พิมพ์หน้านี้ - แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [จบแล้ว]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: -Piagpun- ที่ 20-08-2021 03:06:38

หัวข้อ: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 20-08-2021 03:06:38
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

********************************************
Share This Topic To FaceBook
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 20-08-2021 03:26:56

แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

(https://hosting.photobucket.com/images/i/fiewmingming/600.jpg?width=450&height=278&crop=fill)

"ธรรมชาติของนิยาย เป็นเพียงแค่เรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น ตัวละครและบทบาททั้งหมดเกิดจากจินตนาการของนักเขียน"

 

 
มอง มองเธอมาแสนนาน

ฉันไม่กล้า ต้องคอยหลบตาเธอเสมอ

กลัว สักวันหนึ่งถ้าเธอ รู้ว่าฉัน

ปิดบังความจริงอะไรเอาไว้

ความลับที่ฉันซ่อนไว้ ไม่เคยบอกใคร

จนอดใจไม่ไหว...

*เพลงความลับ – Pause

 

     เชี่ย… ใครแม่งเลือกเปิดเพลงวะ เสือกเปิดในงานเลี้ยงรุ่นอีก

     ฟังแล้วอยากวิ่งไปกลางวง แล้วตะโกนบอกหนุ่มน่ารักคนนั้นว่า ชอบนะไอ้สัด! ชอบมาแปดปีแล้ว กูไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรหรอก ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างด้วย ได้แต่มองมึงจากมุมตึก นั่งดูมึงไปคัดเลือกลีดฯ มองจากหลังหอประชุมตอนมึงเล่นละครเวที แอบถ่ายรูปตอนมึงเป็นดรัมเมเยอร์ เรียนหนังสือให้เก่งเพื่อไปสอบวิศวะมหา’ลัยเดี๋ยวกับมึง แต่กูโง่ไง แต่ตอนนี้กูรู้แล้วว่า สิ่งที่ควรจะทำมากที่สุดและน่าจะทำมาตั้งนานแล้ว คือ เลิกชอบมึงสักที...

 
#แฟนwithbenefits

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

 

"ผมตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง กับคนที่แอบชอบมาตลอด 8 ปี"

 

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

 

เปิดเรื่อง 28//07//2021

 

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

 

-เปียกปูน-

 

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

อัปทุกวัน จันทร์ พุธ ศุกร์

หากไรท์หายไป หรือดองนิยาย ตามจิกไรท์ได้จาก Fackbook :: เปียก ปูน หรือจิ้ม ๆ ที่ลิงค์นี้ได้เลยจ้า แล้วแวะเข้ามาพูดคุยกันน้าาา :))

หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ 0 อารัมภบท
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 20-08-2021 03:31:44
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-0-

อารัมภบท



มอง มองเธอมาแสนนาน

ฉันไม่กล้า ต้องคอยหลบตาเธอเสมอ

กลัว สักวันหนึ่งถ้าเธอ รู้ว่าฉัน

ปิดบังความจริงอะไรเอาไว้

ความลับที่ฉันซ่อนไว้ ไม่เคยบอกใคร

จนอดใจไม่ไหว...

*เพลงความลับ – Pause



เชี่ย… ใครแม่งเลือกเปิดเพลงวะ เสือกเปิดในงานเลี้ยงรุ่นอีก

ฟังแล้วอยากวิ่งไปกลางวง แล้วตะโกนบอกหนุ่มน่ารักคนนั้นว่า ชอบนะไอ้สัด! ชอบมาแปดปีแล้ว กูไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรหรอก ไม่ได้ทำอะไรสักอย่างด้วย ได้แต่มองมึงจากมุมตึก นั่งดูมึงไปคัดเลือกลีด มองจากหลังหอประชุมตอนมึงเล่นละครเวที แอบถ่ายรูปตอนมึงเป็นดรัมเมเยอร์ เรียนหนังสือให้เก่งเพื่อไปสอบวิศวะมหา’ ลัยเดี๋ยวกับมึง แต่กูโง่ไงเลยสอบไม่ติด แต่ตอนนี้กูรู้แล้วว่า สิ่งที่ควรจะทำมากที่สุดและน่าจะทำมาตั้งนานแล้ว คือ เลิกชอบมึงสักที...

เฮ้อ~ ไอ้สกาย มึงพอเถอะวะ

“ไงมึง มองอชิตาไม่กะพริบขนาดนี้ ยังไม่เลิกแอบชอบอยู่อะดิ” เชี่ยคนอุตส่าห์ไม่เอ่ยชื่อเขา ไอ้ห่านิวนี่มาถึงพูดชื่อให้ผมเจ็บแปล๊บเลย

“คนจริงเขาไม่แอบชอบกันหรอก แมน ๆ เดินไปบอกคลูกว่าเยอะ” เออแมน ๆ คลู ๆ แปดปีเอง

“ให้มันจริง” ผมไหวไหล่ไม่สนใจ ยกเครื่องดื่มในมือขึ้นมาจิบ “เชี่ย ๆ อชิเดินมา” ผมหันขวับตามมือเพื่อนรักอย่างไอ้นิวทันที

เหยดเข้! เดินมาจริงว่ะ

“มึง ๆ กูหล่อยังวะ” ปากก็ถาม มือก็จัดทรงผมให้เข้าที่

“ห่า แล้วบอกเลิกชอบ”

“กูแค่อยากดูดีในสายตาคนที่เคยแอบชอบปะละ”

“ไงนิว... ไม่เจอกันนานเลย” แทบกลั้นหายใจตอนที่ปากเรียว ๆ นั่นเปล่งเสียงออกมา แต่ที่น่าผิดหวังคือ เขาไม่ได้ทักผม!

“สบายดี อชิล่ะ ไม่เจอนาน น่ารักขึ้นเยอะเลยนะ” อย่างที่นิวว่าแหละ น่ารักฉิบหาย แต่ก่อนตัวนิดเดียว ดูตอนนี้ดิสูงกว่าผมนิดหนึ่งมั้ง มองจากหัวไหล่แล้วก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ อาจจะสูงกว่าสักสองสามเซนฯ

“สกาย!”

“ฮะ ๆ ว่าไงนะ”

“เราเรียกสกายหลายรอบแล้ว เห็นจ้องหน้าเราน่ะ”

“ช่วงนี้มันทำงานหนัก อชิไม่ต้องไปสนใจมันหรอก” สนสิไอ้สัด อยากคุยจนจะลงไปแดดิ้นกับพื้นอยู่แล้วเนี่ย

“ว่าแต่สกายทำงานอะไรเหรอ เงียบหายไปเลย”

“อะ...อ๋อ...ฟรีแลนซ์น่ะ” แล้วเสียงกูเป็นอะไรเนี่ย

“อ๋อ...” ตอบสั้นจังวะ มันจะจบแค่นี้จริงดิ

“แล้วอชิล่ะ ช่วงนี้ทำอะไรอยู่เหรอ” ผมเปลี่ยนเป็นถามกลับบ้าง

“เราช่วยงานที่บ้านน่ะ แต่ก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไหร่”

“อชิมีแฟนยัง” ไอ้สัดนิว! โพล่งออกมาไม่ดูเวล่ำเวลา คนกำลังคุยกันสนุ๊กกก สนุก!

“ยังเลย แต่ได้เจอคนที่ชอบแล้ว ไม่รู้ว่าเขามีแฟนหรือยัง”

“อยู่ในงานปะ” นิวถามต่อ

“ฮ่า ๆ อาจจะอยู่ หรือไม่อยู่ก็ได้” ตอบให้คนขี้เสือกอย่างผมเจ็บเล่น ๆ สินะ “เดี๋ยวเราขอตัวนะ เพื่อนเราเรียกแล้ว”

“โอเค” ผมมองตามแผ่นหลังคนตัวเล็ก ไม่สิ เคยเล็กเดินห่างออกไป

อชิตะยังเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม หรือท่าทางนุ่มนิ่ม แต่อาจเพราะคนเราต้องโตขึ้นละมั้ง เขาเลยดูเป็นผู้ใหญ่ เหมือนจะมีกล้ามอยู่หน่อย ๆ ด้วยแฮะ

พอก้มมองตัวเองแล้วก็เหม่อเลย... หนุ่มหุ่นลีนแหละมึง คิดบวกเข้าไว้ ถุย!!!

“สวัสดีเพื่อน ๆ ศิษย์เก่ารุ่นที่สี่สิบเก้าทุกคนนะครับ ไหน ๆ วันนี้เราก็ได้มาเจอกันแล้ว ก็... เมาโล้ดดดดดด” เสียงเพื่อน ๆ ทุกคนตะโกนโห่ร้องกันอย่างสนุกสนาน “ใครขับรถไม่ไหว เรามีบริการห้องพักไม่ต้องกังวลนะครับทุกคน เวลาต่อจากนี้ ท่านจะได้พบกับ กับ... ดีเจพี่แป๊ะ แอ๊ะ~ แอ๊ะ~” (เสียงเอคโค่)

แป๊ะไหนวะไอ้สัด ไม่เห็นจะรู้จัก

พรึ่บ!

ไฟในงานดับลง ก่อนที่ไฟเธคเลเซอร์จะสาดเข้าตา ควันดรายไอซ์ถูกพ่นออกมาจากมุมห้องจัดงาน

นี่มันผับขนาดย่อมชัด ๆ เสียงเพลงจากดีเจแป๊ะไหนก็ไม่รู้เปิดดังสนั่นจนบีบหัวใจ แต่นั่นกลับไม่ทำให้ผมรู้สึกรำคาญ ตรงกันข้ามมันทำผมสนุกไปกับเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปี ทุกคนทั้งเต้น ทั้งดื่มกันราวกับว่าเป็นวันปล่อยผี

ผมรู้สึกว่าชีวิตเหมือนถูกเติมเต็มอีกครั้ง ตั้งแต่ทำงานผมก็แทบไม่ออกจากบ้านเลย ทุกวันนี้นอนยังไม่ถึงห้าชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ

“ไอ้สกาย เมื่อกี้กูไปเม้าท์กับพวกแจมมา”

“กูก็ว่าหายไปไหน ทิ้งกูเลยนะมึง ดึงกูมางานแล้วทิ้---” ยังไม่ทันได้ด่าต่อก็ถูกมันยกมือเบรกจนหัวทิ่ม

“มึงฟังกูก่อน คืองี้ แจมเม้าท์กันว่าอชิไม่มีแฟน”

“กูรู้แล้วปะ เขาก็พูดอยู่”

“โวยยยย ฟังกูให้จบสิวะ”

“’ โทษเพื่อน อะว่ามาไม่เด็ดกูด่า”

“อชิมันไม่มีแฟน แต่มันวันไนท์สแตนด์ไปเรื่อย ๆ เว้ย”

“แล้วไง คือจะมาตอกย้ำให้กูเจ็บเหรอ” ถ้าใช้บอกเลยว่าเจ็บกว่าตอนที่บอกว่ามีคนที่ชอบแล้วซะอีก

“ไอ้ฟาย มึงก็ลองไปคุยสิวะ ไม่ได้คบแต่ได้โบ๊ะบ๊ะก็ยังดี”

“ความคิดมึงมันเหี้ย กูชอบเขาอยากได้เป็นแฟน กูไม่ได้อยากวันไนต์สแตนด์ รู้จักปะแฟนอะ แฟนนนนน” ผมลากเสียงยาวจนยานย้ำชัด ๆ ถ้าจะหาแค่คู่นอน ผมหาใครก็ได้

“มึงเคยมีหรือไง ถึงรู้จักแฟนนนนนนนนนน”

ไอ้สัด! แฟนกระแทกหน้า

อย่าว่าแต่แฟนเลย ทุกวันนี้ยังเวอร์จิ้นด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่าแอบรักจนไม่เอาใครนะ แต่มันไม่มีไง แค่เวลาจะใช้มือช่วยตัวเองยังไม่พอ

ผมไม่ปฏิเสธสิ่งที่ไอ้นิวว่า แต่ก็ไม่ตอบด้วยเช่นกัน เครื่องดื่มในมือถูกยกรวดเดียวจนหมดเพื่อย้อมใจ

แด่ค่ำคืนนี้ แด่ชีวิตอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง!

แดก...



เหี้ยภาพตัดแดกไม่ดูสังขาร...

“เออให้มันนอนนี้แหละ”

ร่างผมกำลังถูกใครสักคนแบกมาวางไว้บนเตียงอย่างไม่ถนอมนัก ผมเมาจนไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ทำได้เพียงฟังเสียงคนอื่นพูดคุยกัน

“แล้วไอ้อชิล่ะ” เดี๋ยวอชิไหน อชิรวิชย์ห้องห้า หรืออชิตะห้องผม

ได้แต่คิดทุกอย่างในใจ เพราะไม่มีเรี่ยวแรงจะเปล่งเสียงออกมา ภาพตรงหน้าก็พร่าเบลอไปหมด โลกยังหมุนเอียงจนรู้สึกมึนหัว

“ก็ให้มันนอนกับไอ้สกายนี่แหละ ไอ้นิวมันบอกเอาไว้”

“แล้วไอ้นิวไปไหนวะ ไม่เอาเพื่อนมันไปด้วย” เออนั้นสิ ทิ้งกันได้ลง

“เห็นมันไปต่อ ข้างนอกกับพวกไอ้เจได”

“งั้นก็ให้อชินอนกับเพื่อนมันนั่นแหละ” ฮะ! นี่ผมจะได้นอนกับอชิตะเหรอ แอบกอดได้เปล่าวะ อี๊ดดดดดด

ฟุบ!

ที่นอนยุบฮวบตามแรง เพราะมีอีกคนถูกวางลงอย่างไม่เบามือ “ปิดไฟด้วย ด้วยพวกแม่งตื่นมาด่าอีกแสบตา” เสียงเอ๊ะอะก็กำลังเดินห่างออกไป หัวใจผมกำลังเต้นระส่ำ กลิ่นของคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ แม่งโคตรหอมเลย สรุปกอดได้ไหมวะเนี่ย...

กอด...

ไม่กอด...

กอด...

ไม่กอด...

ผมกำลังคิดทุกอย่างวนอยู่ซ้ำ ๆ สุดท้ายคำตอบที่ได้คือ นอน...

หลับแม่งล่ะ ผมง่วง ท่องวนไปมาแม่งเคลิ้ม!



ผมรู้สึกตัวอีกที่อาการมึนหัวก็ดีขึ้น แต่ผมกลับถูกความหนาวปลุกให้ตื่น ใจดำฉิบหายออกไปไม่คิดจะห่มผ้าให้หน่อยเหรอวะ เปลือกตาหนักพยายามปรือตาขึ้นมอง

สายตาเริ่มปรับโฟกัส ผมเห็นร่างของใครบางคนกำลังคร่อมทับตัวผมอยู่ วินาทีแรกผมเตรียมสวดมนต์ แม่ง! ผีแน่นอน แต่วินาทีต่อกลิ่นน้ำหอมคุ้นจมูกก็บอกผมว่าเขาเป็นคนไม่ใช่ผี

“ตื่นแล้วเหรอครับ” เสียนุ่มนิ่มกระซิบบอก ก่อนจะกดริมฝีปากลงที่ซอกคอ ฝ่ามือหนาลูบไล้เอวบางต่ำลงไปที่หน้าขา

“อื้ออ เดี๋ยวสิ อะ!” อชิตะใช้ฝ่ามือกอบกุมแกนกาย เนื้อตัวเราเบียดเสียดสัมผัสแลกเปลี่ยนความอบอุ่นผ่านผิวเนื้อ

ในตอนนั้นเอง ผมก็รู้ได้ทันทีว่า ไอ้อาการหนาวมันเกิดจากที่ร่างกายเปลือยเปล่า เสื้อผมหลุดออกจากตัวหมดทุกชิ้น

นี่ผมหลับไม่ได้สติขนาดที่ปล่อยให้คนอื่นถอดเสื้อผ้าออกหมดตัวขนาดนี้เลยเหรอวะ?

“เล็กจัง แต่ก็น่ารักดี” อชิตะว่า นี่ก็มาตรฐานชายไทยแล้วปะ เดี๋ยวรู้ ๆ ขอตั้งตัวลุกก่อน “สกายเคยหรือเปล่า” หมายถึงอะไรวะ หมายถึงเคยทำใช่ไหม

“เคย” ผมตอบออกไปทั้งอย่างนั้นเพราะกลัวเสียฟอร์ม

มา! ไอ้เสือตื่นแล้วโวย พร้อมละ เราจะทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณสัตว์ป่า...

ผมลุกชันตัวขึ้นขณะที่อชิตะกำลังนั่งทำอะไรบางอย่างอยู่ มันมืดแต่ก็พอเห็นได้ราง ๆ ว่าเขากำลังนั่งหาของในกระเป๋ากางกาง

แต่ยังไม่ทันได้จับกระต่ายตัวน้อยให้อยู่ใต้ร่าง ผมก็ถูกจับพลิกให้หันหลัง หมอนหนึ่งใบถูกนำมารองไว้ใต้ท้องเพื่อให้สะโพกลอยขึ้น

เฮ้ย... ท่ามันไม่แปลกไปหน่อยเหรอวะ!

ร่างกายสะดุ้งเฮือก... ช่องทางหลังสัมผัสกับของเหลวเย็นบางอย่าง ปลายนิ้วลูบวนอยู่พัก เขาก็ดันเรียวนิ้วแทรกเข้ามาจนสุดความยาว

มันไม่ได้เจ็บ แต่ความรู้สึกมันแปลกประหลาดและสับสนไปหมด จากนิ้วเดียวถูกเพิ่มเป็นสอง ความอึดอัดทวีคูณเป็นเท่าตัว

“อชิ... อึก!” มันเจ็บร้าวเมื่อนิ้วที่สามดันแทรกเข้ามา ผมพยายามหาจังหวะที่จะบอกอชิตะแล้ว แต่ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง มันเจ็บร้าวไปทั้งตัว

ไม่นานเขาก็ถอนเรียวนิ้วออก ผมได้แต่นอนหอบหายใจเอาอากาศเข้าสู่ปอด ก่อนจะถูกของแข็งดุดันที่ไม่ใช้นิ้วดันเข้ามา

“อชิ เดี๋ยว... อึก!”

โอ้โฮ! น้ำตาแตก ไหลลงเป็นน้ำตก เจ็บเหี้ยอะไรขนาดนี้ ยังไม่ตั้งตัว แม่ง! ดันเข้ามาได้ มันเจ็บยิ่งกว่าตอนที่ใส่นิ้วเข้ามาเสียอีก ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกัน มันอึดอัดจนอยากให้เอามันออกไป

“สกายอย่างเกร็งสิ เราใส่ได้แค่ครึ่งเดียวเอง” มึงเลิกพูดอ่อนโยนเดี๋ยวนี้เลยนะไอ้สัด แล้วแม่งครึ่งเดียวยังจุกขนาดนี้ สุดลำไม่ทะลุท้องออกมาเลยเหรอ

เข้าใจเลยว่าทำไมมันบอกว่าของผมเล็ก ผมได้แต่ร่ำไห้ ก่นด่าอชิตะในใจ “อย่าดิ้นสิครับ เดี๋ยวเจ็บนะ” ไม่ทันแล้วจ้า

ทั้งเจ็บทั้งแสบ ราวกับว่ามันกำลังจะฉีก ครั้งแรกของผมเป็นแบบนี้ได้ไงกัน...

“โอ๊ย! อชิเบาหน่อยเราเจ็บ อ๊าา...” เชี่ยไรเนี่ย มีแวบหนึ่งที่รู้สึกว่ามันเสียวจนมวนท้อง แต่นั่นก็ยังทำให้ผมพยายามขยับตัวออก เพราะอชิไม่ผ่อนแรงเลย ผมก็ดันปากดีบอกว่าเคยทำ ใครจะไปคิดว่าเคยแบบนี้กัน

“ชิ... ช้า หน่อย... อ๊ะ...! จุกท้อง” ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ อชิตะกระแทกกระทั้นเข้ามาแบบเน้น ๆ เป็นความรู้สึกชวนสติแตก เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวรู้สึกดีปะปนกันมั่วไปหมด

“เราบอกว่าอย่าดิ้นไง ถ้าบอกไม่ฟังจะโดนทำโทษแล้วนะ” น้ำเสียงที่เคยอ่อนนุ่ม ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงทุ้มต่ำ

เขาไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดเลยสักนิด ความนุ่มนิ่มที่หลงผิดมาตลอดแปดปีจบสิ้นแล้ว

“อชิเจ็บ อะ...” ฝ่ามือพยายามดันหน้าท้องแกร่งของอีกฝ่ายให้ขยับช้าลง แต่ทว่าเขากลับสวนสะโพกเข้ากระชั้นถี่กว่าเดิม “พอแล้ว อ๊า... จุก!” ผมร้องห้ามเสียงดัง ร่างกายชาหนึบไปทั้งตัว

อชิตะหยุดอย่างที่ว่า เขาถอนแกนกายใหญ่โตออก แล้วลุกไปจากเตียงไป ผมพยายามขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ความรู้สึกเจ็บร้าวก็วิ่งปราดไปทั้งตัว

เตียงนอนยุบฮวบลงอีกครั้ง ผมถูกจับให้นอนท่าเดิม ก่อนแขนทั้งสองจะถูกรวบไปไว้ด้านหลัง “อชิ... จะทำอะไร” ผมกำลังถูกผ้าหรืออะไรสักอย่างมัดข้อมือเอาไว้

“เตือนแล้วนะว่าอย่าดิ้น ถ้าดิ้นก็โดนแบบนี้แหละ”

“เดี๋ย--- อ๊ะ...!!” แกนกายถูกดันกลับเข้ามารวดเดียวจนสุดความยาว

นี่ผมโดนความสดใสของเขาหลอกล่อให้ตายใจ ก่อนจะถูกขย้ำจนนอนเละอยู่บนเตียง

ผมปล่อยให้เขาทำทุกอย่างที่อยากทำ ความรู้สึกเจ็บแสบถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ มันเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับความรู้สึกแปลกใหม่ ไม่ว่าจะข้างหน้าหรือข้างหลังผมก็ไม่เคยทั้งนั้นแหละ ครั้งแรกก็โดนทะลุทะลวงขนาดนี้เลยเหรอวะ

ไหนความอ่อนโยน...



“แกะมือเราได้หรือยัง” ผมนอนหอบเอาอากาศเข้าสู่ปอด หน้าท้องก็เหนียวเนอะเปรอะคราบน้ำที่เพิ่งปลดปล่อย

อชิตะแกะผ้าที่มัดมือออกให้เป็นอิสระ แต่ดีใจไม่ถึงนาที ของแข็งดุดันก็พุ่งพรวดเข้ามาอีกครั้ง ขาข้างหนึ่งถูกจับยกขึ้นพาดบ่าเอาไว้ ลำตัวถูกจัดให้นอนอยู่ในท่าตะแคงข้าง

เมื่อองศาได้ อชิตะก็เริ่มขยับสะโพกออกจนเกือบสุดอย่างเชื่องช้า แล้วดันกลับเข้ามารวดเดียว "อาาา~"  ของผมที่เหี่ยวไปแล้ว ก็เริ่มแข็งขึงคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง

แบบนี้ผมมีหวังตายแน่!

ช่องทางหลังรู้สึกแสบเป็นอย่างมาก แต่ข้างในกลับตอดรัดจนเสียวซ่านไปทั้งช่องท้อง ยอมรับว่าครั้งแรกผมไม่โอเคเลย แต่ครั้งที่สองต้องบอกว่ามันก็ไม่ได้แย่ แต่แม่งโคตรดีเลยวะ

จากคราวแรกที่หนาวจนขนลุก ตอนนี้ร้อนจนเหงื่อไหลซึมออกตามร่างกายเป็นเม็ด ผิวเนื้อที่เบียดเสียดกันจนตัวเราทั้งคู่เลอะไปหมด ผมปล่อยให้ตัวเองทำตามความรู้สึก เพราะไม่ว่าจะถูกอชิตะพาไปทางไหนก็รู้สึกดีไปซะหมด

"อื้อออ..."

ผมเริ่มไม่มั่นใจว่าคืนนี้เป็นคืนที่โหดร้ายสำหรับผม หรือมันเป็นคืนที่สุขสมกันแน่...



ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเราทำกันไปกี่ครั้ง ตื่นขึ้นมาอาการก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด จนกระทั่งเห็นเลือดที่เปื้อนผ้าปูที่นอน ผมก็มีอาการเจ็บแปล๊บไปทั้งตัว ขาที่ยืนอยู่สั่นผับ ๆ จนแทบล้มทั้งยืน

แปะ! ยังไม่ทันก้าวพ้นเตียงเท้าก็สัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่าง ก่อนจะก้มลงไปมองที่พื้น

เมื่อได้เห็นสิ่งที่เหยียบอยู่ เท้าก็เหมือนติดสปริงดีดออกทันที ถุงยางที่ใช้แล้วสามถุงมีน้ำเต็มปริบทุกอัน

โลกแม่งโหดร้ายกับผมมาก หลงคิดว่าเป็นโพเมียมาแปดปี ที่ไหนได้โพผัว ไม่พอยังเยเย่โหดเหมือนคนตายอดตายอยาก

แค่คิดก็รู้สึกมวนท้องน้อย แล้วทำไมต้องเสือกมาค้นพบความฟินตอนอายุยี่สิบสามด้วยวะ

“นั่งทำอะไร?”

“เชี่ย!!” ผมที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ ถึงกับสะดุ้งโหยง “ตกใจหมดเลย”

“นั่งดูผลงานอยู่เหรอ” ผมต้องรู้สึกยังไงต่อ “เฮ้ย!”

“อารายอีกกกกก” ผมหันไปแหว

“เลือด!” ก็เออดิ เห็นเมนผมหรือไง “ไหนสกายบอกว่าเคยไง” แหมทำเป็นตกใจ ทีเมื่อคืนกระซวกไม่ถงไม่ถามสุขภาพสักคำ

“หมายถึงเคยข้างหน้า ไม่เคยข้างหลัง” ผมก็ยังเลือกโกหกหน้าตายต่อไป

ถึงข้างหน้าจะยังไม่เคยใช้ แต่ข้างหลัง... เคยแล้วนะเคยเมื่อคืนเลย สด ๆ ร้อน ๆ

“ทำไมไม่บอกก่อน”

“ให้บอกตอนไหนอะ ตอนถูกเสียบเข้ามายังไม่ตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ” แม่งน้ำตาจะไหล ดูตาผมสิ บวมพอ ๆ กับตูดผมนั่นแหละ ฮ่อล~

“งั้นสกายไปอาบน้ำก่อนเถอะ ค่อยออกมาคุยกัน”

“...” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าห้องน้ำ ด้วยสภาพขาถ่าง ๆ

อนาถแท้...

สายน้ำเย็นฉ่ำไหลผ่านเรือนร่างอย่างเชื่องช้า มาคิดดูแล้ว นี่มันยิ่งกว่าฝันซะอีก เอาจริงเมื่อก่อนตอนที่มีโอกาสได้เรียนห้องเดียวกัน อชิตะเป็นคนที่ผมคุยน้อยที่สุด

แต่ดูตอนนี้สิ เมื่อคืนเราเพิ่งมีอะไรกัน ถึงแม้ผมจะโดนเสียบก็เถอะ ผมรู้สึกอยากรั้งเขาเอาไว้ ผมต้องการมากไปหรือเปล่า ผมควรทำยังไงต่อดี...

แกร๊ก!

ประตูห้องน้ำเปิดออก ผิวเนื้อสัมผัสกับความเย็นของเครื่องปรับอากาศ จนรู้สึกหนาวสั่น

“สกายตัวอุ่น ๆ นะ เราว่ากินยากันไว้ก็ดี” อชิตะใช้หลังมือแตะหน้าผากด้วยท่าทีต่างจากเมื่อคืนลิบลับ

“อืม...” ผมปล่อยให้เขาเข้าไปจัดการธุระของตัวเองในห้องน้ำต่อ

ส่วนผมเองก็เดินกลับมาที่เตียงเพื่อหาเสื้อผ้า ของที่กระจัดกระจายถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบ

เศษซากหายนะถูกเก็บลงถังขยะจนเกลี้ยง ผมหยิบเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นมาสวมให้เรียบร้อย ไม่นานนักรูมเซอร์วิสก็มาเคาะประตูเรียก

“ไม่ได้สั่งครับ” ผมว่าเพราะผมไม่ได้สั่งอาหารเช้าเอาไว้

“คุณอชิตะเป็นคนสั่งค่ะ ส่วนนี้ยาลดไข้” ผมพยักหน้ารับ และปล่อยให้พนักงานเอาอาหารเข้ามาวางไว้ในห้อง

อชิตะเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวจิ๋ว ปล่อยให้ท่อนบนเปลือยเปล่า พอเช้าแล้วผมก็เห็นทุกอย่างถนัดตากว่าเมื่อคืน

เออ... ก็พอจะเข้าใจ ถอดเสื้อมาหุ่นแม่งโซผัวสุด ๆ วีเชฟขึ้นเป็นไลน์เข้ากับรอยสักรูปดาวที่ยังไม่ลงสีไล่ระดับเล็กใหญ่ เรียงขึ้นไปตามแนวยาว

“อชิสักด้วยเหรอ”

“นี่สกายแอบมองเราเหรอเนี่ย”

“เปล่าสักหน่อย แต่สวยดีนะ ตอนสักเจ็บไหมอยากลองบ้าง”

“ไม่เจ็บ แต่ไม่ต้องสักหรอก” อะไรวะ ทีตัวเองสักได้ “กินสิสั่งมาให้ จะได้กินยา”

“ขอบใจนะ” ผมว่าก่อนจะตักข้าวต้มในชามใส่ปาก อชิตะก็นั่งจ้องทุกคำจนผมกลืนข้าวต้มไม่ลง “กินไหม มองเหมือนหิว” ผมว่าเอินหยอก

“จะเอายังไงต่อ” ผมแทบสำลักกับคำพูดของอชิตะ

“หมายถึง?”

“เรื่องเมื่อคืนไง” ถ้าบอกว่ามาเป็นผัวผมเถอะ จะยอมหรือเปล่าล่ะ ปัดโธ่!

แล้วคนอย่างไอ้สกายทำอะไรได้บ้าง

“ไม่เป็นไร ทำอย่างกับเราเป็นเด็กสาววัยขบเผาะไปได้ ฮ่า ๆ” หัวเราะทีสะเทือนไปทั้งม้ามเลยตู

นี่แหละสิ่งเดียวที่ทำได้ หัวเราะแห้ง ๆ แล้วบอกว่าไม่เป็นไร...

“จะเอางั้นจริงดิ...?” อชิตะหรี่ตามอง

“...” ผมวางช้อนก่อนจะนั่งครุ่นคิดว่าจะเอายังไง ก็ในเมื่อมันทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อคืนเราทั้งคู่แค่เมา อชิตะเองก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว ผมจะทำอะไรได้นอกจากเป็นเพื่อนเหมือนเดิม

เดี๋ยวนะ เพื่อนเหรอ?

เพื่อน...!!!

“เอางี้ปะละ เรามาเป็น *FWB กันไหม ไหน ๆ อชิก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว ส่วนเราเองก็ไม่ได้อยากมีแฟน วิน ๆ ทั้งคู่” เป็นความคิดที่แย่มาก สุดท้ายผมอาจจะกลายเป็นคนที่ต้องเจ็บ

มันเป็นคำพูดที่ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองถึงผลที่จะตามมา แต่ถ้าจะให้รั้งอชิตะไว้เฉย ๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง

“คิดดีแล้วใช่ไหม”

“อืม... ถ้าอชิไม่โอเค เราก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“งั้นก็ตามนั้น”

“ดีล” ผมยื่นมือขวาออกไป

“ดีล” อชิก็ยื่นมือขวาออกมารับ

เราทั้งคู่ตกลงปลงใจเป็น FWB ถึงแม้ใจผมจะอยากเป็นแฟนมากกว่าก็ตาม...





*FWB=Friend with benefits ความสัมพันธ์ที่มีเซ็กส์โดยยึดติดว่าเป็นแฟนกัน หรือเรียกได้ว่ามีเป็นคู่หูบัดดี้



#แฟนwithbenefits





กราบสวัสดีพ่อแม่ พี่น้อง ที่น่ารักทุกท่านไรท์กลับมาแล้ววววววววว

คิดถึงฟุด ๆ

เดี๋ยวจะอัปฯ เรื่อยนะฮับ

(-/\-)

-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -1-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 21-08-2021 23:24:42
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-1-

อยู่ดี ๆ ก็หายไลน์ไม่ตอบ



นี่ก็หนึ่งอาทิตย์แล้วที่อชิตะบอกผมว่าไปอาบน้ำ ไม่รู้ว่ายังอาบไม่เสร็จ หรือลื่นล้มในห้องน้ำหัวฟาดชักโครกไปแล้ว

หลังจากที่เราแยกกันวันนั้น ผมก็ไม่ได้เจออชิตะอีกเลย เส้นทางรักทำไมอุปสรรคต้องด้วยนะ ไหนจะคนที่อชิตะชอบ ไหนจะสถานะเพื่อนนี่อีก

แต่ก็เอาเถอะ สกายอึด สกายทนได้...

ติ๊งหน่อง~

ใครมันมาวะ คนกำลังดราม่า

“ค่าบบบ”

ติ๊งหน่อง~

“เออ... กำลังไปโวย หยุดกด!”

กดอยู่นั้น เดี๋ยวด่าจะหาสกายคนนี้ใจร้ายไม่ได้นะ...

ผมเดินไปเปิดประตูทั้งที่น้ำยังไม่อาบ สวมเพียงเสื้อยืดตัวโครงแสนเน่ากับกางเกงขาสั้นที่กำลังขาดแหล่ไม่ขาดแหล่ ถึงสภาพมันจะเน่า แต่มันก็เป็นตัวที่ใส่สบายที่สุด

ประตูเปิดออกเผยให้เห็นบุคคลที่ยืนหน้าสลอน ยิ้มกว้างจนปากฉีกถึงหู เพื่อนรักผมเองแหละ 'นิว' ไอ้นี่ก็อีกคน หลังจากงานเลี้ยงรุ่นจบมันก็หายหัว

“มีคีย์การ์ดห้องกูจะกดออดหาพระแสงเลเซอร์อะไร” ผมถาม ก่อนจะเปิดให้มันเดินเข้ามาเหมือนอย่างเคย “มาแต่เช้ามีไรวะ”

“กูลืมหยิบมาวะ’ โทษที แล้วอีกอย่างนะเพื่อนรัก แหกตาดูนาฬิกาด้วยสิบโมงกว่าไม่เรียกเช้า”

“จะกี่โมงก็เรื่องของกูนา... เอาเป็นว่ามี’ ไร” ผมถามย้ำ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งกับโซฟาตัวยาวอย่างเซ็ง ๆ

“เอาของมาส่ง” ของอะไรวะ เพราะผมเห็นมันเดินมาตัวเปล่า “มองขนาดนี้คิดอะไรกับกูเปล่าเนี่ย”

“มึงแค่จะมากวนตีนกู ถูกมะ!?”

“เมนไม่มาหรือไง หยอกนิดหยอกหน่อย...” ผมตั้งท่าจะด่ามันต่อ แต่ก็ถูกมันเบรกเอาไว้ “เดี๋ยว ๆ อย่าเพิ่งด่ากู กูเอาของมาส่งจริง ๆ แต่ก่อนส่งมอบกูมีคำถาม”

“...?”

“คืนนั้นมึงกับอชิ...” นิวว่า พร้อมกับยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาทำเป็นวงกลม แล้วใช้นิ้วมืออีกข้างแหย่เข้าไป

“คืนเลี้ยงรุ่น?” ผมถามย้ำเพื่อความมั่นใจว่าคืนเดียวกัน

“เออรีบตอบ ยังไง ๆ โบ๊ะบ๊ะปะ กูอุตส่าห์เปิดทางให้แล้วนา”

“อยากด่า... แต่ก็ขอบคุณ”

“ตอบแบบนี้แสดงว่า...” ไอ้นิวตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่ มันจะรู้ไหมว่าเพื่อนมันโดนกะซวก “ไอ้เสือมันร้ายวะ แบบนี้มึงก็มีเมียแล้วดิ”

“เมียเหี้ย’ ไรละ ผัว!”

“ฮะ!!!”

“ฮะเหี้ยอะไร โพผัวชัดมะ”

“นุ่มนิ่มแมนของกูโพผัว!” ทำเป็นตกใจ ผมที่อยู่ตรงนั้นตกใจยิ่งกว่านี้อีก “แบบนี้มึงก็... โดนเสียบ...บบ...บ” จะเอคโค่ให้ช้ำใจทำไมวะ

“เออ...!”

“ถามได้ไหม... ตอนนั้น มึงรู้สึกยังไงวะ”

“ถามไม่ได้มึงก็ถามมาแล้วไม่ใช่ไง?" ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับความขี้เสือกของเพื่อนตัวเอง "มึงอยากรู้ไหมล่ะ กูจัดให้เดี๋ยวนี้แหละ” ว่าจบผมก็จับเพื่อนรักนอนลงกับโซฟา แล้วแยกขาออกก่อนจะรีบแทรกตัวเข้าไป

ปกติตอนอยู่โรงเรียน เพื่อนผู้ชายก็เล่นอะไรกันแบบนี้อยู่แล้ว พวกเราเลยไม่ได้รู้สึกอะไรนอกจากหัวเราะชอบใจ

“อย่าไอ้สกายอะ---”

“ทำอะไรกัน...” เราทั้งคู่หันขวับไปที่หน้าประตูกันอย่างพร้อมเพรียงทั้งที่ยังอยู่ในท่าที่คร่อมทับกัน

“กูกำลังจะบอกว่าอชิมาด้วย แต่ไม่ทันแล้วใช่ปะ”

“เออไม่ทัน” เรารีบแยกออกจากกันทันที “เปล่าแค่หยอกกันน่ะ ไม่มีอะไร” ผมว่าก่อนจะรีบจัดผมเผ้าตัวเอง แล้วทำไมมันไม่บอกให้เร็วกว่านี้วะ ดูสภาพผมสิเนี่ย

“เดี๋ยวกูกลับก่อนนะ”

“อ้าวเพิ่งมาเอง จะรีบไปไหน” ผมถาม

“แค่เอาของมาส่ง” นิวว่าก่อนจะเลิกคิ้วสูง “เดี๋ยวว่าง ๆ กูโทรหา”

“จ้ะเพื่อนรัก” ผมว่าทั้งที่ฟันยังขบกันแน่น “ไม่ไปส่งนะ ลงไปเอง” ผมฉีกยิ้มกว้าง มองเพื่อนรักหายออกไปจากห้องไปเงียบ ๆ

อชิตะหายไปเป็นอาทิตย์ ไม่ตอบข้อความ จู่ ๆ ก็โผล่มาพร้อมนิว อย่างน้อยก็โทรบอกผมสักคำก็ยังดี ผมจะได้แต่งตัวดีกว่านี้หน่อย สภาพผมใครเห็นก็เป็นอันต้องเหี่ยวเฉา

ผมเดินเข้าไปหาอชิตะที่ยืนเอาของที่ซื้อติดมือมาด้วยใส่จาน อยู่ในครัว

“หายไปหลายวันจู่ ๆ โผล่มาตกใจหมดเลย” ผมถามพลางหัวเราะแห้ง

“มีเรื่องต้องจัดการ” ชิตะว่าเสียงนิ่งเรียบ

นิ่งจนผมไม่กล้าถามอะไรต่อ

ผมปล่อยให้อชิตะเอาของที่ซื้อมาจัดใส่จานเงียบ ๆ คนเดียว ส่วนผมเดินกลับมานั่งคิด ว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรผิด หรือว่าเขาทักมาแต่ผมไม่ตอบ

สิ้นสุดความคิดมือถือก็ถูกหยิบขึ้นมาเช็กดูกล่องข้อความ แต่มันก็ยังไม่ปรากฏข้อความใด ๆ ข้อสันนิษฐานนี้จึงถูกปัดตกไป

“มากินข้าวด้วยกันสิ เราซื้อของโปรดสกายมาด้วย” ผมรีบปรี่กลับมาที่โต๊ะทานข้าวอีกครั้งทันที

เฮ้ย! มีไข่ลูกเขยของโปรดผมจริงด้วย เขารู้ได้ไงอะ

“รู้ได้ไงว่าชอบกินไข่ลูกเขย” ผมถาม ก่อนจะฉีกยิ้มด้วยความดีใจ

“ให้นิวช่วยเลือกน่ะ” ไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็ต้องหุบยิ้ม ไอ้เราก็คิดว่าใส่ใจกัน

“อ๋อ...” ผมตอบสั้น ๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งทานข้าว

พอเอาเข้าจริง ๆ ผมก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก อยู่คนเดียวมาทั้งชีวิต มาวันนี้มีอีกคนในห้องมันก็รู้สึกแปลกอยู่หน่อย ๆ แถมยังเป็นคนที่แอบชอบยิ่งทำให้รู้สึกเกร็งไปหมด

“เราไม่ชอบ...” อชิตะพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ฮะ?”

“ไม่ชอบที่เล่นกับนิวแบบนั้น มันถึงเนื้อถึงตัวเกินไป”

อา... ที่แท้ก็ไม่ชอบที่ผมเล่นกับไอ้นิวนี่เอง ถึงว่าทำหน้าเป็นตูด

“เรากับนิวสนิทกันน่ะ ไม่มีอะไรหรอก เล่นกันปกติ แต่ถ้าอชิไม่โอเคเราก็จะไม่เล่นแบบนั้นอีก” แล้วผมจะรีบแก้ตัวทำไมเนี่ย

“อืม...” ตอบสั้นจังวะ แล้วไงต่อล่ะทีนี้

หลังจาก ‘อืม’ ของอชิตะจบลงเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย ประสบการณ์ความรักผมก็เท่ากับศูนย์ ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ต้องง้อเหรอ หรือต้องออดอ้อนแบบเด็กสาว

สุดท้ายผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต่างคนต่างเงียบ...



“สกายขอยืมคีย์การ์ดหน่อย”

“อืม ๆ” ผมวิ่งกลับเข้าไปให้ห้องนอนตัวเองอย่างเร็วรี่ ไม่ต่างจากหมาที่ถูกเจ้านายบอกว่าจะพาไปเดินเล่น “นี่... ว่าแต่อชิจะเอาไปทำ’ไรอะ” ผมว่า ก่อนจะยื่นสิ่งที่เขาต้องการส่งไป

“สกายมีสำรองไหม”

“มีฮะ” พยักรับหน้าหงึก ๆ

“งั้นอันนี้เราขอนะ” ผมไม่ได้ตอบนอกจากนั่งมองหน้า กะพริบตาปริบ ๆ “เราจะต้องกลับแล้ว ถ้าวันไหนจะเข้ามา จะโทรบอกก่อนนะ”

“อืม...” มาแค่นี้เองเหรอ ยังไม่หายคิดถึงเลย “อยู่... ให้เราไปส่งไหม” ใจผมอยากรั้งให้อชิตะอยู่ต่ออีกสักหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่กล้ารั้ง

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราลงไปเอง”

“โอเค กลับดี ๆ ล่ะ”

คิดว่ามันจะมีอะไรมากกว่านี้ซะอีก อย่างชวนผมออกไปข้างนอก หรือว่านั่งดูหนังด้วยกัน แล้วแบบนี้สถานะจะขยับได้ยังไงเนี่ย

ผมนั่งกัดเล็บตัวเองขบคิดอยู่พักใหญ่ว่าจะเอายังไงต่อ ก่อนจะตัดสินใจเปิดแล็ปท็อป เพื่อปรึกษาเพื่อนพึ่งพายามยากของผม

พันทิป...



ปรึกษาครับ ผมอยากเปลี่ยน FWB เป็นแฟน ใครพอมีวิธีดี ๆ แนะนำบ้าง...



ผมตั้งกระทู้ทิ้งไว้ ในหมวดหมู่ของปัญหาความรัก นี่ไม่ใช่กระทู้แรกที่ตั้งหรอก ในไอดีของผมยังมีที่เคยตั้งเอาไว้อีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือชีวิตประจำวัน

ทุกเรื่องที่ต้องการความคิดเห็นจากคนนอก ผมมักจะตั้งกระทู้ถามคนไม่รู้จัก ผมว่าคำแนะนำของพวกเขาตรงไปตรงมามากกว่าการถามเพื่อนสนิท เพราะพวกเขาจะไม่เอนเอียงเข้าข้างผม...

ผมนั่งเคาะโต๊ะรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ กดรีเฟรชหน้าเว็บสองสามครั้ง คนก็เริ่มเข้ามาตอบ ผมเลื่อนเมาส์กดอ่านทีละคน



สมาชิกหมายเลข 0126545

ต้องดูก่อนค่ะ ว่าเขาคิดกับเราแบบไหน มีใจ หรือแค่นอนด้วยเฉย ๆ



จบล่ะ... ผมว่าอชิตะคงคิดกับผมแค่เพื่อนนอนนั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่ตอบตกลงกับผมง่าย ๆ แบบนี้

ไอ้เสือ! อย่าท้อเลื่อนอ่านต่อ



สมาชิกหมายเลข 0546874

ผมว่า FWB ไม่มีจริงหรอกครับ สุดท้ายเราจะรู้สึกดีต่อกัน แต่ผมว่าเราจะต้องกระตุ้นเขาหน่อย ผมเห็นมาหลายคู่แล้วที่เริ่มจากการเป็นแค่เพื่อนนอน แล้วจบที่คู่จริง แต่ก็มีอีกหลายคู่ที่เจ็บหนักครับ คุณก็ลองเช็กดูก่อนว่าเขามีแฟนหรือยัง ไม่งั้นคุณก็จะกลายเป็นคนที่เจ็บเอง



ความเห็นนี้เข้าตาผมสุด ผมไม่ลังเลเลยที่จะตอบกลับทันที



สมาชิกหมายเลข 0468777

ผมต้องกระตุ้นยังไงดีครับ คือเขาเองก็มีคนที่แอบชอบอยู่ด้วย

-สมาชิกหมายเลข 0546874

คุณลองทำแบบที่เขาชอบดูสิ ผมว่าเรื่องบนเตียงก็สำคัญ เรื่องนี้ผมว่าคุณได้เปรียบอยู่นะครับ ลองทำให้เขารู้สึกว่าขาดคุณไม่ได้ (หมายถึงกับทุกเรื่องนะครับ) ค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์ หลอกล่อให้เขาตายใจแล้วฮุบเหยื่อเลยครับ



ผมคิดถูกจริง ๆ ที่ตัดสินใจมาปรึกษาคนในพันทิป ข้อความมากมายยังหลั่งไหลเข้ามา คืนทั้งคืนผมแทบไม่ได้นอน เพราะมัวแต่นั่งอ่านกระทู้ และศึกษาเรื่องบนเตียงหลาย ๆ แบบที่คิดว่าอชิตะน่าจะชอบ

คิด ๆ ดูแล้วเรื่องบนเตียงผมก็เพิ่งจะเคยมีอะไรกับอชิตะครั้งเดียว จะรู้ได้ไงว่าเขาชอบแบบไหน อืม...

โวยยย... ใครจะไปรู้กันฟะ!

ช่างแม่ง ค่อยลองผิดลองถูกหน้างานดูแล้วกัน...



ผมก็เคลียร์งานที่คั่งค้างเอาไว้ ก่อนจะส่งงานให้ลูกค้า และเลือกไม่รับงานสักพักมเผื่อว่าอชิตะมาหา ผมจะได้มีเวลาอยู่กับเขาโดยไม่ต้องรู้สึกพะวงเรื่องงาน

แต่... อชิตะก็หายเก่งซะเหลือเกิน นี่ก็สามวันแล้วนะ ไม่มีแม้แต่ข้อความ ลองทักไปเขาก็ยังไม่กดอ่าน หรือว่าแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติของ FWB เขาทำกัน



Rrrr…

เสียงมือถือดังขึ้นเพียงเสี้ยววิฯ ผมก็รีบคว้ามันขึ้นมา คาดหวังจะเป็นเบอร์ของคนที่เฝ้ารอมาตลอดสามวัน แต่ความหวังก็พัง เมื่อหน้าจอแสดงชื่อของคนที่โทรมาว่า ‘Ninew’

“ว่า?” ผมถามทันทีที่รับสาย

[ว่างไหม จะชวนไปซื้อของ]

“ของ’ไร”

[พรุ่งนี้วันเกิดหลาน ไปช่วยกูเลือกหน่อย]

“เออ ไปก็ได้กูไม่มีอะไรทำพอดี” ผมว่าอย่างเซ็ง ๆ

[เดี๋ยวกูเข้าไปรับ]

“ขออาบน้ำก่อน กูยังไม่อาบน้ำเลย”

[เค เจอกัน]

ผมกดตัดสายก่อนจะพาตัวเองไปอาบน้ำในเวลาต่อมา

เสื้อเชิ้ตสีดำเป็นตัวเลือกที่ผมหยิบออกจากตู้มาสวม ปลดกระดุมออกสองเม็ดเพื่อโชว์แผ่นอกตามสไตล์ สร้อยเส้นเล็กถูกเลือกให้เข้าชุดวันนี้ ก่อนจะเดินกลับมาเลือกน้ำหอมให้เข้ากับลุคการแต่งตัว

นานแล้วที่ผมไม่ได้ออกจากห้อง ทุกอย่างที่วางอยู่หน้ากระจกมีปริมาณเท่ากับวันแรกที่ซื้อมา เพราะผมแทบจะไม่ได้แตะมันเลย แม้กระทั่งครีมบำรุงโง่ ๆ ที่โดนบีเอป้ายยามา ก็ยังเหลือเท่าเดิม

ขณะที่ผมกำลังยืนเลือกกางเกงที่จะสวมให้เข้ากับชุด เสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น นิวคงจะมาถึงแล้ว ผมสาวเท้าไปยังหน้าประตูเพื่อจะไปเปิดให้นิวเข้ามาเหมือนอย่างเคย

ติ๊งหน่อง~

“เออ มาแล้ว” ผมยังเดินไม่ถึงประตูเลยด้วยซ้ำ แต่มันกลับถูกผลักเข้ามาเสียก่อน

อชิตะตัวเป็น ๆ กำลังเดินเข้ามา...

เขามองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ก่อนผมจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่สวมกางเกง

“เชี่ย!! อย่าเพิ่งมองนะ” ผมว่า มือก็พยายามดึงปลายเสื้อให้ต่ำลงเพื่อปกปิดส่วนล่างที่สวมเพียงอันเดอร์แวร์เอาไว้

“กำลังจะออกไปไหน” อชิตะว่า

“เปล่า...” ผมรีบปฏิเสธเพราะกลัวอชิตะหนีกลับ “คือเราเพิ่งกลับมาจากข้างนอก เดี๋ยวเราขอเข้าไปเปลี่ยนชุดแป๊บหนึ่งนะ” ว่าจบผมก็เดินผละออกมาด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ

สิ่งแรกคือต้องรีบหามือถือที่โยนไว้บนที่นอน เพื่อบอกนิวว่าไม่ว่างแล้ว ขอโทษนะเพื่อน ผัวก็อยากมี เพื่อนก็เป็นห่วง แต่ใด ๆ ขอเลือกผัวก่อนนะ

ขณะที่กำลังพิมพ์ข้อความอยู่ ผมก็ต้องสะดุ้งกับเสียงเรียกของอชิตะที่ดังมาจากด้านหลัง

“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก...” ผมหันกลับไปที่หน้าประตูห้องนอน อชิตะกำลังรั้งเนกไทลง “เดี๋ยวก็ถอดแล้ว...”

“ฮะ?” จังหวะที่กำลังยืนตะลึงงัน ไม่กี่วินาทีต่อมาผมก็ถูกผลักให้นอนระนาบกับเตียง “เดี๋ยว ๆ อชิ... ฟ้ายังสว่างอยู่เลยนะ” ผมว่า

ครั้งก่อนมันมืด แต่ครั้งนี้ห้องสว่างโร่จนผมรู้สึกอาย

“ถ้าสกายไม่โอเคเราไม่ทำก็ได้นะ”

อชิตะปล่อยแขนทั้งสองให้เป็นอิสระ เขาตั้งท่าจะลุกขึ้น ในตอนนั้นเองก็มีคำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวผม ‘ด้านได้ อายอดนะสกาย’  เอาวะจังหวะนี้ความอยากมีผัวมันมีมากกว่าแสงสว่างในห้องเสียอีก

ไวกว่าความคิดผมก็รีบคว้าข้อมืออชิตะไว้ก่อนจะผลักให้เขานอนอยู่ใต้ล่าง และตามขึ้นไปคร่อมทับทันที “ใครบอกว่าไม่โอเคล่ะ ก็แค่ถามดู” ว่าจบผมก็กดสะโพกลงไประหว่างกึ่งกลางลำตัว เพื่อให้เป้าของเราเสียดสีกัน

ฝ่ามือร้อนลูบผ่านต้นขาต้นขาล้วงเข้ามาใต้เสื้อ ก่อนจะหยุดที่สะโพกกลม บีบเคล้นฟอนเฟ้นจนเนื้อลอดออกมาตามง่ามนิ้ว

ผมกัดริมฝีปากตัวเอง ปล่อยให้ร่างกายทำตามสัญชาตญาณ ดวงตาคมกริบจ้องมองแสดงความต้องการออกมาอย่างชัดเจน เสียงลมหายใจหอบถี่ทุกครั้งที่ฝ่ามือร้อนลากผ่านลำตัวขึ้นมาบดคลึงยอดอก

อชิตะหยัดตัวตรงลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอน ปลายจมูกคลอเคลียใบหูอย่างแผ่วเบา ลมหายใจอุ่นพ่นออกมาสม่ำเสมอ เราใกล้กันมากจนผมได้ยินเสียงอชิตะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนเขาจะขยับริมฝีปากขบเม้มลงมาเรื่อย ๆ จนถึงซอกคอ

มันรู้สึกดีมากจนผมเผลอบดสะโพกเข้าหา ช่องท้องปั่นป่วนวูบไหวไปตามแรงอารมณ์ ขนอ่อนตามตัวลุกชัน แกนกายเสียดสีกันจนขึ้นแข็งขึงดันนูนกางเกงออกมา

อชิตะไล่ปลดกระดุมเสื้อผมออกที่ละเม็ด ในที่สุดแผ่นอกก็เปลือยเปล่า ริมฝีปากเขาลากลงดูดกลืนยอดอก สลับกับใช้ปลายลิ้นโลมเลียหยอกล้อ ราวกับว่ามันเป็นอมยิ้ม น้ำลายใสเป็นตัวกลางที่ทำให้ทุกอย่างลื่นไหล มันรู้สึกเสียวซ่านจนต้องแอ่นอกรับลิ้นร้อนอย่างเข้าจังหวะ

“ตัวสกายหอมจัง...”

“อื้อออ... อชิเดี๋ยวสิ” ผมเค้นเสียงผะแผ่วออกมาจากลำคอ

“มีอะไรก็พูดมา” อชิตะว่าพลางลากริมฝีปากไปจนทั่ว ฝ่ามือยังคงทำหน้าที่อย่างชำนาญ

“เราไม่ชอบเลยที่อชิไม่ตอบข้อความ อาา...” ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกพลิกตัวให้นอนลงอยู่ใต้ล่างกะทันหัน

“โอเคถ้าสกายไม่ชอบ เราจะไม่ทำแบบนั้นอีก”

เอ้า... ง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอวะ อยากตกใจนานกว่านี้ แต่ก็ไม่มีเวลามากพอให้สมองได้ขบคิด

อันเดอร์แวร์สีขาวถูกปลดเปลื้องออกจากท่อนขา เจลใสแบบซอง และถุงยางอนามัยถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าสตางค์ วางเอาไว้บนเตียง

ผมคิดว่าคงต้องซื้อของพวกนี้ติดห้องเอาไว้บ้างซะแล้วล่ะ

เสื้อเชิ้ตสีขาวของอชิตะถูกปลดกระดุมออก จังหวะที่เขากำลังจะถอดเสื้อ ผมก็รีบใช้เท้ายันหน้าท้องที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อเอาไว้

“เราอยากถอดให้อชิบ้าง” ว่าจบผมก็ใช้ปลายเท้าลากจากหน้าท้องแกร่งขึ้นไปอย่างเชื้องช้า สอดปลายเท้าเข้าไปใต้เสื้อช่วงหัวไหล่ แล้วแหวกเสื้อออก

เสื้อยังไม่ทันได้หลุดออกจากตัว อชิตะก็คว้าข้อเท้าผมไว้ในมือ

“อย่าซนนักสิ ระวังจะโดนดี”

“ทำไมจะมัดเราอีกหรือไง” ผมจ้องเขม็งอย่างอวดดี ก่อนจะหัวเราะชอบใจ

พอได้ปล่อยให้ตัวเองทำตามความรู้สึก ผมว่าเราต่างก็เข้ากันได้ดี เพราะอชิตะดูชอบกับสิ่งที่ผมทำอยู่ แถมเขายังรับปากแล้วด้วยว่าจะไม่หายไปอีก นั้นถือว่าเป็นกำไร

“หึ!” อชิตะกระตุกยิ้มพรายก่อนจะพลิกเท้าให้ผมนอนคว่ำหน้าลงกับที่นอน สะโพกถูกจับยกขึ้นลอยเด่น ช่างเป็นภาพที่ดูลามกหยาบโลนสุด ๆ

เจลใสเย็นฉ่ำป้ายลงช่องทางหลังจนชุ่ม ก่อนจะสอดนิ้วเข้ามาจนสุดในคราวเดียว “จะโดนอย่างนี้ไงล่ะ”

“อึก... อชิ!”

ผมไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่คิดท้าทายอชิตะ เขาทำทุกอย่าง อย่างชำนิชำนาญ ผมทำได้เพียงเป็นผู้ตามที่ดี ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ผมก็โอนอ่อนผ่อนตามอย่างว่าง่าย มันไม่ใช่การบังคับ หรือฝืนใจทำ เพราะทุกการกระทำ เป็นไปตามความต้องการของตัวผมเองด้วยเช่นกัน

หลังจากเย็นวันนั้นจบลง อชิตะก็ทำตามที่สัญญา คือเขาตอบข้อความผม ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหนเขาก็รายงานตลอด

พอแก้ปัญหาได้หนึ่งจุด ปัญหาใหม่ก็เข้ามา...





#แฟนwithbenefits





*ชื่อตอนเพลง WONDERFRAME - อยู่ดีๆ ก็... (Feat. YOUNGOHM)



-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 22-08-2021 23:30:06
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -2-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 23-08-2021 00:49:02
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-2-

ถ้าเธอรู้ว่าฉันรัก เธอจะรักฉันบ้างไหม



ผมมันคนกลืนน้ำลายตัวเอง ปากบอกจะไม่รับงานแล้ว แต่พอเห็นราคาที่เสนอมาก็อดไม่ได้ ก่อนหน้าลูกค้าบรีฟงานว่าปกอนิเมะธรรมดา แต่พอตกลงรับงานลงรายละเอียดเรียกว่าปาดเหงื่อ

ธรรมดาบ้าอะไรกันครับท่าน! ตัวละครไม่เท่าไหร่ ฉากหลังดีเทลแน่นจนน้ำตาไหล แต่จะทำไงได้รับปากมาแล้ว ผมก็ต้องก้มหน้าทำ

ผมใช้เวลาทำงานทั้งหมดเพียงสี่วันเท่านั้น ใช่ครับสี่วัน เป็นสี่วันที่ไม่ได้นอน กาแฟและเครื่องดื่มชูกำลังวางเต็มโต๊ะ ห้องก็รกอย่างกับรังหนู

นิสัยส่วนตัวในการทำงาน คือผมจะส่งงานก่อนกำหนดสองวัน เผื่อมีปัญหาแก้ไขจะได้ไม่กินเวลาที่กำหนด ผมน่ะขึ้นชื่อเรื่องแก้งานไว ส่งงานเร็ว ลูกค้าส่วนใหญ่จะปากต่อปาก ทำให้งานผมไม่เคยขาด มันคือสิ่งที่ผมปั่นมันมาด้วยมือของผมเอง

ติ้ง!

ข้อความปรากฏยอดเงิน ตาผมก็ลุกวาว โอเคหายเหนื่อยไม่โกรธแล้ว แหมก็แค่สี่วันเอง ดีเทลก็แค่โลกอนาคตคู่ขนาน แสงเงาจัดหนักก็เท่านั้น ฮุ ฮุ

หลังจากเห็นตัวเลขในบัญชีเพิ่มขึ้นแล้ว ผมก็จัดการพาตัวเองเข้าห้องน้ำอย่างสบายใจ เลือกชุดที่สวมใส่สบายที่สุด ก่อนจะกระโจนขึ้นเตียงนุ่ม ๆ เพื่อพักผ่อนตามที่ร่างเรียกร้อง

ผมจะไม่รับงานสักพักจริง ๆ แล้ว เชื่อสิ...

ในขณะที่เปลือกตากำลังจะปิดลงทีละนิด ทีละนิด เหมือนฟ้าจงใจกลั่นแกล้งให้ผมต้องตาสว่างเพราะเสียงมือถือ

Rrr…

โวยยย!!! ไม่ต้องนอนแล้ว ถ้าไม่สำคัญจะด่าจนกว่าลูกจะบวชเลยอีปลาทอง...

อชิตะ...

อะแฮ่ม!

“ว่าไง โทรมาแต่เช้าเชียว” แค่เห็นชื่ออชิตะผมก็ใจเย็นลงไปเก้าสิบเก้าจุดเก้าเก้า

[สกายวันนี้ว่างไหม พอดีเราจะชวนไปซื้อของ] อี๊ดดด หรือว่าจะชวนเดต [สกาย... ยังอยู่เปล่า]

“ฮะ ๆ ไปสิเราว่าง” ขอบตาไม่ไหวแต่ใจสู้มาก

[โอเคงั้นเดียวเราไปรับที่ห้องนะ]

“ได้ครับ”

หลังจากตัดสายจากอชิตะ ผมก็ดีดตัวลุกจากเตียงนอนที่ร่างกายโหยหามาตลอด ตรงมายังตู้เสื้อผ้า

ภาพในหัวตอนนี้คือตัวเองกำลังวิ่งไปพร้อมกับร้องเพลงการ์ตูน Frozen ‘เป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนาน...’

โอ๊ยรู้สึกตัวเองผมยาว และสวยยังไงก็ไม่รู้



ระหว่างนั่งรอหัวก็สัปหงกจนคอแทบเคล็ด อชิตะก็โผล่มารับ เราแวะกินข้าวกันก่อนจะออกไปซื้อของ

ถึงแม้ท้องผมจะถูกเติมจนเต็มก่อนออกมาแล้ว แต่ผมก็ยังบอกอชิตะว่ายังไม่ได้ทานอะไร เพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้นานที่สุด

จริง ๆ ผมทึกทักไปเองว่ามันเป็นเดต อชิตะก็แค่ให้มาช่วยเลือกของขวัญให้หลานเขาก็เท่านั้น แต่สำหรับคนแอบชอบอย่างผมแล้ว แค่เขาให้ผมมาด้วยก็ดีใจจนเนื้อเต้น

“สกายว่าอันนี้น่ารักไหม” อชิตะหยิบตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ขึ้นมา

“น่ารักดี ว่าแต่วันเกิดหลานเหรอ”

“เปล่าน่ะ หลานกำลังจะไปอยู่เมืองนอก เลยอยากให้เป็นตัวแทน เผื่อวันไหนเขาคิดถึงเรา จะได้หยิบขึ้นมากอด”

โธ่พ่อคนใส่ใจ สามีแห่งชาติ

“ก็น่ารักดีนะ แต่เราว่าเอาเป็นตัวเล็กลงมาหน่อยดีกว่าไหม อย่างอันนี้ น้องเปลี่ยนชุดได้ด้วยนะ เดี๋ยวอชิก็ซื้อชุดไปเยอะ ๆ”

“จริงด้วย งั้นเราเอาอันนี้แหละ” อชิตะฉีกยิ้มจนตาหยี ก่อนจะหยิบตุ๊กตาหมี พร้อมชุดอีกสี่ห้าชุด แล้วจึงเดินไปคิดเงินหน้าเคาน์เตอร์

ไม่น่าเชื่อเลยว่ารอยยิ้มนุ่มนิ่มของเขาจะเป็นโพผัว ตอนอยู่บนเตียงกับตอนปกติ ความอ่อนโยนมันช่างต่างกันลิบลับ

หลังจากซื้อของเสร็จ อชิตะก็ชวนผมมานั่งกินไอศกรีม ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่ก็อยากจะอยู่กับเขาให้นานกว่านี้อีกหน่อย

ถึงแม้ว่าตาทั้งสองข้างจะปิดแล้วก็ตาม

“สกายจะกลับเลยไหม”

“อชิไปไหนต่อหรือเปล่าล่ะ”

“อืม... ก็ไม่นะ ว่าจะไปนอนเล่นที่ห้องสกายนั่นแหละ”

“เอาสิ เดี๋ยวกินไอศกรีมเสร็จกลับกันเลยก็ได้”

ไอศกรีมที่ผมไม่ค่อยชอบถูกตักเข้าปากคำใหญ่ ผมไม่ได้รีบนะ แค่อยากให้มันหมดเร็ว ๆ

“สกายค่อย ๆ กินเลอะหมดแล้ว”

“...” ผมไม่ได้พูดอะไร เพราะมัวแต่ตกใจที่อชิตะ ใช้นิ้วปาดเอาไอศกรีมมุมปากผมไปกิน

เชี่ย! โคตรซีรี่ส์...

“หลานเรายังไม่กินเลอะขนาดนี้เลย” ผมรีบยกแขนเช็ดปากของตัวเอง “ดูสิเนี่ยเอามือเช็ดก็เปื้อนสิ” อชิตะว่าพลางยกแขนผมขึ้นมา

“จะทำอะไรคนเต็มร้าน” ผมรีบห้าม เพราะเขาตั้งท่าเหมือนกำลังจะเลียรอยเปื้อนที่หลังมือ

“มุมนี้ไม่มีใครเห็นหรอก” ว่าจบอชิตะก็ใช้ลิ้นโลมเลียหลังมือที่เปื้อนไอศกรีม หน้าของผมร้อนผ่านกับการกระทำที่ไม่เคยถูกกระทำมาก่อน หัวใจเต้นเร็วราวกับว่าตัวเองเพิ่งออกไปวิ่งจนรู้สึกเหนื่อยหอบ “สะอาดแล้ว” อชิตะคลี่ยิ้ม

สิ่งที่เขาทำมันช่างอ่อนโยน แต่ก็สวนทางกับแววตา ที่กำลังจ้องมองราวกับได้กลืนกินผมเข้าไปแล้วทั้งตัว

ผมว่าบางที รอยยิ้มของเขากำลังหลอกให้ตกหลุมพรางว่าเขาอบอุ่น และอ่อนโยน แท้จริงเขานะโคตรร้อนแรง

“ขอบคุณครับ” ผมว่า

เรานั่งทานไอศกรีมกันต่ออยู่พักท้องผมก็เริ่มรับไม่ไหว เราจึงพากันเดินออกไปคิดเงินด้านหน้า เพื่อย้ายไปยังสถานที่ต่อไป

ห้องผม...

“พี่อชิ...” เท้ายังไม่ทันก้าวออกจากร้าน เสียงใสของใครบางคนก็ตะโกนไล่หลัง

“อาซามาได้ไง” อชิตะว่า เด็กผู้ชายตัวเล็กกอดแขนเขาแน่น

ไอ้เด็กนี่มันใครวะ ทำไมต้องกอดแขนถึงเนื้อถึงตัวขนาดนี้

“อาซามากินไอศกรีมกับเพื่อน” พอเห็นอชิตะยิ้มให้ ผมก็รู้ได้ทันทีว่า ตัวเองไม่ได้รับท่าทางแบบนั้นคนเดียว “ว่าแต่คนนี้ใครครับ ทำไมมากับพี่อชิล่ะ”

“นี่สกาย เพื่อนพี่เอง”

เพื่อนพี่เอง... เพื่อนพี่เอง... เพื่อนพี่เอง...

คำว่าเพื่อนมันเสียดแทงลึกลงไปจนก้นบึ้งหัวใจ ความเจ็บนี้ไม่มีเสียง เธอเลยไม่ได้ยิน ขนมจีนได้มอบเพลงนี้ให้ผม

แม่งเจ็บเหี้ย ๆ

“สวัสดีครับ เพื่อน พี่ อชิ!”

จึ้ก! แค่... คำว่าเพื่อน นนท์ ธนนท์เจ็บแบบเน้น ๆ ไอ้เด็กนี่จะเปิดศึกกับผมเหรอ

“เรียกพี่สกายก็พอครับ” ว่าจบผมก็ฉีกยิ้มส่งไป

“พี่อชิ...” อ้าวโดนเมิน! “รถเพื่อนอาซาเสีย พี่อชิไปส่งอาซาหน่อยนะ” อชิตะหันกลับมายังผม

“เพื่อนพี่ไม่ได้เอารถมาน่ะ อาซาเรียกรถกลับเองได้ไหมครับ” ว้าย... เขาเลือกฉันย่ะ

“แต่ว่า... อาซาไม่ชอบนั่งรถกลับเองนี่ พี่อชิก็รู้”

โอ้โห้... ผมเห็นแสงแห่งความไร้เดียงสาออกมาจากแววตาของเด็กนั่น

“นะพี่อชิ นะ... นะ... นะ... นา...”

“อชิไปส่งน้องเถอะ เดี๋ยวเรากลับเอง” ยังไงผมก็อายุมากกว่า จะให้มางอแงแบบน้องเขาก็คงไม่ได้

“เอางั้นเหรอ แต่เรามาด้วยกันนะ” อชิตะว่า

“ไม่เป็นไร” มุมปากผมยกยิ้ม “เราไปก่อนนะไว้เจอกัน” ว่าจบผมก็เดินผละออกมาโดยไม่หันกลับไปมอง

ไม่เป็นไรอีกแล้วเหรอสกาย ผมถามตัวเองซ้ำ ๆ คำตอบคือไม่โอเคเลย แต่ทำไมผมถึงชอบพูดว่าไม่เป็นไรอยู่ได้

ผมเดินห่างออกมาพอสมควร สายตาก็แอบลอบมองกลับไปยังพวกเขาทั้งสอง เขาทั้งคู่คุยกันด้วยท่าทีสบาย จนผมอดนึกไม่ได้ว่าทำไมพวกเขาถึงได้สนิทกันขนาดนั้น

หรือว่าเด็กอาซาจะเป็นคนที่อชิตะชอบ...

ความสาระแน พาให้ผมแอบตามเขาทั้งสองมายังลานจอดรถ ทำไมต้องอยากรู้ขนาดนั้นด้วยวะสกาย ทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายคนที่เจ็บจะเป็นตัวเอง

อชิตะเปิดรถให้คนตัวเล็กแทรกตัวเข้าไป ก่อนที่จะเดินไปยังฝั่งคนขับ ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของคนที่แอบอยู่หลังเสาอย่างผม เขาโน้มตัวไปขาดเข็มขัดนิรภัยให้กับอาซา

ภาพตรงหน้าทำให้ผมดึงตัวเองกลับมาแล้วถามซ้ำ ๆ ว่ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ก่อนจะหันกลับไปมองอีกครั้ง แต่มันทำให้ผมรู้ว่า ผมคิดผิดที่ตามพวกเขามา

อชิตะกำลังจูบกับเด็กนั่น ทำไมจู่ ๆ ผมถึงรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา หัวตาเริ่มร้อนผ่าว ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อนอกจากพาตัวเองออกมาจากตรงนั้น

ผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากหยิบมือถือกดโทรออกหานิวทันที

“ฮัลโหล มึงอยู่ห้องไหม... อืมเดี๋ยวกูเข้าไปหา” ผมกดตัดสายจากนิว ก่อนจะเดินไปยังจุดขึ้นรถของลูกค้า

ผมไม่อยากกลับห้อง ตอนนี้ผมไม่พร้อมจะอยู่คนเดียว...



ระหว่างทางที่รถกำลังพาผมไปคอนโดฯ ของนิว ภาพของอชิตะตอนที่กำลังจูบกับเด็กนั่นยังวนเวียนติดตาอยู่ตลอด ผมก็เป็นได้แค่เพื่อน เพื่อนที่มีผลประโยชน์ร่วมกันจริง ๆ สินะ

เมื่อมาถึง ผมก็พาตัวเองมานั่งรอนิวที่โซนต้อนรับของคอนโดฯ ไม่นานนักมันก็ลงมา “ไงมึงสภาพอย่างกับหมา” เออหมาจริงอย่างที่มันว่านั่นแหละ

ผมลุกแล้วเดินตามมันขึ้นมาโดยไม่ตอบกลับอะไร

“มีอะไรจะเล่าให้กูฟังไหม” นิวถามทันทีเมื่อถึงห้อง

“เออ...”

“หน้าเป็นตูดแบบนี้เรื่องอชิ?” ผมไม่ตอบนอกจากพยักหน้ารับ “กูคิดว่าพวกมึงคบกันซะอีก เห็นอยู่ ๆ มันก็...” นิวถอนหายใจก่อนจะเงียบลง

“ก็ไม่เชิงวะ”

“ยังไง? ” นิวขมวดคิ้วแน่น

“หลังจากงานเลี้ยงรุ่น กูกับอชิตกลงเป็น FWB กัน”

“เฮ้ย! ทำไมมึงทำแบบนั้นสกาย...” นิวว่าเสียงดัง

“มึงบอกเองไม่ใช่เหรอว่าแค่มีอะไรกันก็ยังดี”

“แต่นั่นกูหมายถึงชั่วคราวไง มึงรู้ไหมว่ากำลังเล่นกับความรู้สึกตัวเองอยู่นะ”

น้ำตาจะไหล เหมือนถูกเพื่อนตัวเองดึงสติให้กลับมา ผมไม่น่าตกลงกับอชิตะแบบนั้นเลย ไม่คิดว่าจะเจ็บขนาดนี้

“กูรักเขาอะมึง กูควรทำยังไงดี”

“บอกอชิไปตรง ๆ ดีไหม” นิวว่าเสียงเรียบ

“แต่เขามีคนที่ชอบแล้วนะ วันนี้กูเห็นเขาจูบกันที่ลานจอดรถ”

“...มึงเลยมาหากูใช่ไหม”

“อืม”

“สกายมึงนี้นะ กูไม่รู้จะด่ายังไงดี” ผมได้แต่ก้มหน้ารับฟัง จะด่ายังไงก็เชิญเลย ไม่มีอะไรเจ็บไปกว่านี้อีกแล้ว “มึงถอยไหม ก่อนที่จะเจ็บกว่านี้”

“แต่...”

“พอเลย แค่มึงอ้าปากกูก็รู้คำตอบ” นิวส่ายหน้าอย่างเหม็นเบื่อ “เอางี้ ถ้ามันมีได้มึงก็มีได้”

“ยังไง?”

“มันยังมีคนที่ชอบได้ ไปจูบกับเขาขนาดนั้น มึงก็แค่มีบ้างแฟร์ ๆ”

“แต่กูไม่อยากมั่วกับคนอื่น” ผมว่าไปตามจริง จะให้ผมไปมีอะไรกับคนที่ไม่ได้รัก เห็นทีผมคงทำไม่ลง

“เดี๋ยวกูช่วยเอง” ว่าจบนิวก็จับหน้าผมล็อกเอาไว้ ก่อนจะก้มลงจูบลงที่ซอกคอ ดูดดึงจนรู้สึกเจ็บแปล๊บ ฟันขาวขูดผิวเนื้อจนรู้สึกแสบ

“ทำเหี้ยอะไรเนี้ยกูเจ็บ!”

“แค่นี้ก็น่าจะได้แล้วแหละ” ผมหยิบมือถือเปิดโหมดถ่ายภาพเพื่อดูคอของตัวเอง

มันขึ้นรอยช้ำสีแดงอมม่วง มองจากดาวเสาร์ยังเห็นว่าเป็นรอยดูด

“ไอ้นิว ขนาดอชิยังไม่เคยทำกูเป็นรอยขนาดนี้เลยนะไอ้เหี้ย”

“กูกำลังช่วยมึงอยู่นะ” นิวว่านิ่ง ๆ ก่อนจะหยิบรีโมทเปลี่ยนช่องหาหนังดู ขนมบนโต๊ะถูกหยิบใสปากเคี้ยวตุ้ยทำทีไม่สนใจ

ในเมื่อรอยที่คอก็เด่นขนาดนี้แล้ว ผมก็คงทำให้มันหายภายในวันสองวันไม่ได้แน่ ก็คงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยไปก่อน ช่วงนี้ก็คงจะต้องใส่เสื้อปิด ๆ หน่อย

ส่วนเรื่องอชิตะผมรู้ว่าสุดท้ายผมก็รักเขาอยู่ดี ที่หนีมาห้องนิว ก็แค่เสียใจเท่านั้น

มันดีแค่ไหนที่คนแอบชอบตลอดแปดปีอย่างผม ได้มีโอกาสยืนข้างเขา ได้ใกล้กันมากขนาดนี้ ถึงแม้สถานะจะไม่ใช่แฟนก็ตาม มันอาจฟังดูโง่ แต่ผมก็ยอม ยอมเขาทุกทางแล้วจริง ๆ



Rrrr…

“สกายมึงทำอะไรกับโทรศัพท์มึงดิ!” เสียงนิวว่าทั้งที่ยังงัวเงีย

“อื้มมม”

Rrrr… Rrrr…

“สกายโทรศัพท์ ถ้าไม่รับกูจะทุบทิ้งแล้วนะกูจะนอน”

ผมควานหามือถือของตัวเองที่ไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน แรงสั่นสะเทือนของมือถือก็ทำให้ผมหาเจอ แต่ทว่าสายที่โทรเข้ามาถูกตัดไปเสียแล้ว ตัวเลขบอกเวลาตีหนึ่งกว่า

แต่ที่น่าตกใจกว่าเวลาก็สายที่ไม่ได้รับนี้แหละ

อชิตะ 23 Miss Call

ดวงตาผมเบิกโพลง ดีดตัวลุกจากเตียง ผมคงเพลียมากจนเผลอหลับไป

“กูกลับห้องก่อนนะ” ผมหันไปบอกนิว มันไม่ตอบนอกจากยกมือไล่

ผมพาตัวเองวิ่งออกหน้าหน้าคอนโดฯ ก่อนจะโบกเรียกรถเพื่อกลับมายังห้องของตัวเอง อชิตะโทรมาถึงยี่สิบสามสาย เขาคงไม่ได้ไปห้องผมหรอกใช่ไหม

ไม่นานรถก็พาผมกลับมาถึง เท้าก็จ้ำอ้าวขึ้นห้องของตัวเองทันที เพียงแค่คีย์การ์ดแตะประตูเปิดออก ความเย็นของเครื่องปรับอากาศก็ทำให้รู้ว่า ในห้องมีคนอยู่

ผมเดินเข้าไปสำรวจภายในห้องกลับไม่พบใคร

แกร๊ก!

เสียงเปิดประตูดังมาจากทางห้องน้ำ ผมหันกลับไป อชิตะกำลังเดินออกมา ด้วยใบหน้านิ่งขรึม สายตาเขาจ้องมองผมราวกับจะฟาดฟันให้ผมขาดเป็นสองท่อน

“ไปไหนมา” น้ำเสียงเย็นเหยียบชวนให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ

“...เราไปห้องนิว”

“แน่ใจเหรอว่าห้องนิว” ผมพยักหน้าถี่ “งั้นรอยที่คอนั้นก็ฝีมือนิว?” เชี่ยลืมเลย ผมยกมือขึ้นปิดรอยทันที ทั้งที่รู้ว่าไม่ทันแล้ว

“เอ่อ... คือ... นิวมันแค่แกล้ง”

“เราว่าเราพูดชัดแล้วนะ เราไม่ชอบที่สกายเล่นกับนิวแบบนั้น”

“เราก็ไม่ได้ตั้งใจ เราเองก็ไม่ทันตั้งตัว”

“นิวทำอะไรบ้าง...” ผมไม่ชอบสายตาของอชิตะตอนนี้เลย มันเหมือนเขาจับได้ว่าผมนอกใจ ทั้งที่ตัวเองก็มีคนที่ชอบอยู่แล้ว ทำไมผมจะมีบ้างไม่ได้ล่ะ “เราถามว่านิวทำอะไรบ้าง!” อชิตะว่าเสียงดังจนผมสะดุ้งโหยง

อชิตะกำลังเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ เขากำลังทำให้ผมรู้สึกกลัวจนต้องเดินถอยหนี

“ไม่ได้ทำอะไร มันแค่ดูดคอ” ผมว่า

“ให้โอกาสตอบอีกครั้ง”

“ไม่มีอะไรจริง ๆ มันแค่แกล้งเรา” ผมถูกเขาไล่ตอนจนไม่รู้ว่าตัวเองเดินมาถึงเตียงตอนไหน

แต่ถึงอย่างนั้น ผมจะไม่ยอมให้ตัวเองล้มลงเตียงแบบนางเอกละครไทยแน่ ความบังเอิญจะไม่เกิดขึ้น เมื่อผมตัดสินใจก้าวเท้าขึ้นไปยืนบนเตียง

“ขึ้นไปบนเตียงทำไม”

“ก็มันชนแล้ว จะให้เราเดินไปทางไหนล่ะ” ผมว่าทั้งที่ยังยืนอยู่บนเตียง

“คิดว่าจะรอดเหรอ”

“รอดสิ ก็เราไม่ได้ทำอะไรผิด... อชิ!” ผมร้องลั่นเพราะถูกเขาดึงขาจนล้มก้นกระแทกกับที่นอน

“ทำผิดนะ รู้ตัวหรือเปล่า...” ทีตัวเองล่ะ ไปจูบกันในรถขนาดนั้น

ข้อเท้าถูกอชิตะกระตุกเพียงครั้งเดียว ตัวผมก็ถลาเข้าหาเขาทันที อชิตะถอดเข็มขัดออกจากกางเกงตัวเอง เขาคงจะไม่ได้เอามันมาฟาดผมแบบในหนังเอสเอ็มอะไรเทือกนั้นใช่ไหม

“อชิจะทำอะไร...” เขาไม่ตอบอะไร นอกจากรวบแขนทั้งสองเข้าด้วยกัน ก่อนจะให้เข็มขัดรัดจนแน่น แล้วดันตัวผมขยับขึ้นไป

ความยาวของเข็มขัดที่เหลือถูกนำไปมัดกับหัวเตียง ก่อนจะลุกออกไปยังตู้เสื้อผ้า เนกไทเส้นสีดำถูกนำติดมือมาด้วย เขาใช้มันปิดตาผมเอาไว้จนมืดสนิท

“ถ้ารู้สึกเจ็บให้บอกเรา” อชิตะกระซิบแผ่วเบาข้าง ๆ หู

“แกะตอนนี้ไม่ได้เหรอ เรากลัว” การที่ผมมองไม่เห็นมันทำให้ผมรู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก

“เราบอกแล้วว่าเราไม่ชอบ ถ้าสกายไม่ฟัง สกายก็ต้องถูกลงโทษ” ในหัวผมตอนนี้มีแต่คำว่า อย่าให้กูรอดนะไอ้นิวมึงเจอกูแน่!

“กัดเอาไว้” เสื้อยืดถูกถกขึ้นมาให้ผมคาบมันเอาไว้ และผมก็ทำตามอย่างว่าง่าย

ฝ่ามือยังคงปัดป่ายไปจนทั่วตัว รับรู้ได้เพียงสัมผัส ผมไม่รู้เลยว่าเขาจะทำอะไรต่อ

“อื้ม... อชิ” เสียงคางผะแผ่วเอ่ยเรียกชื่อของอีกคน แผ่นอกถูกโลมเลียจนทั่ว ลิ้นร้อนหยอกล้อกับยอดอกแข็งขึงตั้งชัน ขบเม้มสลับกันไปมา

ยิ่งมองไม่เห็นยิ่งทำให้ทุกสัมผัสชัดเจน ร่างกายกำลังตอบสนองกับสิ่งที่เขากำลังทำ ผมไม่เห็นว่ามันจะดูเป็นบทลงโทษตรงไหน

กางเกงถูกถอดออกในเวลาต่อมา ฝ่ามือหนากอบกุมแกนกายเอาไว้ ขยับชักรูดขึ้นลงจนสุดอย่างเชื่องช้า ช่องท้องบิดมวนจนรู้สึกทรมาน

ผมรู้สึกได้ถึงความอุ่นนุ่มที่กำลงครอบลงมาที่ส่วนปลาย เขากำลังใช้ปาก แกนกายกำลังขยายตัวขึ้นยิ่งกว่าเดิม

เรียวนิ้วลูบวนรอยจีบที่ปิดสนิทจนอ่อนนุ่ม พร้อมรับเรียวนิ้วเข้าไป อชิตะกดปากลงไปจนสุดตามความยาว เรียวนิ้วก็ดันเข้าไปจนสุดพร้อมกัน

ปลายนิ้วสัมผัสกับจุดหฤหรรษ์ภายใน จนเสียงครางหลุดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมกำลังจะคลุ้มคลั่ง กับความรู้สึกที่กำลังได้รับ

“อชิ... เราไม่ไหวแล้วอ๊า...” ผมร้องครางเมื่อกำลังจะถึงปลายทาง แต่แทนที่เขาจะขยับมือให้เร็วขึ้น เขากลับหยุดทุกการกระทำกลางคัน

“อชิจะทำอะไร” ผมรู้สึกปวดหนึบต้องการปลดปล่อย จนอยากใช้มือตัวเองช่วย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะถูกพันธนาการเอาไว้อยู่

“นี่คือบทลงโทษที่สกายไม่เชื่อฟังเรา...”

“ถ้าอชิจะไม่ทำให้เราเสร็จ ก็ช่วยแกะมือเราที เราทำเองก็ได้” ผมเริ่มอึดอัด และทรมานมาก

“สัญญากับเรามาก่อนว่าจะไม่ให้ใครแตะต้องตัวสกาย นอกจากเรา”

แม่งโคตรไม่แฟร์เลย ทั้งที่ตัวเองก็มีคนอื่นไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะนั่งเถียงกันเรื่องนี้

“สัญญา...! เราจะไม่ให้ทำแบบนี้อีก”

“ดีมาก แต่สกายก็ยังต้องถูกทำโทษอยู่ดีนั่นแหละ” ว่าจบอชิตะก็แทรกตัวเข้ามา ก่อนจะดันของแข็งที่ไม่ใช่นิ้วเข้ามาแทน

เพียงแค่เขาดันเข้ามาจนสุด ร่างกายผมก็ปลดปล่อยออกมาทั้งที่ไม่ได้สัมผัสแกนกาย

ร่างกายเบาวูบราวกับโลกไร้แรงโน้มถ่วง สมองขาวโพลนจนคิดอะไรไม่ออก หัวใจเต้นระส่ำ แต่มันก็ยังไม่จบเพียงเท่านั้น อชิตะยังคงทำทุกอย่าง อย่างเอาแต่ใจ

ถ้าตัดเรื่องที่เขาไม่ยอมทำต่อออกไป มันคงเป็นประสบการณ์ดี ๆ ผมไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขาจะทำอะไรต่อ แต่ยิ่งลุ้นก็ยิ่งตื่นเต้น จนรู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในอวกาศ มันยากที่จะเข้าใจ แต่กลับรู้สึกหลงใหลได้ปลืมไปกับมัน จนถอนตัวออกมาไม่ได้

ผมผ่านคืนหรรษาไปได้ด้วยดี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองถึงปลายทางไปกี่ครั้ง อชิตะนอนกอดผมเอาไว้จนแน่น ตั้งแต่ที่เรานอนด้วยกัน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมถูกกอด มันอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเขารักผมอย่างที่ผมรักเขาบ้าง ก็คงจะดี



เคยมีคนบอกเอาไว้ว่า 'ความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นาน'  มันคงจะจริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ เพราะตอนที่ผมลืมตาขึ้นมากลับพบว่ามีเพียงผมที่นอนอยู่บนเตียง ไร้วี่แววของอีกคนที่นอนกอดกันทั้งคืน

ผมไม่รู้เลยว่าอ้อมกอดนั้นคือเรื่องจริง หรือผมแค่ฝันไป...

ใจเจ็บจนพูดไม่ออก อยากเดินหนีออกมาจากความรู้สึกนี้ แต่ก็ไม่กล้าพอ จะให้ทำยังไงล่ะ ในเมื่อผมรักเขาไปแล้วทั้งใจ...







#แฟนwithbenefits








*ชื่อตอน เพลง ไม่สนิท - NONT TANONT

-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-08-2021 18:42:15
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 25-08-2021 19:56:17
 :hao3: ชอบมาก ชอบแนวเรื่องแบบนี้ มารอ มารอ นะค่า
ดราม่า หน่วงๆ ไปเลย ชอบ 55
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 26-08-2021 09:38:47
 :hao6:ช
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -3-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 26-08-2021 19:41:58
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-3-

โอ๊ย... เจ็บไปทั้งหัวใจทำไมยังทน


'แล้วสักวันหนึ่งคุณจะรู้ว่า การทรมานตัวเองเพื่อรักษาอีกคนไว้ มันไม่ใช่ความรัก'

Rrr…

เสียงมือถือแผดเสียงดังออกมาจากกระเป๋ากางเกงของคนที่กำลังคร่อมทับตัวผมอยู่

“ไม่รับได้ไหม” ผมว่า

“เผื่อเป็นเรื่องสำคัญ”

ถ้าหากอชิตะรับสาย เขาต้องรีบออกไปจากห้องเหมือนทุกครั้งแน่ ๆ และผมก็ไม่ต้องการอย่างนั้น ผมคว้าแขนอชิตะเอาไว้ แล้วกดให้เขาอยู่ใต้ร่างผม ก่อนจะตามขึ้นไปคร่อมทับสลับตำแหน่ง ริมฝีปากซุกไซ้ซอกคอขาวขบเม้มอย่างแผ่วเบา เพื่อไม่ให้เกิดรอยนอกร่มผ้า

เสียงอชิตะครางต่ำอย่างพึงพอใจ มันเป็นวิธีเดียวที่ผมจะรั้งเขาเอาไว้ได้

ตอนนี้เสียงมือถือเงียบลงแล้ว บทรักจึงเริ่มต่อจากที่ค้างเอาไว้ เสื้อยืดที่สวมอยู่ถูกถอดออกกองไว้กับพื้น ตามด้วยกางเกงขาสั้นตัวนอก ร่างกายเปลือยเปล่าเหลือเพียงอันเดอร์แวร์สีดำสนิท

“อชิถอดเสื้อนะ เดี๋ยวเราถอดให้”

“เอาสิ” สิ้นสุดเสียงคำอนุญาต ผมก็รีบปลดกระดุมออกทีละเม็ด

แต่ยังไม่ทันจะปลดได้ถึงเม็ดที่สาม เสียงมือถือก็ดังแผดออกมาอีกครั้ง

Rrr…

อชิตะลุกชันตัวกะทันหันจนผมต้องขยับตัวหนีมานั่งบนที่นอน เขามองหน้าจอเพียงเสี้ยววินาทีก็รีบหันมาพูดกับผม

“สายนี้เราต้องรับ ขอโทษนะ”

“อืม ตามสบายเลย”

ผมปล่อยให้อชิตะเดินห่างออกไป ทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังกว้าง

มองดูสภาพตัวเองตอนนี้ ก็ได้แต่นึกก่นด่าในใจ ผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าขนาดนี้กัน เมื่อก่อนการได้แอบชอบอชิตะ เป็นเรื่องที่ผมมีความสุขที่สุด แต่ดูผมตอนนี้สิ น่าสมเพชสิ้นดี

“สกาย... คือเราต้องไปแล้ว มีเรื่องด่วนนิดหน่อย”

“...”

“เราขอโทษนะ” เพียงแค่อชิตะ พูดคำว่าขอโทษ สีหน้าของเขาก็หม่นลง

“ไม่เป็นไร เราเข้าใจ อชิรีบไปเถอะ อาจมีเรื่องด่วนก็ได้” ว่าจบผมก็ฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี

ไม่เป็นไร...

“เดี๋ยวเรากลับมานะ อุตส่าห์สัญญากับสกายไว้ว่าวันนี้จะอยู่ด้วยทั้งวัน”

“ไม่เป็นไรจริง ๆ เดี๋ยวอชิก็มาแล้วนี่ รีบไปเถอะ”

“อืม เดี๋ยวเราจะรีบกลับมานะ” ผมพยักหน้ารับ

อชิตะเก็บของจำเป็นบางอย่างออกจากห้องไปอย่างเร็วรี่ เขาบอกกับผมว่าจะกลับมานี่ อย่าคิดมาเลยสกาย ผมหยิบเสื้อผ้าของตัวเองที่หล่นอยู่ที่พื้นขึ้นมาสวม แล้วพาตัวเองออกมานั่งเล่นในโซนรับแขก

หลังจากที่นั่งเลือกหนังอยู่นาน ผมก็ได้หนังที่ต้องการ 'แฮรี่ พอตเตอร์' หนังชุดที่เติบโตไปพร้อมกัน นั่งดูบ้าง เผลอหลับบ้าง รู้ตัวอีกทีก็จบไปสี่ภาคแล้ว แต่ก็ยังไร้เงาของอชิตะ หันไปมองนาฬิกาแขวนผนัง ก็ทำได้แค่ถอนหายใจทิ้ง สองทุ่มครึ่งแล้วเหรอเนี่ย นี่ผมนอนดูหนังอยู่ตรงนี้นานขนาดนี้เลยเหรอ

ไหนบอกว่าจะรีบกลับมาไง คงไม่กลับมาแล้วใช่ไหม ผมกำลังรออะไรอยู่

ความรู้สึกของคนรอมันเป็นแบบนี้เองสินะ...

ผมคว้ามือถือของตัวเองกดเบอร์โทรออกหานิว มันไม่เคยปล่อยให้ผมต้องรอนาน ทันทีที่เสียงโทรออกดังสองสามครั้ง มันก็กดรับสาย

[ว่าไง]

“มึง... ว่างหรือเปล่า”

[มึงเป็นอะไรหรือเปล่า น้ำเสียงดูไม่ค่อยดีเลย]

“...ออกไปเที่ยวเป็นเพื่อนกูหน่อย”

[เอางั้นก็ได้ จะให้กูไปรับไหม]

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปเอง มึงตามาแล้วกัน กูส่งโลเคชันร้านให้ในไลน์”

[โอเค เดี๋ยวออกไป]

ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง หยิบผ้าเช็ดตัวผืนประจำเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง สายน้ำไหลจากเรนชาวเวอร์กระทบผิวหน้าที่แหงนรับ มองด้วยตาเปล่า มันก็แค่สายน้ำที่สาดลงมา

มีเพียงผมเท่านั้นที่รู้ว่าน้ำที่กำลังไหลอยู่ ไม่ได้มาจากเรนชาวเวอร์เพียงอย่างเดียว...

ออกมาจากห้องน้ำ ผมก็เดินมาเลือกเสื้อผ้าที่น้อยครั้งจะหยิบมาใส่ เสื้อเชิ้ตแขนยาว เนื้อผ้าซาตินสีแดงเชอร์รี่เป็นตัวเลือกที่ดี กางเกงยีนสีดำสนิทขาดเป็นริ้วถูกหยิบออกมาให้เข้าคู่กัน นานแล้วที่ผมไม่ได้ออกท่องราตรี

น้ำหอมถูกฉีดพ่นจนตัวหอมฟุ้ง ผมถูกเซตขึ้นเพื่อเปิดให้เห็นหน้าชัด ส่องกระจกดูความเรียบร้อย ก็พร้อมออกเดินทาง



ผมเรียกรถออกจากห้องพักไปยังผับย่านเอกมัยในเวลาสี่ทุ่มกว่า มันเป็นร้านที่ผมกับนิวมากันเป็นประจำสมัยที่ยังเรียนอยู่ด้วยกัน

ทุกครั้งที่มีเรื่องให้ต้องคิดมาก ผมมักจะมาในสถานที่มีเสียงเพลง มีคนเยอะ ๆ มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ ปล่อยตัวเองไปกับเสียงเพลง และแสงสี

เราต่างไม่รู้จักใครในนี้ แต่เครื่องดื่มรสร้อนที่ไหลลงคอ ก็ทำให้ทุกบทสนทนาสนุกขึ้น ผมไม่รู้จักเขา เขาเองก็ไม่รู้จักผมเช่นกัน...



[เดี่ยว Ninew]

ผมนั่งรอให้สกายส่งโลเคชันมาให้อยู่นานนับชั่วโมง โทรไปก็ไม่ยอมรับ แอบเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน เพราะน้ำเสียงที่ได้ยินไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่ผมก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ

ผมกับมันเป็นเพื่อนกันมาหลายปี ไม่ต้องพูดออกมาผมก็รู้ว่ามันไม่สบายใจ แล้วไอ้การที่อยู่ ๆ มันก็ชวนผมออกไปเที่ยวแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องดีแน่ ให้เดาก็คงไม่พ้นเรื่องของอชิตะอีกนั่นแหละ ที่ผ่านมาผมก็เห็นมันเศร้าอยู่เรื่องเดียว

มันรักของมันมาเป็นปี ๆ นี่นะ...

หลังจากวันงานเลี้ยงรุ่นจบลง อชิตะมาหาผมถึงที่ห้อง บอกให้ผมพามันมาห้องสกายหน่อย คิดไว้แล้วว่าสองคนนี้ต้องมีอะไรแน่ แต่ที่เหนือความคาดหมายคือ ผมไม่คิดว่าสกายจะเลือกยื้ออชิตะด้วยสถานะ Friend with benefit

ผมเห็นมานักต่อนัก กับคนที่กล้าลองดีกับความสัมพันธ์แบบนี้ ไม่สมหวัง ก็เจ็บปางตาย...



เกือบตีหนึ่งสกายส่งโลเคชันมา ผมก็รีบออกไปยังจุดหมายทันที มันเป็นร้านประจำที่พวกผมชอบไปกันตอนสมัยเรียนมหา'ลัย ผมไม่ได้มานานแล้ว ร้านเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก เหมือนว่าร้านจะใหญ่ขึ้นด้วย

ผมเดินตามหาสกายอยู่พักก็เจอมันกำลังเต้นอยู่กับใครบางคน ประเมินด้วยสายตาก็พอรู้ว่ามันเมามากแล้ว ไม่รู้ว่ามันมาตั้งแต่กี่โมง

“ขอโทษนะครับเพื่อนผมเมา” ผมบอกกับผู้ชายที่กำลังโอบเอวสกายอยู่

“มึงมาแล้วเหรอ...” เสียงอ้อแอ้บอก สกายปรือตามองมายังผม “กูจะไปต่อกับเต๋อนะ”

เต๋อไหนวะ?

คงไม่ใช่ไอ้ตี๋ที่โอบเอวสกายอยู่ใช่ไหม

“มึงเมามากแล้วนะสกาย ตั้งสติหน่อย” ว่าจบผมก็ดึงสกายออกมา “คุณกลับไปเถอะ เพื่อนผมเดี๋ยวดูแลเอง”

“ได้ไงก็เขาบอกจะไปกับผม”

“ผมว่าคุณไปเถอะ จะเอาอะไรกับคนเมา”

“เสียเวลาฉิบหาย” เขาสบถออกมา เครื่องดื่มในมือถูกยกรวดเดียวจนหมดแก้ว แล้วเดินหายไปกับกลุ่มคน

ผมหันกลับมายังคนที่เมาจนคอพับ ก่อนจะตัดสินใจหิ้วออกมานอกร้าน เดินไปก็ล้มไปเพราะสกายเล่นทิ้งตัว กว่าจะถึงรถเล่นทุลักทุเลกันพอสมควร

“ทำไมเมาขนาดนี้วะสกาย”

“มึงไม่เข้าใจ...หรอก...มึง อึก!” กลิ่นเครื่องดื่มฟุ้งไปทั้งรถ “มึงไม่เคยแอบรักใคร”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่เคย...” สกายไม่เคยรู้อะไรเลย ไม่เคยเลยจริง ๆ

“ไอ้เสือ... กูเพื่อนมึงนะเว้ย หึหึ ไม่เห็นมึงจะรักใคร” ถ้าผมบอกความจริงออกไปว่าเคยแอบชอบมัน เราจะยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่หรือเปล่า

แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วแหละ ตอนนี้ผมไม่ได้ชอบสกายแล้ว เพราะผมสู้คนในใจของสกายไม่ได้จริง ๆ ถ้าไม่อยากเจ็บไปกว่านี้ผมก็แค่ต้องถอยออกมา และคงสถานะเพื่อนเอาไว้...



ผมแบกสกายใส่หลัง เพราะปลุกยังไงก็ไม่ยอมตื่น แต่เหมือนมันจะรู้ตัวว่าถึงชั้นของห้องของตัวเองแล้ว จึงเอาแต่โวยวายจะลงเดินเองท่าเดียว

ยังไงก็ไม่เคยห้ามอะไรมันไม่ได้อยู่แล้ว ผมเลยปล่อยให้สกายเดินเอง แล้วคอยดูอยู่ใกล้ ๆ แทน ระหว่างทางเดินมีเซบ้างชนผนังโถงทางเดินบ้าง พอถึงหน้าห้องสกายก็พยายามหาคีย์การ์ดอยู่นาน จนผมอดไม่ได้หยิบเอาที่พกมาแตะเปิดประตูให้แทน

"มึงลืมหยิบมาสินะ"

"ขอบใจมากเพื่อน... ไม่มีมึงกูต้องแย่แน่ ๆ รักมึงจัง"

"เออ มึงก็รักกูแค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ" สกายหัวเราะรวนชอบใจ

ผมมีคีย์การ์ดสำรองสำหรับเข้าห้องสกาย มันให้ผมไว้เพราะมีช่วงหนึ่งที่มันทำงานหนัก อดหลับอดนอนจนเข้าโรงพยาบาล โชคดีที่วันนั้นผมแวะไปหามันพอดี วุ่นวายกันทั้งคอนโดฯ หลังจากวันนั้น ช่วงไหนที่มันหายไปนาน ๆ ผมจะต้องแวะมาดู ถ้าไม่มีผม มันอาจะตายไปแล้วจริง ๆ ก็ได้

ประตูห้องเปิดออก ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศก็ปะทะเข้ากับผิวหน้าเย็นเหยียบ ผมเดินเข้ามาในห้องก่อน “สกาย... นี่มึงลืมปิดแอร์เหรอ” ผมถามสกาย แต่กลับไม่ได้คำตอบ พอหันกลับไปดูก็พบว่าสกายนอนแอ้งแม้งอยู่หน้าประตู

นึกว่าจะแน่ เฮ้อ~

“สกาย!” ยังไม่ทันเดินไปถึงตัวสกาย เสียงทุ้มคุ้นหูก็เอ่ยดังจากด้านหลังเสียก่อน

“อชิ...!?” เขาอยู่ห่างจากหน้าประตู แต่เขากลับถึงตัวสกายก่อนผมที่ยื่นอยู่ใกล้ ๆ ซะอีก

“สกายเป็นอะไรหรือเปล่า” ผมยืนงง เพราะอชิตะอยู่ในห้องสกาย แล้วสกายออกไปเที่ยวทำไม พวกมันทะเลาะกัน หรือว่าอชิตะเพิ่งมา

แล้วมันเข้าห้องสกายยังไง?

เฮ้ยคำถามเต็มไปหมด

“หืม!... นี่ไปกินเหล้ากันมาเหรอ” อชิตะถามต่อ

“กูไม่ได้กิน มันไปคนเดียวกูแค่ไปรับกลับ” ผมเดินตามอชิตะที่กำลังอุ้มสกายเข้ามาในห้องนอน “แล้วมึงเข้าห้องสกายได้ยังไง”

“มีคีย์การ์ด”

คำถามที่เคยมีอยู่เต็มไปหมด ถูกเฉลยออกมาสั้น ๆ ไม่ซับซ้อน

ไม่ใช่ผมคนเดียวสักหน่อย ที่ได้รับสิทธิพิเศษเหล่านั้น แต่มันก็มีจุดที่ต่างกันอยู่ คือ อชิตะเขาเป็นตัวจริง...

ส่วนผมมันเป็นได้แค่ ที่ปรึกษา...

[จบเดี่ยว Ninew]










#แฟนwithbenefits












*ชื่อตอน เพลง ลงใจ - BOWKYLION

กอดนิว TT.TT

-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 26-08-2021 23:12:52
กลิ่นมาละ
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: Dee^daY ที่ 27-08-2021 00:14:29
เริ่มเรื่อง แปลกๆ แต่ก็อ่านต่อนะ
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 27-08-2021 12:07:06
เราเปลี่ยนไปเชียร์ นิว แทนได้ไหมอะ
ตอน 3 สั้นจังอะ ตอนหน้าขอยาวๆ ได้ไหมค่า please
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -4-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 27-08-2021 13:11:34
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-4-

เก็บความรู้สึกไว้ สักวันก็คงได้บอกรักเธอ





“มีคีย์การ์ด” ว่าจบผมก็อุ้มคนร่างบางไร้สติเข้ามาวางไว้บนเตียง

“งั้นหมดธุระแล้วกูกลับก่อนนะ” นิวว่า

“เดี๋ยวสิ ออกไปคุยกับกูก่อน” ว่าจบผมก็เดินนำหน้านิวออกมายังโซนรับแขก เราทั้งคู่เคยสนิทกันมาก แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากที่สกายเข้ามา เราไม่ได้ตัดขาดกันแต่แค่สนิทกันน้อยลงกว่าเมื่อก่อน

“มีอะไรหรือเปล่า” นิวเป็นคนเริ่มเปิดประเด็นถาม

“แค่จะถามว่า มึงเข้าห้องสกายได้ยังไง”

ที่ถามออกไปอย่างนั้น เพราะตอนที่มาถึง ผมเห็นคีย์การ์ดยังอยู่บนหัวเตียง แต่ทว่าในห้องกลับว่างเปล่า ผมเลยสันนิฐานว่าสกายอาจออกไปข้างนอกแล้วลืมหยิบคีย์การ์ดไปด้วย

ผมนั่งรอในห้องอยู่นาน สกายก็ไม่กลับมาสักที ผมเองก็ไม่กล้ากลับก่อน เพราะกลัวสกายเข้าห้องไม่ได้ โทรไปเจ้าตัวก็ไม่ยอมรับสาย

“...?”

“ก็คีย์การ์ดของสกายยังอยู่ในห้องนอน” ผมว่า

“อ๋อ... สกายให้กูไว้อันหนึ่ง” นิวตอบออกมาอย่างไม่คิดอะไร มีเพียงผมที่รู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก

“มึงยังชอบสกายเหรอ” ผมถามออกไปตรง ๆ จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งนิวเคยมาสารภาพกับผมว่าเขาชอบสกาย

“แค่เคยมึงก็รู้นี่ แต่ตอนนี้กูเป็นเพื่อนกัน”

“งั้นกูขอคีย์การ์ดของสกายคืนด้วย”

“กูถามจริงเถอะอชิ มึงทำแบบนี้ทำไม ตัวมึงเองก็มีคนที่ชอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ”

“ก็ใช่...” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ถ้ามึงไม่ได้ชอบสกาย มึงปล่อยมันไปเถอะ สกายเล่าให้กูฟังหมดแล้ว”

“เรื่อง?” ผมเอียงคอมองด้วยความทรงสัย มีเรื่องอะไรที่ผมยังไม่รู้งั้นเหรอ

“ก็ที่มึงจูบกับคนของมึงในรถ ที่ลานจอดรถของห้างไง”

จูบ...?

“เดี๋ยวนะ สกายเห็นเหรอ”

"ก็เออไง"

"กูว่าสกายกำลังเข้าใจผิด"

“ผิดอะไร ก็มันบอกกูว่ามันเห็นกับตา” ผมว่าเรื่องมันชักจะแปลกเข้าไปทุกที ผมมีคนที่ชอบแล้วก็จริง แต่คนคนนั้นคือสกาย “มึงรู้ไหมว่ามันทำงานไม่ได้นอนมากี่วัน แต่มันก็ยังออกไปข้างนอกกับมึงโดยไม่บ่นสักคำ แค่มันรู้ว่ามึงจะมาหา มันก็ยอมเทนัดกูเผื่ออยู่กับมึงทั้งวัน มันชอบมึงขนาดนี้ มึงจะทำร้ายมันไปถึงไหน” คำพูดยาวเหยียดถูดโพล่งออกมาด้วยอารมณ์ แต่ผมกลับสะดุดที่ประโยคสุดท้าย

“สกายชอบกูเหรอ”

“ก็เออ... เดี๋ยวนะ กูพูดแบบนั้นเหรอ” นิวเบิกตาโพลง ก่อนจะเอามือปิดปากตัวเองไว้ “กูโมโห รู้ไว้ก็เหยียบต่อด้วยเดี๋ยวมันด่ากู ส่วนมึงถ้าไม่ได้คิดอะไร ก็หยุดความสัมพันธ์บ้า ๆ นี่สักที”

“คนที่กูชอบ กูหมายถึงสกาย”

“เออก็ดีแล้วนี่” นิวถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ห๊ะ!!! มึงชอบสกาย และ และ แล้ว... จูบ...บ”

“นั่นมันหลานกู---” ผมยังไม่ทันได้อธิบายต่อนิวก็ยกมือขึ้นเบรก

“พอเลยไม่ต้องเล่าต่อ เก็บไว้บอกสกายเถอะ มันควรรู้เป็นคนแรก”

“...”

“ว่าแต่มึงชอบสกายตอนไหนวะ ทำไมกูไม่รู้” นิวว่า

“ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ”

“งี้มึงก็ชอบสกายก่อนกู แล้วก็ก่อนที่สกายจะชอบมึงดิ”

“หมายความว่า?”

“ก็มันมาบอกกูว่าชอบมึงช่วงมอสี่เทอมสอง ตอนนั้นเจ็บฉิบหาย หัวใจกูแหลกสลายกลายเป็นผุยผง”

“ทำไมมึงไม่บอกกูให้เร็วกว่านี้” ถ้านิวบอกผมตั้งแต่ตอนนั้น ปานนี้เราสองคนคงไปไหนถึงไหนไปแล้ว

“มึงข้ามความเจ็บปวดกูได้หน้าตาเฉยมากเลยนะอชิ” นิวว่า “เรื่องนั้นสกายมันสั่งห้ามบอกใคร มึงก็ไม่บอกว่าชอบ กูจะไปรู้เหรอวะ ว่าพวกมึงชอบกัน”

มันก็จริงอีกนั่นแหละ...

“ก็มึงบอกกูว่าชอบสกาย จะให้กูทำยังไงล่ะ” นิวพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “แต่มึงอย่าบอกเรื่องที่เราคุยกันวันนี้กับสกายนะ” ผมอยากให้เรื่องนี้สกายได้ยินจากปากผมมากกว่า

“อะไรของพวกมึงวะ ชอบกันเสือกไม่บอกกัน กูคนกลางลำบากใจนะเว้ย”

“เออกูขอล่ะ”

“ก็คงต้องงั้น ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูกลับละ”

“เออขับรถดี ๆ ไม่ลงไปส่งนะ”

“ทั้งผัวทั้งเมีย เหมือนกันฉิบหาย” นิวว่าพลางหัวเราะเบา ๆ

ผมเดินออกมาส่งนิวที่หน้าประตูห้อง “คีย์การ์ดอย่าเนียน” เกือบลืมเรื่องคีย์การ์ดห้องสกายไปสนิท

“แหม หวงเก่ง แต่ก่อนไม่เห็นจะแบบนี้... เดี๋ยวนี้เอาใหญ่” นิวบ่นอุบส่งคีย์การ์ดมา ผมรับใส่กระเป๋ากางเกงตัวเองไว้

“เออ... อีกอย่าง เลิกเล่นกับเมียกูถึงเนื้อถึงตัวได้ล่ะ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”

“เอาเรื่องวะ เผลอแป๊บเดียวเรียกเมียแล้ว นี่กูยังออกไปไม่พ้นคอนโดฯ เลยนะ”

“เออ ๆ ไปได้แล้วพูดมากนา” ผมยืนมองนิวเดินหายเข้าไปในลิฟต์ก่อน จึงหมุนตัวเดินกลับเข้ามาในห้อง

ผมไม่เคยรู้ว่าก่อนเลยว่าสกายเองก็ชอบผมมาก่อน วันที่ผมถามสกายเรื่องของเราจะเอายังไงต่อ สกายกลับยืนข้อเสนอความสัมพันธ์ในรูปแบบ Friend with benefits

มันไม่ได้ถูกใจผมเท่าไหร่นัก แต่ก็เป็นโอกาสที่ผมจะได้ใกล้ชิดกับเขามากขึ้น ผมก็ยอม...

ตุบ!

ขณะที่ผมกำลังเตรียมน้ำ กับผ้าขนหนูผืนเล็กสำหรับใช้เช็ดตัวให้สกายอยู่ด้านนอก ผมก็ได้ยินเสียงในห้องนอน ราวกับว่ามีของหนัก ๆ ตกลงมา

ผมทิ้งทุกอย่างไว้ที่เดิม แล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องนอนอย่างไวว่อง ก่อนจะพบว่าสกายนอนจมกองอ้วกอยู่ที่พื้น

“สกาย!”

“อึก... นิวเหรอ” ในเวลาแบบนี้ทำไมถึงได้นึกถึงนิว “กูเหมือน... เหมือน... แหวะ~” เรียบร้อยแขนผม

กลิ่นคาวอ้วกคละคลุ้งกระจายไปทั่วห้อง ผมนั่งลูบหลังให้คนร่างบางเอาออกมาให้หมด ก่อนจะนอนคอพับไป แล้วจึงอุ้มร่างไร้สติไปวางไว้ในอ่างน้ำ

เห็นทีแค่เช็ดตัวคงเอาไม่อยู่...

ผมปล่อยให้สกายนอนอยู่อย่างนั้น ก่อนจะกลับออกมาเช็ดพื้นที่เลอะอยู่ด้านนอก หยิบสเปรย์ปรับอากาศฉีดเพื่อดับกลิ่นคาวในตอนแรก จนหอมฟุ้ง

เสื้อผ้าสกายถูกถอดออกกองแยกเอาไว้ ผมหันกลับมาเปิดน้ำอุ่นใส่อ่าง เมื่อน้ำเริ่มเต็ม ผมก็ถอดเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วลงไปนั่งซ้อนหลังสกาย

ขืนปล่อยเอาไว้มีหวังได้จมน้ำแน่...

“ทำไมถึงเมาขนาดนี้นะ” ผมบ่นพึมพำคนเดียว แต่ทว่าสกายกลับได้ยิน

“อชิเหรอ...” เมื่อกี้ยังจำผมไม่ได้อยู่เหรอแท้ ๆ

“รู้ด้วยเหรอว่าเป็นเรา” ผมถามต่อ

“จำกลิ่นน้ำหอมอชิได้” เสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมที่อยู่ข้างนอก กับตอนนี้ต่างกันยังไงเนี่ย

“น้ำร้อนไปหรือเปล่า”

“ไม่... กำลังสบายยย” สกายลากเสียงยาน ก่อนจะเอนกายพิงลงมา แผ่นหลังของเขาแนบเข้ากับแผ่นอกของผม ก่อนจะนอนหลับตาพริมด้วยท่าทีสบาย ๆ “ของอชิดันก้นเราอยู่ด้วยล่ะ”

“พอเมาก็พูดออกมาหมดทุกอย่างเลยนะ”

“ก็เราพูดความจริงนี่”

“แล้วมีอะไรที่อยากพูดอีกหรือเปล่า”

“อืม...” สกายหยุดคิดสักครู่หนึ่ง แล้วทำท่าเหมือนจะคิดอะไรออก “ของอชิใหญ่มาก ตอนใส่เข้ามาลึกถึงตรงนี้เลย” ว่าจบสกายก็จับมือผมไปลูบที่หน้าท้องของตัวเอง

นี่ผมกำลังคาดหวังจะได้ยินเขาบอกว่าชอบผมอยู่นะ

“มีอะไรอีกไหม” ผมยังไม่เลิกพยายามถามต่อ

“ก็มีอย่างหนึ่งที่กำลังพยายามทำอยู่ แต่ก็ทำไม่ได้สักที”

“...?”

“เราอยาก... อยากเกลียดอชิ ทุกอย่างคงจะดีกว่านี้”

“...” ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กอดรั้งสกายเอาไว้ ที่ผ่านมาผมไม่เคยรู้เลยว่าสกายคิดอะไร หรือรู้สึกอะไรอยู่ “สกาย... อย่าเกลียดเราเลยนะ”

“ทำไมอชิเอาแต่สั่ง สั่งอยู่นั่น! แต่ตัวเองกลับทำได้ทุกอย่าง เราไม่อยากฟังแล้ว!” ว่าจบสกายก็ตั้งท่าลุกขึ้น ไวกว่าความคิดมือก็คว้าสกายให้นั่งลงตามเดิม

“เราขอโทษ...” เสี้ยววินาทีต่อจากนั้นริมฝีปากของเราก็ประกบกัน

ใบหน้าขาวหลับตาพริมรับรสจูบที่ไม่เคยมอบให้กันมาก่อน ปากขยับขบเม้มอย่างละเมียดเก็บเอาทุกสัมผัส จูบกันเพียงไม่นาน เราก็ผละริมฝีปากออก เว้นช่วงให้เอาอากาศเข้าปอด ผมสบตาคู่สวยอยู่พัก ก่อนจะเลื่อนสายตาต่ำลงไปที่ริมฝีปากอวบอิ่ม แล้วกลับมาสบตากันอีกครั้ง

สกายคลายริมฝีปากช้าๆ จนกลายเป็นรอยยิ้มขึ้นมา เราต่างรับรู้ได้ถึงความต้องการของกันและกัน จูบเพียงไม่กี่นาทีมันยังไม่พอ...

ผมกดจูบลงบนกลีบปากสีหวานเป็นครั้งที่สอง ก่อนจะค่อย ๆ สอดปลายลิ้นแตะที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายเพื่อเป็นการขออนุญาต

สกายตอบสนองกลับมาด้วยท่าทีเงอะงะ ชวนให้รู้สึกเอ็นดูในความพยายาม

ผมรับหน้าที่เป็นผู้นำ และเขาก็เป็นผู้ตามอย่างว่าง่าย ฝ่ามือยังคงปัดป่ายไปจนทั่วแผ่นอก สลับกับใช้ปลายนิ้วบดคลึงยอดอกจนขึ้นแข็ง แล้วจึงลากลงไปกอบกุมแกนกายที่กำลังตั้งชัน

“อาาา...” เสียงผะแผ่วหลุดออกมาเมื่อฝ่ามือเริ่มขยับชักรูดขึ้นลง

“รู้สึกดีไหม”

“อื้ออ... จะทนไม่ไหวแล้ว เร็ว เร็วหน่อย อ๊ะ...!” ผมเร่งจังหวะฝ่ามือให้เร็วขึ้นจนน้ำในอ่างไหวขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่นานนักของเหลวสีขาวข้นก็พุงออกมาผสมกับน้ำในอ่าง ฝ่ามือยังคงรีดเอาทุกหยาดหยดออกมาอย่างเชื่องช้า

“ไปที่เตียงไหม” ผมว่า

สกายขยับหยัดตัวตรง ก่อนจะหันหน้ากลับมา นั่งคร่อมทับตัวเอาไว้

“ตรงนี้แหละ” ว่าจบ สกายก็ใช้ฝ่ามือชัดรูดแกนกายให้ตั้งตรง แล้วจึงค่อย ๆ กดสะโพกตัวเองลงไปอย่างเชื่องช้า “อ๊ะ!...”

“เจ็บเหรอ”

“มันเข้าไม่ได้...” ให้ตายเถอะ สกายตรงหน้าผมตอนนี้ ทำให้ผมรู้สึกอยากแกล้งที่สุด เขากำลังเบะปากจนคว่ำ ใบหน้าแดงก่ำลามไปถึงคอ

“เรายังไม่ได้เปิดทางเลย เดี๋ยวเราจัดการเอง”

“ไม่ต้องยุ่ง เราจะทำเอง อชิอยู่เฉย ๆ ไปเลย” ดวงตาสกายฉายแววดื้อลั่น ห้ามยังไงก็คงไม่ฟังแล้วสินะ “แค่ใช้นิ้วใช่ไหม” ผมพยักหน้ารับปล่อยให้เขาทำอย่างที่ตัวเองอยากทำ

ผมนั่งมองดูท่าทางเงอะงะ ที่กำลังพยายามดันนิ้วเข้าไปที่ช่องทางหลังของตัวเองอย่างตั้งใจ แต่ทว่ามันทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนจนแทบทนไม่ไหว

ทุกครั้งที่เรียวนิ้วขยับเข้าออก สกายเผยสีหน้าปลุกเร้าอารมณ์ออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“สกายพอแล้ว” ผมว่าเมื่อความอดทนมาถึงขีดจำกัด

“เราเอาเข้าไปเลยนะ”

“อืม...” ฝ่ามือเล็กกอบกุมแกนกายจนมั่นเหมาะ ก่อนจะกดสะโพกลงไปอย่างเชื่องช้า “อา...” ผมหลุดคางเสียต่ำ เมื่อสะโพกกดลงไปจนสุดความยาว

วงแขนเรียวเล็กเหวี่ยงขึ้นมาโอบรอบคอเอาไว้ ก่อนจะก้มหน้าซบลงที่ลาดไหล เสียงหายใจหอบถี่ราดรดซอกคอจนรู้สึกอุ่น

“อชิชอบไหม เราทำแบบนี้อชิชอบหรือเปล่า” มันเป็นคำถามธรรมดา แต่มันกลับให้ความรู้สึกว่าเขากำลังทำเพื่อผม

ผมไม่ได้ต้องการแบบนั้น ผมต้องการให้เรามีความสุขด้วยกัน...

“แล้วสกายชอบหรือเปล่า” ผมถาม พลางยกฝ่ามือลูบที่พวงแก้มใสอย่างเบามือ

“ถ้าอชิชอบ เราก็ชอบ” สกายตอบ ก่อนจะหลับตาลง แล้วขยับหน้าตัวเองแนบคลอเคลียกับฝ่ามือ ที่กำลังสัมผัสพวงแก้ม

ผมคว้าท้ายทอยของสกายเข้ามากดจูบอีกครั้ง ความรู้สึกที่เคยชอบถูกแปลเปลี่ยนเป็นความรู้สึกรัก ผมอยากจะครอบครองสกายเอาไว้เพียงคนเดียว...



สกายถูกอุ้มออกมาจากห้องน้ำ หลังจากที่เราทำกันไปหลายครั้งจนสกายขาสั่น เดินออกมาจากห้องน้ำเองไม่ไหว จัดการหาใส่เสื้อผ้าให้เขาใส่จนเสร็จสรรพ จึงแทรกกายเข้ามานอนกอดคนร่างบางเอาไว้

ภายในห้องมืดสลัว เงียบสงัดไร้เสียงจากรอบนอก มีเพียงเสียงของหัวใจที่เต้นดังถี่จนแทบทะลุออกมานอกอก

“สกายอย่าเกลียดเราเลยนะ” ผมถามออกมาท่ามกลางความเงียบ

“...เราลองแล้ว” เสียงสกายตอบผะแผ่ว “แต่ก็ทำไม่ได้สักที” ผมหลุดยิ้มกว้างออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ วงแขนกระชับกอดแน่นขึ้น ให้ร่างกายเราได้แนบกัน

หวังว่าในรุ่งเช้าที่กำลังจะมาถึง จะไม่ทำให้สกายลืมสิ่งที่พูดเอาไว้ และผมจะทำให้เรื่องทุกอย่างจบลงให้เร็วที่สุด...



Rrr…

มือถือแผดเสียงออกมา แสงสว่างจากหน้าจอก็สว่างวาบไปทั้งห้อง ผมขยับแขนที่กอดสกายเอาไว้ออก เพื่อเอื่อมไปกดรับสาย

ตัวเลขหน้าจอปรากฏเบอร์ของคนคุ้นเคย พี่สายฝน... ตีสี่กว่าแล้วทำไมถึงได้โทรมาเช้าขนาดนี้

“ครับ”

[อชิ ฮือ... อาซา อาซา]

“สายใจเย็น ๆ ก่อน อาซาเป็นอะไร” เสียงสะอื้นของพี่สายทำให้ผมดีดตัวขึ้นนั่ง

[พี่ไม่รู้อาซาหมดสติไปตอนไหน พี่ลงมาเข้าห้องน้ำ... อชิ พี่ไม่รู้จะทำยังไง พี่กลัวไปหมด]

“สายอยู่ที่ไหน เดี๋ยวจะรีบออกไป”

[อยู่โรงพยาบาลxxx]

“ครับเดี๋ยวผมตามไป” สายถูกตัดในเวลาต่อมา

ผมลุกขึ้นเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองมาสวมอย่างไวว่อง จังหวะที่กำลังสาวเท้าออกจากห้องนอน ผมก็ถูกรั้งเอาไว้ “ไม่ไปไม่ได้เหรอ...” เท้าของผมหยุดชะงักทันที เสียงสกายสั่นเครือ แขนทั้งสองยังกอดเอวผมเอาไว้แน่น

ผมแกะมือสกายออก แล้วหันหน้ากลับไปกอดสกายเอาไว้ ผมอยากอธิบายทุกอย่างให้สกายฟัง แต่ตอนนี้เวลาคงไม่มากพอ ที่จะอธิบายอะไร

“เราขอโทษ แต่เราต้องไปจริง ๆ อาซา---” ยังไม่ทันพูดจบสกายก็ใช้มือปิดปากผมเอาไว้

“โอเค เราเข้าใจแล้ว” ว่าจบสกายก็เอามือออกแล้วเดินห่างออกไป

“สกาย... เราจะรีบกลับมา” เท้าที่กำลังสาวอยู่หยุดชะงักทันที “ถึงตอนนั้นเราจะเล่าทุกอย่างให้สกายฟังเอง”

“...” สกายเงียบอยู่สักพัก ผมได้ยินเพียงเสียงพรูดลมหายใจออกมาทางปาก ก่อนเขาจะสาวเท้ากลับไปนอนดังเดิม

Rrr…

เสียงมือถือดังขึ้นอีกครั้ง หน้าจอปรากฏเบอร์เดิม

“ครับผมกำลังออกไป”





#แฟนwithbenefits





*ชื่อตอน เพลง ความรักกำลังก่อตัว - นนท์ ธนนท์





-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -5-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 27-08-2021 13:16:27
แฟน║FRIEND WITH BENEFIT

บทที่

-5-

Why not tell somebody you love them before it’s too late?



“พี่สาย อาซาเป็นยังไงบ้างครับ”

“น้องพ้นขีดอันตรายแล้ว อาการเดิมนั่นแหละ ตอนนี้หมอกำลังย้ายน้องไปที่ห้องพักฟื้น” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก “ขอโทษนะที่ทำให้อชิต้องรีบมา พี่ตกใจมากเลยรีบโทรหาอชิไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรครับ น้องปลอดภัยผมก็สบายใจ”

“ขอบคุณมากนะอชิ... พี่วานอะไรแกหน่อยสิ พอดีรีบมาจนไม่ได้เอาอะไรติดมาด้วย จะฝากน้องแป๊บน่ะ” ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ ยังพอเหลือเวลาก่อนสกายตื่นอยู่หลายชั่วโมง จึงตกปากรับคำ

“ได้ครับ”

ผมตรงมายังห้องพักฟื้นตามที่หมอแจ้งเอาไว้ในเวลาต่อมา คนตัวเล็กยังคงหลับสนิทอยู่ อาซาเป็นหลานของผม หลังจากที่คุณแม่ผมเสีย เราก็มีกันสองคนพี่น้อง พี่สายทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่นานพี่สายก็เลิกกับสามี โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองท้อง วันที่อาซาเกิดผมก็อยู่ในห้องคลอดด้วย พี่สายจึงให้ผมเป็นพ่อทูนหัว

ผมช่วยเลี้ยงอาซาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก เราตัวติดกันตลอดจนใคร ๆ ก็คิดว่าอาซาเป็นน้องชายผมไปแล้ว

ช่วงอายุสิบห้าอาซามีภาวะหัวใจขาดเลือด ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง เดือนหน้าพี่สายมีแพลนจะพาน้องไปรักษาตัวที่อเมริกา กับเพื่อนที่เป็นหมออยู่ที่นั่น แต่อาซาดันเข้าโรงพยาบาลเสียก่อน

“เดี๋ยวพี่จะรีบกลับมานะ รบกวนที”

“กวนอะไรกันล่ะครับ หลานผมทั้งคน”

ผมลงไปส่งพี่สายขึ้นรถ แล้วพาตัวเองกลับเข้ามาในห้องพัก ทิ้งตัวลงนั่งกับโซฟาตัวยาว มือถือในกระเป๋ากางเกงถูกหยิบออกมา ตัวเลขบนหน้าจอบอกเวลาหกโมงเช้า

สกายจะหลับอยู่หรือเปล่า เขาจะรอผมอยู่ไหม...

ผมสะบัดความคิดทั้งหมดทิ้ง แล้วกดเข้าแอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก มันเป็นพื้นที่ความทรงจำที่ผมใช้ซ่อนความรู้สึกที่ผ่านมา

อัลบั้มรูปที่ถูกตั้งเป็นส่วนตัวถูกกดเข้าไป ในนั้นมีรูปสกายในสมัยที่เรายังเรียนอยู่ด้วยกัน พอดูแล้วก็อดคิดถึงเมื่อก่อนไม่ได้ ถึงแม้ว่าผมกับสกายจะไม่ได้สนิทกันมาก แต่ก็มีช่วงเวลาให้เราได้เก็บความทรงจำดี ๆ ร่วมกัน

รอยยิ้มสกายสดใสเหมือนท้องฟ้า มีดวงตาที่ส่องประกายคล้ายดวงดาวประดับอยู่ วันแรกที่ได้เจอกัน ผมก็รู้ได้ในทันทีว่าผมชอบเขาเข้าอย่างจัง ถึงเรื่องนี้จะผ่านมานานแล้ว แต่ความรู้สึกของผมก็ยังเหมือนเดิม

ผมเคยพยายามตัดใจจากสกาย เพราะนิวมาสารภาพกับผมว่ารู้สึกเกินกว่าเพื่อนกับสกาย ความสนิทของเขาทั้งสองทำให้ผมรู้ว่ายังไงตัวเองก็แพ้

หลายครั้งที่ผมพยายามคบคนที่คล้าย หรือใกล้เคียงกับสกาย เพื่อทดแทนความรู้สึกของตัวเองที่ผ่านมา สุดท้ายผมก็รู้ว่า ไม่มีใครแทนใครได้จริง ๆ ผมคิดว่าเราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว จนกระทั่งวันงานเลี้ยงรุ่น ผมไปแทบทุกปีเผื่อว่าจะได้เจอสกายอีกครั้ง แต่ไม่ว่าจะปีไหนผมก็ไม่ได้เจอเขาเลย ในวันที่หมดหวังผมก็ได้พบกับเขา

มันเหมือนภาพเก่า ๆ ฉายซ้ำ คำตอบในใจก็ยิ่งชัดเจนว่ามันยังคงเป็นสกาย และยังเป็นมาตลอด...



แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ลอดผ่านม่านขาว กระทบในหน้าจนรู้สึกอุ่น ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตื่นขึ้นมาก็เห็นอาซานั่งตาแป๋วกินผลไม้ กับพี่สาย

“ตื่นแล้วเหรอ เห็นอชิหลับพี่เลยไม่ได้ปลุก” พี่สายว่า

“กี่โมงแล้วอะสาย” ผมว่าพลางใช้มือขยี้ตาตัวเอง

“สิบโมงกว่าแล้วจ้ะ”

“ฮะ!” ผมรีบคว้ามือถือกดส่งข้อความหาสกายทันที รออยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว “งั้นผมไปก่อนนะครับเดี๋ยวผมมาใหม่”

“จ้ะ อชิไปพักเถอะ พี่ขอบคุณแกมาก”

“พี่อชิจะไปไหนครับ” อาซาว่า "ผมเพิ่งตื่นเองนะ"

“พี่มีธุระเดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มานะคนเก่ง”

“จะไปหาพี่สกายใช่ไหม ผมไม่ชอบพี่เขาเลย" อาซาดึงหน้าตึง อาการแบบนี้เรียกว่า อาการหวงพี่ชาย ทุกครั้งที่ผมเริ่มคบใคร อาซาจะงอแงกว่าปกติ "พี่เขาจะแย่งพี่อชิไปจากอาซาครับคุณแม่” อาซาหันไปฟ้องพี่สายแทน

“อาซาอย่ากวนพี่อชิสิลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ไม่ให้พี่อชิมาแล้วนะ”

“ไม่เป็นไรครับ” ว่าจบผมก็เดินมายังเตียง กอดอาซาเอาไว้หลวม ๆ “ไม่มีใครแย่งพี่อชิไปจากอาซาหรอกนะครับ พี่อชิรักอาซามาก เพราะอาซาเป็นเด็กใจดี พี่อชิอยากให้อาซาแบ่งพี่อชิให้กับน้าสกายด้วยได้ไหม”

“ก็ได้... อาซาจะแบ่งให้ แต่แค่นิดเดียวนะครับ พี่อชิต้องรักอาซามากกว่าด้วย”

“ได้ครับ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาหาใหม่นะ อยู่กับคุณหมีแล้วก็คุณแม่ไปก่อน” ผมหยิบตุ๊กตาหมีที่เคยให้สกายช่วยเลือก ออกมาจากกระเป๋าที่พี่สายเตรียมมาด้วย “พี่อชิไปก่อนนะครับ”

“ครับ”

ผมบอกลาอาซา แล้วพาตัวเองมาที่ลานจอดรถอย่างเร็วรี่ กุญแจรถถูกบิดให้สตาร์ท เครื่องยนต์ก็เริ่มทำงานตามหน้าที่ของมัน ระหว่างทางผมแวะซื้ออาหารเช้าเข้าไปด้วย สกายน่าจะยังไม่ตื่น หลังจากได้เห็นสภาพของเขาเมื่อคืน

ใช้เวลาอยู่บนถนนกว้างไม่นาน ผมก็พาตัวมาถึงห้องของสกาย ภายในห้องเงียบสนิทจนผมต้องเดินเข้าไปดู ...เขายังไม่ตื่น สกายยังคงหลับอยู่บนที่นอน ผ้าห่มม้วนพันตัวจนกลมเหมือนก้อนอะไรสักอย่าง

ผมค่อย ๆ ใช้ปลายนิ้วเขี่ยเอาผมที่ปรกหน้าออก เพื่อให้เห็นใบหน้าของคนที่หลับอยู่ชัดขึ้น ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนหน้าผากนู้นอย่างแผ่วเบา

“อื้อ... อชิมาแล้วเหรอ” เสียงงัวเงียพูดขึ้นพลางเอานิ้วมือขยี้ตาตัวเอง "เราตื่นมาไม่เจออชิเลยนอนต่อ"

“ขอโทษนะที่มาช้า ปวดหัวไหม?”

“นิดหน่อย”

“สกายลุกไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะ เดี๋ยวเราออกไปจัดโต๊ะอาหารรอ สกายจะได้กินยา”

“อืม ๆ” คนร่างบางพยักหน้าหงึก ๆ อ้าปากหาวหวอดๆ จนน้ำตาไหล

ผมปล่อยให้เขาจัดการตัวเอง ส่วนผมก็ออกมาจัดโต๊ะอาหารรออย่างที่ว่าไว้ สกายเดินออกมา ทั้งที่ใบหน้ายังมีหยดน้ำเป็นเม็ดเกาะอยู่ ผมก็ถูกมัดรวบเป็นจุกน้ำพุอย่างลวก ๆ

“ยิ้มอะไร...” สกายว่า

“เปล่า... น่ารักดี”

สกายทำทีไม่สนใจ แต่ทว่าใบหูกลับแดงก่ำ ผิวขาว ๆ ขึ้นสีชมพูระเรื่อ

ระหว่างนั่งทานข้าว เราพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ส่วนมากจะเป็นเรื่องเมื่อก่อนตอนที่ยังเรียนอยู่

“พูดแล้วก็อยากกลับไปตอนนั้น ชีวิตมอปลายสนุกดีเนอะ” สกายว่า

“อืมนั้นสิ” ผมว่า “สกายติดงานหรือเปล่าล่ะ เรากลับไปที่โรงเรียนกันไหม”

“ก็ว่างแหละ แต่ช่วงนี้โรงเรียนปิดเทอม เขาจะให้เข้าไปเหรอ”

“เราก็พอมีวิธีแหละ สกายจะเอาด้วยเปล่าล่ะ”

“ชวนขนาดนี้แล้วก็ต้องไปแล้วปะ”

เราแบ่งหน้าที่กันทำหลังทานข้าวเสร็จ สกายขอล้างจานเอง ส่วนผมมีหน้าที่เก็บโต๊ะอาหาร เรียบร้อยจากงานครัวผมก็ลงมาหยิบเสื้อผ้าของตัวเองที่รถ แล้วปล่อยให้สกายใช้ห้องน้ำก่อน เมื่อสกายออกมา ผมก็เข้าไปใช้ต่อทันที

ใช้เวลาแต่งตัวไม่นานก็พร้อมออกเดินทาง...

สี่ล้อเคลื่อนตัวออกจากที่พักมุ่งตรงไปยังพื้นที่แห่งความทรงจำ มองจากด้านนอกโรงเรียนเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก แต่ก็ยังมีบริเวณที่ยังคงสภาพเดิมอยู่บ้าง

“ลุงรปภ.จะให้เข้าเหรอ”

“ตามเรามาเถอะนา” ว่าจบผมก็เปิดประตูรถแล้วเดินออกมาข้างถนน มองดูรถซ้ายขวา แล้วกุมฝ่ามือของสกายเอาไว้ เพื่อพากันข้ามไปยังร้านของชำหน้าโรงเรียน

“ป้าครับเอ็มร้อยห้าขวด”

“ห้าสิบบาทจ้า” ผมยื่นธนบัตรส่งไป รับถุงเครื่องดื่มไว้ในมือ แล้วพากันข้ามกลับมายังฝั่งของโรงเรียนตามเดิม ผมพากันเดินไปยังป้อมหน้าโรงเรียน ชะเง้อมองอยู่พักก็เห็นคุณลุงคนเดิม ที่เคยประจำอยู่เดินออกมา

“คุณลุง”

“ครับ ๆ มาทำอะไรครับ” ลุงรีบสาวเท้าเข้ามาใกล้ทันที

“จำผมได้ไหม” ว่าจบผมก็ชูถุงเอ็มร้อยขึ้น

“อ้าวนึกว่าใคร ไอ้เด็กเอ็มร้อยนี้เอง โตขึ้นเยอะเลย”

“ผมอยากจะขอเข้าไปในโรงเรียนหน่อยได้ไหมครับ ไม่ได้มานานคิดถึง”

“ออกมาก่อนหกโมงเย็นล่ะ ลุงจะปิดประตูรั่ว”

“ได้ครับลุง แล้วนี่มีครูอยู่บ้างไหมครับ”

“ก็ยังมีอยู่ ลองแวะเข้าไปดูสิ”

“ขอบคุณมากครับลุง”

ผมเดินจูงมือสกายเข้ามาในโรงเรียนอย่างง่ายดาย สกายเบิกตามองอย่างสงสัย ถึงผมจะอยู่ห้องคิง ก็มีโมเมนต์โดดเรียนอยู่บ้าง แต่วิธีการของผมกับสกายอาจจะต่างกัน

เพียงแค่ก้าวเข้ามา ผมรู้สึกเหมือนกำลังเดินทางย้อนเวลากลับมายังพื้นที่แห่งความทรงจำ บางมุมอาจจะเปลี่ยนไป แต่ก็ยังมีมุมที่ยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยน

“ทำแบบนี้ได้ไม่เห็นเคยบอกกัน” สกายว่า

“แล้วปกติสกายทำยังไง”

“ไอ้นิวพาปีนกำแพงหลังห้องน้ำอะดิ”

“เราก็เคยปีน แต่มันลำบากไปหน่อย”

“ก็ต้องลำบากดิ ตอนนั้นอชิขาสั้นจะตาย ฮ่า ๆ” สกายว่าพลางกลั้วหัวเราะออกมา

“แต่ตอนนี้ยาวแล้วนะ” ผมโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา ชวนให้คนฟังคิดลึก ก่อนจะกระตุกยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

“ทะลึ่ง!”

“ทะลึ่งอะไร เราหมายถึงขา” ผมว่า

“หึ้ย! เราไม่คุยด้วยแล้ว” สกายว่าพลางแลบลิ้นใส่ ก่อนจะเดินห่างออกไปอย่างไม่สนใจผมที่ยืนอมยิ้ม

“สกายรอเราด้วย...”

ผมวิ่งตามสกายมายังสนามบาสฯ เมื่อก่อนสนามมีเพียงสนามเดียว ตอนนี้มันถูกเพิ่มมาอีกหนึ่งสนาม “เล่นบาสฯ กันไหม” ผมถาม

สมัยนั้นสกายเป็นนักบาสของโรงเรียน จะมีคนค่อยตามเชียร์ทุกครั้งที่ลงแข่ง หนึ่งในนั้นก็มีผม ไม่ว่าจะลงแข่งครั้งไหน ผมจะยืนอยู่ข้างสนามเสมอ ใจจริงอยากลงเล่นด้วยมากกว่า แต่ผมช้าไปหน่อย ทีมเลยเต็มเสียก่อน

แต่หลังจากเข้ามหา’ลัย ผมเองก็เข้าชมรมนักบาสฯ ของคณะ

“เอาสิ แต่อชิจะไหวเหรอ”

“ทำไมสกายกลัวเหรอ?” ผมไหวไหล่ไปมา ก่อนจะหรี่ตามองสกายอย่างเอาเรื่อง

“แหม... เอางี้ถ้าใครชนะคนนั้นจะได้เป็นพระราชา ขออะไรก็ได้หนึ่งอย่าง”

“ดีลครับคุณสกาย” ผมกระตุกยิ้ม

ลูกบาสฯ สีส้มวางอยู่กลางสนามถูกหยิบกระแทกลงกับพื้น กระเด้งขึ้นไปทางสกาย เขารับลูกไว้ก่อนจะส่งลูกบาสฯ มาให้ผม

เรายื้อแย้งกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สุดท้ายสกายก็ทำแต้มนำไปก่อน “จะไหวไหมครับคุณอชิ นักกีฬาประจำโรงเรียนอย่างผมจะดูเอาเปรียบเกินไปหรือเปล่า” สกายว่าพลางยกยิ้ม

“ของจริงมันหลังจากนี้ต่างหาก” ว่าจบลูกบาสฯ ที่เคยอยู่ในมือสกายก็ถูกแย่งมาอยู่ในมือผม สกายพุงตัวเข้ามา ผมก็ชิงชูตลูกบาสฯ ลงห่วงทันที “แบบนี้เรียกว่าสามแต้มหรือเปล่าครับ” ผมจงใจพูดยียวนกวนประสาท

“แพ้ก็อย่าร้องไห้ล่ะ” สกายว่า

สามนาทีต่อมา ผมก็เริ่มทำคะแนนตีห่างแบบขาดลอย

“ยังไงครับคุณนักบาสฯ” ผมเอ่ยปากแซวสกายที่ทิ้งตัวลงนั่งหอบแฮก

“เรายอมแพ้ เราไม่ไหวแล้ว”

ผมเอาลูกบาสฯ ไปเก็บไว้ที่เดิม ก่อนจะเดินไปที่สแตนด์เชียร์ที่มีสกายนั่งรออยู่ก่อนแล้ว หน้าของสกายแดงก่ำ ตัวก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมเองก็ไม่ต่างกัน

“สกายรู้ไหม จริง ๆ เราเป็นนักบาสฯ ของคณะด้วยล่ะ”

“อ้าว... ถ้าอชิบอกตั้งแต่แรกเราคงไม่เล่น”

"ก็เราอยากเล่นกับสกายนี่ ตอนเรียนก็ไม่เคยได้เล่นด้วยกันเลย"

"ก็จริง เราอยู่คนละห้องนี้เนอะ กว่าจะได้อยู่ด้วยกันก็มอหก"

“..." ผมไม่ตอบ เพียงแค่พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

เราทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไรต่อ นั่งกันเงียบ ๆ อยู่พักใหญ่ ปล่อยให้ลมพัดเอาความเย็นกระทบกับผิว จนเหงื่อเริ่มแห้ง บรรยากาศกำลังดี มันเหมาะแก่การเคลียร์ใจ

"สกาย---"

“จะหกโมงเย็นแล้ว กลับกันเถอะ” ยังไม่ทันได้เข้าประเด็น สกายก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน คำพูดที่เตรียมมาถูกเก็บกลืนลงคอทันที

“เราว่าจะชวนสกายไปนั่งเล่นที่สวนใกล้ ๆ”

"สวนในหมูบ้านน่ะเหรอ?"

“อืม สกายเคยไปเหรอ”

“นิวเคยพาไป แต่ไม่บ่อย เราไปกันเลยไหมเดี๋ยวมืด”

"เอาสิ" ว่าจบสกายก็กระโดดลงจากสแตนด์เชียร์ เดินน้ำหน้าผมไปไม่ไกลนัก สายตาผมจ้องมองแผ่นหลังกว้าง ที่เมื่อก่อนทำได้เพียงมองเขาอยู่ห่าง ๆ แต่ตอนนี้เราใกล้กันแค่เอื้อมมือ

ที่ผ่านมาผมไม่เคยรู้เลยว่าสกายเองก็ชอบผม มันมีช่วงหนึ่งที่คิดเข้าข้างตัวเอง แต่จู่ ๆ สกายก็เปลี่ยนไป เหมือนว่าเขาพยายามหลบหน้า จนผมคิดว่าเขาอาจจะเกลียดผมไปแล้วก็ได้

ในวันที่พยายามหาคำตอบ นิวก็เข้ามาสารภาพกับผมว่าเขาชอบสกาย วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้ว่าตัวเองต้องถอยออกมา นิวไม่ผิดเลย ผมเองที่ไม่ยอมพูดอะไร...



สวนสาธารณะของหมู่บ้าน คือจุดหมายปลายทาง มันอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก เป็นสถานที่ที่ผมกับนิวชอบมากันเป็นประจำ แต่ผมมีที่มุมส่วนตัวอยู่มุมหนึ่ง เป็นที่ประจำหากผมมาคนเดียว

ผมพาสกายมานั่งริมบึง บริเวณนี้อากาศค่อนข้างเย็นสบาย มีลมพัดเป็นระยะ มีคนวิ่งออกกำลังกายไม่มากเท่าบริเวณอื่น

“ยังไม่เคยมาตรงนี้เลย” สกายว่า

“ถ้าเรามาคนเดียว เราจะชอบมานั่งตรงนี้” ว่าจบผมก็ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นหญ้า อย่างไม่กลัวว่าเสื้อจะเปื้อนหรือเปล่า

ท้องฟ้าสีส้มกำลังเปลี่ยนสี ดวงตะวันกำลังบอกลาท้องฟ้าสีฟ้า ดวงไฟดวงกลมถูกเปิดตลอดทางเดินเป็นทางยาว สกายทิ้งตัวลงนอนด้านข้างบ้าง วันนี้ท้องฟ้าโปร่ง มากพอจะทำให้เราได้เห็นดาว

แปะ!

เสียงฝ่ามือตีหน้าตัวเองเสียงดัง ผมหันกลับไปมองยังต้นเสียง

“ยุงกัดเหรอ”

“อืม คงเพราะเราใส่เสื้อสีดำแน่ ๆ” ผมหลุดหัวเราะเสียงดัง สกายไม่ได้แสร้งพูดให้ผมหัวเราะ แต่เพราะความที่สกายเป็นสกายมากกว่าที่ทำให้ผมหัวเราะ และยิ้มได้ในเวลาเดียวกัน

“สกายตลกนา เรานั่งริมบึงนะ จะใส่เสื้อสีไหนก็ยุงกัดทั้งนั้นแหละ” ผมว่า

หลังจากนั้นเราไม่มีคำพูดอะไรอีก นอนจากนอนมองดาวบนฟ้าที่ส่องประกายระยิบระยับ ฟังเสียงจักจั่นร้องระงมประสานเสียง แบบนี้สินะที่เรียกว่าธรรมชาติบำบัด

“อชิจำตอนที่เราไปเที่ยวเชียงใหม่ ช่วงปิดเทอมมอหกได้ไหม”

“จำได้สิ” ผมจำได้ไม่เคยลืมเลยล่ะ เป็นความทรงจำครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะไม่ได้เจอกันอีก

“ดาววันนั้นสวยเนอะ”

“อืม”

"ไว้เราหาเวลาว่างไปกันอีกดีไหม"

“เอาสิ... อยากไปดูดาวด้วยกันอีกสนุกดี"

"อชิชอบดูดาว?" สกายพลิกตัวนอนตะแคงข้างเข้าหาผม

"เราชอบเวลาที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว”

“แบบนี้... อชิก็ไม่ชอบท้องฟ้าตอนกลางวันน่ะสิ เพราะมันไม่มีดาว”

“เปล่า...” ผมหันกลับไปตอบสกาย ก่อนจะประสานสายตาเข้ากัน “เราชอบท้องฟ้าต่างหากล่ะ”

“...” สกายไม่ได้ตอบอะไร นอกจากสายตาที่จ้องมองมา คำตอบมันอยู่ในนั้น ท้องฟ้าที่ผมว่ามันก็คือเขานั่นแหละ

“สกายข้อหนึ่งที่เราจะขอ เราขอเลยได้ไหม”

“อืม”

“ขอจูบนะ...” ผมโน้มใบหน้าเข้าใกล้ ก่อนเราจะเผยอปากออกเล็กน้อยเพื่อครอบครองริมฝีปากอวบอิ่ม ปล่อยให้บรรยากาศพาเราล่องลอยไปกับรสสัมผัส ก่อนจะผละออกจากกันในเวลาต่อมา

"..."

“เราชอบสกาย...”







#แฟนwithbenefits





ฮือออ แอบกังวลมาก ๆ ไม่คิดว่าจะมีคนอ่านนิยายเรื่องนี้ กลัวจัง กลัวนักอ่าน อ่านแล้วผิดหวัง
ติชม วิจารณ์ เพื่อให้เราพัฒนาต่อได้นะครับ น้อมรับ และแก้ไขปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ครับ
ขอบคุณนักอ่านทุกคนนะครับ
รัก<3



ชื่อตอน เพลง WHAT WOULD YOU DO?- HONNE

-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 27-08-2021 21:18:36
 :pig4: ขอบคุณนักเขียน มาทีสองตอนเลย ปลื้ม
 :กอด1: เขาบอกชอบกันแล้วอะ จะยังไงต่อละเนี้ย

ปล. ไม่ต้องกลัวคนอ่านผิดหวังนะค่ะ ยังไงเราก็ชอบ
และจะชอบมากๆ ถ้ามาลงบ่อยๆ  :L1:
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 27-08-2021 23:54:29
สนุกมากครับ เป็นกำลังใจให้นะครับ
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -6-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 29-08-2021 01:28:58
แฟน║FRIEND WITH BENEFIT

บทที่

-6-

*รักในวัยรุ่นคือรักครั้งแรก



'การได้ตกหลุมรักใครสักคนมันก็ดี'

'แต่มันจะดีกว่าหากว่าเราสมหวังกับคนคนนั้น'


เสียงเพลงจากงานเทศกาลสุดท้ายก่อนที่โรงเรียนจะเปิด ดังแทบจะทุกทิศ มันคือ เทศกาลสงกรานต์

“อชิ อันนี้นิมลูกพี่ลูกน้องกูรุ่นเดียวกัน”

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ เราอชิ” ผมตอบกลับ และแนะนำตัวบ้าง

วันสุดท้ายของการเล่นน้ำ นิวนัดผมให้ออกมาเจอกันที่ร้านเบเกอร์รี่ของเขา ที่ตั้งอยู่แถวสยามสแควร์

นิวกับผมเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยมต้น เราเรียนที่เดียวกัน ขนาดปีนี้ขึ้นมอสี่ก็ยังอยู่ด้วยกัน ถ้าได้เรียนห้องเดียวกันอีกก็คงจะดี

“ไปยังอะ” นิวพูดขึ้นหลังจากที่ทุกคนพร้อมแล้ว

“รอเพื่อนกูก่อน” นิมลูกพี่ลูกน้องนิวว่า “นั้น... มาพอดีเลย” ผมหันไปมองตามปลายนิ้วของนิม

เด็กผู้ชายตัวสูงผิวขาวละเอียด สวมเสื้อยืดสีชมพูอ่อน มีเสื้อฮาวายสีฟ้าทับอีกที เขาสวมกางเกงขาสั้นสีครีมกับรองเท้าแตะสีดำ แก้มทั้งสองมีรอยแป้งสีขาวประอยู่

น่ารักจัง...

“สวัสดี” เขาทักทายเราทั้งสามคนที่ยืนอยู่

“ทำไมมาช้าจัง” นิมว่า

“รถติดน่ะ ขอโทษที”

“รถไม่ติดจะมาได้เหรอ” หนนี้เป็นนิวที่พูดขึ้น ก่อนเราทุกคนจะหัวเราะออกมา แล้วเริ่มแนะนำตัวอีกครั้ง

เขาบอกว่าเขาชื่อสกาย อืม...

ก็เหมาะอยู่นะ เพราะเวลาที่เขายิ้มสดใสเป็นบ้าเลย

“นี่ ๆ อย่าเพิ่งไป” สกายว่าพลางหยิบถุงอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกง มันคือถุงแป้ง

“ในงานเขาไม่ให้เอาแป้งเข้าไปนะ” นิวว่า

“รู้แล้วนา เสียดายน่ะ เราขอประแป้งหน่อยนะ” ว่าจบสกายก็เอามือล้วงเข้าไปในถุงแป้งสีขาว ไล่ประตั้งแต่นิม มาที่นิว และผมคนสุดท้าย

“อชิเราขอประแป้งหน่อยนะ” ผมไม่ได้ตอบกลับแต่พยักหน้ารับเป็นการอนุญาต

จังหวะที่ฝ่ามือกำลังขยับเข้ามา ผมเผลอสบตาคู่สวย เพียงเสี้ยววินาที เหมือนเสียงทุกอย่างรอบตัวดับไป มีเพียงเสียงหัวใจของผมเท่านั้นที่เต้นดังระรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ

“น่ารักจัง” สกายว่า

หน้าผมร้อนผ่าวตอนที่เขาบอกว่าผมน่ารัก ถ้าไม่มีแป้งสีขาวปกปิดทุกคนคงรู้แน่ว่าผมแก้มแดง

สกายเดินเอาถุงแป้งที่เหลือทิ้ง แล้วเดินกลับมา

เราทั้งสี่คนพากันเดินมายังลานกิจกรรม ยืนต่อคิวเพื่อรอตรวจเข้างานตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ด้วยความที่แถวยาวมาก เจ้าหน้าที่จึงเดินมาตัดแถวให้เป็นสองตอน นิวกับนิมได้เริ่มแถวใหม่ เหลือเพียงผมกับสกายที่ยืนอยู่ด้วยกันในแถวเดิม

นิวบอกว่าจะเข้าไปรอข้างใน ให้ผมกับสกายตามไปทีหลัง ไม่นานเราก็เข้ามาในงาน แต่ทว่าผมกลับไม่เจอนิวกับนิมแล้ว

สกายหยิบมือถือที่อยู่ในซองกันน้ำออกมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอกว่านิมกับนิวอยู่ไหน

ระหว่างทางผมแทบไม่พูดอะไรเลย เพราะรู้สึกเกร็งอย่างบอกไม่ถูก ทุกครั้งที่สกายหันมาคุยด้วย ผมก็เอาแต่หลบตา หัวใจมันเต้นแรงทุกครั้งเวลาที่เราสบตากัน

“อชิพูดไม่ค่อยเก่งเลยเนอะ” สกายว่า

“เราขอโทษ”

“เฮ้ยขอโทษทำไม เราไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”

“...”

“เราว่าเวลาอชิพูดแล้วก็ยิ้มไปด้วยดูสดใสมากเลย” เขาจะรู้หรือเปล่าว่าจริง ๆ แล้ว เขาต่างหากที่ดูสดใส

“คงจะยังไม่ค่อยสนิทกัน เราเลยเกร็ง ๆ”

“งั้นเรามาสนิทกันเถอะ” ผมเงยหน้ามองคนสูงกว่า อย่างงุนงง “นิมบอกหรือยังว่ามอสี่เราย้ายไปเรียนโรงเรียนเดียวกับอชิด้วย”

“ยังเลย...” ผมตอบสั้น ๆ อย่างเคย

“ถ้าเราได้อยู่ห้องเดียวกันก็คงดี”

นั้นสิ... ถ้าเราได้อยู่ห้องเดียวกันก็คงดี ผมไม่เคยอยากให้โรงเรียนเปิดเทอมเร็ว ๆ เท่านี้มาก่อนเลย

“นิมบอกว่าอยู่แถวนี้นะ” สกายหันมาบอกก่อนจะชะเง้อหน้ามองหานิม “อชิระวัง” สิ้นสุดเสียงของสกาย ผมก็ถูกเขาดึงเข้าหาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนเส หูแนบกับแผ่นอกของคนตัวสูง เสียงหัวใจที่เต้นดัง ตึกตัก ตึกตัก มันเป็นของใครกันแน่

ซู่!~

สายน้ำจากทางด้านหลังเทลงมาจนเราทั้งคู่เปียกปอน

“สกาย... เราจะแกล้งอชิสักหน่อย” ผมขยับตัวออกจากอ้อมกอดของสกาย หันกลับมายังต้นเสียง

นิวกับนิมยืนถือขันน้ำใบเล็ก มันคงตั้งใจจะแกล้งผมอย่างที่ว่านั่นแหละ แต่สกายดันดึงผมหลบเสียก่อน เราเลยเปียกด้วยกันทั้งคู่

“เราขอโทษนะ สกายเปียกเลย” ผมว่า

“อชิขอโทษเราอีกแล้วนะ สงกรานต์ยังไงเราก็ต้องเปียกอยู่แล้ว”

“นั้นสิ”

เราเดินตามทางไปเรื่อย ๆ เล่นน้ำด้วยกันอย่างสนุกสนาน นิวแวะทุกซุ้มกิจกรรมเล่นเกมเพื่อเอาของรางวัล อยู่โรงเรียนนิวก็ชอบทำกิจกรรมทุกอย่างที่โรงเรียนจัดขึ้นอยู่แล้ว วันนี้เขาเลยดูสนุกกว่าทุกคน

นิวหอบของจากกิจกรรมต่าง ๆ เต็มมือ แล้วพาเรามาหยุดหน้าเวทีใหญ่ เวลาก็ปาเข้าไปบ่ายสามกว่าแล้ว เนื้อตัวพวกเราเปียกชุ่มไม่ต่างกับลูกหมาตกน้ำ

เพียงแค่ลมพัดเบา ๆ เราทั้งสี่ก็ยืนสั่นเป็นเจ้าเข้า ปากก็เขียวกันทุกคน

เสียงนักร้องบนเวทีประกาศเล่นเพลงต่อไป นักดนตรีก็เริ่มบรรเลงเครื่องเล่นต่าง ๆ มันเป็นเพลงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน สกายยืนโบกมือเข้าจังหวะ ก่อนจะร้องตามนักร้องบนเวที

“ได้พบสบตา เมื่อเจอหน้าเธอ”

“ครุ่นคิดวุ่นวายไม่คลายสับสน”

“จะขอติดตามด้วยความอดทน”

“หญิงอื่นไม่สนขอเดินตามเธอ”

“เพลงอะไรอะ ทำไมสกายร้องได้” นิวถาม มันเองก็คงจะไม่เคยฟังเหมือนกันกับผม

“เพียงสบตา ของ พี่แจ้ดนุพล”

“ทำไมเราไม่เคยได้ยินเลยอะ” นิวถามต่อ

“เพลงเก่าแล้ว”

“เก่าแล้วสกายรู้จักได้ไง”

“พ่อเคยร้องเพลงนี้จีบแม่เรา แม่เราเลยชอบฟังตอนเช้า ๆ”

“พ่อแม่สกายโรแมนติกจัง”

“เราฟังเรื่องพ่อกับแม่ทุกวันเลยล่ะ แม่ขี้อวด ฮ่า ๆ” สกายหัวเราะเสียงดัง ผมได้แต่ยืนมองพวกเขาคุยกัน เพราะผมเป็นคนคุยไม่เก่ง อยากคุยด้วยแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี

ในเวลาหกโมงเย็น ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เราทั้งสี่เตรียมตัวแยกย้ายกันกลับบ้าน นิวเสนอให้สร้างไลน์กลุ่มเอาไว้เพื่อว่าเราจะได้ติดต่อกันในช่วงเปิดเทอม ซึ่งทุกคนเห็นด้วย

ผมมาถึงบ้านในเวลาต่อมา ก็ส่งข้อความรายงานในกลุ่มว่าถึงแล้ว เพื่อไม่ให้คนอื่น ๆ เป็นห่วง

จัดการอาบน้ำแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วลงมากินข้าวด้านล่างทันที พี่สาย ไม่อยู่แล้ว คงจะออกไปข้างนอกกับพี่ติ ทั้งบ้านจึงเหลือเพียงผมกับแม่เท่านั้น

“พี่สายไปบ้านพี่ติเหรอ” ผมถามแม่ที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ใช่...” แม่ตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะวางช้อนในมือลง “อชิตะ”

“ครับ?”

“บ้านเรากำลังจะมีข่าวดีด้วยนะ”

“...?”

“พี่สายกำลังจะแต่งงาน”

“...” ผมเงียบอึ้งไปสามสิบวิฯ เห็นจะได้ ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจนะ แค่ตกใจที่พี่สาวผมกำลังจะมีครอบครัว เขาก็ต้องย้ายออกจากบ้าน แล้วกลับมาที่บ้านหลังนี้น้อยลง ไม่นานเขาก็คงมีเจ้าตัวเล็กวิ่งเล่น

“วันไหนครับ” ผมถาม หลังจากที่เงียบไปสักพัก

“ยังไม่ได้คุยเรื่องวัน คงจะไปปรึกษาพระอาจารย์ก่อนน่ะ”

“คุณนวล...”

“หืม” แม่ขานรับในลำคอ

“คุณนวลช่วยเล่าตอนที่เจอคุณคมสันให้ผมฟังบ้างสิ”

“อะไรกัน อยู่ ๆ ลูกชายก็ดันอยากฟังซะอย่างนั้น”

“เล่าเถอะนา ผมชอบฟัง”

“อะ ๆ พ่อมาจีบแม่โดยการเขียนจดหมาย แล้วให้เด็กมาส่งทุกวัน แต่แม่ก็ไม่เคยเจอพ่อมาก่อนเลย แต่พ่อเขาไปเจอแม่ที่ตลาด เขาก็ตกหลุมรักแม่ทันที...”

ผมปล่อยให้แม่เล่าต่อ แล้วตัวเองก็นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ เล่าไปแม่ก็อมยิ้มไป คนฟังอย่างผมก็อดยิ้มตามไม่ได้ แม่ดูมีความสุขมากทุกครั้งที่เล่าเรื่องพ่อ ถึงแม้ว่าพ่อจะเสียไปนานแล้ว แม่ก็ยังเล่าเรื่องนี้เหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน

มันเป็นเรื่องเดียวที่ผมฟังเป็นพัน ๆ ครั้ง ก็ไม่เคยเบื่อเลย แต่ครั้งนี้มันทำให้ความรู้สึกมันแปลกออกไป ความรู้สึกที่แม่เจอพ่อครั้งแรกมันเหมือนกับตอนที่ผมเจอสกาย

แต่ว่า...

มันต่างจากเรื่องของแม่ตรงที่ สกายเป็นผู้ชาย...

“คุณนวลครับ ผมมีเรื่องอยากถาม”

“ว่าไงจ้ะ”

“ทำไมคุณนวลถึงรักพ่อล่ะ ทั้งที่คุณนวลไม่เคยเจอพ่อ อ่านแค่จดหมาย”

“แรก ๆ แม่ก็คิดว่าพ่อเป็นโรคจิต แต่พอนานวันเข้า ได้อ่านเรื่องราวของเขาทุกวัน แม่ก็อยากแชร์ความรู้สึกในแต่ละวันกับเขาบ้าง แต่อยู่ ๆ พ่อก็หายไป แม่ก็เลยรู้ว่าแม่หลงรักคนในจดหมายซะแล้ว”

“พ่อเคยบอกแม่หรือเปล่าว่าทำไมถึงชอบแม่ ทั้งที่แค่เห็นแม่ที่ตลาดแป๊บเดียวเอง”

“รักแรกพบยังไงล่ะ”

ของแบบนั้นมันมีจริงด้วยเหรอ แล้วแบบผมกับสกาย มันเรียกว่ารักแรกพบได้หรือเปล่า ในรุ่นของพวกผมยังจะมีอยู่ใช่ไหม เหมือนตอนที่พ่อเจอแม่แค่เสี้ยววิฯ ก็รู้สึกหัวใจเต้นแรง

“คุณนวลผมมีอีกเรื่อง”

“ทำไมวันนี้ลูกแม่ถามเยอะจังเนี่ย”

“ถ้าผม...” ผมเว้นช่วงเพื่อสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะพูดออกไป “ถ้าผมบอกคุณนวลว่าผมชอบผู้ชาย คุณนวลจะเสียใจไหม”

ผมไม่เคยเห็นหน้าแม่ตกใจเท่านี้มาก่อน ดวงตาทั้งสองเบิกโพลงกลมโต ปากก็ยังอ้าค้างอยู่อย่างนั้น เหมือนคนสติหลุด

ความเงียบทำให้ผมรู้สึกกลัว...

“อชิตะ...”

“...” ผมไม่กล้าสบตาแม่ ผมทำให้เขาผิดหวังหรือเปล่า มันเป็นคำถามที่ดังก้องอยู่ในหู

“อชิตะมั่นใจแล้วใช่ไหม แม่ว่าอชิตะไปถามตัวเองให้ดีก่อน ถ้าวันไหนมั่นใจแล้วจริง ๆ แม่ก็ไม่ว่า ลูกยังเป็นลูกแม่คนเดิม”

“แม่ผิดหวังในตัวผมหรือเปล่าครับ แม่จะอายคนอื่นไหมถ้าผมชอบผู้ชายจริง ๆ”

“ไม่คิดแบบนั้นนะอชิตะ ลูกของแม่เก่ง การที่หนูจะมาพูดกับแม่ตรง ๆ หนูต้องใช้ความกล้าขนาดไหน แล้วแม่จะผิดหวังเรื่องอะไรกัน ส่วนคนอื่นแม่ต้องสนใจมากกว่าคนในครอบครัวเหรอ”

“คุณนวล...”

“ไม่ต้องทำซึมเลย เอาเป็นว่าวันไหนที่มั่นใจแล้วก็บอกแม่ จะเป็นอะไรแม่รับได้หมด” แม่ฉีกยิ้มกว้าง นัยน์ตาไม่มีความขุ่นมัว หรือเศร้าเสียใจ

ผมยังไม่มั่นใจว่าชอบสกายจริงหรือเปล่า ผมอาจจะแค่รู้สึกว่าเขาน่ารักก็เท่านั้น หลังจากนี้ผมก็ต้องหาคำตอบให้กับตัวเอง

“ว่าแต่ลูกแม่ไปแอบชอบใครหรือเปล่าเนี่ย ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้พูดแบบนั้น”

“เปล่าสักหน่อย”

“คุณอชิตะไม่เนียนเลยนา มีแฟนก็ต้องรู้จักป้องกันนะ เป็นผู้ชายด้วยกันเซ็กซ์มันต้องปลอดภัย”

“คุณนวล!” หน้าผมร้อนผ่าวกับสิ่งที่แม่พูด

บ้านเรามีอะไรมักจะพูดกันตรง ๆ เสมอ ทำให้ทุกครั้งที่มีปัญหา ผมกับพี่สายจะกล้าเปิดใจกับแม่ตลอด

หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมก็นั่งดูหนังเป็นเพื่อนแม่จนดึก ก่อนพาตัวเองขึ้นมานอนบนห้องในเวลาต่อมา แต่ทว่านอนยังไงผมก็ไม่หลับสักที

มือถือบนหัวเตียงถูกหยิบขึ้นมา ปลายนิ้วกดเข้าแอปพลิเคชันสีแดงสำหรับดูคอนเทนต์ต่าง ๆ

ขณะที่ปลายนิ้วกำลังเลื่อนหาอะไรดู ผมก็นึกถึงเพลงที่สกายพูดถึงเมื่อช่วงบ่าย เพลงมันชื่อว่าอะไรนะ...

ผมนอนคิดอยู่นาน ก็นึกไม่ออก จำได้เพียงแค่ว่ามันร้องท่อนแรกว่าอะไร จึงลองพิมพ์เนื้อเพลงท่อนที่จำได้ลงไป ก่อนจะหยิบหูฟังขึ้นมาสวมใส่ แล้วกดเล่นเพลง

ต้นฉบับต่างจากที่ผมฟังวันนี้ค่อนข้างมาก อาจจะเพราะว่าถูกดัดแปลงให้ร่วมสมัยมากขึ้น แต่ผมว่าผมชอบต้นฉบับมากกว่านะ เพลงมันฟังสบาย ๆ มีความน่ารักสดใส นี่พ่อสกายจีบแม่เขาด้วยเพลงนี้เหรอ น่ารักชะมัด

ทุกถ้อยคำที่นักร้องเปล่งออกมา ผมเห็นหน้าสกายอยู่ในนั้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และความสดใส
*ได้พบสบตา เมื่อเจอหน้าเธอ

ครุ่นคิดวุ่นวายไม่คลายสับสน

*เพลงเพียงสบตา ของ ดนุพล แก้วกาญจน์






#แฟนwithbenefits


Part นี้ ไรท์พาทุกคนย้อนกลับยังอดีต สมัยที่ทุกคนยังเยาว์รุ่น จะย้อนไปอีกหลายตอนอยู่เด๋อ

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ช่วงนี้ทุกคนก็ดูแลสุขภาพกันเน๋อ เห็นยอดคนติดเชื้อ

อดเป็นห่วงทุกคนจริง ๆ มันหายใจรดต้นคอเราเข้ามาทุกที ๆ

รักนักอ่านเท่าหมอxxรักซิโนแวคเลยฮับ <3

Me //แค่ก ๆ เจ็บคอ = ติดหรือยังนะ -,,-



*ชื่อตอน เพลง เพียงสบตา - ดนุพล แก้วกาญจน์

-กำลังทยอยแก้คำผิด-

หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -7-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 29-08-2021 01:34:21
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-7-

ก็เป็น First Love ที่เกิดขึ้น First Time


เพราะ "ความรัก" ทำให้หัวใจ

ของคนเรา มีแต่ "ความสุข" ตลอดเวลา


“สกายอยู่ห้องไหน”

“ทับสาม นิวล่ะ”

“อี๊ดดด เหมือนกันเลย”

ผมยืนฟังสองคนดีใจที่ได้อยู่ห้องเดียวกัน กระโดดโลดเต้นเสียงดังยกใหญ่ ต่างจากผมที่ยืนเงียบไม่พูดอะไร ผมรู้อยู่แล้วว่าเราจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่ผมก็ยังรอให้ทุกวันผ่านไปเร็ว ๆ เพื่อที่จะได้เจอสกายในวันเปิดเทอม

“อชิ... อยู่ห้องไหน” สกายถาม แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากตอบ นิวก็พูดแทรกเสียก่อน

“อย่างอชิห้องคิงแน่ เด็กหัวกะทิ” ผมพยักหน้ารับเพราะที่นิวพูดมันถูก

ตั้งแต่มอหนึ่งจนถึงมอสาม ผมได้เกรดเฉลี่ยสี่จุดศูนย์ศูนย์ทุกเทอม ไม่ได้จะอวดว่าเก่ง แต่ผมพยายามเพื่อที่จะเป็นคนเก่ง อย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้

“หู้ย~ อชิเก่งจัง ไว้วันหยุดติวให้เราบ้างสิ” ไม่พูดเปล่า สกายยังกอดแขนผมเอาไว้แน่น

ใกล้เกินไปแล้ว หัวใจผมงานหนักตลอดเลย

“ได้สิเรายินดี”

“รับปากแล้วนะ” ผมพยักหน้าหงึก ๆ รับ ก่อนจะฉีกยิ้มจนตาแทบปิด

ยิ้มบ้าอะไรขนาดนั้นอชิตะ!



หลังจากที่เรารู้แล้วว่าตัวเองอยู่ห้องไหน พวกเราก็แยกย้ายกันเข้าห้องเรียนของตัวเอง เด็กห้องธรรมดาต้องเดินเรียน แต่เด็กห้องคิงนั่งเรียนอยู่ที่ห้องเดิม มันเป็นความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจน

แต่ถึงอย่างนั้นเด็กห้องคิง จะได้รับหน้าที่ทำกิจกรรมวิชาการต่าง ๆ ให้โรงเรียน เด็กจะถูกแบ่งไปตามที่ตัวเองถนัด แต่ละหมวดหมู่วิชาเพื่อเป็นตัวแทนไปแข่งขัน

ในช่วงมอสี่จะเป็นช่วงที่เราต้องค้นหาความถนัด ซึ่งผมรู้ดีว่าผมควรไปทางไหน

ผมเลือกนั่งแถวกลางติดกระจกบานใส ทุกครั้งที่เบื่อ ๆ ผมมักจะชอบมองออกไปเพื่อผ่อนคลาย เหมือนอย่างตอนนี้ ในหัวผมเอาแต่คิดว่าสกายกำลังทำอะไรอยู่ จนไม่มีสมาธิเรียน

มองขึ้นไปยังชั้นสองที่เปิดหน้าต่างอยู่ เห็นเด็กห้องธรรมดาวิ่งเล่นกัน บางทีก็อดอิจฉาไม่ได้ ในขณะที่ห้องผมกำลังเรียนกันอย่างเคร่งเครียด พวกเขากำลังเล่นกันอย่างสมวัย

แต่ทว่าสายตาดันสะดุดเข้ากับเด็กหลังห้องผิวขาว กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาเขียนอะไรบางอย่าง อย่างใจจดใจจ่อ

สกาย...

ผมมองเขาอย่างไม่ลดละสายตา ไม่ว่าจะตอนที่เขาพูด หรือหัวเราะ ทุกการกระทำทั้งหมดอยู่ในสายตาผม...



ผมมองนิววิ่งเล่นกับเพื่อนในห้อง เพราะครูไม่เข้าสอน เปิดเทอมวันแรกก็สบาย ๆ ผมใช้เวลาว่างนั่งวาดรูปเล่นอยู่หลังห้อง มันเป็นงานอดิเรกที่ผมทำตั้งแต่มัธยมต้น พ่อผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะเขาต้องการให้ผมสอบข้าราชการ พ่ออยากให้ผมตั้งใจเรียนซะมากกว่า จะมีก็แต่แม่ที่เข้าใจ และสนับสนุนให้ผมทำในสิ่งที่ชอบ

“สกายวาดอะไรอะ” นิวเดินเข้ามาถามเพราะเห็นผมเอาแต่ก้มหน้าก้มตา

“วาดมึง” ว่าจบผมก็ยกกระดาษที่วาดขึ้นมา เป็นรูปนิวมีเขา เจาะจมูกโดยมีผมกำลังเดินจูงเขาอยู่

“อี๊ดดด สกาย!” นิววิ่งเข้ามาล็อกคอผมเอาไว้ ก่อนจะชกเข้าที่ท้องไม่แรงไม่เบาเอินหยอก “บังอาจนัก เอามานี้เลยเดี๋ยวกูวาดมึงมั้ง”

ผมพยายามโยนกระดาษทิ้ง ก่อนเพื่อนคนอื่นจะหยิบไป แล้วเริ่มล้อนิวกันเสียงดังลั่นทั้งห้อง

ตึง! ตึง! ตึง!

เสียงไม้เรียวตีกระทบกับประตูห้อง ดึงให้เราทุกคนวิ่งพรวดพราดกลับที่นั่งของตัวเอง

“ยังไง เสียงดังไปถึงชั้นล่าง”

ผมปล่อยให้ครูดุเสียงดัง แล้วนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ หลังห้อง มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเซ็ง ๆ สายตาก็เลื่อนลงไปยังชั้นล่าง เป็นห้องของเด็กห้องคิงที่นั่งเรียนกันอย่างตั้งอกตั้งใจ

ในใจก็นึกคิดเป็นเด็กห้องคิงนี่มันดีจังเลยนะ นั่งเรียนเฉย ๆ ไม่ต้องเดินย้ายห้อง แถมยังอยู่ในห้องแอร์อีก

“อิจฉาเด็กห้องคิงอยู่อะดิ” นิวที่นั่งอยู่ด้านข้างสะกิดถามเมื่อเห็นผมจ้องออกไปนอกหน้าต่าง

“อืม ทำไมถึงได้อภิสิทธิ์เยอะแยะวะ ไม่แฟร์เลย” ผมหันไปบ่นกับนิว

“มันก็จริง แต่ถ้ามึงได้ไปอยู่มึงถึงจะเข้าใจ เด็กห้องคิงก็มีหน้าที่ของเขาแหละ ไม่เหมือนห้องพวกเราอิสระกว่าเยอะ ค่าเทอมเด็กห้องคิงเสียเยอะกว่าเป็นเท่าตัว”

“ทำไมวะ?”

“ก็โรงเรียนนี้ใครจบห้องคิงไป ไม่มีคนไหนไม่ประสบความสำเร็จ แต่ละคนได้เรียนมหา'ลัยดี ๆ กันทั้งนั้น”

“อ้าวแล้วมึงไม่อยากประสบความสำเร็จบ้างเหรอ”

“ความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างของกูแค่เรียนจบ มีงานทำ วันหยุดนอนอยู่บ้าน กูก็ถือว่าชีวิตคอมพลีสล่ะ”

“อืมก็จริง” อย่างที่นิวว่าก็จริงนั่นแหละ ผมยังคงมองออกไปนอนหน้าต่าง แล้วถามตัวเองว่า แล้วความสำเร็จของผมล่ะคืออะไร

ในขณะที่ถอนกำลังหายใจอย่างเหม็นเบื่อ ผมก็เห็นว่าอชิกำลังนั่งเรียนอยู่ เขาดูตั้งใจมาก ผมจ้องมองแล้วคิดในใจเหมือนคนกำลังสะกดจิต

จงมอง...

จงมอง...

จงมอง...

“เหี้ย!” ผมร้องเสียงหลงเมื่ออชิตะหันมาจริง ๆ แต่ทว่าสายตาของทั้งห้องก็จ้องมายังผมเช่นกัน

“ด้านหลังมีอะไรกัน ครูกำลังพูดอยู่นะ”

“ขอโทษครับคุณครู ผมตกใจ”

“ออกไปวิ่งสักห้ารอบอาคารเรียกสติสักหน่อยไป”

“ครับ” ลุกขึ้นเดินออกมา อย่างปฏิเสธไม่ได้

ผมเดินออกมานอกตัวอาคาร แล้วเริ่มก้าวเท้าจากเดินช้า ๆ เป็นเร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง

ระหว่างทางไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีคนมองบางแต่ไม่มาก จนกระทั่งผมวิ่งผ่านห้องเรียนตัวเอง หน้าต่างที่เปิดกว้างมีเพื่อน และครูยืนมอง

“สกายสู้ ๆ” เสียงเพื่อนคนหนึ่งตะโกนบอกจากตัวอาคาร บางคนก็ปรบมือ

จากตอนแรกไม่เป็นที่สนใจ ก็เริ่มมีคนสนใจมากขึ้น วันแรกของการเปิดภาคเรียน ผมก็เป็นเป้าสายตาของใครหลายคนแล้วเหรอเนี่ย

สู่ขิตในวันที่ดือ...

ผมวิ่งมาได้รอบที่สอง อาการหอบเหนื่อยทำให้วิ่งช้าลง สายตาหันไปมองห้องที่อชิตะนั่งอยู่อย่างพอดิบพอดี เขาเองก็กำลังมองมาที่ผมเช่นกัน ก่อนจะฉีกยิ้มส่งมา ผมยกมือโบกทักทาย

อชิตะทำหน้าล้อเลียนผมทุกครั้งที่วิ่งผ่าน วิ่งมาจนรอบที่สี่ เขาก็ทำตาเหล่ใส่ จนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ รอบสุดท้ายผมก็ยังหันไปมองที่อชิตะเหมือนเดิม หนนี้เขาไม่ทำหน้าทำตาล้อเลียน แต่เขานั่งเท้าคางมองผมราวกับว่ากำลังรอให้ผมวิ่งผ่าน แล้วยิ้มที่มุมปากบาง ๆ ส่งมา

หัวใจกระตุกวูบตอนที่สายตาเราประสานกัน ผมคาดว่ามันเกิดจากอาการเหนื่อย จากการวิ่งนั่นแหละคงไม่มีอะไรหรอก... (มั้ง)



เวลามักผ่านไปเร็วเสมอ เมื่อเรามีความสุข ใช่ตอนนี้ผมมีความสุข ผมหาคำตอบให้ตัวเองได้ตั้งแต่วันที่ได้เจอสกายอีกครั้งในวันเปิดเทอม ตอนที่ได้เจอหน้าสกาย ผมรู้สึกดีใจมาก อาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมา ผมรอที่จะได้เจอกันอีกครั้งตลอด

ผมลองเอาเรื่องนี้ไปคุยกับแม่แบบจริง ๆ จัง ๆ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร รู้สึกขอบคุณที่เขาเข้าใจ และยอมรับในสิ่งที่ผมเลือก

วันหยุดแรกของการเปิดเทอมนิวก็ชวนพวกเรามาฉลองที่บ้าน ประจวบเหมาะกับที่วันนี้ไม่มีใครอยู่ด้วย จึงเข้าทางนิวเขาล่ะ มันบอกว่ามีอะไรดี ๆ จะให้ดู ผมก็ไม่ได้ถามต่อ

ช่วงสายผมให้พี่สาวแวะไปส่งที่บ้านนิว เดินเข้ามาในห้องของนิวก็เห็นสกายนั่งกินขนม เล่นเกมรออยู่ก่อนแล้ว

“มานานแล้วเหรอ” ผมเอ่ยถามสกายทันที

“ไม่นานเท่าไหร่ แต่ก็มาก่อนอชิ”

“อะไรอ่ะ ทำไมทีกับอชิมึงพูดเพราะจังวะ” นิวบ่นอุบ

“พูดมากมึงอะ ทำตัวน่ารักแบบอชิก่อนเถอะ”

“กูเนี่ยน่ารักที่สุดล่ะ”

ผ่านไปไม่กี่วันสองคนนี้สนิทกันขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ผมนั่งมองสกายกับนิวหยอกล้อกันเสียงดังอย่างสนุกสนาน

หลังจากที่สงครามสงบ เราก็หันมานั่งเล่นเกมกันต่อ เบื่อ ๆ หน่อยก็หาหนังดู ไม่รู้ว่าดูกันอีท่าไหน เราทั้งสามถึงได้เผลอหลับตาม ๆ กัน

ผมตื่นก่อนคนแรก เลยเป็นคนปลุกนิวกับสกาย นิวเดินลงไปเอาขนม และน้ำอัดลมมาเพิ่ม แล้วกลับมานั่งคิดว่าจะทำอะไรกันต่อดี เกมก็เล่นจนเบื่อ จะดูหนังก็กลัวว่าจะหลับกันอีก ถ้าจะชวนอ่านหนังสือนิวก็คงไม่เอาด้วย

“เราจะทำอะไรกันต่อดีวะ” สกายถามขึ้น

“กลับไหมนี่ก็เริ่มเย็นแล้วด้วย” ผมเสนอ

“อย่าเพิ่งครับทุกท่าน กูยังไม่ได้อวดของเด็ดเลย” ผมกับสกายหันมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย แล้วหันไปมองนิวอย่างสงสัย “มึงเลยอชิ ชวนดูหนังอะไรก็ไม่รู้ กูหลับเลย”

“กูผิด?”

“เออ...” ผมไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับนิว ได้แต่พยักหน้าเออออไปกับมัน

“พวกมึงรอกูอยู่นี่นะ เดี๋ยวกูมา” ว่าจบนิวก็หายออกไปจากห้อง ไม่นานมันก็กลับเข้ามาพร้อมกับแผ่นหนัง แต่ทว่าตัวกล่องกลับไม่มีรูปภาพอะไร

“พ่อกูซ่อนไว้ มันต้องมีอะไรแน่” นิวทำหน้าอย่างสงสัย พลอยให้ผมรู้สึกร่วมด้วยไปกับมัน

“งั้นก็ลองเปิดดู” ผมว่า

นิวจัดการเอาแผ่นซีดีเปล่าใส่ในเครื่องเล่น ภาพปรากฏที่หน้าจอขนาดใหญ่ เหมือนหนังทั่วไป เราทั้งสามนั่งดูกันอย่างตั้งอกตั้งใจ

เนื้อเรื่องก็ไม่ได้แปลกอะไรมาก จนกระทั่งตัวนางเอกเดินไปอาบน้ำที่น้ำตก เขาปลดเปลื้องผ้าถุงออกไปกองไว้ที่พื้น สะโพกกลมขาวเนียนกระทบกับแสงแดด เราเห็นทุกอย่าง อย่างชัดเจน ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรนอกจากนั่งตาโต เพราะไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้กันมาก่อน

ไม่นานชายชุดดำก็เดินออกมาจากไหนก็ไม่รู้ ดูไม่มีที่มาที่ไป หญิงสาวที่กำลังเล่นน้ำอยู่ตกใจ ที่ถูกแอบมอง จึงลุกขึ้นจากน้ำพรวดพราด

เฮ้ย! ตกใจจริงเปล่าเนี่ย แล้วมันจะลุกขึ้นจากน้ำทำไมวะ

ผมเก็บความสงสัยนั้นไว้ แล้วนั่งดูต่อ

ชายชุดดำฉุดกระชากหญิงสาวขึ้นมาจากน้ำ ภาพทุกอย่างไม่มีการเซนเซอร์ ผมรู้สึกหน้าร้อนวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก เสหน้าหนีออกจากจอ แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกนั่นแหละ ถึงทำให้ผมกลับมาดูต่อ

เธอถูกจับมัดเอาไว้ไม่ให้ดิ้นหนี หญิงสาวทำท่าทีร้องขอเหมือนไม่เต็มใจ แต่ก็ดูไม่ได้ขัดขืนอะไร ก่อนที่ผู้ชายจะเริ่ม... เอิ่ม มม ม เริ่มมม...

“เหี้ย ทนไม่ไหวล่ะ!” นิวดีดตัวลุกขึ้นเต็มความสูง ผมกับสกายถึงกับสะดุ้งโหยง “พวกมึงตายด้านกันหรือยังไง เดี๋ยวกูมา...” ว่าจบมันก็รีบเดินตรงไปยังห้องน้ำ ทิ้งให้ผมกับสกายนั่งมองหน้ากันตาปริบ ๆ

เสียงจากเครื่องเล่นก็ยังดัง อิ๊ อ๊า ไม่หยุด จนรู้สึกหน้าร้อนผ่าว ไม่กล้ามองหน้าสกาย เขาเองก็ดูไม่ต่างอะไรจากผมนัก ไม่ใช่ว่าผมตายด้านหรอกนะ แต่เพราะแกนกลางมันรู้สึกปวดหนึบ เต้นตุบ ๆ แปลก ๆ จนทำตัวไม่ถูก

“เอ่อ... เราว่า เรากลับก่อนดีกว่า” ว่าจบสกายก็ลุกขึ้น ผมเองก็รีบเก็บของแล้วเดินตามสกายออกมา

“สกายรอเราด้วย” สกายเดินช้าลง เพื่อให้ผมเดินทัน และเราก็เดินตีคู่กันมา “เราขอโทษแทนนิวด้วยนะ ไม่คิดว่ามันจะเปิดหนังแบบนี้”

“ฮ่า ๆ ไม่เป็นไร ถือว่าเปิดประสบการณ์”

“...” ผมพยักหน้ารับ แล้วเดินไปด้วยกันเงียบ ๆ จนถึงป้ายรถเมล์

“เราออกมาแบบนี้นิวจะไม่โกรธเราใช่ไหม”

“ไม่หรอก เดี๋ยวค่อยไลน์บอกมัน”

“อืม ๆ”

จบประโยคก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ถ้าหากว่านิวอยู่ คงจะคุยกันไม่หยุดแน่ อยากเป็นคนคุยเก่ง ๆ บ้าง สกายจะได้ไม่รู้สึกเบื่อ ผมไม่รู้หรอกว่าเขาคิดยังไง แต่ผมคิดเอาเอง ว่าตัวผมเป็นคนน่าเบื่อ

รถเมล์คันที่ผ่านบ้านผมมาแล้ว แต่ทว่าผมตัดสินใจไม่ขึ้น เพราะสกายยังยื่นรออยู่ ตั้งใจว่าจะส่งสกายขึ้นรถก่อนแล้วค่อยกลับ

ความเงียบทำให้ผมรู้สึกเริ่มอึดอัด ผมจึงเป็นคนเริ่มเปิดประเด็นก่อน

“สกายคือว่า...” ผมเงียบคิดอยู่สักพักว่าจะพูดดีไหม ผมตั้งใจจะชวนเขามาติวหนังสือในวันหยุดอาทิตย์หน้า

“...?”

“วันเสาร์หน้าสกายว่าง---” ยังไม่ทันพูดจบ รถเมล์สายที่สกายรออยู่ก็มา ทำให้บทสนทนาของเราขาดช่วงไป

“รถมาแล้วเราไปก่อนนะ”

“อืม” ผมตอบสั้น ๆ มองสกายเดินขึ้นรถไป ก่อนประตูจะปิด เขาหันกลับมาโบกมือให้

รถเมล์เคลื่อนตัวออกจากป้าย ยังไม่ทันลับสายตาเสียงมือถือผมก็ดังขึ้นมา

ติ้ง~

ท้องฟ้า : เสาร์หน้าเราว่างนะ ;)

ผมมองข้อความ ไม่ตอบในทันที ในใจวูบ ๆ หวิว ๆ อย่างบอกไม่ถูก ผมคิดว่าเขาไม่ได้สนใจที่ผมพูดเลยด้วยซ้ำ ผมอ่านข้อความที่สกายส่งมาซ้ำ ๆ เป็นสิบรอบ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับ

อชิตะ : งั้นเจอกันที่โรงเรียนนะ เอาวิชาที่อยากติวมาด้วยเดี๋ยวเราช่วย

ท้องฟ้า : โอเค แล้วเจอกันนะ

ให้ตายเถอะ สกายเขาตอบข้อความผม แถมยังเป็นข้อความส่วนตัวด้วย ไม่ใช่ข้อความในกลุ่ม

ผมเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ ไปนอนดีใจต่อที่บ้าน ไม่ว่าจะทำอะไร ผมก็จะยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว แม่เอ่ยแซว จนผมต้องกลับขึ้นมาบนห้องของตัวเอง เปิดเพลงเมื่อหลายวันก่อนฟัง เป็นเพลงที่สกายเคยบอกนั่นแหละ ผมฟังมันวนอยู่อย่างนั้นทุกวัน

ระหว่างที่เพลงเล่นวนไปเรื่อย ๆ ผมก็กดเข้าแอปพลิเคชันที่เราคุยกันขึ้นมา เลื่อนข้อความอ่านแล้วอ่านอีก ก่อนจะกดดูรูปโพรไฟล์ของเขา นอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ผมท่าจะอาการหนักซะแล้วสิ ไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อนเลย...

“อชิ...” เสียงใสเรียกชื่อผมอย่างแผ่วเบา ผมได้ยินจากไหนสักแห่ง เหมือนมีเสียงคนดีดนิ้วดังป๊อก เสียงก็ชัดขึ้น “อชิตะ...” เปลือกตาผมเปิดขึ้น ภาพคนตรงหน้าก็ชัดแจ๋ว

สกาย...

แต่นี่มันห้องผมนี่ เขาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วแม่ผมละ

“สกายมาที่นี่ได้ยังไง แม่เราให้ขึ้นมาเหรอ” ว่าจบ ผมก็ลุกชันตัวนั่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถอดเสื้อนอน เลยดึงผ้าห่มขึ้นปิดหน้าอกไว้

“อืม... ก็อชินัดเรามาไงลืมแล้วเหรอ”

“...” ผมหยุดคิดสักพักก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า ผมเป็นคนนัดเขาจริง ๆ แต่เรานัดกันที่โรงเรียนนี่

“ช่างเถอะ เรามาเพราะอชิ อชิต้องรับผิดชอบ”

“ยังไง เรางงไปหมดแล้ว”

สกายไม่พูดพร่ำทำเพลง กระชากผ้าห่มออกจากตัวผม แล้วขึ้นมาคร่อมทับเอาไว้ เป้ากางเกงของเขานูนออกมาชัดเจน มันกำลังถูกับเป้าผมอยู่

“อชิชอบหรือเปล่า”

“เดี๋ยวสิ”

“ไม่ชอบเหรอ”

“สกาย... อะ!” เขากดริมฝีปากของตัวเองลงมาที่ซอกคอ ดูดเม้มจนรู้สึกเจ็บ แล้วลากริมฝีปากต่ำลง จนถึงแอ่งสะดื้อ ท้องน้อยปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก

เขาแลบลิ้นเลียหน้าท้องตั้งแต่ขอบกางเกงจนถึงสะดืออย่างเชื่องช้า ทุกครั้งที่ลากลิ้นร้อน เขาจะช้อนตามองผมที่นอนหอบหายใจผิดจังหวะ

เขาใช้มือเกี่ยวรั้งขอบกางเกงให้ต่ำลง แกนกายแข็งขึงดีดออกมาตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าสกาย ผมยกมือปิดหน้าตัวเองเอาไว้ ด้วยความอาย ทำไมคนที่ชอบถึงได้มาเห็นผมในสภาพนี้ด้วย

“อชิน้อยตื่นแล้ว” ผมไม่รู้ว่าเขาไปจำคำพูดพวกนี้มาจากไหน

เขาใช้ฝ่ามือชักรูดจนสุดความยาว แล้วใช้นิ้วโป้งบดขยี้ส่วนปลายจนปริ่มน้ำใส ของเหลวไหลเยิ้มออกมาจากจนเปียกชุ่ม สกายใช้ลิ้นร้อน ลากเลียแกนกายตั้งแต่โคนไล่ขึ้นมา หน้าท้องผมกระตุกเกร็ง ฝ่ามือจิกกำที่นอนจนยับยู่

“อ๊ะ... สกายเดี๋ยวก่อน” ผมร้องห้ามเมื่อมีความรู้สึกที่มันอธิบายไม่ถูก มันคล้าย ๆ กับปวดฉี่ แต่ก็ไม่เชิง

ริมฝีปากครอบลงมาจนสุดเข้าไปในลำคอลึก ผมรู้ได้เพราะส่วนปลายกำลังดันอยู่ในลำคอเจ้าของริมฝีปากสวย ทุกครั้งที่สายตาเขาช้อนขึ้นมา ผมยิ่งโหมแรงกระแทกเข้าไปจนลึกกว่าเดิม

ความรู้สึกเสียวซ่านวิ่งพล่านไปทั้งตัว ร่างกายกระตุกเกร็งเหมือนคนโดนไฟฟ้ากำลังอ่อนช็อต ขนอ่อนตามตัวลุกชันอย่างห้ามไม่ได้

สติที่มีอยู่มันยากเกินที่จะควบคุมให้หยุด จังหวะปากที่ขยับขึ้นลงเร็วขึ้นจนร่างกายบิดเร่ากับที่นอน ฝ่ามือสอดเข้ากับกลุ่มผมสีดำสนิท เพื่อกดให้สกายครอบปากลงมาลึกกว่าเดิม

ไม่นานของเหลวสีขาวข้นก็พุ่งพรวดฉีดเข้าไปในลำคอของอีกฝ่าย ร่างกายเบาวูบ สมองขาวโพลนไปหมด กระตุกเกร็งอีกเพียงสองสามครั้งสกายก็ถอนริมฝีปากออก

น้ำกามไหลย้อยออกมาตามมุมปาก เป็นภาพที่ดูลามกแต่ก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะแข็งตัวตื่นขึ้นมาอีก สกายคลานจากปลายเท้าขึ้นมา แล้วกระซิบที่ข้างหูผมว่า

กริ๊งงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงง กริ๊งงงงงงงงงงงง

เชี่ยนาฬิกาปลุก!

ผมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาปิดเสียงแจ้งเตือน หน้าจอมือถือยังขึ้นรูปของสกายที่ดูค้างไว้เมื่อคืนอยู่เลย นี่ผมนอนมองรูปแล้วหลับไปตั้งแต่ตอนไหน แถมยังฝันอะไรแปลก ๆ อีก

ผมเปิดผ้าห่มออกเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ แล้วพบว่าเป้ากางเกงตัวเองเปียก มีคราบน้ำเหนียว ๆ สีขาวขุ่น ‘ฝันเปียก’

แกนกายดุดันกางเกงออกมา ดูยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงเร็ว ๆ นี้แน่ ที่แย่กว่านั้นทำไมคนในฝันถึงได้เป็นสกาย...

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก 0 [] 0””







#แฟนwithbenefits





≧︿≦




*ชื่อตอน เพลง First Love - แจม ชลธร

-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-08-2021 12:58:13
 :pig4:
 :katai3:
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 30-08-2021 00:03:56
 :hao5:
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -8-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 01-09-2021 18:55:00
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-8-

เธอไม่รับไม่รู้อะไร ไม่เคยเอะใจบ้างเลยเหรอ


การ ‘แอบชอบ’ ใครสักคน

ก็เหมือนกับการส่งจดหมาย

ที่จ่าหน้าถึง ‘ผู้รับ’ แต่ไม่เคยเขียนชื่อ ‘ผู้ส่ง’



โรงเรียนในวันหยุด...

ความวุ่นวายบางตา จะมีนักเรียนอยู่ไม่มากที่นัดกันมาทำรายงาน หรือนัดติวหนังสือ ผมเองก็เหมือนกัน วันนี้ผมมีนัด...

ผมนัดสกายมาติวที่โรงเรียนในวันหยุด สกายเองก็ไม่ลืมที่จะชวนนิวมาด้วย

รายนั้นผมละอยากตบให้ล้ม!

ก็ตั้งแต่วันที่มันเปิดหนังบ้าอะไรก็ไม่รู้ให้ดู ผมก็เอาแต่ฝันแปลก ๆ ที่แย่กว่านั้นคือ คนในฝันดันเป็นสกายแทบทุกคืน

พอต้องมาเจอหน้าสกายที่โรงเรียน หน้าผมก็ร้อนผ่าวไม่กล้าสบตา ทั้งเขิน ทั้งรู้สึกละอาย ในเวลาเดียวกัน ภาพตอนที่สกายกำลังช้อนตามองขึ้นมา ในขณะที่ริมฝีปากของเขายัง...

“แฮ่~ รอนานไหม” ผมสะดุ้งโหยง เมื่อถูกเสียงใสดึงสติให้กลับมา ตีความคิดเมื่อกี้แตกกระจาย “หน้าแดงเชียว ไม่สบายเปล่าเนี่ย”

“ปะ...เปล่า” ผมรีบบอกปัด ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “นิวยังไม่มาเหรอ”

“มันบอกมาสาย ๆ น่ะ เดี๋ยวเราทำกันก่อนเลยก็ได้” ว่าจบสกายก็ทิ้งสะโพกลงนั่งข้าง ๆ หนังสือถูกหยิบออกมาจากกระเป๋า “เริ่มที่วิชาอะไรก่อนดี”

“ฟิสิกส์ไหม วันจันทร์สกายเรียนคาบแรกเลยนิ” ผมรู้เพราะว่าห้องเรียนของสกายอยู่ชั้นสอง ระยะที่ผมนั่ง มองขึ้นไปเห็นสกาย ใช้วาสายตาได้พอดี

“ก็ดี การบ้านเรายังไม่เสร็จเลย”

สกายกางหนังสือของตัวเองออกมา แล้วขอลองนั่งทำคนเดียวก่อน ของผมทำเสร็จตั้งแต่วันศุกร์แล้ว แอบจดสรุปใส่สมุดเล่มเล็ก ๆ ไว้ให้สกาย เผื่อว่าเขาจะอ่านเข้าใจง่ายมากกว่าในหนังสือ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหาจังหวะไหนให้ดี

ผมนั่งเท้าคางมองสกายที่กำลังใจจดใจจ่อกับการแก้โจทย์ ผมชอบมองเวลาที่เขาตั้งใจทำอะไรมาก ๆ มองได้ไม่เบื่อเลย นี่ถ้าให้นั่งมองเขาทั้งวันยังได้

“สูตรถูกแล้ว แต่สกายใส่เลขผิดตำแหน่ง” ผมว่าเพราะเห็นเขาเอาแต่เขียน ๆ ลบ ๆ จนกระดาษแทบขาด

“เราก็ทำตามตัวอย่างเลยนะ”

“ลองเอาเลขตรงนี้แทนตรงนี้ แล้วเอาฝั่งนี้ย้ายมาแบบนี้”

“หึ้ย! เกินปายยย เป็นไอน์สไตน์เปล่าเนี่ย”

“เราแค่ลองทำตามวิธีในเว็บสอนน่ะ” ว่าจบ ก็ได้โอกาสหยิบสมุดที่จดเลคเชอร์ออกมา เป็นจังหวะดีที่จะมอบให้กับเขา “สกายลองอ่านแล้วลองทำตามที่เราจดดู” สกายรับเอาไว้ แล้วลองเอาตัวอย่างมาทำตาม

“โฮะ! ดีอะเราขอยืมไปจดได้ไหม เดี๋ยววันจันทร์เอามาคืน”

“สกายเอาไปเถอะ เรามีอีกเล่ม”

“คนบ้าอะไรจดแบบเดียวกันสองเล่ม ตลกนา”

...

ผมถึงกับไปไม่เป็น นั่นสิ! ใครจะบ้าจดไว้สองเล่ม ผมพูดอะไรออกไปเนี่ย

“จดบ่อย ๆ จะได้จำได้ไง”

“อ้อ... ถึงว่าอชิเก่ง” ผมพยักหน้ารับ ก้มหน้าอ่านหนังสือของตัวเอง แล้วปล่อยในสกายนั่งทำต่อ

ตรงไหนไม่เข้าใจ สกายก็จะหันมาถามเป็นระยะ ผมลอบมองเขาด้วยปลายหางตา เห็นเขาเปิดที่ผมจดเลคเชอร์ประกอบกับการทำการบ้านไปด้วย ผมดีใจ

เพราะทุกตัวหนังสือ ที่ผมจดลงไป มีความตั้งใจของผมอยู่ในนั้น

เวลาล่วงไปนาน นิวก็ยังไม่มาสักที หันไปหาสกาย เขาก็ฟุบหน้าหลับไปกับโต๊ะเสียแล้ว

ผมตั้งใจหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปสกาย กะว่าจะเอาไปลงในกลุ่มที่มีนิวอยู่ด้วย เพื่อแกล้งเขา แต่ทว่ายิ่งมองกลับยิ่งอยากเก็บไว้ดูคนเดียว

มุมปากกระตุกยิ้มออกมาอัตโนมัติ ในตอนที่กำลังดูรูป พวงแก้มขาวมีสีชมพูอ่อน ๆ ของเลือดฝาดแต่งแต้มอยู่ใบหน้า ริมฝีปากอิ่มสีหวาน ขัดรับกับเส้นผมสีดำสนิท

ลมเย็นพัดโชยเอาเศษใบไม้ปลิวลงมาติดผมสกาย ผมค่อย ๆ หยิบออกอย่างเบามือ ก่อนจะเหลือบไปเห็น สมุดการบ้านของเขาที่เพิ่งทำไปได้ไม่กี่ข้อ

ผมค่อย ๆ ดึงสมุดออกมา แล้วจัดการเขียนสูตรเอาไว้ ว่าแต่ละข้อต้องใช้สูตรไหนบ้าง เพื่อให้เขาเอาไปทำต่อที่บ้าน ผมไม่เข้าใจ ว่าทำไมตัวเองถึงได้ทำขนาดนี้ ทั้งที่กับนิวผมก็ไม่เคยเป็นมาก่อน

หลังจากที่ง่วนอยู่กับการจดสูตร ไม่นานผมก็เขียนเสร็จ แต่สกายดูไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

ผมนอนเอาหน้าฟุบกับโต๊ะ แล้วหันไปมองคนที่หลับอยู่ ความรักมันเป็นแบบนี้สินะ แค่ได้มองก็รู้สึกมีความสุข เหมือนเวลาเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ทั้งที่นาฬิกาก็ใช้ความเร็วเท่าเดิม...



ไม่รู้เลยว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่ตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เหมือนมีอะไรบินตอมอยู่ข้างหู

“อือออ” ผมครางอือ อา ในลำคอ มือก็ปัดพัดวีไล่แมลง แต่ยิ่งไล่ก็เหมือนจะยิ่งเอาใหญ่ บินตอมวนไปทั้งหน้าจนต้องดีดตัวขึ้นมา

ปรับโฟกัสสายตาได้ สิ่งแรกที่เห็นคือ ผงแป้งสีขาวลอยฟุ้งเต็มเสื้อ อชิตะแกล้งผมเหรอ...

หันกลับไปอชิตะก็อยู่ในสภาพเดียวกัน

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” เสียงหัวเราะดึงให้เราทั้งคู่หันกลับไปมอง

นิวนั้นเองที่แกล้งพวกเรา...

“ไอ้นิวเดี๋ยวมึงเจอกูแน่” ว่าจบผมก็ลูบแป้งที่หน้าตัวเองออก นิวแลบลิ้นยั่วให้ผมยิ่งรู้สึกโมโห

จังหวะที่ผมยืนขึ้นตั้งท่าจะวิ่งไปฟาดนิว เท้าผมก็เป็นอันต้องสะดุดก้าวไม่ออก พอก้มดูก็เห็นว่าเชือกรองเท้าตัวเองถูกมัดติดกับอชิตะ แต่เหมือนเขาเองจะยังไม่รู้

อชิตะนั่งเช็ดแป้งออกจากหน้าตัวเอง ก่อนจะดึงเท้ากลับมา ทำให้ผมที่ยืนอยู่ซวนเซล้มลงเข้าหาเขา

“อชิอย่าดึงรองเท้า...”

ตุบ!

ผมล้มทับอชิตะจนตัวเขาล้มลงนอนระนาบ ตามความยาวของเก้าอี้ ริมฝีปากกระแทกเข้ากับหน้าผากนู้นของอชิตะอย่างไม่ตั้งใจ

“วี๊ดดด สกายแต๊ะอั๋งอชิ” เสียงนิวหวีดร้องอย่างกวนประสาท

ผมดีดตัวลุกขึ้นมาทันที รีบแกะเชือกรองเท้าที่ถูกผูกติดกันออก ลุกขึ้นได้ผมก็วิ่งไล่เตะนิวจนเหนื่อย

ผมกับนิวเราหยอกกันแรง ๆ แบบนี้เป็นเรื่องปกติ มันคงแค้นที่คราวก่อน ผมเอาแมลงสาบไปใส่ไว้ในหนังสือมัน พอมันเปิดมาเจอ ถึงกับกรี๊ดลั่นห้อง จนครูให้มันไปล้างห้องน้ำเป็นการลงโทษ ผมล่ะโคตรสะใจ

แต่ครั้งนี้มันแกล้งอชิตะด้วย เขาไม่รู้เรื่องอะไร แต่ก็ต้องมาซวยเพราะผม แถมผมยัง...

จูบหน้าผากเขาอีกต่างหาก... ริมฝีปากผมยังรู้สึกเหมือนแนบอยู่ที่หน้าผากเขาอยู่เลย แค่คิดก็รู้สึกหน้าร้อนแปลก ๆ

“อะไรหน้าแดงเชียว เขินเหรอที่จุ๊บ ๆ อชิ”

“เขินอะไร กูแค่วิ่งจนเหนื่อย”

“อา ๆ เหนื่อยก็เหนื่อย” นิวว่า

ผมเลิกสนใจนิวแล้วเดินกลับมานั่งที่เดิม อชิตะจัดการปัดเอาคราบแป้งออกจนหมด

“อชิเราขอโทษ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ผมว่า

“ไม่...”

“ไม่จริงหรอก ตอนล้มเราได้ยินเสียงหัวอชิกระแทกด้วย”

“เราไม่เป็น'ไรจริง ๆ”

“ไม่เป็นไรก็หันหัวมาให้เราดูก่อนสิ” ผมบอกเสียงแข็ง เพราะอชิตะชอบดื้อกับผม

เขาหันหลังให้ผมดูหัวของเขา มันปูดขึ้นมานิดหน่อย แต่ทว่าสิ่งนั้นไม่ได้ดึงความสนใจผมเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแชมพู

กลิ่นเย็นหอมคล้ายดอกไม้จาง ๆ ลอยขึ้นมาแตะจมูก มันทำให้ผมรู้สึกใจเย็นลงยังไงก็ไม่รู้

“หัวโนน่ะ เดียวเราซื้อยาทาให้”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรากลับไปทาที่บ้าน”

“เอางั้นก็ได้”

“ไปร้านเกมหน้าโรงเรียนกันเถอะ” นิวชวนผมกับอชิตะ นอกจากมาช้าแล้วยังไม่ได้เรื่องอีก ถ้าวันจันทร์มันมาขอลอกการบ้านผมนะ โดนดีแน่

“เอาสิ” ผมตอบรับทั้งที่การบ้านตัวเองก็ยังไม่เสร็จเหมือนกัน คนเรามันต้องเรียงลำดับความสำคัญให้ถูกเส่ และแน่นอนว่ามันคือเกม! “อชิไปด้วยกันไหม”

“แหม~ ชวนเมียเหรอ” นิวเอ่ยปากแซว อาการมันเหมือนตอนที่ผมโกรธนิว แต่ทว่าจริง ๆ ผมกลับไม่ได้รู้สึกอะไร ตรงกันข้ามมันดันเขิน หัวใจเต้นหน่วงอยู่กลางอก มันวูบวาบไปทั้งตัว

“เดี๋ยวกูตบหน้าสั่น” ผมหันไปแหวใส่นิว ก่อนจะหันไปคุยกับอชิตะต่อ “อย่าไปฟังมัน มันกวนตีน”

“อืม” ผมไม่รู้ว่าทำไมบางทีอชิตะก็พูดเยอะ บางทีก็พูดน้อย แต่ผมว่านั่นก็ดูเป็นเสน่ห์ของเขาเลยล่ะ

นาน ๆ ที่พูดเยอะ แต่ก็ไม่ชวนให้รู้สึกรำคาญ ไม่เหมือนไอ้นิว! รายนั้นพูดไม่หยุดจนปวดกระบาล

ผมคว้ากระเป๋าที่อยู่บนโต๊ะ ต้องขอบคุณที่อชิตะเก็บให้ เลยทำให้เราย้ายตัวเองไปร้านคอมฯ หน้าโรงเรียนเร็วขึ้น ปกติเลิกเรียนผมจะมาเล่นกับนิวสองคนเป็นประจำ เล่นคนละชั่วโมงก่อนกลับบ้าน

โชคดีที่ร้านวันนี้ มีที่นั่งว่างสามที่ติดกันพอดี ช่วงวันหยุดเด็กก็จะเยอะหน่อย เด็กบางคนก็มายืนเกาะเก้าอี้ดูพวกผมเล่นเกม

“พี่ไม่เดินไปทางนั้น” เด็กตัวน้อยยืนแทบจะสิงผม เป็นวิญญาณตามติดพูดขึ้น

“เออกูก็เดินอยู่นี่ไง”

“พี่แม่งอ่อนวะ” เอ้าไอ้เด็กพวกนี้ วอนซะล่ะ

“เอาไปยี่สิบ แล้วไปไกล ๆ” ผมว่า ยื่นแบงก์สีเขียวส่งไป

“สกายใจดีเนอะ ให้เงินเด็กด้วย” คงจะมีแต่อชิตะแหละที่คิดแบบนั้น ถ้าเป็นคนอื่นมองผมจากวงแหวนดาวเสาร์ ยังรู้เลยว่าผมรำคาญไอ้เด็กพวกนี้แค่ไหน

“อืม คงอยากเล่นแหละ สงสารน้องมัน” ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วอะเนอะ ให้เขามองว่าผมเป็นคนดีสักคน

อชิตะพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปสนใจจอคอมฯ ของตัวเองต่อ ผมเอี้ยวตัวไปมองก็เห็นว่าเขากำลังดูหนังอยู่

“อชิดูเรื่องอะไรอ่ะ” ผมถาม สายตาก็ลอบมองผ่าน ๆ

“50 First Dates”

“เกี่ยวกับอะไร” อชิตะกดหยุดหนังแล้วหันมาเท้าคางกับเก้าอี้ตัวใหญ่ นั่งมองมายังผม “อะไรอ่ะ”

“ก็สกายอยากรู้ไม่ใช่เหรอ จะเล่าให้ฟัง”

ผมฉีกยิ้มกว้าง ไม่สนใจเกมที่กำลังเล่นอยู่อีกต่อไป แล้วหันมานั่งเท้าคางประจันหน้ากับอชิตะแทน

“พร้อมฟังแล้วครับ”

“ก็... พระเอกตามจีบนางเอก แต่นางเอกเป็นโรคความจำเสื่อม ในทุกเช้านางเอกจะลืมเรื่องของเมื่อวาน พระเอกเลยคิดวิธีจีบนางเอกในทุก ๆ วัน”

“อ้าว แบบนี้คนจีบไม่เหนื่อยแย่เหรอ”

“จะทำยังไงได้ล่ะ ก็ตกหลุมรักไปแล้ว...” ผมไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองตอนนี้เลย มันแปลกอีกแล้ว หัวใจมันเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจผมก็เหมือนจะติดขัด หน้าร้อนผ่าว ราวกับที่ร้านไม่ได้เปิดแอร์

ต่างคน ต่างไม่มีใครยอมละสายตาจากกัน

“แล้ว... ตอนจบเป็นยังไง” ผมถามต่อ

“พระเอกก็อัดวิดีโอเล่าเรื่องราวเอาไว้ เพื่อให้ทุกเช้านางเอกตื่นมาดู”

“ดีจังเลยเนอะ แล้วถ้าเป็นอชิจะทำยังไง”

“ก็คงทำเหมือนพระเอกมั้ง ถ้าชอบแล้ว ก็คงจะหาวิธีอยู่กับเขาให้ได้” ผมพยักหน้ารับ “แล้วสกายล่ะ” อชิตะถามกลับ

“เราก็คงทำเหมือนอชิ...”

“...” อชิไม่ตอบอะไร ผมเองก็ทำอะไรไม่ถูก

“สกาย...” นิวเดินเข้ามา ทำให้บรรยากาศที่เหมือนจะมีแต่ความสับสนของผมแตกกระจาย

“อะไรของมึง เสียงดัง” ผมว่า อชิตะเองก็หันกลับไปนั่งแบบปกติ

“ซื้อขนมมาให้ มึงชอบนิ” นิวว่าพลางยื่นถุงขนมกับน้ำอัดลมส่งมา ผมรับเอาไว้ ก่อนจะหันไปหาอชิตะ

“อชิ กินไหม”

“เดี๋ยว ๆ อันนี้กูซื้อมาให้มึงนะ” นิวย่นคิ้วเข้าหามาจนแทบชนกัน

“ก็แบ่งกันไง กูกินไม่หมดหรอก”

“เราไม่ค่อยชอบกินขนม สกายกินเลย” อชิตะเป็นคนพูดปฏิเสธเอง ผมเลยไม่ได้พูดอะไรต่อ พยักหน้าแล้วหันกลับมาเล่นเกมตามเดิม

นั่งเล่นเกมไปได้สักพัก ผมก็เริ่มคิดเรื่องอชิตะขึ้นมา มันแบบว่า จะอธิบายยังไงดีล่ะ คือเขาสอนการบ้านผมเลยนะ แถมยังให้สมุดจดเลคเชอร์มาอีก ผมควรจะให้อะไรเขาบ้าง ไม่ใช้เอาของที่นิวซื้อไปให้

มันเป็นแค่เพียงความคิดชั่วคราว เพราะกำลังนั่งเล่นเกมอย่างติดลม แต่พอเวลาผ่านไปไม่นานผมก็เริ่มคิดอีก เดี๋ยวซื้อ ไม่ซื้อ ความสับสนวุ่นวายตีกันมั่วไปหมด จนในที่สุดความอดทนที่มีอยู่ก็ขาดผึง ลุกขึ้นเต็มความสูง แล้วเดินออกไปนอกร้านทันที

ผมเดินเข้าร้านขายของชำที่อยู่ข้าง ๆ ร้านเกม เดินเลือกขนมที่คิดว่าอชิตะน่าจะชอบกิน ไม่ลืมหยิบเครื่องดื่มติดมาด้วย เอาเป็นนมจืดแล้วกันจะได้สูง ๆ ได้ของที่ต้องการผมก็เดินออกมาเพื่อคิดเงิน แต่สายก็ดันสะดุดเข้ากับโซนเครื่องเขียน

ปากกาน้ำเงินธรรมดา ๆ สีฟ้า ไม่มีลวดลาย แต่ส่วนปลายสำหรับกดเป็นรูปดาวห้าแฉก มันเหลืออันเดียว

หยุดมองครุ่นคิดอยู่ครู่ สุดท้ายก็ตัดสินใจหยิบมาด้วย พอได้ปากกาแล้ว ก็รู้สึกว่าควรซื้อสมุด ก็ผมเอาของเขามาทั้งเล่มนี่นา เอามาด้วยแล้วกัน

ผมยืนเลือกสมุดขนาดห้าเอ เลือกเอาที่ลวดลายน้อยหน่อย ผมไม่รู้ว่าอชิตะจะชอบแบบไหน เลยเลือกเล่มสีฟ้าลายก้อนเมฆให้เข้ากับปากกา

คุณสกาย กับ คุณสตาร์

ได้ของที่ต้องการ ผมก็จัดการเอาของทั้งหมดไปคิดเงิน แล้วเดินกลับไปยังร้านเกม นิวมองถุงในมือ ก่อนจะหรี่ตามองอย่างสงสัย แต่ผมอ้าปากพะงาบ ๆ ด่ามันออกไปก่อนว่า ‘ไม่ต้องเสือก’

“อชิ” ผมเรียกคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจดูหนังอยู่ “อันนี้เราให้ เป็นน้ำใจที่อุตส่าห์ช่วยสอนการบ้าน กับเรื่องสมุดเลคเชอร์”

อชิตะกระตุกยิ้มบาง แล้วรับของเอาไว้ในมือ เขาก้มดูว่าในนั้นมีอะไรบ้าง ก่อนจะหยิบนมจืดกับขนมปังออกมาวางไว้บนโต๊ะ

“ขอบคุณนะสกาย”

“เราซื้อมาขอบคุณอชิ แล้วอชิจะมาขอบคุณเรากลับทำไมเนี่ย” ผมว่าพลางกลั้วหัวเราะออกมา กับความน่ารัก น่าเอ็นดูของเขา ก่อนที่เจ้ากรรมนายเวรจะพูดแทรกขึ้น

“ไม่เห็นมีของกูอะ ลำเอียง”

“มาก็ช้า ยังจะเอาโน้นเอานี่อีก”

“โฮไรว้าสกาย” นิวทำหน้าอย่างเซ็ง ๆ ผมเลยหยิบขนมที่มันซื้อมาให้ป้อนใส่ปากมันไปคำใหญ่

“กินไปเลย จะได้ไม่ต้องพูดมาก”

“หืมมม... ขนมอร่อยขึ้นเยอะเลย”

“ประสาท” ผมว่ามันก่อนหันกลับมาสนใจหน้าจอคอมฯ ของตัวเองตามเดิม นิวเคี้ยวขนมตุ้ย ๆ จนหมดปาก ก่อนจะหันมายิ้มเย็น

ผมว่า ที่ผมรู้สึกแปลก ๆ ไม่เป็นตัวเอง เรื่องของอชิตะ น่าจะเป็นเพราะสิ่งที่เขาคอยทำให้ผม แต่ผมไม่เคยทำอะไรให้เขา พอได้เป็นฝ่ายให้บ้าง ก็เลยรู้สึกแบบ... มันจะเรียกว่าอะไรดีล่ะ มันมากกว่าดีใจ มันมากกว่ารู้สึกดี

ผมเรียกมันว่า...

ประทับใจ



หลังจากกลับมาจากร้านเกม ผมก็ขึ้นมาอาบน้ำ แล้วลงมาข้างล่าง นั่งกินข้าวกับแม่ แล้วดูหนังต่อ ดึกหน่อยผมก็พาตัวเองกลับขึ้นมาที่ห้องนอนของตัวเอง

ทิ้งตัวลงบนที่นอน ผมก็หยิบเอาสมุดกับปากกาที่สกายซื้อมาให้ขึ้นมาดู เวลาที่ชอบใครสักคน เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำให้เรามีความสุขจนเผลอยิ้มออกมาได้ง่าย ๆ

ติ้ง~

เสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันยอดฮิตอย่างไลน์ดังขึ้น ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นท้องฟ้าของผมนั่นเอง

ท้องฟ้า : อชินอนหรือยัง?

อชิตะ
: ยัง...

ท้องฟ้า
: อชิเขียนสูตรไว้ให้เราเหรอ

อชิตะ : ใช่ ทำไมเหรอ หรือว่าผิด

ท้องฟ้า
: เปล่า เราซึ้ง ขอบใจมากนะ กำลังคิดอยู่เลยว่าพรุ่งนี้ต้องทำไม่ทันแน่

อชิตะ
: ทำเสร็จหรือยังล่ะ ไม่เข้าใจทักมาถามได้นะ

ท้องฟ้า : เราทำเสร็จแล้ว เพราะได้อชิช่วยเลย

อชิตะ : เราแค่เขียนสูตร

ท้องฟ้า
: นั่นแหละยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ

อชิตะ : งั้นเราก็ขอบคุณสำหรับสมุด กับปากกานะ น่ารักมากเลยเราชอบ

ท้องฟ้า : เพราะคนน่ารักเลือกไง ถึงได้น่ารัก คุณสกาย กับ คุณสตาร์

อชิตะ : สกายชอบดาวเหรอ

ท้องฟ้า : ใช่ท้องฟ้าก็ต้องคู่กับดาวสิ เวลาที่เขาอยู่ด้วยกันมันสวยมาก

อชิตะ : อ๋อ...

ผมพอจะเป็นดาวของท้องฟ้าได้หรือเปล่านะ...



เมื่อคืนผมนอนพิมพ์คุยกับสกายจนดึก ไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน ตื่นมาหน้าจอยังค้างอยู่ที่หน้าแชทของสกายอยู่เลย

วันอาทิตย์ผมไม่ได้นัดกันออกไปไหนกับเพื่อน แต่ผมยังมีโครงงานที่ต้องทำส่ง อุปกรณ์ยังขาดอยู่อีกอย่างสองอย่าง ผมเลยให้แม่พาไปซื้อ เพราะขับรถมอเตอร์ไซค์ยังไม่แข็ง

ร้านทุกอย่างยี่สิบ มีทุกอย่างที่ต้องการ มันอยู่ไม่ไกลจากบ้านผมนัก

“คุณนวลจะเข้าไปไหม” ผมถามแม่ที่นั่งคร่อมรถอยู่

“แม่รอนี้ดีกว่า”

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินเข้ามาเลือกของ ผมยังขาดพวกกระดาษสี ๆ กับฟิวเจอร์บอร์ด ของตกแต่งอีกนิด ๆ หน่อย ๆ

เดินวน ๆ อยู่นาน ของทุกอย่างที่ต้องการถูกหยิบใส่ตะกร้าสีฟ้าไว้ ผมเดินดูของต่อ เผื่อว่าจะขาดเหลืออะไร จนมาถึงโซนขวดโหลสีใส พอมองดูแล้วก็จินตนาการว่า ถ้าในโหลมีดาวอยู่ในนั้นจนเต็มคงจะสวยน่าดู

ขวดทรงกลมถูกหยิบใส่ตะกร้า แล้วก็เดินไปหยิบกระดาษสำหรับพับดาวหลากหลายสีคละกันมาอีกจำนานมาก ผมยังไม่ได้คิดหรอกว่าจะให้สกายเนื่องในโอกาสอะไร แต่คิดว่าสักวันมันจะต้องเป็นของเขา

เลือกดูของเสร็จผมก็คิดเงินแล้วออกมาทันที ผมเรียกแม่ที่นั่งรออยู่หน้าร้าน แล้วพากันกลับบ้านในเวลาต่อมา

ผมใช้วันหยุดที่เหลือไปกับการหาข้อมูล และเนื้อหาของโครงงาน ตามที่แบ่งเอาไว้กับเพื่อนในกลุ่ม ว่าแต่ละคนหาหัวข้อไหน แล้วรอเอาไปประกอบร่างที่โรงเรียนในวันจันทร์

หลังจากเสร็จงานของตัวเอง เวลาที่เหลือ ผมก็เอามานั่งดูวิธีพับดาวกระดาษตามคลิปที่สอน ดวงแรกมัน บุด ๆ เบี้ยว ๆ มองยังไงก็ไม่เป็นดาว แต่เมื่อลองพับไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มคล่องขึ้น ดาวก็เริ่มเป็นดาว

ดวงที่หนึ่ง... ดวงที่สอง... ดวงที่สาม...

เวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ที่ผมจดจ่ออยู่ตรงนี้ แต่ดาวกระดาษในโหลก็ยังได้ไม่เยอะเท่าที่ควร ดูในคลิปเหมือนพับง่าย ๆ แต่พับจริงยากนะเนี่ย แถมกระดาษก็เสียไปเยอะด้วย

ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยาม จนกระทั่งเสียงมือถือแผดเสียงดัง หน้าจอสว่างวาบถึงได้เห็นว่าตอนนี้สองทุ่มกว่าแล้ว

สายที่โทรเข้ามาวางไปเสียก่อนที่ผมจะรับด้วยซ้ำ นิวโทรหาผม ยังไม่ทันกดโทรกลับ แม่ก็มาเคาะประตูเรียก

“อชิตะ นิวมาหาลูก”

“ครับแม่” ผมขานรับก่อนจะพาตัวเองลงไปข้างล่าง

นิวยืนอยู่หน้าบ้าน ไม่ยอมเข้ามา ผมเลยต้องเดินออกไปแทน

“มาบ้านกูซะดึกเชียว มีอะไรหรือเปล่า” ผมว่า

“อชิ กูรู้สึกแปลก ๆ”

“...?”

“วันนี้กูนัดกับสกายออกไปสวนที่เราเคยไปกันจำได้ไหม” ผมนิ่งเงียบ ไม่ใช่เพราะจำไม่ได้ แต่เงียบเพราะวันนี้ นิวออกไปด้วยกันโดยที่ไม่มีใครชวนผมเลย

“อืม จำได้มีอะไร”

“พักหลังกูรู้สึกแปลก ๆ ว่ะ เวลาที่สกายแกล้งกู กูรู้สึกมีความสุขยังไงไม่รู้ กูเลยชอบหาเรื่องแกล้งให้สกายแกล้งกูคืน”

“...”

“แล้ววันนี้กูชวนเขาไปนั่งเล่น ตอนที่กูมองหน้าเขา กูรู้สึกหวิว ๆ ตอนที่แขนเราโดนกันมันรู้สึกใจเต้นจนเหนื่อยเลย”

ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกเจ็บแปล๊บอย่างนี้...

“มึงต้องการจะพูดอะไรกันแน่”

“อชิ...” นิวว่าเสียงนิ่งเรียบ สายตาเขาดูจริงจัง “มึงชอบสกายหรือเปล่า”

ผมนิ่งอึ้งไปสักพัก

“ทำไม”

“กูว่า... กูชอบสกายว่ะ”








#แฟนwithbenefits

จะสงสารใครก่อนดี เฮ้อ

༼ಢ_ಢ༽




*ชื่อตอน เพลง โอ้ใจเอ๋ย - ปั่น ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว

-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -9-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 01-09-2021 18:57:43
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-9-

ฉันอาจจะแอบรักเธอหน่อย ๆ


บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่า...เรามองข้ามความรู้สึกเขาไปตอนไหน

พอรู้ตัวอีกอีกที...เราก็เสียเขาไปแล้ว


ผม...ชอบอชิตะ

แต่เดี๋ยวนะ ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ก็แค่ชอบเวลาที่เขามาชวนผมคุย ชวนติวหนังสือ แนะนำหนังสนุก ๆ ให้ผมดู ทุกครั้งที่เห็นข้อความเขา ผมไม่เคยปล่อยให้เขาต้องรอนาน รีบกดตอบทันที ก็แค่นั้นเอ๊ง

ผมว่าเราสนิทกันแล้วนะแต่...

หลังกลับมาจากติววันนั้น ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า เหมือนเขาพยายามหลบหน้าผม พอเทอมสองมีวิชาเลือกเข้ามา เราก็แทบไม่ได้เจอกันเลย เวลาเดียวที่ผมจะเจอเขาได้คือ ตอนเช้า

วันหยุดไม่ยอมออกมาเจอกัน ส่งข้อความไปก็ถามคำตอบคำ บางประโยคก็อ่านไม่ตอบไปซะดื้อ ๆ หรือผมทำอะไรผิดไป อยากถามตรง ๆ ก็ไม่กล้าพอ มันเหมือนเรากลับไปตอนที่รู้จักกันวันแรกยังไงก็ไม่รู้

คิดแล้วก็เครียด ได้แต่นั่งถอนหายใจทิ้งนับครั้งไม่ถ้วน

“มึงเป็นอะไร พักนี้ถอนหายใจโคตรบ่อย” นิวว่า

“กูแค่รู้สึกแปลก ๆ”

“...?” นิวเอียงคอมอง ใบหน้ามันมีเครื่องหมายคำถาม

“ช่างมันเถอะ” ผมว่าก่อนจะหยิบดินสอขึ้นวาดรูปต่อ

ผมชอบกลิ่นของห้องศิลปะที่สุด ทุกครั้งที่ได้เข้ามาในห้อง ผมรู้สึกเป็นตัวเองมากกว่าทุกครั้ง วิชาเลือกผมก็เลือกวิชานี้ นิวเองก็พลอยติดสอยห้อยตามผมมา

ไม่รู้ว่ามาเป็นเพื่อน หรือภาระ มีงานวาดรูปทีไรให้ผมช่วยตลอด

“ตอนบ่ายจับคณะสี มึงอยากอยู่สีไหน” ไม่ถึงนาทีมันก็ชวนผมคุยอีกแล้ว

“สีไหนก็ได้” ผมตอบสั้น ๆ

“มึงไม่ถามกูหน่อยเหรอว่าอยากอยู่สีอะไร”

“หึ ไม่อยากรู้”

“ถามหน่อยนา อยากตอบ”

“เออ ๆ อยากอยู่สีไหน” ผมถามแบบขอไปที จะได้เลิกกวน

“อยากอยู่... สีเดียวกับมึง”

“ติงต๊อง...” ผมมองหน้ามัน แล้วส่ายหัวเบา ๆ ให้กับมุขห้าบาทสิบบาท

นอกจากอชิตะแปลกไป นิวก็ยังชอบพูดอะไรแปลก ๆ ไปอีกคน หรือว่าสองคนนี้มีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้หรือเปล่า

เฮ้อ~

ผมถอนหายใจอีกแล้ว...

คนหนึ่งก็เหมือนจะหลบหน้า อีกคนก็ติดหนึบเป็นตังเม



“น้องมอหนึ่ง กับมอสี่เร็วหน่อยค่ะ จะได้ไม่เสียเวลา” เสียงประธานนักเรียนประกาศเสียงดัง พวกเราก็รีบจัดแถวท่ามกลางแดดอันร้อนแรง กันอย่างเป็นระเบียบ

ขืนยังช้ากว่านี้ ได้โดนแดดเผาไหม้เกรียมแน่

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พวกสภานักเรียนก็ออกมายืนถือป้ายสีตามจุด ปล่อยให้รุ่นน้องมอหนึ่งเดินทยอยกันไปจับฉลากเลือกคณะสี แล้วแยกออกไปประจำตามสีของตัวเอง

หลังจากความวุ่นวายของรุ่นน้องจบลง เด็กมอสี่ก็เริ่มทยอยเข้าไปจับฉลากบ้าง เริ่มจากห้องคิง

ขนาดจับฉลากยังได้อภิสิทธิ์ก่อนเลย ดีเหลือเกิน!

ผมมองหาอชิตะ มองหาเขาน่ะไม่ยากหรอก เพราะเขาตัวเล็ก มักจะได้ยื่นอยู่หัวแถว มีแวบหนึ่งที่เขาหันมามองผม แล้วก็หันกลับไปคุยกับเพื่อนต่อ

ยิ้มแห้งไปเลย จะทำแบบนี้จริง ๆ เหรอ คิดว่าเราสนิทกันมากซะอีกให้ตายเถอะ

ผมยังคงมองอชิตะจากตรงนี้ เขาพูดคุยกับเพื่อนในห้องด้วยท่าทีสบาย ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ ผิดกับตอนที่คุยกับผม เขาทำหน้าอย่างกับคนอมทุกข์ แล้วไอ้ยิ้มแบบนั้นคืออะไร ผมคิดว่านั้นควรเป็นของผมมากกว่า

ยิ่งมองก็ยิ่งโมโห เขาดูมีความสุข ในขณะที่ผมกำลังคิดมากอยู่ฝ่ายเดียว

“น้องทับสามยืนขึ้นค่ะ” นิวสะกิดให้ผมลุก ผมก็ลุก

ในกล่องมีกระดาษที่ม้วนอยู่ในนั้นจำนวนมาก ผมล้วงเข้าไปแล้วหยิบออกมาจากกล่องอย่างไม่คิดอะไร

ค่อย ๆ คลี่กระดาษออกมา ‘อินทนิล’ (สีม่วง) ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก สีไหนก็สีนั่นแหละ

“มึงสีอะไร” นิวว่า

“ม่วง มึงอะ?” ผมถามกลับ

“ปาริชาต สีแดงวะ” นิวว่าอย่างเซ็ง ๆ “ตอนมอหนึ่งจนถึงมอสามกูก็ได้สีนี้ อยากได้สีอื่นบ้าง”

“เอานามึง”

“นิวไม่ยอม นิวจะอยู่กับสกาย” ว่าจบมันก็เดินสะบัดก้น หายเข้าไปในกลุ่มเพื่อน

ไม่นานมันก็เดินกลับมาพร้อมกระดาษในมือ เขียนว่า ‘อินทนิล’ ยอมในความพยายามของมันจริง ๆ

“สีม่วงจ้าาา” ผมฉีกยิ้มพยักหน้าให้มัน

เราพากันเดินไปลงชื่อว่าตัวเองอยู่สีไหน เด็กมอสี่ต้องลงแข่งกีฬาคนละอย่าง ผมเลือกบาสเกตบอล เพราะเป็นกีฬาเดียวที่ผมถนัด หลังจากเขียนเสร็จ นิวก็ลากผมมาหาอชิตะ เมื่อผมเดินเข้าไปใกล้ เขาก็เหมือนจะพูดน้อยลงทันที

“อชิอยู่สีไหน” นิวว่า

“ปาริชาต นิวล่ะ”

“อินทนิล มึงมาอยู่กับพวกกูปะ เดี๋ยวกูไปหาเปลี่ยนกับคนอื่นให้” ตอนที่นิวพูดว่าจะเปลี่ยนให้ เขาก็หันมามองผม นัยน์ตาเขาว่างเปล่า

“ไม่เป็นไร สีเดิมก็ดี จะได้ไม่ต้องสั่งเสื้อใหม่”

“เออ ๆ ตามใจ มึงลงกีฬาปะ” นิวถามต่อ

“ไม่วะ”

“ดีเลย มาเชียร์พวกกูด้วยนะ พวกกูลงบาสฯ” นิวว่าพลางกอดคอผมเอาไว้จนแน่น

“อืม งั้นกูขอตัวก่อนนะ เพื่อนกูเรียกแล้ว” ว่าจบ เขาก็ค่อย ๆ เดินห่างผมออกไป

ผมมีเรื่องที่อยากคุยกับเขาเยอะแยะไปหมด แต่พอเจอหน้าผมกลับพูดอะไรไม่ออก ผมยังยืนมองเขาอยู่อย่างนั้น จนเขาหายไปจากสายตา แล้วจึงเดินออกมาจากตรงนั้น

ทำไมมันถึงได้รู้สึกโหวง ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ตอนที่มองเขาเดินห่างออกไป มันเหมือนเขาอยู่ใกล้ แต่ผมคว้าเอาไว้ไม่ได้ เขาเหมือนกับดาวไม่มีผิด สวยงามแต่ไม่ได้มีไว้ครอบครอง

ความรู้สึกทั้งหน่วง ทั้งหวิว ๆ นี้ มันคืออะไรกัน...



ตั้งแต่วันที่นิวมาหาผมที่บ้านวันนั้น ผมก็ไม่อยากทำอะไร นอกจากนอนโง่ ๆ ดาวที่พับได้ก้นโหลก็ถูกยกมาเก็บไว้บนหัวนอน ในทุก ๆ คืนผมจะมองมันแล้วหลับไป

ผมตัดสินใจทิ้งห่างกับสกายเพื่อรักษาความรู้สึกตัวเอง คิดว่ามันจะดีขึ้นแต่เปล่าเลย มันยิ่งตอกย้ำว่าผมชอบเขามากแค่ไหน

สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเทดาวในโหลทิ้ง แล้วเริ่มต้นพับดาวใหม่ จากที่มันเคยเป็นความตั้งใจเพื่อมอบให้ในโอกาสพิเศษ ตอนนี้มันถูกเปลี่ยนเป็นตามจำนวนวันที่ผมจะชอบสกาย สักวันผมคงจะหยุดพับมัน หรือไม่ก็เต็มโหลจนไม่พอใส่

“อินทนิล มึงมาอยู่กับพวกกูปะ เดี๋ยวกูไปหาเปลี่ยนกับคนอื่นให้” ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงตอบตกลงไปแล้ว แต่พอหันไปเห็นสกาย ผมก็ตัดสินใจได้ทันที

หากผมยังปล่อยให้ความรู้สึกของตัวเองอยู่เหนือทุกอย่าง ผมคงไม่มีทางตัดใจจากสกายได้แน่ ๆ

“ไม่เป็นไร สีเดิมก็ดี จะได้ไม่ต้องสั่งเสื้อใหม่” ผมว่า

“เออ ๆ ตามใจ มึงลงกีฬาปะ”

“ไม่วะ”

“ดีเลย มาเชียร์พวกกูด้วยนะ พวกกูลงบาสฯ”

“อืม งั้นกูขอตัวก่อนนะ เพื่อนกูเรียกแล้ว” ผมบอกลา ก่อนจะหมุนตัวเดินออกมา บรรยากาศมันค่อนข้างอึดอัด

ผมไม่รู้ว่านิวกับสกายไปถึงไหนกันแล้ว เขาถึงได้สนิทกันมากกว่าเมื่อก่อน

เจ็บวะ...



ผมเดินกลับเข้ามาในห้องเรียน จริง ๆ ไม่ได้มีเพื่อนคนไหนเรียกผมหรอก ผมแค่ใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อเดินออกมา

อีกสักพักสกายก็คงจะเดินผ่านห้องผม เพื่อขึ้นไปเรียน ทุกวันจันทร์ผมจะเห็นเขา จากตึกตรงข้ามชั้นสอง

มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ตอนนี้ มองเขาอยู่ห่าง ๆ ผมสะบัดความคิดฟุ้งซ่าน แล้วพาตัวเองมาเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า ล้างตา

บริเวณห้องน้ำเงียบมาก อาจจะเป็นเพราะทุกคนออกไปทำกิจกรรมที่ลานหน้าเสาธงหมด

ผมเดินตรงมายังอ่างล้างมือ บิดหมุนก๊อกเพื่อเปิดน้ำ มือวักเอาน้ำเย็นกระทบกับผิวหน้า ผมมองตัวเองผ่านกระจก ใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดน้ำที่เกาะผิว

แกร๊ก!

เสียงคนออกจากห้องน้ำห้องสุดท้าย ผมไม่ได้หันไปสนใจ แต่ทว่าเสียงฝีเท้าขยับมาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะหยุดลงตรง

เป็นสกายนั่นเอง...

ผมมองเขาผ่านกระจก เขาเองก็มองผมเช่นกัน เราทั้งคู่ต่างไม่มีใครยอมพูดอะไรจนกระทั่งผมหมุนตัวเดินออกมาได้ไม่ไกล

“อชิ” เท้าที่กำลังสาวอยู่ก็พลันหยุดชะงักทันที ที่จริงผมควรจะเดินต่อ

“...” ผมไม่ตอบ แต่ก็หันกลับไปมองคนตัวสูง เขาก้าวเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงตัวผม

“เราเอามาคืน” ว่าจบเขาก็หยิบสมุดจดที่ผมเคยให้เขาออกมาจากกระเป๋าผ้า

“เราให้สกาย”

“เราจดไว้แล้ว อชิเอาคืนไปเถอะ”

“...” ผมยื่นมือไปรับสมุดจด แล้วหมุนตัวเดินออกมา

“เดี๋ยวสิ” เป็นอีกครั้งที่ผมหยุดเดินตามเสียงเรียกของสกาย แต่หนนี้เขาไม่เดินเข้าหาผม ผมเองก็ไม่ได้หันกลับไป “เราไม่รู้ว่าทำไมอยู่ ๆ เราถึงได้ดูห่างเหินกันขนาดนี้ อชิโกรธอะไรเราหรือเปล่า”

“...”

“เราคิดว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้วซะอีก ทำไมเราถึงไม่คุยกันตรง ๆ”

เพื่อน...

นั้นคงเป็นสถานะที่เขาให้ผมได้สินะ ผมเองก็ไม่ควรโกรธเขาด้วยซ้ำ เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยแท้ ๆ ผมมันแย่ที่สุด

“เราไม่ได้โกรธสกายหรอก ช่วงนี้ห้องเราเตรียมงานวิชาการน่ะ”

ถ้าเขามองว่าผมเป็นเพื่อน ผมก็ควรมองว่าเขาเป็นเพื่อนเหมือนกัน

“จริง ๆ ใช่ไหม อชิแค่ยุ่ง เราไม่ได้คิดไปเองว่าอชิพยายามหลบหน้าเรา”

“อืม...” ผมตอบเพียงสั้น ๆ

“งั้นอชิสัญญานะ ว่าจะมาเชียร์เราแข่งบาสฯ”

“ได้สิ”

“สัญญากับเรา...”

“สัญญา”



[เดี่ยว Ninew]

ช่วงนี้เราสามคนไม่ค่อยสนิทกันเหมือนเมื่อก่อน ปกติอชิตะจะมาที่บ้านผมในช่วงวันหยุด ตกเย็นเราจะรวมตัวกันอยู่ร้านคอม ดึกหน่อยก็หาอะไรกินกัน แต่เดี๋ยวนี้พอจะชวนไปไหนมันก็อ้างโน่นอ้างนี่ตลอด แต่ก็ดีแหละ ผมจะได้ไปกับสกายสองต่อสอง

เทอมหนึ่งผ่านพ้นไปอย่างทุลักทุเล คะแนนสอบกลางภาคของผมกับสกายไม่ต่างกันเท่าไหร่ มอห้าเราทั้งคู่ก็คงจะอยู่ห้องสามตามเดิม ก่อนสอบสกายยังอยู่ห้องศิลป์อยู่เลย เพิ่งรู้ว่าสกายวาดรูปสวยมาก ส่วนผมก็ตามเฝ้ามันทุกวัน บางวันก็ไปรับไปส่ง

มันจะรู้หรือเปล่าว่าผมกำลังตามจีบอยู่ เหนื่อยแล้วนะเว้ย รู้ตัวสักทีสิวะ

แต่นี้ก็ยังไม่ใช่ประเด็นหลัก เพราะวันนี้เป็นวันที่ผมรอคอยมาตลอด งานกีฬาสี ไม่มีเรียน มีแต่เล่น...

ก่อนลงแข่งสามสัปดาห์ ผมตัดสินใจถอนตัวออกจากการแข่งบาสฯ ผมไม่ได้เกิดอุบัติเหตุ หรือฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่...

อยากดูแล โมเมนต์แบบซีรีส์งี้

ผมสืบเท้าไปหาสกายที่นั่งรอลงสนามทันที เขากำลังชะเง้อหน้ามองไปรอบสนาม เขาอาจจะมองหาผมอยู่ก็ได้ แต่พอเดินเข้าไปใกล้ เขาก็ยังชะเง้อคอหาต่อ ผมลองมองตามสายตาของสกาย ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไร

“สกาย...” ผมเรียก

“อ้าว มึงมาตอนไหนเนี่ย”

“ถ้ากูเป็นงู กูคงฉกมึงตาย” ผมว่าพลางหัวเราะเบา ๆ “มึงเถอะมองหาอะไร”

“อชิ... ทางนี้” ยังไม่ทันได้คำตอบสกายก็ตะโกน โบกไม้โบกมือเรียกไหว ๆ

ผมไม่เข้าใจสองคนนี้เท่าไหร่ ก่อนหน้าเหมือนพวกเขาทะเลาะอะไรกัน สกายก็เอาแต่ถอนหายใจ บางวันก็เหม่อ พอเจอหน้าอชิตะก็ก้มหน้าก้มตา

ส่วนอชิตะก็หายหน้าหายตา เหมือนกำลังหลบหน้าสกายอย่างนั้นแหละ ถ้าอชิตะไม่ได้ปฏิเสธเรื่องชอบสกายกับผมวันนั้น ผมคงคิดว่าสองคนนี้คบกัน แล้วกำลังทะเลาะกันอยู่แน่ ๆ

แต่มาวันนี้แค่อชิตะโผล่มา สกายกลับกระดี๊กระด๊า ยิ้มจนปากฉีกตาหยี มันเป็นยิ้มที่ผมไม่เคยได้จากเขาเลย 

ตอนที่ผมเดินมาก่อน เขายังไม่ดีใจขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ เห็นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ น้อยใจว่ะ...

“สู้ ๆ นะ” อชิตะว่า

“นึกว่าจะอชิจะไม่มาซะแล้ว”

“ก็สัญญาแล้วนี่” อชิตะฉีกยิ้มกว้าง คนฟังเองก็ยิ้มจนตาหยี ทำไมผมถึงได้รู้สึกแปลก ๆ เหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้ แล้วสองคนนี้ไปสัญญาอะไรกันตอนไหน

ไม่นานครูก็เรียกนักกีฬาลงสนาม ผมกับอชิตะเดินมาอีกฝั่ง ในขณะที่ผมเอาแต่เงียบคิดอะไรไปเรื่อย เขาก็เป็นคนพูดขึ้นก่อน

“ไหนว่าลงแข่งกับสกาย” ผมหันกลับไปมองคนถาม แววตาที่เขาใช้มองผม มันต่างจากตอนที่คุยกับสกาย ตอนนี้มันว่างเปล่าเหมือนที่เคย

หรือผมจะคิดไปเอง...

“เปลี่ยนใจ” ผมตอบสั้น ๆ

“ทำไมล่ะ ตั้งใจมาเชียร์มึงเลยนะ”

“เหรอ...” ผมเงียบไปประมาณสองวิได้ ก่อนจะพูดต่อ “ถ้ากูลงแข่ง แล้วใครจะคอยดูแลสกายล่ะ เกิดล้มขึ้นมา กูอยากถึงตัวเขาเป็นคนแรก” อชิตะเสหน้าออกจากวงสนทนาทันที ผมไม่เข้าใจภาษากายของเขาเท่าไหร่ เพราะปกติอชิตะก็นิ่งแบบนี้

“พวกมึงคบกันแล้วเหรอ” อชิตะว่า

“ยัง...แต่กูว่าจะบอกชอบสกายหลังงานกีฬาสี”

“อืม...ขอให้สมหวังนะมึง” ผมไม่ได้ตอบกลับอะไร เพียงแค่พยัก แล้วหันมาสนใจการแข่งขันในสนามต่อ

ผมยื่นตะโกนเชียร์สกายจนเจ็บคอไปหมด ตอนสกายเล่นบาสฯ แม่งโคตรเท่เลยครับ จังหวะที่เขาชู้ตสามแต้มผมนี่กรี๊ดสาวแตกไปเลย

เสียงของครูที่ปรึกษาเดินมาขอแรงให้ช่วยยกของ ความผมก็ก้มหน้าก้มตา แต่ก็ไม่พ้นโดนครูใช้ “อชิกูฝากของหน่อยนะ เดี๋ยวมา” ว่าจบผมก็เอาน้ำเปล่ากับ ขวดเกลือแร่ยัดใส่มือ ก่อนจะเอาผ้าขนหนูผืนเล็กพาดบ่าอชิตะไว้

ของทั้งหมดนี้ผมเตรียมเอาไว้ให้สกายเป็นพิเศษ หวังว่าเขาจะมองเห็นความใส่ใจของผม แล้วเลิกเรียกผมว่าเพื่อนสักที

“ธนากรเร็ว ๆ ครูรอเธออยู่นะ” เสียงครูเร่ง ผมก็รีบผละออกมาทันที

ของจากหลังรถครูเยอะมาก เป็นพวกพวกขนมที่ใช้แจกแต่ละคณะสี ขนมที่เห็นแล้วชวนขนลุก เพราะไม่ว่าปีไหนผมก็เจอมัน ขาไก่ กับขนมปี๊บไส้สับปะรด

WTF!

มันไม่มีขนมที่ดีกว่านี้แล้วใช่ไหม

ผมสะบัดความคิดของตัวเอง แล้วรีบขนทุกอย่างเข้าห้องพักครูอย่างไวว่อง ต้องรีบกลับไปที่สนามแข่ง ไม่รู้ว่าสกายจะพักครึ่งแรกไปแล้วหรือยัง

ยกขนมปี๊บอันสุดท้ายเสร็จ ผมก็ขอตัว แต่ทว่ายังโดนใช้ให้เอาเอกสารไปวางที่โต๊ะครูห้องเคมี ผมหยิบเอาซองเอกสาร วิ่งสี่คูณร้อย แล้วรีบวิ่งกลับออกมา

ผมพาตัวเองกลับมาด้วยความเร็วเทียบเท่าเดอะแฟลช จริง ๆ ผมควรลงกีฬาวิ่งมากกว่าบาสฯ ที่หนึ่งคงไม่ไกลเกินเอื้อม

แต่ผมไม่ได้ต้องการเป็นที่หนึ่งด้านกีฬา ผมอยากเป็นที่หนึ่งของสกาย เหี้ยเขินวะ นี้แค่คิดนะ ถ้าเป็นจริงจะขนาดไหน แอร๊ยยย >///<

ยังไม่ทันถึงสนาม ภาพฝันที่วาดเอาไว้ก็พลันดับวูบ เหมือนโลกนี้ไม่เคยมีดวงอาทิตย์มาก่อน มันเหมือนทุกอย่างรอบตัวไร้เสียง เหมือนทั้งโลกมีแค่ผมคนเดียวที่ยื่นอยู่ตรงนี้

มองจากตรงนี้ก็รู้ว่าสกายได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้า อชิตะก็แค่เข้ามาดู ค่อย ๆ ถอดรองเท้าออกอย่างเบามือ แล้วใช้ยาทาก่อนจะเอาผ้ายืดพันเอาไว้ มันไม่ได้มีอะไรเลย มันก็แค่การปฐมพยาบาลธรรมดา แต่เขากำลังทำหน้าที่ที่ผมอยากทำ

สกายจ้องอชิตะอย่างไม่ละสายตา มันชัดเจนจริง ๆ มันชัดมานานแล้ว แต่ผมแค่หลอกตัวเอง หวังว่าสักวันเขาจะเห็นผมในสายตาบ้าง แต่พอเห็นภาพนี้กับตา ผมก็รู้สึกได้ทันที คนที่ถึงตัวสกายก่อน มันไม่เคยเป็นผม ที่ตรงนั้นไม่ใช่ของผมมาตลอด...

เท้าเริ่มก้าวถอยหลังออกมาช้า ๆ ถอยมาพร้อมกับความรู้สึกที่กำลังแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง ไม่ดงไม่ดูแม่งแล้ว งานกีฬาสีอะไรวะ ไม่เห็นจะสนุกเลยสักนิด

ผมเดินไปยังโรงจอดรถ แล้วถอยลูกชายขับออกมานอกโรงเรียน ผมอ้างกับยามว่าจะออกไปซื้อของให้ในงาน โชคดีที่กีฬาสีจึงไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตอะไรมากมาย

รถมอเตอร์ไซค์จอดนิ่งสนิทที่หน้าบ้านในเวลาต่อมา เท้าสาวเข้าบ้านโดยไม่ทันสังเกตว่าไอ้นีโอพี่ชายผมนั่งอยู่

กระเป๋านักเรียนถูกโยนไว้บนโซฟาอย่างลวก ๆ

“เฮ้ย ๆ หน้ากู” ผมไม่ตอบพี่ชาย เดินดุ่ม ๆ ขึ้นมาบนห้องของตัวเองทันที

ปัง!

ผมปิดประตูเสียงดัง ทิ้งตัวลงนอนกับที่นอนนุ่ม หยิบมือถือขึ้นมาพร้อมกับเสียบหูฟัง ตามแบบฉบับของคนอกหัก

มือก็เลื่อนหาเพลงในยูทูบ เลือกเพลงที่เศร้าที่สุด นาทีนี้ต้องเพลง *ฝุ่น - Big Ass เท่านั้น



*คำว่ารักมันกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว



โฮลลลลลลลลลลลลลล! TT^TT

แค่เสียงของพี่แด๊กขึ้นมาน้ำตาก็ไหลพรากเป็นน้ำป่าไหลหลาก



อะไรที่หวังก็พังไปตั้งนานแล้ว



ไอ้เหี้ยท่อนนี้ก็โดน!

ผมยังคงแหกปากร้องไห้ฟูมฟายเป็นเด็กถูกแย่งลูกโป่ง

จนกระทั่ง...

“จุม...” จุมไหนวะ “เนื้อคู่ของจุม จะมีรอยรูปตะขาบที่ต้นแขน”

เหี้ย! อีจุมมึงมาทำอะไรตอนนี้ คนกำลังดราม่า ความรู้สึกกูมันพักชมโฆษณาไม่ได้นะเว้ยยยย!!!!!!!!!!

ผมนั่งรอจนกระทั่งโฆษณาจบ เพลงก็ดังต่อ จากนั่นผมก็นอนร้องไห้ สลับกับดูโฆษณา คนจะเศร้ายูทูบก็ยังไม่เป็นใจ ค่อยดูเถอะมึง กูจะตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ กูจะส่งอีเมลไปร้องเรียนให้ยูทูบมีระบบแบบวีไอพี แบบไม่มีอะไรมากั้น

แกร๊ก!

"นิวกูขอเข้าไปนะ"

ฟายเผือก พี่ชายขึ้นมา ผมก็รีบปาดน้ำตาที่อยู่บนหน้าแล้วนั่งฮึบน้ำตาเอาไว้ อย่าให้ใครรู้ว่าผมเสียใจ ถึงแม้ตาจะปูดเป็นไข่ห่านก็ตาม

“นิวมึงเป็นอะไร”

“กะ...กูเปล่า”

“อย่ามาตอแหล ไอ้เหี้ยแหกปากร้องลั่นบ้าน”

“กูร้องดังเหรอ?” นี่ผมไม่รู้เลยนะ

“ไอ้สัดใส่หูฟังจะไปรู้เหี้ยอะไร กูก็นึกว่าใครมาเชือดควายแถวนี้”

“...” จุกไปเลยไอ้เหี้ย แต่กูยอมมึงวันหนึ่งละกัน ก็เศร้าอยู่ไม่อยากเถียง

นีโอทิ้งตัวลงนั่งบนที่นอน มองหน้าผมอยู่สักพักก็เริ่มถามต่อ “กูถามว่ามึงเป็นอะไร” หนนี้มันถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

มีใครเป็นแบบผมบ้างไหม ตอนที่หยุดร้องไห้ได้แล้ว เพียงแค่ถูกสะกิดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม บ่อน้ำตาที่แห้งเหือดก็ทะลักออกมาอีกครั้ง

คราวนี้ผมไม่ฮึบ ไม่กั้นปล่อยเขื่อนแตกต่อหน้าพี่ชายอย่างไม่รู้จักอาย

“แง้~ ไอ้เหี้ยโออออ...” ร้องไห้ไม่พอ ผมโผเข้ากอดพี่ชายตัวเองแน่น

“อืมมม กูชื่อนีโอ”

“นีโอออ ฮือออออออ กู โฮลลลลลลล เศร้า งื้ออออ มึง ฮึกกก”

“กูว่ามึงร้องให้พอแล้วค่อยพูด กูฟังไม่รู้เรื่อง”

ผมร้องไห้อยู่อย่างนั้นเป็นสิบนาที พอเริ่มฮึบได้ ผมก็เริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างให้มันฟัง สีหน้าของมันนิ่งเรียบ ถอนหายใจทิ้งไปสองที ตามด้วยการกลอกตามองบน แล้วหันมามองผม

“นิวมึงฟังกูนะ”

“...”

“ความรักมีอยู่สองอย่าง” มันว่าพลางชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมา “อย่างแรกสมหวัง” แล้วมันก็เอานิ้วชี้ลง

เอ๊ะ! ทำไมพอเหลือแต่นิ้วกลางที่ชูอยู่ รู้สึกเหมือนโดนด่าวะ

“อย่างที่สองคือผิดหวัง”

“แต่กูผิดหวังไง กูเสียใจ”

“ผิดหวังแล้วไงวะ ความรักไม่จำเป็นต้องครอบครองอย่างเดียวหรือเปล่า”

“...”

“การที่ได้เห็นเขามีความสุข มึงเองก็จะมีความสุขไปด้วย”

“ยังไงกูไม่เข้าใจ มองคนที่ชอบไปรักคนอื่น กูจะมีความสุขได้ไง” ผมไม่เข้าใจที่พี่ชายผมจะสื่อเท่าไหร่

“มึงเชื่อกู แล้วลองดู มึงจะมีความสุขแบบไม่รู้ตัว แถมมึงจะไม่เสียเพื่อนดี ๆ ไปด้วย”

“มึงเคยอกหักไหม” ผมถามกลับ ดูมันช่ำชองจัง

“คนหล่อ ๆ แบบกู ทำไมต้องเคยอกหักวะ”

“กูจะอ้วก”

Rrrr…

ยังไม่ทันได้ด่ามันต่อ มือถือก็สว่างวาบในห้อง ผมไม่รู้เลยว่ากี่โมงกี่ยาม มัวแต่ร้องไห้จนตาปูดตาบวม

แต่พอเห็นเบอร์ที่โทรมาหางผมก็ส่ายดิก ๆ ลืมเรื่องเศร้าเมื่อหลายชั่วโมงไปเลย

“นีโอมึงออกไป ไป เพื่อนกูโทรมา”

“หมดประโยชน์ก็ไล่กูเลยไอ้ห่า” ว่าจบมันก็เดินออกจากห้องไป

เสียงประตูถูกปิดลง ผมก็รีบกดรับสายสกายทันที

“ว่าไง”

[มึงหายไปไหน]

“กูปวดหัวเลยกลับก่อน”

[อ๋อ...]

“ว่าแต่มึงมีอะไร”

[คืองี้...] เสียงของสกายกุกกักเหมือนกำลังทำอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดต่อ [มึงมีเสื้อคณะสีแดงช่ะ]

“อืม...”

[วันแข่งสแตนเชียร์เอามาด้วยดิ]

“เอาไปทำอะไรอ่ะ”

[กูอยากไปนั่งกับอชิ...]

“...” หัวใจผมหล่นวูบ ไม่อยากฟังสิ่งที่สกายกำลังจะพูดต่อ แต่นั่นคือความจริงที่ผมยอมรับให้ได้

[กูว่า...กูชอบอชิ มึงช่วยกูนะ]

"โอเค กูจะช่วยมึงเอง"

มันอาจจะจริงอย่างที่พี่ชายผมบอกก็ได้ ความรักมันก็มีแค่สมหวังกับผิดหวัง ส่วนผมก็คงเป็นอย่างหลัง แต่อย่างน้อยผมก็ยังอยากเห็นเขามีความสุข ได้อยู่ใกล้ ๆ ไม่ว่าจะสถานะอะไรก็ตาม...

[จบเดียว Ninew]








#แฟนwithbenefits

ตอนนี้ ยกให้นิวเขาแหละ ไม่รู้จะขำหรือสงสารก่อนดี

༼ಢ_ಢ༽













*ชื่อตอน เพลง อยากเป็นคนสำคัญของเธอ OST. I Wanna Be Sup'tar วันหนึ่งจะเป็นซุปตาร์



-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -10-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 01-09-2021 18:59:40
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-10-

เธอคงยังไม่รู้ ว่ามีหนึ่งคนแอบรักเธอ



'บางทีการได้อยู่ใกล้ ๆ มันก็ดีกว่า การบอกไปตรง ๆ'



“สกายรับ!”

พลั่ก!

ผมกำลังถูกแรงโน้มถ่วงของโลก ฉุดรั้งให้ต้องทิ้งตัวลงกับพื้น เมื่อถูกวัตถุกระทบเข้าอย่างแรงที่หัว ตามมาด้วยเสียงร้องโอดครวญ เพราะถูกคนข้างหน้าสะดุดผมที่ล้มอยู่ เหยียบเอาข้อเท้าผมเจ็บแปลบ ก่อนจะล้มทับตาม ๆ กันลงมาอีกสองสามคน

“สกาย!” ทั้งรุ่นพี่ และคุณครูต่างก็วิ่งเขามาดู ผมถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนจำนวนมาก ที่เรียกอีกอย่างว่าไทยมุง ก่อนจะเห็นหน้าของอชิตะแทรกเข้ามา

ครูกับรุ่นพี่ช่วยกันพยุงผมออกมานั่งข้างสนาม ประเมินอาการสรุปผมก็ไม่สามารถลงแข่งต่อได้ ผมไม่สนเรื่องแข่งแล้ว เพราะสาเหตุที่ทำให้ผมหลุดสมาธิออกจากสนามก็คือ ไอ้รุ่นพี่ที่ยื่นข้างอชิตะเนี่ยแหละ

หันกลับมาอีกทีนิวก็หายไป มันถูกแทนที่ด้วยรุ่นพี่ตัวสูงชื่อตาม เด็กมอหกห้องคิง ก็พอรู้มาบ้างว่าตอนนี้มีกิจกรรมวิชาการที่ต้องทำด้วยกัน แต่จำเป็นต้องลูบหัว เกาะไหล่กันขนาดนั้นเลยเหรอว่ะ

ผมรู้สึกไม่ชอบไอ้พี่นี่ยังไงก็ไม่รู้ หงุดหงิด แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอชิตะต้องยิ้มกว้างขนาดนั้น

“สกายพี่ขอดูข้อเท้าหน่อยนะ” พี่ตามว่า หลังจากวิ่งไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาจากอีกฝั่ง เขานั่งลงกับพื้นตั้งท่าจับเท้าผมขึ้นมา

“ไม่ต้อง ผมทำเอง” ว่าจบผมก็ดึงเท้าออก

“ให้พี่ตามดูดีกว่านะสกาย”

“ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ แต่เด็กมอหกต้องดูแลสีตัวเองไม่ใช่เหรอ พี่ไปเถอะ ผมไม่อยากรบกวน” ผมดึงกล่องปฐมพยาบาลมาไว้กับตัวเอง แล้วนั่งหันหลังให้ทั้งคู่

ผมรู้ว่าที่ทำอยู่มันแย่ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมตัวเองถึงต้องทำแบบนี้

รู้แค่ไม่ชอบ!!!

“มา...เราดูให้” อชิตะเดินมาอ้อมมาหยุดตรงหน้าผมพอดี เขาทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามา เพราะผมเอาแต่ก้มหน้า

“ไม่เป็นไร...”

“ดื้อจัง ตัวก็โต” ว่าจบเขาก็จับเท้าผมเอาไว้ในมือ ก่อนจะค่อย ๆ ถอดรองเท้าออกช้า ๆ

ทุกการกระทำของเขาอยู่ในสายตาผม จังหวะที่เราหันมาสบตากัน หัวใจผมก็เต้นแรง จู่ ๆ ก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาซะดื้อ ๆ

“นิวละ” ผมชวนคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

“นิวไปช่วยครูยกของน่ะ” ผมพยักหน้ารับ ไม่ตอบอะไร นอกจากมอง และมองเขาอยู่อย่างนั้น



ผมให้แม่มารับที่โรงเรียน เพราะโรคสำออย อชิตะเองก็ต้องขึ้นสแตนด์ซ้อมเชียร์ วันสุดท้ายของงานกีฬาสีจะมีการแข่งขันเชียร์ สำหรับคนที่ไม่ได้แข่งกีฬาต้องซ้อม นิวก็ไม่รู้หายหัวไปไหน ผมเลยไม่มีความจำเป็นอะไรต้องอยู่ต่อ

มาถึงบ้านผมก็ทิ้งตัวลงนอน ยกเท้าตัวเองขึ้นดู เอาจริงมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย แต่พอเห็นอชิตะเป็นห่วงขนาดนั้น ก้อนเนื้อข้างซ้ายมันก็ตอบสนองจนสับสน รู้สึกเขินทุกครั้งที่คนตัวเล็กมองกลับมา

“สกาย...แม่ขอเข้าไปนะ”

“ครับ”

สิ้นคำอนุญาตประตูก็เปิดออก แม่ถือถ้วยยา กับน้ำเปล่าเข้ามา

“กินยา จะได้ไม่ปวด”

“ค่าบบ” ผมตอบแบบอ้อน ๆ ก่อนจะทิ้งหัวลงซบกับแขนคนเป็นผู้ใหญ่

แม่ทิ้งตัวนั่งลงจนที่นอนยุบฮวบ จับข้อเท้าขึ้นดู แม่ผมเป็นพยาบาลน่ะ คงจะเข้ามาดูอาการตามประสา

“ไม่บวมนะ แต่พรุ่งนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนสักวันแล้วกัน”

“คุณนายช่วงนี้ผมมีอาการแปลก ๆ” ผมถามแม่ออกไปด้วยความมึน ๆ งง ๆ

“ยังไง?”

“บางครั้งหัวใจผมก็เต้นเร็วมากเลย ผมเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า”

“หืม แล้วมีอาการอื่นอีกหรือเปล่า”

“รู้สึกหน้าร้อน ๆ อยู่ ๆ ก็หงุดหงิดมันซะอย่างนั้น”

“เป็นบ่อยไหม”

“ก็ไม่บ่อยนะ... แค่ตอน...” ผมหยุดคิดตามสิ่งที่ตัวเองกำลังตอบแม่

ผมจะเป็นแบบนี้เฉพาะตอนที่อยู่กับอชิตะเท่านั้น

“คุณนายผมเปลี่ยนคำถาม”

“...?”

“คุณนายเคยรู้สึกว่า เวลามองหน้าใครแล้วใจสั่นไหม แบบมันทำตัวไม่ถูกเวลาที่ต้องอยู่ด้วยกันสองคน เวลาที่เขาอยู่กับคนอื่นจะรู้สึกหงุดหงิด” ผมถามออกไปแบบนั้น แม่ก็ฉีกยิ้มทันที

“เพราะเขาพิเศษกับลูกยังไงล่ะ”

“ผมไม่เข้าใจ”

“ก็เหมือนตอนที่พ่อจีบแม่แรก ๆ แม่เองก็ชอบพ่อนะ ตอนนั้นหัวใจแม่พองโตเป็นบอลลูนเลย เพราะพ่อคือคนพิเศษสำหรับแม่ยังไงล่ะ”

“แต่พ่อกับคุณนายเป็นผู้หญิงกับผู้ชาย ผู้ชายด้วยกันมันรู้สึกแบบนั้นได้เหรอ ผมสับสนไปหมดแล้ว” ผมไม่เข้าใจว่าการที่ผมกับอชิตะผู้ชายเหมือนกัน จะรู้สึกแบบนั้นได้ยังไง ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงไม่ใช่เหรอ เหมือนพ่อกับแม่ไง

“คุณนาย...พ่อเคยบอกผมว่า ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงเท่านั้น แบบนี้ผมเป็นโรคอะไรหรือเปล่า แล้วทำไมผมถึงรู้สึกพิเศษกับผู้ชาย” แม่ไม่ตอบนอกจากดึงผมเข้าไปกอด ลูบแผ่นหลังอย่างแผ่วเบา ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็สัมผัสได้ว่าแม่กำลังพยายามปลอบประโลมความสับสนของผม

“ถ้าสกายจะรู้สึกกับผู้ชาย ก็รู้สึกไปลูก จำที่แม่บอกได้ไหม อะไรที่เกิดขึ้นแล้วล้วนดีเสมอ”

“แต่พ่อ...”

“อย่าเพิ่งบอกพ่อ เดี๋ยวแม่คุยเอง แม่รักสกายนะ”

“ผมชอบผู้ชายได้จริง ๆ ใช่ไหมคุณนาย มันจะแปลกหรือเปล่า”

“มันไม่แปลกเลย ในวันที่สกายโตกว่านี้ วันนั้นลูกจะเข้าใจทุกอย่าง”

“ผมรักคุณนายที่สุดเลย” แม่คลายอ้อมกอดออก ผมก็เห็นว่าแม่กำลังร้องไห้ “คุณนาย คุณนายร้องไห้”

“ไม่มีอะไร ฝุ่นเข้าตาแม่น่ะ” ผมรู้ว่าแม่โกหก ห้องผมจะมีฝุ่นได้ไง ก็ในเมื่อแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน

หลังจากที่แม่ออกไป ผมได้คิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกพิเศษงั้นเหรอ?

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

ผมเดินไปที่ขาตั้งภาพที่ผมใช้วาดรูป มีทั้งที่ยังวาดไม่เสร็จ และวาดเสร็จแล้ว ผมเอามันออกมาดูทีละรูป ก่อนจะเห็นกระดาษที่วาดในคาบศิลปะ มันม้วนอยู่ในลังกระดาษ ผมวาดตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมใหม่ ๆ มันเป็นภาพแรก ๆ ที่ผมวาด

ในกระดาษเป็นรูปวาดของพวกเราสามคน เริ่มจากขวามือเป็นรูปผม ซ้ายมือเป็นนิว ตรงกลางเป็นอชิตะ

หรือจริง ๆ ผมจะชอบอชิตะมานานแล้ว...

สังเกตจากรูป ทั้งสามคนยังวาดไม่สมบูรณ์ แต่ทว่ารูปตรงกลางกลับเป็นรูปเดียวที่ผมวาดเสร็จ กระดาษแผ่นที่สองถูกหยิบขึ้นมากางออก มันเป็นรูปมุมชั้นสองที่ผมนั่งทุกครั้ง ระยะสายตาที่มองลงไป มันตรงกับคนในตำแหน่งที่วาด มันคือตำแหน่งเดียวกัน กับที่อชิตะนั่งเป็นประจำ วินาทีนั้นผมเข้าใจได้ทันที ผมชอบอชิตะ ผมอาจจะชอบมาตั้งแต่แรก เพียงแค่ผมไม่รู้ตัว

มือถือถูกหยิบออกจากกระเป๋า ผมต้องการความช่วยเหลือ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไปกว่านี้

“นิว...”

“กูว่า...กูชอบอชิ มึงช่วยกูนะ”



ผมได้เสื้อคณะสีแดงมาจากนิว จีบยังไงผมไม่รู้หรอก แต่ว่าขอให้ได้อยู่ใกล้ ๆ ก็ยังดี นิวบอกว่าจะช่วยให้ผมสมหวัง

“ทำไมสกายใส่เสื้อสีแดงล่ะ” อชิว่า ผมกระทุ้งแขนนิวเป็นการส่งซิก

“อ้อ ๆ พอดีน้องที่รู้จักอยู่สีแดง เขาให้กูหาเสื้อสีม่วงให้น่ะ เขาอยากไปนั่งกับแฟน”

อ้าว... ตอนที่ตกลงกันมันอีกแบบนี้ ไหนมันจะบอกอชิตะว่า มันยืมเสื้อผมให้คนที่ชอบใส่ไม่ใช่เหรอวะ

“อ๋อ...” อชิตะพยักหน้ารับ

“ฝากหัวจะ--- เอ๊ย! ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ” ผมว่า

หลังจากนั้นผมก็เดินตามตูดอชิตะต้อย ๆ เกาะเป็นเห็บหมัดไม่ห่าง ไอ้พี่ตามเข้ามาผมก็พร้อมแยกเขี้ยวขู่ ผมรู้ว่าพี่มันก็รู้สึกไม่ต่างจากผมนักหรอก ดูสายตามันดิ หึ!

ช่วงบ่ายได้เวลาขึ้นสแตนด์เชียร์ ผมก็เลือกที่นั่งโดยการให้อชิตะนั่งริมสุด อย่าให้ใครได้นั่งติดเขาเชียว เพราะคนคนนั้นต้องเป็นผมคนเดียว

แค่ได้นั่งเอาขาแนบกับอชิตะ ก็ฟินตัวแตก หัวใจนี่เต้นตึกตัก ตึกตัก หน้าร้อนวูบวาบไปหมด หัวใจผมกำลังจะพองเป็นบอลลูนอย่างที่แม่บอกเลย...

หลังจากเสร็จกิจกรรมของสแตนด์เชียร์ ผมกับเขาก็ได้มะนาวทาเกลือผ่าครึ่งเป็นรางวัลของการตะโกนคอแตก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันช่วยจริง ๆ เหรอ ผมก็บ้าจี้บีบใส่ปากตัวเอง เล่นเอาหน้าบิดเบ้จนอชิตะหัวเราะรวน

ผมไม่โกรธเขาเลยที่หัวเราะดังขนาดนั้น กลับเอ็นดูเขาเสียมากกว่า เล่นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด อดไม่ได้ที่จะขยี้หัวคนตัวเล็กเล่น

พอรู้ตัวว่าชอบ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็ดูน่ารักไปซะหมด อยากจับมาฟัดจังเว้ย!

ผมมารอนิวที่เก้าอี้ตัวประจำ ที่ใช้เป็นจุดรวมพลเมื่อก่อน อชิตะขอตัวไปเข้าห้องน้ำทำให้ผมต้องนั่งรอนิวอยู่ตรงนี้

ไม่นานคนที่รอก็มา ผมว่านิวน่าจะไม่สบาย เขาดูซึม ๆ หงอย ๆ เหมือนหมาเฉายังไงก็ไม่รู้

“ไม่สบายเหรอ” ผมว่าพลางยกมือขึ้นมาแตะที่หน้าผากมัน “กูว่าไม่สบายแน่ ๆ หน้ามึงแดง”

“เปล่า” นิวปัดมือผมออก

“เออเปล่าก็ดี”

“อชิล่ะ” นิวว่า

“เข้าห้องน้ำ” ผมตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะเปลี่ยนประเด็น “มึง ๆ กูจะบอกชอบอชิดีปะ หลังจบกีฬาสี” ไม่อยากเก็บเอาไว้แล้ว มันอึดอัด สำหรับผมถ้าชอบก็แค่บอกไปตรง ๆ แมน ๆ ไปเลย

“ไม่ดี!” นิวตอบอย่างรวดเร็ว แถมยังเสียงดังจนคนมอง 

ผมนี่สะดุ้งโหยงเลย

“บอกดี ๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องเสียงดัง”

“ขอโทษ กูตกใจ”

“เออ...ช่างเถอะ กลับมาที่เรื่องกูต่อ” ผมว่า "ชอบก็บอกไปตรง ๆ มันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอวะ"

“คือ...เอ่อ...คือ จะบอกมึงยังไงดีวะ” นิวอึกอัก เขาทำหน้าเหมือนคนอั้นตด

“อะไรของมึงเนี่ย หึงกูเหรอ โอ๋ ๆ ไม่งอแงนะ ถ้ากูมีแฟนกูไม่ทิ้งเพื่อนหรอก” ผมว่าเอินหยอก

“ไม่ใช่แบบนั้น”

“แล้วแบบไหนล่ะ”

“เอาแบบนี้แล้วกัน...” ว่าจบนิวก็จับหน้าผมเอาไว้ สายตาเขานิ่งจนผมรู้สึกเย็นวาบ เขาสบตามผมนิ่งอยู่อย่างนั้นหลายวิ ก่อนจะถอนหายใจออกช้า ๆ มือเขาเย็นเฉียบ ผมว่านิวไม่สบายจริง ๆ นั่นแหละ “สกาย...กูชอบมึง ชอบมานานแล้ว แต่มึงไม่รู้ตัวสักที”

“ฮะ!!!!!”

ตุบ!

ผมอุทานเสียงหลง ดึงหน้าตัวเองออกมาด้วยความตกใจ จนหงายหลังตกเก้าอี้ หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงครวญครางเจ็บปวด

“โอ๊ยยย ก้นกู หลังกู”

“สกาย!!” นิวรับโผเข้ามาพยุงตัวผมขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตามเดิม

“มึงว่ายังไงนะ” ผมถามย้ำ

“กูล้อเล่น แค่จะยกตัวอย่างให้ฟัง เนี่ยขนาดมึงยังตกใจขนาดนี้ แล้วอชิมันจะไม่ช็อกไปเลยเหรอ นุ่มนิ่มแมนของกูบอบบาง” เออก็จริงของมัน ขนาดผมยังช็อกจนตกเก้าอี้ แล้วเจ้ากระต่ายตัวน้อยอย่างอชิตะไม่หัวใจวายก่อนเหรอวะ

“เหี้ย แบบนี้ก็บอกไม่ได้ดิ”

“อืม...ถ้าบอกไปจะเรียกว่าแอบชอบเหรอวะ” นิวแม่งพูดถูกทุกอย่างเลยวะ

“มึงเคยแอบชอบใครปะ”

“มะ...ไม่ ไม่เลย ไม่เคย”

“แผ่นสะดุดเหรอห่า”

จากตอนแรกที่คิดเอาไว้ ว่าหลังจากปิดงานกีฬาสีเสร็จ จะพาอชิตะไปสวนที่นิวเคยพาผมไป แล้วสารภาพรักแบบในฉากอนิเมะญี่ปุ่น ที่ดูเมื่อคืน ทั้งหมดเป็นอันต้องพับเก็บไปก่อน

“อชิไปนานจังวะ กูหิวแล้วไปตามหน่อยไหม” นิวว่า

“เออเอาดิ” ว่าจบผมก็ลุกขึ้น เก็บกระเป๋าลุกเดินไปยังห้องน้ำหลังตึกทันที

ระหว่างทางผมก็คุยเล่นกับนิวไปเรื่อย ยังไม่ทันจะเดินถึงห้องน้ำ ผมก็ได้ยินเสียงคนกำลังคุยกันที่มุมตึก ความเสือกที่มีอยู่มากทำให้ผมกับนิวแอบฟังอย่างเสียมารยาท

ผมแอบชะโงกหน้าไปดู เห็นแต่คนตัวสูงกำลังยืนอยู่...

นั่นมันพี่ตามนี่หว่า แล้วอีกคนใครวะ ผมพยายามยื่นหน้าออกไปเพื่อให้เห็นอีกคนที่อยู่หลังเสา แต่ทำยังไงก็ยังไม่เห็น จังหวะที่กำลังจะตัดใจ เดินออกมา เสียงของพี่ตามก็ทำให้ผมต้องหยุดเท้า หันกลับไปฟังต่อ

“อชิ...แต่พี่ชอบเราจริง ๆ นะ” อชิไหนวะ ผมยืนกำมือตัวเองแน่น คงไม่ใช่อชิตะใช่ไหม

“ผมไม่ได้ชอบพี่จริง ๆ ขอโทษด้วยครับ” เสียงเล็กคุ้นหู มันชัดเจน อชิตะแน่นอน

“พี่อยากให้เราเปิดใจนะ ไม่ได้เหรอ”

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย แล้วผมก็มีคนที่ชอบแล้วด้วย”

พัง...

ใจมันเจ็บไปหมด ไม่รู้จะเจ็บกับคำไหนก่อนดี ระหว่างที่เขาไม่ได้ชอบผู้ชาย หรือเขามีคนที่ชอบแล้ว ผมยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น จนนิวต้องคว้ามือผมให้เดินออกมาทันที

ผมโชคดีแค่ไหนที่ไม่บอกชอบเขา ถ้าผมหลุดพูดออกไป แม้แต่คำว่าเพื่อน เขาก็คงไม่ให้ผม

“สกาย” นิวพาผมมาที่ห้องดาราศาสตร์ มันอยู่ใกล้ที่สุด และในนี้ไม่มีใคร “อย่าร้อง” ผมยกมือขึ้นมาจับที่หน้าของตัวเองแล้วพบว่ามันมีน้ำตา ไม่รู้ตัวเลยว่าปล่อยมันออกมาตอนไหน

“นิว...” ผมโผเข้ากอดนิวจนแน่น ผมมีคำพูดมากมาย ที่ไม่สามารถเปล่งออกมาเป็นคำพูดได้ น้ำตาจึงเป็นคำตอบที่ดี

“ไม่เป็นไรมึง”

“กูรู้ตัวช้าไปใช่ไหม”

“ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็ยังเป็นเพื่อนกันนะเว้ย” ผมพยักหน้าทั้งที่ยังซบอยู่ที่ไหล่ น้ำตาไหลออกมาจนเสื้อนิวเปียก

“กูอยากกลับวะ”

“เดี๋ยวกูไปส่ง” นิวว่า

“ไปบ้านมึงได้ไหม กูยังไม่อยากกลับบ้าน”

“มึงจะนอนค้างก็ได้นะ พ่อกับแม่กูไม่อยู่ พี่ชายกูก็ไปนอนหอ”

“อืม...”



ผมโทรหาแม่เพื่อขออนุญาตนอนบ้านนิว แล้วอ้างกับที่บ้านว่า อยู่ติวหนังสือด้วยกัน เพราะอาทิตยหน้ามีสอบปลายภาค จริง ๆ แล้วผมโกหก ผมแค่เศร้า และไม่ต้องการอยู่คนเดียวก็เท่านั้น

นิวพาผมขึ้นมาบนห้องนอน ผมมาหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่เคยนอนค้างเลยสักครั้ง

“หิวหรือเปล่า กินอะไรไหม” นิวถาม

“ไม่กิน” แม่งเข้าใจคนอกหักเลยวะ ไม่อยากกิน แต่ผมอกหักทั้งที่ยังไม่ได้คบกันเลยด้วยซ้ำเศร้าหนักกว่าเดิมอีก

“งั้นเอาน้ำอะไร กูจะไปซื้อร้านค้า” ผมหยุดคิดสักพัก อกหักตัวกินเบียร์สิวะ คนคลู ๆ เขาทำกัน

“กูอยากกินเบียร์วะ”

“เออเดี๋ยวกูซื้อมา” ว่าจบนิวก็หายออกไปจากห้อง ไม่นานนักมันก็กลับขึ้นมาพร้อมกับกระป๋องเบียร์สีเขียวสองกระป๋อง มีขวดฟูลมูน กับสปายอีกอย่างละสองขวด

“ให้กูซื้อมา แล้วมึงเคยกินหรือไง” นิวว่า

“ไม่อะ”

“อ้าวไอ้เหี้ย เมากูไม่เก็บศพนะ”

“ระดับกู กระจอก”



20 นาทีต่อมา...

“ฮืออออ ไอ้เหี้ยกูชอบเขาอะมึง กูชอบมานานแล้ว แต่กูเสือกรู้ตัวช้า กูผิดมากเลยใช่ไหม”

“สกายมึงพูดประโยคนี้มาร้อยรอบแล้วนะ”

“ทำไมแค่ฟังกูมันยากนักหรือไง”

“กูก็รับฟังมือเสมอแหละ”

“มึงแม่งดีวะ ทำไมกูไม่ชอบมึงวะ ทำไมต้องไปชอบไอ้เตี้ยนั่นด้วย”

“หึ!” นิวกระตุกยิ้ม

“แต่เป็นเพื่อนอะดีแล้ว มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลย รักมึงฉิบหาย”

“เมาแล้วก็เลอะเทอะดีนะมึงเนี่ย”

“เพื่อนรักมานี้มา กูจะจุ๊บให้รางวัล” ว่าจบผมก็ดึงหน้านิวเข้ามาจนใกล้ กลิ่นเครื่องดื่มออกมาจากโพรงจมูก ดวงตาผมกำลังพร่าเบลอ ร่างกายก็โงนเงนจนแทบสิ้นสติ

“สกายกูไม่เล่น ปล่อยกู”

“อชิ...” ผมเรียกชื่อของคนตรงหน้าออกมา แล้วกดริมฝีปากของตัวเองลงไป เพียงแค่เปลือกตาปิดลง โลกก็พลันดับวูบ...



ผมตื่นเช้าขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว แค่ลุกขึ้นนั่งก็รู้สึกพะอืดพะอม เฮ้ย! นี่ไม่ใช่ห้องผมนี่

อ้อ...ผมมานอนบ้านนิวนี้หว่า แล้วเจ้าตัวไปไหนเนี่ย ทิ้งให้ผมนอนอยู่คนเดียวได้ไง มองลงไปเศษซากกระป๋องเบียร์ก็ยังอยู่ที่พื้น ขวดสปาย ก็นอนกลิ้ง

เมื่อวานผมขึ้นมานอนบนเตียงได้ไงนะ ผมเริ่มคิดทบทวนไล่เรียงเรื่องเมื่อคืน จำได้ว่านั่งกินเบียร์หมด ก็ต่อด้วยสปาย หลังจากนั้นผมก็เมา แล้วก็เพ้อ... จากนั้นผมก็เห็นอชิตะอยู่ตรงหน้า แล้วก็...

อ๊ากกกกก!!!

แกร๊ก!

“เหี้ยยยยย!!!”

“เสียงดังอะไรแต่เช้า” จังหวะนรกสัด ยิ่งพอเห็นหน้านิว ภาพเมื่อวานไหลเข้าเขามาในความทรงจำอันน้อยนิด

“นิวววว เมื่อวานกู...”

“จำได้?”

“ฮืออออ กูขอโทษ กูเมา กูไม่ได้ตั้งใจ”

“เออกูรู้” นิวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดินมาเก็บเศษซากหายนะเมื่อคืน “ต่อไปก็ห้ามไปกินโดยที่ไม่มีกูเดียวเมาแล้วไปจูบคนอื่นจะโดนตีนไม่รู้ตัว”

“มึงอย่าตอกย้ำ กูเขิน”

“กระจอกบอกเจ๋ง”

อย่างน้อยจูบแรกของผมก็ให้นิวไป ก็ยังดีกว่าให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้

"ว่าแต่มึงไม่เมาเลยเหรอ" ผมถามด้วยความสงสัย เพราะนิวดูปกติเอามาก ๆ

"กูกินกับพวกไอ้นิมตั้งแต่มอสองแล้ว แค่นี้จิ๊บ ๆ มึงไม่ต้องคิดมาก กินครั้งแรกกูเมายิ่งกว่านี้อีก" ผมถึงกับบางอ้อ มันกินมาจนชินสินะ แล้วเป็นเด็กซื้อของพวกนี้ได้ยังไง “มึงไปล้างหน้าเถอะ กูออกไปซื้อกับข้าวมาจะได้ลงไปกิน”

“อืม” ผมปล่อยปลายเท้าสัมผัสพื้นเย็น แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง แล้วลงไปข้างล่าง กลิ่นกับข้าวหอมแตะจมูก ท้องผมก็ร้องประท้วงทันที 

ผมพาตัวเองมานั่งที่เก้าอี้ว่าง นิวยกจานข้าวมาให้ แล้วก็นั่งลงตรงข้ามกับผม การมีเพื่อนอยู่ด้วยในวันที่หม่นหมองก็ดีเหมือนกัน มันเป็นความสบายใจคนละรูปแบบที่ได้จากครอบครัว

“นิว...”

“...?”

“กูขอบคุณมึงมากเลยนะ กูรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

“เออ มีอะไรก็บอก กูก็อยู่ตรงนี้”

“ปิดเทอมนี้...กูจะใช้เวลาตัดใจจากอชิ แล้วเราก็กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”

"ทำไมวะ แค่นี้มึงยอมแพ้แล้วเหรอ" นิวว่า

"เปล่า แต่กูไม่อยากเสียเพื่อน อชิพูดเองว่าไม่ชอบผู้ชาย กูกลัวเขารังเกียจ"

"..." นิวนิ่งไปสักพักใหญ่

ผมลืมคิดไปเลยว่านิวจะรู้สึกยังไง มัวแต่กลัวอชิตะรังเกียจที่ผมชอบผู้ชาย จนลืมไปว่า นิวก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เหมือนกัน มันเองก็อาจจะตกใจมากก็ได้

"มึงรังเกียจกูไหม?" ผมถามออกไปตรง ๆ "ถ้าจะเลิกเป็นเพื่อนกับกูก็ได้นะ กูไม่โกรธ กูเข้าใจ"

"ถ้ากูชอบผู้ชาย มึงก็จะเลิกเป็นเพื่อนกับกูด้วยงั้นเหรอ"

"ก็ไม่ แต่มึงกับกูมันคนละคนกันไง"

"งั้นกูจะบอกอะไรให้ กูก็ชอบผู้ชาย"

"0.0!"

"เป็นเพื่อนกันได้ยัง"

ช็อก! ไอ้สัด...นี่ผมเคยรู้อะไรกับเขาบ้างไหมเนี่ย

"จะแดกได้ยัง กับข้าวเย็นหมดล่ะ"

"แดก ๆ อย่าใจร้ายกับกูนักดิ"

วันนี้มันเมดมายเดย์มาก ๆ สำหรับผม เหมือนวันที่ฝนตกหนัก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆสีดำ แต่เมื่อฝนตกลงมาแล้ว ในเช้าของวันถัดมา ท้องฟ้าก็สว่างสดใสเหมือนเดิม

เรื่องผมกับอชิตะ จะเป็นยังไงต่อ ก็ให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้แล้วกัน เอาเป็นว่า เราจะกลับไปเป็นเพื่อนกัน เหมือนวันแรกที่เรารู้จักกัน... :))










#แฟนwithbenefits













*ชื่อตอน เพลง รู้ยัง - ต้น ธนษิต





-กำลังทยอยแก้คำผิด-

หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 02-09-2021 00:22:52
สนุกมากกกครับ
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -10-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 07-09-2021 01:48:23
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-10-

เธอคงยังไม่รู้ ว่ามีหนึ่งคนแอบรักเธอ



'บางทีการได้อยู่ใกล้ ๆ มันก็ดีกว่า การบอกไปตรง ๆ'



“สกายรับ!”

พลั่ก!


ผมกำลังถูกแรงโน้มถ่วงของโลก ฉุดรั้งให้ต้องทิ้งตัวลงกับพื้น เมื่อถูกวัตถุกระทบเข้าอย่างแรงที่หัว ตามมาด้วยเสียงร้องโอดครวญ เพราะถูกคนข้างหน้าสะดุดผมที่ล้มอยู่ เหยียบเอาข้อเท้าผมเจ็บแปลบ ก่อนจะล้มทับตาม ๆ กันลงมาอีกสองสามคน

“สกาย!” ทั้งรุ่นพี่ และคุณครูต่างก็วิ่งเขามาดู ผมถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนจำนวนมาก ที่เรียกอีกอย่างว่าไทยมุง ก่อนจะเห็นหน้าของอชิตะแทรกเข้ามา

ครูกับรุ่นพี่ช่วยกันพยุงผมออกมานั่งข้างสนาม ประเมินอาการสรุปผมก็ไม่สามารถลงแข่งต่อได้ ผมไม่สนเรื่องแข่งแล้ว เพราะสาเหตุที่ทำให้ผมหลุดสมาธิออกจากสนามก็คือ ไอ้รุ่นพี่ที่ยื่นข้างอชิตะเนี่ยแหละ

หันกลับมาอีกทีนิวก็หายไป มันถูกแทนที่ด้วยรุ่นพี่ตัวสูงชื่อตาม เด็กมอหกห้องคิง ก็พอรู้มาบ้างว่าตอนนี้มีกิจกรรมวิชาการที่ต้องทำด้วยกัน แต่จำเป็นต้องลูบหัว เกาะไหล่กันขนาดนั้นเลยเหรอว่ะ

ผมรู้สึกไม่ชอบไอ้พี่นี่ยังไงก็ไม่รู้ หงุดหงิด แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอชิตะต้องยิ้มกว้างขนาดนั้น

“สกายพี่ขอดูข้อเท้าหน่อยนะ” พี่ตามว่า หลังจากวิ่งไปเอากล่องปฐมพยาบาลมาจากอีกฝั่ง เขานั่งลงกับพื้นตั้งท่าจับเท้าผมขึ้นมา

“ไม่ต้อง ผมทำเอง” ว่าจบผมก็ดึงเท้าออก

“ให้พี่ตามดูดีกว่านะสกาย”

“ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ แต่เด็กมอหกต้องดูแลสีตัวเองไม่ใช่เหรอ พี่ไปเถอะ ผมไม่อยากรบกวน” ผมดึงกล่องปฐมพยาบาลมาไว้กับตัวเอง แล้วนั่งหันหลังให้ทั้งคู่

ผมรู้ว่าที่ทำอยู่มันแย่ แล้วผมก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมตัวเองถึงต้องทำแบบนี้

รู้แค่ไม่ชอบ!!!

“มา...เราดูให้” อชิตะเดินมาอ้อมมาหยุดตรงหน้าผมพอดี เขาทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามา เพราะผมเอาแต่ก้มหน้า

“ไม่เป็นไร...”

“ดื้อจัง ตัวก็โต” ว่าจบเขาก็จับเท้าผมเอาไว้ในมือ ก่อนจะค่อย ๆ ถอดรองเท้าออกช้า ๆ

ทุกการกระทำของเขาอยู่ในสายตาผม จังหวะที่เราหันมาสบตากัน หัวใจผมก็เต้นแรง จู่ ๆ ก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาซะดื้อ ๆ

“นิวละ” ผมชวนคุยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ

“นิวไปช่วยครูยกของน่ะ” ผมพยักหน้ารับ ไม่ตอบอะไร นอกจากมอง และมองเขาอยู่อย่างนั้น



ผมให้แม่มารับที่โรงเรียน เพราะโรคสำออย อชิตะเองก็ต้องขึ้นสแตนด์ซ้อมเชียร์ วันสุดท้ายของงานกีฬาสีจะมีการแข่งขันเชียร์ สำหรับคนที่ไม่ได้แข่งกีฬาต้องซ้อม นิวก็ไม่รู้หายหัวไปไหน ผมเลยไม่มีความจำเป็นอะไรต้องอยู่ต่อ

มาถึงบ้านผมก็ทิ้งตัวลงนอน ยกเท้าตัวเองขึ้นดู เอาจริงมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย แต่พอเห็นอชิตะเป็นห่วงขนาดนั้น ก้อนเนื้อข้างซ้ายมันก็ตอบสนองจนสับสน รู้สึกเขินทุกครั้งที่คนตัวเล็กมองกลับมา

“สกาย...แม่ขอเข้าไปนะ”

“ครับ”

สิ้นคำอนุญาตประตูก็เปิดออก แม่ถือถ้วยยา กับน้ำเปล่าเข้ามา

“กินยา จะได้ไม่ปวด”

“ค่าบบ” ผมตอบแบบอ้อน ๆ ก่อนจะทิ้งหัวลงซบกับแขนคนเป็นผู้ใหญ่

แม่ทิ้งตัวนั่งลงจนที่นอนยุบฮวบ จับข้อเท้าขึ้นดู แม่ผมเป็นพยาบาลน่ะ คงจะเข้ามาดูอาการตามประสา

“ไม่บวมนะ แต่พรุ่งนี้ไม่ต้องไปโรงเรียนสักวันแล้วกัน”

“คุณนายช่วงนี้ผมมีอาการแปลก ๆ” ผมถามแม่ออกไปด้วยความมึน ๆ งง ๆ

“ยังไง?”

“บางครั้งหัวใจผมก็เต้นเร็วมากเลย ผมเป็นโรคหัวใจหรือเปล่า”

“หืม แล้วมีอาการอื่นอีกหรือเปล่า”

“รู้สึกหน้าร้อน ๆ อยู่ ๆ ก็หงุดหงิดมันซะอย่างนั้น”

“เป็นบ่อยไหม”

“ก็ไม่บ่อยนะ... แค่ตอน...” ผมหยุดคิดตามสิ่งที่ตัวเองกำลังตอบแม่

ผมจะเป็นแบบนี้เฉพาะตอนที่อยู่กับอชิตะเท่านั้น

“คุณนายผมเปลี่ยนคำถาม”

“...?”

“คุณนายเคยรู้สึกว่า เวลามองหน้าใครแล้วใจสั่นไหม แบบมันทำตัวไม่ถูกเวลาที่ต้องอยู่ด้วยกันสองคน เวลาที่เขาอยู่กับคนอื่นจะรู้สึกหงุดหงิด” ผมถามออกไปแบบนั้น แม่ก็ฉีกยิ้มทันที

“เพราะเขาพิเศษกับลูกยังไงล่ะ”

“ผมไม่เข้าใจ”

“ก็เหมือนตอนที่พ่อจีบแม่แรก ๆ แม่เองก็ชอบพ่อนะ ตอนนั้นหัวใจแม่พองโตเป็นบอลลูนเลย เพราะพ่อคือคนพิเศษสำหรับแม่ยังไงล่ะ”

“แต่พ่อกับคุณนายเป็นผู้หญิงกับผู้ชาย ผู้ชายด้วยกันมันรู้สึกแบบนั้นได้เหรอ ผมสับสนไปหมดแล้ว” ผมไม่เข้าใจว่าการที่ผมกับอชิตะผู้ชายเหมือนกัน จะรู้สึกแบบนั้นได้ยังไง ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงไม่ใช่เหรอ เหมือนพ่อกับแม่ไง

“คุณนาย...พ่อเคยบอกผมว่า ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงเท่านั้น แบบนี้ผมเป็นโรคอะไรหรือเปล่า แล้วทำไมผมถึงรู้สึกพิเศษกับผู้ชาย” แม่ไม่ตอบนอกจากดึงผมเข้าไปกอด ลูบแผ่นหลังอย่างแผ่วเบา ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่ แต่ก็สัมผัสได้ว่าแม่กำลังพยายามปลอบประโลมความสับสนของผม

“ถ้าสกายจะรู้สึกกับผู้ชาย ก็รู้สึกไปลูก จำที่แม่บอกได้ไหม อะไรที่เกิดขึ้นแล้วล้วนดีเสมอ”

“แต่พ่อ...”

“อย่าเพิ่งบอกพ่อ เดี๋ยวแม่คุยเอง แม่รักสกายนะ”

“ผมชอบผู้ชายได้จริง ๆ ใช่ไหมคุณนาย มันจะแปลกหรือเปล่า”

“มันไม่แปลกเลย ในวันที่สกายโตกว่านี้ วันนั้นลูกจะเข้าใจทุกอย่าง”

“ผมรักคุณนายที่สุดเลย” แม่คลายอ้อมกอดออก ผมก็เห็นว่าแม่กำลังร้องไห้ “คุณนาย คุณนายร้องไห้”

“ไม่มีอะไร ฝุ่นเข้าตาแม่น่ะ” ผมรู้ว่าแม่โกหก ห้องผมจะมีฝุ่นได้ไง ก็ในเมื่อแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน

หลังจากที่แม่ออกไป ผมได้คิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกพิเศษงั้นเหรอ?

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...

ผมเดินไปที่ขาตั้งภาพที่ผมใช้วาดรูป มีทั้งที่ยังวาดไม่เสร็จ และวาดเสร็จแล้ว ผมเอามันออกมาดูทีละรูป ก่อนจะเห็นกระดาษที่วาดในคาบศิลปะ มันม้วนอยู่ในลังกระดาษ ผมวาดตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมใหม่ ๆ มันเป็นภาพแรก ๆ ที่ผมวาด

ในกระดาษเป็นรูปวาดของพวกเราสามคน เริ่มจากขวามือเป็นรูปผม ซ้ายมือเป็นนิว ตรงกลางเป็นอชิตะ

หรือจริง ๆ ผมจะชอบอชิตะมานานแล้ว...

สังเกตจากรูป ทั้งสามคนยังวาดไม่สมบูรณ์ แต่ทว่ารูปตรงกลางกลับเป็นรูปเดียวที่ผมวาดเสร็จ กระดาษแผ่นที่สองถูกหยิบขึ้นมากางออก มันเป็นรูปมุมชั้นสองที่ผมนั่งทุกครั้ง ระยะสายตาที่มองลงไป มันตรงกับคนในตำแหน่งที่วาด มันคือตำแหน่งเดียวกัน กับที่อชิตะนั่งเป็นประจำ วินาทีนั้นผมเข้าใจได้ทันที ผมชอบอชิตะ ผมอาจจะชอบมาตั้งแต่แรก เพียงแค่ผมไม่รู้ตัว

มือถือถูกหยิบออกจากกระเป๋า ผมต้องการความช่วยเหลือ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไปกว่านี้

“นิว...”

“กูว่า...กูชอบอชิ มึงช่วยกูนะ”



ผมได้เสื้อคณะสีแดงมาจากนิว จีบยังไงผมไม่รู้หรอก แต่ว่าขอให้ได้อยู่ใกล้ ๆ ก็ยังดี นิวบอกว่าจะช่วยให้ผมสมหวัง

“ทำไมสกายใส่เสื้อสีแดงล่ะ” อชิว่า ผมกระทุ้งแขนนิวเป็นการส่งซิก

“อ้อ ๆ พอดีน้องที่รู้จักอยู่สีแดง เขาให้กูหาเสื้อสีม่วงให้น่ะ เขาอยากไปนั่งกับแฟน”

อ้าว... ตอนที่ตกลงกันมันอีกแบบนี้ ไหนมันจะบอกอชิตะว่า มันยืมเสื้อผมให้คนที่ชอบใส่ไม่ใช่เหรอวะ

“อ๋อ...” อชิตะพยักหน้ารับ

“ฝากหัวจะ--- เอ๊ย! ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ” ผมว่า

หลังจากนั้นผมก็เดินตามตูดอชิตะต้อย ๆ เกาะเป็นเห็บหมัดไม่ห่าง ไอ้พี่ตามเข้ามาผมก็พร้อมแยกเขี้ยวขู่ ผมรู้ว่าพี่มันก็รู้สึกไม่ต่างจากผมนักหรอก ดูสายตามันดิ หึ!

ช่วงบ่ายได้เวลาขึ้นสแตนด์เชียร์ ผมก็เลือกที่นั่งโดยการให้อชิตะนั่งริมสุด อย่าให้ใครได้นั่งติดเขาเชียว เพราะคนคนนั้นต้องเป็นผมคนเดียว

แค่ได้นั่งเอาขาแนบกับอชิตะ ก็ฟินตัวแตก หัวใจนี่เต้นตึกตัก ตึกตัก หน้าร้อนวูบวาบไปหมด หัวใจผมกำลังจะพองเป็นบอลลูนอย่างที่แม่บอกเลย...

หลังจากเสร็จกิจกรรมของสแตนด์เชียร์ ผมกับเขาก็ได้มะนาวทาเกลือผ่าครึ่งเป็นรางวัลของการตะโกนคอแตก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันช่วยจริง ๆ เหรอ ผมก็บ้าจี้บีบใส่ปากตัวเอง เล่นเอาหน้าบิดเบ้จนอชิตะหัวเราะรวน

ผมไม่โกรธเขาเลยที่หัวเราะดังขนาดนั้น กลับเอ็นดูเขาเสียมากกว่า เล่นหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด อดไม่ได้ที่จะขยี้หัวคนตัวเล็กเล่น

พอรู้ตัวว่าชอบ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็ดูน่ารักไปซะหมด อยากจับมาฟัดจังเว้ย!

ผมมารอนิวที่เก้าอี้ตัวประจำ ที่ใช้เป็นจุดรวมพลเมื่อก่อน อชิตะขอตัวไปเข้าห้องน้ำทำให้ผมต้องนั่งรอนิวอยู่ตรงนี้

ไม่นานคนที่รอก็มา ผมว่านิวน่าจะไม่สบาย เขาดูซึม ๆ หงอย ๆ เหมือนหมาเฉายังไงก็ไม่รู้

“ไม่สบายเหรอ” ผมว่าพลางยกมือขึ้นมาแตะที่หน้าผากมัน “กูว่าไม่สบายแน่ ๆ หน้ามึงแดง”

“เปล่า” นิวปัดมือผมออก

“เออเปล่าก็ดี”

“อชิล่ะ” นิวว่า

“เข้าห้องน้ำ” ผมตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนจะเปลี่ยนประเด็น “มึง ๆ กูจะบอกชอบอชิดีปะ หลังจบกีฬาสี” ไม่อยากเก็บเอาไว้แล้ว มันอึดอัด สำหรับผมถ้าชอบก็แค่บอกไปตรง ๆ แมน ๆ ไปเลย

“ไม่ดี!” นิวตอบอย่างรวดเร็ว แถมยังเสียงดังจนคนมอง

ผมนี่สะดุ้งโหยงเลย

“บอกดี ๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องเสียงดัง”

“ขอโทษ กูตกใจ”

“เออ...ช่างเถอะ กลับมาที่เรื่องกูต่อ” ผมว่า "ชอบก็บอกไปตรง ๆ มันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอวะ"

“คือ...เอ่อ...คือ จะบอกมึงยังไงดีวะ” นิวอึกอัก เขาทำหน้าเหมือนคนอั้นตด

“อะไรของมึงเนี่ย หึงกูเหรอ โอ๋ ๆ ไม่งอแงนะ ถ้ากูมีแฟนกูไม่ทิ้งเพื่อนหรอก” ผมว่าเอินหยอก

“ไม่ใช่แบบนั้น”

“แล้วแบบไหนล่ะ”

“เอาแบบนี้แล้วกัน...” ว่าจบนิวก็จับหน้าผมเอาไว้ สายตาเขานิ่งจนผมรู้สึกเย็นวาบ เขาสบตามผมนิ่งอยู่อย่างนั้นหลายวิ ก่อนจะถอนหายใจออกช้า ๆ มือเขาเย็นเฉียบ ผมว่านิวไม่สบายจริง ๆ นั่นแหละ “สกาย...กูชอบมึง ชอบมานานแล้ว แต่มึงไม่รู้ตัวสักที”

“ฮะ!!!!!”

ตุบ!

ผมอุทานเสียงหลง ดึงหน้าตัวเองออกมาด้วยความตกใจ จนหงายหลังตกเก้าอี้ หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงครวญครางเจ็บปวด

“โอ๊ยยย ก้นกู หลังกู”

“สกาย!!” นิวรับโผเข้ามาพยุงตัวผมขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ตามเดิม

“มึงว่ายังไงนะ” ผมถามย้ำ

“กูล้อเล่น แค่จะยกตัวอย่างให้ฟัง เนี่ยขนาดมึงยังตกใจขนาดนี้ แล้วอชิมันจะไม่ช็อกไปเลยเหรอ นุ่มนิ่มแมนของกูบอบบาง” เออก็จริงของมัน ขนาดผมยังช็อกจนตกเก้าอี้ แล้วเจ้ากระต่ายตัวน้อยอย่างอชิตะไม่หัวใจวายก่อนเหรอวะ

“เหี้ย แบบนี้ก็บอกไม่ได้ดิ”

“อืม...ถ้าบอกไปจะเรียกว่าแอบชอบเหรอวะ” นิวแม่งพูดถูกทุกอย่างเลยวะ

“มึงเคยแอบชอบใครปะ”

“มะ...ไม่ ไม่เลย ไม่เคย”

“แผ่นสะดุดเหรอห่า”

จากตอนแรกที่คิดเอาไว้ ว่าหลังจากปิดงานกีฬาสีเสร็จ จะพาอชิตะไปสวนที่นิวเคยพาผมไป แล้วสารภาพรักแบบในฉากอนิเมะญี่ปุ่น ที่ดูเมื่อคืน ทั้งหมดเป็นอันต้องพับเก็บไปก่อน

“อชิไปนานจังวะ กูหิวแล้วไปตามหน่อยไหม” นิวว่า

“เออเอาดิ” ว่าจบผมก็ลุกขึ้น เก็บกระเป๋าลุกเดินไปยังห้องน้ำหลังตึกทันที

ระหว่างทางผมก็คุยเล่นกับนิวไปเรื่อย ยังไม่ทันจะเดินถึงห้องน้ำ ผมก็ได้ยินเสียงคนกำลังคุยกันที่มุมตึก ความเสือกที่มีอยู่มากทำให้ผมกับนิวแอบฟังอย่างเสียมารยาท

ผมแอบชะโงกหน้าไปดู เห็นแต่คนตัวสูงกำลังยืนอยู่...

นั่นมันพี่ตามนี่หว่า แล้วอีกคนใครวะ ผมพยายามยื่นหน้าออกไปเพื่อให้เห็นอีกคนที่อยู่หลังเสา แต่ทำยังไงก็ยังไม่เห็น จังหวะที่กำลังจะตัดใจ เดินออกมา เสียงของพี่ตามก็ทำให้ผมต้องหยุดเท้า หันกลับไปฟังต่อ

“อชิ...แต่พี่ชอบเราจริง ๆ นะ” อชิไหนวะ ผมยืนกำมือตัวเองแน่น คงไม่ใช่อชิตะใช่ไหม

“ผมไม่ได้ชอบพี่จริง ๆ ขอโทษด้วยครับ” เสียงเล็กคุ้นหู มันชัดเจน อชิตะแน่นอน

“พี่อยากให้เราเปิดใจนะ ไม่ได้เหรอ”

“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย แล้วผมก็มีคนที่ชอบแล้วด้วย”

พัง...

ใจมันเจ็บไปหมด ไม่รู้จะเจ็บกับคำไหนก่อนดี ระหว่างที่เขาไม่ได้ชอบผู้ชาย หรือเขามีคนที่ชอบแล้ว ผมยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น จนนิวต้องคว้ามือผมให้เดินออกมาทันที

ผมโชคดีแค่ไหนที่ไม่บอกชอบเขา ถ้าผมหลุดพูดออกไป แม้แต่คำว่าเพื่อน เขาก็คงไม่ให้ผม

“สกาย” นิวพาผมมาที่ห้องดาราศาสตร์ มันอยู่ใกล้ที่สุด และในนี้ไม่มีใคร “อย่าร้อง” ผมยกมือขึ้นมาจับที่หน้าของตัวเองแล้วพบว่ามันมีน้ำตา ไม่รู้ตัวเลยว่าปล่อยมันออกมาตอนไหน

“นิว...” ผมโผเข้ากอดนิวจนแน่น ผมมีคำพูดมากมาย ที่ไม่สามารถเปล่งออกมาเป็นคำพูดได้ น้ำตาจึงเป็นคำตอบที่ดี

“ไม่เป็นไรมึง”

“กูรู้ตัวช้าไปใช่ไหม”

“ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็ยังเป็นเพื่อนกันนะเว้ย” ผมพยักหน้าทั้งที่ยังซบอยู่ที่ไหล่ น้ำตาไหลออกมาจนเสื้อนิวเปียก

“กูอยากกลับวะ”

“เดี๋ยวกูไปส่ง” นิวว่า

“ไปบ้านมึงได้ไหม กูยังไม่อยากกลับบ้าน”

“มึงจะนอนค้างก็ได้นะ พ่อกับแม่กูไม่อยู่ พี่ชายกูก็ไปนอนหอ”

“อืม...”



ผมโทรหาแม่เพื่อขออนุญาตนอนบ้านนิว แล้วอ้างกับที่บ้านว่า อยู่ติวหนังสือด้วยกัน เพราะอาทิตยหน้ามีสอบปลายภาค จริง ๆ แล้วผมโกหก ผมแค่เศร้า และไม่ต้องการอยู่คนเดียวก็เท่านั้น

นิวพาผมขึ้นมาบนห้องนอน ผมมาหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่เคยนอนค้างเลยสักครั้ง

“หิวหรือเปล่า กินอะไรไหม” นิวถาม

“ไม่กิน” แม่งเข้าใจคนอกหักเลยวะ ไม่อยากกิน แต่ผมอกหักทั้งที่ยังไม่ได้คบกันเลยด้วยซ้ำเศร้าหนักกว่าเดิมอีก

“งั้นเอาน้ำอะไร กูจะไปซื้อร้านค้า” ผมหยุดคิดสักพัก อกหักตัวกินเบียร์สิวะ คนคลู ๆ เขาทำกัน

“กูอยากกินเบียร์วะ”

“เออเดี๋ยวกูซื้อมา” ว่าจบนิวก็หายออกไปจากห้อง ไม่นานนักมันก็กลับขึ้นมาพร้อมกับกระป๋องเบียร์สีเขียวสองกระป๋อง มีขวดฟูลมูน กับสปายอีกอย่างละสองขวด

“ให้กูซื้อมา แล้วมึงเคยกินหรือไง” นิวว่า

“ไม่อะ”

“อ้าวไอ้เหี้ย เมากูไม่เก็บศพนะ”

“ระดับกู กระจอก”



20 นาทีต่อมา...

“ฮืออออ ไอ้เหี้ยกูชอบเขาอะมึง กูชอบมานานแล้ว แต่กูเสือกรู้ตัวช้า กูผิดมากเลยใช่ไหม”

“สกายมึงพูดประโยคนี้มาร้อยรอบแล้วนะ”

“ทำไมแค่ฟังกูมันยากนักหรือไง”

“กูก็รับฟังมือเสมอแหละ”

“มึงแม่งดีวะ ทำไมกูไม่ชอบมึงวะ ทำไมต้องไปชอบไอ้เตี้ยนั่นด้วย”

“หึ!” นิวกระตุกยิ้ม

“แต่เป็นเพื่อนอะดีแล้ว มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูเลย รักมึงฉิบหาย”

“เมาแล้วก็เลอะเทอะดีนะมึงเนี่ย”

“เพื่อนรักมานี้มา กูจะจุ๊บให้รางวัล” ว่าจบผมก็ดึงหน้านิวเข้ามาจนใกล้ กลิ่นเครื่องดื่มออกมาจากโพรงจมูก ดวงตาผมกำลังพร่าเบลอ ร่างกายก็โงนเงนจนแทบสิ้นสติ

“สกายกูไม่เล่น ปล่อยกู”

“อชิ...” ผมเรียกชื่อของคนตรงหน้าออกมา แล้วกดริมฝีปากของตัวเองลงไป เพียงแค่เปลือกตาปิดลง โลกก็พลันดับวูบ...



ผมตื่นเช้าขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว แค่ลุกขึ้นนั่งก็รู้สึกพะอืดพะอม เฮ้ย! นี่ไม่ใช่ห้องผมนี่

อ้อ...ผมมานอนบ้านนิวนี้หว่า แล้วเจ้าตัวไปไหนเนี่ย ทิ้งให้ผมนอนอยู่คนเดียวได้ไง มองลงไปเศษซากกระป๋องเบียร์ก็ยังอยู่ที่พื้น ขวดสปาย ก็นอนกลิ้ง

เมื่อวานผมขึ้นมานอนบนเตียงได้ไงนะ ผมเริ่มคิดทบทวนไล่เรียงเรื่องเมื่อคืน จำได้ว่านั่งกินเบียร์หมด ก็ต่อด้วยสปาย หลังจากนั้นผมก็เมา แล้วก็เพ้อ... จากนั้นผมก็เห็นอชิตะอยู่ตรงหน้า แล้วก็...

อ๊ากกกกก!!!

แกร๊ก!

“เหี้ยยยยย!!!”

“เสียงดังอะไรแต่เช้า” จังหวะนรกสัด ยิ่งพอเห็นหน้านิว ภาพเมื่อวานไหลเข้าเขามาในความทรงจำอันน้อยนิด

“นิวววว เมื่อวานกู...”

“จำได้?”

“ฮืออออ กูขอโทษ กูเมา กูไม่ได้ตั้งใจ”

“เออกูรู้” นิวถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดินมาเก็บเศษซากหายนะเมื่อคืน “ต่อไปก็ห้ามไปกินโดยที่ไม่มีกูเดียวเมาแล้วไปจูบคนอื่นจะโดนตีนไม่รู้ตัว”

“มึงอย่าตอกย้ำ กูเขิน”

“กระจอกบอกเจ๋ง”

อย่างน้อยจูบแรกของผมก็ให้นิวไป ก็ยังดีกว่าให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้

"ว่าแต่มึงไม่เมาเลยเหรอ" ผมถามด้วยความสงสัย เพราะนิวดูปกติเอามาก ๆ

"กูกินกับพวกไอ้นิมตั้งแต่มอสองแล้ว แค่นี้จิ๊บ ๆ มึงไม่ต้องคิดมาก กินครั้งแรกกูเมายิ่งกว่านี้อีก" ผมถึงกับบางอ้อ มันกินมาจนชินสินะ แล้วเป็นเด็กซื้อของพวกนี้ได้ยังไง “มึงไปล้างหน้าเถอะ กูออกไปซื้อกับข้าวมาจะได้ลงไปกิน”

“อืม” ผมปล่อยปลายเท้าสัมผัสพื้นเย็น แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเอง แล้วลงไปข้างล่าง กลิ่นกับข้าวหอมแตะจมูก ท้องผมก็ร้องประท้วงทันที

ผมพาตัวเองมานั่งที่เก้าอี้ว่าง นิวยกจานข้าวมาให้ แล้วก็นั่งลงตรงข้ามกับผม การมีเพื่อนอยู่ด้วยในวันที่หม่นหมองก็ดีเหมือนกัน มันเป็นความสบายใจคนละรูปแบบที่ได้จากครอบครัว

“นิว...”

“...?”

“กูขอบคุณมึงมากเลยนะ กูรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”

“เออ มีอะไรก็บอก กูก็อยู่ตรงนี้”

“ปิดเทอมนี้...กูจะใช้เวลาตัดใจจากอชิ แล้วเราก็กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”

"ทำไมวะ แค่นี้มึงยอมแพ้แล้วเหรอ" นิวว่า

"เปล่า แต่กูไม่อยากเสียเพื่อน อชิพูดเองว่าไม่ชอบผู้ชาย กูกลัวเขารังเกียจ"

"..." นิวนิ่งไปสักพักใหญ่

ผมลืมคิดไปเลยว่านิวจะรู้สึกยังไง มัวแต่กลัวอชิตะรังเกียจที่ผมชอบผู้ชาย จนลืมไปว่า นิวก็เพิ่งรู้เรื่องนี้เหมือนกัน มันเองก็อาจจะตกใจมากก็ได้

"มึงรังเกียจกูไหม?" ผมถามออกไปตรง ๆ "ถ้าจะเลิกเป็นเพื่อนกับกูก็ได้นะ กูไม่โกรธ กูเข้าใจ"

"ถ้ากูชอบผู้ชาย มึงก็จะเลิกเป็นเพื่อนกับกูด้วยงั้นเหรอ"

"ก็ไม่ แต่มึงกับกูมันคนละคนกันไง"

"งั้นกูจะบอกอะไรให้ กูก็ชอบผู้ชาย"

"0.0!"

"เป็นเพื่อนกันได้ยัง"

ช็อก! ไอ้สัด...นี่ผมเคยรู้อะไรกับเขาบ้างไหมเนี่ย

"จะแดกได้ยัง กับข้าวเย็นหมดล่ะ"

"แดก ๆ อย่าใจร้ายกับกูนักดิ"

วันนี้มันเมดมายเดย์มาก ๆ สำหรับผม เหมือนวันที่ฝนตกหนัก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆสีดำ แต่เมื่อฝนตกลงมาแล้ว ในเช้าของวันถัดมา ท้องฟ้าก็สว่างสดใสเหมือนเดิม

เรื่องผมกับอชิตะ จะเป็นยังไงต่อ ก็ให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้แล้วกัน เอาเป็นว่า เราจะกลับไปเป็นเพื่อนกัน เหมือนวันแรกที่เรารู้จักกัน... :))











#แฟนwithbenefits


















*ชื่อตอน เพลง รู้ยัง - ต้น ธนษิต





-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -11-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 07-09-2021 01:50:43
แฟน║FRIEND WITH BENEFIT

บทที่

-11-

ไม่มีความรัก ก็ไม่เป็นไรนะใจ


กฎของการตัดใจคือ...



กฎข้อที่หนึ่ง พยายามไม่คุยกับเขา

“พยายาม...!?” ผมพูดออกเสียงในขณะที่ตัวเองนั่งอยู่คนเดียวภายในห้องของตัวเอง

มันคือข้อความกฎของการตัดใจจากคนที่ชอบ ผมอ่านจากอากู๋ เพราะจะให้ผมคิดเองได้คงยาก

ต้องขอบคุณนิวที่ทำให้ผมไม่บอกชอบอชิตะ ไม่อย่างนั้นเราคงจะมองหน้ากันไม่ติด กลับมาที่กฎต่อดีกว่า เริ่มจากข้อแรก บอกเลยว่าง่ายมาก แค่ไม่คุยก็จบสินะ กระจอก...

ช่วงนี้ปิดเทอมซะด้วย มันยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ผมว่าข้อนี้แม่งผ่าน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“สกาย นิวมาหา แม่ให้เข้ามารอแล้ว” เสียงแม่บอกหลังจากที่เคาะประตู

“ครับคุณนาย” ผมพาตัวเองลงมาข้างล่างทันที นิวกับแม่ผมรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะนิวมาส่งผมที่บ้านหลายครั้ง และนิวเองก็อ้อนแม่เก่งยิ่งกว่าผมเสียอีก

พอลงมาชั้นล่าง ผมก็เห็นนิวนั่งกินผลไม้ที่แม่ปอกให้หน้าสลอน ไม่กี่วินาทีต่อมา ผมก็เห็นอชิตะเดินออกมาจากห้องน้ำในครัว

เชี่ยล่ะเอาไงต่อ แค่เห็นหน้าเหงื่อก็ซึมเป็นเม็ดขึ้นมาครามครัน

“นั่ง ๆ ทำตัวตามสบาย คิดว่าเป็นบ้านของตัวเอง” นิวว่าพลางตบโซฟาปุ ๆ เออเอากับมัน บ้านมันสินะ

“ครับคุณชาย” ว่าจบผมก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างนิว อชิตะเองก็เดินมานั่งที่โซฟาอีกฝั่ง

กฎข้อที่หนึ่งพยายามไม่คุยกับเขา...

“สก---” อชิตะกำลังจะพูดขึ้น ผมก็รีบพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“นิว...มึงมาบ้านกูมีอะไร” อชิตะไม่พูดต่อ หลังเห็นผมเมิน

“ไม่มีอะไร แค่จะชวนไปเดินเล่นห้างฯ ปิดเทอมเบื่อวะ” แล้วทำไมต้องวันนี้ด้วยวะ

“กูไม่สบาย” ผมบอกปัด

“สกายไม่สบายเหรอลูก...” อ้าวเชี่ยล่ะ แม่เดินยกขนมมาพอดี

“เปล่าครับคุณนาย ผมแค่ปวดหัว”

“ก็ใช่น่ะสิ เราเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง เดี๋ยวแม่เอายาแก้ปวดให้ เราก็ออกไปเดินห้างกับเพื่อนจะได้สดชื่น”

“จริงแม่ ไลน์ไปก็ไม่ตอบจนพวกผมต้องมาหามันถึงบ้าน” นิวร่วมประสมโรง ผนึกกำลังกับแม่ผมทันที

ดีจริง ๆ เข้ากันดีเหลือเกิน ผมโดนนิวยึดแม่แล้วใช่ไหม

“เออ ๆ ขออาบน้ำก่อน เดี๋ยวลงมา”

“อี๋ จะเที่ยงแล้วยังไม่อาบน้ำอีกสกปรก”

“เดี๋ยวมึงจะโดน”

“แม่ครับสกายว่าผม” ไม่ว่าเปล่า มันหันไปทำตาเยิ้มใส่แม่ผมอีก ค่อยดูสิ ผมจะฟ้องพ่อ ว่ามีผู้ชายมาทำตาหวานใส่แม่

ผมได้แต่ส่ายหัวให้กับความไม่เต็มเต็งของนิว แล้วพาตัวเองขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมลงมาข้างล่างอีกครั้ง ในเวลาต่อมา แม่ให้เงินไว้จำนวนหนึ่ง สั่งนิวเอาไว้ไม่ให้พวกเรากลับบ้านดึก

ระหว่างทางนิวก็ชวนคุยไม่หยุด ผมเองก็ได้แต่พยักหน้ารับ ตอบสั้น ๆ บ้าง พยายามคุยให้น้อยที่สุด อชิตะเองก็คุยกับนิวตามปกติ ดูแล้วเหมือนจะมีผมแค่คนเดียวที่อึดอัด



กฎข้อที่สอง คิดถึงแต่ข้อเสียของเขา

เรามาถึงห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลมากนัก อันดับแรกนิวปรี่เข้าไปดูรอบหนัง แล้วหนังมีเป็นสิบ ๆ เรื่องมันเลือกเรื่องเลิฟ จุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก สถานการณ์นี้ไม่ควรดูหนังรักเป็นอย่างมาก

เลือกอะไรไม่ได้อยู่แล้ว พอมาถึงมันก็วิ่งไปซื้อตั๋วเลย ประชาธิปไตยมึงรู้จักไหม ไม่ถงไม่ถามผมกับอชิตะสักคำ

“เดี๋ยวเราจะไปซื้อป๊อปคอร์น สกายเอาอะไร” เอาไงดีวะ นิวก็ไม่อยู่ ผมตัดสินใจไม่ตอบอชิตะ แต่ส่ายหัวเป็นการปฏิเสธแทน

ท่องเอาไว้ ‘พยายามไม่คุย’

นิวเดินกลับมาก่อนที่อชิตะจะเดินกลับมา ผมเลยมีจังหวะได้คุยกับมันสองคน

“ไอ้นิวคืออะไร มึงก็รู้ว่ากูพยายามตัดใจจากอชิอยู่” ผมเริ่มเปิดประเด็นทันที

“อ้าว ก็เห็นมึงบอกจะกลับมาเป็นเพื่อนกัน กูจะไปรู้เหรอ”

“แล้วดูมึงเลือกหนัง...ไอ้ห่า”

“ก็กูจะดูสายป่าน กูผิดอารายยยย” ยังไม่ทันได้สวนกลับ อชิตะก็เดินกลับมาผมกับนิวรีบหุบปากฉับทันที

“ของมึงคาราเมล” อชิตะว่าพลางยื่นป๊อปคอร์นให้นิว “ของสกายเราไม่รู้ว่าชอบแบบไหน เราเลยเอาหวานกับเค็มผสมมา” ป๊อปคอร์นถูกส่งมา จะไม่รับก็ดูจะเสียน้ำใจ

“อชิแม่งรู้ใจกูที่สุดล่ะ ไม่เหมือนสกายไม่รู้อะไรสักอย่าง” นิวบ่นอุบ

“กูสั่งน้ำฝากไว้ที่เคาน์เตอร์พอดียกมาไม่ไหว ไปเอากันเองนะ” ผมพยักหน้าหงึก ๆ แล้วเดินตามอชิตะอย่างว่าง่าย “ของมึงน้ำส้ม ของสกายน้ำเขียว”

ผมรับน้ำเขียวเอาไว้ในมือ แม่งเขาจำได้ว่าผมชอบกินน้ำเขียว น่ารักวะ นี้ขนาดเป็นแค่เพื่อนนะ ถ้าเป็นแฟนจะต้องดีขนาดไหน ใส่ใจเหี้ย ๆ อี๊ดดดด >///< แค่คิดก็เขินแล้ว

เฮ้ย! ไม่ได้ ๆ กฎข้อที่สอง คิดถึงแต่ข้อเสีย

แม่งเอาน้ำอัดลมมา ตั้งใจจะให้ผมอ้วนใช่ปะ และไอ้ป๊อปคอร์นนี่อีก เอารสเค็มผสมมากะให้ผมเป็นโรคไตแน่ อชิตะ ไอ้คนดีเกินไป ไอ้คนใส่ใจทุกอย่าง ไอ้คนผีทะเล คนบ้า บ้าที่สุดเล๊ยยยยย

ฮอลลล สบายใจล่ะ ไม่เห็นจะมีข้อดีตรงไหน...



กฎข้อที่สาม คิดทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของเขา

ผมที่นอนแน่นิ่งบนเตียงเกินแปดชั่วโมงต่อวัน กำลังจะเป็นผู้ป่วยติดเตียงในไม่ช้า

ผลสอบออกมาแล้ว ผมผ่านทุกวิชาไม่มีติดศูนย์ แถมยังโดนจองตัวให้เป็นตัวแทนของกลุ่มวิชาศิลปะ ในงานต้นแบบโรงเรียนในฝันของเทอมหน้า

ผมพอทราบมาว่าอชิตะเองก็ได้เป็นตัวแทนของวิชาฟิสิกส์ และวิชาภาษาอังกฤษ เขามันเก่งรอบด้านนี่ ดีกรีเด็กห้องคิงสำเนียงอิ้งแน่นปึก ลองมาคุยกับผมสิ เยส โน โอเค แอมฟาย แต้งกิ้ว ซิทดาวทีชเชอร์

รู้ตัวอีกทีผมก็คิดถึงเขาอีกแล้ว ในหนึ่งวันมันจะต้องมีเรื่องให้ผมคิดถึงเขาตลอด ทั้งที่พยายามที่จะไม่นึกถึง แต่มันก็อดไม่ได้

แค่นึกถึงชื่อเขา ผมก็เห็นรอยยิ้มสดใส ในม่านความทรงจำ ดวงตาที่เป็นประกาย ตัวเล็กนุ่มนิ่มน่าฟัด...

โธ่เว้ย! ก็บอกจะไม่นึกถึงไง

ผมดีดตัวลุกขึ้น แล้วพาตัวเองไปยังขาตั้งสำหรับวาดรูป หยิบแผ่นเฟรมที่ยังวาดค้าง ๆ ขึ้นมาวาดต่อ ระหว่างที่กำลังหาอยู่ รูปของอชิตะที่ยังไม่ได้ลงสีก็ถูกกางออก ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัย

“ทำไมถึงชอบอชิขนาดนี้กันนะ ให้ตายเถอะ” ตัวหนีบตัวเล็กถูกใช้เพื่อตรึงภาพเอาไว้ ไหน ๆ ก็เลิกนึกถึงไม่ได้แล้ว ก็วาดภาพเขาให้จบเลยก็แล้วกัน

ผมคลุกอยู่กับภาพวาดของเราสามคน วาดมันขึ้นมาให้สมบูรณ์แล้วเริ่มลงสีน้ำ จากตอนแรกเป็นเพียงภาพร่าง ตอนนี้มันถูกเติมสีสัน ใบหน้าถูกแต่งแต้มไปด้วยสีแดงอ่อน ๆ ริมฝีปากอิ่มลงสีชมพูให้สดสดใส พื้นหลังเป็นท้องฟ้าในวันที่ไร้เมฆบดบัง ทุกอย่างถูกทำให้เสร็จภายในหกชั่วโมงกว่า

หลังจากที่ทำเสร็จ ผมก็ใช้พัดลมเป่ารูป แล้วเข้าไปอาบน้ำ ปล่อยภาพเอาไว้อย่างนั้น

ผมพาตัวเองลงมาข้างล่าง ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เพื่อไม่ให้ตัวเองมีเวลาว่างคิดฟุ้งซ่านเรื่องอชิตะ เริ่มดึกผมก็กลับขึ้นมาบนห้อง ภาพแห้งสนิทแล้ว ผมมองมันเป็นครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากนี้ผมคงไม่ได้หยิบมันออกมาดูอีก

มันสมบูรณ์อย่างที่มันควรจะเป็นแล้ว...



กฎข้อที่สี่ ทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้

ผมได้เรียนรู้จากกฎข้อที่สาม การทำตัวยุ่ง ทำให้ผมไม่มีเวลาคิดเรื่องอชิตะ ผมลองหาอะไรทำ อย่างเช่นออกไปนั่งวาดรูปที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน ไม่ก็ออกไปเล่นเกมคนเดียว มันทำให้เรื่องของอชิตะเริ่มหายไป จะมีบ้างบางวันที่นึกถึง หรือเก็บเอาไปฝันเป็นเรื่องเป็นราว

Rrrr…

เสียงมือถือแผดเสียงดัง ผมก็พอเดาได้ว่าเป็นเบอร์ของใคร หลังจากที่ผมหายตัว กลายเป็นคนสาบสูญ นิวก็โทรจิกวันละสามเวลาหลังอาหาร

และทุกครั้งมันก็ชวนผมออกจากบ้านตลอด ซึ่งผมปฏิเสธทุกครั้ง จริง ๆ ผมว่าผมยังไม่อยากเจออชิตะ มันดีขึ้น แต่มันก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ที่จะเจอกัน

[รับช้า!] นิวโพล่งขึ้นทันทีหลังผมรับสาย

“เออ ขี้อยู่”

[จะชวนไปร้านคอม] ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ [ไม่ต้องปฏิเสธกู อชิไม่ได้ไป]

“ไม่เกี่ยวสักหน่อย” ผมบอกปัด เพราะผมบอกกับนิวไปแล้วว่าเราจะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

[เหรอ งั้นกูโทรชวนอชิ]

“งั้นกูไม่ว่าง”

[เนี่ยมึงปากแข็ง มีอะไรก็พูดดิว้า]

“เออ กูยังไม่พร้อมเจอ...พอใจยัง”

[ก็เท่านั้น]

“มารับกูด้วย แค่นี้แหละ” สายถูกตัดในเวลาต่อมา

ผมมานั่งรอนิวข้างล่าง ไม่นานนักมันก็มารับ มาเร็วราวกับอยู่หน้าปากซอย

“เกาะแน่น ๆ นะน้อง รถพี่มันแรง” นิวว่า

“ก็แค่รถซื้อแกงจะแรงได้ไง” ว่าจบผมก็ขึ้นคร่อมรถทันที

มอเตอร์ไซค์ลูกรักของนิวพาเรามาที่หน้าโรงเรียน ร้านคอมที่นี่อินเทอร์เน็ตเร็วที่สุด ถึงแม้ว่าเด็กจะเยอะก็ตาม แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา ผมให้นิวเดินเข้าไปซื้อชั่วโมง กับจองเครื่อง ส่วนตัวผมก็เดินเข้ามาร้านของชำข้าง ๆ ร้านเกม

ผมเลือกซื้อขนมไปหลายอย่าง เตรียมเสบียงเข้าไปนั่งกันแบบยาว ๆ เลือกเสร็จสรรพก็เดินเอาของในตะกร้าไปคิดเงิน จังหวะที่กำลังเดิน สายตาก็ไปปะทะเข้ากับโซนเครื่องเขียน มันถูกย้ายมาไว้ใกล้เคาน์เตอร์กว่าเดิม

“ย้ายมาไว้ข้างหน้าแล้วเหรอป้า” ผมว่า

“ใช่จ้า ไว้มุมโน้นเด็กมันชอบขโมย”

“อ๋อ” ผมพยักหน้ารับ แล้วเดินเข้าไปเลือกดู ปากการูปดาวสีฟ้า มันคุ้นตา เพราะเป็นอันเดียวกับที่ผมซื้อให้อชิตะ

คุณสตาร์... คุณอชิตะยังเก็บไว้อยู่หรือเปล่า

“ไอ้หนูได้แล้ว”

“ครับ ผมเอาปากกาอีกแท่ง” ผมจ่ายเงินค่าขนม และปากกาที่พึ่งหยิบมาเพิ่มอีกหนึ่งด้าม แล้วเดินเข้าไปยังร้านคอม

นิวจองโต๊ะในมุมที่ไม่ค่อยมีเด็กพลุกพล่านเท่าไหร่นัก เขาหยิบถุงขนมออกมาแกะวางไว้ตรงกลาง เพื่อให้เราได้หยิบกินด้วยกัน

“เออ เมื่อกี้อชิมันมาด้วย”

“...บอกทำไม ไม่ได้อยากรู้”

“จริงดิ ไม่อยากรู้จริงดิ”

“...”

“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะ ถ้าอชิไม่รับรักมึง ยังมีกูที่รักมึงอยู่นะ มาเป็นเมียกูก็ได้”

“ไอ้สัด! พอเลยกูขนลุก” นิวไม่ตอบกลับ แต่ฉีกยิ้มแทน เหมือนกับว่ามันโดนผมด่าแล้วสบายใจ เลยหันกลับไปเล่นเกมต่อ



เรานั่งเล่นเกมกันจนหมดชั่วโมงที่ซื้อ และไม่ได้ซื้อเพิ่ม เพราะมันเย็นมากแล้ว ถ้ากลับบ้านดึกกว่านี้ ผมอาจจะโดนแม่ฟาดด้วยไม้แขวนเสื้อ นิวมาส่งผมอย่างเมื่อตอนที่มันมารับ

“สกาย...สงกรานต์นี้ยังไง” นิวหันมาถาม

“...” ผมเงียบอยู่สักพัก ‘สงกรานต์’ เป็นวันแรกที่ผมได้เจอกับอชิตะพอมาคิดดู หรือจริง ๆ ผมจะชอบเขาตั้งแต่วันนั้นนะ “ดูก่อน” ผมตอบสั้น ๆ

“ยังไงก็บอก จะได้มารับ” นิวว่า

ผมพยักหน้ารับ แล้วมองนิวขับรถออกไป ก่อนผมจะพาตัวเองกลับเข้ามาในบ้าน

ในบ้านเงียบสนิท วันนี้แม่กับพ่อไม่อยู่ ต้องขึ้นเวรที่โรงพยาบาล แต่แม่ก็ทำกับข้าวทิ้งเอาไว้ให้ ผมเดินมานั่งกินข้าว แล้วก็เดินกลับขึ้นมาในห้องของตัวเอง

ในถุงที่ถือติดมือมาด้วยยังมีขนมที่ยังกินไม่หมด มันถูกแยกเอาไว้ ส่วนถุงขยะผมขย้ำเตรียมทิ้งลงถัง แต่ทว่าตอนที่กำลังขย้ำ มือก็กำเอาแท่งแข็ง ๆ พอหยิบออกมาดูมันคือปากการูปดาว

ผมทิ้งตัวลงนอน มองดูปากกาที่ซื้อติดมาด้วย วันนี้ทั้งวันมีแต่เรื่องให้คิดถึงอชิตะ ทั้งที่พยายามบอกว่าอย่านึกถึงแล้วแท้ ๆ

ยิ่งย้ำ ก็เหมือนยิ่งเตือนให้คิดถึงอยู่ตลอดจริง ๆ



กฎข้อที่ห้า หางานอดิเรก

[สกาย มึงไม่มาเล่นน้ำจริงดิ]

“อืม กูลงเรียนวาดรูปเอาไว้ เรียนช่วงสงกรานต์มันได้ส่วนลด”

[เนี่ยอชิก็อยู่]

“บอกกูทำไม”

[อะ ๆ ไอ้นิม มึงไม่คิดถึงเพื่อนเก่าบ้างไง มันมาเนี่ย]

“แค่นี้ก่อนนะ กูต้องรีบไปเรียน” ผมกดตัดสายนิว ไม่รอฟังคำตอบ

ผมขอแม่เรียนพิเศษวิชาศิลปะ ผมว่าผมชอบมัน ทุกครั้งที่ผมจดจ่ออยู่กับกระดาษ ดินสอ สี มันทำให้ผมลืมเรื่องทุกอย่าง มีสมาธิมากขึ้นอีกด้วย

ผมหยิบกระบอกซูมขึ้นสะพาย แล้วเดินลงมาด้านล่าง พ่อกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ ส่วนแม่ยืนทำกับข้าว

“พ่อ...คุณนายผมไปแล้วนะ”

“ของครบแล้วใช่ไหม ไม่ลืมอะไรนะ”

“ครับ” ยังไม่ทันก้าวเท้าออกจากบ้าน เสียงพ่อพูดไล่หลัง

“แทนที่จะเอาเวลาไปเรียนอย่างอื่น เอาแต่ทำเรื่องไร้สาระ...”

“คุณ!” แม่หันไปมองเขม้นใส่พ่อ ก่อนพ่อจะพับหนังสือพิมพ์ แล้วเดินลุกเดินหายขึ้นไปชั้นสอง “สกายรีบไปเถอะลูก เดี๋ยวรถติด”

“ครับ” ผมรับคำ แล้วเดินออกมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง

ผมกับพ่อเราไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่นัก พอคุยด้วย ก็มีแต่เรื่องวิชาการน่าปวดหัว ครอบครัวฝั่งพ่อ เป็นหมอกันทั้งบ้าน พ่อเลยอยากให้ผมตั้งใจเรียน และสอบเข้าด้วยอีกคน

เขาไม่เคยเข้าใจผม มีแต่แม่ที่คอยสนับสนุนผมทุกอย่าง อุปกรณ์วาดรูปทั้งหมดก็เป็นแม่ที่ซื้อให้ พอแม่รู้ว่าผมได้เป็นตัวแทนวิชาการ เขาดีใจมาก เลยยอมให้ผมเรียนพิเศษเพิ่ม



ผมใช้เวลาบนถนนนานกว่าปกติ กว่าจะมาถึงโรงเรียนสอนพิเศษ เสียงแจ้งเตือนมือถือก็ดังอยู่ตลอด มันเป็นข้อความจากนิว ส่งรูปเข้ากลุ่มที่ไม่ได้คุยกันมานาน ให้กลับมาคึกคัก

ปลายนิ้วยังคงเลื่อนดูรูปที่ละรูป มีทั้งรูปนิม และรูปนิวเอง จนกระทั่งมาถึงรูปของอชิตะ...

มันรู้สึกเหมือนว่าเราไม่ได้เจอกันมานานมาก เขายังน่ารักเหมือนเดิม แต่เหมือนจะสูงขึ้นดูจากในรูป เขายืนข้างนิว ความสูงไล่ ๆ กันเลย อีกนิดก็คงตามผมทันแน่

มือถือถูกเก็บ ผมเดินเข้าห้องเรียนในเวลาต่อมา

วันทั้งวันผมคลุกอยู่กับงานวาดแจกันดอกไม้ตรงหน้า ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ถือว่าฝีมือผมพัฒนามาก ตั้งแต่ลงเรียนพิเศษ ก็รู้วิธีการเก็บรายละเอียดของภาพเยอะขึ้น

จากงานอดิเรกธรรมดา ตอนนี้ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ผมรักแล้วแหละ จากเมื่อก่อนที่ถามตัวเองตลอดว่าอยากทำอะไร ตอนนี้ผมก็มีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น ผมเริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเอง...



กฎข้อสุดท้าย ยอมรับว่า คุณไม่คู่ควรกับเขา

เปิดเทอมวันแรกก็คึกคักไปด้วยเด็กมอหนึ่ง และมอสี่ ผมมานั่งรอนิวที่โต๊ะประจำตัวเดิม

ปิดเทอมที่ผ่านมา ผมว่าผมสามารถเป็นเพื่อนกับอชิตะได้แล้ว เพราะตอนที่นึกถึง ผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไร หลังจากนี้เราจะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

ระหว่างนั่งรอ ผมนั่งมองพวกเด็ก ๆ พากันหาห้องของตัวเองวุ่นวายไปหมด มองแล้วก็นึกถึงตัวเอง ถ้าไม่มีนิวผมก็คงเดินเอ๋อแดกอยู่แถว ๆ นี้เหมือนกัน

“พี่ครับผมจะไปห้องครูวิจิตร ต้องไปทางไหน” จากดาวสี่ดวงบนอกข้างขวา ก็พอมองออกว่าเป็นเด็กมอสี่

“อาคารสอง ชั้นสาม ห้องห้า”

“ขอบคุณครับ”

ผมมองเด็กตัวเล็กเดินหายไป ก่อนเสียงคุ้นหูจะดังขึ้นจากด้านหลัง

“มาเช้าเหมือนเดิมเลยนะ” ผมหันกลับไปมองอชิตะ ที่ยืนอยู่ เขาเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ดูโตขึ้นกว่าเมื่อก่อนนิดหน่อย แต่ก็ยังน่ารักเหมือนเดิม

ตึก ตัก ตึก ตัก ตึก ตัก...

“อืม บ้านเราก็อยู่แค่นี้เอง” ผมว่า

“สกายกินอะไรมาหรือยัง เราแวะร้านค้ามา เลยซื้อนมมาเผื่อ” ว่าจบ อชิตะก็เปิดกระเป๋านักเรียน หยิบนมจืดออกมาหนึ่งกล่องส่งมา

“ขอบคุณมาก” ผมรับไว้ ความรู้สึกที่คิดว่าทำได้ ก็พลันส่งผลให้ใจสั่น

ทำไมเขาต้องใจดีแบบนี้ตลอดเลยนะ

“แฮก ๆ มาแล้ว ๆ” นิววิ่งหอบแฮกเข้ามาที่โต๊ะ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ปีนี้ผมก็ได้อยู่ห้องเดียวกับมัน แต่ว่าขยับจากทับสามขึ้นมาทับสี่

“สายตลอด” ผมว่า

“ก็นาฬิกาไม่ยอมปลุก”

“มึงก็อ้างแบบนี้ประจำ”

“ตื่นสายยังไม่ได้กินอะไรมาใช่ไหม กูซื้อนมมาเผื่อ” อชิตะหยิบนมอีกกล่องออกมาจากกระเป๋า มันเป็นนมรสช็อกโกแลต ที่นิวชอบดื่ม อชิตะใส่ใจทุกคนจริง ๆ ไม่ใช่แค่กับผมคนเดียว

จู่ ๆ ก็รู้สึกหน่วงมันซะอย่างนั้น ทั้งที่ผมไม่ควรจะรู้สึกเลยด้วยซ้ำ



ช่วงเปิดเทอมวันแรก เหมือนเป็นธรรมเนียม คือครูจะยังไม่มีการเรียนการสอน ปล่อยให้พวกเราได้ฟรีสไตล์ จะมีก็แต่ผมที่ถูกเรียกตัวไปช่วงบ่าย เพราะงานโรงเรียนในฝันจะจัดขึ้นอีกไม่นาน คนที่เป็นตัวแทนแต่ละวิชาการจะต้องเริ่มฝึกตั้งแต่เนิ่น ๆ

ในห้องมีนักเรียนอยู่จำนวนหนึ่ง ส่วนมากจะเป็นเด็กจากห้องคิง มักถูกเลือกให้เป็นตัวแทนวิชาการสายวิชาวิทย์ฯ คณิตฯ ซะส่วนใหญ่

ผมนั่งฟังครูพูด เข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง เพราะเมื่อเที่ยงผมกินไปเยอะ หนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน แอบนั่งสัปหงกไปสองสามครั้ง หันไปมองอชิตะถึงได้รู้ว่าเขากำลังอมยิ้มอยู่

ยังยิ้มน่ารักเหมือนเดิมเลยน้า...

ผมเดินออกมาจากห้องประชุม กำลังจะเดินกลับไปที่ห้องเรียนของตัวเอง แต่ก็ถูกอชิตะรั้งเอาไว้ให้ยืนรอ ไม่นานนักเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับเครื่องดื่มเย็นเจี๊ยบ

“เห็นสกายดูง่วง” อชิตะว่า

“ขอบคุณนะ”

“สกายเรียนห้องไหน”

“เคมี”

“ทางเดียวกันเลย เดินไปด้วยกันนะ”

“...”

เราเดินออกมาด้วยกัน โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ตอนที่แขนของอชิตะโดนแขนผม หัวใจก็เริ่มสั่น หรือมันเป็นเพราะเครื่องดื่มที่กำลังดื่มกันนะ

“ทำไมอชิถึงชอบใจดีอยู่ตลอด” ผมพูดขึ้น เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันอึดอัด

“เฉพาะคนน่ะ”

“ยังไง...”

“ก็...เราจะใจดีกับคนที่เราอยากใจดีเท่านั้น”

“...” ผมยกเครื่องดื่มหมดรวดเดียว เพราะทำตัวไม่ถูก รู้สึกหน้าร้อนวูบวาบไปหมด

คำพูดที่เขาพูดออกมาแบบไม่ได้คิดอะไร กลับเล่นงานความรู้สึกคนฟังให้หวั่นไหวได้ขนาดนี้เชียวเหรอ

ปิดเทอมที่ผ่านมา ผมใช้เวลาตัดใจจากคนคนหนึ่ง เพื่อมาตกหลุมรักคนเดิมซ้ำ ๆ



หลังจากโรงเรียนเปิดเทอมได้อาทิตย์กว่า ชีวิตเด็กมอห้าก็เริ่มมีเรื่องเข้ามาให้ได้ปวดหัว ไหนจะต้องเริ่มวางแผนอนาคต จะเรียนต่อที่ไหน ถนัดอะไร อย่าคิดว่ามันง่ายนะ การค้นหาความชอบของตัวเองมันยากยิ่งกว่า โครงงานที่ต้องทำซะอีก

มันเป็นเรื่องที่เราต้องค้นหาด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาแบ่งหัวข้อได้ว่าคุณต้องไปหาเรื่องนี้ ทำเรื่องนั้น โชคดีที่ผมหาเจอแล้ว แต่คนที่ยังถามตัวเองอยู่ว่าชอบ หรือไม่ชอบอะไร ก็สู้ ๆ นะครับ ค่อย ๆ คิดเดี๋ยวก็เจอ

เลิกเรียนวันนี้ผมมีเรียนพิเศษวาดรูป ไปอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะจบคอร์สแล้ว แต่ก็ถูกนิวลากมาที่หอประชุมกลาง

ในโถงกว้างมีคนอยู่ไม่มาก มีครูบรรจงนั่งอยู่กลางห้อง แกสอนวิชาดนตรี และคุมวงดุริยางค์ของโรงเรียน นิวพาผมมานั่งข้างครู มันไม่ได้บอกอะไรไปมากกว่าให้รอดู

ไม่นานนักเรียนชายก็เดินออกมาเรียงแถวหน้ากระดานหกคน หนึ่งในนั้นมีอชิตะ ครูบรรจงให้แต่ละคนถือไม้คนละอัน และเริ่มจากหัวแถวเป็นคนเริ่มก่อน

“ทำอะไรวะ กระบี่กระบองเหรอ” ผมหันไปถามนิว

“ควายจริงเพื่อนกู ควงขนาดนั้น เขาคัดดรัมเมเยอร์”

“อ๋อ...อชิตะด้วยเหรอ”

“เออกูก็เพิ่งรู้จากเพื่อนอีกห้อง เลยลากมึงมานี่ไง”

“...” ผมพยักหน้ารับ แล้วดูการคัดเลือกดรัมเมเยอร์ต่อเงียบ ๆ

คนที่หนึ่งผ่านไป คนที่สองก็ตามมา มีทั้งคนที่รับไม้ได้ และทำร่วงลงพื้น ไม่นานก็มาถึงคิวของอชิตะ

เขาสะกดสายตาคนมอง ให้จับจ้องอย่างไม่ละสายตา ตอนที่เขาควงไม้โยนขึ้นแล้วรับด้วยมือเดียว แม่งโคตรเท่

พอมองอย่างนี้แล้วก็รู้สึกว่าอชิตะมีเสน่ห์ล้นมาก เขาเป็นทั้งเด็กห้องคิง เป็นตัวแทนงานวิชาการ นี่จะเป็นดรัมเมเยอร์อีกเหรอ จะเพอร์เฟกต์เกินไปแล้ว

ผมกับอชิตะเราต่างกันราวฟ้ากับเหว รอบตัวเขาเต็มไปด้วยแสงสว่างเปล่งประกายระยิบระยับ จนผมไม่กล้าเอาตัวเองไปอยู่ข้าง ๆ เขา มันฟังเหมือนดูถูกตัวเอง แต่ก็อดคิดไม่ได้ มาถึงตรงนี้ภาพทุกอย่างก็เป็นคำตอบชัด ผมไม่มีอะไรคู่ควรกับเขาเลย...









#แฟนwithbenefits









*ชื่อตอน ไม่มีความรัก - Slot Machine







-กำลังทยอยแก้คำผิด-

หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -12-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 07-09-2021 01:52:11

แฟน║FRIEND WITH BENEFIT

บทที่

-12-

คุณเก็บความลับได้ไหม

 
“บางที ความสุข ก็สร้างขึ้นเองได้”

 

ปีใหม่ผ่านพ้นไป ก็ถึงคิวของเทศกาลสีชมพูอย่าง ‘วาเลนไทน์’ มีเหรอที่โรงเรียนเราจะพลาดกับกิจกรรมนี้ แถมยังเชิญวิทยากรมาให้ความรู้เกี่ยวกับเพศศึกษา ครึ่งวันบ่ายก็จัดซุ้มขายของคึกคักกันน่าดู

ห้องอื่นเขาขายดอกไม้ ขายลูกโป่ง ห้องผมขายบริการ ไม่ใช่บริการอย่างนั้นนะ แต่เป็นบริการสารภาพรัก หรือเซอร์ไพร์บลา ๆ เราแบ่งกลุ่มทำหน้าที่ต่างกันออกไป รายได้ทั้งหมดเราจะใช้สำหรับงานกีฬาสี

คนอื่นได้ทำเซอร์ไพร์ แต่ผมกับนิวถูกส่งมาร้องเพลงประสานเสียง นิวได้หน้าที่เล่นกีตาร์ ส่วนผมและเพื่อนอีกสามคนมีหน้าที่ร้องเพลง ไม่นานลูกค้ารายแรกก็เข้ามาในซุ้มเรา เป็นรุ่นพี่มอหก เขาเลือกบริการร้องเพลงให้แฟน เป็นเด็กมอห้าห้องคิงชื่อเก๋ ขอเพลงไม่มีตรงกลาง ของ เอ๊ะ จิรากร

ได้รับมอบหมายดังนั้น พวกเราก็ถือกีตาร์เดินตรงไปยังห้องคิงของเด็กมอห้าทันที

“เธอ ๆ” ผมสะกิดไหล่คนที่กำลังยืนขายดอกไม้ ก่อนเธอจะหันมา “พี่โจ้ฝากพวกเราเอาเพลงนี้มาให้” ว่าจบนิวก็เริ่มดีดกีตาร์ เพื่อนคนแรกเริ่มร้องเปิด จากนั้นพวกเราก็ประสานเสียงพร้อมกัน

คนฟังก็เขินม้วนบิดเป็นเลขแปด คนร้องอย่างผมแทบจะมุดดินหนี แต่เพื่อเงินห้องท่องเอาไว้ นิวแม่งโชคดี ไม่รู้ไปเล่นกีตาร์เป็นตั้งแต่ตอนไหน เลยไม่ต้องแหกปาก

ผมแอบลอบมองอชิตะที่กำลังยืนขายลูกโป่ง อยู่อีกฝั่ง เสื้อนักเรียนเต็มไปด้วยสติกเกอร์รูปหัวใจ ปีนี้ก็ยังฮอตน่าดู

เราไม่ได้คุยกันอีกเลย หลังจากจบงานโรงเรียนในฝันเมื่อเทอมหนึ่ง อชิตะกิจกรรมเยอะจนไม่ได้มานั่งเล่นด้วยกันแบบเมื่อก่อน ดูอย่างป้ายหน้าโรงเรียนก็พอเข้าใจ รายการชนะเลิศ รองชนะเลิศ ในงานวิชาการยาวเป็นหางว่าว

หันมามองตัวเอง แม่งเอ๊ย! จะจบมอห้าล่ะ ไม่ได้ห่าอะไรสักอย่าง

“มึงจะมองอีกนานป่ะ เพลงจบเป็นชาติล่ะ” ผมหันกลับไปดู เพื่อนคนอื่นก็เดินหายไปกันหมดแล้ว “ไหนบอกจะเลิกชอบไง”

“เลิกชอบแล้ว” ผมว่า

“ตอนที่มึงจูบกู ปากก็ไม่ได้แข็งนะ” ไอ้เหี้ยนี่ก็แซวไม่เลิก ตั้งแต่วันนั้น แม่งเป็นปมในใจจนถึงวันนี้ “มองขนาดนั้น ชอบก็บอกว่าชอบดิ”

“กูมอง ก็ไม่ได้หมายความว่ากูชอบไหมล่ะ”

“ความรักมีหลายรูปแบบเว้ย มึงมีความสุขได้”

“...?” เลิกคิ้วมองอย่างสงสัย อยากรู้เหมือนกันว่านิวจะพูดอะไรต่อ

“การรักใครสักคนมันไม่ต้องพยายาม แต่การตัดใจต่างหาก ที่ต้องพยายามมากกว่า”

โอ้โฮ~ บรรลุ เห็นแจ้งในประโยคเดียว เหมือนที่พยายามมาทั้งหมดพังลงตรงหน้า ที่ผ่านมาผมพยายามเป็นอย่างมาก แต่มากระจ่างตอนที่มันพูดไม่กี่คำเนี่ยนะ

“เฉียบ! มึงคิดได้ไงวะ โคตรจริง”

“กูเอามาจากพันทิป”

“สัด!”

“เออ นั่นแหละ เอาเป็นว่า ถ้ามึงจะชอบก็ชอบต่อเถอะ วันหนึ่งมึงไม่ไหวเดี๋ยวมึงจะรู้ว่าต้องถอย”

“...”

“อันนี้กูคิดเอง”

“ยังไม่ได้ว่าอะไร” ผมไหวไหล่ไปมา เบะปากมองบน

“ก็ดูมึงมองกูดิ” มุมปากผมกระตุกยิ้ม ก่อนจะพากันเดินกลับมาที่ซุ้มของตัวเอง

หลังจากกลับมาที่ซุ้ม ผมก็ได้รับภารกิจร้องเพลงอย่างต่อเนื่อง เป็นกิจการที่คนใช้บริการเยอะเป็นอันดับต้น ๆ กว่าจะได้พัก ต้องรอให้เพื่อนอีกกลุ่มมาสับเปลี่ยน

เวลาพักหนึ่งชั่วโมง ผมเข้ามานอนตีพุงหลังซุ้ม ส่วนนิวก็ดีดกีตาร์เล่นไปพลาง ๆ ตอนนี้ถ้าได้น้ำขิงคงจะชุ่มคอน่าดู

“สกาย”

“ว่า” ผมตอบสั้น ๆ มือก็เลื่อนไถหน้าจอมือถือ เล่นเฟซบุ๊กที่เพิ่งสมัครใหม่ หลังจากที่เพิ่งรู้ว่ามีมานานแล้ว

“มึงไม่อยากสารภาพรักกับอชิบ้างเหรอวะ”

“ไม่เอาอะ ไม่อยากเสียเพื่อน” ผมส่ายหน้าไหว ๆ

“ก็ไม่ต้องบอกไงว่าเป็นมึง เนี่ยว่างอยู่นะ”

“ไม่เอาเจ็บคอ”

“สกายมึงปอดวะ ยังไงมันก็ไม่รู้อยู่แล้วปะ กลัวอะไร”

“ไม่เอา”

“กาก”

“สัด!”

“กระจอก”

“เหี้ย!”

“ปอดแหก”

“เก่งจังนะมึง แน่จริงมึงก็ไปร้องเพลงให้คนที่ชอบดิ”

“...” นิวกะพริบตาถี่ ก่อนจะก้มหน้าลงเงียบไปอยู่พัก

โกรธผมเปล่าวะ?

“ถ้ากูกล้า มึงก็ต้องทำเคนะ” เฮ้ย ๆ ยังไม่ทันได้ตอบ มันก็หยิบกีตาร์ขึ้นมาแล้วร้องเพลง

 

*ได้แอบมองเธอข้างเดียวอยู่ที่มุมนี้

ก็พอแล้วไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ในความหวังดี

แค่ได้ชอบเธออยู่ตอนนี้ ก็ถือเป็นโชคชะตาดี ๆ

ที่คนอย่างฉัน ได้เกิดมาพบกับเธอ

*เพลงมุม - Playground

 

มันร้องเพลงให้ใครวะ!?

ผมเริ่มหันซ้ายหันขวา ตรงนี้ก็มีแค่ผมกับมันสองคน

“พอ ๆ ตรงนี้ไม่เห็นจะมีใคร มึงขี้โกง”

“ก็...” ผมจ้องหน้านิวนิ่ง อย่านะเว้ย! “...ก็ไม่มีไงฟาย กูร้องลอย ๆ”

“มึงไม่มีคนที่ชอบจริงดิ” แอบตกใจอยู่เหมือนกัน ในขณะที่นิวรู้เรื่องของผมทุกอย่าง ผมกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย

“ไม่มี... ไม่ต้องพูดมากปะกูพร้อมละ”

“นิวกูไม่กล้า”

“ถ้ามึงไม่ไป กูจะไปบอกอชิว่ามึงชอบมัน”

“เพื่อนใจเย็นก่อนนะ ไปก็ไปครับ”

สุดท้ายผมก็บ้าจี้ตามมัน นิวให้ผมร้องเพลง *คุณเก็บความลับได้ไหม ของ Armchair แค่เดินเข้าไปถึงซุ้มขาผมก็เริ่มสั่นพั่บ ๆ

“นิวกูไม่พร้อม”

“มึงอย่าโป๊ะ!” เหี้ย... ต่อหน้าคนที่ชอบนะเว้ย ไม่ได้ร้องใส่กำแพง “อชิ!” เพียงแค่นิวเรียกชื่อ หัวใจผมก็เต้นเร็วไม่เป็นจังหวะ เหงื่อเริ่มมา มือเริ่มสั่น

“มึงเดี๋ยวก่อนดิ”

“มีคนจ้างพวกกูมาร้องเพลงให้มึง” แม่งไม่ฟังกูเลย

ผมหันไปมองหน้าอชิตะ เขาดูงง ๆ แต่ก็เหมือนจะรู้ เพราะรอบก่อน ผมก็มาร้องเพลงให้เพื่อนในห้องเขา

“สกายพร้อมนะ”

“ไม่พร้อมมมม...” ผมลากเสียงยาว มองนิวสลับกับมองอชิตะ

“พร้อม สาม สี่” ไอ้เหี้ยกูไม่พร้อมไง แล้วมันก็เริ่มดีดกีตาร์ ผมรีบเปิดเนื้อเพลง นิววน Intro พอผมไม่ร้องมันก็วนอยู่อย่างนั้น จนผมยอมแพ้ เริ่มเข้าเนื้อร้อง

 

คุณเก็บความลับได้ไหม

หากผมนั้นมีอะไรจะบอก

หากผมไว้ใจระบายมันออก

คุณเก็บความลับได้หรือไม่

 

ทำไมอชิตะถึงได้มองผมไม่หลบตาเลยวะ เขินนะเว้ย! >///< เป็นผมที่ต้องหลบเอง เพราะกลัวว่าเขาจะเห็นอาการแปลก ๆ จนจับพิรุธได้ หน้าก็ร้อนวูบวาบไปหมด ผมทำทีมองเนื้อร้อง โดยไม่หันไปมองอชิตะอีกจนจบเพลง

 

ให้อยู่แค่คุณกับผม

อย่าให้ได้ยินถึงใครที่ไหน

ความลับนั้นที่เก็บไว้ในใจ

คือคำว่าผมรักคุณ

ตั้งแต่วันที่ผมได้พบ วันที่ผมได้เห็นหน้า

สายตาและหัวใจเจอที่คุณ

ตั้งแต่นั้นผมก็ได้รู้ ชีวิตผมก็ได้รู้ว่า

จากนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วคุณ

คือคุณนั่นเองตลอดมา

ที่ตัวผมเอง เฝ้าใฝ่หา

เมื่อมองรอบกาย ที่มีคนมากมาย

มีคุณคนเดียวที่ผมมองเห็นในสายตา

มันทรมาน เกินจะเก็บไว้

จึงบอกคุณไปแล้ว ได้ยินไหม

ถ้าหากคุณไม่ตอบรับ ก็ช่วยเก็บเป็นความลับ

ตลอดไป

 

“จบแล้วเราไปก่อนนะ” ว่าจบผมก็เดินหมุนตัวออกมา ทั้งที่ยังก้มหน้า ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอชิตะทำหน้ายังไง เขาไม่มีทางรู้อยู่แล้ว ว่าเพลงที่ร้องให้เขามาจากใคร แต่มันก็อดเขินไม่ได้อยู่ดี

ถึงแม้ว่ามันจะจบแค่นี้ ถึงแม้ว่าจะเขินจนขาสั่น แต่ทำไมผมมีความสุขยังไงก็ไม่รู้ หรืออาจจะจริงอย่างที่นิวว่าไว้ ความรักมีหลายรูปแบบ ผมมีความสุขได้

ไม่ได้ครอบครอง ได้แอบชอบอยู่ตรงนี้ก็ยังดี...

 

ความรัก กับ ศิลปะ ก็เหมือนวงจรสี แตกต่าง ยากที่จะเข้าใจ หลากหลายอารมณ์

เวลาผันผ่านเคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว กะพริบตาสองทีก็หมดไปอีกเทอม จบสักทีมอห้า เหลือก็แต่เรียนพิเศษ

นี่ก็คลาสสุดท้ายของการเรียนแล้ว ครูให้จับฉลากวาดรูปตามหัวข้อ ศิลปะ กับ... แล้วดูที่ผมจับได้ ความรัก ว้อททททท!

ผมดูช่ำชองเหรอ แล้วจะถ่ายทอดมันออกมาเป็นรูปภาพยังไง ในเมื่อประสบการณ์ความรักผมเท่ากับศูนย์ เป็นได้แค่คนแอบชอบ

ใกล้จะส่งงานแล้วด้วย กระดาษผมยังว่างเปล่าอยู่เลย...

ผมเอาเรื่องวาดรูปไปปรึกษานิว มันก็เลยลากผมมานั่งวาดที่สวนสาธารณะที่เคยพามา

“มองทั้งวันภาพก็ไม่ผุดมาให้มึงหรอก” นิวว่า

“กูคิดไม่ออก”

“โจทย์ว่าไงนะ” นิววางข้าวโพดที่แทะใส่ถุง แล้วหันมาสนใจผม

“ความรัก กับ ศิลปะ”

“วาดรูปหัวใจไม่ได้เหรอ แบบหัวใจโง่ ๆ” เวร! มันช่วยผมจริงเหรอวะเนี่ย

“ไอ้นิว!---”

“อะ! อย่าเพิ่งด่า กูล้อเล่น” แล้วมันก็เงียบคิดต่อ “เอางี้ความรักของมึงคืออะไร”

“อชิ” ผมตอบแบบไม่ต้องคิดเลย ก็อชิตะทำให้ผมรู้จักคำนี้

“งั้นอชิสำหรับมึงเป็นยังไง”

“อืม...” ผมกับอชิ “ต่างกันมาก ได้แค่มอง ครอบครองไม่ได้”

“เวทนา...” เอ้าไอ้นี่จะด่ายังไงดี “อืม...ก็นั่นแหละ มีอะไรที่เข้าเค้าบ้างปะ”

ความรัก อชิตะ ความต่าง ได้แค่มอง ครอบครองไม่ได้...

ผมเริ่มวาดรูปที่อยู่ในจินตนาการ มันไม่มีอะไรซับซ้อน ก็แค่ดวงดาวส่องประกายระยิบระยับ เล่นสีชมพูให้สื่อถึงความรัก ให้มันดูแปลกตา ตัดด้วยปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างแสงเหนือสีเขียว

ความรักสำหรับผมคือ สิ่งที่ธรรมชาติสร้าง ไม่ได้มีไว้ให้ครอบครอง มองได้อย่างเดียว...

 

ผมใช้เวลาไปทั้งหมดสี่ชั่วโมง นิวเองหลับได้ตื่นพอดี อยากจะว่ามันอยู่หรอก แต่ถ้าไม่มีมันหลาย ๆ เรื่อง ผมเองคงแย่เหมือนกัน อีกไม่นานเราก็ขึ้นมอหก พอจบไปคงไม่ได้เจอกันแบบนี้อีก หรืออาจจะต่างคนต่างใช้ชีวิต เวลาดี ๆ คงค่อย ๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา เจอกันอีกที เราอาจจะแค่ทักทายไม่ได้พูดคุย

“นิว...มึงคิดไว้หรือยังว่าจะเรียนต่ออะไร”

“ยังเลยวะ มึงล่ะ”

“ว่าจะลองขอแม่เรียนสถาปัตยฯ อยากเรียนออกแบบนิเทศศิลป์”

“มึงนี่ดีเนอะ กูยังไม่รู้เลยว่าจะเรียนอะไร นี่ถ้าไม่รู้กูคงให้พ่อสอนทำขนม แล้วช่วยพ่อกูขายเบเกอร์รี่”

“ไม่รู้พ่อกูจะให้ไหม...”

“ให้อยู่แล้ว มึงเก่งจะตาย”

พูดน่ะมันง่าย ผมถูกพ่อพูดคำว่า 'ต้องเรียนหมอ' มาตั้งแต่ขึ้นมอหนึ่ง ต้องขยันนะ ต้องตั้งใจเรียน สอบหมอนะมันดี อาชีพมั่นคง แต่เขาไม่เคยถามว่าผมชอบอะไร

“มึงไม่ต้องคิดมาก ถ้าพ่อมึงไม่ให้เดี๋ยวกูช่วยพูดเอง”

“กูเป็นลูกเขานะเว้ย เขายังไม่ฟัง มึงเป็นแค่เพื่อนกู เขาจะฟังเหรอ”

“งั้นกูจะเป็นเรียนสถาปัตยฯ กับมึง แล้วบอกพ่อมึงว่า เราเรียนมหา’ลัยเดียวกัน”

“มึงไม่ได้ชอบ มึงจะเรียนได้ไง สุดท้ายมึงเรียนไม่ไหวมึงก็ทิ้งกู” ผมว่าไปตามจริง

“มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่ชอบ มึงแค่ไม่รู้เองมากกว่า” ผมฉีกยิ้มก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

ผมรู้ว่าต่อให้พูดอะไร นิวก็ต้องงัดคำตอบมาหักลบอยู่ดี ผมมีเพื่อนดีขนาดนี้ แต่กลับมองข้ามไปหลายอย่างได้ไง

“นิวมึงเป็นเพื่อนที่กูรักที่สุดเลยนะเว้ย”

“รักมากกว่าไอ้นิมป่ะ”

“ฮ่า ๆ เออ กูให้มึงมาแทนตำแหน่งไอ้นิมเลย”

“...” นิวยกไหล่

“นิวสัญญากับกูได้ไหม ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

“...” นิวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ มันนิ่งจนผมต้องมองหน้ามัน หรือมันไม่อยากเป็นเพื่อนกับผมวะ “สัญญา...เราจะเป็นเพื่อนกัน... ตลอดไป”

 

 



 

 

#แฟนwithbenefits

 
 

 

 

 

*ชื่อตอน คุณเก็บความลับได้ไหม ของ Armchair

 

-กำลังทยอยแก้คำผิด-

หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-09-2021 15:05:14
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -13-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 07-09-2021 23:30:46
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-13-

ได้ยินไหม หัวใจฉัน ยังคอยอยู่ตรงนั้น รอให้เธอเปิดดู



“สมหวังก็เป็นแค่ชื่อคน”



ความวุ่นวาย!

เปิดเทอมวันแรกก็วุ่นวายอยู่แล้วเป็นปกติ แต่ปีนี้มันยิ่งกว่าทุกปี เมื่อโรงเรียนมีนโยบายให้เด็กมอหก เรียนคละกันระหว่างเด็กห้องคิง กับเด็กห้องธรรมดา โดยที่ไม่ต้องเดินย้ายห้องเรียน

ผมว่ามันก็ดีนะ ^///^

เพราะผมได้อยู่ห้องเดียวกับอชิตะไง อี๊ดดด ดด ด~

แต่!

ถึงแม้จะได้อยู่ห้องเดียวกันผมก็ทำได้แค่มองอยู่ดี ความสนิทที่เคยมีก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน ยิ่งพอยอมรับความจริงที่ว่าชอบอชิตะ ผมก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก แค่อยู่ใกล้ หัวใจมันทำงานหนักทุกที ให้ตายสิ...

“มอง...มองมาสามเดือนล่ะ ไม่เห็นทำห่าอะไรสักที” นิวว่า

“มันทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ปะวะ”

เฮ้อ~ ได้แต่ถอนหายใจ จริง ๆ แค่ได้นั่งมองแบบนี้ผมก็มีความสุข

“มึงรู้จักทฤษฎียี่สิบเอ็ดวันปะ”

“หยุดเลย ชอบให้กูทำอะไรแปลก ๆ”

“มึง...เดี๋ยวเราก็จบมอหกแล้วนะเว้ย จะได้เจอกันอีกหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” ว่าจบมันก็ตบไหล่ผมปุ ๆ

ผมได้แต่มองบนใส่มันไปหนึ่งที แต่ก็ถามต่อว่าไอ้ทฤษฎีที่ว่าคืออะไร “อะไหนมึงว่ามา”

“เขาบอกว่าถ้าทำอะไรซ้ำ ๆ ยี่สิบเอ็ดวัน แล้ววันที่ยี่สิบสองให้หายไป”

“...คือกูต้องเดินไปบอกชอบอชิยี่สิบเอ็ดวันว่างั้น”

“ทำไมเพื่อนกูถึงได้โง่จังว้า มึงก็ซื้อของไปให้ทุกวัน ละพอวันที่ยี่สิบสองมึงก็ดูอาการ ถ้ามันรอมึงหรือพยายามตามหา มึงก็เอาไปให้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าไม่...” นิวถอนหายใจเฮือกใหญ่

“...?”

“กูจะเสียสละตัวกู ไปเป็นผัวมึงเอง”

“เฮ้อ~ กูน้าาา...คาดหวังอะไรกับคนอย่างมึงไม่ได้จริง ๆ” ผมได้แต่ส่ายหัวไปมา อย่างเหม็นเบื่อ

“กูหยอกเห็นมึงเครียด” เออเครียดหนักกว่าเดิมอีก “เริ่มวันนี้เลยดีปะ” มันถามแบบไม่เอาคำตอบ เพราะมันลากผมไปร้านสะดวกซื้อทันที

มันยืนเลือกนมจากตู้เย็นมาหนึ่งกล่องเอาไปจ่ายเงิน แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะหินอ่อนใกล้ ๆ หยิบสมุดออกจากกระเป๋า ฉีกกระดาษให้เป็นแผ่นเล็ก ๆ เขียนข้อความเอาไว้ว่า ‘สวัสดี’

“ไม่สั้นไปเหรอวะ” ผมว่า

“ค่อย ๆ เริ่มสิวะ มึงจะบอก ‘เราชอบเธอ’ เลยไงละ” ผมพยักหน้ารับ นั่งมองมันจัดการให้เสร็จสรรพ

นิวจ้างให้เด็กมอหนึ่งเอาไปส่ง แถมยังขู่น้องมันด้วยว่าถ้าบอกว่าใครส่งจะตามไปตบ

มันเลือกโต๊ะที่มองเห็นได้ถนัดตา อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากอชิตะมาก ไม่นานนักมันก็เดินกลับมา ทิ้งตัวลงนั่งข้างผม เด็กที่ถูกจ้างวิ่งเอานมยื่นให้ แล้ววิ่งหนีทันที คงจะกลัวนิวตบแหละดูจากอาการน้องแล้ว

อชิตะหันซ้ายหันขวา มองหาคนส่ง มีจังหวะหนึ่งที่เขามองมาทางผม แต่ผมเลื่อนสายตาออกแบบเนียน ๆ เขาไม่กินนอกจากวางเอาไว้บนโต๊ะ เพื่อนที่นั่งข้าง ๆ แซวกันยกใหญ่

มุมปากผมกระตุกยิ้มเบา ๆ หน้าร้อนผ่าว ในใจมันอยากจะกรี๊ดออกมาเสียงดัง มันเป็นความสุขของคนแอบชอบอะ เข้าใจไหม ต่อให้เป็นเรื่องเล็ก ๆ แค่นี้ก็มีผลต่อความรู้สึกแล้ว

“ยิ้ม ๆ อย่ายิ้มอย่างเดียวครับ ค่านมกับค่าจ้างเด็ก ให้กูด้วย” นิวว่าพลางแบมือ

“เท่าไหร่”

“สามสิบสอง แต่ให้กูสามสิบพอ”

“ได้ไงนมกล่องสิบสองบาทเอง” กินข้าวได้มื้อหนึ่งเลยนะนั้น

“ค่านมสิบสองบาทแต่ค่าเด็กส่งยี่สิบ”

เวรเถอะ! แพงกว่าค่านมอีก

“เออ ๆ” ผมควักเอาค่าขนมที่เก็บไว้เล่นเกมออกมาให้นิว กว่าจะครบยี่สิบเอ็ดวันผมหมดตัวก่อนแน่

พอมันได้เงิน มันก็นั่งยิ้มแฉ่ง เล่นเกมในมือถืออยู่คนเดียว เอาจริงนิวไม่มีส่วนได้ ส่วนเสียกับเรื่องของผมเลยด้วยซ้ำ แต่มันดูมีความสุขที่ได้ทำ หรือมันจะแกล้งผมวะ

“นิวกูถามอะไรหน่อยดิ”

“ว่า?”

“มึงช่วยกูทำไมวะ แบบมันไม่ใช่เรื่องของมึงเลยนะ”

“อ้อ...กำลังจะบอกว่ากูเสือก ถูกมะ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น คือมึงก็ไม่ได้อะไรจากเรื่องนี้” ผมอธิบายสิ่งที่คิดออกมา ถ้ามันบอกว่าอยากแกล้งผมนะ จะทุบให้หลังหัก

“ก็จริง”

“...”

“แต่ถ้ามึงมีความสุข กูก็มีความสุข...”

“...”

“...เราเป็นเพื่อนกันนะเว้ย มีอะไรก็ต้องช่วยกันอยู่แล้วดิวะ” ผมพยักหน้ารับ พูดดี ๆ ก็เป็นนี่หว่า “หรืออยากให้กูเป็นผัว ถ้ามึงไม่ชอบ กูยอมเป็นเมียมึงก็ได้นะ”

เฮ้อ~ ผมไม่ควรคาดหวังอะไรจากมันจริง ๆ นั่นแหละ



“พี่ครับ ๆ มีคนให้ผมเอามาให้”

ผมรับขนมป๊อกกี้รสช็อกโกแลตไว้ในมือ ก้มมองมันอย่างงุนงง นี่ไม่ใช่ขนมกล่องแรกที่ผมได้ แต่ผมได้ของจากใครก็ไม่รู้มาสิบห้าวันแล้ว ผมว่าทั้งหมดมาจากคคนเดียวกัน สันนิษฐานจากข้อความที่ปะติดปะต่อ เผลอ ๆ อาจจะเป็นคนเดียวกับที่ส่งเพลงให้ผมช่วงวาเลนไทน์ก็ได้

ผมเก็บโน้ตไว้ทุกแผ่น เอาจริงผมไม่รู้หรอกว่ามันมาจากใคร แค่อยากเก็บเอาไว้ ผมว่าเรื่องของผมมันก็คล้ายกับของแม่ดีนะ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะจบที่ตรงไหน

“น้องอย่าเพิ่งไปสิ” เด็กตัวเล็กหยุดชะงักไปครู่

“ผมไม่รู้ ใครฝากมา”

“พี่ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย พี่แค่จะฝากของ”

“ยี่สิบบาทครับ เพราะต้นทางจ้างผมมายี่สิบเหมือนกัน” ผมควักเงินในกระเป๋าส่งไปอย่างไม่ลังเล พร้อมกับโน้ตแผ่นเล็กกลับไป

ผมเขียนกลับไปว่า ‘สวัสดี’ เหมือนข้อความแรกที่เขาส่งมา ของที่เขาซื้อมามีบางอย่างที่ผมกิน บางอย่างก็ให้เพื่อนในกลุ่มไป

ปีนี้ผมได้อยู่ห้องเดียวกับสกายด้วยล่ะ แต่เพราะเราไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อน ผมจึงไม่ได้คุยอะไรมาก แค่ทักทายกันตามปกติ แต่บางทีสกายก็ทำท่าเหมือนไม่อยากคุยกับผม

แค่เดินเข้าไปใกล้ เขาก็ทำท่าเหมือนจะเดินหนีอยู่ตลอด นิวก็พลอยเป็นไปกับสกาย

“อชิตะ นายไม่ลองเดินตามน้องเขาไปล่ะ เผื่อจะรู้ว่าใครส่งขนมมา” คิรินเป็นเพื่อนที่มาจากห้องคิงด้วยกัน เป็นเด็กจ้ำม่ำ ผมว่าเขาน่ารักดีนะ ตัวขาว ๆ ผิวสีชมพู แก้มนี่ใสอย่างกับก้นเด็ก

“ไม่ล่ะ ถ้าเขาอยากเปิดเผยตัว เขาคงเอามาให้เองไปนานแล้ว”

“แล้วอชิตะไม่อยากรู้เหรอ”

“อยากสิ แต่เรารอได้”

“ดีจัง อชิตะมีคนมาแอบชอบด้วย เรายังไม่เคยมีใครมาชอบเลย”

“แล้วรินมีคนที่ชอบหรือเปล่าล่ะ”

“ก็มีนะ แต่เขาคงไม่ชอบเราหรอก เราอ้วน”

“ต้องมีสักคนที่ชอบรินแบบที่รินเป็นเชื่อเราสิ” ว่าจบผมก็หยิบโน้ตขึ้นมาอ่าน

วันนี้เขาเขียนมาว่า ‘เหนื่อยไหม? เห็นตั้งใจอ่านหนังสือทุกวันเลย สู้ ๆ นะ ^^’ ผมว่าคนที่ส่งมา อาจเป็นคนใกล้ตัวผมก็ได้



หลังเลิกเรียนผมแวะซื้อกระดาษพับดาว แผ่นสุดท้ายหมดไปเมื่อวานก่อน ร้านแถวบ้านก็ไม่มีขาย วันนี้เลยลองมาดูร้านค้าที่อยู่น่าโรงเรียนแทน

ผมยังพับดาวอยู่ ตอนนี้กำลังเริ่มโหลที่สองแล้ว ผมเคยคิดว่าสักวันจะหยุดพับมัน แต่มันก็กลายเป็นนิสัย หรือผมยังชอบสกายอยู่ก็ไม่รู้ แต่ทุกวันหลังเลิกเรียนผมจะต้องกลับมาพับใส่โหลวันละดวงสองดวง

มันสวยอย่างที่ผมเคยคิดไว้ไม่มีผิด...

“ป้าครับ มีกระดาษพับดาวไหมครับ”

“ของพึ่งมาลง ลองเดินไปดูนะ”

“ครับ”

ผมเดินไปโซนเครื่องเขียน แล้วหยิบกระดาษพับดาวมาสามม้วน จังหวะที่เดินกลับออกมาคิดเงิน ก็บังเอิญเจอเข้ากับสกาย และนิว คงจะแวะเล่นเกมเหมือนทุกวัน

“หวัดดี” นิวเอ่ยทัก แต่สกายยืนมองหน้าผมนิ่ง ก่อนจะเดินหลบไปอีกฝั่งของงร้าน

“อืมไง ไม่ได้คุยกันนานเลย” ผมว่า

“เรื่อย ๆ อชิเป็นไงบ้างจะกลับแล้วเหรอ”

“ใช่ แวะมาซื้อของทำรายงาน”

“เราซื้อชั่วโมงเกมไว้ เดี๋ยวเรารีบไปก่อนนะ” ผมพยักหน้ารับ มองนิวเดินห่างออกไปหาสกาย เขายืนเลือกน้ำอยู่ที่ตู้เครื่องดื่ม

ทั้งคู่คุยกันปกติ สกายฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาว หน้าแดงก่ำ หรือจริง ๆ นิวอาจจะบอกชอบสกายไปแล้วก็ได้

หรือไม่เขาทั้งสองก็คบกันอยู่...



ผมยังคงได้ข้อความผ่านโน้ตในทุกพักกลางวัน มีบางครั้งที่ผมตอบเขาไปบ้าง ไม่รู้ว่ากี่วันแล้วที่ผมคุยกับคนที่ไม่รู้จัก แต่ก็เหมือนเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผมไปเสียแล้ว

ผมยังรอข้อความจากเขาเหมือนทุกที แต่วันนี้มันต่างออกไป ข้อความไม่ถูกส่ง ผมรอแบบนี้จนกระทั่งผ่านมาสามวัน ก็ยังไร้วี่แวว หรือเขาจะเหนื่อยเล่นอะไรแบบนี้แล้ว

แอบใจหายอยู่เหมือนกันนะ เคยอ่านข้อความทุกวัน...

ผมหยิบมือถือกดเข้าแอปฯ เฟซบุ๊กที่นาน ๆ เข้าที แล้วโพสต์รูปภาพที่ถ่ายล่าสุด มันคือรูปโน้ตแผ่นสุดท้าย เขียนว่า ‘ชอบ’



Ashi Ashita (2นาทีที่แล้ว)

Who?

*รูปภาพ*

ถูกใจ แสดงความคิดเห็น แชร์



โพสต์ทิ้งไว้อย่างนั้น ผมก็หันมาอ่านหนังสือต่อ ทุกอย่างกลับไปสู่สภาวะปกติ หมดเวลาพักผมก็เดินกลับห้องเรียน เลิกเรียนก็กลับบ้าน เหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้



ผมทิ้งตัวนอนบนเตียงอย่างเบื่อหน่าย มันเหมือนมีอะไรขาดหายไป สายตามองไปยังข้อความมากมายบนหัวเตียง ก็นึกขึ้นได้ถึงรูปที่โพสต์ทิ้งไว้เมื่อกลางวัน สิ้นสุดความคิดก็หยิบมือถือขึ้นมาดู แต่ก็ต้องสะดุดเข้ากับโพสต์ของนิว มันเป็นโพสต์ที่ถูกแท็กมาจากสกาย

เขาโพสต์เพลงจากยูทูบ เป็นเพลง สักวันหนึ่ง – ของ มาริสา ผมลองกดเข้าไปฟัง แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี สกายต้องการจะสื่ออะไร หรือเขากำลังจะบอกว่าชอบนิวอยู่งั้นเหรอ?

พวกเขากำลังคบกันอยู่จริง ๆ สินะ...

หัวใจผมกระตุกวูบ ความรู้สึกมากมายประเดประดังเข้ามาจนสับสน ผมต้องจัดการกับความรู้สึกพวกนี้ยังไง เปลือกตากะพริบตาถี่ เพื่อไม่ให้น้ำตาที่กำลังรื้นอยู่ไหลออกมา ผมลุกชันตัวขึ้นนั่ง แล้วพับดาวหนึ่งดวงใส่โหล

“ดาวดวงสุดท้าย...”






#แฟนwithbenefits





*ชื่อตอนเพลง สักวันหนึ่ง ของ มาริสา





-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -14-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 07-09-2021 23:34:27
แฟน║FRIEND WITH BENEFIT

บทที่

-14-

อยากให้รู้ว่ารักเธอ


“ถึงแม้จะผิดหวัง แต่การได้รักใครสักคน ก็ทำให้เราได้ใช้หัวใจ”



“มึง ๆ อชิอัปฯ รูปลงเฟซวะ” ผมหันขวับ ทิ้งเกมตรงหน้าอย่างไม่สนใจว่าจะแพ้หรือเปล่า

“ไหนเอามาดูดิ” ผมว่า

“มึงไม่มีเฟซฯ อชิเหรอ”

“ไม่มี”

“ต้องให้ถึงมือกูอีกล่ะ” นิวจิปาก แต่ก็ยอมส่งมือถือมา

ผมหยิบขึ้นดูแล้วอยากแหกปากร้องดัง ๆ แต่ก็ทำได้แค่กรีดร้องแผดเสียงในลำคอ โมเมนต์แบบนี้คนแอบรักเท่านั้นที่จะเข้าใจ

อชิตะเอาข้อความจากโน้ตใบสุดท้ายโพสต์ ผมส่งไปว่า ‘ชอบ’

“มึงเอาไงต่อดีวะ” ผมหันไปปรึกษานิว

“รอบหน้ามึงก็เอาของไปให้มันเอง แล้วลองสารภาพดู”

“จะดีเหรอวะ”

“มาถึงขั้นนี้ละ กลัวอะไร”

ก็จริงอย่างที่มันว่า แต่มันก็เสี่ยงอยู่นา...

“มึงกูยืมเฟซฯ มึงหน่อยดิ”

“?”

“กูอยากโพสต์ แต่ถ้าโพสต์เฟซฯ กู อชิไม่รู้แน่”

“โพสต์ไร?”

"โพสต์อะไรดีวะ กูอยากให้เขารู้เป็นนัย ๆ" หยุดคิดอยู่ครู่ ผมก็ลองหาแคปชันเสี่ยว ๆ แต่ก็ดูตลกไป สุดท้ายนิวก็บอกให้โพสต์เพลง

"มึงโพสต์แล้วแท็กกูมาไม่ดีกว่าเหรอ กูโพสต์ไป อชิก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นมึง"

"เอางั้นเหรอวะ"

"เออ เชื่อกู" ว่าจบมันหันไปเล่นเกมต่อ

ผมเลือกเพลงที่สื่อถึงความรู้สึกของตัวเองอย่างเพลงสักวันหนึ่ง ของ มาริสา ผมฟังครั้งแรกจากภาพยนตร์เรื่องสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก แม่งโคตรตรงกับชีวิตคนแอบรัก

หาเพลงได้ ผมก็จัดการโพสต์เอง แท็กเอง อนุมัติเอง ปิดคอมแล้วบอกลานิวทันที



วันนี้ผมกลับบ้านเอง ปกติแล้วถ้าเล่นเกมหลังเลิกเรียน ผมจะให้นิวมาส่งที่บ้าน แต่วันนี้ผมมีเรื่องที่อยากทำ และฟ้าก็เข้าข้างผมด้วย เพราะแม่ออกเวร เลยว่างอยู่บ้านทั้งวัน

ผมวิ่งปรี่เข้าไปกอดย่างอารมณ์ดี

“คุณนาย...”

“อะไรกัน อยู่ ๆ มากอดแม่เนี่ย” ผมไม่ตอบ หอมแก้มแม่ไปฟอดใหญ่ วิ่งขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้ววิ่งตรงไปยังห้องเก็บของ เพื่อหาอุปกรณ์ที่พอมี

จำได้ว่าแม่เคยเก็บเอาไว้ในนี้นะ...

แม่จัดทุกอย่างเป็นระเบียบ ทำให้หาของง่าย ผมถือไม้นิตติ้ง กับก้อนไหมพรมสีขาว กับสีฟ้าอีกสองสามก้อนออกมาด้วย

“คุณนายสอนผมหน่อย” แม่มองหน้าอย่างประหลาด แต่ผมก็ไม่ได้ลงรายละเอียด บอกแค่ใกล้หน้าหนาวแล้ว

แต่ก็ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้วจริง ๆ นั่นแหละ

ผมตั้งใจจะถักผ้าพันคอ แล้วเอาไปให้อชิตะด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าข้อความที่เขาโพสต์จะไม่ได้มีใจความอะไรมากมาย แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี

“คุณนายทำไมตรงนี้มันพันกัน” ผมชอบนั่งมองเวลาแม่ถักไหมพรมบ่อย ๆ มันดูเหมือนง่าย แต่พอได้ลองถักเองเรื่อย ๆ เหมือนผมจะเริ่มงง แล้วก็กลับมาเข้าใจ แล้วก็งงอีกครั้ง มันเป็นแบบนี้วนไปวนมา

หลังจากคล่องมือ ผมก็เอาขึ้นมาถักต่อในห้องนอนของตัวเอง ถักตัดสลับสีฟ้าขาว แถวแรกมันจะเยินหน่อย ๆ แต่พอเริ่มชินก็เริ่มเป็นทรงมากขึ้น

“สกายกินข้าวลูก” เสียงแม่ตะโกนบอก

“ผมไม่หิวครับ” ผมตอบ

นาทีนี้ผมลืมความหิวไปหมดแล้ว อยากรีบถักให้เสร็จเร็ว ๆ จะได้เอาไปให้อชิตะ

จากหนึ่งแถวเพิ่มเป็นสอง ขยับมาเป็นสาม นั่งถักจนดึกก็พลอยหลับไปทั้งที่ยังไม่อาบน้ำ

ตื่นมาอีกทีก็เช้าเสียแล้ว สิ่งแรกควรเป็นล้างหน้าล้างตา แต่ผมกลับเลือกหยิบไม้นิตติ้งขึ้นมาถักต่อจากเมื่อคืน ขนาดผมเข้าไปอึ ยังเอาไปนั่งถักข้างในด้วยเลย

จะว่าไปมันก็เพลินดีเหมือนกันนะ

“อะไรกันเนี่ย จะถักทั้งวันเลยหรือไง” แม่ถามเสียงใส

“ผมรีบใช้”

“แทนที่จะเอาเวลาไปอ่านหนังสือ จะสอบกลางภาคแล้วไม่ใช่หรือไง!”

“เอ๊ะ! คุณนี่ยังไง วันหยุดก็ให้ลูกพักบ้างไม่ได้เหรอ”

“คุณนายผมขึ้นไปข้างบนนะ” ว่าจบผมก็ลุกจากโซฟาตัวยาว

ผมคุยกับแม่เรื่องเรียนต่อแล้ว แม่ยังไม่ให้บอกพ่อ รอให้ผมได้ที่เรียนแล้วค่อยบอกทีเดียว เดี๋ยวแม่จะเป็นคนคุยเอง

อยากหนีออกจากบ้านทุกครั้งที่พ่อพูดถึงเรื่องเรียน มันอึดอัด มันกดดัน เหมือนตัวเองทำให้พ่อผิดหวังยังไงก็ไม่รู้

ผมเกลียดความรู้สึกนี้ที่สุด...





พักกลางวันนี้ผมได้ข้อความจากใครบางคน เป็นคนที่ผมรอมาตลอดหลายวัน เขาต้องการเจอผมเพื่อเอาของมาให้ด้วยตัวเอง

ผมไปยังจุดนัดหมายตามที่ในกระดาษโน้ตเขียนเอาไว้ นั่งรออยู่พักใหญ่ คนที่เดินเข้ามาก็ทำให้ผมตกใจ

สกายเป็นคนส่งโน้ตพวกนี้เหรอ?

เหมือนมีความรู้สึกบางอย่างเข้าแทรก มันทั้งตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน แต่พอนึกถึงเรื่องที่สกายกับนิวคบกัน ผมก็รู้สึกโกรธขึ้นมาซะงั้น

ยังไม่อยากเจอหน้าเขาในตอนนี้เลย...

ผมตั้งท่าจะลุกเดินหนี แต่ทว่าเสียงของสกายก็ฉุดให้ผมต้องหยุด

“เดี๋ยวสิ...”

“...?” สกายหยิบเอาของบางอย่างออกมาจากกระเป๋านักเรียน พร้อมกับโน้ตหนึ่งแผ่น

พอมองออกว่ามันเป็นไหมพรม แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะมันถูกพับเอาไว้เป็นระเบียบ “ของใคร?” ผมถามเสียงเรียบ แต่ก็รับผ้ามาไว้ในมือ

มันคือผ้าพันคอ

“คือ...” สกายยืนนิ่ง ไม่ยอมพูดอะไรจนผมเองต้องเป็นคนเริ่มพูด เพราะรู้สึกอึดอัด ยิ่งเห็นหน้าสกายผมก็ยิ่งอยากออกไปจากตรงนี้

“งั้นเราไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวสิ คือว่า... เราเดินผ่านมาพอดี มีคนตรงมุมตึกขอให้เราเอามาให้อชิ” ผมถอนหายใจ ยัดผ้าพันคอคืนใส่มือสกาย

“งั้นก็ฝากบอกด้วยนะว่าเลิกส่งมาได้แล้ว รำคาญ ไม่ชอบ มันไร้สาระ!”

เขายืนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดโพล่งออกมาจนผมตกใจ “ก็เอาไปให้เองดิวะ กูไม่ใช่นกพิราบนะเว้ย” ว่าจบก็หมุนตัวเดินออกไป

เขาไม่เคยขึ้นกูขึ้นมึงกับผมเลย นี่เป็นครั้งแรก ผมได้แต่ยืนงงกับเหตุการณ์

สกายเดินย้อนกลับมาอีกครั้ง เพราะเดินเลยถังขยะ เขาเอาผ้าพันคอทิ้งลงถังขยะ แล้วเดินกระแทกเท้าจากไป

เหลือผมที่ยืนอยู่ตรงนี้คนเดียว โน้ตแผ่นเล็กตกอยู่ที่พื้น คงเพราะโมโหมาก สกายเลยไม่ทันสังเกต

ผมหยิบมันขึ้นมาอ่าน ‘ใกล้หน้าหนาวแล้ว เราถักเองเลยนะ :’) ' ผมฉีกยิ้มกับข้อความ ทุกอย่างพังหมดแล้ว เพียงเพราะผมไม่อยากเจอสกายเท่านั้น ที่ผ่านมาผมรออ่านข้อความของเขามาตลอดแท้ ๆ

จากนี้ไปคงไม่มีอีกแล้วสินะ...



เวลายังคงเดินต่อไปข้างหน้า ผันผ่านจากวันเป็นเดือน ผมได้ที่เรียนต่อแล้ว เราทุกคนต่างต้องเดินไปข้างหน้า เติบโตและเรียนรู้ ก้าวเข้าสู่อีกช่วงวัย...

หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับสกายอีกเลย อยากขอโทษ แต่ไม่มีโอกาส สกายเอาแต่หลบหน้า ผมเลยเลิกเข้าไปวุ่นวาย ไม่อยากให้เขาอึดอัดไปมากกว่านี้ แต่กับนิวผมยังมีคุยกันบ้างเหมือนอย่างตอนนี้

“นะอชิกูขอ”

“ไม่เอาพวกมึงไปกันเถอะ”

นิวมาชวนผมไปเที่ยวเชียงใหม่ส่งท้าย เพื่อนหลายคนก็ไปกัน รวมถึงสกาย

และเพราะสกายไปผมถึงไม่อยากไป อยากให้เขาเที่ยวสนุก ๆ ถ้าผมไปด้วยเขาคงจะอึดอัด

“ไปเถอะ กูขอนะ ไหน ๆ เราจะแยกย้ายกันแล้ว อย่างน้อยก็ได้เลี้ยงส่งกันหน่อย สกายก็อยากให้มึงไปนะเว้ย”

“...”

จริงเหรอ?

“ไปเถอะ กูอ้อนมึงมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะอชิ”

“เออ ๆ พรุ่งนี้กี่โมง”

“สองทุ่ม ไปถึงก็เช้าพอดี”

“อืม” ผมตอบสั้น ๆ

นิวขอตัวกลับในทันที เพราะต้องไปรับสกายมานอนที่บ้าน ส่วนผมก็เดินกลับเข้ามาขออนุญาตแม่ โชคดีที่พี่สายกลับมาอยู่บ้านแล้ว ผมเลยไม่ต้องเป็นห่วงว่าแม่จะอยู่คนเดียว ช่วงนี้แกป่วยบ่อยมาก

ผมขึ้นมาเก็บกระเป๋าเตรียมเดินทางในวันพรุ่งนี้ แล้วเช็กสภาพอากาศเชียงใหม่ล่วงหน้า เพื่อจะได้รู้ว่าต้องเอาอะไรไปเพิ่มอีกหรือเปล่า



ผมให้พี่สาวมาส่งก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมง มีเพื่อนในห้องบางคนมาก่อนแล้ว คิรินเองก็มาด้วยเช่นกัน ผมโทรไปชวนเขาเมื่อคืน ผมไปเขาเลยยอมมาด้วย คิรินค่อนข้างเก็บตัว เขาไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากผม

ไม่นานทุกคนก็มาครบ เราไปกันทั้งหมดสิบคน พอถึงเวลาที่ต้องไปจริง เพื่อนบางคนก็ติดธุระเลยเหลือกันแค่นี้

นิวอาสาไปซื้อตั๋วรถทัวร์ให้ทุกคน เมื่อถึงเวลาขึ้นรถ เราก็แยกกันนั่งเป็นคู่ ผมนั่งคู่กับคิริน สกายเองก็นั่งคู่กับนิว ผมมองสองคนนั้นหยอกกันจากด้านหลังอยู่เงียบ ๆ

ไม่นานรถก็เคลื่อนตัวออกจากสถานีขนส่ง เพราะเดินทางในช่วงกลางคืน พวกเราจึงหลับกันง่าย ตื่นขึ้นมาอีกทีก็หกโมงเช้า ถึงที่หมายพอดี

มาถึงก็มีเจ้าหน้าที่ที่คุยกันเอาไว้ก่อนหน้ามารอรับที่ท่ารถ เรามุ่งหน้าไปยังดอยค้ำฟ้า ระหว่างทางเจ้าหน้าที่ให้เราแวะซื้อของสดเอาไว้ เพราะข้างบนไม่มีร้านสะดวกซื้อ

การเดินทางเต็มไปด้วยมิตรภาพ และความสนุกสนาน ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ นิวเอากีตาร์มาด้วย เลยมีกิจกรรมให้ทำเยอะขึ้น

เมื่อถึงปากทางเข้าเจ้าหน้าที่ก็พาเราย้ายไปขึ้นรถอีกคัน เป็นรถที่เหมาะกับการเดินทางขึ้นเขามากกว่า จากตอนแรกที่สนุกก็เริ่มนั่งกันเงียบเพราะระหว่างทาง รถโยกไปโยกมา ฝุ่นตลบอบอวล หัวแดงไปตาม ๆ กัน

ใช้เวลาร่วมชั่วโมงเราก็มาถึงที่พัก เจ้าหน้าที่บอกกฎบางอย่างที่พวกเราจำเป็นต้องรู้ และให้พักผ่อนรอเวลาไปยังจุดชมวิว

ที่นี่มีบ้านพักบริการ แต่พวกเราเลือกกางเต็นท์กันข้างนอก เพื่อเอาบรรยากาศ

ตกเย็นเจ้าหน้าที่พาพวกเราไปยังจุดชมวิว อยู่ไม่ไกลจากที่พัก บรรยากาศยามเย็นหนาวจนต้องหยิบเสื้อที่หนากว่าปกติขึ้นมาสวม ลมโชยกระทบผิวหน้าจนขนลุกชัน

ท้องฟ้าถูกย้อมไปด้วยสีทอง ภูเขาวางซ้อนสลับสวยงามราวกับถูกจับวาง ความเมื่อยล้าระหว่างเดินทางหายเป็นปลิดทิ้ง

“ก็ใส่หมวกไว้ เดี๋ยวเป็นหวัด” นิวว่า

“ไม่เอาผมกูเสียทรง”

เสียงคุ้นหูกำลังยืนเถียงกัน นิวพยายามเอาหมวกให้สกาย แต่อีกคนดื้อดึงไม่ยอมท่าเดียว เถียงกันอยู่สักพักเพื่อนคนอื่นก็เริ่มเอ่ยปากแซว

“อะไรกับพวกมึง ยืนเถียงกันอย่างกับผัวเมีย”

“เดี๋ยวกูตบดิ้น” พูดจบสกายก็หันมามองผม ก่อนผมจะหลบตาผินหน้ามองบรรยากาศต่อ

เราเก็บภาพบรรยากาศกันจนเมมฯ แทบเต็ม ยืนดื่มด่ำสูดเอาอากาศบริสุทธิ์กันจนเต็มปอด เจ้าหน้าที่ก็พากลับมายังที่พักในเวลาต่อมา

ตกดึกเราแบ่งหน้าที่กันทำอาหาร ผมได้มาล้างผักกับสกาย คิรินถูกใช้ให้ไปย่างหมูกับนิว อยากชวนเขาคุย แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี ได้แต่มองหน้าสลับกับมองผักในมือ

“เดี๋ยวเรายกไปเอง” ผมว่า

“ไม่เป็นไร ช่วยกันก็ได้” ผมพยักหน้ารับ แบ่งผักกลับมาที่โต๊ะ

อาหารทั้งหมดถูกนำมาวางไว้ เราก็เริ่มนั่งทาน และเริ่มพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ

หลังทานข้าวเสร็จ เก็บล้างทุกอย่างเข้าที่ เราก็พากันไปนั่งที่หน้าเต็นท์ของดิว มีกองไฟเล็ก ๆ ที่เจ้าหน้าที่เป็นคนก่อให้ นิวหยิบกีต้าร์ขึ้นมาร้องเพลง ข้างบนนี้มีพวกเราแค่สิบคน กับเจ้าหน้าที่ที่พักอยู่ไม่ไกล จึงสะดวกที่จะร้องเพลงและพูดคุย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเสียงดังโหวกเหวก

“นี่ ๆ กูเอาของดีมา” ว่าจบ ดิวก็หมุดกลับเข้าเต็นท์ หยิบเอาขวดชาเขียวติดมือมาห้าขวด

“ชาเขียว” นิวหรี่ตามอง

“เดี๋ยวรู้” ดิวฉีกยิ้ม ลุกขึ้นไปหยิบแก้วมาตามจำนวนคน แล้วรินเครื่องดื่มลงไป นิดเดียว “มาเที่ยวทั้งที่เล่นเกมกันหน่อย”

ผมยกแก้วขึ้นดม ก็พอรู้ว่ามันคือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

“แต่เรายังอายุไม่ถึงกันเลยนะ กินเหล้าแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ” คิรินว่า

“โฮ ไอ้อ้วนมึงคิดอะไรเยอะแยะ กินเอาสังคมมึงรู้จักไหม” นิวตอบ

“พอ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน มึงดูมันดิ เนิร์ดขนาดนั้นจะไปรู้เรื่องอะไร มา ๆ เล่นเกมกันดีกว่า” ว่าจบดิวก็เริ่มอธิบายกติกาเกม “กูเสนอเกม ‘กูไม่เคย’ ถ้ากูพูดว่ากูไม่เคย... แล้วใครเคยต้องแดก เรามาวอร์มกันก่อนหมดแก้วสิครับ” ว่าจบทุกคนก็ยกเครื่องดื่มในมือขึ้น กระดกรวดเดียวหมดแก้ว ก่อนดิวจะเป็นคนเริ่มรินเครื่องดื่มให้ใหม่

“กูขอก่อน” นิวว่า “กูไม่เคย...ไม่ช่วยตัวเอง ใครเคยแดกครับ”

“โฮ ไอ้นิวคำถามเหี้ยอะไรเนี้ย” ไม่มีใครไม่ดื่ม ยกเว้นคิริน

“ไอ้อ้วนมึงไม่เคยจริงดิ” นิวว่า

“...” คิรินพยักหน้ารับ ทุกคนลงความเห็นว่าคิรินเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ดื่มจึงได้สิทธิถามต่อ “เราไม่เคยติดศูนย์” สิ้นสุดคำถาม ทุกคนก็ร้องครวญคราง มีผมกับคิรินที่ไม่ได้ยกดื่ม ที่เหลืออีกแปดคนล้วนผ่านประสบการณ์ติดศูนย์กันมาหมด

"ขนาดคำถามมึงยังเนิร์ด" ดิวว่า

“นั้นดิ” แม็กที่นั่งอยู่ถัดจากผมเห็นด้วยกับดิว “คำถามต่อไปกูขอ... กูไม่เคย...ชอบผู้ชาย” ทุกคนนิ่งสนิท มีเพียงนิวคนเดียวที่ยกขึ้นดื่ม

ทุกสายตามองไปยังนิว “มองทำไม ไม่เห็นจะแปลก” นิวยกไหล่อย่างไม่สนใจ

“งี้มึงกับสกาย...?”

“ถ้าจะเป็นผู้ชายกูขอใครก็ได้ ที่ไม่ใช่นิวอะ ฮ่า ๆ” สกายว่า หัวเราะจนตัวโยน

“ระวังเถอะพวกมึง กูเห็นมาเยอะหยอกกันไปกันมาได้กันเอง”

“ไม่มีทาง” สกายส่ายหน้าไหว ๆ

“ต่อ ๆ กูขอถาม” ปราชญ์ยกมือขอ “คำถามคลาสสิกที่พลาดไม่ได้ กูไม่เคยแอบชอบเพื่อนตัวเอง ใครเคยแดกครับ”

ผมชั่งใจอยู่ครู่ แต่ก็ยกดื่ม มีหลายคนที่ยกดื่ม รวมถึงนิว กับสกายด้วย แต่ที่น่าตกใจคือคิรินเองก็ดื่มด้วยเช่นกัน

“ไอ้นิว! มึงเคยแอบชอบเพื่อนด้วยเหรอวะ” ดิวว่า

“เปล่า...กูแค่คอแห้ง” ผมรู้ว่าที่นิวยกขึ้นดื่ม เพราะเขาเองแอบชอบสกาย แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญแล้วแหละ การที่เขาทั้งคู่ยกขึ้นดื่มมันก็ชัดแล้ว

“แล้วมึงล่ะอชิ ยกแดกแสดงว่ามี” ดิวหันมาถามผม

“อืม” ผมตอบสั้น ๆ

“เฮ้ย! ใครคือผู้โชคดีวะ” ทุกคนมองอย่างสนอกสนใจ

“เพื่อนน่ะ...ตอนนี้เขามีแฟนไปแล้ว”

“เหี้ย...เศร้าเลย” ปราชญ์ว่า “งั้นมึงถามต่อเลยอชิ”

“...กู---” ยังไม่ทันถาม สกายก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน

“กูขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ว่าจบเขาก็ลุกออกไป โดยที่นิวเองก็เดินตามไปติด ๆ

“มึง กูว่าพวกมันสองคนยังไง ๆ อยู่นะ”

“กูก็คิดงั้นนะบีหนึ่ง”

พวกเรายังนั่งเล่นเกมกันต่อ ไม่นานนิวก็เดินกลับมา แต่เขากลับมาเพียงคนเดียว สกายปวดหัวเลยขอตัวไปนอนก่อน

เวลาล่วงเลย ทุกคนเริ่มไม่ไหวขอตัวเข้านอน ส่วนคนที่ยังไม่ง่วงก็นั่งดื่มกันต่อ

ผมขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำ แต่สายตาดันเห็นว่าสกายนั่งพิงต้นไม้อยู่ห่างจากจุดที่เรานั่งสังสรรค์ ไม่รู้เลยว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว

ผมเดินกลับมาที่เต็นท์ของตัวเอง หยิบเอาหมวกไหมพรมติดมือ เท้าสาวตรงไปยังจุดที่สกายนั่งอยู่

“เราขอนั่งด้วยได้ไหม”

“...” สกายไม่ตอบ แต่ก็พยักหน้ารับเป็นการอนุญาต

“ใส่ไว้สิ เห็นนิวบอกว่าสกายปวดหัวอยู่ น้ำค้างมันเยอะ”

“ถ้าเราใส่ แล้วอชิจะใส่อะไร” ผมฉีกยิ้มดึงฮู้ดขึ้นสวม สกายจึงยอมรับหมวก

“ปวดหัวไม่ใช่เหรอ ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ”

“ตรงนี้ดาวสวย”

“...”

ก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ บริเวณนี้โล่งมาก เห็นท้องฟ้าได้เต็มตา วันนี้ท้องฟ้าโปร่งเลยได้เห็นดาวส่องแสงระยิบระยับ ประดับอยู่บนท้องฟ้ามืด

เราทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไรอีก นอกจากนั่งมองดาวอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งสกายเริ่มพูดขึ้น

“ดาวสวยเนอะ เสียดายที่ตอนกลางวันมองไม่เห็น”

“เพราะแสงจากดวงอาทิตย์กลบหมดไง” ผมว่า

“เราก็คงทำได้แค่รอให้ตะวันลับขอบฟ้าสินะ”

“ถึงตอนกลางวันจะไม่เห็น แต่ดาวก็ยังลอยเด่น คู่กับท้องฟ้าตลอดนะ...”

เราฉีกยิ้มกว้างให้กัน ครั้งสุดท้าย

มันยังคงฝังลึกในม่านความทรงจำ ก่อนที่เราต่างแยกย้ายกันไปเติบโต

วันทรงจำของผมชื่อ สกาย...



@งานเลี้ยงรุ่นที่สี่สิบเก้า ปี 2564

“ไงอชิ ปีนี้ก็มาอีกเหรอ” คิริน เด็กอ้วนตอนนั้น ได้กลายเป็นหนุ่มหล่อ กล้ามแน่น นักธุรกิจใหญ่ที่มีหุ้นส่วนทั้งในและต่างประเทศ ปกติคิรินจะอยู่เมืองนอกเป็นหลัก

“อืม แล้วนี่มาอยู่ไทยนานไหม” ผมว่า

"รอบนี้อยู่ยาวไม่มีกำหนด พ่ออยากให้มาประจำที่ไทย"

“ไว้เรานัดกินข้าว เจอกันบ่อย ๆ คิดถึง”

“ได้ดิ หล่อแล้วแต่เราก็ยังเพื่อนน้อยเหมือนเดิมนะ ฮ่า ๆ” ผมยืนคุยกับคิรินอยู่พักใหญ่ เพราะนาน ๆ เจอกันที

เพื่อนคนอื่น ๆ ก็แวะเวียนเข้ามาทักทาย ถามสารทุกข์สุกดิบกันไปเรื่อย จริง ๆ ผมไม่อยากมาเท่าไหร่ ที่มาเพราะหวังใจจะได้เจอคนในความทรงจำ แต่ปีแล้วปีเล่า ผมก็ไม่เคยเห็นเขาโผล่มา

โลกโซเชียลของเขาไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ นอกจากเพื่อนเก่าของผมจะเป็นคนอัปฯ รูป แต่มันก็ไม่เคยถูกแท็กถึงเจ้าตัวสักครั้ง เขากลายเป็นคนสาบสูญ หายไปจากวงจรชีวิตผม...

แต่ปีนี้มันต่างออกไป...

“อชิ ๆ ปีนี้ไอ้นิวลากสกายมาได้วะ” ดิวเดินเข้ามาโอบไหล่ ชี้ไปทางนิว

มันเหมือนม้วนฟิล์มเก่าถูกดึงออกมาฉายใหม่ ภาพในวันวานที่เคยคิดว่าถูกกาลเวลาพรากไป มันได้ตอกย้ำว่าผมยังรู้สึก

หัวใจเต้นเร็ว แต่ทว่าภาพมุมมองกลับเคลื่อนไหวช้าลง จังหวะที่สกายมองมายังผมแล้วฉีกยิ้ม เหมือนเวลาของผมถูกหยุดเอาไว้ ผมไม่เคยลืมเขาได้เลยสักวัน...











#แฟนwithbenefits



เรื่องนี้ต้องตีนิว ก่อนเลย // วิ่งไปหยิบไม้เรียว



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-





*ชื่อตอนเพลง อยากให้รู้ว่ารักเธอ - Joni Anwar





-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 07-09-2021 23:52:47
 :impress2: :-[
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -15-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 08-09-2021 02:25:08
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-15-

ฉันจะรู้ได้ไง ว่าเธอนั้นคิดยังไง


สิ่งมหัศจรรย์ของคนแอบชอบอย่างเรา

คือคนที่เราชอบ เขาเองก็ชอบเราเช่นเดียวกัน...


สายตาเพ่งมองหน้าคนที่เพิ่งสารภาพว่าชอบผมผ่านความมืดสลัว มีเพียงแสงไฟจากห้องน้ำที่เปิดทิ้งไว้ ทำให้พอมองเห็นคนที่หลับสนิท "หลับสบายไปปะ" ผมบ่นอุบอิบคนเดียวเบา ๆ ใจจริงอยากชกหน้ามากกว่า

ฮึ่ย! ออกมาจากห้องน้ำอีกที เขาก็ชิงหลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเสียแล้ว

ตั้งแต่กลับมา เขาก็ไม่พูดถึงเรื่องที่สวนสาธารณะอีกเลย เขาเป็นคนสารภาพเองแท้ ๆ ว่า 'เขาชอบผม' แต่ทำไมมีผมคนเดียวที่คิดมากจนนอนไม่หลับ

WTF!!!!!!

แล้วชอบของเขาคืออะไรวะ?

ชอบแบบเพื่อน หรือ ชอบแบบคนรัก แม้กระทั่งเรื่องที่บอกว่าจะกลับมาอธิบาย เขาก็ไม่พูดถึง แถมยังทำตัวปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้พูดกันตามตรง เรื่องมันควรจะจบแล้ว ในเมื่อเราต่างชอบพอกันอยู่

แต่!

มันติดตรงที่ อชิตะมีอาซาทั้งคน แถมทั้งคู่ยังดูเข้ากันได้ดีเสียด้วย แบบนี้ผมจะไม่กลายเป็นมือที่สามเหรอ เราสองสามคนอะไรแบบนี้ไม่เอานะ เสียทรงซ้อหมด

คนตัวโตกว่าขยับตัวพลิกเพียงนิดเดียว ผมก็รีบหลับตาปี๋ เพราะกลัวถูกจับได้ว่าแอบมองเขาอยู่ ผมสัมผัสได้เพียงความรู้สึก ไม่กี่อึดใจเขาก็ใช้แขนสอดเข้ามาระหว่างช่องว่างของคอกับหมอน แล้วดึงผมเข้าไปกอดจนจมอก

มันใกล้มาก ใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจของอชิตะที่กำลังเต้นระรั่วไม่ต่างจากผม ไม่นานเสียงหายใจสม่ำเสมอของเขาก็บอกชัด... คนที่ดึงผมเข้าไปกอดหลับเสียแล้ว ผมเองก็ควรนอนเช่นกัน

กลิ่นหอมเย็นอ่อน ๆ ลอยขึ้นมาแตะจมูก มันไม่ใช่กลิ่นของน้ำหอม หรือกลิ่นสบู่ แต่เป็นกลิ่นกายเฉพาะตัวของอชิตะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมทุกครั้งที่ได้กลิ่น ผมถึงรู้สึกสบายใจ มันช่วยขับกล่อมให้คนจิตใจฟุ้งซ่านสงบลง พรุ่งนี้จะเป็นยังไงค่อยคิดก็แล้วกัน

ผมเหวี่ยงแขนขึ้นกอดตอบคนตัวใหญ่ ต่างฝ่ายกระชับวงแขนให้เราได้ใกล้กันยิ่งกว่าเดิม ก่อนบรรยากาศ และความอบอุ่นจะขับกล่อมให้เราทั้งคู่จมลงสู่ห้วงนิทรา

หวังว่าตื่นมาเรื่องทั้งหมดจะไม่ใช่แค่ความฝันที่ผมมโนขึ้น...



ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงมือถือดังแผด หน้าจอโชว์เบอร์ของคนสนิทอย่างนิว ผมขยี้ตาตัวเองสองสามที ปรับโฟกัสสายตาได้ ก็กดรับสายทันที

“ว่า”

[รับช้า]

“กูเพิ่งตื่น โทรมาแต่เช้ามีอะไร” ผมถามเข้าประเด็น นิวเป็นประเภทที่พูดอ้อมโลกกว่าจะเข้าประเด็นได้ ต้องคอยดึงมันกลับเข้าเรื่องตลอด

[จะชวนไปเดท วันนี้กูลางาน]

“ประสาท! ถ้าจะโทรมากวนตีน กูวางนะ”

[อชิอยู่ห้องไหม ว่าจะไปหา]

“ไม่อยู่ เออ! มาก็ดีมีเรื่องจะคุย”

[ได้ค่ะที่รัก พี่จะรีบไปหานะจ๊ะ]

“นะจ๊ะพ่องมึงสิ!”

ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด!

มันรู้ว่าจะด่าต่อ ถึงได้รีบตัดสาย ผมได้แต่ส่ายหัวไปมา แต่ไหนแต่ไรนิวก็ชอบพูดอะไรชวนขนลุกตลอด แค่คิดภาพตอนที่ตัวเองกำลังคบกับนิว คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ นรกไม่เกินจริง!

ข้าง ๆ ที่เคยมีคนตัวใหญ่นอนอยู่ ตอนนี้เขาหายไปแล้ว หรือว่าเรื่องเมื่อวานจะเป็นแค่ความฝัน จังหวะที่กำลังเมาขี้ตาตัวเอง ผมก็เหลือบไปเห็นโน้ตแผ่นเล็กแปะอยู่ที่หมอนฝั่งที่อชิตะนอน มันยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องทั้งหมดคือความจริง

ผมหยิบมาอ่าน ‘เรามีประชุมเช้า ตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำสระผมนะ เมื่อคืนเรานอนน้ำลายไหลใส่หัวสกายด้วย’

เฮ้ย! เหมือนมือมันเด้งจับหัวตัวเองดูอัตโนมัติหลังอ่านจบ แบบนี้ไม่ได้ปะ

ผมลุกจากเตียง หยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ที่ประจำ แล้วตรงเข้าห้องน้ำทันที ไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือเปล่าเรื่องน้ำลาย แต่กันไว้ก่อนก็ดี

ประตูห้องน้ำเปิดออก เท้าผมก็ต้องชะงักเมื่อหน้ากระจกมีโน้ตอีกแผ่น ‘เรื่องน้ำลายเราพูดเล่นนะ แต่คิดว่าสกายต้องรีบลุกแน่ ๆ อาบน้ำแล้วรีบออกไปกินข้าวล่ะเดี๋ยวเย็นหมด’ ผมฉีกยิ้มกว้างโดยไม่มีเหตุผล แปรงสีฟันของผมถูกบีบเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อย

แม่ง! น่ารักฉิบเป๋ง

ผมใช้เวลาไม่นานนักจัดการตัวเอง แล้วออกมากินข้าวตามที่โน้ตว่าไว้ ผมไม่ได้สนใจอาหารเท่าไหร่ เพราะโน้ตแผ่นสีเหลืองดึงความสนใจผมไปหมดแล้ว ‘Eat Me <3’

แม่จะฟาดให้เรียบเลยครับ ผมจัดการอาหารเช้าหน้าตาธรรมดาที่อร่อยที่สุดในจักรวาลจนเกลี้ยง เดินเอาจานไปล้าง แล้วเดินหาโน้ตจนทั่วห้องเผื่อว่ามันจะมีอีก แผ่นสุดท้ายมันจบที่โต๊ะกินข้าวนั่นแหละ

ผมหยิบโน้ตสามใบออกมาอ่านซ้ำแล้วฉีกยิ้มคนเดียว ครั้งหนึ่งผมก็เคยเขียนโน้ตส่งให้อชิตะแบบนี้ แต่เขาคงไม่มีทางรู้ เพราะเรื่องของเราคงจะเป็นไม่ได้

พอคิดถึงเรื่องนี้แล้ว รอยยิ้มก็ค่อย ๆ จางหายไปจากใบหน้า เศร้าเฉยเลยวะ มองดูนาฬิกานี่ก็จะเที่ยงแล้วแต่นิวยังไม่โผล่มา ผมตัดสินใจกดต่อสายหามันอีกครั้ง

[ว่า...]

“รับช้าวะ ออกมายัง”

[กูไม่ได้ขับรถไป มึงมี’ไร]

“กูอยากเล่า กูรอมึงมาหาที่ห้องไม่ไหวแล้ว เรื่องอชิ...”

[…]

“เขาบอกชอบกูวะ”

[...ก็ดีแล้วหนิ]

“แต่...”

[ค่อยเล่า เดี๋ยวกูรีบไป] เอ้ากดตัดสายซะงั้น อะไรของมันวะ

ผมทำได้แค่นั่ง ๆ นอน ๆ รอนิวอยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่านั่งรถมาจากเชียงใหม่หรือยังไง ถึงได้ช้าขนาดนี้

ไม่รู้ว่าผมจดจ่อกับการมาของนิวเกินไปหรือเพราะมันช้าจริง ๆ ทักไปก็ไม่ตอบ นั่งรออยู่เกือบบ่ายสองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ผมรีบลุกวิ่งไปเปิดทันทีเพราะรู้ว่าคนที่อยู่หน้าห้องคือใคร

“กว่าจะมา”

“กว่าจะหารถได้ แถมโดนลุงที่ไหนก็ไม่รู้ หลอกขายดอกไม้เนี่ย แม่ง! ตั้งห้าร้อย” ว่าจบมันก็ยกดอกกุหลาบขึ้นมาสองดอก สีมันค่อนข้างแปลกตา แต่ก็สวยแบบแปลก ๆ พิลึกแฮะ เรื่องดอกไม้เอาไว้ก่อน ตอนนี้เรื่องของผมน่าปวดหัวมากกว่า

นิวเดินเข้ามาในห้อง วางกระเป๋าที่เคาน์เตอร์ครัว เปิดตู้เย็นหาของกินแล้วเดินดุ่ม ๆ ไปที่โซฟาตัวยาว ทิ้งตัวลงนั่งด้วยท่าทีสบายราวกับว่านี้เป็นห้องมัน

แต่ก็ไม่แปลกหากมันจะคิดแแบบนั้น เพราะเมื่อก่อนมันเข้าออกห้องผมเป็นว่าเล่น เผลอ ๆ มันอาจจะรู้จักห้องผมดีกว่าผมซะอีก แต่จะมีพักหลังที่อชิตะมาหาผมบ่อย นิวเลยแทบจะหายไปจากวงจร

“มีอะไรว่ามากูพร้อมล่ะ” พูดจบมันก็หยิบขนมใส่ปากเคี้ยวจนแก้มป่อง มือก็พลางกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อย

“เอามานี่เลยค่อยดู” ผมแย่งรีโมทออกจากมือมัน แล้วทิ้งตัวลงนั่งโซฟาตัวเดียวกัน “อย่างที่กูโทรบอกมึงในสายนั่นแหละ อชิบอกชอบกู”

“ไม่ดีหรือไง มึงเองก็ต้องการแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ แต่มึงลืมอะไรไปหรือเปล่า อชิมีคนที่ชอบแล้วนะเว้ย แบบนี้ก็จะไม่กลายเป็นมือที่สามเหรอวะ”

“มึงคุยกันหรือยังล่ะ”

“ยังเลย”

“ไปคุยกันตรง ๆ อย่าคิดเอง โต ๆ กันแล้ว ไม่ใช่แบบเมื่อก่อน”

“กูกลัวจะเสียเพื่อน”

“มึงเสียคำว่าเพื่อนตั้งแต่วันที่คิดเกินเพื่อนไปแล้ว” ผมเบ้ปากหรี่ตามองนิว คำคมบาดจิตของมัน คงไม่พ้นเอามาจากเพจไหนสักเพจแน่ ๆ

“ก็กลัวอยู่ดี”

“ไปคุยกัน...”

“ถ้าเขาไม่เลือกกูละ”

“...ไปคุยกัน”

“จะดีเหรอวะ”

“ไป! คุย! กัน!”

“เออ ๆ มึงแม่ง...” เสียงถอนหายใจดังขึ้นในความเงียบ

ผมคงต้องคุยกับอชิตะ อย่างที่นิวว่านั่นแหละ การที่คนที่ชอบเขาชอบเรากลับ มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ๆ สำหรับผม แต่ถ้ามันผิด ผมก็พร้อมถอย

ถึงจะอยากได้จนตัวสั่นระริก แต่ผมยังมีศีลธรรมอยู่นะเว้ย

“ดูทีวีได้ยังอ่า...”

“เออ!”

ผมนั่งมองนิวนอนกอดถ้วยไอศกรีม มันตักกินอย่างสบายใจ ตาก็มองจอไม่กะพริบ มึงจะสบายไปปะ มาไม่ช่วยอะไร ยังเปลืองไฟ เปลืองแอร์ มาแย่งอากาศหายใจอีก หงุดหงิดเว้ย!

“เอามาเลยไม่ต้องแดก เปลือง!” ว่าจบผมก็แย่งช้อนจากมือนิว แล้วดึงถ้วยไอศกรีมไว้กับตัว

“อยากแดกไม่ไปเอาถ้วยใหม่ว้า มึงนี่!” เสียงหัวเราะเกิดขึ้น เพราะผมทำมันหัวเสียได้ ผมก็มีความสุข

“เออ ช่วงนี้มึงเป็นไงบ้าง มีใครเข้ามาจีบบ้างปะ”

“ไม่เชิง” ว่าจบช้อนในมือผมก็ถูกแย่งกลับไป พร้อม ๆ กับไอศกรีมโดนตักพร่องไปคำใหญ่

“...?”

“พักหลังชอบมีคนซื้อของมาวางไว้ที่โต๊ะทำงาน”

“หู้ยย พี่นิวของเราก็ฮอตเหมือนกันนี่หว่า”

“รู้แบบนี้แล้ว จะชอบกูก็รีบชอบนะ หึ”

“มึงชื่ออชิเหรอ...” ผมว่า

“...” นิวไม่ตอบ นั่งทำหน้าสลด ปกติมันต้องเถียงผมสิ หรือว่ามันจะโกรธ

“โกรธกูเหรอ?”

“นี่ไงล่ะ!” ช้อนตักไอศกรีมที่นิวถืออยู่ แปะเข้าที่หน้าผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ความเย็นของไอศกรีมเย็นเฉียบ แต่ก็ดับความร้อนของหัวผมไม่ได้

“มึงจะเปิดวอร์กับกูเหรอไอ้นิว!”

สงครามขนาดย่อมได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมใช้มือล้วงเข้าไปในถ้วยไอศกรีม กลิ่นหอมหวานรสวานิลลาอยู่ในมือผมได้ไม่นาน มันก็ย้ายไปอยู่ที่หน้าของนิว จากนั้นผมก็รีบลุกเพราะรู้ว่ามันไม่ยอมแน่

“อย่าเอาของกินมาเล่น ที่บ้านไม่สอนมึงเหรอ” ผมชี้หน้าว่ามันทั้งที่หลักฐานยังเหนียวไหลลงมาเลอะมือ

“แหม...ในมือมึงนี่ไม่เล่นเลย”

“ก็มึงเริ่มก่อน”

นิวใช้ลิ้นแตะไอศกรีมที่เปื้อนมุมปาก “ไอศกรีมที่มึงป้อน อร่อยกว่าตักกินเองอีก” ว่าจบมันก็ขอใช้ห้องน้ำเพื่อล้างเอาคราบที่เลอะออก

“...” 0-0

พูดอะไรของมันวะ...

ผมเดินตามมันเข้าไปล้างหน้าของตัวเองบ้าง นิวถอดเสื้อออกแล้วค่อย ๆ ใช้น้ำล้างคราบเหนียวที่ไหลลงไปยันคอ

“ขยับไปกูล้างด้วย” ผมเอาสะโพกดันให้นิวให้ขยับไป

“ตรงแก้มด้วย” ผมมองนิวผ่านกระจกบานใหญ่ ก่อนมันยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบที่แก้มผมออก "ออกละ"

“...” บางครั้งนิวก็ชอบทำตัวอ่อนโยน ถ้าผมไม่ชอบอชิตะก่อน คงตกหลุมรักมันไปแล้ว “อย่าไปพูดแบบนั้น แล้วก็อย่าทำแบบนี้กับใครนะเว้ย”

“?”

“ถ้าเขาเข้าใจผิดว่ามึงชอบเขาขึ้นมา จะแย่เอา”

“เออ...ก็ทำแค่กับมึงคนเดียว”

ปัง!

พลั่ก!

เหตุการณ์หลังจากจบประโยคของนิว เสียงประตูห้องน้ำถูกผลักกระแทกเสียงดัง อชิตะไม่รู้ว่าโผล่มาตอนไหน เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ...เขาดันนิวจนชิดกับประตู

“ไอ้นิว! มึงจะทำอะไร!” อชิตะกดเสียงต่ำ

“กูทำอะไรวะอชิ”

“ก็เห็น ๆ อยู่ ไหนมึงเลิกชอบสกายแล้ว ทั้งที่มึงก็รู้ว่ากูชอบสกาย มึงก็ยังทำแบบนี้!”

ชอบ...?!

“พอได้แล้ว!” ผมพูดโพล่งเสียงดังใส่ ท่ามกลางความสับสนมึนงง “นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ ชอบอะไรกัน”

“...”

“...”

ไม่มีใครให้คำตอบอะไรกับผม ความเงียบทำให้บรรยากาศโดยรอบเหมือนมีมวลควันสีดำปกคลุม

ที่อชิตะพูดกับนิวแบบนั้นมันหมายความว่าอะไรกันแน่

“ไอ้นิว...มึง...”

“เออ...กูชอบมึง” เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่คอ ในหูเหมือนมีเสียงวิ้ง ๆ ดังก้อง เพื่อนที่ผมสนิทที่สุด ไว้ใจมันที่สุด กำลังบอกว่าชอบผม ที่ผ่านมาเวลาที่มันพูดว่าชอบผม คือความจริงงั้นเหรอ “แต่ก็แค่เคย...ตอนนี้กูไม่ได้ชอบมึงแล้ว พวกมึงสบายใจได้” นิวพูดต่อ

ผมกลายเป็นคนหาลิ้นตัวเองไม่เจอมันซะดื้อ ๆ พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างยากลำบาก

“ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม กูกลับล่ะ”

“...”

“อชิมึงมีอะไรก็พูดไปตรง ๆ อย่าปล่อยให้มันคิดเอง กูฝากเพื่อนกูด้วย” ว่าจบนิวก็ตบไหลอชิตะเบา ๆ แล้วเดินออกจากห้องน้ำ

ทิ้งผมให้ยืนงุนงงกับเหตุการณ์ มันแปลกนะ เหมือนพวกเขาสองคนรู้เรื่องกันมาตลอด มีเพียงผมคนเดียวที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย ไม่ว่าจะเรื่องที่อชิตะชอบผม หรือเรื่องที่นิวเองก็ชอบผมเหมือนกัน

“สกาย...”

“กลับไปก่อน เราขออยู่คนเดียว”

"..."

"ขอคีย์การ์ดห้องเราคืนด้วย"







#แฟนwithbenefits



*ชื่อตอนเพลง เดาไม่เก่ง - ทรีแมนดาวน์



-กำลังทยอยแก้คำผิด-

หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -16-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 08-09-2021 15:05:37
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-16-

เธอรักทุกสิ่ง แต่เธอไม่เคยจะรักฉัน...





[เดี่ยว New]


เฟรนด์โซน สถานะที่เข้าแล้วออกอยาก ใครที่กล้าท้าทายอำนาจจุดจบไม่สวยสักราย ไม่ต้องมาพูดนะว่าไม่จริง ‘ผมสมหวัง’

ก็มึงสมหวังไง ส่วนกูก็นกทั้งฝูง มึงสมหวังมึงก็พูดได้สิวะ!

ฮืออออ เสียใจอีกแล้ววะ ขนาดทำใจมาแล้วแท้ ๆ ยังเจ็บขนาดนี้

ก่อนออกมาจากห้องสกาย ผมได้สารภาพ ว่าเคยชอบเขา ตอนที่ได้ยินอย่างนั้น เขาทำหน้าตกใจราวกับเห็นผี เรื่องนี้ต้องโทษอชิตะคนเดียวเลย เขาทำให้ความลับที่ผมเก็บไว้มานานถูกเปิดเผย

มาถึงห้องผมก็จัดการเอาดอกกุหลาบสีแปลกเสียบโง่ ๆ ใส่ในแจกันบนหัวนอน ผมจำได้ว่าตอนเด็กคุณครูเคยพาทำ มันก็แค่สีผสมอาหารกับดอกกุหลาบสีขาว แต่ไหน ๆ ก็เสียค่าโง่ไปตั้งห้าร้อยแล้วนี่เนอะ

"โอ๊ะ!" จังหวะที่กำลังเอาดอกกุหลาบสีดำเสียบที่แจกัน ผมก็ดันโดนหนามของมันทิ่มนิ้ว จนเลือดสีแดงซึมออกมา 

ให้ตายเถอะ นี่มันวันอะไรกัน ทำไมมีแต่เรื่องให้เจ็บไปหมด...

ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง ความเงียบทำให้รู้สึกเหงา แต่ทว่าวันนี้มันเหงากว่าที่เคย อาจเป็นเพราะเรื่องที่เจอมา จึงทำให้อารมณ์ตอนนี้ทิ้งดิ่งยิ่งกว่าเก่า

ไม่อยากอยู่ห้อง...

ไวกว่าความคิดผมก็ดีดตัวลุกขึ้น พาตัวเองไปอาบน้ำ จำได้ว่าพี่ที่ทำงานให้บัตรกำนัลส่วนลดบาร์ในโรงแรมเค มันอยู่ไม่ไกลจากที่พักผมเท่าไหร่ ว่ากันว่าเป็นสถานที่ชาวเราชอบไปกัน ผมเองยังไม่เคยไปเลยสักครั้ง ไม่แน่ที่นั้นอาจจะเจอคนรอดามใจผมอยู่ก็ได้

ผมหยิบเสื้อเชิ้ตสีดำขึ้นสวมกับกางเกงยีนสีดำสนิท เสริมด้วยเครื่องประดับสีเงิน พรมน้ำหอมกลิ่นสปอร์ตจนทั่วทั้งตัว วันนี้นิวจะออกล่า... 

ยืนหมุนตัวเช็กความเรียบร้อยหน้ากระจกเสร็จ ผมก็หยิบนาฬิกาข้อมือใส่ คว้ากุญแจรถสัญชาติญี่ปุ่นสีดำเมทัลลิก ราคาเจ็ดหลักต้น ๆ ที่ยังผ่อนไม่หมด และก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหมดเร็ว ๆ นี้ เดินลงมายังลานจอดของคอนโดฯ

ปักหมุดโรงแรมเสร็จสรรพ ผมก็ขับรถก็เคลื่อนออกจากคอนโดฯ สู่ถนนกว้าง ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ แต่เพราะรถที่หนาแน่นทำให้รู้สึกเหมือนเดินทางข้ามจังหวัด

มาถึงพนักงานก็เดินมาเปิดประตูรถให้ แล้วเอารถผมไปจอดเก็บไว้ โรงแรมหรูหราหมาเห่ากว่าที่คิดไว้ค่อนข้างมาก ภายในเน้นตกแต่งสีดำทองเรียบหรู ในลิฟต์มีพนักงานยืนรอต้อนรับคอยให้บริการ

ผมขึ้นมายังชั้นสี่สิบเก้าที่เป็นโซนบาร์ ด้านในบรรยากาศหรูหราตามมาตรฐานบาร์ของโรงแรม เสียงดนตรีเพลงแจ๊ซเปิดดังคลอเบา ๆ เข้ากับสถานที่และบรรยากาศ

จำนวนคนมีอยู่มาก แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกอึดอัด อาจเป็นเพราะบรรยากาศสบาย ๆ ของที่นี่ ผมเดินมานั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์ แล้วสั่งเนโกรนีนั่งจิบเหงา ๆ เรียกน้ำย่อยคนเดียว สายตากวาดมองไปจนทั่ว ก่อนจะประสานเข้ากับผู้ชายตัวเล็กที่นั่งอยู่ไม่ไกล เขาส่งยิ้มมา และผมก็ส่งยิ้มกลับไป

จังหวะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปหาเขาคนนั้น ผมก็ถูกใครบางคนจากด้านหลังรั้งเอาไว้ แล้วตามมาด้วยเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยทัก

“เราเคยเจอกันหรือเปล่าครับ”

มุขโคตรกาก...

“...” ผมหันกลับไปมอง แต่ไม่ได้ไม่ตอบกลับ ไม่ได้หยิ่งนะ แต่เขาไม่ใช่สเปคผมก็เท่านั้น

“คุณคงจำผมไม่ได้ แต่ผมว่าผมจำคุณได้” ผมหันขวับไปยังปลายเสียง พอมองดูชัด ๆ ก็หล่อดีนี่ แต่ผมก็ไม่ชอบเขาอยู่ดีนั่นแหละ ผมชอบตัวเล็กน่ารัก แบบสกายอะ หุ่นบาง ๆ ตัวขาว ๆ น่าทะนุถนอม

ไม่ใช่ดูลูกครึ่ง หุ่นล่ำแบบนี้! ยืนทีนึกว่าคุยกับเสาไฟ ผมสูงร้อยแปดสิบสอง แต่อีตาคนนี้ดูสูงกว่านั้น

“...”

“ให้ผมเลี้ยงเครื่องดื่มคุณนะ เราจะได้นั่งคุยกัน”

ใจถึงพึ่งได้ หูผึ่งทันทีพอได้ยินคำว่าเลี้ยง...

“ตามใจคุณ” หึ! รวยนักเหรอ ขอใช้เงินหน่อยแล้วกัน ไหน ๆ วันนี้ก็เจอแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้

“ผมขอดรายมาตินี่ครับ” สั่งเสร็จเขาก็หันกลับมาถาม “คุณดื่มอะไรดีครับ”

“แล้วแต่คุณสั่งมาผมก็ดื่มได้หมด”

“ขอโอลด์แฟชั่นด์อีกที่ครับ”

นี่กะมอมกันเลยหรือไงวะ แต่ของฟรี แดก ๆ ไปเถอะ คิดอะไรมาก แค่ไม่เมาก็พอแล้ว

“คุณมาที่นี่บ่อยไหม ผมไม่เคยเจอคุณเลย”

อะไรของเขาวะ... ตอนแรกบอกเหมือนรู้จัก

“คุณจำผมได้ไม่ใช่หรือไง”

“หึ ครับคุณนิว...” ผมหันขวับเมื่อชื่อตัวเองถูกเรียกโดยคนแปลกหน้า

“คุณรู้จักผม?”

“ก็ไม่เชิง” ยิ่งมองผมก็ยิ่งเกลียดหน้าหล่อร้ายของเขา นัยน์ตาเขาฉายแววดูเป็นคนอันตราย

“แล้วคุณชื่ออะไร”

“หมดแก้วสำหรับคำถาม” มุมปากคนพูดกระตุกยิ้ม ผมรู้ได้ทันทีว่าเขามันร้ายจริง ๆ

แค่แก้วเดียวเพื่อรู้ชื่อก็คงไม่เป็นไร...

ผมยกเครื่องดื่มตรงหน้ารวดเดียวจนหมด ความหวานทำให้กลืนลงคอง่ายขึ้น แต่ก็ยังดับรสร้อนไม่ได้อยู่ดี

“ใจเด็ดนี่ ผมเควิน” เควินไหนวะ ทั้งชีวิตไม่เคยรู้จักชื่อนี้เลย

“ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มากก่อน คุณอย่ามาหลอกผมซะให้ยาก”

“พี่ชายคุณชื่อนีโอหรือเปล่าล่ะ”

เฮ้ย! มันรู้ได้ไงวะ หรือว่า...

“เพื่อนไอ้โอเหรอ”

“หมดแก้วสำหรับคำตอบ”

ไอ้เวรนี้จะเอาแบบนี้ใช่ไหม!

ผมจ้องหน้าเควินเขม็ง นอกจากไม่สะทกสะท้านแล้ว เขายังยิ้มเยาะอย่างผู้ชนะ อีกสักแก้วคงไม่เป็นไร ผมจะไม่ถามอะไรเขาอีกแล้ว แค่สองแก้วก็เริ่มตึง ๆ

ชงเข้มไปไหมอ่า... กะเอาให้ร่วงตั้งแต่แก้วแรกเลยหรือไง

ผมกำแก้วเครื่องดื่มแก้วที่สองแน่นกว่าครั้งแรก กลั้นหายใจกระดกรวดเดียวจนหมด แล้วกระแทกแก้วเปล่าลงตรงหน้าไม่แรงไม่เบานัก ก่อนเขาจะสั่งเครื่องดื่มเพิ่มอีก

ดูแล้วคงจะมีอีกหลายคำถามที่ผมต้องถามเขาอีกแน่ แต่ฝันไปเถอะ ผมจะไม่ถามอะไรเขาอีกแล้ว

“ผมไม่รู้จักพี่นีโอเป็นการส่วนตัว แต่เราอายุเท่ากัน”

อายุเท่ากันเหรอวะ เพื่อนโรงเรียนเก่าเหรอ?

ไม่ใช่แน่ ชื่อโคตรอินเตอร์...

เพื่อนสมัยมหา’ลัยเหรอ?

แต่ที่มหา’ลัยไม่เคยมีชื่อนี้อยู่ในสารบบความทรงจำผมเลยนะ แล้วรู้จักยันชื่อพี่ผมขนาดนี้ ต้องเป็นคนใกล้ตัวสิ

“คุณเป็นใครกันแน่ ในสารระบบความจำผมไม่เคยมีชื่อนี้”

“หมดแก้วครับ”

“คุณจะบ้าหรือไง...” ผมรู้สึกมึนเล็กน้อย ปกติผมไม่ใช่คนคออ่อนขนาดนี้ แต่เพราะท้องว่าง แถมยังกระดกรวดเดียวจนหมดไปสองแก้วติด ไม่ล้มก็เก่งแล้ว

“ก็ถ้าคุณอยากรู้ คุณก็แค่ดื่มแลกกับคำตอบ”

โธ่เว้ย!!! คำถามสุดท้ายแล้วกัน มากกว่านี้ผมขับรถไม่ไหวแน่

เครื่องดื่มแก้มที่สามถูกยกดื่มอีกครั้ง ใบหน้าผมร้อนวูบวาบไปหมด ฝ่ามือเริ่มชาเพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่ม เลือดในกายก็พลันสูบฉีดจนหัวใจเต้นแรงบีบรัดจนหายใจถี่ขึ้น

“จะตอบได้หรือยัง!”

“ผมคือ...”

[จบเดี่ยว New]



ผมออกจากบ้านในรอบหลายวัน เพราะข้าวกล่องแช่แข็งเหลือกล่องสุดท้าย ช่วงนี้ผมเริ่มรับงาน เพราะไม่อาจทนอยู่เฉย ๆ ได้โดยไม่ให้ตัวเองคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ผมตั้งใจจะตัดความสัมพันธ์กับอชิตะ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ เลยกะจะหักดิบโดยการหายไปเงียบ ๆ มันซะเลย

แต่ตลอดสัปดาห์อชิตะทั้งโทร และส่งข้อความหาผมตลอด ผมเปิดอ่านทุกข้อความ แต่ก็ไม่คิดจะตอบกลับ ส่วนนิวหายตัวอย่างกับคนสาบสูญ ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ในโลกออนไลน์ ปกติแล้วมันแทบจะอัปเดตสเตตัสทุกห้านาทีแท้ ๆ

ความสัมพันธ์มันยุ่งเหยิงไปหมด มันเริ่มจากที่นิวชอบผม ผมชอบอชิตะ ส่วนอชิตะนี่ชอบผมตอนไหนกันนะ เพิ่งมาชอบหรือชอบนานแล้วก็ไม่รู้

แต่ก็นะ... จะชอบตอนไหนก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อเขามีคนของเขาอยู่ ต่อให้ชอบกันแค่ไหนก็ไม่มีทางเป็นไปได้



Rrrr…

เสียงมือถือแผดเสียงดัง ผมกดปิดเสียงทันที แล้วจ้องหน้าจอที่ปรากฏชื่อของอชิตะอยู่อย่างนั้น

อชิตะโทรมาอีกแล้ว... วันนี้เป็นสายที่สามของวันแล้วสินะ ผมรอจนสายถูกตัดไปจึงเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม ผมยังไม่พร้อมคุยกับเขาตอนนี้ ขอเวลาทำใจอีกสักพักก็แล้วกัน

“สกาย!” แขนขวาถูกดึงรั้ง จนเสียการทรงตัว กระแทกเข้ากับแผ่นอกของคนเรียกตัวโต กลิ่นหอมเย็นเอกลักษณ์บอกชัดว่าเขาคือใคร

“อชิ!” ดวงตาทั้งสองเบิกโพลง เงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะรีบผลักให้เราออกห่างจากกัน ไม่คิดว่าเราจะบังเอิญเจอกันที่นี่

“เราโทรไป ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์ เป็นอะไร!” อชิตะว่า 

เห็นหมดแล้วสินะ...

"เปล่า...ไม่ได้เป็นอะไร แค่ไม่ว่าง"

“โกรธเราเหรอ เราขอโทษ” 

“...เราจะโกรธอชิทำไม ในเมื่อเราเป็นคนยื่นข้อเสนอเรื่องนี้เอง” ผมไม่กล้าสบตา เพราะเขาเอาแต่จ้องผมเขม็ง สายตาเขาเย็นเหยียบจนรู้สึกเย็บวาบไปทั้งตัว "เราก็แค่อยากจบแล้ว เราเหนื่อย"

“...”

สายตาผมเหลือบไปเห็นอาซาอยู่ด้านหลัง เขากำลังเดินตรงมายังอชิตะ ยิ่งเห็นว่ามาด้วยกันแบบนี้ยิ่งเข้าใจ ผมควรจบความสัมพันธ์นี้ให้เร็วที่สุด ต่อให้อยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ผมก็เป็นได้แค่ตัวสำรอง

อาซาต่างหากที่เป็นตัวจริง...

“พอเถอะ ไหน ๆ ก็เจอกันแล้ว เราพูดตรง ๆ เลยแล้วกัน เรื่องของเรามันไม่มีทางเป็นได้ จบมันเถอะนะ”

ในขณะที่อชิตะบอกว่าชอบผม แต่เขาก็มีตัวจริง แบบนี้จะให้ผมไปอยู่ตรงไหน ความรักมันควรมีสองคนไม่ใช่เหรอ

“แต่สกายชอบเรานี่ เราเองก็ชอบสกาย ทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้”

“แล้วยังไง ในเมื่ออชิก็มีอาซาทั้งคน...” ตอนที่พูดประโยคนี้ออกมา ทำไมถึงได้รู้สึกอยากร้องไห้นะ เป็นคนขอจบความสัมพันธ์เองแท้ ๆ

“สวัสดีครับพี่สกาย” อาซาเอ่ยทักทายเมื่อมาถึง ท่าทีเขาดูเป็นมิตรกว่าตอนแรกที่เจอมาก เขาเป็นเด็กน่ารัก ผมทำร้ายเขาไม่ลงจริง ๆ

“สวัสดีครับ” ผมตอบกลับ

“แม่ล่ะอาซา” อชิตะว่า

บิงโก้! เปิดตัวกับครอบครัวขนาดนี้ 

“เคลียร์ค่าอาหารอยู่ครับ อีกสักพักคงตามมา”

“เราขอตัวก่อนนะ” ผมบอกลาอชิตะ “พี่ก่อนไปะครับน้องอาซา” แล้วก็หันไปบอกลาอาซาด้วยเช่นกัน หัวตาเริ่มร้อนผ่าว ผมพยายามกะพริบตาถี่ขึ้น เพื่อให้น้ำตาที่กำลังเอ่อออกมาแห้งไป

ผมไม่สามารถทนยืนอยู่ตรงนี้ได้ ใจมันเจ็บไปหมด...

“วันนี้เราขอไปหาสกายที่ห้องนะ” ไม่รู้ว่าทำไมอชิตะถึงพูดอย่างนั้น ทั้งที่อาซาเองก็ยืนอยู่ตรงนี้

ถ้าเขากล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าคนรัก เขาก็แค่ผู้ชายที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่ง

“อย่าดีกว่า” ผมว่า

“...”

“นี่ใช่สกายหรือเปล่าเนี่ย” ผมหันไปมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ในวงสนทนา “จำพี่ได้หรือเปล่า พี่สายเอง”

“อ้อ...จำได้ครับ สวัสดีครับพี่สาย” ถึงจะเจอไม่บ่อย แต่ก็พอจำได้ว่าอชิตะมีพี่สาวอยู่หนึ่งคน

“ไม่เจอกันนานเลย หล่อขึ้นเยอะเลยนะเรา”

“ขอบคุณครับ”

“แม่ครับ สงสัยเราต้องกลับกันสองคนแล้วล่ะ พี่อชิจะไปบ้านแฟน” อาซาว่า

แม่! อาซาเรียกใครว่าแม่นะ!? แล้วใครแฟน อาซาแฟนอชิตะไม่ใช่เหรอ หรือมีคนอื่นอีก ผมพยายามมองไปยังด้านหลัง แต่ก็ไม่มีใครอีกนอกจากพวกเราที่ยืนอยู่

“อาซา...อย่าพูดแบบนั้น พี่สกายตกใจแล้วเห็นไหม” พี่สายว่า

“ก็พี่อชิบอกให้อาซาแบ่งพี่อชิให้กับพี่สกายนี่ครับ ถ้าไม่ใช่แฟนแล้วจะเรียกว่าอะไร”

“แก่แดดจังนะเรา”

“เอ่อ ขอโทษครับ อาซาลูกพี่สายเหรอ” ผมถามสิ่งที่อยู่ในใจออกไป

“ใช่จ้ะ”

ใช่จ้ะ ใช่จ้ะ ใช่จ้ะ~~ เสียงพี่สายที่ตอบผมดังก้องอยู่ในหู ราวกับเสียงแอคโค่ดังสะท้อนไม่จบสิ้น

ถ้าอย่างนั้น อาซาก็เป็นหลานของอชิตะ... หรือว่าเรื่องที่เขาบอกว่าจะกลับมาอธิบายหมายถึงเรื่องนี้

ว๊ากกกกกกกกกกกกก!!!

ผมเข้าใจผิดไปเองเหรอ เหมือนโลกกำลังจะถล่ม ฟ้ากำลังจะทลายลงมา เอาบทดราม่าของผมคืนมา เพ้อไปเป็นสิบหน้ากระดาษ มันจะหักมุมที่ผมโก๊ะแบบนี้ไม่ได้

แอร๊ย~ เขินจนไม่กล้ามองหน้าอชิตะเลย

“อชิงั้นพี่กลับก่อนนะ”

“พี่เอารถกลับนะ ผมจะกลับกับสกาย”

“โอเค”

ผมยืนอ้าปากค้าง มองพี่สายเดินจากไปพร้อมกับกุญแจรถ โดยมีอาซาเดินตัวติดหนึบไม่ห่าง

“เราจะคุยกันได้หรือยัง” หันมองกลับมายังอชิตะ ด้วยสภาพที่กายหยาบไร้วิญญาณ อับอายจนไม่รู้ต้องทำหน้ายังไง

“...”

“ทำไมซื้อแต่ข้าวกล่องเนี่ย”

ได้โปรดอย่าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ไหม แบบนี้ยิ่งอึดอัดนะเว้ย หน้าร้อนไปหมดแล้ว

“คือ...เรา”

“รีบซื้อของเถอะ ค่อยไปคุยกันที่ห้อง” พูดจบเขาก็เดินถือข้าวกล่องในรถเข็นเดินไปเก็บที่เดิม

รถเข็นที่เคยเต็มไปด้วยอาหารสำเร็จรูป ตอนนี้มันถูกแทนที่ด้วยของสด แน่นอนว่าเป็นของที่ไม่ค่อยมีติดห้องผมเท่าไหร่ สดที่สุดในห้องก็คงจะเป็นไข่ที่ใช้ต้มกินกับมาม่า 

ระหว่างที่เลือกซื้อของ เขาก็ถามนั่นนี่ตามปกติ อะไรที่ผมไม่ชอบ ผมก็แอบเอาออกจากรถเข็นในตอนที่เขาเดินไปหยิบของอย่างอื่น

“วันนี้กินสปาเกตตีนะ”

“อืม ๆ"

ซื้อจนพอใจ เขาก็เข็นรถไปคิดเงิน เราย้ายมายืนเถียงกันต่อที่หน้าเคาน์เตอร์ เพราะเรื่องแย่งกันจ่ายเงิน ยื้อแย่งกันอยู่สักพักผมก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ เหนื่อยไม่มีแรงจะเถียงแล้ว

เราเหมือนพวกคู่ที่อยู่กินกันมานาน ช่วยกันซื้อของเข้าบ้าน เถียงกันบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็ตามใจผม เรากลับมาถึงห้องในเวลาต่อมา แค่คีย์การ์ดแตะประตูให้เปิดออก ผมก็ถูกเขาจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว

ตุบ!

เสียงของที่ถือมาด้วยถูกวางกองไว้ที่พื้น หัวหอมใหญ่กลิ้งออกจากกระเป๋าผ้า มะเขือเทศสีแดงสวยเองก็กลิ้งกระจายตามพื้นห้อง เสี้ยววินาทีต่อมาริมฝีปากของเราก็ประกบกัน

“อุ๊บ! เดี๋ยวก่อน” เรียวลิ้นฉกฉวยเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว รสจูบที่ห่างหายไปเป็นอาทิตย์เต็มไปด้วยความกระหาย เขากวาดเอาทุกอย่างภายในปากจนสติเตลิด มือหนาจับล็อกประคองใบหน้าให้รับจูบถนัดถนี่มากขึ้น สมองขาวโพลนพล่าเบอลไปหมด 

เขาอุ้มผมลอยขึ้นกับพื้น ขาทั้งสองหนีบสะโพกอัตโนมัติ เพราะกลัวตก ริมฝีปากตะโบมจูบอย่างไม่ลดละจนหายใจแทบไม่ทัน ฟันขาวครูดขบเม้มเน้นย้ำหนักเบาจนริมฝีปากล่างบวมช้ำ

“ไม่เดี๋ยวแล้ว รู้ไหมว่าต้องอดทนแค่ไหน” 

“อื้ออออ หายใจไม่ทัน” ลมหายใจอุ่นร้อนพรูดออกทางจมูก สัมผัสผิวคอบอบบางจนขนอ่อนตามตัวลุกชัน

“คิดถึง คิดถึงมาก ๆ”












#แฟนwithbenefits



-,,-



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*





*ชื่อตอนเพลง โดยปราศจากฉัน – WHATFALSE








-กำลังทยอยแก้คำผิด-

หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 08-09-2021 20:20:03
คือลือมาก
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-09-2021 20:44:56
 :pig4:
 :heaven
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: Koyokid16 ที่ 08-09-2021 21:26:36
 :mc4: กว่าจะเข้าใจตรงกันนะนู่สกาย
ตอนนี้ย้ายมารอคู่นิว อะไรยังไง :hao3:
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -17-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 10-09-2021 02:53:52
แฟน║FRIEND WITH BENEFIT

บทที่

-17-

ฉันจะพาเธอลอย



ผมถูกอชิตะอุ้มเข้ามาในห้อง ก่อนจะถูกเขาวางลงกับที่นอนนุ่มอย่างไม่ถนอมนัก ผมสัมผัสถึงความเร่าร้อนผ่านแววตา เขาปลดเสื้อเชิ้ตสีพื้นลงไปกองที่พื้น แล้วกระโจนขึ้นมาซ้อนหลังผมเอาไว้

เรายังมีเรื่องที่ต้องคุยกันอีก แต่ตอนนี้ต่างคน ต่างไม่มีใครพูดอะไร มีเพียงภาษากาย ที่ตอบโต้กันอย่างตรงไปตรงมา ปากทำหน้าที่เพียงเปล่งเสียงครางกระเส่า

ร่างกายพันเกี่ยวสอดประสานเราเข้าด้วยกัน มือไม้ปัดป่ายไปทั่วเรือนร่าง เสื้อผ้าที่ใช้ปกปิดร่างกาย เริ่มหลุดออกทีละชิ้น ไม่นานเราทั้งสองก็เปลือยเปล่าแนบชิดแลกเปลี่ยนความอบอุ่น ลิ้นร้อนโลมเลียใบหู พร้อมกลับฝ่ามือที่ฟอนเฟ้นเค้นหน้าอกเต็มมือ

“ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์...” เสียงแหบพร่ากระซิบบอก "รู้ไหมว่าเราคิดมากแค่ไหน"

“อ๊า!” ฝ่ามือหนากอบกุมแกนกายที่กำลังตั้งชันชี้ขึ้น เขาใช้นิ้วโป้งถูวนส่วนปลายระหว่างรอยแยกปริ่มน้ำ "อื้อ หยุดก่อน"

"ตอบ!"

"อะ! เรา เรา ผิดเอง"

"เรื่องอะไรครับ"

"ที่... ที่ไม่ยอมรับ โทรศัพท์ อ๊า...!" แกนกายรู้สึกปวดหนึบ เพราะจังหวะที่เขาขยับมือ "แต่อชิก็ไม่ยอมอธิบายอะไรนี่..." ฝ่ามือที่กำลังชักรูดหยุดชะงักทันที

"เราขอโทษ" ริมฝีปากถูกครอบครองอีกครั้ง จูบอ่อนโยนปลอบประโลมจนผมใจอ่อน ยอมให้อภัยเขาทั้งหมด ให้ตายผมมันคนใจง่ายชะมัด "ชอบหรือเปล่า"

ฝ่ามือปล่อยจากการครอบครองแกนกาย ย้ายมาบดขยี้ตุ่มไตจนขึ้นแข็งขึงสู้มือ น้ำเหนียวใสที่เปรอะมือทำให้ปลายนิ้วลื่นไปกับจุดอ่อนไหวที่สุดของร่างกาย

"ชอบ ดีมากเลย" เขายกยิ้มพอใจ ก้มลงส่งปลายลิ้นหยอกล้อตุ่มไต แทนการใช้ปลายนิ้วขยี้ ขนแขนลุกชันเมื่อร่างกายปะทะกับความเสียวซ่าน ฝ่ามือจิกกำหัวไหล่แกร่ง เพื่อระบายความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน

ผมว่าอชิตะไม่ได้มีอารมณ์หรอก แต่ผมว่าเขาหิวมากกว่าไม่ว่าจะซอกไหม มุมไหน ผมก็ถูกเขาขบกัด ดูดเม้มจนขึ้นรอยแดงจ้ำไปทั่วทั้งตัว ไม่เว้นแม้แต่ช่องทางหลัง เขาใช้ปลายลิ้นสอดเข้ามาพร้อมกับเรียวนิ้ว ความคิดฟุ้งก่อนหน้ากระจายหายไปในอากาศ เหลือเพียงร่างกายที่บิดเร่าไปมาอยู่บนที่นอน

“อะ...อชิ! ไม่เอา ไม่เอาลิ้น”

“อยากได้อะไรครับคนดี” คำพูดของเขามันสวนกับการกระทำ เขามันร้ายตาใส

“อะ! ตรงนั้น” อชิตะรู้ว่าผมต้องการอะไร แต่เขาจงใจแกล้งผม “อ๊า อชิ!” ช่องท้องกระตุกวูบ เขาครอบริมฝีปากลงมาที่แกนกายจนสุดความยาว ผงกหัวขึ้นลงถี่ สลับกับดูดส่วนปลาย

ปลายนิ้วขยับถี่เข้าออกย้ำจุดกระสันเสียวซ่าน จนช่องทางหลังขมิบตอดรัด ร่างกายสั่นสะท้านจวนเจียนจะถึงปลายทาง

“อยากได้ของอชิแล้วครับ...” มุมปากคนฟังกระตุกยิ้ม เขาแลบลิ้นริมฝีปากตัวเองราวกับจะจับผมกิน

“You look so cute” ว่าจบขาทั้งสองก็ถูกจับให้กางออกกว้างกว่าเดิม เจลหล่อลื่นสีใสไร้กลิ่นถูกบีบชโลมเพื่อป้องกันไม่ให้ได้รับบาดเจ็บระหว่างที่ทำ สวมป้อมปราการเสร็จเขาก็จับท่อนร้อนรักจ่อที่ช่องทางหลัง แหวกแก้มก้นออกเปิดทางให้ดันแกนกายเข้ามา ค่อย ๆ ดันเข้ามาทีละนิดไม่นานก็เข้าไปจนสุดความยาว แล้วแช่ค้างเอาไว้สักพัก

“ซี๊ดดด! ข้างในตัวสกายร้อนจนจะละลายอยู่แล้ว” 

“หยุดพูดลามก แล้วขยับสักที” >////<

“ลามกเหรอ แต่เรากำลังมีอะไรกันอยู่นะ” หน้าผมเห่อร้อนกับประโยคที่เขาพูดออกมา ให้ตายเขาไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไงตอนที่พูด

สวบ!

“อึก!...” เขาถอยแกนกายออกอย่างเชื่องช้า แล้วสวนกลับมาเข้ามาด้วยแรงเท่าเดิม ทั้งจุก ทั้งอึดอัด แต่กลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

น้ำตาเม็ดใสไหลกลิ้งลงมาสองแก้ม ความรู้สึกวาบหวามถาโถมให้ขาทั้งสองสั่นเทา ทุกครั้งที่ขยับเข้าออกส่วนปลายคอดหยักครูดกับผนังด้านในจนร้องครางออกมาไม่เป็นภาษา

เสียงครางหวานของผม กระตุ้นให้อชิตะตอกสะโพกเข้ามาหนักขึ้น เขาเร่งจังหวะกระชั้นถี่ยิ่งกว่าเก่า ร่างกายถูกแรงโหมโรมรันจนไหวขึ้นลง ผมหลับตาปี๋ไม่กล้ามองหน้าเขาด้วยความเขินอาย ถึงแม้จะมีอะไรกันหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่บ่อยนักที่เราจะทำไปพร้อมกับมองหน้ากัน

อชิตะโน้มหน้าลงมากดจูบหน้าผาก ขยับไปที่พวงแก้ม จูบซับน้ำตารสเค็มปร่า ก่อนจะปิดปากผมให้เก็บกลืนเสียงครางลงคอด้วยริมฝีปาก จูบเพียงไม่นานเขาก็ผละออก

“มองหน้าหน่อยคนดี”

“ไม่เอา” ส่ายหน้าไหว ๆ พลางยกมือปิดหน้าที่กำลังบิดเบ้

“..." เขาไม่ตอบ รวบข้อแขนผมขึ้นไว้เหนือหัว ก้มลงขบเม้มยอดอก ดูดดึงจนพอใจ เขาก็หยัดตัวตรงแล้วดันสะโพกเข้ามาจนลึกย้ำจุดจีสปอตด้านใน 

“อื้อออ...อ๊ะ! อชิ” ผมปรือตาขึ้นมองใบหน้าขาว ที่ถูกสีแดงก่ำแต่งแต้มพาดยาวลามไปจนถึงใบหูทั้งสองข้าง

“เข้ามาลึก ๆ เลย" อชิตะขบฟันแน่นจนขึ้นสันกราม เส้นเลือดที่แขนนูนเห็นเป็นเส้นชัด ไม่อยากคิดเลยว่าข้างล่างส่วนร้อนจัดจะเป็นยังไง ความคิดลามกปลุกสัญชาตญาณดิบออกมา "อ่า...อชิ อื้อออออ! รู้สึกดีจนเหมือนจะเสร็จเลย”

“ทนอีกนิดนะครับ” ว่าจบ อชิตะก็สวนสะโพกเข้ามาเน้นหนัก ผมคล้ายคนเมาขาดสติ สมองพร่าเบลอ เอาร้องขอเรื่องที่ตอนมีสติดีไม่กล้าพูด

เสียงหน้าขากระแทกกับสะโพกกลมเสียงดังตับ ตับ ตับ หยาบโลนไปทั้งห้อง มันแสบ ๆ คัน ๆ แต่ผมก็ไม่อยากให้เขาหยุดโหมแรงเข้ามา

“อชิ ไม่ไหวแล้ว...” สิ้นสุดประโยค ของเหลวสีขาวกลิ่นคาวก็ฉีดพุ่งขึ้นมาที่หน้าอก ปลายเท้าจิกเกร็ง ช่องทางหลังเองก็ตอดกระตุก ขมิบรัด แต่ทว่าเขายังไม่มีท่าทีที่จะหยุดเคลื่อนตัวเข้ามา

กระแทกกระทั้นหนักลึกอีกเพียงสี่ห้าครั้ง เขาก็ปลดปล่อยหยาดอุ่น กระตุกเกร็งอยู่ครู่เขาจึงถอดถอนแกนกายออกมา ปลายป้อมปราการปรากฏหลักฐาน เป็นของเหลวสีขาวขุ่นอยู่ที่ส่วนปลายถุงยางฯ มันถูกมัดทิ้งไว้ข้างเตียง แล้วหันไปหยิบซองใหม่บนหัวนอน

“เดี๋ยว...ไหนสปาเกตตี” ผมหิวจริง ๆ นะ

“แต่เรายังไม่อิ่มนี่”

“อือออ...งั้นรอบนี้ขอช้า ๆ นะ”

“ไม่รับปาก” สิ้นสุดประโยค เขาก็ใช้ปากฉีกซองสีเงิน แล้วจัดการสวมมันลงไปที่แกนกลางที่ยังตั้งแข็ง

ผมถูกจับพลิกให้นอนคว่ำหน้าลงกับหมอน ยกสะโพกลอยเด่นโชว์รอยจีบสีแดงที่เพิ่งเสร็จจากกิจกรรมเมื่อครู่ เพราะเพิ่งทำกันเสร็จช่องทางหลังจึงยังอ่อนนุ่ม ทำให้เข้ามาง่ายกว่ารอบแรก ไม่นานร่างกายเราก็เชื่อมประสานกัน แกนกายร้อนระอุ พร้อมจะทำให้ผมละลายกลายเป็นของเหลวชั่วพริบตา

ฝ่ามือจิกกำผ้าปูเพื่อระบายความเสียวซ่านจนมุมหลุดลุ่ย บทรักเริ่มขึ้นอีกครั้ง...เขาโน้นตัวลงมาดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้ ก่อนจะใช้มือช้อนปลายคางให้ยกขึ้นรับจูบ

มาคิด ๆ ดู ถ้าตอนนั้นผมสารภาพรักกับเขาไปจะเป็นยังไง มีความเป็นได้สองอย่างคือ เราอาจจะได้คบกัน หรือแม้แต่คำว่าเพื่อนเราก็ไม่มีสิทธิ์ใช้

แล้วถ้าหากเราได้คบกันล่ะ?

ตอนนี้เราจะยังรักกันดีอยู่หรือเปล่า

ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ ผมขอไม่แก้ไขอะไรทั้งนั้น เพราะตอนนี้มันดีที่สุดแล้ว...

...

..

.



“ซี๊ดดดดด ...สะโพก” ขยับตัวเพียงนิดเดียว ความเจ็บก็แล่นแปล๊บไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน แต่ดูจากชุดที่อชิตะเปลี่ยนให้ คงพาผมไปอาบน้ำทำความสะอาดเรียบร้อย

นอกหน้าต่างมืดสนิท แสงจากดวงตะวันถูกแทนที่ด้วยจันทรา ผมลุกนั่งจัดระเบียบตัวเอง แล้วปล่อยปลายเท้าลงสัมผัสพื้นยืนนิ่ง ๆ เพื่อทรงตัว ช่องทางหลังไม่เกิดบาดแผล แต่ก็รู้สึกคัดเคืองทุกครั้งที่ก้าวขา

ครั้งนี้เหมือนถูกอชิตะทบทั้งต้นทั้งดอก สาบานได้ผมจะไม่หายไปจากเขาเป็นอาทิตย์อีกแน่ เล่นเอาร้าวระบมไปทั้งตัว เพียงสาวเท้าออกนอกอาณาเขตห้องนอน กลิ่นอาหารหอมฟุ้งเรียกน้ำย่อยคนเพิ่งตื่นได้เป็นอย่างดี

“ตื่นแล้วเหรอ กำลังจะเข้าไปปลุกเชียว”

“...” ผมไม่ได้ตอบ เพียงแค่พยักหน้ารับ แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่าง สปาเกตตีซอสมะเขือเทศจานใหญ่วางอยู่ตรงหน้าส่งกลิ่นหอมโชยขึ้นมาแตะจมูกยั่วน้ำลาย

นั่นมะเขือเทศที่กลิ้งอยู่หน้าประตูสินะ... เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เรามีเซ็กซ์กันทันทีหลังจากที่กลับมาถึงห้อง ยังไม่ทันเก็บข้าวของอะไรเลยด้วยซ้ำ พอคิดเรื่องลามกแล้วก็รู้สึกมวนท้องน้อยทันที

ส้อมทางซ้ายมือถูกขึ้นม้วนเส้นสปาเกตตี ใส่ปากเคี้ยวจนแก้มป่องด้วยความหิว

“หิวเหรอ”

“อืม ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า”

“นึกว่าอิ่มแล้วซะอีก” อชิตะว่าพลางกลั้วหัวเราะลำคอ

“เดี๋ยวเถอะ!” ผมว่า ใช้สายตาคาดโทษเอาไว้ก่อน ผมยังมีเรื่องที่อยากถามเขาเยอะมาก ระหว่างนั่งกินผมก็เรียบเรียงคำถามในหัว ก่อนจะเอ่ยออกไป

“อชิคือว่า...”

“เป็นแฟนกันนะ” ยังไม่ทันถามจบ อชิตะก็พูดแทรกขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่สิ่งที่เขาพูดออกมาทำเอาช็อกตาค้าง ส้อมในมือสั่นอย่างกับแผ่นดินไหว

เคร้ง!

และในที่สุดผมก็หมดเรี่ยวแรงถือส้อม มันร่วงหล่นกระทบจานเซรามิกเสียงดัง

“อะ อะ อชิ วะ ว่า ยังไงนะ” 0 [] 0

“เป็นแฟนกับเรานะสกาย”

“ฝันอยู่เหรอ หรือเรายังไม่ตื่นวะ” ผมเกาหัวตัวเองแกรก ๆ สับสนไปหมด นี่มันโลกความจริงหรือความฝันกันนะ “โอ๊ย! เจ็บอชิ” อชิตะยื่นมือจากฝั่งตรงข้ามมาบีบแก้มทั้งสองข้างเอาไว้ ก่อนจะออกแรงดึง

“ฝันอะไรล่ะ”

“เจ็บนะเว้ย” เอามือลูบแก้มตัวเองป้อย ๆ “อยู่ ๆ ก็มาขอเป็นแฟน ใครจะไม่ตกใจล่ะ”

“...เราชอบสกาย สกายชอบเราหรือเปล่าล่ะ”

“...” ถามตรงจังวะ เขินเป็นนะเว้ย

“ถ้าไม่ชอบ งั้นเรากลับก็ได้นะ”

“เปล่า ๆ ชอบ ชอบมากเลย” อชิตะปล่อยปากยิ้มออกมาอย่างพอใจ วินาทีนั้นผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังแกล้งผมอยู่

ไอ้คนบ้า!

“งั้น...ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่สกายต้องปฏิเสธนี่”

“อชิไม่คิดว่ามันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ คือแบบว่าเราเพิ่งจะ เอิ่ม...ยังไงดีล่ะ”

“เราสองคนเสียเวลากันมามากเกินไปแล้ว เราอยากเป็นคนที่อยู่ข้าง ๆ สกาย อยากดูแลไม่ว่าจะตอนป่วยหรือตอนมีความสุข”

“หืมมม อย่างกับกำลังขอแต่งงานแหนะ”

“แต่งกันเลยดีไหม”

“เดี๋ยวก๊อนนนนนนนน” ผมรีบร้องห้าม ก่อนที่มันจะไปกันใหญ่ อชิตะใส่อะไรลงไปในสปาเกตตีเนี่ย

“คำตอบ?”

“...” แง้เขิน อชิตะก็เอาแต่นั่งจ้องหน้า ใจอยากตอบว่าแต่งค่ะ แต่ปากมันไม่ยอมขยับ “อืม”

“อืม อะไร...”

“อชิอย่าแกล้ง!” หน้าผมร้อนผ่าวไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงขึ้นสีแดงจัด เหมือนซอสมะเขือเทศในจานแน่ ๆ

“ก็ตอบเหมือนไม่เต็มใจเลยนี่ เราบังขับสกายหรือเปล่า” ว่าจบเขาก็ทำหน้าหงอย

เจ้าแมวน้อย ตะไมตะเล็กตะน้อยน่ารักแบบนี้นะ (สายตาที่สกายมองอชิตะ)

“เป็นอยู่แล้ว ก็ชอบมาตั้งนะ---” อุ๊ย! ผมรีบเอามือปิดปากตัวเองเอาไว้ ก่อนจะหลุดพูดอะไรน่าอายออกไปอีก

“เราก็ชอบสกายนานแล้วเหมือนกัน”

แหม! กล้านาน ผมชอบเขาตั้งแต่มอสี่ ตอนมอสี่เขายังบอกว่าไม่ชอบผู้ชายอยู่เลย เอาอะไรมานานก๊อนนนน

แต่เอ๊ะ! ชอบมานานแล้วทำไมไม่บอกวะ

“อชิถามอะไรหน่อยสิ”

“ว่า”

“ที่บอกว่านานแล้วนี่ ตั้งแต่ตอนไหนเหรอ?”

“ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ” ฮะ! ครั้งแรก แบบนี้ก็ชอบผมก่อนที่ผมจะชอบเขาน่ะสิ

ฉ่า~ เสียงหน้าผมร้อนอีกแล้ว ถ้ามันเป็นไฟคงเผาผมจนมอดไหม้กันไปข้าง

"ครั้งแรกก็สงกรานต์เลยอะนะ"

"ใช่..."

"แต่ตอนมอสี่ เราได้ยินอชิบอกว่าไม่ชอบผู้ชายนี่"

"ตัดรำคาญน่ะ พี่เขาตื้อ" เวร ผมคิดเองเออเองมาแต่ไหนแต่ไรเลยเหรอวะ "แล้วสกายล่ะ ชอบเราแล้วทำไมไม่บอก" อชิตะถามกลับ

"ถ้าอชิไม่ชอบเราขึ้นมา เราอาจเสียเพื่อนก็ได้" อชิตะพยักหน้ารับเห็นด้วย ผมว่าเขาเองก็คงคิดแบบเดียวกันกับผม (มั้ง)

เรานั่งกินกันต่อ พลางหาเรื่องคุยกันไปเรื่อย ๆ มันคงจริงอย่างที่เขาว่า เราเสียเวลากันมามากแล้ว ต้องขอบคุณนิวที่ชวนผมไปงานเลี้ยงรุ่นปีนี้ ทำให้เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในวันที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ และที่หน้าเหลือเชื่อคือ เราเป็นแฟนกันแล้ว

“เราเคยฝันถึงสกายด้วยนะ” อชิตะว่า

ว้าว *0* แบบนี้เรียกว่าคลั่งรักแล้ว ผมยังไม่เคยแอบฝันถึงเขาเลยนะ (หรือเปล่าวะ)

“ฝันว่าอะไรเหรอ” ผมถามออกไปด้วยความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม

“ฝันเปียก”

แค่ก! แค่ก! แค่ก!

แม่ย้อย...ถึงกับสำลัก นี่คงเป็นธาตุแท้ของเขาจริง ๆ สินะ หื่นตั้งแต่เด็กเลยนี่หว่า ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อน

“ในฝันเป็นยังไง เล่าได้ไหมอยากรู้” แต่ก็นะต่อมเผือกมันทำงาน อยากรู้จริง ๆ ว่าในฝันเขาจะร้อนแรงเหมือนตัวจริงหรือเปล่า

“ไม่มีอะไรนะ สกายแค่ใช้ปากให้เราจนเสร็จ”

ช็อก 0 [] 0!

ชีวิตจริงผมยังไม่เคยทำให้เขาเลยสักครั้ง มีแต่เขาที่กินไอจ้อนผม...

วันนี้หมดเรื่องเซอร์ไพร์ยังอ่า ถ้ายังผมว่าวันนี้ผมได้ตายจริง ๆ แน่ แล้วทำไมเขาถึงพูดออกมาโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ดูไม่ขัดเขิน เหมือนเป็นเรื่องปกติที่พูดออกมาง่าย ๆ

“ไว้จะสานฝันนะ” อชิตะว่างเงยหน้าขึ้นมอง แล้ววางส้อมในมือ “จะทำอะไรน่ะ” เขาก้มหน้าลงทำท่าขยุกขยิก ไม่หยุด

“ถอดกางเกง”

“ไอ้บ้า! ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้เนี่ย”

“เพิ่งรู้เหรอ”

“เมื่อก่อนน่ารักจะตาย ทำไมเดี๋ยวนี่ร้าย”

"ไม่ชอบ?"

“ชอบ... แซ่บดี หึ ๆ” ผมว่า พลางหัวเราะเบา ๆ

“อยากจูบจัง”

“คิดแต่เรื่องลามกถูกมะ”

“ถ้าสกายเห็นความคิดเราจริง ๆ สกายอาจจะนั่งร้องไห้ก็ได้นะ”

"อยากเห็นจัง" ว่าจบผมก็ใช้ส้อมตักเส้นสปาเกตตียกขึ้นสูง แล้วค่อย ๆ ใช้ลิ้นตวัดเส้นลงมา ก่อนจะพูดปิดท้ายให้เสียดายเล่น "แต่ไม่ใช่วันนี้นะ หมดโควตาแล้ว"

อชิตะไม่ตอบ แต่สีหน้าเขาดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

ผมโดนต้นจนเปื่อย ภายนอกดูเป็นคนน่ารักใส ๆ แบบน้ำเปล่า หารู้ไม่นี่มันวอดก้าชัด ๆ



กินข้าวเสร็จผมก็เดินไปช่วยอชิตะล้างจาน แล้วออกมานั่งดูหนังด้วยกัน บรรยากาศไม่ต่างจากตอนที่ยังไม่เป็นแฟนเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกกลับตรงกันข้าม เหมือนทุกอย่างถูกปลดล็อก มีแต่ความสบายใจหลงเหลืออยู่...

ผมเดินกลับเข้ามาในห้องก่อนอชิตะ เพราะงานที่รับไว้ยังค้างอยู่ ช่วงสี่ทุ่มกว่าเขาก็กลับเข้ามาในห้องนอน

“สกายมีปฏิทินไหม”

“มีแบบตั้งโต๊ะได้หรือเปล่า”

“ได้... ขอปากกาด้วย”

“มีแต่เมจิกสีแดง ได้หรือไหม”

“...” เขาไม่ตอบ รับปากกาไว้ในมือ แล้วก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างลงในปฏิทิน

"อชิเขียนอะไรอะ" ผมถามเพราะเห็นเขาดูตั้งใจ

เขียนเสร็จเขาก็เอามาตั้งที่โต๊ะทำงานผมตามเดิม

“วันนี้เราเป็นแฟนกันวันแรก” อชิตะว่า

ผมหันขวับไปที่ปฏิทินตั้งโต๊ะ ตรงวันที่วันนี้มีรอยปากกาเมจิกสีแดงวาดเป็นรูปหัวใจ มีตัวหนังสือเขียนกับกำเอาไว้ว่า ‘สกายเป็นของอชิตะ’









#แฟนwithbenefits



จะพยายามมาอัปทุกวันนะฮับ ทดแทนที่หายไปนาน

ส่วนเรื่องของนิว ตั้งใจว่าจะแยกเป็น Spin-off แอบแฟนตาซีนิด ๆ

ตอนนี้เริ่มวางพล็อตไว้แล้ว กำลังคิดอยู่ว่าจะให้ปกออกมาหน้าตาเป็นยังไงดี

ยังไงก็ฝากนักอ่านรอติดตามด้วยนะฮับ

รัก <3


*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ





*ชื่อตอนเพลง The TOYS - ลาลาลอย (100%)







-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 10-09-2021 04:08:52
ดีงับ
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 10-09-2021 07:06:31
 :oo1: :jul1:
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 10-09-2021 22:27:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -18-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 11-09-2021 14:29:04
แฟน║FRIEND WITH BENEFIT

บทที่

-18-

โชคดีแค่ไหนเมื่อหมดใจที่ฉันมี ได้พบเธอ



“อยู่ที่นั่น ก็อย่าดื้อเข้าใจไหม”

“ครับ ผมจะเป็นเด็กดี”

“แกก็ดูแลตัวเองดี ๆ ถึงแล้วพี่จะข้อความไว้”

“ครับ”

“สกาย พี่ไปก่อนนะ ฝากอชิด้วย”

“ครับพี่”

จะดูแลอย่างดีเลยครับ มดไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ใครมองผมจะเอานิ้วจิ้มตามันให้บอดไปเลยครับ

วันนี้พี่สายต้องเดินทางพาอาซาไปรักษาที่เมืองนอก ตามแพลนที่เคยวางเอาไว้ก่อนหน้า เรื่องทั้งหมดจริง ๆ มันไม่มีอะไรซับซ้อนเลยสักอย่าง เพียงแค่ผมเข้าใจผิดไปเองทั้งหมด

พี่สายกอดอชิตะครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินหายเข้าไป เราทั้งคู่ยืนมองทั้งสองคนจนลับสายตา

“จะไปบ้านเลยหรือเปล่า” ผมว่า

“ขอแวะเข้าไปเอาเอกสารที่บริษัทก่อน”

ส่วนผมกับอชิตะหลังจากตกลงเป็นแฟนกันแล้ว ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ฟิลเตอร์สีชมพู ตอนนี้เราทั้งสองกำลังจะย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้วนะ

อี๊ดดดดดด~

สกายไม่แห้งแล้ง!

“งั้นไปกันเลยไหม เดี๋ยวรถติด” อชิตะว่า ยื่นมือส่งมา เป็นอันเข้าใจตรงกัน

ผมยกฝ่ามือวางไว้ให้เรียวนิ้วสอดประสาน เราเดินจับมือกันไม่แน่นจนอึดอัด ไม่หลวมจนไม่รู้สึก ไม่มีใครเดินนำหน้า หรือต้องมีใครเดินตามหลัง ในทุก ๆ ก้าว มีเราที่เดินไปข้างหน้าพร้อมกัน

ผมชอบบรรยากาศตอนนี้ที่สุด ช่วงวันหยุดผมขอให้เขาสอนทำอาหาร เพราะอยากทำให้เขากินบ้าง แต่ต่อให้ตื่นเช้าแค่ไหน ผมจะเห็นอาหารพร้อมทานวางเตรียมเอาไว้ที่โต๊ะตลอด

ชอบ...เวลาที่อชิตะจับผมนั่งบนตัก แล้วช่วยกันเลือกหนัง เถียงกันแทบตาย สุดท้ายเขาก็ยอมผมทุกครั้ง เราจะผลัดกันป้อนขนมระหว่างดูไปด้วย แต่ถ้าวันไหนเขาเป็นคนเลือกก่อน ไม่ถึงสิบนาทีผมจะหนีไปเฝ้าพระอินทร์

ชอบ...ตอนที่เรามีเซ็กซ์ด้วยกัน ตอนที่เสียงหายใจของเราหอบถี่ หัวใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ ผิวเนื้อที่เบียดเสียด มันเหมือนทั้งหมดที่ว่ามา กำลังหลอมละลายเราให้กลายเป็นคนคนเดียวกัน หลังจากเสร็จกิจกรรม เราจะมานอนกอดก่ายปัดป่ายใต้ผ้าห่ม เขาเป็นคนแรกของทุกเช้า และคนสุดท้ายของวัน

ชีวิตไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมาย มันยังคงธรรมดาเรียบง่ายเหมือนเดิม

สำหรับผม ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าการได้รักเขาอีกแล้วล่ะ...



เครื่องยนต์ดับสนิทใต้ตึกสูง ผมรู้ว่าบ้านอชิตะทำธุรกิจ แต่ก็ไม่คิดว่าจะใหญ่โตโอ่อาจขนาดนี้

เพียงแค่เท้าเหยียบเข้าไปในตึก ทุกคนที่เห็นอชิตะจะยกมือสวัสดี และทักทาย ทุกฝีก้าวที่เดินเหมือนตัวเองกำลังถูกสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ตลอด อาจเป็นเพราะผมไม่เคยมา หรือไม่ก็เพราะอชิตะเดินจับมือผมไม่ห่างตัว

หน้าประตูไม้สีเข้มขนาดใหญ่มีเลขานั่งอยู่ ชีวิตดั่งนิยาย ผมเพิ่งเคยเห็นของจริง ก็วันนี้แหละ

“คุณศิลา ถ้ามีงานด่วนโทรหาผมเท่านั้นนะครับ ผมแค่แวะมาเอาของ” อชิตะว่า

“ครับ”

แหม! ลุคคุณชายเงียบขรึม เขาทำหน้านิ่งเรียบอย่างกับคนไร้ความรู้สึก น้ำเสียงทุ้มต่ำดูมีเสน่ห์สุด ๆ อยากให้ภาพตัดไปตอนที่อยู่ห้องด้วยกันสองคน

ซู๊ดปาก! ซู๊ดคอ!

ไม่มีอะ...ไอ้นิ่ง ๆ ขรึม ๆ ดุจคุณชายจุฑาเทพแบบนี้

อชิตะผลักประตูไม้บานใหญ่เข้าไป ด้านในแตกต่างจากด้านนอกสิ้นเชิง ผนังห้องแต่ลายหินอ่อนสีขาว สลับกับไม้สีอ่อนสบายตา ด้านหลังโต๊ะทำงานของเขาเป็นกระจกใส มองเห็นวิวทั้งกรุงเทพเลยมั้ง

ผมเดินไปเกาะกระจกมองอย่างอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะถูกคนตัวโตสวมกอดจากด้านหลัง

“ชอบหรือเปล่า ถ้าชอบจะพามาบ่อย ๆ”

“เธอพูดเหมือนเราไม่มีงานมีการ”

“ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากให้ทำ เธออดนอนบ่อย ๆ เป็นห่วง”

“ครับ ๆ จะรับงานให้น้อยลง” ปลายจมูกเย็นเฉียบกดลงที่พ่วงแก้มใส ก่อนจะตามาด้วยเสียงสูดลมหายใจลึกดังฟอดใหญ่

“จะว่าไปมุมนี้ก็ดีนะ เห็นวิวไปด้วย...” เขาเว้นวรรคให้คิดต่อ ริมฝีปากเผยอออกงับที่ท้ายทอย แล้วใช้ปลายลิ้นตวัดเบา ๆ

ขนอ่อนลุกชัน ไม่รู้ว่าเพราะอยู่สูงหรือยังไง ช่องท้องมันหวิวไปผมด

“อชิ...นี่มันที่ทำงานนะ อื้ม...”

เขาใช้ปลายจมูกไล้ไปตามกรอบหน้า ปล่อยให้ลมหายใจอุ่นสัมผัสผิว ปลายเล็บนิ้วชี้กรีดกรายจากหลุมสะดือขึ้นมาอย่างเชื่องช้าจนถึงหน้าอก แล้วฟ้อนเฟ้น คลึงยอดอกไปพร้อมกัน

“ตื่นเต้นดีออก” ผมแพ้อีกแล้ว แพ้เสียงแหบพร่าที่กระซิบข้างหู ร่างกายมันอ่อนระทวยทุกครั้งที่ได้ยิน ผมชอบเวลาถูกอชิตะชักนำให้รู้สึกคล้อยตามไปกับบทรัก

“ถ้ามีคนเข้ามาเห็น จะทำยังไง”

“ไม่มีใครเข้ามา จนกว่าจะได้รับอนุญาต”

ก๊อก ๆ ก๊อก ๆ

ไม่ทันขาดคำก็มีเสียงคนเคาะประตู แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยผมให้เป็นอิสระ

“ว่า” อชิตะตะโกนตอบกลับ

“คุณคิรินจะเข้ามาพบตอนเที่ยง ไม่ทราบว่าจะให้ผมเรียนยังไงดีครับ”

“บอกเขาว่า ฉันจะรอ”

“ครับ...”

เสียงจากหน้าประตูเงียบลงแล้ว แต่ตรงนี้พยายามเก็บเสียงอย่างสุดความสามารถ

“คิรินคือใคร” ผมว่า

“สนใจเรื่องของเราเถอะ” อชิตะยกแขนขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ “เรามีเวลาอีกสี่สิบนาที” ว่าจบเขาก็รวบแขนผมขึ้นให้ทาบกับกระจก ใช้ปลายเท้าแตะ ขาผมเบา ๆ เพื่อให้แยกขาออก สะโพกกลมถูกยกแอ่นขึ้นในองศาที่ควร กางเกงถูกรั้งลงไปกองไว้ที่หน้าขา พร้อมกับอันเดอร์แวร์สีขาว

อชิตะปลดเข็มขัดของตัวเองออก ตามด้วยเสียงซิปกางเกงถูกรั้งลง ผมหันไปชำเลืองมอง เขากำลังใช้มือชักรูดแกนกาย ก่อนจะฉีดถุงยางอนามัยสวม

ขี้โกงชะมัด! ทีกับผมดึงกางเกงจนแทบจะหลุดออกจากตัว แต่ตัวเองถอดแค่เข็มขัด กับรูดซิปลงเท่านั้น

เมื่อทุกอย่างพร้อม เขาก็จับแกนกายจ่อเข้ากับรอยจีบ แล้วค่อย ๆ ดันเข้ามาทีละนิด เราไม่มีเจลหล่อลื่น มันจึงค่อนข้างฝืด และเจ็บ

“ผ่อนคลายหน่อยค่ะคนดี”

“อะ! ช้า ๆ” เพียงไม่นานท่อนเอ็นร้อนระอุก็ดันเข้ามาจนสุด “ขยับช้า ๆ ก่อนนะ เจ็บ” ผมว่า

“แค่เจ็บอย่างเดี๋ยวเองเหรอ?”

“อื้อ ทำไมชอบแกล้ง ก็รู้ว่าเขิน!” ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะ หึ ๆ แล้วจากนั้นเขาก็เริ่มขยับสะโพกออก แล้วดันเข้ามา “อ๊า...” ผมพยายามอย่างมาก เพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียงดัง แต่ทว่ามันก็เก็บเอาไว้ไม่อยู่

ช่องทางหลังเริ่มนุ่มจนขยับเข้าออกง่ายขึ้น เขาก็เพิ่มความเร็ว ตัวสั่นคลอนขึ้นลงตามแรงโหม จังหวะที่เขาสวนสะโพกเข้ามา ฝ่ามือหนาก็จับล็อกดึงสะโพกผมให้สวนรับไปพร้อม ๆ กัน แกนกายผมเริ่มปวดหนึบแข็งชันตั้งขึ้นทั้งที่ยังไม่ถูกสัมผัส

ผมก้มหน้ากำหมัดแน่น เป็นการมีเซ็กซ์ที่อึดอัดที่สุด อยากหวีดร้องแค่ไหนก็ทำได้แค่เก็บกลืน มีบ้างที่หลุดครางออกมาเสียงดัง

อชิตะโน้มตัวลงมาบีบปลายคางให้ผมหันไปมองวิวเมือง ก่อนจะสอดนิ้วเข้ามาในช่องปาก ผมใช้ลิ้นตวัดหยอกล้อ แล้วผงกหัวให้ปลายนิ้วเข้ามาจนลึกถึงในลำคอ แล้วขยับออก ดูดเลียนิ้วมือจนเสียงดังจ๊วบจ๊าบ

“ชอบหรือเปล่า”

“ชอบ...อ๊ะ! ชอบมาก ใจจะขาดแล้วอชิ...อ๊าา อะ”

“ซี๊ดดดด แน่นมากเลยคนดี” อชิตะซู๊ดปากเสียงดัง ขยับสะโพกสอบถี่เข้ามากระแทกย้ำจุดเล้นลับให้เสียวซ่านไปทั้งตัว เสียงผิวเนื้อกระทบกันดัง จนลืมคิดไปเลยว่าข้างนอกจะได้ยินหรือเปล่า

“อชิ จะเสร็จแล้ว อื้ออออ” ขาทั้งสองสั่นจนแทบทรงตัวไม่อยู่ ยังดีที่อชิรวบตัวผมเข้าไปกอดเอาไว้ ไม่งั้นคงล้มแน่ “อชิ!” น้ำตาที่เอ่อคลอทำให้ภาพตรงหน้าพร่าเบลอ ร่างกายสั่นสะท้าน ขยับรับกับแรงโหม กระแทกถี่เพียงไม่กี่ครั้ง ของเหลวสีขาวก็ฉีดพุ่งออกมาเลอะกระจก คราบน้ำกามไหลย้อยเป็นทางยาวลงมา

ร่างกายเบาหวิวราวกับโลกไร้แรงโน้มถ่วง อชิตะยังคงขยับต่ออยู่หลายนาที ก่อนจะครางต่ำถึงปลายทางเช่นเดียวกัน จังหวะที่ถอนแกนกายให้หลุดออกจากการเชื่อมต่อ มีเสียงดังพล็อกในความเงียบ จากที่หน้าร้อนอยู่แล้ว มันกลับยิ่งร้อนกว่าเก่าจนแทบไหม้

น่าอาย! น่าอายที่สุด!

ผมปล่อยให้เขาเช็ดทำความสะอาด จัดการใส่กางเกง แล้วให้เขาอุ้มไปนอนที่โซฟาตัวยาว

ตอนที่ทำมันก็ฟินอยู่หรอก แต่พอหลังจากนั้นนรกของจริง ช่องทางหลังบวมแดง แถมยังแสบอีกต่างหาก นั้นเป็นเพราะเราไม่มีเจลหล่อลื่น ตอนนี้แค่จะนั่งยังรู้สึกไม่โอเคจนต้องนอนคว่ำหน้า

ผมงอนที่เขาทำผมเจ็บตัว เลยไม่ยอมตอบเวลาที่เขาถาม ผมนอนอยู่ตรงนี้ไม่นาน เสียงประตูก็ดังขึ้นอีกหน

“คุณคิรินมาแล้วครับ” เสียงจากเลขาหน้าห้องคนเก่าว่า

“ให้เข้ามา”

เสียงประตูดังแอ๊ด ผมหันกลับไปมองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ผู้ชายคลายจะเป็นลูกครึ่งตัวใหญ่พอ ๆ กับอชิตะเลย แต่ว่าเขากล้ามแน่นกว่าคงจะตามแบบฉบับคนโซนยุโรปละมั้ง

“เอาไปยาที่ฝากซื้อ” ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของคนที่อยากรู้อยากเห็น ที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนโซฟา “เบา ๆ บ้าง สกายก็ตัวแค่เนี่ย”

เฮ้ย! ทำไมรู้จักผมวะ

ผมหันไปมองหน้าอชิ ไม่ต้องเอ่ยปากเขาก็รู้ว่าผมจะถามอะไร

“สกายจำคิรินได้ไหม”

“...” ผมส่ายหน้าไม่ตอบ เพราะยังงอนอยู่

ว่าแต่คิรินไหนวะ... ผมทำท่านึก

“คิรินเด็กอ้วนที่ชอบอยู่กับเราตอนมอหกไง”

พออชิตะขยายความ ผมก็นึกตามก่อนจะจำได้ว่าเด็กอ้วนตัวขาว ๆ เตี้ย ๆ คนนั้นคือคนที่กำลังยืนหล่ออยู่ตรงนี้

“ฮะ!!!!” ดวงตาทั้งสองเบิกโพลง เป็นไปได้ไง ผมถึงกับต้องชันตัวขึ้นมอง

“หล่อจนจำไม่ได้ล่ะสิ”

“บุ้ย~ งั้น ๆ อชิหล่อกว่า” ผมเบ้ปากใสไปหนึ่งที เพราะบังอาจมาเทียบกับอชิตะ แฟนผมได้ยังไง

“ฮ่า ๆ เออยอมก็ได้”

“ว่าแต่ไม่เจอกันนานเลย หายไปไหนมาอะ”

“เราไปเรียนต่อที่เมืองนอกน่ะ เพิ่งกลับมาอยู่ไทย”

“อ๋อ...” ผมขานรับ

“จะคุยกันอีกนานไหม มีอะไรก็รีบพูด มีธุระต่อ” อชิตะเอ่ยเสียงทุ้ม ดึงหน้าขรึม

จะเก๊กทำไมของเขาเนี่ย... มันหล่อนะรู้ไหม หัวใจจะวาย

“ก็เรื่องงานนั่นแหละ ที่บริษัทจะเปิดยื่นประมูลสร้างคอนโดฯ สนใจไหม?”

“ก็สนใจอยู่นะ แต่...มันคงยาก ได้ข่าวว่าคนสนใจเยอะ” อชิตะกระตุกยิ้ม

“ถ้าจะเอา ก็ไม่ยาก” คิรินว่าจบก็ฉีกยิ้มอีกคน

คนพวกนี้เขาคุยกันไม่กี่คำ ก็เข้าใจแล้วเหรอ ผมที่นอนอยู่ตรงนี้ยังไม่เข้าใจอยู่เลย

ผมหันหน้าหนีเพราะยิ่งฟังก็ยิ่งง่วง ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้หนังตาหนัก และปิดลงในที่สุด



ผมรู้สึกตัวตื่นในตอนที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้ม ผ้าห่มผืนเล็กสีขาวห่มคลุมตัวเอาไว้ทำให้รู้สึกอุ่น

อชิตะยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตามเดิม

“เห็นหลับ เลยปล่อยให้นอน”

“ทีหลังปลุกก็ได้” ผมขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะรู้สึกเหนียวที่ก้นแปลก ๆ กำลังเอามือล้วงเข้าไปในกางเกงเพื่อแตะดู แต่อชิตะห้ามไว้ก่อน

“เราทายาไว้”

“ขอบคุณนะ” หายโกรธก็ได้ เห็นว่าน่ารักหรอกนะ ว่าแต่... “เธอเอายามาจากไหนอะ”

“ฝากคิรินซื้อมานั่นแหละ”

วี๊ดดดดด!!!! แบบนี้เขาก็รู้สิว่าผมกับอชิตะ...

จากตอนแรกที่หายโกรธแล้ว ผมก็กลับมาบึ้งตึงใส่เขาอีกหน ถามคำตอบคำ ไม่อยากตอบก็แค่พยักหน้า

หลังจากผมตื่นได้ไม่นาน อชิตะก็เก็บของที่จำเป็นใส่กระเป๋า แล้วพาผมกลับมาที่บ้านของเขาในเวลาต่อมา

ในบ้านเงียบสนิทเพราะไม่มีใครอยู่แล้ว ผมเดินตามอชิตะเข้าไปในห้องนอน “เราไม่ค่อยกลับมานอนเท่าไหร่ รกหน่อยนะ” ผมพยักหน้ารับ แล้วก็เริ่มเดินสำรวจ ปล่อยให้อชิตะเก็บข้างของที่จำเป็น เพื่อเอาไปใช้ที่ห้องผม

ผมเดินสำรวจต่อไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดที่หัวนอน มันมีกระดาษโน้ตสีซีดแปะเรียงกันอยู่ มองปราดเดียวก็รู้ว่านี่เป็นโน้ตที่ผมเคยส่งให้เขาเมื่อสมัยเรียน มันนานมากแล้ว นานจนบ้างแผ่นก็ไม่มีรอยน้ำหมึกปากกาหลงเหลือให้เห็นข้อความ

“ของแฟนเหรอ” ผมแกล้ง ๆ ถาม อชิตะหันกลับมามอง แล้วตอบอย่างไม่คิดอะไร

“ไม่ใช่” ว่าจบเขาก็หันไปเก็บกระเป๋า แต่ก็ยังขยายความต่อ “นานแล้วตั้งแต่ช่วงสมัยเรียนมอปลาย”

“อ๋อ...” ผมพยักหน้า แล้วเดินสำรวจต่อ ก่อนจะเหลือบไปเห็นปากกาวางอยู่

ผมหยิบปากกาขึ้นมา แล้วลงมือเขียนลงทับกระดาษโน้ตสีซีด ผมจำมันได้ทุกตัวอักษร...

เหมือนถูกฉุดให้ย้อนกลับไปในวันนั้น วันที่ฉีกยิ้มทุกครั้งที่มีข้อความจากอชิตะตอบกลับมา ผมยังคงเขียนจนไปถึงใบสุดท้าย จำได้ว่าวันนั้นผมเอาทิ้งไปแล้วนี่ ทำไมถึงได้มาอยู่กับอชิตะล่ะ

“เธอ...ทำไมเธอมีโน้ตใบนี้”

อชิตะวางมือจากทุกอย่าง แล้วลุกขึ้นเดินตรงมาทันที เขาหยุดมองทุกข้อความที่ผมเขียนเอาไว้ใหม่ ด้วยข้อความเดิม

“มันหมายความว่ายังไง ทำไมถึง...”

“อืม มันเป็นของเราเอง”

เราฉีกยิ้มให้กันกว้างกว่าที่เคย แล้วยืนจูบกันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ขอบคุณอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเวรกรรมหรือพรหมลิขิต ที่ทำให้เราได้กลับมาเจอกันในวันที่ทุกอย่างลงตัว ผมมีความสุขมากจริง ๆ

ต่อให้นานแค่ไหน ที่ตรงนี้จะยังเป็นของอชิตะ มันจะไม่เปลี่ยนไป เหมือนที่ผ่านมา...












#แฟนwithbenefits



เฮ้อ~ ลูกเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว



*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*

ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ





*ชื่อตอนเพลง เมื่อพบเธอ - Pchy







-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 11-09-2021 19:24:45
 :z1: :haun4:
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-09-2021 19:58:59
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: Pakeleiei ที่ 17-09-2021 12:16:19
อชิน่ารักมากเลยยยยยนยยนย
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -19-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 21-09-2021 00:38:40
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-19-

ปฏิเสธใจตัวเองไม่ได้จริงๆ



หลังจากจบงานเลี้ยงรุ่น


โลกใช้เวลาสามร้อยหกสิบห้าวันเพื่อโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทุก ๆ สี่ปีจะมีหนึ่งวันเพิ่มเข้ามา เป็นสามร้อยหกสิบหกวัน แต่คุณรู้หรือเปล่า...ต่อให้วันเวลาเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าไหร่ โลกก็ยังหมุนรอบดวงอาทิตย์ดวงเดิม

ผมคงเหมือนโลกล่ะมั้ง เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ๆ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี รู้ตัวอีกทีผมก็หมุนรอบคนคนเดิมเสียแล้ว...

สกายเป็นเหมือนท้องฟ้าของผม บางวันเขาก็ทำให้ผมสดใสเหมือนวันที่ฟ้าโปร่ง แต่ในบางคราว เขาก็ทำให้ผมเศร้าใจไม่ต่างจากท้องฟ้าในวันที่ถูกเมฆฝนบดบัง...

ผมคิดว่าตัวเองลืมสกายได้แล้ว จนกระทั่งผมได้กลับมาเจอเขาอีกครั้งในงานเลี้ยงรุ่น มันเหมือนผมพึ่งจะรู้ตัวว่า ที่ผ่านมาผมไม่เคยลืมเขาได้เลย 'รักแรกของผม'

หลังจากจบงานวันนั้นทุกอย่างได้เปลี่ยนไป สถานะที่เคยเป็นเพียงแค่เพื่อน ขยับเข้ามาเป็นเซ็กซ์พาร์ทเนอร์ จริง ๆ ผมไม่ถูกใจสถานะนี้เท่าไหร่นัก เพียงแต่ผมต้องไหลตามน้ำไปก่อน ผมเชื่อว่า ผมสามารถเปลี่ยนความรู้สึกเขาได้...

ติ้ง!

เสียงข้อความจากสกายทักหาผมตลอดหลายวันที่ผ่านมา ผมอยากกดอ่านใจจะขาด แต่ก็ไม่อาจทำอย่างที่ใจต้องการ หากผมเปิดอ่านข้อความสกายตอนนี้ แน่นอนเลยว่าผมต้องพุ่งตัวไปหาเขาในทันที

ผมกดต่อสายหาเลขาหน้าห้องในเวลาต่อมา...

“ศิลา รบกวนช่วยเอาตารางงานของทั้งเดือนมาให้ที”

[ได้ครับ]

ไม่นานศิลาเลขาของผมก็เดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารวาระต่าง ๆ ที่ผมต้องทำตลอดทั้งเดือน

“งานอะไรที่คุณพอจะเร่งให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้ได้ คุณช่วยขยับให้ผมหน่อยสิ”

“ผมว่ามันจะหนักไปนะครับ”

“ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ”

“ได้ครับ”

ศิลาโค้งตัวแล้วเดินถือเอกสารเดินออกไป ผมอยากให้หนึ่งวันมีสักสี่สิบแปดชั่วโมง ทุกอย่างคงจะเสร็จเร็วกว่านี้



เอกสารจำนวนมาก ถูกยกมาวางไว้บนโต๊ะผมอยู่ทำงานจนเช้าอยู่หลายวัน บางวันต้องยกเอามาทำต่อที่บ้าน สามสี่วันมานี้ไม่มีข้อความจากสกายส่งมา นั่นทำให้ผมยิ่งร้อนใจอยากไปหาเขาให้เร็วที่สุด

“กาแฟครับคุณอชิ” ศิลายกเครื่องดื่มกลิ่นหอม รสขมเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะทำงาน “ผมว่าคุณอชิตะพักบ้างก็ดีนะครับ ช่วงนี้คุณดูโทรม ๆ”

“มันทำให้ผมดูหล่อน้อยลงหรือเปล่า” ผมว่าเอินหยอก

“ฮ่า ๆ ไม่หรอกครับ บอสผมหล่อที่สุดแล้ว”

“ผมขอถามอะไรคุณหน่อยสิ”

“ได้สิครับ”

“คุณมีแฟนหรือเปล่า”

“มีสิครับ ผมอายุปูนนี้แล้วนะ” ศิลาว่าพลางเกาแก้มตัวเอง

“คุณจีบแฟนคุณยังไง”

“อืมม....” ศิลาทำท่าคิดอยู่พัก ก่อนจะเริ่มพูดต่อ “ช่วงจีบ ๆ กันก็ซื้อของที่เขาชอบไปฝาก พาไปกินของอร่อย ๆ หาเวลาว่างคุยเนียน ๆ อะไรประมาณนี้แหละครับ”

“...” ให้ตายเถอะ นี้ก็เป็นอาทิตย์แล้วที่ผมขาดการติดต่อ แบบนี้ผมจะขยับความสัมพันธ์กับสกายได้หรือเปล่า

“อย่าบอกนะครับว่าคุณอชิตะกำลังตามจีบใครอยู่”

“ก็คงงั้น...” ผมก้มหน้าทำงานต่อสักพัก ปล่อยให้ศิลาเดินอมยิ้มออกไปทำงานของตัวเอง

ในใจคิดฟุ้งถึงเรื่องสกายไม่หยุด ผมควรทักไปหาสกายหรือเปล่า ไวกว่าความคิด ผมก็หยิบมือถือกดเข้าแชทที่ปักหมุดเอาไว้บนสุด แล้วพิมพ์ข้อความ

คิดถึงจัง เจอกันหน่อยไหมl

ส่งไปแบบนี้คงไม่ดีมั้ง หายไปหลายวันจู่ ๆ มาบอกว่าคิดถึงได้ไง ผมกดลบข้อความ แล้วกดพิมพ์ใหม่อีกครั้ง

สวัสดี ทำอะไรอยู่l

เชยไปหรือเปล่านะ ไม่ดีกว่า... เป็นอีกครั้งที่ผมกดลบข้อความทิ้ง ในห้องทำงานเงียบสนิท มีเพียงเสียงผมใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ ป๊อก ป็อก ป๊อก

ผมนั่งมองหน้าจอนิ่ง ๆ อยู่แบบนี้มาหลายนาทีแล้ว คิดไม่ออกเลยว่าจะเริ่มทักไปยังไงก่อนดี

ติ้ง!

เสียงข้อความดังขึ้น หนนี้เป็นข้อความจากพี่สาย เป็นข้อความรูปภาพที่พี่แกชอบส่งมาให้ทุกเช้า ‘สวัสดีวันจันทร์’ หรือผมจะกดส่งต่อไปให้สกายดีวะ

โธ่เว้ย!!! พอกันที ผมชักหงุดหงิดตัวเอง ไม่ทงไม่ทำมันแล้วงาน ผมกดมือถือเลื่อนหาเบอร์ของคนที่ไม่ได้ติดต่อมานาน แล้วกดโทรออก

Ninew

“นี่อชินะ...อยู่ห้องหรือเปล่า...โอเคส่งโลเคชันมาจะรีบไป” ผมกดวางสายนิวในเวลาต่อมา

เสื้อสูทสีดำสนิทพาดอยู่บนเก้าอี้ทำงานถูกหยิบขึ้นมาสวม เท้าสาวเท้าจ้ำอ้าวออกจากห้องทำงานอย่างเร็วรี่

“ศิลา ยกเลิกประชุมของวันนี้ทั้งหมด ผมมีนัดสำคัญ”



หลังจากวันนั้นที่ผมให้นิวพาไปหาสกาย กลับมาผมก็ยอมลดเวลาพัก เพื่อเคลียร์ทุกอย่างให้เรียบร้อย ก่อนที่จะหยุดยาว วันหยุดต่อจากนี้ผมจะนอนกกสกายทั้งวันทั้งคืนเลยคอยดูสิ และวันนี้ก็มาถึง...

“ศิลา ผมจะหยุดยาว ถ้ามีอะไรด่วนก็ส่ง’ เมลมา อะไรที่จัดการเองได้ก็ทำได้เลย ผมให้อภิสิทธิ์คุณ”

“ได้ครับคุณอชิ”

เท้าก้าวยาวมายังลิฟต์ตัวใหญ่ที่ใช้สำหรับผู้บริหาร ระหว่างรอเสียงมือถือก็แผดเสียงดังออกมา เป็นสายจากพี่สาวผมเอง คุยกันอยู่พักใหญ่ ใจความสำคัญหลักคือ อีกไม่นานพี่สายจะพาอาซาไปรักษาตัวที่อเมริกา ผมไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด แต่ผมต้องเปลี่ยนแผนจากที่จะไปห้องสกาย ก็ถือโอกาสชวนสกายออกไปข้างนอกแทน

ผมใช้ข้ออ้างว่าจะไปซื้อของให้หลานเพื่อดึงสกายออกมา ใจจริงอยากชวนเขาเดตมากกว่า แต่ไม่รู้จะพูดยังไง ก็ในเมื่อผมกับเขาสถานะเราเป็นเพียง... ก็นั่นแหละนะ

ผมขับรถกลับมาที่บ้านเพื่ออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า เสื้อในตู้ถูกหยิบออกมาวางไว้บนเตียงอยู่จำนวนหนึ่ง ลองหยิบออกมาทาบที่ตัวดูความเหมาะสม นี่จะเป็นครั้งแรกที่เราจะได้ออกไปข้างนอกด้วยกัน ผมอยากทำให้เขาประทับใจที่สุด

“ใส่สูทตัวนี้ดีไหมนะ” ผมหยิบสูทสีอ่อนขึ้นมาทาบที่ตัว “สกายจะดูออกไหมว่าเราตั้งใจเลือกชุด งั้น...เปลี่ยนดีกว่าเดี๋ยวเขาจับได้” ผมหยิบเสื้อตัวใหม่ออกจากตู้ ลองอยู่หลายชุดสุดท้าย ผมก็หยิบแค่เสื้อเชิ้ตสีพื้นโง่ ๆ มาหนึ่งตัว

ผมขับรถมายังห้องสกายในเวลาต่อมา เคาะห้องไม่นานเขาก็เปิดประตู วันนี้เขาสวมเสื้อเชิ้ตฟ้าอ่อน กับกางเกงขาสั้นสีครีม เข้าคู่กับรองเท้าผ้าใบขาวดูสบาย ๆ รู้สึกโชคดีจริง ๆ ที่ไม่หยิบสูทใส่มา

เรามาถึงห้างสรรพสินค้าเกือบเที่ยง ผมจึงชวนเขาทานข้าวก่อนเพราะผมยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า คิดว่าสกายก็น่าจะยังไม่ได้ทานมาเช่นกัน 

ทานข้าวเสร็จก็ตรงไปดูของขวัญให้อาซาต่อทันที ผมให้สกายช่วยเลือกของขวัญให้อาซา เพื่อเอาไว้ใช้เป็นตัวแทนผมตอนที่ไปอยู่ที่นู่น และผมก็เลือกตัวที่สกายเลือกนั่นแหละ

หลังจากเลือกของขวัญเสร็จ ผมชวนสกายมานั่งทานไอศกรีมที่ร้านเจ้าประจำของอาซา ไม่รู้ว่าสกายจะชอบกินไหม แต่เวลาที่คนส่วนใหญ่เดตกัน มักจะเข้าร้านแบบนี้ ผมเคยเห็นในหนังที่อาซาชอบดู

ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมอยากทำ แต่แอบสังเกตเห็นสกายอ้าปากห้าวอยู่หลายครั้ง ผมจึงตัดสินใจถามเขาไปตรง ๆ

“สกายจะกลับเลยไหม”

“อชิไปไหนต่อหรือเปล่าล่ะ”

“อืมม...” ผมหยุดคิดสักพัก “ก็ไม่นะ ว่าจะไปนอนเล่นที่ห้องสกายนั่นแหละ” หลังจากจบประโยค สกายก็ตักไอศกรีมเข้าปากไม่ยั้งมือ

ชอบขนาดนั้นเลยหรือไง รู้แบบนี้คงพามาบ่อย ๆ

ผมนั่งมองเขากินอยู่เงียบ ๆ เวลาที่เขาเคี้ยวเนื้อไอศกรีมเต็มปากจนแก้มป่อง มันดูน่ารักมาก แถมเขายังทานเลอะอย่างกับเด็กไม่มีผิด

“สกายค่อย ๆ กินเลอะหมดแล้ว” ว่าจบผมก็ใช้นิ้วโป้งปาดเอาคราบที่เลอะมุมปากของคนตัวเล็กมาชิม รสชาติมันหวานกว่าปกติเป็นเท่าตัว ใจจริงผมอยากใช้ปากประกบ แล้วลิ้มรสหวานด้วยลิ้นของผมเองมากกว่า

แค่คิดผมก็อยากอุ้มสกายออกจากร้าน แล้วตรงไปยังห้องของเขาในทันที

“...”

“หลานเรายังไม่กินเลอะขนาดนี้เลย” ผมว่า สกายที่นั่งอึ้งอยู่รีบใช้หลังมือเช็ดคราบที่ติดมุมปากตัวเอง แต่ทว่าที่ปากสะอาดแล้ว แต่ที่หลังมือนี่สิ “ดูสิเนี่ยเอามือเช็ดก็เปื้อนสิ” ผมคว้าข้อมือเล็กไว้ ไม่ให้เขาเช็ด เพราะผมจะเป็นคนเช็ดให้เขาเอง

เพียงแค่ก้มหน้าลง เหมือนเขาจะรู้ความคิดผมจึงเอ่ยทักท้วง

“จะทำอะไรคนเต็มร้าน”

“มุมนี้ไม่มีใครเห็นหรอก” ก่อนที่เขาจะมีคำถาม ถามต่อ ผมก็ใช้ลิ้นร้อนโลมเลียหลังมือที่เปื้อนไอศกรีมจนสะอาด

สกายนั่งหน้าแดงก่ำลามไปจนหูทั้งสองข้าง เป็นปฏิกิริยาที่น่ามองเสียจริง ๆ ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี่เนี่ย ไม่คิดเลยว่าจะทำผมปั่นป่วนได้ถึงเพียงนี้

“ขอบคุณครับ” สกายดึงมือกลับแล้วนั่งก้มน่ากินไอศกรีมต่อ

ผมปล่อยให้เขานั่งกินต่ออยู่พัก เขาก็เริ่มบ่นว่าไม่ไหว เราจึงออกมาคิดเงินด้านนอก

“พี่อชิ...” เสียงคุ้นหูตะโกนเรียกจากด้านหลัง ผมหันกลับไปมอง

อ่า...อาซานี่เอง

“อาซามาได้ไง” ผมว่า

“อาซามากินไอศกรีมกับเพื่อน...ว่าแต่คนนี้ใครครับ ทำไมมากับพี่อชิล่ะ”

“นี่สกาย” ผมเริ่มแนะนำสกายให้อาซารู้จัก แต่ก็ไม่รู้จะบอกยังไงดี ผมจึงให้แนะนำว่าเขาเป็นเพื่อน “เพื่อนพี่เอง”

“สวัสดีครับ เพื่อน พี่ อชิ!” ฟังจากเสียง ผมก็รู้ได้ทันทีว่าอาซากำลังหวงผมอยู่ เขาเป็นแบบนี้กับทุกคน ไม่ว่าจะกับแฟนคนไหนก็ตาม แต่เขาเป็นเด็กดีนะ ถ้าคุยกับเขาด้วยเหตุผล เขาก็เข้าใจ

“เรียกพี่สกายก็พอครับ”

“พี่อชิ... รถเพื่อนอาซาเสีย พี่อชิไปส่งอาซาหน่อยนะ”

“เพื่อนพี่ไม่ได้เอารถมาน่ะ อาซาเรียกรถกลับเองได้ไหมครับ”

“แต่ว่า... อาซาไม่ชอบนั่งรถกลับเองนี่ พี่อชิก็รู้”

“นะพี่อชิ นะ... นะ... นะ... นา...”

“อชิไปส่งน้องเถอะ เดี๋ยวเรากลับเอง” สกายที่ยืนฟังอยู่พูดขึ้น

“เอางั้นเหรอ แต่เรามาด้วยกันนะ”

“ไม่เป็นไร เราไปก่อนนะไว้เจอกัน”

ผมไม่ได้รั้งสกายเอาไว้ แต่ผมสัญญาแล้วว่าจะไปหาเขาที่ห้อง ผมตัดสินใจจะไปส่งอาซาแล้วค่อยกลับไปหาสกาย

“อาซา เราไม่น่ารักเลยนะ เราต้องคุยกัน”

“ไม่รู้ อาซาไม่รู้อะไรทั้งนั้น” ผมใช้มือบีบจมูกเจ้าเด็กดื้อไปหนึ่งที แล้วพากันเดินมายังลานจอดรถ

“คาดเข็มคัดด้วย” ผมว่า

“ไม่เอามันอึดอัด” ผมไม่รอให้เขาเถียงต่อ แต่เปลี่ยนเป็นเอื้อมมือไปหยิบมาคาดให้แทน

“วันนี้ไม่น่ารักเลยนะ ทำไมพูดกับเพื่อนพี่อชิแบบนั้น”

“...” อาซาไม่ตอบ นั่งอมลมทำแก้มป่อง ก่อนจะดึงหน้าผมเข้าไปใกล้ แล้วใช้หัวโขกกับหัวผมอย่างแรง “พี่อชิต่างหาก ผมเห็นนะว่าพี่อชิเลียมือพี่สกาย เพื่อนที่ไหนทำแบบนี้กัน...” ว่าจบเขาก็หันไปนั่งตัวตรงกอดอกตัวเอง

“กลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่า” ว่าจบผมก็ออกรถทันที

ใช้เวลาบนถนนไม่นานเราก็มาถึงบ้าน ผมอธิบายเรื่องต่าง ๆ ให้อาซาฟังด้วยเหตุผล เหมือนเขาจะเข้าใจ แต่ก็ยังหวงผมราวกับเด็กกลัวถูกแย่งของเล่น

อาซาไม่ค่อยชอบแฟนของผมเท่าไหร่ เพราะคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกแย่งความรักไป แต่ผมเชื่อว่าเขาจะรักสกาย เหมือนที่ผมรักเขาแน่นอน...



‘ความสุขมักอยู่กับเราไม่นาน’ ประโยคนี้มันจริงเสมอ หลังจากวันที่ผมคุยกับอาซาเสร็จ ผมก็ตรงไปยังห้องของสกายในทันทีเรามีเวลาอยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง ผมก็ต้องกลับก่อนแต่เห็นว่าเขาหลับสบายผมเองก็ไม่กล้าปลุก 

พี่สายโทรหาผมแต่เช้า เพราะกำหนดที่พี่สายวางเอาไว้ว่าอีกสองเดือนจะเดินทางถูกกระชับให้เร็วขึ้น อาซามีอาการแทรกซ้อน หากช้ากว่านี้อาซาคงไม่พร้อมเดินทาง

ช่วงนี้จะค่อนข้างวุ่นวายเพราะต้องเตรียมเอกสารหลายอย่าง แต่ผมก็ยังแบ่งเวลามาหาสกายในแต่ละวัน แต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผมจะได้อยู่ด้วยกัน

วันที่ผมเสียใจที่สุดคือวันที่ผมทิ้งเขาไว้ในห้องคนเดียว เดินออกมาโดยไม่อธิบายอะไรสักคำ นั้นคือความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่

ผมตัดสินใจที่จะพูดความรู้สึกของตัวเองหลังจากเคลียร์เรื่องทุกอย่างจบ นิวเล่าให้ฟังว่าสกายเองก็ชอบผมมานานแล้ว เรื่องทั้งหมดมันอาจจะผิดที่ผมไม่เคยพูดออกไปตรง ๆ แต่วันนี้ผมพร้อมแล้ว ผมจะไม่รออะไรอีกต่อไป เขาควรจะได้รู้สักที่ว่าผมชอบเขา ชอบมาตลอด ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ที่ตรงนี้ก็ยังเป็นเขาเสมอ...







#แฟนwithbenefits





กลับมาแล้วคร่าบบบบ ตอนนี้เขียนนิยายจบแล้ว มีตอนพิเศษแถมให้อีก 1 ตอน 

จะมาอัปเรื่อย ๆ จนจบเลยนะครับ

รัก <3





ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ







-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -20-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 21-09-2021 01:36:44
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-20-

ความสัมพันธ์ที่เรียกว่ามิตรภาพ



ชีวิตของผมกลับเข้าสู่สภาวะปกติ งานที่ห่างหายไปนานตอนนี้ผมก็กลับมาทำตามเดิม อชิตะก็ย้ายมาอยู่กับผมแทบจะถาวร อาซาหลังจากไปรักษาตัวต่อที่อเมริกา ตอนนี้อาการดีขึ้นจนแทบกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ ทุกอย่างกำลังลงตัว จะมีก็แต่ นิว...

ตั้งแต่วันนั้น ผมก็ติดต่อนิวไม่ได้มาสองเดือนแล้ว ไม่รู้เลยว่าเป็นยังไงบ้าง อันที่จริงผมไม่ได้โกรธอะไรนิว ในทางกลับกัน ผมกลับรู้สึกโกรธตัวเองที่ไม่เคยรู้อะไรเลย ที่ผ่านมาผมเอาแต่พูดถึงอชิตะอยู่ตลอด

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่เคยแอบรักเพื่อนตัวเอง ผมย่อมรู้ดีว่ามันเจ็บแค่ไหน

“อือออ ที่รักตื่นก่อนไม่ปลุกอีกแล้วนะ” ผมสะดุ้งโหยง เพราะเสียงทุ้มที่กำลังพาร่างโงนเงนเดินเข้ามาในห้องน้ำ ก่อนจะทิ้งหัวซบลงมาที่ลาดไหล่จากด้านหลัง แขนแกร่งเหวี่ยงขึ้นสวมกอดเอาไว้หลวม ๆ

“ก็เธอหลับสบายขนาดนั้นใครจะกล้าปลุก” ผมว่า

“ตื่นขึ้นมาไม่เจอตกใจมากเลย”

ไม่รู้ว่าจากกระต่ายตัวน้อยในวันนั้น โตขึ้นมาเป็นแมวยักษ์ได้ยังไง ตั้งแต่ที่ตกลงเปลี่ยนสถานะ เขาก็อ้อนเก่งเป็นเท่าตัว มันก็ดีน่ารักอยู่หรอก แต่บางครั้งก็น่าตบ อย่างเช่นตอนนี้

“อชิ! หยุดบีบก้นเดี๋ยวนี้เลยนะ!!!” นี่มันแมวหื่นชัด ๆ

“ก็มันเด้งสู้มือเค้าอะ เนี่ย ๆ ดูสิ เด้งดึ้ง ๆ เลย”

โวยยยย!!! ผมล่ะอยากฟาดให้หลับ มือไม้มันซุกซนไปหมด เดี๋ยวจับก้น เดี๋ยวเขี่ยไข่ กวนทั้งคืนยังไม่พออีกหรือไงฟะ

ผมรีบจัดการบีบยาสีฟันใส่แปรงแล้วส่งให้เขา ก่อนที่มือเขาจะซุกซนไปมากกว่านี้ จะว่าไปบรรยากาศตอนนี้ถ้าบอกว่าผมกำลังฝันอยู่ผมก็เชื่อนะ อชิตะคือคนที่ผมคิดว่าไม่มีทางเป็นเรื่องจริงได้มาตลอด แต่จู่ ๆ เขาก็ยืนอยู่ตรงนี้ข้าง ๆ ผม แถมยังมีฟองยาสีฟันยังเต็มปากอีกต่างหาก

“ปากหอมแล้วขอดมหน่อย” ว่าจบเขาก็กดริมฝีปากบางงับลงมา มันไม่ใช่จูบร้อนแรง เพียงแค่ขบเบา ๆ เท่านั้น ไม่นานนักเราก็ผละออกจากกัน

“เลิกเล่นแล้วรีบอาบน้ำเถอะ” ผมว่า



เราใช้เวลาไม่นานในการอาบน้ำ แล้วออกมาช่วยกันทำข้าวเช้า แต่ส่วนใหญ่อชิตะจะมีหน้าที่หลักในการทำอาหารในทุก ๆ วัน จะมีบางวันที่ต้องทำกินเองบ้าง แต่ส่วนมากผมจะสั่งเอาเสียมากกว่า ไม่ก็ต้มมาม่ากินง่าย ๆ

ระหว่างนั่งอชิตะทำอาหารผมก็เปิดมือถือ เขี่ยเล่นตามปกติ จนกระทั่งเฟซบุ๊กแจ้งเตือนวันนี้เมื่อห้าปีที่แล้ว ผมชอบกดเข้าไปดู บ้างข้อความก็เป็นอดีตที่ผมอยากลบ บางอันอ่านแล้วก็ตลกดี ไม่คิดว่าตัวเองในวันนั้นจะบ้าได้ขนาดนี้

เลื่อนมาเรื่อย ๆ ผมก็มาสะดุดกับรูปภาพหนึ่ง เป็นรูปผมกับนิวกำลังนั่งกินหมูกระทะด้วยกัน หน้าผมแดงก่ำเพราะเครื่องดื่มขวดสีเข้มที่ตั้งอยู่ด้านหน้า สภาพของนิวเองก็ไม่ต่างกัน

ผมจำได้ว่าวันนั้น ผมเห็นอชิตะเปิดตัวแฟนในเฟซบุ๊ก หลังจากที่เราเข้ามหา’ลัยได้ไม่นาน นิวเห็นผมเศร้าเลยพาผมไปนั่งกินเบียร์ย้อมใจที่ร้านหมูกระทะ วันนั้นเราทั้งคู่กอดคอกันเมาเละไม่ต่างกับหมา

มันไม่เคยทิ้งผมไปนานขนาดนี้เลย ที่ผ่านมาเราทะเลาะกันบ่อยก็จริง แต่ไม่กี่วันผมจะได้ยินเสียงมันเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหู มันเป็นเพื่อนคนเดียวของผมจริง ๆ

“อชิ...”

“ครับ?”

“นิวหายไปเลย...” มือที่กำลังถือมีดหั่นผักอยู่หยุดชะงัก เขาวางมีดลง แล้วเดินมานั่งคุกเข่าข้าง ๆ ทั้งที่ยังสวมผ้ากันเปื้อนอยู่ “เราเป็นห่วงมัน มันไม่เคยหายไปนานขนาดนี้”

“เอาอย่างนี้ไหม ไหน ๆ วันนี้ก็วันหยุด เราทำกับข้าวไปกินที่ห้องนิวกัน” อชิตะว่า

“แต่นิวจะอยากเจอเราเหรอ ขนาดเราทักไปนิวยังไม่ตอบเลย”

“นิวคงตกใจแหละ มันเก็บความรู้สึกมานาน เราเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ด้วย มาช่วยกันทำอาหารด้วยกันดีกว่าอย่าคิดมากเลย เธอสองคนสนิทกันมากกว่าเราที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็กซะอีก”

“เธอไม่หึงใช่ไหม” ผมว่า

“ไม่หึงครับ แต่หวงมากกว่า อีกอย่างเรารู้ว่านิวไม่ได้คิดอะไรกับสกายแล้ว”

“โอเค งั้นเดี๋ยวเราช่วยทำอาหารนะ จะได้เสร็จเร็ว ๆ”

ผมใช้เวลาช่วงเช้าด้วยกันกับอชิตะในครัว หน้าที่ผมไม่ได้ทำอะไรมากมาย แค่ล้างผัก หั่นหมูง่าย ๆ ก็เท่านั้น ไม่นานนักเราก็จัดการเอาอาหารใส่กล่อง แล้วออกเดินทางในเวลาต่อมา

ระหว่างทางผมลองส่งข้อความหานิวดูอีกครั้ง แต่ทว่าก็ยังไม่มีการตอบกลับ ผมไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเพราะอะไร หรือมันโกรธผมงั้นเหรอ

“นิวไม่ตอบเหรอ” อชิตะว่า

“อืม เธอว่านิวโกรธเราหรือเปล่า”

“ไม่หรอก เราว่ามันน่าจะแค่ไม่กล้าเจอหน้าเธอมากกว่า” ว่าจบอชิตะก็ยกมือลูบหัวอย่างแผ่วเบา

รถจอดนิ่งสนิทใต้คอนโดของนิว รถสัญญาชาติญี่ปุ่นสีดำวาววับจอดนิ่งสนิทอยู่ ผมจำเลขทะเบียนได้แสดงว่ามันคงอยู่ห้อง

ผมกดลิฟต์ไปยังชั้นเก้า จะว่าไปผมก็ไม่ได้มาที่นี่นานแล้วเหมือนกัน อชิตะเดินนำหน้าผมไปไม่ไกลนัก ก่อนจะมาหยุดหน้าห้องเก้าศูนย์สอง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

อชิตะเคาะประตูอยู่หลายครั้ง ผมได้ยินเสียงตึงตังข้างใน แต่กลับไม่มีใครออกมาเปิดประตู

แกร๊ก!


ประตูแง้มออกนิดเดียว นิวยื่นหน้าออกมาเห็นเพียงแค่ส่วนหัว ผมได้แต่ยืนแอบอยู่ข้างประตู ปล่อยให้อชิตะยืนรับหน้าแทน

“มาแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่า” นิวว่า

“ขอเข้าไปได้ไหม”

“เอ่อ...คือ...”

“มีแขกเหรอ”

“เปล่า ๆ ห้องรก รอแป๊บนะ” ว่าจบนิวก็ปิดประตู อชิตะหันมาสบตากับผมอย่างงุนงง ยืนรออยู่พักมันก็กลับมาเปิดประตูอีกครั้ง

ผมเดินตามหลังอชิตะเข้าไป ถอดรองเท้าที่ชั้นวางแล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะในโซนครัว

“รองเท้าใครวะ ไม่คุ้น” อชิตะที่เดินตามมาที่หลังถาม 

มีรองเท้าด้วยเหรอ? ผมไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่สนใจนิว

“ของกูนี้แหละ”

“มึงใส่รองเท้าใหญ่กว่ากูอีกเหรอ”

“เรื่องของกูนา ว่าแต่พวกมึงมาแต่เช้ามี’ไร”

“กูกับสกายทำกับข้าวมาเผื่อ” อชิตะยกกล่องข้าววางไว้บนโต๊ะ “กูขอใช้ห้องน้ำหน่อยนะ”

“เฮ้ย ๆ ใช้ห้องข้างนอก ในห้องนอนกู... กู...กูขี้ลืมกด” อวสานอาหารเช้า

“เหี้ยสกปรกสัด!”

“เออกูลืม...” อชิตะพยักหน้ารับ หันมามองผม ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

ผมรู้ว่าอชิตะต้องการให้ผมคุยกับนิวตามลำพัง

“เป็นไงบ้าง” ผมเป็นคนเริ่มเปิดประเด็นก่อน

นิวเดินมาหยิบกล่องอาหาร แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์ครัว จัดการเอากับข้าวที่ทำมาใส่จาน แล้วเอามาวางที่โต๊ะ

“สบายดี มึงล่ะ” นิวตอบ

“สบายดี...”

“...” นิวไม่พูดอะไรต่อ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึก...

“ถามจริง ๆ เถอะนิว...มึงเป็นอะไร กูทำอะไรผิดเหรอ จู่ ๆ มึงก็หายไป มึงไม่เคยหายไปนานขนาดนี้เลยนะเว้ย! มึงบอกกูมาสิ กูทักไปก็ไม่ตอบ กูทำอะไรผิด” ความอึดอัดที่ถูกกดเอาไว้ระเบิดออกมา ตู้ม! เป็นโกโก้ครั้นช์ มันมาพร้อมกับหยดน้ำตาเม็ดใส

ยิ่งมันไม่พูดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจ ผมทำอะไรผิด หรือว่ามันเกลียดผม ไม่พอใจอะไรก็ควรบอกกันตรง ๆ ไม่ใช่หายไปแบบนี้

“สกายอย่าร้อง กูขอโทษ”

“ขอโทษอะไรของมึง กูไม่ต้องการ กูต้องการคำอธิบาย ฮือออ~” ผมยกมือปาดน้ำตาออกจากสองแก้ม “ตอนกูเศร้ามึงก็อยู่กับกู พอตอนกูมีความสุขมึงเสือกหายไปดื้อ ๆ แบบนี้ได้ยัง ไอ้คนเหี้ย!”

“สกายมึงใจเย็น ๆ ก่อน”

“ไอ้คนเลว!”

“เดี๋ยววววววว มึงฟังกูก๊อนนนน”

“ฮึก ฮึก ฮึก! ซู๊ดดดด~” ผมสูดน้ำมูกที่กำลังย้อยกลับเข้าไป แล้วฮึบน้ำตาเอาไว้

“มึงไม่ผิดอะไรเลย กูแค่ไม่กล้าเจอหน้ามึง กูคิดว่ามึงอาจจะเกลียดกู”

เวร! ผมอยากจะด่าว่าชาติหมาเป็นภาษาละติน แต่ดันสะกดไม่เป็นมันเลยรอดไป

“แค่เนี่ย เลว! เอาน้ำตากูคืนมา”

“กูโกหกมึงมาตลอดเลยนะเว้ย มึงไม่โกรธกูเหรอ”

“โกรธ แต่โกรธที่มึงหายไปมากกว่า”

“กูขอโทษ ดีกันนะมึง”

“ไม่ต้องเลย มึงมันคนเหี้ย กูเป็นห่วงมึงมากนะรู้ไหม ส่งข้อความไปก็ไม่ตอบ”

“กูขอโทษไง กูเปลี่ยนมือถือใหม่ ไลน์กูก็เปลี่ยน”

“เฟซบุ๊กล่ะ ไม่เห็นมึงออก”

“ช่วงนี้งานกูเยอะ กูแทบไม่ได้จับมือถือเลย”

“คนตอแหลมึงมันชอบแก้ตัว”

“มึงนี่นะ เออกูรับผิดทุกอย่างแล้ว หายโกรธกูได้หรือยัง”

“ก็ได้ แต่ที่หลังมีอะไรพูดกันตรง ๆ” จริง ๆ ผมไม่ได้โกรธอะไรมันเลย แค่ไม่เข้าใจที่มันหายไปก็เท่านั้น

ผมใช้เวลานั่งคุยกับนิวอยู่สักพัก อชิตะก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

“ดีกันแล้วใช่ไหม” อชิตะว่า

“เธอนิวแกล้งเรา” ผมหันไปกอดเอวคนตัวใหญ่ที่กำลังยืนอยู่ด้านข้าง

“ขี้มูกน่าเกลียดมาก” อชิตะโน้มตัวไปหยิบทิชชูกลางโต๊ะมาสองสามแผ่น “สั่งออกมา”

“ฮือ...ไม่เอาเราเช็ดเอง”

“สั่งมาเถอะหนา” ผมยอมสั่งน้ำมูกใส่กระดาษทิชชูที่อชิตะถืออยู่อย่างว่าง่าย

“รักกันมาก รักกันเหลือเกิน มีใครเห็นกูไหมครับ กูอยู่ตรงนี้” นิวว่าพลางกลอกตาไปมา

“อย่าอิจฉาเพื่อน” ผมว่า

หลังจากคุยกันเสร็จ เราทั้งสามคนก็นั่งกินข้าว เรากลับมาพูดคุยกันเหมือนปกติราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

อย่างที่ผมว่านั่นแหละ นิวอยู่กับผมทุกช่วงเวลาจริง ๆ ไม่ว่าจะเศร้าสุด ๆ หรือวันที่ผมมีความสุข ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน คำว่ามิตรภาพไม่เคยหายไป

ถ้าผมกับนิวเป็นแฟนกัน เราอาจจะอยู่ไม่ถึงวันนี้ก็ได้ ไม่ใช่ว่านิวไม่ดีนะ แต่นิวมันเป็นคนกวนตีน อยู่กับผมไม่ได้หรอกประสาทจะกิน อย่างนิวต้องเจอคนที่ปราบมันได้เท่านั้น

หลังจากอาหารเช้าจบลง นิวก็ไล่พวกผมกลับทันที 

เมื่อหลายวันก่อนพี่โจโทรมาให้ผมเข้าไปเอาของที่บ้าน พี่แกเข้าไปคุยงานกับลูกค้ามา เขาเลยฝากของผมมาด้วย แกโทรบอกผมหลายวันแล้วแหละ แต่ผมไม่ว่างสักที ไหน ๆ วันนี้ก็ออกมาแล้วถือโอกาสแวะไปเอาเลยแล้วกัน

ผมให้อชิตะขับรถไปบ้านพี่โจที่อยู่แถวคอนโดฯ เป็นหมู่บ้านจัดสรร ไม่นานรถก็ดับสนิทหน้าบ้านหลังใหญ่ ผมกดออดเรียกอยู่ครู่เจ้าของบ้านก็เดินออกมาพร้อมกับกล่องของที่ลูกค้าฝากมา

คุยเสร็จผมก็เดินกลับเข้ามาในรถ

“เธอ” ผมหันไปยังปลายเสียงทุ้ม

“ครับ?”

“เราว่านิว แปลก ๆ”

“โอ๊ยเธอ มันก็เป็นคนแปลก ๆ แบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร”

“ไม่ใช่อย่างนั้นสิ”

“?” ผมหันกลับไปมองทันที อชิตะบอกนิวแปลก แต่ผมว่าไม่แปลกนะ ถ้าบอกนิวปกติยังฟังดูน่าแปลกกว่าอีก

“ก็ตอนที่เราไปเข้าห้องน้ำ เอาเห็นแปรงสีฟันสองอัน”

“ของมันล่ะมั้ง”

“รองเท้าแปลก ๆ ที่หน้าห้องอีก มันคู่ใหญ่มากเลยนะ”

“มันอาจจะซื้อมาผิดไซซ์ไง เธอคิดมาก”

“เราว่านิวมีแฟน”

นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันมีผมต้องรู้สิ

“ไม่หรอกมั้ง ถ้ามีมันคงบอกเราไปแล้วแหละ”

“คงงั้นล่ะมั้ง” ว่าจบเขาก็หันไปสนใจถนนต่อ

เราใช้เวลาบนถนนกว้างไม่นานก็มาถึงคอนโดฯ มาถึงห้องผมก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตัวยาว พรูดลมหายใจออกทางจมูกอย่างสม่ำเสมอ รู้สึกเหมือนทุกอย่างที่หนักอยู่ในอกถูกยกออก หลังจากนี้ชีวิตผมก็จะกลับมาปกติจริง ๆ เสียที

ผมชันตัวลุกขึ้นนั่ง หยิบกล่องที่เพิ่งได้มาแกะออกดู ในกล่องประกอบไปด้วยถุงมืออุ้มเท้าแมวนุ่มนิ่มน่ารักหนึ่งคู่ กับคาดผมหูแมวสุดคิวท์ มีปลอกคอสีแดงครบเซท มีป้ายห้อย Made in Japan ลูกค้าคิดอะไรอยู่ถึงได้ให้ของแบบนี้กับผม

แต่จะว่าไปมันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว ถ้าอชิตะใส่มันต้องน่ารักแน่ ๆ เลย

มุแง้~

แค่จินตนาการก็อยากวิ่งไปอุ้มแล้วกล่อมนอน

ไวกว่าความคิดผมก็ลุกขึ้นแล้วสาวเท้าตรงไปยังห้องนอนทันที อชิตะกำลังนั่งเช็กอะไรบางอย่างในไอเพดอยู่

“เธอออออ...” ผมกระโจนขึ้นเตียง พลางเรียกอชิตะจนเสียงยาน

“ว่าไงครับ” อชิตะตอบแล้วยกแขนขึ้นโอบไหล่ผมเอาไว้ แต่ก็ยังไม่ละสายตาจากหน้าจอไอเพด

“ทำอะไรอยู่ ว่างไหม”

“เราเช็กข้อมูลลูกค้านะ ศิลาเพิ่งส่งมา”

“อ๋อ ไม่ยุ่งมากใช่ไหม”

“...” ไม่ตอบก็ถือว่าไม่ยุ่ง

“เราแกะห่อที่ลูกค้าให้มาแล้ว เราได้นี่มา” ว่าจบผมก็ยกหูแมวขึ้นมา “เธอใส่ให้ดูหน่อยสิ”

“สกายเราขอเช็กงานก่อนได้ไหม เดี๋ยวเราเล่นด้วย”

“ใส่แป๊บเดียวเอง” ผมพยายามเอาคาดผมสุดน่ารักใส่ไปที่หัวของอชิตะ แต่ทว่าโดนเขาคว้าแขนเอาไว้ก่อน

“เราขอเช็กงานก่อนแป๊บเดียว”

“แค่ใส่แป๊บเดียว มันก็ไม่ได้นานนี่”

“ก็ใช่ แต่เราแค่อยากเช็กงานให้เสร็จก่อน”

อชิตะพยายายามดึงคาดผมออกจากมือผม จังหวะที่เขาพยายามแย่งมาจากมือ ทำให้คาดผมกระเด็นตกลงที่พื้น

เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่ที่หูแมวกระทบพื้นเสียงดัง กรุ๊งกริ๊ง นอนแอ้งแม้ง

เท่านั้นแหละหัวผมร้อนขึ้นมาทันที...ผมตัดสินใจลุกจากเตียงโดยไม่พูดอะไรอีกเลย

“สกาย!” ผมไม่คิดจะหันกลับไปมองเขา เดินออกมาจากห้องแล้วตรงไปที่ลิฟต์กดลงไปชั้นล่าง

ผมออกมาขนาดนี้เขายังไม่ออกมาตามอีกเชอะ! รักเรามันเก่าแล้วละสิ พอได้กันแล้วก็ไม่สนใจกัน หมดโปรแล้วใช่ไหม ไอ้คนใจร้ายยยยย~ 

อชิตะทำเกินไปหน่อยบอกกันดี ๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องเอาของผมทิ้งเลยนี่ อีกอย่างก็แค่ใส่ มันจะเสียเวลาสักเท่าไหร่เชียว

ยืนอยู่หน้าคอนโดฯ ไม่นานรถแท็กซี่ก็จอดเทียบ

“ไปคอนโดJ ครับ”





#แฟนwithbenefits









มี NC สองตอนติดเด๋อ (21,22)

แล้วเจอ NC อีกทีตอนพิเศษเลย





ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ













-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -21-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 21-09-2021 03:01:35

แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-21-

โกรธกันแล้วในใจของเธอมีความสุขไหม

 

รถแท็กซี่กลับมาจอดที่หน้าคอนโดฯ สูงคุ้นตา ผมไม่รู้จะไปไหนเลยตัดสินใจมาหานิว ผมโกรธที่อชิตะทำกับผมแบบนี้ ไม่รู้แหละผมว่าเรื่องนี้ผมไม่ผิด ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ หรือว่าเขาจะมีคนอื่น เขาเลยไม่ยอมตามมาง้อผม

ผมเดินมาหยุดหน้าห้องของนิวหลังจากกลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ยืนเคาะประตูอยู่ไม่นาน นิวก็ออกมาเปิดประตู

“ไง...มาทำไมอีกล่ะมึง”

“...” ผมไม่ตอบแต่ผลักประตูห้องให้กว้าง แล้วเดินเข้าไป

ผมถอดรองเท้าไว้ที่ชั้นวาง ทุกอย่างไม่มีอะไรแปลกตา แต่ก็อดคิดถึงคำพูดของอชิตะไม่ได้ ที่ชั้นวางมีรองเท้าคู่ใหญ่ แต่มันก็ไม่เห็นมีเลยนี่หว่า...

“อชิไม่มาด้วยเหรอ” เสียงใสเอ่ยถาม

“ไม่ต้องพูดถึงชื่อนี้เลย กูโสด” ผมเดินกระทืบเท้าไปยังโซฟาตัวยาว “วันนี้กูขอนอนด้วยนะ” ผมว่าต่อ

“ทะเลาะกันอะดิ” นิวว่าพลางหย่อนสะโพกลงนั่งข้าง ๆ วางแก้วน้ำเปล่าไว้ให้

“ก็อชิแม่งปัดของตกจากมือกูอะ จริง ๆ พูดดี ๆ ก็ได้อะ”

“งั้นเล่าให้กูฟังตั้งแต่ต้น”

ผมใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีเล่าเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ต้นให้นิวฟัง มันเองก็เป็นผู้ฟังที่ดี ไม่พูดแทรกสักคำ รอจนกระทั่งผมเล่าจบ

“กูว่าเรื่องนี้มึงผิดนะ” นิวว่า หลังจากที่นั่งฟังมาสักพัก

“ได้ไง กูไม่ผิด”

“ก็อชิก็บอกแล้วนี่ เขาขอเช็กงานก่อน” นิวขยายความ

“ก็แค่ใส่เองหรือเปล่าวะ มันก็ไม่ได้นานอะ ไม่เห็นต้องปัดออกขนาดนี้”

“มันแค่บังเอิญตกหรือเปล่า”

“มึงเข้าข้างอชิเหรอ กูเพื่อนมึงนะเว้ย” ผมหันไปแหวใส่นิว เพิ่งจะดีกันเมื่อเช้า เดี๋ยวผมจะโกรธมันด้วยอีกคน

“ก็ได้มึงถูก แต่กูจะบอกอะไรให้นะ มึงทะเลาะกันเรื่องเล็กมากเลยนะ”

“...”

“มึงลองคิดดูดี ๆ กว่าพวกมึงจะคบกันได้ใช้เวลาไปตั้งเท่าไหร่ พอได้คบกัน มึงกลับเอาเวลาที่ควรจะมีความสุขมาทะเลาะกันด้วยเรื่องแค่นี้เองเหรอวะ”

เชรด! จริงของมันวะ พออารมณ์เย็นลงก็รู้สึกแย่ขึ้นมาทันที

“อชิก็พออชิ ตามใจมึงจนเสียนิสัย พอวันหนึ่งขัดใจมึงนิดหน่อย มึงก็เลยไม่เข้าใจ”

“กูควรทำยังไงดีวะ พูดซะกูรู้สึกผิดเลย”

“กลับไปคุยกัน”

“ไม่เอา กูจะรอให้อชิมาง้อกูก่อน เสียฟอร์ม” -..-

“ระวังเถอะจะเสียมัน...” พูดจบนิวก็ลุกหายเข้าไปในห้องนอน ปล่อยให้ผมนั่งอยู่ที่โซฟาคนเดียว

ผมนั่งเปิดทีวีหาอะไรดูไปพลาง ๆ รอให้อชิตะโทรมา ผมจะรีบย้ายก้นออกจาห้องนิวไปเลยทันที แต่นั่งอยู่นานอชิตะก็ยังไม่โทรมาสักที รอจนฟ้ามืดก็ยังไร้วี่แววเสียงมือถือ

มือถือ...

เอ๊ะ! เชี่ยลืมหยิบมือถือมา เหมือนภาพจำกำลังแฟรชแบคกลับไปตอนที่ผมเดินออกมาจากห้อง ผมไม่ได้หยิบอะไรออกมาด้วยนอกจากกระเป๋าตังค์ ถึงว่าอชิตะไม่โทรตามผมเลย

“สกาย” นิวเดินออกมาจากห้องนอน พร้อมกับหยิบกุญแจรถเดินตรงมายังผมที่ยังนั่งอยู่ที่โซฟา

“อะไร”

“กลับห้องเถอะ เดี๋ยวกูไปส่ง” นิวว่า

“ไม่เอา ยังไม่อยากกลับ”

“อชิโทรมา บอกว่ามึงไม่ได้หยิบโทรศัพท์ไป กลับเถอะเดี๋ยวกูไปส่ง มันเป็นห่วงมึงมากเลยนะ”

“เป็นห่วงแล้วทำไมไม่มารับเอง”

“ทำไมมึงถึงดื้ออย่างนี้นะ ไม่กลับก็ไม่กลับตามใจ”

จังหวะที่นิวกำลังหมุนตัวเดินเข้าห้อง ผมรีบหยุดนิวเอาไว้ก่อน “กลับ ๆ มึงไปส่งกูนะ”

“ก็แค่เนี่ย”

ผมรีบลุกขึ้น แล้วเดินตามนิวออกมายังลานจอดรถทันที ระยะทางจากที่นิวอยู่ค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร นิวเอาผมมาทิ้งไว้ที่หน้าคอนโด แล้วมันก็ขับรถกลับทันที

ผมเดินกลับมาหยุดหน้าห้องของตัวเอง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วแตะคีย์การ์ดเปิดเข้าไป

ในห้องโถงมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากห้องนอนลอดออกมาจากใต้ประตู

“อชิ...” ผมตะโกนเรียกแฟนตัวเอง แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ ผมเปิดไฟในห้องโถง แล้วสาวเท้าไปยังห้องนอน

ภาพตรงหน้าทำผมอ้าปากค้าง ยืนตะลึงงันกับสิ่งที่เห็น อชิตะนั่งอยู่บนเตียงในสภาพที่เปลือยเปล่าไร้เสื้อผ้าบดบัง ทั้งยังใส่คาดผมหูแมว กับปลอกคอสีแดงมันถูกสวมเอาไว้อย่างหลวม ๆ

โอ๊ย! เลือดหมดตัว...น่ารักกว่าในจินตนาการของผมเสียอีก

“สกาย...เราขอโทษนะ เราผิดเอง”

ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง พอเอาเข้าจริง ๆ ผมต่างหากที่ผิด อชิตะยอมง้อผมขนาดนี้ แต่ผมกลับทำตัวไม่น่ารักเอาเสียเลย

“เธอไม่ผิดเลย เราต่างหากที่งี่เง่า ทั้งที่อชิบอกแล้วว่าทำงานเสร็จจะเล่นด้วย แต่เรายังดึงดัน”

“หายโกรธกันนะ ทะเลาะกันแบบนี้ไม่ดีเลย ตอนที่เธอเดินออกไป เราคิดว่าเธออยู่ข้างนอก พอรู้ว่าไม่อยู่เราตกใจมากเลย”

“แล้วเธอรู้ได้ไงว่าเราอยู่ห้องนิว”

“นิวโทรมาบอก เราตั้งใจจะไปรับแต่นิวบอกว่าให้รอก่อน”

อ้อ...ฝีมือนิวนี่เอง

“เราขอโทษนะ ต่อไปจะไม่ทำตัวไม่น่ารักอีก” ผมว่าพลางกอดอชิตะเอาไว้แน่น

แขนแกร่งยกขึ้นกอดตอบกลับ เสียงกระดิ่งที่คอ กับคาดผมดังทุกครั้งที่เขาขยับตัว

“ไม่เป็นไร ถ้าสกายงี่เง่าเราจะเป็นคนง้อเอง”

“...” พยักหน้ารับ “ทำขนาดนี้ เพราะรักเรามากใช่ไหมล่ะ” ผมว่าก่อนจะถูกผลักในนอนราบกับที่นอน

“มากกว่าที่เธอรู้” ว่าจบริมฝีปากของเราก็ประกบกัน

ปล่อยให้เรียวลิ้นแทรกเข้ามาเกี่ยวกระหวัดหยอกล้อกันในโพรงปาก สลับขมเม้มกลีบปากอย่างร้อนแรงและยาวนาน

มันยาวนานพอที่จะให้เสื้อผ้าที่อยู่บนเรือนร่างของผมหลุดออกจนหมด เหลือเพียงอันเดอร์แวร์สีเข้มเป็นปราการด้านสุดท้าย

ฝ่ามือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน ถูกตรึงไว้กับเตียง เขายังคงตะโบมจูบไปทั่วตัว ทุกที่ที่ริมฝีปากบางสัมผัสจะฝากรอยตีตราประทับเอาไว้ขึ้นสีกลีบกุหลาบ

เขาคลายฝ่ามือออกแล้วค่อย ๆ โลมเลียแผ่นอกกว้าง ขยับเคลื่อนไปจนถึงแอ่งสะดือ หน้าท้องหดเกร็งขึ้นลงตามจังหวะของปลายลิ้นร้อนตวัด แกนกลางลำตัวแข็งชันดุดันขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน ส่วนปลายปริ่มน้ำใสจนอันเดอร์แวร์เปียกชื้นน่าอาย

อชิตะงับลงเบา ๆ ที่ส่วนปลาย แล้วใช้ลิ้นร้อนตวัดตั้งแต่ส่วนโคนไล่ขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ความเสียวซ่านพลันพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งตัว เขาโลมเลียอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อย ๆ งับขอบอันเดอร์แวออก

แกนกายดีดผึงตรงหน้าอชิตะทันทีที่อันเดอร์แวร์หลุดออก เขาลุกชันตัวขึ้น แล้วเอี้ยวตัวไปหยิบเจลหล่อลื่นบนหัวนอน

ผมถูกเขาใช่แขนสอดใต้ข้อพับขาทั้งสอง กระตุกเพียงนิดเดียวร่างกายก็ขยับมาอยู่ที่ขอบเตียง ขาทั้งสองถูกกางออกกว้างเพื่อให้เห็นทุกสัดส่วน

อชิตะนั่งคุกเข่ากับพื้นบีบเจลเย็นป้ายที่รอบจีบปิดสนิท ลูบวนสักพักก็สอดนิวเข้ามาก่อนจะก้มใช้ปากครอบลงมาที่แกนกลางลำตัวที่กำลังตั้งชันชี้หน้า

“อ๊า...อะ...อชิ” ฝ่ามือสอดเข้ากับกลุ่มผมสีดำขลับ ทุกครั้งที่เขาขยับหัวขึ้น เสียงกระดิ่งก็สั่นตาม

เข้าใจความรู้สึกผีเสื้อนับล้านบินในท้องก็วันนี้แหละ ยิ่งทำทั้งข้างหน้า ข้างหลังพร้อมกัน ก็ยิ่งรู้สึกอยากปลดปล่อยเร็วกว่าเดิม

“จะเสร็จแล้ว อื้อ...อะ!” อชิตะง้อนิ้วเพียงเล็กน้อยเพื่อให้โดนจุดเร้นลับด้านใน ไม่นานร่างกายก็กระตุกเกร็งฉีดพ่นน้ำกามกลิ่นขาวออกมา

“ทำไมวันนี้ปล่อยเร็วจัง” อชิตะเช็ดคราบคาวที่เปรอะหน้าออก ก่อนจะโน้มตัวลงมาบดจูบอย่างหนัก “ชอบให้ทำพร้อมกันเหรอ” ว่าจบเขาก็เลียแก้มผม

แพ้เสียงแหบพร่าแบบนี้อีกแล้ว ร่างกายมันไร้เรี่ยวแรงต่อต้านทุกครั้งจริง ๆ

“อือ...อชิอย่าแกล้ง” เขาใช้ท่อนเอ็นร้อนชนกับช่องทางหลังไปมาอย่างจงใจแกล้ง เขารู้ว่าผมต้องการอะไร

“เมี้ยว~” อชิตะเลียนแบบเสียงแมว ทำท่าคลอเคลียโลมเลียไม่หยุด

เลียขนาดนี้มันหมาชัด ๆ

เขาลุกชันตัวดันเข่าทั้งสองของผมให้แนบกับแผ่นอก “จับเอาไว้ดี ๆ นะครับ” ผมสอดแขนใต้ข้อพับขาของตัวเองล็อกเอาไว้ให้กางออกแบบที่เขาต้องการ

เจลใส่ถูกชโลมอีกครั้ง ก่อนจะดันท่อนร้อนรักเข้ามาในโพรงอุ่น ผมรู้สึกเต็มอิ่มเมื่อเขาดันเขามาจนสุดความยาว ทั้งจุกทั้งเสียวปะปนกันไปหมด

เขาเริ่มขยับแกนกายออกจนเกือบสุด แล้วดันกลับเข้ามาด้วยแรงเท่าเดิม ทำแบบนี้อยู่ซ้ำ ๆ จึงค่อย ๆ เพิ่มความเร็ว

แรงส่งของเอวสอบ ทำให้ร่างกายไหวขึ้นลงตามแรงกระแทกกระทั้น เสียงกระดิ่งดังจนน่ารำคาญ

“อชิจูบหน่อย” อชิตะโน้มตัวลงมาจูบอย่างที่ผมร้องขอ จังหวะที่เรากำลังจูบกันอยู่ ผมจัดการเอาคาดผมหูแมวออก แล้วขว้างลงจากเตียง เหลือเพียงปลอกคอแมวสีแดง แต่เสียงความน่ารำคาญก็น้อยลงจนรับได้

“ไม่ชอบเหรอ”

“ไม่...อ๊า! รำคาญ” อชิตะคลี่ยิ้มออกมาแล้วชันตัวขึ้นอีกครั้ง ขยับสะโพกถี่ยิ่งกว่าเดิม

ส่วนปลายคอดหยักขูดกับผนังด้านในจนขนลุกชัน มันรู้สึกดีจนน้ำตารื้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความสุขสมที่ได้รับมันมีมากจนต้องเปล่งเสียงออกมา

“อชิ อื้อ...อ๊ะ! ตรงนั้นแหละ”

“ตรงไหน...” อชิตะว่าพลางขยับเอวช้าลงเรื่อย ๆ ทำไมเขาถึงชอบแกล้งผมนักนะ

“จะทำอะไร” เขาจับแขนผมออกแล้วสอดแขนเข้าไปที่ข้อพับขาผมแทน ออกแรงเพียงนิดเดียวตัวผมก็ถูกยกขึ้นทั้งที่ข้างล่างยังเชื่อมต่อกันอยู่ เขาพลิกตัวลงนอน แล้วให้ผมอยู่ข้างบนแทน แกนกายใหญ่โตดันเข้ามาลึกจนหน้าท้องนูนขึ้นมา

“ตรงไหนเราไม่รู้ สกายลองขยับเองนะ” นึกไว้แล้วว่าเขาจงใจจะแกล้งผม แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิด

ผมเริ่มขยับสะโพกขึ้นแล้วขยับลงอย่างเชื่องช้า พอเริ่มเข้าจังหวะก็เร่งความเร็วขึ้น ข้างในแน่นขนัด มันรู้สึกเสียวซ่านจนกระตุกตอดรัดไม่หยุด อชิตะครางต่ำออกมาเป็นระยะ

“อชิเราจะเสร็จอีกแล้ว”

“พร้อมกันนะคนดี” ว่าจบเขาก็ใช้ฝ่ามือกอบกุมแกนกายของผมเอาไว้เต็มมือ แล้วเริ่มขยับถี่ตามแรงเคลื่อนขึ้นลง

“อา...อะ...อชิ...จะเสร็จแล้ว อ๊าาาา!” ร่างกายเบาวูบ ของเหลวสีขาวถูกปลดปล่อยออกมาเป็นครั้งที่สอง อชิตะเองก็ปลดปล่อยรอบแรกออกมาอุ่นเต็มช่องทางหลัง

จังหวะที่ขยับสะโพกออกจากแกนกาย ของเหลวด้านไหนก็ไหลย้อยออกมา ฝ่ามือหนาฟาดลงที่สะโพกกลมจนเสียงดังเพียะ

“อีกรอบนะ”

“รอบสุดท้ายแล้วนะ” ผมว่า

“ครับ” ไม่รู้ว่าผมเชื่อเขาได้มากน้อยแค่ไหน แต่ผมก็ยังเชื่อที่เขาพูดอยู่ดี “นอนคว่ำแล้วยกก้นขึ้นหน่อยสิคนดี”

ผมทิ้งตัวนอนคว่ำยกสะโพกลอยขึ้นอย่างว่าง่าย เสียงฝ่ามือฟาดลงที่สะโพกกลมดังเพียะอีกหลายครั้ง มันเจ็บ ๆ คัน ๆ แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่โดนฟาดหนัก ๆ

ผมใช้มือแหวกแก้มก้นออกเพื่อเปิดช่องให้ท่อนร้อนเข้ามา “รอบนี้ช่วยเอ็นดูเราหน่อยนะ”

“จะเอ็นดูให้ใจขาดเลยครับ” ว่าจบเขาก็ใช้แกนกายถูขึ้นลงระหว่างกลาง แล้วจับแกนกายดันเข้ามาเพียงส่วนปลาย แล้วดึงออก แล้วก็ดันกลับเข้ามาใหม่ซ้ำ ๆ

"อื้ออออ เข้ามาเถอะครับ อย่าเล่นแบบนี้"

"ทำไมละ ก็ข้างหลังเธอมันน่ารักมากเลยนี่"

"...มันเสียว"

"เดียวนี้ทะลึ่งใหญ่เลยนะ ทำแบบนี้กับใครอีกหรือเปล่า" มือหน้าจับล็อกเอวบางเอาไว้มั่น แล้วดึงสะโพกให้สวนรับกับความใหญ่โตที่กำลังดุดันเข้ามา

“อ๊า...แค่กับเธอ เธอคนเดียว” เขาขยับเข้าออกอย่างไม่เร่งรีบ แต่แรงโหมที่กระแทกเข้ามากลับหนักหน่วง และลึกจนจุกท้อง

"น่ารักที่สุด..."

ความสุขสมปนจุปะปนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเราทั้งคู่ต่างถึงปลายทางกันอีกหลายครั้ง วันนี้เขาพิสูจน์แล้วว่ารอบสุดท้ายไม่มีอยู่จริง

แต่ผมก็มีความสุขทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่เขามอบให้ ผมก็ยินดีรับไว้ มันคงจะจริงอย่างที่นิวว่า ทำไมเราต้องเสียเวลาทะเลาะกันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง สู้เอาเวลามาทำสิ่งที่มีความสุขด้วยกันจะดีกว่า

เวลาต่อจากนี้ไป ผมไม่รู้หรอกว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน เรายังต้องเจออีกหลายเรื่องราว ผมจะไม่สัญญา แต่ผมจะอยู่ข้าง ๆ เขาแบบนี้จนกว่าจะถึงวันที่เราต้องแยกจากกัน

 

สามวันต่อมา

@ออฟฟิศอชิตะ


วันนี้ผมย้ายมานั่ง ๆ นอน ๆ ที่ออฟฟิศอชิตะ เพราะไม่อยากอยู่ห้องคนเดียว ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนก็อยู่ได้มาตลอด นี่ถ้าอชิตะทิ้งผมไป ผมจะทำยังไงเนี่ย

Rrrr…

“ครับ ได้ครับเดี๋ยวผมลงไป” อชิตะกดวางสาย แล้วหันมาพูดกับผม “เธอลงไปรับของให้หน่อย”

“ของอะไรอะ”

“เดี๋ยวก็รู้เองแหละนา ลงไปรับให้หน่อย”

“ครับ ๆ”

ผมลุกจากโซฟาตัวยาว จัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วลงไปยังชั้นล่าง

“มารับของครับ ของคุณอชิตะ”

“สักครู่นะคะ” พนักงานเดินหายกลับไปด้านหลัง ก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับกล่องพัสดุสีขาวขนาดกลาง “เซ็นชื่อคนรับตรงนี้เลยค่ะ”

เซ็นทุกช่องตามที่พนักงานบอกเสร็จ ผมก็เดินอุ้มกล่องสีขาวขึ้นมา แอบลองเขย่าเบา ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงก๊อกแก๊ก

มาถึงผมก็ส่งกล่องพัสดุให้อชิตะ

"ของเธอ สั่งมาให้" ผมหรี่ตามองด้วยความสงสัย วันเกิดผมก็ไม่ใช่ ช่วงเทศกาลสำคัญอะไรก็ไม่มี

“อะไรน้า อชิสั่งอะไรให้นะ”

“แกะดูสิ” ไม่รู้หรอกว่าคืออะไร แต่จู่ ๆ แฟนให้ของขวัญใครบ้างที่จะไม่ตื่นเต้น

ผมวิ่งออกไปหยิบคัตเตอร์มากรีดกล่อง ค่อย ๆ แกะออกอย่างระมัดระวัง

แต่แล้วผมก็หน้าชาวาบเมื่อเห็นของข้างใน ผมมองมันสลับกับหน้าของอชิตะ เขาคลี่ยิ้มมุมปากชวนเย็นวาบเข้าไปลึกถึงกระดูก

เขาบอกว่าซื้อให้ผมสินะ...

 

 

 

 

 

แมววววโป๊ววววว >3<


(https://hosting.photobucket.com/images/i/fiewmingming/12.11_(1)_(1).png?width=450&height=278&crop=fill)
 

#แฟนwithbenefits

 

 

ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ

 

 

 

-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -22-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 21-09-2021 05:20:08

แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-22-

Tonight Baby we can get it on, yeah

 

เมื่อคืนก่อนผมยอมแต่งตัวอย่างที่สกายต้องการ มีเหรอที่ผมจะยอมคนเดียว ผมกดเข้าอากู๋ค้นหาชุดกระต่ายน้อยหวังจะให้สกายได้ใส่ แต่ทว่าผมดันบังเอิญไปเจอเว็บผู้ใหญ่ มันถูกใจผมก็ตรงที่หางสีขาวกลมขนนุ่มฟู หัวยางซิลิโคนสั่นได้นี้แหละ

ราคามันค่อนข้างแรงอยู่นะ แต่ถึงอย่านั้นก็อย่าคิดมากไป ผมกดสั่งมาหนึ่งชิ้น พร้อมกับหูกระต่าย แล้วกดตัดบัตรโดยไม่นึกเสียดาย คำสั่งซื้อถูกจัดส่งไปยังร้าน สิบนาทีต่อมาสถานะการสั่งซื้อก็ถูกเปลี่ยนเป็นกำลังจัดส่ง ผมรอสินค้าอยู่ประมาณสองวัน เจ้าหน้าที่ส่งของก็โทรมาแจ้งว่าฝากของไว้กับหน้าเคาน์เตอร์ของบริษัท

“เธอลงไปรับของให้หน่อย” ผมหันไปบอกสกายที่กำลังนอนเล่นเกมอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องทำงาน

“ของอะไรอะ”

“เดี๋ยวก็รู้เองแหละนา ลงไปรับให้หน่อย”

“ครับ ๆ” สกายพยักรับอย่างว่าง่าย วางมือถือแล้วเดินออกไปทันที รอไม่นานนักเขาก็เดินกลับขึ้นมาพร้อมกับกล่องสีขาว

“ของเธอ สั่งมาให้” ผมว่า เมื่อสกายยื่นกล่องส่งมาให้ผม

“อะไรน้า อชิสั่งอะไรให้นะ” ใบหน้าขาวเปลี่ยนเป็นซับสีเลือดชมพูระเรือ ท่าทางคงจะดีใจ อยากรู้จริง ๆ ว่าถ้าได้เห็นของข้างในจะทำหน้ายังไง

“แกะดูสิ”

สกายวิ่งออกไปหยิบคัตเตอร์ค่อย ๆ กรีดอย่างประณีต เขาค่อย ๆ คลี่กล่องออกช้า ๆ อย่างระมัดระวัง ก่อนใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นซีดเผือด มองของข้างในสลับกับหน้าผมซ้ำไปซ้ำมา

“อะ...อะ...ไรเนี่ย” ผมเดินตรงเข้าไป โน้มตัวลงเล็กน้อยแล้วกระซิบเบา ๆ

“คืนนี้ช่วยสานฝันเราที” ผมคลี่ยิ้มอย่างผู้ชนะ แต่ทว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้กลับหน้าแดงจัด

ตลอดทั้งวันผมเฝ้ารอเวลาเลิกงาน และในที่สุดเวลาที่รอคอยก็สิ้นสุด ผมขับรถตรงกลับมายังห้องโดยไม่จอดแวะที่ไหน มาถึงเราทั้งคู่ก็อาบน้ำพร้อมกัน ผมอาสาใส่หางกระต่ายให้สกาย แต่เขาไม่ยอม และดันให้ผมออกมารอนอกห้องน้ำ

“สกายจะออกมาได้หรือยัง” ผมเรียกคนที่อยู่ในห้องน้ำนานหลายนาที

“อชิ เอาจริงเหรอ เราว่ามันตลก”

“ออกมาเหอะน่า ถ้าไม่ออกมาเราไปเอากุญแจมาเปิดเดี๋ยวนี้แหละ” ผมแค่ขู่เขาไปอย่างนั้นแหละ ยังไงเขาก็ต้องออกมา

“ไม่ ๆ ออกแล้วใจเย็นหน่อย”

แกร๊ก!

สกายค่อย ๆ เปิดประตูเดินออกมาอย่างเชื่องช้า บนตัวเขามีเสื้อเชิ้ตสีขาวของผมอยู่ บนหัวสวมหูกระต่ายสีขาว ใบหน้าเขาขึ้นสีแดงจัดอย่างน่าเอ็นดู

“จ้องอะไรขนาดนั้นเล่า เขินเป็นนะเว้ย” ผมไม่ตอบ ดึงชายเสื้อด้านหลังของเขาขึ้น

หางกระต่ายสีขาวฟูอยู่ที่ลูกพีชสีขาวน่าตี ผมเลือกขนาดของหัวซิลิโคนไซซ์เล็กสุด เพราะเป็นห่วงเขาเรื่องความปลอดภัย

“เอาอันนี้ออกได้ไหมเรารู้สึกแปลก ๆ ยังไงไม่รู้”

“น่ารักดีออก เราชอบ” ว่าจบผมก็ช้อนตัวกระต่ายตัวน้อยไปวางไว้บนเตียง ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเอาเนกไทสีแดงเข้มออกมาหนึ่งเส้น

เขารู้ดีว่าผมจะทำอะไร ไม่ต้องรอให้บอกเขาก็ยื่นมือทั้งสองข้างให้มัดแต่โดยดี ผมไม่ได้มัดเน้นมาก แต่ก็ไม่ได้มัดหลุมจนขยับออกได้

“ลงไปนั่งข้างล่างสิ”

สกายขยับตัวลุกขึ้น แล้วลงไปนั่งกับพื้นข้างเตียงอย่างว่าง่าย ผมหยิบรีโมทที่แถมมากับหาง แล้วกดระดับแรงสั่นเริ่มที่เบาสุดก่อน

“อ๊ะ...อชิ” เสียงครางหวานหลุดออกมาจากลำคอสวย เขาสะดุ้งนิดหน่อย คงจะเพราะตกใจ ผมช้อนปลายคางของเขาขึ้นรับจูบปลอบประโลม ก่อนจะผละออกจากกัน แล้วรั้งขอบกางเกงในตัวเองให้ต่ำลง งัดเอาท่อนเนื้อร้อนระอุออกมา ฝ่ามือกอบกุมแกนกลางลำตัวที่ยังขยายไม่เต็มที่เอาไว้แล้วค่อย ๆ ชักรูดขึ้นลงอย่างเชื่องช้าต่อหน้าสกาย ไม่นานมันก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น

สกายคลานเข่าเข้ามาแล้วใช้ปลายลิ้นสัมผัสส่วนปลาย ในขณะที่ฝ่ามือกำลังชักรูดขึ้นลง ความรู้สึกเสียวเล่นปราดไปทั้งตัว

“สั่นแรงอีกนิดนะ” ว่าจบผมก็หยิบรีโมททีวางไว้ข้างตัวขึ้นมาปรับเพิ่งระดับ

“อะ...อื้มมมม” เสื้อเชิ้ตสีขาวถกขึ้นเห็นก้นกลมเด่นชัด หางกระต่ายสีขาวฟูสั้นอยู่ระหว่างกลางแก้มก้นทั้งสอง

ทั้งภาพทั้งเสียงครางหวานส่งให้แรงอารมณ์พุ่งสูง ฝ่ามือจับแก่นกายที่กำลังถูกโลมเลียจ่อไปที่ริมฝีปากสีชมพู “อ้าปากหน่อยสิคนดีขา” เขาช้อนหน้าขึ้นมองทั้งน้ำตายังรื้นออกมาเป็นหน่วยอยู่ปลายหางตา พวงแก้มใสขึ้นสีแดงระเรื่อ

ทั้งน่าเอ็นดู และน่ากลั่นแกล้งให้ร้องไห้อยู่บนเตียง...

สกายเผยอปากครอบส่วนปลายปริ่มน้ำเอาไว้ ก่อนจะค่อย ๆ กดศีรษะลงมา กว่าจะค่อย ๆ ขยับลงมาจนสุดความยาว เล่นเอาเหนื่อยทั้งคู่ แต่พอเริ่มคุ้นแล้วก็เริ่มขยับง่ายขึ้น

ฟันขาวครูดแกนกายจนรู้สึกเจ็บแปล๊บ แต่ก็รู้สึกเสียวซ่านไปพร้อม ๆ กัน มันเข้าไปลึกจนส่วนปลายชนเข้ากับลำคอ

ผมกดเพิ่มแรงสั่นไปที่ระดับสูงสุด เสียงครางหวานอืออา ในลำคอหลุดออกมาเป็นระยะ จนกระทั่งเขาปลดปล่อยออกมา ร่างกายบางสั่นเทาไปทั้งตัว อีกสักพักสกายต้องไม่ไหวแน่ ผมกดหยุดระบบสั่น แล้วค่อย ๆ ขยับศีรษะของเขาให้ขยับเร็วขึ้น

ในที่สุดความรู้สึกที่อัดอั้นก็พร้อมปลดปล่อยออกมา ผมเผลอสวนสะโพกเข้าไปในจังหวะสุดท้ายก่อนจะฉีดพุ่งของเหลวสีขาวหนืดลงคอ

แค่ก! แค่ก! แค่ก!

สกายสำลักเอาน้ำออกมาบางส่วน แล้วฟุบตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้นอย่างหมดสภาพ มันดีกว่าตอนที่ผมฝันเสียอีก ถึงแม้ว่าท่าทางของเขาจะเงอะงะ ไม่ได้ชำนิชำนาญเหมือนตอนที่ผมเคยฝันก็ตาม

“หวานจัง” เขาว่าพลางเอาลิ้นแตะเลียหยดน้ำที่เปรอะตามมุมปาก ทำไมถึงได้ยั่วเก่งจนอารมณ์พลุ่งพล่านได้ขนาดนี้นะ

ผมอุ้มร่างบางวางลงบนเตียงอย่างไม่ถนอมนัก แล้วจัดการแยกขาทั้งสองให้อ้ากว้าง ช่องทางรักขมิบรัดหางกระต่ายสีขาวอย่างอวดดี ผมค่อย ๆ ดึงหางสีขาวออกเพื่อใส่อย่างอื่นที่ใหญ่กว่าเข้าไปแทน

“อึก! จุกท้อง” ผมดันแกนกายเข้าไปรวดเดียวจนสุด ผมรู้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำ เพราะช่องทางหลังอ่อนนุ่มพร้อมแล้ว

เอวสอบกระเสือกกระสนดันเข้าไปจนลึกสุดโคน แล้วขยับออกเพื่อไล่อากาศด้านในออกมา

ข้างในตัวสกายร้อนจัดจนสามารถทำให้ผมละลายกลายเป็นของเหลวได้ภายในพริบตา

“ซี๊ดดด อาา...” ผมซู๊ดปากเสียงดังด้วยความเสียวซ่าน สกายทั้งตอดทั้งรัดจนผมแทบคลั่ง ส่วนรอยหยักส่วนปลายขูดผนังด้านในทุกครั้งที่ขยับเข้าออก เวลาที่แกนกายสัมผัสกับจุดกระสั่นด้านใน ร่างกายเขาจะบิดจนร้องครางหวานออกมาอย่างน่าเอ็นดู

ผมโน้มตัวลงไปบดจูบริมฝีปากอิ่ม ขบเม้มริมฝีปากล่างอย่างดูดดื่ม น้ำลายใสไหลย้อยเปียกชื้นตามมุมปาก ลิ้นร้อนตวัดเก็บทุกหยาดหยดไม่ให้เหลือหลักฐาน

“อ๊ะ! แรงอีกเข้ามาลึก ๆ เลย” ผมชอบมองหน้าตอนที่เขามีความต้องการที่พุ่งสูง เขาจะปรือตามมองอย่างเว้าวอน ทั้งที่ดวงตายังมีหน่วยน้ำตาอยู่ แพขนตาเปียกชื้น ใบหน้าแดงจัดล่ามไปจนถึงคอ ร่างกายเขาสั่นคลอนขึ้นลงไปตามแรงโหมโรมรัน ทั้งยังหายใจหอบถี่ ใบหน้าเริ่มบิดเบ้ส่ายไปมาเมื่อร่างกายกำลังจะปลดปล่อย

“อะ...อ๊า...อะ อชิเราไม่ไหวแล้ว” เสียงร้องแหบพร่างบอกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะสวนสะโพกตอกเข้าไปจนลึกสุด

ผมเองก็ปลดปล่อยของเหลวออกมา โดยมีคนใต้ร่างรองรับเอาไว้ ขยับรีดเอาทุกหยาดหยดออกมาจนหมด แต่ผมก็ยังไม่คิดจะถอนแกนกายออก

"อชิ...เอาออกได้แล้ว" ผมขยับถอยออกอย่างที่เขาว่า แต่ก็สวนกลับเข้าไปดังเดิม "อึก! อ๊า"

"ยังไม่อิ่มเลย" ว่าจบผมก็ยกขาเล็ก ๆ ทั้งสองขึ้นพาดบ่าเอาไว้

กระดุมเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่หลุดออกมาจนเห็นหัวไหล่วับ ๆ แวม ๆ ถึงแม้เราจะเห็นทุกอย่างของกันและกันหมดแล้ว แต่ทว่าการได้เห็นอะไรแบบนี้ก็ชวนตื่นเต้นไม่แพ้กัน

ผมโน้มตัวลงไปกัดหัวไหล่ขาวจนขึ้นรอยฟัน แรงกัดทำให้สกายจิกเล็บลงกลางแผ่นหลังจนได้เลือด แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมหยุด ริมฝีปากงับลงที่ยอดอกทั้งที่ยังมีเสื้อกั้นอยู่ น้ำลายชุ่มจนเห็นยอดอกสีชมพูผ่านเสื้อตัวบาง ช่วงล่างก็สอดส่ายควานไปจนทั่ว เรียกเสียงครางได้เป็นอย่างดี

"อ๊า...อชิ รู้สีกดีจัง"

สะโพกโยกตอกเข้าไปหนัก และลึกกว่าเดิม ผมรู้ดีว่าเขาชอบแบบไหน ตรงไหนที่จะทำให้เขาถึงปลายทาง แต่ผมยังไม่ต้องการให้เขาถึงในตอนนี้

"อื้มม อยากปล่อยแล้ว แต่มันยังไม่โดน"

"ไม่เห็นต้องรีบเลย คืนนี้ยังอีกยาว" สกายพยายามใช้มือช่วยตัวเอง โชคดีที่ผมยังไม่แก้มัดเขา แต่ดึงปลายเนกไท แขนทั้งสองก็ถูกยกขึ้นไว้เหนือหัว

ขยับโยกจนหนำใจก็ช้อนคนตัวเล็กยกขึ้นไปที่มุมห้อง แล้วดันแผ่นหลังเขาให้ติดกำแพง แขนทั้งสองคล้องคอผมโดยอัตโนมัติเพราะกลัวว่าตัวเองจะตก

ผมว่าหูกระต่ายนี้เหมาะกับสกายมากนะ ยิ่งเวลาเขาแสดงสีหน้าตอนที่ถูกกระทำ ยิ่งทำให้ผมอยากแกล้งเขาเพิ่มขึ้น "อื้อ ลึกจัง"

"ชอบหรือเปล่า" ผมว่า

"อะ...ชอบ ขาสั่นไปหมดแล้ว" ขาสั่นจริง ๆ อย่าที่เขาว่านั่นแหละ ขนาดผมอุ้มอยู่ยังรู้สึกได้เลย "เราอยากเสร็จ อชิช่วยหน่อยสิ" ว่าจบเขาก็บดริมฝีปากลงมา ลิ้นร้อนตวัดพันเกี่ยวน้ำลายปะปนจนแยกไม่ออกว่าของใครเป็นของใคร จังหวะผละริมฝีปากออกน้ำลายเหนียวไหลยืดออกมาเป็นทาง

ออดอ้อนขนาดนี้ใครจะไปทนไหวกัน ผมยกสะโพกกลมขึ้นแล้วทิ้งลงให้น้ำหนักตัวเราโหมเข้าหากัน สกายร้องครางจนเสียงแห้งแหบในที่สุดเราทั้งคู่ก็ปลดปล่อย

"กระต่ายตัวนี้หื่นจัง ปล่อยออกมาเยอะเลย"

"ก็ใครทำล่ะ...ชิ!" สกายทิ้งตัวลงซบกับแผ่นอก หอบหายใจเสียงดัง

"ไปอาบน้ำกันเถอะ"

"..." สกายพยักหน้ารับอย่างไร้เรี่ยวแรง

ผมพาเขาเข้ามาในห้องน้ำ แล้วจัดการวางเขาไว้ที่เคาน์เตอร์ล้างมือ แกนกายค่อย ๆ ถอนออกอย่างเชื่องช้าจนออกมาหมด ผมเริ่มมองสำรวจร่างกายของคนตัวเล็ก ผิวขาวเต็มไปด้วยรอยดูดช้ำ และรอยฟันทั่วทั้งตัว ไม่เว้นแม้แต่ซอกขา ช่องทางหลังแดงพอ ๆ กับก้นกลม รอยจีบขมิบเข้าอย่างน่าเอ็นดู ของเหลวสีขาวขุ่นค่อย ๆ ไหลย้อยออกมาเป็นทาง

"หยุดมองเดี๋ยวนี้เลย รู้นะว่าคิดอะไรอยู่"

"ถ้ารู้แล้วงั้นไม่ต้องขออนุญาตสินะ" ว่าจบผมก็คลี่ยิ้มร้ายก่อนบทรักจะเริ่มต้นอีกครั้ง

ที่ผมคลั่งได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะหางกระต่าย หรือหูที่เขาสวมอยู่ แต่เป็นใบหน้าของเขาที่สามารถยั่วยวนให้เกิดอารมณ์ได้ทุกครั้งที่มอง ไม่ว่าจะสองหรือสามครั้ง ผมก็ไม่เคยรู้สึกพอ ผมเสพติดสกายไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ตาม เขาทำให้ผมรู้สึกขาดเขาไม่ได้...

หลังจากอาบน้ำทำความสะอาดตัวแล้ว ผมก็จัดการเปลี่ยนผ้าปูที่นอนผืนใหม่ เพราะผื่นเก่าเปรอะไปด้วยน้ำรัก เรานอนกอดกันเหมือนทุกคืน แต่ทว่าคืนนี้เราต่างก็เปลือยเปล่าแลกเปลี่ยนความอบอุ่นผ่านผิวเนื้อที่ปัดปายสัมผัสกัน

กลิ่นหอมเย็นอ่อน ๆ จากตัวสกายทำให้ผมเคลิ้มหลับไปอย่างง่ายดาย เช่นทุกวัน...

 

ผมตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้า ปล่อยให้สกายนอนต่ออีกหน่อย เพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสาม

กางเกงขายาวถูกหยิบขึ้นมาสวมเพียงชิ้นเดียว แล้วเดินเข้าห้องน้ำเพื่อแปรงฟันล้างหน้า ออกมาเตรียมตัวทำอาหารเช้าเหมือนอย่างเคย

แต่ทว่าวันนี้มีเสียงแปลก ๆ ดังมาจากด้านนอก แวบแรกคิดว่าเป็นนิว แต่คีย์การ์ดของมันอยู่ที่ผม คงไม่ใช่ขโมยขโจรที่ไหนขึ้นมาหรอกใช่ไหม แต่นั่นก็เป็นไปได้ยาก ระบบความปลอดภัยของที่นี่ถือว่าดีเลยทีเดียว

ผมค่อย ๆ แง่มประตูออกไปอย่างเบามือ ผู้หญิงตัวเล็กกำลังยืนทำอะไรบางอย่างอยู่ในโซนครัว เขาเดินหยิบจับทุกอย่าง อย่างคุ้นชิน

เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาหันมา ผมก็จำได้ทันทีว่าเขาคือใคร...

“คุณน้า...”

 

 

คุณกาโต่ยยยย อย่าไปยอม!!!! ส่งก้นใสมาสู้เลยเอาเส่


 
(https://hosting.photobucket.com/images/i/fiewmingming/12.12.png?width=450&height=278&crop=fill)

#แฟนwithbenefits

 

 

ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ

 

 

 

-กำลังทยอยแก้คำผิด-

หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT [Yaoi]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-09-2021 16:57:11
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT บทที่ -23-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 21-09-2021 19:06:00
แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT

บทที่

-23-

แล้วมันจะผ่านไปด้วยดี


แสงแดดยาวเช้าสาดส่องผ่านม่านสีขาวบางในห้องนอน คนข้างกายของผมไม่อยู่แล้ว หากเป็นเมื่อก่อนผมคงต้องคิดหนักแน่ที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอเขา แต่เดียวนี้หากไม่เจอเขาบนเตียง ผมจะพบเขาได้ในครัว พร้อมกับอาหารเช้ากลิ่นหอม

ลุกขึ้นบิดขี้เกียจอีกสองสามที แล้วก้มหยิบเสื้อเชิ้ตที่พื้นขึ้นมาสวมแบบลวก ๆ คาดผมหูกระต่ายเมื่อคืนถูกใช้ไม่ให้ผมปรกหน้า แล้วเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตา

ผมเดินออกมาเช็ดหน้าเช็ดตาเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกไป แต่ทว่าวันนี้กลับรู้สึกแปลกตา ไม่มีคนตัวโตยืนเตรียมอาหารอยู่ในครัว แถมยังไม่มีกลิ่นหอม ๆ ของอาหารเช้า ได้ยินเพียงเสียงพึมพำจากโซนนั่งเล่น

นิวมาเหรอ?

ผมสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ ก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับผู้หญิงตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างอชิตะ

“คุณนาย!” ผมว่าเสียงดังจนแม่หันกลับมามอง แม่กวาดสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ผมรีบคว้าเอาคาดผมหูกระต่ายสุดแบ๊วบนหัวขว้างทิ้งอย่างไร้ทิศทาง ก่อนนึกขึ้นได้ว่าตัวเองสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวเดียว

“สกายจะไปไหน มานั่งนี้สิ” จังหวะที่หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง น้ำเสียงเย็นเหยียบของแม่ก็ทำให้ผมเท้าทั้งสองหยุดชะงัก

ผมจำใจเดินก้มหน้าไปนั่งข้าง ๆ แม่ทั้งที่สภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยขมฟันของคนตัวโตที่นั่งอยู่ด้านข้าง

“โอ๊ย~ คุณนาย หยิกผมทำไม” ผมร้องเสียงหลงเมื่อแม่หยิกเอว

“โทรไปไม่เคยจะรับ มันเป็นยังไง”

“ผมขอโทษ คุณนายเลิกหยิกผมเถอะ อ๊ากกกกกก เจ็บบบบบบบ”

“แล้วนี่ยังไง! มีแฟนแล้วก็ลืมบ้านลืมช่อง ลืมแม่ไปเลยใช่ไหม” ผมไปมองหน้าแม่สลับกับหน้าอชิตะ ก่อนจะนั่งทำหน้าสลด

“เอ่อคือ...”

“ไม่ต้องมาเอ่อคืออะไรทั้งนั้น ถ้าอชิไม่บอก แม่จะได้รู้จากปากลูกตัวเองตอนไหนฮะ พูดแล้วมันก็น่าจะตีมันให้ตาย” ว่าจบแม่ก็เริ่มลงมือหยิกเอวผมอีกครั้ง

เสียงร้องโอดครวญเกิดขึ้นอีกหลายครั้งที่แม่เริ่มบ่น ช่วงก่อนมาเจออชิตะ ผมทำงานข้ามวันข้ามคืนจนเผลอลืมคนรอบตัวไปบ้าง เห็นแม่โทรมาตลอดนั่นแหละ ว่าจะโทรกลับแต่มันก็ลืมตลอด

“แม่แค่แวะมาถาม...พรุ่งนี้วันเกิดพ่อแก จะกลับบ้านหรือเปล่า” ผมชะงักไปนิดเมื่อแม่เริ่มพูดถึงพ่อ

หลังจากช่วงที่ผมจบมอหก ผมก็สารภาพกับพ่อตรง ๆ ว่าผมไม่ได้เรียนหมออย่างที่เขาตั้งใจไว้ และยังบอกเรื่องที่ผมชอบผู้ชายอีกด้วย

เราทะเลาะกันใหญ่โต ครั้งสุดท้ายที่ผมได้คุยกับพ่อ คือวันที่เขาตบหน้าผม แล้วบอกให้ผมไปให้พ้น แม่พาผมมาอยู่หอก่อนที่มหาลัยจะเปิดเทอม ช่วงเวลานั้นผมทั้งเคว้ง และเหงามาก โชคดีได้นิวค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนบ่อย ๆ ผมเลยหยุดคิดฟุ้งซ่านได้บ้าง

จนถึงตอนนี้ผมกับพ่อก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย เขาคงโกรธผมมากจริง ๆ ครอบครัวเราเป็นหมอกันหมด ลูกพี่ลูกน้องของผมตอนนี้ก็เป็นหมอ บางคนอยู่เมืองนอก มีผมที่ผ่าเหล่าผ่ากอออกมาคนเดียว

ผมยังจำประโยคนั้นได้เป็นอย่างดี พ่อบอกกับผมว่า ‘ผมคือความอับอายของวงศ์ตระกูล’

เพียงเพราะผมไม่เรียนหมอเหมือนญาติคนอื่น

เพียงเพราะผมแตกต่าง

ผมเลือกเกิดไม่ได้นี่ ผมก็แค่เด็กคนหนึ่งที่ต้องการให้ครอบครัวเข้าใจ และยอมรับสิ่งที่ผมเลือกก็เท่านั้นเอง...

“สกาย!” ผมสะดุ้งเฮือกออกจากภวังค์

“ครับ?”

“แม่อยากให้เราไปนะ”

“...”

“พ่อเป็นคนให้แม่มาถาม จริง ๆ พ่อโทรมาแล้วแต่ไม่มีคนรับสาย” ผมมองหน้าแม่นิ่ง ไร้เสียงตอบกลับ

พ่อเคยโทรหาผมด้วยเหรอ...

“อชิ...” แม่เรียกอชิตะ

“ครับ เดี๋ยวผมจะลองคุยให้”

“แม่ฝากด้วยนะ เดี๋ยวแม่ต้องรีบกลับก่อน”

“ครับ เดี๋ยวผมลงไปส่ง”

“ไม่เป็นไร อยู่เป็นเพื่อนสกายเถอะ”

“ครับ สวัสดีครับ”

แม่ลุกจากโซฟาตัวยาว สาวเท้าเดินห่างออกไป เสียงปิดประตูดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าแม่ออกไปเรียบร้อยแล้ว ผมเองก็ลุกขึ้นเดินกลับเข้ามาในห้องนอนเงียบ ๆ

มือถือถูกหยิบขึ้นมา เพื่อเช็กดูข้อมูลการโทรเข้า โทรออก มีเบอร์ของพ่อโทรเข้ามาจริง ๆ อย่างที่แม่ว่า เป็นสายจากช่วงอาทิตย์ก่อน น่าจะเป็นวันที่ผมทะเลาะกับอชิตะ แล้วหนีไปห้องนิว วันนั้นผมลืมหยิบมือถือไปด้วย

“เธอ...ทำอะไรอยู่ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม เดินเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง ก่อนจะฝังจมูกลงกลางศีรษะ แล้วกดลงมาที่แก้ม

“เปล่า...”

“เล่าให้ฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้เลย รู้สึกไม่สบายใจไปด้วย”

“มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอก”

“ถ้างั้นพรุ่งนี้เราไปไหว้คุณพ่อเธอกันดีไหม”

“...” เป็นอีกครั้งที่ผมเงียบ ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากไป แต่พ่ออยากให้ผมไปจริง ๆ เหรอ

ผมกลัว...

กลัวว่าคำพูดเหล่านั้นจะกลับมาทำร้ายผมอีก สำหรับผมไม่มีคำพูดไหนเจ็บเท่าคำพูดของคนในครอบครัวอีกแล้ว...

“ไม่ต้องคิดมากนะคนดี พรุ่งนี้เราจะไปด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเราจะอยู่ข้าง ๆ สกายเอง” น้ำตาเม็ดใสหยดลงมาอาบแก้มทั้งสอง คำพูดแสนธรรมดาแต่ทว่ากลับอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก



ช่วงเช้าอชิตะโทรบอกแม่ว่าวันนี้ผมจะเข้าไป สาย ๆ ของวันเขาเลยชวนผมออกไปซื้อของขวัญให้พ่อ เราช่วยกันเลือกอยู่นาน สุดท้ายก็ได้นาฬิกาโรเล็กซ์ตัวเรือนสีเงินมาหนึ่งเรือน

บ่ายคล้อยเราก็ออกเดินทาง บ้านที่ไม่ได้มานานจนจำแทบไม่ได้ แต่ทว่ามันยังคงเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมหยุดนิ่งอยู่หน้าบ้านคุ้นตา ก่อนจะสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่ฝ่ามือ ผมหันกลับไปมองเจ้าของฝ่ามือหนา เขาฉีกยิ้มกว้าง กระชับมือให้แน่นขึ้น แล้วพาผมเดินเข้ามาในบ้าน

ก้าวแรกที่สัมผัสพื้นขาผมก็เริ่มสั่น แต่เพราะอชิตะยังคงกำมือผมเอาไว้แน่น เป็นการบอกว่าเขาจะอยู่ข้าง ๆ อย่างที่เคยบอกเอาไว้ ทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง

เมื่อเดินเข้ามาในตัวบ้านภาพบรรยากาศเก่า ๆ ก็ย้อนกลับมา ข้างนอกบ้านว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปแล้ว ในบ้านเองก็ยังเหมือนเดิม ราวกับว่าไม่เคยมีใครเคลื่อนย้ายมัน

“มากันแล้วเหรอ แม่กำลังจัดโต๊ะพอดี”

“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” อชิตะปล่อยมือผม แล้วเดินตรงไปยังแม่ ทิ้งให้ผมยืนอยู่กลางบ้าน

“สกายเดินเล่นก่อนก็ได้นะ อีกสักพักเลยกว่าจะเสร็จ”

“ครับ” ผมตอบเพียงสั้น ๆ แล้วเดินไปรอบบ้าน ทุกอย่างยังเหมือนเดิมจริง ๆ กรอบรูปผมตอนเด็กก็ยังแขวนอยู่ตรงที่เก่า รูปตอนที่ผมปั่นจักรยานครั้งแรก หรือแม้แต่รูปตอนที่ผมเต้นในงานของอนุบาลหมีน้อย

พอได้มาเดินดูแบบนี้ก็อดยิ้มตามไม่ได้ มันตลกดีนะที่ตอนเด็ก เราเฝ้าภาวนาทุกวันว่าอยากโตเป็นผู้ใหญ่ ดูผมตอนนี้สิ วิงวอนกับพระเจ้าขอให้ตัวเองกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งก็ยังไม่ได้

เป็นผู้ใหญ่ไม่สนุกเลย เป็นเด็กเจ็บสุดก็แค่ไข่กระแทกกับอานจักรยาน

“สกาย” เสียงแม่ตะโกนเรียกผมให้หลุดจากภวังค์ “ขึ้นไปตามพ่อหน่อยแม่จัดโต๊ะเสร็จแล้ว” ผมมองกลับไปที่อชิตะ เขาเพียงแค่ฉีกยิ้มแล้วพยักหน้าเบา ๆ

ผมสาวเท้าขึ้นไปยังชั้นสองอย่างเชื่องช้า ทุกก้าวกำลังเดินผ่านความทรงจำ ภาพวันเก่า ๆ ไหลผ่านเข้ามาราวกับจอหนังกำลังฉายภาพยนตร์

จำได้ว่าห้องพ่อกับแม่อยู่มุมสุดของบ้าน ทุกครั้งที่จะไปห้องพ่อกับแม่จะต้องผ่านห้องของผมก่อน

ผมเดินผ่านห้องตัวเองไป ก่อนจะเดินถอยหลังกลับมาเพราะประตูเปิดอยู่ ผมชะโงกหน้าเข้าไป เห็นพ่อกำลังนั่งอยู่ที่ปลายเตียง เขากำลังเปิดดูสมุดอะไรบางอย่าง ผมเปิดประตูเพื่อเดินเข้าไปเงียบ ๆ เขากำลังนั่งดูสมุดอัลบั้มรูปของผม มันเป็นรูปที่ผมได้รางวัลต่าง ๆ จากช่วงที่เรียนมหา’ลัย ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเก็บไว้ อาจจะเป็นแม่อีกนั่นแหละ เพราะพ่อไม่เคยสนใจสิ่งที่ผมทำ

“พ่อ...” ผมเอ่ยเรียก ก่อนพ่อจะค่อย ๆ หันกลับมาอย่างเชื่องช้า

ทุกอย่างในบ้านยังคงเดิม แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปก็จริง แต่พ่อกลับดูแก่ลงอย่างเห็นได้ชัด รอยย่นบนหน้าผาก และรอยตีนกาที่หางตาขึ้นเป็นริ้ว เราไม่ได้เจอกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ

“สกาย...ไหนแม่แกบอกว่าแกไม่มาไง”

“วันนี้วันเกิดพ่อนี่ครับ ผมก็ต้องมาสิ”

“...”

เราทั้งคู่ต่างเงียบใส่กันจนเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน “แม่ให้ผมขึ้นมาตามครับ” ว่าจบผมก็เดินหมุนตัวออกมา แต่ยังไม่ทันก้าวขา เสียงของพ่อก็ฉุดรั้งให้เท้าผมเก้าไม่ออก

“สกายพ่อยอมแพ้แล้ว”

“...”

“ยกโทษให้พ่อได้ไหม...”

ผมหันกลับไปฉีกยิ้มกว้างทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำตา ที่ผมร้องไห้ไม่ใช่เพราะผมเสียใจ แต่เป็นเพราะผมดีใจต่างหาก

“พ่อ...ผมขอโทษ” คนเป็นพ่อลุกขึ้นเดินเข้ามาสวมกอดผมเอาไว้ แล้วลูบหัวปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน “ผมทำให้พ่อผิดหวังใช่ไหม ผมขอโทษ ผมพยายามแล้ว”

“ไม่เอาสกาย อย่าร้อง พ่อผิดเอง พ่อปล่อยให้ความคิดของตัวเองอยู่เหนือทุกอย่าง จนลืมคิดถึงความรู้สึกลูก”

“...”

“สกายของพ่อเก่งมาก พ่อเห็นเราในข่าวบนอินเทอร์เน็ตเยอะมาก คนที่โรง’บาลพูดถึงลูกพ่อกันทั้งนั้น ทุกคนเห็นความสามารถของลูก มีแค่พ่อที่ถือทิฐิปิดหูปิดตาจนมองไม่เห็น ไม่ได้ยินอะไร กระทั่งวันที่ลูกไม่อยู่แล้ว พ่อถึงได้เข้าใจทุกอย่าง”

“พ่อไม่โกรธผมจริง ๆ ใช่ไหม”

“สกายคือความภาคภูมิใจของพ่อนะ...”

คำ ๆ เดียวที่ผมเฝ้ารอฟังมาทั้งชีวิต ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินมันออกมาจากปากของพ่อ แต่วันนี้เขาพูดมันออกมาอย่างง่ายดาย ประโยคสั้น ๆ เหมือนปลดล็อกความกลัวใจของผมทิ้งจนหมดสิ้น ที่ผ่านมาผมเคยทำร้ายตัวเองด้วยการโทษตัวเองซ้ำ ๆ อยู่บนความไม่เข้าใจ และขาดความรู้

แต่วันนี้ผมเป็นความภูมิใจของเขา แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว...

เราทั้งคู่ลงมาชั้นล่างด้วยสภาพดวงตาแดงก่ำด้วยกันทั้งคู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผ่านการเสียน้ำตากันมาอย่างหนักหน่วงแค่ไหน

“ไงคู่นี้ดีกันแล้วล่ะสิ” แม่ว่า

“ไม่ได้โกรธกันสักหน่อย...เนอะพ่อ” พ่อไม่ได้ตอบกลับ เพียงแค่โยกหัวผมไปมา

“เอ่อ พ่อ... นี่จำอชิตะได้ไหม เพื่อนของเจ้าสกายน่ะ”

“สวัสดีครับคุณลุง” อชิตะยกมือขึ้นไหว้

“โอ้โฮ...มันโตแล้วสูงกว่าสกายอีกแหนะ เมื่อก่อนตัวนิดเดียว เดินตามสกายต้อย ๆ”

หึ! ตอนนี้เป็นผัวผมแล้ว พัฒนาแบบก้าวกระโดด -,,-

“แฟนเจ้าสกายมันแหละ” ผมชะงักไปครู่หนึ่ง หันไปมองหน้าแม่เพราะไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาตรง ๆ

“...” พ่อพยักหน้ารับ “ฝากดูแลลูกพ่อด้วยล่ะ...”

ผมฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาว ในชีวิตนี้ผมไม่เคยยิ้มกว้างขนาดนี้มาก่อน พ่ออาจจะยังไม่ชินที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย เลยทำตัวไม่ถูกต้องให้เวลาเขาอีกสักหน่อย


สงสัยผมต้องพาอชิตะมาหาพ่อบ่อย ๆ ถึงตอนนั้นผมเชื่อว่า พ่อจะรักอชิตะไม่ต่างจากที่ผมรักเขา

เราทั้งสี่คนนั่งทานอาหารกัน และพูดคุยกันอย่างครื้นเครง บรรยากาศเหล่านี้ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ถึงจะช้าหน่อย แต่ครั้งหนึ่งเราก็ได้ใช้ความสุขร่วมกัน

ช่วงค่ำแม่ยกเค้กก้อนใหญ่ออกมา เราร้องเพลงฉลองกันตามธรรมเนียม เพลงจบก็รอให้พ่ออธิษฐานแล้วจึงเป่าเทียน

ผมหยิบกล่องของขวัญที่เตรียมมาส่งให้เจ้าของวันเกิด เขารับไว้ก่อนจะแกะออกดู ตอนแรกก็โดนดุนิดหน่อยเพราะเอาเงินไปซื้อของราคาแพง แต่สุดท้ายพ่อก็รับเอาไว้

ท่านอวยพรให้ผมกับอชิตะมีความสุขด้วยแหละ...



เมื่อคืนนเรานอนค้างกันที่บ้าน แล้วกลับในตอนเช้ามืดของอีกวัน ระยะทางจากบ้านไปคอนโด
ฯ ค่อนข้างไกลพอสมควร ถ้าอชิตะไม่มีงานเช้า ผมเองก็อยากอยู่ต่ออีกสักวัน

“อชิพาสกายกลับมาเยี่ยมพ่อบ่อย ๆ บ้างล่ะ”

“ได้ครับคุณพ่อ”

แหม...นั่งเล่นหมากรุกด้วยกันคืนเดียว เป็นพ่อเป็นลูกกันซะแล้ว

“ขับรถกลับกันดี ๆ สกายก็อย่าดื้อกับอชิให้มากละ”

“ผมไม่ดื้อสักหน่อย” อชิตะต่างหาที่ดื้อ พ่อจะไปรู้อะไร แต่ละคืนผมต้องเจอกับอะไรบ้าง

อันหลังผมคิดในใจกลัวพูดออกไปแล้วพ่อจะช็อกซะก่อน อีกอย่างผมสมยอมเองนี่นา พูดไปก็มีแต่จะโดนด่าซ้ำ

“ไป ๆ เดี๋ยวจะสาย”

“สวัสดีครับคุณพ่อ สวัสดีครับคุณแม่” อชิตะยกมือขึ้นไหว้

“ผมไปก่อนนะคุณนาย ผมไปก่อนนะครับพ่อ ไว้ผมจะมาหาบ่อย ๆ”

“เออเอาเถอะ แค่รับสายกันบ้างก็ดีใจแล้ว”

“ค่าบบบบบบบบ รับทราบแล้ว”

ผมรับปากกับพ่อเสร็จก็กระโดดขึ้นรถทันที อชิตะสตาร์ทเครื่องยนต์ แล้วเคลื่อนตัวออกสู่ถนนกว้างในเวลาต่อมา ผมหันไปมองอชิตะระหว่างขับรถแล้วคิดอะไรเพลิน ๆ ช่วงที่รถไม่เยอะ อชิตะจะมองตอบกลับแล้วอมยิ้ม

“มองอะไร อยากลองในรถหรือไง”

“บ้าเหรอ เธอคิดแต่เรื่องหื่นจริง ๆ”

ทีอยู่ต่อหน้าพ่อกับแม่ผมนะ เรียบร้อยยิ่งกว่าผ้าผับไว้เสียอีก

“แล้วมองอะไรล่ะครับคุณนาย”

“มองแฟนตัวเองไม่ได้เหรอครับคุณผู้ชาย”

“ได้สิครับ แต่แค่มองเองเหรอ” ว่าจบเขาก็ป่องแก้มจนพองลม ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แล้วฝังจมูกลงที่แก้มไว้สักพักก็ผละออก

ชีวิตผมแฮปปี้ แบบแฮปปี้ขั้นสุด มันดียิ่งกว่านิยายฟีลกู๊ดเสียอีก เพื่อนเอย ครอบครัวเอย ไหนจะแฟนที่ขี้อ้อนเหมือนแมวยักษ์นี่อีก

เฮ้อ~ แบบนี้สกายก็ฟินตายเลยล่ะ :’)











#แฟนwithbenefits



แล้วเจอกันบทส่งท้ายนะครับ ผมจะลงวันนี้พยายามจะไม่ให้ดึกมากน้า


รัก <3



ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ





-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT -The End-
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 22-09-2021 03:48:39
แฟน║FRIEND WITH BENEFIT

บทที่

-24-

Happy Ending


เอ้า ฮา เฮ่ ฮา เฉยช้าอยู่ไย

เอ้า ฮะ ฮ่ะ ไฮ้ ใครต่อใคร เขาร้ายทั้งนั้นน่ะ

เอ้า ฮิ ฮิ ฮิ ดูให้ดีเขาลีลาศกัน

ยักแย้ แย่ยันเห็นเขาเต้นกันเสียวซ่านอุรา

โอ้ โห โอ้ โห โย้เย้โยกไป

เอ้า ฮะ ฮ่ะ ไฮ้ ใครต่อใครย้ายยักควักคว้า

เอ้า ฮิ ฮิ ฮิ ดูให้ดีเขามีใหม่มา

เอ้า ฮ้า เอ้า ฮาเขาลีลาศพาคู่คราคล้อยไป

*เพลงเริงลีลาศ - สุนทราภรณ์



งานเลี้ยงรุ่นปีนี้ใครเขาเลือกเพลงวะ เอาซะนึกถึงมอหกตอนที่ครูนงนุชสั่งให้จับคู่เต้นลีลาศ เต้นไปเหยียบตีนเพื่อนไป รองเท้าผ้าใบสกปรกมันทุกวันศุกร์

แต่เสียงเพลงที่ได้ยินนั้นผมไม่ได้ยินเองที่งานหรอก เพราะมันดังมาจากสายของคนที่โทรตามอยู่ตอนนี้...

แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก


ผมขบฟันแน่นพยายามเก็บเสียงหายใจเหนื่อยหอบ เพราะกลัวคนในสายจะได้ยิน

[สกาย! มึงได้ยินกูเปล่าเนี่ย]

“อะ!...ได้ยิน”

[มึงจะมากันได้หรือยัง กูรอนานแล้วนะ งานก็เริ่มมาจะเป็นชั่วโมงแล้ว]

“อชิ!” ผมกำหมัดแน่น เพราะต้องเก็บกลั้นเสียง ร่างกายก็สั่นสะท้าน ไหวขึ้นลงตามแรงโหมกระแทก “กูกำลังไปแค่นี้นะ” ผมรีบกดตัดสาย ก่อนที่ทุกอย่างจะเลยเถิดไปมากกว่านี้

“อ๊ะ...อ๊า อชิรีบปล่อยสักที นิวรออยู่ อ๊า...”

“ครับคนดี พร้อมกันนะ” ว่าจบเข้าก็สวนสะโพกเข้ามาจนสุด ขาทั้งสองสั่นจนแทบไม่มีแรงยืน

ต้นเหตุมันเริ่มจากคนคิดธีมงานเลี้ยงรุ่นปีนี้อยากย้อนวัย กลับไปสิบแปดอีกครั้ง ธีมงานปีนี้จึงให้ใส่ชุดนักเรียน

พอผมแต่งตัวเสร็จยังไม่ทันก้าวขาออกจากประตูห้อง ผมก็โดนอชิตะลากมาย้อนวัยที่หน้าประตูห้องนอน เสื้อนักเรียนที่รีดจนเรียบกริบยับเยินไม่มีชิ้นดี สภาพผมตอนนี้ไม่ต่างกับคนโดนข่มขืน

“อชิจะเสร็จแล้ว เร็วอีก อื้อออ เข้ามาลึก ๆ อะ!”

“ปล่อยเลย” สิ้นสุดคำรื่นหู ผมก็ปล่อดปล่อยของเหลวสีขาวขุ่นออกมา

แม่งเปื้อนประตูห้องเรียบร้อย...

อชิตะขยับเข้าจนลึกสุดโคน จุกไปทั้งช่องท้อง ขยับถี่อีกสองสามครั้งเขาก็ปลดปล่อยออกมาจนรู้สึกอุ่นในช่องท้อง

ของเหลวสีขาวไหลเลอะเปรอะขาเหนี่ยวไปหมด “ต้องอาบน้ำใหม่เลย” ผมหันไปบ่นอุบอิบ ถอดเสื้อนักเรียนออกแล้ว เดินเข้าห้องน้ำด้วยสภาพเปลือยเปล่า ยิ่งอยู่ด้วยกันนาน ความเขินอายก็มีน้อยลงไปทุกวัน

“ไม่งอนนะคนดี เดี๋ยวเข้าไปช่วยเอาออกให้”

“ไม่ต้องมาพูดเลย พอเอานิ้วแหย่เข้ามา เดี๋ยวเธอก็มาแข็งชี้หน้าอีก วันนี้จะได้ออกจากห้องไหม!” บ่นจบเขาก็ทำหน้าหงอย เดินออกไปจากห้องน้ำ “จะไปไหน!”

“ไปใช้ห้องน้ำข้างนอกไง ก็เธองอนเค้า”

“ไม่ต้อง...อาบด้วยกันนี่แหละ”

สุดท้ายผมก็แพ้เขาอีกตามเคย พอบอกให้อาบด้วยกันเขาก็ยิ้มร่า เดินดุ่ม ๆ เข้ามาสวมกอดผมทันที

เราใช้เวลาอาบน้ำด้วยกันไม่นาน เพราะอาบน้ำกันจริง ๆ ยังต้องออกมารีดเสื้อนักเรียนยับ ๆ นี่อีก

ใช้เวลากันพอสมควร เราก็ได้ฤกษ์ออกจากห้องเสียที เราใช้เวลาบนถนนไม่นานเท่าไหร่ เพราะขึ้นทางด่วน มาถึงผมก็ตรงไปยังโต๊ะลงทะเบียนเขียนชื่อตัวเองกับชื่ออชิตะ แล้วเดินเข้ามาในงาน นิวมารออยู่ก่อนแล้วเห็นผมเลยรีบวิ่งเข้ามาหา

“มาโคตรช้ามั่วเอากันอยู่หรือไง” ผมถึงกับสะอึก รู้ว่ามันแซวเล่น แต่มันเรื่องจริงไง

“ก็มาแล้วนี่ไง มีอุบัติเหตุนิดหน่อย”

“แล้วเป็นอะไรมาหรือเปล่า”ปวดเอวมาก โดนโยกจนไม่รู้ว่าตะโพกครากแล้วหรือยัง

“ไม่เป็นไรมึง” ยิ้มอ่อน

“เออก็ดี งั้นมึงอยู่กับอชิก่อน เดี๋ยวเอาเครื่องดื่มมาให้”

“ขอบใจมากมึง”

นิวเดินหายไปในกลุ่มคน ผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียงอชิตะหัวเราะรวนจนน่าหมั่นไส้ ผมเลยใช้ศอกกระทุ้งท้องเขาไปหนึ่งที

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย เพราะเธอมัวแต่ทำเรื่องทะลึ่งจนมาสายนะ”

“เห็นเธอใส่ชุดนักเรียนแล้วมีอารมณ์จะให้ทำไง” ว่าจบเขาก็แอบใช้มือลูบก้นผมอย่างแผ่วเบา

“งดมีเซ็กซ์มันสักระยะดีไหมเนี่ย”

“เธอทนไม่ได้หรอก”

"แสนรู้" ผมทำได้เพียงถอนหายใจทิ้ง เพราะมันจริงอย่างที่เขาว่า พอถูกลูบ ๆ คลำ ๆ หน่อย สุดท้ายผมก็ทนไม่ได้อยู่ดี แตะนิดเดียวเครื่องผมก็ฟิตสตาร์ทติดโดยไม่ต้องใช้น้ำมันไดเกียว

ยืนคุยกับอชิตะอยู่นานกว่านิวจะโผล่หัวมาผมก็คอแห้งพอ นี่ก็คงหายไปเพราะเพื่อนคนอื่นลากไปลากมาอีกแน่ นิวมันขึ้นชื่อเรื่องบุคคลสาธารณะ มันเครื่องดื่มสีหวานมา แล้วเราก็ยืนคุยกันต่ออีกไม่นาน อชิตะก็ถูกกลุ่มเพื่อนดึงตัวไป ผมไม่ได้รั้งเขาหรอก นาน ๆ ทีจะได้มาเจอกันนี่นะ

ไม่กี่นาทีต่อมา นิวก็โดนเพื่อนจากห้องอื่นดึงไป ทิ้งให้ผมยืนงงในดงงานเลี้ยงรุ่นที่ผมไม่ค่อยจะคุ้นกับใครเท่าไหร่นัก ในงานส่วนใหญ่ทุกคนมักจะชอบพูดกันถึงเรื่องอดีต ปีนี้เป็นปีที่สองที่ผมมา เมื่อปีก่อนผมถูกนิวลากให้มาเพราะเพื่อน ๆ หลายคนอยากเห็นหน้าหลังจากที่ผมเก็บตัวมาตลอดหลายปี แต่ก็เพราะวันนั้นถึงทำให้ผมได้มาพบกับอชิตะ...

"ซาหวาดดีคร่าบบบบบบบ" เสียงดีเจบนเวทีพูดเสียงดัง ไฟในห้องก็เริ่มมืดลง "เวลาที่ทุกคนลอยคอ เอ๊ย! รอคอยมาถึงแล้วววววว ขอเสียงคนที่อายุใกล้เลขสาม แต่ยังไม่มีแฟนหน่อยเร็ววววววววว" เสียงดีเจถามเท่านั้นแหละ เสียงโห่ร้องดังเซ็งแซ่รวมถึงผม จริง ๆ ผมไม่ได้โสดหรอก แต่แค่สนุกไปกับงานเฉย ๆ

"สกายใช่ไหม" เสียงของคนมาใหม่ว่า

"อะไรนะ" ผมเห็นหน้าเขาไม่ชัดเท่าไหร่ เพราะมันค่อนข้างมืด เสียงเพลงก็ดัง

"ใช่สกายหรือเปล่าครับ" คนตัวสูงโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู ผมถึงได้ยินว่าเขาถามอะไร

"ใช่ ทำไมเหรอ" ผมว่า

"เราชื่อนนท์ อยู่โรงเรียนนี้เหมือนกัน เราติดตามผลงานเธออยู่ ชอบลายเส้นของสกายมากเลย อยากติดต่อเรื่องงานขอคอนแทกต์ได้ไหม" ผมชั่งใจอยู่ครู่ ไม่รู้ว่าเขาต้องการจะติดต่อเรื่องงานจริง ๆ หรือเรื่องส่วนตัว "ถ้าสกายไม่มั่นใจเอานามบัตรเราไปก่อนก็ได้" ผมรับนามบัตรของเขา แต่แค่รับไว้ก็ไม่ได้เสียหายนี่นะ

"อย่าลืมติดต่อมานะครับ" นนท์โน้มตัวลงมาบอกย้ำอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้โน้มตัวเข้ามาใกล้ เราทั้งคู่ก็ถูกฝ่ามือของใครบางคนจับแยกให้ออกห่าง

"คุยอะไรกัน จำเป็นต้องใกล้ขนาดนี้เลยหรือไง" อชิตะว่า

"เรื่องงานน่ะ ไม่มีอะไรหรอกครับ" นนท์หันไปตอบอชิตะ "แล้วอย่าลืมติดต่อมานะครับ" ว่าจบเขาก็เดินหายไป ทิ้งผมไว้ให้รับชะตากรรมที่เหลือ 

ผมยืนอยู่เฉย ๆ เองนะเว้ย T^T

"ใคร?" น้ำเสียงเย็นเหยียบถามเสียงนิ่ง

"ไม่รู้...เขาบอกว่าเขาชอบงานวาดอยากติดต่องานน่ะ" ว่าจบนามบัตรในมือผมก็ถูกอชิตะดึงไป 

"ไม่ต้องรับ เธอคนเดียวเราเลี้ยงได้"

"...ครับ" 

"กลับกันเถอะ ไม่อยากอยู่แล้ว" อชิตะว่า

"ได้ไง เพิ่งจะ..." เห็นสีหน้าเขาแล้วผมเองก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อเลยจริง ๆ

"พวกมึงจะไปไหน อย่าเพิ่งไป" เสียงไอ้ตัวดีโพล่งออกมา หลังจากหายหัวไปนาน พ่อคนสาธารณะ "ว่าจะชวนไปต่อกันข้างนอก ไปด้วยกันไหม"

"เอาไว้วันหลังนะ พรุ่งนี้กูมีงาน" ผมรู้ว่าอชิตะโกหกคำโต เพราะผมจำได้ว่าพรุ่งนี้เขาหยุด

"อะไรวะทิ้งกูกันหมด"

"เออกูไปก่อน" ว่าจบเขาก็ลากผมออกมา

ตลอดทางเราแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย จนกระทั่งผมเป็นฝ่ายชวนเขาคุยก่อน "เธอโกรธเราหรือเปล่าเนี่ย" ผมว่า

"เราจะโกรธสกายทำไม เธอไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย" ก็รู้นี่

"อ้าว...ก็เธอเงียบ"

"ไม่รู้สิ แค่หงุดหงิดตัวเอง เผลอแป๊บเดียวก็มีคนมาวอแวเธอแล้ว โมโหที่ตัวเองไม่ได้อยู่ตรงนั้น" ผัวหึงมันดีแบบนี้นี่เอง รู้สึกสวยที่สุดในโลกยังไงก็ไม่รู้

"อชิรู้ใช่ไหมว่าเราชอบอชิมานานแค่ไหน แค่ใครที่เราไม่รู้จักมาวอแว ไม่ทำให้เราไขว้เขวหรอกนะ"

"แวะเข้าโรงแรมก่อนได้ไหมเนี่ย" ผมหลุดขำพรืดกับคำพูดทีเล่นทีจริง คนกำลังดึงซีนซึ้ง แต่เขากลับดึงเข้าโรงแรม

"ตลก! ขับรถไปเลย วันนี้เราเหนื่อยมาก"

เราไม่ได้คุยอะไรกันอีกหลังจากนั้น จนกระทั่งผมเผลอหลับไประหว่างทาง รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกปลุกเพราะถึงคอนโดฯ ลองเป็นช่วงที่คบกันแรก ๆ สิ เขาอุ้มผมขึ้นห้องแล้วไม่ปลุกหรอก

ผมเดินตามหลังคนตัวสูงมาบนห้อง ขณะที่ผมกำลังถอดรองเท้าอยู่ อชิตะก็หันมาบอกให้ผมไปนั่งรอที่โซฟาก่อนอย่าเพิ่งเข้าไปนอน ผมเองก็ทำตามอย่างว่าง่ายถึงแม้จะง่วงแค่ไหนก็ตาม

ปุง! 

เสียงดังจากในครัวทำผมสะดุ้งโหยง คราวนี้ผมตื่นเต็มตาทันที หันกลับไปมองเห็นเขากำลังเปิดขวดแชมเปญอยู่ นี้เรากำลังจะฉลองอะไรกัน...

ผมสาวเท้าเดินตรงไปยังโซนครัว อชิตะกำลังรินเครื่องดื่มใส่แก้วแชมเปญทรงสูง

"เด็กนักเรียนดื่มได้ด้วยเหรอครับ" ผมเอ่ยปากแซวเพราะเราทั้งคู่ยังอยู่ในชุดนักเรียน

"ผู้ปกครองอนุญาตแล้ว" ว่าจบเครื่องดื่มก็ถูกส่งมา ผมรับไว้ แล้วมองทุกการกระทำของคนตัวสูง อชิตะเดินไปเปิดผ้าม่านระเบียงห้อง แล้วเดินกลับเข้ามาปิดไฟ โซฟาตัวใหญ่ที่เราชอบใช้นั่งดูหนังด้วยกันถูกหันออกไปทางหน้าระเบียง 

"มานั่งนี่สิ"

ผมหย่อนสะโพกลงนั่งในส่วนพื้นที่ที่เหลืออยู่ เอนแผ่นหลังแนบลงกับแผ่นอกของคนตัวใหญ่กว่า ผมทำทุกอย่าง อย่างคุ้นชิน เพราะเราทำแบบนี้อยู่เป็นประจำ

อชิตะชอบให้ผมมานั่งแบบนี้ ก่อนจะตะโบมพรมจูบทั่วทั้งหน้า กอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างมันเขี้ยว

"เราฉลองกันเนื่องในโอกาสอะไรเหรอครับ" ผมว่า

"ครบรอบหนึ่งปีไง" 

"หืม?" ผมชันตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อหันกลับไปมอง ครบรอบหนึ่งปีอะไรกัน เราเพิ่งจะคบกันมาได้สี่ห้าเดือนเอง จำผิดคนหรือเปล่าเนี่ย

"หึ ก็วันนี้เมื่อปีที่แล้วเราได้เสียกันนี่"

ให้ตายเถอะ! คู่อื่นเขาครบรอบหนึ่งปีที่คบกัน คู่เราครบรอบหนึ่งปีที่ได้เสียกัน ต้องเป็นคนยังไงนะ ผมทุบอกคนพูดเบา ๆ ไปหนึ่งที่ ข้อหาทำให้ผมหมั่นไส้

"วันนั้นอชิข่มขืนเราเถอะ" ผมว่าไปตามจริง

"ให้พูดใหม่..."

"อะไร?"

"เราไปข่มขืนเธอตอนไหน" 

แหมมมมมมมม...ย้อนกลับไปอ่านอารัมภบทสิฟะ!

"นี่ ๆ ลืมเหรอต้องโกรธไหมเนี่ย" ผมว่าพลางจิบเครื่องดื่มในมือ "ตื่นขึ้นมาเราก็เห็นอชิจับเราแก้ผ้า ขึ้นขี่เราขนาดนั้น จะให้คิดไง"

"จะบ้าเหรอ เธอนั่นแหละยั่วเรา อย่าบอกนะว่าจำอะไรไม่ได้เลย?"

"..." เชี่ยล่ะ! ผมเริ่มนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์วันนั้น เท่าที่จำได้ผมตื่นขึ้นมาเพราะหนาว แล้วก็ถูกจับกด

"ไม่ต้องนึกแล้วเดี๋ยวเล่าให้ฟัง" ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ในใจยังคาดหวังว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรที่เรียกว่ายั่วแน่นอน "คืนนั้นเธอนอนดิ้นมาก แถมยังถอดเสื้อผ้าตัวเองออกตอนไหนก็ไม่รู้ อยู่ ๆ ก็มากอดเราแล้วก็จูบเราเฉยเลย จากนั้นเธอก็เอามือล้วงเข้ามาในกางเกงเรา แล้วก็-" 

"พอไม่ต้องเล่าต่อ" ผมรีบร้องห้าม เพราะทนฟังไม่ได้ สุราเป็นเหตุจริง ๆ ตอนนั้นผมแค่คิดเองนะเว้ยว่าจะกอดหรือไม่กอดดี ไม่คิดว่าตัวเองจะกอดเขาจริง ๆ แถมยังไปแก้ผ้าตอนไหน

"น่ารักดีออก" 

น่ารักกับผีสิ!

"ไม่ต้องพูดเลย น่าอายชะมัด" เสียงอชิตะหัวเราะรวน ผมล่ะหมั่นไส้เขาจริง ๆ ที่ผ่านมาผมคิดว่าตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำมาตลอดแท้ ๆ ไม่น่าเปิดประเด็นเลย แล้วผมถอดเสื้อตัวเองทำไมกัน ร้อนเหรอ หรือไฟร่านมันแผดเผาจนทนไม่ไหว 

นังสกายแกมันนังใจง่าย!!!

แล้วไอ้นิวตัวดีก็เป็นคนคิดให้ผมได้นอนกับอชิตะ ทั้งที่รู้ว่าเวลาผมเมาชอบเผลอไปจูบคนอื่น อย่าให้เจอนะ แม่จะฟาดหลังแอ่นติดฝา

"กรุงเทพฯ มองไม่เห็นดาวเลยเนอะ" เสียงทุ้มกอดกระชับวงแขน ก่อนจะพรูดลมหายใจอุ่นยาว ๆ

"มีสิเห็นไหมกะพริบใหญ่เลย"

"นั้นมันเครื่องบิน!" 

"รู้นา" ผมว่าเอินหยอก "มีคนเคยบอกเราว่า ถึงจะมองไม่เห็น แต่ดาวก็ยังลอยคู่กับท้องฟ้า"

"ใครเหรอ..." เขารู้ แต่เขาก็ยังถาม

"กิ๊ก" สิ้นสุดคำว่ากิ๊ก ผมก็โดนเขาช้อนหน้าขึ้นรับจูบ ฟันขาวครูดริมฝีปากจนได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้งในปาก

"รางวัลของคนปากเก่ง"

"..." ผมได้แต่นั่งกะพริบตาปริบ ๆ ในความมืด มันก็เจ็บนั่นแหละ แต่ก็ถึงใจอยู่นะ

นั่งได้ไม่ถึงนาทีผมก็ถูกดันให้ลุกขึ้น "นั่งอยู่นี้ก่อน" ว่าจบเขาก็เดินหายเข้าไปในห้องนอน ผมนั่งจิบแชมเปญที่เหลือจนหมด ไม่นานเขาก็เดินกลับมา ทิ้งตัวลงนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า 

ขอแต่งงานเปล่าเนี่ย จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ให้ก็แล้วกัน...

"นี่คุณท้องฟ้า"

"0.0" 

ท้องฟ้า?

"ผมขอเป็นดาวได้ไหม ผมอยากอยู่ข้าง ๆ คุณตลอดไม่ว่าจะตอนที่มองเห็นหรือมองไม่เห็น" ว่าจบเขาก็ยื่นขวดโหลอะไรสักอย่างส่งมา

"จำนวนดาวในโหลคือจำนวนวันที่ผมชอบคุณ จริง ๆ ตั้งใจจะพับไปเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายมันก็ถึงวันที่เราต้องตัดใจ และหยุดพับมัน"

"..." ผมมองดาวนับร้อยดวงในโหล ที่ผ่านมาผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า มีคนคนหนึ่งชอบผมมากถึงเพียงนี้

"มันมีอีกโหล แต่อาซาเด็กมากเลยเผลอทำมันตกแตก ผมเก็บที่เหลือไว้เป็นอย่างดี หวังว่าสักวันหนึ่งมันจะได้มาอยู่กับเจ้าของของมัน"

"..."

"ตอนนี้มันเป็นของคุณแล้ว ท้องฟ้าของผม" ว่าจบเขาก็จับข้อเท้าผมขึ้นมา วินาทีนั้นหัวใจผมเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ เขาโน้มใบหน้าคมกดริมฝีปากลงจูบฝ่าเท้าของผมอย่างแผ่วเบา จะบอกว่าไม่เคยมีใครทำอะไรแบบนี้กับผมเลยมันก็ใช่ เพราะเขาเป็นคนเดียวที่ผมเฝ้ารอมาตลอด ถึงแม้ปากผมจะพูดว่าเลิกชอบเขาไปแล้วก็ตามแต่ คนที่รู้ทุกอย่างดีที่สุดคือตัวผมเอง

ไม่ว่าจะตอนนี้ หรือตอนไหน คำตอบของผมก็ยังเป็นอชิตะเสมอมา

ในตอนที่เรายังเด็ก ผมรู้สึกว่าอชิตะเหมือนดาวบนท้องฟ้า สวยงามแต่ไม่อาจเป็นเจ้าของได้ มาวันนี้ผมรู้แล้วว่า เขาเป็นดาวจริง ๆ แต่เป็นดาวที่อยู่ข้าง ๆ ท้องฟ้ามาโดยตลอด ทั้งในตอนกลางวัน และตอนกลางคืน

ถึงแม้งบางครั้งผมจะมองไม่เห็นด้วยตา แต่ก็รู้ได้ว่าเขามีอยู่จริง...

"อชิตะเป็นของสกาย"

.

.

.

The End









#แฟนwithbenefits



ในที่สุดเรื่องราวทั้งหมดก็มาถึงตอนจบ Happy Ending ครับ

รัก<3

ฝาก #แฟนwithbenefits ในทวิตด้วยนะครับ







-กำลังทยอยแก้คำผิด-
หัวข้อ: Re: แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT จากใจนักเขียน ถึง นักอ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: -Piagpun- ที่ 22-09-2021 03:52:14

จากใจนักเขียน ถึง นักอ่าน

สวัสดีครับ >.< นั้นเป็นคำกล่าวทักทายที่ดีที่สุด จริง ๆ เรายังไม่เคยแนะตัวอย่างเป็นทางการสักที วันนี้ก็เลยขออนุญาตใช้พื้นที่นี้แนะนำตัวอย่างทางการเลยแล้วกันนะครับ

-เปียกปูน- แท้จริงแล้วเป็นแมวครับ น้องเป็นแมวตัวแรกของผมเอง

ส่วนตัวนักเขียนเองชื่อ 'เพื่อน' มันก็ค่อนข้างแปลกกว่าชื่อแมวหน่อย 55555+ อายุ... ไม่พูดดีกว่า เป็นค่อนข้างข้างอบอุ่น ถ้าช่วงไหนน้ำหนักขึ้นจะเปลี่ยนจากอบอุ่นเป็นอ้วนครับ

ช่องทางการติดต่อทั้งเฟซบุ๊ก และ ทวิตเตอร์ ใช้ชื่อเปียกปูนหมดเลยครับ ว่าง ๆ ก็แวะเข้าไปทักทายได้ครับ แต่อย่าด่าผมนะ ผมใจบาง TT0TT

ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักนักอ่านทุกคนนะครับ

 

มาต่อกันที่เรื่องนิยายดีกว่า

ในที่สุดตอนนี้ แฟน║F̶R̶I̶E̶N̶D̶ WITH BENEFIT ก็มาถึงตอนที่ลงท้ายด้วยคำว่า The End เป็นเรื่องที่สามของนามปากกา -เปียกปูน- ก็ยังคิดเหมือนเดิมว่ามันไม่ใช่นิยายที่ดีที่สุด แต่เราเองก็จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ผิดพลาดประการใด ต้องขออภัย เจ้าป่าเจ้าเขา พระแม่ธรณี และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดให้อภัยลูกช้างด้วยนะครับ

พล็อตเรื่องมันเริ่มต้นที่วันดีคืนดีนักเขียนเหงาหงอย และเปล่าเปลี่ยว เลยลองกดแอปพลิเคชันที่ขึ้นต้นด้วยทิน ลงท้ายด้วยเดอร์ (ผมไม่ได้โฆษณานะ) ลองเล่นอยู่หลายวัน ส่วนใหญ่จะเจอแต่พวกความสัมพันธ์ที่เรียกว่า FWB หรือ Friends With Benefits ตอนนั้นเกิดคำถามมากมาย แล้วตู้ม!!! ลบแอปฯ ทิ้ง แล้วเขียนนิยายดีฟ่า แค่นั้นแหละครับ ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากเล่าเฉย ๆ 55555+

ขอบคุณทุกคอมเมนต์ ทุกการกดใจ กดหนังสือเข้าชั้น หรือแม้แต่ยอดโดเนทของทุกเรื่องทุกคนนะครับ มันเป็นกำลังใจเล็ก ๆ ในวันที่หมดไฟจริง ๆ อาจจะมีหายไปบ้าง ก็ยังมีคนเข้ามาถามไถ่ ทำให้รู้ว่ายังมีคนรออ่านนิยายของเราอยู่ ผมมีความสุขมากเลยนะ

มีบางคนถามว่าผมเสียเงินไปโดยไม่ได้อะไรกลับมาเพื่ออะไรกัน (ค่าปกนิยายเอย ค่าเน็ต ค่าไฟ บลา ๆ) ผมตอบเสมอว่า ผมมีความสุขกับการเขียนจินตนาการที่อยู่ในหัวออกมาเป็นตัวหนังสือ มีความสุขทุกครั้งที่มีคนอ่าน แค่นี้ผมก็ดีใจแล้วจริง ๆ

รักนักอ่านทุกคนครับ หวังว่าเราจะได้เจอกันในเรื่องถัดไป

สวัสดี <3

 

 

'เพราะนักอ่านคือกำลังใจของนักเขียนทุกคน'

 


ป.ล.ตอนพิเศษผมจะลง 1 ตอน แค่ใน readAwrite