Chapter 1
Begin Again
หากจะพูดถึงสิ่งที่ผมพอจะมีดีมากกว่าคนอื่นอยู่บ้างก็คงจะเป็นเรื่องความจำและการเรียนของผม เพราะถึงแม้ว่าผมจะเริ่มทำงานพิเศษตั้งแต่ช่วงม.3 เทอมสอง ซึ่งเป็นงานพาร์ทไทม์ในช่วงเวลาหลังเลิกเรียนที่ร้านอาหารของลุงบอยเพื่อนพ่อ หน้าที่ของผมมีทั้งงานเสิร์ฟและล้างจาน แต่ผมเลือกที่จะล้างจานอยู่หลังร้านมากกว่าเพราะผมไม่ค่อยอยากจะเห็นสายตาของลูกค้าที่มองมายังหน้าของผมด้วยความตกใจแล้วพยายามทำตัวให้เป็นปกติสักเท่าไหร่ หรือถ้าโต๊ะไหนมีเด็กนั้นก็จะยิ่งทำให้ผมอึดอัดเป็นพิเศษเพราะว่าเด็กๆ มักจะเก็บอาการได้ไม่ดีซักเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ ดีหน่อยก็จะเดินเข้าไปซุกแม่ แต่ถ้าแย่หน่อยเขาก็จะร้องไห้หรือไม่ก็ถามผมออกมาตรงๆ เลยว่าหน้าของผมมันไปโดนอะไรมา แต่ด้วยความที่ผมอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นมากกว่านี้ผมจึงไม่ได้อิดออดที่จะหาเงินด้วยตัวเองดูก่อนที่จะไปพูดกับพ่อแม่อีกทีหนึ่ง
ในช่วงเวลาเดียวกันก็เป็นช่วงที่นักเรียน ม.3 ทุกคนต้องเริ่มอ่านหนังสือกันอย่างหนักหน่วง เพราะนอกจากจะมีสอบภายในโรงเรียนแล้ว ยังมีการสอบชิงที่นั่งตามโรงเรียนชื่อดังต่างๆ เพราะนั่นมันก็เหมือนสิ่งที่ชี้ชะตาของคุณว่าชีวิตของคุณจะไปทางไหน ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่ายิ่งโรงเรียนที่คุณเข้าศึกษาต่อมีชื่อเสียงมากแค่ไหนนั่นมันก็เหมือนจะรับประกันว่าชีวิตในการแอดมิชชั่นเข้ามหาลัยของของคุณก็จะสดใสมากขึ้นเท่านั้น
ผมดูจะเสียเปรียบคนอื่นอยู่พอตัวที่ต้องทั้งทำงานไปและอ่านหนังสือเตรียมสอบไปหลังจากทำงานเสร็จแบบนี้ แต่อย่างที่ผมบอกไปผมค่อนข้างจะมีพรสวรรค์ด้านนี้ จึงทำให้ผมสอบติดโรงเรียนดังลำดับต้นๆ ของประเทศและได้ลำดับที่ค่อนข้างดีในการสอบครั้งนั้นมาด้วย นั่นทำให้ผมได้รู้จักกับอาชีพใหม่และเหมือนจะเป็นอาชีพหลักหลังเลิกเรียนของผมไปโดยปริยาย
ติวเตอร์
ผมต้องขอออกตัวก่อนว่าหลังจากที่ผมสอบเข้าเรียนได้แล้วได้ลำดับที่น่าพึงพอใจอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าผมจะ สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นติวเตอร์เลยหรอกนะ เพราะผมก็ไม่ได้ มั่นหน้า มั่นโห-นก อะไรขนาดนั้น
ในวันที่ทุกคนในร้านรู้ว่าผมสอบได้ลำดับที่ดีขนาดนั้นด้วยความที่ลุงบอยค่อนข้างที่จะเอ็นดูผมเป็นทุนเดิม ก็เลยจัดงานฉลองเล็กๆ ที่มีแค่พนักงานให้หลังเลิกงาน
บรรยากาศในตอนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกดีมาก ไม่รู้ว่าเพราะมันเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ความรู้สึกที่เหมือนผมมีเพื่อนถึงแม้ว่าทุกคนจะอายุมากกว่าผม หรือเป็นเพราะผมได้อยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่ตัดสินผมจากหน้าตาอันแปลกประหลาดพิสดารของผม ไม่หวาดกลัว และมองผมอย่างคนคนหนึ่งที่ไม่ได้แตกต่างจากพวกเขาเลย...
วันต่อมาผมมาทำงานที่ร้านอย่างเคย แต่วันนี้แปลกไปสักหน่อยที่ลุงบอยเข้ามาร้านตั้งแต่หัววันและเมื่อเขาเห็นผมเดินเข้ามาในร้านก็ปรี่ตรงเข้ามาหาทันที
‘นว’ ไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่า นว (นะ-วะ) คือชื่อของใครมันคือชื่อเก่าของผมเอง เพราะหลังจากผมเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้า ผมก็ขอพ่อกับแม่เปลี่ยนทั้งชื่อเล่นและชื่อจริง เพราะผมอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆ อยากเป็นคนใหม่ที่ไม่ใช่แค่ใบหน้า แต่มันคือทั้งหมดในชีวิตของผม ทุกสิ่งทุกอย่าง ชื่อ สังคม และคนที่ผมเคยรู้จัก
‘คะ...ครับ’ ผมขานรับรู้สึกตกใจเล็กน้อยกับท่าทีที่สดใสผิดปกติของลุงบอย
‘ลุงมาคิดๆ ดูแล้ว งานล้างจานหรืองานร้านอาหารแบบนี้มันอาจจะหนักไปสำหรับเด็กที่อายุเพิ่งจะสิบหกอย่างนว’
ลุงเพิ่งจะรู้หรือไงทั้งที่ผมทำมาตั้งแต่อายุสิบห้าแล้วเนี่ยนะหรือว่า...
‘ที่ลุงพูดแบบนี้ ลุงคิดจะไล่ผมออกเหรอครับ!’
‘เฮ้ย...’
‘คือลุงบอยอย่าไล่ผมออกเลยนะครับ ที่ผมมาทำงานที่นี่ก็เพราะผมอยากได้เงินแล้วเอาไปทำตามความฝันของผม ลุงอย่าตัดฝันผมเลยนะ หรือลุงว่าผมล้างจานไม่สะอาดใช่ไหม ผมจะล้างให้สองรอบเลยก็ได้หรือลุงว่าลูกค้ากลัวหน้าผม ผมจะเข้าร้านให้เร็วกว่านี้แล้วไม่ออกมาให้ลูกค้าเห็นอีกเลยจนกว่าร้านจะปิด ผมจะไม่มายุ่มย่ามหน้าร้าน ขอแค่ลุงอย่าไล่ผมออกเลยนะครับ’ ผมร่ายยาวเพราะไม่รู้ว่าจะขอความเห็นใจอย่างไร เนื่องจากถ้าหากที่นี่ไม่ให้ผมทำงานต่อแล้ว... ผมก็แทบคิดไม่ออกเลยว่าจะมีที่ไหนรับเด็กหน้าตาอย่างผมเข้าทำงานอีก แล้วที่เข้ามาทำงานที่นี่ได้ก็เพราะลุงบอยเป็นเพื่อนของพ่อทั้งนั้นไม่ใช่เพราะความสามารถอะไรเลย
‘เดี๋ยวๆ นวใจเย็นก่อนนะ ฟังลุงก่อน’ ลุงบอยพยายามพูดเสียงดังแต่ช้า เพื่อแทรกผมที่พูดด้วยความเร็วหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง
‘แต่ลุงบอยครับคือผม...’
‘นว หยุดแล้วฟังลุงก่อน’ ลุงบอยพูดเสียงดังดูเหมือนว่าเขาจะเหลืออดกับผมแล้วเหมือนกัน
‘...’
