“ไม่ได้โกรธกันสักหน่อย...เนอะพ่อ” พ่อไม่ได้ตอบกลับ เพียงแค่โยกหัวผมไปมา

“เอ่อ พ่อ... นี่จำอชิตะได้ไหม เพื่อนของเจ้าสกายน่ะ”

“สวัสดีครับคุณลุง” อชิตะยกมือขึ้นไหว้

“โอ้โฮ...มันโตแล้วสูงกว่าสกายอีกแหนะ เมื่อก่อนตัวนิดเดียว เดินตามสกายต้อย ๆ”

หึ! ตอนนี้เป็นผัวผมแล้ว พัฒนาแบบก้าวกระโดด -,,-

“แฟนเจ้าสกายมันแหละ” ผมชะงักไปครู่หนึ่ง หันไปมองหน้าแม่เพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาตรง ๆ

“...” พ่อพยักหน้ารับ “ฝากดูแลลูกพ่อด้วยล่ะ...”

ผมฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาว ในชีวิตนี้ผมไม่เคยยิ้มกว้างขนาดนี้มาก่อน พ่ออาจจะยังไม่ชินที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย เลยทำตัวไม่ถูกต้องให้เวลาเขาอีกสักหน่อย


สงสัยผมต้องพาอชิตะมาหาพ่อบ่อย ๆ ถึงตอนนั้นผมเชื่อว่า พ่อจะรักอชิตะไม่ต่างจากที่ผมรักเขา

เราทั้งสี่คนนั่งทานอาหารกัน และพูดคุยกันอย่างครื้นเครง บรรยากาศเหล่านี้ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ถึงจะช้าหน่อย แต่ครั้งหนึ่งเราก็ได้ใช้ความสุขร่วมกัน

ช่วงค่ำแม่ยกเค้กก้อนใหญ่ออกมา เราร้องเพลงฉลองกันตามธรรมเนียม เพลงจบก็รอให้พ่ออธิษฐานแล้วจึงเป่าเทียน

ผมหยิบกล่องของขวัญที่เตรียมมาส่งให้เจ้าของวันเกิด เขารับไว้ก่อนจะแกะออกดู ตอนแรกก็โดนดุนิดหน่อยเพราะเอาเงินไปซื้อของราคาแพง แต่สุดท้ายพ่อก็รับเอาไว้

ท่านอวยพรให้ผมกับอชิตะมีความสุขด้วยแหละ...



เมื่อคืนนเรานอนค้างกันที่บ้าน แล้วกลับในตอนเช้ามืดของอีกวัน ระยะทางจากบ้านไปคอนโด
ฯ ค่อนข้างไกลพอสมควร ถ้าอชิตะไม่มีงานเช้า ผมเองก็อยากอยู่ต่ออีกสักวัน

“อชิพาสกายกลับมาเยี่ยมพ่อบ่อย ๆ บ้างล่ะ”

“ได้ครับคุณพ่อ”

แหม...นั่งเล่นหมากรุกด้วยกันคืนเดียว เป็นพ่อเป็นลูกกันซะแล้ว

“ขับรถกลับกันดี ๆ สกายก็อย่าดื้อกับอชิให้มากละ”

“ผมไม่ดื้อสักหน่อย” อชิตะต่างหาที่ดื้อ พ่อจะไปรู้อะไร แต่ละคืนผมต้องเจอกับอะไรบ้าง

อันหลังผมคิดในใจกลัวพูดออกไปแล้วพ่อจะช็อกซะก่อน อีกอย่างผมสมยอมเองนี่นา พูดไปก็มีแต่จะโดนด่าซ้ำ

“ไป ๆ เดี๋ยวจะสาย”

“สวัสดีครับคุณพ่อ สวัสดีครับคุณแม่” อชิตะยกมือขึ้นไหว้

“ผมไปก่อนนะคุณนาย ผมไปก่อนนะครับพ่อ ไว้ผมจะมาหาบ่อย ๆ”

“เออเอาเถอะ แค่รับสายกันบ้างก็ดีใจแล้ว”

“ค่าบบบบบบบบ รับทราบแล้ว”

ผมรับปากกับพ่อเสร็จก็กระโดดขึ้นรถทันที อชิตะสตาร์ทเครื่องยนต์ แล้วเคลื่อนตัวออกสู่ถนนกว้างในเวลาต่อมา ผมหันไปมองอชิตะระหว่างขับรถแล้วคิดอะไรเพลิน ๆ ช่วงที่รถไม่เยอะ อชิตะจะมองตอบกลับแล้วอมยิ้ม

“มองอะไร อยากลองในรถหรือไง”

“บ้าเหรอ เธอคิดแต่เรื่องหื่นจริง ๆ”

ทีอยู่ต่อหน้าพ่อกับแม่ผมนะ เรียบร้อยยิ่งกว่าผ้าผับไว้เสียอีก

“แล้วมองอะไรล่ะครับคุณนาย”

“มองแฟนตัวเองไม่ได้เหรอครับคุณผู้ชาย”

“ได้สิครับ แต่แค่มองเองเหรอ” ว่าจบเขาก็ป่องแก้มจนพองลม ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แล้วฝังจมูกลงที่แก้มไว้สักพักก็ผละออก

ชีวิตผมแฮปปี้ แบบแฮปปี้ขั้นสุด มันดียิ่งกว่านิยายฟีลกู๊ดเสียอีก เพื่อนเอย ครอบครัวเอย ไหนจะแฟนที่ขี้อ้อนเหมือนแมวยักษ์นี่อีก

เฮ้อ~ แบบนี้สกายก็ฟินตายเลยล่ะ :’)











#แฟนwithbenefits



แล้วเจอกันบทส่งท้ายนะครับ ผมจะลงวันนี้พยายามจะไม่ให้ดึกมากน้า


รัก <3



ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ





-กำลังทยอยแก้คำผิด-

ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0
Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT -The End-
«ตอบ #51 เมื่อ22-09-2021 03:48:39 »

แฟน║FRIEND WITH BENEFIT

บทที่

-24-

Happy Ending


เอ้า ฮา เฮ่ ฮา เฉยช้าอยู่ไย

เอ้า ฮะ ฮ่ะ ไฮ้ ใครต่อใคร เขาร้ายทั้งนั้นน่ะ

เอ้า ฮิ ฮิ ฮิ ดูให้ดีเขาลีลาศกัน

ยักแย้ แย่ยันเห็นเขาเต้นกันเสียวซ่านอุรา

โอ้ โห โอ้ โห โย้เย้โยกไป

เอ้า ฮะ ฮ่ะ ไฮ้ ใครต่อใครย้ายยักควักคว้า

เอ้า ฮิ ฮิ ฮิ ดูให้ดีเขามีใหม่มา

เอ้า ฮ้า เอ้า ฮาเขาลีลาศพาคู่คราคล้อยไป

*เพลงเริงลีลาศ - สุนทราภรณ์



งานเลี้ยงรุ่นปีนี้ใครเขาเลือกเพลงวะ เอาซะนึกถึงมอหกตอนที่ครูนงนุชสั่งให้จับคู่เต้นลีลาศ เต้นไปเหยียบตีนเพื่อนไป รองเท้าผ้าใบสกปรกมันทุกวันศุกร์

แต่เสียงเพลงที่ได้ยินนั้นผมไม่ได้ยินเองที่งานหรอก เพราะมันดังมาจากสายของคนที่โทรตามอยู่ตอนนี้...

แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก


ผมขบฟันแน่นพยายามเก็บเสียงหายใจเหนื่อยหอบ เพราะกลัวคนในสายจะได้ยิน

[สกาย! มึงได้ยินกูเปล่าเนี่ย]

“อะ!...ได้ยิน”

[มึงจะมากันได้หรือยัง กูรอนานแล้วนะ งานก็เริ่มมาจะเป็นชั่วโมงแล้ว]

“อชิ!” ผมกำหมัดแน่น เพราะต้องเก็บกลั้นเสียง ร่างกายก็สั่นสะท้าน ไหวขึ้นลงตามแรงโหมกระแทก “กูกำลังไปแค่นี้นะ” ผมรีบกดตัดสาย ก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดไปมากกว่านี้

“อ๊ะ...อ๊า อชิรีบปล่อยสักที นิวรออยู่ อ๊า...”

“ครับคนดี พร้อมกันนะ” ว่าจบเข้าก็สวนสะโพกเข้ามาจนสุด ขาทั้งสองสั่นจนแทบไม่มีแรงยืน

ต้นเหตุมันเริ่มจากคนคิดธีมงานเลี้ยงรุ่นปีนี้อยากย้อนวัย กลับไปสิบแปดอีกครั้ง ธีมงานปีนี้จึงให้ใส่ชุดนักเรียน

พอผมแต่งตัวเสร็จยังไม่ทันก้าวขาออกจากประตูห้อง ผมก็โดนอชิตะลากมาย้อนวัยที่หน้าประตูห้องนอน เสื้อนักเรียนที่รีดจนเรียบกริบยับเยินไม่มีชิ้นดี สภาพผมตอนนี้ไม่ต่างกับคนโดนข่มขืน

“อชิจะเสร็จแล้ว เร็วอีก อื้อออ เข้ามาลึก ๆ อะ!”

“ปล่อยเลย” สิ้นสุดคำรื่นหู ผมก็ปล่อดปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นออกมา

แม่งเปื้อนประตูห้องเรียบร้อย...

อชิตะขยับเข้าจนลึกสุดโคน จุกไปทั้งช่องท้อง ขยับถี่อีกสองสามครั้งเขาก็ปลดปล่อยออกมาจนรู้สึกอุ่นในช่องท้อง

ของเหลวสีขาวไหลเลอะเปรอะขาเหนี่ยวไปหมด “ต้องอาบน้ำใหม่เลย” ผมหันไปบ่นอุบอิบ ถอดเสื้อนักเรียนออกแล้ว เดินเข้าห้องน้ำด้วยสภาพเปลือยเปล่า ยิ่งอยู่ด้วยกันนาน ความเขินอายก็มีน้อยลงไปทุกวัน

“ไม่งอนนะคนดี เดี๋ยวเข้าไปช่วยเอาออกให้”

“ไม่ต้องมาพูดเลย พอเอานิ้วแหย่เข้ามา เดี๋ยวเธอก็มาแข็งชี้หน้าอีก วันนี้จะได้ออกจากห้องไหม!” บ่นจบเขาก็ทำหน้าหงอย เดินออกไปจากห้องน้ำ “จะไปไหน!”

“ไปใช้ห้องน้ำข้างนอกไง ก็เธองอนเค้า”

“ไม่ต้อง...อาบด้วยกันนี่แหละ”

สุดท้ายผมก็แพ้เขาอีกตามเคย พอบอกให้อาบด้วยกันเขาก็ยิ้มร่า เดินดุ่ม ๆ เข้ามาสวมกอดผมทันที

เราใช้เวลาอาบน้ำด้วยกันไม่นาน เพราะอาบน้ำกันจริง ๆ ยังต้องออกมารีดเสื้อนักเรียนยับ ๆ นี่อีก

ใช้เวลากันพอสมควร เราก็ได้ฤกษ์ออกจากห้องเสียที เราใช้เวลาบนถนนไม่นานเท่าไหร่ เพราะขึ้นทางด่วน มาถึงผมก็ตรงไปยังโต๊ะลงทะเบียนเขียนชื่อตัวเองกับชื่ออชิตะ แล้วเดินเข้ามาในงาน นิวมารออยู่ก่อนแล้วเห็นผมเลยรีบวิ่งเข้ามาหา

“มาโคตรช้ามั่วเอากันอยู่หรือไง” ผมถึงกับสะอึก รู้ว่ามันแซวเล่น แต่มันเรื่องจริงไง

“ก็มาแล้วนี่ไง มีอุบัติเหตุนิดหน่อย”

“แล้วเป็นอะไรมาหรือเปล่า”ปวดเอวมาก โดนโยกจนไม่รู้ว่าตะโพกครากแล้วหรือยัง

“ไม่เป็นไรมึง” ยิ้มอ่อน

“เออก็ดี งั้นมึงอยู่กับอชิก่อน เดี๋ยวเอาเครื่องดื่มมาให้”

“ขอบใจมากมึง”

นิวเดินหายไปในกลุ่มคน ผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียงอชิตะหัวเราะรวนจนน่าหมั่นไส้ ผมเลยใช้ศอกกระทุ้งท้องเขาไปหนึ่งที

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย เพราะเธอมัวแต่ทำเรื่องทะลึ่งจนมาสายนะ”

“เห็นเธอใส่ชุดนักเรียนแล้วมีอารมณ์จะให้ทำไง” ว่าจบเขาก็แอบใช้มือลูบก้นผมอย่างแผ่วเบา

“งดมีเซ็กซ์มันสักระยะดีไหมเนี่ย”

“เธอทนไม่ได้หรอก”

"แสนรู้" ผมทำได้เพียงถอนหายใจทิ้ง เพราะมันจริงอย่างที่เขาว่า พอถูกลูบ ๆ คลำ ๆ หน่อย สุดท้ายผมก็ทนไม่ได้อยู่ดี แตะนิดเดียวเครื่องผมก็ฟิตสตาร์ทติดโดยไม่ต้องใช้น้ำมันไดเกียว

ยืนคุยกับอชิตะอยู่นานกว่านิวจะโผล่หัวมาผมก็คอแห้งพอ นี่ก็คงหายไปเพราะเพื่อนคนอื่นลากไปลากมาอีกแน่ นิวมันขึ้นชื่อเรื่องบุคคลสาธารณะ มันเครื่องดื่มสีหวานมา แล้วเราก็ยืนคุยกันต่ออีกไม่นาน อชิตะก็ถูกกลุ่มเพื่อนดึงตัวไป ผมไม่ได้รั้งเขาหรอก นาน ๆ ทีจะได้มาเจอกันนี่นะ

ไม่กี่นาทีต่อมา นิวก็โดนเพื่อนจากห้องอื่นดึงไป ทิ้งให้ผมยืนงงในดงงานเลี้ยงรุ่นที่ผมไม่ค่อยจะคุ้นกับใครเท่าไหร่นัก ในงานส่วนใหญ่ทุกคนมักจะชอบพูดกันถึงเรื่องอดีต ปีนี้เป็นปีที่สองที่ผมมา เมื่อปีก่อนผมถูกนิวลากให้มาเพราะเพื่อน ๆ หลายคนอยากเห็นหน้าหลังจากที่ผมเก็บตัวมาตลอดหลายปี แต่ก็เพราะวันนั้นถึงทำให้ผมได้มาพบกับอชิตะ...

"ซาหวาดดีคร่าบบบบบบบ" เสียงดีเจบนเวทีพูดเสียงดัง ไฟในห้องก็เริ่มมืดลง "เวลาที่ทุกคนลอยคอ เอ๊ย! รอคอยมาถึงแล้วววววว ขอเสียงคนที่อายุใกล้เลขสาม แต่ยังไม่มีแฟนหน่อยเร็ววววววววว" เสียงดีเจถามเท่านั้นแหละ เสียงโห่ร้องดังเซ็งแซ่รวมถึงผม จริง ๆ ผมไม่ได้โสดหรอก แต่แค่สนุกไปกับงานเฉย ๆ

"สกายใช่ไหม" เสียงของคนมาใหม่ว่า

"อะไรนะ" ผมเห็นหน้าเขาไม่ชัดเท่าไหร่ เพราะมันค่อนข้างมืด เสียงเพลงก็ดัง

"ใช่สกายหรือเปล่าครับ" คนตัวสูงโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู ผมถึงได้ยินว่าเขาถามอะไร

"ใช่ ทำไมเหรอ" ผมว่า

"เราชื่อนนท์ อยู่โรงเรียนนี้เหมือนกัน เราติดตามผลงานเธออยู่ ชอบลายเส้นของสกายมากเลย อยากติดต่อเรื่องงานขอคอนแทกต์ได้ไหม" ผมชั่งใจอยู่ครู่ ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะติดต่อเรื่องงานจริง ๆ หรือเรื่องส่วนตัว "ถ้าสกายไม่มั่นใจเอานามบัตรเราไปก่อนก็ได้" ผมรับนามบัตรของเขา แต่แค่รับไว้ก็ไม่ได้เสียหายนี่นะ

"อย่าลืมติดต่อมานะครับ" นนท์โน้มตัวลงมาบอกย้ำอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้โน้มตัวเข้ามาใกล้ เราทั้งคู่ก็ถูกฝ่ามือของใครบางคนจับแยกให้ออกห่าง

"คุยอะไรกัน จำเป็นต้องใกล้ขนาดนี้เลยหรือไง" อชิตะว่า

"เรื่องงานน่ะ ไม่มีอะไรหรอกครับ" นนท์หันไปตอบอชิตะ "แล้วอย่าลืมติดต่อมานะครับ" ว่าจบเขาก็เดินหายไป ทิ้งผมไว้ให้รับชะตากรรมที่เหลือ 

