ทักทาย:
สวัสดีครับ นิยายเรื่องนี้แต่งมาได้สักระยะแล้ว จะทยอยลงเรื่อย ๆ ครับ
เรื่องนี้เป็นนิยายสยองขวัญแฟนตาซีตามชื่อเลยครับ
ฝากติชมกันด้วยนะครับ :)
ปล. ต้องขออภัยสำหรับคนที่ตามเรื่องเก่าอยู่ด้วยนะครับ
พอดีโปรเจกต์นี้มันเข้ามาในหัวกระทันหัน
1
“สั่งอาหารหน่อยครับ”
“ปรัชญ์ ลูกค้า!”
“ได้ยินแล้วครับแม่!”
เริ่มจากเสียงลูกค้าสั่งอาหารดังมาจากหน้าร้าน ต่อด้วยเสียงแม่ที่อยู่ในครัวหลังร้านตะโกนเรียกผมให้มาดูลูกค้า ปิดท้ายเสียงผมที่ยืนจัดโต๊ะอยู่หน้าร้านตะโกนตอบกลับไป ช่างเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่มีชีวิตชีวาอย่าบอกใครเชียว
“เชิญนั่งก่อนนะครับ” ผมตอบลูกค้าโดยไม่ได้หันไปมองเพราะยังติดพันอยู่กับการจัดโต๊ะลูกค้าตัวในสุด “ลูกค้าจะรับอะไร…”
ผมไม่สามารถเอ่ยถ้อยคำสุดท้ายให้เล็ดลอดผ่านลำคอออกมาได้อีก ทำได้เพียงยืนนิ่งตะลึงงันมองผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับผมกำลังนั่งหันซ้ายหันขวาดูเมนูที่แขวนอยู่ตามผนังร้านด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้เวลานานทีเดียวกว่าผมจะรวบรวมสติสัมปชัญญะทั้งหมดในร่างกายให้เดินไปต้อนรับลูกค้าที่โต๊ะได้
“ขออภัย…”
“ผมเอาบะหมี่เย็นตาโฟพิเศษใส่ทุกอย่างชามนึงครับ”
“แม่!”
ผมต้องมีตัวช่วย
“เสียงดังโวยวายอะไรของแกวะปรัชญ์ คนกำลัง…”
แม่ที่กำลังเดินออกมาจากหลังครัวก็ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกไม่ต่างอะไรกับผม ผมดูออกว่าแม่กำลังควบคุมตัวเองไม่ให้มือสั่นจนปล่อยชามเครื่องปรุงในมือร่วง
“รับอะไรดีคะคุณลูกค้า” แม่ตั้งสติได้เร็วกว่าผมกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอก่อนปั้นหน้ายิ้มเดินมารับลูกค้าข้าง ๆ ผม
“บะหมี่เย็นตาโฟพิเศษใส่ทุกอย่างชามนึงครับ” เขาทวนรายการเดิมอีกครั้ง “ขอด่วน ๆ เลยนะครับ ผมหิว”
“ไม่มีปัญหาค่ะคุณลูกค้า” แม่ส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนที่เจือไว้ด้วยความฝืนส่งให้ชายคนนั้น “ไอ้ปรัชญ์ มาช่วยแม่เตรียมก๋วยเตี๋ยวหน่อย”
ไม่วายยังหยิกแขนผมให้เดินตามหลังมาด้วย
“มันเข้ามาได้ยังไง”
“ผมก็ไม่รู้ ตอนนั้นผมกำลังจัดโต๊ะ”
“ฉิบหายหมดแล้วร้านกู”
แม่กุมขมับอย่างเหนื่อยใจก่อนเริ่มต้นโยนวัตถุดิบลงในหม้อก๋วยเตี๋ยวอย่างคล่องแคล่ว ส่วนผมก็ได้แต่หันรีหันขวางมองแม่ทีมองลูกค้าทีวนไปอย่างนั้น ผู้ชายผมดัดเป็นลอนสวมเสื้อคาร์ดิแกนแขนยาวกำลังนั่งหันหลังให้ผมอยู่ก็ดูไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร เสียอยู่อย่างเดียว...
เขาเป็นมนุษย์!
ร้านก๋วยเตี๋ยวของเราปิดมาได้เกือบยี่สิบปีแล้ว เพียงแต่ลูกค้าร้อยละ 99.99 ล้วนแต่ผ่านพ้นความเป็นมนุษย์มาแล้วทั้งสิ้น มีทั้งเละบ้างครบสามสิบสองบ้างปะบนกันไป หากแต่เต็มไปด้วยความไม่สงบอยู่ภายในจิตใจไม่แตกต่างกันเลยสักคนเดียว หากจะว่ากันตามจริง ผมกับแม่นี่แหละเป็นด่านสุดท้ายคอยระบายความทุกข์ของคนเหล่านั้นผ่านชามก๋วยเตี๋ยว เพราะเราเชื่อว่าการกินอาจเป็นความสุขเดียวและสุขสุดท้ายสำหรับคนตายที่กำลังจะจากโลกนี้ไป ส่วนมนุษย์นั้นแทบเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะนึกถึง เพราะต่อให้ร้านตั้งอยู่ตำตาเปิดไฟสว่างโร่ขนาดนี้ก็ยังไม่มีมนุษย์คนไหนย่างกรายเข้ามาสักคนเดียว ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณมนตร์บังตาจากยมโลก
“ทานให้อร่อยนะจ๊ะพ่อหนุ่ม”
แม่ตะโกนไล่หลังผมที่กำลังยกชามก๋วยเตี๋ยวไปเสิร์ฟลูกค้าที่มีอยู่เพียงโต๊ะเดียวภายในร้าน ผมเห็นเขายังคงสอดส่ายสายตามองอะไรไปทั่วร้าน พอได้ก๋วยเตี๋ยวก็รีบจัดการโซ้ยเข้าปากทันที
“เออนี่ไอ้หนุ่ม” อยู่ดี ๆ แม่ก็เดินมาลากเก้าอี้มานั่งที่โต๊ะข้าง ๆ หน้าตาเฉย “ชื่ออะไรล่ะเรา”
ชายคนนั้นมองตอบแม่ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ปากยังคงเคี้ยวตุ้ย ๆ
“แหม พ่อหนุ่มก็” แม่ยังคงปั้นหน้าระรื่นต่อไป “น้าก็แค่เห็นว่าเรารุ่นราวคราวเดียวกับไอ้ปรัชญ์มัน ก็เลยอยากให้รู้จักกันไว้ มันอยู่ตัวคนเดียวน่าสงสารจะตายไป ยิ่งลูกค้าก็ไม่ค่อยจะมี”
“แม่ มันเสียมารยาท”
“ปรัชญ์อย่าขัดแม่ มันเสียมารยาท” แม่ย้อนผม
“ผมพร้อมครับ” ชายคนนั้นตอบแม่ด้วยท่าทางประหม่า ตายังคงจับจ้องอยู่กับก๋วยเตี๋ยวในชาม
“แหม พอดีเลย ไอ้ปรัชญ์มันก็พร้อมเหมือนกัน ใช่ไหมลูก” แม่พยักเพยิดมาทางผม
“ผมหมายถึง…” เขาดูดน้ำอึกใหญ่ “ผมชื่อพร้อมครับ”
“อ้าวเหรอ ตายจริง น้าก็เข้าใจผิดเสียได้นี่ แล้วนี่หนูอายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ”
“พอแล้วแม่”
“สิบเก้าครับ” พร้อมตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนผมรู้สึกราวกับเป็นส่วนเกินในวงสนทนานี้
“ตายจริง” แม่ยังคงหัวเราะร่วน “อายุก็ยังเท่ากันอีกนะ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้”
“แม่”
“เป็นเพื่อนกันไว้นะลูก”
“ไม่” ผมร้อง
“ได้ครับ” พร้อมว่า ผมเห็นมันเผลอยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึง
“ไอ้ลูกคนนี้นี่ เป็นเพื่อนกันไว้ก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร จริงไหมจ๊ะพร้อม”
แม่และพร้อมส่งยิ้มตอบกันราวกับถูกชะตากันมาแต่ชาติปางก่อน ในขณะที่ผมน้ำตาปริ่มจะไหลเพราะแม่เอื้อมมือลอดใต้โต๊ะมาหยิกแขน
“เออ ตามน้ำไปก่อน” แม่กระซิบ
“แล้วนี่บ้านหนูอยู่แถวนี้เหรอจ๊ะ” แม่ยังไม่หยุดซัก
“พอเถอะแม่”
“ผมอยู่หอไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่หรอกครับ”
“อ๋อ...เหรอจ๊ะ ว่าง ๆ ก็แวะมากินก๋วยเตี๋ยวร้านน้าได้นะ ยิ่งถ้าเป็นเพื่อนไอ้ปรัชญ์น้าไม่คิดเงินหรอกจ้ะ ใช่ไหมลูก” แม่หยิกซ้ำที่เดิมอีกครั้งจนผมต้องยอมพยักหน้าตาม
“เจ็บ”
“อะไรนะจ๊ะลูก โอ๋ ๆ” แม่ทำทีเป็นลูบหัวผม หน้ายังคงส่งยิ้มไปให้พร้อม “คำถามสุดท้ายแล้ว ๆ หนูยังเรียนอยู่ใช่ไหม เรียนอะไรที่ไหนบอกน้าได้ไหมจ๊ะลูก”
“อ้อยังเรียนอยู่ครับ ผมเรียนคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนี้เลยครับ”
“ตายจริง” แม่อุทานเสียงดัง ปากฉีกยิ้มกว้างแทบจะถึงรูหู “อะไรจะบังเอิญแบบนี้ เอาเป็นว่าน้าไม่กวนแล้วจ้ะ ปรัชญ์แม่ฝากเพื่อนด้วยนะ”
จะไปก็ยังไม่วางโยนขี้ไว้ให้ผม ผมส่งยิ้มหน้าเจื่อน ๆ ไปให้พร้อมที่ดูออกว่ากลั้นขำเต็มที เห็นแบบนี้ผมเลยหนีความกระอักกระอ่วนเดินตามหลังแม่เข้าไปในครัว
“ไอ้ลูกคนนี้นี่ เดินตามแม่มาทำไม ทำไมไม่ไปดูลูกค้า ไป ๆ ออกไปอยู่กับเพื่อน”
แม่บ่นแทบจะทันทีที่เห็นเงาผมเดินเข้ามาในครัว
“เล่นอะไรของแม่เนี่ย”
“ใครว่าฉันเล่น ฉันกำลังช่วยแกยังไม่รู้ตัวอีก”
“ช่วยอะไรของแม่”
“ก็ช่วยให้แกไม่ต้อง…” แม่หยุดไว้เพียงเท่านั้นนั้น “เออช่างมันเถอะ รีบออกไปดูเพื่อนได้แล้วไป ไปเฝ้าหน้าร้านเลย”
แม่โบกมือไล่ให้ผมออกไปจากครัว ผมเลยต้องเดินกลับออกมาอย่างเสียไม่ได้ ออกมาก็เห็นพร้อมนั่งเลื่อนโทรศัพท์มือถือโดยมีชามก๋วยเตี๋ยวเปล่าวางอยู่ตรงหน้า
“คิดเงินได้เลยปรัชญ์”
พร้อมเงยหน้าขึ้นมาเรียกทันทีที่เห็นผมเดินออกมาจากหลังร้าน
“ไม่เป็นไรหรอกพร้อม ชามนี้เราเลี้ยงเอง” ผมลองนึกว่าหากเป็นแม่ก็คงจะพูดแบบเดียวกัน”
“เฮ้ย ได้ไง” พร้อมร้อง “ของซื้อของขาย ยังไงก็ให้เราจ่ายเถอะ เราเกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ยังไงเดี๋ยวเราก็ได้เลี้ยงนายอีก”
“ฮะ”
“อ๋อ เปล่า ๆ เราหมายถึง ก็เราเป็นเพื่อนกันไง ใช่ไหมเพื่อน เนอะเพื่อนเนอะ”
"...”
พร้อมชะงักไปนิดหน่อยกับคำว่าเพื่อนที่ผมเพิ่งพูดไป แต่ถึงอย่างไรมันก็ได้ผล
“เอางั้นก็ได้ แต่คราวหน้านายต้องให้เราจ่ายนะ”
พร้อมลุกขึ้นยืนเก็บโทรศัพท์มือถือยัดลงกระเป๋ากางเกง ตายังคงกวาดมองไปทั่วร้าน
“เราว่าจะชมหลายทีแล้ว ร้านนายแต่งสวยดีนะ”
พูดจบพร้อมก็เดินออกไปจากร้านทันที แต่คำพูดสุดท้ายของมันทำเอาผมถึงกับต้องเหลียวหลังไปมองรอบร้านตัวเองอีกครั้งให้แน่ใจ ภาพตึกเก่า ๆ ปูนแตก ขึ้นรา ไม่พอยังมีหยากไย่จับอยู่ทั่วทุกมุมเพดาน รูปวาดสักใบในร้านก็ไม่ได้แขวน ทั้งหมดนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าสวยเลยแม้แต่น้อย
“ปรัชญ์ ปิดร้าน” เสียงแม่ตะโกนดังมาจากหลังครัว
“แต่เราเพิ่งเปิดเมื่อตะกี๊เองนะแม่”
“พอแล้ว เลิกขายสักวันมันจะเป็นไรไป” แม่ว่าพลางหย่อนท้ายลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ประตูครัว
“เจ๊ง”
“ทำอย่างกับทุกวันนี้ได้อะไรนักนี่”
จริงอย่างที่แม่ว่า เราแทบไม่ได้อะไรจากการขายก๋วยเตี๋ยวเลย ผมไม่เคยได้คิดเงินลูกค้าแม้แต่บาทเดียว โชคยังดีที่เรามียมโลกคอยสนับสนุนทางการเงิน พร้อมคำพูดประโลมใจว่าเราสองคนกำลังทำหน้าที่เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต หน้าที่ที่ทำให้ผมกับแม่อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย มนุษย์ที่ไม่หลงเหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไป
“แกต้องซื้อของเตรียมตัวไปเรียนมหาวิทยาลัยพรุ่งนี้!”
“อะไรของแม่เนี่ย พูดง่ายอย่างกับเล่นขายของ”
4
‘หยุด 2 วัน’
ผมยืนอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านปรัชญ์ (ผมตั้งเอง) เพราะร้านนี้ไม่มีชื่อเรียก เหนือประตูมีแค่คำว่าก๋วยเตี๋ยวเขียนด้วยตัวอักษรสีเขียวแปะอยู่ ร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ผมจะได้คุยกับปรัชญ์ เพราะผมลองพยายามโทรกลับไปเบอร์ที่มันเคยโทรหาผมเมื่อสองวันก่อนแล้วก็ได้ยินแต่บริการรับฝากหมายเลขโทรกลับ
ร้านตรงหน้ายิ่งเพิ่มความสับสนให้ผมเป็นเท่าทวีคูณเมื่อได้มาเห็นกับตาแล้วว่าตรงนี้มีร้านก๋วยเตี๋ยวตั้งอยู่จริง ๆ ไม่ใช่ซากปรักหักพังอย่างในรูปเสียเมื่อไหร่ ห่างออกไปทางซ้ายเป็นธนาคารพาณิชย์ไม่ผิดแน่ ส่วนขวามือของผมก็ยังคงเป็นร้านหมอฟันที่ยังเปิดบริการอยู่
“มากินก๋วยเตี๋ยวเหรอหนุ่ม” คุณป้าขายขนมคนหนึ่งวางตะกร้าลงนั่งบนฟุตบาตไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่ “ไม่มีใครอยู่หรอก เห็นเขาว่าจะไปต่างจังหวัด”
“ป้าเห็นร้านนี้ด้วยเหรอครับ” ผมนั่งลงบนฟุตบาตคุยกับป้าเพราะชักเมื่อยแล้วเหมือนกัน
“ไอ้หนุ่มนี่” ป้าถอดหมวกที่สวมอยู่ทำเป็นพัดลม “ข้าก็ต้องเห็นซีวะ ก็ข้าไม่ได้ตาบอด”
ผมดีใจจนเนื้อเต้น ผมไม่ได้บ้า อย่างน้อยผมก็ไม่ได้เห็นร้านนี้คนเดียว ลีโอต่างหากที่บ้า
“ขอบคุณครับป้า ...ขอบคุณครับ” ผมดีใจอย่างออกนอกหน้าจนหุบยิ้มไม่ได้แล้ว
“เอ้า” ป้ากระเสือกตะกร้าขนมมาทางผม “เลือกเอาสักอันสิ”
“…”
“เถอะน่า ข้าไม่คิดเงินเอ็งหรอก”ป้ามุ่ยปากไปทางตะกร้าเป็นนัยให้ผมเลือกเอาสักชิ้น เพราะไม่อยากเสียมารยาทผมเลยทำเป็นเลือกดูขนมในตะกร้า มีทั้งขนมชั้น ขนมไทยหวาน ๆ ที่ผมไม่ค่อยชอบกิน และขนมปังแบบไทย ๆ อีกสี่ห้าอย่างวางซ้อนกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ผมหยิบขนมผิงถุงหนึ่งออกมาถือไว้
“ขอบคุณครับป้า” ผมผงกหัวขอบคุณป้าที่นั่งยิ้มอย่างพอใจ
“เอ็งเอาไปเถอะ ข้าให้ ขายมาทั้งวันแล้ว แจกสักอันจะเป็นไรไปวะ” ป้าหัวเราะ
“ป้าขายอยู่แถวนี้เหรอครับ” ผมชวนป้าคุยเพื่อให้ดูไม่เสียมารยาทเกินไป ตาก็มองรถบนถนนตรงหน้าที่เริ่มติดเป็นระยะ ๆ เพราะจวนได้เวลาเลิกงานเต็มที
“ข้าก็เดินของข้าไปเรื่อยแหละหนุ่ม คนหาเช้ากินค่ำอย่างป้าถ้าอยู่เฉย ๆ ได้อดตายกันพอดี”
“ครับป้า เหนื่อยแย่เลยสิครับ”
“เหนื่อยมันก็ต้องคน คนมันยังไม่ตายก็ต้องสู้กันไป ว่าแต่เอ็งเถอะ เรียนชั้นไหนแล้วล่ะ” ป้ากวาดตามองผมที่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบ
“ผมเพิ่งเรียนปีแรกเองครับป้า”
“อ๋อเหรอ” ป้าหยิบน้ำเปล่าในตะกร้าขึ้นมาดื่ม ตายังคงมองมาที่ผม “กินขนมซะก่อนสิ”
“เก็บไว้ก่อนดีกว่าครับป้า” ผมปฏิเสธ
“ตามใจ” ป้าพยักหน้า “แล้วนี่เอ็งเรียนอะไรล่ะ แต่ข้าว่าหน้าแบบเอ็งไม่หมอก็วิศวะ”
“ผมเรียนธรณีวิทยาครับป้า”
“อ้าวเรอะ แล้วไอ้ธรณีของเอ็งนี่มันเรียนอะไรกันวะ”
“ผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันครับป้า” ผมตอบปัดเพราะขี้เกียจสาธยายว่าตัวเองต้องเรียนอะไรบ้าง หันไปมองร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วก็นึกได้ว่าตัวเองก็ยังไม่เคยถามสักครั้งว่าปรัชญ์มันเรียนอะไร
“เอาเถอะ ๆ เรียนให้มันดีก็แล้วกัน”
“ครับป้า” ผมทำท่าจะยันตัวลุกขึ้นนั่งแต่นึกขึ้นได้ว่ามีคำถามหนึ่งที่ยังไม่ได้ถาม “ป้ารู้จักก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ด้วยเหรอครับ”
“อู้ย ใครเขาก็รู้จักก๋วยเตี๋ยวไอ้น้อยกันทั้งนั้นแหละ ของเขาอร่อย ข้ายังแวะมากินอยู่บ่อย ๆ เลย น้อยมันก็ใจดีให้ข้าเดินเข้าไปขายในร้านมันด้วยนะ” ป้ายิ้มชอบใจ “ว่าแต่เอ็งถามทำไม”
“อ๋อ...เอ่อ” ผมเลิ่กลั่กเพราะไม่ได้ตั้งตัวว่าจะโดนถามกลับ “พอดีผมเป็นเพื่อนกับลูกเจ้าของร้านครับป้า”
“เพื่อนไอ้ปรัชญ์หรอกเรอะ”
“ครับป้า” ผมมองนาฬิกาข้อมือ “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”
ผมยันตัวลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นออกจากกางเกงแล้วยกมือขึ้นไหว้ป้า
“เอ็งอย่าลืมกินขนมล่ะ”
“ขอบคุณครับป้า”
ผมเดินย้อนกลับมาทางเก่าด้วยความรู้สึกหัวใจพองโต นานแล้วที่ไม่ได้นั่งคุยกับผู้ใหญ่สักคนแบบนี้ ผมดีใจที่ได้รู้ว่าร้านก๋วยเตี๋ยวของปรัชญ์มีอยู่จริง อย่างน้อยก็ได้ปลดล็อกความรู้สึกอัดอั้นที่อยู่ในใจมาทั้งวัน
รถบนถนนเริ่มไม่ขยับเพราะตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานจริง ๆ แล้ว รถทุกคนต่างออกมาจับจองพื้นที่บนถนนเพื่อเดินทางกลับบ้าน ผมเดินกลับหออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย การได้นั่งคุยกับป้าแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ กลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้ชาร์จพลังอย่างน่าประหลาด
เดินมาไม่นานผมก็กลับมาอยู่ในห้องนอนตัวเองอีกครั้งเพราะความจริงแล้วหอผมกับร้านมันอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงร้อยเมตร ผมโยนถุงขนมที่ได้มาลงบนโต๊ะแล้วล้มตัวลงนอนอย่างคนหมดสภาพ บรรยากาศคุ้นตาบวกกับกลิ่นที่คุ้นเคยในเวลาโพล้เพล้ชวนนอนเป็นที่สุด
…ตอบกูหน่อย...
ผมกดพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์มือถือส่งถึงปรัชญ์ผ่านเบอร์ที่มันเคยโทรมา จากนั้นก็โยนมือถือทิ้งลงข้างตัวแล้วปล่อยใจไปกับความง่วงที่ถาโถมเข้ามา หนังตาเริ่มหนักอึ้งเต็มทีจนผล็อยหลับไป
ก๊อก... ก๊อก...
ผมงัวเงียตื่นขึ้นเพราะเสียงเคาะประตูดังขึ้น แสงภายนอกเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะตอนนี้เป็นเวลาโพล้เพล้ใกล้มืดเต็มทีแล้ว แต่ยังพอมีแสงจากหลอดไฟภายนอกสาดเข้ามาพอให้มองเห็นได้ราง ๆ ผมขยี้ตาสลัดความง่วงเดินไปเปิดประตู
“ใคร...”
ผมต้องหยุดไว้แค่นั้นเพราะคนที่ยืนอยู่หลังประตูเป็นคนที่ผมตามหามาค่อนวัน
“…ปรัชญ์”
“เออ กูเอง” ผมเห็นพยายามชะเง้อเข้ามาดูภายในห้องผม “กูมีเรื่องจะคุยด้วย”
“คุยกับกู?” ผมเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟใกล้ประตู
“เออ มึงนั่นแหละ” ปรัชญ์ว่า “ใจคอมึงไม่คิดจะชวนกูเข้าห้องเลยเหรอ”
“เข้ามาดิ” ผมเบี่ยงตัวหลีกทางให้มัน กลิ่นแปลก ๆ ที่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูกเมื่อมันเดินผ่าน แต่เดี๋ยวก่อน...
“เดี๋ยว!” ผมร้องทักมัน ปรัชญ์หยุดเดินแล้วหันมามองผมพร้อมทำหน้าสงสัย “มึงรู้จักห้องกูได้ไง”
ความสงสัยทำให้ความงัวเงียของผมหายเป็นปลิดทิ้ง ปรัชญ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมก็ดูเป็นปรัชญ์คนเดิม ใส่ชุดสีดำตัวเดิมตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูไม่ใช่คนมีพิษมีภัยอะไร แต่ที่น่าแปลกใจคือมันรู้ห้องผมได้ยังไง ตอนนี้ทั้งความรู้สึกดีใจ ความสงสัยและความไม่แน่ใจตีกันเป็นพัลวันอยู่ในหัวผม
“ไม่เห็นยาก” ปรัชญ์ถือวิสาสะนั่งลงปลายเตียงผม “ก็เพื่อนมึงไง”
“เพื่อนกู?” ผมทวนคำ
“ก็ไอ้คนที่กูเจอเมื่อตอนกลางวันไง” ปรัชญ์หมายถึงลีโอ “กูเจอมันแถวนี้พอดี กูเลยถามว่ามึงอยู่ห้องไหน”
“แล้วมันก็บอกมึง?”
“อือฮึ”
ไอ้เพื่อนเวร!
“มึงหายไปไหนมา” ผมนั่งลงบนเก้าอี้เขียนหนังสือ “มึงโอเคนะ”
“ก็ดี”ปรัชญ์เลิกคิ้ว “ทำไมกูต้องไม่โอเคด้วยวะ”
“มึงหายไปไหนมา”
“กูก็ไม่ได้ไปไหนนี่ กูก็อยู่กับมึงนี่ไง”
“กวนตีนแล้วไง” ผมเริ่มกลับมารำคาญมันอีกแล้ว “กูหมายถึงตอนกลางวันดิวะ เห็นร้านมึงก็แขวนป้ายหยุด”
“อ๋อ... ก็เปล่านี่” มันยังคงไม่ตอบอะไรผม สายตากวาดมองไปทั่วห้อง “กูไม่ได้ไปไหน”
ผมชักเริ่มสงสัยว่าปรัชญ์กลายเป็นคนถามคำตอบคำตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่างน้อยปรัชญ์คนที่ผมรู้จักเมื่อตอนกลางวันก็ไม่ได้พูดน้อยขนาดนี้ หรือมันไปเจอเรื่องอะไรมา แล้วผมควรถามไหมนะ
“พร้อม” ปรัชญ์เรียกผม ตาจ้องเขม็งไปที่สิ่งของชิ้นหนึ่งบนโต๊ะผม “ทำไมมึงไม่กินขนม”
ผมหันไปมองตามสายตามัน บนโต๊ะผมมีขนมผิงใส่ถุงพลาสติกใสวางอยู่ ผมจำได้ว่าโยนมันทิ้งไปตั้งแต่ตอนกลับมาถึงห้อง
“ฮะ?”
“กูถามว่าทำไมมึงไม่กินขนมกู!!”
ปรัชญ์แผดเสียงลั่นไปทั้งหอ ตรงปลายเตียงผมที่มันเคยนั่งอยู่เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ตอนนี้กลับกลายเป็นป้าขายขนมตาโปนสีแดงก่ำนั่งอยู่แทนที่
“กูถามว่าทำไมมึงไม่กินขนมกู!” ไม่พูดเปล่า ป้าลุกจากที่นอนขึ้นมายืนประจันหน้ากับผม มือคว้าหมับเข้าที่ข้อมือข้างที่โดนเล็บยายจิกมาจากวัด ความรู้สึกปวดวิ่งพล่านไปทั่วร่างกาย
“อะ...ออก...ไป”
ผมพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีร้องไล่ป้าให้ออกไปจากห้องผม แต่ด้วยความกลัวตีคู่มาพร้อมความเจ็บปวดทำให้ผมเปล่งเสียงออกมาได้แค่ในลำคอ กลิ่นลมหายใจเหม็นเน่าลอยคลุ้งออกมาจากตัวป้าจนผมต้องเบ้หน้าหนี น้ำตาผมเริ่มเอ่อคลอเบ้า ในหัวคิดถึงหน้าพ่อ คิดว่าวันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ผมยังไม่ได้ทำอะไรตอบแทนพ่อสักอย่างเดียว
ปัง!
ประตูห้องเปิดผางออกเผยให้เห็นชายชุดดำที่คุ้นตายืนจังก้าอยู่หลังกรอบประตู ปรัชญ์ในชุดเดิมยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยกระบี่เล่มหนึ่งในมือ
“ออกไป!” ผมกับป้าตะโกนไล่มันพร้อมกัน ถึงอย่างไรผมก็ต้องไล่มันไว้ก่อนเพราะไม่รู้คราวนี้มันจะกลายเป็นตัวอะไรอีก
“มึงอย่ามาเสือก” ป้าตะโกน มือยังคงกำรอบแขนผมแน่น โชคดีที่เมื่อเช้าปรัชญ์มันพันผ้าก็อชไว้แน่นหนา ไม่อย่างนั้นแขนผมคงแหลกเป็นปลากระป๋องราดซอสมะเขือเทศไปแล้ว ถึงอย่างนั้นปรัชญ์ก็ยังคงเดินอาด ๆ เข้ามาหาผมอยู่ดี
“กูบอกว่าอย่า…” ปรัชญ์ไม่รอให้ป้าพูดจบดี มันตวัดดาบหวดอากาศตรงหน้าผมเสียงดังฉับ ป้ามหาภัยสลายกลายเป็นฝุ่นในพริบตาพร้อมกับดาบในมือปรัชญ์ ส่วนผมยังยืนยกแขนค้างอยู่แบบนั้น ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง
“ขะ…ขอบใจนะ”
ผมบอกมันหลังจากตั้งสติได้ ปรัชญ์ขยับเข้ามาประชิดตัวผมเพื่อดูแผล
“กล่องยามึงอยู่ไหน”
“กล่อง…อ๋อ กล่องยา อยู่ในตู้” ผมกุลีกุจอไปเปิดตู้เก็บของหยิบอุปกรณ์ปฐมพยาบาลส่งให้มัน เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับกรอเทปกลับ ปรัชญ์กำลังนั่งทำแผลให้ผมอยู่ตรงปลายเตียง แววตามันดูตั้งใจยิ่งกว่าตอนปราบผีเมื่อกี๊อีก ผมปรายตาดูแผลตัวเองแล้วไม่เห็นว่ามีเลือกออกตรงไหนอีก เพียงแต่มีรอยช้ำสีม่วงอยู่รอบแขนเท่านั้น
“เอ้า เสร็จแล้ว” ปรัชญ์ติดสก๊อตเทปลงบนผ้าพันแผลเป็นอันเสร็จขั้นตอน
“เมื่อกี๊…ดาบมึง” ผมยังพูดไม่เป็นภาษาเพราะยังไม่หายตกใจ
“ว่าไงนะ” ปรัชญ์เลิกคิ้ว “อ๋อ ดาบกู กูแค่เห็นว่ามันเท่ดีเลยถือมาด้วย ชอบอะดิ”
“…”
“ความจริงกูไม่จำเป็นต้องใช้อะไรแบบนั้นหรอก” มันเดินไปหยิบถุงขนมผิงที่วางอยู่บนโต๊ะ “เพราะคนอย่างกูมันเท่อยู่แล้ว”
กร็อบ!
ปรัชญ์โยนถุงขนมลงบนพื้นแล้วใช้เท้ากระทืบจนลีบแบนเป็นกระเบื้อง
“แล้วไอ้ขนมเหี้ยเนี่ย” มันกระทืบซ้ำ “อย่าไปสรรหามากินอีก”
“ครับ”
“เข้าใจมั้ย!” ปรัชญ์ตะโกน กระทืบถุงซ้ำอีกรอบ
“เข้าใจครับ!” ผมตะโกนตอบ
“แล้วมึงก็อย่าชวนใครเข้าห้องง่าย ๆ แบบนี้อีก”
ครืด... ครืด
เสียงโทรศัพท์สั่นอยู่บนที่นอนดึงความสนใจจากผมไปทั้งหมด ผมไม่ได้เปิดเสียงไว้เพราะไม่อยากให้ใครโทรมารบกวนการนอน เห็นแบบนั้นผมเลยยืดตัวจากที่นั่งปลายเตียงไปคว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหมอน หน้าจอมือถือขึ้นว่าพ่อกำลังโทรหาผม
พอผมกดรับสาย ภาพทุกอย่างก็หายวับไปกับตา
__________________
Talk:
ถึงตอนที่สี่แล้วครับ เดินเรื่องช้าหน่อยต้องขออภัยด้วยนะครับ
ขอบคุณทุกคนจริง ๆ ครับที่แวะเวียนกันมาอ่าน
มีอะไรติชมได้เลยนะครับ
:pig2: