[แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่22 (P3) (ุ11/3/2565)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [แฟนตาซี] มนตร์รัตติกาล (A Swordman And A Sorcerer) ตอนที่22 (P3) (ุ11/3/2565)  (อ่าน 7450 ครั้ง)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
หลังเสร็จจากกินมื้อเย็นที่ภัตตาคารเปลือกหอยแล้ว พวกไอดิเอลก็เดินทางไปยังร้านอาวุธคมรุ่งเรือง ซึ่งเป็นตึกแถวสูงสามชั้นขนาดห้าคูหา ตั้งอยู่บริเวณด้านนอกตัวเมืองใกล้กับกำแพงกั้นตะวันซึ่งเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้อากาศภายนอกไหลเข้ามาภายในตัวเมือง ทำให้สามารถปรับความดันและอุณหภูมิให้เหมาะสมสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ตัวอาคารสร้างจากโลหะและไม้ ต่อเติมจนเป็นรูปทรงประหลาดตา ไอดิเอลเล่าว่าอาคารที่อยู่ในละแวกนี้ทั้งหมดประกอบกิจการที่ต้องใช้เชื้อเพลิงและความร้อนสูง ทันทีที่ก้าวลงจากรถ คาริกก็สัมผัสได้ถึงไอร้อนผ่าวที่แผ่ออกมาจากตัวตึกหน้าตาประหลาดหลังนั้น

ป้ายร้านคมรุ่งเรืองแขวนโดดเด่นอยู่ด้านหน้าอาคาร สาดส่องด้วยไฟสีขาวสว่างจ้า ด้านในร้านจัดแสดงอาวุธหลากหลายชนิด ทั้งดาบคู่ดาบยาว ดาบสั้น มีดพก มีดซัด ขวาน หอก โล่ แต่ละชิ้นดูแข็งแรงและประณีตอย่างที่เขาไม่เคยเห็นในร้านที่ทริโกเนีย ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินเข้าไปเหมือนถูกพลังไร้สภาพบางอย่างดึงดูด สายตาจดจ้องอยู่ที่ดาบยาวเล่มหนึ่งซึ่งใบดาบทอประกายสีน้ำเงินวาววับ

พนักงานหน้าร้านเห็นดังนั้นก็รีบออกจากคอกกั้นมาต้อนรับลูกค้าทันที

“สายัณห์สวัสดิ์ครับ สนใจดาบยาวที่แขวนอยู่เล่มนั้นใช่ไหม มันเป็นดาบเหล็กน้ำพี้แท้ๆ เชียวนะครับ หายากมากๆ”

คาริกสะดุ้ง เขาหันมามองพนักงานต้อนรับ เป็นเด็กผู้ชาย น่าจะเด็กกว่าเขาสักปีสองปี ฝ่ายนั้นมองเขาแล้วพูดต่อ

“ท่านแต่งตัวเก๋นะเนี่ย เป็นชุดที่เพิ่งออกแบบมาใหม่หรือครับ”

“ไม่ใช่หรอก” คนที่ตอบเป็นไอดิเอล เขาเดินเข้ามาในร้าน เหมือนพนักงานต้อนรับเพิ่งจะสังเกตเห็นจอมเวท เจ้าตัวรีบพูดขึ้นทันที

“ขออภัยครับที่ข้าไม่ได้ทัก อ๊ะ! ท่านคือประกายสีเงินเดียวดายไอดิเอลคนนั้นใช่ไหม? ข้าเคยได้ยินว่าท่านมีผมสีเงินเหมือนแร่เงิน และมีดวงตาสีทองเหมือนอำพัน ไม่อยากเชื่อเลยว่าวันนี้ท่านจะแวะมาที่ร้านเรา ลูกพี่รู้ต้องดีใจมากแน่ๆ”

“ข้าแวะมาเพราะผู้ช่วยข้ามีธุระน่ะ” ไอดิเอลว่า “มีคนแนะนำเขาให้เอาอาวุธมาปรับแก้กับที่นี่”

“อ๋อ” ชายหนุ่มที่เป็นพนักงานหน้าร้านหันไปมองคาริกด้วยสีหน้าประทับใจ

“ท่านต้องเป็นนักดาบที่กำลังมีชื่อเสียงทั้งที่ยังวัยรุ่นแน่ๆ คงได้อาคมดีจากท่านไอดิเอลสินะครับ เลยสวมเสื้อผ้าแบบนี้ที่นี่ได้ ดีจังเลยน้า”

“นี่ไม่ใช่อาคมหรอกนะ” ไอดิเอลว่า “เขาเป็นคนที่เกิดมาพิเศษกว่าคนอื่นน่ะ สภาพแวดล้อมที่นี่ทำอะไรร่างกายของเขาไม่ได้ แต่ถ้าให้อยู่นานๆ ข้าว่าแทนที่เขาจะเอาดาบเล่มเดิมมาแก้ คงจะซื้อดาบเล่มใหม่กลับไปมากกว่า”

เด็กหนุ่มหัวเราะ ขณะที่คาริกเกาหลังหูอย่างเขินๆ เขาล้วงหยิบกระดาษที่อยู่ในอกเสื้อออกมา “ท่านกราวิสจากอาณาจักรหรดีแนะนำให้ข้ามาที่นี่ เขาเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับดาบเล่มนี้มาให้ด้วย บอกให้ถามหาคนชื่อประภากิจน่ะ”

“อ๋อๆ ท่านกราวิส ข้าจำได้แล้ว” เจ้าหนุ่มน้อยว่า “ลูกพี่อยู่ด้านหลังร้าน ข้าขอตัวไปตามเขาสักครู่นะครับ อ้อ ถ้าท่านสนใจมีดพกที่ทำจากเหล็กน้ำพี้ล่ะก็... ที่ตู้ตรงนี้มีให้ดูหลายเล่มเลยนะ”

“เจ้าเข้าไปตามเขาได้แล้ว” ไอดิเอลโบกมือไล่ เด็กหนุ่มจึงรีบเดินหายเข้าไปหลังร้านทันที โอเรนที่ทำตัวเงียบๆ เหมือนตุ๊กตาอยู่นานจึงพูดขึ้น

“เจ้านี่พอเห็นของพวกนี้ก็เหมือนคนไร้สติเลยน้า...”

“แหม... ก็ข้าไม่เคยเห็นร้านอาวุธใหญ่ขนาดนี้นี่นา” คาริกว่า “เจ้าเคยเห็นหรือไง?”

“ไม่เคยเห็นหรอก มันก็สวยดีนะ แต่ข้าใช้ไม่เป็นนี่ มันเป็นของที่เอาไว้ประหัตประหารกันใช่ไหมล่ะ?”

“หือ...” ชายหนุ่มส่งเสียงอย่างประหลาดใจ “เจ้าไปหัดคำยากๆ พวกนั้นมาจากไหน?”

“ข้าอ่านในบันทึกของท่านไอดิเอลตอนที่นั่งเรือเหาะมาที่นี่น่ะ” เจ้ามังกรตอบ ไอดิเอลจึงพูดขึ้นบ้าง

“ที่จริงที่นี่ก็มีดาบดีๆ หลายเล่มอยู่นะ แต่ฝีมืออย่างเจ้าใช้ดาบที่ทำจากเขาแมกนิส คอร์นิบัสไปก่อนเถอะ ไว้เก่งขึ้นเมื่อไหร่ค่อยคิดถึงเรื่องเปลี่ยนดาบอีกที”

“ใช่แล้วล่ะ” เจ้ามังกรส่งเสียงสนับสนุนทันที “อย่างเจ้าน่ะให้เก่งกว่านี้ก่อน แล้วค่อยลำบากสร้างหนี้เถอะ”

“เออ...” คาริกลากเสียง มองโอเรนด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองหน้าไอดิเอล “ว่าแต่ข้าเดินดูอาวุธพวกนี้ได้ใช่ไหม ท่านคงไม่ไล่ข้าออกไปยืนรอข้างนอกนะ”

“เจ้าจะดูก็ดูไปเถอะ แค่อย่าลืมว่ามาทำอะไรก็พอ”

เด็กหนุ่มพนักงานต้อนรับกลับออกมาจากด้านหลังร้านอีกครั้ง พร้อมด้วยชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัดคนหนึ่ง เขามีผิวสีดำแดง และดวงตาสีดำสนิท ไว้หนวดแบบเขี้ยวและตัดผมสั้น พอเดินพ้นออกมาจากเคาน์เตอร์ เจ้าตัวก็ส่งเสียงครางออกมาทันที

“โอ... ท่านคือท่านไอดิเอลหรือเนี่ย งั้นนี่ต้องเป็นไม้เท้าที่ทำจากเอ็นมังกรแน่ๆ” ดวงตาสีดำจับจ้องไปที่ไม้เท้าของไอดิเอลเหมือนถูกสะกด ไอดิเอลจึงส่งเสียงขึ้น

“ข้าไม่ได้สั่งให้เจ้าเด็กนั่นไปตามเจ้าออกมาเพื่อให้เจ้าดูไม้เท้าหรอกนะ”

“อ๊ะ!” ชายหนวดเขี้ยวคนนั้นเหมือนเพิ่งได้สติ เขารีบขอโทษขอโพยทันที

“ขออภัยครับ ไอ้ข้าก็ตื่นเต้นเพราะได้ยินมาว่าท่านมีไม้เท้าที่ทำจากเอ็นมังกร ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นของจริง เลยออกอาการมากไปหน่อย”

“อืม... สำหรับเจ้ามันคงเป็นเหมือนวัสดุที่มีอยู่แต่ในตำนานสินะ”

“ใช่แล้วล่ะครับ” เขาว่า สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ไม้เท้าของไอดิเอลไม่วางตา จอมเวทจึงพูดขึ้นต่อ

“เอาล่ะ ข้าเห็นแล้วว่าเจ้าคงสนใจไม้เท้านี่มากจริงๆ แต่ช่วยดูดาบให้ผู้ช่วยข้าก่อนจะได้ไหม แล้วข้าจะพิจารณาดูว่าจะให้เจ้าได้จับไม้เท้าด้ามนี้ดีรึเปล่า”

“อ่า... ได้หรือครับ... โอ้ ตายล่ะ เจ้าอ่ำบอกว่าท่านกราวิสแนะนำพวกท่านมา ข้านี่ก็จริงๆ เลยเชียว” ชายคนนั้นยกมือขึ้นตบศีรษะตัวเองเบาๆ แล้วแนะนำตัว “ข้าชื่อประภากิจ อาวุธแบบไหนหรือครับที่ท่านอยากจะให้ช่วยแก้ไข”

“เอ่อ... เป็นดาบที่อยู่ข้างหลังข้าน่ะ” คาริกพูดขึ้น เขาคิดว่าช่างตีอาวุธจะเป็นพวกผู้ชายรูปร่างกำยำล่ำสันเสียอีก แต่ประภากิจคนนี้กลับเป็นคนรูปร่างสัดทัด ตัวก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่ กระนั้นพอเห็นเจ้าตัวยื่นมือออกมา คาริกก็รู้ว่าคนคนนี้แข็งแรงมากกว่าที่เขามองเห็นจากภายนอก ชายหนุ่มรีบยื่นกระดาษในมือออกไปทันที

“นี่คือรายละเอียดที่เขาเขียนน่ะ เขาบอกให้ข้าเอามาให้ท่าน”

ประภากิจรับกระดาษใบนั้นมา กวาดตาอ่านอยู่อึดใจ ก็เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มแล้วพูดขึ้นต่อ

“ท่านนี่ดูท่าต้องเป็นนักดาบฝีมือดีตั้งแต่อายุยังน้อยแน่ๆ ทำไมถึงเลือกใช้ดาบที่เหลาจากเขาของแมกนิส คอร์นิบัสล่ะ”

“ทำไมล่ะ? มันไม่ดีหรือ?”

“อ๋อ เปล่าครับ ข้าแค่คิดว่ามีเหตุผลพิเศษน่ะ นักดาบที่มีพรสวรรค์แบบพวกท่านมักมีมุมมองเกี่ยวกับอาวุธที่น่าสนใจ ข้ารู้สึกแบบนั้นนะ”

คาริกรู้สึกละอายขึ้นมา ไม่กล้าพูดเลยว่าเขาเพิ่งใช้ดาบเล่มนี้เพียงครั้งเดียว แถมเป็นดาบที่เหลาขึ้นอย่างฉุกละหุกอีกต่างหาก แล้วเขาน่ะอย่าว่าแต่ชื่อเสียงเลย กระทั่งใบสอบเลื่อนระดับยังไม่มีกับเขาด้วยซ้ำ

“มันเป็นดาบที่ใช้สังหารอิกเน่ ลาเชอร์ตามาแล้ว” ไอดิเอลพูดขึ้น แล้วหันไปหาคาริก “เจ้าก็เอาให้เขาดูสิ”

คาริกรีบปลดดาบจากสายแล้วยื่นส่งให้ประภากิจ นักตีอาวุธรับมาแล้วผงกศีรษะ

“อย่างนี้นี่เอง ถ้าจะสังหารอิกเน่ ลาเชอร์ตาล่ะก็ คงไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าดาบที่ทำมาจากเขาสัตว์ทนไฟอย่างแมกนิส คอร์นิบัสอีกแล้วล่ะ อืม... แต่ว่าดาบนี่เหมือนเหลาขึ้นแบบรีบๆ นะเนี่ย แม้ว่าน้ำหนักและรูปทรงจะตรงตามหลักก็เถอะ ใครทำให้ท่านหรือ”

“เอ่อ... พวกช่างทหารน่ะ” คาริกว่า ก่อนจะหันไปหาไอดิเอล “แต่เขาเป็นคนเขียนแบบ”

“โอ...” ประภากิจหันไปมองไอดิเอลด้วยความประทับใจ “ข้าได้ยินเรื่องที่ท่านล่าสัตว์ร้ายที่ไม่มีใครกล้าล่ามาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าท่านมีความรู้เรื่องอาวุธดีถึงขนาดนี้”

“หนังสือที่ข้าเคยเขียนมันคงผุไปหมดแล้วน่ะนะ” ไอดิเอลว่า ก่อนจะพูดต่อ “เอาล่ะ ถึงข้าเคยมีความรู้ด้านนี้ดีขนาดไหน ตอนนี้คงไม่ดีไปกว่ากราวิสและเจ้าหรอก เพราะงั้นช่วยดูและเมินเวลาให้หน่อยได้รึเปล่า ข้าไม่ได้รีบมากหรอกนะ แต่ถ้าเสร็จไวเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”

“ท่านกราวิสเขียนรายละเอียดมาเสียขนาดนี้ คงใช้เวลาไม่นานหรอกครับ” ประภากิจว่า “อย่างช้าก็พรุ่งนี้ช่วงเย็น ประมาณสี่โมง ทันรึเปล่าครับ”

“ได้อยู่ เขียนใบนัดมาเลย ใส่ชื่อเขา... คาริกแห่งคีท เข้าใจนะ?”

“อ้อ ครับ คาริกแห่งคีท” ประภากิจหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กขึ้นมาจด ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องเอาดาบไปไว้ด้านหลังร้าน ส่วนตัวเองเดินไปเขียนใบนัดที่เคาน์เตอร์

“นี่ครับ” เขายื่นใบนัดให้กับจอมเวท ฝ่ายนั้นรับมาดูก่อนจะผงกศีรษะ

“ราคานี่แน่นอนแล้วใช่ไหม?”

“ครับ ราคานี่รวมทุกอย่างแล้ว รับรองว่าตอนท่านเห็นผลงานจะไม่ตำหนิว่าแพงแน่นอน”

“อืม... ถ้าผลงานไม่ดีสมราคาคุยล่ะก็... ไม่จบแค่เรื่องเงินหรอกนะ ข้าอาจจะสาปร้านเจ้าด้วยก็ได้”

“เรื่องดาบนี่ข้าเอาหัวเป็นประกันได้เลยครับ”

“ดี...”

“....” ช่างตีอาวุธมองไม้เท้าในมือของจอมเวท พอไม่เห็นอีกฝ่ายพูดอะไร เจ้าตัวจึงจำต้องเอ่ยปากขึ้นก่อน “ท่านจะ... เอ่อ... อนุญาตให้ข้าดูไม้เท้าของท่านสักครู่จะได้ไหมครับ”

“อ้อ... เอาสิ” ไอดิเอลยื่นไม้เท้าให้ฝ่ายนั้น ประภากิจรับมา คาริกเห็นว่ามือเขาสั่นเล็กน้อย เจ้าตัวจับแล้วก็ยกมือขึ้นลูบๆ คลำๆ

“นี่คือเอ็นมังกรจริงๆ หรือครับเนี่ย มันดูยืดหยุ่นและเหนียวมาก แข็งแรงแต่ก็น้ำหนักเบาด้วย”

“ใช่ มันเป็นเอ็นของมังกรน้ำ” ไอดิเอลว่า “มีคนให้ข้ามาน่ะ”

“เอ่อ... แล้วท่านยังพอมีเหลืออีกไหมครับ พอจะแบ่งมาขายข้าได้ไหม”

“ไม่มีแล้วล่ะ เขาให้ข้ามาแค่นี้แหละ”

“อ่า...”

“นี่ขอข้าจับบ้างได้ไหมครับ” เจ้าอ่ำที่ยืนฟังอยู่นานพูดขึ้นด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น “ข้าไม่รู้มาก่อนว่าไม้เท้าของท่านทำมาจากเอ็นมังกร เป็นมังกรตัวใหญ่ๆ แบบที่บรรยายไว้ในหนังสือใช่รึเปล่า?”

“ใช่แล้วล่ะ เจ้าจะลองจับดูก็ได้”

เด็กหนุ่มเดินเข้ามาลูบๆ คลำๆ ไม้เท้าบ้าง “หูย... มันให้สัมผัสประหลาดมากเลยนะ... ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะครับ ดีมาก ไม่เคยจับอะไรแบบนี้มาก่อนเลย โชคดีจังที่ข้ามาทำงานวันนี้”

คาริกนึกสงสัยว่าถ้าสองคนนี้ได้เห็นไอดิเอลยกไม้เท้าเอ็นมังกรให้สาวๆ ที่หาดสวรรค์ไปถือเล่นจะรู้สึกยังไง จอมเวทปล่อยให้ทั้งคู่ลูบๆ คลำๆ ไม้เท้าอยู่พักใหญ่จึงพูดขึ้น

“เอาล่ะ พอได้แล้ว ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อยืนรอให้พวกเจ้าชื่นชมไม้เท้าหรอกนะ”

ประภากิจรีบส่งไม้เท้าคืนให้จอมเวททันที แม้เจ้าตัวจะมีสีหน้าเสียดายมากก็ตาม ไอดิเอลคว้าไม้เท้ามาถือไว้แล้วพูดขึ้นต่อ

“เอาล่ะ พรุ่งนี้ข้าจะเข้ามาสักสี่ห้าโมง หวังว่าดาบเล่มนั้นจะพร้อมให้ลองนะ”

“แน่นอนครับ”

ทั้งสามกลับออกมาขึ้นรถที่จอดไว้หน้าร้าน คาริกพูดขึ้นระหว่างนั้น

“ท่านนี่ดูท่าจะชอบวางก้ามขู่ผู้ชายด้วยกันนะเนี่ย ทีกับผู้หญิงล่ะมือไม้อ่อนเชียว”

ไอดิเอลหัวเราะ “เด็กผู้ชายถ้าไม่ขู่บ้างก็จะเหลิงน่ะ ส่วนเด็กผู้หญิง ถ้าข้ายังขู่พวกนางอีกนี่ข้าคงจะเป็นผู้ชายที่แย่มากแล้วล่ะ”

คาริกถอนหายใจพลางสั่นศีรษะ โอเรนจึงส่งเสียงขึ้นมา

“ว่าแต่นี่พวกเราจะไปไหนกันอีกรึเปล่า ข้าชักง่วงแล้วน่ะ”

“อ้อ... จริงสินะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ถึงของที่นี่จะเปิดขายเกือบตลอดทั้งคืน แต่ข้าว่าพวกเราค่อยมาเดินดูตอนกลางวันดีกว่า เจ้าว่าไง?”

คาริกผงกศีรษะเห็นด้วย “ก็ได้นะ ในเมื่อท่านไม่รีบ พวกเราค่อยมาเดินดูพรุ่งนี้ก็ได้ ข้าน่ะคงไม่ซื้ออะไรอยู่แล้วล่ะ แค่อยากดูเท่านั้นเอง”

“ดี งั้นพวกเราก็กลับกันเถอะ”

.................................

โอเรนผล็อยหลับไปในอกเสื้อของไอดิเองตั้งแต่ยังอยู่ในรถ กระทั่งขึ้นมาถึงบนห้องก็ไม่มีวี่แววว่าจะตื่น ไอดิเอลจึงอุ้มเขาไปวางไว้บนเตียงในห้อง แล้วห่มผ้าให้อย่างทะนุถนอม คาริกมองอย่างหมั่นไส้

“ทำไมท่านไม่พาเขาไปนอนที่ห้องด้วยเลยล่ะ ห้องท่านท่าทางจะน่าสบายอยู่นะ”

จอมเวทหันมามองเจ้าตัวยิ้มๆ “เจ้าอิจฉาเขาหรือไง? ไม่หรอก ห้องข้าหนาวมาก ให้เขานอนห้องนี้แหละดีแล้ว” พูดจบก็ส่งเสียงสั่งสเตลลา

“สเตลลา เจ้าช่วยปรับอุณหภูมิในห้องนี้ให้อุ่นขึ้นหน่อยสิ เอาพอๆ กับห้องโถงรับรองข้างล่างก็ได้”

“ทราบแล้วค่ะ”

“หืม ที่นี่ปรับอุณหภูมิได้ด้วยหรือ? ทำไมท่านไม่บอกพวกเราตั้งแต่เมื่อคืนนี้ล่ะ”

“ข้าก็ลืมคิดไปน่ะ” ไอดิเอลว่า “แต่อย่างที่ข้าบอก นูเบส โฟลิอุมมีถิ่นกำเนิดอยู่บนเทือกเขาสูง ทนต่อสภาพความกดอากาศต่ำอยู่แล้ว อีกอย่างเมื่อคืนเจ้าอยู่ด้วย เขาคงไม่หนาวตายหรอก”

“นี่ท่านเห็นข้าเป็นเตาผิงของเขาหรือไง” คาริกถลึงตามองฝ่ายตรงข้าม จอมเวทผงกศีรษะ พูดด้วยสีหน้าจริงจังจนน่าหมั่นไส้

“ก็ดีไม่ใช่หรือ? ข้าไม่เห็นว่าจะมีตรงไหนไม่ดีเลย”

คาริกถอนหายใจเฮือก “เฮ้อ... ท่านนี่จริงๆ เลย เป็นห่วงพวกเราบ้างไหมเนี่ย”

“ห่วงสิ แต่ความเป็นห่วงของข้ามันคงไม่ตรงตามความคิดของเจ้าน่ะนะ”

“ช่างเถอะๆ ข้าคงต้องทำใจว่าท่านก็เป็นของท่านแบบนี้แหละ”

“ถ้าเจ้าคิดได้แบบนั้นก็ดีล่ะนะ กลัวแต่เจ้าจะคิดไม่ได้อย่างที่พูดนี่สิ” อีกฝ่ายว่า “แล้วนี่จะอาบน้ำรึเปล่า หรือจะเข้านอนทั้งแบบนี้เลย ที่ห้องข้ามีอ่างอาบน้ำกว้างอยู่นะ”

“หา?!” ชายหนุ่มหันควับไปหาจอมเวทอีกครั้งทันที “ท่านพูดแบบนี้หมายความว่าไงน่ะ จะชวนข้าไปอาบน้ำที่ห้องท่านหรือ?”

“จะไม่ไปก็ได้นะ” ไอดิเอลว่า “ข้าเห็นว่าวันก่อนเจ้าซื้อหนังสือกามสูตรมา อุตส่าห์เอาไปอ่านอย่างตั้งใจบนเรือเหาะ ก็คิดว่าอยากจะลองเสียอีก”

หน้าของคาริกรวมถึงหูทั้งสองข้างของเจ้าตัวเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดทันที เขาโพล่งออกมา “ท่านนี่!”

ไอดิเอลยักไหล่ ไม่รอให้ชายหนุ่มโวยวายอะไรอีก “จะเอายังไงก็ตามใจเจ้าเถอะนะ แต่ถ้าจะไปที่ห้องข้าก็อาบน้ำให้เรียบร้อยล่ะ”

“ฮึ้ย...” ชายหนุ่มส่งเสียงคำรามอย่างขัดใจในคอ ก่อนจะพูดออกมา “ข้าไปอาบที่ห้องท่านนั่นล่ะ อยากรู้จริงเชียวว่าอ่างอาบน้ำของท่านกว้างสักแค่ไหน”

จอมเวทหัวเราะอีก ก่อนจะเดินนำออกจากห้องไป

.............................................

คาริกยอมรับว่าในความคิดของเขา ห้องของไอดิเอลต้องไม่รกน้อยไปกว่าร้านหนังสือที่ทริโกเนียอย่างเด็ดขาด เพราะได้ยินว่าเจ้าตัวย้ายบันทึกทั้งหมดจากห้องที่ยกให้เขาไปไว้ในห้อง แต่พอได้เข้ามาจริงๆ เขาจึงพบว่าความเป็นจริงต่างจากสิ่งที่คิดอย่างลิบลับ

ห้องของไอดิเอลเป็นห้องกว้าง เพดานสูงกว่าห้องของเขา ด้านบนมีโคมระย้า ผนังสองด้านเป็นชั้นหนังสือ ที่มุมด้านหนึ่งมีบันใดวนเชื่อมขึ้นไปบนเพดาน มีโต๊ะเขียนหนังสือฉลุลายอย่างวิจิตรวางอยู่ที่ผนังด้านหนึ่ง และเตียงนอนหลังใหญ่วางอยู่อีกด้านหนึ่ง ด้านหลังเตียงเป็นหน้าต่างแคบสูงที่เปิดออกเห็นทิวทัศน์ด้านนอก เครื่องเรือนทุกอย่างทั้งเก้าอี้และตั่งหน้าเตียงตั้งอยู่อย่างเป็นระเบียบ ดูหรูหราและห่างจากคำว่ารกไปไกลโข

ประตูที่ข้างเตียงเปิดออกไปเป็นห้องน้ำ ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่อยู่ในร่มกับส่วนที่อยู่กลางแจ้ง ส่วนที่อยู่กลางแจ้งเป็นอ่างอาบน้ำที่ไอดิเอลพูดถึง มันตั้งอยู่บริเวณที่ควรจะเรียกได้ว่าเป็นระเบียง ไม่มีราวกั้นใดๆ มีเพียงอ่างอาบน้ำที่มีบันใดขั้นเตี้ยๆ ให้ปีนขึ้นไปเท่านั้น

เสียงน้ำล้นดังแว่วมาให้ได้ยิน พร้อมกับไอน้ำที่กรุ่นขึ้นมาจากผิวน้ำภายในอ่าง คาริกมองภาพตรงหน้าอย่างอัศจรรย์ใจ ไม่รู้ว่าควรจะตื่นเต้น ดีใจ หรือว่าประหลาดใจดี เขาหันไปหาไอดิเอลที่ยืนมองอยู่ แล้วพูดขึ้น

“ห้องท่านสวยนะ... อ่างอาบน้ำท่านก็สวย... แต่ท่านอาบน้ำอุ่นด้วยหรือ ข้าคิดว่าท่านไม่สนใจอุณหภูมิของอะไรพวกนี้เสียอีก”

“ข้าก็ไม่ได้สนใจหรอก ไอดิเอลว่า “แต่คิดว่าเจ้าน่าจะไม่สบายเท่าไหร่ถ้าต้องอาบน้ำเย็นน่ะ”

ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก เขาเห็นไอดิเอลเปลื้องเสื้อคลุมตัวนอกออกแขวนไว้ จึงพูดขึ้นต่อ

“ท่าน เอ่อ... เต็มใจรึเปล่า?”

ไอดิเอลชะงักมือที่กำลังปลดกระดุมเสื้อ แล้วหัวเราะอีก “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไง ถ้ามีโอกาสข้าก็จะทำทุกวันอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องของความอยู่รอด ไม่เกี่ยวกับเต็มใจไม่เต็มใจหรอก อย่าถามจุกจิกน่ารำคาญเลยน่า... ว่าแต่เจ้าเถอะ เต็มใจรึเปล่า?”


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
“ถ้าไม่เต็มใจข้าจะตามท่านมาที่นี่หรือ...” คาริกว่า ก่อนจะเดินไปกอดไอดิเอลจากทางด้านหลัง ได้ยินเสียงจอมเวทพูดขึ้นทันที

“ข้าบอกแล้วไง ให้อาบน้ำก่อน”

“รู้แล้วล่ะน่า ข้าแค่อยากกอดท่านเฉยๆ ไม่ได้รึไง?”

“....”

“ให้ข้าช่วยท่านถอดเสื้อผ้าเถอะ” พูดจบเขาก็ผละออก ไอดิเอลจึงหันหน้ากลับมา ท่ามกลางแสงจันทร์สีเงินยวงที่ส่องลอดเข้ามา คาริกรู้สึกว่าร่างของไอดิเอลราวกับจะเปล่งประกายได้ เขาค่อยๆ ปลดเครื่องประดับที่อยู่บนร่างกายของฝ่ายนั้นออกวางไว้บนโต๊ะข้างๆ แล้วจึงปลดกระดุมเสื้อทีละเม็ด เสื้อของไอดิเอลทั้งหนาและหนัก ดังนั้นกระดุมเสื้อของเขาจึงเป็นแบบที่ต้องผูกอีกที เวลาแกะก็จะต้องใช้เวลาหน่อย คาริกค่อยๆ ดึงสายผูกกระดุมพวกนั้นออกอย่างตั้งใจ เขาคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะเริ่มทำเรื่องอย่างนี้ในแบบที่มันควรจะเป็น หรืออย่างน้อยก็แบบที่เขาคิดว่ามันควรจะเป็น

“จะให้ข้าถอดให้เจ้าด้วยไหม?” ไอดิเอลพูดตอนที่เสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายหลุดลงไปกองอยู่กับพื้น คาริกรีบโพล่งขึ้นทันที

“ไม่ต้องหรอก ข้าถอดเองได้”

ชายหนุ่มรีบปลดสายเข็มขัดออก ท่าทางของเขางุ่มง่ามขึ้นมาทันตาเห็น ไอดิเอลหัวเราะขึ้นอีก “เจ้านี่จริงๆ เชียว ตะกี้ยังทำได้ดีแท้ๆ ไม่ต้องลนลานขนาดนั้นน่า ให้ข้าถอดให้ดีกว่า”

จอมเวทยื่นมือไปจับมือของชายหนุ่มเอาไว้ ก่อนจะช่วยฝ่ายนั้นถอดเสื้อผ้าออก หัวใจของคาริกเต้นอื้ออึงอยู่ในอก ตอนแรกเขาคิดจะชักมือออกเพราะรู้สึกเสียหน้า แต่มือของไอดิเอลนั้นให้ความรู้สึกทั้งอ่อนโยนและมั่นคง จนเขาไม่อาจหักใจขยับหนีได้

ท่ามกลางแสงจันทร์ ผมและผิวของไอดิเอลทอประกายสีเงินสว่าง ดวงตาของเขาก็เหมือนดั่งจะทอประกายเรืองรองออกมา ทันทีที่เสื้อผ้าถูกเปลื้องออกจนหมด คาริกก็ยื่นมือไปจับใบหน้าของฝ่ายนั้นเอาไว้ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจระงับได้ เขารู้สึกว่าการมีอยู่ของคนตรงหน้าช่างเป็นสิ่งอัศจรรย์เสียเหลือเกิน ร่างกายนี้ ใบหน้านี้ ดวงตาคู่นี้ ผ่านสิ่งเลวร้ายอย่างที่เขาไม่อาจจินตนาการหรือเข้าใจได้มาตลอดเวลาหนึ่งพันกว่าปี

“ท่านทำได้ยังไง” ชายหนุ่มกระซิบ “ท่านทนมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไงกัน”

ดวงตาสีอำพันของไอดิเอลเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เจ้าตัวจะคลี่ยิ้มบางบนหน้า “ความอดทนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เจ้าไม่มีทางใช้ชีวิตอันยาวนานนี้อย่างผาสุกได้ หากเจ้าคิดแต่จะทนเรื่อยไป... ข้าไม่ได้มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้โดยอาศัยเพียงความอดทนหรอก ข้าอยู่เพื่อทำสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่ข้าเคยทำในอดีต นั่นแหละคือเหตุผลการดำรงอยู่ของข้า”

คาริกเม้มริมฝีปาก เขาแนบหน้าผากเข้ากับหน้าผากของอีกฝ่าย “ข้าคงเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเหตุผลของท่านได้ แต่ไม่ว่าท่านจะเคยผ่านเรื่องเลวร้ายอะไรมา ข้าขอสัญญาว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านรู้สึกแบบนั้นอีก ข้าอยากให้ท่านมีความสุข ให้ท่านไม่เสียใจที่ได้อยู่กับข้า”

ไอดิเอลรู้สึกหัวใจของตัวเองเต้นแรงขึ้นมาชั่วขณะ เขามองดวงตาสีม่วงของเด็กหนุ่มตรงหน้า ดวงตาคู่นี้เพิ่งเห็นโลกมาเพียงแค่สิบแปดปีเท่านั้น... ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดกลัวที่จะได้พบกับจอมเวทโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุ ทอดทิ้งโอกาสทุกสิ่งเพียงเพราะคำสั่งเดียวกับที่เขาเคยสั่งกับพวกที่กลายพันธุ์พวกนั้นเมื่อเก้าสิบปีก่อน ตอนนี้เจ้าตัวกำลังมีความรู้สึกพิเศษกับเขา ไอดิเอลรู้ว่าด้วยวัยของคาริก ย่อมรู้สึกหวั่นไหวกับเขาเป็นธรรมดา แม้จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาไม่คิดอยากเหนี่ยวรั้งหัวใจของชายหนุ่มที่กำลังรู้สึกหวั่นไหวไว้ เนื่องเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้จิตใจของเขาเย็นชาเกินกว่าที่จะแสดงความรู้สึกอ่อนไหวออกมาได้อีก หัวใจของเขาชืดชาเกินกว่าจะเป็นคนรักของใครได้อีกแล้ว

ทว่า... คำพูดเมื่อครู่ของเด็กหนุ่มอายุสิบแปดคนนี้ กลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมา บางทีอาจเพราะความจริงใจไร้เดียงสาที่ถ่ายทอดออกมาจากดวงตาคู่นั้น

‘เขาคือชีวิตของท่านนะ ท่านจะมีใจให้เขาไม่ได้เชียวหรือ’

ไอดิเอลไม่แน่ใจว่าเขาจะมีใจให้คาริกอย่างที่เวโรนิกาพยายามเกลี้ยกล่อมได้หรือไม่ แต่ที่เขารู้แน่ หากเขาปฏิเสธความจริงใจที่ไร้เดียงสานี้ คาริกจะต้องเจ็บปวด และนั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากให้เกิดกับเด็กหนุ่ม ดังนั้นจอมเวทจึงเอ่ยคำพูดออกไป

“ขอบใจนะ...”

คาริกมองใบหน้าที่งดงามเหมือนภาพฝันนั้น เขาไม่รู้ว่าไอดิเอลคิดอะไรกันแน่ ไม่รู้ด้วยว่าคำพูดที่เจ้าตัวพูดออกมานั้น มาจากความรู้สึกที่ลึกซึ้ง หรือแค่พูดตามความเหมาะสมเท่านั้น แม้หัวใจเขาจะรู้สึกปวดแปลบอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เขาก็บอกกับตัวเอง ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นผ่านเรื่องเลวร้ายมาเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้ ไม่แปลกที่เจ้าตัวจะชืดชาต่อทุกสิ่ง สักวันหนึ่ง... สักวันหนึ่งเขาจะทำให้ไอดิเอลสัมผัสได้ถึงความจริงใจและตั้งใจของเขา ทำให้ฝ่ายนั้นรู้สึกดีที่มีเขาอยู่ข้างๆ ให้รู้ว่าการที่ได้พบเขาไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวัง

สองมือของชายหนุ่มค่อยๆ ประคองใบหน้างดงามนั้นขึ้น แนบริมฝีปากลงไปอย่างแผ่วเบา

ริมฝีปากคู่นี้... ที่ให้ไออุ่นเขา... ให้ชีวิตกับเขา

ไม่ใช่สัญญาหรอก ที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตาจากคนคนนี้ได้ ไม่ใช่เพราะความสวยงามภายนอกหรอก ที่ทำให้เขาหวนคำนึงถึงอยู่ทุกลมหายใจ

แต่เพราะจูบในครั้งนั้น... จูบอ่อนโยนที่เขาไม่เคยสัมผัสจากใครมาก่อนต่างหาก ที่ทำให้เขาไม่อาจถอนตัวได้อีก

.................................

ริมฝีปากของไอดิเอลนั้นอบอุ่นและอ่อนโยนมากจริงๆ คาริกเบียดริมฝีปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากของจอมเวทซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับไม่มีวันพอ จนกระทั่งไอดิเอลต้องฉวยจังหวะที่อีกฝ่ายถอนริมฝีปากออก ยกมือดันอกชายหนุ่มไว้ แล้วพูดขึ้น

“นี่ข้าชวนเจ้ามาอาบน้ำนะ พวกเราไปที่อ่างน้ำกันเถอะ”

คาริกขบริมฝีปาก จากนั้นก็ใช้สองมือช้อนตัวของไอดิเอลขึ้นจากพื้น จอมเวทตวัดแขนโอบลำคอของเขาไว้ แล้วหัวเราะ “นี่... ข้าไม่ใช่เด็กนะ”

“ข้ารู้” คาริกพูด “ข้าแค่ไม่อยากจะปล่อยมือจากท่านน่ะ”

“ให้ข้าจูงมือไปก็ได้น่า...”

“ข้าไม่ใช่เด็กนะ” เขาย้อนจอมเวทด้วยคำพูดของฝ่ายนั้น ก่อนจะเดินไปที่อ่าง ไอน้ำยังคงลอยอ้อยอิ่ง ดวงจันทร์สีเงินยวงสะท้อนบนผิวน้ำเป็นเงาคล้ายภาพในจินตนาการ พอชายหนุ่มก้าวเท้าเข้าไป ม่านหมอกก็พลันกระจายออก เขาย่อตัวลง ดันร่างจอมเวทไปที่ขอบอ่าง เสียงน้ำล้นดูห่างไกล ขณะที่ชายหนุ่มเบียดริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากที่เขาคะนึงหาอยู่ตลอดทุกลมหายใจนั้นอีกครั้ง

ไอดิเอลพอรู้ว่าคาริกชอบจูบริมฝีปากเขา แต่เจ้าตัวเอาแต่จูบเอาๆ แบบนี้ เขาก็ชักจะเหนื่อยอยู่เหมือนกัน พอได้จังหวะ จอมเวทก็พูดขึ้นอีก

“ข้ารู้หรอกนะว่าเจ้าชอบจูบข้า แต่ถ้าอยากจะให้ข้ารู้สึกดีด้วย ก็ช่วยทำอย่างอื่นบ้างเถอะ”

คาริกเบิ่งตาสีม่วงของเขาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะขบริมฝีปาก “ท่านไม่ชอบจูบหรือ?”

“ข้าไม่ได้ไม่ชอบ แต่มันเหนื่อยนะ...” ไอดิเอลพยายามอธิบาย “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกดี แต่ข้าไม่มีความรู้สึกหวั่นไหวกับเรื่องนี้หรอก... ถ้าทำให้เจ้าผิดหวังก็ขอโทษด้วยแล้วกัน”

“อ่า...” ชายหนุ่มส่งเสียงในลำคอ ใช้เวลาอึดใจทำความเข้าใจคำพูดดังกล่าว เขากะพริบตาอยู่ครั้งสองครั้ง ก่อนจะสะบัดศีรษะแรงๆ แล้วโพล่งออกมา “แย่จริง! ข้านี่ไม่ไหวเลย”

“นี่ๆ ข้าไม่ได้ว่าอะไรเจ้าขนาดนั้นน่า ก็แค่บอกน่ะ” ไอดิเอลรีบปลอบ พลางนึกสงสัยว่าเขาทำอะไรพลาดไปรึเปล่า ได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดขึ้นต่อ

“ไม่ๆ ท่านทำถูกแล้วล่ะ” เขาขยับออกมาเล็กน้อย แล้วถอนหายใจ “ข้านี่ไม่รู้เป็นอะไรจริงๆ นะ พอได้จูบท่านแล้วเหมือนลืมทุกอย่างไปเลย”

อีกฝ่ายคลี่ยิ้ม “เจ้าคงชอบน่ะ...”

คาริกยกมือลูบริมฝีปาก หน้าแดงอีก “ข้าคง... เอ่อ... คงจะ..... นั่นแหละ” เสียงของเขาเบาจนไอดิเอลฟังไม่ถนัด ขณะจะถามว่าอยากจะพูดอะไรกันแน่ เจ้าตัวก็โพล่งออกมาเสียก่อน

“แต่ว่าข้าอยากให้ท่านรู้สึกดีด้วย! เฮ้อ... จริงๆ เลยน้า... ท่านอาบน้ำดีกว่า ข้าขัดหลังให้ไหม?”

ไอดิเอลมองชายหนุ่มที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนท่าทีกะทันหัน พลางกะพริบตาปริบๆ บ้าง “นี่ข้าทำเจ้าหมดอารมณ์รึเปล่า?”

“ไม่ๆ” อีกฝ่ายรีบปฏิเสธ “ท่านทำให้ข้ามีอารมณ์มากเกินไปต่างหาก เราอาบน้ำกันดีกว่านะ... ท่านหันหลังสิ ข้าจะได้ขัดหลังให้”

ไอดิเอลมองเขาอึดใจก็ยอมจะหันหน้าไป ผมของจอมเวทยาวจนระอยู่ในน้ำ คาริกจึงต้องใช้มือรวบขึ้นเพื่อที่จะได้ขัดหลังของอีกฝ่ายได้ถนัด ร่างกายของไอดิเอลเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ ไม่ใช่กล้ามเนื้อลูกโตๆ แต่เป็นกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แข็งแรงได้สัดส่วน แผ่นหลังของเขากว้าง ชายหนุ่มตัดสินใจปัดผมของอีกฝ่ายไปไว้ด้านหน้า แล้วใช้นิ้วถูไปตามแนวกล้ามเนื้อของเจ้าตัว

“อา... ดี ตรงนั้นแหละ กดแรงๆ เลย” จอมเวทส่งเสียง ตอนแรกก็นั่งอยู่ในอ่างดีๆ ต่อมาก็ขยับไปเอาแขนพาดขอบอ่าง ให้ชายหนุ่มนวดหลังอย่างสบายอุรา

“นี่ท่านปวดเมื่อยกับเขาเหมือนกันหรือเนี่ย” คาริกพูดขึ้นที่ด้านหลัง ขณะกดนิ้วตามที่อีกฝ่ายบอก ไอดิเอลพยักหน้า

“ข้าอยู่มานานปูนนี้ ต้องปวดเมื่อยเป็นธรรมดาล่ะนะ... ทางซ้าย ตรงนั้นแหละ แรงๆ เลย”

คาริกหัวเราะ “ท่านนี่อย่างกับตาแก่แน่ะ ออกัสเองก็ชอบให้นวดหลังแบบนี้เหมือนกัน แต่ข้าไม่ได้นวดให้เขาในอ่างอาบน้ำเหมือนท่านหรอกนะ”

“ข้ารู้น่า ดูจากอาการหน้าบางของเจ้าแล้ว คงเคยลงอ่างกับผู้ชายครั้งแรกสิ”

“กับผู้หญิงข้าก็ไม่เคยเหมือนกันล่ะน่า” คาริกว่า พลางมองใบหูของไอดิเอลที่โผล่พ้นเรือนผมออกมา ตอนนี้เจ้าตัวกำลังหันหลัง พาดผมไปที่ไหล่ด้านหนึ่ง เลยทำให้เห็นใบหูได้ชัด เขานึกถึงคำพูดของเวโรนิกาขึ้นมา เลยขยับเข้าไปใกล้ แล้วจูบเบาๆ

“อ๊ะ!”

ไอดิเอลหันหน้ากลับมาทันที ดีที่คาริกหลบทัน ไม่งั้นจมูกของเขาคงโดนกระแทกไปเต็มๆ ชายหนุ่มถามขึ้น

“ท่านตกใจหรือ?”

“อะ... อืม” จอมเวทยกมือขึ้นลูบใบหู สีหน้าเหมือนจะตกใจจริงๆ คาริกเห็นแล้วก็ให้ยิ้มออกมา

“ดูท่าตรงนี้จะเป็นจุดอ่อนของท่านจริงๆ ด้วยสินะ”

“หา! เดี๋ยว อ๊ะ!” ไอดิเอลไม่ทันได้พูดอะไรก็ต้องส่งเสียงร้องสั้นๆ ออกมาอีกครั้ง เมื่อคาริกรวบตัวเขาเข้าไปกอดแล้วอ้าปากขบใบหูของเขาเบาๆ จอมเวทจิกนิ้วลงบนหัวไหล่ของชายหนุ่มทันที

“อืม... อา...”

ปลายเล็บจิกแน่น แต่ร่างในอ้อมกอดกลับอ่อนระทวยลงเรื่อยๆ คาริกไม่เคยได้ยินไอดิเอลส่งเสียงแบบนี้มาก่อน สัญชาตญาณบอกเขาว่าเดินมาถูกทางแล้ว ชายหนุ่มทั้งขบทั้งใช้ปลายลิ้นไล้ลงไปบนใบหูของฝ่ายนั้นอีกหลายครั้ง จอมเวทหอบหายใจ พลางส่งเสียงครางกระเส่าอย่างไม่อาจระงับตัวเองได้

หัวใจของคาริกเต้นระรัว ทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น เขาลากปลายลิ้นผ่านติ่งหูของไอดิเอล ต่ำลงมาจนถึงซอกคอ กัดเบาๆ ตรงไหปราร้า ก่อนจะไปหยุดที่ปลายถัน แล้วขยี้เบาๆ ร่างในอ้อมกอดแอ่นตัวขึ้นทันที

“แรงอีก”

ไอดิเอลไม่เคยคิดมาก่อน ว่าเขาจะมีอารมณ์เวลาทำเรื่องแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันได้ อาจเพราะทุกครั้งที่ผ่านมา มันคือสิ่งที่ต้องดำเนินไปเพื่อให้เสร็จสิ้น ไม่มีความตั้งใจหรือเต็มใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่ว่าครั้งนี้... ดูจะต่างออกไปแล้ว

คาริกรู้สึกหัวใจเต้นแรงจนหูอื้อ ปฏิกิริยาตอบสนองของไอดิเอลเหนือกว่าที่เขาคิดไว้มาก ฝ่ายนั้นส่งเสียงคราง แอ่นร่างเสนอยอดถันชูชันให้เขากัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า สองมือทั้งจิกทั้งข่วนแผ่นหลังและหัวไหล่ของเขาจนแสบ ทว่ากลับยิ่งทำให้ท่อนล่างของชายหนุ่มที่อยู่ใต้ผิวน้ำคัดรุมจนแทบระเบิด ชายหนุ่มคว้าสองมือลงบนสะโพกของจอมเวท บังคับช่องทางเล็กแคบให้บดเบียดลงไปบนแก่นกายที่แข็งขึงของตน

ไอดิเอลรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังถูกฉีก ความโอฬารอย่างที่เขาไม่เคยคุ้นชินเบียดแทรกเข้ามาอย่างเอาแต่ใจ กระนั้นด้วยความเคยชินของร่างกาย ทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธการกระทำนี้ได้ จอมเวทจึงต้องกัดนิ้วเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องบ่งบอกความเจ็บปวดออกไป ในตอนที่ชายหนุ่มใส่เข้ามาจนสุดความยาว

ความต้องการของคาริกถูกเร่งเร้าถึงขีดสุดจนสมองของเจ้าตัวแทบไม่รับรู้อะไรอีก ยิ่งเมื่อช่องทางเล็กแคบของฝ่ายตรงข้ามตอดรัดเขาเหมือนกับจะเค้นเอาสิ่งที่คัดอยู่ภายในออกมา เจ้าตัวก็ตอบสนองด้วยการกระแทกสะโพกขึ้นลงอย่างรุนแรง พลางส่งเสียงครางอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่

น้ำกระเซ็นออกจากขอบอ่างตามแรงกระแทกครั้งแล้วครั้งเล่า ไอดิเอลแหงนใบหน้าขึ้นสูง เขาต้องยอมที่จะส่งเสียงครางออกมา แล้วใช้มือจับไหล่ของชายหนุ่มไว้ เพื่อที่จะประคองตัวไม่ให้เสียหลัก ขณะรองรับการกระแทกรุนแรงนั้น

เพราะถูกกระตุ้นจนแทบระเบิด คาริกถึงจุดสุดยอดในเวลาไม่นาน พลังงานจำนวนมหาศาลไหลบ่าเข้าสู่ร่างของไอดิเอล ขณะที่ชายหนุ่มรู้สึกกะปลกกะเปลี้ยจนเกือบจะประคองสติเอาไว้ไม่อยู่ เขาได้ยินเสียงใครบางคนเรียกมาจากที่ไกลๆ

“นี่... นี่...”

ที่แก้มเจ็บแปลบๆ ทว่าสติของชายหนุ่มกลับยิ่งลอยละล่อง กระทั่งปลายลิ้นอุ่นๆ สอดเข้ามาในปากของเขานั้นแหละ ตอนที่เขาได้สติ ก็พบว่าตัวเองกำลังจูบกับไอดิเอลอยู่ ถึงจะรู้สึกตัวแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังอ้อยอิ่งแลกลิ้นอยู่กับฝ่ายนั้นพักใหญ่ จึงยอมถอนริมฝีปากออก

“เจ้านี่ไม่ไหวเลย เอะอะก็จะหมดสติอยู่เรื่อย” ไอดิเอลว่า เขายังคงนั่งอยู่บนตักของชายหนุ่ม มองจากมุมนี้เจ้าตัวยิ่งดูเปล่งปลั่งท่ามกลางแสงจันทร์ คาริกยิ้มเล็กน้อย พูดตอบไปด้วยเสียงแหบแห้ง

“ข้าพอเข้าใจแล้ว ว่าทำไมมีอะไรกับท่านอาจถึงตายได้”

ไอดิเอลตบแก้มเขาเบาๆ “อย่าเข้าใจผิดไปล่ะ ไม่มีใครเคยถึงกับข้าอย่างที่เจ้าถึงตะกี้หรอก”

คาริกใช้สองมือโอบเอวของจอมเวทไว้ ซุกหน้าเข้ากับแผ่นอกของฝ่ายนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าถามขึ้นอย่างนึกได้

“ว่าแต่ตะกี้ท่านเป็นไงบ้าง? ข้ารุนแรงไปรึเปล่า?”

“เจ้ารุนแรงมาก” ไอดิเอลว่า “แต่ก็ไม่ได้แย่นักหรอก ตอนแรกๆ ข้ารู้สึกดีมาก แต่ตอนหลังเหมือนเจ้าจะคุมสติไม่อยู่นะ”

คาริกหน้าแดงด้วยความละอาย อีกฝ่ายจึงพูดขึ้นต่อ “ไว้แก้ตัวใหม่คราวหน้าแล้วกัน ดูท่าหนังสือเล่มนั้นคงสอนอะไรดีๆ เจ้าเยอะอยู่”

พูดจบเจ้าตัวก็ผุดลุกขึ้น คาริกรีบยื่นมือไปคว้าไว้ แต่ก็ถูกฉุดให้ลุกขึ้นตาม

“ลุกได้แล้ว ใจคอเจ้าคิดจะนอนในอ่างน้ำนี่หรือไง”

“เปล่า” ชายหนุ่มหน้าแดงอีก แต่คราวนี้เขาจับมือไอดิเอลไว้แน่น “คืนนี้น่ะ... ท่านก็นอนกับข้าเถอะนะ”

“อ้อ... เจ้ายังมีแรงอีกหรือ ข้าน่ะได้ตลอดล่ะนะ”

“ไม่ใช่แบบนั้น โธ่...” ชายหนุ่มครางออกมา “ข้าหมายถึงนอน นอนจริงๆ น่ะ ท่านนอนข้างๆ ข้าคืนนี้ได้ไหม อย่านั่งเขียนหนังสือทั้งคืนเลยนะ”

“ข้าก็ไม่ได้บอกนี่ว่าจะเขียนหนังสือคืนนี้นี่”

“งั้น... ท่านจะนอนกับข้าใช่ไหม”

“หยุดพิรี้พิไรแล้วไปใส่เสื้อผ้าเถอะ” อีกฝ่ายตัดบท “ไม่อย่างนั้นข้าจะให้เจ้านอนในอ่างนี่แหละ”

พูดพลางก้าวออกจากอ่างน้ำ คาริกจึงต้องรีบตามออกไป

.....................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อุ้ต้ะ มีพัฒนาการนะเนี่ย

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
**แก้เนื้อหาตอน16 บางส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับตอนนี้ค่ะ<< ถ้างงให้กลับไปอ่านใหม่นั่นเอง^^"""
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่18 “ข้าไม่ได้ทำลงไปเพราะคิดว่ามันคุ้มค่าหรือไม่หรอกนะ”


ตอนที่หัวถึงหมอน คาริกก็แทบจะหลับไปในทันที มารู้สึกตัวก็ตอนที่รอบตัวเริ่มมีแสงสว่างรำไรนั่นแหละ ชายหนุ่มควานมือไปข้างๆ หวังจะดึงตัวจอมเวทมากอดให้ชื่นใจ แต่ที่คลำเจอดันเป็นก้อนขนอุ่นๆ นุ่มๆ พอลืมตาขึ้นมาดูก็เห็นว่าโอเรนนอนขดอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นทันที

“หืม เป็นไร ฝันร้ายหรือ?” ไอดิเอลที่นอนอยู่ข้างกันถามขึ้น เขาสวมเสื้อยาวตัวในเพียงตัวเดียว ไม่ได้สวมเครื่องประดับ ท่าทางเหมือนนอนอยู่ตรงนั้นมาทั้งคืน คาริกจ้องฝ่ายนั้นเขม็ง ก่อนจะเลื่อนสายตามามองเจ้าก้อนขนสีเขียวที่นอนขดอยู่ แล้วถามขึ้น

“โอเรนมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงน่ะ”

“อ้อ... ข้าไปอุ้มเขามาเองแหละ คิดว่าถ้าปล่อยให้นอนคนเดียวเดี๋ยวตื่นมาไม่เจอใครจะตกใจเอาน่ะ”

คาริกถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “แล้วท่านได้หลับได้นอนกับเขาบ้างไหมเนี่ย”

อีกฝ่ายยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “บอกแล้วไงว่าข้าไม่จำเป็นต้องนอนหลับอย่างมนุษย์หรอก แต่นอนให้เจ้ากอดทั้งคืนก็ไม่ค่อยสบายน่ะนะ เจ้านี่ดูท่าทางขาดความอบอุ่นนะเนี่ย”

“ก็ข้าไม่ได้โตมาด้วยการถูกเลี้ยงดูจากพ่อแม่เหมือนคนอื่นนี่นา” คาริกว่า รู้สึกใจเต้นตึกตักเมื่อคิดว่าไอดิเอลนอนให้เขากอดทั้งคืน ว่าแต่แล้วเจ้าตัวไปอุ้มโอเรนมาจากห้องตอนไหนกัน

“อืม... เจ้ากับโอเรนที่จริงแล้วก็คล้ายกันตรงนี้ล่ะนะ ข้าถึงอยากจะให้เขากลับไปที่เทือกเขาไฮดรัสน่ะ” ไอดิเอลว่า คาริกมองหน้าเขาแล้วพูดต่อ

“ถ้าท่านคิดงั้นนะ อย่าเพิ่งส่งโอเรนกลับไปเลย ตอนข้าเด็กๆ ข้าก็เคยนึกสงสัยเหมือนกันว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นใคร แต่พอข้าโตขึ้นหน่อยข้าก็รู้สึกว่าข้าอยากอยู่กับคนที่เลี้ยงข้ามามากกว่า ตอนที่ข้าต้องหนีจากมาข้าเศร้ามากนะ คิดว่าโอเรนก็คงจะรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ยังไงเขาก็อยู่กับพวกเรามาตั้งแต่ออกจากไข่ เขาดูจะติดท่านมากด้วยนะ”

“หืม นี่เจ้าเองก็ถูกขโมยออกมาตอนเป็นไข่เหมือนกันหรือ” โอเรนที่นอนอยู่บนเตียงเงยหน้าขึ้นพูด คาริกร้องขึ้นทันที

“นี่เจ้าตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?! ข้าคิดว่าหลับอยู่เสียอีก!”

“ข้าก็ตื่นสักพักแล้วน่ะนะ” เจ้ามังกรตอบ “แต่นอนตรงนี้อุ่นดีเลยไม่อยากลุกน่ะ”

“โอย... วันหลังตื่นแล้วก็หัดให้สุ้มให้เสียงบ้างเถอะ” ชายหนุ่มคราง แต่โอเรนทำเป็นไม่ได้ยิน เขาพูดขึ้นต่อ

“ว่าแต่ตอนถูกเก็บได้เจ้าออกจากไข่หรือยัง แล้วเจ้าตื่นมาในอกเสื้อแบบข้ารึเปล่า?”

“เอาล่ะๆ” ไอดิเอลตัดบท เขายันตัวลุกขึ้นมานั่ง ทำท่าเหมือนครูสอนหนังสือ แล้วหันไปพูดกับโอเรน

“ข้ายืนยันได้ว่าคาริกไม่ได้ฟักจากไข่ เขาเป็นมนุษย์ มนุษย์น่ะออกลูกเป็นตัว ไม่ได้ออกมาเป็นไข่เหมือนมังกรอย่างเจ้าหรอกน่ะ”

“นี่ท่านช่วยใช้ศัพท์ให้มันต่างจากสัตว์หน่อยได้ไหม” คาริกร้องออกมา “ใครเขาใช้คำว่าออกลูกเป็นตัวกับมนุษย์กัน”

“ข้านี่แหละ” จอมเวทว่า ก่อนจะหันไปพูดกับโอเรนต่อ “มันเป็นศัพท์ทางวิชาการน่ะ แต่ถ้าเจ้าพูดกับมนุษย์ เจ้าจะต้องพูดว่า มนุษย์คลอดลูก และพวกเขาไม่ได้คลอดออกมาเป็นไข่ แต่เป็นเด็กทารกตัวเล็กๆ ที่จะโตขึ้นเป็นมนุษย์ตัวใหญ่ๆ แบบคาริกนี่แหละ”

“อ๋อ ข้าจำได้แล้ว” เจ้ามังกรร้อง “ตอนที่เราไปพักที่จุดพักแรม ก็มีคนมาขอให้ท่านไปให้พรลูกสาวที่กำลังจะคลอดใช่ไหม มันหมายถึงแบบนี้นี่เอง แต่ว่าถ้าคาริกคลอดออกมาแบบท่านว่า แล้วพ่อแม่เขาไปไหนล่ะ หรือทารกมนุษย์พอคลอดออกมาแล้วก็เดินไปไหนมาไหนได้เลย เหมือนข้ารึเปล่า?”

“ก็ไม่เหมือนอีกนั่นแหละ” ไอดิเอลว่า “มนุษย์ตอนแรกเกิดอ่อนแอมาก ต้องอาศัยการเลี้ยงดูจากแม่เป็นหลัก ถ้าไม่ได้ดื่มอาหารเหลวอย่างนมหรืออย่างอื่นที่มีสารอาหารครบถ้วนล่ะก็ ยากมากที่จะรอดจนโตได้”

“งั้นคาริกก็ต้องมีแม่ใช่ไหม แล้วแม่ของเขาไปไหนล่ะ?” โอเรนถามต่อด้วยท่าทางจริงจัง “นี่ ท่านไอดิเอล ในเมื่อเราจะเดินทางไปอาณาจักรบูรพา พวกเราก็ไปตามหาแม่ของคาริกกันเถอะ”

คาริกกะพริบตาปริบๆ ตั้งแต่ออกจากอาณาจักรบูรพามา เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องการตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเองเลย อันที่จริงเขาแทบลืมความคิดนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ เหมือนช่วงเวลาที่เขานึกอยากเจอหน้าพ่อแม่ของตัวเองนั้นมันผ่านมานานมากแล้ว ได้ยินเสียงไอดิเอลพูดขึ้น

“มันก็ดีนะที่เจ้าคิดอยากจะช่วยเขาตามหาแม่ แต่ก่อนจะไปถึงขั้นนั้น ข้าควรต้องคิดหาวิธีเดินทางไปที่นั่นให้ได้ก่อน ซึ่งตอนนี้ข้ายังนึกไม่ออกหรอก”

“ที่จริงแล้วไม่ต้องก็ได้!” คาริกโพล่งออกมา ทั้งไอดิเอลและโอเรนหันมามองเขา เจ้าตัวจึงรีบพูดต่อ “ข้าหมายถึงไม่ต้องไปตามหาพ่อแม่ของข้าก็ได้”

“ทำไมล่ะ เจ้าไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่ตัวเองหรือ” โอเรนถามด้วยความประหลาดใจ คาริกเม้มริมฝีปาก ก่อนจะพูดต่อ

“ยังไงดีล่ะ ตอนที่ข้ายังเด็กมากๆ ข้าก็เคยนึกอยากเจอพวกเขาน่ะนะ แต่ตอนนี้ข้าไม่คิดแบบนั้นแล้ว ถ้าพวกเขาต้องการข้าก็คงไม่ทิ้งข้าเอาไว้ใช่ไหมล่ะ อีกอย่างข้าก็ไม่รู้จักกับพวกเขาด้วย เจอกันไปก็มีแต่จะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจกันเปล่าๆ”

“ง่า...”

“ข้าคิดว่าข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้านะ” ไอดิเอลว่า “แต่เชื่อข้าเถอะว่าแทบจะไม่มีพ่อแม่คู่ไหนทิ้งลูกของตัวเองโดยไม่มีเหตุผลจำเป็นหรอก มองในแง่ร้ายบางทีพวกเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้”

ถึงคาริกจะไม่คิดอยากเจอหน้าพ่อแม่ตัวเอง แต่พอได้ยินว่าทั้งคู่อาจจะตายไปแล้ว เจ้าตัวก็นึกเสียใจแว้บขึ้นมา ขณะที่โอเรนถามขึ้นต่อ “ทำไมท่านถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”

“มันมีสาเหตุอยู่ไม่กี่อย่างหรอกนะที่ทำให้พ่อแม่ต้องทิ้งลูกของตัวเองน่ะ” ไอดิเอลว่า “แต่ที่ข้าพูดไปมันก็เป็นแค่การคาดเดาล่ะนะ ทางเดียวที่จะรู้ได้คือเราต้องไปที่นั่นแล้วสืบดู”

“ท่านตั้งใจจะไปที่นั่นจริงๆ หรือ?” คาริกถามขึ้นต่อ นึกสงสัยว่าไอดิเอลจะยอมลำบากไปอาณาจักรบูรพาเพื่อสืบเรื่องพ่อแม่เขาจริงๆ หรือ? อีกฝ่ายผงกศีรษะ

“ที่จริงแล้วใจข้าอยากจะไปดูให้เห็นกับตาน่ะนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ก่อนจะตัดสินใจว่าจะไปตอนนี้เลยหรือทอดเวลาออกไปดี ข้าคงจะต้องคุยกับโอเลกซ์เกี่ยวกับเรื่องที่เจย์รอนเล่าให้เขาฟังก่อน”

“หืม?” ทั้งคาริกและโอเรนส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน “คุยกับใครนะ”

“โอเลกซ์” ไอดิเอลตอบ “เขาเป็นจอมเวทเหมือนข้า เป็นคนที่เจย์รอนพบคนสุดท้ายก่อนที่เขาจะเข้าสู่วิหารนิทรา เขามาถึงที่นี่เมื่อคืนนี้ และข้ากำลังจะไปหาเขาที่ห้อง ถ้าพวกเจ้าอยากจะไปด้วยก็รีบลุกไปจัดการตัวเองได้แล้ว”

.....................................

ในที่สุดคาริกับโอเรนก็มาอยู่ในลิฟต์กับไอดิเอลอย่างงงๆ พลางสงสัยว่าวันนี้พวกเขาจะได้ไปเที่ยวที่เมืองพ่อค้า หรือต้องติดแหง็กกับธุระของไอดิเอลทั้งวันกันแน่ ทางเข้าห้องของโอเลกซ์นั้นเหมือนกับทางเข้าห้องของไอดิเอลแทบทุกอย่าง ยกเว้นตราจอมเวทที่ประดับอยู่บนประตู ไอดิเอลเดินไปถึงก็ใช้ไม้เท้าเคาะที่ประตูเบาๆ

“อรุณสวัสดิ์ครับท่านไอดิเอล ดีใจเหลือเกินที่ได้เจอท่านอีก” คนที่ออกมาต้อนรับและเอ่ยคำพูดนั้นเป็นชายวัยราวๆ ยี่สิบเศษ ถ้าคะเนจากหน้าตาก็คงจะมีอายุไม่ห่างจากไอดิเอลมากนัก เจ้าตัวมีผมสีขาวเหมือนปุยเมฆ มีดวงตาสีน้ำเงินเหมือนไพลิน น้ำเสียงที่เปล่งออกมาอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนสายลมอ่อนๆ ในตอนเที่ยงวัน เขาสวมเสื้อยาวสีกรมท่า สวมเครื่องประดับเพียงน้อยชิ้น บนใบหน้าประดับรอยยิ้มแบบที่ใครเห็นก็ต้องรู้สึกสบายใจ เขาจับแขนของไอดิเอลยกขึ้นราวกับผู้น้อยที่ได้พบกับผู้ใหญ่ที่นับถือ ก่อนจะหันไปมองคาริกและโอเรน

“พวกเจ้าทั้งสองคงเป็นคาริกกับโอเรนสินะ ทีมัวร์เล่าเรื่องให้ข้าฟังแล้ว มาๆ เข้ามาก่อนเถอะ”

ภายในห้องพักของโอเลกซ์นั้นแตกต่างจากห้องพักของไอดิเอลอย่างสิ้นเชิง หากว่าห้องรับแขกของไอดิเอลคือห้องรับแขกของจอมเวทในอุดมคติ ที่มีชั้นหนังสือล้อมรอบและชุดรับแขกพร้อมกับเก้าอี้นวมตัวยาวดูหรูหราแล้วล่ะก็ ห้องรับแขกของโอเลกซ์ก็เหมือนห้องคัดแยกเอกสารดีๆ นี่เอง ภายในห้องมีโต๊ะวางอยู่สี่ห้าตัว แต่ละตัวมีกองเอกสารปึกใหญ่วางอยู่จนมองไม่เห็นเก้าอี้ที่วางอยู่ด้านหลัง โดยรอบมีกองกระดาษมากมาย ชั้นวางหนังสือที่สูงจรดเพดานก็แออัดไปด้วยหนังสือ ทุกตารางนิ้วภายในห้องแทบจะถูกยึดครองโดยกระดาษหรือหนังสือแทบทั้งหมด เสียงแกร๊กๆ เหมือนเสียงปากกาขูดกระดาษดังถี่ยิบตอนที่ทั้งสามเดินไปที่เก้าอี้รับแขก ซึ่งก็ดูเหมือนเพิ่งถูกแหวกให้พ้นจากกองเอกสารพวกนั้นมาหมาดๆ

“โทษทีนะ ข้าไม่ค่อยได้รับแขกหรอก” ผู้เป็นเจ้าของห้องพูดแล้วแนะนำตัวเอง “ข้าชื่อไคลแอนเนอุส โอเลกซ์ เป็นจอมเวทลำดับหก พวกเจ้าเรียกข้าว่าโอเลกซ์ก็ได้”

คาริกผงกศีรษะ แล้วแนะนำตัวเองตามมารยาท “ข้าชื่อคาริก ส่วนนี่โอเรน”

โอเรนรีบพูดขึ้นต่อทันที “ข้านึกออกล่ะ ท่านไอดิเอลเคยบอกว่าท่านเป็นนักบันทึกประวัติศาสตร์ เอกสารในห้องพวกนี้ก็เป็นท่านเขียนขึ้นสินะ”

“อ่า... ท่านไอดิเอลเคยพูดถึงข้าให้พวกเจ้าฟังด้วยหรือ” อีกฝ่ายมีสีหน้าภูมิใจเหมือนเด็กๆ คนถูกกล่าวถึงจึงพูดขึ้น

“โอเลกซ์ ข้ารู้ว่าเจ้ายุ่งกับเอกสารพวกนี้มาก ข้าดีใจที่เจ้าไม่ปฏิเสธการมาของข้า ข้ามาที่นี่เพื่อมาคุยเรื่องของเจย์รอน ได้ยินมาว่าเขาพบเจ้าคนสุดท้ายก่อนเข้าสู่วิหารนิทรา”

โอเลกซ์หันไปมองเขา แล้วผงกศีรษะ “ท่านมาเพราะเรื่องท่านเจย์รอนสินะ ท่านเจย์รอนบอกข้าแล้ว หากท่านถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องเขาหรือเรื่องอาณาจักรบูรพา ให้เล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง”

ไอดิเอลมีสีหน้าประหลาดใจ “เขารู้ว่าข้าจะถามหรือ?”

“อืม... เขาว่าสักวันท่านจะถามถึงเรื่องของอาณาจักรบูรพา เขาฝากขอโทษท่านด้วยที่ทำให้ต้องวุ่นวายกับเรื่องพวกลูบิด”

“อา... จริงๆ แล้วข้าก็รู้สึกผิดอยู่สักหน่อยล่ะนะที่ไม่ได้บอกข้อมูลที่ครบถ้วนให้เขาไปแต่แรก เพราะรู้ว่าเขาโกหกไม่ได้ ถ้าเจ้าเหนือหัวถาม เขาจะต้องตอบ ถ้าเป็นแบบนั้นก็เหมือนข้านำความหายนะไปสู่พวกลูบิดเร็วขึ้น”

“เพราะงั้นท่านเจย์รอนถึงได้บอกว่าเขาเป็นฝ่ายที่ทำให้ท่านวุ่นวายสินะ...” โอเลกซ์ผงกศีรษะ “แต่เรื่องที่ท่านไม่ได้ส่งรายงานฉบับเต็มให้เขานะ เขาไม่ถือโทษโกรธอะไรท่านหรอก เขาว่าถ้าท่านส่งรายงานทั้งหมดให้เขาสิถึงจะไม่สมเป็นท่าน ที่เขาให้ท่านไปตรวจสอบเรื่องนี้เพราะเชื่อว่าท่านจะทำให้เรื่องมันจบได้ดีที่สุด”

“แต่ดูท่าเรื่องจะจบไม่ค่อยดีเท่าไหร่ล่ะนะ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องเข้าวิหารนิทราหรอก” ไอดิเอลพูดพลางถอนหายใจ โอเลกซ์ผงกศีรษะ

“ข้ารู้ว่าท่านทำไปด้วยความหวังดี แต่เรื่องที่ท่านเจย์รอนเล่าให้ฟังค่อนข้างทำให้ข้ารู้สึกสะเทือนใจ ทั้งกับท่านและคนพวกนั้น”

“เจย์รอนเล่าเรื่องอะไรให้เจ้าฟังบ้าง” ไอดิเอลว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเขาหลังการประชุมนั่น แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกลูบิดบ้าง”

“เรื่องมันค่อนข้างจะยาวอยู่” โอเลกซ์ว่า “หลังจากเรื่องวันนั้น ท่านเจย์รอนทูลแนะนำให้กษัตริย์ราชิดที่สามก่อตั้งหมู่บ้านสำหรับพวกลูบิดขึ้น แทนที่จะออกคำสั่งรุนแรงเช่นการกำจัดออกจากอาณาจักร เพราะอย่างไรเสียพวกลูบิดก็เป็นเพียงราษฎรที่มีอาการผิดปกติเท่านั้น กษัตริย์ราชิดที่สามทรงเห็นชอบกับท่านเจย์รอน จึงได้มีราชโองการให้ตั้งหมู่บ้านสำหรับพวกลูบิดขึ้น โดยเสนอสิทธิพิเศษเช่นการจ่ายค่าเช่าที่ทำกินเพียงครึ่งหนึ่ง เป็นการดึงดูดให้ผู้คนที่มีความผิดปกติดังกล่าวย้ายเข้ามา เพื่อที่จะได้ควบคุมและจำกัดจำนวนพวกลูบิดได้ ประชาชนให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก กระทั่งมีบางส่วนพยายามปลอมตัวเองเป็นพวกลูบิดด้วยซ้ำ ทุกอย่างดูเป็นไปได้ด้วยดีไม่มีการเสียเลือดเสียเนื้อ พอย่างเข้าปีที่สอง หมู่บ้านลูบิดก็มีประชากรที่ผ่านการตรวจสอบแล้วถึงหนึ่งพันกว่าคน เป็นจำนวนที่เยอะจนน่าตกใจ พวกขุนนางและเสนาบดีเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับพละกำลังและความสามารถของคนพวกนี้ และงบประมาณที่ใช้เลี้ยงดู ท่านเจย์รอนจึงเสนอว่าให้นำมาฝึกเป็นทหารรักษาพระองค์ เพื่อที่จะได้แน่ใจว่าคนพวกนี้จะมีความจงรักภักดี แต่ขุนนางและเชื้อพระวงศ์บางส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับท่านเจย์รอนและพวกลูบิด กษัตริย์ราชิดที่สามฟังความเห็นจากทั้งสองฝ่าย ทรงสรุปให้มีการตั้งกองกำลังทหารรักษาพระองค์ที่ประกอบด้วยพวกลูบิดดั่งที่ท่านเจย์รอนเสนอ และมีราชโองการสั่งไม่ให้พวกลูบิดทั้งหมดพบกับจอมเวทโดยเด็ดขาด ผู้ใดตั้งใจก็ดี พลาดพลั้งก็ดี จะต้องอาญาตัดศีรษะโดยไม่มีข้อยกเว้น รับสั่งให้ท่านเจย์รอนแสดงความบริสุทธิ์ใจเรื่องนี้ต่อหน้าเหล่าขุนนาง ท่านเจย์รอนนึงได้ลงคำสาปบนร่างตัวเอง หากมีลูบิดผู้ใดมองเห็น ขอให้ดวงตามืดบอด พวกลูบิดพอทราบเรื่องนี้ ก็มีความกริ่งเกรงจอมเวทเป็นอย่างมาก ถึงกับไม่กล้าโผล่หน้าออกมาจากบ้านตอนที่ทหารหลวงไปถึง เพราะกลัวจะพบกับท่านเจย์รอน ตาบอดและต้องอาญาตัดศีรษะ ทางอาณาจักรบูรพาก็เริ่มมีการเกณฑ์พวกลูบิดไปเป็นทหารรักษาพระองค์ และบางส่วนไปเป็นแรงงานหลวง จ่ายค่าแรงตามสมควร ไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น ทว่าหลังจากมีการจัดตั้งกองกำลังนี้เพียงหนึ่งปี กษัตริย์ราชิดที่สามก็สวรรคต ตรงนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่ท่านเจย์รอนไม่อาจควบคุมได้”

“....”

“ก่อนสวรรคต กษัตริย์ราชิดที่สามทรงตั้งเจ้าชายอัฟฟานพระโอรสองค์รองเป็นรัชทายาท เนื่องจากทรงมองว่าเจ้าชายอัฟซานพระโอรสองค์โตมีพระทัยโหดเหี้ยมเกินไป หากให้ปกครองแผ่นดินราษฎรจะเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ทรงให้ท่านเจย์รอนทำสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้อาณาจักรบูรพามีกษัตริย์ที่ชอบธรรมนั่งบนบัลลังก์ หลังพระองค์สวรรคต เจ้าชายอัฟซานที่ไม่พอใจกับคำสั่งแต่งตั้งของพระราชบิดา จึงไปรวมกำลังกับเจ้าชายฮามิดโอรสที่เกิดแต่เจ้าชายฟารุคซึ่งมีศักดิ์เป็นพระปิตุลา ยกกำลังทหารเข้ามายังนครหลวงฮาเนียยา เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในการสืบทอดราชบัลลังก์แทนเจ้าชายอัฟฟาน ท่านเจย์รอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีศึกชิงบัลลังก์เกิดขึ้นในอาณาจักรบูรพา แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ท่านเจย์รอนไม่อาจคุมกองทหารหลวงทั้งหมดไว้ในมือได้ ทหารบางส่วนเข้าด้วยกับเจ้าชายอัฟซาน เพราะไม่พอใจท่านเจย์รอนเรื่องพวกลูบิด ทำให้ศึกยืดเยื้อนานหลายเดือน มีทหารและประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก ท้ายที่สุดเจ้าชายอัฟฟานประกาศยอมแพ้ เนื่องจากไม่ต้องการเห็นการนองเลือดดำเนินสืบไป ทรงดำริจะพบกับพระเชษฐาเพื่อมอบตำแหน่งให้ ท่านเจย์รอนทูลว่าเจ้าชายทรงประกาศยอมแพ้เพื่อยุติการนองเลือด เขาไม่ขัดข้อง แต่เจ้าชายจะมอบตำแหน่งให้พระเชษฐา เห็นจะยอมให้กระทำมิได้ เนื่องเพราะนี่เป็นพระประสงค์ของพระราชบิดา และท่านเจย์รอนได้ให้สัญญาไว้แล้ว เจ้าชายตรัสถามว่าอย่างนั้นจะให้พระองค์ทำเช่นไร ท่านเจย์รอนจึงทูลว่านับแต่วันนี้อาณาจักรบูรพาจะไม่เป็นเช่นที่ผ่านมาอีก จะวุ่นวายหาความสงบไม่ได้ สิ่งที่เจ้าชายต้องทำคือมีชีวิตอยู่สืบไป เพื่อที่วันหนึ่งตัวเจ้าชายเอง หรือทายาท จะกลับมายังพระราชวังแห่งนี้อีกครั้ง ทวงสิทธิ์อันชอบธรรมและคืนความสงบสุขให้กับอาณาราษฎร เจ้าชายทรงสัญญาว่าจะทำอย่างที่ท่านเจย์รอนแนะนำ ท่านเจย์รอนจึงได้ใช้วงแหวนเวทส่งตัวเจ้าชายอัฟฟานและพระชายาออกจากพระราชวัง จากนั้นก็ลงคำสาปไว้บนราชบัลลังก์แห่งบูรพา ว่ามีแต่ผู้มีสิทธิ์อันชอบธรรมเท่านั้น ที่จะนั่งบนบัลลังก์นี้ได้ เมื่อเจ้าชายอัฟซานเสด็จมาถึงพระราชวัง ได้สั่งให้ท่านเจย์รอนถอนคำสาป แต่ท่านเจย์รอนปฏิเสธ ด้วยความพิโรธเจ้าชายจึงสั่งยึดไม้เท้าและกักบริเวณท่านเจย์รอนไว้ในสุสานหลวงใต้ดินเพื่อเป็นการลงโทษ ท่านเจย์รอนก็ยินยอม จากนั้นเจ้าชายอัฟซานก็ปราบดาภิเษกตัวเองเป็นกษัตริย์ราชิดที่สี่”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “นี่ข้าทำให้เจย์รอนต้องลำบากจริงๆ สินะ... ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกับพวกลูบิดหลังจากนั้น พวกเขาเป็นทหารรักษาพระองค์ไม่ใช่หรือ? ตอนที่รบกัน พวกเขาต้องสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจย์รอนรึเปล่า?”

“อ้อ... พวกเขาอยู่แนวหน้า ไม่ได้ร่วมสู้กับท่านเจย์รอนหรอก” โอเลกซ์ว่า “ข้าก็ถามเขาเรื่องนี้เหมือนกัน ถึงได้รู้ว่าที่ศึกยืดเยื้อเพราะมีกองกำลังของพวกลูบิดนี่แหละ แต่หลังจากกษัตริย์ราชิดที่สี่ขึ้นครองราชย์ ก็สั่งประหารทั้งหมด และมีคำสั่งให้พวกลูบิดเป็นผู้มีลักษณะอันตรายของอาณาจักร หากมีใครพบเห็นให้รีบแจ้ง ผู้ที่ให้การหลบซ่อน หากมีการตรวจพบจะถูกลงโทษสถานหนัก ส่วนพวกลูบิดที่ถูกจับได้จะถูกฆ่าในทันที ไม่ว่าจะเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือแม้แต่เด็กทารก”

คาริกที่นั่งฟังอยู่ด้วยเม้มริมฝีปากด้วยความสะเทือนใจ ขณะที่โอเรนส่งเสียงครางออกมา

“ทำไมต้องโหดร้ายขนาดนั้นด้วย... พวกเขาทำอะไรผิดหรือ”

“ก็ทำนองว่าทำให้อาณาจักรมีภัยนั่นล่ะ” โอเลกซ์หันมาตอบ “ข้าเคยเข้าไปบันทึกเรื่องราวในช่วงเวลาหลังจากนั้นสักพัก แต่ไม่เคยเจอพวกเขาตัวเป็นๆ หรอก เพราะต่างคนต่างหนี แล้วพวกเขาก็กลัวจอมเวทมากด้วย จากคำบอกเล่าที่ข้าได้รับ ใครที่อยากรอดต้องควักลูกตาออก เพราะสีตาของพวกลูบิดเป็นสีม่วง ซึ่งตรวจสอบได้ง่ายมาก คิดแล้วก็น่าสงสารอยู่นะ พวกเขาเลือกเกิดไม่ได้ แถมโอกาสรอดจนโตก็มีต่ำ แล้วยังต้องมาควักลูกตาเพื่อให้รอดชีวิตจากการถูกตามล่าของทางการอีก บางทีข้าก็คิดนะ ว่าสิ่งที่ท่านไอดิเอลทำลงไปเพื่อพวกเขาเมื่อคราวนั้นมันช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เมื่อเทียบกับผลที่ท่านกับท่านเจย์รอนได้รับ”

“ข้าไม่ได้ทำลงไปเพราะคิดว่ามันคุ้มหรือไม่คุ้มหรอกนะ” ไอดิเอลว่า “เพราะข้ารู้ว่าต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับพวกลูบิด ข้าจึงเลือกที่จะทำแบบนั้น ไม่ว่าจะสั้นหรือยาว พวกเขาควรมีโอกาสที่จะได้มีชีวิตเฉกเช่นคนทั่วไป ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจย์รอน ข้าคงปฏิเสธความรู้สึกผิดไม่ได้ แต่ก็น่าผิดหวังอยู่บ้างสำหรับมนุษย์ที่เขาให้การอุปถัมภ์มาตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักร ข้าคงประเมินพวกเขาในเรื่องนี้สูงไปหน่อย ว่าแต่เจย์รอนที่ยอมถูกกักบริเวณไม่ยอมออกจากอาณาจักรตั้งแต่เกิดเรื่อง ทำไมถึงตัดสินใจออกจากอาณาจักรเสียล่ะ”

“ท่านเจย์รอนบอกว่า ถึงเวลาที่จะต้องให้อาณาจักรบูรพาสะสางเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเขาแล้วน่ะ” โอเลกซ์ตอบ ก่อนจะพูดต่อ “นับตั้งแต่กษัตริย์ราชิดที่สี่ขึ้นครองราชย์เมื่อ ฉ.ศ. เก้าร้อยสิบเจ็ด ท่านเจย์รอนก็ถูกสั่งกักบริเวณมาโดยตลอด หลังจากที่พระองค์สวรรคตในปี ฉ.ศ. เก้าร้อยยี่สิบเก้า ท่านเจย์รอนปฏิเสธที่จะช่วยเหลือพระโอสรทั้งสองของพระองค์ในการทำสงครามแย่งชิงบัลลังก์ เมื่อเจ้าชายฟาดิลชนะสงครามสถาปณาตัวเองเป็นกษัตริย์ฟาดิลที่สอง จึงสั่งกักบริเวณท่านเจย์รอนต่ออย่างไม่มีกำหนด พอพระโอรสคือกษัตริย์ฟาดิลที่สามขึ้นครองราชย์ ก็ยังยืนคำสั่งเดิม กระทั่งเจ้าชายบาซิลทายาทของเจ้าชายฟารุคนำกองทัพของหัวเมืองทางเหนือยกเข้ามาตีเมืองหลวงนาฟิซาจนแตก ท่านเจย์รอนจึงได้รับการปลดปล่อยจากการกักบริเวณ ประมาณช่วงปี ฉ.ศ. เก้าร้อยเจ็ดสิบห้านี้เอง”

“อ้อ... เจย์รอนไม่ช่วยอดีตกษัตริย์ที่ปราบดาภิเษกตัวเองขึ้นมา แต่ช่วยกองทัพของทายาทเจ้าชายที่เคยช่วยกันก่อกบฏในตอนแรกสินะ”

“ก็ไม่เชิงหรอกครับ” โอเลกซ์ตอบ “ท่านเจย์รอนปฏิเสธการช่วยเหลือทางการทหาร แต่ได้ติดตามเจ้าชายบาซิลไปตามที่ต่างๆ แล้วก็ทำให้ฝนตก ข้ายังไม่ได้บอกสินะ ว่าหลังจากท่านเจย์รอนถูกกักบริเวณ อาณาจักรบูรพาเกิดภัยแล้งบ่อยมาก จนประชาชนเชื่อว่าเป็นคำสาปของจอมเวท แต่ขนาดประชาชนเชื่อกันแบบนั้น ทางราชสำนักยังไม่ยอมปล่อยตัวท่านเจย์รอนเลย”

“หืม จอมเวททำให้ฝนแล้งได้ด้วยหรือ?” คาริกถามด้วยความประหลาดใจ “พวกท่านมีพลังขนาดสามารถกำหนดฤดูกาลได้เลยหรือ?”

“ไม่มีจอมเวทคนไหนควบคุมความเป็นไปของโลกได้หรอก” ไอดิเอลตอบเขา “โดยภูมิประเทศของอาณาจักรบูรพาน่ะ เกิดภัยแล้งได้ง่ายอยู่แล้ว ที่พวกเราทำเป็นการใช้พลังรวบรวมไอน้ำที่มีอยู่ทำให้เกิดเป็นเมฆฝนน่ะ อาจจะมีการดึงน้ำจากใต้ดินมาช่วยด้วย จะบอกว่าเป็นการเร่งปฏิกิริยาก็คงได้ เหมือนอย่างที่ข้าเรียกน้ำแข็งออกมาตอนสู้กับอิกเน่ ลาเชอร์ตายังไงล่ะ”

“เอ่อ... ข้าไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกนะ แต่ดูเหมือนการมีจอมเวทจะดีกว่าไม่มีสินะ” คาริกว่า ไอดิเอลพยักหน้า แล้วจึงพูดขึ้นต่อ

“เจ้าคาริกพูดมาก็มีเหตุผล อาณาจักรบูรพากักบริเวณเจย์รอนไว้ตั้งหลายปี เท่ากับพวกเขาขาดจอมเวทประจำราชสำนัก แล้วพวกเขาทำยังไงกับเรื่องกองทัพ ข้าว่าอาณาจักรที่ปราศจากจอมเวทน่าจะอ่อนแอมากอยู่นะ”

“สมัยกษัตริย์ราชิดที่สี่ ได้มีการประดิษฐ์อาวุธที่ใช้ทดแทนพลังเวทขึ้นมาน่ะ” โอเลกซ์ว่า พอเห็นไอดิเอลทำท่าจะขยับปาก เขาเลยพูดขึ้นต่อ “ข้ารู้ว่ามันผิดสนธิสัญญาระหว่างอาณาจักร ทางอาณาจักรบูรพาทำการทดลองนี้อย่างลับๆ เช่นเดียวกับที่พวกเขาปิดเรื่องกักบริเวณท่านเจย์รอนเอาไว้ เรื่องมันมาแดงตอนที่กษัตริย์ฟาดิลที่สองนำอาวุธที่ว่าไปปราบกบฏหัวเมืองฝ่ายเหนือที่นำโดยเจ้าชายบาซิลนี่แหละ ทางอาณาจักรอุดรที่ให้การสนับสนุนเจ้าชายบาซิลรู้เรื่องเข้า จึงนำไปแจ้งต่อสภา ท่านพลาดเรื่องนี้เพราะต้องโทษอัปเปหิ ท่านฟัยรุซาเรียกประชุมจอมเวททั้งหมด และเรียกประชุมตัวแทนจากทั้งหกอาณาจักร ตอนนั้นกษัตริย์ฟาดิลที่สองทรงปล่อยตัวท่านเจย์รอนชั่วคราวเพื่อให้มาเข้าร่วมประชุม ท่านเจย์รอนปฏิเสธที่จะตอบทุกคำถาม ตอนนั้นข้าก็สงสัยอยู่ว่ามันคงมีเรื่องภายใน แต่สุดท้ายทางอาณาจักรบูรพาก็ยอมลงนามในสนธิสัญญายกเลิกและทำลายอาวุธพวกนั้น หลังจากเรื่องนั้นทุกอาณาจักรดูเหมือนจะตื่นตัวเรื่องการเฟ้นหาผู้มีพลังด้านเวทมนตร์มาเสริมความแข็งแกร่งของอาณาจักร จนมีการตั้งโรงเรียนสอนนักเวทขึ้นทั่วทั้งหกอาณาจักรเลยล่ะ ส่วนอาณาจักรบูรพาที่มีคำสั่งกักบริเวณท่านเจย์รอนอย่างเป็นความลับ ก็ได้เชิญซีนอนไปเป็นคนจัดการเรื่องนี้ การที่เขาเข้าไปเป็นจอมเวทประจำราชสำนักบูรพาหลังจากท่านเจย์รอนขอลาออกจึงไม่ใช่เรื่องใหม่หรอกนะ”

“ทำไมพวกเขาถึงเลือกซีนอนล่ะ” ไอดิเอลถามต่อ “อย่างกาลัน แดกมาร์ ฮาดาร์ก็น่าจะยังไม่ขึ้นกับอาณาจักรไหนเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”

“ท่านเจย์รอนเป็นคนแนะนำเองแหละ” โอเลกซ์ตอบ “ตอนนั้นกษัตริย์ฟาดิลที่สองให้คนมาสอบถามว่าในบรรดาจอมเวททั้งหมด มีใครที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของท่านเรื่องพวกลูบิดบ้าง ท่านเจย์รอนตอบไปว่าซีนอน พวกเขาเลยเชิญซีนอนไปน่ะ”

ได้ยินเสียงไอดิเอลจิ๊ปากเป็นเชิงไม่พอใจ “ชิ... เจ้าพวกมนุษย์นี่”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-12-2021 14:22:26 โดย juon »

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
โอเลกซ์หัวเราะออกมา “ท่านอย่าหงุดหงิดไปเลยน่า คราวนั้นที่ซีนอนไม่พอใจ ก็เพราะท่านเอาตัวเองไปแลกกับพวกลูบิด เขานับถือท่านมากนะ ข้าว่าเขาคงโมโหพวกลูบิดมากกว่าท่านน่ะ ท่านเจย์รอนบอกว่าเป็นซีนอนก็ดี ด้วยนิสัยแบบเขาคงพอจะรับมือปัญหาภายในของอาณาจักรบูรพาได้หรอก”

“ถ้าเขาไม่ก่อปัญหาขึ้นมาก็ดีหรอก” ไอดิเอลว่า พลางถอนหายใจเฮือก “ข้าล่ะสงสัยจริงๆ นะว่าเจย์รอนเห็นดีเห็นงามอะไรในตัวเด็กนั่น”

“ท่านอคติกับเขาเองมากกว่า” โอเลกซ์พูดยิ้มๆ “แต่ข้าก็เข้าใจนะ เพราะซีนอนน่ะเจาะจงหาเรื่องกับท่านทุกที เขาคงอยากให้ท่านสนใจเขาน่ะ”

“เจ้านั่นไม่ใช่เด็กอายุสิบห้าสิบหกแล้วไหม” ไอดิเอลว่า “อายุปาไปเป็นร้อยเป็นพันปีแล้วยังจะทำตัวเป็นเด็กๆ อยู่ได้”

“ก็เฉพาะกับท่านนั่นล่ะนะ... ว่าแต่ท่านพบเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ?”

“น่าจะเป็นตอนที่เจ้านั่นก่อเรื่องวุ่นจนข้าคิดอยากจะส่งเขาเข้าวิหารนิทราไปเลย... เรื่องอะไรแล้วนะ... เรียกดาวหางล่ะมั้ง... ให้ตายเถอะ แค่คิดว่าเขาเคยทำเรื่องแบบนั้นข้าก็ยังรู้สึกผิดเลยที่ไม่ส่งเขาเข้าวิหารนิทราไปเสียแต่ตอนนั้นน่ะ”

“ที่จริงแล้วเรื่องเรียกดาวหางนี่ก็เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ น่ะนะ” โอเลกซ์ว่า “มาคิดดูแล้วถ้าเป็นคนอื่นข้าคงสนับสนุนให้ส่งเข้าวิหารนิทรานั่นแหละ แต่เพราะเป็นซีนอน ข้าว่าเขาทำเพราะอยากให้ท่านไปห้ามน่ะ ยังไงก็คงไม่คิดจะทำลงไปจริงๆ อยู่แล้ว”

ไอดิเอลรีบยกมือห้าม “ถ้าเจ้าคิดแบบนั้นก็ควรจะสนับสนุนให้ข้าส่งเขาเข้าวิหารนิทราไปเสียเลย ทำไมข้าจะต้องมาวุ่นวายกับเรื่องเรียกร้องความสนใจไร้สาระแบบนั้นด้วย”

“ใจเย็นๆ เถอะครับ เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งห้าร้อยกว่าปีแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ทำเรื่องวุ่นวายจนเดือดร้อนท่านไม่ใช่หรือ? ข้าว่าถ้าท่านไปเยี่ยมเขาที่อาณาจักรบูรพา เขาต้องดีใจมากแน่”

“เหอะ... ถ้าอยากให้ข้าไปเยี่ยมจริงก็ควรจะให้ทางอาณาจักรบูรพายกเลิกคำสั่งห้ามเข้าเมืองของข้าก่อนไหม”

“ท่านน่าจะลองติดต่อไปหาเขานะ” โอเลกซ์ยังคงพูดต่อ “ยังมีสสารเลือดของเขาอยู่รึเปล่าครับ ข้าพอจะแบ่งให้ได้นะ”

“ไม่ต้อง... ข้ามี” ไอดิเอลตอบอย่างเสียไม่ได้ “แต่ข้าไม่ติดต่อหาเจ้าเด็กนั่นหรอก คุยกันทีไรมีแต่เรื่องชวนปวดหัว”

“อย่างนั้นข้าจะให้ซีนอนติดต่อท่าน เขาคงดีใจที่ท่านเริ่มถามถึงเขาแล้ว”

“ไม่ต้องเหมือนกัน” อีกฝ่ายรีบบอก “ไม่ต้องบอกอะไรเขา เจ้าต้องรู้นะว่าข้าคุยกับเจ้านั่นทีไรมีแต่เรื่องทุกที”

“แต่ถ้าท่านต้องการเดินทางไปที่อาณาจักรบูรพา ท่านควรติดต่อเขานะ...”

“....”

“หรือว่าข้าเข้าใจผิดครับ? ข้าคิดว่าท่านตั้งใจจะเดินทางไปที่อาณาจักรบูรพานะเนี่ย อย่างน้อยๆ ก็ไปเพื่อสอบถามเรื่องของพ่อหนุ่มลูบิดคนนี้น่ะ เขาเป็นลูบิดคนแรกที่ถูกพบนอกอาณาจักรบูรพาเลยนะ และยังถูกพบหลังจากไม่มีการพบผู้ที่มีลักษณะแบบลูบิดมาหลายสิบปีแล้วด้วย ตั้งแต่ทางอาณาจักรบูรพามีคำสั่งให้กวาดล้างน่ะ ขนาดข้าเองยังสนใจอยากไปตามรอยเลยนะ ว่าเขามาจากไหน รอดมาจนถึงนี่ได้ยังไง บางทีอาจจะมีอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับการกลายพันธุ์นี่ที่ท่านยังศึกษาไม่หมดก็ได้”

“เอาล่ะ ไม่ต้องมาเกลี้ยกล่อมข้า” ไอดิเอลตัดบท “ข้าคงหาทางไปที่อาณาจักรบูรพาสักวัน แต่ไม่ใช่ตอนนี้หรอก เพราะฉะนั้นไม่ต้องติดต่อซีนอน ไม่ต้องบอกอะไรเขาทั้งนั้น ข้าไม่คิดว่าการที่เขารู้ว่าข้ามีความคิดว่าจะไปที่นั่นจะทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นหรอกนะ เจ้าเข้าใจที่ข้าบอกไหม”

“ครับ” โอเลกซ์ผงกศีรษะ ไอดิเอลจึงพูดขึ้นต่อ

“เอาล่ะ กลับไปที่เรื่องเดิมของเราดีกว่า สรุปแล้วเจย์รอนติดตามเจ้าชายบาซิลไปแล้วทำให้ฝนตก ข้าก็ว่าสมเป็นเขาแล้ว แต่มันเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้เขาตัดสินใจออกมาแล้วเข้าสู่วิหารนิทรา”

“อ๋อ เพราะท่านเจย์รอนต้องการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับกษัตริย์ราชิดที่สาม จึงไม่ได้คลายคำสาปที่ลงไว้บนราชบัลลังก์แห่งบูรพา เจ้าชายแจบบาร์โอรสของเจ้าชายบาซิลที่ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดาที่เสด็จสวรรคตระหว่างรวบรวมแผ่นดิน ก็ไม่เคยได้นั่งบนบัลลังก์แห่งนั้น แม้ว่าพระองค์จะปกครองอาณาจักรอย่างเป็นธรรมมากก็ตาม พอพระโอรสของพระองค์ ซึ่งก็คือเจ้าชายการิมขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์บาซิลที่สอง ก็ยื่นคำขาดให้ท่านเจย์รอนถอนคำสาป หรือไม่ก็ออกไปเสีย ท่านเจย์รอนเลือกรักษาสัญญาจึงขอลาออกแต่ไม่ยอมถอนคำสาป เขาไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นที่หวาดระแวงจึงได้เข้าสู่วิหารนิทราเป็นเวลาร้อยปี เขาว่าถ้าท่านรู้เรื่องนี้ต้องสงสัยแน่ แต่เขาไม่อยากพบท่านก่อนเข้าวิหาร เพราะกลัวว่าท่านจะทำให้เขาเปลี่ยนใจ จึงเรียกข้าไปพบเพื่อเล่าเรื่องให้ฟังแทน เผื่อว่าวันหนึ่งท่านถามถึง จะได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

ฟังจบไอดิเอลก็ถอนหายใจเฮือก “เจย์รอนเอ๋ยเจย์รอน ความเถรตรงของเจ้าช่างน่านับถือ แต่นี่คงจะเป็นปัญหาสำหรับอาณาจักรบูรพาแน่ๆ กษัตริย์ที่ไม่อาจนั่งบนบัลลังก์ย่อมไม่อาจนับว่าเป็นกษัตริย์โดยแท้จริงได้ พวกเขาคงคิดจะให้ซีนอนไปแก้คำสาปนั่นสินะ”

“ข้าคิดว่าด้วยพลังของท่านเจย์รอน ต่อให้เป็นซีนอนก็คงไม่อาจถอนคำสาปได้ทั้งหมด” โอเลกซ์ว่า “หนทางที่พอจะเป็นไปได้คือค้นหาเชื้อสายผู้สืบทอดของเจ้าชายอัฟฟาน หากผู้มีเชื้อสายทายาทอันชอบธรรมได้นั่งลงบนราชบัลลังก์ ก็น่าจะถอนคำสาปที่ท่านเจย์ร่อนลงไว้ได้”

“ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครค้นพบสินะ...”

โอเลกซ์มองเขาแล้วยิ้ม “ไม่รู้สิครับ ข้าเองก็ไม่ได้เข้าไปที่นั่นหลายปีแล้วด้วย ทำไมท่านถึงไม่ไปดูด้วยตัวเองล่ะ”

ไอดิเอลจ้องหน้าเขาอึดใจ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกทางจมูก “เจ้าพอจะเขียนอธิบายความเปลี่ยนแปลงในอาณาจักรบูรพาให้ข้าดูคร่าวๆ ได้ไหม ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเก้าสิบปีที่ข้าไม่ได้เข้าไปที่นั่น”

“อ้อ ได้สิครับ” อีกฝ่ายตอบ แล้วลุกขึ้นเดินไปหยิบกระดาษชุดหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ “เมื่อวานตอนสเตลลาบอกข้าว่าท่านอยากพบ ข้าก็เลยตัดสินใจเขียนผังนี้ให้ท่าน คิดว่าน่าจะละเอียดและเข้าใจได้ง่ายกว่าการบอกเล่าปากเปล่า ถ้าท่านอยากได้ฉบับเต็ม ข้ามีเขียนเป็นจดหมายเหตุเอาไว้ แต่ต้องรอคัดลอก เร็วสุดน่าจะอีกสองสามวัน เพราะมันค่อนข้างมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะอยู่น่ะครับ”

ไอดิเอลผงกศีรษะ ก่อนจะรับกระดาษชุดนั้นมา “ข้าขอดูผังก่อนแล้วกัน”

“ตามสบายเลยครับ” โอเลกซ์ว่า “ถ้าท่านไม่ว่าอะไร ข้าขอสัมภาษณ์คาริกกับโอเรนได้ไหม เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่แคนเดนส์น่ะ”

“เอาสิ” ไอดิเอลว่า “เขาอยากจะมีชื่ออยู่ในนิทานสักเรื่อง ข้าว่าเรื่องที่แคนเดนส์ก็เหมาะอยู่น่ะนะ เขาปราบสัตว์ยักษ์ ช่วยเหลือมังกรที่ถูกลักตัวออกมา ไม่ต้องใส่เรื่องข้าลงไปหรอก เดี๋ยวจะแย่งบทเด่นไปหมด”

โอเลกซ์หัวเราะ “ข้าบันทึกประวัติศาสตร์นะท่านไอดิเอล เรื่องนิทานเดี๋ยวมันก็ตามมาเองแหละครับ ข้าขอสัมภาษณ์พวกเขาสองคนก่อน แล้วเดี๋ยวจะมาสัมภาษณ์ท่านอีกที”

ไอดิเอลขยับปากทำท่าจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็พยักหน้า โอเลกซ์จึงหันไปหาคาริกกับโอเรนแล้วยิ้มให้ทั้งคู่

“พวกเจ้าไม่ต้องเกร็งไปนะ ข้าแค่จะถามเพื่อบันทึกเป็นจดหมายเหตุนะ” เขาหันไปที่โต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยกระดาษเอกสาร แล้วส่งเสียงเรียก

“ทัล เจ้ามานี่หน่อยสิ ข้าอยากให้เจ้าจดบันทึกเรื่องของสองท่านนี้น่ะ”

อะไรบางอย่างกระโดดออกมาจากด้านหลังกองกระดาษ พอคาริกก้มลงไปมองบนโต๊ะ ก็เห็นสิ่งที่ดูเหมือนคนหลังงุ้มสวมเสื้อผ้าปักเลื่อมสีน้ำเงิน ตัวโตกว่าฝ่ามือของเขาเล็กน้อย เจ้าตัวถึงกับร้องขึ้น

“นี่มันตัวอะไรเนี่ย?!”

“เสียมารยาทจริงๆ มาเรียกข้าว่าตัวอะไรด้วยเสียงแบบนั้นได้ไง” เจ้าสิ่งที่อยู่บนโต๊ะส่งเสียงแหลมเล็กพลางเงยหน้าขึ้นมามอง ใช้ดวงตาสีเหลืองเหมือนแมวจ้องคาริกเขม็ง ชายหนุ่มจึงสังเกตเห็นว่าเจ้า ‘สิ่งนั้น’ สวมหมวกแบบปีกกว้างด้วย ได้ยินเสียงเดิมพูดต่อ

“ข้าคืออะก็อก ชื่อว่าทัล... ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไม่เคยเจออะก็อกแบบข้าแน่ ท่านโอเลกซ์บอกว่าปกติแล้วมนุษย์ไม่ค่อยจะพบพวกเราหรอก ดังนั้นจงภูมิใจซะเถอะที่เจ้าได้รับเกียรตินี้ ข้านะ...”

“เขาเป็นภูติชนิดหนึ่งน่ะ” ไอดิเอลส่งเสียงแทรกขึ้นมา ได้ยินเสียงคาริกร้องออกมา

“ภูติเรอะ!”

“ก็ภูติน่ะสิ” ทัลว่า แม้ว่าเขาจะตัวเล็ก แต่หน้าตากลับดูเหมือนคนแก่มากกว่ามาร์คัสเสียอีก ทั้งยังมีจมูกยาวงุ้มออกมาอีกด้วย โอเรนส่งเสียงขึ้นด้วยความสนใจ

“ว้าว ภูติเหรอ ข้าก็ว่าพลังงานของเจ้าต่างจากของคาริกกับท่านไอดิเอลและท่านโอเลกซ์อยู่นะ ข้าชื่อโอเรน ท่านไอดิเอลบอกว่าข้าเป็นมังกร พวกเราน่าจะเป็นของหายากสำหรับมนุษย์พอๆ กันเลย ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าเจ้าไม่ใช่นูเบส โฟลิอุมตนแรกที่ข้าเคยพบ” ทัลว่า “แต่นูเบส โฟลิอุมก็ไม่ใช่อะไรที่จะพบเจอได้ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะงั้น ยินดีที่ได้รู้จักนะ ข้าชื่อทัล”

“เจ้าแนะนำตัวเองสองรอบแล้ว” ไอดิเอลส่งเสียงขึ้นมาอีก “ขอร้องล่ะ ช่วยหุบปากแล้วปล่อยให้โอเลกซ์ถามไปได้ไหม ได้ยินเสียงพวกเจ้าทีไรข้าปวดหัวทุกที”

“ท่านคือท่านไอดิเอลสินะ” ทัลยังคงส่งเสียงที่ทั้งแหลมเล็กและแห้งเสียดหูของเขาต่อ “ทูทูลที่ทำงานมาก่อนข้าบอกว่าท่านขี้บ่นมาก เขาว่าเพราะท่านอยู่มานานไม่ค่อยมีใครพูดด้วยเลยเป็นคนขี้รำคาญ”

“ข้าแน่ใจว่ามีคนอยากพูดกับข้ามากกว่าเจ้าแน่” ไอดิเอลส่งเสียงอย่างอดทน “ถ้าเจ้ายังไม่หุบปากล่ะก็... อย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ”

“ทำไม? ท่านจะสาปพวกเราหรือ พวกเราเป็นภูติอยู่แล้ว ไม่กลัวท่านหรอก อีกอย่างพวกเรามีท่านโอเลกซ์อยู่ด้วย ท่านสาปพวกเราไม่ได้แน่”

“เอ่อ...” โอเลกซ์ส่งเสียงขึ้นมา “ข้าเตือนว่าอย่าทำให้ท่านไอดิเอลโกรธจะดีกว่านะ ถึงมีข้าอยู่ก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้หรอก เป็นภูติเขาก็สาปให้เจ้าขี้เกียจและเป็นใบ้ได้เหมือนกัน”

“หา! จริงหรือ ข้าคิดว่าคำสาปของจอมเวทใช้กับภูติไม่ได้ผลเสียอีก”

“ในเมื่อพวกเจ้าทำสัญญากับโอเลกซ์ได้ แล้วคำสาปมันจะไม่มีผลกับพวกเจ้าได้ไง” ไอดิเอลว่า “อยากจะลองดูไหมล่ะ?”

“จอมเวทสาปพวกเราได้จริงๆ หรือ?!” เกิดเสียงดังเซ็งแซ่ตามมาจากทั้งห้อง จนคาริกต้องเอามือปิดหู เห็นพวกอะก็อกที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหลากสี แต่ส่วนใหญ่เน้นสีน้ำเงินปักเลื่อมพากันโผล่ออกมาจากกองกระดาษต่างๆ ที่วางอยู่ทั่วห้อง โอเลกซ์พยายามส่งเสียงและทำสัญญาณมือบอกให้พวกเขาหยุด แต่ดูเหมือนจะไม่สามารถเอาชนะความแตกตื่นตกใจและความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาได้ กระทั่งไอดิเอลกระแทกไม้เท้าลงบนพื้นเสียงดังปึกแล้วตวาดออกมา

“ในนามแห่งข้า ใครที่กล้าส่งเสียงอีกคำขอให้ไม่มีปาก”

ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบทันที คาริกอ้าปากเหวอด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าปากของทัลหายไป แต่เขายังไม่ทันจะได้ส่งเสียงก็ได้ยินเสียงโอเรนดังขึ้นก่อน

“อ๊ะ!”

จากนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนถูกเจ้าตัวเอาขาเคาะศีรษะรัวๆ จนต้องใช้มือจับออกมา

“หา?!” ชายหนุ่มร้องเมื่อเห็นว่าปากของโอเรนหายไป โอเลกซ์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเอามือปิดปากตัวเอง แล้วยื่นมือมาดึงแขนเขาเป็นเชิงเตือนสติ แต่ก็ดูเหมือนจะช้าไปหน่อย คาริกหันไปมองไอดิเอล

“นี่ท่านสาปทุกคนเลยหรือไง?!”

ไอดิเอลขมวดคิ้วมองคาริก แล้วถอนใจเฮือก “ยังเหลือเจ้าที่ยังพูดได้สินะ... คำสาปธรรมดาไม่มีผลกับเจ้าจริงๆ ด้วย”

“นี่ๆ ไม่ต้องคิดร่ายคำสาปอะไรให้ข้าเป็นใบ้เลยนะ” อีกฝ่ายรีบดักคอ “ถึงท่านขี้รำคาญแต่ก็อย่าสาปมั่วแบบนี้ได้ไหม ช่วยถอนคำสาปพวกเขาทีเถอะ”

“ข้าไม่ได้สาปมั่ว” อีกฝ่ายว่า พอเห็นชายหนุ่มยังเอาแต่จ้องอยู่ เจ้าตัวก็ถอนหายใจอีก “ก็ได้ๆ เจ้านี่น่ารำคาญจริงๆ”

พูดจบเขาก็เคาะไม้เท้าอีกที “ผลใดที่เกิดขึ้นเพราะคำข้า ขอให้คืนกลับดังเดิม”

สิ้นคำ ปากของทุกคนก็กลับมาอยู่บนใบหน้าเหมือนไม่เคยหายไปมาก่อน ได้ยินเสียงโอเรนถอนหายใจเฮือก “เฮ้อ... ข้าคิดว่าจะต้องกลายเป็นมังกรไม่มีปากไปแล้ว”

โอเลกซ์พลอยถอนหายใจออกมาด้วย “ข้าบอกแล้วอย่าทำให้ท่านไอดิเอลโกรธ... เอ๊ะ นั่นท่านจะไปไหนครับ?”

“กลับห้อง” ไอดิเอลว่า เขาลุกขึ้นทั้งที่ยังถือกระดาษชุดนั้นในมือ “อยู่นี่ต่อคงไม่มีสมาธิน่ะ”

“อ้อครับ...”

“อยากถามอะไรก็ขึ้นไปหาข้าที่ห้องแล้วกัน ข้าอยากอ่านเอกสารพวกนี้ให้จบ จะได้รู้ว่าต้องให้เจ้าคัดลอกฉบับเต็มมั้ย”

โอเลกซ์พยักหน้า ไอดิเอลมองเขาก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากห้อง ท่ามกลางเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของทุกฝ่าย ทัลพูดขึ้นทันทีที่ประตูปิดลง

“เขาเป็นคนน่ากลัวจริงๆ แฮะ จู่ๆ ก็สาปมาได้ ว่าแต่ทำไมเจ้าหนุ่มนี่ถึงไม่โดนคำสาปไปด้วยล่ะ”

“เขาเป็นมนุษย์ที่มีความพิเศษกว่ามนุษย์ทั่วไปน่ะ เรียกว่าพิเศษสำหรับจอมเวทอย่างพวกข้าก็ว่าได้ พวกเขามีความต้านทานเวทที่สูงมาก คำสาปหรือเวทมนตร์ธรรมดาไม่มีผลกับพวกเขาหรอก” โอเลกซ์อธิบาย “ข้าเองก็เพิ่งเห็นกับตาเป็นครั้งแรกนี่แหละ นอกจากท่านไอดิเอลกับท่านเจย์รอนแล้ว ในหมู่จอมเวทไม่มีใครเคยเห็นพวกลูบิดหรอก หืม... คาริก เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ?”

“อ๊ะ... เปล่า ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบปฏิเสธออกมา พอหันไปก็เห็นทั้งโอเลกซ์และโอเรนที่นั่งอยู่บนโต๊ะ รวมถึงทัลกำลังมองเขาอยู่

“นี่มองอะไรกันเนี่ย”

“กำลังสงสัยน่ะ” ทัลว่า โอเรนพยักหน้าแล้วพูดต่อ

“ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ทำหน้าจริงจังขนาดนั้น”

“....”

“ถ้ากังวลว่าท่านไอดิเอลจะโกรธล่ะก็... ข้ารับรองได้นะว่าเขาไม่ได้โกรธหรอก” โอเลกซ์พูดต่อพลางยิ้ม “เขาแค่อยากจะอ่านเอกสารพวกนั้นเงียบๆ เท่านั้น ข้าเองก็เห็นด้วยนะว่าเขาควรจะกลับไปอ่านที่ห้อง อยู่นี่ไปก็มีแต่เสียงหนวกหูน่ารำคาญ”

คาริกโพล่งออกมาทันที “นี่ท่านก็อยากไล่เขาออกไปเหมือนกันใช่ไหมเนี่ย”

“โอ... ข้าไม่ได้อยากจะไล่เขาหรอก” โอเลกซ์ว่า “ข้าแค่โล่งใจกับรู้สึกสมเพชตัวเองนิดหน่อยที่อบรมเพื่อนร่วมงานได้ไม่ดีเลยน่ะ”

“หืม? ท่านหมายถึงพวกเราหรือ?” ทัลพูดสวนขึ้นมา โอเลกซ์พยักหน้า

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าชอบซักชอบถาม มันเป็นข้อเด่นและเป็นข้อดีที่ทำให้ข้าชอบร่วมงานกับพวกอะก็อก แต่พวกเจ้าต้องรักษามารยาทหน่อยนะ ถึงท่านไอดิเอลจะไม่ใช่มนุษย์ที่มีอำนาจทางการเมือง อย่างเชื้อพระวงศ์หรือกษัตริย์ แต่เขาก็เป็นจอมเวทที่มีพลังมาก คราวหลังถ้าเจอจอมเวทคนอื่นก็อย่าทำแบบนี้อีกล่ะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะลงให้กับคำขอร้องง่ายๆ หรอกนะ”

“งั้นแปลว่าพวกเราโชคดีสินะที่คราวนี้มีเจ้าหนุ่มนี่ขอร้องให้” ทัลว่า แล้วหันไปมองคาริก “ข้าชักจะสนใจเจ้าจริงๆ จังๆ แล้วสิ” เขาคว้ากระดาษกับดินสอสำหรับจดขึ้นมา “เล่าเรื่องของเจ้ามาเลย ข้าพร้อมจะบันทึกแล้ว”

“ดูท่าเจ้าจะเป็นที่สนใจแล้วนะ” โอเรนว่า “ขอบใจที่ช่วยขอร้องท่านไอดิเอลให้ถอนคำสาปนะ ข้าไม่คิดเหมือนกันว่าเขาจะสาปทุกคนแบบนี้จริงๆ ฮือๆ บางทีเขาก็ใจร้ายเหมือนกันนะเนี่ย”

“อย่าไปว่าเขาแบบนั้นเลยน่า...” คาริกว่า “พวกเจ้าก็พูดมากเกินไปเหมือนกันนั่นแหละ”

โอเรนทำท่าเหมือนไม่ได้ยิน เขากระโดดกลับไปเกาะศีรษะคาริกตามเดิม “ท่านไอดิเอลฟังเจ้าขนาดนี้ เจ้าก็อย่าขี้น้อยใจเขาให้มากเลยน่า”

“ข้าขี้น้อยใจตรงไหนกัน!”

“เอาล่ะๆ พวกเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่านะ” โอเลกซ์ตัดบท “ข้าจะถามรายละเอียดเรื่องที่เกิดขึ้นที่แคนเดนส์กับพวกเจ้าทั้งสองคน ขอให้ตอบมาตามตรงก็แล้วกัน เรื่องของพวกเจ้าจะถูกจดบันทึกเป็นจดหมายเหตุ อาจจะถูกตีพิมพ์หรือไม่ถูกตีพิมพ์ก็ได้ แต่ทั้งหมดจะถูกเก็บเอาไว้ในหอสมุดของที่นี่ ซึ่งเป็นที่ที่รวมรวมข้อมูลเรื่องแทบทุกอย่างบนโลก เพราะฉะนั้น ข้าอยากให้ตอบตามความเป็นจริง และมีรายละเอียดมากที่สุด เข้าใจนะ”

“อืม”

ถึงจะมีจอมเวทอีกคนอยู่ตรงหน้าเขา แต่สมองของคาริกกลับนึกไปถึงคนที่เพิ่งเดินออกไปประตูไปเมื่อครู่

เขาแค่ขอให้ถอนคำสาปเท่านั้นเอง ไม่ได้อยากให้ไอดิเอลออกไปจากห้องนี้เสียหน่อย...

ใจคอจะออกไปจริงๆ ไม่กลับมาเลยหรือไงเนี่ย?!!

......................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ติดเกินไปแล้ว

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่19 เพื่อนเก่า


“ไอดิเอล เจ้าคิดดีแล้วจริงๆ หรือ เรื่องที่เราจะกลับไปอยู่ร่วมกับพวกมนุษย์อีก?”

ไอดิเอลเบือนหน้าไปมองคนพูด เรือนผมสีดำสนิทของฝ่ายนั้นพลิ้วลู่ไปตามแรงลมที่หอบเอาไอน้ำเค็มขึ้นมา เขามองเข้าไปในดวงตาสีเงินเรืองรองคู่นั้น แล้วถอนหายใจ

“ข้ารู้ว่าพวกมนุษย์ทำเรื่องร้ายกาจกับพวกเราเอาไว้มาก แต่การกลับไปอยู่ร่วมกับพวกเขาเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเรามีชีวิตต่อไปอย่างมีจุดมุ่งหมายได้”

“....”

“เจย์รอน... ชีวิตของพวกเราที่ผ่านมา มีแต่เรื่องสงคราม พวกเราทำศึก นำทหารต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ พวกเด็กๆ ไม่เคยได้ใช้ชีวิตของพวกเขาเองจริงๆ ด้วยซ้ำ พอพวกเขาสามารถใช้เวทมนตร์ได้ดีพอ ก็ถูกส่งไปเข้าร่วมสงครามแล้ว”

“....”

“ข้าเลือกที่จะกลับไปอยู่กับพวกมนุษย์ เพราะเห็นว่าตอนนี้พวกเขากำลังเริ่มต้นใหม่ เขาจะให้ความสำคัญกับพวกเรามากกว่าในครั้งอดีต ทุกสิ่งบนแผ่นดินเดิมตอนนี้ถูกทำลายจนสิ้น สำหรับพวกเขาแล้ว การไปถึงของพวกเราคือแสงสว่าง พวกเด็กๆ จะสามารถเลือกทำในสิ่งที่เขาเห็นว่าสมควรได้ มนุษย์จะไม่ใช่ฝ่ายที่ชี้มือสั่งเราถ่ายเดียวอีก การไปอยู่กับพวกมนุษย์ในยุคเริ่มต้นนี่แหละ จะส่งผลดีกับพวกเราที่สุด”

คนฟังถอนหายใจ “ที่จริงที่นี่ก็สงบสุขดี พวกเด็กๆ เองก็ชอบที่นี่มากนะ”

“ข้าเห็นอยู่ว่าทุกคนอยู่ที่นี่ก็เงียบสงบดี แต่พวกเรามีกันแค่สิบหกคนเท่านั้น และไม่มีใครในหมู่พวกเราสามารถสืบเผ่าพันธุ์ได้เลย แม้พวกเราจะไม่ได้เป็นที่รังเกียจของที่นี่ แต่นี่ที่ก็ไม่มีใครต้องการความสามารถของพวกเราเช่นกัน ชีวิตสงบเช่นนี้อาจทำให้พวกเราที่ต่อสู้มาอย่างยาวนาน มีความสุขในระยะเวลาหนึ่ง แต่เจ้าคิดดูสิ พวกเราจะมีชีวิตแบบนี้ไปอีกร้อยปี พันปีอย่างนั้นหรือ ชีวิตที่ได้แต่มองท้องฟ้า มองทะเล มองหน้ากันเองไปวันๆ แบบนี้น่ะ”

เจย์รอนหัวเราะออกมา เขาพูดขึ้น “ที่จริงเรื่องที่เจ้าพูดมันก็ไม่ผิดหรอกนะ จะให้มองฟ้า มองทะเล มองหน้ากันไปวันๆ แบบนี้เป็นร้อยเป็นพันปี เห็นทีจะไม่ไหวหรอก แต่การจะกลับไปอยู่กับพวกมนุษย์ทำให้ข้าอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้”

ไอดิเอลผงกศีรษะให้เพื่อน “ข้ารู้ ยังไงพวกเขาก็ไม่มองเราเป็นพวกเดียวกันหรอก วันนี้เขาอาจจะเทิดทูนเรา วันหน้าเขาอาจจะตามล่าเราก็ได้ เพราะอย่างนั้นเราต้องวางแผนให้ดี เราต้องทำให้พวกเขาเชื่อ หรือมีหลักประกันที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่าเราจะไม่หักหลังพวกเขา”

“เจ้าเคยคิดอยากให้พวกเขาหายไปจากโลกบ้างไหม?” จู่ๆ เจย์รอนก็ถามขึ้นมา ไอดิเอลหัวเราะคำหนึ่ง

“ไม่น่าถาม... ใจข้าคิดแบบนั้นไม่รู้กี่รอบ จนกระทั่งตอนนี้ข้าก็ยังคิดอยู่”

“อ้อ...”

“แต่ด้วยเหตุผลข้ารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอก ถ้าข้าใช้อารมณ์และอคติตัดสินทุกอย่าง ก็คงไม่ต่างอะไรกับพวกมนุษย์ที่น่ารังเกียจนั่น”

เจย์รอนผงกศีรษะบ้าง เขามองไอดิเอลอยู่อึดใจ ก็พูดขึ้นต่อ “เจ้านำพวกเรามาถึงที่นี่ได้ ข้าเชื่อว่าเจ้าเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อพวกเราเสมอ แต่ที่ข้าถาม เพราะข้าเป็นห่วงเจ้า ไอดิเอล เจ้าแบกภาระที่หนักหนาสาหัสนี้มานานมากแล้ว ถ้ากลับไปอยู่ร่วมกันพวกมนุษย์แล้ว ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นคนที่รับภาระหนักคนเดียวอีก ในเมื่อเจ้าคิดดีแล้ว ข้าก็ขอร้องให้เจ้าจงแบ่งภาระให้กับพวกเราทุกคน โดยไม่เว้นแม้แต่เด็กๆ พวกนั้น พวกเขาโตแล้วไอดิเอล พวกเขาไม่ใช่เด็กอีกต่อไป เจ้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรแทนพวกเขาอีกแล้ว”

“อืม... นั่นสินะ... ข้าก็คิดว่าทุกคนก็น่าจะโตๆ กันแล้ว...”

ขณะที่กำลังคุยกันอยู่ จู่ๆ เสียงของใครอีกคนก็ดังขึ้น “ท่านไอดิเอล ท่านเจย์รอน พวกท่านอยู่ที่นี่เอง ข้าตามหาแทบแย่”

พอหันไปมองก็เห็นชายอายุราวยี่สิบเศษคนหนึ่ง ผมสีม่วงทอประกายแปลกตาภายใต้แสงตะวัน ดูตัดกับแนวป่าด้านหลังคล้ายภาพวาดที่แปลกประหลาด เขาใช้ดวงตาสีดำที่มีประกายสีทองจ้ามองทั้งคู่แล้วพูดขึ้นทั้งที่ยังหอบ

“ได้ยินว่าท่าน... จะให้พวกเรากลับไปอยู่กับพวกมนุษย์หรือ?”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “เจ้าวิ่งหน้าตื่นมาเพราะจะถามข้าเรื่องนี้เนี่ยนะ?”

“ใช่” อีกฝ่ายพยักหน้า เขาค่อยสืบเท้าเดินเข้ามา จ้องไอดิเอลด้วยสายตากึ่งวิงวอน “ทำไมล่ะ พวกเขาทำเลวร้ายกับท่านขนาดนั้น ท่านก็ยังจะกลับไปหาพวกเขาอีกหรือ?”

“ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่ทำเลวร้ายกับข้า ซีนอน” ไอดิเอลว่า “มีแค่บางคนเท่านั้น...”

“แต่พวกเขาเคยตามล่าเรานะ” อีกฝ่ายแย้ง “พวกเขาใช้พวกเราเป็นเครื่องมือ ทำไมท่านถึงจะยังกลับไปหาพวกเขาอีก”

“เพราะข้ารู้ว่าพวกเราไม่อาจอยู่อย่างนี้กันไปตราบชั่วกาลนานน่ะสิ”

“ทำไมล่ะ?” อีกฝ่ายยังคงถามต่อ “ท่านไม่ชอบที่นี่ หรือว่าไม่ชอบข้ากันแน่”

ไอดิเอลจิ๊ปาก “ทำไมถึงคิดว่าข้าไม่ชอบเจ้าล่ะ?”

“ก็ข้าเอาแต่กวนท่าน อัลริกบอกว่าท่านต้องรำคาญข้ามาก จึงคิดจะออกจากเกาะนี้”

“นี่พวกเจ้าอายุสิบห้าสิบหกกันหรือไง” ไอดิเอลพูดพลางถอนหายใจ “เท่าที่ข้าจำได้ พวกเจ้าอย่างน้อยๆ อายุต้องไม่ต่ำว่าคนละแปดสิบเก้าสิบแล้ว ยังจะมางอแงงี่เง่าเป็นเด็กๆ ไปได้”

“ข้าไม่ได้งอแงงี่เง่า” ซีนอนว่า “ข้ามานี่เพราะเป็นห่วงท่าน ข้าเป็นห่วงท่านมันงอแงงี่เง่าตรงไหน”

“มันงอแงงี่เง่าตรงที่เจ้าคิดว่าข้าไม่ชอบเจ้านี่แหละ นี่มันแสดงความเป็นห่วงข้าตรงไหนกัน”

“ก็ตอนแรกที่ข้าบอกท่านไง” อีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้ “ข้าบอกท่านว่าพวกเขาเคยทำไม่ดีกับท่าน ทำไมท่านยังกลับไปอีก”

“นั่นข้าได้ยินแล้ว” ไอดิเอลว่า “แต่มันไปเกี่ยวกับเรื่องข้าไม่ชอบเจ้าได้ยังไง?”

“ก็ข้าคิดว่าท่านรำคาญข้า ถึงกับต้องยอมไปอยู่กับพวกมนุษย์เพื่อที่จะไม่ให้ข้าวุ่นวายกับท่านอีก... ข้าจะบอกท่านว่า ถ้าท่านจะทำแบบนั้น ข้าจะไม่กวนท่านแล้ว”

ไอดิเอลมองเขาครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจแรง “เจ้าอายุสิบหกหรือไง ถึงข้ารำคาญเจ้าก็ไม่เอาเหตุผลงี่เง่าแบบนั้นไปตัดสินว่าพวกเราควรจะย้ายกลับไปอยู่กับพวกมนุษย์หรือไม่หรอกนะ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่พาพวกเจ้ารอดมาถึงที่นี่แน่”

“แปลว่าท่านไม่ได้เกลียดข้า?”

“เออ แต่ตอนนี้ข้าชักเริ่มรำคาญเจ้าแล้วล่ะ หยุดทำตัวงี่เง่าเป็นเด็กแบบนี้จะได้ไหม ถึงข้าจะชอบหรือไม่ชอบเจ้า มันก็ไม่ได้มีผลอะไรกับชีวิตเจ้าสักหน่อย”

“มีสิ!” อีกฝ่ายรีบตอบ “ท่านเป็นคนที่ข้าชื่นชมมากนะ ถูกท่านเกลียดนี่ต้องเป็นตราบาปในใจข้าไปตลอดชีวิตแน่”

เจย์รอนหัวเราะออกมา ขณะที่ไอดิเอลมองเขาด้วยสีหน้าเพลียๆ “ข้าไม่เกลียดเจ้าแน่ เพราะงั้นหยุดทำตัวงี่เง่าสักทีเถอะ”

ดวงตาสีดำประกายทองคู่นั้นเป็นประกาย “อย่างนั้นท่านช่วยสอนวิชาดาบให้ข้าต่อได้ไหม ข้าอยากเก่งแบบท่าน ทั้งเรื่องเวทมนตร์และเรื่องต่อสู้ คราวก่อนท่านยังสอนค้างอยู่เลย”

“เอาล่ะ... ข้าจะสอนเจ้าและคนอื่นๆ ที่สนใจ” ไอดิเอลว่า “แต่ตอนนี้เจ้าช่วยหุบปากแล้วออกไปก่อนได้ไหม เห็นรึเปล่าว่าข้ากับเจย์รอนกำลังคุยธุระกันอยู่”

“ครับๆ” อีกฝ่ายผงกศีรษะ แต่ก็ไม่วายพูดต่ออีก “ท่านไอดิเอล ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับพวกมนุษย์ ท่านจะกรุณาช่วยสอนทุกอย่างที่ท่านรู้ให้ข้าได้ไหม ข้าอยากจะเก่งเหมือนท่านน่ะ จริงๆ นะ”

“ข้าไม่ว่างขนาดนั้นหรอก” ไอดิเอลว่า “ถ้าเจ้าอยากจะเก่งล่ะก็ อันดับแรกต้องหยุดงี่เง่า หัดใช้สมอง แล้วก็ขยันฝึกบ่อยๆ เจ้าเป็นคนมีพรสวรรค์ อนาคตอาจจเก่งกว่าข้าก็ได้”

ซีนอนทำตาโต “ท่านพูดจริงๆ หรือ?”

“อืม”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะขยันฝึก วันหนึ่งเมื่อข้าเก่งแล้ว ท่านต้องมาประลองกับข้านะ จะได้รู้ว่าข้าจะเก่งกว่าท่านจริงๆ ไหม”

“เออ เจ้ารีบๆ ไสหัวไปได้แล้ว”

“ครับๆ”

พอซีนอนคล้อยหลังไปแล้ว เจย์รอนก็หันมาหัวเราะ

“เด็กนั่นติดเจ้าแจ... เขาติดเจ้ายิ่งกว่าลูกแหง่ติดแม่อีกแน่ะ”

ไอดิเอลทำหน้าเหนื่อยกว่าเดิม “เด็กนั่นเป็นคนมีพรสวรรค์นะ แต่เลอะๆ เทอะๆ ยังไงไม่รู้ ถ้าข้าจะเป็นห่วงใครที่สุดในหมู่พวกเรา ก็คงเป็นเจ้าเด็กนี่แหละ”

“ฮ่าๆ งั้นเจ้าต้องให้ความสำคัญกับเขาหน่อยนะ เขาอายุตั้งเกือบร้อยแล้วยังวิ่งตามเจ้าเป็นเด็กๆ อยู่เลย เขาคงจะชอบเจ้ามากนั่นล่ะ อีกอย่างเขาเพิ่งได้พบเจ้าตัวเป็นๆ ไม่กี่ปีนี้เอง แล้วช่วงนั้นพวกเราก็วุ่นวายอยู่กับการหลบหนีด้วย การที่เราเพิ่งมาอยู่ที่นี่แค่ปีสองปีแล้วจะออกไปอีก คงทำให้เขาคิดว่ามีเวลากับเจ้าไม่พอล่ะนะ”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “ข้าไม่ถนัดรับมืออะไรแบบนี้ด้วยสิ ให้ข้าไปสู้กับมังกรยังง่ายกว่า”

“เจ้าก็พูดเกินไป... เอาเถอะ ข้ารู้ว่าเรื่องที่ผ่านมาทำให้เจ้าเปลี่ยนไปมาก แต่ยังไงคราวนี้เจ้าก็ห้ามแบกทุกอย่างเอาไว้ด้วยตัวคนเดียวอีกล่ะ ถ้ามีเรื่องไหนที่เจ้ากังวลมากล่ะก็... ให้บอกข้า ข้าจะจัดการเรื่องนั้นแทนเจ้าเอง ข้าว่าข้าก็มีความสามารถอยู่พอตัวนะ”

ไอดิเอลหัวเราะออกมา “ข้าไม่กังขาความสามารถของเจ้าเลย... ขอบใจนะเจย์รอน”

“ขอบใจอะไรกันเล่า เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ข้าจะต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นเพื่อนกันทำไมจริงไหม?”

ไอดิเอลยกมือตบไหล่เพื่อนรักของเขาแรงๆ ทีหนึ่ง ขณะที่ลมทะเลพัดหอบเอาไอน้ำเค็มเข้ามาอีกระลอก

............................................

เจย์รอน...

ไอดิเอลลืมตาโพลงอยู่บนเก้าอี้ยาวในห้อง มือยังคงถือเอกสารที่โอเลกซ์ให้มา แต่ดวงตาจับจ้องไปยังที่ไกลแสนไกล

เจย์รอนเพื่อนยาก...

คนที่เขาพูดคำนี้ออกมาได้อย่างเต็มปากทุกครั้งที่พบกัน เจย์รอนเป็นคนรับผิดชอบ มีความน่าเชื่อถือสูง สิ่งใดที่เขาตั้งใจทำ เขาจะทำมันไปจนถึงที่สุด

เจย์รอนผู้เถรตรง ผู้ที่ยอมหักไม่ยอมงอ

ไอดิเอลรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้เจย์รอนเป็นเพื่อนสนิท คนที่เขาสามารถวางใจได้ทุกเรื่อง เกือบจะไม่มีเรื่องไหนเลยที่เจย์รอนจัดการไม่ได้ เขาคิดมาโดยตลอดว่า ด้วยบุคลิกที่เถรตรงเที่ยงธรรมอย่างเจย์รอน คงจะสามารถยึดโยงอาณาจักรบูรพาที่เต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีความกระหายสงครามเอาไว้ได้อย่างมั่นคง

แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นมาโดยตลอด จนกระทั่งเกิดเรื่องเมื่อเก้าสิบปีก่อน...

ไอดิเอลไม่เสียใจกับสิ่งที่เลือกทำลงไป แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกผิดที่มีต่อเพื่อนสนิทได้เช่นกัน ยิ่งได้อ่านเอกสารของโอเลกซ์แล้ว ทำให้เขารู้ว่าการที่เจย์รอนเลือกออกจากอาณาจักรบูรพาแล้วเข้าสู่วิหารนิทรานั้น เป็นเพียงทางออกเดียวสำหรับสถานการณ์ที่เจ้าตัวเผชิญอยู่

จอมเวทผุดลุกขึ้น เดินออกจากห้องพักไปยังลิฟต์ แล้วออกคำสั่ง “สเตลลา ไปวิหารนิทรา ข้าต้องการไปเยี่ยมเจย์รอน”

“รับทราบค่ะ”

วิหารนิทราตั้งอยู่ชั้นบนสุดของหอคอยโลหะ เป็นพื้นที่เปิดโล่ง เมื่อออกจากลิฟต์ไปจะพบกับลานกว้างสุดลูกหูลูกตา ล้อมรอบด้วยเสาโลหะสำหรับล่อฟ้าสิบหกต้น ที่ฐานของเสาแต่ละต้นมีช่องที่กรุด้วยกระจกแบบพิเศษ โดยแต่ละช่องจะมีจารึกนามของจอมเวทและสัญลักษณ์ประจำตัว ภายในช่องมีอุปกรณ์สำหรับหยุดการทำงานของสมองติดตั้งอยู่

โดยเดิมวิหารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่กักขังจอมเวทที่กระทำผิดร้ายแรง ทว่าตั้งแต่สร้างมายังไม่เคยมีใครต้องโทษนี้เลยแม้แต่ผู้เดียว ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่ามันเป็นวิธีลงโทษที่ร้ายแรงเกินไปสำหรับพวกเดียวกัน ไอดิเอลและจอมเวทบางคนเคยมีความคิดอยากใช้ที่นี่เป็นที่หยุดพักจากความวุ่นวายในสังคมมนุษย์ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครได้ทำจริงๆ เสียที กระทั่งได้ยินจากเวโรนิกาว่าเจย์รอนเลือกเข้าสู่วิหารนิทรานี่แหละ

ในช่องที่ฐานเสาบริเวณขวามือบรรจุร่างที่เขาเคยคุ้นตามาเป็นเวลานาน ไอดิเอลจำเสานั่นได้ ตอนที่เริ่มสร้างที่แห่งนี้ จอมเวทแต่ละคนจะเป็นผู้ออกแบบเสาของตัวเอง เสาของเขาและเสาของเจย์รอนนั้นอยู่ติดกันตามความตั้งใจของทั้งคู่

“เผื่อว่าข้ากับเจ้าต้องถูกลงโทษพร้อมกัน” ฝ่ายนั้นพูดกับเขายิ้มๆ ตอนที่เลือกเสา “ถ้าอยู่ใกล้กันพวกเราก็คงไม่เหงาเนอะ ส่วนเสาอีกด้านของเจ้าก็ให้เวโรนิกาจองไว้สิ อย่างน้อยๆ นางจะได้ไม่ต้องเสียเวลามองหาเวลามาเยี่ยมเจ้ายังไงล่ะ”

ไอดิเอลยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ขณะสืบเท้าไปด้านหน้า คำพูดของเจย์รอนดังก้องในหัวเขา เหมือนเจ้าตัวมายืนอยู่ใกล้ๆ

แม้จะมีแสงแดดแผดจ้า แต่อากาศบนนี้กลับหนาวยะเยือก ไอน้ำที่มีอยู่เพียงเบาบางจับตัวกันเป็นเกล็ดน้ำแข็งสีขาว เกาะอยู่ตามมุมมืดที่แสงไม่อาจส่องถึง

ร่างของเจย์รอนอยู่ด้านหลังหน้าต่างกระจก ถูกผนึกอยู่ในของเหลวกึ่งแข็งตัว เจ้าตัวดูเหมือนเมื่อครั้งพบกันคราวก่อน เพียงแต่เขาไม่อาจมองเห็นแววตาสีเงินเรืองรองคู่นั้นอีกแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายจะรู้ถึงการมาของเขาหรือไม่

ไอดิเอลยกมือขึ้นปัดเกล็ดน้ำแข็งที่เกาะอยู่บนกระจกออก พลางถอนหายใจ

“เจย์รอนเอ๋ยเจย์รอน เจ้าไม่เรียกหาข้า แต่กลับเล่าเรื่องให้โอเลกซ์ฟัง หรือเจ้าละอายที่การติดต่อของเราครั้งก่อนส่งผลให้ข้าต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องภายในของหกอาณาจักรซึ่งเป็นสิ่งที่บุคคลเช่นข้าไม่ควรไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ถึงอย่างนั้นเจ้าก็คงคาดหวังว่าข้าอาจจะยื่นมือเข้าไปสะสางหากได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เจ้าคาดการณ์ได้ถูกต้องแล้ว แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าเจ้าเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังเอง”

“แปลว่าเจ้าตัดสินใจจะไปที่อาณาจักรบูรพาสินะ”

ไอดิเอลหันหน้ากลับไป เขาเห็นจอมเวทหญิงที่มีผมสีทองสะท้อนประกายแสงตะวันสว่างไสวเดินเข้ามา

“เจ้าเองหรือ ฟัยรุซา ข้าน่าเดาได้แต่แรก”

อีกฝ่ายเดินมาหยุดตรงหน้าเขา สายลมพัดปอยผมสีทองของนางเกลี่ยใบหน้า นางใช้ดวงตาสีน้ำเงินของนางจับจ้องเขาด้วยแววตาอ่านยาก “นานแล้วนะที่เราไม่ได้คุยกันเป็นการส่วนตัวเลย”

ไอดิเอลพยักหน้า “อืม... เจ้าคงไม่ได้ขึ้นมาหาข้าที่นี่เพราะอยากจะคุยเรื่องเจย์รอนหรอกใช่ไหม”

“ทำไมถึงคิดงั้นล่ะ?”

“เพราะถ้าเจ้าอยากคุยกับข้าเรื่องนี้ ก็คงจะติดต่อข้าตั้งแต่เจย์รอนแสดงเจตนารมณ์เข้าสู่วิหารนิทราแล้ว”

คนฟังหัวเราะ “ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาคุยเรื่องเจย์รอนหรอก ข้าแค่ต้องการคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวโดยไม่เป็นที่สังเกตเท่านั้นเอง”

“มีเรื่องอะไร?”

“สงครามกำลังจะเกิดขึ้น” นางว่า “ตอนที่เราทำสัญญากับพวกมนุษย์และสร้างหอคอยโลหะขึ้น หน้าที่ของเราคือเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยเรื่องราวกระทบกระทั่งกันระหว่างหกอาณาจักร ในยุคเริ่มต้นพวกเขาเชื่อฟังเรา แต่ตอนนี้เวลาผ่านมาหนึ่งพันปีแล้ว... พวกเรายังคงดำรงอยู่ เปี่ยมล้นไปด้วยความทรงจำและภูมิปัญญา แต่มนุษย์ตายจากและเปลี่ยนหน้าไป พวกเขาไม่เชื่อฟังเราเช่นกาลก่อนอีกแล้ว เมื่ออาณาจักรหนึ่งสามารถสร้างเครื่องจักรที่ผสานกับเวทมนตร์ขึ้นมาได้ อาณาจักรอื่นก็ย่อมรู้สึกหวาดระแวงและต้องการครอบครองเครื่องมือเช่นนั้นเพื่อป้องกันตัวเองเช่นกัน ข้าไม่ได้ตำหนิว่าเป็นความผิดของเจ้ากับเจย์รอน พวกเราต่างรู้ดีว่ามนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ มีสัญชาตญาณพื้นฐานเช่นสัตว์ แต่มีสติปัญญาในการประดิษฐ์สูงล้ำ เผ่าพันธุ์ที่เทพแห่งแสงสร้างขึ้นมาเพื่อนำหายนะมาสู่โลกใบนี้อย่างช้าๆ ไม่ว่าพวกเราจะพยายามอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะก่อสงคราม ไม่ช้าก็เร็ว”

“....”

“เจ้าคือคนที่พาพวกเราให้รอดผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ไอดิเอล แต่ข้าคิดว่าระยะเวลาหนึ่งพันปีคงนานพอที่พวกเราแต่ละคนจะตัดสินใจเลือกทางของตัวเองได้แล้ว ข้าจะไม่ห้ามเจ้าไม่ให้ขัดขวางการเป็นไปของคำทำนาย แต่หากนูบิลุสฟื้นคืนชีพ หากคำทำนายเป็นความจริง ข้าแน่ใจว่าจะมีพวกเราบางคนที่เข้าร่วม และมีพวกเราบางคนที่ไม่เข้าร่วม หากถึงเวลานั้น พวกเราอาจจะต้องห้ำหั่นกันเอง ข้าอยากให้เจ้าทำใจยอมรับเมื่อมันเกิดขึ้น”

“ข้ารู้ว่าพวกเราหลายคนเหนื่อยล้าเต็มที” อีกฝ่ายตอบ “วางใจเถอะ แม้ข้าจะตั้งใจว่ายังไงก็จะไม่ยอมให้เกิดสงครามอย่างเด็ดขาด แต่หากต้องมีสงครามเกิดขึ้นจริง มันจะเป็นสงครามครั้งสุดท้ายของพวกเรา”

อีกฝ่ายมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะผงกศีรษะ “เจ้าตัดสินใจเรื่องนี้ได้แล้วสินะ... แล้วเด็กนั่นล่ะ ข้าคิดว่าเจ้ากังวลเรื่องเขาเสียอีก”

“ข้าไม่กังวลเรื่องเขาหรอก” ไอดิเอลว่า “ข้ามีทางออกเรื่องของเขาแล้ว”

“อ้อ...” นางส่งเสียงในคอ “เจ้าเคยพบนูบิลุสอีกบ้างไหม หลังจากเหตุการณ์ในนิมิตนั่น”

“เคย...”

“เจ้าเคยคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวไหม”

“....”

ฟัยรุซาถอนหายใจแล้วผงกศีรษะอีก “ข้าเข้าใจแล้ว ดูท่าข้าคงไม่ต้องกังวลเรื่องเจ้าสินะ”

“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องคำทำนายหรอก หากมันเกิดขึ้นจริง พวกเราจะเป็นฝ่ายที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ที่เจ้าควรจะกังวลคือจะทำอย่างไรถ้าคำทำนายไม่เป็นจริงมากกว่า”

นางหัวเราะออกมา “นั่นสินะ... เจ้าพูดถูก”

ไอดิเอลใช้ดวงตาสีอำพันของเขามองนาง “ข้ารู้ว่าพันปีมานี้เจ้าเองก็เหนื่อยมาก ถ้าเจ้าอยากจะพักล่ะก็...”

“นี่คือภาระของข้า” ฟัยรุซาว่า “ข้าเป็นคนเลือกหน้าที่นี้เองแต่แรก วางใจเถอะไอดิเอล ข้ายังไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเจย์รอน ตราบใดที่ข้ายังอยู่ในสถานะที่ทำหน้าที่นี้ได้ ข้าก็จะทำหน้าที่นี้ต่อไป จนกว่าคำทำนายจะบังเกิดผล หรือจนกว่าเจ้าจะถอดใจ”

“ขอบใจนะ”

“ไม่ต้องขอบใจหรอก... เจ้าเพิ่งทำให้ข้านึกได้ว่าข้าเลือกทำหน้าที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร ซึ่งข้าเองก็เกือบจะลืมไปแล้ว” นางถอนหายใจอีกครั้ง “เรื่องที่ข้าอยากพูด ข้าก็ได้พูดแล้ว เรื่องที่ข้าอยากฟัง ข้าก็ได้ฟังแล้ว ข้าไปล่ะ”

“ไปด้วยกันสิ” ไอดิเอลว่า “ข้ายังต้องพาพวกเด็กๆ ไปเที่ยวที่เมืองพ่อค้าด้านล่างอีกวัน”

“จะให้ข้าลงไปที่นั่นด้วยหรือ?”

“ใช่ หากว่าการที่เจ้าจะละวางจากสิ่งที่เจ้าทำลงไปข้างล่างกับข้าจะทำให้มนุษย์ก่อสงครามกันล่ะก็... ก็ให้พวกเขาก่อสงครามเถอะ”

ฟัยรุซาหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม “เจ้าก็รู้ว่ามันไม่เป็นแบบนั้นหรอก เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าออกปากขนาดนี้ ถ้าข้าบ่ายเบี่ยงอีกก็ดูจะให้ค่ามิตรภาพของเราต่ำเกินไปล่ะนะ”

.............................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จะวุ่นวายขนาดไหนน้อ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่20 การพูดคุยของเหล่าจอมเวท


คาริกรู้สึกประหลาดใจ เมื่อรู้ว่าฟัยรุซาจะลงไปที่เมืองพ่อค้ากับพวกเขาด้วย โอเลกซ์กับทีมัวร์เมื่อรู้เรื่องก็ขอตามมา ฟัยรุซาจึงออกปากจะเลี้ยงมื้อเที่ยงเขาและโอเรน ในที่สุดทั้งคู่จึงได้มานั่งอยู่ในวงสนทนาของจอมเวทสี่คน ตอนแรกเขาคิดว่าจะได้ฟังเรื่องหนักๆ แกล้มอาหารเที่ยง แต่กลับกลายเป็นว่าต่างคนต่างเอาแต่จิบน้ำและแทบไม่พูดอะไรกันเลย ในที่สุดคาริกก็ทนไม่ไหวเลยพูดขึ้นมา

“ข้าสงสัยนะ พวกท่านอุตส่าห์มานั่งด้วยกันที่นี่ แต่ทำไมถึงไม่ยอมคุยอะไรกันเลย ข้าคิดว่าพวกท่านน่าจะมีเรื่องให้คุยกันเยอะเสียอีก”

“ข้ากับไอดิเอลคุยกันจบไปแล้ว” ฟัยรุซาตอบ พลางยกน้ำขึ้นจิบ ขณะที่ทีมัวร์พูดขึ้น

“ที่จริงข้ามีเรื่องอยากพูดเยอะนะ แต่คิดว่าพูดออกไปก็ไม่น่าจะมีใครพูดด้วย”

“ข้าแน่ใจว่าเจ้ากำลังจะพูดถึงเรื่องเครื่องจักร” โอเลกซ์ว่า “ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะไม่มีใครพูดด้วย”

“นี่พวกท่านสองคนไม่ถูกกันหรือ?”

“เปล่า” ทั้งโอเลกซ์และทีมัวร์พูดขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะพูดต่อ

“พวกเราเจอกันบ่อยน่ะ เขาจะพูดอะไรข้ารู้หมดแหละ”

“ส่วนเรื่องที่เขาไปจดบันทึกอะไรมาข้าไม่ได้อ่านทั้งหมดหรอกนะ” ทีมัวร์ว่า “แต่ก็รู้ว่าเขาไปไหนมา”

“ในเมื่อพวกท่านสี่คนไม่มีอะไรจะคุยกัน แล้วพวกท่านมาด้วยกันทำไม?”

“ข้ามาเปลี่ยนบรรยากาศตามคำชวนของเพื่อนเก่า” ฟัยรุซาว่า

“ส่วนข้ามาเพราะอยากรู้ว่าท่านฟัยรุซากับท่านไอดิเอลจะมาทำอะไรที่เมืองพ่อค้านี่” โอเลกซ์ว่า ทีมัวร์พยักหน้าเห็นด้วย

“ข้าก็ตามมาเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน”

“สรุปคือพวกท่านมาเพราะอยากรู้เรื่องชาวบ้านสินะ” โอเรนที่นั่งเงียบอยู่นานสรุปขึ้น ทั้งคู่ผงกศีรษะรับเหมือนภูมิใจ เจ้ามังกรจึงพูดขึ้นต่อ

“ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านนะ แต่ว่านั่งเงียบๆ แบบนี้มันสนุกตรงไหน”

“มันไม่สนุกหรอก” ทีมัวร์ว่า “แต่อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้พวกเราไม่ถูกท่านไอดิเอลไล่ตะเพิดน่ะ”

“....”

คาริกทำหน้าเพลีย ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “งั้นข้าขอถามแล้วกัน เกี่ยวกับจอมเวทที่ชื่อซีนอนน่ะ เขาเป็นคนยังไงหรือ?”

เกิดความเงียบขึ้นอึดใจ ก่อนที่ฟัยรุซาจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ใครพูดชื่อนี้ให้เจ้าได้ยิน? ข้าว่าไม่น่าจะเป็นไอดิเอลนะ”

“ข้าได้ยินเขาคุยกับท่านโอเลกซ์เมื่อเช้า” คาริกว่า เขารีบพูดขึ้นต่อโดยไม่เปิดโอกาสให้ไอดิเอลได้พูดแทรก “ข้ารู้ว่าถ้าถามเขาตรงๆ เขาคงเลี่ยงไม่ตอบอยู่ดี”

“เจ้าเด็กนี่เรียนรู้นิสัยเจ้าได้ไวนะ” ฟัยรุซาหันไปหาไอดิเอล ฝ่ายนั้นทำหน้ายุ่ง

“ข้าไม่นิยมตอบคำถามไร้สาระ”

“อืม... เท่าที่ข้ารู้ เขาหนีมาจากอาณาจักรบูรพาตอนที่ซีนอนไปประจำการพอดีไม่ใช่หรือ ข้าว่าเล่าเรื่องซีนอนให้เขาน่าจะดีกว่านะ”

“....”

“แต่ในเมื่อเจ้าไม่อยากเล่าเอง... ซึ่งข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่ค่อยลงรอยกับซีนอนเท่าไหร่ เพราะงั้นข้าจะเล่าให้เขาฟังคร่าวๆ ก็แล้วกัน”

คาริกกับโอเรนหันไปมองฟัยรุซาด้วยความสนใจ นางจิบน้ำอึกหนึ่งแล้วพูดขึ้นต่อ “ซีนอนเป็นจอมเวทที่อายุน้อยที่สุดในหมู่พวกเรา เขาไม่ได้ถือกำเนิดในหมู่บ้านเช่นคนอื่นๆ แต่ถูกสร้างขึ้นในห้องทดลอง อืม... ไอดิเอลเล่าเรื่องที่พวกเราถูกทดลองให้เจ้าฟังแล้วหรือยัง?”

คาริกผงกศีรษะ นางจึงพูดต่อ “อ้อ... ก็ดี ถือว่าเขาก็เล่าอะไรให้เจ้าฟังไม่น้อยล่ะนะ ซีนอนน่ะเป็นเด็กที่ถูกสร้างขึ้นในห้องทดลองด้วยสารพันธุกรรมของจอมเวทที่ทรงพลังที่สุดในสายตาของจักรวรรดิมนุษย์ในตอนนั้น ซึ่งก็คือไอดิเอลนั่นแหละ เพราะงั้นหากจะว่ากันตามตรงแล้ว เขาก็คือลูกของไอดิเอลนี่เอง”

คนที่มีสีหน้าตกใจที่สุดคือทีมัวร์ เขาร้องออกมา “หา! สรุปแล้วเขาเป็นลูกของท่านไอดิเอลจริงๆ หรือ ข้าคิดว่าเขาปลื้มท่านไอดิเอลจนตู่เรื่องนี้เอาเองเสียอีก”

“ข้าเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเขาเอง” ฟัยรุซาว่า “ข้าคิดว่าเป็นสิ่งที่เขาควรรู้ แต่ข้าไม่ได้ไปป่าวประกาศบอกคนอื่นๆ หรอก เพราะข้ามองว่าคนที่จะรู้สึกไม่ดีที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือไอดิเอล ตอนที่ซีนอนเกิด เขาก็รบอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ในแนวหน้าแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสารพันธุกรรมของตัวเองถูกเอาไปทดลองสร้างเด็กจนสำเร็จ คนที่เลี้ยงดูซีนอนตอนที่เขายังเป็นทารกคือเวโรนิกา ตอนนั้นนางเสียใจกับการเสียลูกจนคลุ้มคลั่ง ไอดิเอลช่วยให้นางไม่ถูกจักรวรรดิกำจัดทิ้งด้วยการทำสัญญาแลกกับการออกรบอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่เจ้าลองนึกสภาพผู้หญิงที่เสียลูกและไม่มีสามีอยู่เคียงข้างสิ พอข้ารู้ว่าทางจักรวรรดิสร้างเด็กจากการทดลองได้สำเร็จ จึงพูดจาหว่านล้อมพวกเขาจนเขายอมให้เวโรนิกาเลี้ยงเด็กคนนั้น นางจึงค่อยกลับมามีสติอย่างที่พวกเจ้าเห็นอยู่ทุกวันนี้ หลังจากซีนอนโตพอที่จะรับการฝึก ทางจักรวรรดิก็นำตัวเขาไป ดูเหมือนทางจักรวรรดิจะหวังกับเขาเอาไว้มาก ข้าไม่รู้ว่าทางนั้นสอนอะไรเขาบ้าง แต่พอมีเหตุการณ์กวาดล้าง เขาก็กระโดดมาร่วมกับพวกเราทันที”

“เขาเคยเล่าให้ข้าฟังนะ” โอเลกซ์พูดขึ้นมาบ้าง “ตอนที่เขาอยู่ในช่วงการฝึก จักรวรรดิเอาผลงานทุกอย่างของท่านไอดิเอลมาให้เขาดู และพยายามฝึกเขาให้ทำให้ได้แบบนั้น ในความรู้สึกของเขาตอนนั้น ท่านไอดิเอลเป็นเหมือนภูเขาสูงที่เขาต้องปีนให้ผ่าน พอได้เจอท่านไอดิเอลจริงๆ เขาเลยทั้งชื่นชม ทั้งอยากจะต่อสู้ด้วย แต่ท่านไอดิเอลเอาแต่เดินหนีและปฏิเสธเขาทุกครั้งไป ข้าว่าตอนที่เขารู้ว่าเขามีสารพันธุกรรมของท่านไอดิเอล คงยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าเขาต้องเอาชนะท่านไอดิเอลเพื่อออกจากเงื้อมเงานั้นให้ได้ล่ะมั้ง”

“ข้าถึงได้บอกไงล่ะว่าระหว่างเขากับข้าไม่เคยมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น” ไอดิเอลว่า ฟัยรุซาหันไปมองเขา

“ถ้าเจ้าอ่อนโยนกับเขาหน่อย ข้าก็ว่าน่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นน่ะนะ”

“การที่ข้าไม่ฟาดเขาให้ตายคาไม้เท้าก็ถือว่าข้าอ่อนโยนกับเขามากล่ะนะ” ไอดิเอลว่า คาริกถามขึ้นต่อ

“แล้วนิสัยเขาเป็นแบบไหน เป็นคนโหดร้ายรึเปล่า?”

“ข้าไม่คิดว่าเขาเป็นคนโหดร้ายนะ” โอเลกซ์ว่า “แต่เขาก็ไม่ใช่คนอ่อนโยนเหมือนกัน อย่างที่บอกว่าเขาถูกฝึกฝนมาเพื่อให้ทำสงคราม เขาเป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมาย แต่ไม่ใช่คนที่นึกจะฆ่าใครก็ใคร นึกจะทรมานใครก็ทรมานแน่ๆ เอาจริงๆ แล้วข้าว่าเขาค่อนข้างจะไร้เดียงสาในบางเรื่องอย่างเหลือเชื่อเลยล่ะ”

“ข้าเห็นด้วยกับโอเลกซ์นะ” ทีมัวร์ว่า “เขาอาจจะดูแข็งแกร่งมากเวลาอยู่ในสนามรบ แต่พอเป็นเรื่องอื่นๆ เขาจะดูโง่ไปถนัด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับท่านไอดิเอล เหมือนเขาจะทำให้มันกลายเป็นเรื่องยุ่งยากไป”

“ยังไงน่ะ”

“เหมือนที่โอเลกซ์เล่าว่าเขาพยายามจะเอาชนะท่านไอดิเอลนั่นแหละ พอท่านไอดิเอลไม่ยอมต่อสู้ด้วย เขาก็พยายามจะหาวิธีเรียกร้องความสนใจ เริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ที่สุดอย่างเช่นการเรียกดาวตก บอกตรงๆ เลยนะว่าตอนที่ข้ารู้ข้าก็อึ้งไปเหมือนกัน ใจนึงอยากจะหัวเราะว่าทำไมเขาถึงได้บ้าขนาดนี้ อีกใจก็อยากจะร้องไห้แทนท่านไอดิเอลว่าทำไมจะต้องเจอเรื่องไร้สาระที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ด้วย แต่สุดท้ายข้าก็เลือกที่จะขำน่ะนะ”

“พูดถึงเรื่องเรียกดาวตก นั่นเป็นครั้งเดียวที่ข้าคิดว่าควรจะขังเขาเอาไว้ที่วิหารนิทราน่ะนะ”

ไอดิเอลหันไปมองนางทันที “ถ้าเจ้าคิดงั้นแล้วทำไมถึงห้ามข้าล่ะ? ข้าว่ามันสมควรแล้วที่เขาจะโดนลงโทษแบบนั้น”

“เพราะพอเห็นสภาพเขาที่ถูกเจ้าฟาดจนแทบเดินไม่ได้ ข้าก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องโหดร้ายเกินไปที่จะส่งเขาเข้าวิหารนิทราหลังจากเขาถูกคนที่ควรจะเป็นพ่อของเขาฟาดจนน่วมน่ะสิ”

“....”

“ข้าว่านั่นน่าจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวเลยนะที่ท่านไอดิเอลลงมือกับซีนอนน่ะ” ทีมัวร์ว่า “และหลังจากนั้นเขาก็ดูสงบเสงี่ยมขึ้นเยอะ แปลว่าฝีมือเขาสู้ท่านไอดิเอลไม่ได้จริงๆ สินะ”

“ข้าไม่คิดว่าเขาจะสู้ท่านไอดิเอลได้แต่แรกล่ะนะ” โอเลกซ์ว่า “แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเขาประมือกับท่านไอดิเอลแค่ครั้งเดียวก็สงบลงได้แบบเหลือเชื่อ เพราะเขาได้เติมเต็มความฝันที่จะได้ต่อสู้กับท่านไอดิเอล หรือถูกท่านไอดิเอลเล่นงานจนฝังใจกันแน่นะ”

“ถ้าพวกเจ้าจะถามความเห็นข้า” ไอดิเอลว่า “ซึ่งก็ดูแล้วคงไม่น่าจะมีใครถาม เพราะพวกเจ้าดูจะเข้าข้างซีนอนกันหมด ข้าว่าเด็กนั่นแค่ถอยไปตั้งหลัก และหาทางทำเรื่องอะไรวุ่นวายให้ข้าปวดหัวอีก บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามองหาพวกลูบิดเพื่อเอามาเสริมพลังก็ได้”

“เจ้าควรไปถามเรื่องนี้กับเขาเองโดยตรง” ฟัยรุซาแนะ “และในความเป็นจริงตอนนี้ คนที่ได้พวกลูบิดมาเสริมพลังเป็นเจ้าไม่ใช่เขา ไม่ว่าเขาจะวางแผนอะไรไว้ก็คงจะถูกเจ้าขัดจนพังไม่เป็นท่าเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะงั้นข้ายังยืนยันว่าเจ้าควรจะไปเยี่ยมเขาที่อาณาจักรบูรพา ถือโอกาสนี้สะสางเรื่องของเจย์รอนด้วยเลย ส่วนเรื่องที่อาณาจักรอุดรก็ให้โอเบรอนจัดการไป”

“แปลว่าเราจะไม่ไปอาณาจักรอุดรกันแล้วหรือ” โอเรนถามขึ้น ไอดิเอลถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย

“จะไปหรือไม่ไปที่ไหนข้าจะเป็นคนตัดสินใจเอง ส่วนพวกเจ้า ถ้ายังพูดไม่หยุดอีก ก็ไปเดินเที่ยวกันเองแล้วกัน”

“อ้าว หงุดหงิดแล้วแฮะ” ฟัยรุซาว่า “งั้นพวกเราก็เลิกกวนใจเขาเถอะ เดี๋ยวพวกเด็กๆ จะกินข้าวไม่อร่อยเสียเปล่าๆ”

.........................................

คาริกคิดว่าการเดินเที่ยวในวันนี้คงกร่อย ทว่าทีมัวร์นั้นรู้แทบทุกเรื่องในตลาด และชวนพวกเขาคุยอย่างสนุกสนาน จนลืมบรรยากาศอึมครึมบนโต๊ะอาหารเมื่อครู่ไปเลย ส่วนไอดิเอลดูอารมณ์ดีขึ้นมากหลังจากที่ไม่มีใครถามอะไรซอกแซ่กกวนใจเขาอีก หลังจากไปรับอาวุธที่ร้านคมรุ่งเรืองแล้ว ทั้งหมดก็พากันแยกย้าย

“ท่านทีมัวร์นี่คุยสนุกมากเลยเนอะ ดูจะสนิทกับท่านโอเลกซ์ด้วย” โอเรนพูดขณะที่ทั้งสามอยู่บนลิฟต์ที่กำลังเลื่อนขึ้นไปยังห้องพัก ไอดิเอลผงกศีรษะ

“สองคนนั่นปกติก็ค่อนข้างสนิทกันอยู่แล้ว ข้าดีใจที่พวกเจ้าดูสนุกในวันนี้นะ”

“ตอนแรกก็คิดว่าจะกร่อยเหมือนกันนั่นล่ะ” คาริกว่า “แต่ดาบนี่พอเอาไปแต่งแล้วสวยเหลือเชื่อเลยเนอะ ข้าล่ะอยากจะลองใช้จริงๆ แล้วสิ”

ไอดิเอลยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “คิดว่าเจ้าคงได้ใช้เร็วๆ นี้นั่นล่ะ ข้าให้สเตลล่าสอบถามกำหนดการสอบเลื่อนขั้นของสมาคมคุ้มกันแล้ว ถ้าพวกเราบินคืนนี้ก็น่าจะไปทันสมัครพอดี”

คาริกมีสีหน้าตื่นเต้น “งั้นเราต้องรีบไปซื้อตั๋วใช่ไหม? ตอนนี้ยังทันรึเปล่า?”

“ข้าให้สเตลล่าซื้อไว้ให้แล้วล่ะ พวกเจ้ารีบไปเก็บของเถอะ”

ชายหนุ่มรีบกระวีกระวาดเข้าไปเก็บของทันทีที่ถึงห้อง จนโอเรนอดถามไม่ได้

“ข้าคิดว่าเจ้าจะผิดหวังที่ต้องรีบเดินทางเสียอีก”

“ทำไมข้าต้องรู้สึกผิดหวังด้วยล่ะ?”

“ก็ที่นี่ออกจะอยู่สบายอยู่นะ อีกอย่างมันเป็นบ้านของท่านไอดิเอลไม่ใช่หรือ ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้สึกว่ามันเป็นบ้านด้วย เลยรู้สึกแปลกใจที่เจ้าดูจะไม่อาลัยอาวรณ์ที่นี่เลยน่ะ”

คาริกหัวเราะออกมา “ข้าเคยทำงานอยู่สมาคมคุ้มกันนะ การต้องออกเดินทางกะทันหันน่ะเป็นเรื่องปกติมาก แต่ดูท่าเจ้าคงชอบที่นี่สินะ”

“ข้าก็แค่คิดว่าที่นี่เป็นบ้านของท่านไอดิเอล เราก็น่าจะอยู่กันนานสักหน่อยน่ะ”

“เจ้าก็น่าจะได้ยินตอนที่มาถึงแล้วนี่นา ว่าเขาไม่ค่อยอยู่ที่นี่นานนักหรอก เอาน่ะ เดี๋ยวสักพักเจ้าก็จะชินกับการออกเดินทางบ่อยๆ เองนั่นแหละ”

“นั่นสิน้า ข้าเป็นคนออกปากเองว่าข้าอยากจะเดินทางไปกับเจ้าและท่านไอดิเอลนี่นา”

คาริกใช้เวลาไม่นานก็เก็บของเสร็จ พวกเขาบินออกจากนครเวหาช่วงประมาณหนึ่งทุ่ม ตามกำหนดน่าจะถึงอาเปสราวๆ เที่ยงคืน ไอดิเอลหยิบหนังสือเล่มโตที่เขียนหัวเรื่องบนหน้าปกว่า ‘เทือกเขาไฮดรัส : ภูมิศาสตร์และสัตว์ประจำถิ่น’ มาให้โอเรนอ่าน คาริกเห็นดังนั้นจึงหยิบหนังสือเกี่ยวกับมังกรที่เขาซื้อมาอ่านบ้าง หากเทียบกับการสนทนาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนไอดิเอลจะยินดีและสนุกกับการตอบคำถามเกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ ในหนังสือมากกว่าเรื่องอื่นที่เขาถูกถามเป็นไหนๆ คาริกนึกสงสัยว่าเจ้าตัวชอบสัตว์จริงๆ หรือแค่ไม่อยากตอบคำถามอื่นกันแน่

สักประมาณสี่ทุ่ม โอเรนก็สัปหงก ไอดิเอลจึงอุ้มเขามานอนบนที่นั่งข้างตัว ก่อนจะเก็บหนังสือใส่กระเป๋า คาริกเห็นดังนั้นจึงถือโอกาสถามขึ้น

“ข้าถามท่านเกี่ยวกับเรื่องมังกรได้ไหม?”

“ถ้าเป็นเนื้อหาที่เจ้าสงสัยและไม่ได้อยู่ในหนังสือ ข้าก็ยินดีตอบ” อีกฝ่ายว่า ชายหนุ่มจึงถามต่อ

“ท่านเขียนหนังสือเล่มนี้โดยให้ความเคารพกับมังกรมาก สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อนแบบข้ามันเป็นเรื่องแปลกใหม่มากนะ มังกรในอุดมคติของข้าคือสิ่งมีชีวิตโหดร้ายที่แข็งแกร่งและยากจะเอาชนะ แต่ท่านเขียนบรรยายว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่มีอารยธรรม ภาษาและตัวอักษรเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะมังกรน้ำ ท่านบรรยายลักษณะและภาษาที่พวกเขาใช้ไว้อย่างละเอียดมาก เหมือนกับว่าท่านเคยไปอยู่ในโลกของพวกเขา เท่าที่ข้ารู้คือท่านทำสงครามกับมังกรมาตลอดไม่ใช่หรือ?”

“เจ้าก็อ่านไปไวเหมือนกันนะ” อีกฝ่ายว่า “หนังสือเล่มนี้ถูกตำหนิจากนักอ่านว่าภาษาอ่านยาก และเนื้อหาก็ไม่สอดคล้องกับทัศนคติของคนทั่วไป ที่ยังพอขายได้อยู่คงเป็นเพราะมีชื่อข้าอยู่บนปกล่ะมั้ง”

“ที่จริงแล้วข้าอาศัยดูรูปเอามากกว่าน่ะ” คาริกสารภาพ “ท่านใช้ภาษายากมาก ไม่เหมือนหนังสือทั่วไปที่ข้าเคยอ่าน ข้าอดคิดไม่ได้นะว่าท่านตั้งใจทำให้มันอ่านยาก หรือว่าข้าด้อยความรู้เอง”

“ข้าตั้งใจทำให้มันยากเอง” ไอดิเอลว่า “ต้องเป็นคนที่มีความรู้ทางภาษาและอักษรโบราณระดับสูงจึงจะเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดได้”

“ทำไมต้องทำให้มันยากถึงขนาดนั้นล่ะ เพราะเป็นหนังสือเกี่ยวกับมังกรงั้นหรือ?”

“ใช่แล้วล่ะ แต่ไม่ใช่เพราะมันเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับมังกรแล้วถึงใช้ภาษายากหรอกนะ แต่เพราะเนื้อหาที่ข้าเขียนค่อนข้างขัดต่อภาพลักษณ์ของมังกรในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เพื่อไม่ให้มีปัญหากับหกอาณาจักร ข้าเลยตั้งใจใช้ภาษาที่อ่านยากและทำความเข้าใจยากเป็นพิเศษ ทำให้แน่ใจว่าแม้มันจะถูกวางขายทั่วไป แต่เนื้อหาภายในก็จะไม่ได้รับความนิยมและไม่ไปเปลี่ยนแปลงค่านิยมเดิม มีแค่คนที่ตั้งใจศึกษา มีความรู้และวุฒิภาวะระดับหนึ่งเท่านั้นที่จะทำความเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดได้”

คาริกกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “ที่จริงถ้าไม่รู้จักท่านมาก่อน ข้าก็คงจะโยนหนังสือเล่มนี้ทิ้งไปแล้วเหมือนกัน แต่ว่ารายละเอียดทั้งหมดที่ท่านเขียนนี่ มาจากการเผชิญหน้าในสนามรบทั้งหมดเลยหรือ?”

ไอดิเอลคลี่ยิ้ม “ที่จริงแล้วข้ามีสิทธิ์จะไม่ตอบคำถามนี้ เพราะข้าไม่อาจโกหกได้ แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนถาม ข้าก็จะตอบตามความจริง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ข้าพาจอมเวททั้งสิบหกคนหนีไปอาศัยอยู่กับมังกร”

“หา! จริงหรือ? ท่านไปอาศัยอยู่กับมังกร? ทั้งที่ท่านทำสงครามกับพวกเขามาตลอดเนี่ยนะ เป็นไปได้ไงเนี่ย”

“เป็นไปได้แล้วกัน” ไอดิเอลว่า “แต่เดิมพวกข้าก็นับถือมังกรเป็นตัวแทนแห่งทวยเทพอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เราถูกจักรวรรดิมนุษย์ควบคุม และถูกทำให้กลายเป็นจอมเวท พวกเราทั้งหมดเหลือทางเลือกแค่สองทาง คือตายด้วยน้ำมือของจักรวรรดิ หรือไม่ก็เข้าร่วมกองทัพทำสงครามกับมังกร แล้วเอาชีวิตรอดในสนามรบ ข้าพูดได้เต็มปากว่ามังกรไม่ใช่ศัตรูของจอมเวท เพียงแต่จอมเวทต้องทำสงครามกับมังกรเพราะไม่มีทางเลือกอื่น ศัตรูของมังกรคือมนุษย์ จอมเวทเพียงแต่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น”

“ถึงงั้นก็เถอะ... ข้าก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าสุดท้ายท่านไปอาศัยอยู่กับมังกรได้ไง ไม่ใช่ว่าพวกมังกรอพยพไปอยู่ในดินแดนห่างไกลตั้งแต่หลังการระเบิดครั้งใหญ่แล้วหรือ?”

“พวกเขาย้ายไปก่อนหน้านั้น” ไอดิเอลว่า “ราชามังกรน้ำเป็นคนแรกที่เสนอให้มังกรทั้งหมดอพยพ ที่จริงแล้วด้วยอำนาจในการควบคุมมหาสมุทรของพระองค์อาจทำให้มังกรชนะสงครามได้ไม่ยาก แต่พระองค์มองว่ามันจะก่อให้เกิดการคร่าชีวิตจำนวนมาก และทรงไม่มีพระประสงค์เช่นนั้น ทรงดำริว่าเมื่อมนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพด้านเครื่องจักรถึงขนาดรีดเร้นเอาพลังงานจากโลกมาเป็นเครื่องมือในการต่อกรกับมังกร มนุษย์ก็จะพบกับหายนะที่ตนเป็นฝ่ายก่อไม่ช้าก็เร็ว มังกรไม่จำเป็นจะต้องทำสงครามเพื่อรักษาผืนแผ่นดินที่กำลังจะถูกทำลาย ดังนั้นจึงเสนอให้มังกรทั้งหมดอพยพไปยังดินแดนห่างไกล ข้าที่ช่วงนั้นพาคนอื่นๆ หนีการตามล่าของจักรวรรดิ เผอิญได้พบกับพระองค์ จึงได้ขออาศัยติดขบวนไปด้วย”

“แล้วมังกรก็อนุญาตให้พวกท่านไปด้วยงั้นหรือ?” คาริกร้อง “เหลือเชื่อ พวกเขาไม่โกรธเคืองเรื่องสงครามหรือไง?”

“พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงสติปัญญาและมีอารยธรรมสูง อีกอย่างราชามังกรน้ำทรงมีพระเมตตามาก ทรงทราบว่าพวกเราทั้งหมดจำใจเข้าร่วมสงคราม และจอมเวทไม่ใช่มนุษย์ จอมเวทไม่โป้ปด ดังนั้นจึงอนุญาตให้พวกเราเดินทางไปด้วย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกข้าทั้งสิบหกคนถึงรอดจากการระเบิดครั้งใหญ่มาได้”

“ไม่อยากจะเชื่อเลย” อีกฝ่ายคราง “ท่านที่เคยต่อสู้กับมังกรตัวต่อตัว ได้เดินทางหนีไปกับคณะของมังกร พวกเขาคงใจกว้างมากจริงๆ ขนาดท่านถือไม้เท้าที่ทำจากเอ็นของพวกเขาก็ยังไม่โกรธท่านเนี่ย”

“ข้าเคยบอกแล้วไงว่าเอ็นมังกรนี้มีคนให้ข้ามา... ราชามังกรน้ำทรงประทานให้ข้าด้วยพระองค์เอง”

คาริกอ้าปากค้าง รู้สึกขึ้นมาในวินาทีนั้นเองว่าชีวิตของไอดิเอลนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ และจะว่าไปแล้ว นี่มันอย่างกับชีวิตของวีรบุรุษในนิทานเลยนี่นา นี่เขากำลังนั่งอยู่ตรงหน้าวีรบุรุษที่ยังมีชีวิตสินะ

“เป็นไร? คิดว่าข้าโกหกหรือไง?”

“เปล่าๆ ข้ารู้ว่าท่านไม่โกหกแน่” คาริกว่า “เพียงแต่ข้ารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา... แบบว่าเหมือนข้าเพิ่งค้นพบว่าตัวเองกำลังนั่งคุยอยู่กับวีรบุรุษในนิทานที่เล่าๆ ต่อกันมาน่ะ”

ไอดิเอลนิ่งไปพักก่อนจะหัวเราะออกมา “ไม่ต้องตื่นเต้นหรอกน่า ข้าไม่ชอบฟังนิทานเกี่ยวกับตัวเองหรอก และไม่ชอบเล่าเรื่องของตัวเองด้วย แต่เรื่องของเจ้าน่ะน่าสนใจสำหรับข้าอยู่นะ ไม่แน่ตอนเราไปที่อาเปส อาจมีนิทานเรื่องที่เจ้าเอาชนะอิกเน่ ลาเชอร์ตาแล้วก็ได้”

“แหม... ท่านก็พูดไป ข้าเขินนะเนี่ย ข้าว่าข้าแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”

“อย่างน้อยๆ เจ้าก็สมัครใจจะทำหน้าที่นี้เองแทนที่จะให้นายกองแกเรียนเป็นคนทำ ข้าว่านี่ก็ใช้ได้แล้วล่ะนะสำหรับวีรบุรุษ”

คาริกยกมือเกาศีรษะแกร่ก ไอดิเอลส่งเสียงเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก “จริงสิ สร้อยที่คอเจ้าน่ะ ได้มาจากไหนหรือ?”

“หืม ท่านหมายถึงสร้อยนี่น่ะหรือ?” คาริกพูดพลางชี้สร้อยที่คอ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ครูมาดิห์ที่เก็บข้ามาเลี้ยงบอกว่ามันติดตัวข้ามาอย่างนี้แต่แรกอยู่แล้ว”

“ขอข้าดูได้ไหม” ไอดิเอลว่า “ข้ารู้ว่าพวกเครื่องรางมักมีเวทมนตร์ป้องกันอยู่แล้ว สร้อยเส้นนี้เลยไม่ถูกไฟเผา แต่ข้าสงสัยว่ามันทำมาจากวัสดุอะไร”

“ได้สิ” คาริกว่า ก่อนจะหัวเราะเขินๆ “ที่จริงพวกเราก็เห็นหน้ากันมาหลายวันแล้ว นี่เหมือนเป็นครั้งแรกนะที่ท่านดูสนใจสิ่งที่อยู่บนตัวข้าน่ะ”

“....”

คาริกคลำๆ สร้อยเส้นนั้นดูพัก ก็ไม่มีวี่แววว่าจะถอดออกมา สักพักเขาก็เงยหน้าขึ้นมองจอมเวท “คือ... ท่านจะหาว่าข้าโง่ก็ได้นะ แต่ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าสร้อยนี่ถอดยังไง คือข้าไม่เคยถอดมันมาก่อน คลำหาไม่เจอด้วยว่าห่วงคล้องหรือปมมันอยู่ตรงไหน”

“งั้นขอข้าดูหน่อยแล้วกัน” ไอดิเอลว่า ก่อนจะยื่นมือไปแตะสร้อยที่บริเวณลำคอของชายหนุ่ม คาริกรู้สึกใจเต้นตึกๆ พวกเขามีความสัมพันธ์แบบนั้นกันมาหลายครั้งแล้วก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ไอดิเอลแสดงความสนใจในตัวเขา

?!

ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสโดน ไอดิเอลก็รีบหดมือกลับทันที ได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดขึ้น

“ท่านก็เป็นด้วยหรือ?”

จอมเวทขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง?”

“เอ่อ... ข้าคิดว่าท่านเป็นจอมเวท จะไม่มีเป็นอะไรเสียอีก คือก่อนหน้านี้มีหลายคนเคยลองจับมันนะ แต่ทุกคนต้องรีบชักมือออกอย่างท่านนี่แหละ พวกนั้นบอกว่าพอแตะแล้วเหมือนถูกไฟดูดไงงั้น ข้าคิดว่ามันคงเป็นเครื่องรางป้องกันภัยที่ครอบครัวข้าทิ้งไว้ให้ล่ะมั้ง”

ไอดิเอลถอนหายใจเฮือก “ดูท่าข้าคงไม่ใช่จอมเวทคนแรกที่เกี่ยวข้องกับเจ้านะ”

“หา?”

อีกฝ่ายนิ่งไปพักก่อนจะพูดขึ้นต่อ “บนโลกนี้มีเพียงพลังของจอมเวทด้วยกันเท่านั้นที่ต่อต้านจอมเวทด้วยกันได้ เหมือนอย่างที่ข้าไม่อาจย้ายมวลสารไปยังประตูที่จอมเวทคนอื่นทำเครื่องหมายไว้นั่นแหละ”

“เดี๋ยวนะ” คาริกร้องออกมา “ท่านจะบอกว่า สร้อยที่คอข้าเป็นเครื่องรางของจอมเวทงั้นหรือ แต่ข้าเป็นพวกลูบิดนะ จอมเวทกับลูบิดน่ะไม่ยุ่งเกี่ยวกันไม่ใช่หรือ มันจะเป็นไปได้ยังไงน่ะ”

“นั่นแหละปัญหายุ่งยากล่ะ” ไอดิเอลว่า ก่อนจะถอนหายใจอีก “ข้าตัดสินใจแล้ว เราจะเดินทางไปที่อาณาจักรบูรพาหลังจากที่เจ้าสอบเลื่อนขั้นเสร็จ เพราะข้าเป็นบุคคลต้องห้ามของที่นั่น ถ้าจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น เจ้าคงต้องมีใบอนุญาตระดับห้า ข้าคงจะต้องไปดูว่าจะให้เจ้าข้ามไปสอบระดับห้าเลยได้ไหม”

“ขนาดระดับหนึ่งข้ายังไม่เคยสอบ จู่ๆ ท่านจะให้ข้าไปสอบระดับห้าเนี่ยนะ!”

“กลัวอะไรเล่า ขนาดอิกเน่ ลาเชอร์ตาเจ้ายังฆ่ามาแล้วเลยนะ”

“นั่นเพราะมีท่านช่วยไม่ใช่หรือไง ตอนสอบเขาอนุญาตให้มีจอมเวทเข้าไปช่วยด้วยหรือ?”

“ไม่อนุญาตหรอก”

คาริกจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง แต่ดูเหมือนจอมเวทจะทำเป็นไม่รับรู้ “ไม่ต้องกังวลหรอกน่า ยังไงเจ้าก็ไม่ตายอยู่แล้ว เสี่ยงสอบไปไม่เห็นจะเสียหายอะไรนี่”

“....”

“เอาเถอะ... ยังไม่แน่ว่าเขาจะอนุญาตให้เจ้าสอบข้ามระดับได้ ข้าคงจะต้องหาวิธีก่อน”

“แทนที่จะหาวิธีให้ข้าสอบข้ามระดับ ท่านหาวิธีทำให้ตัวเองไม่กลายเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ง่ายกว่าหรือไง อย่างเช่นติดต่อจอมเวทที่ชื่อซีนอนคนนั้นน่ะ ดูเขาจะชอบท่านมากนะ ท่านออกปากคำเดียวเขาน่าจะช่วยจัดการเรื่องนี้ให้ท่านได้อยู่แล้ว”

“นั่นเป็นวิธีสุดท้ายที่ข้าจะใช้...” ไอดิเอลว่า “ยังมีวิธีอีกร้อยแปดที่จะไปที่นั่นโดยไม่ต้องติดต่อเจ้าเด็กนั่น เจ้าไม่ต้องพูดมาก เชื่อที่ข้าบอกก็พอ”

............................................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่21 สมัครสอบ


เรือเหาะถึงอาเปสประมาณเที่ยงคืนตามกำหนด ไอดิเอลเลือกพักโรงแรมเล็กๆ ที่อยู่ติดกับท่าเรือเหาะ พอถึงรุ่งเช้าเขาก็ปลุกคาริกกับโอเรนให้เตรียมออกเดินทาง

“นี่ยังเช้าอยู่เลย ทำไมท่านรีบจัง” โอเรนพูดพลางหาวหวอด “พระราชาเรียกพบพวกเราแต่เช้าเลยหรือ?”

“ไม่ใช่หรอก ข้าต้องพาคาริกไปสมัครสอบเลื่อนขั้นน่ะ วันนี้วันสุดท้ายแล้ว คิวคงจะยาวเหยียดน่าดู”

“คนเยอะขนาดนั้นเลยหรือ?” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้าถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้ได้ไง ข้าไม่คิดว่าท่านจะว่างมานั่งดูแถวสอบสมาคมคุ้มกันทุกปีนะ”

“ข้ารู้ก็แล้วกัน”

“ท่านไอดิเอลนี่ก็แปลกนะ เหมือนจะไม่สนใจอะไร แต่ก็รู้ไปทุกเรื่องเลย” โอเรนที่นั่งอยู่บนศีรษะของคาริกอีกทีตั้งข้อสังเกต “หรือเพราะเป็นจอมเวทเลยรู้ทุกอย่าง?”

“ไม่ใช่หรอก” ไอดิเอลว่า “เพราะข้าอยู่มานาน ถ้าไม่สมองทื่อจนเกินไป เรื่องพื้นๆ ก็ต้องรู้ทั้งนั้นแหละ”

“เรื่องสอบของคาริกก็เป็นเรื่องพื้นๆ หรือ?”

“ใช่แล้วล่ะ”

“งี้นี่เอง แล้วท่านไอดิเอลต้องสอบด้วยไหม? ข้าหมายถึงท่านเคยสอบแบบที่คาริกกำลังจะไปสอบรึเปล่า?”

“เขาไม่ต้องสอบหรอกน่า” คาริกรีบตอบแทนให้ “เขาเก่งขนาดนี้แล้วยังต้องสอบอะไรอีกเล่า”

“อ๋อ เพราะท่านไอดิเอลเก่งแล้วเลยไม่ต้องไปสอบ ส่วนเจ้ายังไม่เก่งเลยต้องไปสอบสินะ”

“...ก็ประมาณนั้นแหละ”

“แต่ถ้าไม่เก่งไปสอบแล้วจะเก่งขึ้นหรือ อย่างท่านไอดิเอลเก่งแล้วก็ไม่ต้องสอบนี่ สรุปแล้วการสอบทำให้เก่งขึ้นจริงๆ รึเปล่า?”

“....”

“ข้าอยู่มาก่อนที่จะมีการสอบน่ะ” ในที่สุดไอดิเอลก็พูดขึ้นต่อ “สมัยก่อนตอนที่สมาคมคุ้มกันเริ่มก่อตั้งใหม่ๆ ก็ไม่มีการสอบหรอก แค่มีคนมาทำงานนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่ต่อมาพอประชากรเยอะขึ้น ก็มีคนหันมาสนใจทำอาชีพนี้มากขึ้น ทางสมาคมก็เลยจัดการสอบขึ้นมาเพื่อวัดคุณภาพของสมาชิกว่าใครมีฝีมืออยู่ในระดับไหนและควรจะรับงานแบบไหนได้บ้าง มันสะดวกทั้งคนจ้างและคนถูกจ้างน่ะ เพราะงั้นคนที่เก่งก็จะสอบผ่านแต่ละระดับได้ไม่ยาก ส่วนคนที่ไม่เก่งถ้ากลับไปฝึกฝนตัวเองดีๆ เพื่อให้ผ่านการสอบ ก็จะกลายเป็นคนเก่งได้เหมือนกัน”

คราวนี้เจ้ามังกรพยักหน้าหงึก “งั้นถ้าคาริกสอบไม่ผ่านเขาก็ต้องไปฝึกแล้วกลับมาสอบใหม่สินะ”

“ใช่แล้วล่ะ แต่ถ้าไปสมัครไม่ทันก็อย่าคิดเลยว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะงั้นเร่งม้าตามข้ามาเร็วๆ”

.......................................

อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้วว่าอาเปสนั้นเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรหรดี ท่าเรือเหาะนั้นตั้งอยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองพอสมควร ขนาดเล็กกว่าที่ทริโกเนีย (ยิ่งไม่ต้องเทียบกับที่นครเวหา) มีโรงแรมขนาดเล็กหลายสิบแห่งตั้งอยู่รอบๆ ท่าจอดเรือเหาะ แม้จะไม่ขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ท่าเรือเหาะของที่นี่มีถนนตัดตรงที่ปูด้วยหินสีแดง ขนาดกว้างพอให้รถหรือเกวียนขนาดใหญ่วิ่งเรียงหน้ากระดานกันได้ถึงสี่คัน พื้นถนนราบเสมอ สองข้างทางขนาบไปด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่และเสาไฟส่องสว่างที่ก่อจากหินสีขาว ยามต้องแสงตะวันเป็นสีทองสว่างสุกใส ยามกลางคืนหากมีแสงไฟก็คงสวยงามไม่แพ้กัน สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกนำพาหนะขึ้นเรือเหาะมา ที่นี่ยังมีรถม้าเช่า ทั้งที่เป็นรถแบบนั่งได้ตั้งแต่สองคน ไปจนถึงรถม้าคันใหญ่แบบรถม้าประจำทางที่เทียมม้าด่างลากรถถึงหกตัวและบรรทุกผู้โดยสารรวมสัมภาระได้ถึงยี่สิบห้าคน ซึ่งเป็นสิ่งที่คาริกไม่เคยเห็นมาก่อน กำแพงเมืองของอาเปสนั้นสร้างจากหินสีแดง สูงเสียยิ่งกว่ากำแพงกันเสียงที่ทริโกเนีย ซุ้มประตูทางเข้าเมืองก่อด้วยหินสีขาว สองข้างประตูมีรูปสลักที่ดูเหมือนอัศวินยืนขนาบอยู่ พอพ้นกำแพงเมืองชั้นนอกไป จะเห็นบ้านเรือนที่สร้างจากหินสีแดงและไม้เรียงรายกันหนาแน่น แต่ละหลังถ้าไม่สูงชะลูดก็ใหญ่โตโอ่อ่า ถนนในเมืองกว้างขวาง มีที่จอดรถสาธารณะเป็นจุดๆ ตลอดสองข้างทางรายล้อมไปด้วยไม้ประดับ และสวนหย่อม มีนกตัวเล็กๆ และผีเสื้อสีสันสดใสบินฉวัดเฉวียนส่งเสียงร้องรับยามเช้า ผู้คนต่างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเนื้อบาง สีสันสวยงาม เดินยืดเส้นยืดสายบ้าง จับกลุ่มคุยกันบ้าง อากาศก็ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป เรียกว่าสบายและมีบรรยากาศสดใสราวกับเมืองสวรรค์

“โอ้โห ที่นี่ต่างจากนครเวหาลิบลับเลย ข้าชอบที่นี่จัง มีต้นไม้สีเขียวอยู่ทุกที่เลย” โอเรนพูด คาริกพยักหน้าเห็นด้วย

“ข้าไม่คิดเลยว่าอาเปสจะเป็นเมืองที่สวยงามน่าอยู่ขนาดนี้”

“นั่นสิ รู้สึกสงสารเจ้าชายเลยเนอะที่ต้องไปลำบากตั้งกระโจมนอนทั้งที่เคยอยู่ในเมืองที่น่าอยู่ขนาดนี้น่ะ”

“อาณาจักรหรดีมีชื่อเสียงในด้านการก่อสร้างอาคารที่ทำจากหินน่ะ” ไอดิเอลอธิบาย “พวกเจ้าจำที่พักรายทางที่เราผ่านตอนเดินทางไปทริโกเนียได้ไหม ที่นั่นสร้างจากหินสีแดงที่มีแหล่งหินอยู่ทางใต้ เป็นแหล่งหินขึ้นชื่อของอาณาจักรนี้เลย ในอาเปสมีการสร้างอาคารโดยใช้หินสีแดงนี้เป็นจำนวนมาก ส่วนหินสีขาวมาจากแหล่งหินทางตอนเหนือ ด้วยเหตุนี้ผู้คนจากอาณาจักรอื่นจึงมักขนานนามเมืองนี้ว่านครหลวงแห่งตะวันและจันทรา ซึ่งมาจากสีแดงและสีขาวของหินนี่แหละ”

“ท่านเวโรนิกาก็อยู่ที่นี่ใช่ไหม” โอเรนพูดขึ้นต่อ “พวกเราจะได้พบนางรึเปล่า?”

“ข้าคิดว่าเราคงจะได้พบนาง” ไอดิเอลตอบ “แต่จุดประสงค์หลักของเราตอนนี้คือมองหาอาคารที่น่าจะเป็นที่ตั้งสมาคมคุ้มกันของอาเปส ข้าว่าน่าจะหาไม่ยากหรอกนะ”

สมาคมคุ้มกันประจำนครหลวงอาเปสตั้งอยู่ไม่ห่างจากเขตกำแพงเมืองชั้นนอกมากนัก ตัวตึกชั้นล่างสร้างจากหินสีแดง ส่วนชั้นสองและชั้นสามสร้างจากไม้ ทาสีขาวนวลตา ด้านหน้าเป็นสวนดอกไม้ดูร่มรื่น แม้จะมีพื้นที่กว้างขวาง แต่ตอนนี้ทางเดินซึ่งปูด้วยหินด้านหน้าถูกจับจองด้วยแถวของผู้คนที่ยาวราวกับหางว่าว

“นี่คือคนที่จะมาสอบเหมือนคาริกหรือ?” โอเรนถามขึ้นมา “แถวยาวมากนะเนี่ย เหมือนที่ท่านไอดิเอลพูดไว้เลย”

“ใช่แล้วล่ะ วันสุดท้ายก็จะคนเยอะแบบนี้แหละ” ไอดิเอลว่า คาริกถามขึ้นต่อ

“ว่าแต่คนเยอะขนาดนี้ แล้วทุกคนจะต้องต่อสู้กับสัตว์ยักษ์ในระดับที่จะสอบหรือ คงใช้พื้นที่เยอะน่าดูนะข้าว่า”

“คิดอะไรบ๊องตื้น” ไอดิเอลว่า “ทุกคนต้องผ่านการสอบพื้นฐานก่อน”

“หา สอบพื้นฐาน? คืออะไรน่ะ?”

“เดี๋ยวเจ้ากรอกใบสมัครแล้วเขาจะให้คู่มือมา ตอนนี้เจ้ารีบลงไปต่อแถวก่อนเถอะ ชักช้าเดี๋ยวจะต้องยืนจนถึงเย็น ข้าไม่รู้ด้วยนะ”

ทั้งคู่รีบบังคับม้าไปที่คอกม้า เจ้าหน้าที่พอเห็นไอดิเอลก็ออกอาการตื่นเต้นทันที

“อ่า... ท่านประกายสีเงินให้เกียรติมาเยือนสมาคมของเราหรือครับ แต่ว่าวันนี้เป็นวันสมัครสอบวันสุดท้าย ข้าเกรงว่าด้านในจะวุ่นวายอยู่พอสมควร”

“ข้าพาผู้ช่วยมาสมัครสอบ” ไอดิเอลพูดพลางกระโดดลงจากหลังม้า เจ้าหน้าที่คนนั้นทำหน้าเหมือนได้ยินอะไรผิด

“สมัครสอบ? ผู้ช่วย? ผู้ช่วยของท่านยังต้องสมัครสอบอีกหรือครับเนี่ย ล้อเล่นแน่ๆ”

“เจ้าเห็นข้าเป็นคนชอบล้อเล่นหรือไง?”

“....”

จอมเวทถอนหายใจ “ผู้ช่วยคนนี้ไม่ใช่คนที่ข้าจ้างมาเป็นการชั่วคราว เขาคือผู้ช่วยถาวรของข้า จะดีมากถ้าเขาสามารถต่อคิวเข้ารับการสมัครในวันนี้ได้ทัน”

แม้จะมีสีหน้าสงสัยว่าทำไมจู่ๆ คนที่ได้ชื่อว่าออกเดินทางคนเดียวจนได้ฉายาประกายสีเงินเดียวดาย จะมีผู้ช่วยถาวรที่ยังต้องมาสอบเลื่อนระดับ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นจอมเวทและดูท่าจะไม่ใช่คนที่จะคุยเล่นด้วยได้ เจ้าหน้าที่คนนั้นจึงได้แต่พยักหน้าหงึกๆ แล้วรีบบอกรายละเอียด

“อย่างนั้นท่านกรุณาฝากม้าไว้ที่นี่ แล้วไปต่อคิวตรงนั้นได้เลยครับ”

คาริกพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองไอดิเอล “แล้วท่านล่ะ?”

“ข้าจะเข้าไปคุยธุระที่สมาคม ถ้าข้าคุยธุระเสร็จแล้ว เจ้ายังต่อแถวอยู่ล่ะก็ ข้ากับโอเรนจะไปรออยู่ที่สวนประกายแสง ที่นั่นเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของนครแห่งนี้ เจ้าถามทางเอาเดี๋ยวก็เจอ หาไม่ยากหรอก ส่วนโอเรนก็มากับข้าแล้วกัน”

คาริกผงกศีรษะ แล้วพูดกับโอเรน “เจ้าก็ไปกับท่านไอดิเอลเถอะ ไม่ต้องมาต่อแถวกับข้าหรอก”

“เจ้าดูแลตัวเองได้นะ”

“นี่ ข้าแก่กว่าเจ้าอีกนะ ไม่ต้องถามเหมือนข้าเป็นเด็กเล็กๆ ได้ไหม” คาริกโวย เจ้ามังกรจึงกระโดดจากศีรษะของเขาไปเกาะอยู่บนไหล่ของจอมเวท เจ้าหน้าที่ประจำคอกม้าจึงอดโพล่งออกมาไม่ได้

“อ๋า! ข้าไม่คิดว่าจะได้เห็นกระรอกพูดได้นะเนี่ย พวกท่านไปหามาจากไหนหรือ?”

“เสียมารยาท ข้าเป็นมังกรนะ” โอเรนร้อง ไอดิเอลจึงอธิบายต่อ

“เขาคือนูเบส โฟลิอุม เป็นมังกร เขาเป็นแขกของราชสำนัก เจ้าเองก็อย่าเสียมารยาทล่ะ”

“หา... มังกร ตัวเล็กจิ๋วแบบนี้เนี่ยนะ”

“ข้าบอกว่าเป็นมังกรก็คือมังกร” ไอดิเอลว่า “ถ้ามีเวลาว่างจากม้าพวกนี้ล่ะก็ ลองไปหาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มาอ่านดูสักเล่มสิ จะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง”

“อ่า...”

“ดูแลม้าของข้าให้ดี อัลบุสต้องการน้ำสะอาด อากาศที่ถ่ายเท ถ้าข้าเสร็จธุระกลับมาแล้วเกิดอะไรขึ้นกับม้าของข้าล่ะก็... เจ้าคงไม่อยากจินตนาการหรอกนะว่าข้าจะสาปอะไรเจ้าบ้าง”

“ครับๆ วางใจได้เลยครับ ข้าจะดูแลม้าของท่านเป็นอย่างดี”

“ท่านนี่ชอบขู่จริงๆ แฮะ” คาริกพูดขึ้นมา ไอดิเอลหันไปจ้องเขา

“ยังไม่รีบไปอีก ชักช้าข้าจะสาปเจ้าด้วย”

“ก็ได้ๆ ข้าไปล่ะ”

รอจนคาริกเดินไปเข้าแถวแล้ว ไอดิเอลก็หันมาถามคนเฝ้าคอกม้าต่อ “ประธานสมาคมอยู่ที่นี่วันนี้ไหม เขาสะดวกให้ข้าเข้าพบรึเปล่า”

“ท่านจาคอปอยู่ที่สามาคมครับ ข้าแน่ใจว่าเขาจะยินดีพบท่านแน่นอน”

..........................................

จาคอปเป็นประธานสมาคมคุ้มกันของอาเปส เขามีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบสาขาในอาณาจักรหรดีทั้งหมด และแน่นอนว่าในวันที่มีการสมัครสอบ เขาจะอยู่ที่สมาคม คอยดูว่าในแถวของผู้สมัครนั้นมีใครที่ดูมีแววบ้าง ยิ่งคนในสมาคมคุ้มกันมีฝีมือมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้สมาคมคุ้มกันมีชื่อเสียงมากขึ้นเท่านั้น ปีที่แล้วเขาได้สมาชิกสมาคมที่สอบผ่านระดับห้ามาถึงสิบคน นับว่ามากกว่าปีที่ผ่านมา แต่ถ้าเทียบกับสมาคมคุ้มกันของอาณาจักรอื่นก็ถือว่าน้อย อาจเป็นเพราะอาณาจักรหรดีค่อนข้างสงบและไม่ได้มีสัตว์ร้ายอาละวาดบ่อย สมาชิกส่วนใหญ่จึงมีทักษะรับมือกับศัตรูระดับพื้นๆ เท่านั้น จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่จะว่าอีกทีมันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีในฐานะประธานสมาคมเช่นกัน

“ท่านประธานครับ ท่านประกายสีเงินเดียวดายมารอขอพบครับ” เลขาหน้าห้องที่เปิดประตูเข้ามาดึงความสนใจของเขาไปจากหน้าต่าง จาคอปหันไปมองทันที

“ข้าบอกแล้วไงว่าถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญจริงๆ วันนี้ข้าไม่รับแขก”

“แต่... เอ่อ... ท่านประกายสีเงินเดียวดายมานะครับ... นักล่าที่มีชื่อเสียงและเป็นจอมเวทคนนั้นน่ะครับ ที่เพิ่งสังหารอิกเน่ ลาเชอร์ตาไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน”

“หา! โอ้! เทพแห่งแสงโปรด เขามาที่นี่หรือ เร็วเข้า รีบเชิญเขาเข้ามา”

หลังจากนั้นอึดใจ ไอดิเอลก็เข้ามายืนอยู่ในห้องทำงาน ซึ่งนอกจากโต๊ะทำงานไม้ที่เต็มไปด้วยเอกสารกองโตแล้ว ผนังด้านข้างก็ประดับไปด้วยชิ้นส่วนต่างๆ ของสัตว์ยักษ์ ที่มีทั้งที่ดูเก่าแก่มาก ไปจนถึงที่เหมือนเพิ่งถูกทำความสะอาดมาใหม่ๆ คงเป็นของที่ประธานสมาคมแต่ละรุ่นนำมาวางไว้เป็นที่ระลึกและประกาศความยิ่งใหญ่ของสมาคม จาคอปรีบเชิญจอมเวทให้นั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าทันที

“อ่า อรุณสวัสดิ์ครับท่านไอดิเอล ข้าไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้พบท่านในวันนี้”

“ข้าเองก็ไม่นึกไม่ฝันเหมือนกัน” ไอดิเอลว่า “เข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะ ข้ามาที่นี่เพื่อถามว่าเจ้าพอจะอนุโลมให้มีการสอบข้ามระดับไหม สำหรับคนที่ไม่เคยสอบวัดระดับเลยจะสามารถเข้าสอบระดับสูงสุดได้เลยหรือเปล่า?”

“ถ้าเป็นท่านล่ะก็ ข้าสามารถออกไปรับรองพิเศษให้ได้เลยครับ”

“ไม่ใช่ข้า” ไอดิเอลว่า “เป็นผู้ช่วยของข้า... ข้ารู้ว่าคนที่มีใบรับรองระดับห้าจะถูกยอมรับในวงกว้าง สามารถขอเอกสารเดินทางข้ามอาณาจักรได้สะดวกกว่าคนที่มีใบรับรองในระดับต่ำกว่าหรือว่าไม่มีเลย ตอนนี้ข้ามีผู้ช่วยคนนึง ซึ่งไม่เคยเข้าสอบมาก่อน เจ้าไม่ต้องถามหรอกนะว่าทำไมข้าถึงรับผู้ช่วยที่ไม่มีใบรับรอง เอาเป็นว่าข้ามีเหตุผลของข้า เขาก็เป็นคนที่สังหารอิกเน่ ลาเชอร์ตาที่แคนเดนส์ เจ้าคงจะได้ยินข่าวแล้ว ข้าต้องการให้เขามีใบรับรองระดับห้าเพื่อความสะดวกในการเดินทาง”

“เอ่อ... ที่จริงแล้วใช่ว่าข้าอยากจะปฏิเสธหรือไม่เชื่อถือท่านหรอกนะครับ แต่ว่าการสังหารอิกเน่ ลาเชอร์ตาที่แคนเดนซ์เป็นฝีมือของท่านไม่ใช่หรือ? อย่างน้อยๆ ที่คนส่วนใหญ่พูดถึงก็เป็นแบบนั้น หากผู้ช่วยของท่านมีฝีมือที่จะสามารถสังหารสัตว์ร้ายระดับนั้นได้ด้วยตัวคนเดียวข้าคงจะออกใบรับรองให้ได้ไม่ยาก แต่...”

“อ้อ... ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าออกใบรับรองให้เขาเลยหรอกนะ” ไอดิเอลว่า “ข้าแค่ถามว่าเจ้าพอจะอนุโลมให้เขาเข้าสอบในระดับห้าเลยได้ไหมก็แค่นั้นเอง ส่วนเขาจะผ่านหรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของเขานั่นล่ะ”

จาคอปมองเขาอึดใจก่อนจะพยักหน้า “ปกติแล้วการสอบเลื่อนระดับต้องทำเป็นขั้นๆ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เข้าสอบจะมีศักยภาพพอที่จะสอบในระดับต่อไปได้ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้เข้าสอบเอง การจะให้ข้ามไปสอบระดับห้าเลย โดยทางทฤษฏีก็ทำได้หรอกนะครับ แต่ในด้านความปลอดภัยข้าเกรงว่า...”

“ก็ไม่เป็นไร ความปลอดภัยของเขาเป็นปัญหาของข้า ที่ข้าอยากรู้คือเจ้าอนุโลมให้เขาเข้าสอบในระดับห้าเลยได้ไหม มันจะส่งผลอะไรกับสมาคมของเจ้ารึเปล่า จะทำให้เจ้าเสียชื่อเสียงไหม?”

“หากท่านและผู้ช่วยของท่านจะลงนามในหนังสือยินยอมไม่เอาเรื่องราวหากเกิดเหตุไม่คาดฝันในระหว่างการสอบที่ทำให้ถึงกับชีวิต ทางข้าและสมาคมก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ อย่างที่ข้าได้แจ้งไปแล้วว่าโดยหลักการก็เพื่อความปลอดภัยนั่นเอง”

“ก็ได้ เอาหนังสือมาสิ ข้าขอดูรายละเอียดสัญญาก่อนว่ามันมีข้อผูกพันอะไรและมีอะไรที่ข้าให้สัญญาไม่ได้บ้าง”

“ครับ ขอเวลาข้าร่างหนังสือสักครู่นะครับ”

“ว่าแต่คาริกจะไหวหรือ?” โอเรนที่เกาะอยู่บนไหล่ของจอมเวทกระซิบขึ้น “ขนาดสู้กับผีดาบที่ท่านส่งมาก่อนหน้านี้เขายังจะแย่เอาเลยนะ ท่านจะให้เขาไปสู้กับสัตว์ร้ายตัวใหญ่ๆ มันจะดีหรือ?”

“มันก็ต้องลองดูน่ะนะ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหายนี่นา คนที่บาดเจ็บยังไงก็เป็นข้าอยู่แล้วไม่ใช่เขาสักหน่อย”

“ไม่เข้าใจการเรียงลำดับความสำคัญของท่านจริงๆ นะเนี่ย” โอเรนพูดพลางสั่นศีรษะ

ในที่สุดจาคอปก็ร่างเอกสารเสร็จ ไอดิเอลรับมาอ่านอยู่พักก็พยักหน้า เขาเอ่ยปากขอซองจดหมายกับเจ้าตัว

“เดี๋ยวข้าให้ผู้ช่วยเซ็นแล้วจะให้เขาเอามาให้เจ้าด้วยตัวเองแล้วกัน ขอบใจนะ”

“ครับ แต่รบกวนท่านบอกหน่อยได้ไหมครับว่าผู้ช่วยของท่านชื่ออะไร”

“คาริก... คาริกแห่งคีท”

.....................................

กว่าที่คาริกจะได้กรอกใบสมัคร ดวงตะวันก็คล้อยต่ำจากศีรษะไปเยอะแล้ว ถึงเขาจะเคยเดินทางติดกันหลายวัน แต่ยืนต่อแถวนานขนาดนี้ถือเป็นครั้งแรก หลายคนที่มีประสบการณ์พกเอาอาหารติดตัวมา ส่วนเขาเพราะรีบออกจากที่พักตั้งแต่เช้า และไม่มีเสบียงอะไรติดตัวเลยนอกจากน้ำดื่ม เลยได้แต่ต้องเอาน้ำลูบท้องประทังความหิว ถ้าเทียบแล้วก็คงจะดีกว่าตอนหนีออกมาจากอาณาจักรบูรพานิดหน่อย ตรงที่ไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ แต่ยืนตากแดดต่อแถวเกือบหนึ่งวันก็สูบพลังงานไม่น้อยเช่นกัน

คู่มือการสอบนั้นไม่ได้เป็นหนังสือเล่ม แต่เป็นกระดาษแผ่นใหญ่ที่พับทบๆ กัน พอคลี่ออกด้านในก็มีรายละเอียดในการเข้าสอบ แต่ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจอ่าน พอกรอกใบสมัครและรับเอกสารแล้ว เขาก็รีบมาที่คอกม้าทันที คาริกรู้ด้วยความรู้สึกว่าไอดิเอลไม่ได้อยู่แถวนี้แล้ว เขาจึงถามทางเอากับเจ้าหน้าที่หน้าคอกม้า และขับม้าไปยังสวนประกายแสงทันที

สวนประกายแสงหาไม่ยากอย่างที่ไอดิเอลว่า แค่ขี่ม้าตรงไปตามทางเดินผ่านกำแพงเมืองชั้นสองซึ่งเตี้ยกว่าชั้นแรกและมีความวิจิตรตะการตากว่า ก็จะเห็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีรูปสลักของเทพแห่งแสงตั้งตระหง่านอยู่ แสงอาทิตย์ยามอัสดงทาบทารูปสลักจนกลายเป็นสีทองอมแดงคล้ายดั่งมีอำนาจของเทพแห่งแสงมาสถิตอยู่จริงๆ แต่คาริกหิวจนไม่มีกะใจจะชื่นชมความงาม เขาชะเง้อมองหาไอดิเอล และพบว่าเจ้าตัวยืนรออยู่ที่ฐานของรูปสลักนั่นเอง

“เจ้ามาได้เวลาพอดี” จอมเวทพูดขึ้นทันทีที่เห็นหน้าเขา “ข้าจองโต๊ะที่หอแดงเอาไว้ สายนิดหน่อยเขาคงยังไม่ยกเลิกหรอก”

“หอแดง?” คาริกทวนคำ “บอกข้าให้ชื่นใจหน่อยสิว่ามันคือร้านอาหาร ไม่ใช่แหล่งบันเทิงครบวงจรอะไรของท่านน่ะ”

“มันคือภัตตาคารที่ขึ้นชื่อของที่นี่” ไอดิเอลว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคงหิวจนแทบจะกินแมกนิส คอร์นิบัสได้ทั้งตัว เพราะงั้นเลยสั่งอาหารชุดใหญ่เตรียมไว้ให้แล้ว”

คาริกเกาศีรษะอย่างเขินๆ ขณะขี่ม้าตามไอดิเอลออกไป “ไม่คิดว่าท่านจะคิดถึงปากท้องข้าขนาดนี้นะเนี่ย”

“ข้าเคยปล่อยให้เจ้าอดสักมื้อหรือไง”

“ก็ไม่เคยนะ... เอ่อ... ข้าหมายถึง ไม่คิดว่าท่านจะจองภัตตาคารเพื่อเลี้ยงอาหารข้าเลยน่ะ นี่คงไม่ได้หักจากเงินเดือนของข้าหรอกนะ”

“เงินเดือนเจ้าสามเดือนยังไม่พอจ่ายค่าอาหารมื้อเดียวของที่นี่เลย” ไอดิเอลว่า “ข้ายังไม่หักจากเงินเดือนเจ้าหรอก ข้ามีเหตุผลของข้าที่จองที่นี่น่ะ”

“คงไม่ใช่เพราะสาวๆ หรอกนะ”

อีกฝ่ายยักไหล่ “นั่นเป็นเหตุผลหลักของผู้ชายส่วนใหญ่เลยนะ เจ้าพูดอย่างกับว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ชายงั้นแหละ”

“...สรุปแล้วมันเป็นภัตตาคารจริงๆ ใช่ไหม?”

“เจ้าวางใจเถอะ” โอเรนพูดแทรกขึ้นมา “ที่นั่นเป็นภัตตาคารจริงๆ ข้ากับท่านไอดิเอลไปมาแล้ว ท่านไอดิเอลเลือกที่นั่นเพราะมีน้ำแร่ที่ดีน่ะ แล้วก็มีห้องอาหารส่วนตัวที่ไม่มีใครคอยมานั่งจ้องด้วย”

คาริกหันไปมองไอดิเอล ฝ่ายนั่นยักไหล่อีก “ถึงข้าจะดื่มแค่น้ำเปล่า แต่ข้าก็เลือกน้ำที่ดื่มเหมือนกัน มีอะไรแปลกหรือไง”

“นั่นสินะ” ชายหนุ่มพยักหน้า ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงยิ้มออกมา ไอดิเอลชายตามองหน่อยหนึ่ง แล้วชักม้านำหน้าไป

............................................
(จบตอน)

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
13/3/2565 แก้ไขชื่อสถานที่ไม่ตรงกับบทก่อนหน้า

A Swordsman And A Sorcerer.

มนตร์รัตติกาล ตอนที่22 ความผิดบาปที่ไม่มีวันชดใช้ได้หมด


ถนนในตัวเมืองชั้นในปูด้วยหินสีแดงเหมือนตัวเมืองชั้นนอก แต่มีความเล็กและเรียบกว่ามาก มีรถม้าที่ทำจากไม้บ้างเหล็กบ้าง วิ่งกันประปราย แต่ละคันตกแต่งอย่างสวยงาม แตกต่างจากรถม้าที่ใช้ขนของของกองคาราวานที่คาริกเคยเห็นลิบลับ และแทบไม่เห็นคนขี่ม้าบนถนนเลย

ภัตตาคารที่ว่าอยู่ห่างจากสวนประกายแสงไม่มากนัก ตอนที่ไอดิเอลยกมือให้หยุดม้า คาริกรู้สึกแปลกใจพอสมควร เขาคิดว่าภัตตาคารที่จอมเวทเลือก จะเป็นอาคารใหญ่โตที่ประดับตกแห่งอย่างหรูหรา แต่ที่อยู่ตรงหน้าเขากลับเป็นตึกสูงสองชั้น ชั้นล่างสร้างด้วยหินสีแดง ชั้นบนสร้างด้วยไม้ ขนาดราวสองคูหา ลักษณะการตกแต่งดูเหมือนที่อยู่อาศัยของคนพอมีอันจะกินในคีทหรือแคนเดนส์มากกว่าจะเป็นภัตตาคารหรูเสียอีก ด้านหน้ามีป้ายเล็กๆ แขวนไว้ เขียนตัวอักษรอ่านได้ว่า

‘หอแดง’

ด้านหน้าอาคารมีคอกม้าเล็กๆ สร้างจากไม้มุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา จุม้าได้ราวๆ สี่ตัว ไอดิเอลกระโดดลงจากหลังม้า แล้วจูงอัลบุสไปผูกไว้ในคอก คาริกเลยจำต้องทำตาม ด้านในคอกสะอาดสะอ้าน มีรางน้ำสำหรับม้าและหญ้าสดใส่ไว้จนเต็ม ดูเหมือนเพิ่งเตรียม และยังไม่มีร่องรอยการใช้งานเลย

“บ้านหลังเล็กๆ ที่ต้องเอาม้ามาผูกเองแบบนี้เป็นภัตตาคารได้ด้วยหรือ?” คาริกถามด้วยความสงสัยหลังก้าวออกมาจากคอกม้าแล้ว “ฟังจากชื่อข้าคิดว่าเป็นอาคารสูงๆ ที่มีคนต้อนรับเสียอีก”

“ปกติแล้วข้าไม่ชอบสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านหรอกนะ” ไอดิเอลตอบเขา ขณะใช้ไม้เท้าเคาะประตูเป็นเสียงดังก๊อกๆ สามครั้ง ได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดขึ้นต่อ

“ถ้าไม่เห็นป้ายกับไม่บอกก่อน ข้าคิดว่าท่านมาบ้านเพื่อนนะเนี่ย”

“ในอดีตเมื่อนานมาแล้วก็เคยเป็นบ้านของเพื่อนข้าล่ะนะ” ไอดิเอลตอบ จังหวะนั้นประตูก็เปิดอ้าออก หญิงสาวอายุราวยี่สิบต้นๆ หน้าตาเกลี้ยงๆ ไม่ได้ตกแต่งเครื่องประทินโฉม สวมเสื้อผ้าสีพื้นๆ โผล่หน้าออกมา ก่อนจะรีบเชื้อเชิญให้ทั้งหมดเข้าไปด้านใน

“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะท่านไอดิเอล อาหารกับน้ำเตรียมไว้พร้อมแล้ว เชิญที่ชั้นสองเลยค่ะ” นางพูดด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร ก่อนจะนำทั้งสองเดินผ่านห้องโถงเล็กๆ ที่มีโต๊ะอาหารวางอยู่สองตัว บันไดวนทำจากไม้เนื้อแข็งสีออกน้ำตาล ใช้เวลาไม่นานก็ขึ้นมาถึงชั้นสองที่สร้างจากไม้ แสงที่ลอดเข้ามาจากหน้าต่างที่เป็นบานเกล็ดซึ่งสร้างจากไม้ และโคมไฟแก้วสีเขียวที่ทำขึ้นอย่างประณีตสะท้อนให้เห็นการตกแต่งอย่างเรียบง่ายภายใน นอกจากตู้ไม้ที่ใช้วางของประดับที่ส่วนใหญ่เป็นชุดเครื่องเคลือบและอุปกรณ์ทำอาหารแล้ว ตรงกลางก็มีโต๊ะอาหารที่ทำจากไม้โต๊ะใหญ่วางอยู่ มีเก้าอี้ล้อมหกตัว ไอดิเอลเลือกนั่งหันหลังให้กับบันได คาริกจึงนั่งลงฝั่งตรงข้าม หญิงสาวคนนั้นนำเหยือกน้ำและแก้วสามใบมาตั้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะขอตัวกลับลงไปที่ชั้นล่าง พอนางคล้อยหลังออกไปแล้ว ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นต่อ

“นี่สินะ น้ำแร่ที่ท่านพูดถึง”

“ใช่แล้วล่ะ” ไอดิเอลพูดพลางรินน้ำลงในแก้ว ก่อนจะเลื่อนส่งให้คาริก “พวกเจ้าชิมดูสิ”

โอเรนกระโดดลงมานั่งบนโต๊ะแล้วก้มลงเลียน้ำในแก้ว ขณะที่คาริกยกขึ้นดื่ม

“อืม... ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ก็น้ำธรรมดานี่นา”

“เหรอ แต่ข้าว่ามันเป็นน้ำที่มีพลังงานหมุนเวียนอยู่มากกว่าน้ำที่เคยดื่มมานะ” โอเรนออกความเห็นหลังเงยหน้าขึ้นจากแก้วแล้ว คาริกเลิกคิ้ว แล้วขอเหยือกน้ำจากไอดิเอลมาเติมเพื่อดื่มอีก พอเห็นเจ้าตัวทำหน้าเหมือนว่า ‘ก็ไม่เห็นจะต่างตรงไหน’ ไอดิเอลจึงพูดขึ้นมา

“ท่าทางเจ้าคงไม่มีสัมผัสในเรื่องพวกนี้สินะ อาจเป็นเพราะร่างกายเจ้ามีพลังงานไหลเวียนอยู่สูงมาก ขนาดทำสัญญากับจอมเวทอย่างข้าแล้ว เจ้าก็ยังสัมผัสถึงความต่างของพลังงานไม่ได้เลย”

“หรือไม่เขาก็อาจจะทึ่มเกินไป” โอเรนว่า คาริกหันไปเอ็ดทันที

“น้อยๆ หน่อยเถอะ การที่ข้าดื่มน้ำนี่แล้วแยกไม่ออกมันทำให้ข้าดูทึ่มตรงไหนกัน!”

“ที่จริงแล้วไม่นับเรื่องนี้เจ้าก็ดูทึ่มๆ อยู่แล้วน่ะนะ”

“เอาล่ะๆ” ไอดิเอลพูดแทรกเพื่อยุติสงครามน้ำลายที่มีท่าทีว่าอาจจะปะทุขึ้นเร็วๆ นี้ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “เจ้าสมัครเรียบร้อยแล้วใช่ไหม เขาให้เอกสารเตรียมสอบมารึเปล่า? ได้เปิดอ่านหรือยัง?”

“เอกสารน่ะได้มาอยู่หรอก” คาริกว่า “แต่ยังไม่ได้เปิดอ่านเลย บอกท่านตรงๆ นะว่าข้าหิวมาก ไม่มีอารมณ์จะอ่านอะไรหรอก”

“อ๋อ หรือเพราะว่าเจ้าหิวมาก ถึงได้ดื่มน้ำอึกๆ แล้วไม่รู้สึกอะไรเลย”

“เงียบเถอะน่า” คาริกว่าก่อนจะล้วงเอกสารที่ได้รับแจกยื่นส่งให้ไอดิเอล จอมเวทรับมา จังหวะเดียวกันนั้นหญิงสาวคนเดิมก็เดินขึ้นมาพร้อมกับถาดใส่อาหาร กลิ่นของมันหอมเสียจนคาริกเกือบจะเผลอน้ำลายไหล เธอวางถาดอาหารตรงหน้าเขา ก่อนจะขอตัวลงไปชั้นล่าง พอเปิดออกมาก็เห็นข้าวผัดชามใหญ่ขนาดสี่คนกินอยู่ด้านใน ตกแต่งอย่างประณีตสวยงามต่างจากข้าวผัดที่คาริกเคยกินลิบลับ พอใช้ช้อนตักขึ้นมากินก็แทบน้ำตาไหลด้วยความอร่อย กินไปได้สองคำ แกงชามใหญ่และถาดเนื้อย่างก็ถูกนำขึ้นมาวาง ทุกอย่างมีปริมาณมาก และตกแต่งอย่างสวยงาม ยังมีควันกรุ่นและส่งกลิ่นชวนหิวแตะจมูก ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่อาหารง่ายๆ พวกนี้ช่างประณีตและรสชาติดีเสียยิ่งกว่าอาหารที่เขากินที่ทริโกเนียและบนหอคอยโลหะเสียอีก

ขณะที่คาริกก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ไอดิเอลก็ก้มลงอ่านเอกสารในมือ โอเรนที่กินใบ้ไม้จนอิ่มก่อนหน้านี้แล้วจึงกระโดดมานั่งบนไหล่ของเขา

“เป็นแผ่นกระดาษหรือ ข้าคิดว่าคู่มือสอบจะเป็นหนังสือเล่มเสียอีก”

“มันเป็นของที่ต้องทำแจกจำนวนมากทุกปี ทำเป็นแผ่นๆ แบบนี้จะประหยัดต้นทุนมากกว่าทำเป็นเล่มน่ะ”

“แบบนี้นี่เอง ว่าแต่คาริกต้องทำอะไรบ้าง เขาต้องไปสู้กับสัตว์ประหลาดแบบไหนเพื่อให้ได้ใบรับรองระดับห้ากันล่ะ ข้ายินดีที่จะช่วยนะ”

“ข้าคิดว่าเขาคงไม่อนุญาตให้คนนอกที่ไม่ได้สมัครเข้าไปช่วยหรอกนะ” ไอดิเอลว่าพลางพลิกดูเอกสาร “ก่อนที่เขาจะไปสู้กับตัวอะไร ก็คงต้องผ่านการสอบพื้นฐานไปก่อนนั่นแหละ เพราะนี่เป็นการสอบครั้งแรกของเขา ถ้าจะละเลยการสอบพื้นฐานไปเลยก็คงจะเสียมาตรฐานของสมาคมไปน่ะนะ”

“สอบพื้นฐานนี่ยังไงหรือ?” เจ้ามังกรถามต่อ “ต้องสู้กับตัวอะไรรึเปล่า?”

“ไม่ต้องหรอก แค่ตอบคำถามประมาณยี่สิบสามสิบข้อ เกี่ยวกับกฎของสมาคม ข้อห้ามต่างๆ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสมาคมน่ะ”

“อ๋อ มันเป็นสิ่งที่คาริกรู้อยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?”

“มันเป็นสิ่งที่เขา ‘ควร’ จะรู้น่ะนะ แต่คงต้องถามเขาเองว่ารู้รึเปล่า”

โอเรนหันไปหาชายหนุ่มที่ตั้งหน้าตั้งตากวาดข้าวผัดและแกงใส่ปากเหมือนกลัวจะมีใครแย่งทันที

“นี่ คาริก เจ้าตอบคำถามพวกนี้ได้รึเปล่า?”

คาริกเงยหน้าขึ้นมาแบบคนเพิ่งนึกได้ว่ามีคนอื่นร่วมโต๊ะอยู่ด้วย “หา เจ้าพูดอะไรน่ะ?”

“นี่เจ้าไม่ได้ฟังที่ข้ากับท่านไอดิเอลคุยกันเลยหรือไง”

“ข้ากินอยู่นะ จะไปได้ยินเรื่องที่พวกเจ้าคุยกันได้ไง”

“เจ้าใช้หูกินข้าวหรือไงเนี่ย!?”

“เขาตั้งใจกินมากคงไม่ได้ยินหรอก” ไอดิเอลว่า “รอเขากินเสร็จก่อนค่อยถามก็ได้ ข้าไม่ได้รีบอะไร”

“นี่ท่านมีคำถามที่ต้องให้ข้าเท่านั้นเป็นคนตอบหรือ?” คาริกพูดขึ้นต่อ ไอดิเอลพยักหน้า ชายหนุ่มจึงรีบกลืนอาหารลงคอทันที

“งั้นถามมาเลย อยากรู้จริงว่าท่านจะถามข้าเรื่องอะไร”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากรู้ว่าเจ้าตอบคำถามในเอกสารพวกนี้ได้รึเปล่าน่ะ”

“หา!” ชายหนุ่มร้อง ทำสีหน้าผิดหวังเต็มที่ “ท่านกำลังพูดถึงเอกสารสมัครสอบนั่นอยู่หรอกหรือ งั้นรอข้ากินเสร็จก่อนแล้วกัน” พูดจบเขาก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าต่อ โอเรนพูดขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

“อะไรของเขาเนี่ย ตะกี้ยังทำท่ากระตือรือร้นจะตอบอยู่เลย พอบอกว่าเป็นคำถามในเอกสารก็ทำเสียงเหมือนผิดหวังซะงั้นอ่ะ อยากให้ท่านไอดิเอลถามอะไรกันแน่เนี่ย”

“คงอยากให้ถามว่ามีคนรักหรือยังล่ะมั้ง”

คาริกเกือบสำลักข้าวที่กินอยู่ เขารีบหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มอักๆ ทันที

“ใครอยากให้ท่านถามเรื่องนั้นกันเล่า!”

“อ้อ ข้าเดาผิดหรือนี่ ช่างเถอะ ถ้าเจ้าตอบคำถามพวกนี้ไม่ได้ คงต้องมีบทเรียนเตรียมสอบให้เจ้าล่ะนะ”

“ขอข้ากินให้เสร็จก่อนค่อยพูดกันเรื่องนี้ไม่ได้หรือไง”

“ก็ได้ๆ”

คาริกใช้เวลาหลังจากนั้นไม่นานก็จัดการอาหารตรงหน้าหมด ขณะที่ไอดิเอลนั่งนิ่งๆ เหมือนกำลังคิดอะไร โอเรนเลยต้องพลอยนั่งเงียบไปด้วย พอดื่มน้ำล้างคอเรียบร้อย ชายหนุ่มก็ค่อยพูดขึ้นมา

“เอาล่ะ ข้าอิ่มแล้ว บอกไว้ก่อนเลยนะว่าข้ายังไม่มีคนรักหรอก”

“ข้ารู้แล้วล่ะน่า” ไอดิเอลว่า ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ในการสอบวัดระดับทุกครั้ง เจ้าจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับกฎของสมาคม และกฎเกณฑ์ต่างๆ เดี๋ยวข้าจะลองอ่านทำถามให้เจ้าฟังนะ ดูว่าเจ้าจะตอบถูกมั้ย?”

“ถามมาสิ”

“ข้อแรก หากการจ้างกินเวลานานกว่าที่กำหนด ผู้จ้างหรือผู้ถูกจ้างจะต้องเป็นฝ่ายชำระมูลค่าที่เกิดขึ้น”

“ถามแปลก ก็ต้องผู้จ้างสิ”

“ผิด”

“หา!” คาริกร้องขึ้นมา “ท่านรู้ได้ไงว่าผิด ตามกฎก็บอกอยู่ว่าถ้าการจ้างงานเกินเวลาที่กำหนด ผู้จ้างจะเป็นผู้จ่ายค่าแรงล่วงเวลา”

“นั่นมันข้อแรกบรรทัดที่หนึ่ง” ไอดิเอลว่า “ตามกฎแล้วผู้จ้างเป็นผู้จ่ายต่อเมื่อการเกินระยะเวลาเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเกิดจากผู้จ้างเอง กรณีที่การเกินเวลาเกิดจากผู้ถูกจ้าง ผู้จ้างสามารถร้องเรียนกับทางหน่วยงานกำกับด้านกฎหมายของพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่าเกิดจากผู้ถูกจ้างจริง ผู้ถูกจ้างอาจไม่ได้รับค่าจ้างเกินเวลา และอาจจะถูกปรับค่าเสียหายอีกด้วย”

“เดี๋ยวๆ นี่ท่านรู้ได้ไง อย่าบอกนะว่าท่านพกหนังสือกฎของสมาคมติดตัวมาด้วย”

“ข้าไม่มีหรอก แต่คิดว่าเจ้าน่าจะมีนะ ทำไมไม่หยิบออกมาเปิดดูล่ะ”

คาริกรีบก้มลงไปหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมารื้อทันที สักพักก็ดึงเอาสมุดยับๆ ขนาดเท่าฝ่ามือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดดู หลังผ่านไปอึดใจ เจ้าตัวก็ขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดตอบ

“เป็นอย่างที่ท่านว่า ท่านรู้ได้ไงเนี่ย เคยอ่านกฎพวกนี้ด้วยหรือ?”

“ข้าเป็นคนช่วยเขียนและปรับปรุงเอง จะไม่รู้ได้ไง” อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ คาริกล่ะอยากจะเอาหนังสือกฎเคาะหัวตัวเองสักที

“ในเมื่อท่านพูดแบบนี้นะ เรื่องข้อสอบนี้ข้าก็ขอให้ท่านช่วยสอนให้ก็แล้วกัน”

“แน่นอนอยู่แล้ว ถึงข้าจะขอให้จาคอปอนุญาตให้เจ้าสอบข้ามไปที่ระดับห้าได้ แต่ถ้าเจ้าไม่ผ่านข้อสอบพื้นฐานพวกนี้ ก็คงจะเสียชื่อข้าน่าดูล่ะนะ”

“เดี๋ยวนะ ไอ้เรื่องที่ท่านควรจะกังวลจริงๆ มันคือเรื่องที่ข้าจะสอบระดับห้าไหวไหมไม่ใช่หรือไง แล้วสรุปท่านขอให้เขาให้ข้าสอบข้ามระดับได้จริงๆ หรือเนี่ย?!"

“แน่นอนสิ แค่เจ้าต้องลงชื่อในหนังสือยินยอมเท่านั้นเอง” พูดพลางล้วงซองจดหมายออกมาจากอกเสื้อ คาริกขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าไอดิเอลใส่ทุกอย่างลงไปในนั้นหมดเลยหรือไง ชายหนุ่มรีบฉวยมาเปิดอ่านทันที

“นี่มันอันตรายขนาดถึงตายเลยนะเนี่ย ท่านจะให้ข้าลงชื่อเนี่ยนะ?!”

“โวยวายอะไรเล่า ข้าอ่านแล้วไม่เห็นว่ามีข้อผูกมัดอะไรวุ่นวาย อีกอย่างเจ้าก็ไม่ตายหรอก”

คาริกหรี่ตามองเขา “ถ้าข้าตายท่านก็ตายด้วยไม่ใช่หรือไง อย่าบอกนะว่าสมมติข้าถูกแทงทะลุอกอีกแล้วท่านจะช่วยข้าได้เหมือนครั้งก่อนน่ะ”

ไอดิเอลลอยหน้าลอยตาตอบเขา “ยากอะไรเล่า ระหว่างที่เจ้าไปสอบ ข้าก็ไปหาผู้ชายแข็งแรงมาเตรียมไว้สักสี่ห้าคน แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ”

“หา! มันเกี่ยวอะไรกับผู้ชายแข็งแรงสี่ห้าคนล่ะ?” โอเรนถามขึ้นด้วยความอยากรู้ แต่ยังไม่ทันที่คนถูกถามจะได้ตอบ คาริกก็พูดสวนขึ้นมา

“ข้าเข้าใจแล้ว! ยังไงท่านก็จะให้ข้าสอบให้ได้ใช่ไหม ข้าจะเอาตัวรอดไม่ให้บาดเจ็บหนักก่อนแล้วกัน ไอ้สอบผ่านหรือไม่ผ่านค่อยว่ากันอีกที”

“เจ้าต้องสอบให้ผ่าน” ไอดิเอลว่า “ไม่งั้นสิ่งที่ข้าทำลงไปจะเสียแรงเปล่า”

ขณะที่คาริกสงสัยว่าไอดิเอลออกแรงทำอะไรถึงขั้นที่ต้องบอกว่าเสียแรงเปล่า จอมเวทก็พูดขึ้นต่อ “ไม่ต้องกังวลไป นอกจากข้อสอบพื้นฐานแล้ว เรื่องการต่อสู้ข้าก็จะสอนให้เจ้า กำหนดสอบพื้นฐานคือพรุ่งนี้ เขาจะสุ่มออกคำถามที่อยู่ในเอกสารนี่ประมาณสิบถึงยี่สิบข้อ ถ้าเจ้าตอบถูกหมดก็จะผ่านการทดสอบ ส่วนกำหนดสอบปฏิบัติ คิดว่าพรุ่งนี้จาคอปน่าจะส่งคนมาบอกเจ้าอีกที คืนนี้ข้าจะเคี่ยวเข็ญสอนเจ้าเกี่ยวกับคำตอบในเอกสารนี่ จนแน่ใจว่าเจ้าจำได้ครบทุกข้อ เพราะงั้นเจ้าวางใจได้เลย”

เถียงไปคงป่วยการเปล่า เพราะลองถ้าไอดิเอลอยากให้เขาทำอะไร ก็คงต้องให้ทำให้ได้นั่นแหละ คาริกจึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องพูด

“งั้นก็แล้วแต่ท่านเถอะ ว่าแต่คืนนี้เราจะพักกันที่ไหน?”

“นอกเมือง” ไอดิเอลว่า “เจ้ามีถุงนอนใช่ไหม ข้าต้องการพื้นที่สำหรับฝึกทักษะการต่อสู้ของเจ้า ข้าดูทำเลไว้แล้ว ถ้าเจ้าอิ่มแล้วเราจะได้ออกเดินทางกันเลย”

..............................

คำว่านอกเมืองของไอดิเอลนั้นไกลกว่าที่คาริกคิดไว้มาก พวกเขาขี่ม้าออกนอกกำแพงเมือง ใช้เวลาถึงสองชั่วโมงจอมเวทจึงหยุดม้า คำนวณจากความเร็วของม้าทั้งคู่ นี่น่าจะห่างจากเมืองมากจนแทบจะเรียกได้ว่าเกือบจะข้ามเมืองแล้ว สถานที่ที่พวกเขาหยุดม้า ดูเหมือนเป็นซากปรักหักพังของวิหารหรืออะไรสักอย่าง มีต้นไม้ขึ้นบ้าง แม้คาริกจะไม่มีสัมผัสเกี่ยวกับพลังงานเหมือนโอเรนหรือไอดิเอล แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่น่ามีเรื่องดีเกิดขึ้นมาก่อน

“ท่านตั้งใจพักแถวนี้หรือ? บอกตรงๆ นะ ข้ารู้สึกไม่ดีเลย ซากพวกนี้เคยเป็นอะไรมาก่อนน่ะ”

“เคยเป็นวิหารที่ใช้สะกดพลังของอสูรที่มีชื่อว่าเอเวิร์ส เป็นอสูรที่ถือกำเนิดขึ้นจากความเคียดแค้นของดวงวิญาณที่ตายในระหว่างการระเบิดครั้งใหญ่น่ะ”

“อ่า... ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้อยู่” คาริกว่า “เล่ากันว่าเมื่อนานมาแล้ว แผ่นดินนี้มีอสูรนามว่าเอเวิร์สครอบครองอยู่ ราชวงศ์คานิเทียที่รวบรวมมนุษย์ที่เหลือรอดจากการระเบิดครั้งใหญ่ ตั้งใจจะสร้างอาณาจักรบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ จึงได้สู้รบกับจอมอสูรเอเวิร์สซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากรากเหง้าความชั่วของโลก จนโค่นมันลงได้และสามารถตั้งอาณาจักรขึ้นมาได้ในที่สุด ข้าไม่คิดว่าอสูรจะมีจริงๆ นะเนี่ย คิดว่าเป็นแค่สัตว์ร้ายที่อันตรายมากๆ เท่านั้นเอง”

“ผืนดินของแต่ละอาณาจักรเคยมีอสูรครอบครองอยู่” ไอดิเอลว่า “พวกมนุษต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งผืนดินสำหรับอยู่อาศัยอีกครั้ง ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอกนะ”

“เพราะงี้ที่นี่จึงมีแต่พลังงานไม่ดีเต็มไปหมดสินะ” โอเรนว่า “ขนาดบื้อๆ อย่างคาริกยังรู้สึกได้เลย”

“ใช่แล้วล่ะ ‘รากเหง้าความชั่วของโลก’ ที่คาริกพูดถึงเมื่อตะกี้ ที่จริงแล้วมันคือความคั่งแค้นของดวงวิญญาณของผู้คนและสรรพสัตว์ ที่ถูกพรากชีวิตไปในการระเบิดครั้งใหญ่ รวมถึงในสงครามก่อนหน้า ข้าคิดว่าคงเพราะพลังจากศิลาแห่งมารดร จึงทำให้อสูรพวกนี้ถือกำเนิดขึ้นมา เหมือนๆ กับพวกสัตว์ขนาดใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกยุคเก่า การระเบิดทำให้พลังแห่งศิลากระจายไปทั่ว และรวมตัวกับพลังงานที่มีอยู่เดิม ถือกำเนิดสิ่งใหม่ขึ้นมาน่ะ”

“รวมถึงข้าด้วยสินะ” โอเรนว่า “ท่านบอกว่าข้าเป็นมังกรที่ถือกำเนิดหลังจากการระเบิดใช่ไหม?”

“ใช่แล้วล่ะ คาริกด้วย เขาเองก็เป็นมนุษย์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างผิดปกติเพราะพลังของศิลาเหมือนกัน”

“อย่างนั้นก็แปลว่าทั้งข้า คาริก และอสูรที่ท่านพูดถึง มีต้นกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกันน่ะสิ”

“อืม... เรียกว่าการกลายพันธุ์มีจุดร่วมกันน่าจะถูกกว่าล่ะนะ”

“ท่านให้ศัพท์ยากอีกแล้ว” โอเรนว่า “ว่าแต่ถ้าคาริกเกิดมาจากพลังงานของศิลา แล้วทำไมเขาถึงสัมผัสกับพลังงานอะไรไม่ได้เลยล่ะ”

“คงเพราะเขาเป็นมนุษย์ล่ะมั้ง มนุษย์แต่เดิมไม่ได้ถูกสร้างหรือวิวัฒนาการมาให้รองรับกับพลังงานพิเศษพวกนี้ น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกเดียวที่ไม่มีสัมผัสด้านนี้เลยล่ะ กราวิสเองก็สัมผัสกับพลังงานโดยตรงไม่ได้หรอกนะ เท่าที่ข้าจำได้ เพียงแต่เขาผ่านการต่อสู้มาเยอะมาก เลยรู้ได้จากประสบการณ์น่ะ”

“แล้วท่านล่ะ?” โอเรนถามต่อ “ท่านมีลักษณะที่คล้ายกับมนุษย์มาก แค่สีผมและสีตารวมถึงสีผิวแปลกไปเท่านั้นเอง ท่านเคยบอกว่ามันเกิดมาจากการทดลองใช่ไหม จริงๆ แล้วท่านเป็นมนุษย์มาก่อนหรือเปล่า?”

“อืม...” ไอดิเอลส่งเสียงในคอ “ถ้าอ้างอิงจากตำนานที่ข้าพอจะจำได้ เกี่ยวกับหมู่บ้านที่ข้าอยู่ล่ะก็นะ... พวกเราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกเทวีแห่งความมืดสร้างขึ้นเพื่อรักษาศิลาให้ปราศจากมลทิน ข้าไม่แน่ใจว่าใช่คำนี้รึเปล่า ถ้าถามเวโรนิกาหรือฟัยรุซาอาจจะได้คำตอบที่ชัดเจนก็ได้ ในตำนานของมนุษย์ มนุษย์ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของเทพแห่งแสง หากดูจากตำนานประจำเผ่า และโครงสร้างภายในรวมถึงความสามารถแล้ว ข้าไม่คิดว่า ‘พวกเรา’ จะเป็นมนุษย์ในความหมายของมนุษย์หรอกนะ อีกอย่างพวกเขาไม่เคยเห็นเราเป็น ‘มนุษย์’ แต่แรก เพียงแค่พยายามสร้างเรื่องให้พวกเราเชื่อว่าตัวเองเป็นมนุษย์ เพื่อที่จะได้ต่อสู้เพื่อมนุษย์เท่านั้นเอง สรุปแล้วข้าไม่คิดว่าตัวเองเคยเป็นมนุษย์ในความหมายทั่วไปมาก่อนหรอก”

“แต่ท่านก็ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มากับพวกมนุษย์ตลอดนะ” โอเรนว่า “บางทีข้าก็ประหลาดใจกับการตัดสินใจของท่านมากๆ เลยล่ะ”

“มันเป็นเรื่องของความอยู่รอดน่ะ” ไอดิเอลว่า “ข้าทำทุกอย่างเพื่อให้เผ่าพันธุ์ของข้าดำรงอยู่ แต่หากวันหนึ่งเผ่าพันธุ์ที่เหลืออยู่ของข้าจะต้องถึงจุดสิ้นสุด ข้าก็คงจะต้องยอมรับนั่นล่ะ”

“ท่านหมายถึงคำทำนายสินะ” คาริกว่า “ท่านเชื่อในคำทำนายนั่นจริงๆ หรือ?”

ไอดิเอลมองเขา แล้วคลี่ยิ้มที่สังเกตยาก “เจ้าไม่อาจสั่งห้ามความเชื่อของใครได้หรอกนะ แม้แต่ข้าเองก็ด้วย จอมเวทแต่ละคนมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานมาก การมีชีวิตยาวนานโดยไม่อาจสืบเผ่าพันธุ์ ไม่อาจสร้างครอบครัว มีชีวิตอยู่เพื่อดูการเกิดและการตายของคนที่รัก ทำให้จอมเวทหลายคนชืดชากับความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนนี้ และข้าบอกได้เลยว่า ‘เป้าหมาย’ ที่ข้าเคยมอบให้พวกเขาเมื่อหนึ่งพันปีก่อนนั้น บางทีตอนนี้มันอาจจะไม่ใช่เป้าหมายที่ทำให้พวกเขาอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว ข้าไม่อาจเดาใจผู้อื่นได้ แต่คิดว่าคงไม่จอมเวทไม่น้อยที่หากได้ทราบเกี่ยวกับคำทำนาย จะยินดีเข้าร่วมเพื่อปลดปล่อยตัวเองออกจากคุกอันเป็นนิรันดร์นี้ หากคำทำนายเกิดขึ้นจริง สิ่งหนึ่งที่ข้าอยากให้เจ้าจำไว้ นี่ไม่ใช่ความผิดของเหล่าจอมเวท ไม่ว่าพวกเขาจะเลือกทางไหน ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเลย หากจะหาใครที่เป็นฝ่ายผิด เจ้าสามารถโทษข้าได้เต็มที่”

“ทำไมล่ะ?” โอเรนร้องขึ้นมา “ท่านทำทุกอย่างเพื่อมนุษย์และจอมเวทคนอื่นๆ มามากมายขนาดนี้ ท่านจะเป็นคนผิดในเรื่องนี้ได้ยังไง”

ไอดิเอลถอนหายใจ “ศิลาแห่งมารดรจะไม่ตกไปอยู่ในมือของมนุษย์โดยง่าย ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเป็นผู้ฝ่าฝืนคำสั่งของบรรพชน ความเขลาและความอ่อนต่อโลกของข้า ทำให้เกิดหายนะต่อเผ่าพันธุ์ของข้าและโลกนี้ หากจะมีใครเป็นคนเปิดประตูแห่งความหายนะเมื่อครั้งอดีต คนคนนั้นก็คือข้าเอง”

“แต่เพราะท่านถูกล่อลวงไม่ใช่หรือไง ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์นะ”

“เจ้าไม่อาจใช้ข้ออ้างของความเขลามาแก้ต่างให้ตัวเองบริสุทธิ์ได้หรอก ในเมื่อบรรพชนได้เขียนจารึกที่คอยเตือนสติเจ้าอยู่ตลอดเวลา” อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ “นี่คือความผิดบาปแห่งความเขลาของข้า บาปที่ข้าชดใช้เช่นไรก็ไม่มีวันจบสิ้น”

จู่ๆ คาริกก็ดึงร่างของจอมเวทเข้าไปกอดจากด้านหลัง โอเรนถึงกับอ้าปากเหวอด้วยความประหลาดใจ

“ไม่มีทาง ข้าจะไม่มีวันโทษท่านแน่” ชายหนุ่มพูด “ท่านช่วยชีวิตข้านะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้าไม่มีทางโทษท่านแน่นอน”

“แม้ว่าสุดท้ายมนุษย์จะถูกกวาดล้างไปทั้งหมด โดยที่ข้านิ่งดูดายไม่ทำอะไรงั้นหรือ?”

“แต่ท่านเคยบอกว่าจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดสงคราม... ท่านไม่พูดโกหกไม่ใช่หรือ?”

“ใช่แล้ว ข้าไม่พูดโกหกหรอก แต่การสิ้นสูญของเผ่าพันธุ์มนุษย์อาจไม่ได้มาจากสงครามก็ได้”

“หากเป็นอย่างนั้นล่ะก็... ข้าจะไม่โทษท่านเลย”

“....” ไอดิเอลนิ่งไปอึดใจ ก็คลี่ยิ้มออกมา “เจ้าน่ะเป็นคนอ่อนโยนมากนะ ทั้งที่เจ้าเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยงแท้ๆ แต่ความอ่อนโยนของเจ้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือยับยั้งหายนะได้หรอก เช่นเดียวกับความเขลาและไร้เดียงสาที่ข้าเคยมี”

“ไม่เป็นไร ให้ท่านรู้ไว้ว่าข้าจะไม่มีวันโทษท่านก็พอ”

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากฟังจากปากเจ้าเลย... แต่ก็ไม่ได้เหนือคาดหมายเท่าไหร่หรอก เฮ้อ...”

“....”

“เจ้าจะรัดข้าแบบนี้อีกนานไหม ถึงข้าจะหยุดหายใจได้เป็นร้อยปี แต่ไม่ใช่ว่าข้าจะรู้สึกสบายถ้าต้องถูกรัดไว้แบบนี้หรอกนะ”

นั่นแหละ คาริกถึงคลายแขนออก เขาทำหน้าแบบคนที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี ไอดิเอลเลยใช้นิ้วดีดหน้าผากเขาเบาๆ

“ทำหน้าทุกข์ใจอะไรแบบนั้นเล่า นี่เรายังไม่เริ่มการเรียนการสอนกันเลยนะ ไว้เจ้าจำที่ข้าอธิบายไม่ได้ แล้วค่อยทำหน้าแบบนั้นเถอะ”

คาริกฉวยมือของจอมเวทเอาไว้ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก “ท่านนี่น้า... เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยเลย ให้ตายสิ”

..............................................
(จบตอน)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-03-2022 20:53:07 โดย juon »

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จะสอบยังไงน้อออ

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
อยากอ่านต่อแล้ว สนุกมาก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด