01
“ลาเต้เย็นหวานน้อยกับโฮชิฉะปั่นได้แล้วครับ” แก้วเครื่องดื่มถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะที่ลูกค้าสาวสวยสองคนขะมักเขม้นกับการอ่านหนังสือ หกโมงเย็นของวันธรรมดาถือเป็นเวลา prime time สำหรับคาเฟ่กึ่ง working space หลายๆที่ และที่นี่ก็เช่นกัน
little space เป็นคาแฟ่ที่ว่านั่นแหละ ผมทำงานที่นี่ในช่วงสองทุ่มถึงตีสองในฐานะพนักงานพาร์ทไทม์กะดึก คาเฟ่ที่ไหนเค้าเปิดกันถึงตีสองบ้างวะ
“ขอบคุณค่ะน้องโอ ว่าแต่ วันนี้พี่ไบรท์ไม่เข้าร้านหรอ” เป็นอย่างที่คาดกับคำถามนี้ ร้อยทั้งร้อยของสาวน้อยสาวใหญ่ มาคาเฟ่เพื่ออ่านหนังสือกินกาแฟกินชากินของหวานเป็นสาเหตุรอง แต่สาเหตุหลักจริงๆ คือมาหาเฮียไบรท์ เจ้าของร้านหน้าตาดีดีกรีเดือนมหาวิทยาลัย ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเดือนโดดเด่นค้างฟ้า ไม่ใส่ เดือนค้างสนามบอล
“เห็นว่าไปซ้อมเตะบอลที่สนามกลางอะครับ”
“ว้าแย่จัง ว่าผิดวันหรอเนี่ย งั้นพี่ฝากของไปให้พี่ไบรท์หน่อยสิ”
นี่แหละนะ อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ร้านมีลูกค้าประเภทสาวสวยจากทั่วสารทิศทั้งมหาลัยเดียวกันและต่างมหาลัย เพราะไอ้เจ้าของร้านตัวดีที่นานๆทีจะเข้าร้านทีนึง
“ได้เลยครับ”
“อย่าแอบกินเองนะ”
“ครับ” ตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่ในใจคิดหน้ากูดูเหมือนคนตะกละไม่มีมารยาทกินของชาวบ้านไปทั่วหรือไงวะ
“แล้วก็ อันนี้”
“อ่อ เดี๋ยวเอาไว้ให้พี่ไบรท์ให้นะครับ”
“ไม่ใช่ๆ อันนี้มีเพื่อนพี่ฝากมาให้หน่อยโอน่ะ”
“ใครหรอครับ”
“บอกไม่ได้จ่ะ เขาให้เก็บเป็นความลับ แต่อย่าลืมนะของของพี่ต้องถึงมือพี่ไบรท์นะน้องโอ” พี่สาวรุ่นพีพูดพร้อมเน้นย้ำเรื่องของตัวเองอีกที
“โอเคค้าบ” นี่ก็ย้ำยั้งกะว่าผมจะกินทุกอย่างที่ขว้างหน้าอีกแล้ว
“ของพี่ไบรท์อีกแล้วหรอ หุ้ย! ชูครีมของโปรดเลย”
“ของเฮียไบรท์นะไอ้บลิ๊งค์” ผมตอบพนักงานสาวในชุดนักเรียนโรงเรียนหญิงล้วนเพื่อนร่วมงานของผม จริงๆเธอเป็นน้องสาวแท้ๆของเจ้าของร้านนั่นแหละ แต่ช่วงนี้ว่างเลยมาหาอะไรทำ หน้าสวยไม่ต่างจากพี่ชายที่โคตรหล่อเลย
“ของพี่ก็เหมือนของน้องแหละน้าพี่โอ อีกอย่าง เฮียไบรท์ชอบกินของหวานซะที่ไหน จะทิ้งไปก็เสียดายของ
“กินเยอะเดี๋ยวก็อ้วนหรอกไอ้บลิ๊งค์”
“ไว้ค่อยลด”
“อ้วนขึ้นมาอย่ามาบ่นล่ะ”
“ไม่หรอกน่า พี่โอเลี้ยงกินด้วยกันเปล่า” บลิ๊งพูดพร้อมยื่นกล่องชูครีมแบรนด์ดังมาให้
“ไม่เป็นไร มีคนให้ของพี่มาเหมือนกัน”
“แหน่ๆ มีคนส่งของมาจีบพี่โอด้วย งุ๊ยๆๆๆ”
“บ้าแล้ว”
“ไม่บ้านะ พี่โอเลี้ยงออกจะน่ารัก แก้มก็เยอะ ขาวก็ขาว ปากก็แดง ตาก็โต โตกว่าบลิ๊งอีก ตัวก็เล็กตะมุตะมิ เชื่อดิต้องมีหนุ่มๆสาวๆชอบพี่โอเยอะแน่ๆ” คาแรคเตอร์ที่บลิ๊งบอกเนี่ยมันนายเอกในอุดมคติของนิยายวายชัดๆ แต่มันก็พูดเกินไปหน่อยแหละ ผมเป็นคนมีแก้มก็จริง ก็เพราะเคยเป็นเด็กอ้วนนั่นแหละ ก็เหลือแค่แก้มที่เอาไม่ออกซักที ผิวขาวก็แค่ขาวกว่าคนปกตินิดหน่อยแค่นั้น เรื่องตัวเล็ก…น่าจะหมายถึงเตี้ยมากกว่า ส่วนตาโต ผมว่าตาไอ้บลิ๊งมันเล็กตี๋เองมากกว่านะ
“ใครจะบ้ามาชอบเด็กวิศวะเอ๋อๆแบบพี่ บ้าแล้ว” ไอ้บลิ๊งมันพูดเกินไปจริงๆครับ ผมไม่ได้ถ่อมตัวเลย ระดับผมเรียกว่าโคตรธรรมดาสำหรับสังคมมหาลัย
“ก็มีคนที่ส่งอันนี้มาให้แล้วนี่ไง” บลิ๊งถือถุงใส่กล่องขนมอีกถุงที่มีคนฝากมาให้ผมพร้อมกับหยิบโพสอิทขึ้นมาอ่าน ผมเองก็เพิ่งเห็นว่ามีโพสอิทสีชมพูรูปหัวใจ
“กินด้วยนะครับ โอเลี้ยง.. โดนัทน่ากินมาอะพี่เลี้ยง”
“พี่ยังไม่ค่อยหิวอะ เก็บไว้ก่อนละกัน”
Rrrr Rrrr
“ฮัลโหลพี่ไบรท์ …
“…”
“โอเคค่ะ งั้นเดี๋ยวบลิ๊งไปรอหน้าร้านนะคะ” ไอ้บลิ๊งถอดผ้ากันเปื้อนออกกลับไปอยู่ในชุดนักเรียนโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัยนี้ ก็น่าจะเป็นเฮียไบรท์มารับไอ้บลิ๊งกลับบ้านนั่นแหละ
“พี่เลี้ยง บลิ๊งกลับก่อนนะวันนี้พี่ไบรท์มารับไวอะ”
“โอเค เจอกันพรุ่งนี้” แล้วชีวิตผมก็ดำเนินต่อไปในฐานะบาริสต้าดูแลคาเฟ่ต่อไปจบกว่าจะถึงเวลาปิด
สีสองก็ถึงเวลาปิดร้าน ลูกค้าทยอยออกจากร้านไปตั้งแต่ช่วงเข้าตีหนึ่งแล้ว วันนี้เลยมีเวลาเก็บของทำความสะอาดก่อน ผมแทบจะเรียกที่นี่ว่าบ้านเลยก็ว่าได้ครับ เพราะด้วยปัญหาหลายอย่างของทางบ้านผม ผมเลยเลือกที่จะมาทำงานที่นี่กับเฮียไบรท์ รุ่นพี่และก็เป็นญาติห่างๆที่รู้จักกันดี ด้วยปัญหาที่บ้านพี่แกเลยให้ผมมาอยู่ที่คาเฟ่นี่เลย ซึ่งมันเป็นคาเฟ่ที่ถูกปรับแต่งจากบ้านเดิม จึงมีห้องพอที่จะให้พนักงานอย่างผมนอนที่นี่ แลกที่นอนและค่ากินกับการทำงานพาร์ทไทม์กะดึกและงานวันหยุดแบบเต็มวัน
ถึงจะได้ปิดร้านเร็ว แต่กว่าจะได้นอนก็เกือบตีสาม เพราะต้องมานั่งเช็คสตอกหลายๆอย่าง สรุปรายรับรายจ่าย เตรียมร้านสำหรับวันพรุ่งนี้ สุดท้ายก็ถึงเวลานอนซักที ดีที่คณะผมมีเรียนโคตรสาย เลยทำให้การนอนดึกไม่ค่อยกระทบชีวิตเท่าไหร่
“เหนื่อยจังเลยเนอะโก๋ แต่ก็สนุกดีขอให้พรุ่งนี้เป็นวันที่ดีนะ” ผมพูดกับไอ้โก๋ สำหรับไอ้โก๋ที่ว่ามันคือตุ๊กตาตัวโปรดที่แม่ผมซื้อให้ก่อนที่ท่านจะลาโลกไป เป็นของแทนใจเวลาผมเหนื่อยหรือเศร้าก็ต้องมาบ่นกับไอ้โก๋นี่แหละ
“ฝันดีนะโก๋ ฝันดีนะครับ คุณแม่” ว่าแล้วก็ถึงเวลาปิดไฟนอน ไม่ลืมที่จะตั้งนาฬิกาปลุกที่8โมงครึ่ง ตื่นมาเตรียมตัวไปเรียนตอน 10โมง แต่ก่อนหน้านั่นก็ต้องซื้อของมาเติมสต๊อกก่อน เวลาของผมหมุนผ่านไปแทบจะเป็นวงจรแบบนี้เลยครับ เรียน ทำงาน นอน ถึงจะเหนื่อยหน่อย แต่ก็มีความสุขกับชีวิตแบบนี้ดีเหมือนกัน
กริ๊งงๆ
เสียงกระดิ่งหน้าประตูที่จะดังตอนลูกค้าเปิดประตูดังตอนที่ผมหัวถึงหมอนยังไม่ถึง 5นาที ผมยังไม่ได้หลับสนิทเลยพอรู้สึกตัวเพราะตัวห้องนอนชั้นสองอยู่ตรงแถวประตูห้องโถงหน้าบ้านที่ใช้เป็นคาเฟ่พอดีเลยได้ยินเสียงชัด
เวลาตีสามเนี่ยนะ ไม่น่าจะมีลูกค้าที่ไหนเพราะร้านมันปิดแล้ว แถมยังจำได้ว่าตัวเองล็อคประตูร้านดีหมดแล้วด้วย เชี่ยยยย! หรือว่าขโมย
โดยหลักการแล้ว ไม่ควรเปิดไฟให้โจรมันรู้ว่ามีคนอยู่ ผมจึงหยิบแค่มือถือมาส่อง หาอาวุธใกล้ตัวที่สุด ไม้กวาดห้อง …
ผมค่อยๆเดินลงบันไดให้เบาที่สุด ลงมาที่ชั้นหนึ่งของตัวบ้าน ณ ห้องโถงที่เป็นคาเฟ่ เงาคนตัวใหญ่ตะคุ่มๆอยู่ที่เคาน์เตอร์ ผมมองไม่เห็นอะไรมาก มีแค่แสงไฟจากท้องถนนที่ส่องเข้ามาวห้พอเห็นอะไรเลือนลาง แต่แล้ว…
ครืดดดดด
เสียงเท้าผมที่ลากครูดไปกับกระถางต้นยางอินเดียไม้ยอดนิยมที่ใช้ตกแต่งคาเฟ่ เสียงนั้นทำให้ผมต้องร้องในใจว่าเชี่ยยยยย แถมยังทำให้ไอ้หัวขโมยมองมาทางต้นเสียงอีก ถึงจะมืดมาก แต่ก็พอเห็นกันและกัน
“ไอ้สัส มึงมาขโมยเหี้ยไรร้านกู” ไม่ต้องรอให้ใครต้องมาตัดริบบิ้น ผมก็ง้างไม้กวาดสุดวงแขนฟาดลงบนหัวไอ้หัวขโมยอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะโดนยื้อด้ามไม้กวาดอีกด้านไป
“โอ้ยยยย เหี้ยไรมึงเนี่ย”
“มึงเป็นใคร!!”
“มึงแหละเป็นใคร มาอยู่ในร้านเพื่อนกูได้ไง”
“ร้านเพื่อน?” ไอ้คนตัวสูงข้างหน้าพูดพร้อมกับยื้อแย่งไม้กวาดไปได้ด้วยแรงมหาศาลและเดินตรงไปเปิดไฟร้านอย่างรู้ตำแหน่ง
“อย่าเข้ามานะไอ้สัส กูสู้นะเว้ย” ผมพูดพร้อมยกแขนตั้งการ์ดพร้อมต่อยไอ้คนข้างหน้าที่พุ่งตรงมาหาผม ดูไงก็แพ้กับขนาดตัวระหว่างคนตัวโคตรเตี้ยสูงเพียง 168อย่างผมกับไอ้เปรตตรงหน้า 185+ มันเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ส่วนผมก็ถอยไปเรื่อยๆ
มันขยับมาก้าว ผมถอยหลังไปก้าว จนสุดท้ายหลังผมมาติดอยู่กับเคาน์เตอร์อีกฝั่ง อีกฝ่ายถลาหน้าเข้ามาใกล้ เห็นใบหน้าคิ้วขมวดแต่ก็เฉิดฉายออร่า ความหล่อระดับเดือนมหาวิทยาลัยชัดๆ ตัวสูง คิ้วเข้ม ตาคมนัยตาสีดำสนิท ผิวที่สีน้ำผึ้งกับจมูกที่โด่งเป็นสัน โหนกแก้มที่ …มีแผลช้ำจากการโดนด้ามไม้กวาดฟาดอย่างเต็มแรง สายตาผมกลับไปจ้องที่ระดับสายตาที่พอดีกับกลัดป้ายชื่อ … นศพ.เอกบดินทร์ รัตนะอารักข์
“อ๋อ กูจำมึงได้ละ” เป็นเสียงของฝั่งตรงข้ามที่พูดขึ้นมา มาพร้อมกับกลิ่นเหล้าอ่อนๆ ไม่บอกก็พอรู้ว่าเมาอยู่ระดับนึง
“มึง…พี่เป็นใคร” สายตาอาฆาตนั้นทำให้ผมรับรู้ได้เลยว่าไม่ควรใช้คำว่ามึงกับคนคนนี้
“กู ชื่อเอก เป็นรุ่นพี่มึง อยู่คณะแพทย์ปี3 และเป็นหุ้นส่วนที่นี่กับไอ้ไบรท์ เป็นนายจ้างมึง”
“เชี่ยยย พี่เอกเองหรอ แฮะๆ” หัวเราะแห้งๆกลบเกลื้อน แต่ความในใจนั่นไอ้ิุทานขึ้นมาว่า ไอ้เหี้ยยยย ฉิบหายแล้ว ผมรู้ในทันทีว่าไอ้คนตรงหน้าพูดความจริง เพราะเฮียไบรท์เคยบอกว่าร้านนี้เปิดกับเพื่อนคณะแพทย์ แต่มันไม่ค่อยว่างเข้ามาดูร้าน
“มึงอยู่ก็ดีละ ขอน้ำเปล่าแก้วนึง”
“ทำแผลก่อนไหมอะพี่ คือผมนึกว่าโจรก็เลย…”
“ไม่ต้องเดี๋ยวกูกลับไปทำเอง แต่ไว้กูจะลงโทษมึงทีหลัง”
“หึ่ย พี่อย่าไล่ผมออกเลยนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะตีหัวพี่จริงๆนะ พี่จะตีหัวผมคืนก็ได้นะ” ผมพนมมือไหว้อ้อนวอนขอร้อง ขออย่างเดียวอย่าไล่ผมออกเลย โดนไล่ออกไปก็ไม่รู้จะไปอยู่ไหนแล้ว
“ถ้ามึงยังไม่เอาน้ำเปล่ามาให้กูแดก กูจะแดกมึงแทนแล้วไล่มึงออก” เสียงเรียบนั้นแม่งโคตรน่ากลัว ไม่รู้ทำไมขนถึงได้ลุกไปทั้งตัว
“เห้ยพี่!! แต่ผม…ออกจากตรงนี้ไม่ได้”
ไม่รู้ว่าคุยกันไปคุยกันมาอีท่าไหน ถึงได้มาอยู่ในท่าที่ไอ้พี่เอกเท้าแขนสองข้างกับเคาน์เตอร์ด้านหลังโดยมีผมที่โดนล้อมอยู่ตรงกลาง เหมือนตัวอะไรซักอย่างที่อยู่ในกรง มีสายตานักล่าผู้หิวโหยจ้องมองอยู่
มือข้างหนึ่งของพี่เอกยกขึ้นให้ผมเดินออกจากตรงนั้น ผมไม่รอช้ารีบพาตัวเองออกมาจากตรงนั้นทันทีพร้อมรินน้ำเปล่าเย็นๆให้คนกึ่งเมาตรงหน้าที่ตอนนี้นั่งบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์แล้ว
ยอมรับเลยว่าใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลยครับ เวลาพี่เอกมองมาด้วยสายตาดุๆ ถึงจะเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกก็เถอะ แต่เหมือนจะสามารถโดนไล่ออกได้ทุกเวลา
“กูจะกลับละ เจ็ดโมงเช้าวันนี้เดี๋ยวกูมาใหม่ เตรียมอาหารเช้าสองที่กับอเมริกาโน่เย็นไม่หวานให้กูด้วย”
“ห่ะ แต่ร้านเราเปิดสิบโมงเช้านะครับพี่เอก”
“เปิดให้เฉพาะกูไม่ได้หรือไง”
“แล้วอาหารเช้าสองที่...”
“เอาไว้กินกับมึง อย่าถามเยอะ รำคาญ กูไปละ เจอกันพรุ่งนี้”
ใจเต้นไม่เป็นจังหวะตอนเลย เชี่ยยยย คนเหี้ยไรน่ากลัวฉิบหาย เป็นเฟิร์สอิมเพรสชั่นที่พร้อมจะโดนไล่ออกได้ตลอดเวลา กว่าจะหลุดออกจากภวังค์ความตื่นตระหนกได้ก็เกือบเช้า อะคืนนี้ไม่ต้องนอนแม่งละ
เจ็ดโมงตรงที่ผมต้องมานั่งหาวสองสามครั้งพร้อมกับอาหารเช้าง่อยๆ ขนมปัง ไข่ดาว สเตกอกไก่ กับผักสลัด … เอ่อ ไม่ค่อยง่อยเท่าไหร่แฮะ
ระหว่างเวลาตอนเช้า ผมก็ไม่ได้แค่ทำอาหารกับชงกาแฟให้หุ้นส่วนร้านอย่างเดียวหรอกนะ เห็นแแบบนี้ไอ้โอเลี้ยงคนนี้ก็เป็นคนขี้เผือกระดับนึง แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำคือหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหุ้นส่วนร้านคนนี้
เท่าที่รูปมา พี่แกชื่อเอก เอกบดินทร์ รัตนะอารักข์ เรียนอยู่คณะแพทยศาสตร์ ปี3 มีตำแหน่งเป็นเดือนมหาวิทยาลัยประจำปีนั้น การเรียนดี กีฬาเก่ง บ้านรวย หน้าตาดี นี่มันก็เป็นตัวละครในอุดมคติชัดๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้เห็นโซเชี่ยลของพี่เค้าอัพเดทอะไรมากนัก เท่าที่ดูก็พอรู้ว่าเป็นมนุษย์สันโดษ อีกหน่อยก็แทบจะเรียกได้ว่าเพื่อนไม่คบแล้ว แต่แฟนคลับพี่แกเยอะมากจริงๆ
รูปส่วนใหญ่ที่ปรากฏบนสื่ออนไลน์ก็มาจากเพจและแฟนคลับแท็กมาทั้งนั้น
ไม่นานเสียงกระดิ่งหน้าประตูก็ดังขึ้น คนในชุดนิสิตเชิ้ตขาวเรียบแขนสั้น กางเกงสแล็คสีดำตรงเข้ารูปคนตัวสูง สภาพเหมือนคนละคนกับเมื่อคืน เรียกว่าดูดีไปคนละแบบ คนมันดูดีแต่งเสื้อยืดคอกลมกางเกงขาสั้นก็ดูดีนั่นแหละ
รอยยิ้มของคนข้างหน้าที่เดินเข้ามา เป็นสัญญาณแสดงว่าพึงพอใจมาก ทำเอาโล่งออกไปอีกครั้ง ยังไม่ต้องโดนไล่ออกสินะ ถึงแม้จะเห็นว่ายิ้มแค่แป๊บเดียวแล้วก็กลับไปทำหน้านิ่งดูดุๆอีกรอบก็เถอะนะ
“อเมริกาโน่เย็นไม่หวานครับ” ผมเสิร์ฟแก้วอเมริกาโน่ให้พี่เค้าไปขณะที่พี่แกกำลังนั่งลงบทโต๊ะ
“นั่งก่อนดิ หรือต้องให้กูเตะตัดขา”
เหมือนเป็นรีเฟล็กไปเลยครับ ผู้ชายคนนี้แม่งน่ากลัวทุกการกระทำและคำพูดจริงๆ
“ว่าแต่มึงชื่ออะไรนะ”
“ผมหรอ”
“กูอยู่กับมึงสองคนให้กูไปถามใครวะ กูจำชื่อมึงไม่ได้ จำได้แค่ไอ้ไบรท์บอกว่ามีเด็กญาติมันมาทำงานมานอนที่นี่”
“อ๋อ ผมชื่อโอเลี้ยงครับ”
“โสดไหม” น้ำเสียงนิ่งเงียบทำเอาผมต้องเงยหน้าหันขึ้นมามองและสบสายตาดำสนิทคู่นั้น เป็นคำถามที่ไม่คิดว่าคนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงวันจะถามกับมา แถมสายตายัง...จริงจังสุดๆ
“ครับ?” ผมได้แต่ถามกลับแก้เขินไป จังหวะนี้เป็นใครใครก็ต้องเขินแหละ
“หูหนวกหรอมึงอะ มึงโสดไหม”
“โสดครับ”
“ดี งั้นมึงมาคบกับกู”
…
“ห่ะ!!”