ผมยืนอยู่เฉย ๆ เองนะเว้ย T^T

"ใคร?" น้ำเสียงเย็นเหยียบถามเสียงนิ่ง

"ไม่รู้...เขาบอกว่าเขาชอบงานวาดอยากติดต่องานน่ะ" ว่าจบนามบัตรในมือผมก็ถูกอชิตะดึงไป 

"ไม่ต้องรับ เธอคนเดียวเราเลี้ยงได้"

"...ครับ" 

"กลับกันเถอะ ไม่อยากอยู่แล้ว" อชิตะว่า

"ได้ไง เพิ่งจะ..." เห็นสีหน้าเขาแล้วผมเองก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อเลยจริง ๆ

"พวกมึงจะไปไหน อย่าเพิ่งไป" เสียงไอ้ตัวดีโพล่งออกมา หลังจากหายหัวไปนาน พ่อคนสาธารณะ "ว่าจะชวนไปต่อกันข้างนอก ไปด้วยกันไหม"

"เอาไว้วันหลังนะ พรุ่งนี้กูมีงาน" ผมรู้ว่าอชิตะโกหกคำโต เพราะผมจำได้ว่าพรุ่งนี้เขาหยุด

"อะไรวะทิ้งกูกันหมด"

"เออกูไปก่อน" ว่าจบเขาก็ลากผมออกมา

ตลอดทางเราแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย จนกระทั่งผมเป็นฝ่ายชวนเขาคุยก่อน "เธอโกรธเราหรือเปล่าเนี่ย" ผมว่า

"เราจะโกรธสกายทำไม เธอไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย" ก็รู้นี่

"อ้าว...ก็เธอเงียบ"

"ไม่รู้สิ แค่หงุดหงิดตัวเอง เผลอแป๊บเดียวก็มีคนมาวอแวเธอแล้ว โมโหที่ตัวเองไม่ได้อยู่ตรงนั้น" ผัวหึงมันดีแบบนี้นี่เอง รู้สึกสวยที่สุดในโลกยังไงก็ไม่รู้

"อชิรู้ใช่ไหมว่าเราชอบอชิมานานแค่ไหน แค่ใครที่เราไม่รู้จักมาวอแว ไม่ทำให้เราไขว้เขวหรอกนะ"

"แวะเข้าโรงแรมก่อนได้ไหมเนี่ย" ผมหลุดขำพรืดกับคำพูดทีเล่นทีจริง คนกำลังดึงซีนซึ้ง แต่เขากลับดึงเข้าโรงแรม

"ตลก! ขับรถไปเลย วันนี้เราเหนื่อยมาก"

เราไม่ได้คุยอะไรกันอีกหลังจากนั้น จนกระทั่งผมเผลอหลับไประหว่างทาง รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกปลุกเพราะถึงคอนโดฯ ลองเป็นช่วงที่คบกันแรก ๆ สิ เขาอุ้มผมขึ้นห้องแล้วไม่ปลุกหรอก

ผมเดินตามหลังคนตัวสูงมาบนห้อง ขณะที่ผมกำลังถอดรองเท้าอยู่ อชิตะก็หันมาบอกให้ผมไปนั่งรอที่โซฟาก่อนอย่าเพิ่งเข้าไปนอน ผมเองก็ทำตามอย่างว่าง่ายถึงแม้จะง่วงแค่ไหนก็ตาม

ปุง! 

เสียงดังจากในครัวทำผมสะดุ้งโหยง คราวนี้ผมตื่นเต็มตาทันที หันกลับไปมองเห็นเขากำลังเปิดขวดแชมเปญอยู่ นี้เรากำลังจะฉลองอะไรกัน...

ผมสาวเท้าเดินตรงไปยังโซนครัว อชิตะกำลังรินเครื่องดื่มใส่แก้วแชมเปญทรงสูง

"เด็กนักเรียนดื่มได้ด้วยเหรอครับ" ผมเอ่ยปากแซวเพราะเราทั้งคู่ยังอยู่ในชุดนักเรียน

"ผู้ปกครองอนุญาตแล้ว" ว่าจบเครื่องดื่มก็ถูกส่งมา ผมรับไว้ แล้วมองทุกการกระทำของคนตัวสูง อชิตะเดินไปเปิดผ้าม่านระเบียงห้อง แล้วเดินกลับเข้ามาปิดไฟ โซฟาตัวใหญ่ที่เราชอบใช้นั่งดูหนังด้วยกันถูกหันออกไปทางหน้าระเบียง 

"มานั่งนี่สิ"

ผมหย่อนสะโพกลงนั่งในส่วนพื้นที่ที่เหลืออยู่ เอนแผ่นหลังแนบลงกับแผ่นอกของคนตัวใหญ่กว่า ผมทำทุกอย่าง อย่างคุ้นชิน เพราะเราทำแบบนี้อยู่เป็นประจำ

อชิตะชอบให้ผมมานั่งแบบนี้ ก่อนจะตะโบมพรมจูบทั่วทั้งหน้า กอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างมันเขี้ยว

"เราฉลองกันเนื่องในโอกาสอะไรเหรอครับ" ผมว่า

"ครบรอบหนึ่งปีไง" 

"หืม?" ผมชันตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อหันกลับไปมอง ครบรอบหนึ่งปีอะไรกัน เราเพิ่งจะคบกันมาได้สี่ห้าเดือนเอง จำผิดคนหรือเปล่าเนี่ย

"หึ ก็วันนี้เมื่อปีที่แล้วเราได้เสียกันนี่"

ให้ตายเถอะ! คู่อื่นเขาครบรอบหนึ่งปีที่คบกัน คู่เราครบรอบหนึ่งปีที่ได้เสียกัน ต้องเป็นคนยังไงนะ ผมทุบอกคนพูดเบา ๆ ไปหนึ่งที่ ข้อหาทำให้ผมหมั่นไส้

"วันนั้นอชิข่มขืนเราเถอะ" ผมว่าไปตามจริง

"ให้พูดใหม่..."

"อะไร?"

"เราไปข่มขืนเธอตอนไหน" 

แหมมมมมมมม...ย้อนกลับไปอ่านอารัมภบทสิฟะ!

"นี่ ๆ ลืมเหรอต้องโกรธไหมเนี่ย" ผมว่าพลางจิบเครื่องดื่มในมือ "ตื่นขึ้นมาเราก็เห็นอชิจับเราแก้ผ้า ขึ้นขี่เราขนาดนั้น จะให้คิดไง"

"จะบ้าเหรอ เธอนั่นแหละยั่วเรา อย่าบอกนะว่าจำอะไรไม่ได้เลย?"

"..." เชี่ยล่ะ! ผมเริ่มนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์วันนั้น เท่าที่จำได้ผมตื่นขึ้นมาเพราะหนาว แล้วก็ถูกจับกด

"ไม่ต้องนึกแล้วเดี๋ยวเล่าให้ฟัง" ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ในใจยังคาดหวังว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรที่เรียกว่ายั่วแน่นอน "คืนนั้นเธอนอนดิ้นมาก แถมยังถอดเสื้อผ้าตัวเองออกตอนไหนก็ไม่รู้ อยู่ ๆ ก็มากอดเราแล้วก็จูบเราเฉยเลย จากนั้นเธอก็เอามือล้วงเข้ามาในกางเกงเรา แล้วก็-" 

"พอไม่ต้องเล่าต่อ" ผมรีบร้องห้าม เพราะทนฟังไม่ได้ สุราเป็นเหตุจริง ๆ ตอนนั้นผมแค่คิดเองนะเว้ยว่าจะกอดหรือไม่กอดดี ไม่คิดว่าตัวเองจะกอดเขาจริง ๆ แถมยังไปแก้ผ้าตอนไหน

"น่ารักดีออก" 

น่ารักกับผีสิ!

"ไม่ต้องพูดเลย น่าอายชะมัด" เสียงอชิตะหัวเราะรวน ผมล่ะหมั่นไส้เขาจริง ๆ ที่ผ่านมาผมคิดว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำมาตลอดแท้ ๆ ไม่น่าเปิดประเด็นเลย แล้วผมถอดเสื้อตัวเองทำไมกัน ร้อนเหรอ หรือไฟร่านมันแผดเผาจนทนไม่ไหว 

นังสกายแกมันนังใจง่าย!!!

แล้วไอ้นิวตัวดีก็เป็นคนคิดให้ผมได้นอนกับอชิตะ ทั้งที่รู้ว่าเวลาผมเมาชอบเผลอไปจูบคนอื่น อย่าให้เจอนะ แม่จะฟาดหลังแอ่นติดฝา

"กรุงเทพฯ มองไม่เห็นดาวเลยเนอะ" เสียงทุ้มกอดกระชับวงแขน ก่อนจะพรูดลมหายใจอุ่นยาว ๆ

"มีสิเห็นไหมกะพริบใหญ่เลย"

"นั้นมันเครื่องบิน!" 

"รู้นา" ผมว่าเอินหยอก "มีคนเคยบอกเราว่า ถึงจะมองไม่เห็น แต่ดาวก็ยังลอยคู่กับท้องฟ้า"

"ใครเหรอ..." เขารู้ แต่เขาก็ยังถาม

"กิ๊ก" สิ้นสุดคำว่ากิ๊ก ผมก็โดนเขาช้อนหน้าขึ้นรับจูบ ฟันขาวครูดริมฝีปากจนได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้งในปาก

"รางวัลของคนปากเก่ง"

"..." ผมได้แต่นั่งกะพริบตาปริบ ๆ ในความมืด มันก็เจ็บนั่นแหละ แต่ก็ถึงใจอยู่นะ

นั่งได้ไม่ถึงนาทีผมก็ถูกดันให้ลุกขึ้น "นั่งอยู่นี้ก่อน" ว่าจบเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องนอน ผมนั่งจิบแชมเปญที่เหลือจนหมด ไม่นานเขาก็เดินกลับมา ทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า 

ขอแต่งงานเปล่าเนี่ย จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ให้ก็แล้วกัน...

"นี่คุณท้องฟ้า"

"0.0" 

ท้องฟ้า?

"ผมขอเป็นดาวได้ไหม ผมอยากอยู่ข้าง ๆ คุณตลอดไม่ว่าจะตอนที่มองเห็นหรือมองไม่เห็น" ว่าจบเขาก็ยื่นขวดโหลอะไรสักอย่างส่งมา

"จำนวนดาวในโหลคือจำนวนวันที่ผมชอบคุณ จริง ๆ ตั้งใจจะพับไปเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายมันก็ถึงวันที่เราต้องตัดใจ และหยุดพับมัน"

"..." ผมมองดาวนับร้อยดวงในโหล ที่ผ่านมาผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า มีคนคนหนึ่งชอบผมมากถึงเพียงนี้

"มันมีอีกโหล แต่อาซาเด็กมากเลยเผลอทำมันตกแตก ผมเก็บที่เหลือไว้เป็นอย่างดี หวังว่าสักวันหนึ่งมันจะได้มาอยู่กับเจ้าของของมัน"

"..."

"ตอนนี้มันเป็นของคุณแล้ว ท้องฟ้าของผม" ว่าจบเขาก็จับข้อเท้าผมขึ้นมา วินาทีนั้นหัวใจผมเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ เขาโน้มใบหน้าคมกดริมฝีปากลงจูบฝ่าเท้าของผมอย่างแผ่วเบา จะบอกว่าไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้กับผมเลยมันก็ใช่ เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ผมเฝ้ารอมาตลอด ถึงแม้ปากผมจะพูดว่าเลิกชอบเขาไปแล้วก็ตามแต่ คนที่รู้ทุกอย่างดีที่สุดคือตัวผมเอง

ไม่ว่าจะตอนนี้ หรือตอนไหน คำตอบของผมก็ยังเป็นอชิตะเสมอมา

ในตอนที่เรายังเด็ก ผมรู้สึกว่าอชิตะเหมือนดาวบนท้องฟ้า สวยงามแต่ไม่อาจเป็นเจ้าของได้ มาวันนี้ผมรู้แล้วว่า เขาเป็นดาวจริง ๆ แต่เป็นดาวที่อยู่ข้าง ๆ ท้องฟ้ามาโดยตลอด ทั้งในตอนกลางวัน และตอนกลางคืน

ถึงแม้งบางครั้งผมจะมองไม่เห็นด้วยตา แต่ก็รู้ได้ว่าเขามีอยู่จริง...

"อชิตะเป็นของสกาย"

.

.

.

The End









#แฟนwithbenefits



ในที่สุดเรื่องราวทั้งหมดก็มาถึงตอนจบ Happy Ending ครับ

รัก<3

ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ







-กำลังทยอยแก้คำผิด-

ออฟไลน์ -Piagpun-

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-0

จากใจนักเขียน ถึง นักอ่าน

สวัสดีครับ >.< นั้นเป็นคำกล่าวทักทายที่ดีที่สุด จริง ๆ เรายังไม่เคยแนะตัวอย่างเป็นทางการสักที วันนี้ก็เลยขออนุญาตใช้พื้นที่นี้แนะนำตัวอย่างทางการเลยแล้วกันนะครับ

-เปียกปูน- แท้จริงแล้วเป็นแมวครับ น้องเป็นแมวตัวแรกของผมเอง

ส่วนตัวนักเขียนเองชื่อ 'เพื่อน' มันก็ค่อนข้างแปลกกว่าชื่อแมวหน่อย 55555+ อายุ... ไม่พูดดีกว่า เป็นค่อนข้างข้างอบอุ่น ถ้าช่วงไหนน้ำหนักขึ้นจะเปลี่ยนจากอบอุ่นเป็นอ้วนครับ

ช่องทางการติดต่อทั้งเฟซบุ๊ก และ ทวิตเตอร์ ใช้ชื่อเปียกปูนหมดเลยครับ ว่าง ๆ ก็แวะเข้าไปทักทายได้ครับ แต่อย่าด่าผมนะ ผมใจบาง TT0TT

ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักนักอ่านทุกคนนะครับ

 

มาต่อกันที่เรื่องนิยายดีกว่า

ในที่สุดตอนนี้ แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT ก็มาถึงตอนที่ลงท้ายด้วยคำว่า The End เป็นเรื่องที่สามของนามปากกา -เปียกปูน- ก็ยังคิดเหมือนเดิมว่ามันไม่ใช่นิยายที่ดีที่สุด แต่เราเองก็จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ผิดพลาดประการใด ต้องขออภัย เจ้าป่าเจ้าเขา พระแม่ธรณี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดให้อภัยลูกช้างด้วยนะครับ

พล็อตเรื่องมันเริ่มต้นที่วันดีคืนดีนักเขียนเหงาหงอย และเปล่าเปลี่ยว เลยลองกดแอปพลิเคชันที่ขึ้นต้นด้วยทิน ลงท้ายด้วยเดอร์ (ผมไม่ได้โฆษณานะ) ลองเล่นอยู่หลายวัน ส่วนใหญ่จะเจอแต่พวกความสัมพันธ์ที่เรียกว่า FWB หรือ Friends With Benefits ตอนนั้นเกิดคำถามมากมาย แล้วตู้ม!!! ลบแอปฯ ทิ้ง แล้วเขียนนิยายดีฟ่า แค่นั้นแหละครับ ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากเล่าเฉย ๆ 55555+

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกการกดใจ กดหนังสือเข้าชั้น หรือแม้แต่ยอดโดเนทของทุกเรื่องทุกคนนะครับ มันเป็นกำลังใจเล็ก ๆ ในวันที่หมดไฟจริง ๆ อาจจะมีหายไปบ้าง ก็ยังมีคนเข้ามาถามไถ่ ทำให้รู้ว่ายังมีคนรออ่านนิยายของเราอยู่ ผมมีความสุขมากเลยนะ

มีบางคนถามว่าผมเสียเงินไปโดยไม่ได้อะไรกลับมาเพื่ออะไรกัน (ค่าปกนิยายเอย ค่าเน็ต ค่าไฟ บลา ๆ) ผมตอบเสมอว่า ผมมีความสุขกับการเขียนจินตนาการที่อยู่ในหัวออกมาเป็นตัวหนังสือ มีความสุขทุกครั้งที่มีคนอ่าน แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วจริง ๆ

รักนักอ่านทุกคนครับ หวังว่าเราจะได้เจอกันในเรื่องถัดไป

สวัสดี <3

 

 

'เพราะนักอ่านคือกำลังใจของนักเขียนทุกคน'

 


ป.ล.ตอนพิเศษผมจะลง 1 ตอน แค่ใน readAwrite


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด