2
The nails
คุณเป็นคนที่สนใจเสียงรอบข้างไหม
“ไม่ดีกว่าครับพี่พลับ เดี๋ยวผมขับไปออฟฟิศเองดีกว่า”
แล้วคุณแคร์ว่าคนจะพูดถึงคุณแบบไหนหรือเปล่า
“ทำไมล่ะ ยังไงก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว ไปกับพี่ก็ได้ รถจะได้ไม่ติดเพิ่มด้วย”
สำหรับขอบฟ้า เขาหูไวต่อเสียงรอบข้างราวกับกระต่ายป่า
“คือผมกลัวว่าถ้าคนอื่นเห็นว่าเรามาด้วยกันแล้วจะ...เข้าใจผิด”
“เข้าใจผิดว่า?” คนที่ถูกปฏิเสธยืนกอดอกพร้อมพิงสะโพกกับตัวรถพลางมองท่าทางกังวลของเด็กหนุ่ม
“ไม่รู้สิครับ เมื่อวานผมเพิ่งถูกพูดถึงเรื่องราวระหว่างพี่กับผม ไม่รู้ว่าถ้ามาด้วยกันจะถูกพูดถึงแบบไหนอีก”
นั่นไม่ใช่คำตอบที่พลับพลาแปลกใจนัก เขาพอจะมองออกว่าเด็กคนนี้เป็นคนอย่างไร ตื่นตูม ขี้ตกใจ อ่อนไหว และหูไว
ก็บอกแล้วไง...ว่า
เหมือนกระต่าย “อันที่จริงพี่ไม่ค่อยแคร์เรื่องแบบนั้นเท่าไหร่ แต่ถ้าเราแคร์ก็พอเข้าใจได้” พลับพลายิ้มเบาๆ ก่อนที่จะเปิดประตูรถราคาแพงของตน “งั้นพี่ไม่บังคับแล้วกัน เจอกันที่ออฟฟิศ ขับรถดีๆล่ะ”
ใจดี...พี่พลับพลาใจดี นั่นเป็นความคิดเห็นของขอบฟ้าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันจนถึงตอนนี้ ทีแรกเขาคิดว่าจะโดนบังคับหรือตื้อด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับพูดและเข้าใจง่ายกว่าที่คิด
ขอบฟ้าเกลียดตัวเองที่ต้องมารับรู้ว่าคนอื่นพูดถึงตัวเองยังไง เกลียดสายตาที่ดูเหมือนเขาไปทำอะไรให้ เกลียดน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร เกลียดคนเสียงดังใส่ และเกลียดที่ตัวเองไม่มีภูมิต้านทานสำหรับอะไรพวกนี้มากพอ
และโชคดีที่บอสของเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้ มันทำให้เขาไม่ค่อยเชื่อคำที่พี่ๆในออฟฟิศบอกว่าบอสดุเท่าไหร่นัก
แต่ถึงจะแยกกันเดินทางมายังออฟฟิศก็เถอะ สุดท้ายก็มาเจอกันที่จุดหมายปลายทางในเวลาไล่เลี่ยกันอยู่ดี
“เมื่อเช้าพี่ซื้อแซนด์วิชมาเผื่อ” พลับพลาเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเด็กฝึกงานก่อน “พอดีเมื่อกี้มัวแต่ยืนเถียงกัน เลยลืมเอามาให้น่ะ”
“ขอบคุณนะครับพี่...คุณพลับพลา”
ใช่ สุดท้ายก็ต้องเดินเข้าออฟฟิศด้วยกันอยู่ดี ขอบฟ้ากังวลและประหม่าที่ต้องมาเดินข้างกับพี่พลับพลาในบริษัท กลัวว่าจะมีคนในแผนกมาเห็นเข้า กลัวว่าจะถูกพูดถึง รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องปกติและห้ามกันไม่ได้ แต่เขาไม่สามารถปิดสวิตช์ขี้กังวลของตัวเองได้ง่ายๆ
ไม่เหมือนคนข้างๆ ดูเหมือนพลับพลาจะถูกพูดถึงมากกว่าขอบฟ้ามานานด้วยซ้ำ แต่กลับไม่สะทกสะท้านใดๆ
