ร้านก๋วยเตี๋ยวหลังความตาย [EP.4-29/08/21]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ร้านก๋วยเตี๋ยวหลังความตาย [EP.4-29/08/21]  (อ่าน 1227 ครั้ง)

ออฟไลน์ thanap

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-08-2021 13:41:36 โดย thanap »

ออฟไลน์ thanap

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ทักทาย:
สวัสดีครับ นิยายเรื่องนี้แต่งมาได้สักระยะแล้ว จะทยอยลงเรื่อย ๆ ครับ
เรื่องนี้เป็นนิยายสยองขวัญแฟนตาซีตามชื่อเลยครับ
ฝากติชมกันด้วยนะครับ :)
ปล. ต้องขออภัยสำหรับคนที่ตามเรื่องเก่าอยู่ด้วยนะครับ
พอดีโปรเจกต์นี้มันเข้ามาในหัวกระทันหัน

1

“สั่งอาหารหน่อยครับ”

“ปรัชญ์ ลูกค้า!”

“ได้ยินแล้วครับแม่!”

เริ่มจากเสียงลูกค้าสั่งอาหารดังมาจากหน้าร้าน ต่อด้วยเสียงแม่ที่อยู่ในครัวหลังร้านตะโกนเรียกผมให้มาดูลูกค้า ปิดท้ายเสียงผมที่ยืนจัดโต๊ะอยู่หน้าร้านตะโกนตอบกลับไป ช่างเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่มีชีวิตชีวาอย่าบอกใครเชียว

“เชิญนั่งก่อนนะครับ” ผมตอบลูกค้าโดยไม่ได้หันไปมองเพราะยังติดพันอยู่กับการจัดโต๊ะลูกค้าตัวในสุด “ลูกค้าจะรับอะไร…”

ผมไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำสุดท้ายให้เล็ดลอดผ่านลำคอออกมาได้อีก ทำได้เพียงยืนนิ่งตะลึงงันมองผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับผมกำลังนั่งหันซ้ายหันขวาดูเมนูที่แขวนอยู่ตามผนังร้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้เวลานานทีเดียวกว่าผมจะรวบรวมสติสัมปชัญญะทั้งหมดในร่างกายให้เดินไปต้อนรับลูกค้าที่โต๊ะได้

“ขออภัย…”

“ผมเอาบะหมี่เย็นตาโฟพิเศษใส่ทุกอย่างชามนึงครับ”

“แม่!”

ผมต้องมีตัวช่วย

“เสียงดังโวยวายอะไรของแกวะปรัชญ์ คนกำลัง…”

แม่ที่กำลังเดินออกมาจากหลังครัวก็ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่ต่างอะไรกับผม ผมดูออกว่าแม่กำลังควบคุมตัวเองไม่ให้มือสั่นจนปล่อยชามเครื่องปรุงในมือร่วง

“รับอะไรดีคะคุณลูกค้า” แม่ตั้งสติได้เร็วกว่าผมกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอก่อนปั้นหน้ายิ้มเดินมารับลูกค้าข้าง ๆ ผม

“บะหมี่เย็นตาโฟพิเศษใส่ทุกอย่างชามนึงครับ” เขาทวนรายการเดิมอีกครั้ง “ขอด่วน ๆ เลยนะครับ ผมหิว”

“ไม่มีปัญหาค่ะคุณลูกค้า” แม่ส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนที่เจือไว้ด้วยความฝืนส่งให้ชายคนนั้น “ไอ้ปรัชญ์ มาช่วยแม่เตรียมก๋วยเตี๋ยวหน่อย”

ไม่วายยังหยิกแขนผมให้เดินตามหลังมาด้วย

“มันเข้ามาได้ยังไง”

“ผมก็ไม่รู้ ตอนนั้นผมกำลังจัดโต๊ะ”

“ฉิบหายหมดแล้วร้านกู”

แม่กุมขมับอย่างเหนื่อยใจก่อนเริ่มต้นโยนวัตถุดิบลงในหม้อก๋วยเตี๋ยวอย่างคล่องแคล่ว ส่วนผมก็ได้แต่หันรีหันขวางมองแม่ทีมองลูกค้าทีวนไปอย่างนั้น ผู้ชายผมดัดเป็นลอนสวมเสื้อคาร์ดิแกนแขนยาวกำลังนั่งหันหลังให้ผมอยู่ก็ดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร เสียอยู่อย่างเดียว...

เขาเป็นมนุษย์!

ร้านก๋วยเตี๋ยวของเราปิดมาได้เกือบยี่สิบปีแล้ว เพียงแต่ลูกค้าร้อยละ 99.99 ล้วนแต่ผ่านพ้นความเป็นมนุษย์มาแล้วทั้งสิ้น มีทั้งเละบ้างครบสามสิบสองบ้างปะบนกันไป หากแต่เต็มไปด้วยความไม่สงบอยู่ภายในจิตใจไม่แตกต่างกันเลยสักคนเดียว หากจะว่ากันตามจริง ผมกับแม่นี่แหละเป็นด่านสุดท้ายคอยระบายความทุกข์ของคนเหล่านั้นผ่านชามก๋วยเตี๋ยว เพราะเราเชื่อว่าการกินอาจเป็นความสุขเดียวและสุขสุดท้ายสำหรับคนตายที่กำลังจะจากโลกนี้ไป ส่วนมนุษย์นั้นแทบเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะนึกถึง เพราะต่อให้ร้านตั้งอยู่ตำตาเปิดไฟสว่างโร่ขนาดนี้ก็ยังไม่มีมนุษย์คนไหนย่างกรายเข้ามาสักคนเดียว ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณมนตร์บังตาจากยมโลก

“ทานให้อร่อยนะจ๊ะพ่อหนุ่ม”

แม่ตะโกนไล่หลังผมที่กำลังยกชามก๋วยเตี๋ยวไปเสิร์ฟลูกค้าที่มีอยู่เพียงโต๊ะเดียวภายในร้าน ผมเห็นเขายังคงสอดส่ายสายตามองอะไรไปทั่วร้าน พอได้ก๋วยเตี๋ยวก็รีบจัดการโซ้ยเข้าปากทันที

“เออนี่ไอ้หนุ่ม” อยู่ดี ๆ แม่ก็เดินมาลากเก้าอี้มานั่งที่โต๊ะข้าง ๆ หน้าตาเฉย “ชื่ออะไรล่ะเรา”

ชายคนนั้นมองตอบแม่ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ปากยังคงเคี้ยวตุ้ย ๆ

“แหม พ่อหนุ่มก็” แม่ยังคงปั้นหน้าระรื่นต่อไป “น้าก็แค่เห็นว่าเรารุ่นราวคราวเดียวกับไอ้ปรัชญ์มัน ก็เลยอยากให้รู้จักกันไว้ มันอยู่ตัวคนเดียวน่าสงสารจะตายไป ยิ่งลูกค้าก็ไม่ค่อยจะมี”

“แม่ มันเสียมารยาท”

“ปรัชญ์อย่าขัดแม่ มันเสียมารยาท” แม่ย้อนผม

“ผมพร้อมครับ” ชายคนนั้นตอบแม่ด้วยท่าทางประหม่า ตายังคงจับจ้องอยู่กับก๋วยเตี๋ยวในชาม

“แหม พอดีเลย ไอ้ปรัชญ์มันก็พร้อมเหมือนกัน ใช่ไหมลูก” แม่พยักเพยิดมาทางผม

“ผมหมายถึง…” เขาดูดน้ำอึกใหญ่ “ผมชื่อพร้อมครับ”

“อ้าวเหรอ ตายจริง น้าก็เข้าใจผิดเสียได้นี่ แล้วนี่หนูอายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ”

“พอแล้วแม่”

“สิบเก้าครับ” พร้อมตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนผมรู้สึกราวกับเป็นส่วนเกินในวงสนทนานี้

“ตายจริง” แม่ยังคงหัวเราะร่วน “อายุก็ยังเท่ากันอีกนะ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้”

“แม่”

“เป็นเพื่อนกันไว้นะลูก”

“ไม่” ผมร้อง

“ได้ครับ” พร้อมว่า ผมเห็นมันเผลอยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึง

“ไอ้ลูกคนนี้นี่ เป็นเพื่อนกันไว้ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร จริงไหมจ๊ะพร้อม”

แม่และพร้อมส่งยิ้มตอบกันราวกับถูกชะตากันมาแต่ชาติปางก่อน ในขณะที่ผมน้ำตาปริ่มจะไหลเพราะแม่เอื้อมมือลอดใต้โต๊ะมาหยิกแขน

“เออ ตามน้ำไปก่อน” แม่กระซิบ

“แล้วนี่บ้านหนูอยู่แถวนี้เหรอจ๊ะ” แม่ยังไม่หยุดซัก

“พอเถอะแม่”

“ผมอยู่หอไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่หรอกครับ”

“อ๋อ...เหรอจ๊ะ ว่าง ๆ ก็แวะมากินก๋วยเตี๋ยวร้านน้าได้นะ ยิ่งถ้าเป็นเพื่อนไอ้ปรัชญ์น้าไม่คิดเงินหรอกจ้ะ ใช่ไหมลูก” แม่หยิกซ้ำที่เดิมอีกครั้งจนผมต้องยอมพยักหน้าตาม

“เจ็บ”

“อะไรนะจ๊ะลูก โอ๋ ๆ” แม่ทำทีเป็นลูบหัวผม หน้ายังคงส่งยิ้มไปให้พร้อม “คำถามสุดท้ายแล้ว ๆ หนูยังเรียนอยู่ใช่ไหม เรียนอะไรที่ไหนบอกน้าได้ไหมจ๊ะลูก”

“อ้อยังเรียนอยู่ครับ ผมเรียนคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนี้เลยครับ”

“ตายจริง” แม่อุทานเสียงดัง ปากฉีกยิ้มกว้างแทบจะถึงรูหู “อะไรจะบังเอิญแบบนี้ เอาเป็นว่าน้าไม่กวนแล้วจ้ะ ปรัชญ์แม่ฝากเพื่อนด้วยนะ”

จะไปก็ยังไม่วางโยนขี้ไว้ให้ผม ผมส่งยิ้มหน้าเจื่อน ๆ ไปให้พร้อมที่ดูออกว่ากลั้นขำเต็มที เห็นแบบนี้ผมเลยหนีความกระอักกระอ่วนเดินตามหลังแม่เข้าไปในครัว

“ไอ้ลูกคนนี้นี่ เดินตามแม่มาทำไม ทำไมไม่ไปดูลูกค้า ไป ๆ ออกไปอยู่กับเพื่อน”
แม่บ่นแทบจะทันทีที่เห็นเงาผมเดินเข้ามาในครัว

“เล่นอะไรของแม่เนี่ย”

“ใครว่าฉันเล่น ฉันกำลังช่วยแกยังไม่รู้ตัวอีก”

“ช่วยอะไรของแม่”

“ก็ช่วยให้แกไม่ต้อง…” แม่หยุดไว้เพียงเท่านั้นนั้น “เออช่างมันเถอะ รีบออกไปดูเพื่อนได้แล้วไป ไปเฝ้าหน้าร้านเลย”

แม่โบกมือไล่ให้ผมออกไปจากครัว ผมเลยต้องเดินกลับออกมาอย่างเสียไม่ได้ ออกมาก็เห็นพร้อมนั่งเลื่อนโทรศัพท์มือถือโดยมีชามก๋วยเตี๋ยวเปล่าวางอยู่ตรงหน้า

“คิดเงินได้เลยปรัชญ์”

พร้อมเงยหน้าขึ้นมาเรียกทันทีที่เห็นผมเดินออกมาจากหลังร้าน

“ไม่เป็นไรหรอกพร้อม ชามนี้เราเลี้ยงเอง” ผมลองนึกว่าหากเป็นแม่ก็คงจะพูดแบบเดียวกัน”

“เฮ้ย ได้ไง” พร้อมร้อง “ของซื้อของขาย ยังไงก็ให้เราจ่ายเถอะ เราเกรงใจ”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ยังไงเดี๋ยวเราก็ได้เลี้ยงนายอีก”

“ฮะ”

“อ๋อ เปล่า ๆ เราหมายถึง ก็เราเป็นเพื่อนกันไง ใช่ไหมเพื่อน เนอะเพื่อนเนอะ”

"...”

พร้อมชะงักไปนิดหน่อยกับคำว่าเพื่อนที่ผมเพิ่งพูดไป แต่ถึงอย่างไรมันก็ได้ผล

“เอางั้นก็ได้ แต่คราวหน้านายต้องให้เราจ่ายนะ”
 
พร้อมลุกขึ้นยืนเก็บโทรศัพท์มือถือยัดลงกระเป๋ากางเกง ตายังคงกวาดมองไปทั่วร้าน

“เราว่าจะชมหลายทีแล้ว ร้านนายแต่งสวยดีนะ”

พูดจบพร้อมก็เดินออกไปจากร้านทันที แต่คำพูดสุดท้ายของมันทำเอาผมถึงกับต้องเหลียวหลังไปมองรอบร้านตัวเองอีกครั้งให้แน่ใจ ภาพตึกเก่า ๆ ปูนแตก ขึ้นรา ไม่พอยังมีหยากไย่จับอยู่ทั่วทุกมุมเพดาน รูปวาดสักใบในร้านก็ไม่ได้แขวน ทั้งหมดนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าสวยเลยแม้แต่น้อย

“ปรัชญ์ ปิดร้าน” เสียงแม่ตะโกนดังมาจากหลังครัว

“แต่เราเพิ่งเปิดเมื่อตะกี๊เองนะแม่”

“พอแล้ว เลิกขายสักวันมันจะเป็นไรไป” แม่ว่าพลางหย่อนท้ายลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ประตูครัว

“เจ๊ง”

“ทำอย่างกับทุกวันนี้ได้อะไรนักนี่”

จริงอย่างที่แม่ว่า เราแทบไม่ได้อะไรจากการขายก๋วยเตี๋ยวเลย ผมไม่เคยได้คิดเงินลูกค้าแม้แต่บาทเดียว โชคยังดีที่เรามียมโลกคอยสนับสนุนทางการเงิน พร้อมคำพูดประโลมใจว่าเราสองคนกำลังทำหน้าที่เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต หน้าที่ที่ทำให้ผมกับแม่อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย มนุษย์ที่ไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไป

“แกต้องซื้อของเตรียมตัวไปเรียนมหาวิทยาลัยพรุ่งนี้!”

“อะไรของแม่เนี่ย พูดง่ายอย่างกับเล่นขายของ”

ออฟไลน์ thanap

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
2

[Prompt’ s Part]

วันจันทร์อีกแล้ว!

ผมเหลือไปมองนาฬิกาเห็นว่าตอนนี้ยังแปดโมงเช้าอยู่ ดีหน่อยที่อยู่หอพักใกล้มหาวิทยาลัยเลยยังพอมีเวลาอ้อยอิ่งได้อีกพักใหญ่กว่าจะเริ่มเรียนวิชาแรก วันนี้เข้าสู่สัปดาห์ที่สองหลังจากเปิดเรียนไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมในฐานะน้องใหม่ปีหนึ่งยังมีอะไรให้ต้องปรับตัวอยู่อีกมาก การตื่นเช้าให้ทันไปเรียนก็เช่นกัน

อ้อยอิ่งอยู่สักพักก็ได้เวลาจัดแจงลงมายืนหน้าหอเพื่อรอเรียกวินมอเตอร์ไซค์เข้ามหาวิทยาลัย วันนี้อากาศแจ่มใสจนเกือบร้อน ท้องฟ้าไม่มีเมฆแม้แต่ก้อนเดียว จุดหมายปลายทางของผมวันนี้อยู่ที่อาคารเรียนรวม อาคารที่รวมเอาวิชาที่ไม่รู้จะไปเรียนที่ไหนมาไว้รวมกัน

ยืนรออยู่เกือบสิบนาทีจนเหงื่อท่วมตัว รถมอเตอร์ไซค์ที่ผ่านหน้าไปคันแล้วคันเล่าก็ไม่มีวี่แววเลยว่าจะเป็นรถรับจ้าง ครั้นจะให้ผมซื้อมอเตอร์ไซค์ขี่ไปเรียนเองก็กระไรอยู่ อีกอย่างบ้านผมไม่ค่อยมีฐานะ อะไรที่ประหยัดได้ก็ต้องช่วยพ่อประหยัด อันที่จริงผมควรจะได้อยู่หอพักในมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าผมแย่งคนอื่นจองไม่ทันเท่านั้นเอง

โอ๊ะ มาแล้ว!

“จอดพี่จอด”

ผมโบกมือเรียกรถคันหนึ่งเมื่อเห็นคนขับสวมเสื้อกั๊กสีส้มอยู่ไกล ๆ ด้วยความที่หอพักผมตั้งอยู่บนถนนเส้นหลักเข้ามหาวิทยาลัย การจราจรในเวลาแปดโมงเช้าจึงค่อนข้างหนาแน่นพอสมควร รถมอเตอร์ไซค์ของนักศึกษานับสิบนับร้อยคันต่างเบียดเสียดกันเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อไปเรียนให้ทันเวลา

รถมอเตอร์ไซค์คันที่ผมหมายตาขับผ่านเลยไปราวผมเป็นธาตุอากาศ ส่วนไอ้คันที่จอดดันเป็นผู้ชายคนหนึ่งใส่ชุดนักศึกษาแขนยาวสวมหมวกกันน็อกสีครีมซะนี่ หมวกกันน็อกเต็มใบที่เขาสวมอยู่ทำให้ผมดูไม่ออกว่าใคร

“ขอโทษครับพอดีผมเรียกวิน”

“เฮ้ย ใจเย็น”

ชายคนนั้นว่าพลางถอดหมวกกันน็อกสีครีมออกจากหัว ปากยิ้มกว้างจนเกือบเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ มองไปมองมาผมกลับรู้สึกคุ้นหน้ามันยังไงชอบกลแต่ก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าเป็นใคร

“จำเราได้ไหม”

“เราไหน”

“เราไง” มันยกมือขึ้นเกาหัว “เราปรัชญ์ไง ที่นายเพิ่งไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านเราเมื่อสองวันก่อน”

“อ๋อ” ผมร้อง ความทรงจำย้อนกลับขึ้นมาในหัว “ขอโทษที เกือบจำไม่ได้”

“เสียดายก๋วยเตี๋ยวที่เลี้ยงไปวันนั้นเนอะ” มันตัดพ้อ

"เอาเงินคืนไปเลยมั้ย" นึกแล้วก็น่าโมโห ตัวเองเลี้ยงเองยังมาทวงบุญคุณ “แล้วนี่นายจะไปไหน”

“ไปเรียนสิครับถามได้” ปรัชญ์ตบไหล่ให้ผมดูเชิ้ตสีขาวโอโม่ที่กำลังสว่างสู้แสงอาทิตย์จนแสบตา เหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายบนใบหน้าจากรังสีความร้อน “ถามอะไรรบกวนให้เกียรติชุดนักศึกษาด้วยครับผม”

“อ๋อ… เออ งั้นก็โชคดีนะ” ผมโบกมือลาแล้วหันไปหาวินมอเตอร์ไซค์ต่อ “ตั้งใจเรียน”

“ขึ้นมาดิ”

“ไปไหน”

“ขึ้นมาเหอะเดี๋ยวไปส่ง เราคงไม่ใจร้ายให้นายต้องนั่งวินไปเรียนต่อหน้าต่อตาหรอกมั้ง”

ผมซ้อนท้ายรถมันโดยใช้แขนข้างหนึ่งจับที่เอว จมูกได้กลิ่นหอมแปลก ๆ อบอวลอยู่รอบตัวมัน ปรัชญ์รีบออกรถทั้งที่ผมยังทรงตัวไม่ได้จนเกือบคะมำไปข้างหลัง แต่เร็วได้ไม่เท่าไหร่มันก็ค่อย ๆ ลดความเร็วลงเรื่อย ๆ จนช้าเหมือนผมลงไปเดินเอง

“ช้าขนาดนี้ก็เข็นเลยไหมปรัชญ์”

ผมตะโกนถามเมื่อเห็นว่ารถเริ่มส่ายไปส่ายมา

“กูแค่ตื่นเต้น ไม่เคยขี่มอเตอร์ไซค์ให้ใครซ้อน!”

“อย่ามาทำเป็นพูดหน่อยเลย” ผมว่า “สาวซ้อนมากี่คนแล้วเถอะ”

“กูพูดจริง” มันพยายามหันมายิ้มสร้างความมั่นใจให้ผม แต่กลับยิ่งทำให้รถส่ายหนักขึ้นไปอีก

“มึงไม่ต้องหันมา! สอบใบขับขี่หรือซื้อมาวะเนี่ย”

“กูไม่มีตั้งแต่แรกอยู่แล้วเหอะ” ปรัชญ์ว่า ผมสัมผัสได้ถึงความเกร็งที่ออกมาจากตัวมัน “ช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยวจนไม่มีเวลาไปทำเลย แต่พูดก็พูดเถอะนะ...”

“ว่า?”

“นี่เรากำลังจะไปไหนกัน” ปรัชญ์หัวเราะเสียงดังจนผมเผลออมยิ้มตามไปด้วย ตั้งแต่กระโดดขึ้นรถมันมาจนถึงตอนนี้ เราไม่เคยคุยกันเลยว่าใครมีเรียนอะไรที่ไหน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะถนนสายนี้ทอดตรงยาวไปอาคารเรียนรวมที่ผมต้องเรียนพอดี

“เรามีเรียนที่อาคารเรียนรวมตอนเก้าโมงครึ่ง”

ผมตอบเสียงเรียบ ตามองวิวข้างทางเห็นนักศึกษากลุ่มหนึ่งกำลังเดินอยู่ เห็นแล้วก็ได้แต่อิจฉาคนที่เขาสนิทกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ผมแทบไม่มีโมเมนต์อยู่กับกลุ่มเพื่อนเลยตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมา ถ้าไม่นับปรัชญ์ด้วยแล้วผมยิ่งดูเหมือนคนไม่มีใครคบเข้าไปใหญ่ สาเหตุคงเป็นเพราะผมเข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง อีกใจหนึ่งก็ไม่ค่อยอยากสุงสิงกับใครเท่าไหร่เหมือนกัน

“เฮ้ย” ปรัชญ์ร้องหลงจนรถส่ายหนักยิ่งกว่าเก่า

“เฮ้ยอะไร”

“เหมือนกัน”

“เหมือนกันแล้วมึงเฮ้ยทำไม”

“ก็กูดีใจ” มันว่า ผมไม่รู้เหมือนกันว่าสรรพนามที่เราเรียกกันเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหน “ว่าแต่วันนี้มึงเรียนวิชาอะไรวะ”

“กูจำไม่ได้เหมือนกัน” ก็ชื่อวิชามันยาวนี่ครับ ผมตอบแบบนั้นไปปรัชญ์ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ คงมัวแต่โฟกัสกับการขี่มอเตอร์ไซค์ที่ไม่ค่อยแข็งของมันต่อไป

ระยะทางจากหอผมไปอาคารเรียนรวมไม่ได้ไกลเท่าไหร่นัก ปกติที่เคยนั่งวินมอเตอร์ไซค์ใช้เวลาแค่ไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงแล้ว แต่พอลดความเร็วลงสามเท่าเหมือนที่ปรัชญ์ขี่อยู่ตอนนี้ ผมว่าครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่น่าพอ

“ให้กูขับแทนมั้ย” ผมชะโงกหน้าไปถามมันด้วยความหวังดี

“กูไม่เป็นไรจริง ๆ”

ผมไม่ได้ติดใจในคำตอบของมันจึงหันไปสนใจบรรยากาศโดยรอบตามเดิม การลองทำอะไรช้า ๆ ดูบ้างก็ทำให้เราได้เห็นอะไรในมุมไม่เคยเห็นเหมือนกันนะ

“เฮ้ย!” อย่างเช่นมุมนี้

ปรัชญ์ร้องเสียงหลงเป็นครั้งที่สาม รถมอเตอร์ไซค์ส่ายไปส่ายมาหนักยิ่งกว่าเก่า ยังดีที่มันขี่รถช้าจึงทำให้ประคองรถต่อไปได้

“มึงเป็นอะไรอีก”

“หมา” ปรัชญ์ร้อง “กูเห็นหมาวิ่งตัดหน้า”

“หมาอะไรของมึง กูนั่งดูอยู่ไม่เห็นมีเหี้ยอะไรวิ่งผ่านไปสักตัว”

ผมยืนยันหนักแน่นเพราะตัวเองนั่งมองซ้ายมองขวามาตลอดทาง หากมีหมาวิ่งตัดหน้ารถจริงผมก็คงเห็นเหมือนกัน

“ช่างเถอะ กูคงตาฝาด” ปรัชญ์ตัดบท

ขี่ต่อมาสักพักก็มาถึงอาคารเรียนรวมโดยสวัสดิภาพ อย่างน้อยร่างกายผมก็ยังครบสามสิบสอง ผมแยกทางกับปรัชญ์ที่ลานจอดรถเพราะเห็นมันวุ่นวายอยู่กับการหาที่จอด นาฬิกาข้อมือบอกเวลาจวนเจียนจะได้เวลาเรียนเต็มที

เดินขึ้นบันไดมาเรื่อย ๆ ผมก็มาถึงห้อง 403 ที่บอกไว้ในตารางเรียน ในห้องมีนักศึกษาคนอื่นที่มาถึงก่อนจับจองที่นั่งแถวหลังกันเต็มหมดแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่กำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือรอเวลาเริ่มเรียนกันทั้งนั้น ผมเลือกนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแถวหน้าสุดแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นบ้าง พอดีกับที่ข้อความแจ้งเตือนในไลน์เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ

‘ท้องเสีย ไปเรียนด้วยไม่ได้นะ ซอรี่’

ลีโอ เพื่อนสนิทคนเดียวที่ลงเรียนด้วยกันส่งข้อความมาบอกว่ามาเรียนด้วยไม่ได้ยิ่งทำให้จิตใจผมห่อเหี่ยวขึ้นไปอีก ผมกับมันเลือกลงเรียนในเซคชั่นที่ไม่มีเพื่อนตัวเองอยู่เพราะหวังว่าจะได้เจอเพื่อนใหม่จากคณะอื่น แต่ดูเหมือนคนอื่นในห้องก็เป็นเพื่อนกันมาอยู่ก่อนแล้วทั้งนั้น เหลือผมคนเดียวที่นั่งหัวเดียวกระเทียมลีบอยู่ตรงนี้

นั่งเล่นอยู่สักพัก เสียงจ้อกแจ้กจอแจในห้องก็ค่อย ๆ เงียบลงเป็นสัญญาณว่าอาจารย์มาถึงแล้ว ผู้ชายวัยกลางคนสวมเสื้อเชื้อสีชมพูกางเกงสแลคสีดำเดินอาด ๆ เข้ามาในห้อง มีนักศึกษากลุ่มใหญ่ที่อ้อยอิ่งอยู่ข้างนอกเดินตามหลังมาเป็นพรวน และคนสุดท้าย…

ปรัชญ์!

และนี่คือวิชาที่มันจำไม่ได้ …ภาษาอังกฤษพื้นฐาน วิชาเดียวกันกับผม!

“บังเอิญเนอะ”

ปรัชญ์ยิ้มร่าเดินตรงมานั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ ผม พอดีกับที่อาจารย์เริ่มสอน เพราะเริ่มเรียนวันแรกอาจารย์จึงเพียงแต่ให้แนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษทีละคน ๆ โดยเริ่มจากคนหลังห้องไล่กลับมาหาผม

“มึงมานานยัง”

ปรัชญ์ถาม มือเขียนอะไรไม่รู้ขยุกขยิกในสมุดโน้ต ลำดับแนะนำตัวขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นทุกที ใจผมเต้นตึกตักเพราะความตื่นเต้นที่ต้องแนะนำตัวหน้าชั้น สารภาพว่าที่ผ่านมาผมตื่นเต้นจนจำชื่อใครไม่ได้เลยสักคนเดียว แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าในห้องนี้มีทั้งนักศึกษาแพทย์ วิศวะ แล้วก็ครูมาเรียนรวมกัน

“ก็สักพักนึงแล้ว”

ผมตอบมันตอนคิวแนะนำตัวไล่มาถึงผมพอดีเลยลุกพรวดรีบออกไปยืนหน้าชั้นจนเผลอปัดสมุดของปรัชญ์ร่วงลงบนพื้น เมื่อก้มตัวไปหยิบผมก็ต้องสะดุดตาเข้ากับรูปวาดบนหน้ากระดาษ ปรัชญ์ใช้ปากกาสีดำวาดเป็นรูปสัตว์ประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวสักตัวหนึ่งแต่ผมไม่มีเวลายุ่งเรื่องชาวบ้านเท่าไหร่นักในตอนนี้ ผมส่งสมุดคืนมันไปแล้วรีบก้าวออกไปยืนหน้าห้อง

“ฮัลโหล เอฟวรี่วัน มายเนมอีสภวัต” ผมพูดเสียงสั่นเล็กน้อยเพราะความประหม่า “ยูแคนคอลมีพร้อม”

ผมยังคงแนะนำตัวต่อไปอีกหลายประโยคเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบ หนังเรื่องโปรด เหมือนตอบคำถามตามที่อาจารย์เขียนไว้บนบอร์ดว่าไปตามแพทเทิร์นเดียวกับคนอื่น ตามองไปเห็นปรัชญ์กำลังนั่งก้มหน้าวาดรูปต่อไปไม่สนใจโลกอยู่เหมือนเดิม

“ปรัชญ์ ตามึงแล้ว” ผมกระซิบบอกมัน

ปรัชญ์ปิดหน้าสมุดที่กำลังวาดรูปอยู่แล้วก้าวออกไปยืนหน้าห้องช้า ๆ มันยืนเงียบอยู่อย่างนั้นแต่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนตามองมาที่ผมทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้

“ช่วยด้วย” มันทำปากขอความช่วยเหลือ

“มาย - เนม - อีส...”

“มะ...มาย” ปรัชญ์พยายามอ่านปากผมด้วยเสียงตะกุกตะกัก มีเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากกลุ่มนักศึกษาที่นั่งอยู่หลังห้องจนปรัชญ์หน้าถอดสี

“หัวเราะอะไรกัน” อาจารย์ถามเสียงดัง “มีมารยาทกันหน่อย แค่เพื่อนพูดไม่ได้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย”

จบคำพูด ทั้งห้องก็เงียบเป็นเป่าสาก เงียบจนผมแทบจะได้ยินเสียงหายใจของปรัชญ์ที่ยืนอยู่หน้าห้อง

“ไม่เป็นไรลูก” อาจารย์ว่า “แนะนำตัวเป็นภาษาไทยก็ได้ครับ”

“ภาษาไทยก็ได้เหรอครับ” ปรัชญ์ถาม เกิดเสียงฮือฮาในกลุ่มนักศึกษาอีกครั้งจนอาจารย์ต้องสั่งให้เงียบอีกครั้ง “สะ…สวัสดีครับ ผมชื่อนายปรัชญา ชื่อเล่นชื่อปรัชญ์ อาหารที่ชอบไม่มี งานอดิเรกก็ไม่มีเหมือนกันครับ”

ผมได้ยินเสียงใครบางคนในห้องส่งเสียงหัวเราเบา ๆ กับคำตอบของปรัชญ์ ส่วนตัวผมถือวิสาสะหยิบสมุดวาดรูปของมันมาเปิดไล่ดูทีละหน้า สมุดทั้งเล่มเต็มไปด้วยภาพวาดรูปคนอย่างง่ายด้วยลายเส้นง่าย ๆ ไม่ได้บรรจงอะไรนัก สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาผมคือทุกคนในรูปล้วนแล้วแต่มีบาดแผลอยู่อย่างน้อยหนึ่งแห่งบนร่างกาย ปรัชญ์ที่พูดจบตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้พุ่งมาคว้าสมุดไปจากมือผมทันที

“คุณไม่ชอบทานอะไรเป็นพิเศษเลยเหรอ” อาจารย์ยังคงตามมาถามต่อเสียงดังพอประมาณให้ได้ยินกันทั่วห้อง

“ไม่มีเลยครับ”

“แล้วถ้าให้เลือกอาหารที่คุณกินบ่อยที่สุดมาอย่างหนึ่ง คุณจะเลือกอะไร”

“ผมเลือก…” ปรัชญ์นิ่งไปครู่หนึ่ง “ผมเลือกล้วยครับ”

เกิดเสียงหัวเราะดังลั่นห้องอีกครั้งจนเกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นบนหน้าปรัชญ์ ดูเหมือนมันจะยังไม่รู้ว่าชาวบ้านเขาหัวเราะอะไรกัน อาจารย์จบการแนะนำตัวไว้ที่ปรัชญ์เป็นคนสุดท้ายแล้วเริ่มต้นพูดถึงข้อตกลงประจำวิชา เกณฑ์การให้คะแนนและวิธีการตัดเกรด

ก่อนหมดคาบ อาจารย์ให้เราจับคู่กันเพื่อทำงานชิ้นแรกมาส่ง แน่นอนว่าผมได้คู่กับปรัชญ์ไปตามระเบียบ โดยอาจารย์สั่งให้เลือกอัดวิดีโอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวมาคนละหนึ่งแห่ง และ ‘วัดครับ’ คือคำตอบของปรัชญ์ที่ไม่มีใครอยากแย่ง

ผมนั่งอ้อยอิ่งอยู่สักพักรอให้ปรัชญ์วาดรูปเสร็จจนตอนนี้ในห้องเหลือแค่เรานั่งกันอยู่สองคนเท่านั้น เนื่องจากไม่มีใครใช้ห้องนี้เรียนในชั่วโมงถัดไปผมเลยนั่งแช่ต่อได้อีกยาว

“วาดรูปกูบ้างดิ” ผมว่า

“เฮ้ย ไม่ได้” ปรัชญ์ยังคงขะมักเขม้นกับการวาดรูปต่อไปอย่างไม่ลดละ ตอนนี้ผมเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้วว่ามันกำลังวาดหน้าคนอยู่ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดอะไรที่ไหนเลย

“มึงแม่ง” ผมแกล้งต่อยแขนมัน “ใจดำว่ะ”

“กูวาดรูปมึงไม่ได้”

“รูปกูมันทำไม”

“ก็มึง... ช่างมันเถอะน่า” ปรัชญ์รีบเก็บสมุดยัดลงกระเป๋าสะพาย “ไปกินข้าวกัน กูหิวแล้ว”



กินข้าวกลางวันกับปรัชญ์เสร็จผมก็ขอแยกตัวออกมาเพราะมีนัดเดินตลาดกับลีโอต่อ วันนี้มหาวิทยาลัยจัดงานแนะแนวกิจกรรมชมรมให้กับนักศึกษาปีหนึ่งซึ่งผมไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่อยู่แล้ว สิ่งเดียวในงานนี้ที่น่าสนใจสำหรับผมคือตลาดนัดที่อยู่ถัดออกไป

ยินดีต้อนรับ ...อย่างน้อยป้ายที่ติดอยู่ตรงทางเข้างานก็บอกแบบนั้น ผมมาก่อนเวลานัดเลยถือโอกาสนี้เดินดูอะไรเรื่อยเปื่อยระหว่างรอลีโอมาถึง งานนี้จัดในลานโล่งโดยมีบูทจากชมรมต่าง ๆ ขนาบสองข้างทาง ซึ่งผมก็ไม่ได้ถูกใจชมรมไหนเลยจนมาสะดุดที่บูทหนึ่ง

“หากสนใจก็ลงชื่อสมัครไว้ก่อนได้นะคะ”

พี่สาวคนหนึ่งยิ้มหวานให้กับผม ชมรมวาดรูปแทบไม่ค่อยมีใครสมัครเท่าไหร่นัก ผมเห็นในใบสมัครมีคนลงชื่ออยู่ไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ เหตุผลที่ผมถูกใจชมรมนี้ก็เพราะภาพเหมือนขาวดำรูปหนึ่งที่แขวนโชว์อยู่ข้างใน มันเป็นภาพลายเส้นที่เห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก รูปนี้เป็นแรงบันดาลใจให้ผมอยากวาดได้อย่างนั้นบ้าง

“รูปนั้นสวยดีนะครับ” ผมเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน

“หูย รูปนั้นอยู่มานานมากแล้วนะ พอมีงานชมรมทีเขาก็รวมรูปทั้งหมดที่อยู่ในชมรมมาจัดแสดงแบบนี้แหละ น้องชอบรูปนี้เหรอ”

“ชอบครับ”

“เอาไหม พี่ยกให้”

“พูดเป็นเล่นน่าพี่” ผมหัวเราะ ก้มตัวลงเขียนชื่อหวัด ๆ ลงในใบสมัครบนโต๊ะ “ถ้าพี่ให้จริงผมก็เอาจริงครับ”

“ก็พี่เป็นประธานชมรม รูปแค่นี้พี่จะยกให้ใครก็ได้” พี่เขาคุยโตพลางเอื้อมมือไปหยิบภาพวาดรูปนั้นมาให้ผมดู ผมกำลังจะเอื้อมมือไปรับไว้ “...แต่เจ้าของตายแล้วนะ”

“...”

“พี่พูดเล่น! ถ้าชอบก็มาอยู่ชมรมด้วยกันนะ”

“จ๊ะเอ๋ ...แอบมาม่อสาวอยู่นี่เอง”

ลีโอโผล่มาตะครุบไหล่ผมพร้อมส่งยิ้มอย่างอิดโรยมาให้ ตามันมองผมสลับกับพี่ประธานชมรมด้วยสายตามีเลศนัย

“กูมาสมัครชมรม”

“ไม่ยักรู้ว่าเพื่อนกูวาดรูปเป็น”

“ไม่เป็นมันก็หัดกันได้ ใช่ไหมครับพี่” ผมโบ้ยไปทางประธานชมรมที่ฉีกยิ้มกว้างพยักหน้าด้วยความชอบใจ ผมดึงลีโอออกมาจากตรงนั้นเพราะไม่อยากอายไปมากกว่านี้ ระหว่างทางผมยังได้ยินพี่เขาตะโกนไล่หลังว่าเดี๋ยวจะติดต่อมาอีกครั้ง

“มึงมานานแล้วเหรอ” ลีโอถามผม

“ก็พักนึงแล้วแหละ”

“ปะ”

“ไปไหน”

“เออน่า ตามมาเหอะ”

พูดจบผมก็เดินนำมันตัดผ่านคนกลุ่มใหญ่ที่กำลังมุงดูการแสดงจากชมรมฟันดาบอยู่ ผมได้ยินมันบ่นกระปอดกระแปดแต่ก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี โซนตลาดนัดอยู่ห่างไปพอสมควร เท่าที่ผมเห็นผ่านตาจากโพสต์ของคนอื่นในเฟซบุ๊ก งานนี้มีร้านขายของจากนักศึกษาอยู่มากพอสมควร แน่นอนว่ามีอยู่ร้านหนึ่งที่ผมถูกใจอีกแล้ว

ในที่สุดผมกับลีโอก็พากันมาถึงร้านขายของมือสองที่อยู่ไกลเกือบสุดทางเดิน มันยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นทั่วหน้า แสงอาทิตย์ยามบ่ายทำให้สีหน้าลีโอที่ป่วยอยู่แล้วดูไม่สู้ดีนัก

“มึงไหวนะ”

“เออ กูไหว” ผมพามันมาหลบแดดใต้ร่มไม้ใหญ่ ลีโอทอดสายตาไปทางกลุ่มคนที่ยืนเบียดกันอยู่หน้าร้าน “แต่มึงไปก่อนเลย กูรอตรงนี้แล้วกัน”

ได้ยินแบบนั้นผมก็ผละออกมาจากร่มเงาไม้เข้าสู่ร่มเงาผ้าใบของร้านมือสอง ตรงหน้าผมมีของมือสองแทบทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบวางเรียงกันอยู่บนแคร่ไม้ตัวยาว ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนชอบสินค้ามือสองมากและไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการใช้ของต่อจากคนอื่น เพราะที่สำคัญคือมันถูก ที่มาวันนี้ในใจผมแค่อยากได้ของชิ้นเล็ก ๆ ไปแต่งห้องสักอันหนึ่ง

“เชิญแวะมาเลือกดูก่อนได้นะค้า ไม่ซื้อไม่หาไม่ว่ากันค่า”

เสียงแม่ค้าที่ดูแล้วอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับผมส่งเสียงเรียกลูกค้าผ่านลำโพงพกพาที่เหน็บอยู่ที่เอว เห็นแบบนี้ผมก็อดชื่นชมกับคนทำมาหากินไม่ได้

ผมกวาดตามองไปทั่วร้าน มือก็พลิกดูหนังสือเก่าจากในกอง ถัดออกไปมีของใช้ทำจากทองเหลืองสีหมอง ๆ วางอยู่ ห่างจากตรงนั้นไปอีกก็มีสิ่งของที่ทำด้วยไม้สภาพดีบ้างเป็นริ้วเป็นรอยบ้าง นับว่าร้านนี้แยกหมวดหมู่สินค้าได้ดีทีเดียว

มองไปมองมาผมก็สะดุดตาเข้ากับวัตถุขนาดเล็กทำด้วยไม้เป็นรูปทรงพีระมิดสีดำด้าน พื้นผิวมีรอยถลอกเผยให้เห็นเนื้อไม้สีน้ำตาลอยู่บ้างตามสภาพ ส่วนในหัวผมกำลังจินตนาการว่าถ้าซื้อไปวางไว้ตรงที่วางของหัวนอนจะเป็นอย่างไรนะ

ผมใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีในการตัดสินใจซื้อพีระมิดน้อยอันนี้เลยถือไว้แน่นในมือข้างหนึ่งแล้วมองหาของอย่างอื่นที่น่าสนใจชิ้นต่อไป พอดีกับตาเจ้ากรรมที่ดันเหลือบไปเห็นทองเหลืองสะท้อนแสงอาทิตย์พอดิบพอดี ผมรีบรุดหน้าไปคว้าทรัมเป็ตทองเหลืองอันเล็กกว่าฝ่ามือมาไว้ในมืออีกข้าง

เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะเอาสองอันนี้ผมเลยเดินรี่ไปต่อแถวเพื่อจ่ายเงิน มีคนต่อคิวรอจ่ายเงินอยู่ก่อนแล้วสามสี่คน เจ้าของร้านยังคงเรียกลูกค้าเสียงเจื้อยแจ้วผ่านลำโพงอันเดิมในขณะที่กำลังคิดเงินมือเป็นระวิง

“สองชิ้นนี้เท่าไหร่ครับ”

“สามเหลี่ยมไม้ร้อยยี่สิบ ส่วนทรัมเป็ตน้อยราคาร้อยเก้าสิบ รวมเป็นเงินสามร้อยสิบ ลดให้สิบบาทเหลือสามร้อยถ้วนค่า”

เจ้าของร้านยิ้มร่าขณะร่ายราคาของให้ผมฟัง เห็นแบบนี้ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมร้านนี้ถึงได้ขายดี ผมควานหากระเป๋าสตางค์ด้วยใจระทึกว่าเงินที่มีจะพอไหม สุดท้ายก็ไม่เหนือไปกว่าความคาดหมาย ทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีร้อยเดียว

ผมทำใจดีสู้เสือหันไปหาลีโอที่นั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงโคนไม้ไม่ไกลนัก ปากกระซิบเรียกมันให้หันมามองหางตาก็เหลือบไปเห็นคนรอคิวถัดไปกำลังทำหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก

“ลีโอ”

ลีโอไม่ได้ยินที่ผมเรียก

“ลีโอ!” ผมเร่งเสียงดังขึ้นอีก

ก็ยังไม่ได้ยินอยู่ดี

“ไอ้เหี้ยลีโอ!”

ในที่สุดมันก็หันมา! แต่ใช่ลีโอคนเดียวเสียที่ไหนเพราะคนทั้งร้านก็หันมามองผมเหมือนกัน มันทำหน้าเด๋อด๋าเดินตรงมาทางผมพลางขมวดคิ้วจนเห็นรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก

“กูยืมตังค์หน่อยดิ”

“มึงเอาเท่าไหร่” มันว่าพลางล้วงกระเป๋าตังค์ นี่แหละครับเหตุผลที่ผมชวนมันมาด้วย ไอ้กระเป๋าตังค์สำรองของผม

“สองร้อย”

“เงินแค่สองสามร้อยทำไมมึงไม่โอนเอาวะ ลำบากกูต้องเดินตากแดดมาหามึงเนี่ย” ถึงปากจะบ่นแต่มันก็ยอมหยิบธนบัตรสีแดงส่งให้ผมแต่โดยดี “คืนกูด้วยแล้วกัน”

พูดจบลีโอก็หันหลังเดินกลับไปอยู่โคนต้นไม้ที่เก่า ผมจึงหันไปจ่ายเงินให้เรียบร้อยเพื่อหลีกทางให้คนถัดไปขยับขึ้นมาจ่ายต่อ แต่พอกลับไปดูโคนต้นไม้อีกทีผมกลับไม่เห็นลีโออยู่ตรงนั้นแล้ว สงสัยมันคงจะป่วยหนีกลับหอไปก่อนแหละมั้ง

ผมตัดสินใจเดินมาทางท้ายตลาดเพื่อลัดตึกคณะวิทยาศาสตร์ออกมารอเรียกวินมอเตอร์ไซค์ริมถนน ในมหาวิทยาลัยมีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างวิ่งไปมาตลอดทั้งวัน แสงแดดตอนบ่ายสามร้อนไม่ต่างอะไรกับเที่ยงวัน ยืนอยู่ได้ไม่เท่าไหร่ก็มีรถสกูปปี้สีฟ้ามาวิ่งมาหยุดอยู่ริมฟุตบาทอีกครั้ง รู้สึกเดจาวูเหมือนตอนเช้าไม่มีผิด

“บังเอิญเนอะ” ปรัชญ์หยุดรถในเงาต้นไม้ที่ทอดลงมาบนถนนใกล้กับที่ผมยืนอยู่ วันนี้ผมเจอมันสามครั้งแล้ว “ขึ้นรถดิ เดี๋ยวกูไปส่ง”

“มึงพอเลย” ผมรีบปฏิเสธ เหตุการณ์เมื่อเช้ายังติดตรึงอยู่ในหัว “มึงไปส่งกูหรือกูไปส่งมึงครับ”

“เชื่อใจกูดิวะ”

“นั่นแหละที่กูไม่เชื่อ”

“ตามใจมึงแล้วกัน อยากเสียตังค์นั่งวินก็แล้วแต่มึง” ปรัชญ์ว่า “ความจริงกูแค่จะถามว่าพรุ่งนี้มึงว่างมั้ย”

“พรุ่งนี้เหรอ” ผมพยายามใช้ความคิด เพิ่งเปิดเรียนได้ไม่กี่วันเลยจำตารางเรียนไม่ค่อยแม่น “พรุ่งนี้กูว่างเช้า”

“พอดีเลย พรุ่งนี้กูก็ว่างเช้า” มันยิ้มร่า “ไปวัดกัน”

“ไปวัด? ไปทำไม”

“เอ้า! ทำงานไง มึงจำไม่ได้เหรอว่าเราต้องทำการบ้านอัดคลิปส่งอาจารย์”

“รีบไปไหนของมึงเนี่ย”

“มึงจะไปไม่ไป” ปรัชญ์ถามผม ตาหยีเพราะแสงอาทิตย์สาดเข้าหน้า

“เออไปก็ไป แต่…”

“แต่อะไรวะ”

“มึงช่วยนั่งแท็กซี่นะ”

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ snoopyme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
น่าติดตามมากค่ะ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0
ชอบเรื่องสยองขวัญค่ะ ติดตามนะคะ  o13 :pig4:

ออฟไลน์ I rin

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Aboy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น่าสนุกมากๆๆๆ

ออฟไลน์ thanap

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
3

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาตอนแปดโมงเช้าเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ เราตกลงกันว่าจะให้ปรัชญ์เอารถมาจอดไว้ที่หอผมแล้วนั่งแท็กซี่ไปด้วยกัน แม้วัดจะอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่แต่พูดตามตรงว่าผมก็ยังไม่ไว้ใจทักษะการขี่มอเตอร์ไซค์ของมันอยู่ดี และถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์ให้มันซ้อนเหมือนกัน

“ใครใช้ให้มึงตอบอาจารย์ว่าจะถ่ายที่วัดวะ”

“กูตอบวัดแล้วมันทำไม” ปรัชญ์มองหน้าผมเหมือนจะหาเรื่อง ตอนนี้เราสองคนนั่งกันอยู่บนแท็กซี่ระหว่างทางไปวัด วันนี้มันใส่ชุดสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้าในขณะที่ผมแต่งตัวสบาย ๆ แทบไม่ต่างอะไรกับชุดนอน “ปัญหาเยอะเหมือนกันนะมึง”

“ก็ไม่ทำไม” ผมยักไหล่ ตามองวิวข้างทาง “ว่าแต่มึงเถอะจะพูดได้เร้อ~”

“เดี๋ยวมึงก็รู้” ปรัชญ์อมยิ้มแล้วหันหน้าไปดูวิวฝั่งกระจกซ้ายมือ

“เออนี่” อยู่ ๆ ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “มึงไปมีเบอร์โทรกูตอนไหน”

“ก็มึงเป็นคนให้กูมาเอง”

“กูไม่เคยให้มึง” ให้นึกยังไงก็นึกไม่ออก ขนาดผมยังจำเบอร์มือถือตัวเองแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ “มึงอย่ามาหลอกกู”

“มึงเป็นคนให้กูมาเอง”

“กูไปให้มึงตอนไหน”

“ช่างแม่งเหอะ”

เถียงกันไปเถียงกันมาสักพักสุดท้ายแท็กซี่ก็พาเราสองคนมาหยุดอยู่หน้าวัดไม่รู้ตัว ผมล้วงแบงค์ร้อยส่งให้คนขับแล้วตั้งใจว่าจะไปตามเก็บกับปรัชญ์เอาทีหลัง

บรรยากาศภายในวัดก็ดูร่มรื่นดี หมาวัดฝูงหนึ่งกรูกันเข้ามาเห่าเราตั้งแต่ผมย่างเท้าเข้าประตูวัด ปรัชญ์หันไปจ้องหมาตาเขม็งจนมันพากันถอยกรูดหายไปหมด ดูเหมือนว่าวัดนี้คนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่นัก เท่าที่ผมเห็นก็มีแค่รถยนต์จอดอยู่ในลานเพียงไม่กี่คันเท่านั้น

ตอนนี้เราสองคนนั่งไหว้พระเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย ตอนนี้ในโบสถ์มีแค่เราสองคน พระประธานองค์ใหญ่สีทองที่ประดิษฐานตรงหน้าผมกำลังนั่งขัดสมาธิสูงจรดเพดาน เป็นพระปางอะไรศิลปะอะไรผมก็ไม่รู้กับเขาหรอก รู้แต่ว่าเห็นแล้วเย็นใจดี ปรัชญ์นั่งพนมมือหลับตาพริ้มตั้งแต่เราเข้ามาถึง ส่วนคนห่างไกลศาสนาอย่างผมก็ได้แต่กวาดตาสำรวจอะไรรอบตัวไปเรื่อย

แมวดำตัวหนึ่งเดินเข้ามาคลอเคลียที่เอวปรัชญ์ แต่มันก็ยังนั่งนิ่งจนแมวยอมแพ้แล้วเดินจากไปเอง ลมเย็นพัดเอื่อย ๆ ทำให้บรรยากาศในโบสถ์หลังนี้น่านอนขึ้นไปอีก

สวดอะไรของมึงนักหนาวะ

ผมบ่นกับตัวเองในใจ รู้สึกได้ถึงความงุ่นง่านในใจจากเวลาที่กำลังเดินช้าลง มองซ้ายทีขวาทีจนไม่มีอะไรให้ดูแล้วปรัชญ์ก็ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ผมเลยตัดสินใจหันขวาไปจ้องหน้ากดดันมันแทน

“บ่นอะไรของมึงนักหนาวะ” ปรัชญ์ลืมตาแล้วก้มลงกราบพระ

“เชี่ย” ผมเผลออุทานเสียงดัง “มึงอ่านใจคนเป็นด้วยเหรอวะ”

“กับคนอย่างมึง...” มันหันมาพูดกับผมหลังกราบพระเสร็จ “ดูแค่หน้ากูก็รู้แล้ว”

“คนอย่างกูมัน...”

คนอย่างผมมันทำไมไม่รู้ แต่คนอย่างมันไม่รอให้ผมพูดจบก่อน ปรัชญ์ลุกขึ้นยืนเสร็จสรรพกลับหลังหันเดินหน้าตั้งออกจากโบสถ์ไปแล้ว

ไอ้คนทิ้งเพื่อน!

ออกมาจากโบสถ์ สายตาผมก็สะดุดเข้ากับศาลาหลังหนึ่งที่ตอนแรกมองไม่เห็นเพราะมีโบสถ์บังอยู่ คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเดินนำหน้าปรัชญ์มาทางศาลา ถัดออกไปข้างหลังเป็นคลองสายหลักของชุมชน มีนกพิราบฝูงใหญ่เกาะอยู่บน ชานบันไดท่าน้ำ นกทั้งฝูงแตกฮือมือเราสองคนเดินเข้ามาถึง

แมวสีดำที่นอนอยู่บนที่นั่งหินอ่อนกระโดดลงมาคลอเคลียรอบขาปรัชญ์ ผมได้แต่เบะปากมองด้วยความหมั่นไส้แกมอิจฉา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหมาแมวถึงไม่ค่อยชอบเล่นกับผม ปรัชญ์ทำเสียงเหมียวโต้ตอบกับแมวเป็นวรรคเป็นเวร มือข้างหนึ่งจับแมวช้อนขึ้นมากอดไว้แนบอก ส่วนผมไม่รู้จะทำอะไรดีเลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดกล้องถ่ายวิดีโอ

“ยิ้มหน่อยครับคุณปรัชญ์”

“เฮ้ย” ปรัชญ์สะดุ้งตัวโยนเหมือนเห็นผีแล้วรีบปล่อยแมวลงกับพื้น “ถ่ายอะไรของมึงวะ ไม่เอา”

“ก็ถ่ายมึงกับแมวไง” ผมว่า “ถามแปลก ๆ”

“นั่นแหละ” ปรัชญ์ค้อน “กูไม่ชอบถ่ายรูป”

“แต่วันนี้เรามาถ่ายวิดีโอเลยนะ มึงไหวเหรอ”

“ก็อันนั้นมันงาน”

พูดจบปรัชญ์ก็หันไปเล่นกับแมวต่อ มีแอบระแวงหันมาดูผมเป็นระยะเหมือนกลัวว่าผมจะแอบถ่ายรูปมันอีก เห็นแบบนั้นผมเลยเลิกสนใจมันแล้วเดินมานั่งตรงบันไดท่าน้ำ ปลาฝูงใหญ่พากันมาอออยู่ตรงตีนบันไดทันทีที่เห็นผมด้วยสัญชาตญาณของปลาที่คิดว่าจะได้กินอาหาร

“มึงว่าปลาพวกนี้กินได้มั้ยวะ”

ผมโพล่งขึ้นมาลอย ๆ ไม่ได้หันไปมองปรัชญ์

“ดำอย่าไปฟังมันลูก” ปรัชญ์พูดเสียงเล็กเสียงน้อย “พี่เขาเป็นคนไม่ดี ...ในวัดในวาก็ไม่เว้น ...ใช่ไหมครับดำ”

เออเอา เสี้ยมให้แมวเกลียดกูอีก

“ประสาท”

“มึงว่าใคร” ปรัชญ์เปลี่ยนมาพูดด้วยเสียงปกติ

“กูคุยกับปลา” ผมพยายามกลั้นขำ “เนอะปรัชญ์เนอะ”

“แต่มึงเรียกชื่อกู”

“กูเรียกปลา”

“ปลาพ่อมึงชื่อปรัชญ์”

“ก็กูตั้งเมื่อกี๊”

ปรัชญ์ถอนหายใจแล้วกลับไปทำเสียงเล็กเสียงน้อยกับแมวต่อ ระหว่างที่เรานั่งกันอยู่นี้ก็มีเรือยนต์ของชาวบ้านที่สัญจรทางน้ำผ่านมาพอให้เราได้เห็นบ้างประปราย แสงอาทิตย์ยามสายสะท้อนผิวน้ำทำให้เกิดแสงวิบวับสะท้อนเข้าหน้าผมจนแสบตา นาฬิกาในมือถือผมบอกว่าตอนนี้เก้าโมงกว่าเข้าไปแล้ว ควรค่าแก่เวลาที่เราจะเริ่มทำงานกันได้สักที ที่สำคัญผมยังมีเรียนอีกวิชาหนึ่งตอนบ่ายโมงตรงด้วย จะมัวโอ้เอ้ให้ปรัชญ์เล่นกับแมวแบบนี้ไม่ต่อไปไม่ได้

“กูว่ามาถ่ายกันสักทีเถอะปรัชญ์” ผมเป็นฝ่ายลุกก่อน “เอามือถือมึงออกมาดิ”

“มือถือกู?” ปรัชญ์เลิกคิ้ว อุ้มแมวออกจากตักแล้วเดินมายืนข้าง ๆ ผม “ทำไมต้องมือถือกู”

“ก็กล้องกูไม่สวย”

“มึงอย่าเรื่องมาก เอากล้องมึงนั่นแหละถ่าย จะถ่ายกล้องไหนกูก็หล่อเหมือนกันอยู่ดี”

ผมเลิกต่อปากต่อคำแล้วหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาเตรียมถ่าย ตาก้มดูสคริปต์ที่หยิบออกมาจากกระเป๋า ผมเขียนสิ่งที่คิดว่าตัวเองจะต้องพูดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเลยไม่มีอะไรให้ต้องกังวลมาก ถ้าจะมีก็หนีไม่พ้นเรื่องเดิม...

“มึงคิดไว้บ้างยังว่าจะพูดอะไรบ้าง”

ผมเห็นปรัชญ์ง่วนอยู่กับกระดาษสีขาวที่ถืออยู่ในมือ

“อือ...แล้ว” มันตอบเสียงค่อย “เริ่มเลย ๆ”

“มึงจะให้กูเริ่มยังไง ก็ไม่เห็นมึงไม่บอกอะไรกูเลยสักอย่าง งั้นเอางี้…”

“อือฮึ” ปรัชญ์ยืนนิ่งตั้งใจฟังสิ่งที่ผมกำลังจะพูด

“เริ่มต้นที่กูแนะนำตัวกู มึงก็แนะนำตัวมึง แล้วเราค่อยพูดถึงวัด...”

“ไม่ใช่” ปรัชญ์ทำท่าจุ๊ปาก “มึงแนะนำตัวมึง แล้วมึงก็แนะนำตัวกู แล้วมึงก็แนะนำวัดด้วย”

มันพูดไปหัวเราะไปอย่างคนอารมณ์ดี

“มึงมาทำไมวะเนี่ย”

“กูก็มาให้กำลังใจมึงไง”

“เวรเอ๊ย”

“มึงก็รู้ว่ากูไม่เก่งภาษาอังกฤษ” ปรัชญ์หน้ามุ่ยก้มลงมองแมวสีดำที่เดินวนอยู่รอบขา “เนอะดำเนอะ”

“มึงไม่ต้องไปยุ่งกับแมวเลย” ผมกดหน้าจอมือถือเปิดกล้องวิดีโอ “สนใจกูนี่”

“ครับพ่อ”

“พ่อมึงดิ” ผมเผลอด่าบุพการีมันอีกแล้ว “เริ่มนะ”

“Hello, everyone” ผมพูดต่อไป “My name is Pawat and here, my friend, is…” ผมผายมือไปทางปรัชญ์

“…”

ปรัชญ์ยิ้มเจื่อน ๆ ให้กล้องแต่ไม่ยอมพูดอะไรต่อ ผมเลยต้องกดหยุดวิดีโอไว้ก่อน

“ทำไมมึงไม่พูด”

“กูบอกมึงไปแล้วว่าพูดไม่ได้” ปรัชญ์หน้าจ๋อย

“ไหนมึงบอกพูดได้”

“กูพยายามอยู่นี่ไง” มันว่า “ก็คนมันไม่ได้ใช้มาตั้งนานนี่หว่า”

ใจผมอยากจะด่าว่าพยายามอะไรของมึง เข้าวัดมาก็เห็นมึงเล่นแต่กับแมว แต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดออกไปเพื่อรักษาบรรยากาศเอาไว้ดีกว่า

“งั้นกูว่าพักก่อนดีกว่า” ถึงผมจะเพิ่งเริ่มได้สิบวิก็ตามเถอะ “เดี๋ยวสิบโมงสิบห้ามาซ้อมกันใหม่ ถ้ายังพูดไม่ได้อีกมึงเจอกูแน่”

“ครับพ้ม!” 

ปรัชญ์กลับหลังหันไปนั่งบนที่นั่งหินอ่อนแต่โดยดี เห็นแบบนั้นผมเลยได้ทีอุ้มแมวดำขึ้นมาเล่นบ้าง ผมลงนั่งบนตีนบันไดแล้ววางไอ้ดำลงบนตัก มันเป็นแมวสีดำปลอดที่มีถุงเท้าสีขาวเล็ก ๆ อยู่ตรงขาคู่หน้า ดำนอนหงายมองผมตาละห้อยแล้วครางเสียงอ่อนอยู่บนตัก แต่อยู่ดี ๆ มันก็ดีดตัวผึงออกจากตักผมลงมานั่งบนพื้นข้าง ๆ

…และเดินไปหาปรัชญ์

“ไอ้แมวไม่รักดี”

ผมตะโกนไล่หลังแมว ปรัชญ์อมยิ้มมุมปากแล้วเอื้อมมือคว้าไอ้ดำไปไว้บนตัก ดำมันก็นั่งลงเลียขนอย่างสบายใจไม่อิดออดเหมือนตอนอยู่กับผมแม้แต่น้อย ไอ้แมวสองมาตรฐาน!

อยู่ดี ๆ ผมก็รู้สึกหน่วงเหมือนคนอยากเข้าห้องน้ำเลยลุกขึ้นยืนปัดขนแมว เห็นปรัชญ์นั่งก้มหน้าอ่านบทจากกระดาษที่อยู่ในมือด้วยท่าทางจริงจังจนผมอดชื่นชมไม่ได้

“กูไปห้องน้ำนะ”

“มึงรู้มั้ยห้องน้ำไปทางไหน”

“รู้ก็บ้าแล้ว”

“เดินเลาะริมน้ำไปทางซ้ายเรื่อย ๆ เดี๋ยวมึงก็เจอห้องน้ำ” ปรัชญ์ตอบเสียงเรียบ ตายังคงมองสคริปต์ในมือ“มึงไปคนเดียวได้เหรอ ให้กูไปเป็นเพื่อนมั้ย”

“กูก็ผู้ชาย ใครจะมาทำอะไรกูวะ”

“เออ ๆ มึงดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกัน”

พอปรัชญ์พูดจบผมก็ออกเดินเลาะริมน้ำมาเรื่อย ๆ มือก็เด็ดใบไม้ข้างทางเล่นตามประสาคนมือบอน ใจอดชื่นชมไม่ได้ที่วัดนี้ยังเหลือต้นไม้อยู่หลายต้นแม้จะอยู่ในเมือง บางต้นมีจีวรพระห่มอยู่ที่โคน บางต้นก็มีคำสอนภาษาบาลีแขวนอยู่ เดินมาไม่นานผมก็เห็นอาคารปูนหลังหนึ่งที่มีประตูเรียงกันอยู่หลายบาน บนกำแพงยาวด้านหน้าเขียนไว้ว่าห้องสุขา

ขณะกำลังทำธุระส่วนตัวอยู่ในห้องน้ำ ผมได้ยินเสียงหมาเห่าใครสักคนดังมาเป็นระลอก เสียงนั้นขยับเข้ามาใกล้ห้องน้ำเรื่อย ๆ ก่อนจะเงียบหายไป แต่เสียงลมหวีดหวิวก็ยังคงดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ๆ

“ปรัชญ์”

ผมตะโกนเรียกเพื่อนทั้งที่ยังยืนฉี่อยู่

เงียบ

ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา

สงสัยไม่ใช่ปรัชญ์

ผมไม่ได้สนใจอะไรต่อเพราะเข้าใจว่าหมามันก็เห่าทุกคนในวัดเป็นปกติอยู่แล้ว ทำธุระเสร็จผมก็เดินกลับออกมายืนล้างมือตรงก๊อกน้ำล้างหน้า ตาก็มองกระจกเงาบานใหญ่ที่ติดอยู่บนผนัง

“เหี้ย!”

ผมเผลออุทานออกมาเสียงดังเมื่อเห็นเงาของยายแก่ ๆ สะท้อนออกมาจากในกระจก ยายคนนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงไม่ได้ช่วยให้ยายดูน่าชมขึ้นมาเท่าไหร่นัก จากภาพจำของผม ยายคนนี้ดูไม่ต่างอะไรกับผีปอบที่อยู่ในหนังเลยแม้แต่นิดเดียว ผมเดาว่าเมื่อสักครู่หมามันคงเห่ายายนี่แหละ

กลั้นใจอยู่สักพัก สิ่งแรกที่ผมทำคือหายใจเข้าให้ลึกสุดปอดเพื่อรวบรวมพลังที่จะเดินฝ่ายายออกไป บรรยากาศรอบตัวผมตกอยู่ใต้ความเงียบสงัดทั้งที่เป็นเวลากลางวัน ไม่มีใครผ่านไปผ่านมาในคลองสายตา ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ให้เห็น ไม่มีแม้แต่

หมาสักตัวเดียว ...มีแต่ผมกับยาย

“มึงมาคนเดียวเหรอ”

ผมจ้องหน้ายาย ยายก็จ้องหน้าผม เลยกลายเป็นว่าตอนนี้เรากำลังจ้องกันผ่านกระจกเงาบานใหญ่ แต่ใจผมกลัวเกินกว่าจะตอบอะไรยายไป

หมับ

มือหยาบกร้านของยายคว้าแขนผมไว้แทบจะในทันทีที่เดินตัดหน้า ความรู้สึกขนลุกขนชันปะทุขึ้นตรงบริเวณท้ายทอย จมูกผมได้กลิ่นสาบคนแก่โชยคลุ้งออกมาจากตัวยาย แต่ด้วยความที่ผมไม่กล้าหันไปมองหน้ายายเลยทำได้แค่ก้มลงมองแขนตัวเองเห็นเล็บยาวสีดำจิกแน่นลงบนแขนผมจนรู้สึกแสบ

“กูขอกินหน่อย”

ยายพูดด้วยเสียงยานคาง จากหางตา ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ ว่าตอนนี้ยายกำลังจ้องหน้าผมอยู่

“กะ…กินอะไรครับ” น้ำตาผมเริ่มเอ่อคลอเบ้า “ปล่อยผมเถอะครับยาย”

ผมพยายามยื้อแขนตัวเองให้หลุดออกจากมือยายแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล แรงผมทั้งตัวสู้มือยายแก่ ๆ คนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งผมชักมือออกเท่าไหร่ ยายก็ยิ่งขยับตัวเข้ามาใกล้ผมเท่านั้น ใกล้จนกลิ่นคนแก่ที่อยู่บนตัวยายมันเหม็นคละคลุ้งขึ้นเป็นทวีคูณ

“กูขอกินมึงหน่อย”

“ฉิบหาย” / “โฮ่ง โฮ่ง”

เสียงปรัชญ์ที่วิ่งมาจากไหนไม่รู้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหมาเห่า อากาศที่หนักอึ้งอยู่รอบตัวผมค่อย ๆ เบาลงจนกลับมาเป็นปกติ ปรัชญ์พยายามแงะนิ้วมือยายออกจากมือผมด้วยความยากลำบาก เล็บยายครูดไปกับผิวหนังผมจนรู้สึกแสบไปหมด มันแกะไปก็จ้องหน้ายายไปอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

วินาทีที่เล็บสุดท้ายของยายหลุดออกจากแขน ปรัชญ์ก็คว้าข้อมืออีกข้างหนึ่งของผมออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต น้ำตาผมไหลอาบแก้มอย่างไม่กลัวอายอะไรอีกแล้วในชีวิตนี้ แขนข้างนั้นทั้งเจ็บทั้งแสบ ผมรู้สึกได้ถึงของเหลวเย็น ๆ ไหลอาบไปตามแขน จนท้ายที่สุดเราก็วิ่งกลับมาอยู่ในศาลาเหมือนเดิม

“พร้อม …แขนมึง” ปรัชญ์ถลาเข้ามาจับข้อมือผม “มึงอย่ามอง เดี๋ยวกูมา”

พูดจบมันก็รีบวิ่งหายเข้าไปในวัด ทิ้งผมไว้กับไอ้ดำที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนที่นั่ง ผมได้แต่นั่งมองซ้ายมองขวาเพราะกลัวยายจะโผล่มาทักทายอีก ไม่นานปรัชญ์ก็วิ่งหอบกลับเข้ามาในศาลา ในมือถือกล่องปฐมพยาบาลสี่เหลี่ยมสีใสมาด้วย ผมคลับคล้ายคลับคลาว่ามันเป็นกล่องยาที่อยู่ในถังสังฆทาน

ปรัชญ์ยกแขนผมขึ้นราดน้ำเกลือล้างแผล ตอนนี้ผมยังแค่รู้สึกเย็น ๆ เพราะมันเป็นน้ำเกลือ แต่ก็ยังไม่กล้าหันไปมองแขนตัวเองตรง ๆ

“กูก็ถามแล้วนะว่ามึงไปคนเดียวได้เหรอ” มันบ่นผมตอนใช้แอลกอฮอล์เช็ดรอบบาดแผล ความรู้สึกแสบแวบเข้ามาทุกทีที่มันแต้มโดนรอยถลอก

“ก็ใครจะไปรู้วะว่ายายจะดักกินกูอยู่หน้าห้องน้ำ”

“ยายแกชื่อยายบัว เป็นคนสติไม่ดีอยู่ในวัดนี้แหละ”

“อือฮึ …ซี๊ด” ผมสูดน้ำลายเฮือกใหญ่ตอนมันใช้สำลีแต้มยาลงบนแผล

“แต่เค้าก็เชื่อกันนะ…”

“ว่า?”

“ว่ายายแกเคยเป็นคนมีวิชา แล้วอยู่มาวันนึงของมันเข้าตัว ยายแกเลยสติไม่ดีอย่างที่เห็น แต่เขาก็เชื่อกันนะ…”

“เชื่อเหี้ยไรมึงเนี่ยไม่ยอมพูดสักที”

“เขาเชื่อกันว่าถ้ายายแกมาขออะไรแล้วใครเผลอไปปฏิเสธแก…”

“แล้ว?”

“กูได้ยินมาแค่นี้”

เวรเอ๊ย

“เสร็จแล้ว” ปรัชญ์ปล่อยแขนผมที่พันด้วยผ้าก็อชแน่นจนดูเหมือนคนเข้าเผือกอ่อน ๆ จนตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้เห็นแผลตัวเอง ยอมรับว่าผมเป็นคนกลัวเลือดครับ กลัวความเจ็บปวด ยิ่งเห็นยิ่งใจไม่ดี เลยตัดสินใจว่าไม่ดูดีกว่า

“ขอบใจนะ”

“กูแค่สงสัยว่ามึงทำไมหายไปนาน” ปรัชญ์ย้ายกลับไปอุ้มแมวดำขึ้นมานอนบนตัก “ว่าแต่มึงเถอะ ไม่ได้ไปปฏิเสธอะไรยายแกใช่มั้ย”

“กูเปล่า” ผมตอบส่ง ๆ ไป “คนอย่างมึงเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยเหรอวะ งมงายว่ะ”

“มึงระวังตัวไว้ให้ดีแล้วกัน ระวังยายมากินตับ!”

“เหี้ยเอ๊ย” ผมตกใจจนเผลอสบถคำหยาบออกมา “มึงก็พูดไปเรื่อย”

“มา หมดเวลาเล่นของมึงแล้ว ซ้อมต่อ”

ปรัชญ์ตั้งท่าจะลุกขึ้นปัดขนแมวที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้า แต่นาฬิกาในมือผมบอกว่าอีกไม่กี่นาทีจะเที่ยงแล้ว ผมต้องรีบกลับไปเรียนวิชาเคมีพื้นฐานให้ทันบ่ายโมงตรง

“ไม่ได้จริง ๆ ว่ะ กูมีเรียนต่อบ่ายโมง ไหนจะต้องกลับไปเปลี่ยนชุดอีก เอาไว้คราวหน้านะ”

“แล้วที่กูอุตส่าห์ซ้อมมาล่ะ”

“มั่นใจขนาดนั้นเชียว ไหนมึงลองแนะนำตัวดิ๊”

“ฮะฮ่า” ปรัชญ์หัวเราะร่วน “กูว่าคราวหน้าแหละดีแล้ว”

_________________


ผมกับปรัชญ์ร่ำลาไอ้ดำก่อนจะเดินกลับเข้าไปไหว้พระในโบสถ์อีกครั้ง จากนั้นก็ออกไปรอเรียกแท็กซี่หน้าวัดอยู่ไม่กี่อึดใจก็ได้รถ เรานั่งคุยเรื่องภาษาอังกฤษกันมาตลอดทางจนได้รู้ว่ามันอ่อนภาษาอังกฤษมากแค่ไหน สาเหตุที่มันเลือกมาถ่ายคลิปที่วัดก็เพราะมันไม่เคยไปเที่ยวไหนเลย วัน ๆ อยู่แต่บ้านช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยว ส่วนที่มันบอกผมว่าท่องได้แล้วความจริงมันไม่ได้อะไรเลยสักอย่างเดียว สุดท้ายไม่พ้นที่เราตกลงกันว่าผมอาสาติวให้มันก่อนแล้วค่อยมาอัดคลิปกันใหม่วันอาทิตย์หน้า

ขากลับเราต้องนั่งรถไปลงที่หอผมเพราะรถปรัชญ์จอดอยู่นั่น ตอนนี้เพิ่งเที่ยงสิบห้านาที ยังมีเวลาให้กลับไปเตรียมตัวเรียนอีกถมเถ แต่อย่างน้อยวันนี้เราสองคนมีโอกาสได้คุยกันมากขึ้นและทำให้ผมได้เห็นอีกมุมหนึ่งของปรัชญ์ มุมที่มันพูดมากและไม่ได้เก๊กเหมือนที่ผ่านมา มันเล่าว่าเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงนั้นมาหลายปีแล้ว แต่น่าแปลกที่ผมเดินผ่านอยู่หลายรอบก็ไม่เคยหันไปมอง ตอนถามเพื่อนเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวในละแวกนี้ก็ไม่เห็นเคยมีใครพูดถึงร้านมัน

ไม่นานนักแท็กซี่ก็มาส่งเราที่หน้าหอ คราวนี้ปรัชญ์อาสาเป็นคนจ่ายค่าโดยสารเพราะผมออกไปแล้วตอนขาไป ผมเปิดประตูรถเมื่อแท็กซี่จอดสนิท ไอแดดปะทะกับความเย็นภายในรถทำเอาผมหน้ามืด แถมแสงอาทิตย์ตอนเที่ยงวันก็ยังจ้าจนผมต้องหรี่ตา

“ยู้ฮู”

เสียงใครคนหนึ่งเรียกผมดังมาจากอีกฟากของถนน ในรถสีเทาคุ้นตามีลีโอนั่งอยู่หลังพวงมาลัย แว่นตาดำที่มันใส่อยู่สะท้อนแสงแดดวิบวับเห็นได้จากไกล ๆ มันกดเลื่อนกระจกรถขึ้นเมื่อเห็นผมแล้วเดินข้ามถนนมาหาเราสองคน ลีโออยู่ในชุดนักศึกษาเต็มยศพร้อมเข้าเรียน ทั้ง ๆ ที่ผมยังอยู่ในชุดนอน ปรัชญ์เห็นแบบนั้นเลยขอตัวกลับบ้านก่อน มันเดินหายเข้าไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ใต้ตึก ผมชวนลีโอขยับเข้ามายืนคุยกันในร่ม

“ไงเพื่อน หายดีแล้วเหรอ”

“มึงไปไหนมา กูโทรหาก็ไม่รับสาย”

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอแสดงข้อความสายไม่ได้รับอย่างที่มันพูดจริง ๆ สงสัยเป็นช่วงที่ผมกำลังนั่งคุยกับปรัชญ์อยู่บนรถแท็กซี่

“อ๋อ…เออ…กูไปวัด ทำงานวิชาภาษาอังกฤษ”

“คนอย่างมึงเนี่ยนะเข้าวัด แล้วดูแต่งตัวเหี้ยไรมึงเนี่ย” มันกวาดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมก็แค่อยู่ในชุดนอนลายเป็ดคีบรองเท้าแตะเท่านั้นเอง

แล้วคนอย่างกูเลือกอะไรได้ด้วยเหรอ …ผมได้แต่คิดในใจ

“เรื่องมันยาว ว่าแต่มึงมาทำอะไรแถวนี้”

“ก็เห็นมึงไม่รับสายกูเลยแวะมาดูว่ามึงยังอยู่ดีไหม”

“รักกูขนาดนั้นเลย?”

“กูแค่แวะมาหาข้าวกินเลยกะจะชวนมึงไปด้วยกัน”

ผมบอกแล้วว่าลีโอมันรวย ลูกคุณหนู บ้านหรูมีรถขับ ผิดกับผมที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง บ้านก็จน แม่ก็เสีย แต่ผมก็คบกับมันมาได้ตั้งเกือบปี ทั้งมหาวิทยาลัยก็มีลีโอนี่แหละสนิทกันที่สุดแล้ว

“งั้นมึงไปก่อนเลย” ผมปฏิเสธ “ขอกูอาบน้ำแต่งตัวก่อน”

“เอางั้นเหรอ ว่าแต่แถวหอมึงมีร้านไหนเด็ดบ้างวะ แนะนำกูหน่อย”

ปรี๊นนน~

ปรัชญ์กดแตรรถเรียกให้เราสองคนหันไปมอง ผมได้แต่ยกมือบ๊ายบาย ส่วนลีโอดันโบกมือตะโกน “สวัสดีครับ”

“เชี่ย” ลีโอหุบมือลง ทุกอย่างหยุดนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลีโอหน้านิ่ง “นั่นเพื่อนมึงเหรอ”

“อือ ชื่อปรัชญ์ เรียนอังกฤษด้วยกัน”

“แค่นั้น?”

“แค่นั้นก็แค่นั้น มึงจะเอาแค่ไหนวะ”

“เปล่า ช่างมันเถอะ” ลีโอตอบปัด “ตกลงมึงจะแนะนำร้านไหนให้กู”

“งั้นเดี๋ยวมึงขับตรงไปอีกสองซอย” อยู่ ๆ ผมก็นึกถึงร้านก๋วยเตี๋ยวของปรัชญ์ขึ้นมา เท่าที่ผมไปกินมาวันนั้นก็ไม่เลวนะ “มึงจะเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ขวามืออยู่ติดกับร้านหมอฟัน ร้านนั้นแหละ”

“อ๋อ โอเค”

“ครับผม”

“เออ ว่าแต่แขนมึงไปโดนอะไรมาวะ”

“อ๋อ” ผมลากเสียง “เรื่องมันยาวว่ะ”

“ความลับเยอะนักนะมึง ไม่บอกเหี้ยอะไรกูสักอย่าง” ลีโอบ่น “งั้นกูไปก่อนนะ ไว้เจอกันในห้องเรียน”

 _________________


“ไอ้เหี้ยพร้อม” ลีโอโวยวายเสียงดังตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องเรียนวิชาเคมี “มึงหลอกกู”

“กูไปหลอกอะไรมึงตอนไหนครับเพื่อน”

ตอนนี้ผมอยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบพร้อมเรียนวิชาเคมีต่อในตอนบ่ายแล้ว ผมอาบน้ำแต่งตัวด้วยความยากลำบากเพราะมีผ้าก็อชพันอยู่ที่แขน แถมตอนนี้ยังเริ่มรู้สึกว่าแผลเต้นตุบ ๆ เล็กน้อยเพราะมันรัดผ้าแน่นเกินไป ตอนนี้เรานั่งกันอยู่ในห้องรออาจารย์เข้ามาสอน

“ก็ร้านก๋วยเตี๋ยวที่มึงหลอกกูเนี่ย” มันเปิดมือถือโชว์รูปถ่ายให้ผมดู “มันไม่มีตั้งแต่แรกอยู่แล้วไง”

ผมเห็นตึกธนาคารพาณิชย์ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหนึ่งในรูปถ่าย ส่วนอีกข้างก็เป็นร้านหมอฟันอย่างที่ผมบอกมันไป แต่พื้นที่ตรงกลางที่ควรจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวของปรัชญ์กลับไม่มีอยู่ในรูป เหลือเพียงอาคารพาณิชย์ห้องริมสุดที่กลายเป็นเศษปูนแตก ๆ

“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”

“หิวก็หิว กว่ากูจะวนรถหาข้าวกินได้” ลีโอนั่งลงข้างผมแล้วเอื้อมมือมาโอบไหล่ ”แม่งโคตรอยากเตะมึงเลยว่ะ”

“กูขอโทษ” ผมพยายามทำตัวให้ลีบที่สุด ใจนึกอยากให้ตัวเองมุดหายไปจากตรงนี้ได้

มันหยุดไว้แค่นั้นเพราะอาจารย์เดินเข้ามาในห้องพอดี ส่วนผมแทบไม่มีสมาธิฟังอะไรที่อาจารย์สอนอีกต่อไป สมองคิดแต่เรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวซ้ำไปซ้ำมาว่าทำไมลีโอถึงหาร้านนั้นไม่เจอ ร้านทั้งร้านจะหายไปอยู่ไหน หรือถ้าหากร้านนี้ไม่มีอยู่จริง สิ่งที่ผมเจอมาตลอดสามสี่วันนี้มันคืออะไร ปรัชญ์เป็นตัวอะไรกันแน่

“กูว่านะเว้ย” ลีโอกระซิบคุยกับผม มือยังคงจดเลคเชอร์ตามเนื้อหาบนจอโปรเจกเตอร์ “เพื่อนมึงแม่งแปลก”

“เพื่อนกู” ผมทวนคำ “เพื่อนกูก็มึงไง มึงแปลกยังไง”

“ไม่ใช่กูสิ กูหมายถึงไอ้ปรัชญ์อะไรของมึงอะ”

“อ๋อ” คำถามมันยิ่งตอกย้ำความคิดฟุ้งซ่านของผมหนักยิ่งกว่าเก่า “ปรัชญ์ทำไมวะ”

“กูว่าแม่งไม่ใช่คน”

นั่นไง หนักเลย ดีที่มันยังไม่รู้ว่าปรัชญ์เป็นเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวด้วย

“เพ้อเจ้ออะไรของมึงเนี่ย”

“กูพูดจริงนะ” มันว่าพร้อมเอาหน้ามาใกล้หูผม “มึงจำที่กูกับมึงเจอกันตอนเที่ยงได้มั้ย”

“อือฮึ” ผมพยักหน้า อีกครึ่งหนึ่งก็ยังต้องแยกประสาทจดเลคเชอร์ตามอาจารย์ให้ทัน

“กูเห็นเพื่อนมึงแม่งไม่มีเงา”

“คิดมาก”

“กูว่าแล้วมึงต้องพูดแบบนี้”

“เที่ยงวันพระอาทิตย์ตรงหัวพอดี มึงอะคิดมากไปเอง”

“แล้วแต่มึงแล้วกัน กูเตือนมึงแล้วนะ”

ลีโอทำให้ผมไม่มีสมาธิที่จะเรียนหนักยิ่งกว่าเก่า ใจมัวพะวงว่าเมื่อไหร่จะหมดเวลา คิดแต่ว่าเย็นนี้ผมจะต้องโทรไปเคลียร์กับปรัชญ์ให้รู้เรื่อง ส่วนลีโอก็ทิ้งระเบิดไว้แค่นั้นแล้วไม่พูดอะไรกับผมอีก

“สมมตินะ” ผมถามลีโอ

“สมมติว่า?”

“สมมติว่าเพื่อนกูไม่ใช่คนจริง แล้วมันเป็นตัวอะไรวะ”

ในที่สุดผมก็พลั้งปากพูดสิ่งที่ย้ำคิดอยู่นานออกไปจนได้ ลีโอยิ้มกริ่มหันมามองหน้าผมด้วยสายตาของผู้ชนะ

“ฮั่นแน่… เชื่อกูแล้วเหรอ”

“กูแค่สมมติ”

“ถ้ามึงไม่มั่นใจ กูมีวิธีพิสูจน์”


ออฟไลน์ thanap

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
4

‘หยุด 2 วัน’

ผมยืนอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านปรัชญ์ (ผมตั้งเอง) เพราะร้านนี้ไม่มีชื่อเรียก เหนือประตูมีแค่คำว่าก๋วยเตี๋ยวเขียนด้วยตัวอักษรสีเขียวแปะอยู่ ร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ผมจะได้คุยกับปรัชญ์ เพราะผมลองพยายามโทรกลับไปเบอร์ที่มันเคยโทรหาผมเมื่อสองวันก่อนแล้วก็ได้ยินแต่บริการรับฝากหมายเลขโทรกลับ

ร้านตรงหน้ายิ่งเพิ่มความสับสนให้ผมเป็นเท่าทวีคูณเมื่อได้มาเห็นกับตาแล้วว่าตรงนี้มีร้านก๋วยเตี๋ยวตั้งอยู่จริง ๆ ไม่ใช่ซากปรักหักพังอย่างในรูปเสียเมื่อไหร่ ห่างออกไปทางซ้ายเป็นธนาคารพาณิชย์ไม่ผิดแน่ ส่วนขวามือของผมก็ยังคงเป็นร้านหมอฟันที่ยังเปิดบริการอยู่

“มากินก๋วยเตี๋ยวเหรอหนุ่ม” คุณป้าขายขนมคนหนึ่งวางตะกร้าลงนั่งบนฟุตบาตไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่ “ไม่มีใครอยู่หรอก เห็นเขาว่าจะไปต่างจังหวัด”

“ป้าเห็นร้านนี้ด้วยเหรอครับ” ผมนั่งลงบนฟุตบาตคุยกับป้าเพราะชักเมื่อยแล้วเหมือนกัน

“ไอ้หนุ่มนี่” ป้าถอดหมวกที่สวมอยู่ทำเป็นพัดลม “ข้าก็ต้องเห็นซีวะ ก็ข้าไม่ได้ตาบอด”

ผมดีใจจนเนื้อเต้น ผมไม่ได้บ้า อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เห็นร้านนี้คนเดียว ลีโอต่างหากที่บ้า

“ขอบคุณครับป้า ...ขอบคุณครับ” ผมดีใจอย่างออกนอกหน้าจนหุบยิ้มไม่ได้แล้ว

“เอ้า” ป้ากระเสือกตะกร้าขนมมาทางผม “เลือกเอาสักอันสิ”

“…”

“เถอะน่า ข้าไม่คิดเงินเอ็งหรอก”ป้ามุ่ยปากไปทางตะกร้าเป็นนัยให้ผมเลือกเอาสักชิ้น เพราะไม่อยากเสียมารยาทผมเลยทำเป็นเลือกดูขนมในตะกร้า มีทั้งขนมชั้น ขนมไทยหวาน ๆ ที่ผมไม่ค่อยชอบกิน และขนมปังแบบไทย ๆ อีกสี่ห้าอย่างวางซ้อนกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ผมหยิบขนมผิงถุงหนึ่งออกมาถือไว้

“ขอบคุณครับป้า” ผมผงกหัวขอบคุณป้าที่นั่งยิ้มอย่างพอใจ

“เอ็งเอาไปเถอะ ข้าให้ ขายมาทั้งวันแล้ว แจกสักอันจะเป็นไรไปวะ” ป้าหัวเราะ

“ป้าขายอยู่แถวนี้เหรอครับ” ผมชวนป้าคุยเพื่อให้ดูไม่เสียมารยาทเกินไป ตาก็มองรถบนถนนตรงหน้าที่เริ่มติดเป็นระยะ ๆ เพราะจวนได้เวลาเลิกงานเต็มที

“ข้าก็เดินของข้าไปเรื่อยแหละหนุ่ม คนหาเช้ากินค่ำอย่างป้าถ้าอยู่เฉย ๆ ได้อดตายกันพอดี”

“ครับป้า เหนื่อยแย่เลยสิครับ”

“เหนื่อยมันก็ต้องคน คนมันยังไม่ตายก็ต้องสู้กันไป ว่าแต่เอ็งเถอะ เรียนชั้นไหนแล้วล่ะ” ป้ากวาดตามองผมที่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบ

“ผมเพิ่งเรียนปีแรกเองครับป้า”

“อ๋อเหรอ”  ป้าหยิบน้ำเปล่าในตะกร้าขึ้นมาดื่ม ตายังคงมองมาที่ผม “กินขนมซะก่อนสิ”

“เก็บไว้ก่อนดีกว่าครับป้า” ผมปฏิเสธ

“ตามใจ” ป้าพยักหน้า “แล้วนี่เอ็งเรียนอะไรล่ะ แต่ข้าว่าหน้าแบบเอ็งไม่หมอก็วิศวะ”

“ผมเรียนธรณีวิทยาครับป้า”

“อ้าวเรอะ แล้วไอ้ธรณีของเอ็งนี่มันเรียนอะไรกันวะ”

“ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันครับป้า” ผมตอบปัดเพราะขี้เกียจสาธยายว่าตัวเองต้องเรียนอะไรบ้าง หันไปมองร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วก็นึกได้ว่าตัวเองก็ยังไม่เคยถามสักครั้งว่าปรัชญ์มันเรียนอะไร

“เอาเถอะ ๆ เรียนให้มันดีก็แล้วกัน”

“ครับป้า” ผมทำท่าจะยันตัวลุกขึ้นนั่งแต่นึกขึ้นได้ว่ามีคำถามหนึ่งที่ยังไม่ได้ถาม “ป้ารู้จักก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ด้วยเหรอครับ”

“อู้ย ใครเขาก็รู้จักก๋วยเตี๋ยวไอ้น้อยกันทั้งนั้นแหละ ของเขาอร่อย ข้ายังแวะมากินอยู่บ่อย ๆ เลย น้อยมันก็ใจดีให้ข้าเดินเข้าไปขายในร้านมันด้วยนะ” ป้ายิ้มชอบใจ “ว่าแต่เอ็งถามทำไม”

“อ๋อ...เอ่อ” ผมเลิ่กลั่กเพราะไม่ได้ตั้งตัวว่าจะโดนถามกลับ “พอดีผมเป็นเพื่อนกับลูกเจ้าของร้านครับป้า”

“เพื่อนไอ้ปรัชญ์หรอกเรอะ”

“ครับป้า” ผมมองนาฬิกาข้อมือ “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

ผมยันตัวลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นออกจากกางเกงแล้วยกมือขึ้นไหว้ป้า

“เอ็งอย่าลืมกินขนมล่ะ”

“ขอบคุณครับป้า”

ผมเดินย้อนกลับมาทางเก่าด้วยความรู้สึกหัวใจพองโต นานแล้วที่ไม่ได้นั่งคุยกับผู้ใหญ่สักคนแบบนี้ ผมดีใจที่ได้รู้ว่าร้านก๋วยเตี๋ยวของปรัชญ์มีอยู่จริง อย่างน้อยก็ได้ปลดล็อกความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ในใจมาทั้งวัน

รถบนถนนเริ่มไม่ขยับเพราะตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานจริง ๆ แล้ว รถทุกคนต่างออกมาจับจองพื้นที่บนถนนเพื่อเดินทางกลับบ้าน ผมเดินกลับหออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การได้นั่งคุยกับป้าแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ กลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้ชาร์จพลังอย่างน่าประหลาด

เดินมาไม่นานผมก็กลับมาอยู่ในห้องนอนตัวเองอีกครั้งเพราะความจริงแล้วหอผมกับร้านมันอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงร้อยเมตร ผมโยนถุงขนมที่ได้มาลงบนโต๊ะแล้วล้มตัวลงนอนอย่างคนหมดสภาพ บรรยากาศคุ้นตาบวกกับกลิ่นที่คุ้นเคยในเวลาโพล้เพล้ชวนนอนเป็นที่สุด

…ตอบกูหน่อย...

ผมกดพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์มือถือส่งถึงปรัชญ์ผ่านเบอร์ที่มันเคยโทรมา จากนั้นก็โยนมือถือทิ้งลงข้างตัวแล้วปล่อยใจไปกับความง่วงที่ถาโถมเข้ามา หนังตาเริ่มหนักอึ้งเต็มทีจนผล็อยหลับไป


ก๊อก... ก๊อก...

ผมงัวเงียตื่นขึ้นเพราะเสียงเคาะประตูดังขึ้น แสงภายนอกเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะตอนนี้เป็นเวลาโพล้เพล้ใกล้มืดเต็มทีแล้ว แต่ยังพอมีแสงจากหลอดไฟภายนอกสาดเข้ามาพอให้มองเห็นได้ราง ๆ ผมขยี้ตาสลัดความง่วงเดินไปเปิดประตู

“ใคร...”

ผมต้องหยุดไว้แค่นั้นเพราะคนที่ยืนอยู่หลังประตูเป็นคนที่ผมตามหามาค่อนวัน

“…ปรัชญ์”

“เออ กูเอง” ผมเห็นพยายามชะเง้อเข้ามาดูภายในห้องผม “กูมีเรื่องจะคุยด้วย”

“คุยกับกู?” ผมเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟใกล้ประตู

“เออ มึงนั่นแหละ” ปรัชญ์ว่า “ใจคอมึงไม่คิดจะชวนกูเข้าห้องเลยเหรอ”

“เข้ามาดิ” ผมเบี่ยงตัวหลีกทางให้มัน กลิ่นแปลก ๆ ที่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูกเมื่อมันเดินผ่าน แต่เดี๋ยวก่อน...

“เดี๋ยว!” ผมร้องทักมัน ปรัชญ์หยุดเดินแล้วหันมามองผมพร้อมทำหน้าสงสัย “มึงรู้จักห้องกูได้ไง”

ความสงสัยทำให้ความงัวเงียของผมหายเป็นปลิดทิ้ง ปรัชญ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมก็ดูเป็นปรัชญ์คนเดิม ใส่ชุดสีดำตัวเดิมตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูไม่ใช่คนมีพิษมีภัยอะไร แต่ที่น่าแปลกใจคือมันรู้ห้องผมได้ยังไง ตอนนี้ทั้งความรู้สึกดีใจ ความสงสัยและความไม่แน่ใจตีกันเป็นพัลวันอยู่ในหัวผม

“ไม่เห็นยาก” ปรัชญ์ถือวิสาสะนั่งลงปลายเตียงผม “ก็เพื่อนมึงไง”

“เพื่อนกู?” ผมทวนคำ

“ก็ไอ้คนที่กูเจอเมื่อตอนกลางวันไง” ปรัชญ์หมายถึงลีโอ “กูเจอมันแถวนี้พอดี กูเลยถามว่ามึงอยู่ห้องไหน”

“แล้วมันก็บอกมึง?”

“อือฮึ”

ไอ้เพื่อนเวร!

“มึงหายไปไหนมา” ผมนั่งลงบนเก้าอี้เขียนหนังสือ “มึงโอเคนะ”

“ก็ดี”ปรัชญ์เลิกคิ้ว “ทำไมกูต้องไม่โอเคด้วยวะ”

“มึงหายไปไหนมา”

“กูก็ไม่ได้ไปไหนนี่ กูก็อยู่กับมึงนี่ไง”

“กวนตีนแล้วไง” ผมเริ่มกลับมารำคาญมันอีกแล้ว “กูหมายถึงตอนกลางวันดิวะ เห็นร้านมึงก็แขวนป้ายหยุด”

“อ๋อ... ก็เปล่านี่” มันยังคงไม่ตอบอะไรผม สายตากวาดมองไปทั่วห้อง “กูไม่ได้ไปไหน”

ผมชักเริ่มสงสัยว่าปรัชญ์กลายเป็นคนถามคำตอบคำตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างน้อยปรัชญ์คนที่ผมรู้จักเมื่อตอนกลางวันก็ไม่ได้พูดน้อยขนาดนี้ หรือมันไปเจอเรื่องอะไรมา แล้วผมควรถามไหมนะ

“พร้อม” ปรัชญ์เรียกผม ตาจ้องเขม็งไปที่สิ่งของชิ้นหนึ่งบนโต๊ะผม “ทำไมมึงไม่กินขนม”

ผมหันไปมองตามสายตามัน บนโต๊ะผมมีขนมผิงใส่ถุงพลาสติกใสวางอยู่ ผมจำได้ว่าโยนมันทิ้งไปตั้งแต่ตอนกลับมาถึงห้อง

“ฮะ?”

“กูถามว่าทำไมมึงไม่กินขนมกู!!”

ปรัชญ์แผดเสียงลั่นไปทั้งหอ ตรงปลายเตียงผมที่มันเคยนั่งอยู่เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ตอนนี้กลับกลายเป็นป้าขายขนมตาโปนสีแดงก่ำนั่งอยู่แทนที่

“กูถามว่าทำไมมึงไม่กินขนมกู!” ไม่พูดเปล่า ป้าลุกจากที่นอนขึ้นมายืนประจันหน้ากับผม มือคว้าหมับเข้าที่ข้อมือข้างที่โดนเล็บยายจิกมาจากวัด ความรู้สึกปวดวิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย

“อะ...ออก...ไป”

ผมพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีร้องไล่ป้าให้ออกไปจากห้องผม แต่ด้วยความกลัวตีคู่มาพร้อมความเจ็บปวดทำให้ผมเปล่งเสียงออกมาได้แค่ในลำคอ กลิ่นลมหายใจเหม็นเน่าลอยคลุ้งออกมาจากตัวป้าจนผมต้องเบ้หน้าหนี น้ำตาผมเริ่มเอ่อคลอเบ้า ในหัวคิดถึงหน้าพ่อ คิดว่าวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ผมยังไม่ได้ทำอะไรตอบแทนพ่อสักอย่างเดียว

ปัง!

ประตูห้องเปิดผางออกเผยให้เห็นชายชุดดำที่คุ้นตายืนจังก้าอยู่หลังกรอบประตู ปรัชญ์ในชุดเดิมยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยกระบี่เล่มหนึ่งในมือ

“ออกไป!” ผมกับป้าตะโกนไล่มันพร้อมกัน ถึงอย่างไรผมก็ต้องไล่มันไว้ก่อนเพราะไม่รู้คราวนี้มันจะกลายเป็นตัวอะไรอีก

“มึงอย่ามาเสือก” ป้าตะโกน มือยังคงกำรอบแขนผมแน่น โชคดีที่เมื่อเช้าปรัชญ์มันพันผ้าก็อชไว้แน่นหนา ไม่อย่างนั้นแขนผมคงแหลกเป็นปลากระป๋องราดซอสมะเขือเทศไปแล้ว ถึงอย่างนั้นปรัชญ์ก็ยังคงเดินอาด ๆ เข้ามาหาผมอยู่ดี

“กูบอกว่าอย่า…” ปรัชญ์ไม่รอให้ป้าพูดจบดี มันตวัดดาบหวดอากาศตรงหน้าผมเสียงดังฉับ ป้ามหาภัยสลายกลายเป็นฝุ่นในพริบตาพร้อมกับดาบในมือปรัชญ์ ส่วนผมยังยืนยกแขนค้างอยู่แบบนั้น ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง

“ขะ…ขอบใจนะ”

ผมบอกมันหลังจากตั้งสติได้ ปรัชญ์ขยับเข้ามาประชิดตัวผมเพื่อดูแผล

“กล่องยามึงอยู่ไหน”

“กล่อง…อ๋อ กล่องยา อยู่ในตู้” ผมกุลีกุจอไปเปิดตู้เก็บของหยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลส่งให้มัน เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับกรอเทปกลับ ปรัชญ์กำลังนั่งทำแผลให้ผมอยู่ตรงปลายเตียง แววตามันดูตั้งใจยิ่งกว่าตอนปราบผีเมื่อกี๊อีก ผมปรายตาดูแผลตัวเองแล้วไม่เห็นว่ามีเลือกออกตรงไหนอีก เพียงแต่มีรอยช้ำสีม่วงอยู่รอบแขนเท่านั้น

“เอ้า เสร็จแล้ว” ปรัชญ์ติดสก๊อตเทปลงบนผ้าพันแผลเป็นอันเสร็จขั้นตอน

“เมื่อกี๊…ดาบมึง” ผมยังพูดไม่เป็นภาษาเพราะยังไม่หายตกใจ

“ว่าไงนะ” ปรัชญ์เลิกคิ้ว “อ๋อ ดาบกู กูแค่เห็นว่ามันเท่ดีเลยถือมาด้วย ชอบอะดิ”

“…”

“ความจริงกูไม่จำเป็นต้องใช้อะไรแบบนั้นหรอก” มันเดินไปหยิบถุงขนมผิงที่วางอยู่บนโต๊ะ “เพราะคนอย่างกูมันเท่อยู่แล้ว”

กร็อบ!

ปรัชญ์โยนถุงขนมลงบนพื้นแล้วใช้เท้ากระทืบจนลีบแบนเป็นกระเบื้อง

“แล้วไอ้ขนมเหี้ยเนี่ย” มันกระทืบซ้ำ “อย่าไปสรรหามากินอีก”

“ครับ”

“เข้าใจมั้ย!” ปรัชญ์ตะโกน กระทืบถุงซ้ำอีกรอบ

“เข้าใจครับ!” ผมตะโกนตอบ

“แล้วมึงก็อย่าชวนใครเข้าห้องง่าย ๆ แบบนี้อีก”

ครืด... ครืด

เสียงโทรศัพท์สั่นอยู่บนที่นอนดึงความสนใจจากผมไปทั้งหมด ผมไม่ได้เปิดเสียงไว้เพราะไม่อยากให้ใครโทรมารบกวนการนอน เห็นแบบนั้นผมเลยยืดตัวจากที่นั่งปลายเตียงไปคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหมอน หน้าจอมือถือขึ้นว่าพ่อกำลังโทรหาผม

พอผมกดรับสาย ภาพทุกอย่างก็หายวับไปกับตา

__________________

Talk:

ถึงตอนที่สี่แล้วครับ เดินเรื่องช้าหน่อยต้องขออภัยด้วยนะครับ
ขอบคุณทุกคนจริง ๆ ครับที่แวะเวียนกันมาอ่าน
มีอะไรติชมได้เลยนะครับ
 :pig2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Anynomous

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด