3
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาตอนแปดโมงเช้าเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ เราตกลงกันว่าจะให้ปรัชญ์เอารถมาจอดไว้ที่หอผมแล้วนั่งแท็กซี่ไปด้วยกัน แม้วัดจะอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่แต่พูดตามตรงว่าผมก็ยังไม่ไว้ใจทักษะการขี่มอเตอร์ไซค์ของมันอยู่ดี และถ้าเลือกได้ผมก็ไม่อยากเป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์ให้มันซ้อนเหมือนกัน
“ใครใช้ให้มึงตอบอาจารย์ว่าจะถ่ายที่วัดวะ”
“กูตอบวัดแล้วมันทำไม” ปรัชญ์มองหน้าผมเหมือนจะหาเรื่อง ตอนนี้เราสองคนนั่งกันอยู่บนแท็กซี่ระหว่างทางไปวัด วันนี้มันใส่ชุดสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้าในขณะที่ผมแต่งตัวสบาย ๆ แทบไม่ต่างอะไรกับชุดนอน “ปัญหาเยอะเหมือนกันนะมึง”
“ก็ไม่ทำไม” ผมยักไหล่ ตามองวิวข้างทาง “ว่าแต่มึงเถอะจะพูดได้เร้อ~”
“เดี๋ยวมึงก็รู้” ปรัชญ์อมยิ้มแล้วหันหน้าไปดูวิวฝั่งกระจกซ้ายมือ
“เออนี่” อยู่ ๆ ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “มึงไปมีเบอร์โทรกูตอนไหน”
“ก็มึงเป็นคนให้กูมาเอง”
“กูไม่เคยให้มึง” ให้นึกยังไงก็นึกไม่ออก ขนาดผมยังจำเบอร์มือถือตัวเองแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ “มึงอย่ามาหลอกกู”
“มึงเป็นคนให้กูมาเอง”
“กูไปให้มึงตอนไหน”
“ช่างแม่งเหอะ”
เถียงกันไปเถียงกันมาสักพักสุดท้ายแท็กซี่ก็พาเราสองคนมาหยุดอยู่หน้าวัดไม่รู้ตัว ผมล้วงแบงค์ร้อยส่งให้คนขับแล้วตั้งใจว่าจะไปตามเก็บกับปรัชญ์เอาทีหลัง
บรรยากาศภายในวัดก็ดูร่มรื่นดี หมาวัดฝูงหนึ่งกรูกันเข้ามาเห่าเราตั้งแต่ผมย่างเท้าเข้าประตูวัด ปรัชญ์หันไปจ้องหมาตาเขม็งจนมันพากันถอยกรูดหายไปหมด ดูเหมือนว่าวัดนี้คนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่นัก เท่าที่ผมเห็นก็มีแค่รถยนต์จอดอยู่ในลานเพียงไม่กี่คันเท่านั้น
ตอนนี้เราสองคนนั่งไหว้พระเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย ตอนนี้ในโบสถ์มีแค่เราสองคน พระประธานองค์ใหญ่สีทองที่ประดิษฐานตรงหน้าผมกำลังนั่งขัดสมาธิสูงจรดเพดาน เป็นพระปางอะไรศิลปะอะไรผมก็ไม่รู้กับเขาหรอก รู้แต่ว่าเห็นแล้วเย็นใจดี ปรัชญ์นั่งพนมมือหลับตาพริ้มตั้งแต่เราเข้ามาถึง ส่วนคนห่างไกลศาสนาอย่างผมก็ได้แต่กวาดตาสำรวจอะไรรอบตัวไปเรื่อย
แมวดำตัวหนึ่งเดินเข้ามาคลอเคลียที่เอวปรัชญ์ แต่มันก็ยังนั่งนิ่งจนแมวยอมแพ้แล้วเดินจากไปเอง ลมเย็นพัดเอื่อย ๆ ทำให้บรรยากาศในโบสถ์หลังนี้น่านอนขึ้นไปอีก
สวดอะไรของมึงนักหนาวะผมบ่นกับตัวเองในใจ รู้สึกได้ถึงความงุ่นง่านในใจจากเวลาที่กำลังเดินช้าลง มองซ้ายทีขวาทีจนไม่มีอะไรให้ดูแล้วปรัชญ์ก็ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ผมเลยตัดสินใจหันขวาไปจ้องหน้ากดดันมันแทน
“บ่นอะไรของมึงนักหนาวะ” ปรัชญ์ลืมตาแล้วก้มลงกราบพระ
“เชี่ย” ผมเผลออุทานเสียงดัง “มึงอ่านใจคนเป็นด้วยเหรอวะ”
“กับคนอย่างมึง...” มันหันมาพูดกับผมหลังกราบพระเสร็จ “ดูแค่หน้ากูก็รู้แล้ว”
“คนอย่างกูมัน...”
คนอย่างผมมันทำไมไม่รู้ แต่คนอย่างมันไม่รอให้ผมพูดจบก่อน ปรัชญ์ลุกขึ้นยืนเสร็จสรรพกลับหลังหันเดินหน้าตั้งออกจากโบสถ์ไปแล้ว
ไอ้คนทิ้งเพื่อน!
ออกมาจากโบสถ์ สายตาผมก็สะดุดเข้ากับศาลาหลังหนึ่งที่ตอนแรกมองไม่เห็นเพราะมีโบสถ์บังอยู่ คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเดินนำหน้าปรัชญ์มาทางศาลา ถัดออกไปข้างหลังเป็นคลองสายหลักของชุมชน มีนกพิราบฝูงใหญ่เกาะอยู่บน ชานบันไดท่าน้ำ นกทั้งฝูงแตกฮือมือเราสองคนเดินเข้ามาถึง
แมวสีดำที่นอนอยู่บนที่นั่งหินอ่อนกระโดดลงมาคลอเคลียรอบขาปรัชญ์ ผมได้แต่เบะปากมองด้วยความหมั่นไส้แกมอิจฉา ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหมาแมวถึงไม่ค่อยชอบเล่นกับผม ปรัชญ์ทำเสียงเหมียวโต้ตอบกับแมวเป็นวรรคเป็นเวร มือข้างหนึ่งจับแมวช้อนขึ้นมากอดไว้แนบอก ส่วนผมไม่รู้จะทำอะไรดีเลยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดกล้องถ่ายวิดีโอ
“ยิ้มหน่อยครับคุณปรัชญ์”
“เฮ้ย” ปรัชญ์สะดุ้งตัวโยนเหมือนเห็นผีแล้วรีบปล่อยแมวลงกับพื้น “ถ่ายอะไรของมึงวะ ไม่เอา”
“ก็ถ่ายมึงกับแมวไง” ผมว่า “ถามแปลก ๆ”
“นั่นแหละ” ปรัชญ์ค้อน “กูไม่ชอบถ่ายรูป”
“แต่วันนี้เรามาถ่ายวิดีโอเลยนะ มึงไหวเหรอ”
“ก็อันนั้นมันงาน”
พูดจบปรัชญ์ก็หันไปเล่นกับแมวต่อ มีแอบระแวงหันมาดูผมเป็นระยะเหมือนกลัวว่าผมจะแอบถ่ายรูปมันอีก เห็นแบบนั้นผมเลยเลิกสนใจมันแล้วเดินมานั่งตรงบันไดท่าน้ำ ปลาฝูงใหญ่พากันมาอออยู่ตรงตีนบันไดทันทีที่เห็นผมด้วยสัญชาตญาณของปลาที่คิดว่าจะได้กินอาหาร
“มึงว่าปลาพวกนี้กินได้มั้ยวะ”
ผมโพล่งขึ้นมาลอย ๆ ไม่ได้หันไปมองปรัชญ์
“ดำอย่าไปฟังมันลูก” ปรัชญ์พูดเสียงเล็กเสียงน้อย “พี่เขาเป็นคนไม่ดี ...ในวัดในวาก็ไม่เว้น ...ใช่ไหมครับดำ”
เออเอา เสี้ยมให้แมวเกลียดกูอีก “ประสาท”
“มึงว่าใคร” ปรัชญ์เปลี่ยนมาพูดด้วยเสียงปกติ
“กูคุยกับปลา” ผมพยายามกลั้นขำ “เนอะปรัชญ์เนอะ”
“แต่มึงเรียกชื่อกู”
“กูเรียกปลา”
“ปลาพ่อมึงชื่อปรัชญ์”
“ก็กูตั้งเมื่อกี๊”
ปรัชญ์ถอนหายใจแล้วกลับไปทำเสียงเล็กเสียงน้อยกับแมวต่อ ระหว่างที่เรานั่งกันอยู่นี้ก็มีเรือยนต์ของชาวบ้านที่สัญจรทางน้ำผ่านมาพอให้เราได้เห็นบ้างประปราย แสงอาทิตย์ยามสายสะท้อนผิวน้ำทำให้เกิดแสงวิบวับสะท้อนเข้าหน้าผมจนแสบตา นาฬิกาในมือถือผมบอกว่าตอนนี้เก้าโมงกว่าเข้าไปแล้ว ควรค่าแก่เวลาที่เราจะเริ่มทำงานกันได้สักที ที่สำคัญผมยังมีเรียนอีกวิชาหนึ่งตอนบ่ายโมงตรงด้วย จะมัวโอ้เอ้ให้ปรัชญ์เล่นกับแมวแบบนี้ไม่ต่อไปไม่ได้
“กูว่ามาถ่ายกันสักทีเถอะปรัชญ์” ผมเป็นฝ่ายลุกก่อน “เอามือถือมึงออกมาดิ”
“มือถือกู?” ปรัชญ์เลิกคิ้ว อุ้มแมวออกจากตักแล้วเดินมายืนข้าง ๆ ผม “ทำไมต้องมือถือกู”
“ก็กล้องกูไม่สวย”
“มึงอย่าเรื่องมาก เอากล้องมึงนั่นแหละถ่าย จะถ่ายกล้องไหนกูก็หล่อเหมือนกันอยู่ดี”
ผมเลิกต่อปากต่อคำแล้วหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาเตรียมถ่าย ตาก้มดูสคริปต์ที่หยิบออกมาจากกระเป๋า ผมเขียนสิ่งที่คิดว่าตัวเองจะต้องพูดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเลยไม่มีอะไรให้ต้องกังวลมาก ถ้าจะมีก็หนีไม่พ้นเรื่องเดิม...
“มึงคิดไว้บ้างยังว่าจะพูดอะไรบ้าง”
ผมเห็นปรัชญ์ง่วนอยู่กับกระดาษสีขาวที่ถืออยู่ในมือ
“อือ...แล้ว” มันตอบเสียงค่อย “เริ่มเลย ๆ”
“มึงจะให้กูเริ่มยังไง ก็ไม่เห็นมึงไม่บอกอะไรกูเลยสักอย่าง งั้นเอางี้…”
“อือฮึ” ปรัชญ์ยืนนิ่งตั้งใจฟังสิ่งที่ผมกำลังจะพูด
“เริ่มต้นที่กูแนะนำตัวกู มึงก็แนะนำตัวมึง แล้วเราค่อยพูดถึงวัด...”
“ไม่ใช่” ปรัชญ์ทำท่าจุ๊ปาก “มึงแนะนำตัวมึง แล้วมึงก็แนะนำตัวกู แล้วมึงก็แนะนำวัดด้วย”
มันพูดไปหัวเราะไปอย่างคนอารมณ์ดี
“มึงมาทำไมวะเนี่ย”
“กูก็มาให้กำลังใจมึงไง”
“เวรเอ๊ย”
“มึงก็รู้ว่ากูไม่เก่งภาษาอังกฤษ” ปรัชญ์หน้ามุ่ยก้มลงมองแมวสีดำที่เดินวนอยู่รอบขา “เนอะดำเนอะ”
“มึงไม่ต้องไปยุ่งกับแมวเลย” ผมกดหน้าจอมือถือเปิดกล้องวิดีโอ “สนใจกูนี่”
“ครับพ่อ”
“พ่อมึงดิ” ผมเผลอด่าบุพการีมันอีกแล้ว “เริ่มนะ”
“Hello, everyone” ผมพูดต่อไป “My name is Pawat and here, my friend, is…” ผมผายมือไปทางปรัชญ์
“…”
ปรัชญ์ยิ้มเจื่อน ๆ ให้กล้องแต่ไม่ยอมพูดอะไรต่อ ผมเลยต้องกดหยุดวิดีโอไว้ก่อน
“ทำไมมึงไม่พูด”
“กูบอกมึงไปแล้วว่าพูดไม่ได้” ปรัชญ์หน้าจ๋อย
“ไหนมึงบอกพูดได้”
“กูพยายามอยู่นี่ไง” มันว่า “ก็คนมันไม่ได้ใช้มาตั้งนานนี่หว่า”
ใจผมอยากจะด่าว่าพยายามอะไรของมึง เข้าวัดมาก็เห็นมึงเล่นแต่กับแมว แต่ก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดออกไปเพื่อรักษาบรรยากาศเอาไว้ดีกว่า
“งั้นกูว่าพักก่อนดีกว่า” ถึงผมจะเพิ่งเริ่มได้สิบวิก็ตามเถอะ “เดี๋ยวสิบโมงสิบห้ามาซ้อมกันใหม่ ถ้ายังพูดไม่ได้อีกมึงเจอกูแน่”
“ครับพ้ม!”
ปรัชญ์กลับหลังหันไปนั่งบนที่นั่งหินอ่อนแต่โดยดี เห็นแบบนั้นผมเลยได้ทีอุ้มแมวดำขึ้นมาเล่นบ้าง ผมลงนั่งบนตีนบันไดแล้ววางไอ้ดำลงบนตัก มันเป็นแมวสีดำปลอดที่มีถุงเท้าสีขาวเล็ก ๆ อยู่ตรงขาคู่หน้า ดำนอนหงายมองผมตาละห้อยแล้วครางเสียงอ่อนอยู่บนตัก แต่อยู่ดี ๆ มันก็ดีดตัวผึงออกจากตักผมลงมานั่งบนพื้นข้าง ๆ
…และเดินไปหาปรัชญ์
“ไอ้แมวไม่รักดี”
ผมตะโกนไล่หลังแมว ปรัชญ์อมยิ้มมุมปากแล้วเอื้อมมือคว้าไอ้ดำไปไว้บนตัก ดำมันก็นั่งลงเลียขนอย่างสบายใจไม่อิดออดเหมือนตอนอยู่กับผมแม้แต่น้อย ไอ้แมวสองมาตรฐาน!
อยู่ดี ๆ ผมก็รู้สึกหน่วงเหมือนคนอยากเข้าห้องน้ำเลยลุกขึ้นยืนปัดขนแมว เห็นปรัชญ์นั่งก้มหน้าอ่านบทจากกระดาษที่อยู่ในมือด้วยท่าทางจริงจังจนผมอดชื่นชมไม่ได้
“กูไปห้องน้ำนะ”
“มึงรู้มั้ยห้องน้ำไปทางไหน”
“รู้ก็บ้าแล้ว”
“เดินเลาะริมน้ำไปทางซ้ายเรื่อย ๆ เดี๋ยวมึงก็เจอห้องน้ำ” ปรัชญ์ตอบเสียงเรียบ ตายังคงมองสคริปต์ในมือ“มึงไปคนเดียวได้เหรอ ให้กูไปเป็นเพื่อนมั้ย”
“กูก็ผู้ชาย ใครจะมาทำอะไรกูวะ”
“เออ ๆ มึงดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกัน”
พอปรัชญ์พูดจบผมก็ออกเดินเลาะริมน้ำมาเรื่อย ๆ มือก็เด็ดใบไม้ข้างทางเล่นตามประสาคนมือบอน ใจอดชื่นชมไม่ได้ที่วัดนี้ยังเหลือต้นไม้อยู่หลายต้นแม้จะอยู่ในเมือง บางต้นมีจีวรพระห่มอยู่ที่โคน บางต้นก็มีคำสอนภาษาบาลีแขวนอยู่ เดินมาไม่นานผมก็เห็นอาคารปูนหลังหนึ่งที่มีประตูเรียงกันอยู่หลายบาน บนกำแพงยาวด้านหน้าเขียนไว้ว่าห้องสุขา
ขณะกำลังทำธุระส่วนตัวอยู่ในห้องน้ำ ผมได้ยินเสียงหมาเห่าใครสักคนดังมาเป็นระลอก เสียงนั้นขยับเข้ามาใกล้ห้องน้ำเรื่อย ๆ ก่อนจะเงียบหายไป แต่เสียงลมหวีดหวิวก็ยังคงดังให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ ๆ
“ปรัชญ์”
ผมตะโกนเรียกเพื่อนทั้งที่ยังยืนฉี่อยู่
เงียบ
ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา
สงสัยไม่ใช่ปรัชญ์
ผมไม่ได้สนใจอะไรต่อเพราะเข้าใจว่าหมามันก็เห่าทุกคนในวัดเป็นปกติอยู่แล้ว ทำธุระเสร็จผมก็เดินกลับออกมายืนล้างมือตรงก๊อกน้ำล้างหน้า ตาก็มองกระจกเงาบานใหญ่ที่ติดอยู่บนผนัง
“เหี้ย!”
ผมเผลออุทานออกมาเสียงดังเมื่อเห็นเงาของยายแก่ ๆ สะท้อนออกมาจากในกระจก ยายคนนั้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงไม่ได้ช่วยให้ยายดูน่าชมขึ้นมาเท่าไหร่นัก จากภาพจำของผม ยายคนนี้ดูไม่ต่างอะไรกับผีปอบที่อยู่ในหนังเลยแม้แต่นิดเดียว ผมเดาว่าเมื่อสักครู่หมามันคงเห่ายายนี่แหละ
กลั้นใจอยู่สักพัก สิ่งแรกที่ผมทำคือหายใจเข้าให้ลึกสุดปอดเพื่อรวบรวมพลังที่จะเดินฝ่ายายออกไป บรรยากาศรอบตัวผมตกอยู่ใต้ความเงียบสงัดทั้งที่เป็นเวลากลางวัน ไม่มีใครผ่านไปผ่านมาในคลองสายตา ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ ให้เห็น ไม่มีแม้แต่
หมาสักตัวเดียว ...มีแต่ผมกับยาย
“มึงมาคนเดียวเหรอ”
ผมจ้องหน้ายาย ยายก็จ้องหน้าผม เลยกลายเป็นว่าตอนนี้เรากำลังจ้องกันผ่านกระจกเงาบานใหญ่ แต่ใจผมกลัวเกินกว่าจะตอบอะไรยายไป
หมับ
มือหยาบกร้านของยายคว้าแขนผมไว้แทบจะในทันทีที่เดินตัดหน้า ความรู้สึกขนลุกขนชันปะทุขึ้นตรงบริเวณท้ายทอย จมูกผมได้กลิ่นสาบคนแก่โชยคลุ้งออกมาจากตัวยาย แต่ด้วยความที่ผมไม่กล้าหันไปมองหน้ายายเลยทำได้แค่ก้มลงมองแขนตัวเองเห็นเล็บยาวสีดำจิกแน่นลงบนแขนผมจนรู้สึกแสบ
“กูขอกินหน่อย”
ยายพูดด้วยเสียงยานคาง จากหางตา ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ ว่าตอนนี้ยายกำลังจ้องหน้าผมอยู่
“กะ…กินอะไรครับ” น้ำตาผมเริ่มเอ่อคลอเบ้า “ปล่อยผมเถอะครับยาย”
ผมพยายามยื้อแขนตัวเองให้หลุดออกจากมือยายแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล แรงผมทั้งตัวสู้มือยายแก่ ๆ คนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งผมชักมือออกเท่าไหร่ ยายก็ยิ่งขยับตัวเข้ามาใกล้ผมเท่านั้น ใกล้จนกลิ่นคนแก่ที่อยู่บนตัวยายมันเหม็นคละคลุ้งขึ้นเป็นทวีคูณ
“กูขอกินมึงหน่อย”
“ฉิบหาย” / “โฮ่ง โฮ่ง”
เสียงปรัชญ์ที่วิ่งมาจากไหนไม่รู้ดังขึ้นพร้อมกับเสียงหมาเห่า อากาศที่หนักอึ้งอยู่รอบตัวผมค่อย ๆ เบาลงจนกลับมาเป็นปกติ ปรัชญ์พยายามแงะนิ้วมือยายออกจากมือผมด้วยความยากลำบาก เล็บยายครูดไปกับผิวหนังผมจนรู้สึกแสบไปหมด มันแกะไปก็จ้องหน้ายายไปอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
วินาทีที่เล็บสุดท้ายของยายหลุดออกจากแขน ปรัชญ์ก็คว้าข้อมืออีกข้างหนึ่งของผมออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต น้ำตาผมไหลอาบแก้มอย่างไม่กลัวอายอะไรอีกแล้วในชีวิตนี้ แขนข้างนั้นทั้งเจ็บทั้งแสบ ผมรู้สึกได้ถึงของเหลวเย็น ๆ ไหลอาบไปตามแขน จนท้ายที่สุดเราก็วิ่งกลับมาอยู่ในศาลาเหมือนเดิม
“พร้อม …แขนมึง” ปรัชญ์ถลาเข้ามาจับข้อมือผม “มึงอย่ามอง เดี๋ยวกูมา”
พูดจบมันก็รีบวิ่งหายเข้าไปในวัด ทิ้งผมไว้กับไอ้ดำที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่บนที่นั่ง ผมได้แต่นั่งมองซ้ายมองขวาเพราะกลัวยายจะโผล่มาทักทายอีก ไม่นานปรัชญ์ก็วิ่งหอบกลับเข้ามาในศาลา ในมือถือกล่องปฐมพยาบาลสี่เหลี่ยมสีใสมาด้วย ผมคลับคล้ายคลับคลาว่ามันเป็นกล่องยาที่อยู่ในถังสังฆทาน
ปรัชญ์ยกแขนผมขึ้นราดน้ำเกลือล้างแผล ตอนนี้ผมยังแค่รู้สึกเย็น ๆ เพราะมันเป็นน้ำเกลือ แต่ก็ยังไม่กล้าหันไปมองแขนตัวเองตรง ๆ
“กูก็ถามแล้วนะว่ามึงไปคนเดียวได้เหรอ” มันบ่นผมตอนใช้แอลกอฮอล์เช็ดรอบบาดแผล ความรู้สึกแสบแวบเข้ามาทุกทีที่มันแต้มโดนรอยถลอก
“ก็ใครจะไปรู้วะว่ายายจะดักกินกูอยู่หน้าห้องน้ำ”
“ยายแกชื่อยายบัว เป็นคนสติไม่ดีอยู่ในวัดนี้แหละ”
“อือฮึ …ซี๊ด” ผมสูดน้ำลายเฮือกใหญ่ตอนมันใช้สำลีแต้มยาลงบนแผล
“แต่เค้าก็เชื่อกันนะ…”
“ว่า?”
“ว่ายายแกเคยเป็นคนมีวิชา แล้วอยู่มาวันนึงของมันเข้าตัว ยายแกเลยสติไม่ดีอย่างที่เห็น แต่เขาก็เชื่อกันนะ…”
“เชื่อเหี้ยไรมึงเนี่ยไม่ยอมพูดสักที”
“เขาเชื่อกันว่าถ้ายายแกมาขออะไรแล้วใครเผลอไปปฏิเสธแก…”
“แล้ว?”
“กูได้ยินมาแค่นี้”
เวรเอ๊ย
“เสร็จแล้ว” ปรัชญ์ปล่อยแขนผมที่พันด้วยผ้าก็อชแน่นจนดูเหมือนคนเข้าเผือกอ่อน ๆ จนตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้เห็นแผลตัวเอง ยอมรับว่าผมเป็นคนกลัวเลือดครับ กลัวความเจ็บปวด ยิ่งเห็นยิ่งใจไม่ดี เลยตัดสินใจว่าไม่ดูดีกว่า
“ขอบใจนะ”
“กูแค่สงสัยว่ามึงทำไมหายไปนาน” ปรัชญ์ย้ายกลับไปอุ้มแมวดำขึ้นมานอนบนตัก “ว่าแต่มึงเถอะ ไม่ได้ไปปฏิเสธอะไรยายแกใช่มั้ย”
“กูเปล่า” ผมตอบส่ง ๆ ไป “คนอย่างมึงเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้ด้วยเหรอวะ งมงายว่ะ”
“มึงระวังตัวไว้ให้ดีแล้วกัน ระวังยายมากินตับ!”
“เหี้ยเอ๊ย” ผมตกใจจนเผลอสบถคำหยาบออกมา “มึงก็พูดไปเรื่อย”
“มา หมดเวลาเล่นของมึงแล้ว ซ้อมต่อ”
ปรัชญ์ตั้งท่าจะลุกขึ้นปัดขนแมวที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้า แต่นาฬิกาในมือผมบอกว่าอีกไม่กี่นาทีจะเที่ยงแล้ว ผมต้องรีบกลับไปเรียนวิชาเคมีพื้นฐานให้ทันบ่ายโมงตรง
“ไม่ได้จริง ๆ ว่ะ กูมีเรียนต่อบ่ายโมง ไหนจะต้องกลับไปเปลี่ยนชุดอีก เอาไว้คราวหน้านะ”
“แล้วที่กูอุตส่าห์ซ้อมมาล่ะ”
“มั่นใจขนาดนั้นเชียว ไหนมึงลองแนะนำตัวดิ๊”
“ฮะฮ่า” ปรัชญ์หัวเราะร่วน “กูว่าคราวหน้าแหละดีแล้ว”
_________________
ผมกับปรัชญ์ร่ำลาไอ้ดำก่อนจะเดินกลับเข้าไปไหว้พระในโบสถ์อีกครั้ง จากนั้นก็ออกไปรอเรียกแท็กซี่หน้าวัดอยู่ไม่กี่อึดใจก็ได้รถ เรานั่งคุยเรื่องภาษาอังกฤษกันมาตลอดทางจนได้รู้ว่ามันอ่อนภาษาอังกฤษมากแค่ไหน สาเหตุที่มันเลือกมาถ่ายคลิปที่วัดก็เพราะมันไม่เคยไปเที่ยวไหนเลย วัน ๆ อยู่แต่บ้านช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยว ส่วนที่มันบอกผมว่าท่องได้แล้วความจริงมันไม่ได้อะไรเลยสักอย่างเดียว สุดท้ายไม่พ้นที่เราตกลงกันว่าผมอาสาติวให้มันก่อนแล้วค่อยมาอัดคลิปกันใหม่วันอาทิตย์หน้า
ขากลับเราต้องนั่งรถไปลงที่หอผมเพราะรถปรัชญ์จอดอยู่นั่น ตอนนี้เพิ่งเที่ยงสิบห้านาที ยังมีเวลาให้กลับไปเตรียมตัวเรียนอีกถมเถ แต่อย่างน้อยวันนี้เราสองคนมีโอกาสได้คุยกันมากขึ้นและทำให้ผมได้เห็นอีกมุมหนึ่งของปรัชญ์ มุมที่มันพูดมากและไม่ได้เก๊กเหมือนที่ผ่านมา มันเล่าว่าเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ตรงนั้นมาหลายปีแล้ว แต่น่าแปลกที่ผมเดินผ่านอยู่หลายรอบก็ไม่เคยหันไปมอง ตอนถามเพื่อนเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวในละแวกนี้ก็ไม่เห็นเคยมีใครพูดถึงร้านมัน
ไม่นานนักแท็กซี่ก็มาส่งเราที่หน้าหอ คราวนี้ปรัชญ์อาสาเป็นคนจ่ายค่าโดยสารเพราะผมออกไปแล้วตอนขาไป ผมเปิดประตูรถเมื่อแท็กซี่จอดสนิท ไอแดดปะทะกับความเย็นภายในรถทำเอาผมหน้ามืด แถมแสงอาทิตย์ตอนเที่ยงวันก็ยังจ้าจนผมต้องหรี่ตา
“ยู้ฮู”
เสียงใครคนหนึ่งเรียกผมดังมาจากอีกฟากของถนน ในรถสีเทาคุ้นตามีลีโอนั่งอยู่หลังพวงมาลัย แว่นตาดำที่มันใส่อยู่สะท้อนแสงแดดวิบวับเห็นได้จากไกล ๆ มันกดเลื่อนกระจกรถขึ้นเมื่อเห็นผมแล้วเดินข้ามถนนมาหาเราสองคน ลีโออยู่ในชุดนักศึกษาเต็มยศพร้อมเข้าเรียน ทั้ง ๆ ที่ผมยังอยู่ในชุดนอน ปรัชญ์เห็นแบบนั้นเลยขอตัวกลับบ้านก่อน มันเดินหายเข้าไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ใต้ตึก ผมชวนลีโอขยับเข้ามายืนคุยกันในร่ม
“ไงเพื่อน หายดีแล้วเหรอ”
“มึงไปไหนมา กูโทรหาก็ไม่รับสาย”
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอแสดงข้อความสายไม่ได้รับอย่างที่มันพูดจริง ๆ สงสัยเป็นช่วงที่ผมกำลังนั่งคุยกับปรัชญ์อยู่บนรถแท็กซี่
“อ๋อ…เออ…กูไปวัด ทำงานวิชาภาษาอังกฤษ”
“คนอย่างมึงเนี่ยนะเข้าวัด แล้วดูแต่งตัวเหี้ยไรมึงเนี่ย” มันกวาดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมก็แค่อยู่ในชุดนอนลายเป็ดคีบรองเท้าแตะเท่านั้นเอง
แล้วคนอย่างกูเลือกอะไรได้ด้วยเหรอ …ผมได้แต่คิดในใจ
“เรื่องมันยาว ว่าแต่มึงมาทำอะไรแถวนี้”
“ก็เห็นมึงไม่รับสายกูเลยแวะมาดูว่ามึงยังอยู่ดีไหม”
“รักกูขนาดนั้นเลย?”
“กูแค่แวะมาหาข้าวกินเลยกะจะชวนมึงไปด้วยกัน”
ผมบอกแล้วว่าลีโอมันรวย ลูกคุณหนู บ้านหรูมีรถขับ ผิดกับผมที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง บ้านก็จน แม่ก็เสีย แต่ผมก็คบกับมันมาได้ตั้งเกือบปี ทั้งมหาวิทยาลัยก็มีลีโอนี่แหละสนิทกันที่สุดแล้ว
“งั้นมึงไปก่อนเลย” ผมปฏิเสธ “ขอกูอาบน้ำแต่งตัวก่อน”
“เอางั้นเหรอ ว่าแต่แถวหอมึงมีร้านไหนเด็ดบ้างวะ แนะนำกูหน่อย”
ปรี๊นนน~
ปรัชญ์กดแตรรถเรียกให้เราสองคนหันไปมอง ผมได้แต่ยกมือบ๊ายบาย ส่วนลีโอดันโบกมือตะโกน “สวัสดีครับ”
“เชี่ย” ลีโอหุบมือลง ทุกอย่างหยุดนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลีโอหน้านิ่ง “นั่นเพื่อนมึงเหรอ”
“อือ ชื่อปรัชญ์ เรียนอังกฤษด้วยกัน”
“แค่นั้น?”
“แค่นั้นก็แค่นั้น มึงจะเอาแค่ไหนวะ”
“เปล่า ช่างมันเถอะ” ลีโอตอบปัด “ตกลงมึงจะแนะนำร้านไหนให้กู”
“งั้นเดี๋ยวมึงขับตรงไปอีกสองซอย” อยู่ ๆ ผมก็นึกถึงร้านก๋วยเตี๋ยวของปรัชญ์ขึ้นมา เท่าที่ผมไปกินมาวันนั้นก็ไม่เลวนะ “มึงจะเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวอยู่ขวามืออยู่ติดกับร้านหมอฟัน ร้านนั้นแหละ”
“อ๋อ โอเค”
“ครับผม”
“เออ ว่าแต่แขนมึงไปโดนอะไรมาวะ”
“อ๋อ” ผมลากเสียง “เรื่องมันยาวว่ะ”
“ความลับเยอะนักนะมึง ไม่บอกเหี้ยอะไรกูสักอย่าง” ลีโอบ่น “งั้นกูไปก่อนนะ ไว้เจอกันในห้องเรียน”
_________________
“ไอ้เหี้ยพร้อม” ลีโอโวยวายเสียงดังตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องเรียนวิชาเคมี “มึงหลอกกู”
“กูไปหลอกอะไรมึงตอนไหนครับเพื่อน”
ตอนนี้ผมอยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบพร้อมเรียนวิชาเคมีต่อในตอนบ่ายแล้ว ผมอาบน้ำแต่งตัวด้วยความยากลำบากเพราะมีผ้าก็อชพันอยู่ที่แขน แถมตอนนี้ยังเริ่มรู้สึกว่าแผลเต้นตุบ ๆ เล็กน้อยเพราะมันรัดผ้าแน่นเกินไป ตอนนี้เรานั่งกันอยู่ในห้องรออาจารย์เข้ามาสอน
“ก็ร้านก๋วยเตี๋ยวที่มึงหลอกกูเนี่ย” มันเปิดมือถือโชว์รูปถ่ายให้ผมดู “มันไม่มีตั้งแต่แรกอยู่แล้วไง”
ผมเห็นตึกธนาคารพาณิชย์ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหนึ่งในรูปถ่าย ส่วนอีกข้างก็เป็นร้านหมอฟันอย่างที่ผมบอกมันไป แต่พื้นที่ตรงกลางที่ควรจะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวของปรัชญ์กลับไม่มีอยู่ในรูป เหลือเพียงอาคารพาณิชย์ห้องริมสุดที่กลายเป็นเศษปูนแตก ๆ
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”
“หิวก็หิว กว่ากูจะวนรถหาข้าวกินได้” ลีโอนั่งลงข้างผมแล้วเอื้อมมือมาโอบไหล่ ”แม่งโคตรอยากเตะมึงเลยว่ะ”
“กูขอโทษ” ผมพยายามทำตัวให้ลีบที่สุด ใจนึกอยากให้ตัวเองมุดหายไปจากตรงนี้ได้
มันหยุดไว้แค่นั้นเพราะอาจารย์เดินเข้ามาในห้องพอดี ส่วนผมแทบไม่มีสมาธิฟังอะไรที่อาจารย์สอนอีกต่อไป สมองคิดแต่เรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวซ้ำไปซ้ำมาว่าทำไมลีโอถึงหาร้านนั้นไม่เจอ ร้านทั้งร้านจะหายไปอยู่ไหน หรือถ้าหากร้านนี้ไม่มีอยู่จริง สิ่งที่ผมเจอมาตลอดสามสี่วันนี้มันคืออะไร ปรัชญ์เป็นตัวอะไรกันแน่
“กูว่านะเว้ย” ลีโอกระซิบคุยกับผม มือยังคงจดเลคเชอร์ตามเนื้อหาบนจอโปรเจกเตอร์ “เพื่อนมึงแม่งแปลก”
“เพื่อนกู” ผมทวนคำ “เพื่อนกูก็มึงไง มึงแปลกยังไง”
“ไม่ใช่กูสิ กูหมายถึงไอ้ปรัชญ์อะไรของมึงอะ”
“อ๋อ” คำถามมันยิ่งตอกย้ำความคิดฟุ้งซ่านของผมหนักยิ่งกว่าเก่า “ปรัชญ์ทำไมวะ”
“กูว่าแม่งไม่ใช่คน”
นั่นไง หนักเลย ดีที่มันยังไม่รู้ว่าปรัชญ์เป็นเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวด้วย
“เพ้อเจ้ออะไรของมึงเนี่ย”
“กูพูดจริงนะ” มันว่าพร้อมเอาหน้ามาใกล้หูผม “มึงจำที่กูกับมึงเจอกันตอนเที่ยงได้มั้ย”
“อือฮึ” ผมพยักหน้า อีกครึ่งหนึ่งก็ยังต้องแยกประสาทจดเลคเชอร์ตามอาจารย์ให้ทัน
“กูเห็นเพื่อนมึงแม่งไม่มีเงา”
“คิดมาก”
“กูว่าแล้วมึงต้องพูดแบบนี้”
“เที่ยงวันพระอาทิตย์ตรงหัวพอดี มึงอะคิดมากไปเอง”
“แล้วแต่มึงแล้วกัน กูเตือนมึงแล้วนะ”
ลีโอทำให้ผมไม่มีสมาธิที่จะเรียนหนักยิ่งกว่าเก่า ใจมัวพะวงว่าเมื่อไหร่จะหมดเวลา คิดแต่ว่าเย็นนี้ผมจะต้องโทรไปเคลียร์กับปรัชญ์ให้รู้เรื่อง ส่วนลีโอก็ทิ้งระเบิดไว้แค่นั้นแล้วไม่พูดอะไรกับผมอีก
“สมมตินะ” ผมถามลีโอ
“สมมติว่า?”
“สมมติว่าเพื่อนกูไม่ใช่คนจริง แล้วมันเป็นตัวอะไรวะ”
ในที่สุดผมก็พลั้งปากพูดสิ่งที่ย้ำคิดอยู่นานออกไปจนได้ ลีโอยิ้มกริ่มหันมามองหน้าผมด้วยสายตาของผู้ชนะ
“ฮั่นแน่… เชื่อกูแล้วเหรอ”
“กูแค่สมมติ”
“ถ้ามึงไม่มั่นใจ กูมีวิธีพิสูจน์”