‘คืออย่างนี้นะ ลุงไม่ได้จะไล่นวออก แต่ลุงแค่อยากขอร้องนว’
‘อะไรครับ’ ถามเสียงอ้อมแอ้ม
‘คือว่าลุงอยากให้นวเลิกทำงานในร้านอาหารของลุง’
‘ว่าไงนะครับ’ ผมร้องถามออกมาด้วยความตกใจก็ไหนบอกว่าจะไม่ไล่ผมออกไง
‘ใจเย็นๆ ฟังลุงให้จบก่อน ลุงอยากให้นวเลิกทำงานที่ร้านของลุง แล้วเปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่นให้ลุงแทน ก็เหมือนเปลี่ยนงานไง นวก็ยังทำงานกับลุงเหมือนเดิม แต่แค่เปลี่ยนตำแหน่ง’ ลุงบอยพยายามพูดชักจูง
‘งานอะไรครับ’ ผมถามอย่างคนที่ไม่มีทางเลือกมากนัก
‘คือหลานลุงปีนี้เขาอยู่ม.สาม’ ลุงบอยเกริ่นขึ้นมาก็ทำให้ผมพอจะเดาออกว่าเขาจะขอร้องอะไรผม ‘ส่งไปเรียนพิเศษที่ไหนเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะเก่งขึ้นสักที เขาบอกว่าเขาไม่ชอบเรียนกับคนอื่นที่เขาไม่รู้จัก แล้วลำพังจะให้จ้างครูมาสอนที่บ้านลุงก็คงจะไม่ไหว ลุงเลยอยากจะ...’
‘ไม่ครับ’ ผมตอบอย่างไร้เยื่อใยเพราะไม่คิดว่าคนอย่างผมจะไปสอนใครเขาได้
‘เฮ้ย! อย่าเพิ่งตัดสินใจสิฟังข้อเสนอก่อน’
‘ผมว่าผมคงจะสอนเขาไม่ได้หรอกครับ เขาดูมีโลกส่วนตัวสูงซะขนาดนั้นคงจะเปิดใจรับผมง่ายๆ หรอก’
‘แล้วถ้าลุงให้ค่าแรงสองเท่าของที่นี่ล่ะ’
‘ไม่...อะไรนะครับ’
ไอ้เหี้ยหูฝาดไปปะวะ
‘ลุงจะให้ค่าแรงเป็นสองเท่าที่นวทำงานที่นี่ แต่มีข้อแม้ว่านวต้องทำให้เด็กคนนั้นสอบติดโรงเรียนเดียวกันกับนวให้ได้ ดีออก นวจะได้ทบทวนบทเรียนด้วยไง’
‘เออ...ผมว่ามันก็ยังดูยากอยู่ดี’ ผมพูดท่าทาอิดออด
‘แล้วถ้านวทำให้เด็กคนนั้นสอบติดในลำดับดีๆได้ด้วยเนี่ยนะลุงจะมีรางวัลพิเศษให้ด้วย’
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารางวัลพิเศษที่แกว่าคือเงินไม่ผิดแน่ๆ เพราะสิ่งเดียวที่พิเศษที่สุดที่พอจะล่อผมได้ในตอนนี้ก็มีแต่เงินเท่านั้น
‘มาคิดดูดีๆ อีกที...ขนาดตัวเองยังสอบติดได้แค่ติวให้คนอื่นคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงมากมั้งครับ’ ผมตอบไปงั้นล่ะครับไม่รับประกันว่าตัวเองจะทำได้ด้วยซ้ำไป แต่กลิ่นเงินมันหอมยั่วใจซะเหลือเกิน
วันแรกในการเป็นติวเตอร์ของผมค่อนข้างจะทุลักทุเล หรือจะเรียกว่าเละเทะก็ยังได้ เพราะไอ้เด็กเวรที่ผมต้องไปติวให้มันร้ายกว่าที่ผมคิดทำเอาแผนการสอนที่ผมเตรียมมาพังลงไม่เป็นท่าแต่มันก็ดีอยู่อย่างที่มันไม่ได้สนใจที่จะมองหน้าตาของผมเลย
ด้วยความประสาทแดกของไอ้เด็กคนนี้ทำให้ผมเกือบถอดใจเลิกสอนไปแล้ว แต่ผมก็กัดฟันทนจนผ่านมันมาได้ หลังจากผ่านช่วงนั้นมาได้ผมก็ต้องขอยอมรับเลยว่าไอ้เด็กนี้เป็นคนที่ดีมากทีเดียว ถ้าหากผมจะบอกว่าผมไม่เคยมีเพื่อนก็น่ากลัวว่าจะไม่จริงสักเท่าไหร่ ผมขอแก้ใหม่ว่าผมเคยมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งแล้วกัน
ด้วยความสามารถของผม หรือจะด้วยความสามารถของไอ้เด็กนั่นก็รู้เหมือนกันทีทำให้มันสอบติดโรงเรียนเดียวกันกับผมจนได้ ถึงไม่ได้ลำดับท็อปอย่างที่หวังแต่ก็ไม่ได้แย่มาก คะแนนอยู่ในลำดับหนึ่งถึงสามสิบซึ่งลุงบอยบอกว่าอยู่ในลำดับที่รับได้ผมเลยได้รางวัลพิเศษมาเป็นเงินอีกก้อนหนึ่ง สำหรับเด็กม.5อย่างผมก็ถือว่ามากทีเดียว แล้วลุงบอยก็ยังขอให้ผมสอนพิเศษไอ้เด็กนี่ต่อไปอีกด้วย
แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เมื่อถึงวันที่ผมต้องตัดสินใจว่าจะเข้ามหาลัยอย่างคนอื่น หรือทำอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี ซึ่งผมก็ตัดสินใจเรื่องนี้ไว้มาสี่ปีแล้ว
ผมอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่
ที่ผมพูดว่าใหม่คือใหม่จริงๆ อยากเจอสังคมใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักว่าหน้าเก่าของผมเป็นอย่างไร อยากมีเพื่อนแบบที่คนอื่นเขามีบ้าง ไม่ใช่คนที่จะได้เจอกันแค่ช่วงเวลาในห้องเรียน ผมอยากเป็นคนใหม่ คนที่ไม่ต้องบอกว่าชีวิตของตัวเองน่าสงสารขนาดไหน แต่เป็นชีวิตที่ผมก็เป็นแค่ผม
‘ต่อไปนี้ช่วงสอบพี่คงไม่ได้มาติวให้แกแล้วนะ’
‘ทำไมล่ะ พี่สอบติดมหาลัยต่างจังหวัดเหรอ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวผมจะตามไปสอบมหาลัยเดียวกันกับพี่ แล้วก็จะลากตัวพี่มาติวให้ผมได้อยู่ดี’ พูดกวนๆ
‘มันไม่ใช่เรื่องมหาลัยหรอก แต่พี่หมายความว่าหลังจากที่พี่เข้ามหาลัยแล้ว เราก็ไม่ควรที่จะพบกันอีกเพราะอะไรๆ มันก็จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว’
‘นี่พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย’
‘แกไม่เข้าใจหรอก ชีวิตพี่ทั้งชีวิตพี่เอาแต่หลบซ่อนตัวมามากพอแล้ว พี่อยากจะเริ่มชีวิตใหม่สักที’ ผมบอกอย่างสื่อความหมาย
‘ใครพูดอะไรให้พี่ไม่สบายใจหรือเปล่า’ ไอ้เด็กนั่นถามผมสีหน้าดูเป็นห่วงเป็นใย
‘ไม่มีหรอก อย่างที่พี่บอกพี่แค่อยากเริ่มชีวิตใหม่ เอานี่ข้อสอบแพทย์ที่ขอให้พี่หาให้ แล้วนี่ก็ข้อสอบฟิสิกส์กับคณิต’ ผมบอกพลางจัดแจงเอกสารวางไว้เป็นกองๆ ก่อนที่ผมจะเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น
นั่นเป็นวันสุดท้ายในการทำอาชีพติวเตอร์ของผม เป็นวันสุดท้ายที่ผมได้พบกับลูกศิษย์และเพื่อนเพียงคนเดียวในชีวิตเพราะหลังจากนั้นผมก็เข้ารับการผ่าตัดและย้ายที่อยู่ ซึ่งนั่นทำให้เราไม่ได้พบกันอีกเลย...
หลังจากที่ผมเดินตามหาลุงยามอยู่นานจนผมเดินไปหยุดอยู่ที่ประตูทางเข้าตึกบี ก็ได้พบกับใครคนหนึ่งที่กำลังอุ้มแพ็คน้ำเปล่าอยู่ในมือผมเลยตัดสินใจเปิดประตูออกไปแล้ววิ่งตรงไปหาเขาด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง...
“เอ่อ...” ผมเอ่ยพลางลดความเร็วลง “ขอโทษนะครับ” ผมทักเขาออกไปแต่ก็เหมือนกับว่าเขาจะไม่ได้สนใจ “เอ่อ คุณครับ” ผมพูดพลางเอามือไปแตะที่ไหล่ของเขาก่อนที่เขาจะหันหน้ากลับมาหาผม พร้อมกับดวงตาเรียวเล็กที่นันย์ตาสีน้ำตาลแฝงไปด้วยความเฉยชา รับกับจมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากเรียวเล็กสีระเรื่อที่เหมื่อนจะพ่ายแพ้ต่อแรงโน้ถ่วงของโลกอย่างสบูรณ์ เพราะมันเหมือนกับจะโค้ห้อยตกอยู่ตลอดเลวา แล้วคนที่อยู่ตรงหน้าผมเขาก็คือไอ้เด็กคนนั้น
“อะไร” คนตรงหน้าถามเสียงห้วน
“เอ่อ...” ผมตะลึงงันอยู่กับภาพตรงหน้า พูดอะไรไม่ออกไม่คิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้
“ถ้ามึงไม่มีอะไรจะพูดกูไปแล้วนะ กูหนัก”
“พี่...” ไม่สิผมลืมไปเลยว่าการที่ผมซิ่วมาหนึ่งปีผมต้องอายุเท่ามัน แม้จะไม่ชินกับการที่ให้ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่มาพูดกูมึงด้วยก็ตาม แต่ถ้าผมอยากให้ชีวิตเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ก็มีแต่ต้องแสร้งทำเป็นเด็กแรกรุ่นเหมือนพวกเขาเท่านั้น “คือขอโทษนะครับ เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงกรี๊ดออกมาจากตึกซีน่ะครับคุณพอจะดะได้ยินเสียงนั้นไหม”
“เสียงอะไรวะไม่เห็นได้ยินเลย”
อ่าวตายห่าแล้วไงไอ้นิว “เสียงผู้หญิงกรี๊ดไงไม่ได้ยินเหรอ ที่บอกว่ากูไม่ยอม...กูไม่ยอม...ไง” ผมพูดพลางทำเสียงให้เหมือนไปด้วย
“กูว่ามึงหลอนแล้วล่ะกูไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
หลอนบ้านมึงสิไอ้เด็กเวรนี่ แต่จะว่าไปแล้วคำตอบของมันไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นเลย หรือว่าเสียงเมื่อกี้จะไม่ใช่เสียงคนจริงๆ คิดแล้วขนผมก็พร้อมใจกันลุกขึ้นทั่วทั้งตัวเลยทีเดียว
“กูอาจจะมาไม่ทันได้ยินก็ได้” ร่างสูงพูดขึ้นหลังจากที่เห็นท่าทางกังวลใจของผม “ทำไมมึงไม่ลองไปหายามดูล่ะ”
“ไปแล้ว แต่ลุงเขาไม่อยู่ เลยรีบวิ่งเข้าตึกเอว่าจะตามหาลุงเขาจนมาเจอมึงนี่ไง” ผมตอบหงอยๆ จึงทำให้อีกคนเริ่มทำตัวไม่ถูกสงสัยคงจะคิดไม่ออกว่าจะปลอบผู้ชายร่างควายอย่างผมยังไงดี
“งั้นก็กลับไปดูอีกครั้งสิ”
“ก็บอกแล้วไงว่าไปมาแล้ว” ผมบอกเริ่มจะมีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง เพราะอีกฝ่ายพูดไม่รู้เรื่อง
“กูรู้แล้วแต่กูหมายถึงให้มึงไปดูอีกรอบ เผื่อตอนมึงวิ่งขึ้นตึกมามันจะคลาดกับลุงเขาพอดี” พูดได้ดังนั้นไอ้เด็กนั้นก็ตั้งท่าจะเดินจากผมไป
“เดี๋ยวก่อน” ผมเรียกเสียงดังเป็นเชิงสั่ง ทำให้อีกคนหันหน้ามามองอย่างไม่พอใจนัก
“อะไร”
“พาไปหน่อยสิ” ผมบอกเสียงแผ่ว
“อะไรนะ” อีกฝ่ายถามอย่างไม่แน่ใจ
“พากูไปหน่อย” ผมบอกอายๆ แม่งไม่อยากให้ไอ้เด็กนี่มาเห็นมุมแบบนี้ของผมเลย มันมุ้งมิ๊งเกินไปที่จะเข้ากับเบ้าหน้าของผม
“ไม่” ตอบสั้นๆ แต่เด็ดขาด
“ขอร้องล่ะไม่อยากไปคนเดียว”
“มึงจะกลัวอะไรวะ ใกล้แค่นี้เอง”
“กูไม่ได้กลัวโว่ย แต่แค่ไม่อยากไปคนเดีว” ผมยังปากแข็งต่อไป แต่ดูสีหน้าอีกคนคงจะเหนื่อยหน่ายเต็มทนที่ต้องมาเห็นท่าทีที่ต้องการคีฟลุคของผม โดยที่ไม่ดูสถานการณ์เลย
“งั้นกูไปล่ะพอดีไม่ว่างจะไปเป็นเพื่อน”
“มึงไม่เข้าใจฟีลคนกลัวหรือยังไง แค่ไปเป็นเพื่อนมันจะอะไรนักหนาวะ”
“ไหนมึงว่ามึงไม่กลัวไง ไฟเยอะขนาดนี้มึงกลัวห่าอะไรของมึง”
เหี้ย โป๊ะแตกหรือวะเนี้ย
“คือกู...”
“ไม่ตอบกูไปล่ะ”
แม่งเอ้ย! “กูกลัวผี” ผมพูดออกไปอย่างผู้แพ้ แพ้ยับจนไม่เหลือชิ้นดี
“ฮึ...” ไอ้เด็กนั่นยิ้มเหยียดๆ มาให้ผม “เหตุผลปัญญาอ่อนขนาดนี้กูขอบายว่ะ”
หน่อยไอ้เด็กเปรตนี่ถ้าเป็นในสงครามก็คือมาหลอกให้กูยกธงขาว แล้วสุดท้ายก็ฆ่ากูอยู่ดีอย่างนี้น่ะเหรอมันจะหยามกันเกินไปแล้ว
“มึงมีน้ำใจหน่อยดิวะ เห็นคนเดือดร้อนแบบนี้ยังทำเฉยได้อีกเหรอ” เหตุผลกูประสาทแดกสุดๆ ละตอนนี้
“อือ” ตอบอย่างไร้เยื่อใย ให้ตายเถอะไอ้เด็กนี่มันหัวแข็งเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ เลย อย่าให้ถึงทีมึงตกที่นั่งลำบากบ้างก็แล้วกัน แต่ถึงมันจะลำบากคนอย่างมันก็ไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากใครอยู่แล้วหนิวะ แม่งเอ๊ยอยู่คนเดียวจนเป็นสันดาน
“มึงจะไม่ยอมเข้าใจคนอื่่นบ้างเลยหรือไง ประสาอะไรกับกูกลัวผี มึงกลัวน้ำยังปัญญาอ่อนกว่ากูอีก” ผมว่าออกไปอย่างเหลืออด ไม่ไหวจะทนกับคนอย่างเธอแล้ว แต่ผลตอบรับกลับดีเกินคาดไอ้เด็กนั่นหยุดเดินทันที ในทางกลับกันมันหันมาแล้วปรี่ตรงเข้ามาหาผมแทน ผมได้แต่คิดในใจว่าต้องโดนตีนของไอ้เด็กโย่งนี่เป็นแน่ ฐานที่ไปพูดแทงใจดำมัน
“มึงรู้ได้ไงว่ากูกลัวน้ำ” มันถามอย่างเอาเรื่อง พร้อมกับเดินเข้ามาประชิดตัวผมแล้วยื่นหน้ามันเข้ามาใกล้ ราวกับจะควักเอาความจริงออกมาจากลูกตาของผมอย่างไงอย่างงั้น
“เอ่อ...กู...กูเดาเอา” กว่าที่ผมจะคิดได้ว่าผมหลุดเผยไต๋ที่ทำราวกับว่ารู้จักมันดีออกไป ก็สายเกินไปซะแล้ว เลยต้องหาทางแก้ตัวแทน “ก็กูเห็นมึงติ๋มๆ แบบนี้จะกล้าว่ายน้ำหรือเปล่าก็ไม่รู้เลย เลยว่าออกไปงั้นหรือว่ามันจริง”
“ไม่” ตอบเสียงห้วน “ทีหลังอย่าสะเออะมาทำเป็นรู้จักกูดีอีกกูไม่ชอบ”
กลัวแล้วครับพ่อ คำพูดแต่ละคำมันเปี่ยมไปด้วยคุณภาพจริงๆ แม่งดุอย่างกับหมาแม่ลูกอ่อน
“เฮ้ย ทำอะไรวะ” ผมท้วงขึ้นเมื่อมันเอาแพ็คน้ำดื่มมายัดเข้าในมือผม
“กูหนัก”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับกูล่ะ” ผมท้วงอย่างไม่เข้าใจ
“แล้วมึงจะให้กูไปเป็นเพื่อนไหมล่ะถ้าไม่ก็เอาคืนมากูจะกลับห้อง” ไอ้เด็กโย่งบอกพลางจะเอาแพ็คน้ำดื่มออกจากมือผม
“เอ้าเฮ้ยๆ กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” ผมท้วง ไอ้เด็กนั่นบทจะง่ายก็ง่ายซะน่าใจหายแล้วแม่งจะเสียเวลามาทะเลาะกับผมทำไมตั้งนานสองนานวะเสียเวลาโดยใช่เหตุ ไอ้คนไม่รู้คุณค่าของเวลาเอ้ย!
“แล้วยืนทำสากกะเบืออะไรอยู่ตรงนั้นล่ะก็เดินมาสิ หรือมึงจะให้ผู้หญิงคนนั้นวิ่งมาหา”
แม่งเอ้ยปากหมาไม่พอยังพูดซะผมเห็นภาพเลย ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวิ่งตามมันออกไปอย่างเสียไม่ได้
พอมาถึงป้อมยามก็เห็นลุงยามนั่งดูทีวีพลางแทะเม็ดก๋วยจี๊อยู่ และพอผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ลุงเขาฟังเขาก็บอกผมว่า เรื่องนี้เขารู้เรื่องแล้วเพราะระหว่างเดินตรวจ ตึกซีก็ได้ยินเสียงเหมือนกันเลยเดินไปดู สรุปเป็นคู่รักนักศึกษาคู่หนึ่งทะเลาะกันเพราะจับได้ว่าแฟนแอบไปมีกิ๊กเจ้าหล่อนก็เลยอาละวาดอย่างที่ได้ยิน
โหแม่งแค่ทะเลาะกันทำไมต้องเสียงดังขนาดนี้ด้วยวะ เขาจะรู้ไหมว่าทำเอาผมหัวใจเกือบวายแล้ว แต่อีกคนข้างตัวผมดูจะไม่โล่งกับสิ่งที่ลุงยามบอกเลยแถมยังทำหน้าเหม็นขี้ พร้อมกันนั้นมันก็ส่งสายตาที่มีแต่ความเหยียดหยามมาให้ผมตลอด ราวกับสายตาของมันจะตะโกนบอกว่าเบื่อหน่ายกับความปัญญาอ่อนของผมมากแค่ไหน ซึ่งผมก็ได้แต่ก้มหน้ารับกรรมไป
“แล้วมึงอยู่ตึกไหน” ผมถามหลังจากที่เดินออกมาจากป้อมยามแล้ว
“เสือก”
“เอาไอ้นี่ กูอุตส่าห์จะหอบน้ำไปส่ง”
“มึงห่วงตัวเองเหอะว่าถ้าหากเรื่องที่ลุงยามเขาบอกมึงเขาโกหกมึงจะทำยังไง”
“มึงหมายความว่ายังไง”
“ก็เผื่อว่าลุงยามเขาอยากจะปิดข่าวว่าหอนี้มีผีมึงจะทำยังไง”
มึงก็ช่างสรรหาเรื่องมาพูดให้กูกลัวจังเลยนะครับไปเด็กเวร
“เอาน้ำมาได้แล้วกูจะกลับห้อง” ไอ้เด็กเวรนั่นพูดพลางยื่นมือมาทำท่าจะขอแพ็คน้ำดื่มในมือผมคืน
“ไม่! ” ผมบอกเสียงแข็งพลางกระชับแพ็คน้ำดื่มในมือผมให้แน่นขึ้น
“อะไรของมึงอีกเนี่ย รีบส่งมากูจะไปนอน” ไอ้เด็กนี่พูดด้วยความรำคาญเต็มทน
“ก็บอกว่าไม่ไง จนกว่ามึงจะไปส่งกูที่ห้องก่อนค่อยเอาคืนไป”
“มึงนี่ยังไงเนี้ยได้คืบจะเอาศอก หรือว่าความจริงมึงแค่อยากจะหลอกกูไปล่อที่ห้อง”
“ล่อกับหนังหน้ามึงสิ หน้าไม่อาย” โหไอ้เด็กนี่ก็มั่นหน้ามั่นโห-นกเหมือนกันเนาะ “ก็มึงอยากมาพูดให้กูกลัวเอง มึงก็ต้องรับผิดชอบ”
“แม่งเอ้ย! ” ไอ้เด็กโย่งสบถออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนที่จะเดินตามผมมาอย่างเสียไม่ได้
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะดึกแล้วแต่เกียรติศัพท์ของนักศึกษาที่ว่านอนดึกไม่ต่างจากนกฮูกคงจะจริง เพราะตอนที่ผมเข้าไปในลิฟต์ก็ยังเห็นมีบางคนเพิ่งกลับมาจากมหาลัยก็มี สงสัยจะเป็นคนที่เรียนซัมเมอร์ (แล้วทำไมตอนนั้นไม่มีคนวะ) เลยทำให้ผมต้องยืนเบียดกับไอ้เด็กนั่นนิดหน่อยก่อนที่คนจะค่อยๆ ทยอยออกจากลิฟต์ไปจนหมดก่อนถึงชั้นห้า
ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่ผมอยู่ พร้อมกับแสงไฟสีส้มจากทางเดินด้านนอกที่สาดส่องเข้ามา ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้ายังมืดอยู่ผมคงต้องขอพ่อแม่ย้ายหอเป็นแน่
“เดินออกไปเร็วๆ ดิ๊” ไอเด็กโย่งเร่ง แต่ผมไม่คิดจะไปต่อปากต่อคำกับมันให้เปลืองพลังงานแต่อย่างใด “ห้องมึงอยู่ห้องไหน”
“เดี๋ยวก็รู้เองล่ะ” ผมตอบปัดๆ
“ลีลาชิบหาย” ผมไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงก่อนที่จะหยุดเดิน “เอาหยุดทำห่าอะไรอีก”
“ก็ถึงแล้วนี่ไง” ผมตอบ
“แล้วกุญแจอยู่ไหน”
“ในกางเกงแป่บนึง” ผมบอกทำท่าจะวางแพ็คน้ำดื่มลงกับพื้น
“แม่งชักช้าว่ะ” ไม่ว่าเปล่าไอ้เด็กโย่งถือวิสาสะเอามือล้วงเข้ามาในถุงกางเกงของผม ทำให้ผมตกใจจนถึงกับร้องเสียงหลง เพราะทุกคนก็ต่างรู้กันอยู่ว่ากระเป๋ากางเกงมันอยู่ใกล้กับอะไรของผู้ชาย
“ทำอะไรวะ” ผมท้วง
“อยู่นิ่งๆ ดิ๊” อีกฝ่ายดุผมกลับ นิ่งกับผีน่ะสิไอ้น่าไม่อายเอ้ย “เอานี่ได้แล้ว” ไอ้เด็กโย่งว่าพลางเอาลูกกุญแจไปไขเปิดประตูแล้วแง้มออกให้ผมเข้าไป
ผมยื่นแพ็คน้ำดื่มในมือให้อีกคนก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้อง แล้วเขาก็ค่อยๆ เดินจากไป
“ไทม์” ผมเรียกไอ้เด็กนั่นขึ้นเพื่อที่จะขอบใจ ก่อนที่จะรู้ตัวว่าผมนั้นคิดผิดไปมากแค่ไหนที่พูดคำนั้นออกมา
“มึงว่าไงนะ” ไทม์ถามขึ้นหลังจากที่หยุดเดินแล้วหันมาจ้องผมอย่างไม่วางตา
“เอ่อ...ขะ...ขอบใจนะ” ผมทำไขสือ
“ไม่ใช่เมื่อกี้กูได้ยินมึงเรียกกูว่าไทม์! ” ไทม์พูดเสียงเข้ม
“กะ...กูเปล่า”
“อย่ามาโกหก! ” อีกฝ่ายมองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง “มึงบอกกูมา มึงรู้จักชื่อกูได้ยังไง! ”