“นี่” หัวหน้าแผนกเรียกดึงสติขอบฟ้าขณะอยู่ในลิฟต์ “ก่อนเดินเข้าแผนกให้เดินตามหลังพี่ไว้ใกล้ๆนะ”
ขอบฟ้าไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่ก็ยอมทำตามไปก่อน
ไม่นานนักก็รู้คำตอบทันที ยอมรับว่าตอนแรกเขากลัวมากๆว่าจะถูกสายตารุมมองตอนที่เดินเข้าแผนก แต่พอมีพี่พลับพลาเดินนำอยู่ข้างหน้ากลับไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมามองเลยสักคน
เพราะพี่พลับพลาเป็นฝ่ายกวาดสายตามองก่อน ขอบฟ้าไม่รู้หรอกว่ามองด้วยสายตาแบบไหน แต่พอรับรู้ได้ถึงรังสีอัมหิตและความมืดทมึนพอๆกับชุดสูทสีดำที่เจ้าตัวสวมใส่
เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด เพิ่งรู้ความหมายจริงๆก็วันนี้
นักศึกษาฝึกงานเดินเข้าที่ประจำของตัวเอง เช่นเดียวกับหัวหน้าแผนกที่เดินเข้าห้องส่วนตัวไปโดยไม่หันมากล่าวลาหรือพูดว่า ตั้งใจทำงานนะ อะไรทำนองนั้น ซึ่งขอบฟ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดี
เพราะถ้าเป็นแบบนั้น คงจะถูกมองมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
“สวัสดีครับขอบฟ้า” เป็นพี่จาฟาร์คนแรกที่เข้ามาทักทายกับเขา “เดี๋ยวเช้านี้เดินเอกสารให้หน่อยนะครับ พอดีพี่งานยุ่งมากเลย”
เยี่ยม พี่เขาทำให้ขอบฟ้าเป็นจุดโฟกัสได้มากกว่าเดิมอีก
ได้ครับ ขอบฟ้าตอบไปแบบนั้นก่อนที่จะลุกไปส่งเอกสาร อันที่จริงนับว่าเป็นการใช้งานอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์อย่างดีเยี่ยม เพราะจะได้สลัดตัวเองจากสายตาพวกนั้นเสียที แต่มันก็ชั่วคราวเท่านั้น สุดท้ายก็ต้องกลับไปนั่งประจำที่เดิม
คนขี้กังวลหมุนฝีเท้าไปในทิศทางของห้องน้ำชายแล้วขังตัวเองไว้ในห้องส้วม มันคงเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่เดียวที่เขาพอจะนึกออก เด็กหนุ่มเพียงอยากอยู่คนเดียวสักพัก หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นการเตรียมใจก่อนจะไปเป็นขี้ปากของใครๆ
แย่ชะมัด นี่ไม่ใช่สังคมฝึกงานที่เขาคาดหวังเลย หรือมันผิดที่ตัวเขาเองที่ดันไปทำอะไรไม่เข้าท่าเสียก่อน
“เห้ย เมื่อเช้ามึงเห็นเหมือนกูปะ”
คนที่ขังตัวเองไว้หลังประตูสะดุ้งขึ้นเมื่อได้ยินเสียงโทนทุ้มต่ำที่เดาไม่ยากว่าเป็นผู้ชายกำลังยืนอยู่ข้างนอกนั้น และนั่นทำให้เขาต้องรับฟังอย่างช่วยไม่ได้
“เห็นอะไรวะ”
“ก็บอสกับเด็กฝึกงานไง”
เด็กฝึกงานที่ว่า...กำลังเหงื่อตก
“อ้อ เห็นดิ เดินมาด้วยกันแถมยังคุยอย่างสนิท ไม่รู้ไปคุยกันตอนไหน”
“เออ กูก็แปลกใจที่สนิทกัน หรือบอสยังไม่รู้ว่าโดนสวมเขา”
“นอกเสียจากได้กันแล้ว”
เด็กฝึกงานที่ว่า...กำลังมือเย็นเฉียบ
“เป็นไปได้นะ ยิ่งดูง่ายๆทั้งคู่อยู่อะ”
“แต่จะบ้าหรอมึง ดูออกสาวทั้งคู่คงไม่ได้กันเองหรอกมั้ง”
เด็กฝึกงานที่ว่า...กำลังตัวสั่นสะท้าน
ขอบฟ้าไม่รับรู้อีกต่อไปว่าคนข้างนอกกำลังพูดอะไรต่อ มือทั้งสองข้างยกปิดหู ปิดกั้นโสตประสาทการรับเสียงให้ได้มากที่สุด เขาอยากทำอะไรที่มากกว่ามานั่งจิตตกอยู่คนเดียว ได้แต่เปิดประตูออกไปซัดหน้าสองคนนั้นในความคิด แต่ความจริงได้แต่นั่งสั่นอยู่แบบนี้
เป็นใครหน้าไหนกัน...ที่กล้ามาตัดสินเขาทั้งๆที่ไม่รู้อะไรสักนิด
“น้องขอบฟ้าครับ ว่างไหมเอ่ย คือพี่มีงานมาให้เราช่วยทำนิดหน่อย”
ลองทายดูสิว่านี่เป็นเสียงของใคร
“ช่วยดราฟรูปนี้ให้หน่อยรูปนึง ไม่สิ สามรูปเลยแล้วกัน พอดีงานล้นมือพี่มากเลย”
เฉลยเลยแล้วกัน เสียงเดียวกับเสียงที่ขอบฟ้าได้ยินในห้องน้ำนั่นแหละ ต่างกันตรงโทนเสียงตอนนี้ดูอ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนเดียวกันกับคนที่พูดจาน่ารังเกียจตอนนั้น
รอยยิ้มจอมปลอมนั่นอยากทำให้ขอบฟ้าสำรอกออกมา แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่สำรอกคำว่า ‘ครับ’ ออกไป
“ขอบคุณมากเลยครับ เดี๋ยวกลางวันนี้พี่เลี้ยงให้จุกๆเลย”
น่าอึดอัดชะมัด พวกหน้าไหว้หลังหลอก เขาไม่รู้หรอกว่ามันดีไปกว่าการพูดจาแย่ๆซึ่งๆหน้าหรือเปล่า แต่คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าเหตุการณ์เมื่อกี้แล้ว วิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเองก็ทำได้แค่ใส่หูฟัง เปิดเพลงดังๆจนไม่สนว่าแก้วหูมันจะสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง สายตาจดจ่อแต่หน้าจอราวกับว่างานนั้นมันน่าสนุกนักหนา
ห้ามคนอื่นพูดไม่ได้ ก็ปิดหูตัวเองแล้วกัน...
12.30 น. “น้องฟ้าครับ ไปทานข้าวกลางวันกันเถอะ” เอาอีกแล้ว คำพูดจอมปลอมมาอีกแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ ผมขอทำงานต่ออีกหน่อย เดี๋ยวผมตามไปทีหลัง”
“ตามใจเรานะ”
เด็กหนุ่มรู้สึกดีที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดยาก เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับกักมันเอาไว้เต็มปอดตอนที่พี่ๆในออฟฟิศทยอยลงไปทานอาหารกลางวันที่ไหนสักแห่ง ถ้าเดาไม่ผิดก็คงเป็นร้านส้มตำเจ๊หมูแถวออฟฟิศ ขอบฟ้าเคยไปกับจาฟาร์และคนพวกนั้นในวันแรกที่เข้ามาฝึกงาน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นมา เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงเท่าที่จะเป็นไปได้
อย่างเช่นตอนนี้ งานของเขาเสร็จตั้งนานแล้วแต่ดันพูดโกหกออกไปเพื่อปกป้องตัวเอง
ถ้าจะให้ไปนั่งท่ามกลางความปลอมเปลือกแบบนั้น...ขออดตายเสียยังจะดีกว่า
“ฟ้า ไม่ไปพักเที่ยงหรือ?”
คราวนี้ไม่ใช่พี่ๆพวกนั้นที่เอ่ยทักแต่อย่างใด แต่เป็นบอสพลับพลาที่เพิ่งออกจากห้องทำงาน
“ผมว่าจะทำงานต่ออีกหน่อยเดี๋ยวค่อยลงไปครับ” ขอบฟ้าคงคำตอบแบบเดิม
“งั้นหรือ” คนตัวสูงเดินอ้อมมาอยู่หลังเก้าอี้คนที่กำลังนั่งหน้าเจื่อน “จะทำงานแล้วทำไมเปิดยูทูปดูล่ะ?”
“...”
“แอบอู้?”
“ไม่ใช่นะครับ จริงๆผมทำงานเสร็จแล้วต่างหาก” เพราะกลัวโดนดุอย่างทีใครกล่าวขานจึงสารภาพความจริงออกไป
“แล้วโกหกพี่ทำไม”
“ผมแค่...ยังไม่อยากลงไปทานข้าวตอนนี้” มีใครเคยบอกไหมว่าขอบฟ้าน่ะอ่านออกง่ายมาก เพียงแค่มองแววตาและสีหน้าที่ผิดปกตินั่นพลับพลาก็รับรู้ถึงอะไรบางอย่าง
“ไปทานข้าวกับพี่ไหม ข้างนอก”
“ข้างนอก?”
“ขับรถออกไปอีกหน่อย ไม่ไกลมาก แต่ก็ไม่ใกล้จนคนส่วนมากจะไปกัน” หัวหน้าแผนกขยายความ
ขอบฟ้าไม่รู้ว่าคุณพลับพลาเข้าใจความหมายของคำว่าไม่อยากลงไปทานข้าวตอนนี้หรือเปล่า
แต่ที่รู้ๆ ตัวเขาเองกลับยอมมากับบอสพลับพลาอย่างง่ายๆจนข้ออ้างดูฟังไม่ขึ้นสักนิด
คนโตกว่าออกรถแล้วพามาที่ร้านอาหารอีสานแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้แต่ไม่ไกลอย่างที่เจ้าตัวได้โฆษณาไว้ ลักษณะร้านแบบอินดอร์ทำให้ขอบฟ้าแอบคาดเดาในใจว่าคงไม่ใช่ร้านอาหารอีสานธรรมดา และพบว่าเดาไม่ผิดเมื่อเข้ามาในตัวร้าน ลมจากจากแอร์เย็นเฉียบที่ต้อนรับลูกค้าเป็นอันดับแรกก็ทำให้รู้แล้วว่าเรทราคาน่าจะสูงกว่าร้านริมทาง
พนักงานประจำร้านพาลูกค้าทั้งสองไปที่โต๊ะตามหน้าที่ที่เธอถูกฝึกซ้อมมา ขอบฟ้าไล่สายตาดูราคาก่อนที่จะดูเมนูเสียอีก และมันก็แพงอย่างที่คิดจริงๆ
ทั้งๆที่แถวออฟฟิศก็มีร้านส้มตำเจ๊หมู แถมยังราคาถูก จะหอบมาถึงที่นี่ทำไมกัน?
เด็กฝึกงานโยนหน้าที่สั่งอาหารให้กับเจ้ามือเพราะหนีไม่พ้นความเกรงใจ เขาทานอะไรก็ได้ทั้งนั้น
“เอาไก่ย่างไม่เอาหนัง ลาบหมูไม่ใส่หนัง ส้มตำไทยไม่ใส่แครอท แล้วก็น้ำเปล่าสองขวดครับ”
แต่ดูเหมือนว่าบอสพลับพลาจะไม่ใช่แบบนั้น
“ทำไมไม่ทานแครอทล่ะครับ” ขอบฟ้าเอ่ยถามหลังจากพนักงานรับออเดอร์เสร็จเรียบร้อย
“ก็มันเหม็นนี่” ไม่ว่าเปล่าพลางทำจมูกเหม็นฉุน
“ไม่เห็นเหม็นเลย หวานจะตาย แถมยังมีประโยชน์ด้วย”
อ้อ ลืมไปเลย
ว่าพวกกระต่ายชอบกินแครอทนี่นา... “ชอบแล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกล่ะครับ จะได้สั่งเขา”
“ผมไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นนี่ครับ ผมไม่กินก็ได้ ดีกว่าคุณต้องมานั่งเขี่ยออก”
“จริงๆเลย น้องครับ” เจ้าของใบหน้าสวยยกมือเรียกพนักงาน “ขอแก้ออเดอร์หน่อยครับ เปลี่ยนเป็นส้มตำไทยใส่แครอทเยอะๆ”
“นี่ คุณ—“
“เงินพี่ พี่จะสั่งยังไงก็ได้ พูดแบบนี้พอหายเกรงใจลงบ้างไหม?”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลย”
“จบเรื่องแครอทแล้วมาคุยกันว่าทำไมถึงโกหกพี่เรื่องไม่ยอมลงไปทานข้าวดีกว่าไหมครับ”
คนตกเป็นเป้าสงสัยกำลังเม้มริมฝีปากอย่างไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรดี
ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศแล้วก็ไม่อยากให้ใบหน้าสวยๆและอ่อนโยนนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าไม่พอใจ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณอย่าคิดมากเลย”
“ใช่เรื่องที่ถูกนินทาหรือเปล่าล่ะ”
ได้ยินอย่างนั้นก็พลันตัวชา
คุณพลับพลารู้ได้ยังไง ไม่เพียงแต่เป็นความคิด ขอบฟ้าเอ่ยถามออกไปตรงๆด้วยความประหลาดใจ อีกฝ่ายให้คำตอบมาว่า มีสายลับประจำตัว ซึ่งเขาแอบเดาเล่นๆว่าเป็น พี่แก้ว เลขานุการประจำตัวบอสพลับพลา
“คุณ...รู้มามากน้อยแค่ไหน” เด็กหนุ่มพูดเสียงเบาลงอย่างคนขาดความมั่นใจ
“รู้แค่ว่าถูกพูดถึง แต่ไม่รู้ละเอียดว่าพูดถึงเรื่องอะไร แบบไหน” พลับพลาพูดอย่างใจเย็น “ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ”
“ผมถูกนินทาในห้องน้ำ...”
“...”
“เขาเห็นผมเดินคุยกับคุณอย่างสนิทสนม แล้วคิดว่าคง...คงมีอะไรกันแล้วถึงได้สนิทกันแบบนั้น”
นั่นไม่ใช่คำนินทาที่เหนือไปกว่าจินตนาการของพลับพลา เขาเคยถูกพูดแบบนั้นมานับพันครั้ง แถมยังรุนแรงมากกว่านี้ ตัวเขาเองจึงไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลยสักนิด จาฟาร์เองก็เหมือนกัน ยิ่งเป็นหมอนั่นจะขำออกมาด้วยซ้ำเวลาได้ยินเสียงนกเสียงกา เขาเลยไม่รู้สึกอะไรมากมายนัก
แต่คนตรงหน้านี้ไม่ใช่เสืออย่างจาฟาร์
กลับเป็นกระต่ายตัวจ้อยที่ทำหน้าราวกับจะปล่อยน้ำตาออกมาเมื่อไหร่ก็ได้เหมือนหลานชายของเขาไม่ผิด
นั่นแหละ...ที่ทำเอาภูเขาไฟประทุอย่างรุนแรงในจิตใจที่เคยเย็นยะเยือก
“ล...แล้ว เขาบอกว่าผม...ง่าย ล...”
“พอ” ประโยคที่ไม่ต่อเนื่องราวกับติดก้อนสะอื้นนั่นทำให้พลับพลายกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าให้หยุด “ไม่ต้องเล่าแล้ว”
อาหารทยอยมาเสิร์ฟตรงหน้าทีละจาน แต่กลับไม่มีใครแตะมันสักนิด
บรรยากาศมันออกจะขมขื่นเกินกว่าจะลิ้มรสชาติอาหารเหล่านี้ไปเสียหมด
“ไม่ต้องไปสนใจเสียงหมาเห่า น่ารำคาญ”
“...”
“ไม่รู้ว่าโตมาในสังคมแบบไหนถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมา หรือว่าไม่มีสังคมที่คอยสั่งสอนเลย อันที่จริงก็ไม่แปลกที่จะไม่มีคนดีๆเข้าหาหรอก บัวใต้น้ำจะไปมีทางรับแสงแดดเหมือนบัวพ้นน้ำได้ยังไง”
ใบหน้าที่ขอบฟ้ามักจะชมว่าแสนสวยกลับเย็นยะเยือก
“...”
“ไม่อยากจะเชื่อว่านอกจากจะทำงานห่วยแตกแล้วความคิดยังห่วยกว่า ก่อนจะพูดออกมาได้ใช้สมองกลั่นกรองบ้างหรือเปล่า คงไม่มีสมองเลยล่ะมั้งก็เลยมีแค่ฟันที่กรองคำพูดพวกนั้นออกมา”
ขอบฟ้าเข้าใจในทันที ว่าทำไมคนในออฟฟิศถึงชอบพูดว่าบอสดุ
“...”
“ตรรกะแบบนี้ไม่แปลกใจเลยที่ไม่เจริญสักที ก็ได้แต่เป็นพนักด๊อกด๋อยในสังคมเน่าๆนั่น ไม่อยากจะลามไปถึงพ่อแม่เลยนะแต่—“
“พอแล้วครับ แรงเกินไปแล้ว” ขอบฟ้าหายโกรธขึ้นมาทันทีเมื่อดูเหมือนว่าจะมีคนโกรธแทนเขาแล้ว
“แรงตรงไหน สำหรับพวกนั้นยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
“ผมไม่อยากให้คุณลดตัวไปให้ค่าคนพวกนั้น...”
“แล้วจะยอมเป็นขี้ปากไปเรื่อยๆแบบนี้น่ะหรือ”
“แล้วคุณล่ะ...ทำยังไง” ขอบฟ้าเอ่ยถาม “ทำยังไง...กับเรื่องแบบนี้”
“พี่โดนจนชินแล้ว อีกอย่าง พี่ตำแหน่งสูงกว่า คนพวกนั้นก็ได้แต่พูดลับหลัง ไม่มีใครกล้าใช้สายตาเหยียดหยามกับพี่โดยตรง พวกเขาทำลับหลังแน่แต่ถือว่าพี่ไม่รับรู้” พลับพลาเริ่มจิ้มไก่ย่างเข้าปากเพื่อปรับอารมณ์ “ที่สำคัญเลยคือโดนบ่อยจนเบื่อที่จะโมโหแล้ว”
“แย่จัง...ชินเพราะโดนทำร้ายบ่อยๆนี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะครับ”
“ก็ใช่ว่าตายด้านขนาดนั้น มันก็มีหงุดหงิดบ้าง แต่พี่จัดการอารมณ์ได้ ไม่ปล่อยให้ตัวเองดิ่งนานจนเกินไป”
นั่นเป็นอะไรที่ขอบฟ้าทำไม่ได้
ข้อแรกคือการทำให้มันเป็นเรื่องชินชาไม่ได้ สองคือเขาไม่สามารถจัดการอารมณ์ตัวเองได้ แต่คงไม่แปลก คุณพลับพลาโตและมีประสบการณ์กว่าตั้งเยอะ น่าอิจฉาที่ความเป็นผู้ใหญ่นั้นสามารถควบคุมตัวเองได้แม้ในวันแย่ๆ
อยากจะเย่อหยิ่ง ไม่สนใจใครให้ได้แบบนั้น...
“ถ้างั้นเวลารู้สึกไม่ดี คุณมีวิธีจัดการณ์อารมณ์ยังไงหรอครับ” คนด้อยประสบการณ์ถามคนมากประสบการณ์
“ก็...” พลับพลาตอบหน้าตาย
“มีเซ็กส์” “แค่ก...”
“อันนี้ก็แรงไปหรือ”
“เปล่าครับ ผมแค่ตกใจ ไม่คิดว่าจะพูดออกมาตรงๆ” ขอบฟ้าเช็ดริมฝีปากที่เปื้อนน้ำอย่างหน้าดำหน้าแดง แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคำแนะนำข้อนั้นน่าสนใจไม่น้อย
บอกแล้วว่าปิดเทอมรอบนี้เป็นโอกาสของเขา โอกาสที่จะโตขึ้นในแบบที่เขาคิด โอกาสที่จะอยากรู้อยากลองทั้งๆที่เพื่อนรุ่นเดียวกันคนอื่นๆนำหน้าเขาไปไหนต่อไหนแล้วด้วยซ้ำ มันเป็นเพียงความรู้สึกที่อยากจะกร้านโลกอย่างคนอื่นๆเขาบ้าง
อย่างเช่นให้ได้สักครึ่งนึงของคนตรงหน้านี้
“ถ้าไม่เป็นการเสียมารยาท ผมขอถามเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ไหม” เขาพูดอย่างไม่มั่นใจนักว่าสามารถถามได้หรือเปล่า
“หยุดเรียกว่าคุณแล้วแทนคำว่าพี่ก่อนถึงจะตอบให้ บอกแล้วไงว่านี่มันนอกเวลางาน” พลับพลายื่นเงื่อนไขที่ไม่จริงจังนัก
“ขอโทษครับ ถ้าอย่างนั้น...พี่พลับพลาหาคู่นอนจากไหนหรอครับ”
ที่ถามไม่ใช่เพราะอยากรู้เรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายนักหรอก
แต่เป็นเพราะขอบฟ้า...จะเอาไปทำตาม
“ส่วนใหญ่ก็กินกับ FWB นี่แหละ” ร่างโปร่งเล่าด้วยท่าทางสบายๆ ผิดกับเจ้ากระต่ายที่ดูสนใจเป็นพิเศษยิ่งกว่าเรื่องฝึกงาน “แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว”
“แล้วพี่จา...”
“เลิกไปแล้ว ไม่ต้องทำหน้าหงอยแบบนั้นเลยนะ ไม่ใช่ความผิดเรา เขาทำผิดข้อตกลงของพี่ และทั้งหมดมันเป็นเพราะตัวเขาเอง”
“แล้วพี่จาเคยถูกนินทาบ้างไหม ทำไมถึงดูยังสนิทกับพี่ๆพวกนั้นได้”
“หมอนั่นก็การแสดงเนียนใช้ได้ เอาเป็นว่าก็ศีลเสมอกันไงล่ะถึงอยู่กันรอด แต่พี่ไม่เอาด้วยหรอก น่าอิดสะเอียน เห็นรอยยิ้มปลอมๆนั่นแล้วอยากจะอ้วก ขอเปลี่ยนคำถามได้เลย เลิกพูดถึงหมอนั่นได้แล้ว”
คำตอบนั่นทำให้ขอบฟ้าเริ่มเข้าใจว่าทำไมพี่พลับพลาต้องปลีกตัวออกมาทานข้าวไกลๆแบบนี้
“ครับๆ แล้ว...FWB นี่หาจากไหนหรอ”
“หลายอย่าง บางคนก็เป็นเพื่อนหรือรู้จักกันอยู่แล้ว บางคนก็คุยผ่านแอพ บางคนก็เจอตามร้านเหล้า แลกเบอร์ติดต่อแล้วคุยกัน บางคนก็เริ่มจาก ONS แล้วสานต่อไปเรื่อยๆ”
“ผมถามได้ไหมว่าพี่เป็นแบบไหน”
“ลองมาหมดแล้วทุกแบบ”
“...”
“ก็คนมันสวย ช่วยไม่ได้นะ”
ถึงจะเป็นคำตอบที่น่าหมั่นไส้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆนั่นแหละ
พี่พลับพลาสวยขนาดนี้...คงไม่ต้องขวนขวายหาเอาเอง เหมือนจะชี้นิ้วเลือกอย่างที่ตัวเองต้องการยังไงก็ได้
อยากเป็น...อยากเป็นแบบนั้นบ้างจัง
“พอจะมีแอพแนะนำบ้างไหมครับ” ขอบฟ้าตัดช้อยส์เพื่อนหรือคนรู้จักออกไปอย่างไม่คิดเยอะ เพราะไม่ค่อยมีเพื่อนผู้ชาย เพศที่เขาสนใจ “หรือร้านเหล้าแถวนี้ก็ได้”
“ก็แอพสีแดงๆไอคอนไฟนั่นแหละ แต่พี่ไม่ค่อยชอบเพราะกลัวคนไม่ตรงปก ชอบล่าตามร้านเหล้ามากกว่า ไม่ก็เอาคนรู้จักไปเลย ส่วนร้านประจำแถวนี้ก็พอมีบ้าง”
“ร้านอะไรครับ” เด็กหนุ่มตื่นเต้นจนเผลอมองคนอีกฝั่งตาเป็นประกาย
น่าสนุก...
วันนี้พากระต่ายออกไปเปิดโลกก็น่าจะดี อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าอยู่ท่ามกลางพวกเสือสิงห์ เจ้ากระต่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
กระโดดหนี? หรือกระโจนใส่? “เดี๋ยวคืนนี้พี่พาไป เอาไหม”
“ไปๆๆๆ”
หากขอบฟ้าเป็นกระต่ายจริงๆ ป่านนี้พลับพลาคงได้เห็นก้อนขนสีขาวกระโดดโลดเต้นไปมาเพื่อแสดงอาการตื่นเต้นและดีใจ ถ้าให้เทียบเป็นมนุษย์ก็คงเป็นเด็กตัวจ้อยเท่าหลานชายของเขาเวลาได้ยินคำว่าจะพาไปเที่ยว
ทำไงดี
น่ารักไม่ไหว
พี่พลับพลาบอกว่าให้จัดการเจ้าแครอทกองสีส้มที่อยู่ในส้มตำก่อนถึงจะพาไป ไม่ว่าเปล่าแถมยังใจดีตักใส่จานให้ขอบฟ้า เด็กหนุ่มรู้สึกชื่นใจราวกับวันนี้ไม่เคยมีเรื่องราวน่าปวดหัวเกิดขึ้นมาก่อนเพียงเพราะได้รับความอ่อนโยนจากพี่ชายคนนี้ คนอะไร จิตใจสวย หน้าก็สวย มือก็สวย สวยยันปลายเล็บ
พูดถึงเล็บ ขอบฟ้ามองมือเรียวสวยที่คอยตักนู่นตักนี่ใส่จานใบเล็ก แอบสังเกตมาสักพักแล้วว่าพลับพลาทาเล็บสีชมพูพาสเทลด้วย นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคสมัยนี้ที่ผู้ชายจะทาเล็บเพื่อความสวยงาม ที่แปลกก็คืออีกฝ่ายมีสีสันประดับอยู่บนเล็บทุกๆนิ้ว ยกเว้นนิ้วชี้ กลาง นาง ในมือข้างขวา
คนขี้สงสัยเอ่ยถามออกไปว่าทำไม เสียงหัวเราะใสเป็นคำตอบแรกที่เขาได้รับ
“อันนี้ไม่รู้จริงๆหรอ”
“ครับ มันเป็นแฟชั่นหรอ”
“ไม่หรอก พี่ถนัดขวา แล้วก็ถ้าทำให้มันสะอาดก็จะดีกว่านะ”
“...” ขอบฟ้ารู้สึกว่าคำตอบนั่นไม่ได้ช่วยคลายสงสัยแม้แต่น้อย
“เอาเถอะ เดี๋ยวก็รู้เอง”
“แล้วจะได้รู้เมื่อไหร่ล่ะครับ ตอนโตหรอ แต่ผมก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
“อืม...”
“...”
“ถ้าอย่างเร็วที่สุดก็...”
“...”
“...อาจจะได้รู้คืนนี้มั้งครับ?”