พิมพ์หน้านี้ - ปณิธาณปีใหม่ (Chapter 1-11)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Do_Maht ที่ 28-01-2021 20:05:35

หัวข้อ: ปณิธาณปีใหม่ (Chapter 1-11)
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 28-01-2021 20:05:35
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




































ปณิธาณปีใหม่
New Year Resolution
[/size]






'นว'เลือกที่จะทำศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงในหน้าเพื่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่

ภายใต้ในชื่อ "นิวเยียร์" และถ้าเขาอยากให้ตัวเองมีอนาคตที่สดใส

เขาต้องไม่ให้ทุกคนรู้ว่าเขาคือใคร แต่ชีวิตเหมือนจะไม่ง่ายขนาดนั้น

เมื่อมีคนสองคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดเข้ามาป้วนเปี้ยนในชีวิต







Fanpage : @CloverLeafWriter

Twitter : @cloverl62246410





หลังจากตอนที่ห้าเป็นต้นไปจะลงทุกๆ วันเสาร์เวลา 20.00

แฮชแท็กทวิตเตอร์ : #ปณิธานของปีใหม่
หัวข้อ: Introduction
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 28-01-2021 20:07:16
Introduction



หากการเริ่มต้นชีวิตของใครหลายๆ คนคือการเข้ามหาลัย การได้ย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากทีเดียว เพราะนั่นก็คือวันแรกที่เริ่มใช้ชีวิตโดยปราศจากพ่อแม่ แต่สำหรับผมสิ่งที่จะนิยามถึงการเริ่มต้นชีวิตใหม่มันต่างออกไป ผมไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้ตื่นเต้นกับการเริ่มใช้ชีวิตคนเดียวในมหาลัยครั้งแรกหรอกนะ แต่ผมคิดว่าการที่ผมๆ ได้เป็นคนใหม่ ต่างหากล่ะที่สำคัญกว่า

“แน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้” แม่ถามผมอย่างไม่แน่ใจนักว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวอย่างผมคนนี้จะอยู่โดยปราศจากการดูแลของพวกท่านได้ ทั้งๆที่ผมได้เคยผ่านเรื่องเลวร้ายมามากกว่าใครหลายๆ คนด้วยซ้ำ

“แน่ใจครับ” ผมบอกอย่างหนักแน่นเพื่อให้แม่สบายใจ

“น่าแม่ นิวเยียร์มันอยู่ได้ อย่าลืมสิว่านี้ไม่นิวนิวเยียร์คนเก่าที่เอาแต่ก้มหน้าให้กับปัญหาเหมือนเดิมแล้วนะ” พ่อพูดพลางมองผมด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อหมั่นในใจ “ลูกจะเป็นแบบที่พ่อคิดใช่ไหม”

“ครับ” ผมตอบอย่างหนักแน่น ก่อนที่จะได้รับรอยยิ้มจากพ่อกลับมา “แม่ไม่ต้องห่วงผมหรอกผมดูแลตัวเองได้”

“อือ” แม่ตอบพลางเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรงอย่างชั่งใจราวกับจะบอกเป็นนัยว่าไม่ค่อยเชื่อใจผมมากนัก ก่อนที่จะยอมส่งกระเป๋าในมือให้ผมซึ่งเป็นสัมภาระอย่างสุดท้ายที่ผมยังไม่ได้นำขึ้นไปเก็บไว้บนห้อง “ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ อย่าให้เวลาที่เราทิ้งไปมันเสียเปล่าเข้าใจไหม” แม่บอกผมอย่างสื่อความหมาย ก่อนที่จะพูดล่ำลากันอยู่สักพักแม่ถึงจะยอมกลับบ้าน

ผมกลับขึ้นมาบนห้องของผมที่อยู่ชั้นสูงสุดของหอพักแห่งนี้แถมทางด้านหลังยังไม่มีระเบียงห้องของใครมาอยู่ติดกันจนทำให้ผมต้องอึดอัด แต่กลับแทนด้วยต้นไม้ที่อยู่ในเขตของหอพักแทน ผมวางกระเป๋าลงบนพื้นก่อนที่จะเดินไปเปิดหน้าต่างให้ลมพัดโกรกเข้ามาข้างใน ซึ่งนั่นมันทำให้อากาศในห้องสดชื่นมากขึ้นทีเดียว ผมเดินมาที่เตียงแล้วทิ้งตัวลงบนที่นอนนุ่มๆ ราวกับจะปล่อยให้ตัวของถูกกลืนเข้าไปด้วยอ้อมกอดของมัน

อย่างที่บอกสำหรับหลายๆ คนการเข้ามหาลัยอาจจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ เพราะมันอาจจะเป็นครั้งแรกที่เราได้เริ่มใช้ชีวิตอยู่คนเดียวอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งบางคนซึ่งอาจจะไม่มีเพื่อนสมัยมัธยมมาเรียนที่เดียวกัน นี่ก็จะเป็นโอกาสอีกครั้งที่จะได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ซึ่งผมก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ผมหมายถึงผมไม่เคยมีเพื่อนเลยตั้งแต่แรกน่ะ ผมคิดว่านี่ล่ะคงเป็นการเริ่มต้นที่จะได้ทำความรู้จักและมีเพื่อนจริงๆ ที่ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมคลาสเรียนสักที

ผมหยิบกระจกออกมาจากกระเป๋า แล้วยกมันขึ้นให้มันอยู่ในระดับเดียวกันกับใบหน้า เพื่อให้มันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ เงาสะท้อนของผมปรากฏขึ้นบนกระจกเงาอีกครั้ง ผมจำไม่ได้ว่าวันนี้ผมส่องไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ผมมองเงาที่สะท้อนใบหน้าของตัวเองในกระจกนั้นอย่างพินิจพิจารณาราวกับว่าใบหน้าที่ผมกำลังมองมันด้วยความหลงใหลอยู่นี้ไม่ใช่ใบหน้าของผมทั้งๆ ที่ความจริง มันคือผม แต่ถ้าหากในทางกลับกันคุณได้เป็นผมลองดูสักครั้งคุณก็คงจะไม่เชื่อว่าคุณเคยเป็นคนคนนั้นมาก่อน เด็กชายที่ใบหน้าเขรอะเต็มไปด้วยสิวราวกับหนังของคางคกที่เต็มไปด้วยฝีที่พร้อมจะระเบิดอยู่ตลอดเวลา ทั้งคางที่ยื่นออกมาอย่างผิดรูปและฟันที่ไม่สบกันอย่างแปลกประหลาดราวกับรูปภาพของแม่มดในช่วงยุคกลางอย่างไงอย่างงั้น

ผมคงจะไม่ปฏิเสธหรือโกหกหรอกว่าผมเคยรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตมากแค่ไหน เพียงแค่หน้าตาของผมที่คนทั่วไปเรียกว่า อัปลักณ์ มันทำให้ผมไม่มีเพื่อนและโดนแกล้งอยู่บ่อยๆ ทั้งโดนเอาของไปซ่อน โดนล้อ หรือบางครั้งอาจรุนแรงจนมีการใช้กำลังกับผม หลายคำนิยามที่เคยบอกว่าชีวิตวัยมัธยมเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและเพื่อนพ้องรักกันมากที่สุดกลับใช้ไม่ได้กับผม ราวกับผมถูกห้ามให้ได้มีโอกาสใช้คำเหล่านั้นอย่างเด็ดขาด แต่นวัตกรรมทางการแพทย์กลับมอบความหวังไว้ให้กับผมอย่างไม่น่าเชื่อ

ใบหน้าที่ราวกับปั้นมันออกมาอย่างพิถีพิถัน จมูกคมเป็นสัน ผิวหน้าที่เรียบเนียนใสอย่างกับไข่ปอก และรูปหน้าที่แสนจะปกติ แต่กลับทำให้ทุกองค์ประกอบของใบหน้าเข้าอย่างไม่มีที่ติ หลังจากที่ใช้เงินของ พ่อ แม่และเงินจากน้ำพักน้ำแรงของผมที่เริ่มทำงานพิเศษตั้งแต่ม.3แลกมันมา ก็นับว่ามันคุ้มค่ามากทีเดียวที่ทำให้ผมได้เริ่มชีวิตธรรมดาๆ ด้วยใบหน้าที่ธรรมดาเหมือนคนอื่นกับเขาสักที

อย่างที่บอก การเริ่มต้นชีวิตใหม่ของผมมันช่างเริ่มต้นได้แตกต่างจากคนอื่นเพราะมันเริ่มด้วยการที่ผมต้องมาเป็นเด็กซิ่วและเรียนกับรุ่นน้อง แต่ผมกลับคิดว่ามันดีมากเลยทีเดียว เพราะผมจะได้เริ่มต้นโดยที่ไม่มีใครที่ผมเคยรู้จักจำผมได้ และได้มีเพื่อนใหม่ที่อายุน้อยกว่า แน่นอนว่าผมก็คงจะไม่บอกพวกเขาหรอกว่าผมเคยเป็นใคร อายุเท่าไหร่

ผมวาดภาพในหัวไว้ว่าผมจะต้องเริ่มต้นด้วยการมีเพื่อนสักคนแล้วเราก็จะทำทุกอย่างแบบที่เพื่อนเขาทำกัน ผมคงต้องสารภาพว่าผมไม่ได้รู้ดีนักหรอกว่าปกติแล้วเพื่อนเขาทำอะไรกันบ้าง เพราะตั้งแต่ผมขึ้นมัธยมต้นมาผมก็แทบจะไม่ได้คบใครเป็นเพื่อนเลย เพราะผมไม่ชอบและไม่อยากให้พวกเขามาถามเรื่องใบหน้าของผม ซึ่งผมไม่สามารถจะตอบปัญหาที่ใบหน้าอันแปลกประหลาดของผมทำให้พวกเขาเกิดคำถามและกังวลใจได้ ผมจึงเลือกที่จะยอมก้มหน้า และยอมโดนแกล้งเป็นบางครั้ง แต่ก็แลกมาด้วยการที่ผมได้มีเวลาอยู่กับตัวเองและได้ยินสิ่งที่ตัวเองอยากได้ยินจากหนังสือดีๆ สักเล่ม ผมคิดว่านี่ก็คงจะเพียงพอแล้วที่จะปลอบประโลมจิตใจของเด็กคนหนึ่งที่วันๆ ได้ยินแต่ เรื่องตรงๆ และ ความจริง จากเพื่อนๆ โดยที่พวกเขาไม่สนเลยว่าผมจะรู้สึกอย่างไร อย่างที่บอกถึงผมจะไม่เคยมีเพื่อนเป็นตัวเป็นตนกับเขา แต่ผมก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนขนาดไม่รู้หรอกนะว่าการเข้าหาคนอื่นก่อนเพราะอยากเป็นเพื่อนด้วยมันต้องทำยังไง



Trrrrrr Trrrrr

ผมค่อยๆ งัวเงียตื่นขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินเสียงเรียกเข้าดังมากระทบโสตประสาทของผมก่อนที่จะค่อยๆ ควานหาเจ้าโทรศัพท์ต้นเสียงแล้วกดรับสายพร้อมกับแนบมันเข้ากับหู

“ครับ” ผมกรอกเสียงอันแสนจะงัวเงียของผมกลับไปยังปลายสาย

“นิวเยียร์เป็นไงบ้าง นี้แม่โทรหาตั้งหลายครั้งทำไมเพิ่งจะรับสาย แม่ตกใจหมดเลยรู้ไหมนึกว่าเราเป็นอะไรไปซะอีกนี้ถ้ายังไม่รับอีกครั้งแม่จะบอกพ่อกลับรถไปหาเราแล้วนะ” แม่บ่นออกมาเป็นสายจนผมต้องดึงโทรศัพท์ให้ออกห่างจากหูไม่งั้นผมคงจะต้องหูแตกเป็นแน่

“โทษทีครับพอดีผมรู้สึกเพลียๆ น่ะ เลยเผลอหลับไป”

“อย่างนั้นเหรอ” แม่พูดพลางถอนหายใจก่อนอย่างโล่งอก “แล้วเป็นไงบ้างล่ะ หาอะไรกินแล้วหรือยัง”

“ยังครับ” ผมตอบพลางค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง “ผมว่ากำลังจะลงไปหาอะไรกินอยู่พอดี”

“งั้นเหรอ แล้วเป็นไงชั้นเรามีคนอยู่เยอะไหม แม่ว่ามันดูเงียบอยู่นะตอนกลางวันที่เราขนของเข้าไป”

“เจ้าของหอเขาบอกว่ามีคนอยู่ปกติครับ” ผมบอกออกไปเพื่อให้แม่คลายกังวลเพราะช่วงนี้ยังไม่ใช่ช่วงเปิดเทอมอย่างที่ควรจะเป็นเนื่องจากผมขอให้พ่อกับแม่มาส่งผมก่อนที่จะเปิดเทอมจริงสิบวันเนื่องจากจะต้องมีการตรวจสุขภาพนิสิตก่อนที่จะเปิดเรียนรวมทั้งงานปฐมนิเทศซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะยังไม่เข้ามาอยู่ในหอกันเพราะค่อนข้างที่จะเปลืองค่าใช้จ่ายและไม่มีอะไรให้ทำ

“ถ้าอย่างงั้นแม่ก็สบายใจจะได้ไม่น่ากลัวมาก”

“แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมอยู่ได้อีกอย่างหอที่นี่ก็สร้างเพิ่งเสร็จไม่มีประวัติอะไรให้ต้องกลัวหรอก” ผมพูดพลางเอื้อมไปหยิบเอากระเป๋าสตางค์ที่วางอยู่บนเตียง ก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าประตูเพื่อที่จะออกไปหาอะไรกินข้างนอก “งั้น...”

คำพูดทั้งหมดของผมถูกกลืนลงไปในคอโดยทันทีหลังจากที่ผมเปิดประตูไปแล้วพบกับความมืดของทางเดิน ไวกว่าเสียงขนทุกเส้นในร่างกายของผมก็พร้อมใจกันลุกชูชันขึ้นมา ผมพยายามชะเง้อมองออกไปด้านนอกของทางเดินเพื่อหวังที่จะได้เห็นแสงเล็ดลอดออกมาจากประตูห้องบานใดบานหนึ่งเพื่อให้ผมได้เกิดความสบายใจขึ้นมาบ้าง แต่สิ่งที่ผมทำมันกลับผิดถนัดเพราะมันยิ่งตอกย้ำว่าชั้นนี้ทั้งชั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่กับผมเลย

“นิวเยียร์ นิวเยียร์! ” เสียงเรียกของแม่ปลุกผมขึ้นมาจากภวังค์อีกครั้ง

“คะ...ครับ”

“เป็นอะไรไปน่ะทำไมเงียบไป”

“เอ่อ...คือผมกำลัง... กำลังอ่านใบกำหนดการของมหาลัยอยู่น่ะครับเลยไม่ค่อยได้ฟังแม่สักเท่าไหร่ โทษทีครับ” ผมปดออกไปเพราะไม่อยากให้แม่เป็นห่วง 

“เอาเหรอ งั้นก็อ่านซะนะแล้วอย่าลืมหาอะไรกินด้วย แค่นี้ล่ะ” พูดจบแม่ก็ตัดสายของผมไปอย่างไร้เยื่อใย

“ดะ...เดี๋ยวครับ” ผมพยายามจะเรียกยื้อแม่เอาไว้เป็นเพื่อนในขณะที่จะเดินไปให้ถึงลิฟต์ แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว

ผมกลืนน้ำลายเหนียวข้นลงคอดังอึก พร้อมกับตัดสินใจอยู่ว่าจะเดินลงไปข้างล่างดีไหม เพราะถ้าหากไม่ลงไปผมคนจะต้องนอนหิวทั้งคืนเป็นแน่ แต่พอลองคิดดูอีกที สถานการณ์ตอนนี้อาจจะเป็นแค่ ลุงยามลืมเปิดไฟทางเดินก็ได้ ในทางกลับกันถ้าหากมีคนอยู่ชั้นนี้จริงๆ ตอนนี้ก็ถือว่าค่ำมากแล้วจะไม่มีใครคอมเพลนเรื่องไฟทางเดินเลยหรือ

ผมชั่งใจอยู่สักพักก่อนที่จะคิดได้ว่าไม่ขอลงไปเสี่ยงจะดีกว่าผมจึงปิดประตูลงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อที่จะโทรหา ลุงยามข้างล่างแต่ผมก็ลืมไปว่าผมไม่ได้ถ่ายเบอร์ที่ติดอยู่หน้าสำนักงานมาด้วย คิดแล้วก็ได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมผู้ชายที่ชื่อว่าไอ้นิวเยียร์มันถึงได้โง่ขนาดนี้





“แม่งเอ้ย! ” ผมสบถออกมาอย่างไม่ค่อยจริงจังนักให้กับความไม่รอบคอบของตัวเอง ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าความจริงผมก็ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ต่อซะทีเดียวเพราะทางหอพักยังมีแอปพลิเคชันอยู่รวมทั้ง แฟนเพจอีกต่างหาก คิดได้ดังนั้นผมก็รีบส่งข้อความไปให้ผู้ดูแลทันที เวลาผ่านไปสามทุ่มก็แล้ว สี่ทุ่มก็แล้ว ทางเดินของชั้นห้ายังคงมืดสนิท และข้อความที่ผมส่งไปก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เข้ามาอ่านหรือคิดจะตอบผมเลย

แล้วจะมีแอปพลิเคชันไว้ทำไมวะ เฮงซวย!

ผมล่ะอยากจะพูดคำนี้ใส่หน้าพวกเขาซะจริงๆ แต่คิดเหรอว่าคนหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างผมจะกล้า ไม่มีทาง! คงได้แค่คิดไปงั้นแหละ

โคร๊ก!

เสียงท้องของผมมันเริ่มจะทักท้วงและบีบตัวหนักขึ้นไปทุกที บางครั้งผมก็อยากจะด่ามันเหมือนกันว่า ไอ้กระเพาะไม่รักดี แต่ถึงด่าให้ตายยังไงมันก็คงไม่รู้เรื่อง

ผมเดินไปที่ประตูอีกครั้งพร้อมกับให้ความหวังกับตัวเองว่าเขาคงจะมาเปิดไฟทางเดินแล้วก็ได้ ผมกลั้นใจเปิดประตูออกอีกครั้ง แต่ผลที่ได้กลับยังคงเหมือนเดิมข้างหน้าของผมยังเป็นความมืดและสิ่งเดียวที่ให้แสงสว่างกับชั้นนี้ก็มีเพียงแค่ไฟจากห้องของผมเท่านั้น ผมล่ะอยากจะเดินกลับไปที่เตียงแล้วนอนลงพร้อมกับหลับไป ก่อนที่จะไปเที่ยวเล่นในความฝันซักแปดชั่วโมง แล้วตื่นขึ้นมาพบกับแสงแดดที่แสนจะสดใสในตอนเช้า หลังจากนั้นค่อยเดินไปคอมเพลนลุงยามที่ไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเองจนทำให้ผมต้องมาอดข้าวเย็นแบบนี้ แต่สิ่งที่ผมอยากให้มันเกิดขึ้นกลับเป็นได้แค่ความคิดลมๆ แล้งๆ เพราะผมรู้ดีว่าถ้าหากท้องของผมไม่อิ่มผมไม่มีทางที่จะหลับลงแน่ และทางเลือกเดียวของผมก็มีแต่จะต้องเดิมฝ่าความมืดไปที่ลิฟต์เท่านั้น

ผมกลั้นใจเป็นครั้งสุดท้ายในขณะเดียวกันก็กำโทรศัพท์ในมือแน่นก่อนที่จะเปิดไฟฉายขึ้นแล้วก้าวขาออกไปนอกห้องอย่างไม่แน่ใจนักแล้วจึงปิดประตูลง

ปัง

แสงไฟจากห้องของผมหายไปจากทางเดินทันทีหลังจากที่เสียงปิดประตูดังขึ้น ความกล้าและความอวดดีของผมก็เหมือนกัน ที่มันหดหายลงไปมากกว่าครึ่ง เพราะตอนนี้เหลือแค่แสงไฟริบหรี่ที่อยู่ในมือ

เชี่ยนี่กูทำถูกแล้วใช่ไหมวะ

เป็นสิ่งแรกที่ผมถามกับตัวเองแต่จะถึงยังไงผมก็คงมาไกลเกินกว่าที่จะถอยกลับไปแล้ว มาถึงขนาดนี้แล้วถ้าถอยก็คงจะเสียหมาไม่ใช่น้อย ผมตัดสินใจรวบรวมแรงใจฮึดสุดท้ายขึ้นมาแล้วเดินอาจๆ ตรงไปข้างหน้า แต่...

เชี่ย!

ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะทางเดินมันทำให้เสียงก้องสะท้อนหรืออย่างไร แต่ทุกย่างก้าวที่ผมเดินไปมันเหมือนกับมีใครอีกคนกำลังเดินตามผมมา ผมล่ะอยากจะหยุดเดินเพื่อเช็กความแน่ใจเหมือนที่เขาทำกันในหนังซะจริงๆ แต่ไอ้ขาเวรของผมนี่สิมันกลับไม่ยอมที่จะหยุด แถมยังเร่งสปีดขึ้นอีกต่างหากแต่ยิ่งเดินเร็วขึ้นเท่าไหร่เสียงที่ตามหลังผมมามันก็เร็วขึ้นเท่านั้น ผมไม่สนใจแม้แต่จะมองทางเดินก่อนที่ตัดสินใจลดไฟฉายจากโทรศัพท์ลงแล้ววิ่งสุดแรงเกิดไปที่ประตูลิฟต์ ในที่สุดผมก็แตะมันได้ มือของผมกดลงที่ปุ่มลูกศรที่ชี้ลงข้างล่างทันที แต่สิ่งที่ผมได้รับตอบสนองกลับคืนมาก็คือลิฟต์ที่ค่อยๆ ไหลขึ้นมาจากชั้นหนึ่งอย่างเชื่องช้าที่สุดเท่าที่มันจะกลั่นแกล้งผมได้ ถึงแม้เสียงฝีเท้าที่ตามผมมามันจะเงียบลงแล้ว แต่ความมืดสีดำสนิทที่ปกคลุมตัวผมอยู่มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวและกดดันมากขึ้น รู้สึกเหมือนกับมีคนที่มองไม่เห็นในชุดสีดำสนิทมายืนอยู่ข้างหลังผมอย่างไงอย่างนั้น เส้นขนที่ท้ายทอยของผมค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างมีนัย อากาศรอบๆ ตัวก็เหมือนจะเย็นลงเรื่อยๆ ช่วงเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้ามันช่างทรมาน ผมซะเหลือเกิน...

ติ๊ง

เสียงสวรรค์ดังขึ้นพร้อมกับรัศมีที่สาดฉายเปล่งประกายออกมา ราวกับจะเรียกให้ผมเข้าไปหาอ้อมกอดที่เป็นลำแสงสีขาวของมัน ความกลัวที่ผมมีค่อยๆ หายไปตามความกว้างของประตูลิฟต์ที่ค่อยๆ เปิดออกจนในที่สุดมันก็หยุดเพราะได้เปิดออกจนสุดแล้วผมรีบวิ่งเข้าไปด้านในทันที พร้อมกับกดไปที่เลขหนึ่งที่อยู่บนผนัง แต่ทันใดนั้นเมื่อผมมองออกไปนอกลิฟต์ความกลัวก็เข้ากอบกุมหัวใจผมอีกครั้ง คุณเคยยืนอยู่ในแสงสว่างเพียงคนเดียวแล้วรอบตัวนอกจากจุดที่คุณยืนอยู่มีเพียงความมืดไหมครับ ผมอยากจะบอกว่าความรู้สึกมัน เหี้ย! เอาซะมากๆ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าในความมืดนั้นมีอะไรที่มองเราอยู่ แล้วฉากในหนังผีก็ชอบเล่นอะไรแบบนี้ซะด้วยสิ ผมเริ่มมวนท้องขึ้นมาเนื่องมาจากความกดดันและความกลัวที่เข้ามารุมเร้า ประตูลิฟต์ก็ทำหน้าที่ของมันอย่างเชื่องช้าตามเคย ค่อยๆ ปิดโดยที่ไม่รู้เลยว่าไอ้คนที่ยืนกลัวว่าตัวอะไรจะโผล่ออกมาจากความมืดแล้วกระโจนเข้ามาหานี่มันเป็นอย่างไร

“เฮ้อ...” ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อประตูลิฟต์ปิดเข้าจนสนิท ในตอนนั้นร่างของผมก็ค่อยๆ ไถลนั่งลงกับพื้นเพราะรู้สึกเข่าอ่อนและขาสั่นจนยืนไม่อยู่ “รอดแล้วโว้ยยยย” ร้องออกมาโดยที่ไม่สนใจว่าใครจะมาได้ยินเพราะตอนนี้ผมแม่งรู้สึกโล้งอกสุดๆ ก่อนที่จะรีบลุกขึ้นเมื่อใกล้ถึงชั้นหนึ่ง

ประตูค่อยๆ เปิดออกแต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันช้าอย่างที่เคยเป็น แสงไฟสีส้มของทางเดินสาดเข้ามาในตัวลิฟต์ที่ผมยืนอยู่พร้อมกับคนที่หิ้วของพะรุงพะรัง ยืนรอลิฟต์อยู่ข้างหน้าทำให้ผมใจชื้นขึ้นเป็นกอง

ผมยิ้มให้กับคนคนนั้นอย่างเป็นมิตรผสมกับความดีใจที่มันล้นทะลักออกมาในขณะที่ผมเดินออกมาจากลิฟต์ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขามองผมแปลกๆ ก็ตาม

ที่แรกที่ผมตรงไปหลังจากที่ออกมาจากหอแล้วก็คือป้อมยามที่อยู่ข้างหน้าหอ พร้อมกับบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดลุงที่อายุมากก็ขอโทษผมยกใหญ่ จนทำเอาซะผมโกรธไม่ลง แกยังไม่วายยกมือไหว้ผมแล้วบอกกับผมว่าอย่าไปบอกเจ้าของหอนะ

ไม่ทันแล้วล่ะลุงเพราะผมบอกไปตั้งนานแล้ว

ผมได้แต่คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป ก่อนที่ผมจะเดินจากไปผมก็ไม่ลืมที่จะถามลุงยามอีกว่านอกจากห้องของผมแล้วที่ชั้นห้ามีคนอยู่หรือเปล่า ลุงแกก็ตอบอย่างหนักแน่ว่ามีคนที่เรียนซัมเมอร์เหลืออยู่ ซึ่งนั่นมันไม่ตรงกับสิ่งที่ผมเห็นสักนิด แต่ก็ช่างมันเถอะตราบใดที่มีแสงไฟผมไม่กลัวอยู่แล้ว ผมโกหกความจริงถึงจะมีไฟผมก็ยังกลัวอยู่ดีแต่น้อยลงหน่อยเท่านั้นเอง

โชคดีที่หอของผมอยู่ในย่านที่มีร้านอาหารมากมายสำหรับนักศึกษามันเลยทำให้ผมไม่ต้องเดินไปไกลมากนัก พร้อมทั้งร้านอาหารแถวนี้ก็มีความหลากหลายมากทีเดียว ผมเลยเลือกที่จะกินอะไรหนักๆอย่างข้าวขาหมูประชดกระเพาะสักหน่อยที่เอาแต่ประท้วงผมอยู่ได้ หลังจากกินเสร็จก็แวะซื้อของใช้และขนมในร้านสะดวกซื้อก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในหอที่มีลุงยามคนเดิมนั่งอยู่ในป้อมยามแล้วหันมายิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร

ผมเดินจนมาถึงใต้หอ ต้องขออธิบายก่อนนะครับว่าหอของผมเป็นหอที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควร และในหอจะมีตึกด้วยกันทั้งหมดสี่ตึกด้วยกัน โดยจะแยกออกเป็นตึก เอ,บี,ซีและดี ซึ่งตึกทั้งหมดจะถูกจัดวางเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีลานสี่เหลี่ยมผืนผ้าอยู่ตรงกลางอีกที แล้วตึกเอจะเชื่อมต่อกับตึกบี ตึกซีจะเชื่อมต่อกับตึกดีซึ่งผมอยู่ตึกซีที่อยู่ด้านหลังสุดของหอจึงทำให้คนไม่พลุกพล่านมากนัก

ในขณะที่ผมกำลังจะเอาคีย์การ์ดไปแตะกับประตูเพื่อให้มันเปิดออกอยู่ดีๆ ผมก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งที่แสนจะโหยห้วยกรีดร้องขึ้นมา

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด กรี๊ดดดดดดดดดดดดด กูไม่ยอม กูไม่ยอม......”

ผมตัวแข็งชะงักกึกอยู่กับที่ด้วยความอึ้ง ตกใจปนกับหวาดกลัวตีกันเต็มไปหมด

“กรี๊ดดดดดดดดด ไม่....... กูไม่ยอม......”

เสียงโหยหวนกรีดแทงเข้ามาในโสตประสาทของผมอีกครั้ง ทำให้ผมได้สติและอะไรก็ไม่รู้ที่มันสั่งให้ผมหันหลังกลับไปแล้วออกแรงวิ่งสุดฝีเท้า ผมกลัวเหลือเกินว่าเจ้าของเสียงกรีดร้องนั้นจะวิ่งตามผมมา ผมเร่งฝีเท้าอย่างเอาเป็นเอาตายไปที่จุดหมายคือป้อมยาม แต่เมื่อผมไปถึงที่นั่นกลับพบแต่ความว่างเปล่า

“เหี้ย! ...ลุงยามไปไหนวะ” ผมสบถออกมาอย่างหัวเสีย ซึ่งพอผมคิดดูอีกทีไม่แน่ว่าลุงแกอาจจะกำลังไปตรวจหออยู่ก็ได้ ผมรู้สึกจนตรอกอย่างถึงที่สุดเพราะรอบๆ บริเวณนั้นไม่มีใครสักคนที่จะเดินผ่านมา และผมคงไม่คิดจะรอความช่วยเหลือในที่แจ้งแบบนี้ อย่างที่บอกว่าผมกลัวเหลือเกินว่าเจ้าของเสียงแหลมนั่นจะตามผมมา ผมไม่เคยรู้สึกจนตรอกขนาดนี้มาก่อน และในขณะนั้นเองผมก็เห็นทางออกสุดท้ายของผม

ตึกเอ

ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดก่อนที่จะเอาคีย์การ์ดทาบลงในทันทีที่ไปถึงจุดหมายทำให้ประตูเปิดออก เมื่อเข้าไปด้านในได้ผมก็ดันประตูปิดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหายใจหอบด้วยความตื่นเต้น อย่างที่บอกว่าตึกเอและตึกบี จะไม่ได้เชื่อมต่อกับตึกของผมซึ่งนั่นมันทำให้ผมสบายใจขึ้นเยอะ

ผมรีบเดินสำรวจชั้นสองอย่างรวดเร็วเพราะหวังว่าจะเจอลุงยามแกกำลังตรวจความเรียบร้อย แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิดผมเลยลองเดินลงไปชั้นหนึ่งดู แต่ผลลัพธ์ก็อย่างเคยผมไม่พบลุงยาม จนผมเดินไปหยุดอยู่ที่ประตูทางเข้าตึกบี ก็ได้พบกับใครคนหนึ่งที่กำลังอุ้มแพ็คน้ำเปล่าอยู่ในมือผมเลยตัดสินใจเปิดประตูออกไปแล้ววิ่งตรงไปหาเขาด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง...





หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-01-2021 23:17:16
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 1 Begin Again
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 29-01-2021 20:39:51
Chapter 1

Begin Again



หากจะพูดถึงสิ่งที่ผมพอจะมีดีมากกว่าคนอื่นอยู่บ้างก็คงจะเป็นเรื่องความจำและการเรียนของผม เพราะถึงแม้ว่าผมจะเริ่มทำงานพิเศษตั้งแต่ช่วงม.3 เทอมสอง ซึ่งเป็นงานพาร์ทไทม์ในช่วงเวลาหลังเลิกเรียนที่ร้านอาหารของลุงบอยเพื่อนพ่อ หน้าที่ของผมมีทั้งงานเสิร์ฟและล้างจาน แต่ผมเลือกที่จะล้างจานอยู่หลังร้านมากกว่าเพราะผมไม่ค่อยอยากจะเห็นสายตาของลูกค้าที่มองมายังหน้าของผมด้วยความตกใจแล้วพยายามทำตัวให้เป็นปกติสักเท่าไหร่ หรือถ้าโต๊ะไหนมีเด็กนั้นก็จะยิ่งทำให้ผมอึดอัดเป็นพิเศษเพราะว่าเด็กๆ มักจะเก็บอาการได้ไม่ดีซักเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ ดีหน่อยก็จะเดินเข้าไปซุกแม่ แต่ถ้าแย่หน่อยเขาก็จะร้องไห้หรือไม่ก็ถามผมออกมาตรงๆ เลยว่าหน้าของผมมันไปโดนอะไรมา แต่ด้วยความที่ผมอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้นมากกว่านี้ผมจึงไม่ได้อิดออดที่จะหาเงินด้วยตัวเองดูก่อนที่จะไปพูดกับพ่อแม่อีกทีหนึ่ง

ในช่วงเวลาเดียวกันก็เป็นช่วงที่นักเรียน ม.3 ทุกคนต้องเริ่มอ่านหนังสือกันอย่างหนักหน่วง เพราะนอกจากจะมีสอบภายในโรงเรียนแล้ว ยังมีการสอบชิงที่นั่งตามโรงเรียนชื่อดังต่างๆ เพราะนั่นมันก็เหมือนสิ่งที่ชี้ชะตาของคุณว่าชีวิตของคุณจะไปทางไหน ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่ายิ่งโรงเรียนที่คุณเข้าศึกษาต่อมีชื่อเสียงมากแค่ไหนนั่นมันก็เหมือนจะรับประกันว่าชีวิตในการแอดมิชชั่นเข้ามหาลัยของของคุณก็จะสดใสมากขึ้นเท่านั้น

ผมดูจะเสียเปรียบคนอื่นอยู่พอตัวที่ต้องทั้งทำงานไปและอ่านหนังสือเตรียมสอบไปหลังจากทำงานเสร็จแบบนี้ แต่อย่างที่ผมบอกไปผมค่อนข้างจะมีพรสวรรค์ด้านนี้ จึงทำให้ผมสอบติดโรงเรียนดังลำดับต้นๆ ของประเทศและได้ลำดับที่ค่อนข้างดีในการสอบครั้งนั้นมาด้วย นั่นทำให้ผมได้รู้จักกับอาชีพใหม่และเหมือนจะเป็นอาชีพหลักหลังเลิกเรียนของผมไปโดยปริยาย

ติวเตอร์

ผมต้องขอออกตัวก่อนว่าหลังจากที่ผมสอบเข้าเรียนได้แล้วได้ลำดับที่น่าพึงพอใจอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าผมจะ สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นติวเตอร์เลยหรอกนะ เพราะผมก็ไม่ได้ มั่นหน้า มั่นโห-นก อะไรขนาดนั้น

ในวันที่ทุกคนในร้านรู้ว่าผมสอบได้ลำดับที่ดีขนาดนั้นด้วยความที่ลุงบอยค่อนข้างที่จะเอ็นดูผมเป็นทุนเดิม ก็เลยจัดงานฉลองเล็กๆ ที่มีแค่พนักงานให้หลังเลิกงาน

บรรยากาศในตอนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกดีมาก ไม่รู้ว่าเพราะมันเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ความรู้สึกที่เหมือนผมมีเพื่อนถึงแม้ว่าทุกคนจะอายุมากกว่าผม หรือเป็นเพราะผมได้อยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่ตัดสินผมจากหน้าตาอันแปลกประหลาดพิสดารของผม ไม่หวาดกลัว และมองผมอย่างคนคนหนึ่งที่ไม่ได้แตกต่างจากพวกเขาเลย...

วันต่อมาผมมาทำงานที่ร้านอย่างเคย แต่วันนี้แปลกไปสักหน่อยที่ลุงบอยเข้ามาร้านตั้งแต่หัววันและเมื่อเขาเห็นผมเดินเข้ามาในร้านก็ปรี่ตรงเข้ามาหาทันที

‘นว’ ไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่า นว (นะ-วะ) คือชื่อของใครมันคือชื่อเก่าของผมเอง เพราะหลังจากผมเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้า ผมก็ขอพ่อกับแม่เปลี่ยนทั้งชื่อเล่นและชื่อจริง เพราะผมอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆ อยากเป็นคนใหม่ที่ไม่ใช่แค่ใบหน้า แต่มันคือทั้งหมดในชีวิตของผม ทุกสิ่งทุกอย่าง ชื่อ สังคม และคนที่ผมเคยรู้จัก

‘คะ...ครับ’ ผมขานรับรู้สึกตกใจเล็กน้อยกับท่าทีที่สดใสผิดปกติของลุงบอย

‘ลุงมาคิดๆ ดูแล้ว งานล้างจานหรืองานร้านอาหารแบบนี้มันอาจจะหนักไปสำหรับเด็กที่อายุเพิ่งจะสิบหกอย่างนว’

ลุงเพิ่งจะรู้หรือไงทั้งที่ผมทำมาตั้งแต่อายุสิบห้าแล้วเนี่ยนะหรือว่า...

‘ที่ลุงพูดแบบนี้ ลุงคิดจะไล่ผมออกเหรอครับ!’

‘เฮ้ย...’

‘คือลุงบอยอย่าไล่ผมออกเลยนะครับ ที่ผมมาทำงานที่นี่ก็เพราะผมอยากได้เงินแล้วเอาไปทำตามความฝันของผม ลุงอย่าตัดฝันผมเลยนะ หรือลุงว่าผมล้างจานไม่สะอาดใช่ไหม ผมจะล้างให้สองรอบเลยก็ได้หรือลุงว่าลูกค้ากลัวหน้าผม ผมจะเข้าร้านให้เร็วกว่านี้แล้วไม่ออกมาให้ลูกค้าเห็นอีกเลยจนกว่าร้านจะปิด ผมจะไม่มายุ่มย่ามหน้าร้าน ขอแค่ลุงอย่าไล่ผมออกเลยนะครับ’ ผมร่ายยาวเพราะไม่รู้ว่าจะขอความเห็นใจอย่างไร เนื่องจากถ้าหากที่นี่ไม่ให้ผมทำงานต่อแล้ว... ผมก็แทบคิดไม่ออกเลยว่าจะมีที่ไหนรับเด็กหน้าตาอย่างผมเข้าทำงานอีก แล้วที่เข้ามาทำงานที่นี่ได้ก็เพราะลุงบอยเป็นเพื่อนของพ่อทั้งนั้นไม่ใช่เพราะความสามารถอะไรเลย

‘เดี๋ยวๆ นวใจเย็นก่อนนะ ฟังลุงก่อน’ ลุงบอยพยายามพูดเสียงดังแต่ช้า เพื่อแทรกผมที่พูดด้วยความเร็วหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง

‘แต่ลุงบอยครับคือผม...’

‘นว หยุดแล้วฟังลุงก่อน’ ลุงบอยพูดเสียงดังดูเหมือนว่าเขาจะเหลืออดกับผมแล้วเหมือนกัน

‘...’

‘คืออย่างนี้นะ ลุงไม่ได้จะไล่นวออก แต่ลุงแค่อยากขอร้องนว’

‘อะไรครับ’ ถามเสียงอ้อมแอ้ม

‘คือว่าลุงอยากให้นวเลิกทำงานในร้านอาหารของลุง’

‘ว่าไงนะครับ’ ผมร้องถามออกมาด้วยความตกใจก็ไหนบอกว่าจะไม่ไล่ผมออกไง

‘ใจเย็นๆ ฟังลุงให้จบก่อน ลุงอยากให้นวเลิกทำงานที่ร้านของลุง แล้วเปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่นให้ลุงแทน ก็เหมือนเปลี่ยนงานไง นวก็ยังทำงานกับลุงเหมือนเดิม แต่แค่เปลี่ยนตำแหน่ง’ ลุงบอยพยายามพูดชักจูง

‘งานอะไรครับ’ ผมถามอย่างคนที่ไม่มีทางเลือกมากนัก

‘คือหลานลุงปีนี้เขาอยู่ม.สาม’ ลุงบอยเกริ่นขึ้นมาก็ทำให้ผมพอจะเดาออกว่าเขาจะขอร้องอะไรผม ‘ส่งไปเรียนพิเศษที่ไหนเขาก็ไม่มีท่าทีว่าจะเก่งขึ้นสักที เขาบอกว่าเขาไม่ชอบเรียนกับคนอื่นที่เขาไม่รู้จัก แล้วลำพังจะให้จ้างครูมาสอนที่บ้านลุงก็คงจะไม่ไหว ลุงเลยอยากจะ...’

‘ไม่ครับ’ ผมตอบอย่างไร้เยื่อใยเพราะไม่คิดว่าคนอย่างผมจะไปสอนใครเขาได้

‘เฮ้ย! อย่าเพิ่งตัดสินใจสิฟังข้อเสนอก่อน’

‘ผมว่าผมคงจะสอนเขาไม่ได้หรอกครับ เขาดูมีโลกส่วนตัวสูงซะขนาดนั้นคงจะเปิดใจรับผมง่ายๆ หรอก’

‘แล้วถ้าลุงให้ค่าแรงสองเท่าของที่นี่ล่ะ’

‘ไม่...อะไรนะครับ’

ไอ้เหี้ยหูฝาดไปปะวะ

‘ลุงจะให้ค่าแรงเป็นสองเท่าที่นวทำงานที่นี่ แต่มีข้อแม้ว่านวต้องทำให้เด็กคนนั้นสอบติดโรงเรียนเดียวกันกับนวให้ได้ ดีออก นวจะได้ทบทวนบทเรียนด้วยไง’

‘เออ...ผมว่ามันก็ยังดูยากอยู่ดี’ ผมพูดท่าทาอิดออด

‘แล้วถ้านวทำให้เด็กคนนั้นสอบติดในลำดับดีๆได้ด้วยเนี่ยนะลุงจะมีรางวัลพิเศษให้ด้วย’

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารางวัลพิเศษที่แกว่าคือเงินไม่ผิดแน่ๆ เพราะสิ่งเดียวที่พิเศษที่สุดที่พอจะล่อผมได้ในตอนนี้ก็มีแต่เงินเท่านั้น

‘มาคิดดูดีๆ อีกที...ขนาดตัวเองยังสอบติดได้แค่ติวให้คนอื่นคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงมากมั้งครับ’ ผมตอบไปงั้นล่ะครับไม่รับประกันว่าตัวเองจะทำได้ด้วยซ้ำไป แต่กลิ่นเงินมันหอมยั่วใจซะเหลือเกิน

วันแรกในการเป็นติวเตอร์ของผมค่อนข้างจะทุลักทุเล หรือจะเรียกว่าเละเทะก็ยังได้ เพราะไอ้เด็กเวรที่ผมต้องไปติวให้มันร้ายกว่าที่ผมคิดทำเอาแผนการสอนที่ผมเตรียมมาพังลงไม่เป็นท่าแต่มันก็ดีอยู่อย่างที่มันไม่ได้สนใจที่จะมองหน้าตาของผมเลย

ด้วยความประสาทแดกของไอ้เด็กคนนี้ทำให้ผมเกือบถอดใจเลิกสอนไปแล้ว แต่ผมก็กัดฟันทนจนผ่านมันมาได้ หลังจากผ่านช่วงนั้นมาได้ผมก็ต้องขอยอมรับเลยว่าไอ้เด็กนี้เป็นคนที่ดีมากทีเดียว ถ้าหากผมจะบอกว่าผมไม่เคยมีเพื่อนก็น่ากลัวว่าจะไม่จริงสักเท่าไหร่ ผมขอแก้ใหม่ว่าผมเคยมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งแล้วกัน

ด้วยความสามารถของผม หรือจะด้วยความสามารถของไอ้เด็กนั่นก็รู้เหมือนกันทีทำให้มันสอบติดโรงเรียนเดียวกันกับผมจนได้ ถึงไม่ได้ลำดับท็อปอย่างที่หวังแต่ก็ไม่ได้แย่มาก คะแนนอยู่ในลำดับหนึ่งถึงสามสิบซึ่งลุงบอยบอกว่าอยู่ในลำดับที่รับได้ผมเลยได้รางวัลพิเศษมาเป็นเงินอีกก้อนหนึ่ง สำหรับเด็กม.5อย่างผมก็ถือว่ามากทีเดียว แล้วลุงบอยก็ยังขอให้ผมสอนพิเศษไอ้เด็กนี่ต่อไปอีกด้วย

แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เมื่อถึงวันที่ผมต้องตัดสินใจว่าจะเข้ามหาลัยอย่างคนอื่น หรือทำอย่างไรกับชีวิตต่อไปดี ซึ่งผมก็ตัดสินใจเรื่องนี้ไว้มาสี่ปีแล้ว

ผมอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่

ที่ผมพูดว่าใหม่คือใหม่จริงๆ อยากเจอสังคมใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักว่าหน้าเก่าของผมเป็นอย่างไร อยากมีเพื่อนแบบที่คนอื่นเขามีบ้าง ไม่ใช่คนที่จะได้เจอกันแค่ช่วงเวลาในห้องเรียน ผมอยากเป็นคนใหม่ คนที่ไม่ต้องบอกว่าชีวิตของตัวเองน่าสงสารขนาดไหน แต่เป็นชีวิตที่ผมก็เป็นแค่ผม

‘ต่อไปนี้ช่วงสอบพี่คงไม่ได้มาติวให้แกแล้วนะ’

‘ทำไมล่ะ พี่สอบติดมหาลัยต่างจังหวัดเหรอ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกเดี๋ยวผมจะตามไปสอบมหาลัยเดียวกันกับพี่ แล้วก็จะลากตัวพี่มาติวให้ผมได้อยู่ดี’ พูดกวนๆ

‘มันไม่ใช่เรื่องมหาลัยหรอก แต่พี่หมายความว่าหลังจากที่พี่เข้ามหาลัยแล้ว เราก็ไม่ควรที่จะพบกันอีกเพราะอะไรๆ มันก็จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว’

‘นี่พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย’

‘แกไม่เข้าใจหรอก ชีวิตพี่ทั้งชีวิตพี่เอาแต่หลบซ่อนตัวมามากพอแล้ว พี่อยากจะเริ่มชีวิตใหม่สักที’ ผมบอกอย่างสื่อความหมาย

‘ใครพูดอะไรให้พี่ไม่สบายใจหรือเปล่า’ ไอ้เด็กนั่นถามผมสีหน้าดูเป็นห่วงเป็นใย

‘ไม่มีหรอก อย่างที่พี่บอกพี่แค่อยากเริ่มชีวิตใหม่ เอานี่ข้อสอบแพทย์ที่ขอให้พี่หาให้ แล้วนี่ก็ข้อสอบฟิสิกส์กับคณิต’ ผมบอกพลางจัดแจงเอกสารวางไว้เป็นกองๆ ก่อนที่ผมจะเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น

นั่นเป็นวันสุดท้ายในการทำอาชีพติวเตอร์ของผม เป็นวันสุดท้ายที่ผมได้พบกับลูกศิษย์และเพื่อนเพียงคนเดียวในชีวิตเพราะหลังจากนั้นผมก็เข้ารับการผ่าตัดและย้ายที่อยู่ ซึ่งนั่นทำให้เราไม่ได้พบกันอีกเลย...









หลังจากที่ผมเดินตามหาลุงยามอยู่นานจนผมเดินไปหยุดอยู่ที่ประตูทางเข้าตึกบี ก็ได้พบกับใครคนหนึ่งที่กำลังอุ้มแพ็คน้ำเปล่าอยู่ในมือผมเลยตัดสินใจเปิดประตูออกไปแล้ววิ่งตรงไปหาเขาด้วยใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง...

“เอ่อ...” ผมเอ่ยพลางลดความเร็วลง “ขอโทษนะครับ” ผมทักเขาออกไปแต่ก็เหมือนกับว่าเขาจะไม่ได้สนใจ “เอ่อ คุณครับ” ผมพูดพลางเอามือไปแตะที่ไหล่ของเขาก่อนที่เขาจะหันหน้ากลับมาหาผม พร้อมกับดวงตาเรียวเล็กที่นันย์ตาสีน้ำตาลแฝงไปด้วยความเฉยชา รับกับจมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากเรียวเล็กสีระเรื่อที่เหมื่อนจะพ่ายแพ้ต่อแรงโน้ถ่วงของโลกอย่างสบูรณ์ เพราะมันเหมือนกับจะโค้ห้อยตกอยู่ตลอดเลวา แล้วคนที่อยู่ตรงหน้าผมเขาก็คือไอ้เด็กคนนั้น

“อะไร” คนตรงหน้าถามเสียงห้วน

“เอ่อ...” ผมตะลึงงันอยู่กับภาพตรงหน้า พูดอะไรไม่ออกไม่คิดว่าโลกมันจะกลมขนาดนี้

“ถ้ามึงไม่มีอะไรจะพูดกูไปแล้วนะ กูหนัก”

“พี่...” ไม่สิผมลืมไปเลยว่าการที่ผมซิ่วมาหนึ่งปีผมต้องอายุเท่ามัน แม้จะไม่ชินกับการที่ให้ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่มาพูดกูมึงด้วยก็ตาม แต่ถ้าผมอยากให้ชีวิตเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ก็มีแต่ต้องแสร้งทำเป็นเด็กแรกรุ่นเหมือนพวกเขาเท่านั้น “คือขอโทษนะครับ เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงกรี๊ดออกมาจากตึกซีน่ะครับคุณพอจะดะได้ยินเสียงนั้นไหม”

“เสียงอะไรวะไม่เห็นได้ยินเลย”

อ่าวตายห่าแล้วไงไอ้นิว “เสียงผู้หญิงกรี๊ดไงไม่ได้ยินเหรอ ที่บอกว่ากูไม่ยอม...กูไม่ยอม...ไง” ผมพูดพลางทำเสียงให้เหมือนไปด้วย

“กูว่ามึงหลอนแล้วล่ะกูไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”

หลอนบ้านมึงสิไอ้เด็กเวรนี่ แต่จะว่าไปแล้วคำตอบของมันไม่ได้ทำให้ผมสบายใจขึ้นเลย หรือว่าเสียงเมื่อกี้จะไม่ใช่เสียงคนจริงๆ คิดแล้วขนผมก็พร้อมใจกันลุกขึ้นทั่วทั้งตัวเลยทีเดียว

“กูอาจจะมาไม่ทันได้ยินก็ได้” ร่างสูงพูดขึ้นหลังจากที่เห็นท่าทางกังวลใจของผม “ทำไมมึงไม่ลองไปหายามดูล่ะ”

“ไปแล้ว แต่ลุงเขาไม่อยู่ เลยรีบวิ่งเข้าตึกเอว่าจะตามหาลุงเขาจนมาเจอมึงนี่ไง” ผมตอบหงอยๆ จึงทำให้อีกคนเริ่มทำตัวไม่ถูกสงสัยคงจะคิดไม่ออกว่าจะปลอบผู้ชายร่างควายอย่างผมยังไงดี

“งั้นก็กลับไปดูอีกครั้งสิ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไปมาแล้ว” ผมบอกเริ่มจะมีอารมณ์ขึ้นมาบ้าง เพราะอีกฝ่ายพูดไม่รู้เรื่อง

“กูรู้แล้วแต่กูหมายถึงให้มึงไปดูอีกรอบ เผื่อตอนมึงวิ่งขึ้นตึกมามันจะคลาดกับลุงเขาพอดี” พูดได้ดังนั้นไอ้เด็กนั้นก็ตั้งท่าจะเดินจากผมไป

“เดี๋ยวก่อน” ผมเรียกเสียงดังเป็นเชิงสั่ง ทำให้อีกคนหันหน้ามามองอย่างไม่พอใจนัก

“อะไร”

“พาไปหน่อยสิ” ผมบอกเสียงแผ่ว

“อะไรนะ” อีกฝ่ายถามอย่างไม่แน่ใจ

“พากูไปหน่อย” ผมบอกอายๆ แม่งไม่อยากให้ไอ้เด็กนี่มาเห็นมุมแบบนี้ของผมเลย มันมุ้งมิ๊งเกินไปที่จะเข้ากับเบ้าหน้าของผม

“ไม่” ตอบสั้นๆ แต่เด็ดขาด

“ขอร้องล่ะไม่อยากไปคนเดียว”

“มึงจะกลัวอะไรวะ ใกล้แค่นี้เอง”

“กูไม่ได้กลัวโว่ย แต่แค่ไม่อยากไปคนเดีว” ผมยังปากแข็งต่อไป แต่ดูสีหน้าอีกคนคงจะเหนื่อยหน่ายเต็มทนที่ต้องมาเห็นท่าทีที่ต้องการคีฟลุคของผม โดยที่ไม่ดูสถานการณ์เลย

“งั้นกูไปล่ะพอดีไม่ว่างจะไปเป็นเพื่อน”

“มึงไม่เข้าใจฟีลคนกลัวหรือยังไง แค่ไปเป็นเพื่อนมันจะอะไรนักหนาวะ”

“ไหนมึงว่ามึงไม่กลัวไง ไฟเยอะขนาดนี้มึงกลัวห่าอะไรของมึง”

เหี้ย โป๊ะแตกหรือวะเนี้ย

“คือกู...”

“ไม่ตอบกูไปล่ะ”

แม่งเอ้ย! “กูกลัวผี” ผมพูดออกไปอย่างผู้แพ้ แพ้ยับจนไม่เหลือชิ้นดี

“ฮึ...” ไอ้เด็กนั่นยิ้มเหยียดๆ มาให้ผม “เหตุผลปัญญาอ่อนขนาดนี้กูขอบายว่ะ”

หน่อยไอ้เด็กเปรตนี่ถ้าเป็นในสงครามก็คือมาหลอกให้กูยกธงขาว แล้วสุดท้ายก็ฆ่ากูอยู่ดีอย่างนี้น่ะเหรอมันจะหยามกันเกินไปแล้ว

“มึงมีน้ำใจหน่อยดิวะ เห็นคนเดือดร้อนแบบนี้ยังทำเฉยได้อีกเหรอ” เหตุผลกูประสาทแดกสุดๆ ละตอนนี้

“อือ” ตอบอย่างไร้เยื่อใย ให้ตายเถอะไอ้เด็กนี่มันหัวแข็งเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ เลย อย่าให้ถึงทีมึงตกที่นั่งลำบากบ้างก็แล้วกัน แต่ถึงมันจะลำบากคนอย่างมันก็ไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากใครอยู่แล้วหนิวะ แม่งเอ๊ยอยู่คนเดียวจนเป็นสันดาน

“มึงจะไม่ยอมเข้าใจคนอื่่นบ้างเลยหรือไง ประสาอะไรกับกูกลัวผี มึงกลัวน้ำยังปัญญาอ่อนกว่ากูอีก” ผมว่าออกไปอย่างเหลืออด ไม่ไหวจะทนกับคนอย่างเธอแล้ว แต่ผลตอบรับกลับดีเกินคาดไอ้เด็กนั่นหยุดเดินทันที ในทางกลับกันมันหันมาแล้วปรี่ตรงเข้ามาหาผมแทน ผมได้แต่คิดในใจว่าต้องโดนตีนของไอ้เด็กโย่งนี่เป็นแน่ ฐานที่ไปพูดแทงใจดำมัน

“มึงรู้ได้ไงว่ากูกลัวน้ำ” มันถามอย่างเอาเรื่อง พร้อมกับเดินเข้ามาประชิดตัวผมแล้วยื่นหน้ามันเข้ามาใกล้ ราวกับจะควักเอาความจริงออกมาจากลูกตาของผมอย่างไงอย่างงั้น

“เอ่อ...กู...กูเดาเอา” กว่าที่ผมจะคิดได้ว่าผมหลุดเผยไต๋ที่ทำราวกับว่ารู้จักมันดีออกไป ก็สายเกินไปซะแล้ว เลยต้องหาทางแก้ตัวแทน “ก็กูเห็นมึงติ๋มๆ แบบนี้จะกล้าว่ายน้ำหรือเปล่าก็ไม่รู้เลย เลยว่าออกไปงั้นหรือว่ามันจริง”

“ไม่” ตอบเสียงห้วน “ทีหลังอย่าสะเออะมาทำเป็นรู้จักกูดีอีกกูไม่ชอบ”

กลัวแล้วครับพ่อ คำพูดแต่ละคำมันเปี่ยมไปด้วยคุณภาพจริงๆ แม่งดุอย่างกับหมาแม่ลูกอ่อน

“เฮ้ย ทำอะไรวะ” ผมท้วงขึ้นเมื่อมันเอาแพ็คน้ำดื่มมายัดเข้าในมือผม

“กูหนัก”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับกูล่ะ” ผมท้วงอย่างไม่เข้าใจ

“แล้วมึงจะให้กูไปเป็นเพื่อนไหมล่ะถ้าไม่ก็เอาคืนมากูจะกลับห้อง” ไอ้เด็กโย่งบอกพลางจะเอาแพ็คน้ำดื่มออกจากมือผม

“เอ้าเฮ้ยๆ กูยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” ผมท้วง ไอ้เด็กนั่นบทจะง่ายก็ง่ายซะน่าใจหายแล้วแม่งจะเสียเวลามาทะเลาะกับผมทำไมตั้งนานสองนานวะเสียเวลาโดยใช่เหตุ ไอ้คนไม่รู้คุณค่าของเวลาเอ้ย!

“แล้วยืนทำสากกะเบืออะไรอยู่ตรงนั้นล่ะก็เดินมาสิ หรือมึงจะให้ผู้หญิงคนนั้นวิ่งมาหา”

แม่งเอ้ยปากหมาไม่พอยังพูดซะผมเห็นภาพเลย ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวิ่งตามมันออกไปอย่างเสียไม่ได้

พอมาถึงป้อมยามก็เห็นลุงยามนั่งดูทีวีพลางแทะเม็ดก๋วยจี๊อยู่ และพอผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ลุงเขาฟังเขาก็บอกผมว่า เรื่องนี้เขารู้เรื่องแล้วเพราะระหว่างเดินตรวจ ตึกซีก็ได้ยินเสียงเหมือนกันเลยเดินไปดู สรุปเป็นคู่รักนักศึกษาคู่หนึ่งทะเลาะกันเพราะจับได้ว่าแฟนแอบไปมีกิ๊กเจ้าหล่อนก็เลยอาละวาดอย่างที่ได้ยิน

โหแม่งแค่ทะเลาะกันทำไมต้องเสียงดังขนาดนี้ด้วยวะ เขาจะรู้ไหมว่าทำเอาผมหัวใจเกือบวายแล้ว แต่อีกคนข้างตัวผมดูจะไม่โล่งกับสิ่งที่ลุงยามบอกเลยแถมยังทำหน้าเหม็นขี้ พร้อมกันนั้นมันก็ส่งสายตาที่มีแต่ความเหยียดหยามมาให้ผมตลอด ราวกับสายตาของมันจะตะโกนบอกว่าเบื่อหน่ายกับความปัญญาอ่อนของผมมากแค่ไหน ซึ่งผมก็ได้แต่ก้มหน้ารับกรรมไป

“แล้วมึงอยู่ตึกไหน” ผมถามหลังจากที่เดินออกมาจากป้อมยามแล้ว

“เสือก”

“เอาไอ้นี่ กูอุตส่าห์จะหอบน้ำไปส่ง”

“มึงห่วงตัวเองเหอะว่าถ้าหากเรื่องที่ลุงยามเขาบอกมึงเขาโกหกมึงจะทำยังไง”

“มึงหมายความว่ายังไง”

“ก็เผื่อว่าลุงยามเขาอยากจะปิดข่าวว่าหอนี้มีผีมึงจะทำยังไง”

มึงก็ช่างสรรหาเรื่องมาพูดให้กูกลัวจังเลยนะครับไปเด็กเวร

“เอาน้ำมาได้แล้วกูจะกลับห้อง” ไอ้เด็กเวรนั่นพูดพลางยื่นมือมาทำท่าจะขอแพ็คน้ำดื่มในมือผมคืน

“ไม่! ” ผมบอกเสียงแข็งพลางกระชับแพ็คน้ำดื่มในมือผมให้แน่นขึ้น

“อะไรของมึงอีกเนี่ย รีบส่งมากูจะไปนอน” ไอ้เด็กนี่พูดด้วยความรำคาญเต็มทน

“ก็บอกว่าไม่ไง จนกว่ามึงจะไปส่งกูที่ห้องก่อนค่อยเอาคืนไป”

“มึงนี่ยังไงเนี้ยได้คืบจะเอาศอก หรือว่าความจริงมึงแค่อยากจะหลอกกูไปล่อที่ห้อง”

“ล่อกับหนังหน้ามึงสิ หน้าไม่อาย” โหไอ้เด็กนี่ก็มั่นหน้ามั่นโห-นกเหมือนกันเนาะ “ก็มึงอยากมาพูดให้กูกลัวเอง มึงก็ต้องรับผิดชอบ”

“แม่งเอ้ย! ” ไอ้เด็กโย่งสบถออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนที่จะเดินตามผมมาอย่างเสียไม่ได้

ถึงแม้ว่าตอนนี้จะดึกแล้วแต่เกียรติศัพท์ของนักศึกษาที่ว่านอนดึกไม่ต่างจากนกฮูกคงจะจริง เพราะตอนที่ผมเข้าไปในลิฟต์ก็ยังเห็นมีบางคนเพิ่งกลับมาจากมหาลัยก็มี สงสัยจะเป็นคนที่เรียนซัมเมอร์ (แล้วทำไมตอนนั้นไม่มีคนวะ) เลยทำให้ผมต้องยืนเบียดกับไอ้เด็กนั่นนิดหน่อยก่อนที่คนจะค่อยๆ ทยอยออกจากลิฟต์ไปจนหมดก่อนถึงชั้นห้า

ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นที่ผมอยู่ พร้อมกับแสงไฟสีส้มจากทางเดินด้านนอกที่สาดส่องเข้ามา ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้ายังมืดอยู่ผมคงต้องขอพ่อแม่ย้ายหอเป็นแน่

“เดินออกไปเร็วๆ ดิ๊” ไอเด็กโย่งเร่ง แต่ผมไม่คิดจะไปต่อปากต่อคำกับมันให้เปลืองพลังงานแต่อย่างใด “ห้องมึงอยู่ห้องไหน”

“เดี๋ยวก็รู้เองล่ะ” ผมตอบปัดๆ

“ลีลาชิบหาย” ผมไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงก่อนที่จะหยุดเดิน “เอาหยุดทำห่าอะไรอีก”

“ก็ถึงแล้วนี่ไง” ผมตอบ

“แล้วกุญแจอยู่ไหน”

“ในกางเกงแป่บนึง” ผมบอกทำท่าจะวางแพ็คน้ำดื่มลงกับพื้น

“แม่งชักช้าว่ะ” ไม่ว่าเปล่าไอ้เด็กโย่งถือวิสาสะเอามือล้วงเข้ามาในถุงกางเกงของผม ทำให้ผมตกใจจนถึงกับร้องเสียงหลง เพราะทุกคนก็ต่างรู้กันอยู่ว่ากระเป๋ากางเกงมันอยู่ใกล้กับอะไรของผู้ชาย

“ทำอะไรวะ” ผมท้วง

“อยู่นิ่งๆ ดิ๊” อีกฝ่ายดุผมกลับ นิ่งกับผีน่ะสิไอ้น่าไม่อายเอ้ย “เอานี่ได้แล้ว” ไอ้เด็กโย่งว่าพลางเอาลูกกุญแจไปไขเปิดประตูแล้วแง้มออกให้ผมเข้าไป

ผมยื่นแพ็คน้ำดื่มในมือให้อีกคนก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้อง แล้วเขาก็ค่อยๆ เดินจากไป

“ไทม์” ผมเรียกไอ้เด็กนั่นขึ้นเพื่อที่จะขอบใจ ก่อนที่จะรู้ตัวว่าผมนั้นคิดผิดไปมากแค่ไหนที่พูดคำนั้นออกมา

“มึงว่าไงนะ” ไทม์ถามขึ้นหลังจากที่หยุดเดินแล้วหันมาจ้องผมอย่างไม่วางตา

“เอ่อ...ขะ...ขอบใจนะ” ผมทำไขสือ

“ไม่ใช่เมื่อกี้กูได้ยินมึงเรียกกูว่าไทม์! ” ไทม์พูดเสียงเข้ม

“กะ...กูเปล่า”

“อย่ามาโกหก! ” อีกฝ่ายมองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง “มึงบอกกูมา มึงรู้จักชื่อกูได้ยังไง! ”
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 1 Begin Again
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-01-2021 23:54:41
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 2 สปอตไลต์ 1/2
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 30-01-2021 21:04:07
Chapter 2

สปอตไลต์


ผมอยากจะหายไปจากสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนแบบนี้ซะเหลือเกิน มันเหมือนกับอะไรที่อยู่รายรอบตัวก็ดูจะบีบคั้นผมไปหมด ทั้งอากาศที่ร้อนจนทำให้เหงื่อบนหน้าผากผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ความเงียบของยามวิกาล ที่เงียบสงัดจนอีกฝ่ายไม่มีทางจะหลุดความสนใจไปจากการรอคำตอบของผมได้ รวมทั้งสายตาดุๆ ของเขาอีก ผมคิดไม่ออกเลยว่าผมจะเอาตัวรอดไปจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร

“ตอบมาสิวะ”

“กู...กูไม่รู้”

“จะไม่รู้ได้ไงก็เมื่อกี้มึงยังเรียกชื่อกูอยู่เลย”

“กูไม่ได้เรียก” แก้ตัวน้ำขุ่นๆ

“มึงว่ากูโง่เหรอวะ” ไทม์พูดพลางเดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น แม่งไอ้เด็กเปรตนี่คุกคามกูชิบหาย

“กูบอกไปแล้วถ้ามึงไม่เชื่อก็แล้วแต่” ผมตีมึนใส่พลางจะปิดประตู แต่ไทม์ก็มิวายจะเอามือมาดันประตูไว้

“นั่นไง...ถ้าไม่มีอะไรแล้วมึงจะหนีทำไม”

“กูไม่ได้หนี กู...” ผมอ้ำอึ้งได้แต่คิดว่าทำยังไงผมถึงจะรอพ้นจากสถานการณ์นี้ไปได้ แต่ในขณะนั้นเองราวกับสวรรค์ส่งคนลงมาช่วย เพราะมีผู้หญิงสองคนกำลังเดินตรงมาทางผม “กูก็บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่งกับกูอีก”

“มึงพูดอะไรของมึงวะ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ชอบๆ ยังจะตามมาอีก” ผมพูดพลางเหลือบมองผู้หญิงสองคนที่กำลังเดินมา ว่าสิ่งที่ผมคิดไว้เป็นไปตามแผนไหม ผลก็คือเป็นไปตามอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิดผู้หญิงสองคนนั้นดูสนใจกับสถานการณ์ตรงหน้ามากพอดู

“มะ...มึงว่าไงนะ” ไทม์ทำท่าตกใจกับคำพูดของผม

“ขอร้องล่ะเข้าใจสักทีว่ากูไม่ได้ชอบมึง แล้วที่ตามมาถึงห้องแบบนี้ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ” ผมพูดพลางทำท่าเสแสร้งเป็นเสียใจกับสิ่งที่พูดออกไป

“มึงจะเล่นอะไรของมึงเนี่ย” อีกคนถามเพราะตามเกมของผมไม่ทัน

“มีอะไรให้ช่วยไหมคะ” หญิงสาวหนึ่งในสองนั้นถามด้วยท่าทางที่พร้อมจะช่วยเหลือผมอย่างเต็มที่

ไทม์หันไปมองหญิงสาวสองคนนั้น ก่อนที่จะหันมามองผมด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย บ่งบอกเป็นนัยว่าถ้าหากฆ่าคนไม่ผิดกฎหมายเขาคงบีบคอผมลงตรงนั้นแล้ว

“ไม่เป็นไรครับ” ผมบอกผู้หญิงสองคนนั้นด้วยสีหน้าเกรงใจอย่างเสแสร้งที่สุด ทำให้ไทม์มองหน้าผมอึ้งๆ ปนกับความโกรธ

บอกแล้วว่าอย่ามาเล่นกับพี่กระดูกเรามันคนละเบอร์กันไอ้น้อง

“มึง...” ไทม์ชี้หน้าผมอย่างโกรธจัด

“มึงกลับไปเถอะ แล้วอย่าแอบเข้ามาในหอกูแบบนี้อีก” ผมพูดสวนขึ้นพลางปิดประตูลง แต่ไทม์ก็ไม่ยอมง่ายและยังคงเอามือดันประตูไว้เหมือนเดิม ทำให้ผมกับไทม์ยื้อกันอยู่อย่างนั้น

“คุณคะ ฉันว่าคุณกลับไปเถอะนะคะอย่าทำแบบนี้เลย” ผู้หญิงอีกคนที่ตัวสูงกว่าพูดขึ้น

“คุณไม่รู้อะไรไม่ต้องยุ่งน่า” ไทม์ตวาดกลับไปโดยที่ไม่ไว้หน้าหญิงสาวทั้งสองคนแม้แต่น้อย ทำให้เธอตกใจกับท่าทางของไทม์

“ไม่อย่างนั้นฉันจะเรียกยาม” เธอขู่ออกมาทำให้ไทม์หันมามองหน้าผมอย่างคาดโทษ เพราะเขาก็คงจะคิดแล้วว่ามันไม่คุ้มแน่ๆ ถึงเขาจะอยู่หอนี้แต่การสร้างเสียงรบกวนคนอื่นในยามวิกาลแบบนี้การเป็นคนในหอก็คงจะไม่ช่วยอะไรมากนักไม่หนำซ้ำอาจจะทำให้ถูกไล่ออกจากหอก็เป็นได้

“ชิ” ไทม์จิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่พูดความโทษให้ผมได้ยินเพียงคนเดียว “แสบนักนะ กูฝากไว้ก่อนเถอะ”

ว่าจบไทม์ก็ถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก แล้วอุ้มเอาแพ็คน้ำดื่มก่อนที่จะเดินผ่านผู้หญิงสองคนนั้นไปพลางมองอย่างไม่เป็นมิตรนัก

เฮ้อ...ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่ไทม์ไปได้สักที

“เป็นอะไรไหมคะ” หญิงสาวทั้งสองคนถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“อะ...เอ่อ ไม่ครับ ยังไงก็ขอบคุณนะครับ” ผมตอบไปพลางยิ้มให้อย่างรู้สึกผิดที่เอาพวกเขามาเป็นไม้กันหมาบ้าแบบนี้

“อ่อไม่เป็นไรค่ะมีอะไรช่วยกันได้ก็ช่วยกัน ว่าแต่คนสมัยนี้น่ากลัวจังเลยนะคะ” ผู้หญิงคนที่ตัวสูงกว่าพูด

“คงงั้นมั้งครับ” ผมตอบไม่เต็มปากนัก เพราะมันเป็นผมซะอีกที่ดูจะเหลี่ยมจัดและร้ายกว่าไทม์มาก “อ่อ ลืมไปเลยผมชื่อนิวเยียร์นะครับเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ครับ”

“เราชื่อ มายด์ค่ะอยู่ห้องตรงข้ามกับนิวนีเองยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” มายด์บอกออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มอันสดใส ดูต่างจากคนเมื่อกี้ที่จะกินหัวไทม์เอาซะให้ได้ แต่ตอนนี้กับมีแต่ผู้หญิงที่แสนน่ารักทั้งฟันที่ขาวปิ้งจนแสบตาบวกกับผมหยักศกเป็นลอนของเธอทำให้เธอดูน่ารักขึ้นไปอีก

“แล้ว...”

“เราชื่อน้ำอิง อยู่ห้องถัดไปจากห้องนิวเยียร์นี่แหละ” เธอบอกพลางทำท่าพยักพเยิดไปทางประตูห้องของเธอ น้ำอิงดูน่ารักไม่แพ้จากมายด์เลยแต่จะดูมีความแมนมากกว่ามาก ท่าทางของเธอก็ห้าวพอตัวแต่ก็ยังคงความน่ารักไว้ได้เต็มเปี่ยม “แล้วนิวเยียร์อยู่คณะอะไร ปีไหนหรอ”

“คณะไอที เพิ่งเข้าปีหนึ่ง” ผมตอบ

“เอ่างั้นก็เป็นรุ่นน้องเราน่ะสิ เราสองคนอยู่สาสุขปีสอง” มายด์พูด

“งั้นก็ต้องเรียกพี่สินะ” ผมตอบ

“แต่ไม่รู้สึกเหมือนว่านิวเยียร์อยู่ปีหนึ่งเลยเนาะ” น้ำอิงบอก

“ความจริง...”

“ขอโทษที่เสียมารยาทนะ ซิ่วมาเหรอ” น้ำอิงส่งคำถามมาตีแสกหน้าผมเต็มๆ นี่จะบอกว่าถึงผมผ่าตัดศัลยกรรมให้ตายสุดท้ายหน้าผมก็ยังแก่อย่างนั้นนะเหรอ ใจร้ายชะมัด แต่ผมได้แต่ยิ้มให้เธอไม่ได้ตอบไป

“นั่นไงจริงด้วย” มายด์ยืนยันคำตอบ ทำไมคิดเองเออเองล่ะแม่คุณ

“คือ...” ผมก็กำลังจะแย้งแต่พวกเธอก็ไม่รอฟังคำตอบจากผม เพราะหลังจากที่พวกเธอดูนาฬิกาก็ทำท่าตกใจบอกว่าต้องรีบกลับไปอ่านหนังสือสอบ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันสอบปลายภาคของช่วงซัมเมอร์วันแรก

“ฝันดีนะนิวเยียร์” น้ำอิงบอกพลางไขกุญแจห้อง

“ฝันดีนะ” มายด์บอกขณะที่กำลังปิดประตูโดยที่มีแค่หัวของเธอโผล่ออกมา

“ฝันดี” ผมตอบพลางยิ้มเจื่อนๆ ให้พวกเธอ

ให้ตายสิ วันแรกในการเข้ามาอยู่หอของผมมันวุ่นวายชะมัด ทั้งเสียงกรี๊ด ไอ้เด็กบ้านั่นอีก แต่จะว่าไม่มีอะไรดีก็ไม่ใช่เพราะอย่างน้อยผมก็ได้เพื่อนมาตั้งสองคนแหนะ







บรรยากาศในตอนเช้าจากบนชั้นห้าของหอค่อนข้างดีทีเดียว เนื่องจากเป็นมหาลัยต่างจังหวัดธรรมชาติค่อนข้างเยอะแล้วก็ค่อนข้างอยู่ห่างจากตัวจังหวัดแต่ก็ไม่ได้ถึงกับกันดารอย่างที่คิด นอกระเบียงห้องของผมออกไป ก็จะเห็นทิวทัศน์ของทุ่งนาสีเขียวขจีดูอุดมสมบูรณ์เนื่องจากนี่เป็นฤดูฝนและช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ทำนากันจึงทำให้ ทุ่งนาดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษทั้งในตอนกลางคืนและตอนช้าวแบบนี้

นกตัวใหญ่สีขาวฝูงหนึ่งที่เกาะอยู่บนต้นไม้ห่างออกไปอยู่ในทุ่งนา ที่แทบจะไม่มีใบเริ่มขยับตัวเล็กน้อยเหมือนเป็นการวอร์มเครื่องสำหรับการเริ่มต้นใช้ชีวิตในวันใหม่อีกครั้ง ในขณะที่ต้นไม้ริมหน้าต่างของผมก็เหมือนกับเป็นตลาดเช้าขนาดย่อมๆ ของเหล่านกน้อยที่คอยแลกเปลี่ยนข่าวสารกันในยามเช้าก่อนที่จะแยกย้ายกันออกไปหาแมลงและธัญพืชเพื่อประทังความหิวในหนึ่งวันก่อนที่จะกลับมาที่รังในตอนเย็น ฟังเผินๆ มันก็เพราะดีและช่วยกระตุ้นให้เรารู้สึกตื่นตัวมากทีเดียว แต่ถ้าจะลองคิดอีกมุมหากใครที่ไม่ได้คิดตัวเองมีสุนทรียในการดื่มด่ำกับธรรมชาติเช่นนี้มันก็อาจจะน่ารำคาญจนถึงขนาดอยากจะตัดต้นไม่ทิ้งเลยก็ได้

ผมค่อยๆ ติดเข็มกลัดตราสัญลักษณ์ของมหาลัยลงไปบนเนกไทอย่างตั้งใจเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนที่จะสำรวจการแต่งตัวของตนว่ามีอะไรที่ขาดเหลือไปบ้าง แต่ก็ไร้ที่ติ ผมจึงเอานมในตู้เย็นออกมาแล้วรีบดื่มให้หมด ในขณะเดียวกันก็รีบเดินไปใส่รองเท้า แล้วรีบตรงไปที่ลิฟต์ เพราะว่าวันนี้ผมไม่อยากจะสายเนื่องจากเป็นวันปฐมนิเทศของทางมหาลัย

จะว่าไปเวลาก็ผ่านไปเร็วซะเหลือเกิน จากที่ผมขอแม่มาอยู่ล่วงหน้าถึงสิบวันแต่วันนี้กลับเป็นวันที่ห้าเข้าไปแล้วเมื่อวานก่อนผมก็เพิ่งจะไปตรวจร่างกายมาเอง แต่โชคดีที่คณะผมกับคณะแพทย์ไม่ได้ตรวจร่างกายในวันเดียวกัน พูดถึงคณะแพทย์แบบนี้ไม่ใช่ว่าผมมีประเด็นอะไรกับคนในคณะนั้นหรอกนะครับ แต่ไทม์เคยบอกว่าเขาอยากเข้าคณะนี้ ผมลองเอาชื่อของเขาไปเช็คดูสรุปเด็กนั่นมันก็ทำได้อย่างที่เคยพูดไว้จริงๆ และเนื่องจากคณะผมกับคณะของไทม์ตรวจร่างกายกันคนละวัน ผมก็เลยหลีกเลี่ยงและลดโอกาสในการเจอไทม์แบบบังเอิญลงไปได้ ถึงแม้ว่าการอยู่หอเดียวกันกับเขาจะเสี่ยงมากก็ตาม

แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่มีกลยุทธ์ในการใช้ชีวิตใหม่ที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้หรอกนะครับ เพราะผมเลือกที่จะออกไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อมาตุนไว้ในห้อง ช่วงตีห้าเท่านั้นเพราะผมมั่นใจว่าไทม์จะยังไม่ตื่นแน่ๆ ซึ่งผมก็คิดถูกซะด้วย เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่เด็กนักศึกษาใหม่ที่ไม่มีเรียนในคาบเช้าจะต้องแหกขี้ตาขึ้นมาตอนตีห้า และตลอดทั้งวันผมก็จะใช้เวลาตีพุง เปิดแอร์เย็นๆ หาอะไรอ่านไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งจะว่าไปก็เสียดายเวลาชิปเป๋งเลยทั้งที่ผมควรจะได้มาสำรวจสถานที่ก่อนเรียนแท้ๆ

ผมค่อยมองไฟสีส้มที่แสดงตัวเลขว่าตอนนี้ผมอยู่ชั้นไหนก่อนที่เสียง ติ๊ง จะดังขึ้นแล้วลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้นสามราวกับภาพสโลว์โมชั่น พร้อมกับคนตรงหน้าที่ยืนรอลิฟต์อยู่เราต่างคนต่างก็มองหน้าประสานสายตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ ไวเท่าความคิดผมรีบเอื้อมมือไปกดที่ปุ่มปิดประตูลิฟต์ทันที แต่ก็ดูเหมือนว่าจะสายเกินไปอีกฝ่ายเอาเท้าเข้ามาขวางประตูลิฟต์ไว้ได้ทันพร้อมกับมองหน้าผมด้วยรอยยิ้มที่สยดสยองที่สุด

“งะ...ไง” ผมทักออกไปเสียงเจื่อนๆ

“ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ” ไทม์พูดออกมาเสียงเย็นๆ

“มึงมาทำอะไรตึกซีเหรอ” ผมถามออกไปไม่อยากให้สถานการณ์มันตึงเครียดนัก เพราะลำพังต้องมาอยู่ใกล้ไอ้เด็กไทม์นี่ผมก็กลัวความลับแตกจะแย่อยู่แล้ว

“ไม่รู้สิ ก็กูชอบมึงหนิ กูคงมาถ้ำมองมึงมั้ง”

เฮี้ยแล้วไงละไอ้นิวเยียร์เอ้ย “ฮ่าๆๆๆๆ ” หัวเราะกลบเกลื่อนให้กับสถานการณ์ข้างหน้าผมตอนนี้ ไม่น่าเลยผมไม่น่าไปทำให้มายด์กับน้ำอินคิดว่ามันเป็นโรคจิตตามจีบผมเลย มันต้องแค้นผมมากแน่ๆ “เอ่อ...กูขอโทษ” ผมพูดออกมาอย่างรู้สึกจนมุม

“เรื่องอะไร” ไทม์ถามเสียงเรียบ

“ก็เรื่องวันนั้นไง...ที่กูว่ามึงเป็นโรคจิตอะ” ผมพูดเสียงคำสุดท้ายเบาแทบจะไม่ได้ยินพลางก้มหน้าขอให้ลิฟต์เปิดออกสักที

“ไม่ต้องขอโทษหรอก กูไม่ได้คิดเรื่องนั้นแล้ว” ไทม์พูดพลางหันหน้ามาทางผมพร้อมขยับตัวเขามาใกล้ ทำให้ร่างกายยักษ์ๆ ของมันค่อยบดบังแสงสีนีออนในลิฟต์พร้อมกับทิ้งเงาสีดำจากตัวของมันให้ค่อยๆ ปกคลุมแล้วไล่แสงสว่างที่ทาบทับอยู่บนตัวผมให้หายไปอย่างน่ากลัว พลางขยับหน้าของมันเข้ามาใกล้ผมจนผมต้องเบือนหน้าหนี “ไม่แน่นะกูอาจจะเป็นโรคจิตจริงๆ ก็ได้ กูว่ามึงระวังตัวไว้ดีๆ แล้วกัน” ลมอุ่นๆ จากปากของมันโลมเลียใบหูของทำให้ให้ผมถึงกับขนลุกซู่ให้กับคำพูดที่แฝงนัยของมัน

ติ๊ง!

เสียงลิฟต์ดังขึ้นราวกับเสียงเตือนให้อีกคนหยุดการกระทำที่กำลังคุกคามผมอยู่ในตอนนี้ลงซะก่อนที่คนข้างนอกจะเห็น ไทม์มองผมไม่วางตาด้วยสายตาที่ไม่น่าไว้ใจนัก ก่อนที่จะผละออกจากผมไปในจังหวะเดียวกันกับที่ประตูลิฟต์เปิดออกพอดี หน้าลิฟต์มีตนยืนรออยู่สองสามคน ซึ่งตอนนี้กำลังมองมาที่ผมที่มีท่าทางกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด ผมเลยตัดสินใจรีบแทรกตัวออกมาจากลิฟต์ในทันทีโดยที่ไม่หันหลังกลับไปมองใครอีกคนที่ลงลิฟต์มาพร้อมกับผมด้วยซ้ำไป แล้วก็เหมือนจะโชคดีที่เขาไม่ใช่พวกขี้ตื๊อจนถึงขนาดจะต้องตามมาเอาความจริงหรืออะไรที่ค้างคาใจเขาจากผม






หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 2 สปอตไลต์
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 30-01-2021 22:47:54
 :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 2 สปอตไลต์
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-01-2021 01:09:00
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 2 สปอตไลต์
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 31-01-2021 10:53:54
 :mew5: ฉันได้เจอเรื่องที่อยากอ่านแล้ว    ปักหมุดรอ
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 2 สปอตไลต์ 2/2
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 31-01-2021 19:52:22
Chapter 2 
สปอตไลต์ 2/2



หลังจากที่มาถึงคณะผมก็รีบขึ้นรถแล้วตรงไปที่หอประชุมรวมของทางมหาลัยทันที งานปฐมนิเทศในครั้งนี้ค่อนข้างทำดีพอสมควร ทั้งการเปิดตัวด้วยวงนักร้องประสานเสียงของทางมหาลัยซึ่งประเดิมเพลงแรกด้วยเพลงที่กำลังฮิตที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เพลงมาร์ชของมหาลัยแต่อย่างใด เพราะต้องเปิดใหญ่ปิดใหญ่จะได้สร้างความประทับใจให้นิสิตอย่างถึงที่สุด ก่อนที่จะแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ และการติดต่องานหรือใช้บริการสถานที่เหล่านั้น อย่างกองทะเบียน องค์กรนิสิต สำนักงานอธิการ ห้องสมุด โรงหนัง ตึกคอม ตึกเรียนรวม และหลายๆ ที่ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคณะใด ซึ่งทั้งหมดให้บริการฟรี ทั้งนี้ยังมีการแจกของตลอดรายการ ก่อนที่จะปิดจบด้วยการที่คณบดีมาพูดอะไรนิดหน่อยแล้วตามด้วยการถ่ายภาพร่วมกับ นิสิตจากบนเวทีแล้วก็ปิดงาน

หลังจากที่กลับจากหอประชุมรวมผมก็มาอยู่ที่ห้องโถงชั้นสองของคณะเพราะในวันเดียวกันนั้นก็มีการจัดงานปฐมนิเทศของคณะเช่นกันโดยที่จะให้แบ่งกันนั่งตามสาขาของตัวเองซึ่งในคณะของผมจะมีอยู่ทั้งหมด ห้าสาขา ได้แก่

สาขาแรกสาขาIT (Information Technology) หรือเรียกเป็นชื่อภาษาไทยก็คือ สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งถ้าพูดถึงคณะit ก็ต้องนึกถึงสาขานี้อยู่แล้วแต่พวกเขาไม่ได้เรียนเกี่ยวกับการซ่อมคอมหรอกนะครับ เพราะส่วนมากเขาจะเรียนเกี่ยวกับ การเขียนโปรแกรมระบบต่างๆ การเขียนโปรแกรมภาษาC,C++,java scipt,C#,php การจัดการระบบสารสนเทศ และการพัฒนาเว็บไซต์ อาชีพส่วนมากก็จะเป็นนักโปรแกรมเมอร์ งานพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้พัฒนาเว็บไซต์ ฯลฯ

สาขาที่สองสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์หรือคนในคณะจะเรียกกันว่า CS (COMPUTER SCIENCE) ซึ่งสาขานี้จะเรียนเกี่ยวกับ การพัฒนา ออกแบบและประยุกต์โปรแกรมคอมพิวเตอร์ สาขานี้จุดแข็งของพวกเขาจะอยู่ที่การเขียนโปรแกรม ก่อนที่จะส่งโปรแกรมให้คนอื่น (นักพัฒนาระบบ) ไปต่อยอดอีกที คือเรียกได้ว่าสาขานี้เขียนโปรแกรมเก่งจนแทบจะคุยกันเป็นภาษา C,C++,java scipt,C#,phpและ ASP.netเลยทีเดียว (แต่ก็เสี่ยงประสาทจะแดกเหมือนกัน) ซึ่งคนที่จบมาส่วนมากก็จะไปทำงานเป็นนักโปรแกรมเมอร์ วิศวกรซอฟต์แวร์หรือแม้แต่นักการตลาดดิจิทัลและออกแบบ ฯลฯ

สาขาต่อมาสารสนเทศศาสตร์ หรือIS (Information Science) จะเน้นเรียนเกี่ยวกับ การจัดการข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ การออกแบบสื่อและการจัดการระบบทรัพยากรสารสนเทศ (ซึ่งสาขานี้จะเรียนของทุกสาขาแบบแทบครอบจักรวาลแต่ไม่ได้เจาะลึก) ซึ่งงานส่วนมากของคนสาขานี้ที่นิยมทำกันก็ จะเป็น นักสารสนเทศ นักออกแบบระบบสารสนเทศ (เช่นระบบห้องสมุด) แม้กระทั่งบรรณารักษ์ ฯลฯ

อีกหนึ่งสาขาที่น่าสนใจก็คือสาขา ภูมิสารสนเทศหรือGIS (Geo-Informatics) หากจะถามแบบกวนๆ ว่าGIS เกี่ยวอะไรกับ GPS ไหม ผมก็คงต้องตอบว่าไม่เชิง เพราะสาขานี้จะเรียนเกี่ยวกับ ภูมิศาสตร์ การสำรวจข้อมูลจากทางระยะไกล หาค่าพิกัดบนพื้นโลกเพื่อสร้างแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ (โดยใช้ดาวเทียม) ซึ่งก็จะทำงานเกี่ยวกับ พนักงานรังวัดและสำรวจ พนักงานถ่ายภาพทางอากาศหรือภาพถ่ายดาวเทียม เจ้าหน้าที่GIS ฯลฯ

สาขาสุดท้ายผมล่ะอยากให้ทุกคนทำเสียงดนตรี แท้ม ทา ดา แท้ม แท่ม แทม แท่ม แทม แท้ม ซะจริงๆ เพราะมันคือสาขาของผมเอง

สาขา CMD (Creative Media) ชื่อภาษาไทยของมันน่ะหรือผมอยากให้ลืมๆ ไปซะก่อนจะดีกว่าเพราะมันเชยเอาซะมากๆ ผมอยากให้คุณแปลแบบตายตัวไปเลยว่าสื่อสร้างสรรค์ หรือที่เรียกกันว่าสาขาครีเอทีฟ ส่วนใหญ่เราจะเรียนเกี่ยวกับการสร้างสรรค์สื่อต่างๆ ตั้งแต่แอนิเมชั่นและเกมสองมิติยันสามมิติ รวมถึงเขียนบท ทำสตอรี่บอร์ด สกรีนเพลย์ การสร้างภาพยนตร์และโฆษณา รวมทั้งงานออกแบบ ตั้งแต่ปกนิยายจนถึงโลโก้ของแบรนด์สินค้า เรียกได้ว่าค่อนข้างหลากหลาย แต่จะเน้นไปทางการผลิตสื่อและวิชวลเอฟเฟคมากกว่าการพัฒนาด้านitซะอีก

อย่างที่ทุกคนเห็นนั่นแหละครับว่าไม่มีสาขาไหนเลยที่เรียนเกี่ยวกับการซ่อมคอมเลยเพราะพวกเราเรียนเกี่ยวกับระบบและการพัฒนางานต่างๆ เกี่ยวกับสายไอทีเท่านั้น เพราะฉะนั้นหลังจากนี้ได้โปรดบอกกับคนที่คิดว่าเรียนไอทีจบมาจะมาเปิดร้านเกมหรือซ้อมคอมทีว่าไม่ใช่โว้ยยยย

การที่ผมเลือกที่จะเบนสายเรียนจากสายวิทย์มาเป็นสายผลิตสื่อขนาดนี้ผมก็ไม่ได้คิดแค่อยากจะหาอะไรใหม่ทำหรอกนะครับ แต่ผมเพิ่งจะตระหนักได้ว่าสื่อมีผลกระทบต่อชีวิตของคนแค่ไหน ถึงแม้ไม่ใช่โดยตรงก็จะโดยทางอ้อม ที่สื่อส่งผลต่อคนรอบตัวเราแล้วค่อยมาถึงเราอีกที่หนึ่ง ซึ่งจะเห็นได้จาก คำพูดฮิตติดปากของคนทั่วไปที่ได้มาจากซีรี่ส์ หรือแม้แต่ทัศนคติของคนในสังคมที่ได้รับจากทั้งสื่อกระแสหลักและกระแสรองที่อยู่ในคนเฉพาะกลุ่ม แต่มันกลับสามารถหล่อหลอม และสร้างจิตสำนึกให้คนคนหนึ่งไม่ว่าจะทางดีหรือทางไม่ดีได้อย่างละมุนละม่อมและแนบเนียนซะจนเราไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ พอมาดูตัวเองอีกทีเราก็กลายเป็นสิ่งที่สื่อหล่อหลอมขึ้นมาซะแล้ว

ประเด็นมันอยู่ที่ว่าแล้วถ้าหากผมได้เป็นผู้กุมบังเหียนสื่อกระแสหลักบ้างล่ะ ผมจะสามารถพาสังคมไปในแบบที่ผมฝันได้ไหม สังคมที่แม้ว่าคุณจะมีหน้าตาแบบไหนมีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างไร คุณก็ยังจะเป็นคนปกติแล้วใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนอะไรในตัวเองเลย ผมจะทำให้คนอื่นเห็นคนเหล่านี้เป็นคนปกติได้หรือเปล่า นั่นแหละคือสิ่งที่ผมคิด

งานปฐมนิเทศดำเนินไปตามอย่างที่มันเป็นมาตลอด ประธานกล่าวเปิดงาน แล้วตามด้วยเรื่องราวที่ส่วนมากจะเป็นการพูดคุยทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียน พร้อมกับแจกคู่มือประจำสาขาวิชาแล้วก็คู่มือนักศึกษาที่มีข้อมูลตั้งแต่การรับปริญญาจนถึงการหมดสภาพนิสิตเลยทีเดียว

หลังจากพาร์ทของความจริงจังและเป็นทางการผ่านไปก็มีนิสิตชายหญิงสองคนเดินขึ้นมาบนเวทีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เป็นไงกันบ้างคะ สำลักความรู้กันไปพอหรือยัง” ผู้หญิงคนที่เดินขึ้นเวทีเมื่อสักครู่ถามขึ้นด้วยท่าทีล้อเลียนและดูตื่นเต้นอย่างผิดธรรมชาติซึ่งทำให้เธอดูตลกมากทีเดียว และนั่นทำให้คนทั้งโถงชั้นสองหัวเราะขึ้น

“แล้วพวกเธอคือใครเนี่ย” ผู้หญิงร่างท้วมที่ใส่เสื้อสตาฟถามโพล่งออกมาอย่างไม่คิดจะเกรงใจทั้งสองคนที่อยู่บนเวที ราวกับตระเตรียมกันมาซะดิบดี

“เอาพี่เรายังไม่ได้แนะนำตัวเลยหนิ” ผู้ชายคนที่เดินขึ้นมาคู่กันพูดขึ้น

“เออใช่” เธอพูดพลางทำท่าทางเหมือนกับจะแปลงร่างตรงนี้ซะให้ได้ “ถ้าถามว่าพวกเราคือใครล่ะก็...”

“พวกเราก็พร้อมที่จะแถลงไข” ผู้ชายที่อยู่บนเวทีพูดออกมาพลางโพสต์ท่าแล้วเสยผม ในแบบที่เขาคิดว่ามันเท่ที่สุด

“เพื่อปกป้องไม่ให้โลกถูกทำลาย”

“เพื่อปกป้องสันติสุขของโลก”

“เผยความชั่วแห่งสัจธรรมและความรัก” ผู้หญิงคนนั้นพูดพลางวาดมือไปมากลางอากาศแล้วผายออกมาด้านหน้าของเธอ

“รุ่นพี่ผู้แสนน่ารักและทรงเสน่ห์” ชายคนนั้นว่าพลางเปลี่ยนท่าบ้าง

“เอ้ ปีสอง” ผู้ชายพูดชื่อของเขาออกมาพลางโพสต์ท่าเอามือทาบที่หน้าผากด้วยสีหน้าที่คิดว่าคนที่เห็นจะต้องตะลึงแน่ๆ

“ปุ๋ย ปีสาม” ผู้หญิงคนนั้นพูดพลางนั่งลงแล้วกางมือออกไปหนึ่งข้างส่วนอีกข้างก็แตะที่พื้นไว้เหมือนกับกำลังจะออกวิ่ง

“เราสองคนคือแก๊งร็อตไวเลอร์แห่งคณะไอที” ผู้หญิงที่ชื่อปุ๋ยพูดพลางลุกขึ้นท้าวสะเอว

“ไวท์โฮลพรุ่งนี้ที่สดใสรอเราอยู่” ผู้ชายที่ชื่อว่าเอ้พูดปิดอย่างอลังการงานช้าง แต่คนที่นั่งอยู่ข้างล่างกลับได้แต่อ้าปากค้าง ไม่มีเสียงใดๆ ออกมาให้กับความเล่นใหญ่ของทั้งสองคน

“อ้าว...ปรบมือสิคะรออะไร” ผู้หญิงร่างท้วมคนเดิมพูดขึ้นเรียกสติของทุกคนก่อนที่เสียงปรบมือจะดังขึ้น

หลังจากที่แก๊งร็อตไวเลอร์แนะนำตัวเสร็จก็ตามมาด้วยคณะสันทนาการซึ่งส่วนมากจะเป็นสโมสรนิสิตประจำคณะ ที่ออกมากระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน ประเดิมด้วยเพลงที่คลาสสิคที่สุดอย่างไก่อย่าง ตามด้วยทะเลแสนงาน ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเพลงนกกระยาง ซึ่งการเต้นที่ทรงพลังซึ่งส่วนมากจะเน้นไปที่เอวของพวกเขาเป็นหลัก ทำให้หลายคนถึงกับหอบเลยทีเดียว แต่การเต้นที่เน้นใช้เอวเป็นหลักสำหรับรุ่นพี่ที่หน้าตาดีเป็นพิเศษก็เหมือนจะเอารุ่นน้องบางกลุ่มอยู่หมัดเลยทีเดียว

“อ่าวๆ ... ถึงกับอ้าปากค้างไปเลยละสิ เจอสันทนาการของเราเข้าไป ส่วนมากคงมองแต่พี่บูมกันใช่ไหม” ปุ๋ยคงหมายถึงผู้ชายที่หล่อที่สุดในคณะสันทนาการละมั้ง เพราะผมเห็นผู้ชายคนนั้นเอามือลูบคออายๆ เมื่อปุ๋ยเอ่ยชื่อขึ้น พลางหันหน้าไปหาแก๊งสาวๆ ที่มีทั้งสาวแท้สาวเทียมนั่งบิดกันไปมาทำท่าขวยเขินอย่างไม่สมจริงนัก แต่นั่นก็สร้างรอยยิ้มให้กับผมได้ดีทีเดียว ไม่ใช่เพราะผมชอบพวกเธอแบบชู้สาวหรอกนะครับ แต่เพราะพวกเธอดูน่ารักและสดใสดีต่างหาก บางคนถึงจะเป็นสาวสองแต่กับมีหุ่น รูปร่าง และหน้าตาไม่ได้แตกต่างหรือน้อยหน้าไปจากผู้หญิงเลย แม้ว่าพวกเธอจะผมสั้นก็ตาม “ระวังนะคะพี่เขามีแฟนแล้วแฟนดุด้วย”

“ไม่มีครับ ไม่มี” คนที่ถูกพาดพิงรีบปฏิเสธพลางโบกไม้โบกมือเป็นพันละวัน ทำให้สาวๆ พากันกรี๊ดให้กับท่าทางของเขากันยกใหญ่

นั่นไงผมคิดแล้วว่าต้องเป็นคนนี้ แล้วก็ใช่จริงๆ ด้วย เพราะคนที่ชื่อบูมเขาค่อนข้างที่จะตัวสูงน่าจะซัก180ซม. ได้แล้วเขาก็หน้าตาดีมากทีเดียว แถมยังแต่งตัวดีอีกต่างหาก

“ทุกคนพอก่อนครับจะไปกรี๊ดอะไรบูมกันนักหนาพระเอกตัวจริงอยู่นี่” เอ้พูดขึ้นด้วยความมั่นอกมั่นใจแต่เหมือนว่าเสียงที่เขาได้รับกลับมา กลับไม่ใช่เสียงแบบที่มีให้กับบูมผมให้คุณเดาเอาเองแล้วกันนะครับว่าเป็นเสียงแบบไหนแล้วผมก็คิดว่าคุณต้องเดาถูก “โอโห...ไม่ค่อยลำเอียงเลยเนาะ” เสียงหัวเราะของทุกคนดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับความสนใจของทุกคนที่ตอนนี้กลับไปอยู่กับทั้งสองคนบนเวทีอีกครั้ง

“พอๆ เอ้อย่างเราอย่าคิดไปเทียบกับเขาให้เจ็บเลย” ปุ๋ยพูด ในขณะที่เอ้ทำท่าทางเหมือนโดนมีดปักลงกลางอกจริงๆ ให้ตายเถอะสองคนนี้เข้าขากันดีชะมัด “เพื่อไม่ให้เสียเวลาเรามาเล่นเกมกันดีกว่า สตาฟส่งอุปกรณ์ให้น้องด้วยค่ะ” ปุ๋ยบอกพร้อมกับสตาฟที่รีบส่งกระป๋องแป้งสองสามกระป๋องให้คนที่อยู่รอบนอกอย่างกระฉับกระเฉง

“แล้วเกมที่เราจะเล่นคือเกมอะไรครับพี่ปุ๋ย” เอ้ถามท่าทางตื่นเต้น

เฮ้อ...ให้ตายเถอะเดาไม่ออกเลยจริงๆ ว่ามันจะเป็นเกมที่เปิดเพลงไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อเพลงหยุดขวดอยู่กับใครคนนั้นก็จะโดนลงโทษ ได้โปรดใครก็ได้ช่วยเฉลยทีผมเดาไม่ออกแล้วครับ

“เกมของเราชื่อว่าเกมกระป๋องกับเพื่อนใหม่ค่ะ ก็คือพี่จะเปิดเพลงแล้วให้น้องส่งกระป๋องแป้งไปเรื่อยๆ ...”

นั่นไงผมว่าแล้ว และผมพนันได้เลยว่าคำต่อไปที่เธอจะพูดคุณคงท่องตามได้โดยที่ไม่ต้องฟังเสียงของเธอด้วยซ้ำ

“แล้วเมื่อเพลงหยุดกระป๋องอยู่ที่ใครพี่ก็จะให้คนนั้นแนะนำตัว โดยบอกชื่อจริง ชื่อเล่น สาขา แล้วก็โพสต์ท่าประจำตัวอีกหนึ่งท่าเพื่อให้เพื่อนๆ ต่างสาขาจดจำเราได้ไปนานๆ น้องว่าน่าสนุกไหมคะ” ปุ๋ยถาม

คำตอบของทุกคนแทบจะเป็นเอกฉันท์ว่า “ไม่!”

“ดีเลยครับงั้นเรามาเริ่มเล่นกันดีกว่า” เอ้บอกด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความสุขอย่างมากกับคำตอบที่ได้ แล้วจะถามพวกผมทำไมตั้งแต่แรกล่ะครับบบบบ

เพลงจังหว่ะสนุกสนานเริ่มดังขึ้นพร้อมกับทุกคน ที่ส่งกระป๋องแป้งด้วยความเร่งรีบราวกับจับมันเผาร้อนๆ อยู่ในมือ หรือจะเรียกอีกอย่างว่าแทบจะโยนซะให้ได้ รวมถึงผมก็เช่นกันที่เมื่อกระป๋องแป้งมาถึงก็รีบส่งต่ออย่างไวเหมือนกัน จนเพลงในรอบแรกหยุดลง มีเพื่อนผู้หญิงสองคนกับผู้ชายหนึ่งคนยืนขึ้นท่าทางตื่นเต้นอย่างถึงที่สุดในขณะที่รับไมจากสตาฟมาถือไว้ในมือ

ผู้หญิงคนแรกเธอบอกว่าเธอชื่อน้ำฝนมาจากสาขาIS ทันทีที่แนะนำตัวเสร็จก็โพสต์ท่าเก้ๆ กังๆ แต่ก็น่ารักดีหลังจากนั้นเธอก็รีบนั่งลงกับเก้าอี้ทันที คนที่สองชื่ออะไรผมจำไม่ได้แต่จำได้ว่าอยู่สาขาIT แล้วผู้ชายเพียงคนเดียวของอเขาอยู่สาขาCS

เพลงในรอบที่สองเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคนที่ถือกระป๋องแป้งที่ทำท่าทีแทบจะเหมือนเดิมคือเอามันออกห่างจากตัวให้เร็วที่สุด แต่ดูเหมือนท่าทางประหม่าของทั้งสามคนเมื่อกี้ จะทำให้พวกเราหวาดกลัวมันมากขึ้นเมื่อเทียบกับตอนแรกที่ส่งต่อมันออกไปเหมือนมันเผาร้อนๆ แต่ตอนนี้กลับส่งต่อเหมือนกับพวกเขากำลังอุ้มลูกมังกรที่กำลังหัดพ้นไฟอยู่ก็ไม่ปาน แล้วเมื่อเพลงหยุดลงที่ผมก็ได้ยินเสียงครางโหยหวนออกมาจากด้านข้างของผมห่างออกไปประมาณสามคนได้เป็นเด็กผู้หญิงใส่แว่น คนหนึ่งที่ดูเป็นคนค่อนข้างจะโลกส่วนตัวสูงเพราะตั้งแต่มานั่งในแถวผมก็เห็นเธอเอาแต่ก้มหน้า ในขณะเดียวกันเธอก็กำลังลุกขึ้นช้าๆ และดูจากสีหน้าน่าแล้วไม่น่าจะเต็มใจนัก

เสียงแรกที่ได้ยินหลังจากที่ทั้งสามคนยืนขึ้นครบแล้ว คือเสียงของเด็กผู้ชายอีกคนที่ชื่อบอยสาขาIT เขาคงจะเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองพอดู ทั้งน้ำเสียงที่หนักแน่น ท่าทางทะมัดทะแมง แล้วก็ท่าโพสต์ปิดท้ายที่เหมือนกับจะมาหาเสียงนี่อีก ผมคงไม่ต้องเดาหร็อกว่าประธานสโมคนปัจจุบันจะเลือกคายตะขาบให้ใครถ้าเจ้าตัวยอม

เสียงที่สองที่ดังขึ้นเป็นของสาวสองที่ชื่อเจนนี่จากสาขาIS เธอดูมีความมั่นใจและสดใสเอามากๆ มากกว่าผู้หญิงสองคนแรกที่แนะนำตัวซะอีก ทั้งผมที่กำลังเริ่มยาวกับสไตล์การแต่งหน้าของเธอก็รับกันอย่างเหมาะเจาะ ก่อนที่เธอจะปิดท้ายด้วยการโปรยเสน่ห์ให้หนุ่มราวกับ มิแรนด้า เคอร์ ตอนเดินแบบให้วิคตอเรียซีเคร็ตก็ไม่ปาน ทำให้มีเสียงเชียร์เธอตามมาอย่างล้นหลาม

แล้วคนสุดท้ายของรอบนี้สาวแว่นที่ผมบอก เธอเอาแต่ก้มหน้า แล้วเริ่มเอาไมโครโฟนจ่อปากตัวเองแล้วก็พูดงึมงำออกมาราวกับว่าเสียงของเธอกำลังวิ่งกลับเข้าไปในกล่องเสียงแล้วปิดฝากล่องทันทีที่มันทำได้ หลังจากนั้นมันก็ไม่ยอมออกมาอีกเลย

“น้องว่าอะไรนะคะ” ปุ๋ยถามเพื่อต้องการให้เธอพูดเสียงดังมากขึ้นซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เธอประหม่าเข้าไปใหญ่ ผมว่าจากที่เธอดูจะโลกส่วนตัวสูงแล้วสิ่งที่กำลังเกิดกับเธออยู่นี่ยิ่งทำให้เธอน่าสงสารเข้าไปใหญ่ ผมว่าผมเข้าใจเธอนะเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบอยู่ในแสงสปอตไลต์ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอคงจะกดดันแล้วก็กลัวเอาซะมากๆ ที่ทุกคนต่างพากันมองมาที่เธอเป็นตาเดียวแบบนี้ ก่อนที่เธอจะรีบพูดเสียงดังขึ้นแต่ก็ยังฟังไม่ค่อยชัดอยู่ดีจับใจความได้แค่ว่า เธอชื่อทรายอยู่สาขาGIS ก่อนที่จะโพสต์ท่าที่ผมไม่แน่ใจว่าใช้ท่าโพสต์ไหมเพราะเธอหมวกขึ้นมาคลุมบนหัวแล้วก็นั่งลงเลย “เอ่อ...โอเคค่ะนี่ก็ได้รู้จักเพื่อนกันแล้วเนาะ เป็นไงกันบ้านเพื่อนน่ารักกันใช่ไหมล่ะ” ปุ๋ยพูดเพื่อให้กิจกรรมดำเนินต่อไปได้

“แต่พี่ปุ๋ยครับ ตอนนี้มีสาขานึงที่ยังไม่มีคนได้แนะนำตัวเลยนำครับ” เอ้บอก

“สาขาอะไรคะ” ปุ๋ยทำท่าสนใจเป็นพิเศษ

“ก็สาขาCMD ไงล่ะครับ”

“อ๋อไม่ต้องห่วงค่ะน้องเอ้ พี่รับรองค่ะว่ารอบนี้ไม่พลาดแน่” ปุ๋ยพูดพลางมองมายังโซนสาขาของพวกผมซึ่งทำให้ผมร้อนๆ หนาวๆ พอดูแต่ก็คงจะไม่น่าเป็นห่วงอะไรเพราะจากตรงนี้กระป๋องแป้งห่างจากผมไปแค่สามคนยังไงผมก็ต้องส่งต่อมันทันแน่ๆ “งั้นมิวสิค”

ดนตรีเริ่มขึ้นพร้อมกับคนที่อยู่ข้างตัวผมที่ส่งกระป๋องแป้งมาอย่างเร็วก่อนที่จะมาถึงตัวผมแล้วทันใดนั้นเพลงก็หยุดลงทันที ให้ตายเถอะนี่มันอะไรกันครับเนี้ย นี่เปิดเพลงหรืออะไรกันแน่ตดยังไม่ทันหายเหม็นเลยจบซะแล้ว

“อ้าว ลุกขึ้นเลยครับ” เอ้เร้าให้พวกผมลุกขึ้น

“โหCMDเหนียวเหมือนกันนะคะเนี้ย มีแค่คนเดียวเอง” ปุ๋ยบอกเป็นเชิงเหย้าหยอก

ผมค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนกับหายใจไม่ทั่วท้อง ราวกับว่าแต่ละครั้งที่ผมยืดตัวสูงขึ้นเท่าไห้ออกซิเจนก็จะค่อยๆ ลดลงเท่านั้น ทุกคนต่างพากันมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ผมไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรเพราะผมไม่เคยที่จะต้องมายืนท่ามกลางคนมากมายแบบนี้ ความจริงก็มีแค่ครั้งเดียวในชีวิตแต่หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยทำมันอีกเลย ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนจะอาเจียนซะให้ได้

“สะวัสดีครับ...” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งแนะนำตัวขึ้นแต่ผมก็ทำได้แค่รู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นสาขาไหนเพราะหูของผมมันดูจะอื้อไปหมด เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงเครื่องวัดชีพจรที่บอกว่าตอนนี้หัวใจของคนไข้ได้หยุดเต้นแล้ว เมื่อเห็นหลายๆ คนไม่ยอมหันไปมองผู้ชายคนที่กำลังพูดอยู่ซ้ำทั้งยังมองผมแล้วหันหน้าไปคุยกันอีก ผมก็ยิ่งกระวนกระวายเข้าไปใหญ่

“สวัสดีค่ะ...” ผมไม่รู้ว่าเจ้าเสียงทุ้มนี่เป็นใครชายหรือหญิง แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้คือเสียงนี้ดังขึ้นหลังจากที่เสียงปรบมือในครั้งแรกเงียบลง แล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าอีกไม่นานจะถึงคราวของผมแล้ว ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกับเครื่องในของผมถูกปั่นด้วยเครื่องซักผ้าอยู่อย่างไงอย่างงั้น ผมแทบจะอ้วกออกมาให้ได้ก่อนที่เสียงปรบมืออีกครั้งจะดังขึ้น แล้วผมก็ต้องตื่นจากภวังค์เมื่อมีคนมาสะกิดแล้วยื่นไมค์ให้

“เอาล่ะค่ะมาถึงหนุ่มCMD เพียงคนเดียวของเรา” ปุ๋ยพูดเปรย เลยทำให้มีหลายคนผิวปากแล้วกรี๊ดเบาๆ ออกมาซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามันดีไหม ผมได้แต่ยืนกำไมค์ที่อยู่ในมือแน่นจนเหงื่อออก “น้องคะ”

“คะ...ครับ” ผมตอบเธอสั่นๆ ในขณะเดียวกันขาของผมก็สั่นพับเหมือนกับข้างล่างเท้ามีแผ่นดินไหวขนาดย่อมๆ เกิดขึ้น

“พร้อมแล้วแนะนำตัวเลยค่ะ”

“เอ่อ...ครับ” ผมตอบ ก่อนที่จะพูดออกไปให้เสียงไม่เบาเกินไปนักเพราะเรียนรู้จากสาวแว่นคนนั้นแล้วว่าถ้าไม่อยากถูกจ้องนานๆ ก็ต้องรีบทำทุกอย่างให้จบภายในครั้งเดียว “ผมชื่อ อตร ณฤมล ครับ ชะ ชื่อเล่นชื่อนิวเยียร์” ผมสูดหายใจเข้าไปให้เต็มปอด เพราะเหมือนผมจะหายใจไม่ทัน แล้วเป็นลมซะให้ได้ก่อนที่จะพูดต่อ “สาขาCMDครับ” คำสุดท้ายจบลง ผมรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับยกภูเขาออกจากอกหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าจะบอกว่าเหมือนกลับโผล่ขึ้นมาจากน้ำหลังจากที่มุดลงไปนานเกือบหนึ่งนาทีน่าจะใกล้เคียงสิ่งที่ผมรู้สึกมากที่สุด ผมทำท่าจะนั่งลงกับเก้าอี้ก็ไม่วายโดยเรียกอีกครั้ง

“น้องครับ” เอ้เรียก

“ครับ” ผมขานรับ

“คือน้องลืมอะไรไปอย่างหนึ่ง”

“อะไรเหรอครับ” ผมถามพลางหัวใจเต้นแรงอีกครั้งให้กับคำพูดของเอ้

กูจะโดนอะไรไหมวะ

“คือน้องลืมท่าโพสต์น่ะครับ”

โถ่เอ้ยพ่อคุณ ยังอุตส่าห์จำได้อีกเนาะ ผมคิดอะไรไม่ออกเลยตอนนั้นเพราะไม่ใช่คนชอบถ่ายรูป ผมหมายถึงที่ผ่านมากับหน้าตาแบบนั้นน่ะครับ ผมไม่คิดแม้แต่จะส่องกระจก แล้วตอนนี้จะให้โพสต์ท่า ให้ตายเถอะยิงผมเลยยังจะดีกว่า แต่ถ้าผมตายคงจะไม่มีใครเลี้ยงพ่อแม่ ผมก็เลยจำใจทำท่าที่น่าจะสาธารณ์ที่สุดอย่างการยกนิ้วขึ้นมาสองนิ้วแล้วทาบลงบนตาแล้วหลับตาลงหนึ่งครั้งให้เหมือนกับมีเสียงดัง ‘ปิ้ง’ เกิดขึ้น

พร้อมกันนั้นผมก็ได้ยินเสียงผู้หญิงทำเสียงแหลมดัง ‘ฮืออออ’ ยาวๆ ออกทางจมูก แล้วก็เสียงถอนหายใจหนักๆ ของผู้ชาย แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยทุกคนต่างพากันเงียบ ทิ้งให้ผมต้องยืนคิดเอาเองว่ามันดีหรือไม่ ซึ่งผมคิดได้ว่าถ้าทุกคนจะเงียบขนาดนี้ก็คงจะเป็นคำว่า ‘ไม่’ แน่นอน ผมค่อยๆ ลดมือลงต่ำพร้อมกับใบหน้าที่ร้อนผ่าว ในขณะเดียวกันผมก็กัดริมฝีปากเล็กน้อยเพื่อระบายความเครียดแต่ก็เหมือนจะได้ยินเสียงแปลกๆ ดังออกมาจากฝูงชนอีกผมเลยคิดที่จะนั่งลง

“ดะ...เดี๋ยวค่ะน้องนิว” ปุ๋ยพูดขึ้นเหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้

“คะ...ครับ” ผมตอบอย่างไม่แน่ใจนัก

“คือพี่อยากรู้จังเลยค่ะว่าชื่อน้องนิวแปลว่าอะไรเหรอคะ ชื่อแปลกดีพี่ไม่เคยได้ยินเลยค่ะ”

“อ๋อ ชื่อผมมาจากคำว่าอะตะระชิในภาษาญี่ปุ่นครับแปลว่าใหม่” ผมค่อยๆ ลดเสียงลงเมื่อเห็นว่าทุกคนตั้งใจฟังเป็นพิเศษพร้อมกับมองมาที่ผมด้วยสายตาแบบที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนว่ามันหมายความว่าอะไรทำให้ท้องไส้ของผมปั่นป่วนไปหมด

“ค่ะ เพราะมากค่ะ” ปุ๋ยพูดเหมือนกับล่องลอยอยู่

“ขอบคุณครับ” ผมตอบพลางทำท่าจะนั่งลงอีกครั้ง

“เดี่ยวก่อนค่ะน้องนิว” ปุ๋ยบอกทำให้ผมต้องหยุดการกระทำของตัวเองแล้วยืนตรงขึ้นใหม่อีก “คำถามสุดท้ายแล้วค่ะ น้องนิวมีแฟนหรือยังคะ”

คำถามของปุ๋ยทำให้ผมถึงกับหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีกรอบ นี่มันคำถามรับน้องจริงเหรอวะเนี้ย ผมคิดในใจพร้อมกับรู้สึกพะอืดพะอมเต็มทน “มะ ไม่ครับ ไม่เคยมี” ผมตอบก่อนที่จะได้ยินเสียงกรี๊ดเบาๆ และสายตาของคนที่มองผมแล้วหันไปซุบซิบกันบ้าง ทำให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างถึงที่สุด คนพวกนี้เขาคิดอะไรกับผมอยู่นะ หรือวันนี้ผมอ้วนไป หรือจมูกเบี้ยว หรือมีตรงไหนในหน้าของผมประหลาดอย่างนั้นหรือ เขาต้องกำลังคิดแน่ว่าหน้าของผมมันคงปลอมพอๆ กับชื่อของผม

แล้วคนพวกนี้จะรู้ได้ยังไงกัน? ไม่สิพวกเขาไม่รู้หรอก ในที่สุดผมก็รู้สึกว่าผมคงจะอดกลั้นความพะอืดพะอมนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ “งั้นผมขอตัวไปห้องน้ำนะครับ” ผมบอกพร้อมกับรีบวางไมค์ในมือลงพร้อมกับรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครอนุญาต ให้ตายเถอะนี่ผมเป็นอะไรไปทำไมถึงได้รู้สึกเวียนหัวอะไรแบบนี้

เมื่อผมถึงห้องน้ำผมรีบเปิดประตูเข้าไปแล้วอาเจียนออกมาทันที พร้อมกันนั้นน้ำตาจากไหนก็ไม่รู้พรั่งพรูออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ ก่อนที่จะเป็นอย่างนั้นอยู่ราวห้านาทีจนผมแทบจะหมดสภาพ ก่อนที่ผมจะเดินไปล้างหน้าล้างตาตรวจเช็คดูว่ามีตรงไหนในตัวผมไหมที่ผิดปกติไปจากคนอื่น แต่ก็ปรากฏว่าไม่ ผมไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคนอื่นเลยหน้าตาธรรมดาสาธารณ์ทั่วไป ไม่ได้มีอะไรแปลก คนแบบผมคงจะเห็นได้ทั่วไปด้วยซ้ำ แต่ทำไมพวกเขาถึงเอาแต่จ้องผมแบบนี้ล่ะ หรือว่าความลับของผมจะแตกซะแล้ว แต่...ที่นี่ไม่มีใครรู้จักผมหนิ หลายความคิดที่ประดังเข้ามาตีกันไปหมดทำให้ผมต้องวิ่งข้าไปอาเจียนในห้องน้ำอีกครั้ง ให้ตายเถอะถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปผมต้องตายแน่ๆ ผมกลับออกมาล้างหน้าอีกครั้งพร้อมกับบอกตัวเองว่าอย่ากลัวมากเกินไปก่อนจะเริ่มตั้งสติได้แล้วเดินไปร่วมงานปฐมนิเทศอีกครั้ง

“ต่อไปขอเชิญดาวเดือนปีล่าสุดขึ้นบนคณะเลยครับผม...” สิ้นเสียงของเอ้ เสียงกรีดร้องด้วยความคลั่งไคล้ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้เท้าของผมชะงักกึกอยู่กับที่ ผมว่ามันเคยเกิดขึ้นนะ ใช่มันเคยเกิดขึ้น กับการที่เพียงแค่คนหันมามองหน้าผมแล้วก็กรีดร้องด้วยความตกใจก่อนที่จะก่นด่าใบหน้าอันแสนจะอัปลักษณ์ของผมอย่างเจ็บแสบ มันต่างจากการกรีดร้องด้วยความรักใคร่และคลั่งไคล้อย่างลิบลับ แต่มันกลับสะกิดแผลในใจของผมขึ้นมา ผมค่อยๆ ถอยเท้ากลับเข้าไปในห้องน้ำ แล้วกลับเข้าไปนั่งอยู่ในนั้นจนกว่างานจะเลิกคงจะดีกว่า ผมว่านั่นน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับผม...
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 2 สปอตไลต์ 2/2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 31-01-2021 23:00:24
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 3 โปรอาหารเช้า
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 01-02-2021 20:00:09
Chapter 3

โปรอาหารเช้า



ผมนั่งอยู่ในห้องน้ำสักพักจนแน่ใจว่าเสียงผู้คนจากข้างนอกเงียบลงไปแล้ว ผมจึงเปิดประตูออกมาอย่างไม่ได้รีบร้อนหนัก ก่อนที่จะได้ยินเสียงคนเดินคุยกันเข้ามาในห้องน้ำ ผมเดินมาถึงอ่างล้างหน้าพอดีกับที่พวกเขาเดินเข้ามาในห้องน้ำ ก่อนที่พวกเขาจะมีท่าทีเหมือนกับชะงักไปแล้วมองมาที่ผมไม่วางตา

“เอ่อ... ไง” ผมทักขึ้นเพื่อทำลายความเงียบลง

“งะ...ไง” ชายตัวสูงตอบ “ชื่อนิวเยียร์ใช่ป่ะ”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร หรือผมควรจะตอบอะไรไปดี

“เราชื่อนะโม” ผู้ชายคนนั้นพูดแต่ไม่ได้มองหน้าผมซักเท่าเท่าไหร่ “เราก็อยู่ CMD เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

“อื่อ เหมือนกัน” ผมตอบพลางยิ้มให้เขาไป ในที่สุดผมก็จะมีเพื่อนแล้วสินะ

“ส่วนเราชื่อ ต้านะ สาขาเดียวกัน” ผู้ชายอีกคนบอกพลางเกาท้ายทอยของตัวเอง ซึ่งผมก็ไม่รู้วว่าเขาทำอย่างนั้นทำไม

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ผมตอบพลางหันไปยิ้มให้ต้า “แล้วนี่เขาแยกย้ายไปห้องสาขายัง” ผมถามเพราะมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในใบกำหนดการอยู่แล้ว

“แยกแล้ว” นะโมตอบ

“ห้องเราอยู่ตรงไหนเหรอ” ผมถาม

“ห้อง IT511 น่ะ” ต้าบอก

“อ๋อ...” ผมลากเสียงยาวๆ เพราะไม่รู้ว่ามันคือส่วนไหนของตึก

“หรือจะรอไปพร้อมกันไหมล่ะ” ต้าถามท่าทางไม่ค่อยแน่ใจ

ว่าไงนะ นี่มีคนชวนผมให้เดินไปด้วยกันหรอเนี่ย ตั้งแต่เกิดมาน่าจะมีครั้งนี้เป็นครั้งแรกมั้งที่คนในวัยที่ไล่เลี่ยกัน จะชวนผมเดินไปด้วยแบบนี้

“ถ้านิวไม่รีบนะ” ต้าพูดอย่างไม่แน่ใจ

“ไม่หรอก” ผมรีบตอบกลับไปพลางยิ้มให้ต้า นี่คงถึงเวลาแล้วสินะที่ผมจะมีเพื่อน ให้ตายเถอะมันง่ายกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก “เดี๋ยวเราไปรอที่หน้าห้องน้ำแล้วกันนะ ผมบอกกับเพื่อนใหม่ทั้งสองคน เพื่อให้เขาได้ทำธุระส่วนตัวอย่างไม่อึดอัดนัก ก่อนที่ทั้งสองคนจะเดินออกมาจากห้องแล้วพาผมเดินไปยังห้องที่ว่า ซึ่งตลอดทางนะโมกับต้าก็เอาแต่ถามเรื่องเกี่ยวกับผมไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นผมชอบสีอะไร ชอบกินอะไร หอพักอยู่ไหน มาเรียนยังไง และอีกหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาคงอยากจะคบกับผมในฐานะเพื่อนที่ซี้กันมากแน่ถึงได้ถามซะเยอะแยะขนาดนี้

โชคดีมากทีเดียวที่ในขณะที่ผมเดินเข้าไปในห้องคณะอาจารย์ประจำสาขายังไม่มามีแต่รุ่นพี่ที่เปิดวิดีโอแนะนำสาขาพากันยืนอออยู่หน้าห้องอย่างไม่เป็นทางการนัก แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกผมสามคนมาช้าหรืออย่างไร ทุกคนถึงเอาแต่มองพวกผมไม่วางตาเลยตั้งแต่เปิดประตูเดินเข้ามาในห้องยันมาถึงนั่งเก้าอี้แต่โชคดีที่ผมมากับต้าและนะโมเลยไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าตอนที่ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผมคนเดียว แล้วก็มีหลายคนมากที่เหมือนจะรู้จักผมจากการที่ผมแนะนำตัวในห้องโถงครั้งนั้น เพราะน่าจะสองถึงสามครั้งทีเดียวที่ผมได้ยินคนพูดชื่อของผมออกมา

การพูดคุยทำความเข้าใจกันของคนในสาขาเริ่มขึ้นเมื่อคณะอาจารย์ เข้ามาในห้องจนเกือบครบทุกคนเพราะก็มีบางคนที่ติดภารกิจเลยมาไม่ได้ รุ่นพี่แต่ละคนพากันแนะนำชื่ออย่างไม่เป็นทางการนักทำให้ทุกคนดูน่าคบหามากทีเดียว เพราะถ้าแนะนำตัวเป็นทางการมากไปผมว่ารังแต่จะสร้างช่องว่างระหว่างรุ่น ให้รุ่นน้องไม่กล้าคุยด้วยซะเปล่าๆ เริ่มต้นจากประธานรุ่น ปี2 ชื่อ ชิน ซึ่งดูแล้วก็ไม่ค่อยจะเป็นงานซักเท่าไหร่แต่เขาก็น่าจะมีของพอตัวถึงได้เป็นประธานรุ่น แล้วก็ตามด้วยปีสองทุกคนในชั้นปี แล้วต่อมาก็เป็นปีสามซึ่งส่วนมากจะไม่ใส่ชุด นิสิต แต่จะเป็นเสื้อช็อปสีน้ำตาลแทน แล้วก็ตามด้วยปีสี่อีกห้าคนซึ่ง ก็จะตามมาด้วยมุกที่อำกันว่า...

“ตอนแรกรุ่นพวกพี่ก็มีเป็นร้อยเหมือนรุ่นของน้องนี่แหละ แต่สุดท้ายรอดมาถึงปีสี่แค่ห้าคน” พี่ชมพูพูดขึ้น ทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาอย่างชอบใจกับมุกตลกร้ายของเขา พี่ชมพูผู้ชายที่ไว้ผมยาวฟูๆ แล้วรวบเป็นหาม้าไว้ข้างหลัง ซึ่งตอนแรกถ้าไม่บอกผมก็ไม่คิดว่าเขาเป็นรุ่นพี่สาขาผมดูลุคของเขาแล้วจะเหมือนกับเด็กศิลปกรรมเอก ทัศนศิลป์ซะมากกว่า

“โอเคนี่ก็น่าจะแนะนำตัวกันครบแล้วเนาะ ส่วนดาวกับเดือนสาขาของเรา พี่ปลายฟ้า กับพี่ใบพัด มาไม่ได้นะครับ เพราะติดถ่ายโปสเตอร์โปรโมทคณะ” ชินบอกเพราะเห็นว่ารุ่นน้องหลายคนถามหา แต่ผลตอบรับที่ได้ก็เป็นเสียงที่ดูหงอยๆ ของสาวๆ ไปแทน “ยังไงก็ไม่ต้องเสียใจนะครับ เพราะวันลงทะเบียนเรียนพี่เขาก็จะมาช่วยอยู่แล้ว อีกอย่างทุกคนก็เห็นพี่เขาแล้วหนิเอาไว้ไปเจอกันวันลงทะเบียนเรียนดีกว่า จะได้พูดคุยกับพี่เขาใกล้ด้วย”

“เอ๊ะ เราเจอกันเดือนสาขาเราตั้งแต่เมื่อไหร่นะ เราไม่ยักจะจำได้” ผมถามต้าอย่างไม่แน่ใจ

“ก็ตอนที่อยู่ห้องโถงไง คนที่เป็นเดือนคณะอะจำไม่ได้เหรอ” ต้าตอบ

“จะไปจำได้ยังไงเล่าก็นิวเยียร์ไม่ได้อยู่หนิ” นะโมแทรกขึ้น

ใช่จริงด้วยตอนนั้นผมก็คงยังอยู่ในห้องน้ำแล้วก็รอให้ทุกคนแยกย้ายอยู่สินะ

“แล้วหน้าตาดาวเดือนเป็นไงบ้างอะ” ผมถามอย่างสงสัยใคร่รู้

“ก็หล่อสวยปกติ” ต้าตอบ

ใครจะไม่รู้วะ

“ไอ้ต้าตอบอะไรของมึงเนี่ยถ้าเขาอยากรู้แค่นี้เขาไม่ต้องถามมึงก็ได้ไหมไอ้ห่า” นะโมบ่นต้าอย่างไม่จริงจังนัก แต่ถูกใจผมมากทีเดียวที่ไม่ต้องด่าออกไปเองให้เสียมิตรภาพในครั้งแรก

“เอาหรอ” ต้าหัวเราะพลางเกาท้ายทอย “จะว่าไงดีอะดาวก็สวย หุ่นดี น่ารัก สูงด้วยนะเหมือนนางแบบเลย ส่วนเดือนก็หล่ออะ ดูแบดบอย หยิ่งๆ แต่แม่งเท่ชิบหายสาวๆ กรี๊ดกันใหญ่เลยรู้ป่ะ”

อือจากเสียเสียงที่ผมได้ยินในห้องน้ำก็น่าจะจริงอย่างที่ต้าว่า ขนาดผมนั่งอยู่ในห้องน้ำเสียงกรี๊ดยังดังอย่างกับเกิดอัคคีภัย ผมว่าถ้าผมนั่งอยู่ตรงนั้นนะไม่หวังได้หูอื้อไปพักใหญ่แน่

“แต่ถึงยังไงนะเราว่านิวก็ดูดีกว่าเดือนคนนั้นอยู่ดี แถมยังน่ารักอีกต่างหาก” นะโมชมออกมาโดยที่ไม่ได้มองหน้าผม แต่นั่นก็ทำให้ผมไม่รู้ว่าจะตอบเขาไปว่าอย่างไรเลยทีเดียว สิ่งเดียวที่ผมคิดคือ เขาแค่อยากให้ผมรู้สึกดีหรือเปล่า หน้าตาธรรมดาอย่างผมเนี่ยนะจะทัดเทียมเดือนคณะ ให้ตายสิ เจอเพื่อนขี้ยอเข้าให้ซะแล้วถ้าผมปล่อยไว้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ผมคงต้องติดนิสัยแน่ๆ เพราะคำพูดของเขาแม่งมันทำให้ผมรู้สึกดีชะมัดถึงแม้ว่าคำว่าน่ารักผู้ชายเขาจะไม่ใช้ชมกันก็เถอะ แต่สำหรับผมไม่ว่าจะชมว่ายังไงผมก็ชอบมันมากกว่าคำว่าอัปลักษณ์อยู่ดี

การประชุมสาขาจบลงด้วยการทวนสิ่งที่รุ่นพี่ได้พูดไปเกือบทั้งหมด แต่เรื่องที่เน้นเป็นพิเศษก็คือเรื่องการลงทะเบียนเรียนของปีหนึ่ง ในอีกสามวันข้างหน้า ซึ่งพูดแล้วพูดอีกว่า ‘คณะไอทีของเราจะต้องลงทะเบียนเรียนทุกวิชาให้ได้ตามตารางแรกที่ตัวเองจัดมาเพราะมันคือศักดิ์ศรี คณะเราจะต้องเป็นเอกด้านเทคโนโลยี ไม่ต้องสนตารางสำรอง การันตีด้วยรุ่นพี่ที่กดบัตรคอนเอ็กโซได้ทุกรอบไม่เคยบ้ง ดังนั้นรุ่นพี่ก็เลยจะส่งวิดีโอการลงทะเบียนเรียนมาให้เราศึกษาล่วงหน้าก่อน แล้วในวันจริงให้ทุกคนมาลงทะเบียนเรียนที่คณะรุ่นพี่จะเป็นคนลงช่วยเอง เผื่อน้องไม่เข้าใจตรงไหนจะได้ถาม หลังจากทวนคำสั่งเสร็จรุ่นพี่ก็บอกให้เราแยกย้ายกลับได้แล้วก็ย้ำว่าอย่าลืมให้ไปหยิบเอาของที่ระลึกที่รุ่นพี่จัดไว้ให้ด้วย

“นิวเยียร์ นิวเยียร์เดี๋ยวก่อน” เสียงแหบปนแหลมเรียกผมจากทางด้านหลังทำให้ผมต้องชะงักก่อนในขณะที่จะเดินออกจากห้อง

“ครับ” ผมขานรับ

“เอ่อ พี่ชื่อน้ำตาลนะ อยู่ปีสาม นิวเยียร์ พี่ถามอะไรหน่อยสิ มีใครทาบทามให้นิวไปทำอะไรหรือยังอะ” น้ำตาลมองหน้าผมอย่างคาดหวัง

“หมายถึงอะไรเหรอครับ ผมต้องทำอะไรด้วยเหรอ”

“งั้นแปลว่ายังไม่มีสินะ ยังไงพี่ขอล็อกตัวเราไว้ก่อนเลยนะ ถ้ามีใครมาถามว่าไปเป็นอะไรไหม มีอะไรทำหรือยังให้บอกไปเลยนะว่าพี่น้ำตาลจองตัวไว้แล้ว” น้ำตาลบอกผมดูท่าทางเธอรีบๆ

“ทำไมล่ะครับ พี่จะให้ผมทำอะไร” ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยกับคำพูดของเธอเอาซะเลย

“เอาเถอะจ้ะก็งานในคณะนี่แหละ ไม่ต้องกลัวพี่หรอกถึงพี่เป็นตุ๊ดพี่ก็ไม่กัดไม่คุกคามทางเพศนิวเยียร์หรอกยังไงเดี๋ยวพี่มาคุยอีกทีนะเดี๋ยวพี่ไปดูเขาถ่ายงานก่อนนะกำลังรีบ” น้ำตาลบอกแล้วก็รีบวิ่งออกไปเลยโดยที่ไม่รอคำลาจากผมสักคำ ส่งผลให้ผมกลายเป็นเด็กปีหนึ่งเพียงคนเดียวที่อยู่ในห้องนี้ ผมรีบเดินออกไปนอกห้องก่อนที่จะเห็นโต๊ะของที่ระลึกตั้งอยู่เด่นเป็นสง่าอยู่หน้าห้อง พร้อมกับถุงใส่ของที่ระลึกใบเดียวที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งผมก็รู้ว่ามันเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากของผมเพราะมันมีชื่อผมเขียนอยู่ แต่สิ่งที่ผมสงสัยคือรุ่นพี่สาขานี้เขารักรุ่นน้องขนาดที่ให้ของน้องเยอะเป็นกระสอบแบบนี้ทุกคนเลยเหรอ ดูแล้วก็ทุ่มทุนสร้างไม่เบาแฮะ ผมเดินไปหยิบเอากระสอบขนาดย่อมๆ ของผมก่อนที่จะก้มหัวให้รุ่นพี่สองสามคนแล้วบอกลา

“กลับก่อนนะครับ” ผมบอกพลางยิ้ม

“ค่ะกลับดีๆ น้า....” พี่ผู้หญิงคนหนึ่งบอกพลางยิ้มให้ผมอย่างใจดี

“กลับดีๆ นะครับน้องนิว” พี่ผู้ชายที่ย้อมผมสีเขียวบอก

“อย่าลืมกินขนมของพี่นะกลับดีๆ นะคะ” พี่ผู้หญิงอีกคนบอกไล่หลังมา

“คร้าบบบ....” ผมตอบลากเสียงยาวๆ ก่อนที่จะเดินเลี้ยวไปทางบันได

แต่จะว่าไปทำไมทุกคนถึงได้ใจดีกับผมแบบนี้นะ







หลังจากที่ผมมาถึงห้องผมก็รีบวางเจ้าของขวัญขนาดเท่ากระสอบลงบนโต๊ะก่อนที่จะค่อยเอามันออกจากถุงก็พบว่าเป็นขนมละเครื่องดื่มหลายอย่างเลยทีเดียวซึ่งแต่ละอย่างก็จะมีโน๊ตแปะอยู่ ผมค่อยๆ ดึงมันออกมาอ่านทีละอัน

‘เค้กช็อกโกแลตสำหรับคนน่ารัก กินเยอะๆ นะคะพี่รุ้ง’

‘มีใจก็ไลน์มามีเวลาจะได้คุยกัน line : nana_1232 นา’

‘เป็นโสดมันเหงาเป็นแฟนเราดีกว่าไหมครับ พี่นุ๊ก’

‘เบื่อแล้วเพลงที่มีงู ขอเพลงที่มีyou แทนได้ป่ะ พี่เป้ปี3’

‘ยินดีต้อนรับสู่สาขาเรานะคะ พี่คิม’

ส่วนมากข้อความที่เขียนในโน๊ตที่ผมได้รับก็จะเป็นการหยอกล้อ แล้วก็ชมว่าผมน่ารักซะส่วนใหญ่ซึ่งผมก็รู้แหละครับว่าเขาแค่แซวเล่น แต่ให้ตายสิผมว่าผมเริ่มจะชอบมันซะแล้วล่ะ

หลังจากที่อ่านข้อความทั้งหมดเสร็จผมก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนทั้งที่ยังใส่ชุดพิธีการของทางมหาลัยอยู่ แต่ก่อนที่จะรู้ตัวมันก็สายเกินไป เพราะผมได้โดนที่นอนดูดและสูบเอาพลังชีวิตของผมที่ใช้มาทั้งวันไปจนหมดแล้ว ก่อนที่ผมจะค่อยๆ ดิ่งลงไปในห้วงแห่งความฝันอันมืดดำและแสนจะยาวนานแต่หากคิดให้ดีมันก็เหมือนกับกะพริบตาแค่ครั้งเดียว

ผมค่อยๆ สะลึมสะลือลืมตาตื่นขึ้น แล้วก็รู้สึกถึงแสงนีออนที่แยงตาอยู่เพราะไม่ได้ปิดไฟเมื่อตอนหัวค่ำ ก่อนที่ผมจะค่อยๆ หยิบนาฬิกามาดู ให้ตายเถอะ ตีสี่ครึ่ง อย่างที่บอกหากจะเทียบการนอนกับการกะพริบก็คงไม่เกินความเป็นจริงมากไปนัก เพราะในขณะที่เวลารอบตัวเราผ่านไปแสนนาน แต่ในความรู้สึกของเรามันก็ไม่ต่างจากการกะพริบตาแค่ครั้งเดียว

ผมรีบไปถอดชุดพิธีการออกก่อนที่จะทำให้มันยับไปมากกว่านี้แล้วรีบตรงเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระเหงื่อไคลที่ติดตัวมาตลอดทั้งวันออก แต่จะว่าไปพอมาลองคิดดูอีกทีวันแรกในมหาลัยของผมก็ไม่เลวเหมือนกันนะ ถ้าไม่เอาเรื่องที่ผมอาเจียนเข้ามา ก็นับว่าเพอร์เฟคเลยทีเดียว ได้ทั้งเพื่อนและการตอบรับอันแสนอบอุ่นจากรุ่นพี่จะหาที่ไหนได้อีกไอ้นิวเยียร์เอ้ย

หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เกือบจะตีห้าผมก็เลยเลือกที่จะลงไปซื้อของกินก่อนเหมือนกับทุกวันเพื่อหลีกเลี่ยงการเจอได้เด็กยักษ์นั่น

ร้านสะดวกซื้อในช่วงตีห้าแบบนี้นับว่าเป็นอะไรที่หาดูไม่ได้ในช่วงเช้าหรือช่วงเย็นเพราะบรรยากาศมันจะแตกต่างออกไป ช่วงนี้คนจะน้อยมากจนคุณจะสามารถแยกได้เลยล่ะว่าใครมีนิสัยแบบไหนหรือไปไหนมา โดยเฉพาะถ้าหากคุณเจอคนแต่งหน้าเต็มแต่งตัวเต็มในช่วงนี้แปลว่าเขาเพิ่งจะไปท่องราตรีมาหรือเพิ่งกลับมาจากที่บางแห่งที่มอบความหฤหรรษ์หรรษาให้เขาก็เป็นได้ หรือหากเจอคนใส่ชุดนอนก็จะแปลได้สองแบบคือเป็นคนตื่นเช้าหรือยังไม่ได้นอนแล้วลงมาหาอะไรกินก่อนนอนตอนเช้าซึ่งส่วนมากจะเป็นอย่างหลัง

นอกจากบรรยากาศในร้านสะดวกซื้อจะไม่วุ่นวายอย่างที่มันเคยเป็นแล้วยังมีโปรอาหารเช้าดีๆ ที่ให้คุณซื้อของกินได้ในราคาพิเศษอีกด้วย

ผมเดินเลือกของไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนอะไรมากนักเพราะอย่างที่บอกว่าช่วงนี้คนมันน้อยจนขนาดที่ไม่ต้องนับก็ตอบได้ว่าไม่เกินห้าคน ผมก็เลยต้องขอตักตวงช่วงเวลานี้ ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ให้เข้ากับบรรยากาศเอื่อยๆ ของช่วงเช้าสักหน่อย

อยู่ดีๆ หางตาของผมก็กระตุกขึ้นขึ้นแปลกๆ เหมือนกำลังจะมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้น หรือว่า... ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองภาพตรงหน้าไล่ตั้งแต่ล่างขึ้นบนอย่างช้าๆ ก่อนที่จะหยุดชะงักกึก พร้อมกับไว้อาลัยให้กับบุคคลที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามหาลัยผมมีอยู่หนึ่งล้านคนผมก็คงอยากเห็นเขาเป็นคนที่หนึ่งล้าน

ไทม์กำลังยืนกดน้ำร้อนใส่คัพบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเขาท่าทางตั้งอกตั้งใจแล้วก็เหมือนกับว่า เขาจะไม่ได้มองมาทางผมเลยสักนิดผมจึงค่อยๆ ขยับตัวช้าๆ เพื่อให้เขาไม่สนใจผมมากนัก ไม่แน่เขาอาจจะไม่ได้มองผมด้วยซ้ำไป ผมค่อยถอยหลังออกไป

หนึ่งเก้า

สองเก้า

สามเก้า

โอเคถึงมุมของชั้นวางของแล้วผมจึงค่อยหันหลังกลับไปในขณะเดียวกันผมก็เห็นไทม์กำลังเทผงกาแฟสำเร็จรูปใส่แก้วอย่างตั้งอกตั้งใจ ดีล่ะมันคงถึงเวลาที่ผมจะต้องชิ่งแล้ว

“เลิกทำตัวปัญญาอ่อนสักทีเถอะ”

ประหนึ่งผมได้ยินเสียงกระจกหล่นลงพื้นดัง เพล้ง! พร้อมกับเศษกระจกที่กระเด็นกระดอนไปทั่วพื้นอย่างกับภาพสโลว์โมชั่น

ให้ตายสิ ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของ แดร๊กซ์ ใน Avenger Infinity War ตอนที่คิดว่าตัวเองนิ่งจนล่องหนได้ตอนที่อยู่ต่อหน้าของสตาร์หลอดกับกาโมร่า แล้วอยู่ดีๆ แมนทิสก็เดินมาทัก แล้วล่ะ แม่งเฟลชิบเป๋งเลย แบบ...อายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ก็หนีไปไหนไม่ได้ หนึ่งสิ่งที่สงสัยคือมึงทำไมไม่ทักกูตั้งแต่แรกวะจะได้ไม่ทำอะไรโง่ๆ แบบนี้

“ไง อรุณสวัส” อรุณสวัสพ่อง! แม่งโคตรไม่เป็นธรรมชาติ พูดง่ายๆ ว่าปลอม! ไอ้นิวเยียร์เอ้ย

ไทม์มองมามองผมด้วยสายตาที่สมเพชผมเต็มทน แม่งเอ้ย กล้ามองผมด้วยสายตาแบบนี้ได้ยังไง ไม่รู้ซะแล้วว่าผมเป็นใครเดี๋ยวพ่อก็โบกให้หรอก

“มึงตื่นเช้าเนาะวันนี้” ผมถามออกไปเพื่อแก้อายให้กับคำทักทายก่อนหน้านี้

“วันนี้คณะกูปฐมนิเทศ”

เออจริงด้วยบ้าเอ้ย เรื่องแบบนี้ลืมไปได้ยังไงวะ

“แต่ถึงวันนี้ไม่ใช่วันปฐมนิเทศยังไงกูก็ลงมาอยู่ดี”

ผมไม่เข้าใจกับคำพูดของไทม์เลยสักนิดว่าเขาหมายถึงอะไร เลยได้แต่ทำหน้าเป็นไอ้ทุยเคี้ยวเอื้องอยู่ตรงนั้น

“มึงคงไม่คิดว่ามีแค่มึงคนเดียวหรอกนะที่ชอบโปรอาหารเช้าน่ะ”

นี่มันหมายความว่ายังไงวะหรือว่า... “อย่าบอกนะว่าที่ผ่านมามึงก็ตื่นเวลานี้ตลอด! ”

“ไม่รู้สิ แต่ก็ตื่นมาทันเห็นมึงเดินยิ้มออกมาจากหออย่างกับคนบ้าทุกวันก็แล้วกัน” ร่างสูงพูดพลางคนกาแฟในมือโดยที่ไม่ได้มองดูผมเลยซักนิด

งั้นก็แปลว่าที่ผมคิดมาตลอดว่าผมจะรอดพ้นเงื้อมมือของไทม์มันไปได้ มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นจริงเลยน่ะสิมิหนำซ้ำ ผมยังอยู่ในสายตามันตลอดอีกต่างหาก บ้าเอ้ยน่าอายชะมัด นี่ผมไม่มีทางจะสลัดมันหลุดเลยหรือไง

“แล้วทำไมมึง...” ไม่เรียกกูไปถามเรื่องนั้นล่ะ ผมได้แต่กลืนคำถามลงไปในคอด้วยความที่ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บอีก

“ทำไมอะไร” ไทม์ถามพลางถือคัพบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับแก้วกาแฟเดินตรงมาทางผม

“ทำไมมึงไม่ทักกูล่ะ” แล้วทำไมมันต้องทักผมด้วยวะ แม่งแก้ตัวน้ำขุ่นๆ แถมยังถามไม่เนียนอีก ไอ้นิวเยียร์เอ้ยยย

“หึ ไม่รู้สิ” ไทม์หัวเราะออกมาก่อนที่จะก้มหน้าเข้ามาใกล้กับหูของผม “คงจะเป็นเพราะสตอล์กเกอร์มันชอบตามเยื่อไปทุกที่โดยที่ไม่ให้เยื่อรู้ตัวมั้ง”

“แม่งพูดแต่เรื่องนี้อยู่ได้ กูขอโทษก็ได้ที่ทำให้สองคนนั้นคิดว่ามึงเป็นโรคจิตน่ะ” ผมบอกออกไปในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ หดคอหนีจากใบหน้าของไทม์ เช่นกัน

“ดูไม่ค่อยจริงใจเลยเนาะ”

“เอ่า แล้วมึงจะเอาอะไรจากกูอีกล่ะ กูย้อนเวลากลับไปแก้ไขให้มึงไม่ได้หรอกนะ”

“นั่นไงว่าแล้ว คำขอโทษของมึงก็แค่พูดให้มันจบๆ ไปสินะไม่ได้รู้สึกขอโทษเลยสักนิด”

เอ้า! ไอ้เด็กนี่ตัดพ้อเก่งนักวะ “แล้วกูทำยังไงมึงถึงจะเชื่อ”

“เอ่า เอาไปถือ” ไทม์บอกพลางยัดแก้วกาแฟกับคัพบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่มือผมก่อนที่ จะทำท่าพยักพเยิดให้ผมเดินตามมันไปโซนเครื่องดื่ม

ไทม์หยิบนมช็อกโกแลตใส่ตะกร้าผมหนึ่งขวดโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนที่จะเครื่องดื่มบำรุงสมองอีกหนึ่งขวด ตามด้วยขนมขบเคี้ยว ซีเรียล แล้วไปที่โซนอาหารแช่แข็ง ก่อนที่มันจะหยิบเบอร์เกอร์ออกมาสองก้อน ซาลาเปาไส้หมูแดงหนึ่งถุง ข้าวเหนียวหมูปิ้งอีกหนึ่งถุง ไส้กรอกหนังกรอบรมควัน แล้วก็อีกหลายรายการที่มือของมันจะเอื้อมถึงหรือ สายตาของมันจะสาดส่องไปถึง

นี่มันกินหรือแดกวะเนี้ย

ไทม์เดินนำหน้าผมไปที่เคาน์เตอร์ ผมเลยรีบเดินตามไปติดๆ

“วางสิ”

ผมรีบวางของลงบนเคาน์เตอร์ เพราะรู้สึกหนักซะเต็มประดากับของที่ไอ้เด็กนี่เอาแต่ขนใส่อย่างกับจะเอาไปถมที่ ก่อนที่จะยืนรอพนักงานที่กำลังทำการคิดเงินอย่างคล่องแคล่ว

“ทั้งหมด เจ็ดร้อยห้าสิบสามบาทค่ะ”

ผมมองหน้าของไทม์ที่เอาแต่ยืนนิ่งไม่ยอมทำอะไรสักที

“เฮ้ย” ผมสะกิดอีกฝ่ายให้รู้สึกตัว

“อะไร! ”

“ก็จ่ายตังค์ไง”

“เอา มึงก็จ่ายไปสิ”

“เออก็แค่... ฮะ! มึงว่าไงนะ”

“ก็บอกให้จ่ายตังค์ไงทำไมต้องถามซ้ำด้วยวะ แม่งน่ารำคาญ”

“เดี๋ยวก่อน ก็ของพวกนี้มันของมึง”

“ก็ใช่ไง”

“แล้วทำไมต้องให้กูจ่าย”

“ก็ไหนมึงบอกอยากขอโทษไง แค่นี้ไม่ได้หรอ?”

ไอ้เด็กนี่มันถามหน้าตายมากครับเหมือนจะหาเรื่อง แต่แม่งก็กวนตีนชิบเป๋ง เดี๋ยวก่อนเถอะอย่าให้ถึงเวลาของอาจารย์มึงก็แล้วก็ไอ้เด็กน้อย

ผมจ่ายตังค์ไปอย่างกล้ำกลืนฝืนทน ความรู้สึกไม่ต่างจากการ ควักตังค์ออกมาซื้อโทรศัพท์มือสองของปลอมที่จอแตกยับเยิน ในราคาเต็มอย่างไงอย่างงั้น ก่อนที่ผมจะต้องหอบของทั้งหมดเดินตามมันไป เนื่องจากร้านสะดวกซื้อมีมาตรการลดใช้ถุงพลาสติก โดยที่ไอ้เด็กเปรตนี่ถือเอาแค่กาแฟแก้วเดียว

“มึงจะไปไหนอะ” ผมถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายตรงไปที่ประตูหอของตึกเอ

“ก็เข้าหอไง”

“งั้นก็มาเอาของมึงไป”

“ไม่”

อะไรของมึงวะไอ้เด็กนี่จะดึงซีนทำไมให้ยืดเยื้อกูจะกลับห้องครับบบบบ “แล้วมึงจะให้กูทำยังไงฮะ! ”

“ทำไมมึงชอบถามโง่ๆ วะ ก็เอาเข้ามาส่งกูไง”

ตามสเต็ปว่าแล้วมันก็เดินนำหน้าผมไป ก่อนที่จะเปิดประตูหอออกแล้วเดินเข้าไปโดยไม่รอผมเลยแม้แต่น้อย มันก็รู้ทั้งอรู้ว่าประตูหอมันจะปิดอัตโนมัติมันก็ไม่แม้แต่จะแง้มประตูไว้ให้ผมเลยซักนิด ผมเองต่างหากที่ต้องเป็นคนวิ่งตาลีตาเหลือกไปให้ทันก่อนที่ประตูจะปิด

ไทม์เดินไปนั่งลงที่โซฟาห้องโถงของตึกเอ ที่ตอนนี้คนไม่ได้พลุกพล่านมากนัก ไม่ต้องรอให้ไทม์บอกหรือด่าว่าโง่เป็นครั้งที่สอง ผมรีบเอาของที่หอบมา เป็นอีเพิ้งหาบฟอนวางลงบนโต๊ะทันที

“ยืนทำบื้ออะไรของมึงวะทำไมไม่นั่ง”

ขนาดมึงจะบอกกูนั่งยังพูดดีๆ ไม่ได้เลยนะ สงสัยตอนที่ผมสอนหนังสือให้มันคงลืมสอนมารยาททางสังคมให้มันด้วยแน่ๆ

ผมนั่งลงโซฟาตัวตรงข้ามกับไทม์ก่อนที่จะดูมันเอาไส้กรอกใส่ลงไปในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก่อนที่จะซดเส้นเข้าปากเสียงดังอย่างกับคนญี่ปุ่นกินราเม็ง ผมได้แต่ลอบกลืนน้ำลายให้กับภาพตรงหน้า เพราะเหมือนกับว่าน้ำย่อยในกระเพาะของผมมันเริ่มจะทำงานอีกแล้วสิ ทั้งเมื่อคืนก็เผลอหลับโดยที่ไม่ได้กินเข้าเย็นแล้วต้องมานั่งดูไอ้เด็กนี่ ทรมานกระเพาะผมด้วยการกินข้าวโชว์อีก บอกได้เลยว่าร่างกาย และอย่างยิ่งกระเพาะมันบอบบางเกินจะเยียวยาแล้ว

ผมนั่งมองมันกินไป ก็ได้แต่ยับยั้งตัวเองไปว่าอย่ากลืนน้ำลายเสียงดังนักแล้วในขณะเดียวกันไทม์มันก็ยกคัพบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นซดน้ำดัง อึก ภาพที่ผมเห็นตรงหน้ามันดูช้าลงไปหมด ผมแทบจะเห็นเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้น้ำซุปมันเดินทางไปถึงไหนแล้วในขณะที่ลูกกระเดือกของไทม์ขยับ

นี่จะทรมารกันให้ตายเลยหรือยังไง!

ไทม์วางถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลงบนโต๊ะก่อนที่จะเช็ดปากที่เริ่มเป็นสีแดงเพราะรสเผ็ดของน้ำซุป แล้วค่อยๆ ฉีกถุงแซนด์วิชดัง แคว๊ก! เสียงดังประหนึ่งฟ้าผ่า คงเป็นเพราะผมให้ความสนใจกับมันมากไปเป็นแน่

“มึงจ้องกูทำไมเนี้ย กูขนลุก”

เสียงของไทม์ดังแทรกขึ้นขณะที่ผมตาเยิ้มจับจ้องที่แซนด์วิช ทำให้ภาพที่กำลังสโลว์โมชั่นอยู่ กลับมาอยู่ในความเร็วปกติในทันที

“อะ... อะไร กูไม่ได้มองมึง กูมองแซนด์วิชต่างหาก”

“แล้วมึงจะมองทำไม ทำไมไม่กิน” ไทม์ทำสีหน้าเหมือนเหนื่อยหน่ายกับความโง่ของผมซะเต็มประดา

“กินได้เหรอ” ผมตาโต

“แล้วทำไม จะกินไม่ได้วะ”

“กูไม่รู้นึกว่ามึงซื้อมากินคนเดียว”

“มึงนี่มันโง่จริงๆ เลยนะ แล้วมึงคิดว่ากูจะหยิบนมมาให้ใครกินวะ”

แม่งเอ้ย! คำก็โง่สองคำก็โง่ ก็ไอ้โง่นี่แหละวะที่สอนมึงจนสอบติดโรงเรียนระดับประเทศน่ะ

ผมบิดฝาขวดนมช็อกโกแลตเปิดออกก่อนที่จะดื่มเข้าไปหลายอึกเพื่อเจือจางกรดในกระเพาะของผม “แล้วทำไมมึงไม่บอกกูวะ รู้งี้เอากาแฟซะก็ดี”

“มึงไม่ต้องเรื่องมากเลย อีกอย่างเป็นเด็กเป็นเล็กมาทำเป็นเท่ห์อยากกินกาแฟ เดียวก็ใจสั่นหรอก”

“เด็กบ้านมึงสิ แบบกูน่ะเขาเรียกว่าชายหนุ่มเว้ย”

“หึ อย่างมึงเสียงแตกหรือยังเหอะ แม่งตัวเล็กอย่างกับเด็กอนุบาล กินนมน่ะดีแล้วจะได้สูงๆ”

หน็อยไอ้นี่จะหยามเหยียดกันมากเกินไปแล้ว แถมยังมาพูดเกินจริงอีกผมสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบจะมาว่าผมตัวเท่าเด็กอนุบาลได้ยังไง

“เออ ใครจะไปสูงร้อยเก้าสิบอย่างมึงล่ะ ไอ้ยักษ์เอ้ย”

“กินไปไอ้เตี้ยอย่าบ่น”

เถียงกับไอ้เด็กนี่สามวันก็คงไม่จบถ้าผมไม่เป็นคนยอมแพ้ไปซะเอง ผมก็เลยทำได้แค่ก้มหน้ากินต่อไปด้วยความหิวและเคียดแค้น จนเกือบสำลักไปแซนด์วิช โชคดีที่ไทม์มันเอาน้ำมาให้กิน ไม่งั้นก็คงแย้

ผมนั่งกินไปเรื่อยๆ แล้วก็รู้สึกขนลุกแปลกรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองมาที่ผม ก่อนที่ผมจะเงยหน้ามองคนตรงหน้าทำให้สายตาของผมกับเขาจะประสานกับอย่างไม่ตั้งใจ

“มึงมองอะไรวะ”

“กูกับมึงเราเคยเจอกันไหมวะ” ไทม์ถามพลางมองผมไม่วางตา

“มะ มึงจะบ้าหรอ จะมาเคยเจอกันได้ไง”

“แน่ใจเหรอมึงไม่ได้ลืมใช่ไหม”

“แน่ใจ” ผมยืนยัน “แต่ถึงเคยเจอยังไงคนปากหมาอย่างมึงกูก็คงจะจำให้ปวดสมองหรอก”

“เฮ้อ...นั่นสินะ” ไทม์ว่าพลางมองออกไปข้างนอก

“ทำไมมึงถึงคิดว่าเราเคยเจอกันล่ะ”

“ไม่รู้สิ กุแค่รู้สึกว่าเวลาอยู่ใกล้มึง... มันทำให้กูคิดถึงใครบางคนขึ้นมา”

ขนสันหลังผมลุกซู่ให้กับคำตอบที่ยากจะคาดเดาของไทม์ “กะ กูว่ามึงบ้าไปแล้วแหละ มึงเห็นกูแล้วจะไปคิดถึงใครได้ยังไง” พูดจบผมทำท่าจะลุกขึ้น แต่เหมือนว่าไทม์เองจะคิดเหมือนกันเลยเป็นเขาที่ลุกขึ้นก่อน

“ถึงเวลาแล้วล่ะงั้นกูไปก่อนแล้วกัน กินที่เหลือให้หมดด้วยล่ะ”

ง่าย! ง่ายเกินไปหรือเปล่าที่มึงจะมาทิ้งระเบิดไว้แล้วก็เดินจากไปแบบนี้ มันง่ายไปไหมวะไอ้ไทม์ นี่มึงจะเล่นกับความรู้สึกของกูมากเกินไปแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 3 โปรอาหารเช้า
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 02-02-2021 00:52:09
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 4 คนที่ร้อยล้าน 1/2
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 02-02-2021 19:38:03
Chapter 4

คนที่ร้อยล้าน



เคยมีคนบอกผมว่า ‘หนึ่งรอยปีบนโลกมนุษย์ เท่ากับหนึ่งวันบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์’ ซึ่งถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริง เทวดาที่อยู่บนสวรรค์คงต้องจิตตกกันมากแน่ ที่เวลาบนโลกผ่านไปเร็วขนาดนี้ เพราะถึงแม้เวลาผ่านไปตั้งสามวัน แต่กลับผมยังรู้สึกเหมือนผ่านไปแค่สามสิบนาทีอยู่เลย

วันนี้เป็นวันที่สำคัญมากของเด็กปีหนึ่งอีกหนึ่งวัน เพราะมันคือวันลงทะเบียนเรียนวันแรกซึ่งได้ยินมาว่าจะวุ่นวายมาก ทั้งเว็บไซต์ลงทะเบียนของมหาลัยจะล่มเป็นพักๆ หรือไม่ก็ล่มยาว ระดับกด f5 จนครบหนึ่งวันบนสวรรค์เว็บยังไม่กลับมาเป็นปกติเลย แต่สิ่งที่ผมทำได้ไม่ใช่แค่กังวลหนิ เพราะในขณะเดียวกันผมก็ไปดูวิดีโอการลงทะเบียนเรียนของทางมหาลัยและเข้าใจอย่างถ่องแท้ จนแทบจะมีรัศมีสีทองออกมารอบหัวซะให้ได้

วันนี้เนื่องจากผมตั้งใจตื่นเช้าเป็นพิเศษเลยเอาผ้าลงไปซัก ฆ่าเวลาก่อนที่จะกลับขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว แต่อย่างที่บอกเวลาผ่านไปเร็วอย่างกับกะพริบตา เวลามันผ่านไปเร็วจนตอนนี้จะแปดโมงอยู่แล้วผมยังไม่ได้ไปเอาผ้าเลย แถมผมยังนัดต้ากับนะโมไว้อีก แต่เวลาปาเข้าไปขนาดนี้แล้วผมคงไม่มีเวลาตากแล้วแน่ๆ ผมว่าผมรีบไปเอาผ้าขึ้นมาไว้ก่อนดีกว่าเอาไว้ค่อยตากตอนกลับแล้วกัน

ผมเดินมาถึงก็เห็นตะกร้าของผมวางอยู่พร้อมกับเสื้อผ้าอยู่ในนั้นอยู่แล้ว คงจะเป็นคนที่เขามาใช้เครื่องซักผ้าต่อล่ะมั้งที่เอาออกให้ แต่ก็ไม่น่าจะละลาบละล้วงขนาดนี้นะเพิ่งจะหมดเวลาไปไม่นานเอง แม้คิดไปแล้วจะรู้สึกไม่ดีที่คนมาจับของใช้ส่วนตัวแบบนี้ถึงมันจะเป็นเครื่องซักผ้ารวมก็เถอะ แต่ถ้าผมมัวแต่คิดเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรกันพอดี ผมรีบเอาตะกร้าผ้าไปทิ้งในห้องแล้วบึ่งตรงออกมาจากหอทันที

ผมมาถึงคณะในเวลาแปดโมงกว่าๆ เพราะทางมหาลัยจะเปิดเว็บไซต์ให้ลงทะเบียนตอนเก้าโมงตรง ซึ่งผมก็เห็นนะโมกับต้าก็นั่งรอผมอยู่ที่ใต้ต้นหูกระจงหน้าคณะก่อนแล้ว

บรรยากาศในคณะวันนี้ดูคึกคักมากทีเดียว เพราะเด็กปีหนึ่งแต่ละสาขา จะพากันมาลงทะเบียนเรียนที่คณะอย่างที่รุ่นพี่บอกไว้ เลยทำให้คนดูขวักไขว่มากเป็นพิเศษ

ห้องที่ใช้ลงทะเบียนเรียนในวันนี้เป็นห้องที่รุ่นพี่บอกว่าจะใช้เรียนวิชาโปรแกรมมิ่ง เลยทำให้ดูเหมือนว่าทุกคนมารวมตัวกันเพื่อจะโจรกรรมข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกซ์อะไรสักอย่างมากกว่าลงทะเบียนเรียน และเนื่องจากผมมาช้าเลยโชคไม่ค่อยดีนักที่จะต้องนั่งหน้าชั้น เพราะคนส่วนมากที่มาถึงก่อนก็มักจะพากันไปนั่งข้างหลัง ทำให้ไม่รู้ว่าต้องการความช่วยเหลือจากรุ่นพี่จริงๆ หรือเปล่า

ความจริงผมไม่มีปัญหากับการนั่นหน้าหรอก แต่ผมก็แค่ไม่อยากให้พวกเขามองผมไม่วางตาแบบนี้ต่างหาก เพราะมันทำให้ผมอึดอัดจนเริ่มจะทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องวางมือไว้ตรงไหน หายใจแรงไปหรือเปล่า หรือเผลอไปมองใครเข้าจนเขาคิดว่าหาเรื่องไหม บอกตามตรงนะว่าชีวิตในแบบที่ผมอยากได้มันก็แค่ มีเพื่อนแล้วใช้ชีวิตธรรมดาๆ เท่านั้น

ยิ่งเวลาใกล้เก้าโมงมากขึ้นเท่าไหร่ความเครียดของทุกคนก็เริ่มจะมากขึ้นเท่านั้นพร้อมทั้งเสียงดัง ‘แต๊กๆ ’ ของคีย์บอร์ดและเมาส์ที่เหมือนจะดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับกลองในสนามรบ ที่ส่งเสียงเพื่อบอกให้ทราบว่าสงครามใกล้เข้ามาแล้ว แต่ก็นับว่าเป็นข้อดีอีกอย่างคือมันทำให้คนมองผมน้อยลงแล้วหันไปสนใจกับสิ่งท่ต้องทำตรงหน้ามากขึ้น

พี่ๆ ในสาขาจากตอนแรกที่พูดคุยสนุกสนานและโอ้อวดสรรพคุณการกดบัตรคอนของตนในตอนแรกก็เหมือนจะพากันมีท่าทีขรึมขึ้น แล้วก็พากันเดินเข้ามาประกบน้องแบบตัวต่อตัวทันที แล้วบอกให้น้องเอาตารางที่จัดไว้ออกมาดูรหัสวิชาและเช็กเซคให้แน่ใจว่าไม่ผิดแน่ๆ ซึ่งผมก็ได้พี่ผู้หญิงร่างอวบที่ชื่อ โม ปีสามเอกแอนิเมชั่นมาช่วยดูระบบให้ พร้อมกับเช็กตารางตารางเรียนและรหัสวิชาอีกที

ในขณะนั้นเวลาหนึ่งนาทีสุดท้ายที่แสนจะกดดันก็มาถึง เวลาค่อยๆ นับถอยหลังจากหกสิบวิจนเหลือสามสิบ สามสิเหลือสิบห้า สิห้าเหลือสิบ แล้วก็เหลือเวลาแค่...

ห้า

สี่

สาม

สอง

หนึ่ง!

คลิก ความตึงเครียดราวกับน้อง*แอ๋ว กดบัตรคอนเอ็กโซเข้าครอบงำทุกคนเหมือนกับผ้าคลุมมีดำสนิทที่มองไม่เห็น เพราะเมื่อผมมองไปหน้าจอของใครก็เหมือนจะแสดงแต่คำว่า

ERROR

แต่ก็ไม่ใช่กับทุกคนเพราะอย่างน้อยก็มีคนเข้าสู่ระบบได้ตั้งแต่ครั้งแรกเหมือนกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ...ผม! เฮ้ยแบบนี้เขาเรียกว่าโชคหรือเก่งวะ ผมหันไปมองหน้ากับพี่โมพร้อมกับตีมือกัน พลางยักคิ้วด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

“โอเคลงGEก่อนเลย” พี่โมพูดก่อนจะบอกให้ผมกดรหัสรายวิชาแล้วเลือกเซค

โอเควิชาที่ผมต้องลงอันดับแรก เลือกวิชาที่ไม่ต้องตื่นเช้ามากนัก เป็นกลุ่มมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์หนึ่งตัวสองหน่วยกิต ต่อมาด้าน ภาษาไทยสองตัวสี่หน่วยกิต

“นิวเยียร์ทำต่อไปได้ใช่ไหม” พี่โมถาม ผมพยักหน้าให้เธอ “ดีเลย งั้นพี่ขอไปช่วยคนอื่นก่อนนะดูเหมือนหน้าเว็บจะยังเข้ากันไม่ได้เลย”

“ครับ” ผมตอบพลางยิ้มให้เธอไม่เกินวินาทีก่อนที่จะกดรหัสรายวิชาต่อไป กลุ่มภาษาอังกฤษอีกหนึ่งตัวสองหน่อยกิต

ผมลากลูกศรไปที่ปุ่ม ‘ยืนยันการลงทะเบียน’ เพื่อเซฟวิชาที่ตัวเองลงไว้ได้ก่อนที่จะมาลงรายวิชาต่อไป ถ้าหากทำแบบนี้จะเป็นการจองที่นั่งในเซคนั้นๆ ได้โดยไม่ต้องรอให้ลงทะเบียนครบทุกวิชา แต่...

“เฮี้ยทำไม่ยืนยันไม่ได้วะ! ” ผมสบถออกมาหลังจากที่กดปุ่มเดิมซ้ำกันอยู่หลายครั้ง จนเริ่มจะประสาทเสีย

ขอร้องล่ะอย่าให้เป็นแบบคนอื่นเลยยิ่งไม่ได้ทำตารางสำรองมาด้วย

“กดให้ตายมันก็ไม่บันทึกให้มึงหรอก ไม่แหกตาดูหรือไง หน่วยกิตมึงยังไม่ถึงขั้นต่ำ” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลัง ทำให้ผมคิดตามก่อนที่จะหันไปมองที่หน่วยกิตรวม ที่มีแค่แปดหน่วยกิต ซึ่งขาดวิชา GE ในกลุ่มวิทยาศาสตร์ไป

แม่งเอ้ยหน่วยกิตไม่ครบจริงๆ ด้วยทำไมสะเพร่าแบบนี้ไอ้นิวเยียร์

“ขอบคุ...” คำพูดทั้งหมดของผมถูกกลืนลงคอโดยทันทีเมื่อภาพที่ผมเห็นตรงหน้าเป็นภาพของคนที่ผมคุ้นเคย และรู้จักเขาดี

ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาหรือเปล่า แต่มือของผมเริ่มสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ทั้งความรู้สึกที่เหมือนกับจะจมน้ำนี่อีก ผมคงต้องยอมรับอย่างโดยดีว่าผมกลัวเขา... กลัวว่าเขาจะทำอย่างนั้นกับผมอีก

“มึงมองอะไรนักหนาวะเดี๋ยวเซคก็เต็มหมดหรอก”

เสียงของเขาเหมือนจะปลุกจิตของผมให้ตื่นจากภวังค์ได้ แต่ไม่ใช่กับร่างกายของผม ผมยังนั่งแข็งทื่อเหมือนโดนเมดูซ่าจ้องตาอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งอีกฝ่ายเห็นว่าไม่ได้การเลย รีบเดินเข้ามาหาผม

“มึงเหม่ออะไรวะมีสติหน่อยสิ”

ผมขยับตัวหนีเขาเท่าที่พื้นที่แคบๆ นี้จะอำนวย ถึงแม้ว่าผมจะไม่ชอบการกระทำที่คุกคามของเขา แต่ก็เหมือนว่าสิ่งที่เขาทำมันทำให้ผมขยับตัวได้แล้ว ผมรีบหันหน้ากลับเข้าไปหาหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะจับตารางเรียนขึ้นมาดูรหัสวิชา

“กดรหัสวิชาสิ”

อีกคนบอกผมพลางเอามือเท้าเก้าอี้ด้านหลังผมพลางมองหน้าจอคอม ผมค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าไป แต่ก็ดูเหมือนว่าอากาศที่ผมหายใจเข้าไปได้จะน้อยกว่าปกติ ผมหายใจได้ สั้น เร็ว และแรง ราวกับเพิ่งจะวิ่งรอบสนามมาเสร็จ ผมพยายามความคุมตัวเองไม่ให้สติแตก ก่อนจะยื่นมือที่สั่นระริกไปที่แป้นพิมพ์ ให้ตายเถอะผมรู้สึกเหมือนกับว่า นิ้วมือของผมมันขยับไม่ได้

นิ้วล็อคเหรอวะเนี่ย

“ทำอะไรอยู่วะ” อีกฝ่ายถามเชิงเร่งเร้าให้ผมรีบกดรหัสรายวิชา ผมเลยได้แต่ฝืนกดไปด้วยมือที่สั่นสะท้านอยู่อย่างนั้น ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกมวนท้องขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“เสร็จแล้ว” ผมตอบ

“เสร็จแล้วก็กดสิวะ” อีกฝ่ายพูดออกมาโดยไม่ได้หยาบคายอะไรมากนัก แต่มันกลับทำให้ผมสั่นสะท้านไปทั้งตัว

ผมเอื้อมมือไปวางที่เม้าส์ย่างไม่อิดออดเพราะไม่อยากให้คนที่ยืนเอาแขนเท้าเก้าอี้อยู่ข้างหลังผมตำหนิอะไรออกมาอีก แต่ก็เหมือนมือสั่นๆ แข็งๆ ของผมจะไม่ทันใจอีกคนที่เฝ้ามองอยู่ เขาจึงเอื้อมมือมาจับที่เม้าส์โดยที่มือผมก็ยังอยู่ที่นั่น

ผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวได้แต่ปล่อยให้อีกคนบัญชาการ การขยับของมือผมตามที่เขาต้องการ แต่ในขณะเดียวกันผมกลับรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ

“บ้าเอ้ย! เซคเต็มจนได้เพราะชักช้าแบบนี้ไง” อีกฝ่ายสบถออกมาเหมือนระบายสิ่งที่คิด แต่เขากลับไม่รู้เลยว่ามันทำให้ผมกลัวแค่ไหน “เลือกเซคใหม่สิ”

ไม่...ผมทำไม่ได้ ความรู้สึกเดียวของผมตอนนี้คือเวียนหัวและพะอืดพะอมเต็มทน

“เร็วสิ! ”

“ไม่! ”

ผมลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ พลางมองคนตรงหน้าด้วยภาพที่เลือนรางเหมือนกับภาพที่มองผ่านกระจกที่ขึ้นฝ้าก่อนที่จะรู้สึกถึงการเดินทางของความอุ่นแฉะเป็นเส้นตรงจากดวงตาไปถึงทั้งสองแก้มลงไปแล้วจบลงที่ปลายคาง ในตอนนี้ผมไม่รู้ว่าสถานการณ์รอบตัวเป็นยังไงบ้าง เพราะผมไม่ได้สนใจมันอีกต่อแล้ว

ผมรีบวิ่งออกไปจากห้องทันทีเพราะไม่อยากให้คนอื่นเห็นผมในสภาพนี้มากนัก ในขณะเดียวกันผมก็ปรี่ตรงไปที่ห้องน้ำทันที

ผมเข้าไปในห้องในสุดก่อนที่จะล็อกประตูแล้วหันไปปลดปล่อยสิ่งที่กระจุกตัวอยู่ในคอออกอย่างกับห่าฝนที่ไม่มีวันหยุดเพราะมันเยอะมาก หลังจากนั้นผมก็เงยหน้าขึ้นสูดอากาศที่ตอนนี้ผมได้รับมันจากทางปากเท่านั้นแต่มันก็เหมือนจะไม่เพียงพอสำหรับผม เนื่องจากผมทั้งหายใจเร็วและแรง ซึ่งผมบอกเลยว่าผมหยุดมันไม่ได้แล้วในเวลานั้นผมก็รู้สึกเหมือนผมกำลังจะตาย น้ำตาระลอกใหญ่ก็พาลซัดถาโถมออกมาราวกับจะบอกว่าผมคงต้องตายลงตรงนี้จริงๆ ความรู้สึกพะอืดพะอมกลับมากอีกครั้งทำให้ผมต้องหันไปสำรอกมันออกมา แล้วเงยหน้าขึ้นมาหายใจอยู่อย่างนั้น ก่อนที่จะค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น แต่ดูเหมือนอาการเกร็งที่มือผมจะยังไม่หมดไปผมเลยทำได้แค่นั่งกับพื้นห้องน้ำ ปล่อยหลังพิงกับผนังกำแพง เหยียดขาออก พลางค่อยๆ หายใจจนรู้สึกดีขึ้น

เขาคนนั้นจะจำเราได้ไหมนะ จะรู้ไหมนะว่าเราคือใคร แล้วถ้าเกิดเขารู้ล่ะ เขาจะทำยังไงแล้วเราจะทำยังไง เขาจะบอกคนอื่น ไหมว่าเราไม่ใช่นิวเยียร์

ผมได้แต่คิดวนไปวนมาเลยทำให้อาการของผมวนลูปอยู่อย่างนั้นซักสามสี่รอบได้ ก่อนที่ผมจะเริ่มดีลกับอารมณ์ของตัวเองได้แล้วคิดมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและผลลัพธ์ไม่ให้มันเป็นไปในทางที่ไม่แย่มากนัก







*แอ๋ว เป็นคำเรียกย่อๆของแฟนคลับวงเอ็กโซ(ในไทย)มาจากคำว่า exo-l
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 4 คนที่ร้อยล้าน 1/2
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 02-02-2021 20:04:13
 :z3:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 4 คนที่ร้อยล้าน 1/2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-02-2021 03:08:48
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 4 คนที่ร้อยล้าน 2/2
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 03-02-2021 20:10:15
หน้าห้องลงทะเบียนเรียนดูเงียบลงไปถนัดตาเมื่อเทียบกับตอนเก้าโมงที่ทุกคนต่างพากันกระวนกระวายด้วยความตื่นเต้น แต่ตอนนี้กลับดูผ่อนคลายมากกว่านั้นเยอะ คงเป็นเพราะตอนนี้เวลาผ่านไปชั่วโมงครึ่งแล้ว ทุกคนที่ลงทะเบียนได้ก็ดูเหมือนจะไม่มีธุระกับที่นี่อีกต่อไป เลยพากันกลับไปจนเกือบหมด เห็นแค่ไม่กี่คนที่อยู่ในห้อง

ผมค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปในห้องซึ่งตอนนี้คนที่เหลืออยู่จะกำลังขะมักเขม้นกับการเล่นเกมอยู่จนไม่ได้สนใจผม ดีล่ะงั้นผมจะรีบเข้าไปหยิบของแล้วเดินออกมาเลย แต่มันกลับไม่ง่ายอย่างนั้นเพราะมีคนนั่งอยู่ที่โต๊ะของผมอยู่แล้วซึ่งเขาก็ไม่ใช่ใคร เจ้าเจ้าของใบหน้าคมสัน กับดวงตาสีดำสนิทที่ขนาดไม่ได้โตมากนักรับกับจมูกโด่งเป็นสัน แล้วเติมความสมบูรณ์แบบอย่างสุดท้ายให้กับใบหน้าด้วยปากกระจับสีระเรื่อ ขัดกับผิวขาวเหลืองของเขาได้เป็นอย่างดีซึ่งเขาก็คือ ‘ใบพัด’ คนที่ช่วยผมลงทะเบียนนั่นแหละ ครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อเดือนสาขาผมก็ค่อนข้างตกใจแต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นใบพัดคนเดียวกันกับที่ผมรู้จักจริงๆ

ผมไม่คิดเลยว่าโลกจะกลมขนาดที่พาให้ผมมาพบกับคนรู้จักถึงสองคนแบบนี้ นี่ขนาดผมเลือกที่จะเรียนในมหาลัยต่างจังหวัดแล้วนะ ยังทุลักทุเลขนาดนี้เลย คุณคงจะจำได้ใช่ไหมว่าถ้าหากมหาลัยของผมมีคนอยู่หนึ่งล้านผมก็อยากจะเจอไทม์เป็นคนที่หนึ่งล้าน แต่สำหรับใบพัดผมอยากเจอเขาเป็นคนที่ร้อยล้านแม้มหาลัยของผมจะมีคนอยู่ไม่ถึงล้านคนก็ตาม เพราะอะไรน่ะเหรอ เฮ้อ... เรื่องมันยาว รู้แค่ว่า ผมกับเขาถ้าเราไม่ได้เจอกันอีกผมคงจะขอบคุณโลกมากกว่านี้ หลังจากที่โลกเขามอบใบหน้าแบบนั้นให้ผมแล้ว

อย่าสั่นสิวะ

นี่คือสิ่งที่ผมสั่งกับตัวเองในทุกๆ ย่างก้าวที่ทำให้เข้าใกล้ใบพัดมากขึ้น ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้คือผม ผมอยากให้สถานการณ์แบบนี้มันจบลงสักที แล้วจะดีมากๆ ถ้าชั่วชีวิตของผมจะไม่ต้องเจอกับใบพัดอีก

ผมเอื้อมมือไปหยิบเอาของโดยที่ไม่พูดหรือแม้แต่มองหน้าของใบพัด ซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่สนใจ แต่... ผมคิดผิดไป เพราะระหว่างที่ผมกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบเอากระเป๋าของผมที่อยู่ทางด้านหลังของเขา อยู่ดีๆ เขาก็เอามือของเอามาจับข้อมือของผมไว้แน่น ทำให้ผมได้แต่ก้มหน้าตัวสั่นอยู่ท่านั้น

“ไม่คิดจะของคุณหรือขอโทษอะไรรุ่นพี่หน่อยเหรอ” อีกฝ่ายถามอย่างวางท่า

แต่เดี๋ยว... รุ่นพี่อย่างนั้นเหรอ งั้นก็แปลว่าเขาจำผมไม่ได้ใช่ไหม ผมคิดถูกใช่ไหม ผมตัดสินใจเสี่ยงดวงดูอีกครั้งด้วยการค่อยๆ เงยหน้าขึ้นเพื่อประจันหน้ากลับเขา การเสี่ยงของผมครั้งนี้อาจเป็นสิ่งที่ชี้ชะตาว่าผมจะต้องเผชิญหน้ากับเขาในฐานะผมคนเก่าหรือผมคนใหม่

ดวงตาแหลมคมคู่นั้นมองมาที่ผมเหมือนจะกรีดแทงผมซะให้ได้ แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้มันคือสายตาของคนที่ไม่ได้ระแคะระคายอะไรเลย มีเพียงความรู้สึกเดียวคือไม่พอใจ แล้วผมจะทำยังไงต่อไปดีล่ะ ผมคนใหม่คนนี้ควรจะสู้กับเขาในฐานะคนๆ ใหม่ที่จะไม่ยอมให้เรื่องเก่าๆ ซ้ำรอยเดิมหรือต้องทำอย่างไรต่อไปดี แต่คำตอบที่ได้กลับมาในรูปแบบของม่านตาที่พร่ามัวพร้อมกับหยดน้ำอุ่นๆ ที่คลออยู่รอบดวงตา

ไม่ ไม่ใช่ตอนนี้ ผมยังไม่พร้อมแล้วก็ยังรู้สึกเปราะบางเกินไปที่จะสู้กับคนอย่างเขา เพราะผมกลัว กลัวจนตัวสั่นไปหมด

ใบพัดมีสีหน้าตกใจกับสิ่งที่ผมแสดงออกมาทำให้เขาปล่อยมือออกจากข้อมือของผมทันที

แม่งเอ๊ย นี่กูเป็นใครทำไมถึงได้อ่อนแอขนาดนี้วะ ทำไมต้องกลัวมันด้วย!

ผมได้แต่ก่นด่าตัวเองอยู่ในใจให้กับไอ้น้ำตาโง่ๆ หยดนี้ ก่อนที่จะรีบเช็ดออกก่อนที่คนอื่นนอกจากใบพัดจะเห็นแล้วรีบหยิบเอากระเป๋าทันที พร้อมกับยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วหันหลังเดินออกไป

“เดี๋ยว”

ใบพัดพูดเสียงดังเหมือนจงใจให้คนอื่นได้ยินด้วยก่อนที่จะยืนขึ้น ด้วยความสูงของเขาที่ห่างจากผมหลายเซนติเมตร เลยทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับถูกเขาคุกคามอย่างบอกไม่ถูก

“คะ...ครับ”

อย่าสั่นสิวะ!

“นี่ตารางเรียนมึง” ใบพัดบอกพลางยัดมันเข้าไปในมือผม อย่างถือวิสาสะ

“อ่อ”

“กูจะบอกแค่ว่ากูลงตารางเรียนGEตัวสุดท้ายให้มึงเซคเดิมไม่ได้เพราะมันเต็มกูเลยเปลี่ยนเซคให้ แต่ได้เวลาเดิม ส่วนวิชาเอกกูลงเซคหนึ่งให้มึงทุกตัว เพราะมันลงไม่ทัน” ใบพัดบอกขรึมๆ

“โหไอ้ใบพัด มึงจะเข้มอะไรนักหนาดูสิน้องมันกลัวหมดแล้ว” เพื่อนของใบพัดสวนขึ้นพลางเดินมาทางพวกผม

“เออนั่นสิ น้องมันออกจะหน้าตาน่ารักจะมึงจะดุอะไรนักหนาวะ นี้มึงจะเลิกเป็นเดือนไปเป็นพี่ว้ากแล้วหรือไง”

“เออใช่แต่ระวังกองกิจเขาจะจับเอานะมึงเดี๋ยวนี้เขาไม่ให้ว้ากน้องแล้วด้วย”

“หึ น่ารักงั้นเหรอ ก็ไม่รู้สิหน้าตาน่ารักของพวกมึงอาจจะมีอะไรที่ปิดบังไว้ก็ได้ใครจะไปรู้ เคยได้ยินไหมว่าน้ำนิ่งไหลลึกน่ะ” ใบพัดตอบกลับอย่างเจ็บแสบโดยที่ไม่ได้มองหน้าผมเลยสักนิด

“จะเป็นอย่างงั้นไปได้ยังไงล่ะ ดูน้องขาออกจะซื่อขนาดนี้ เนาะไอ้ตูน”

“เออนั่นสิ ก็อย่างที่ไอ้เนย์ว่าน่ะแหละ ใช่ไหมครับน้องนิวเยียร์” ตูนถาม

“อะ อ๋อ ครับไม่มีอะไรอย่างงั้นอยู่แล้วครับ” ผมตอบออกไปส่วนหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่มีคนแก้ต่างแทน นี่หรือที่คนปกติเขาเป็นกันมีคนที่เป็นห่วงและคอยปกป้อง นี่สินะคือสิ่งที่ผมไม่เคยได้รับจากเพื่อนเลย “ว่าแต่พวกพี่รู้จักชื่อผมได้ยังไงครับ”

ให้ตายเถอะผมเพิ่งจะสังเกตได้ว่าน้ำเสียงของผมมันแย่แค่ไหนให้เด็กอนุบาลฟังยังรู้เลยว่าไม่ปกติ

“น้องนิวเยียร์เป็นอะไรหรือเปล่าครับทำไมเสียงถึงเป็นแบบนั้น แถมตาก็ดูบวมๆ ด้วย” เนย์ถามขึ้นท่าทางเป็นห่วง

“อ๋อคือ... ไม่มีอะไรหรอกครับพอดีผมแพ้ฝุ่นน่ะครับ”

“เฮ้อโล่งอกไปที พี่ก็นึกว่าไอ้ใบพัดทำให้น้องร้องไห้ เพราะเห็นตอนที่น้องวิ่งออกไปดูอาการไม่ดีเลย มีบางคนบอกว่าเห็นน้องร้องไห้ด้วยซ้ำ” ตูนบอก

“อ๋อไม่หรอกครับ พอแพ้ฝุ่นก็จะเป็นแบบนั้นล่ะครับ มีน้ำหูน้ำตาเป็นเรื่องปกติ” ผมปดออกไป แต่ไม่รู้สิการที่ผมได้พูดกับสองคนนี้ทำให้ผมหายสั่นได้เยอะเลย “แต่พี่ยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลยนะครับพี่รู้จักชื่อผมได้ยังไง”

“โหยน้องนิวเยียร์อย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย ก็ในกลุ่มไอทีเขาลงรูปน้องกันซะให้เกลื่อนขนาดนั้น” เนย์ตอบเหมือนกับรู้ทันผมทั้งที่ผมไม่รู้เรื่องกลุ่มอะไรเลย

“กลุ่มอะไรนะครับ ผมนึกว่ามีแค่กลุ่มHome CMD กับ น้องใหม่CMD ซะอีก”

“เฮ้ยอำพี่เล่นหรือเปล่าเนี่ย” เนย์ถาม

“ไม่ครับ แล้วอีกอย่างคนหน้าตาธรรมดาๆ แบบผมนี่นะคนเขาจะเอาไปพูดถึงทำไม”

“คิดงั้นจริงดิ” ตูนถามขึ้นพลางมองหน้าผม

“คิดอะไรเหรอครับ” ผมถามพาซื่อ

“นี่ไม่รู้จริงๆ เหรอว่าตัวเองน่ารักน่า” ตูนถาม

“อะไรนะครับ! ผมนี่นะน่ารัก” ผมถามพลางหัวเราะออกมา “ทำไมทุกคนชอบอำผมกันจังเลยไม่กลัวผมจะติดนิสัยหรือไง”

“กูว่าน้องมันไม่รู้จริงๆ ว่ะ” เนย์พูดทำหน้าราวกับเหลือเชื่อในสิ่งที่ผมพูดออกมา

“สรุปพวกมึงจะไปกันไหมวะแม่งพูดแต่เรื่องไร้สาระอยู่ได้” ใบพัดพูดแทรกขึ้นมากลางป้อม พลางทำหน้าตารู้สึกเบื่อหน่ายกับบทสนทนาตรงหน้าเต็มทน

“เออจริงสิ น้องนิวเยียร์วันนี้ไปกินชาบูกับพวกพี่ไหม” เนย์ถาม

“อะไรนะครับ”

นี่พวกเขาชวนผมไปกินชาบูงั้นเหรอทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันเนี่ยนะ

“ไปกินชาบูไงรู้จักใช่ไหม” เนย์พูดเหมือนกำลังพูดกับเด็กอนุบาล

“ไอ้นี่ทำอย่างกับน้องมันเป็นเด็กไปได้” ตูนว่า

“คือ...” ผมอึกอักเพราะแค่สถานการณ์ตอนนี้ผมว่าผมก็กระอักกระอ่วนมากพอแล้วกับการที่ต้องมาอยู่ใกล้ใบพัดแบบนี้ แต่นี่จะให้ไปนั่งกินชาบูที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นอาหารแห่งมิตรภาพด้วยกันทั้งที่ความสัมพันธ์ของเรามันชั่งแหลกเหลวเนี่ยนะมันจะเกินไปไหม

“น้องนิวเยียร์ไม่ต้องห่วงนะไอ้ใบพัดมันจะเป็นคนเลี้ยงทั้งหมดเพราะมันลงทะเบียนเรียนให้น้องได้ไม่ตรงตามตารางแรก” เนย์ว่าเมื่อเห็นผมมีท่าทางลังเล

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกันเหรอครับ” ผมถามอย่าสงสัย

“เกี่ยวสิ ก็พวกพี่ตกลงกันไว้ไงว่าถ้าใครลงตารางเรียนให้น้องได้ไม่ครบตามตารางแรกต้องเลี้ยงชาบู” ตูนบอก

ให้ตายเถอะพวกเขาตกลงกันจริงจังขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

“คือผม...” ไม่อยากไปเลยว่ะไม่อยากอยู่ใกล้กับคนคนนี้เลย

“จะลีลาทำไมวะ จะไปก็ไปไม่มีใครทำอะไรมึงหรอก” ใบพัดพูดขึ้น เพื่อตัดรำคาญ “เจอกันหนึ่งทุ่ม แล้วมึงมีรถไหม”

ผมส่ายหัวเนื่องจากไม่รู้จะพูดอะไรออกไป เพราะเมื่อใบพัดทำท่าเหมือนรำคาญออกมาแบบนั้นผมก็เริ่มจะสั่นขึ้นมาอีก

“งั้นเดี๋ยวกูไปรับ เอาโทรศัพท์มา” ผมไม่ได้อยากให้โทรศัพท์ของผมกับเขาเลยอิดออดทำท่าเหมือนหาไม่เห็นอยู่สักพักก่อนที่จะโดนใบพัดตวาดออกมา “เร็วๆ สิวะ”

“มึงจะตะคอกน้องทำไมวะ” เนย์ปรามเพื่อน

ผมได้แต่จำใจยื่นโทรศัพท์ให้กับเขาไป ก่อนที่เขาจะกดเบอร์เขาแล้วกดโทรออก แม่งเอ๊ยทำไมผมไม่สู้วะ ไหนบอกว่าเป็นคนใหม่แล้วไงยังยืนนิ่งอยู่แบบนี้อีกเหรอ

“เอานี่พวกกูไปล่ะ” ใบพัดพูดพลางยื่นโทรศัพท์คืนให้ผมแล้วเดินออกไปทางประตู

“เดี๋ยว” ผมรวบรวมความกล้าครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะปฏิเสธเขา

มึงพูดออกมาสิวะไอ้นิวเยียร์ พูดออกมาเลย

“อะไรอีก”

“...”

อยู่ดีๆ ทำไมความกล้าและความอวดดีของผมมันหายไปแบบนี้ล่ะ แค่พูด แค่พูดมันออกมาไง บอกไปเลยว่าไม่อยากไป

“ผมไม่...” พูดต่อสิวะว่า 'ไม่อยากไป' ไอ้ปากบ้านี่ “ผมไม่มีอะไรครับ”



หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 4 คนที่ร้อยล้าน 2/2
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 03-02-2021 20:59:28
 :z2: :z10:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 4 คนที่ร้อยล้าน 2/2
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 04-02-2021 01:15:47
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 4 คนที่ร้อยล้าน 2/2
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 04-02-2021 10:31:57
เนาะ เข้าใจนิวเยีย
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 5 อาหารแห่งมิตรภาพ (1/2)
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 04-02-2021 20:00:06
Chapter 5

อาหารแห่งมิตรภาพ



หลังจากที่ผมเดินลงมาจากห้องโปรแกรมมิ่ง ผมก็พบเข้ากับนะโมและต้าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะมาหินอ่อนหน้าคณะเลยเดินเข้าไปทักทายซึ่งผลก็ปรากฏว่าพวกเขามานั่งรอผมอยู่ตรงนี้เนื่องจากรุ่นพี่บอกว่าใครลงทะเบียนเสร็จแล้วให้ลงมาข้างล่างเลยไม่ต้องรอเพื่อน ซึ่งนั่นมันทำให้ผมประทับใจมากที่อย่างน้อยก็ยังมีคนรอผมอยู่

“อือ ต้ากับนะโมไปกินชาบูด้วยกันไหมเดี๋ยวเราเลี้ยงเอง”

ผมถามอย่างนึกขึ้นได้เพราะอย่างน้อยก็จะได้มีเพื่อนมาเป็นไม้กันหมา ซึ่งทั้งสองคนก็เอาแต่อิดออดบอกว่าเกรงใจผม แต่ก็ยอมที่จะไปเป็นเพื่อนแต่จะขอจ่ายตังค์เอง ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลยตอนจ่ายเงินค่อยจ่ายคนเดียวก็ได้ เพราะอย่างน้อยผมก็ได้กำลังเสริมช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แล้ว แต่ผมยังไม่รู้จักร้านเลยเนี่ยสิ









ผมกลับมาถึงห้องพร้อมกับความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเต็มทน วันนี้มันวันซวยอะไรของผมก็ไม่รู้ที่ต้องไปเจอกับใบพัดคนที่ผมอยากเจอ เป็นคนสุดท้ายในโลกแบบนั้น ถึงผมจะหวังให้การพบกันของเราในครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้าย แต่มันเหมือนกับเทวดาบนฟ้าได้ยินเนื้อหาคำขอของผมตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผมคิดทั้งหมด เพราะดูเหมือนว่านี่จะเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

ผมพยายามสลัดความคิดทั้งหมดออกไปจากสมองก่อนที่จะวางกระเป๋าลงบนโต๊ะแล้วตรงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมกับไปหยิบไม้แขวนเสื้อออกมาเพื่อที่จะจัดการกับเสื้อผ้าที่ผมทิ้งมันไว้ตั้งแต่เมื่อเช้า

ผมจับเสื้อบาสตัวแรกขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่ว่าผมเคยใส่เสื้อตัวใหญ่ขนาดนี้ด้วยเหรอ ทั้งกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มก็ไม่เหมือนกับกลิ่นที่เคยใช้ในทุกๆ ครั้ง ตัวต่อไปคือกางเกงฟุตบอลสีขาว แต่เดี๋ยวนะ ผมว่านี่มันจะแปลกไปกันใหญ่แล้วทำไมในตะกร้าผ้าของผมมีกางเกงบอล มันเป็นกีฬาที่ต้องเล่นกันเป็นทีมไม่ใช่หรือ ซึ่งนั่นแปลว่าผมไม่มีทางที่จะซื้อมันมาใส่แน่นอน มันไม่เหมือนกับเสื้อบาสที่ผมใช้ใส่นอน เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงเริ่มค้นเสื้อผ้าในตะกร้าทันทีซึ่งก็มีแต่เสื้อผ้ากีฬากับชุดนิสิตที่ดูเหมือนจะมีหลายตัวเป็นพิเศษราวกับจะใส่ตัวละวันแล้วทิ้งเลยอย่างไงอย่างงั้น แล้วในที่สุดผมก็ได้พบเข้ากับสิ่งของชิ้นโบแดง ที่ผมบอกว่าแดงคือแดงจริงๆ เพราะสิ่งที่ผมจับอยู่ตอนนี้คือกางเกงลิงสีแดงของใครก็ไม่รู้...

“อ้ากกกก”

ผมร้องขึ้นพร้อมกับทิ้งเจ้ากางเกงในตัวนั้นลงกับพื้นด้วยความรู้สึกขยะแขยง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ทำไมตะกร้าผ้าของผมถึงมีเสื้อผ้าของคนอื่นอยู่แบบนี้ซะได้ ว่าแล้วอยู่ดีๆ ภาพในตอนเช้าตอนที่ผมรีบไปเอาตะกร้าผ้าขึ้นมาบนห้องก็ฉายกลับเข้ามาในสมองราวกับภาพในม้วนฟิล์ม

“หรือว่า...” ผมกลืนน้ำลายลงคอดัง อึก “เราจะหยิบตะกร้าผิด”

คิดได้ดังนั้นผมก็รีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าทันที ก่อนที่จะกดเข้าไปในแอพของหอพักแต่ก็ไม่มีอะไร แล้วทันใดนั้นสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นแจ้งเตือนจากกลุ่มของหอพักราวกับถูกเขียนบทมา เมื่อผมกดเข้าไปดูก็พบกับโพสต์ของเจ้าของโปรไฟล์รูปหมาที่กำลังเห่า ใต้โพสต์นั้นเป็นอัลบั้มภาพที่น่าจะมีอยู่ซักสามสิบรูปได้ พร้อมกับแคปชั่น

‘เสื้อผ้าหายอยากได้คืน’

ผมกลั่นใจกดเข้าไปดูรูปภาพเพราะผมคิดว่าสิ่งที่ผมเห็นอยู่เป็นเสื้อผ้าแน่ๆ แต่ผมก็ได้แต่หวังว่าให้มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ภาพแรกที่เห็นคือเสื้อตัวย้วยๆ มีรูพรุนสีเหลืองอมเทาที่แต่ก่อนมันเคยเป็นสีขาว ภาพที่สองเสื้อบาสที่เป็นรูจากการถูกตะปูเกี่ยว ภาพที่สามกางเกงบ๊อกเซอร์สีซีดที่บางราวกับพลาสติกใส ภาพที่สี่กางเกงสีดำขาสั้นที่ผมเพิ่งจะซื้อมาใหม่ แล้วรูปที่เหลือก็เป็นเสื้อผ้าของผมที่ประจานว่าคนใส่มีรสนิยมชอบเสื้อผ้าแบบไหน ก่อนที่จะปิดท้ายด้วย เสื้อสีดำที่สภาพรุ่งริ่งเต็มทนซึ่งแต่ละภาพคนถ่ายจะจับมันราวกับรังเกียจเดียดฉันท์ซะเต็มประดา

ซึ่งทั้งหมดนั่นเป็นเสื้อผ้าของผมเอง! ให้ตายเถอะไอ้คนที่โพสต์รูปนี้มันตั้งใจจะแกล้งประจานกันชัดๆ

ผมค่อยๆ สงบสติอารมณ์ของตัวเองลงเพราะผมไม่อยากมีเรื่องกับคนในหอพัก ซึ่งถึงมีผมก็คงสู้กับเขาไม่ได้อยู่ดี เมื่อสงบสติลงได้จนน่าพอใจแล้วผมก็เลยเลือกที่จะทักเจ้าของเฟสบุ๊กที่โพสต์รูปเสื้อผ้าของผมไปทันที



Prommaphoot…

4:15หลังเที่ยง

New yeah : สวัสดีครับ

New yeah : คุณคือคนที่หยิบตะกร้าผ้าสลับกับของผมไปใช่ไหมครับ

New yeah : พอดีผมเห็นโพสต์เลยอยากจะเอาตะกร้าของคุณไปคืนน่ะครับ

4:25 หลังเที่ยง

Prommaphoot : ได้สิ

New yeah : ตอนนี้ได้ไหมครับพอดีผมมีธุระไม่สะดวกตอนเย็น

Prommaphoot : ได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหา

New yeah : งั้นเราเจอกันที่ไหนดีครับ

Prommaphoot : งั้นอีกห้านาทีเจอกันโถงตึกเอ

New yeah : โอเคครับ



ผมรีบเก็บเสื้อผ้าใส่ตะกร้าทันทีหลังจากที่คุยกับเจ้าของโพสต์โรคจิตคนนั้นเสร็จ ก่อนที่จะรีบวิ่งลงไปรอที่โถงตึกเอพร้อมกับท่องไดอาล็อกที่คิดเอาไว้ว่าจะพูดยังไงดีให้ผู้ชายคนนี้ลบภาพนั้นออก ผมคงจะต้องเด็ดขาดแล้วก็ดึงหน้าให้เข้มที่พร้อมกับพูดออกไปว่า ‘ช่วยลบโพสต์นั้นด้วยนะครับ เพราะมันเป็นการเสียมารยาทเอาซะมากๆ ที่เอาของส่วนตัวของคนอื่นมาถ่ายรูปประจานแบบนี้’ ประโยคนี้ล่ะน่าจะเหมาะที่สุดเพราะไม่ดูน่าเกลียดจนเกินไปแล้วก็ไม่ใจดีเกินไป แต่ทำไมรู้สึกมันติ๋มจังเลยวะ ค่อยปรับเอาตอนพูดก็แล้วกัน







ดูเหมือนว่าเจ้าของเสื้อผ้าในตะกร้าที่ผมถืออยู่จะยังไม่มาเพราะผมไม่เห็นมีใครถือตะกร้าผ้าอยู่ที่โถงนี้เลย ผมจึงนั่งลงที่โซฟาสักพัก ก่อนที่จะเห็นผู้ชายร่างท้วมคนหนึ่งถือตะกร้าผ้าสีดำที่เหมือนกับของผม เดินออกมาจากลิฟต์ ผมเลยรีบปรี่เข้าไปหาเขาทันที

“คุณครับ”

“ครับ” ชายคนนั้นตอบพลางหันหน้ามามองผมงงๆ

“ผมเป็นคนที่หยิบตะกร้าผ้าสลับกับคุณไปเมื่อเช้านี้น่ะครับ”

“คุณพูดอะไรของคุณน่ะ” เขามองผมแปลกๆ

“เอา ก็เสื้อผ้าเราที่มันสลับตะกร้ากันไงครับ"

“มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อผมยังไม่ได้เอาผ้าไปซักเลย ผมว่าคุณทักคนผิดแล้วล่ะ” ชายคนนั้นบอกพลางเดินจากผมไปโดยที่ไม่ได้หันมามองสักนิด

บ้าเอ๊ย นี่ผมทักคนผิดเหรอเนี่ยน่าอายชะมัด เขาจะคิดว่าผมเป็นพวกโรคจิตไหมนะ แล้วไอ้บ้าเจ้าของเสื้อผ้านี่ไปไหนล่ะทำไมไม่มาสักที นี่ก็เลยเวลามาห้านาทีแล้วนะ คิดได้ไม่ทันไรผมก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ผมจึงรีบหันหน้าไปมองก่อนที่จะพบเข้ากับเจ้ากรรมนายเวรของผมที่ไม่รู้ว่าเคียดแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหนถึงได้ตามจองล้างจองผลาญกันไม่จบไม่สิ้นสักที

“มึงทำอะไรวะ” ไทม์ถามขึ้นพลางมองหน้าผมแปลกๆ

“ทำอะไร ไม่ได้ทำอะไรโว้ย” ผมตอบอย่างเหนื่อยหน่ายเต็มทน ทำไมสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรก็ตามแต่ ถึงทำกับผมแบบนี้ ส่งคนที่ผมไม่อยากเจอมาพร้อมกันในวันเดียวแบบนี้ทำไม

“ก็กูเห็นมึงคุกคามผู้ชายคนเมื่อกี้อยู่”

ดูมันเลือกใช้คำ

“คุกคามบ้านมึงสิ” ผมด่าออกไปอย่างเหลืออด เมื่อเห็นมันทำหน้าตาซื่อๆ ราวกับมันคิดว่าผมกำลังคุกคามคนคนนั้นอยู่จริงๆ และในขณะนั้นผมก็เห็นมันถือตะกร้าผ้าสีดำที่เหมือนกับของผมเปี๊ยบ ผมได้แต่ภาวนาในใจ ขออย่าให้มันพูดคำนั้นออกมา

“ไหนล่ะตะกร้าผ้ากู”

บ้าเอ๊ย จริงๆ ด้วย ทำไมผมไม่เอะใจเรื่องชื่อเฟสของไอ้หมอนี้นะ ทั้งที่ผมก็จำชื่อมันได้แต่ทำไมไม่เอะใจอะไรเลย

“เอามึงจะยืนบื้ออยู่ทำไมล่ะ เอาตะกร้าผ้ากูมาสิ” ไทม์เรียกเตือนสติผมให้กลับมาอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง

“ทำไมต้องเป็นมึงด้วยวะ”

“อะไรของมึงอีก”

“ทำไมเวลามีเรื่องยุ่งๆ เกิดขึ้นต้องเป็นมึงทุกทีเลย” ผมบ่นออกมาทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่า จะไม่มีทางได้คำตอบที่เป็นเหตุเป็นผลจริงๆ จากคนตรงหน้าแน่นอน

“โห กูคงอยากให้เป็นมึงมากมั้ง”

“พูดแบบนี้หมายความว่าไงวะ” ผมถามอย่างหาเรื่อง ผมล่ะอยากจะแลกหมัดกันกับไอ้เด็กฟันน้ำนมยังขึ้นไม่ครบคนนี้ซะจริงๆ

“มึงยังจะถามอีกเหรอ เจอกันครั้งแรกก็ขอให้กูช่วยพอเสร็จก็ว่ากูเป็นโรคจิตอีกแบบนี้กูคงอยากทดแทนบุญคุณมึงมั้ง”

ปกติไทม์จะเป็นคนที่พูดน้อยเอาซะมากๆ ยิ่งกับคนที่ไม่รู้จักนี่แทบจะไม่เสียเวลาต่อล้อต่อเถียงด้วยเลย เพราะเขาบอกผมว่ารำคาญ และไม่เกิดประโยชน์ผมคิดว่าเรื่องที่ผมทำให้เขากลายเป็นโรคจิตคงจะฝังใจเขามากแน่ๆ ถึงระบายออกมาเป็นชุดแบบนี้ แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะผมก็ยังรู้สึกโมโหไม่หายที่เขาเอาเสื้อผ้าของผมไปถ่ายประจานแบบนั้น

“ก็... ก็มึงคาดคั้นกูทำไมล่ะ”

“เพราะกูรู้ว่ามึงโกหกไง! ”

ผมหยุดชะงักให้กับคำตอบของไทม์ เขาบอกว่าเขารู้ว่าผมโกหกงั้นเหรอ มันหมายความว่ายังไงกัน หรือเขารู้อะไรเกี่ยวกับผม

“มะ...มึงหมายความว่ายังไง”

“กูรู้ว่ามึงมีอะไรที่ปิดบังไว้อยู่ เรื่องที่มึงกลัวว่ากูจะรู้” ไทม์พูดเสียงเรียบยิ่งทำให้คำพูดของเขาน่าเชื่อถือเข้าไปใหญ่ ว่าเขารู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับผมจริงๆ นั่นทำให้อยู่ๆใจของผมก็สั่นขึ้นมา

“มึงอย่ามาทำเป็นเก่งหน่อยเลย” ผมบอกออกไปเสียงดังแทบจะเรียกว่าตะโกนก็ยังได้ ก่อนที่ดึงเอาตะกร้าในมือเขาแต่ไทม์ก็ยื้อไว้แล้วจ้องเข้ามาในดวงตาของผมเหมือนกับพยายามจะหาอะไรจากข้างในนั้น “ปล่อย” ผมบอกออกไปเพราะรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนั้นอึดอัดเกินไปแล้ว แต่อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็ปล่อยมือออกอย่างไม่มีสาเหตุ

“บ้าเอ๊ยคงไม่ใช่หรอก” ไทม์สบถออกมา แล้วในขณะนั้นผมก็รีบออกเดินทันที “เดี๋ยวก่อน" ไทม์เรียกทำให้ผมต้องหยุดลงทั้งที่ใกล้จะถึงประตูอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่ได้หันหน้ากลับไปมองเขา “เสื้อผ้ากูครบแน่นะ”

ให้ตายเถอะคนก็ลุ้นตั้งนานว่าจะพูดอะไร แค่นี้เนี่ยนะทำเอาผมใจหายใจคว่ำไปหมด

“แล้วมึงคิดว่ากูอยากจะเก็บของมึงไว้ไหมล่ะ” ผมประชดกลับไป

“ก็ดี” ไทม์ตอบสั้นๆก่อนที่จับตะกร้าขึ้นแล้วทำท่าจะเดินจากไป

“เดี๋ยวก่อน” คราวนี้เป็นผมซะเองที่รั้งเขาไว้ ไทม์หันหน้ามาพร้อมกับมองหน้าผมด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “คือเรื่องรูปเสื้อผ้ากูน่ะการที่มึงเอาลงแบบนั้นมัน...”

“กูรู้แล้วเดี๋ยวลบให้” ไทม์ตอบโดยที่ไม่ได้รอให้ผมพูดจบด้วยซ้ำ ก่อนที่เขาจะเดินจากไปโดยที่ไม่ได้หันกลับมาอีกเลย





หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 5 อาหารแห่งมิตรภาพ (1/2)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 04-02-2021 20:31:30
 :z3: :z2:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 5 อาหารแห่งมิตรภาพ (1/2)
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 04-02-2021 21:42:29
ไท นี้คงคิดถึง นว มาก
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 5 อาหารแห่งมิตรภาพ (1/2)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 04-02-2021 23:22:51
เชียร์ไทม์พระเอก100% :hao7:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 5 อาหารแห่งมิตรภาพ (1/2)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 05-02-2021 01:09:33
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 5 อาหารแห่งมิตรภาพ (1/2)
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-02-2021 20:09:05
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 5 อาหารแห่งมิตรภาพ (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 05-02-2021 20:13:21
ผมกลับขึ้นมาบนห้องด้วยความรู้สึกหลากหลาย และเอาแต่คิดเรื่องของไทม์วนไปวนมาจนตีกันในหัวเต็มไปหมด ทำไมเขาถึงบอกว่าเขารู้ล่ะ ผมหมายถึงทำไมเขาบอกว่าผมมีเรื่องที่ปิดบังเขา ทั้งที่ตัวผมสำหรับเขาควรจะเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก และไม่คิดที่จะมาเสียเวลาชีวิตด้วยเลย แต่ทำไมเขาถึงทำสิ่งที่กลับกันกับสิ่งที่เขาเป็นเวลาอยู่กับผมด้วย

“โว้ยยยยยย” ผมตะโกนออกมาเพราะรู้สึกอยากจะระบายความอัดอั้นที่มีอยู่ในใจ “คิดไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา เอาเวลาไปตากผ้ากว่าไอ้นิวเยียร์”

สิ้นประโยคผมก็คว้าเข้าไปที่เสื้อผ้า แต่แล้วผมก็ต้องแปลกใจที่เสื้อผ้าของผมแห้งสนิท

ไม่จริงน่า...

ผมค้นเสื้อผ้าตัวอื่นๆ ที่เหลืออยู่ในตะกร้าขึ้นมา แต่ทุกตัวก็แห้งสนิทอย่างตัวแรก มีเพียงแต่กลิ่นของไอแดดและน้ำยาปรับผ้านุ่มเท่านั้นที่คอยบอกกับผมว่าผมไม่ได้คิดไปเอง

นี่ไทม์มันจะทำให้คนแปลกหน้าขนาดนี้เลยเหรอ... ผมควรจะทักไปถามเขาดีไหมนะ หรือว่านี่เป็นสิ่งที่ทุกคนเขาทำกันปกติอยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าไม่นะ

ติ้ง!

เสียงข้อความในไลน์ดังขึ้นพร้อมกับกระชากผมออกจากภวังค์ให้มาอยู่กับความเป็นจริงที่กำลังจะเผชิญในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า เพราะสิ่งที่ไลน์กำลังบอกผมก็คือมีใครคนหนึ่งได้เพิ่มบัญชีไลน์ของผมด้วยหมายเลขโทรศัพท์ซึ่งคนคนนั้นคือ ใบพัด ผมได้แต่ถอนหายใจให้กับเรื่องที่คิด...

Trrrrrrrr

เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นครึ่งชั่วโมงหลังจากที่เสียงไลน์แจ้งเตือน ซึ่งผมไม่ได้เม็มเบอร์ปลายทางไว้ทำให้มันโชว์แค่เบอร์อยู่บนหน้าจอ

“ครับ” ผมขานเมื่อรับสาย

‘หอมึงอยู่ไหนกูจะออกไปรับแชร์โลมาหน่อยสิ’

ผมจำได้ทันทีว่าเสียงปลายสายนั่นคือใครซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจมากนัก แต่มึงก็ไม่คิดว่ามึงจะโทรผิดบ้างหรือไงฮะ! ไม่มีมารยาทขนาดที่โทรมาไม่ต้องเกริ่นนำหรือแนะนำตัวเลยหรือยังไง

‘มึงว่าไงนะ’

“ปะ...เปล่าครับ”

เหี้ยกูยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะหรือว่ามันจะ...ได้ยินความคิดเรา จะเป็นไปได้ยังไงเล่าไร้สาระ คนนิสัยแย่แบบมันนี่นะ

‘มึงด่ากูอยู่ใช่ไหม’

เหี้ยแล้วหรือว่าจะจริง “เปล่าครับ”

‘แล้วมึงเงียบทำไม’

“ก็...ก็ผมคิดอยู่ไงครับว่าจะแชร์โลเคชั่นให้รุ่นพี่ได้ยังไง” เรื่องแก้ตัวแบบโง่ๆ ขอให้บอก

‘มึงเป็นสาวญี่ปุ่นหรอ’

“ฮะ ไม่หนิครับ”

“แล้วมึงจะเรียกรุ่นพี่ทำไมกูขนลุก แล้วอีกอย่างมึงไปลาออกจากคณะไอทีเลยนะถ้าแค่แชร์โลเคชั่นยังทำไม่เป็นน่ะ เสียชื่อคณะหมด”

กูแชร์เป็นโว้ยย แต่กูไม่ได้อยากแชร์ให้มึงงงง แล้วกูก็ไม่อยากไปกินอะไรกับมึงด้วยยย

“มึงว่าอะไรนะ”

“เอ่อ...ผมว่าเดี๋ยวส่งไปให้”

‘เออเร็วๆ ด้วยล่ะขี้เกียจรอ’ ว่าแล้วใบพัดก็กดตัดสายไปโดยที่ไม่พูดล่ำลาสักคำ ไร้มารยาทโดยส่วนลึกของจิตใจซะจริงๆ

เฮ้อ...แต่ผมก็ต้องทำมันสินะ







หลังจากผมส่งโลเคชั่นไปให้ใบพัดไปประมาณสิบห้านาทีเขาก็โทรบอกให้ผมลงไปหาเขา ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นผมก็คงจะดีใจอะนะที่มาได้รวดเร็วทันใจขนาดนี้ แต่กับใบพัดผมแทบจะขอให้เกิดอุบัติเหตุกลางทางขนาดที่เขาขับรถมาเลยทีเดียว แต่มาถึงขนาดนี้แล้วผมก็มีแต่ต้องสู้กับสู้เท่านั้น

โอเคใจเย็นไว้ ใจเย็นไว้ มึงต้องทำได้นิวเยียร์อย่าสั่น มันจำเราไม่ได้

“เกือบไม่ได้ไปแล้วไหมล่ะ” ใบพัดพูดขึ้นหลังจากที่ผมขึ้นไปบนรถแล้ว

“ครับ” ผมขานรับอย่างไม่แน่ใจ

“ก็ตอนที่กูขับรถมาน่ะสิ แม่งมีรถขับมาปาดหน้ากูเกือบเสียหลักลงข้างทางแล้วเชียว”

“เอ่อ...” ถ้าความคิดผมจะสั่งได้ขนาดนี้ที่หลังไม่คิดแล้วดีกว่า



ตลอดทางผมเอาแต่เงียบแล้วรีบส่งข้อความบอกนะโมกับต้าหลังจากที่ผมถามใบพัดแล้วว่าเราจะไปร้านไหน เมื่อมาถึงก็พบกับเนย์และตูนที่รออยู่หน้าร้านซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากที่ไม่ต้องอยู่กับใบพัดสองสองต่อสอง เพราะตลอดทางผมเอาแต่นั่งเกร็งจนปวดตูดไปหมด

“สวัสดีครับ” ผมทักทายเนย์กับตูนไปตามมารยาท

“ดีรับน้องนิวเยียร์” ทั้งสองคนตอบ

“พวกมึงจองโต๊ะไว้แล้วใช่ไหมวะ” ใบพัดถาม

“ก็เออสิวะ” ตูนตอบ

“เออดีเลยแม่งหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว” ใบพัดบ่น

“เอ่อ...เดี๋ยวก่อนได้ไหมครับ” ผมบอกเพราะอยากจะรอต้ากับนะโมให้มาพร้อมกัน

“ทำไม” ใบพัดถาม

“เอ่อคือ...” ถ้าบอกออกไปจะโดนโกรธไหมวะ “เปล่าครับงั้นเข้าไปกันเถอะ”

บ้าเอ้ยสุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไปอย่างเคย แม่งลูซเซอร์ชิบเป๋ง

“นิวเยียร์จะนั่นตรงไหนเลือกเลยนะ” เนย์บอกอย่างใจดี

ผมยิ้มให้เนย์แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะกำลังลุ้นอยู่ว่าใบพัดจะนั่งตรงไหนผมจะดีหลีกเลี่ยงที่จะนั่งติดหรือตรงข้ามเขาได้ถูก ก่อนที่ผมจะเห็นเขาวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งเหมือนกับจะจองมันไว้

เสร็จกูล่ะ

“งั้นผมนั่งตัวนี้ก็แล้วกันครับจะได้เข้าออกสะดวกๆ” ผมบอกพลางยิ้มให้กับความฉลาดของตัวเอง แต่รอยยิ้มนั้นก็เหมือนจะอยู่ได้ไม่เกินสองวินาทีเพราะใบพัดไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่เขาวางกระเป๋า แต่กลับเป็นเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับผมแทน ทำให้ผมมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจว่า มึงจะวางกระเป๋าบนเก้าอี้ที่มึงไม่นั่งทำไม

“หน้ากูเหมือนคนรู้จักมึงหรือไง” ใบพัดพูดขึ้นพลางมองหน้าผมกลับอย่างหาเรื่อง

ซึ่งผมก็ไม่ได้ตอบอะไรไป แล้วในขณะนั้นผมก็เห็นนะโมกับต้าเดินเข้ามาในร้านพอดีก็เลยโบกมือให้ทั้งสองคนด้วยความดีใจ ทำให้คนที่อยู่รอบๆ หันมามองผม แต่สำหรับนะโมกับต้าเมื่อเขาเห็นผมนั่งอยู่โต๊ะกับรุ่นพี่พวกเขาก็มีสีหน้าตกใจเพราะผมไม่ได้บอกพวกเขาไว้ก่อน

“เอ่อ นี้ต้านะครับส่วนนี่นะโม เพื่อนผมเอง” ผมแนะนำเพื่อนทั้งสองคนให้กับทุกคนรู้จักแม้คนที่บอกว่าจะเลี้ยงจะทำสีหน้าที่ไม่รับแขกนัก “อ่อพี่ไม่ต้องห่วงนะครับเดี๋ยวผมจ่ายส่วนของพวกเขาเอง ว่าแต่ผมชวนพวกเขามาพวกพี่โอเคใช่ไหมครับ ไม่งั้นผมย้ายโต๊ะไปนั่งกับพวกเขาก็ได้นะ”

ของให้มันตอบอย่างหลังด้วยเถิดเพี้ยง

“ไม่เป็นไรๆ ก็นั่งด้วยกันนี่แหละ” เนย์บอก

“ใช่ๆ หลายๆ คนจะได้ยิ่งอร่อย” ตูนบอก “แล้วเรื่องเงินนี่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะเดี๋ยวไอ้ใบพัดมันจัดการเอง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับผมเกรงใจ ยังไงเดี๋ยวจ่ายเองก็ได้” ผมตอบ

“เพื่อนเขาก็ให้เขาจัดการกันเองน่ะถูกแล้ว” ใบพัดพูดออกมาพลางบิดขี้เกียจเหมือนกับจะไม่ได้สื่อถึงใคร แต่ทุกคนรู้ว่าเขาหมายถึงผมเต็มๆ

“งั้นผมไปตักของก่อนนะครับ” ผมบอกพลางลุกขึ้นจากโต๊ะ เพราะผมไม่อยากให้สีหน้าของผมตะโกนออกมาว่า “กูเกลียดมึง” อย่างโจ่งแจ้งจนใบพัดจับได้

ร้านนี้เป็นร้านแนวบุฟเฟ่ต์จึงทำให้มีอาหารกินเล่นหลายอย่าง แล้วสิ่งดีงาม สิ่งเดียวในการไม่ปฏิเสธที่จะมาในครั้งนี้ คือเนื้อหมูสีชมพูบางๆ ที่แทรกเต็มไปด้วยไขมัน ซึ่งไม่ต้องให้เชฟที่ไหนมาบอกก็รู้ว่าเมื่อลวกแบบพอดีแล้วเอาเข้าไปในปากมันต้องหวานและละลายในปากอย่างแน่นอน รวมถึงสามชั้นสไลด์ที่มีมันแทรกกำลังดี และเนื้อวัวลายหินอ่อนที่มีสีแดงเหมือนกับเม็ดทับทิมแทรกด้วยมันสีเหลืองราวกับเนยที่แสนจะหอมหวน

สิ่งที่ผมทำในระหว่างตักอาหารทั้งหมดแทบจะถูกเรียกว่าขนไปถมที่ เพราะอะไรที่อยู่ตรงหน้าผมก็จะขนมันมาซะให้หมด ทั้งยำสาหร่ายเขียวและแดงที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อเคี้ยวอยู่ในปากมันจะต้องกรอบหนุบหนับพร้อมกับส่งกลิ่นหอมของเมล็ดงานที่โรยอยู่ ชีสบอลที่มีไอสีขาวลอยขึ้นกรุ่นๆ ซึ่งรับประกันได้ว่าเมื่อกัดเข้าไปชีสจะต้องยืดอย่างแน่นอน แล้วก็เห็ดนางรมและเห็ดเข็มทองที่ดูแล้วน่าจะหวานอร่อยเอาซะมากๆ เมื่อเจอกับน้ำจิ้ม คงจะให้ความรู้สึกไม่ต่างจากตอนที่คนทั้งโลกเวทมนตร์รู้ว่า ลอร์ดโวลเดอมอร์ตายเลยทีเดียว

ทุกสายตาบนโต๊ะจับจ้องมาที่ผมอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อผมหอบของมาวางบนโต๊ะ

“เอ่อ ความจริงนิวเยียร์ไม่ต้องตักมาเผื่อพวกพี่ก็ได้นะครับพวกพี่เกรงใจ” เนย์บอก

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับผมตักมากินคนเดียว แต่ถ้าพวกพี่อยากกินด้วยก็ได้นะครับ”

“ฮ่ะกินคนเดียว หมดนี่เนี่ยนะ” ต้าพูดออกมาเหมือนกับมันเป็นเรื่องแปลก

“ทำไมเหรอครับ” ผมถาม

“อ่อเปล่าหรอก ก็พี่เห็นตัวแค่นี้ไม่คิดว่าจะกินจุกขนาดนี้"ต้าบอกพลางยิ้มเจื่อนๆ

“โหพี่ยังไม่รู้อะไร ถ้าตอนผมหิวจริงๆ นะ ต่อให้พวกพี่ล้มวัวมาให้ผมกินคนเดียว ผมกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกยังได้เลย” ผมบอกอวดๆ พลางตบพุงโชว์ทำให้ทุกคนหัวเราะขึ้นมา

“แต่ถ้ากินไม่หมดก็จ่ายค่าปรับเองก็แล้วกันนะ” คนคนเดียวในกลุ่มพูดแทรกขึ้นมาทำให้ทุกคนที่กำลังหัวเราะเงียบลง

ทำไมหมอนี่มันถึงชอบชักใบให้เรือเสียอยู่เรื่อยเลยนะมีปมอะไรหรือเปล่าเนี่ย

ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่ตักยำสาหร่ายเข้าปากแทน ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นจริงๆ รสชาติเปรี้ยวหวานที่กลมกล่อมอยู่ในปากพร้อมกับรสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์กรุบกรอบอร่อยจนหยุดกินไม่ได้ ก่อนที่ผมจะลามไปต่อที่กุ้งแช่น้ำปลากับยอดคะน้าที่ตักมาพร้อมกัน บอกได้เลยว่ามันแซ่บจริงๆ ทั้งพริกขี้หนูสวน รากผักชี และกระเทียมที่โขลกแบบหยาบๆ กับน้ำจิ้มที่มีรสเปรี้ยวนำ ผสมเข้ากับเนื้อกุ้งหวานๆ ยอดคะน้ากรอบๆ ทุกอย่างในปากมันดูจะลงตัวไปซะหมด เมื่อกินอาหารเรียกน้ำย่อยเสร็จ ผมก็เริ่มที่จะเข้าสู่สนามรบไปสู้กับเมนูหลักในทันที แต่ในขณะนั้นผมก็เห็นบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้น

“เดี๋ยวจะทำอะไรอะ”

“ก็ลวกผักไงหรือมึงจะให้กูกินดิบๆ ล่ะ” ใบพัดบอกอย่าประชดประชัน

อะไรกันไม่รู้วิธีกินที่ถูกต้องจะมากินทำไมเนี่ย

“จะลวกผักก่อนเนื้อได้ยังไง การกินชาบูไม่ใช่ว่าสักแต่ว่าลวกนะ เพราะเราต้องลวกตามลำดับเริ่มจากเนื้อก่อนเพื่อให้น้ำซุปมีรสชาติของเนื้อ สำคัญคือต้องลวกทีละชิ้นไม่เทลงไปพร้อมกันหมด แล้วค่อยตามด้วยผักเพื่อให้น้ำซุปมีทั้งรสชาติของเนื้อและผักผสมกัน อีกอย่างดูนี่สิ น้ำเดือดปุดๆ แบบนี้จะเอาเนื้อลงไปได้ยังไงเสียของหมด” ผมบอกพลางลดไฟลง “การกินชาบูที่ถูกต้องจะต้องค่อยๆ ให้น้ำร้อนไม่ต้องเดือดปุดๆ ขนาดนี้ เพราะนั่นมันจะทำให้ได้รสชาติที่แท้จริงของน้ำซุป นี้เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงทำเนื้อให้บางแบบนี้ไงล่ะ แล้วอีกอย่างไม่ควรจะลวกเนื้อเกินสิบวินาทีเพราะนั่นจะทำให้เนื้อเหนียวแล้วกินไม่อร่อย ส่วนน้ำจิ้มจะมีสองแบบคือพอนสึสีดำรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆอันนี้เอาไว้กินกับผัก ส่วนน้ำจิ้มงาสีขาวรสชาติออกหวานเอาไว้กินกับเนื้อ เพราะถ้าจิ้มผิดวิธีจากที่ซอสจะช่วยชูรสชาติก็มีแต่จะทำให้รสชาติเสียเท่านั้น” เมื่อผมพูดเสร็จก็รีบคีบเนื้อชิ้นบางขึ้นมาแล้วแกว่งไปในน้ำไม่นานนักก่อนที่จะเอามาเป่าแล้วเอาเข้าปากพร้อมกับหลับดื่มด่ำกับรสชาติโดยที่ไม่จิ้มอะไรเพราะอยากสัมผัสรสชาติของเนื้อและน้ำซุบของจริง ซึ่งมันก็ดีอย่างที่คิด รสหวานของน้ำซุปแผ่ซ่านไปทั่วปาก แต่เหมือนจะยังไม่ได้ดื่มด่ำก็รสชาติดี เนื้อในปากก็เหมือนจะละลายไปแล้วเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ แต่เมื่อผมลืมตาขึ้นมาก็ต้องเจอกับสายตาของทุกคนบนโต๊ะที่จ้องมองมาที่ผมไม่วางตาย “มะ...มองทำไมอะทำไมไม่กิน”

ว่าแล้วทุกคนก็พากันทำตามอย่างที่ผมบอกก่อนที่จะเติมผักลงไปในหม้อ ซึ่งต้องเริ่มจากผักที่สุกยากอย่างแครอทแล้วก็เกี้ยว ส่วนพวกเห็ดไม่ต้องใช้เวลานาน

“โหนิวเยียร์ ไปเอาสูตรการกินมาจากไหนเนี่ยเราก็เอาน้ำจิ้มผสมกันมาตั้งนาน” ต้าบอกพลางเอาเนื้อเข้าปากไปอีกชิ้น

“เออนั่นสิอร่อยอย่างที่ว่าจริงๆ ด้วยว่าไหมไอ้ใบพัด” เนย์กระเซ้าเพื่อน แต่ใบพัดกับแค่พยักไหล่ราวกับจะบอกว่าก็งั้นแหละ

เฮ้อเสียดายชีวิตสัตว์จริงๆ ที่ต้องมาเป็นอาหารให้กับคนที่ไม่รู้คุณค่าแบบนี้

“เออว่าแต่แต่ละคนมาจากโรงเรียนไหนกันบ้างล่ะ” ตูนถามขึ้น

เหี้ยแล้วไง

“อ่อผมกับต้ามาจากประทุมครับ โรงเรียนบุตรพญา เป็นโรงเรียนชายล้วนน่ะครับ” นะโมบอก

“เอ่าเหรอ งั้นก็แปลว่ารู้จักกันมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะสิ” เนย์ถาม

“ใช่ครับแต่ไม่ค่อยสนิทกันซักเท่าไหร่เพราะอยู่คนละห้อง นี่เพิ่งจะได้มาคุยกันจริงๆ จังๆ ตอนเห็นเข้ากลุ่ม น้องใหม่cmd นี่เอง” ต้าตอบ

“แล้วนิวเยียร์ มาจากไหนเหรอ”

ซวยแล้วไง เอาไงดีวะถ้าบอกความจริงไปมีแต่ตายกับตายแน่

“เอ่อ... คือผม... มาจากร้อยเอ็ดครับ” ผมปดออกไปพลางยิ้ม

“เอา ถ่าเจิ่งซั่นกะต้องเว่าได้แม่นบ่” ตูนถามผมออกมาเป็นสำเนียงภาษาอีสาน ซึ่งผมไม่คุ้นเคยกับมันเลยสักนิด

“เอ่อ...เว่าอะไรนะครับ”

“บ่ต้องอายๆ คนอิสานนำกันเว่ากันได้”

เหี้ยอะไรวะเนี้ย

“คือ... ผมเว่าไม่เป็นครับ” คำพูดของผมทำให้ทุกคนบนโต๊ะพากันหัวเราะออกมาแม้แต่ใบพัดที่กำลังเก๊กอยู่

“เอาไหนบอกว่าเป็นคนร้อยเอ็ดไงไม่เคยเว่าเหรอ” ตูนถามด้วยความสงสัยแต่มันกับทำให้ผมคิดลึก

“มึงก็พูดกับน้องมันดีๆ ดิสัส เว่าๆ อยู่ได้กูคิดลึกไปหมดแล้ว” เนย์บอกเพื่อน

“เอ่อคือเว่าหมายถึงพูดน่ะ นี่นิวเยียร์ไม่รู้จริงๆ เหรอ” ตูนถามด้วยความสงสัย

“ก็... ครอบครัวผมพูดแต่ภาษากลางกันน่ะครับ เลยไม่ค่อยชิน”

“แล้วคนรอบตัวมึงไม่มีใครพูดอีสานเลยว่างั้น” ใบพัดถามด้วยสีหน้ากวนตีนสุดๆ

“ครับ”

“แล้วมึงอยู่โรงเรียนอะไร” ใบพัดจี้ผมต่อ

“เออใช่สิน้องนิวเยียร์อยู่โรงเรียนอะไร เผื่อพี่รู้จัก” ตูนถามด้วยความสนใจ

“อ๋อ... เรื่องนั่นน่ะ... พี่ไม่รู้จักหรอกครับมันเป็นโรงเรียนประจำตำบลน่ะครับไม่ได้ดังอะไรมากมาย”

เหี้ยทำไมการโกหกมันถึงได้ยากขนาดนี้วะ

“แปลกเนาะที่โรงเรียนประจำตำบลแบบนั้นจะไม่มีใครพูดภาษาถิ่นให้มึงได้ยินเลย” ใบพัดตั้งข้อสงสัยพลางมองมาที่ผมเหมือนกลับจะล้วงเอาความลับผมออกมาซะให้ได้ ซึ่งผมไม่ชอบสายตาแบบนั้นเลย เพราะมันทำให้ผมหายใจไม่ออก

“เออ...งั้นผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” ผมตัดบทแล้วรีบเดินออกจากโต๊ะทันที เพราะต่อให้เนือดีแค่ไหนต่อให้ผมนั่งกินต่อคงจะไม่ต่างจากกินกระดาษยุ่ยๆ

ให้ตายเถอะไม่ว่าจะอยู่ไหนถ้ามีคนที่ผมรู้จักผมก็ไม่สบายใจเลยจริงๆ





ผมกลับออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่อยากกินอะไรเลยแต่ท้องกลับหิวซึ่งผมก็อธิบายไม่ถูก ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมมาถึงโต๊ะก็เอาแต่กินกับกิน เพื่อไม่เปิดโอกาสให้ใครมาถามอะไรอีก แต่การกินนั้นมันกลับทรมานซะเหลือเกินเพราะผมเอาแต่พะวงเรื่องความลับของผมจนกินอาหารไม่รู้รสเลย อีกทั้งยังเอาแต่ลอบมองใบพัดจนไม่เป็นอันกิน แต่เผลอไปอีกทีตอนนี้ผมก็กินไอศครีมที่ไปตักมาเป็นถ้วยที่ห้าเข้าไปแล้ว

“เอ่อ... นิวเยียร์เราว่าพอก่อนไหม” นะโมบอกขณะที่ผมกำลังตักไอศครีมรสมะนาวเข้าปาก

“ฮึทำไมเหรอ แล้วทำไมทุกคนไม่กินต่อล่ะ” ผมถามเมื่อทุกคนเอาแต่มองผมด้วยสายตาอึ้งๆ ยกเว้นใบพัดที่กดโทรศัพท์อยู่

“ทุกคนอิ่มหมดแล้วล่ะ” ต้าบอกพลางยิ้มให้ผมเจื่อนๆ

“แต่ถ้านิวเยียร์ยังไม่อิ่มก็กินต่อได้เลยนะ” เนย์รีบเสริม

“ไม่เป็นไรครับคิดเงินเลยก็ได้” ผมบอกพลางกินไอศกรีมในถ้วยให้หมดก่อนที่พนักงานจะเดินมาคิดเงิน

“ทั้งหมดสามพันบาทค่ะ” พนักงานสาวบอกพลางยื่นสมุดออกมาให้ดู

เหี้ยคนละห้าร้อยเลยเหรอวะ ไม่น่าล่ะของในร้านดีขนาดนี้ พันห้าเหนาะๆ แน่กู

“นี่ครับ” ใบพัดพูดขึ้นพลางยื่นเงินให้พนักงาน

“ขอบคุณค่ะ” เธอบอกก่อนที่จะเดินจากไป

“เห้ยพี่ ก็บอกว่าจะจ่ายให้เพื่อผมเองไง” ผมท้วงออกไปแต่ก็เหมือนกับว่าใบพัดจะไม่ได้สนใจต่อล้อต่อเถียงกับผม เอาแต่เก็บกระเป๋าแล้วเดินออกไปนอกร้านทันที

เชื่อเขาเลยจริงๆ

“งั้นเรากลับก่อนนะ ว่าแต่นิวเยียร์กลับยังไงเหรอ” ต้าถาม

“อ่อก็กลับกับรุ่นพี่นี่แหละ” ผมตอบออกไปเพื่อเลี่ยงที่จะบอกว่ากลับกับใบพัด

“อ่อโอเค งั้นผมกลับก่อนนะครับพี่เนย์ พี่ตูนแล้วก็ขอบคุณนะครับพี่ใบพัดที่เลี้ยง” ต้าบอกก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมกับนะโม

“งั้นพี่ก็กลับก่อนนะนิวเยียร์ กลับก่อนนะโว้ยใบพัด” เนย์บอก

“อือ” ใบพัดขานรับ

“ครับ” ผมตอบ

"เออแล้วระวังไอ้ใบพัดด้วยล่ะนิวเยียร์เผื่อมันทำอะไรขึ้นมาโทรบอกพี่ได้เลยนะ” ตูนพูดเป็นเชิงแย่แต่ดูเหมือนว่าใบพัดจะไม่เล่นด้วย

“เก็บปากมึงไว้กินข้าวเถอะไอ้ตูน” ใบพัดคาดโทษในขณะที่ตูนเดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะที่แหย่เพื่อนได้







บรรยากาศบนรถที่มีแต่ผมกับใบพัดดูจะอึดขึ้นมาทันที ทั้งอาหารที่ผมกินเข้าไปแบบไม่รู้จักบันยะบันยังก็เหมือนจะเริ่มสำแดงฤทธิ์ขึ้นมาแล้ว เพราะตอนนี้มันทำให้ผมอึดอัดแล้วก็ปวดท้องเอาซะมากๆ แต่ผมก็ยังมีเรื่องที่ติดใจมากกว่านั้นอยู่

“คือ เรื่องเงินน่ะ” ผมบอกพลางควักเงินออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ใบพัด “ผมคืนให้”

“ไม่ต้อง”

“แต่ผมบอกแล้วไงว่าผมจะออกส่วนของผมกับเพื่อนเอง”

“แล้วไง”

“แล้วพี่ก็บอกให้ผมจัดการส่วนของผมกับเพื่อน”

“ว่าต่อ”

“ดังนั้นยังไงผมก็จะคืนเงินพี่” ผมบอกอย่างเด็ดขาด

“แล้วถ้ากูไม่เอาล่ะ มึงจะทำอะไรกู”

ทำไมมันถึงได้รั้นแบบนี้นะ คิดว่ากูอยากเป็นหนี้บุญคุณคนอย่างมึงหรือไง

“ผมก็จะทิ้งไว้นี่แหละ”

“ดีกูจะได้เอาไปทิ้ง”

มึงต้องรวยขนาดไหนวะถึงจะเอาเงินพันห้าไปทิ้งได้ฮ่ะ!

“ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย แค่รับเงินไปมันจะเป็นอะไรนักหนาวะ” ผมเริ่มจะมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้วในตอนนี้ ทั้งที่ควรจะกลัวคนคนนี้แต่ตอนนี้กลับไม่เลย ผมแค่ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณเขาเท่านั้น

“ถ้ามึงจะติดใจเรื่องนี้ขนาดนั้นมึงจ่ายเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหมล่ะ” ใบพัดถามท่าทางเจ้าเล่ห์

“อะไร”

“ก็สิ่งที่ที่อยู่กับตัวมึงไง”

เดี๋ยวก่อนนะ นี่มึงหมายความว่ายังไง...สิ่งที่อยู่กับตัวผมอย่าบอกนะว่า...

ผมเริ่มเอามือมากลัดกระดุมเม็ดที่อยู่ใกล้กับคอที่สุดทันที เมื่อรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยจากคำพูดของใบพัด

“กูไม่ได้หมายถึงตัวมึงหรอก เลิกทำหน้าอย่างนั้นสักทีกูขนลุก”

เอาเหรอ...ถึงจะหน้าแตกก็เถอะนะแต่ก็โล่งอกไปที

“แล้วหมายถึงอะไร”

“ความลับไง”

ผมตัวแข็งทื่อเหมือนกับถูกมนต์สะกดเมื่อใบพัดพูดคำนั้นออกมา ความลับ...ความลับของผมงั้นเหรอ

“กล้าจ่ายไหมล่ะด้วยความลับของมึง”

หรือว่าเขาจะรู้อะไรหรือเปล่านะ ทำไมถึงได้พูดแบบนี้ออกมา

“ถึงขนาดโกหกเรื่องโรงเรียนกับจังหวัดขนาดนั้นน่ะ คิดว่าคนอื่นโง่มากนักหรือไง”

มันรู้งั้นเหรอ

“ทุกคนเขาก็รู้หมดนั่นแหละเขาแค่ไม่อยากถาม แต่ถ้าถึงขนาดกับต้องโกหกขนาดนั้นมันคงจะสำคัญมากสินะ แล้วมึงจะกล้าจ่ายไหมล่ะด้วยความลับของมึง หรือไม่ก็เรื่องที่มึงโกหกคนอื่นว่าแพ้อากาศก็ได้นะ มึงกล้าบอกไหมว่าทำไมมึงถึงร้องไห้”

พอ... พอกันที ผมทนไม่ไหวแล้ว สิ่งที่ใบพัดพูดมามันแทบจะทำให้ผมหายใจไม่ออก ผมไม่อยากได้ยินมันไม่อยากรู้ว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป ไม่อยากรู้ว่าเขาจะรู้ไหมว่าผมเป็นใคร ผมไม่อยากรู้

“จอด” ผมบอก เพราะในตอนนี้ผมแทบจะสั่นไปทั้งตัวแล้ว

“ก็ใกล้จะถึงแล้วไง...”

“บอกให้จอดไง! ”
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 5 อาหารแห่งมิตรภาพ (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 05-02-2021 21:08:13
 :jul3: :ling3:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 5 อาหารแห่งมิตรภาพ (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-02-2021 01:19:03
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 06-02-2021 20:05:03
Chapter 6

Don’ t lie



“เฮ้ย จะรีบไปไหนอยู่คุยกันก่อนสิวะ” เสียงหนึ่งที่แสนจะคุ้นเคยเรียกผมขึ้นพลางเดินมาขวางทางไว้ไม่ยอมให้ผมผ่านไปได้ง่ายๆ

“เอ่า” ผมบอกพลางยื่นเงินให้พวกมันอย่างเหนื่อยหน่าย

พวกมันยกยิ้มให้ผมพลางหลบทางไปอย่างว่าง่าย เกือบทุกวันที่ผมต้องเจอกับคนกลุ่มนี้ แล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่ผมทำทุกครั้งที่ผมเจอกับพวกมันหลังจากที่สำเหนียกได้แล้วว่าวิ่งหนี ขอให้คนช่วย หรือแม้แต่ฟ้องครู มันไม่เข้าท่าเอาซะเลย แล้วก็ต้องนับว่ากลุ่มนี้ดีกว่ากลุ่มอื่นๆ ที่แกล้งผมมากทีเดียว เพราะสิ่งเดียวที่พวกมันต้องการก็คือเงิน แล้วเมื่อมันได้เงิน มันก็จะจากไป

อีกอย่างถ้าวันไหนที่มันเจอผมก่อนเที่ยงก็จะถามก่อนที่จะขูดรีดผม ด้วยเสียงห้วนๆ ตลอดว่า ‘มึงกินข้าวหรือยัง’ แล้วถ้าผมตอบว่า ‘ไม่’ พวกมันก็จะแบ่งเงินให้ผมจำนวนพอดีกับค่ากับข้าวเมนูที่ถูกที่สุดพร้อมกับน้ำอีกหนึ่งขวด ผมว่าแบบนี้ก็ไม่เลวทีเดียวเพราะไม่ต้องถูกเรียกชื่อด้วยสรรพนามแปลกๆ ที่ไม่ใช่ชื่อของผม หรือถูกแกล้งอย่างไม่มีสาเหตุ จะว่าไปหน้าตาแปลกๆ อย่างผมแค่เรียนเก่งใช่ว่าจะช่วยอะไรได้ เนื่องจากผมไม่มีเพื่อน ทั้งยังถูกสาปโดยแก๊งเนิร์ดประจำห้อง เพราะทำให้เขาต้องพลาดโอกาสในงานวิชาการ รวมทั้งยัง คอยแข่งคะแนนท็อปกับพวกเขาอยู่เรื่อยๆ ก็เลยเรียกได้ว่าในห้องหรือทั้งโรงเรียนไม่มีใครที่คบผมเป็นเพื่อนเลยสักคน ยกเว้นช่วงเวลาสอบที่จะมีคนมาคุย ไม่สิเรียกว่าขู่จะถูกต้องกว่า เพราะพวกมันจะชอบมายื่นข้อเสนอที่ว่าถ้าไม่ให้พวกมันลอก พวกมันจะไม่ปล่อยให้ผมใช้ชีวิตอย่างสบายใจต่อไปแน่ แต่ถ้าผมให้มันลอกมันก็จะแกล้งผมตามปกติแต่ไม่ได้ถี่ขึ้น แบบนี้เรียกว่าผมได้ประโยชน์หรือเปล่าผมยังไม่ใจเลย

ช่วงนี้ผมคงต้องยอมรับว่าเรื่องที่ผมโดนแกล้งนี่ซาลงมากทีเดียวเพราะส่วนมากผมจะเอาแต่ขลุกตัวอยู่ที่ห้องสมุด ก็เลยเป็นจุดที่อยากสักหน่อยที่จะได้พบเจอกับกลุ่มคนที่มีนิสัยตรงข้ามกัน แล้วนั่นก็เหมือนกับจะทำให้ผม รอดตัวไปโดยปริยาย

ผมเดินมาถึงยังจุดหมายคือห้องน้ำเพื่อหวังจะปลดทุกข์สักหน่อย ก่อนที่จะรีบตรงไปที่โถเพราะผมรู้สึกจะไม่ไหวแล้ว ผมรู้สึกเหมือนกับตัวเบาขึ้นราวกับล่องลอยเพราะได้ปลดปล่อยของเสียออกไป

เฮ้อ รู้สึกดีชะมัด

ผมเดินมาที่อ่างล้างมืออย่างไม่ได้รีบร้อนมากนัก ก่อนที่จะค่อยๆ เปิดก๊อกน้ำแล้วล้างมืออย่างเย็นใจ พลางมองหน้าตัวเองในกระจก ก็นึกสังเวชอยู่ในใจว่า สิ่งที่คนเหล่านั้นเรียกผมว่า ‘อัปลักษณ์’ ก็ไม่ได้เกินกว่าความเป็นจริงมากนัก คำว่าผี หรืออัปลักษณ์ อาจจะน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับใบหน้าของผม

แต่อะไรมันก็คงจะไม่น่าเจ็บใจเท่ากับการที่บุพการีทั้งสองของผมช่างมีใบหน้าที่คนทั่วไปเรียกว่าสวยและหล่อ แต่เมื่อมองมาที่ผมกลับเหมือนเอาแต่ยีนด้อยมาซะงั้น

แล้วในขณะนั้นผมก็ต้องรีบปิดก๊อกน้ำทันทีเพราะเหมือนผมจะได้ยินเสียงของคนกำลังคุยกันมาทางห้องน้ำแล้วเสียงนั้นก็คุ้นหูผมมากซะด้วย มากซะจนผมเริ่มหวั่นใจ

ผมรีบเดินออกไปจากห้องน้ำทันที ทว่าไม่ทันซะแล้ว คนประมาณสามสี่คนนั้นมายืนอยู่ตรงหน้าผมพลางเอาเท้าขึ้นเหยียบปิดประตูทางออกไว้

“เป็นไงได้ท็อปอีกแล้วเหรอวะ” ธีร์ถามผมขึ้นอย่างที่มันชอบถามอยู่ประจำ แต่ผมไม่เห็นว่าสิ่งนั้นมันจะสำคัญตรงไหนเลยไม่ได้ตอบกลับไป

“หลีกทางให้ด้วยจะไป” ผมบอกเสียงเบาแทบจะเท่ากับลมพัด แต่ทุกคนก็ได้ยินทั่วกันดี

“นี่มึงสั่งกูเหรอ” ธีร์ถามเสียงดังจนน่ากลัวทำให้ผมแอบสั่นอยู่ในใจ พลางก้มหน้าหนีพวกเขา

“เฮ้ยมันไม่สู้ว่ะ” อิฐเพื่อนร่วมห้องของผม ลูกกระจ๊อกของธีร์พูดขึ้น

“มันเคยสู้ด้วยเหรอวะ” ธีร์ถามอย่างเย้ยหยันพลางหัวเราะอย่างชอบใจ

มันก็จริงที่ผมไม่เคยสู้พวกมันเลยสักครั้งเพราะผมเคยลองแล้ว ทว่าไม่เห็นว่าจะเกิดผลดีอะไร ทั้งเจ็บเนื้อเจ็บตัวสุดท้ายถึงผมจะรอดไปได้มันก็ไม่ได้ทำให้พวกนั้นหยุดทำเรื่องแบบนี้กับผมอยู่ดี

“เราขอร้องล่ะ” ผมบอกอย่างจนตรอก ถ้ามีภารโรงหรือครูเดินผ่านมาก็ดีสินะ

“ขอร้องงั้นเหรอ” ธีร์ถามพลางเค้นหัวเราะ “ฟังดูดีว่ะ แล้วตอนนั้นที่กูขอให้มึงสลับข้อสอบกับกูทำไมไม่ทำ”

เหตุผลประสาทแดกอะไรอีกวะ ผมได้แต่คิดแล้วก็ถอนหายใจว่าผมจะต้องมาตอบเหตุผลแบบนี้จริงๆ เหรอ แต่แล้วผมก็รู้ดีว่าคนพวกนี้ถ้าเปรียบเป็นคนป่วยก็คงจะใกล้ตายเต็มทีให้ยาดีขนาดไหนก็คงไม่ฟื้นง่ายๆ ดังนั้นผมเลยเลือกที่จะไม่เสียเวลาพูดกับพวกมันแล้วเดินฝ่าวงล้อมออกไป แต่ก็เหมือนกับว่าพวกมันจะไม่ยอมง่ายๆ แถมยังผลักผมจนเซกลับเข้ามาในห้องน้ำ ก่อนที่พวกมันจะย่างสามขุมเดินเข้ามาหาผม

“แบบนี้ต้องสั่งสอนหรือเปล่าวะไอ้ธีร์” เพื่อนอีกคนที่ผมไม่รู้จัก ไม่แน่ใจว่าเป็นคนใหม่ในแก๊งของธีร์หรือเปล่าถามขึ้น ด้วยความรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ซะเต็มประดา

“มึงคิดว่าไงวะไอ้อิฐ” ธีร์ถามอย่างไม่จริงจังนักเพราะต่างก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว ผมก็เช่นกัน

“กูว่าต้องสักหน่อยว่ะ” อิฐตอบพลางยิ้มอย่างนึกสนุกกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

ในขณะนั้นเองผมก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำทันทีแต่ก็เหมือนกับว่า มันจะไม่ทันซะแล้วเพราะในขณะที่จะปิดประตูห้องน้ำเข้า อิฐดันเอามือมาขวางประตูไว้ได้ทัน ทำให้ผมกับเขายื้อกันอยู่นานอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่ผมจะถูกแรงกระแทกจากประตูเข้าอย่างจัง จนทำให้ผมถึงกับกระเด็นไปนั่งบนชักโครก

ทั้งความรู้สึกจุกและเจ็บประดังเข้ามาพร้อมกันในทีเดียวทำให้ผมร้องแทบไม่ออก

“ถีบได้ดีนี่หว่า” ธีร์ชมเพื่อนอีกคนที่ผมไม่รู้จักชื่อพลางเดินเข้ามาหาผม ก่อนที่จะเอามือแข็งๆ ของเขามาเคาะที่หัวผมแรงๆ ราวกับจะทุบมันให้แตกอย่างไงอย่างงั้น “ครั้งนี้เก่งขึ้นเยอะเลยนี่หว่าทำกูเสียเวลาได้ตั้งนาน”

“ปล่อยเราไปเถอะธีร์” ผมบอกอย่างไร้ทางสู้

“ครั้งนี้กูคิดว่าไม่ได้ว่ะ”

ผมก็ไม่เข้าใจว่าพวกมันทำไปทำไม ถ้าผมเจ็บปวดแล้วพวกมันจะได้อะไร หรือสนุกตรงไหนกับการที่ทำให้คนอื่นหวาดกลัวและร้องไห้ ผมไม่เคยเข้าใจสิ่งเหล่านี้ทว่ากลับต้องเผชิญกับมันทุกวัน

ในขณะนั้นธีร์ก็ง้างมือขึ้นเพื่อที่จะมอบหมัดให้ผมอย่างสุดรักเพื่อที่จะได้สาสมกับที่ผมทำให้พวกเขาเสียเวลาอยู่นานกว่าจะได้ทำมันอย่างที่เคย ซึ่งผมก็รู้ว่าครั้งนี้ผมจะต้องอ่วมแน่

แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นทำให้ทุกคนหยุดการเคลื่อนไหวลง “เอะอะโวยวายอะไรกันวะ เงียบๆ ซิกูเยี่ยวไม่ออก”

ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะมีอิทธิพลต่อพวกของไอ้ธีร์มากพอดู เพราะทำให้พวกมันถึงกับผละออกจากตัวผมได้ แล้วผมก็ได้ยินเสียงพวกมันกระซิบกันว่า ผู้ชายคนนี้หรือเปล่าที่เป็นคนทำให้ ‘เอ็ม’ ลูกพี่ของพวกมันขาหักจนต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะตีกันเรื่องผู้หญิง แถมยังได้ยินพูดต่ออีกว่าโดนรุมห้าต่อหนึ่งไอ้หมอนี้ยังโดนต่อยไปไม่ถึงห้าหมัดแต่คนที่ ไฟต์กับมันถึงกลับมาโรงเรียนไม่ได้เป็นอาทิตย์เลยทีเดียว

ได้ยินว่าคนที่ใช้อากาศร่วมห้องเดียวกันน่ากลัวขนาดนี้มีหรือผมจะกล้าขยับตัวไปไหน

“นี่มึงกำลังรังแกคนอื่นอยู่เหรอ” คนคนนั้นถามขึ้นพลางจัดการเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย

“อะ...เอ่อเปล่าสักหน่อย พวกกูก็แค่เล่นกันเอง” ธีร์บอกพลางตั้งท่าเตรียมรับมือกับคนตรงหน้าพลางส่งสัญญาณให้อิฐและเพื่อนอีกคนมาสมทบ

คนคนนั้นเค้นหัวเราะออกมาก่อนที่จะพูดด้วยเสียงเย็นๆ ว่า “นี่พวกมึงจะรุมกูเหรอ”

คำพูดของคนคนนั้นดังขึ้นพร้อมกับท่าทางยืดเส้นยืดสายและหักนิ้วมือจนมีเสียงลั่นดังป๊อกๆ ดูข่มขวัญมากทีเดียวทำให้พวกของธีร์ถึงกลับหางลู่อย่างน่าหัวร่อ

“เอ่อ...”

“พวกมึงเป็นลูกน้องไอ้เอ็มใช่ไหม” ชายคนนี้ถามต่ออย่างไม่ถือสาท่าทีของพวกหมาหมู่นี่นัก

“มะ...ไม่ใช่นะคือพวกกูแค่...” ธีร์พูดตะกุกตะกักพลางสั่นอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“แล้วพวกมึงเล่นเสร็จกันหรือยัง” ชายคนนั้นถามต่อ

“อ่อ เสร็จแล้วๆ” พวกนั้นตอบอย่างรวดเร็วพลางหัวเราะกลบเกลื่อน

อะไรกันนี่พวกมึงเห็นกูเป็นสิ่งของหรือไง

“แล้วจะกลับมาเล่นอีกไหม” ชายคนนั้นถาม

นี่เขาหมายความว่ายังไงกัน ไม่ได้แค่มีผมที่สงสัยในคำพูดของคนแปลกหน้าคนนี้ แต่พวกของธีร์ก็เหมือนจะงงเช่นกันทว่าพวกนั้นกลับตอบกลับมาว่า “ไม่”

“งั้นก็ดีอย่าให้เห็นอีกนะ” คนคนนั้นพูดเหมือนกับคาดโทษพวกของธีร์ไว้ ก่อนที่พวกนั้นจะรีบออกไปจากห้องน้ำราวกับจะวิ่งหนีซะให้ได้

สมน้ำหน้า

“ขอ...” ผมที่กำลังจะขอบคุณชายคนนั้นก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสายตาที่เขามองมาที่ผมเหมือนกับจะบีบคอผมให้ตายลงตรงนี้ซะให้ได้

ถ้าหากผมเป็นคนปกติทั่วไปผมจะถามเขาไปว่า ‘หน้าเรามีอะไรงั้นเหรอ’ แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือหน้าของผมน่ะมีปัญหาเต็มๆ เลยไม่ได้ถามออกไป

“อยากขอบคุณงั้นเหรอ” ชายคนนั้นถามเสียงเรียบ

ผมพยักหน้ารับ แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมากลับเป็นท่าทางที่หยาบคายที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะกระทำต่อกัน เขายื่นเท้าออกมาข้างหน้าผมพลางใช้สายตาใช้เหมือนกับจะบอกว่า ‘กราบมันซะสิ’

ทั่วกายของผมสั่นเทิ่มไปหมดด้วยความโกรธ ใบหน้าผมชา แล้วรู้สึกว่าเลือดสูบฉีดจนหัวใจเต้นแรงราวกับเพิ่งวิ่งมาก็ไม่ปาน

นี่น่ะเหรอสิ่งที่คนอย่างผมจะต้องรับ และจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป สำหรับผมคำว่า ‘อัศวินขี่ม้าขาว’ มันคงจะเป็นแค่นิทานหลอกเด็ก คำว่า ‘หนีเสือปะจระเข้’ ต่างหากล่ะที่เป็นความจริง

ผมเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในตาของคนตรงหน้า พลางจดจำใบหน้าของเขาไว้ ใช่สำหรับผมเขาคือคนที่ดูดี ทั้งตัวสูง จะมูกดด่งเป็นสันและปากรูปกระจับนั่นอีก เรียกว่าทำให้องคาพยพบนใบหน้าของเขาสมบูรณ์แบบมากทีเดียว แต่ใครเขาก็ดูดีกว่าผมทั้งนั้นแหละ ทว่ามันก็ไม่ได้บอกเลยว่าข้างในของพวกเขาเป็นยังไง

ผมอยากจะลุกขึ้นแล้วเดินหนีจากสถานการณ์เลวร้ายตรงเต็มทน แต่พอคิดถึงเรื่องที่พวกไอ้ธีร์พูดไว้ถึงความเลวร้ายของชายคนนี้ ผมก็ได้แต่หวั่นใจว่าผมควรทำยังไงดี ระหว่างศักดิ์ศรี กับเจ็บตัวผมควรเลือกอะไรมากกว่ากัน แต่สำหรับคนที่ไม่ได้มีใครคบมากนักอย่างผม บางครั้งการเลือกเอาตัวรอดคงไม่แย่สักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับความปลอดภัย

ผมคอยๆ พนมมีขึ้น พลางหายใจติดขัดทุกๆ การขยับของร่างกายมันตีกันกับความรู้สึกไปหมด ผมรู้สึกหายใจไม่ออกเลยจริงๆ รู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มันผิดไปหมด แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะ แล้วถ้าจะให้เลือกศักดิ์ศรีกับความปลอดภัยคนขี้แพ้อย่างผมก็ต้องเลือกอย่างหลังอยู่แล้ว มันไม่คุ้มหรอกนะที่ต่อให้คุณจะสู้มากแค่ไหนสุดท้ายรอยแผลบนตัวคุณก็เป็นได้แค่สิ่งบันเทิงสำหรับคนอื่นและรังแต่จะทำให้คนที่คุณรักคิดมากเปล่าๆ

ผมค่อยๆ ก้มหน้าลงไปอย่างช้าๆ ราวกับร่างกายของผมทำด้วยเหล็กที่ขึ้นสนิมเขรอะไปหมด ทุกๆ การเคลื่อนไหวมันชั่งลำบากและเจ็บปวดต่อสภาพจิตใจของผมเหลือเกิน ทว่าในขณะนั้นเองก็มีแรงมหาศาลกระชากที่แขนทั้งสองข้างของผมขึ้นอย่างแรงก่อนที่จะผลักผมให้นั่งที่ชักโครกพร้อมกับฉีดน้ำเข้ามาใส่ที่หน้าผมเต็มๆ

ผมพยายามเอามือปัดมันออก ป้องกันมันไม่ให้น้ำเข้าปาก ผมพยายามหายใจแต่มันก็รู้สึกแสบจมูกไปหมด ผมพยายามกอบโกยอากาศแล้วหายใจอย่างยากลำบาก แต่ในขณะนั้นผมก็ได้ยินเสียงของอีกคนพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่ได้มีสติพอที่จะรับฟังคำก่นด่าของใครอีกต่อไปแล้วผมขอแค่ให้เขาหยุด และปล่อยผมไป

“ปล่อยผม”

“ปล่อย...”

“ปล่อยผมไป! ”





“เฮือก! ” ผมหายใจหอบ พร้อมกับพบว่าตอนนี้ผมอยู่บนเตียงในห้องของตัวเอง แต่สภาพกลับดูไม่ได้เอาซะเลย ทั้งเหงื่อที่เปียกโชกเต็มตัวราวกับตกน้ำมา และสภาพจิตใจที่ย่ำแย่กับภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงกับผมในอดีต

ก๊อกๆๆๆ ! เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ผมถึงกับสะดุ้งโหยง เพราะยังไม่ได้ออกมาจากภวังค์ดีนัก

ผมค่อยๆ เดินลงจากเตียงไปที่หน้าประตูแล้วเปิดมันออกก็พบกับ มายด์และน้ำอิงที่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก

“มีอะไรเหรอ” ผมถามพวกเธอ

“เราต่างหากล่ะที่ต้องถามแกว่าเป็นอะไร มีใครทำร้ายแกหรือเปล่า” มายด์ถามขึ้นพลางมองเข้าไปในห้อง

“ไม่หนิ” ผมตอบงงๆ

“จะไม่ได้ยังไงก็เราได้ยินเสียงแกร้องซะขนาดนั้นน่ะ” น้ำอิงบอก

“ร้องเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย “แล้วเราร้องว่าไงอะ”

“ก็ปล่อยผมไป หยุด อย่าทำผม” น้ำอิงพูดพลางทำเสียงเลียนแบบผม

นี่ถึงกลับละเมอพูดเลยเหรอวะเนี่ย

“เอ่อ...โทษทีนะเราคงละเมอไปน่ะ” ผมบอกพลางหัวเราะกลบเกลื่อน

“นิวเยียร์ถามจริงๆ นะ มีอะไรหรือเปล่าบอกพวกเราได้นะ สีหน้าแกดูไม่ดีเลยว่ะ” มายด์ถามผมด้วยสีหน้าจริงจัง

“ไม่ ไม่ เราไม่เป็นอะไรหรอกแค่ฝันร้ายจริงๆ” ผมตอบ พลางถามพวกเธอต่อ “แล้วนี่มีเรียนเช้าเหรอ”

ทั้งสองคนส่ายหัวแทนการตอบ

“แล้วทำไมตื่นเช้าจังเลยล่ะ”

“ก็เสียงแกน่ะสิ คิดว่าคงจะได้ยินกันทั้งชั้นนั่นแหละ พับผ่าสิตอนแรกเราก็นึกว่าแกโดนใครซ้อมซะอีกแต่ไม่มีอะไรก็ดีแล้วล่ะ” น้ำอิงบอก ทำให้ผมถึงกับหน้าร้อนขึ้นมาด้วยความอับอาย

ถ้าเกิดว่าเสียงเมื่อกี้ได้ยินทั้งชั้นจะทำยังไงดีวะ น่าอายชิบเป๋ง ผู้ชายที่ไหนเขามาละเมอร้องไปทั่วชั้นกันวะแบบนี้มันไม่ได้

ผมยิ้มเจื่อนๆ ให้กับทั้งสองคนพลางชวนมาหาอะไรกินในห้องแต่ก็ถูกปฏิเสธ เพราะทั้งคู่บอกว่าจะเอาเวลาไปนอนเก็บแต้มสะสมพลังชีวิตดีกว่า ผมเลยต้องกลับเข้าในห้องโดยลำพัง

จะว่าไปก็คงไม่แปลกที่ทั้งสองคนจะอยากเก็บเวลานอนเพราะถึงแม้ห้องของผมกับสองสาวจะอยู่ติดกันแบบนี้ แต่กลับเป็นไปได้ยากมากที่เราจะได้พบกัน เพราะทั้งที่เรียนต่างคณะกันแล้วกิจกรรมช่วงเปิดเทอมที่แน่นจนแทบจะไม่ได้หายใจยิ่งปีสองคงจะมีงานเต็มมือเป็นแน่ ซึ่งจะว่าไปวันนี้ผมก็มีงานรับน้องที่ต้องไปเหมือนกัน

ผมตรงเข้าไปในห้องน้ำแล้วชำระร่างกาย พลางคิดว่าอะไรกันที่ทำให้ผมฝันถึงเหตุการณ์ร้ายๆ แบบนั้น แต่คำตอบที่ได้กลับมีอยู่คำตอบเดียว

ผมรีบสลัดความฟุ้งซ่านในหัวทั้งไปทันที ก่อนที่จะรีบจัดการธุระส่วนตัวให้เสร็จ แต่พอออกจากห้องน้ำก็เห็นไลน์ที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอก่อนแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นของพี่น้ำตาล คนที่เรียกผมไว้ในวันปฐมนิเทศของสาขา

ใจความของข้อความเหมือนกับคนเล่นตลกร้ายอย่างไงอย่างนั้น เขาบอกให้ผมไม่ต้องไปเข้าร่วมกิจกรรมของทางมหาลัย แล้วไปหาเขาที่คณะเพราะเขาคิดจะให้ผมไปเป็นเดือนสาขา เหมือนเขาจะคิดว่ามันตลกมากนักแหละ

ถึงกิจกรรมของมหาลัยจะไม่บังคับให้เข้าก็เถอะ แต่จะหลอกใครก็หลอกไปบอกเลยว่าหลอกผมไม่ได้หรอก แล้วถึงยังไงผมก็จะไม่ทิ้งโอกาสที่จะมีเพื่อนใหม่ไปทำอะไรแบบนั้นแน่นอน ยังไงผมก็ไม่ไปเด็ดขาด



















ยังไงก็ต้องขอโทษรีดเดอร์ทุกคนด้วยนะคะที่นานๆมาทีแต่เพราะเราอยากให้ เรื่องนี้ออกมาดีจริงๆเนื่องจากเป็นเรื่องที่สามของเราแล้ว ก็เลยตั้งใจหาข้อมูลอยากให้ทุกคนได้อะไรจากเรื่องนี้ไปบ้าง เช่นคนเรียนครีเอทีฟเขาต้องเรียนอะไรกันบ้าง ใช้ชีวิตยังไง แล้วเราก็อยากให้ตัวละครมีชีวิตจริงๆแต่ยังไงเราก็ยังถือว่าเป็นมือใหม่คงยังไม่เก่งมากนัก แต่ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนที่อ่านแล้วก็คอมเมนต์มากเลยนะคะ คือพอเห็นคนอ่านเห็นคอมเมนต์ยิ่งรู้สึกว่าทรยศทุกคนไม่ได้เลย แต่ถึงจะนานๆมาทีหวังว่าจะรออ่านกันนะคะ หรือถ้าเป็นไปได้ยังไงอาจจะมีการอัพอาทิตย์ละสองครั้งนะคะเดี๋ยวรอแจ้งอีกที ยังไงก็ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 06-02-2021 21:44:53
 :m15: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 06-02-2021 21:50:31
นิวเยียๆๆ น่าสงสาร
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie (1/2)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 06-02-2021 23:29:44
 :hao7:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie (1/2)
เริ่มหัวข้อโดย: ZilCh ที่ 07-02-2021 02:25:42
สนุกมากเลยเรื่องนี้ ลุ้นดี  o13
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 07-02-2021 19:48:20
เวลา 10.00 น.

ผมมายืนอยู่ที่หน้าห้องที่พี่น้ำตาลนัดไว้ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมคิดอะไรอยู่ถึงมายืนอยู่ที่นี่ สำหรับคนอย่างผมการที่ต้องมายืนอยู่ท่ามกลางสปอตไลต์ มันช่างไม่เหมาะกันเอาซะเลย

ทว่าผมก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ลากให้ผมต้องมายืนอยู่ที่นี่ แล้วผมก็รู้สึกว่ามันเป็นการตัดสินใจที่โง่ชะมัด ผมว่าผมควรกลับจะดีกว่า

“เอ่านิวเยียร์มาตรงเวลาดีจัง” เสียงแหบทักผมขึ้นจากด้านหลังและแน่นอนว่าผมเคยได้ยินเสียงนั้นมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะนั่นมันเป็นเสียงของพี่น้ำตาล “แล้วทำไมยังไม่เข้าไปในห้องอีกล่ะ” พี่น้ำตาลถามอย่างใจดีแต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย

“คือผมว่าผมจะ...” จะกลับแล้ว

คำพูดทั้งหมดเหมือนกลับถูกกลืนลงไปในคอ เพราะพี่น้ำตาไม่ได้ตั้งใจที่จะฟังผมเลยสักนิด แล้วรีบผลักผมเข้าไปในห้อง ซึ่งนั่นก็ทำให้ให้ผมต้องเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้ ทว่าภาพที่น่าตกใจมากกว่าก็คือห้องที่เต็มไปด้วยกระจกรายรอบเต็มไปหมดทั้งสามด้านของกำแพงพร้อมกับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่บนโต๊ะ ซึ่งหนึ่งในนั้นมี ใบพัดอยู่ในนั้นด้วยห้องนี้เลยยิ่งไม่น่าพึงประสงค์สำหรับผมเข้าไปใหญ่

“มากันแล้วเหรอ” ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่กลางโต๊ะถามขึ้น

“อือ” พี่นำตาลขานรับก่อนที่จะถามต่อ “แล้ววันนี้มากี่คนแล้วล่ะ”

“สิบได้แล้วมั้ง แต่เหมือนว่าเดือนจะยังไม่ได้เลยส่วนดาวนี่ก็อย่างที่เราเกร็งไว้ตั้งแต่แรกนั่นแหละ” ผู้หญิงคนนั้นบอก

ใบพัดกลับเอาแต่ส่งสายตาเย็นชามาที่ผมจนทำให้ผมอยากจะเดินออกจากห้องนี้ไป แต่ผมก็รู้อยู่แล้วว่าคงอีกไม่นานนักหรอกเพราะจากที่ดูสถานการณ์ตรงหน้าแล้วห้องนี้น่าจะเป็นห้องออดิชั่น ซึ่งผมมันไม่มีดีอะไรสักอย่างเต้นไม่ได้ ร้องไม่ได้ ให้ยืนอยู่ต่อหน้าคนอื่นน่ะเหรอ ให้ลาแก่ๆ มายืนแทนผมยังจะมีสง่าซะกว่า “แล้วน้องคนนี้มาออร์ดิชั่นใช่ไหม”

“อือ เด็กฉันเอง” พี่น้ำตาลตอบ “เออนิวเยียร์ พี่คนนั้นชื่อพี่อาร์ทนะเป็นแคสติ้งไดเร็คเตอร์” พี่น้ำตาลบอกพลางผายมือไปทางตนที่คุยอยู่กับเขา “ส่วนคนที่อยู่ตรงกลางชื่อพี่โบว์ คนตรงสุดท้ายก็น่าจะรู้จักกันอยู่แล้วเนอะ”

ก็แน่น่ะสิคนที่นิสัยแย่แบบนี้ผมจะลืมลงได้ยังไงกัน

แต่พอเห็นคนตรงหน้าภาพเมื่อคืนก็วนกลับเข้ามาอย่างกับม้วนฟิล์มสีซีดๆ ยังไงอย่างงั้น









“จอด” ผมบอก เพราะในตอนนี้ผมแทบจะสั่นไปทั้งตัวแล้ว

“ก็ใกล้จะถึงแล้วไง...”

“บอกให้จอดไง! ” ผมตะโกนออกไปอย่างสุดจะทนกับพฤติกรรมของคนตรงหน้า แต่ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ทำตามคำขอของผมเลย ซึ่งจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ผมว่าต่อให้ผมต้องบาดเจ็บ หรืออะไรก็ตามที่มากกว่านั้น ผมก็คิดว่ามันคงจะดีกว่าต้องมาทนอยู่กับคนคนนี้อย่างแน่นอน

ผมตัดสินใจเปิดประประตูรถออกทันทีแต่มันกลับเปิดไม่ออก เพราะติดล็อกอยู่

“เห้ย จะทำอะไรวะ” ใบพัดตะโกนขึ้นน้ำเสียงดูตกใจมากกว่าโกรธ แต่ก็ยอมลดความเร็วของรถลงก่อนที่จะจอดในที่สุด

ผมรีบเปิดประตูลงไปจากรถพร้อมกับความรู้สึกพะอืดพะอมเต็มทน ก่อนที่ผมจะปลดปล่อยสิ่งที่กระจุกอยู่ที่คอของผมออกมา ในจังหวะนั้นเองก็เหมือนกับใบพัดจะเดินลงมาหาผมแล้ว

“มึงเป็นอะไรวะ” ใบพัดถามพลางเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วเอื้อมมือออกมาใกล้ผม

“อย่ามาแตะ! ” ผมตะคอกออกไป อย่างอัดอั้นเต็มทน

“มึงเป็นอะไรของมึงวะ” ใบพัดถามออกมาอย่างกับคนที่ไม่เคยพบกันมาก่อน เนื่องจากท่าทีของผมที่มันแตกต่างออกไปจากทุกครั้งที่เคยเป็น ซึ่งผมก็รับประกันได้ว่าตั้งแต่ผมเกิดมาผมก็ยังไม่เคยใช้คำพูดและน้ำเสียแบบนี้กับใครเช่นกัน

แต่ในครั้งนี้สำหรับผมมันแตกต่างออกไป มันเหมือนกับเป็นฟางเส้นสุดท้ายของผมที่มันขาดลงตอนที่ใบพัดเอาแต่จี้ผมให้จนมุม เหมือนกับผมเป็นหมาจนตรอกที่ไม่รู้จะหนีไปไหน และสุดท้ายก็ตระหนักได้ว่าถ้าไม่สู้ก็ต้องถูกฆ่า

“เป็นอะไรงั้นเหรอ” ผมถามอย่างเหลืออดพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทิ่ม “นี่ไม่เคยคิดบ้างเลยเหรอว่าตัวเองทำให้คนอื่นต้องเป็นอะไร”

“ว่าไงนะ”

“ไม่สิ มึงคงไม่มีทางรู้หรอกว่ามันเจ็บขาดไหน ที่ต่อให้มึงจะไม่สู้แล้วหนีไปสุดท้ายก็ต้องมาเจอกับอะไรแบบเดิม” ผมพูดออกไปราวกับจะระบายทุกสิ่งออกมา

“มึงเรียกกูว่ายังไงนะ” อีกฝ่ายถามพลางกระชากคอเสื้อผมขึ้นด้วยอารมณ์ที่โกรธจัด

ซึ่งในตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คงเป็นการมองหน้า แล้วจ้องไปในตาของเขาเท่านั้น เพราะจะให้ผมไปสู้กับคนอย่างเขาก็คงจะไม่ได้ทำให้ผมรอดพ้นจากการโดนทำร้ายไปได้นานนัก นอกจากนั้นยังทำให้เรื่องมันยืดเยื้อเข้าไปอีก

แต่แล้วสิ่งที่ใบพัดทำกลับเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ผมคิดไว้ เขาปล่อยคอเสื้อของผมลงในทันที แทบจะเรียกว่าผลักออกก็ยังได้

“จบแค่นี้เหรอ ไม่ทำให้คนอื่นเจ็บปวดก่อนอย่างที่เคยทำหรือไง” ผมพูดออกมาพลางมองเข้าไปในตาของเขาอย่างสื่อความหมายทุกคำพูด แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมากลับเป็นสายตาของคนที่สับสนและไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ผมรีบหยิบเอากระเป๋าก่อนที่จะเดินชนไหล่ของคนที่ร่างกายแข็งแรงกว่าแล้ววิ่งหนีไป

ความรู้สึกของผมในตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนกับผมไม่ใช่ผมอย่างที่ผมเคยเป็น อย่างกับผมไม่ใช่ ‘นว’ แต่ผมเป็น ‘นิวเยียร์’ คนที่ผมฝันอยากเป็นมาตลอด









“ให้น้องแนะนำตัวเลยค่ะ” พี่อาร์ทบอกเสียงเรียบ

ผมก็เลยบอกชื่อนามสกุลออกไปตามปกติอย่างที่ผมเคยทำ ถึงแม้ผมจะตื่นเต้นจนตัวสั่นเป็นเครื่องซักผ้าแต่มันก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่เพราะอย่างน้อยก็มีคนแค่ไม่กี่คนรวมทั้งพี่น้ำตาลยังคอยให้กำลังใจผมอยู่ตลอด

หลังจากนั้นพี่เขาก็บอกให้ผมทำในสิ่งที่ผมไม่มีคือแสดงความสามารถพิเศษ แต่เขาก็ยังดันทุรังให้ผมทำ ทั้งเต้น ทั้งร้อง แต่ผลลัพธ์มันก็แสดงออกมาทางสีหน้าของพี่อาร์ทและพี่โบว์อย่างชัดเจนแต่กับใบพัดมันแตกต่างออกไปเพราะเขามองหน้าของผมด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยและพินิจพิเคราะห์อย่างถึงที่สุด

“พอๆๆๆ พักค่ะ พัก” พี่โบว์บอกอย่างมดความอดทนหลังจากที่เห็นผมยืนแข็งเป็นสากในตอนที่พวกเขาบอกให้ผมเต้น

ซึ่งนั่นมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด รู้สึกเข้าแผนอย่างถึงที่สุด แต่ในขณะนั้นเองใบพัดก็พูดสิ่งที่ผมรู้สึกขัดหูอย่าถึงที่สุด มันมากกว่าเขาด่าผมซะอีก

“พวกพี่ก็คงเคยได้ยินที่เวียร์พูดนะครับว่า ‘จักรวาลจะดูแลลูกนกของมันทุกตัว’ แต่สำหรับน้องคนนี้จักรวาลคงไม่ได้ดูแลเขาเลย” ผมเข้าใจถึงสิ่งที่ใบพัดพูดออกมาดี เพราะนั่นเป็นประโยคที่อยู่ในหนังสือเรื่อง ชีวิตมหัศจรรย์ของออกัสต์ซึ่งเป็นหนังสือที่ผมชอบมาก เนื้อหาของมันเกี่ยวกับเด็กชายที่เกิดมาพร้อมกับความผิดปกติที่เรียกกันว่าโรคกระดูกขากรรไกรล่างและใบหน้าเจริญเติบโตผิดปกติ ทำให้ใบหน้าของออกัสต์ผิดรูปและต้องรับการผ่าตัดหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เขาดูดีขึ้นแต่อย่างใด แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ผมชอบมากที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่าน เพราะออกัสต์มีชีวิตไม่ได้ต่างจากผมสักเท่าไหร่นัก ทั้งประโยคที่เขาบอกว่า

“...ถ้าผมเจอตะเกียงวิเศษและอธิษฐานขอพรได้สักข้อหนึ่ง ผมจะขอให้ตัวเองมีใบหน้าปกติที่ไม่มีใครสนใจเลย ผมจะขอให้ตัวเองเดินไปตามท้องถนนได้โดยไม่มีใครเบือนหน้าหนีเมื่อเห็นผม...”

ซึ่งคำขอของเขามันช่างเรียบง่ายไม่ได้ต่างอะไรจากผมเลย แต่ผมคงต้องบอกว่าออกัสต์โชคดีกว่าผมมาก เพราะเขามีเพื่อนที่คอยสู้เพื่อเขาอย่างแจ็ค วิล และเพื่อนที่จริงใจอย่าง ซัมเมอร์ ทั้งยังมีครอบครัวที่ดีคอยให้กำลังใจอยู่ตลอด ทั้งเวียร์ที่รักเขาและมองเขาอย่างดวงอาทิตย์ ที่ทุกคนต้องกลายเป็นดาวเคราะห์ ที่คอยโคจรรอบตัวออกัสต์

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับคำพูดของใบพัดเมื่อสักครู่นี้ เพราะคำที่ว่า ‘จักรวาลจะดูแลลูกนกของมันทุกตัว’ ที่ใบพัดพูดถึงมันหมายความว่า ทุกคนมักจะมีส่วนที่ถูกทดแทนในสิ่งที่ตนเองขาดเสมอ เหมือนออกัสต์ที่เขาถูกพรากความปกติบนใบหน้าไปแล้วถูกทดแทนด้วยความห่วงใยของทุกคนรอบตัว

ทว่าคำพูดเหล่านี้เวียร์ไม่ได้เป็นคนพูด แต่เป็นจัสติน แฟนของเวียร์ต่างหาก ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเราจะลืมคำพูดที่เป็นประโยคเด็ดขนาดนี้ไปได้อย่างไร

“จัสตินเป็นคนพูดต่างหากล่ะ” ผมเถียง

“แล้วใครจะไปสนล่ะ ในเมื่อคุณนามิยะเป็นสถานสงเคราะห์มารุมิตสึเอ็น” ใบพัดพูดต่อราวกับคนละเรื่อง เพราะสิ่งที่เขาพูดมันคือเรื่องราวจากหนังสือเรื่องร้านขายของชำของคุณนามิยะ ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเขาเป็นเจ้าของร้านขายของชำที่คอยตอบปัญหาหนักอกหนักใจที่มีคนส่งมาถาม ทางช่องรับจดหมายหน้าประตู

“คุณนามิยะเป็นเจ้าของร้านขายของชำ” ผมเถียง

“ถ้ารู้ดีขนาดนั้นก็ช่วยบอกหน่อยสิว่าทำไมแม่ของกะทิถึงเป็นมะเร็ง” ใบพัดถามคำถามที่ไม่ได้เกี่ยวกันเลยออกมาแถมยังเป็นคำถามผิดๆ อีกยิ่งทำให้ผมโมโหมากขึ้น

“แม่ของกะทิเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงไม่ได้เป็นมะเร็ง นี่ที่พูดมานี่ได้อ่านสักเล่มไหมเนี่ย” ผมพูดออกไปอย่างเหลืออดกับคนตรงหน้า แต่เขาก็ยังทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย แต่สิ่งที่ผมสนใจมากกว่าสีหน้าโง่ๆ ของเขาคือเขาจะพูดเรื่องที่ไม่สัมพันธ์กันเลยและผิดตลอดเวลาแบบนี้ออกมาทำไม

“เดี๋ยวก่อนนะสองคนนี้พูดเรื่องอะไรกันเนี่ย” พี่โบว์ขัดขึ้น

“เรื่องทั่วไปน่ะครับใครๆ ก็รู้” ใบพัดตอบพลางมองหน้าผม

“เรื่องทั่วไปอะไรกัน พี่ไม่รู้ถ้าจะกรุณาก็บอกพี่ด้วย” พี่โบว์พูด

“เรื่องหนังสือน่ะครับ” ผมตอบ

“แล้วยังไงแข่งตอบปัญหากันหรือยังไง” อาร์ทถามอย่างไม่เข้าใจ

“คือพี่ครับก็เขาเอาแต่พูดข้อมูลผิดๆ ออกมาตลอดเลยอะครับ ทั้งเรื่อง wonder ร้านขายของชำของคุณนามิยะ แล้วก็ความสุขของกะทิไม่มีอันไหนถูกเลยสักอัน” ผมฟ้อง แต่ใบพัดก็ยังทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไรอยู่เหมือนเดิม

“ใบพัดจะพูดผิดได้ยังไงในเมื่อเขาอ่านหนังสือสามล่มนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด” พี่น้ำตาลเถียง

คนบ้าอะไรวะจะอ่านหนังสือซ้ำกันอยู่ตลอด

ผมได้แต่แอบเถียงอยู่ในใจ ว่าข้อมูลผิดๆ แบบนี้ออกมาจากปากของคนที่อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกจริงๆ หรือ

“อ๋อหรือว่า ใบพัดจะพิสูจน์ว่าน้องมีความรู้หรือเปล่า” พี่โบว์ถามราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ ซึ่งใบพัดก็ยักไหล่ทำเป็นไม่รู้มาชี้จนน่าหมั่นไส้

“นี่ใบพัดจะบอกว่าความสามารถของน้องคืออ่านหนังสืออย่างนั้นเหรอ” พี่อาร์ทพูดต่ออย่างเหลือเชื่อ

ใบพัดยักคิ้วก่อนที่จะตอบ “ก็ไม่เชิง”

“แล้วมันจะทำอะไรได้ล่ะแค่อ่านหนังสือเนี่ยนะ” พี่อาร์ทถาม

“อาจจะไม่แค่อ่านนะ” พี่น้ำตาลสวนขึ้น “แต่เราหมายถึงความรู้และความจำของน้องเขาน่ะ”

“ยังไง” พี่อาร์ทถาม

“ก็ลองคิดดูสิกี่ปีแล้วที่เราเอาแต่คัดดาวเดือนจากความสามารถที่เอาไว้โชว์ แล้วต้องมาเทรนด์รอบความคิด ตอบคำถาม แต่ถ้าปีนี้เราเริ่มจากความรู้ก่อนล่ะ อาจจะไม่แย่ก็ได้นะ” พี่น้ำตาลบอกออกมาอย่างมีความหวัง แต่สุดท้ายทุกคนก็เถียงกันไม่จบ จนพี่น้ำตาลต้องบอกให้ผมออกมาก่อน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมโล่งเป็นที่สุดเพราะอย่างน้อยผมก็มีโอกาสน้อยมาก เพราะเมื่อcasting director บอกว่าไม่โอเคแล้วมีหรือที่คนอื่นๆ จะไม่เห็นด้วย

เมื่อออกมาจากห้องผมก็แวะไปซื้อเครื่องดื่ม ก่อนที่จะกลับมาที่คณะเพราะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ ผมทั้งฮัมเพลงไปล้างมือไปด้วยใจที่เป็นสุขเพราะรู้สึกอารมณ์ดีเอาซะมากๆ ทว่าในห้องน้ำเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว เพราะหลังจากที่ผมฮัมเพลงอยู่นั้น ผมก็เห็นใครอีกคนเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ

“เป็นไง อารมณ์ดีจังเลยนะ” ใบพัดถามผม พลางเดินเข้ามาล้างมือใกล้ๆ

“...”

“ทำไมไม่ร้องต่อล่ะ” ใบพัดถาม

“ผมจะไปแล้ว”

“งั้นเหรอเหมือนกันเลย” เขาพูดพลางเดินผ่านหน้าผมไป “ไว้เจอกันนะ อ๊อกกี้...”
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 07-02-2021 21:38:42
อะไรคือฮ๊อกกี้
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 07-02-2021 22:46:17
 :z3:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 6 Don’ t lie (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: ZilCh ที่ 08-02-2021 00:07:45
อยากอ่านตอนต่อไปเลย ใบพัดจะมาไม้ไหนกันนะ
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 7 Sorry T.T
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 08-02-2021 19:37:09
Chapter 7

Sorry T.T

“เอาอีกแล้วเหรอพี่” เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งถามขึ้นเมื่อเห็นผมเอาแต่ง่วนหาอะไรสักอย่างในกระเป๋า

“อือ” ผมขานตอบสั้นๆ เมื่อไม่เห็นวี่แววของสิ่งที่หาอยู่

“เล่มที่เท่าไหร่แล้วล่ะ” คนที่อายุน้อยกว่าผมถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ดูค่อนข้างจะโกรธและไม่พอใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขัดกับดวงตาคู่เล็กๆ ที่ดูยิ้มอยู่ตลอดเวลาของเขา

“สอง” ผมตอบอย่างเหนื่อยหน่ายในขณะเดียวกันก็รูดซิปปิดกระเป๋าลงอย่างสิ้นหวัง สำหรับผมของหายนับว่าเป็นเรื่องปกติเพราะบางครั้งก็มีคนเอาไปซ่อนบ้าง ขอยืมแล้วไม่คืนบ้างซึ่งส่วนมากจะเป็นรองเท้าแต่ผมก็แก้ปัญหาโดยการไม่ใส่มันซะเลยและเมื่อโดนอาจารย์ถามหรือคนที่เอาซ่อนไม่เห็นผมเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรก็ไม่วายต้องเอามาคืนทุกที แต่ในครั้งนี้สิ่งที่หายไปกลับเป็นหนังสือที่ผมเพิ่งจะยืมมาจากห้องสมุดซะนี่ ทั้งนี่ยังไม่ใช่เล่มแรกที่ทำหายซะด้วย เพราะเล่มแรกที่หายไปก็คือเรื่องความสุขของกะทิซึ่งผมก็ไม่ได้ชอบมากเท่าไหร่แต่แค่อ่านในฐานะของวรรณกรรมซีไรท์ แต่ก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นดีเหมือนกลับไปอ่านภาษาภาที กล้ากับแก้ว “รถไฟ รถไฟมา ตามา ตามารถไฟ” อีกครั้ง เล่มที่สองที่หายก็เป็นคิวของเรื่องร้านขายของชำของคุณนามิยะที่เพิ่งจะอ่านเสร็จหมาดๆ แล้วกะว่าจะรีบเอาคืนแต่พอมาดูอีกที่กลับหายซะแล้ว เห็นทีว่าสิ่งที่อาจารย์คาดโทษผมไว้ว่าจะไม่ให้ยืมหนังสืออีกคงจะต้องเป็นเรื่องจริง นับว่าเป็นฝันร้ายชัดๆ สำหรับผม

“ทำไมไอ้พวกนี้ถึงได้ชอบแกล้งคนอื่นนักนะ” คนอายุน้อยที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์พลางปิดหนังสือที่เปิดไว้ดังปัง “พี่พอจะรู้ป่ะว่ามันเป็นใคร”

“นี่แนะ” ผมพูดพลางเอาปากกาเคาะหัวเขาไปทีหนึ่งก่อนที่จะบ่นเขาออกไป “แกรู้แกจะไปทำอะไรเขาห่ะ! พูดอย่างกับเป็นนักเลงไปได้”

“ผมก็จะจัดการมันน่ะสิ แม่งไม่มีปัญญามีความสุขด้วยตัวเองหรือไงวะถึงต้องทำแบบนี้” ผมไม่รู้ว่าตอนนี้คนตรงหน้าหรือที่ผมเรียกว่าเด็กที่ผมช่วยติวให้หรือเรียกแบบสนิทๆ ว่า “ไทม์” กำลังรู้สึกอย่างไรแต่ว่าน้ำเสียงสีหน้าและการกระทำของเขาในตอนนี้มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนผมมีคนที่เป็นทีมผมจริงๆ ขึ้นมาแล้ว รวมทั้งเขายังพร้อมจะสู้เพื่อผมอีกต่างหาก ผมล่ะซึ้งใจจริงๆ

“พี่ขอสั่งแกเลยนะ ว่าห้ามไปมีเรื่องชกต่อยกับไอ้พวกนั้นเด็ดขาดนอกจากจะเสียเวลา เสียสุขภาพจิตแล้วยังเสียรู้อีกต่างหากแทนที่จะทำตัวดีกว่ามันสุดท้ายก็เป็นแบบมัน” ผมร่ายออกไปอย่างที่เคยได้ยินมาเพราะไม่อยากให้ไทม์มีประวัติไม่ดีติดตัว แต่ในความรู้สึกจริงๆ นี่นะผมอยากบอกไทม์ว่า ‘เอาเลยไอ้น้องไอ้พวกเลวพวกนี้ล่ะที่ทำพี่มึงเอาให้มันเข็ดไปเลย’ แต่ในความเป็นจริงคือไทม์ไม่ได้เก่งขนาดนั้นไงแถมยังหัวเดียวกระเทียมลีบไม่ได้ต่างจากผมก็เพราะนิสัยที่ตรงเกินไปแล้วไม่ค่อยพูดของมันนี่แหละที่ทำให้คนเขากลัว แต่ดีหน่อยทีหน้าตาดีคนเลยไม่ได้เกลียดมากอย่างผม สำหรับคนอื่นแล้วไทม์อยู่ในฐานะที่ทุกคนให้อภัยได้เสมอ แต่สำหรับผมแม้แต่ให้โอกาสยังถือว่าเป็นบุญคุณเกินไปด้วยซ้ำ

“พี่อย่ามาโลกสวยเป็นนางเอกละครหลังข่าวที่รักคุณธรรม ซื่อๆ โง่ๆ หน่อยเลย ก็รู้อยู่แก่ใจว่าความดีไม่ได้ชนะความชั่วเสมอไปยังจะมาทำใสบอกให้ไม่สู้อีก ไม่สู้แล้วเป็นไงสุดท้ายก็ได้มาขลุกอยู่แต่ในห้องสมุด ยิ่งพี่ทำแบบนี้ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ผม เขาจะไม่เข้าใจและสงสารพี่หรอกนะเขามีแต่จะสมเพชแล้วก็สมน้ำหน้าที่พี่ไม่ยอมสู้เองแล้วถึงแม้สู้ก็ไม่เคยจะสู้จริงๆ จังๆ สักที พี่สำหรับคนที่ไม่รักตัวเองหรือไม่ยอมสู้เพื่อตัวเองเลยไม่มีใครเขาจะมาโลกสวยสงสารพี่หรอกนะ”

อ่าว ไอ้เด็กนี่อยู่ดีไม่ว่ามาด่าพี่ซะงั้น สุดท้ายก็กลายเป็นว่าผมโดนมันสวดอย่างทุกทีจนได้ ก็จะให้ทำไงได้ล่ะวะก็คนมันปอดแหกอะจะให้ไปสู้กับใครเขาได้

หลังจากขลุกอยู่ห้องสมุดกับไทม์ตลอดพักเที่ยงผมก็ได้แต่ยืดเวลาในการกลับเข้าไปในห้องเรียนให้นานออกไปโดยการเดินให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นเป็นเพราะเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วมีนักเรียนย้ายเข้ามาใหม่ในห้องของผมซึ่งเป็นห้องคิงหรือห้องที่เรียนเก่งที่สุดในระดับชั้นอย่างที่ใครๆ เขาเรียกกันซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมอยากอยู่ในห้องนี้มากกว่าเดิมเท่าไหร่นักเพราะอะไรน่ะเหรอ...

ก็เพราะว่าต่อให้ผมจะอยู่ห้องไหนมันก็แทบจะไม่ต่างกันเลยน่ะสิ ต่อให้ผมอยู่ห้องที่บ้วยที่สุดผมก็ยังจะใช้ชีวิตไม่ได้ต่างไปจากตอนที่ผมอยู่ห้องคิงอยู่ดีเพราะมันคงไม่มีคนสติดีๆ ที่ไหนอยากมานั่งใกล้ผม แม้ว่าแต่ก่อนจะเคยมีก็ตามในตอนที่ผมอยู่ม.ต้นยังจำได้อยู่เลยว่าเคยมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเคยนั่งข้างผม แต่แล้วผ่านไปไม่ถึงอาทิตย์เธอก็ถูกเพื่อนล้อว่าเป็นแฟนกับผมนั่นคงทำให้เธออับอายมากซะจนต้องขอครูย้ายโต๊ะทั้งน้ำตา แล้วพอผมไปถามเธอด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นอะไรหรือเปล่าเธอกลับตอบผมกลับมาอย่างเจ็บแสบมากกว่า“ก็หน้าตาของนวมันน่ากลัวนี่ น่ากลัวจนทำเราเรียนไม่รู้เรื่องเลยต่อไปนี้อย่ามายุ่งกับเราอีกเลยนะ” เธอพูดแล้วหันหน้าหนีอย่างเย็นชา แล้วนั่นก็เหมือนเป็นการบอกลาผู้หญิงที่เคยนั่งข้างผมและก็เหมือนเป็นการเริ่มต้นเพราะนับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครนั่งข้างผมอีกเลย ซึ่งผมว่ามันก็ดีเหมือนกันเพราะทั้งมีสมาธิในการเรียนมากขึ้นและอีกอย่างเหมือนได้อยู่ไกลจากคนอื่นมากขึ้นผมก็อดที่จะรู้สึกปลอดภัยไม่ได้

จนเมื่ออาทิตย์ก่อนโต๊ะตัวข้างๆ ผมก็ถูกแทนที่ด้วย.... ใครคนหนึ่งที่ผมไม่เคยคิดว่าอยากจะเจอเขาอีก

“สวัสดีครับผม ปรัชญาสยาม เดชาพิทักษ์” เจ้าของใบหน้าที่แสนจะสมบูรณ์แบบพูดขึ้นเมื่อผมมองไปที่ใบหน้าของเขาทำให้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวดูราวกับกายเป็นภาพสโลว์โมชั่นไปหมด รวมทั้งเสียงของคนที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ดูจะยานคางไปหมดจนฟังไม่รู้เรื่อง ผมเอาแต่จับจ้องที่ใบหน้าของเขา ริมฝีปากสีระเรื่อกำลังขยับขึ้นลงอย่างได้รูปรับกับจมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้มรูปสามเหลี่ยมก็เพิ่มเสน่ห์ให้กับดวงหน้าของเขาจนน่าฉงนทั้งดวงตารีรูปเม็ดข้าวทั้งสองข้านั่นอีก พูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าใบหน้าของคนตรงหน้าหนี้ไม่มีส่วนไหนเลยที่จะต้องปรับเปลี่ยนอะไรไปมากกว่านี้ สำหรับใครหลายๆ คน ที่เห็นคนคนนี้คงจะดูราวกับเทพบุตรที่น่าเข้าหาเสียเต็มประดาแต่สำหรับผม ผมกลับอยากจะวิ่งหนีเขาให้ไกลที่สุด สำหรับผมเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากหมาตัวใหญ่ที่รอจะขย้ำแมวจรอย่างผม แม้ว่าเขาหน้าตาของเขาจะดีแค่ไหนก็ตาม เพราะเขาก็คือคนที่ฉีดหน้าใส่ผมจนเปียกโชกไปทั้งตัวทำให้ผมต้องขาดเรียนในภาคบ่ายของวันนั้นไปอย่างจำใจ และนั่นมันยังสร้างความหวาดกลัวให้ผมไม่เคยจางหายไปไหน และกว่าผมจะรู้สึกตัวก็ตอนที่เขาเดินมานั่งลงข้างผมแล้วซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สร้างความปั่นป่วนให้ผมอย่างมากในวันนั้นและตลอดอาทิตย์เพราะผมไม่เคยมีคนที่ทำร้ายร่างกายผมมานั่งข้างๆ มาก่อน

สำหรับอันธพาลคนนี้แตกต่างไปจากทุกคนมากทีเดียวเพราะผมคิดว่าเมื่อเขามานั่งลงข้างผมแล้วคงจะเอาแต่นั่งฟุบและหลับตลอดคาบ แต่เขากลับทำในสิ่งตรงกันข้ามเพราะเขาเอาแต่ตั้งใจเรียนและจดทุกอย่างที่คิดว่าเป็นความรู้ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมอึดอัดไปใหญ่ เพราะถ้าเขาหลับผมก็คงไม่ต้องเห็นหน้าเขาแล้วแท้ๆ แล้วการนั่งข้างเขาก็คงจะง่ายมากกว่านี้แต่นี่มันแทบจะทำให้ผมอดที่จะนั่งเกร็งตัวเสียไม่ได้

สำหรับวันนี้สิ่งที่ผมทำได้คือยืดเวลาออกไปโดยการเดินให้ช้าที่สุดแม้มันจะดูไม่ฉลาดแต่ก็น่าจะเป็นทางเดียวที่ผมทำได้ถ้าไม่นับเรื่องโดดเรียน

ในที่สุดผมก็เดินมาถึงห้องเรียนจนได้แม้ว่าจะจำใจก็ตามตอนนี้เลยเวลาเรียนวิชาสังคมศึกษาได้ราว10นาทีแล้วแต่ครูประจำรายวิชาก็ยังไม่ได้เริ่มสอนแต่อย่างใดทำให้ผมเข้าเรียนทันโดยไม่ได้ตั้งใจ ผมเดินมาที่โต๊ะด้วยท่าทางราวกับว่ามีเด็กตัวอ้วนๆ กำลังกอดขาผมไว้ไม่ยอมให้ออกเดินก่อนจะมาถึงโต๊ะที่มีคนหน้าตาถมึงทึงนั่งอยู่ด้วยท่าทางที่ราวกับว่าพร้อมจะเรียนมาเป็นชาติแล้ว แล้วก็ดูเหมือนกับว่าเขาจะไม่ได้สังเกตเลยว่ามีผู้หญิงหลายคนแอบมองมาที่เขา เนื่องด้วยความที่เป็นเด็กใหม่เลยทำให้เนื้อหอมเป็นพิเศษแต่ดูเหมือนกับหมอนี่จะมนุษย์สัมพันธ์แย่เอาซะมากๆ ทั้งที่มีคนจำนวนมากพร้อมที่จะเข้ามาหาเขาแต่เขากับไม่เคยที่จะคุยกับใครเลยเพียงแต่ส่งสายตาที่เฉยชาไปให้เท่านั้น เห้อ...แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะมันกลับทำให้เขาหน้าค้นหามากขึ้นในสายตาของคนอื่น อย่างนี้ล่ะนะคนมันหน้าตาดี ลองให้ผมทำดูสิจากที่คนเกลียดอยู่แล้วคงได้มีอะไรที่มากกว่าเกลียดเกิดขึ้นมาอีกแน่โลกนี้ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

ผมค่อยๆ ดึงเก้าอี้ออกจากโต๊ะให้เบามือที่สุดเหมือนทุกทีเพื่อไม่ทำให้คนข้างๆ สนใจผมมากนัก ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงข้างๆ คนคนนั้นให้เงียบที่สุด ในที่สุดอาจารย์ก็เริ่มสอนสักทีคนข้างๆ ผมเอาแต่มองไปที่กระดานโดยที่ไม่มีท่าทีว่าจะว่อกแว่กแม้แต่น้อยแต่ก็อย่างที่ผมเคยบอกไปว่าตั้งแต่ไอ้หมอนี่มานั่งข้างผมมันก็ทำให้ผมเกร็งไปหมดจนไม่มีสมาธิจะเรียนเลยในแต่ละวัน

“มองอะไร” คนข้างๆ ถามเสียงเรียบแทรกความเงียบที่เกิดขึ้นกับเราตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาขึ้น ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความกดดันให้กับบรรยากาศรอบตัวผมมากขึ้นไปอีก ทำให้ผมสะดุ้งโหยงและละสายตาออกจากคนข้างๆ ทันทีหลังจากที่แอบชำเลืองมองเขาอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรเขาไปด้วยความที่หวาดกลัวและเข็ดขยาดกับคนข้างๆ อยู่เป็นทุนเดิม นั่นยิ่งทำให้ผู้รู้สึกกลัวเขามากขึ้นไปอีก

การเรียนการสอนดำเนินต่อไปท่ามกลางเสียงพูดคุยกันเบาๆ ของนักเรียนในห้อง และเสียงสอนหึ่งๆ เหมือนกับปีกแมลงวันของอาจารย์ทำให้ชวนง่วงอย่างมากในเวลาช่วงบ่ายแบบนี้ผมจึงหยิบเอาหนังสือเล่มสีฟ้าที่ผมเพิ่งจะซื้อมาใหม่ออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดมันออกอย่างที่เคยทำทุกครั้งที่รู้สึกง่วงโดยไม่ลืมที่จะเอาหนังสือเรียนมาห่อก่อนที่จะเริ่มอ่านแล้วท่องเข้าไปในโลกของตัวหนังสือที่แสนจะปลอดภัยใบที่อยู่ข้างหน้าแล้วไม่น่าเชื่อว่าการเดินทางของผมมันจะอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ปกหนังสือกั้นแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเดินทางออกไปไกลแสนไกลในดินแดนที่ผมไม่รู้จัก

หนังสือเล่มใหม่ที่ผมหยิบขึ้นมาในวันนี้คือเรื่อง “ชีวิตมหัศจรรย์ของออร์กัสต์” หรือหลายๆ คนอาจรู้จักในอีกชื่อว่า “Wonder” ที่ผมเลือกซื้อหนังสือเล่มนี้ เพราะมันมีที่มาที่ไปค่อนข้างน่าสนใจอย่างแรกแน่นอนว่ามันดังแต่อีกอย่างคือเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นมาเพื่ออุทิศให้กับเด็กที่นักเขียนเคยเจอหน้าที่สนามเด็กเล่น เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเมื่อลูกชายของเธอไปมองหน้าเด็กคนหนึ่งที่มีความผิดปกติทางใบหน้าด้วยอุบัติเหตุหรืออย่างไรก็ไม่อาจทราบได้นั่นทำให้เธอรีบไปดึงลูกชายของเธอออกมาด้วยความที่เธอกลัวว่าจะทำให้เด็กชายคนนั้นอึดอัดแต่เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านก็เพิ่งนึกขึ้นได้การที่เธอทำแบบนั้นจะเป็นการทำให้เด็กคนนั้นคิดว่าเธอรังเกียจและรู้สึกแย่มากกว่าเดิมหรือเปล่า เธอจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะอยากขอโทษเด็กคนนั้น โดยใช้ตัวละครหลักอย่างออร์กัสต์ พูลแมน แทนตัวเด็กคนนั้น นั่นเลยทำให้ผมรู้สึกอยากจะอ่านเรื่องนี้มากเป็นพิเศษเพราะอย่างที่รู้ๆ ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับความผิดปกติทางใบหน้าผมก็อดจะคิดว่ามันเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้ แต่ก็ต้องนับว่าหนังสือเล่มนี้เป็นทั้งกำลังใจและสร้างความหวังให้ผมมากพอสมควรเพราะแต่ละฉากล้วนแต่พูดถึงการเดินทางผ่านความยากลำบากในชีวิตได้อย่างมีแง่มุมและนุ่มนวล มันเหมือนจะแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เพียงแค่คนที่มีหน้าตาผิดปกติเท่านั้นที่มีปัญหาแต่คนที่ปกติก็มีปัญหาที่ต้องเก็บซ่อนไว้เหมือนกันแล้วในอีกแง่มันกลับแสดงให้เห็นการเติบโตของทุกคนราวกับเราเป็นส่วนหนึ่งในนั้น นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับหนังสือเล่มนี้ขึ้นไปอีก

แต่อยู่ๆ ผมก็รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกก่อนที่จะหันไปมองคนข้างๆ อย่างเสียไม่ได้ แล้วผมก็พบเข้ากับดวงตาของเขาที่กำลังมองมาที่ผมอยู่จริงๆ นั่นทำให้ผมชะงักและแอบกลั้นหายใจไปน้อยๆ จนเจ้าตัวเห็นผมมองกลับไปก็เหมือนจะตกใจอยู่นิดๆ ก่อนที่จะหันหน้าหนีไป แล้วหันไปจดอะไรขยุกขยิกสักอย่างซึ่งตอนนั้นอาจารย์ไม่ได้สอนแต่จะอะไรก็ช่างมันเถอะผมไม่ได้สนใจอยู่แล้วแม้จะแอบชำเลืองมองอยู่ก็ตาม

ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมแทบจะใช้ชีวิตแบบปกติที่เรียกได้ว่าน่าเบื่อสุดๆ  เพราะชีวิตผมมีแค่มาเรียนไปห้องสมุดเวลาพักสถานที่ที่ผมพอจะอยู่ได้อย่างสงบสุขก็มีอยู่สองที่คือห้องเรียนและห้องสมุด ซึ่งก็ไปขลุกอยู่กับไทม์สองคนจนผมอดจะเบื่อขี้หน้ามันซะไม่ได้ เพราะนอกจากจะเจอกันที่โรงเรียนแล้วเลิกเรียนผมยังต้องไปติวให้มันอีกเรียกได้ว่าถ้าหากผมท้องผมคงคลอดลูกออกมาหน้าเหมือนมันเพราะเห็นบ่อยกว่าพ่อแม่ที่อยู่บ้านเดียวกันซะอีก ทว่าผมกลับไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่ยอมคบค้าสมาคมกับคนอื่นสักทีซึ่งถ้าหากจะให้ผมเดาคงไม่ใช้เพราะมันไม่คบใครแต่ไม่มีใครอยากคบกันมันเพราะนิสัยขวานผ่าซากของมันแน่ๆ เฮ้อหน้าตาก็ดีแทนที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์น่าเสียดายจริงๆ

ถึงแม้ว่าชีวิตในอาทิตย์ที่ผ่านจะแสนน่าเบื่อแต่มันกลับมีสีสันที่อยู่ในทางสีทึบแสงพวกสีดำสีเทาเจือเทาแทรกเข้ามาในชีวิตผม ซึ่งมันก็คือคนที่นั่งอยู่ข้างๆผมนั่นเอง ผมก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรของเขากันแน่เพราะนับวันนั้นใบพัดยิ่งน่ากลัวขึ้นไปทุกทีทั้งแปลกทั้งน่ากลัว บางครั้งก็เอาแต่พึมพำอะไรสักอย่างเหมือนจะขอโทษใครสักคนแต่ก็ไม่ได้พูดออกมาชัดนักเพราะขนาดผมนั่งอยู่ข้างๆ ยังได้ยินไม่ชัดเลยแต่ที่แปลกคือเวลาพึมพำอะไรพวกนั้นเขามักจะมองมาที่ผมหลังจากที่พูดเสร็จอย่างน่ากลัว เหมือนผมทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเขาซะอย่างนั้น

วันนี้ก็เป็นเหมือนอีกวันที่ผมพยายามเดินไปห้องเรียนให้ช้าที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เวลากับคนคนนั้นซึ่งผมได้ยินคนในห้องเรียกเขาว่า “ใบพัด” แม้จะไม่ค่อยยุ่งกับใครแต่ด้วยความที่หน้าตาดีและดูน่าเกรงขามจนไม่มีใครกล้าตอแยด้วยทำให้เขาก็เป็นที่พูดถึงมากทีเดียวแล้วส่วนมากก็เป็นในแง่ดีซะด้วย

ผมดึงเก้าอี้ออกจากใต้โต๊ะแล้วนั่งเมื่อมาถึงที่นั่งประจำวันนี้ดูเหมือนคนจะบางตาเป็นพิเศษดูเหมือนจะตั้งใจนัดกันหยุดในกลุ่มใหญ่ของห้องที่ไม่มีผมอยู่ในนั้นแบบที่ชอบทำกันอย่างแน่นอน ซึ่งผลที่ได้รับมาก็ตามคาดคือครูให้เคลียงานค้างแทนที่จะสอนเพราะคนน้อยเกินไปขี้เกียจสอนหลายรอบ วันนี้ผมคิดว่าบรรยากาศในห้องคงจะชิวกว่านี้เพราะคนน้อยแล้วอาจารย์ก็ไม่ได้สอน การบ้านผมก็เคลียหมดแล้ว แต่สิ่งที่ทำลายความชิวในวันนี้ของผมไปก็คือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมดูล่กและกระวนกระวายผิดปกติไปมากแม้เขาจะไม่ค่อยปกติก็ตาม ในสายตาผมอะนะ

ผมที่นั่งอยู่ข้างเขาก็อดที่จะกดดันไม่ได้เลยเลือกที่จะขอครูไปห้องน้ำแทนแต่ในขณะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นนั้นอยู่ดีๆ ก็มีมือเย็นของคนข้างๆ มาจับแขนของผมไว้พร้อมกับออกแรงดึงไม่แรงนักให้ผมนั่งลง ซึ่งตอนนั้นสติสตางค์ผมกระเจิงไปหมดแล้วกับท่าทีและภาพสิ่งที่คนข้างๆ เคยทำกับผมมันถาโถมเข้ามาหมดจนผมสั่น

เขามองหน้าผมไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่งจนผมอดจะสงสัยไม่ได้ว่าเจ้าตัวต้องการจะสำรวจใบหน้าอัปลักษณ์ของผมเพื่อเอาไปทำอะไรหรือเปล่า ก่อนที่เขาจะยื่นมือออกมาพร้อมกับของชิ้นเล็กๆ ที่วางอยู่บนมือก่อนที่เขาจะพูดออกมาห้วนๆ ว่า “ให้” พร้อมกับรอยยิ้มแหย๋ๆ ดูฝืนๆ จนน่ากลัวอย่างกับสไมล์ลิ่งแมน

ผมเกือบจะดีใจอยู่แล้วเชียวถ้าของสิ่งนั้นมันไม่ใช่พวงกุญแจรูปหมวกนักบินอวกาศแบบเดียวกันกับที่ ออร์กัส พูลแมนใส่ในภาพยนตร์เรื่อง Wonder ที่เพิ่งจะเข้าโรงไปหรือหนังสือที่ผมเคยอ่านในชื่อเดียวกัน ซึ่งหมวกนักบินอวกาศใบนี้มีความหมายต่อออร์กัสมากเพราะเขาเอาไว้ใส่เวลาออกข้างนอกหรือสถานที่มีคนเยอะๆ เพื่อไม่ให้คนมองมาที่ใบหน้าที่ผิดจากปกติของเขาถึงแม้ว่าเขาจะทำศัลยกรรมมาหลายครั้งแล้วก็ตามแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก

ผมแบมือออกไปรับของชิ้นนั้นพลางสั่นแต่ไม่ได้สั่นเพราะความกลัวหากแต่สั่นเพราะความโกรธ ผมไม่รู้ว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร แต่มันคงหนีไม่พ้นว่าคงอยากให้ผมใส่หมวกนักบินอวกาศแบบออร์กัส จะได้เอาใบหน้าอันแสนอัปลักษณ์ออกไปจากข้างๆ เขาสักที ผมมองของขวัญในมือพลางรู้สึกตาร้อนขึ้นมาว่าผมนี่มันอัปลักณ์ซะจนมีคนอยากให้ใส่หมวกปิดบังใบหน้าเลยหรือ ในใจของผม ผมโคตรอยากที่จะลุกขึ้นแล้วปาของที่อยู่ในมือใส่หน้าไอ้คนที่อยู่ข้างๆ ที่ยิ้มอย่างน่ากลัวอยู่อย่างนั้นแล้วด่ามันอย่างเจ็บแสบก่อนที่จะสาดน้ำใส่มันให้เหมือนกับที่มันทำกับผม แต่ผมกลับทำไม่ได้เพราะจากที่เห็นพวกไอ้ธีร์วิ่งหนีหางจุกตูดในวันนั้นผมคิดว่าคนตรงหน้าคงจะเหี้ยมโหดน่าดู

ผมแต่มองของในมืออยู่อย่างนั้นก่อนที่จะบอกออกไปอย่างกล้ำกลืนว่า “ขอบคุณนะ” เพียงชั่วครู่ผมก็เห็นชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ยิ้มออกมาราวกับดีใจจริงๆ แต่ผมก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่เพราะมันจะเป็นสายตาแห่งความสะใจที่แกล้งคนขี้แพ้อย่างผมได้เสียมากกว่า “แต่เราเกรงใจอะเอาคืนไปเถอะ” ผมบอกออกมาอย่างสุภาพแต่การกระทำชั่งสุดแสนจะหยาบคายเพราะแทนที่ผมจะเอาคืนไว้ที่มือของใบพัดดีๆ ผมกลับเอามันวางลงบนโต๊ะราวกับรังเกียจที่จะสัมผัสตัวของคนข้างๆ อย่างไงอย่างงั้นหลังจากที่ผมวางของชิ้นนั้นไว้บนโต๊ะเสร็จแล้วก็ไม่ลืมที่จะขยับเก้าอี้ออกมาให้ไกลจากขนข้างๆ อีกนิดเพื่อตอกย้ำว่าเขาไม่ได้ตีความการกระทำของผมผิดไปเลยสักนิด ผมไม่ได้เหลือบมองเขาแม้แต่น้อยแต่ก็พอทราบได้ว่าเขาคงจะหัวเสียมากที่คนที่คนอื่นเอาแต่บอกว่ารังเกียจและพยายามจะหลีกเลี่ยงอย่างผมทำท่ารังเกียจเขาแบบนี้

แทบจะในทันทีที่ผมเลิกสนใจคนข้างๆ ผมก็เหมือนจะได้ยินเสียงกระดูกลั่นราวกับคนกำลังกำหมัดด้วยความโกรธซึ่งมันก็ทำให้ผมถึงกับสะดุ้งและก็เหมือนกับว่าเขากำลังจะพูดอะไรสักอย่างออกมาเสียงออดก็ดังขึ้นพอดีพร้อมกับทำความเคารพครู ผมรีบยืนขึ้นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงคนข้างๆ ให้มากที่สุดแต่กลับถูกเขาฉุดแขนเอาไว้อีกครั้งผมหันไปมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ทำไมไม่รับไว้” เขาถามผมออกมาสั้นๆ แต่ดวงตากลับไม่ได้รู้สึกเหมือนกับว่าเขาโกรธแต่อย่างใดแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่ามันเต็มไปด้วยคำถาม

“เกรงใจ” ผมพูดสั่นๆ พลางก้มหน้า

“โกหก” เขาพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเพิ่มแรงบีบเข้ามาที่แขนของผมจนผมเริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมาแต่ก็ยังทนกดความเจ็บปวดไว้เพราะมากกว่านี้ผมก็เคยเจอมาแล้ว

” โกรธเหรอ” ใบพัดถามออกมาเสียงเรียบแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังถูกคนข้างๆ เยาะเย้ยอยู่ที่ถึงจะโกรธขนาดไหนแต่กับทำอะไรไม่ได้เลย

“ทำไมเงียบ” อีกฝ่ายยังจี้เอาคำตอบจากผมไม่หยุดและไม่ยอมปล่อยผมสักทีแม้ผมจะพยายามดึงแขนกลับแล้วก็ตาม ก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าถูกแรงกระชากจากใครสักคนดึงออกมาจากตรงนั้นจนผมหลุดออกมาได้พร้อมกับที่ใครคนนั้นจะเอาผมมาซ่อนไว้ข้างหลังจนความสูงของเขาบดบังภาพตรงหน้าของผมจนมองไม่เห็น

“มึงจะทำอะไรพี่กูว่า” น้ำเสียงที่ดุดันและสรรพนามที่เขาใช้เรียกผมทำให้ผมรู้ทันทีว่าเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่กำลังปกป้องผมอยู่คือใคร แต่ว่านี่มันห้อง ม.5นะเว่ย! เพิ่งจะเข้ามาม.4ได้ไม่กี่อาทิตย์นี่มึงจะเปรี้ยวจนขนาดมามีเรื่องในห้องม.5เลยหรือวะ “พี่นวมันทำอะไรพี่” ไทม์ถามออกมาด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับเอาตัวบังผมไว้ราวกับภูผาที่แสนจะแข็งแกร่งและปลอดภัย ไอ้เด็กนี่พึ่งพาได้จริงๆ แต่ในขณะนั้นเองผมก็เหมือนจะได้ยินเสียเก้าอี้ดังขึ้นบ่งบอกว่าใบพัดได้ยืนขึ้นจนเต็มความสูงแล้ว เดี๋ยวนี่พวกมึงจะตีกันในห้องจริงดิ

“แล้วมึงยุ่งอะไรด้วยวะ” ใบพัดถามอย่างหาเรื่อง

“ก็นี่พี่กู” ไทม์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่แพ้กันจนทำให้ผมอดที่จะรู้สึกกลัวเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้

“ไทม์ไปกันเถอะ” ผมรีบบอกไทม์พลางกระตุกเสื้อของเขาลนๆ เพราะผมไม่อยากให้เหตุการณ์มันเป็นอย่างที่ผมจินตนาการไว้ แต่ไอ้เด็กนี่กลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแถมทำท่าจะเดินเข้าไปหาใบพัด ผมจึงจำใจต้องหยิกแขนเขาจนเจ้าตัวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“โอ๊ย นี่ผมมาช่วยพี่นะแล้วพี่มาหยิกผมเนี่ยเหรอ” ไทม์ทวงบุญคุณผมด้วยสีหน้าโกรธๆ ปนน้อยใจ

“เร็วเข้าไม่งั้นพี่จะฟ้องแม่แก” ผมขู่เร็วๆ โดยที่ไม่ได้มองใบพัดด้วยซ้ำ

“เดี๋ยว” ใบพัดเรียกขึ้นผมรีบหันกลับไปทันทีเพราะกลัวว่าใบพัดจะกระชากตัวไทม์ไปชก แต่ผิดคาดเพราะใบพัดไม่ได้ทำอะไรเพียงแต่โยนพวงกุญแจรูปหมวกนักบินอวกาศมาหาผมซึ่งผมก็รับมันเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่กี่อึดใจไทม์กลับดึงมันออกจากมือผมแล้วโยนมันกลับไปให้ใบพัดอย่างไม่ไยดี

“พี่กูไม่เอาโว่ย” ไทม์พูดเสร็จก็เอามือมาคล้องที่ไหลผมก่อนที่จะดึงตัวผมเดินออกไปด้วยกัน

“เหอะ แค่พี่น้องหวงอย่างกับเมีย” ใบพัดพูดลอยๆ แต่เจตนากลับต้องการที่จะเสียดสีผมสองคนเต็มๆ

ผมรีบดึงแขนของไทม์ไว้ก่อนจะยื่นคำขาดออกไปแม้ว่าความจริงผมควรจะเป็นรองในเรื่องนี้ก็ตาม “อย่าหันกลับไปนะถ้าแกหันกลับไปพี่จะเลิกสอนแก”

“แต่...”

“งั้นก็เชิญแกหันกลับไปเถอะ” ผมบอกพลางทำท่าจะเดินออกไปก่อน

“รู้แล้วน่า” ไทม์บอกอย่างกับเด็กโดนขัดใจก่อนที่พวกผมจะเดินออกไปจากห้องด้วยกันโดยที่ไม่ได้มีใครเจ็บตัว เห้อถ้าให้เจอเรื่องแบบนี้ทุกวันก็ไม่ไหวนะ





ใบพัดได้แต่มองตามหลังสองคนที่กำลังกอดคอกันเดินออกไปจากห้องด้วยความสนิทสนมก่อนที่จะก้มลงมองพวงกุญแจรูปหมวกนักบินอวกาศที่อยู่ในมือพลางคิด อะไรกันก็เห็นว่าชอบหนังสือเล่มนั้นมากไม่ใช่หรือไงแล้วทำไมเวลาให้ของไม่รับไว้ล่ะ ถึงขนาดอ่านแล้วอ่านอีกเป็นสองสามรอบขนาดนั้น แถมวันที่หนังเข้าฉายยังอัพสตอร์รี่เป็นคนแรกอีกหรือว่าจะโกรธเรามากขนาดนั้นเลยเหรอแถมทุกครั้งที่มองมา แววตาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่เหมือนแววตาที่มองไอ้เด็กนั่นเลยสักนิดทั้งๆ ที่คิดว่าเจอคนที่พอจะคบได้แล้วแท้ๆ

ใบมองกุญแจรูปหมวกนักบินอวกาศในมืออีกครั้งก่อนที่จะพลิกกลับดูด่านหลังของหวดที่เขียนข้อความไว้ว่า

“sorry T.T”











หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 7 Sorry T.T
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 08-02-2021 20:03:09
 :m31:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 7 Sorry T.T
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 08-02-2021 22:48:37
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 7 Sorry T.T
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 09-02-2021 02:09:19
ยังไงๆนี่ :katai1: :katai1:รักสามเส้าเราสามคนไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ chapter 8 back to that time...
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 09-02-2021 19:52:04
chapter 8

back to that time...



วันต่อมาผมเดินเข้ามาในห้องเรียนด้วยความเฉื่อยอย่างเคยแต่ในวันนี้แปลกไปกว่าทุกวันอยู่ตรงที่วันนี้ไทม์รั้นที่จะมาส่งผมที่ห้องให้ได้แม้ว่าผมจะคัดค้านยังไงก็ตาม

“ไปเรียนได้แล้วไป” ผมออกปากไล่คนตรงหน้าอย่างไม่จริงจังนัก

“มันจะไม่ทำอะไรพี่แน่นะ” ไทม์ถามพลางมองคนที่นั่งอยู่ในห้องเรียนอย่างไม่เป็นมิตร

“ใครจะไปกล้าล่ะคนเต็มห้องขนาดนี้” ผมตอบอย่างไม่ถือสากับความขี้ระแวงของคนอายุน้อยกว่าเพราะว่าอย่างน้อยมันก็เกิดจากความเป็นห่วง

“ทำอย่างกับมีคนจะช่วยพี่” ไทม์พูดเสียงเรียบไม่ได้ละสายตาจากใบพัดซักกนิดแต่คำพูดของเขามันกลับเสียดแทงลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจของผมได้อย่างไม่ยากเพราะผมมันไม่มีใครอยากจะคบจริงๆ ต่อให้โดนทำร้ายจนน่าสงสารก็คงไม่มีใครยื่นมือมาช่วย “เอ่อผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นพี่...” ไทม์พยายามจะแก้ตัวเมื่อเพิ่งจะตระหนักได้ว่าพูดอะไรออกมา

“ไม่เป็นไรหรอกก็มันจริงนี่”

“...”

“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่าถ้ามีเรื่องยังไงแกก็มาช่วยพี่ทันอยู่แล้ว พี่มั่นใจ” ผมพูดพลางหันไปยิ้มให้คนข้างๆ ที่ตัวสูงกว่า “ไปเรียนได้แล้วไป” ผมเอ่ยปากไล่อีกครั้ง

“ถ้าพี่อยากให้ผมรีบไป งั้นผมรู้แล้วว่าต้องทำยังไง” ไทม์พูดเหมือนกับเพิ่งจะคิดค้นหลอดไฟได้เป็นคนแรกของโลก

“ยังไง”

“พี่ก็คอล์สายกับผมไว้สิ ผมจะได้รู้ทุกอย่างเลยไงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ไทม์พูดพลางยิ้มอย่างภาคภูมิใจพลางยกมือขึ้นกอดอกจนน่าหมั่นไส้

“ไอ้เด็กนี่แกเห็นฉันเป็นนักโทษของแกหรือยังไง” ผมพูดพลางยกมือขึ้นจะตบหัวของคนข้างๆ แต่คนข้างๆ กับหลับตาปี๋อย่างน่าสงสารจนผมต้องเปลี่ยนมาเป็นชกแขนแรงๆ แทน “ไปได้แล้วเบื่อขี้หน้า"ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจแต่กลับเด็ดขาด

“โหพี่แม่งใจร้ายว่ะ แต่ถ้ามีอะไร...”

“เออไปได้แล้ว” ผมบอกก่อนที่จะออกแรงผลักจนไทม์เดินจากไปจึงเดินเข้าไปในห้องบ้าง

เมื่อเดินมาถึงโต๊ะผมก็เลือกที่จะนั่งลงอย่างเงียบๆ ก่อนที่จะสั่งเกตได้ว่าโต๊ะที่ผมเลื่อนออกจากกันเล็กน้อยด้วยฝีมือผมเมื่อวานวันนี้กลับแนบสนิทกับโต๊ะข้างๆ อย่างเดิม สงสัยคงเป็นเพราะเวรตอนเช้าละมั้ง ผมถอนหายใจออกเบาๆ เพราะไม่อยากให้คนข้างๆ ได้ยิน ก่อนที่ผมจะขับโต๊ะออกจากคนข้างๆ ได้ห่างกันแค่ 1 ซม.ก็ยังดี เพราะผมอยากจะแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าผมไม่ชอบเขาแม้มันจะมีแค่ผมเข้าใจความหมายเท่านั้นก็ตาม เพราะการกระทำแค่นี้ถ้าไม่บอกคงไม่มีใครรู้เพราะมันหยุมหยิมซะเหลือเกิน แต่จะให้ทำไงได้เพราะสู้มากที่สุดของผมมันทำได้แค่นี้แต่ถึงอีกฝ่ายจะไม่รู้สึกอะไรเลยอย่างน้อยการกระทำของผมคงจะยังสามารถบอกตัวเองได้อยู่ว่าอย่างน้อยก็พยายามสู้อย่างถึงที่สุดในแบบคนที่กระจอกที่สุดในโรงเรียน

มือผมที่กำลังจับโต๊ะเลื่อนออกจากกันถูกจับไว้จากมือเย็นของอีกคนก่อนที่จะถูกกระชากแรงๆ จนโต๊ะชนกันเสียงดัง ทำให้คนทั้งห้องหันมามอง

ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจแต่ใจกลับกลัวจนไม่กล้ามองตรงๆ ก่อนที่จะกล้มหน้าลงแล้วหยุดการกระทำทุกอย่างเพราะอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาจนน่าอึดอัดสักพักเมื่อห้องกลับเข้าสู่เสียงจอแจระหว่างที่รออาจารย์เข้ามาสอนอย่างเคยผมจึงพยายามเลื่อนเก้าอี้ออกห่างจากอีกฝ่ายจนขาผมแทบจะคาบขาโต๊ะเอาไว้จนท่านั่งของผมดูประหลาดราวกับพยายามห่างออกจากสิ่งปฏิกูลสักอย่าง เพราะต่อให้โต๊ะไกลกันไม่ได้แต่ตัวไกลกันขึ้นก็ยังดีเพราะมันยังบ่งบอกว่าผมยังทำอะไรได้บ้าง แม้จะห่างจากคนข้างๆ ไม่ถึงเมตรก็ตาม

ครืด!!! ปัง!!! เสียงเก้าอี้ถูกลากเสียงดังแสบแก้วหูดังขึ้นก่อนที่จะปิดท้ายด้วยเสียงเก้าอี้ชนกัน จนทำให้ทุกคนหันมามองแล้วผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวไถลไปจนหน้าไปชนเข้ากับหน้าอกของคนข้างๆ จนผมต้องรีบผละออกเหมือนโดนของร้อน

“สะดีดสะดิ้ง” อีกฝ่ายพูดขึ้นเสียงไม่ดังมากแต่ผมที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินอย่างชัดเจนจนรู้สึกหน้าร้อนด้วยความโกรธไปหมดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

คนในห้องที่ตอนแรกคิดว่าโต๊ะชนกันในตอนแรกเป็นอุบัติเหตุตอนนี้กลับไม่ได้คิดอย่างนั้นแล้วเพราะการกระทำและความรู้สึกกระอักกระอ่วนของคนสองคนที่นั่งติดกันแทบจะสิงกันเป็นร่างเดียวแล้วช่างดูผิดปกติเหลือเกิน รวมทั้งผมก็ยังดูราวกับจะร้องไห้บ่งบอกให้รู้ว่าผมและใบพัดมีเรื่องกันอย่างแน่นอน หรือจะให้พูดอีกอย่างคือไอ้หน้าผีนั่นโดนแกล้งอีกแล้ว บางคนมองดูราวกับเรื่องสนุก บางคนก็เลือกที่จะเมินหน้าหนี หรือไม่ก็เลือกที่จะทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้นแล้วทำงานของงงตนต่อไปโดยที่ไม่ได้คิดจะสนใจว่าใครจะถูกรังแกบ้าง

ไม่มีใครกล้าที่จะเอ่ยปากสอดขึ้นถามหรือเชียร์ แม้แต่เสียงหัวเราะก็ไม่มีเพราะทุกคนต่างเกรงใจและกลัวใบพัดด้วยความที่เขาไม่ค่อยพูดและไม่ยอมสนิทกับใครเลยรวมทั้งยังมีข่าวเสียๆ ของเขาออกมาว่อนโรงเรียนเต็มไปหมดจึงไม่มีใครคิดที่จะเล่นหัวด้วย สู้รอดูราชสีห์ขย้ำคางคกเล่นเงียบๆ จะไม่สนุกกว่าหรือ แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น รวมทั้งใบพัดกลับทำตัวปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วทำงานของตัวเองต่อไปราวกับไม่มีคนอยู่ในห้องจนทุกคนเลิกสนใจแล้วกลับไปคุยเล่นกันตามเดิม

“เป็นแฟนกันหรือไง” ใบพัดพูดขึ้นราวกับพูดคนเดียวซึ่งผมก็ไม่คิดจะตอบเพราะไม่รู้ว่าเขาพูดกับใครแต่เมื่อผมทำท่าจะดึงเก้าอี้ออกอีกกลับโดนเขายึดมือไว้แล้วมองหน้าผมราวกับจะฆ่าจนต่อมความกล้าของผมหดหายไปเลยเลือกที่จะเอากระเป๋ามาค้นหาหนังสือแทน “ถามทำไมไม่ตอบ” ใบพัดพูดขึ้นอีกแต่ครั้งนี้กลับหันมามองผมจึงทำให้ผมรู้ว่าเขาคุยกับผมแน่ๆ แล้ว

“ใคร” ผมถามเสียงเบาเพราะรู้สึกกลัวคนข้างๆ

“ไอ้เด็กที่มาส่งหน้าห้อง” ใบพัดระบุตัวคนจนผมไม่ต้องเสียเวลาคิดว่าเขาหมายความถึงใคร แต่มันใช่เรื่องที่ผมต้องตอบจริงๆ หรือ

“ถามทำไมอะ” ผมถามเสียงเบากว่าเดิมราวกับแค่หายใจ เพราะผมรู้ว่าการเลี่ยงคำตอบของอันธพาลก็คือการหาเรื่องเขาดีๆ นี่เองแต่ผมก็ไม่ได้อยากตอบนี่

“อยากรู้” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบแต่สายตากลับไม่ยอมละจากผมจะผมน้ำตาแทบไหล เพราะไม่ชอบให้คนมองหน้าเละๆ ของผมนักเพาะมันทำให้ผมรู้สึกน่าเกลียดขึ้นไปอีก “ตอบ!” ใบพัดกระแทกเสียงหลังจากที่ผมเงียบอยู่นาน

“ไม่ได้เป็นอะไรกัน” ผมว่าพลางสั่นเพราะกลัวคนตรงหน้า

ใบพัดเมื่อได้คำตอบของผมใบหน้าก็กลับมาเป็นเรียบเฉย ก่อนที่จะหันไปจดจ่อกับsadokuที่เขาเพิ่งจะหยิบออกมาจากใต้โต๊ะ

“แล้วทำไมสนิทกันจัง” ใบพัดพูดออกมาราวกับพูดคนเดียวแต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเขาถามผม

“เป็นรุ่นน้อง” ผมตอบเสียงเบา

“รู้” อีกฝ่ายพูดสั้นๆ แต่น้ำเสียงกลับบ่งบอกว่าเขาต้องการคำตอบมากกว่านี้

“เราสอนพิเศษให้เขาทุกวัน” ผมตอบพลางคิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับคนที่คอยปกป้องผมอย่างไทม์หรือเปล่า

“นึกว่าไม่ชอบซะอีก” ใบพัดพูดขึ้นราวกับปริศนาที่รอคนมาแก้ ก่อนที่จะเสตาไปมองพวกงกุญแจรูปหมวกนักบินอวกาศที่ห้อยอยู่บนกระเป๋าของผมซึ่งก็เป็นแบบเดียวกับที่เขาจะให้เป๊ะๆ เพราะเมื่อวานผมได้ไปดูหนังเรื่องนี้กับไทม์มาเป็นรอบที่สอง แล้วไทม์เห็นว่าผมชอบมากตั้งแต่เป็นหนังสือแล้วเลยให้ผมรอแล้วไปซื้อมาให้เนื่องในโอกาสที่เขาเรียกว่า “วันนี้ผมอารมณ์ดีเลยซื้อให้” ซึ่งก็ทำให้ผมอดที่จะหมั่นไส้และขอบคุณเขาไม่ได้

“ซื้อเองทำไมแล้วเวลาให้ทำไมไม่เอา”

“ไม่ได้ซื้อเอง” ผมตอบไปตามตรงแต่ไม่ระบุรายละเอียดว่าใครซื้อให้

“แล้วเวลาให้ทำไมไม่เอาหรือคนให้มันต่างกัน” อีกฝ่ายถามออกมาราวกับรู้ว่าใครเป็นคนให้

“ไทม์เขาไม่ได้คิดจะแกล้งหรือประชดใบหน้าของเรา เขาให้เพราะเห็นเราชอบ” ผมตอบเสียงเบาและน้ำเสียงน่าฟังที่สุดเพราะถึงแม้จะพยายามเสียดสีคนข้างๆ แต่ก็กลัวเต็มทน

“หึ นี่คิดว่ากูจะแกล้งงั้นเหรอ” อีกคนถามพลางตวัดสายตามาเหมือนกับจะฆ่าผมเพื่อจะยกระดับความงามของมนุษยชาติที่มีผมคอยดึงค่ามาตรฐานของความงามเอาไว้อยู่

“..” ผมเริ่มสั่นเมื่อคำหยาบหลุดออกมาจากคนที่ไม่ใช่เพื่อน แล้วอีกอย่างหากคำเหล่านี้ออกมาจากปากคนสนิทผมคนจะยิ้มจนร้องไห้ที่มีเพื่อนให้ได้ใช้คำที่สนิทสนมกันเช่นนี้ แต่ด้วยผมไม่มีเพื่อนเลยจึงไม่เคยใช้คำว่ากู มึงแม้กระทั่งกับไทม์ที่สนิทที่สุด เพราะเขาก็เหมือนเป็นนายจ้างของผมจึงไม่กล้าใช้คำนั้น

“หึ ที่กับกูกลัวนักกับไอ้เด็กนั่นยังยิ้มแทบจะเล่นหัวกันอยู่แล้ว” อีกฝ่ายมองผมราวกับโกรธแค้นมากทำให้ผมสั่นไม่หยุดพลางก้มหน้าจนคางแทบจะหลอมติดกับคอ แต่อยู่ดีๆ เขาก็สบทขึ้น “มึงกลัวอะไรนักหนาวะ!”

“...”

“ตอบ!” อีกฝ่ายยื่นคำขาดขาดทำให้ภาพตอนที่ถูกฉีดน้ำในห้องน้ำกลับมาอีกครั้งจนผมรู้สึกหายใจไม่สะดวกแต่ก็ต้องฝืนตอบไปอย่างหมาจนตรอก

“มะ ไม่ชอบคำหยาบ” ผมพูดเสียงเบาที่สุดเท่าที่เคยเพราะผมรู้ว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปกำลังจะสื่อสารว่าคนตรงหน้าไร้มารยาท

อีกฝ่ายหัวเราะออกมาสั้นๆ ราวกับไม่อยากเชื่อคำตอบก่อนที่จะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ประชดประชัน “แล้วคิดว่าผมชื่อ แจ็ค วิล เหรอครับ คุณอ๊อกกี้ ที่จะได้ใช้คำว่านายกับฉันแทนตัวเอง”

ผมอยากจะโพล่งออกไปเหลือเกินว่าอย่าเรียกผมแบบนั้นเพราะเราไม่ได้สนิทกันเหมือน">ออร์กัสต์กับแจ็ควิลแต่เขากับผมมีแต่จะทำร้ายกัน แล้วต่อให้ผมชอบหนังสือเล่มนั้นมากแค่ไหนผมก็ไม่มีทางที่จะเรียกตัวเองว่า “อ๊อกกี้” เด็ดขาด แต่ผมก็กลัวเกินกว่าที่จะพูดออกไป พูดได้แค่คำว่า “เราไม่ใช่...”

“หรือจะเอาชื่อออร์กัสล่ะ แจ็ค วิลจะได้เรียก” ใบพัดถามอย่างกระแนะกระแหนพลางใช้ชื่อตัวละครแทนชื่อตัวเองอย่างหน้าไม่อายรวมทั้งตัวละครนั้นเป็นเพื่อนรักกันอีก ทั้งที่เราทั้งสองนั้นต่างกันราวน้ำกับน้ำมันแล้วไม่มีทางจะเป็นเพื่อนกันได้ ก่อนที่เขาจะพูดเองเออเองต่อไป “แต่ฉันว่าอ๊อกกี้น่ะเหมาะสุดแล้ว”

หลังจากที่พูดเองเออเองจนพอใจใบพัดก็หันกลับไปสนใจกับsadoku ต่อโดยที่ไม่ได้สนใจจะแกล้งผมอีก





ปัจจุบัน ณ ห้องน้ำคณะ

ผมมองคนตรงหน้าผมที่กำลังจะเดินผ่านผมไปโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าสิ่งที่เขาพูดสร้างความปั่นป่วนให้ผมซักแค่ไหน สมองของผมยังคงมึนงงกับคำที่เขาใช้เรียกผมอยู่ “อ๊อกกี้” อย่างงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้นี้ไม่ใช่คำที่ใช้กันดาษดื่นเพราะตั้งแต่ผมอยู่ม.ปลายก็ไม่เคยมีใครใช้คำล้อเลียนคำนี้เรียกผมเลยนอกจากเขาคนเดียว อย่าบอกนะว่าเขาจำผมได้!!!
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ chapter 8 back to that time...
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 09-02-2021 22:34:43
 :heaven
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ chapter 8 back to that time...
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 10-02-2021 02:21:12
ไม่น๊าาาาาา เรือไทม์นวจะล่มไม่ได้นะ :ling1:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ chapter 8 back to that time...
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 10-02-2021 18:14:38
นั่นไง! ผมว่าแล้ว ตอนแรกว่าจะทักตั้งแต่ตอนก่อนที่จะลงตอนย้อนอดีตแล้วครับ ว่าพอใบพัดเรียกอีกฝ่ายว่า ‘อ็อกกี้’ ผมว่ามันทะแม่งๆมากเลย

เพราะว่าอ็อกกี้เป็นตัวเอกในเรื่อง Wonder ซึ่งน้ำตาลบอกว่าใบพัดอ่านหนังสือสามเล่มนี้วนไปวนมา (ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าใบพัดมีปมกับหนังสือสามเล่มนี้ เพราะว่าเป็นหนังสือสามเล่มที่นิวเยียร์สมัยหน้าตาธรรมชาติชอบอ่าน แล้วใบพัดที่นั่งข้างกันก็สังเกต) ดังนั้นใบพัดต้องรู้ได้ว่าคนที่ชอบทำตัวหลบเลี่ยงคนอื่น เหมือนว่าตัวเองหน้าตาแปลกประหลาด (นว) นั้นมีแนวโน้มที่จะมองว่าตัวเองเป็นอ็อกกี้ ซึ่งการที่ใบพัดเห็นนิสัยที่คล้ายๆกันเกิดขึ้นกับนิวเยียร์ แล้วก็แม่นหนังสือสามเล่มนั้นอีก น่าจะทำให้เขาคอนเฟิร์มว่านิวเยียร์คือนวจริงๆ

แล้วยิ่งพอมาอ่านฉากย้อนอดีตด้วยนี่มันคือใช่เลย คนเขียนเขียนได้ดีมากๆเลยนะครับ อธิบาย Physical reaction ที่เกิดจากการถูกบูลลี่ออกมาได้ดีมาก และวางพล็อตกับบรรยายเคมีตัวละครได้ดีจริงๆ ขอชมเลยครับ ทีนี้ขอมาพูดที่ตัวใบพัดก่อน

ใบพัดเป็นตัวละครพระที่ผมว่าควรเป็นพระเอกมากเลยนะครับ (ไม่ได้อวยโดยส่วนตัว) ถ้าเราอ้างอิงจากความเป็นจริง บุคคลที่มักจะถูกแกล้ง (bullying) มีแนวโน้มที่จะเป็นซึมเศร้าสูง และเหงา รวมถึงไม่ค่อยกล้ามีปฏิสัมพันธ์กับสังคมเพราะกลัวว่าตัวเองจะทำวงแตก คนประเภทนี้เกิดความรู้สึกแบบนี้เพราะว่าเกิดแนวคิด Social Comparison ที่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นในสังคม และรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยก ดังนั้น คนที่จะทำให้บุคคลที่ถูกแกล้งรู้สึกดีได้ หรือรู้สึกชอบได้ มักจะมาในสองรูปแบบครับ หนึ่ง คนที่สนิทสนมกับตัวเองเป็นทุนเดิมและมองข้ามความแปลกแยก คบกับเขาเป็นเพื่อน คนประเภทนี้จะถูกสมองของบุคคลที่ถูกแกล้งมองว่าเป็นเพื่อนแท้ เป็นคนที่เขาพึ่งพาได้ในเวลาที่ถูกแกล้งหรือเวลาที่ขาคับแค้นใจพูดอะไรไม่ออก ไประบายกับคนประเภทนี้ได้ เพราะคนประเภทนี้จะไม่แกล้งเขา จะรู้ว่าเขาเป็นยังไง คนประเภทนี้มักจะกลายเป็นเพื่อนแท้หรือคนสนิทที่มีความสัมพันธ์ยืนยาว ซึ่งผมว่าไทม์เป็นคนประเภทนี้ เพราะการที่อยู่ด้วยกันมานาน ทำให้ไทม์ไม่ได้สนใจหน้าตาของนว แต่ว่าสนใจที่นิสัยและพร้อมจะอยู่ด้วยตลอดเวลา

ส่วนประเภทที่สอง คือประเภทที่จะทำให้บุคคลที่ถูกแกล้ง กลับมารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง และรู้สึกว่าเขาก็เป็นคนๆหนึ่งในสังคม ไม่ต้องหวาดกลัว เงื่อนไขของคนประเภทที่สองมีสองแบบครับ แบบแรก คือประเภท Heroic (หายากมากในสังคมไทย และในสังคมต่างประเทศก็ยากถ้าไม่ใช่เด็กที่ถูกสอนมาดีจริงๆ) คือลุกขึ้นช่วยเพื่อน ทนความอยุติธรรมไม่ได้ มันหายากเพราะเด็กกลุ่มนี้ต้องมีสภาพร่างกายและบารมีที่ใหญ่พอสมควรที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ เรามักจะพบในนักกีฬา หรือคนที่สภาพแวดล้อมทางบ้านสอนมาดี ซึ่งมีน้อย ในต่างประเทศก็อาจมีบ้าง แต่ด้วยแรงผลักดันของ Self-reliable จะทำให้เด็กกลุ่มนี้ไม่ช่วยสุด ประมาณว่าช่วยนิดๆหน่อยๆแล้วก็คราวหน้ามึงดูแลตัวเอง ซึ่งสำหรับเด็กที่เป็นเป้าถูกแกล้งแบบเด็กเอเชีย มันยิ่งทำให้เรื่องแย่ลงครับ ส่วนเงื่อนไขแบบที่สอง คือคนที่แกล้งอีกฝ่ายสำนึกได้ แล้วกลับมาขอโทษ และดูแลปกป้องไม่ให้อีกฝ่ายถูกรังแกอีก ซึ่งในไทยเคสแบบนี้จะพอมี แต่ส่วนมากเด็กผู้ชายปากหนัก ไม่กล้าขอโทษ ทำให้ปมของเด็กที่ถูกแกล้งไม่ถูกคลาย และยิ่งพาลทำให้อาการของเด็กถูกแกล้งเลวร้ายอีก ไม่เข้าใจกัน

เด็กที่ถูกแกล้งมักจะชอบคนประเภทที่สอง สังเกตว่ามันเป็นปฏิกิริยาทางเคมีในจิตใจที่ทำให้เขารู้สึกว่า ‘ได้รับการปกป้องจากคนแม้จะไม่ได้รู้จักกัน’ มันทำให้เขารู้สึกมีตัวตนมากขึ้นมากกว่าการถูกกลั่นแกล้งหรือเป็นเป้าเลวร้ายของสังคมครับ

ทีนี้มาดูใบพัด ผมว่าใบพัดเป็นคนประเภทที่สอง เงื่อนไขที่หนึ่ง คือเป็นนักเลงที่อาจจะชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก แต่บารมีของเขาทำให้คนอื่นหยุดแกล้งนวได้ แต่ปัญหาของใบพัดคือเป็นคนที่พูดไม่เก่ง บรรยายความรู้สึกไม่เก่ง นั่นเลยทำให้เขาแสดงออกแบบบางทีตรงไปตรงมาเกินไป ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น พอเจอกับนวที่เซนซิทีฟเรื่องความรู้สึกมันเลยไปกันใหญ่ อย่างตอนที่ให้หมวกนักบิน ความจริงใบพัดก็คงอยากขอโทษและบอกว่าเขาไม่ได้แย่กับหน้าตาของนวเลยนะ แต่ด้วยการกระทำหลายๆอย่างของใบพัดที่ไม่ค่อยเข้าหูคน ตรงไปตรงมา นวเลยคิดไปเองว่าเขาจะแกล้งตัวเองอีก อย่างตอนฉีดน้ำแล้วพูดอะไรสักอย่าง ผมเดาว่าใบพัดน่าจะบอกไว้ว่าอย่าไปกลัวคนพวกนั้นหรือให้สู้กลับอะไรทำนองนี้ แต่นี่ก็คือปัญหาว่าใบพัดไม่รู้ว่านวตกอยู่ในสภาพเบี้ยล่างที่สู้กลับไม่ได้มานานแล้ว แล้วพอไปทำอย่างนั้นเลยสร้างแผลในใจให้นว

ทีนี้เดี๋ยวมันคงต้องมีพล็อตต่อขยายอธิบายเรื่องในอดีตต่ออีกว่าเกิดอะไรขึ้น จนถึงช่วงที่นวต้องยอมดรอปมาศัลยกรรมแล้วก็ซิ่ว แต่ว่าในตอนนี้ พอใบพัดมาเจอ ผมเดาว่าใบพัดพอจะรู้ตัวจริงนิวเยียร์ตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้วน่ะครับ เพราะสังเกตว่าใบพัดไม่ยอมให้นิวเยียร์เรียกรุ่นพี่ เพราะถ้ารู้ก็คือรู้ว่าคือใครและอีกฝ่ายอายุเท่าตัวเอง แต่ไม่แน่ใจ พอมาเจอออดิชั่นแล้วเขาพูดเรื่อยเปื่อยแต่อีกฝ่ายดันมีพิรุธชัดอีก ก็เลยน่าจะฟันธงได้แล้ว

สำหรับการขยายพล็อตต่อไป ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของใบพัดกับนิวเยียร์ละ ว่าสองคนนี้จะหันมาลงเอยกันได้ยังไง นิวเยียร์จะปลดสภาวะซึมเศร้าของตัวเองออกจากตัวได้ไหม แล้วใบพัดจะช่วยในเรื่องนี้ได้ยังไงเพื่อให้สุดท้ายสองคนหันมาเข้าใจความรู้สึกตรงกัน แล้วยังมีเรื่องของไทม์อีกที่ดันอยู่หอใกล้กัน

สำหรับไทม์ ผมก็ชอบตัวละครนี้นะครับ เปิดตัวมารูปร่างน่าดึงดูดมาก (หัวเราะ) แต่อย่างที่บอก ถ้าดูจากเคมีความสมจริงแล้ว นิสัยอย่างไทม์เหมาะเป็นพระรองหรือเป็นน้องชายแท้ๆของนิวเยียร์มาก เพราะมันให้อารมณ์ของการดูแลใกล้ชิดและคุยกันได้ทุกเรื่อง แม้ว่านวจะไม่ได้ชอบไทม์อะไรขนาดนั้น เพราะน้องมีปมความกลัวและซึมเศร้าจากการถูกแกล้งอยู่ ที่ผมประทับใจคือนิสัย เราเห็นนิสัยของไทม์ชัดมากว่าไทม์ไม่ตัดสินคนจากหน้าตา (ตั้งแต่จากการที่เรียนกับนว) และพอมาเจอนิวเยียร์ที่หน้าตาดีมาก ไทม์ก็ไม่ได้หลีอะไร ยังปากร้ายเกรี้ยวกราดใส่ซะอีก แสดงว่าเป็นอย่างนี้กับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะกับคนหน้าตาดีหรือไม่ดี แต่ที่ดีกับนวก็เพราะว่านวทำความดีกับเขา เคสไทม์กับนิวเยียร์ผมว่านิวเยียร์ผิด เพราะน้องลนมากไป แถมยังทำอะไรแย่ๆใส่เขาอีก (เข้าใจได้ว่ามันเป็นความกลัวที่จะมีคนจับได้ แต่ในเมื่อไทม์ไม่เคยแกล้งนว ก็ไม่ได้มีความจำเป็นต้องกลัวไทม์จับได้นะครับ เพราะว่าไทม์รู้ไปก็ไม่ได้จะทำให้ชีวิตของนิวเยียร์เลวร้ายลง)

ผมว่าสเกลเรื่องดีมาก และค่อยๆขยับขยายไปแบบนี้ดีแล้วครับ ไม่ต้องรีบ แต่ทำให้ดี เป็นกำลังใจให้ครับ อย่าลืมเรื่องของการบรรยายรูปร่างลักษณะของใบพัดด้วยในตอนปัจจุบันนะครับ เพราะตอนบรรยายในอดีตสมัยนักเรียน เราก็เห็นภาพใบพัดยังไม่ชัดเท่าไหร่ ส่วนสูง ความหนาร่างกาย ที่เห็นชัดๆคือบรรยากาศและความดุ รังสีที่แผ่ออกมา หน้าตา สามสี่อย่างนี้ผู้แต่งบรรยายผ่านหลายฉากให้เห็นได้ชัดเจนมากแล้วครับ แต่สองอย่างแรกยังไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่

ถ้ามีอะไรอยากสอบถามเพิ่มเติมก็หลังไมค์มาหาได้ครับ หรืออยากสอบถามความสมจริงหรือข้อมูลของ scenario ที่วางพล็อตไว้ ถ้าเป็นประโยชน์ต่อผู้แต่งได้ก็ยินดีครับ
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ cChapter 9 Secret (1/2)
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 10-02-2021 19:57:52
Chapter 9

Secret

“เฮ้อ…ยังไม่ทันได้เปิดเทอมเลย ทำไม่รู้สึกว่าจะไม่รอดตั้งแต่ต้นเทอมเลยนะ” ผมกลับมานอนถอนหายใจอยู่ที่ห้องโดยที่ไม่ได้ไปเข้ารับน้องของมหาลัยต่อหลังจากที่ออดิชั่นดาวเดือนสาขาเสร็จ แต่กลับเอาเวลามากลิ้งตัวไปมาบนที่นอนราวกับกำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนกระทะทองแดงร้อนๆ เพราะต่อให้ที่นอนจะนุ่มแค่ไหนแต่ผมกลับสัมผัสถึงความสุขไม่ได้เลย

ผมเอาแต่คิดถึงคำพูดของใบพัดที่พูดกับผมในห้องน้ำ “ไว้เจอกันนะ อ๊อกกี้...” อย่างนั้นเหรอมันหมายความว่ายังไงกัน จะเป็นไปได้มั้ยนะว่าเขาจะรู้ว่าผมเป็นใคร

ชิ! คิดแล้วผมก็เอาแต่ชกลมชกอากาศไปอย่างนั้นเพราะคิดว่าคงทำอะไรไม่ได้ ก็คงต้องปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนแล้วกัน ทุกข์ใจไปก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้

Trrrrrr เสียงของดโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาแทรกจังหวะในขณะที่ผมกำลังจะชกหน้าไอ้บ้านั่นในจินตนาการสักหน่อย แต่พอมองดูที่หน้าจอก็โชว์ เบอร์ของพี่น้ำตาลอยู่ผมเลยไม่อิดออดที่จะรับสายในทันที

“ครับพี่น้ำตาล” ผมขานรับคนที่อยู่ปลายสาย

'อื่อ นิวเยียร์เป็นไงบ้างกลับหอหรือยัง' พี่น้ำตาลถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นห่วง

“อ่อครับตอนนี้ผมอยู่หอ”

'แล้วกลับยังไงล่ะมีเงินเหรอ' พี่น้ำตาลซักต่อ

“อ่อ พอดีหอไม่ได้ไกลมากครับนั่งรถรางมหาลัยมาแถวหน้ามอแล้วก็เดินต่ออีกหน่อยก็ถึงแล้วครับ พี่ตาลถามมีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมรีบตอบแล้วถามกลับทันทีเพราะวันนี้พี่ตาลดูจะเป็นห่วงผมแปลกๆ

'เอ๊า ถามได้ก็เราไม่มีกระเป๋าตังค์ไม่ใช่เหรอ' พี่น้ำตาลตอบทำให้ผมมถึงกับตาลุกวาวขึ้นทันที

เมื่อกี้พี่น้ำตาลว่าอะไรนะกระเป๋าตังค์งั้นเหรอ! หน้าผมถอดสีทันทีที่พี่ตาลพูดจบหากใครเห็นตอนนี้ก็คงจะบอกว่าหน้าผมซีดเป็นกระดาษ A4 เป็นแน่ ผมรีบควานหาทันทีที่นึกขึ้นได้ก่อนที่จะพบว่ามันหายไปจริงแต่ก็ด้วยความที่ปกติผมไม่ค่อยใช้เงินสดจะเป็นการจ่ายแบบธุรกรรมอิเล็กทอร์นิกส์ซะมากกว่าเลยทำให้ไม่ได้สนใจที่จะจับกระเป๋าบ่อยๆ

แล้วผมจะทำยังไงดีเพราะในกระเป๋าของผมไม่ได้มีแค่บัตรเครดิต บัตรประชาชนสักหน่อย มันยังมีทั้งรูปของผมในตอนที่ยังไม่ได้ทำศัลยกรรมอีก รวมทั้งบัตรประชาชนเก่าที่ผมยอมไปแจกหายเพื่อที่จะเก็บบัตรเก่าเอาไว้เพราะไม่อยากให้เจ้าหน้าที่เห็นหน้าเก่าของผมแล้วเอามาเปรียบเทียบนั่นอีก ลืมไปสนิทเลยว่าควรเอาของพรรค์นั้นออกจากกระเป๋าให้หมด สะเพร่าจริงๆ!

ยิ่งคิดผมก็เริ่มสั่นขึ้นมาอีกหัวใจเต้นแรงจนผมรู้สึกว่ามันจะหลุดออกมาให้ได้ ความเย็นที่ผมไม่รู้ว่ามันเกิดจากอุณหภูมิรอบตัวที่กำลังลดลงหรือร่างกายของผมมันกลับเริ่มปกคลุมไปทั่วตัวเริ่มจากกระดูกสันหลัง

ผมค่อยๆ พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลงก่อนพลางค่อยๆ ดึงสติกลับมาอย่างอยากเย็น แล้วค่อยๆ คิดทบทวนสิ่งที่พี่น้ำตาลพูดไปทั้งหมด พี่น้ำตาบอกว่าผมไม่มีกระเป๋า เท่ากับว่าเขาก็คือคนเก็บมันได้แล้วมันก็ต้องอยู่กับเขา ว่าแต่เขาเห็นอะไรมากน้อยแค่ไหนล่ะ!

'นิวเยียร์!' เสียงจากปลายสายเรียกให้ผมกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง

“คะ...ครับ” ผมตอบเสียงสั่น

'เฮ้อ...นึกว่าเป็นอะไรไป' พี่น้ำตาลบอกท่าทางดูโล่งใจขึ้น

“เอ่อ...พี่น้ำตาลครับว่าแต่พี่ได้เปิดดูข้างในไหมครับ” ผมถามกล้าๆ กลัวๆ กับคำตอบที่จะได้รับ ว่ามันจะออกมายังไงแล้วถ้าพวกเขารู้ความจริงพวกเขาจะรังเกียจผมมั้ย ผมจะเจอกับสิ่งที่เคยผ่านมาเหมือนเดิมหรือเปล่าทุกๆ คนจะค่อยๆ ห่างออกจากผมไปใช่มั้ย ไม่สิทุกคนจะหายไปแล้วมองผมอย่างตัวประหลาด โลกของผมจะจบลงแค่ตรงนี้แล้วใช่ไหมโลกที่ผมฝันถึงมาตลอดทำไมมันสั้นแบบนี้นะ

'ไม่พี่ไม่ได้เปิดดู' พี่น้ำตาลบอกเสียงเรียบ แต่สำหรับผมมันคือเสียงที่ไพเราะที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยิน

“พะ...พี่ว่าอะไรนะครับช่วยพูดอีกครั้งได้มั้ย” ผมขอให้พี่น้ำตาลพูดอีกครั้งเพื่อย้ำคำตอบที่ผมได้ยินว่าผมไม่ได้หูฝาดไปจริงๆ

'พี่ไม่ได้เปิดดูค่ะ' พี่น้ำตาลบอก

สวรรค์ยังมีเมตตาต่อเราอยู่สินะ

“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากๆ เลย ว่าแต่พี่รู้ได้ยังไงครับว่ามันเป็นกระเป๋าของผม” ผมถามข้อสงสัยออกไป

'อ่อพอดีมีคนเห็นมันตกอยู่ตรงที่เรายืนน่ะ แล้วอีกอย่างหลังจากเราออกไปก็ยังไม่มีใครเข้ามาเลยคิดว่าน่าจะเป็นของเรา' พี่น้ำตาลไขข้อสงสัยทำให้ผมสบายใจขึ้น

“อ่อครับ แล้วตอนนี้กระเป๋าผมอยู่กับพี่ใช่มั้ยครับ ให้ผมไปรับตรงไหนดีครับนัดได้เลย” ผมบอกเสียงใส

'คือ...มันไม่ได้อยู่กับพี่หรอกจ้ะ พอดีคนที่เก็บไว้เป็นใบพัดน่ะเขาบอกว่าเดี๋ยวจะเอาไปให้เราเองตั้งแต่ตอนที่ประชุมกันเสร็จแล้วตอนแรกนึกว่าเราได้กระเป๋าคืนแล้วซะอีกเลยโทรมาถาม'

แกร๊ก!!! โทรศัทพ์ในมือผมร่วงหล่นลงพื้นทันทีพร้อมกับเรี่ยวแรงของผมที่อยู่ดีๆ ก็เหือดหายไปราวกับโดนสูบออกแขนขาของผมรู้สึกอ่อนแรงจนทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้น คำตอบอย่างฉะฉานของพี่น้ำตาลแต่คำพูดราวกับลูกปืนที่ยิงเข้ากลางหน้าฝากของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมรู้สึกมึนงงไปหมดอยู่ดีๆ หูอื้อขึ้นมาพร้อมกับเสียง วิ๊งๆ เต็มไปหมด

เป็นเวลาเกือบชั่วโมงที่ผมกว่าที่ผมจะดึงสติกลับมาได้ว่าเรื่องที่พี่น้ำตาลพูดมาทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริงที่ผมต้องเผชิญ สิ่งที่ย้ำเตือนผมว่ามันไม่ใช่ฝันมิสคอลและข้อความของพี่น้ำตาลที่แสดงถึงความเป็นห่วงในช่วงที่ผมแบล็งค์ไป ก่อนที่ผมจะโทรกลับไปเพื่อบอกให้อีกฝ่ายไม่ต้องเป็นห่วง

ผมใช้เวลาอีกสักพักในการคิดทบทวนกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ว่าผมควรทำอย่างไรกับมันดี ใบพัดเขาจะต้องทำอะไรที่ไม่ดีแน่ เขายิ่งไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมอยู่ด้วย นี่ผมมาสุดทางแล้วใช่มั้ย แต่ทำไมจนป่านนี้ยังไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับผมเลยแม้แต่พี่น้ำตาลที่ควรจะสอบถามความจริงจากผมเป็นคนแรกหรือไม่นะโมกับต้าก็น่าจะโทรมาแต่นี่ไม่มีวี่แววเลยใบพัดต้องการอะไรกันถึงได้ทำแบบนี้

“หรือว่า...เงินงั้นเหรอ” ผมคิดขึ้นได้หลังจากที่คิดดีๆ แล้วมันจะมีอะไรดีไปกว่าการที่ใบพัดได้ผลประโยชน์จากผมนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อแลกกับความลับของผม ไม่แน่ว่าเขาอาจจะใช้มันขู่เพื่อหาผลประโยชน์จากผมไปเรื่อยก็ได้ แล้วยังไงล่ะผมไม่แคร์หรอกขอแค่ผมได้ใช้ชีวิตในนามของนิวเยียร์ต่อไป หมดตัวผมก็ยอม! เพราะผมไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกแล้ว

ผมใช้เวลาอยู่นานก่อนที่จะรวบรวมความกล้าเพื่อกดโทรไปหาใบพัด ในแต่ละวินาทีที่ได้ยินเสียงรอสายของใบพัดราวกับผมกำลังฟังเสียงของไซเรนรถพยาบาลอย่าไงอย่างงั้น เวลาที่ค่อยๆ เดินไปเหมือนกับจะค่อยๆ นับถอยหลังให้กับการมีชีวิตอยู่ของผมอย่างเสียไม่ได้เพราะผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าผมกำลังกลั้นหายใจจนหน้าเริ่มจะเป็นสีเขียวอย่างน่ากลัว ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงปลายสายพูดขึ้นจึงทำให้ผมเริ่มหายใจอีกครั้งพร้อมกับสะอึกด้วยความตกใจ

'คิดถึงหรือไง โทรมาทำไมครับ' ใบพัดถามอย่างยียวน

“...” ผมกำมือไว้แน่นๆ เพื่อระงับความโกรธจนเริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมา

'ถ้าไม่มีอะไรจะพูดงั้นแค่นี้นะ' ใบพัดบอกอย่างไม่ใส่ใจนักแต่คำพูดกับบีบบังคับให้ผมต้องรีบเข้าประเด็นสำคัญก่อนที่เจ้าตัวจะทำอย่างที่บอกจริงๆ

“เอากระเป๋าคืนมา” ผมบอกเสียงแข็ง

'โห...กล้าขึ้นเยอะเลยนะ แต่เสียใจจังเลยอะอุส่าห์เก็บกระเป๋าไว้ให้ขอบคุณสักคำก็ไม่มี' ใบพัดพูดด้วยน้ำเสียงที่สะดีดสะดิ้งจนอดที่จะหมั่นไส้ซะไม่ได้ 'ว่าแต่รู้ตัวช้าขนาดนี้คงไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอกมั้ง' ใบพัดทำเป็นไขสือต่อไป

“เอาคืนมา!”

'ไม่!' ใบพัดตอบทันควัน

“จะเอาเท่าไหร่” ผมรีบถามออกไปเพราะไม่อยากให้เรื่องมันยืดเยื้อ

'เหอะ! คิดว่าฉันซื้อได้ด้วยเงินหรือไง' เสียงของใบพัดดูแข็งขึ้นจนผมอดที่จะสั่นขึ้นมาไม่ได้แต่ว่าผมก็ต้องสกัดกั้นความกลัวเอาได้

“แล้วต้องการอะไร” ผมถามกลับอย่างจนตรอก

'หึ ให้ได้ทุกอย่างไหมล่ะ' ใบพัดถามเสียงกวนๆ แต่ผมกลับกลัวสิ่งที่เขาถามเอาซะเหลือเกิน

“...”

'จะคุยเรื่องธุรกิจมันก็ต้องคุยกันให้เป็นทางการหน่อยว่างั้นไหม' เสียงใบพัดดูเจ้าเล่ห์จนผมแอบหวั่นในใจ 'งั้นคืนนี้เจอกันสองทุ่มเดี๋ยวฉันจะส่งโลเคชั่นไปให้' ว่าแล้วอีกฝ่ายก็วางสายไปทันทีโดยที่ไม่รอให้ผมได้โต้แย้งแต่อย่างใด

ไอ้หมอนี่มันจะมาไม้ไหนกันนะ













หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ cChapter 9 Secret (1/2)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 10-02-2021 22:36:13
 :katai3:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ cChapter 9 Secret (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 11-02-2021 20:01:47
ผมมาถึงสถานที่นัดตามเวลาไม่ขาดไม่เกินซึ่งสถานที่นั้นก็ไม่ใช่ที่ที่ผิดแผกแปลกพิสดารอะไรเพราะมันคือสถานที่ที่มีคนมากันตลอดอย่าง สวนสาธารณะในมหาลัย บางครั้งผมก็ยังแอบคิดว่าจะหาสถานที่ที่ลับตาคนแล้วเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ไม่ได้หรือไง แต่ก็เพิ่งตระหนักขึ้นได้ว่าการอยู่กับใบพัดสองต่อสองนั้นน่ากลัวและอันตรายกว่าอะไรทั้งสิ้น

ตำแหน่งที่ใบพัดบอกให้ผมไปหาอยู่แถวสระน้ำของมหาลัยซึ่งตอนนี้มีลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ กับแสงสีขาวสลับส้มของไฟที่ประดับอยู่โดยรอบทำให้ดูโรแมนซ์ติกขึ้นไปอีก แล้วส่วนมากคนที่มาใช้สถานที่แห่งนี้มักจะเป็นคู่รักกันซะเป็นส่วนมากเพราะผมเห็นคนเป็นคู่ๆ นั่งอยู่บนสนามหญ้าบ้าง ที่ม้านั่งบ้าง บางคนก็หนุนตักกันพลางพูดคุยหยอกล้อพลางชี้นั่นชี้นี่ไปเรื่อย ซึ่งนั่นมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นส่วนเกินของที่นี่ได้ไม่ยาก

ผมเดินไปนั่งรอใบพัดที่ม้านั่งที่ว่างอยู่ตัวหนึ่งเพราะผมยังไม่เห็นมีท่าทีว่าเขาจะมาและก็ไม่รู้ว่าจะโดนตลบหลังอะไรหรือเปล่า พลางมองไปที่ผิวน้ำซึ่งตอนนี้เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ จากปลาที่ว่ายอยู่ด้านล่างพร้อมกับแมลงกลางคืนที่บินโฉบบนผิวน้ำไปมาราวกับกำลังเต้นรำ จะว่าไปที่นี่ก็ดูผ่อนคลายดีไม่น้อย ทั้งอากาศที่ถ่ายเทลมพัดเย็นสบาย ความเงียบที่ไม่ได้ถึงกับเหงาเพราะมีเสียงคนคุยกันเอื่อยๆ ราวกับกระซิบกันจนพังไม่รู้เรื่องลอยมากับสายลม ทำให้บรรยากาศนั้นทั้งดูผ่อนคลายและชวนง่วงในเวลาเดียวกันยิ่งในช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวแบบนี้ยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกนั้นได้ไม่อยาก

ผ่านไปสักพัก ผมก็สัมผัสได้กับความรู้สึกเย็นชื้นชนิดที่ลามไปถึงสมองสัมผัสกับข้างแก้มของผม จนทำให้ผมต้องรีบถดตัวหนีพลางสะดุ้งด้วยจนตัวโยน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบไร้สุ้มเสียงทำให้ผมนั้นตกใจระดับเดียวกันกับตอนที่ฝันว่าตกเหวเลยก็ว่าได้ ก่อนที่ผมจะตวัดสายตาไปมองที่ต้นทางของเสียงหัวเราะด้วยความไม่พอใจ

เจ้าของสาเหตุของความตกใจของผมครั้งนี้ดูจะพอกับผลงานของตัวเองมากทีเดียวเพราะผมเห็นแต่เขาเอาแต่หัวเราะไม่หยุด ก่อนที่จะปรับสีหน้าแล้วเดินมานั่งข้างผมอย่างยากลำบาก ซะจนผมแอบอยากจะให้เขาเสียหลักตกน้ำไปซึ่งผมขอสัญญาว่าผมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นแม้เขาจะร้องขอความช่วยเหลือก็ตาม

ผมเพิ่งจะสังเกตว่าในมือของใบพัดมีแก้วอยู่สองใบกับถุงอีกหนึ่งถุงหลังจากที่เขายื่นแก้วในมือมาให้ผม ผมมองหน้าเขากลับไปด้วยความฉงนสนเทศเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าวันนี้เขาจะมาไม้ไหน ผมจึงปฏิเสธที่จะรับแก้วในมือของเขามา

“รับไปสิ” ใบพัดบอกเสียงเรียบไม่ได้มีท่าทีเร่งเร้าอะไร

“ไม่ละขอบคุณ” ผมตอบกลับไปตามมารยาทแม้ว่าความจริงจะไม่ได้รู้สึกแบบนั้น

ใบพัดยิ้มน้อยๆ พลางหัวเราะออกจมูกราวกับว่าไม่ได้สนใจการกระทำหยุมหยิมของผมก่อนที่จะเอาแก้วใบนั้นมาวางไว้ข้างๆ ผมแล้วอีกใบวางไว้ข้างตัวเองก่อนที่จะหยิบเอาขนมอีกสองสามอย่างออกมาจะถุงกระดาษสีน้ำตาลซึ่งมีขนมปังอยู่สี่ห้าชิ้นกับขนมขบเคี้ยวอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งยังปิดท้ายด้วยแฮมเบอร์เกอร์อีกสองชิ้นซึ่งอีกชิ้นก็เอามาวางไว้ฝั่งผมพร้อมกับหากระดาษมาวางรองไว้ให้อย่าเสร็จสรรพ

นี่ถ้าไม่บอกผมก็นึกว่าเรามาเดทกันมากกว่ามาคุยเรื่องเครียดๆ กันเสียมากกว่า แต่สำหรับผมมันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะผมเรียนอยู่ห้องเดียวกันกับใบพัดมาตั้ง2ปีแถมผมยังนั่งติดเขาอีกต่างหาก แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำกับผมเหมือนที่เจอกันในห้องน้ำครั้งแรก แต่บางครั้งเขาก็พูดข่มขู่ให้ผมทำในสิ่งที่เขาต้องการ รวมทั้งยังชอบแกล้ง แถมวิธีการของเขามันช่างเจ็บแสบ ทั้งเรื่องที่ห้อยกุญแจนั่นยิ่งทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่พวกสักแต่จะพูดแต่ด้วยความที่เขาเรียนเก่งเลยคิดสัญลักษณ์อย่างหมวกนักบินอวกาศเอามาใช้ปกปิดความอัปลักษณ์ของใบหน้าได้ เหอะ! ตลกสิ้นดี!

“ไม่คิดจะกินหน่อยเหรอเอาแต่ทำหน้าเครียดอยู่นั่นแหละ” ใบพัดถามขึ้นหลังจากที่กัดแฮมเบอร์เกอร์ไปคำโต

“ขอบคุณ” ผมเลี่ยงที่จะใช้คำว่าไม่กับใบพัด ทำให้เขาหันกลับมามองผมแล้ววางกันแฮมเบอร์เกอร์ในมือลง ซึ่งนั้นทำให้ผมต้องหลบตาเขาในทันทีเพราะสายตาที่เขามองผมตอนนี้มันคือสายตาของคนที่กำลังมองตรงๆ เข้ามาที่หมาจนตรอกอย่าง ‘นว’ ซึ่งไม่ได้มีเสื้อเกราะที่ชื่อ ‘เนิวเยียร์’ ไว้คอยปกป้องตัวเองแต่อย่างใด ความรู้สึกของผมในตอนนี้ไม่ต่างจากคนที่กำลังแก้ผ้าไปยังสนามรบ ที่รู้แน่ๆ ว่ายังไงตัวเองก็ต้องตาย ความกล้าที่เคยมี ที่เคยคิดว่าจะสู้กับใบพัดได้ดูเหมือนจะถูกลบทิ้งไปง่ายๆ เหมือนกับตัวหนังสือที่เขียนไว้บนหาดทรายโดนคลื่นทะเลซัด ผมอดที่จะตัวสั่นเพราะรู้สึกกลัวคนข้างๆ ไม่ได้แต่ผมว่าผมก็เก็บอาการได้ดีพอที่เขาจะมองไม่เห็นมัน

“รีบคุยเรื่องนั้นเถอะ” ผมรีบเปิดประเด็นก่อนที่ความกล้าที่เหลือทั้งหมดจะหายไป

“อือ ได้สิ” ใบพัดตอบราวกับกำลังคุยเล่นอย่างสบายอารมณ์ แม้จะดูไม่เจ้าเล่ห์แต่ผมก็ไม่เคยไว้ใจ “แต่คุยไปกินไปแล้วกันนะ”

“ได้สิ” ผมตอบรับอย่างไม่คิดอะไรมาก

“ฉันหมายถึงนายต้องกินกับฉันด้วย” ใบพัดบอก

“ขอบคุณนะแต่...” ผมทำท่าจะปฏิเสธแต่ถูกใบพัดพูดสวนขึ้นมาก่อนอย่างรู้ทัน

“งั้นก็ค่อยคุยพรุ่งนี้แล้วกัน” ใบพัดดูเหมือนจะพูดแบบไม่ถือสาแต่ผมรู้ว่ามันคือการยื่นคำขาด ผมจึงรีบหยิบแก้วที่เขายื่นมาให้ตั้งแต่ตอนแรกขึ้นมาดื่ม ก่อนที่จะพบว่ามันคือช็อกโกแลตเย็น รสชาติหวานๆ ขมๆ มีความมันจากนม แล้วก็ความเย็นสดชื่นจากน้ำแข็ง ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก

แบบที่ชอบเลยแฮะ

ใบพัดยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะเอาแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นไปกัดอีกคำ พลางจับแฮมเบอร์เกอร์อีกชิ้นยัดใส่มือผมอย่างถือวิสาสะ ผมก็ได้แต่มองหน้าเขาแต่ก็ต้องรับไว้พลางยกขึ้นกัดไปคำหนึ่งอย่างจำใจตามที่เขาทำท่าบอกให้ผมกิน ก่อนที่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าผมหิวแค่ไหน แล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตลอดทั้งวัน

“ต้องการอะไร” ผมถามใบพัดออกไปอย่างไร้เยื่อใยและมารยาททั้งมวลที่เคยรับรู้มา

“เปล่า...แค่อยากรู้” ใบพัดตอบเสียงเรียบทำให้ผมต้องหันหน้าไปมองเขาที่กำลังยัดแฮมเบอร์เกอร์คำสุดท้ายเข้าปาก

“อยากรู้...อยากรู้อะไร” คิ้วผมขมวดเป็นปมพลางมองหน้าเขาด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เขาอยากจะสื่อ

เขาดื่มน้ำในแก้วเข้าไปอีกหนึ่งอึกก่อนที่จะหันหน้ามามองผมราวกับกำลังเห็นใจและหาคำตอบอยู่ในที “ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วย”

ผมเข้าใจทันทีว่าสิ่งที่เขาต้องการจะถามคืออะไร เขาคงอยากจะถามว่าทำไมผมต้องทำศัลยกรรมจนกลายเป็นคนใหม่ขนาดนี้ ทำไมต้องสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ขนาดที่เปลี่ยนทั้งชื่อรวมทั้งทิ้งโลกที่เคยอยู่ไว้ด้านหลังอย่างไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองอีก

“ถ้าเป็นเราแกจะไม่ถามแบบนี้” ผมตอบก่อนที่จะรู้สึกว่าสิ่งที่กินเข้าไปมันไม่ได้ต่างจากกระดาษเนื้อยุ่ยๆ ที่ไม่ได้อร่อยเหมือนตอนแรกแล้วรวมทั้งผมยังอยากจะขย้อนมันออกมาซะเหลือเกิน

“ทำไมล่ะ” ใบพัดถามพลางมองหน้าผมตรงๆ จนผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมเป็นสัตว์ประหลาดหรือเอเลี่ยนที่กำลังถูกนักวิทยาศาสตร์ถามเอาความลับจากสายพันธุ์หรืออารยธรรมของผมก่อนที่จะเอาผมไปชำแหละเป็นชิ้นๆ

“เลิกถามสักทีว่าทำไม” ผมพูดขึ้นเสียงดังแต่ก็ไม่ใช่การตะโกนแต่อย่างใด “นายไม่มีทางเข้าใจหรอก ว่าความรู้สึกที่ทุกคนกลัวนายมันเป็นยังไง”

“ฉันเข้าใจ...”

“ไม่! นายไม่มีทางเข้าใจนายเคยนั่งใกล้ใครแล้วเขาย้ายที่นั่งเพราะบอกว่ากลัวหน้านายมั้ย เวลาไปไหนมาไหนมีเด็กมาร้องไห้เพราะเห็นหน้านายหรือเปล่า เคยมีคนเดินเฉียดนายแล้วบอกว่าอยากไปอาบน้ำพร้อมกับเสียงหัวเราะมั้ย เคยมีมั้ยที่นายไม่อยากมองหน้าใครเพราะกลัวสายตาของเขา เคยมีหรือเปล่าที่โดนแกล้งทุกวันทั้งที่ไม่เคยทำอะไรใคร แล้วเคยมีมั้ยที่ไม่มีใครเลยที่อยากคบกับนายเพราะนายมันอัปลักษณ์แต่จะให้ทำไงได้แค่ไม่อยากตายก็บุญแล้วป่ะ เพราะฉะนั้นอย่ามาพูดว่านายเข้าใจ เพราะต่อให้นายเอาวันแย่ๆ ทั้งชีวิตของนายมารวมกันมันก็เทียบไม่ได้กับหนึ่งวันของเรา” ผมระเบิดออกไปก่อนที่จะรู้ตัวว่าตัวเองหัวใจเต้นแรงขนาดไหนทั้งยังสัมผัสได้กับความรู้สึกเปียกชื้นที่แก้มนี้อีก นี่ผมร้องไห้เหรอ...แล้วทำไมผมจะต้องมาระเบิดใส่ใบพัดด้วยนะ แต่ผมรับไม่ได้จริงๆ กับการที่เขาบอกว่าเข้าใจทั้งๆ ที่เขารับบทนักล่ามาตลอดในขณะที่ผมเป็นได้แค่เหยื่อของเขา

ใบพัดมองใบหน้าของผมราวกับสงสารเต็มทีแต่ผมไม่เชื่อคนอย่างเขาเพราะเขาก็คือคนที่ทำเรื่องเหล่านั้นตลอดและเขาก็กำลังจะทำมันต่อไปถ้าผมทำอะไรให้เขาไม่พอใจ ใบพัดทำท่าเหมือนกับจะหาคำพูดอะไรออกมาพูดสักอย่างแต่ก็เงียบไป

“สมเพชฉันมากใช่ไหมที่เห็นเราต้องทำถึงขนาดนี้ มันตลกใช่ไหมที่เราต้องทำใหม่ทั้งหน้าเพื่อให้คนอื่นจำไม่ได้แต่ก็ไม่รอด ขยะแขยงใช่มั้ยที่เราโกหกทุกคนแล้วบอกว่าตัวเองเป็นคนอื่นทั้งที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองเป็นใคร ใช่เราก็รู้สึกแบบนั้นแต่...”

“ไม่!” ใบพัดพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนที่จะเอื้อมมือมากุมมือผมไว้ ซึ่งนั่นทำให้ผมอึ้งกับสิ่งที่เขาพูดออกมา โกหกชัดๆ ที่ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเกลียดผมแล้วรับสิ่งที่ผมทำลงไปได้ ผมกำลังจะดึงมือกลับมาจากเขาแล้วผมก็ชะงักเมื่อผมสัมผัสได้ว่าเขากุมมือผมแน่นขึ้นอีก “นายจะเป็นใครก็ได้ ไม่เป็นไรเลยมันโอเค”

ผมรู้สึกราวกับว่าโลกรอบตัวของผมมันได้หยุดลงไปราวกับทุกสิ่งรอบตัวกลายเป็นรูปปั้นแล้วมันยังเหมือนกับว่าตอนนี้ในโลกมีเพียงคนสองคนที่ยังเคลื่อนไหวคือผมกับใบพัด ผมรู้สึกอุ่นวาบไปทั่วตัวแต่กลับอุ่นเป็นพิเศษตรงมือที่ใบพัดกำลังกุมมันไว้ คำตัดพ้อต่อว่าทั้งหมดถูกลบทิ้งไปราวกับโดนDelete ตอนนี้ผมรู้สึกแค่ อบอุ่นและปลอดภัย

มันหมายความว่ายังไงที่เขาบอกว่าผมจะเป็นใครก็ได้แล้วมันจะโอเคจริงๆ ใช่มั้ย ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยความรู้สึกที่มีคนอยู่ข้างๆ น้องจากไทม์และพ่อแม่ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเลยจริงๆ

ความรู้สึกอุ่นวาบนี้มันคืออะไรกันนะ แต่ผมจะเชื่อคนคนนี้ได้จริงๆ น่ะหรือ ผมลองคิดทบทวนไปทบทวนมาอยู่หลายรอบทั้งเรื่องที่เขาเคยทำไว้กับผมแต่วันนี้เขากับดูไม่ได้เหมือนเขาคนก่อนที่เขาเคยเป็นแถมยังดูอ่อนโยนราวกับนี้คือตัวตนของเขาจริงๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือผมรู้สึกสับสนและกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมากเพราะอยู่ภาพที่เคยเกิดขึ้นกับผมในอดีตที่คอยสร้างบาดแผลให้ผมมาตลอดก็ย้อนกลับเข้ามาแต่มันกลับไม่ได้ชัดเจนเท่ากับภาพของคนที่อยู่ตรงหน้าของผมในตอนนี้ ราวกับว่าคนตรงหน้าที่แสนอบอุ่นในตอนนี้จะช่วยลบล้างสิ่งที่เคยผ่านมาได้ ความรู้สึกหลากหลายตีกันในหัวของผมจนผมรู้สึกสับสนไปหมดก่อนที่ผมจะตัดสินใจว่าผมจะเชื่อใจคนตรงหน้านี้ได้ไหม ซึ่งผมก็ได้คำตอบว่า...

ไม่!

ผมสลัดมือผมออกจากมือใบพัดก่อนที่ที่จะเอามือมาเช็ดกับเสื้อเพื่อไล่ความรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ นี้ทิ้งไปก่อนที่จะรีบวิ่งหนีออกไปจากตรงนั้น โดยที่ไม่แม้แต่จะหันไปมองเขาเลย ต่อให้ผมจะได้ยินเสียงเขาตะโกนเรียกตามหลังมาก็ตาม








ได้เห็นหลายๆคอมเมนต์ไรท์ก็มีกำลังใจมาก ยังไงก็ขอบคุณนักอ่านทุกคนนะคะ
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 9 Secret (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 11-02-2021 20:37:17
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 9 Secret (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: ZilCh ที่ 11-02-2021 20:46:03
อยากอ่านต่อเลย ติดเรื่องนี้แล้ว  :hao7:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 9 Secret (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 11-02-2021 22:28:26
นิวเยียสับสนมะ
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 9 Secret (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-02-2021 00:30:07
 :hao3:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 9 Secret (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 12-02-2021 04:43:20
โอเคเปลี่ยนเรือก็ได้ พัดนิว :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 10 เปิดเทอม
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 12-02-2021 19:57:03
Chapter 10

เปิดเทอม



นี่ก็นับเป็นเวลาหลายวันแล้วหลังจากที่ผมไปคุยกับใบพัดในวันนั้น ซึ่งหลังจากที่กลับมาถึงห้องผมก็บล็อกช่องทางติดต่อกับใบพัดทุกทางแล้วก็เตรียมตัวรับชะตากรรมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้างแต่ก็ราวกับปาฏิหาริย์ ที่ไม่มีอะไรเล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย จนผมมีแว๊บหนึ่งไม่ถึงหนึ่งวิว่าเขาเปลี่ยนไปแล้วแต่ก็ดึงสติกลับมาได้ ว่าเขาเป็นคนแบบไหน

อีกหนึ่งเรื่องที่ผมยังกลุ้มใจไม่หายเหมือนกับมีอะไรติดอยู่ขนตาแต่ดึงออกไม่ได้ ก็คือเรื่องกระเป๋าของผมที่ยังอยู่กับใบพัด ในนั้นมันมีทั้งบัตรประชาชนบัตรนิสิตรวมทั้งบัตรATM และของอื่นๆ ที่สำคัญอีก แต่ที่สำคัญที่สุดคือมันจะสามารถระบุได้ว่าผมเคยเป็นใครมาก่อนนั่นยังเป็นอีกนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมวางใจไม่ได้สักทีแต่จะให้ไปเจอหน้าใบพัดผมก็ไม่กล้าเช่นกัน

เห้อ...ปล่อยมันไปก่อนแล้วกัน แต่เรื่องแบบนี้มันชักช้ากันได้จริงๆ น่ะหรือ

ในที่สุดวันเปิดเทอมก็ผ่านไปราวกับกะพริบตาเพราะวันนี้ก็เป็นวันที่สามของการเปิดเทอมเข้าไปแล้วผมรู้สึกว่าช่วงเปิดเทอมที่ผ่านมาโชคเข้าข้างผมเป็นอย่างมาก เพราะผมไม่ได้เจอกับใบพัดเลยซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีกว่าการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลซะอีก เพราะผมไม่รู้ว่าจะทำสีหน้าอย่างไรเมื่อเจอเขาหลังจากที่ตีแผ่จุดอ่อนของตัวเองออกไปจนหมดแล้ว และผมก็ยังไม่อยากได้ยินคำขู่ใดๆ จากเขาอีก

ในวันนี้ผมมีเรียนแค่ในภาคบ่ายทำให้ผมนั่งรถรางของมหาลัยเล่นอย่างไม่ได้รีบร้อนนักก่อนที่จะลงที่ป้ายหน้าคณะวิทย์ซึ่งผมมีวิชาGEที่ต้องมาเรียนในห้องเรียนรวมของที่นี่ แต่ว่าไม่ใช่ตึกเรียนนี้เพราะตึกที่ผมต้องไปคือSC1 ซึ่งต้องเดินต่อไปอีกหน่อย

Trrrrrr เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้ผมต้องหยุดเดินก่อนที่จะหยิบมันออกมาจากกระเป๋า พบรายชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอว่าคือชื่อของพี่น้ำตาล

“ครับพี่น้ำตาล” ผมขานรับปลายสายก่อนที่อีกฝ่ายจะเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่ดูเต้นน่าดูซึ่งถ้าเดาไม่ผิดพี่เขาคงจะกำลังกระโดดเป็นแน่

“นิวเยียร์วันนี้ว่างไหมเลิกเรียนกี่โมง” พี่น้ำตาลถามรีบๆ

“ก็ไม่ได้ทำอะไรครับผมน่าจะเรียนเสร็จซักบ่ายสาม” ผมตอบไปเพราะวิชาGEส่วนมากจะใช้เวลาประมาณ2ชั่วโมงเท่านั้นในแต่ละคาบ

“ดีเลยงั้น หลังเลิกเรียนเสร็จเราแวะเข้ามาหาพี่ที่คณะหน่อยนะ”

“อ่อ ได้ครับว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ

“ไม่มีอะไรมากหรอกแค่มีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อยน่ะงั้นเจอกันนะ” พี่น้ำตาลบอกก่อนที่จะวางสายไปโดยไม่ได้รอคำตอบหรือคำลาใดๆ จากผม

วิชาที่เรียนในวันนี้เป็นวิชาที่ชื่อแนวคิดวิทย์และปรัชญา ซึ่งดูจากชื่อก็น่าจะยากพอตัว และยังมีอะไรแปลกๆ แบบ+1MD พ่วงมาด้วยซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันย่อมาจากอะไร จนผมได้เดินเข้าไปในห้องถึงเพิ่งรู้ว่าคนใน*sec.นี้ค่อนข้างจะแปลกเพราะส่วนมากจะใส่แว่นและนั่งกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน รวมทั้งยังถือไอแพดกันมาคนละเครื่องจนดูแปลกประหลาด ทั้งท่าทางที่ถือapple pencilที่ดูราวกับพร้อมจะจดอยู่ตลอดเวลานั่นอีก

ผมเดินเข้ามาในห้องอย่างรู้สึกแปลกแยกอย่างถึงที่สุดเพราะคนในห้องดูเป็นกลุ่มเป็นก้อนซะเหลือเกิน ผมเดินตรงเข้าไปแถวหน้าๆ ที่ดูเหมือนจะว่างเป็นพิเศษก่อนที่จะชะงักให้กับเสียงของใครคนหนึ่งที่กำลังเรียกผมเสียงดังจนคนทั้งเซ็คหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว ผมรีบมองไปหาต้นเสียงก่อนที่จะเห็นคนตัวสูงที่กำลังกวักมือเรียกผมด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งท่าทางที่ดูดีใจเป็นอย่างมากที่ได้เจอผม ผมรีบเดินเข้าไปหาเขาในทันทีก่อนที่จะยกมือไว้

“สวัสดีครับ” ผมทักทายอายๆ เพราะไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าเรียกผมหรือคนที่ชื่อเหมือนผมกันแน่เพราะผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะมีคนมาทักก่อนแบบนี้ ทั้งคนตรงหน้ายังแอนเนอร์จี้ล้มเหลืออย่างกับป๊อปอายที่เพิ่งบีบกินผักโขมจากกระป๋องมาหมาดๆ

“เฮ้ยไม่ต้องไว้พี่ก็ได้” คนตรงหน้าว่าพลางปัดไม้ปัดมือแต่กลับยิ้มให้ผมไม่หุบ

“อ่อครับ” ผมตอบเขินๆ เพราะไม่สนิทกับคนตรงหน้ามากนัก

“ว่าแต่นิวเยียร์จำพี่ได้ปะ” เขาถามพลางส่งสายตาเป็นประกายมาให้ผมราวกับคำตอบของผมเป็นรางวัลอย่างไงอย่างงั้น

“เอ่อคือ...ผมจำพี่ได้ว่าพี่เป็นสันทนาการ แล้วก็มีคนชอบพี่เยอะมาก” ผมรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจว่าคำตอบของผมมันจะได้ผลออกมาเป็นยังไง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเกินคาดคิด

“โหน้องนิวเยียร์...พี่ดีใจมากเลยถึงจะจำชื่อพี่ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” เขาบอกเสียงเล็กเสียงน้อย “พี่ชื่อชินนะงั้นต่อไปน้องนิวเยียร์เรียกพี่ว่าชินชินก็แล้วกันจะได้ดูสนิทกัน”

“อ่อครับ งั้นพี่เรียกผมว่านิวเฉยๆ ก็ได้ครับ” ผมบอกพลางยิ้มทำให้พี่ชินยิ้มตามตาหยีได้ไม่อยาก

“เฮ้ยชื่อพี่ยังสองพยางค์เลยอะ ของเราก็ต้องสองพยางค์ด้วยสิ งั้นต่อไปพี่เรียกเราว่านิวๆ โอเคมั้ย” พี่ชินถามพลางรอคำตอบ

“อะ...เอ่อ ก็ได้ครับ” ผมตอบยิ้มเจื่อนๆ พลางรู้สึกว่ามันทะแม่งๆ แฮะ ถ้าอยากเรียกชื่อผมสองพยางค์ทำไมไม่เรียกนิวเยียร์ล่ะ แล้วทำไมต้องให้ผมเรียกชื่อเขาสองครั้งให้ยุ่งยากด้วย

พี่ชินบอกกับผมว่าเขาลงเรียนวิชานี้คนเดียวเนื่องจากเขายังเก็บวิชาGEหมวดนี้ยังไม่คบเลยไม่มีเพื่อน พอเห็นผมก็เลยตะโกนเรียกด้วยความดีใจ ก็เลยขอโทษผมใหญ่ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากอาย

เห้อ...หน้าตาคนเรามันเปลี่ยนทัศนคติคนได้จริงๆ สินะทั้งๆ ที่จริงแล้วถ้าเป็นผมคนเดิมก็ไม่ได้มีใครอยากคุยด้วยหรือชวนนั่งด้วยซ้ำ

“นี่ลงไม่ทันเหมือนกันใช่มั้ย ถึงได้มาลงsec.นี้” ชินถามราวกับมันแย่เกินทน ผมพยักหน้าตอบไปก่อนจะถามเขาต่อ

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะครับ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็นิวนิวไม่เห็นหรือไงว่าsec.นี้มัน+1MD” ชินอธิบายพลางทำให้ผมรู้สึกขนลุกไปด้วยที่เขาเรียกผมแบบนั้น

“แล้วมันไม่ดียังไงหรือครับ” ผมถามต่อทั้งๆ ที่ยังสลัดความรู้สึกขนลุกออกไปจากตัวผมยังไม่ได้

“เอ่าแล้วกัน ก็การที่มีรหัส+1อะไรสักอย่างแปลว่าเป็นววิชาบังคับที่เอาไว้ให้คนแต่ละชั้นปีในคณะนั้นเรียนน่ะสิ เช่น +1ITก็ของคณะเรา +1ENก็ของวิศวะหรือเรียกว่า+1Angineer แล้วเซ็คนี้+1MDก็คือ+1Medicine หรือพูดง่ายๆ ก็คือนิสิตเกิน70%ในห้องนี้เป็นนิสิตคณะแพทย์” ชินอธิบายพลางยกตัวอย่างให้ผมเห็นภาพมากขึ้นจนต้องร้องอ๋อแล้วตามด้วยคำว่า

“มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”

ผมคุยกับชินต่อได้ไม่นานอาจารย์ก็เดินเข้ามาให้ห้องซึ่งก็เป็นอาจารย์ผู้หญิงที่แต่งตัวดูมีอายุหน่อย ทำผมลอนหยิก พร้อมกับใส่แว่นตาก่อนจะตบท้ายด้วยกระโปรงทรงเอที่มีที่มีการจับจีบนิดหน่อยดูแล้วท่าทางน่าจะเคร่งพอดู

วิชานี้เริ่มต้นด้วยการแนะแนวกฎกติกาก่อนที่จะเริ่มเรียนทันทีตั้งแต่คาบแรกซึ่งไม่ค่อยมีอาจารย์คนไหนทำกัน แล้วเรื่องที่เรียนในคาบแรกก็คือเรื่องที่ว่า ปรัชญาคืออะไร แล้วยังพูดถึงเรื่องราวของเพลโตและอลิสโตเติ้ลก่อนที่จะปิดท้ายด้วยการถกเถียงเรื่องความงามว่าแท้จริงแล้วคืออะไร ซึ่งก็ไม่ได้ให้รายละเอียดไว้มากเพราะจะสอนในบทต่อไป แล้วคาบนี้ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากเพราะจะให้ทุกคนแบ่งกลุ่มกันก่อน แล้วต่อไปจะให้จับกลุ่มกันทำงานตามกลุ่มที่แบ่งให้ตั้งแต่ตอนนี้จนกว่าจะหมดเทอมนี้ ก่อนที่อาจารย์จะส่งรายชื่อทุกคนเข้าคลาสรูมแล้วให้ทุกคนไปดูกลุ่มย่อยของตัวเองแล้วไปนั่งตามโซนที่แบ่งไว้ให้ ซึ่งผมได้อยู่กลุ่ม36ฝั่งซ้ายมือของชั้นเรียน

หลังจากล่ำลากับพี่ชินด้วยความอาลัยที่ดูจะเกินเบอร์ไปมากเสร็จผมก็รีบเดินไปหากลุ่มของผมทันที ผมตัดสินใจที่จะเดินไล่จากกลุ่ม40ที่อยู่ด้านบนสุดก่อนจะไล่ลงมาเพราะจะง่ายกว่าในการหากลุ่มเพราะไม่ได้มีเลขติดบอกไว้

ผมไล่จากกลุ่มที่40ลงมาอีก4แถวก็เจอกับกลุ่มของผมซึ่งตอนนี้มีคนนั่งอยู่แล้ว3คนซึ่งผมเป็นคนที่4 ทว่าแต่ละกลุ่มจะต้องมีสมาชิกทั้งหมดกลุ่มละ5คน คงจะต้องรอให้คนครบก่อนล่ะมั้งถึงจะเริ่มทำอะไรได้ผมรีบเดินไปที่เก้าอีกที่เหลืออยู่ก่อนจะถามกับคนที่อยู่ข้างๆ ว่ากลุ่มนี้คือกลุ่มที่36ใช่ไหมซึ่งเขาก็พยักหน้าตอบกลับมาโดยที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าผม ผมขอบคุณเขาตามมารยาทก่อนที่จะหันหน้ากลับไปมองที่หน้าชั้นเรียบแบบเดิม

“ขอโทษนะครับนี่กลุ่ม36ใช่มั้ยครับ” เสียงทุ้มของคนที่มาใหม่ถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ และเนื่องด้วยผมก็เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์นี้มาสดๆ ร้อนๆ ก็เลยไม่อยากให้คนถามเก้อมานักผมจึงปั้นยิ้มแล้วหันไปตอบคนข้างๆ แต่ผมก็ต้องหยุดชะงักให้กับภาพของคนตรงหน้าตรงหน้า...








ขอบคุณนักอ่านทุกคนเห็นคอมเมนต์หนึ่งวิเคราะห์ไว้ดีมากยังไงก็มาลุ้นไปด้วยกันนะคะ
ขอบคุณทุกคนอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 10 เปิดเทอม
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 12-02-2021 20:12:53
 :hao6: :hao7:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 10 เปิดเทอม
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 12-02-2021 21:56:00
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 10 เปิดเทอม
เริ่มหัวข้อโดย: ZilCh ที่ 13-02-2021 01:51:42
ใครกันนะ จะเป็นไทม์หรือเปล่า ลุ้นนน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 10 เปิดเทอม (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 13-02-2021 20:01:48
หลายวันก่อน

หลังจากกลับมาจากการนัดเจอกับใบพัด ผมก็กลับหอทันทีแล้วก็เอาแต่ก้มหน้าและรีบวิ่งเข้าไปในหอเพราะไม่อยากให้ใครเห็นมากนักว่าผมกำลังร้องไห้อยู่เนื่องจากคงจะไม่เหมาะนักที่ผมจะร้องไห้ในที่สาธารณะแบบนี้มันจะพาลให้คนคิดว่าผมเป็นบ้าซะเปล่าๆ แต่ด้วยความที่เอาแต่ก้มหน้าและวิ่งมาเร็วจนเกินไปทำให้ผมพลาดเดินไปชนเข้ากับใครคนหนึ่งเข้า

“โอ๊ย แม่งเอ๊ย” เสียงทุ้มสบถออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนที่ผมจะเห็นว่าเขากำลังทำท่าเหมือนกับกำลังเช็ดอะไรสักอย่างอยู่บนเสื้อ เมื่อผมสังเกตดีๆ ผมก็ถึงกับตาโตด้วยความตกใจแล้วรีบวิ่งเข้าไปช่วยเขาเช็ดทันที เพราะสิ่งที่เลอะอยู่บนเสื้อของเขาเป็นคราบของน้ำซุปและเส้นมาม่าคัพที่ยังมีควันฉุยลอยออกมาไม่หยุดบ่งบอกว่ามันร้อนมากแค่ไหน “เฮ้ย ทำอะไรวะ” เขาพูดขึ้นท่าทางตกใจ

“เอ่อผมขอโทษครับผมแค่อยากจะช่วย” ผมละล่ำละลักบอกไป

“ช่วยอะไรอีกมันไม่ทันแล้ว” น้ำเสียงของเขาไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นทำให้ผมได้แต่ก้มหน้าด้วยความกลัว ก่อนที่จะมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว

“งั้นเอาอย่างงี้ไหมครับเดี๋ยวผมจะเอาเสื้อไปซักให้เอง” ผมเสนอพลางเงยหน้าขึ้นมองหน้าโจทก์ของผม

“นี่มึงอีกแล้วเหรอ/นี่มึงอีกแล้วเหรอ” ผมกับไทม์อุทานออกมาพร้อมกันราวกับนัด ส่วนไทม์กลับเอามือชี้หน้าผมอย่างคาดโทษ

“ทำไมเจอมึงทีไรซวยทุกทีเลยวะ” คราวนี้เป็นไทม์บ้างที่บ่นออกมา แต่ถึงผมจะอยากเถียงเขายังไงก็คงทำไม่ได้เพราะผมผิดจริงๆ “ทำไมเดินไม่รู้จักดูทางวะคิดว่าถนนเป็นของตัวเองหรือไง แล้วมึงจะรับผิดชอบยัง...”

“ก็บอกแล้วไงว่าจะเอาเสื้อไปซักให้!” ผมตะโกนบอกกลับไปด้วยความหน้อยใจพลางน้ำตาหนึ่งหยดร่วงลงอย่างไม่ทันรู้ตัว ผมไม่ชอบเลยจริงๆ ที่ต้องโดนไอ้เด็กนี้ด่าทั้งที่แต่ก่อนเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแท้ๆ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่มีทางจะมาอยู่ฝั่งเดียวกับผมได้ แล้วอีกอย่างวันนี้ผมก็คิดว่าผมเจอเรื่องร้ายๆ มามากพอแล้ว เลยรู้สึกอ่อนไหวง่ายไปหน่อย

“นะ นี่มึงร้องไห้เหรอ” ไทม์ถามพลางหน้าเปลี่ยนเป็นสีขาวกับสีแดงสลับกันไปดูเหมือนกับเขากำลังคิดว่าจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้านี้ยังไงดี

“ไม่ได้ร้อง” ผมตอบเสียงเฉียบเพื่อจะรีบตัดบทแต่มันกับอู่อี้จนน่าสงสาร “เอาเสื้อมึงมาสิเดี๋ยวกูจะเอาไปซักให้” ผมบอกพลางยื่นมือไปรอรับเสื้อเพราะไม่อยากอยู่ตรงนี้นานนัก

ไทม์ดูเหมือนจะแบล็งค์ไปสักพักก่อนที่จะจับใจความได้ว่าผมพูดอะไรออกไปบ้าง “เดี๋ยวมึงจะบ้าเหรอ จะให้กูถอดเสื้อตรงนี้เนี่ยนะ งั้น ดะ เดี๋ยวกูไปถอดบนห้องแล้วเอามาให้แล้วกัน” ไทม์พูดรนๆ และไม่มีทีท่าว่าจะต่อต้านหรือต่อล้อต่อเถียงอย่างทุกทีแต่ดูเหมือนเขาจะหาทางออกจากตรงนี้ให้ได้เร็วๆ เสียมากกว่า เพราะคงทนความกระอักกระอ่วนไม่ไหวเมื่อเห็นคนอื่นร้องไห้

แปลกแต่ก่อนเขาก็ปลอบผมตอนร้องไห้บ่อยจะตายแถมเขายังเป็นคนที่อบอุ่นมากอีกด้วย ทุกครั้งที่ผมร้องไห้เขาก็จะเดินเข้ามาปลอบในแบบของเขาแล้วหาของอร่อยๆ มาให้ผมกินแต่สิ่งที่จะได้กินทุกครั้งคือ นมช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตกับส้มเพราะเขาบอกว่านมช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตช่วยคลายเครียด และส้มก็ยังช่วยลดอาการเหนื่อยล้าของตาได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเอาสองอย่างนี้มาให้ตลอดเวลาผมมีน้ำตา

จะว่าไปไทม์ก็เห็นน้ำตาของผมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แล้วทำไมยังไม่ชินอีกล่ะ อ่อจริงสิ ผมลืมบางอย่างที่สำคัญมากๆ ไป ผมกับไทม์ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากคนแปลกหน้าสินะแม้แต่ชื่อของผมไทม์ยังไม่รู้จักเลย พอคิดดูแล้วทำไมมันรู้สึกโหวงในใจแปลกๆล่ะ...

ไทม์เดินกลับลงมาจากหอด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่สะอาดเอี่ยมต่างจากชุดที่แล้วที่เต็มไปด้วยคราบน้ำซุปจากฝีมือของผมซึ่งในมือเขาก็ยังเอาเสื้อตัวนั้นมาด้วยเพื่อให้ผมรับชอบอย่างที่ผมบอกไป แต่ตอนนี้สีหน้าของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว

“ขอโทษนะ” ผมชิงพูดก่อนที่ไทม์จะพูดอะไรออกมา พลางยื่นของในมือที่ผมวิ่งออกไปซื้อหน้าหอตอนที่ไทม์ขึ้นไปเปลี่ยนชุดส่งให้

“อะไร” ไทม์ถามอย่างไม่เข้าใจ

“ก็คืนมาม่าที่ทำหกเมื่อกี้ไง แล้วนี่ก็ยาทาแผลน้ำร้อนลวก” ผมตอบออกไปโดยที่ไม่มองหน้าไทม์เพราะรู้สึกอายซะเต็มแก่ที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้

ไทม์เงียบไปสักพักก่อนที่จะยื่นมือมารับของในมือผมไป “ขอบใจ” เขาตอบสั้นๆ แต่มันกลับทำให้จากที่แลกที่ผมรู้สึกใจแฟบไปหมดตอนนี้ฟูขึ้นมาในระดับปกติแล้วผมจึงหันหน้าขึ้นไปยิ้มให้เขา

“ไม่เป็นไรเต็มใจ”

“...” ใบพัดเงียบไปสักพักก่อนที่เขาจะเอาเสื้อในมือยัดเข้ามาในมือผมแล้วเดินหนีทันที

ไอ้เด็กนี่ ถ้าพ่อได้กลับไปสอนจะเทคคอร์สสอนมารยาทซะให้เข็ด แต่ทำไมผมรู้สึกว่าเสื้อของไอ้เด็กนั่นทำไมมันหนักและแข็งแปลกๆ

จะโดนแกล้งหรือเปล่าเนี่ย

ผมค่อยเปิดข้างในเสื้อออกดูอย่างไม่รีบร้อนนักก่อนจะต้องหลุดยิ้มออกมา เพราะสิ่งที่ห่ออยู่ในเสื้อคือนมช็อกโกแลต,ช็อกโกเลตกับส้มอีกสองผล

นี่ผมยังได้รับอนุญาตให้ได้รับสิทธิ์นี้จากไทม์ด้วยยเหรอ แม้ว่าผมจะเป็นนิวเยียร์นี่นะ แต่พอลองคิดดูอีกทีผมก็อดจะใจหายไม่ได้ เพราะคนที่ได้รับสิทธิ์นี้จากไทม์ ไม่ใช่ “นว” แค่คนเดียวเหมือนอย่างเคยทว่ากลับยังมีคนแปลกหน้าอย่าง “นิวเยียร์” เพิ่มขึ้นมาอีกคน



ปัจจุบัน

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้คือคนที่ผมพยายามจะเลี่ยงอีกคนหนึ่งถึงแม้ผมจะยังติดค้างเขาอยู่ก็ตาม

“ใช่คะ ครับ” ผมติดอ่างอย่างไม่ตั้งใจเมื่อเห็นไทม์ยืนอยู่ตรงหน้า ทว่าไทม์เองก็ดูเหมือนกับว่าจะนิ่งไปสักครู่เหมือนกันก่อนที่จะเดินเข้ามานั่งข้างผมอย่างเงอะๆ งะๆ

ผมกับไทม์ต่างคนต่างหันหน้าหนีไปคนละทางอย่างประดักประเดิด ไม่มีใครพูดอะไรกันออกมาจนในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายที่ทนความอึดอัดนี้ไม่ได้เลยตัดสินใจพูดแทรกความเงียบนั้นออกไป

“เอ่อ แผลหายแล้วเหรอ” ผมถามขึ้นราวกับพูดลอยๆ แต่ไทม์กับหันหน้ามามองผม

“อื่ม ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก” เขาตอบเรียบๆ ก่อนที่เราทั้งสองจะหันหน้าออกจากกันไปคนละทาง จากตอนแรกที่ผมคิดว่าจะคุยเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายแต่มันกลับได้ผลในทางตรงกันข้ามซะได้ ไม่รู้สิผมรู้สึกว่าระหว่างผมกับไทม์อยู่ๆ ก็เหมือนมีเส้นอะไรมากั้นเราออกไปไม่ให้กล้ามองหน้ากันซะงั้น

ไม่นานนักอาจารย์อาจารย์ก็ให้กระดาษมากลุ่มละหนึ่งแผ่น เพื่อให้มาทำงานกลุ่มร่วมกันในหัวข้อความ “งามที่แต่ละคนนิยามคืออะไร?”

ก่อนจะเริ่มทำงานเราแต่ละคนก็ได้แนะนำตัวกันทีละคนซึ่งนอกจากผมกับไทม์แล้วในกลุ่มก็จะมีผู้หญิงตัวอวบๆ ใส่แว่นรวบผมหางม้าไว้ลวกๆ ชื่อ “เฟย์” อยู่คณะศึกษาศาสตร์ คนต่อมาค่อนข้างมาแหวกเพราะเธอเลือกที่จะใส่ชุดลำลองกับรองเท้าที่ใส่แล้วดูสบายซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่รองเท้าผ้าใบและเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงแต่กลับดูมั่นใจในตัวของตัวเองจนไม่มีใครกล้าทักเธอในเรื่องชุด ซึ่งเธอบอกให้เรียกเธอว่า “ปานวาด” มาจากคณะการเมืองการปกครอง ส่วนคนสุดท้ายเป็นผู้ชายตัวผมสูงผิวคล้ำออกแทนๆ ชื่อ “ต้น” จากคณะบัญชีและการจัดการ ผมแนะนำตัวเป็นคนรองสุดท้าย

“เอ่อ เราชื่อนิวเยียร์นะ” ผมบอกพลางเหล่ตาไปทางไทม์เพราะอยากรู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรแต่พอมองไปกลับทำให้สายตาผสานกันกับเขาพอดีจนทำให้เราทั้งสองคนต้องรีบเบือนหน้าหนีจากกันโดยไม่ตั้งใจ

“เป็นอะไรกันอะ” ปานวาดถามพลางมองผมสองคนสลับกันไปมา

“อ่อ เปล่า” ผมตัดบท “เรามาจากคณะไอทีนะ สาขาครีเอทีฟ” ผมรีบบอกก่อนที่จะมีใครถามอะไรขึ้นก่อนที่จะถึงตาของไทม์

“เราชื่อไทม์ คณะแพทย์เอกDM (Doctor of medicine) ” ไทม์พูดออกมาเสียงเรียบดูไม่ได้ประม่าแต่อย่างใดแต่มันกลับไม่เป็นมิตรมากนัก จนทำให้เสน่ห์จากใบหน้าหล่อๆ ของเขาดร็อปลงแต่ก็ไม่ได้มากนักเพราะมันยังทำให้เฟย์มองเขาด้วยใบหน้าเดี๋ยวแดงเดียวขาวสลับกันทั้งดวงตากับยังชวนฝันอยู่ได้

จะว่าไปในที่สุดเราก็ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการจนได้ ต่อไปนี้ผมจะได้ไม่ต้องเรียกเขาแค่ “มึง” อีกต่อไปและเมื่อผมเรียกชื่อเขาก็คงจะไม่มีปัญหาเหมือนครั้งแรก

ในวันนี้คนในกลุ่มไม่ได้คุยอะไรกันมากนักเพราะงานก็คือให้แต่ละคนเขียนความคิดเห็นของตัวเองเท่านั้น ทุกคนจึงต่อคิวกันเขียนคำตอบเริ่มจากต้น ปานวาด เฟย์ ผมแล้วคนสุดท้ายก็คือไทม์ แล้วเมื่อไทม์เขียนเสร็จก็ยื่นกระดาษให้กับปานวาดเพราะเธอบอกว่าเธอจะเอาไปส่งเอง

“เดี๋ยว ‘ของจริง’ งั้นเหรอหมายความว่าไงอะ” ปานวาดถามขึ้นพลางมองไปทางไทม์อย่างไม่อยากเชื่อเมื่อเธอได้อ่านคำตอบสั้นๆ ของไทม์หลังจากที่เธอตรวจสอบความถูกต้องของกระดาษก่อนที่จะนำไปส่ง ซึ่งมันทำให้ผมถึงกับตัวแข็งเมื่อได้ยินคำตอบของไทม์

“...” ไทม์ไม่ได้ตอบแต่กลับเก็บของต่อไป

“นี่จะบอกว่าอะไรที่ไม่ใช่ของจริงก็ไม่สวยงั้นเหรอ” ปาดวาดถามอย่างหาเรื่องและเริ่มจะโกรธขึ้นมาแล้ว

“ฉันหมายถึงความสวยไม่ได้หมายถึงเพศสภาพสักหน่อยเธอจะโกรธทำไม” ไทม์ถามทั้งๆ ที่ยังทำท่าเก็บของต่อไปไม่ได้หันมามองปานวาดเลย

“เหอะ ก็ดีเนอะที่ที่พูดออกมาตรงๆ แบบนี้ แต่ทำไมต้องตอบแบบเหยียดคนอื่นเขาด้วย ใครจะทำอะไรเพื่อเพิ่มความมั่นใจมันก็เรื่องของเขา มันผิดมากนักเหรอ” ปานวาดพูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิมทำให้คนเริ่มสนใจกลุ่มเรามากขึ้น ผมค่อนข้างเข้าใจเธอเพราะดูจากคณะที่เธอเรียนรวมกับการแต่งตัวของเธอแล้วเธอคงจะซีเรียสกับเรื่องของสิทธิส่วนบุคคลมากพอดู

“อย่างแรกนะนี่คือความคิดเห็นส่วนตัวของฉัน และอย่างที่สองคือฉันเกลียดคนทำศัลยกรรมที่สุด” ไทม์ตอบเสียงหนักแน่นชัดถ้อยชัดคำก่อนที่จะเดินจากไปทันทีปล่อยให้ปานวาดสบถไล่หลังคนไร้มารยาทอย่างไทม์อยู่อย่างนั้น

แต่สำหรับผมเหมือนกับได้ยินเสียงฟ้าผ่าดัง เปรี้ยง! สนั่นกึกก้องไปหมดราวกับว่าเป็นผมเองที่ถูกฟ้าผ่าจนหูอื้อไปหมด ผมรู้สึกราวกับโดนน้ำเย็นๆ เทราดหัวจนผมชาไปทั้งตัว ผมเคยคิดนะว่าสักวันผมอาจจะมีโอกาสบอกไทม์ว่าผมเป็นใครเมื่อเราโตมากกว่านี้แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมคงทำแบบนั้นไม่ได้แล้วล่ะ

ผมได้แต่นั่งตัวแข็งอยู่กับที่ด้วยความรู้สึกที่ดิ่งลงทุกๆ นาที เหมือนกับว่าผมได้เสียคนที่ผมเคยไว้ใจที่สุดและยังไว้ใจจนถึงตอนนี้ไปแล้ว เมื่อสิ่งที่ผมทำลงไปกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมกลับรู้สึกแย่มากที่ได้ยินคำว่าเกลียดจากคนที่เคยเป็นคนเดียวที่อยู่ข้างผมเสมอ...













หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 10 เปิดเทอม (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 13-02-2021 20:27:11
 :z3:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 10 เปิดเทอม (2/2)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 13-02-2021 23:50:11
 :heaven


รู้กันถ้วนทั่วแล้วววววว
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 11 ข้อตกลง (ขอร่วมประนามการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม)
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 14-02-2021 20:02:22
Chapter 11

ข้อตกลง

ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมเป็นเรียกว่าอาการจิตหลุดหรือเปล่า ตั้งแต่มาถึงคณะผมก็ยังไม่ได้ยินอะไรที่พี่น้ำตาลพูดกับผมได้ชัดถ้อยชัดคำเลยสักประโยค เพราะสิ่งที่กระทบเข้าโสตประสาทของผมกลับถูกสมองตีความแล้วแปลความหมายเป็นเสียงหึ่ง ๆ ของปีกผึ้งไปหมด มารู้ตัวอีกทีสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ก็คือยืนนิ่งๆ ให้พี่น้ำตาลใช้สายวัดตัวมาทาบตามเอวตามแขนขาผมไปเรื่อย ๆ จนดูเหมือนเขาจะพอใจแล้วจึงหยุดการกระทำ แล้วเปล่งเสียงหึ่ง ๆ ออกมาอีกครั้ง

“นิวเยียร์... นิวเยียร์!” พี่น้ำตาลตะโกนสุดเสียง

“คะ...ครับ” ผมตะโกนตอบกลับไปเสียงสั่นพรางตาเบิกโพลงด้วยความตก พลางสัมผัสได้ถึงแรกเขย่าจากไหล่ของผมทั้งสองข้างจนผมหัวคลอนไปตามแรงเขย่า ก่อนที่พี่น้ำตาลจะรีบปล่อยมือเพราะตกใจรีแอคชั่นจากผม

“นิวเยียร์ไม่สบายอะไรหรือเปล่าจ๊ะ ให้พี่พาไปหาหมอไหม” พี่น้ำตาลถามด้วยความเป็นห่วงที่ดูแล้วคงไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแน่ๆ

“คือผม...”

“อย่าบอกว่าไม่เป็นอะไร” พี่น้ำตาลดักทางผมไว้ “นิวเยียร์เราดูไม่สบายจริงๆ นะตั้งแต่มาถึงแกก็ไม่ได้ไว้พวกพี่เหมือนอย่างเคย ไม่แม้แต่จะทักทาย พี่พูดอะไรก็ไม่ตอบเล่าอะไรให้ฟังจะตลกจะเศร้าก็ไม่มีการตอบสนอง แขกลากไปไทยลากมาแกก็ทำเหมือนตัวเองเป็นหุ่นไม่มีชีวิต” พี่น้ำตาลพูดอย่างจริงจังพลางจับผมให้หันหน้าไปหาเขาจนผมอดจะรู้สึกผิดไม่ได้ที่ทำให้คนอื่นเป็นห่วงขนาดนี้

ผมไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรออกไปดีได้แต่ก้มหน้าก่อนที่จะตระหนักขึ้นได้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปเพื่อให้อีกฝ่ายได้สบายใจขึ้นบ้างว่าผมยังมีชีวิตอยู่ “พอดีวันนี้ผมมีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะครับเลยไม่ค่อยมีสมาธิต้องขอโทษพี่น้ำตาลด้วยนะครับที่ทำให้เป็นห่วง”

“เห้อ...ไอ้เด็กคนนี้จะมาขอท่งขอโทษอะไรกันใครๆ ก็มีเรื่องไม่สบายใจได้ทั้งนั้นแหละ” พี่น้ำตาลพูดอย่างไม่ได้ตัดสิน ทำให้ผมเชื่อว่าเขาเข้าใจผมจริงๆ “แต่วันนี้แกดูจะเจอเรื่องมาหนักจริงๆ นั่นแหละ งั้นวันนี้ไปพักเถอะไม่มีอะไรแล้ว เพราะพี่ก็วัดตัวแกไปแล้วพี่จะได้ส่งให้ฝ่ายคอสตูม ว่าแต่ปีนี้ตรีมอะไรนะ” พี่น้ำตาลคุยกับผมเสร็จก็หันไปถามพี่โบว์ที่กำลังเก็บของอยู่

“ได้ยินพี่อาร์บอกว่าตรีมเทพเจ้ากรีกนะคะ” พี่โบว์ตอบพลางคิดให้แน่ใจ

“อ่อแล้วชุดล่ะจะส่งมาให้ฟิตติ้งวันไหนอีกสามวันก็ถ่ายแล้วนี่” พี่น้ำตาลถามอย่างจริงจัง

“เขาบอกว่าอีกสองวันนะคะจะส่งมาให้พี่เลี้ยง แล้วให้เราลองแต่งหน้าปรับลุคน้องดู” พี่โบว์ลุกขึ้นมาคุยอย่างจริงจังบ้าง

“ก็ดีแล้วชุดนิสิตล่ะจะถ่ายวันเดียวกันป่ะ” พี่น้ำตาลถามต่อทำให้ทั้งสองคนตอนนี้หันหน้ามาคุยกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะสักที

“ชุดนิสิตได้ยินว่าถ่ายวันเดียวกันนะคะ เป็นชุดนิสิตตอนเช้าแล้วก็ชุดคอนเซ็ปตอนบ่าย” พี่โบว์บอกทำให้พี่น้ำตาลพยักหน้าอย่างเข้าใจ

“อือ งั้นอีกสองวันเรามีนัดฟิตติ้งชุดกันนะนิวเยียร์” พี่น้ำตาลบอกเมื่อเห็นว่าผมยังไม่ได้ไปไหนถึงแม้ว่าพี่เขาจะอนุญาตแล้ว

“เอ่อ...โทษนะครับชุดอะไรเหรอครับ แล้วทำไมผมต้องมาลองชุดด้วย” ผมถามเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าทั้งสองคุยเรื่องอะไรกันอยู่

“เอา ก็เราเป็นเดือนสาขาก็ต้องมาลองชุดใส่ถ่ายแบบโปรโมทดาวเดือนน่ะสิถามได้” พี่น้ำตาลตอบเสียงเรียบอย่างไม่ถือสา

“อ่อผมได้เป็นเดือนสาขานี่เอง ฮ่ะ! ว่าไงนะครับผมได้เป็นเดือนสาขางั้นเหรอ” ผมร้องขึ้นเสียงดังจนพี่น้ำตาลกับพี่โบว์ต้องเอามือมาปิดหูเอาไว้

“อย่าบอกนะว่าเราไม่ได้ฟังที่พี่บอกว่าเราได้เป็นเดือนสาขาน่ะ งั้นก็แปลว่าที่พี่พูดกับเราทั้งหมดไม่ได้พังเลยเหรอ” พี่น้ำตาลถามอย่างกลัดกลุ้มพลางทำท่าจะเป็นลม

ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนให้เขาโดยไม่ได้มีคำตอบใดแต่ว่าในใจกลับกลัดกลุ้มไม่แพ้กัน ทำไมกันนะทำไมถึงต้องเป็นผม คิดมาแล้วผมก็เริ่มจะคลื่นไส้ขึ้นมาอีกแล้วที่รู้ตัวว่าเองต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าฝูงชนทั้งยังเป็นการแข่งขันไปในตัวอีกผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจะเอาตัวรอดไปได้อย่างไร มันไม่ต่างอะไรจากการเอาลาแก่ๆ มายืนบนเวทีชัดๆ เพราะผมคงทำอะไรให้เกิดความบันเทิงใจไม่ได้นอกจากยืนโง่ๆ อยู่บนเวทีเท่านั้น

“เดี๋ยวก่อนนะครับพี่น้ำตาลผมว่าต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ๆ คือผมไม่มีทางจะเป็นเดือนได้เลย...” ผมบอกออกไปตามความจริงจากมุมมองของคนที่รู้จักตัวเองมานานมากกว่าทุกคนในห้องนี้

“ไม่ผิดหรอกพี่อาร์เคาะแล้วไม่มีผิดแน่นอน” พี่น้ำตาลบอกอย่างหนักแน่นนั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกเปราะบางจนจะเป็นลมซะให้ได้ “นั่นไงพี่ว่าเราไม่สบายจริงๆ แหละเรารีบกลับเถอะหรือจะให้พี่พาไปส่ง” พี่น้ำตาลถามอย่างห่วงๆ พลางลืมเรื่องที่ผมติงไปแล้วว่าผมไม่มีทางเป็นเดือนได้

อยากจะบ้าตาย!

“ครับ” ผมตอบอย่างจำยอมต่อโชคชะตาเพราะรู้สึกว่าเถียงต่อคงไม่ได้เพราะรู้สึกเหนื่อยเต็มทนแล้วอีกอย่างในเมื่อพวกเขาเลือกผมแล้วแปลว่าพวกเขาไว้ใจผม ผมไม่อยากทำให้พวกเขาผิดหวังแม้ว่าผมจะไม่ได้อยากทำก็ตามยังไงการที่ทำให้คนรักก็ดีกว่าการทำให้คนเกลียดอยู่แล้ว

ผมยกมือไว้คนทั้งสองพลางเอ่ยปากลาแล้วจึงรีบเดินไปที่ประตูแต่ทันใดนั้นก็มีใครเปิดพรวดเข้ามาจนเขาแทบจะชนเข้ากับผมแต่ก็หยุดไว้ทัน

“เอ่าใบพัดมาช้าจัง” พี่น้ำตาลทักอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีอะไรแล้วล่ะพอดีพวกพี่วัดตัวนิวเยียร์เสร็จแล้วเรากลับไปเลยก็ได้” พี่น้ำตาลบอกอย่างใจดี

“อ่อ งั้นดีเลยครับพอดีผมมีอะไรอยากจะเทรนด์ให้นิวเยียร์สักหน่อยงั้นผมขอตัวนะครับ” ว่าแล้วใบพัดคว้าเข้าที่ข้อมือผมพลางออกแรงดึงโดยที่ไม่ได้สนใจคนอื่นในห้องเลยราวกับไม่ได้ตั้งใจจะมาช่วยอะไรตั้งแต่แรกอย่างไงอย่างงั้น

ใบพัดฉุดกระชากลากถูผมออกมาได้ไม่ไกลก็ปล่อยมือผมออก พลางหันมามองหน้าผมราวกับเสียใจที่ทำอะไรโดยพลการแบบนี้ลงไป ผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะรู้ไหมว่าผมรู้สึกกลัวกับการกระทำของเขามากแค่ไหน

“ขอโทษ” ใบพัดบอกออกมาทั้งที่ไม่ได้มองหน้าผม

“มีอะไร” ผมถามเขาอย่างไม่ไว้ใจ

“เปล่าแค่อยากจะคุยด้วย” ใบพัดตอบราวกับสิ่งที่เขาจะพูดไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ท่าทางของเขาดูลุกลี้ลุกลนเต็มที

“เรื่องอะไร” ผมถามเขาเพราะไม่รู้ว่าผมกับเขามีเรื่องต้องคุยอะไรกัน

“โถ่อ๊อกกี้ ก็กระเป๋าของนายไง เป็นไปได้ยังไงกันที่คนเก็บได้กระตือรือร้นมากกว่าเจ้าของเนี่ย” ใบพัดดึงสติของผมให้กลับมาจำได้เพราะตั้งแต่เห็นเขาพุ่งเข้ามาในห้องผมก็คิดแต่จะหนีเลยลืมที่จะคิดถึงเรื่องกระเป๋าไปเลย แต่สรรพนามที่เขาใช้เรียกผมนี่สิมันกลับแสลงหูจนเกินทน

“อย่าเรียกเราแบบนั้นนะ” ผมพูดออกไปเสียงเขียวแม้สำหรับใบพัดจะไม่ต่างจากลูกแมวขู่ก็ตาม

“ถ้าไม่ให้เรียกอ๊อกกี้จะให้เรียกว่าอะไร นว เหรอ” ใบพัดพูดเสร็จผมก็รีบเอามือไปปิดปากเขาไว้อย่างลืมตัวจนไม่รู้ตัวว่าตอนนี้กำลังผลักใบพัดเข้าชิดกำแพงแล้วเอามือปิดปากเขาในท่าเขย่งเท้าอยู่ ทำให้ผมสบตากับใบพัดเข้าอย่างจังก่อนที่ผมจะรู้สึกตัวแล้วรีบผละออก แต่ไอ้โจทก์ตัวดีของผมกลับไม่ยอมปล่อยผมง่ายๆเพราะเขากลับเอามือมาโอบเอวผมไว้ทำให้เราสัมผัสกันแนบแน่นจนผมรู้สึกว่ามันล่อแหลมเต็มทน ผมรู้สึกราวกับมีคนเอาไฟมาสุมไปทั่วใบหน้า ความร้อนค่อยๆ ไล่ลงมาตั้งแต่ใบหูตลอดคอทำให้ผมรีบใช้มือผลักใบพัดออกด้วยแรงทั้งหมดที่มีทันที

“โอ้ย!” คนเจ้าเล่ห์ร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดแต่มันกับเหมือนเสียงของสัตว์ร้ายสำหรับผม

ดีเจ็บซะบ้างก็ดีจะได้รู้ว่าเวลาทำคนอื่นเขาเจ็บยังไง ความสะใจยังไม่ทันหายก็ถูกแทนที่ด้วยความกลัวทันทีเมื่อใบพัดหันหน้าขึ้นมามองผมอย่างเอาเรื่อง นี่ผมจะโดนฉีดน้ำใส่อีกมั้ยนะ

“บ้าเอ้ยผลักมาได้” เขาสบถออกมาราวกับไม่จริงจังนักแต่สำหรับผมมันกลับน่ากลัวเอาซะมากๆ แม้จะรู้สึกว่าสมน้ำหน้าแต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่ควรทำอะไรแบบนี้ลงไปเลย

“ไหนว่าจะคุยเรื่องกระเป๋าไงเอามาสิ” ผมรีบเบี่ยงประเด็นทันทีเพราะไม่อยากให้ใบพัดคิดเรื่องที่ผมทำร้ายเขานานนัก

“จะพูดตรงนี้จริงดิแถวนี้คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะจะตายไม่กลัวคนมาได้ยินเหรอ” ใบพัดถามราวกับไม่ได้โกรธอะไรผมมากนักเพราะเขายังส่งหน้ายียวนปนเจ้าเลห์มาให้ผมได้อยู่ ทำใหผมมองหน้าเขาอย่างไม่ไว้ใจแต่ก็อดที่จะคล้อยตามไม่ได้ “งั้นเอางี้ไปคุยกันในรถชั้นมั้ย”

“ไม่!” ผมตอบเสียงเฉียบด้วยความมั่นใจ

“งั้นก็ได้คุยตรงนี้ก็ได้ฉันก็ไม่ติดเหมือนกัน” ใบพัดพูดอย่างไม่ยี่หระพลางพูดต่ออย่างเร็วๆ “เรื่องหน้าเก่า...”

“เออ!” ผมรีบตัดบทของเขาทันทีแล้วเขาก็พูดเสียงดังมากทำให้ผมประหม่าแล้วกลัวว่าจะมีคนมาได้ยินสิ่งที่เราคุยกันเข้า

“เออ อะไรเหรอครับ” ใบพัดถามอย่างพาซื่อก่อนจะส่งสายตาใสแป๋วมาให้ผม

“เออ กะ ก็ไปรถสิ” ผมตอบอย่างอายๆ เพราะสุดท้ายก็ต้องแพ้ให้ใบพัดทุกที

เมื่อมาถึงรถของใบพัดเขาก็เปิดประตูให้ผมทันทีราวกับกลัวผมจะไปจับประตูรถเขาทำให้เปื้อนอย่างไงอย่างงั้นก่อนที่จะปิดให้แล้วรีบวิ่งไปฝั่งคนขับ

เมื่อใบพัดขึ้นมาบนรถบรรยากาศในรถก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปทันทีจากที่อึดอัดอยู่แล้วกลับทำให้ผมอึดอัดเข้าไปอีกนอกจากอยู่ในถิ่นของศัตรูแล้วยังอยู่สองต่อสองอีก นี่ผมเลือกอะไรได้บ้างเนี่ย แต่อีกคนที่นั่งอยู่ข้างผมนี่สิกลับนั่งยิ้มหน้าระรื่นราวกับเห็นหน้าบูดๆ ของผมเป็นใบหน้าของตัวตลก

“มีอะไรก็รีบพูดมาสิ” ผมรีบเข้าประเด็นเพราะอากาศในนี้เริ่มจะเป็นมลพิษจากใบหน้าของคนข้างๆ

“ทำไมถึงได้ใจดำอย่างนี้นะ นี่ฉันเป็นเพื่อนสมัยเรียนของนายนะไม่คิดจะดีใจที่ได้เจอหรือถามสารทุกข์สุกดิบอะไรกันก่อนหรือไง เฮ้อ...คนเราทำไมถึงได้แล้งน้ำใจอย่างนี้น้า” ใบพัดพูดออกมาราวกับผมเป็นคนใจไม้ไส้ระกำที่ไม่มีเยื่อใยต่อคนรอบข้างโดยที่ไม่คิดเลยว่าเขาทำอะไรกับผมไว้บ้าง ผมว่าสิ่งที่ผมควรถามเขาหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานไม่ใช่คำว่า ‘เป็นไงสบายดีมั้ย’ หรือ ‘ที่ผ่านมาเป็นไงบ้าง’ สิ่งเดียวที่ผมอยากจะถามเขาที่สุดหลังจากที่เจอกันครั้งล่าสุดคือ ‘ทำไมมันยังไม่ตายวะ’ ซะมากกว่า

“ก็เราเห็นแกสบายดีเลยไม่ได้ถาม” ผมเลือกใช้คำสุภาพแก้ตัวไปแทนคำว่า ‘ไม่ถามคำว่าทำไมยังไม่ตายก็บุญของแกแล้ว’ “รีบเข้าเรื่องเถอะ”

“ก็ได้” ใบพัดไม่ได้ลีลาอีกต่อไป

“จะเอาเท่าไหร่” ผมถามเข้าเป้าทันที

“เฮ้อ...ทำไมชอบคิดว่าฉันร้อนเงินอยู่เรื่อยเลยนะ” ใบพัดบ่นออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

“แล้วจะเอาอะไร” ผมถามอย่างยอมให้คนตรงหน้า

“ได้ทุกอย่างมั้ยล่ะ” ใบพัดถามพลางส่งสายตากะลิ้มกะเหลี่ยมาให้ผมจนผมอดที่จะขนลุกด้วยความสยองไม่ได้ นี้เขาจะให้ผมขายอวัยวะให้มั้ยนะ เช่นไตอะไรพวกนี้

“ก็บอกมาก่อน” ผมบอกเพื่อดักทางคนเจ้าเล่ห์

“ได้ งั้นต่อไปนี้ไปกินข้าวด้วยกันทุกวัน” ใบพัดพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

นั่นไงว่าแล้วไอ้หมอนี่หลอกแดกฟรีชัวร์

“เอาแค่เงินไปได้มั้ยไม่ต้องไปนั่งด้วยกันหรอกอึดอัดซะเปล่าๆ” ผมยื่นข้อเสนอแทนคำตอบว่า ‘ไม่มีทาง’

“สองไปปลดบล็อกฉันซะแล้วห้ามบล็อกอีกเด็ดขาด” ใบพัดพูดราวกับไม่ได้ยินคำค้านของผมแต่ในสิ่งที่พูดออกมากลับใส่อารมณ์เป็นพิเศษราวกับไม่พอใจเรื่องนี้อย่างมากทำให้ผมอดจะยิ้มแห้งและขาสั่นไม่ได้ “สุดท้ายห้ามกลัวฉันแล้วเวลาโดนแกล้งอะไรไปก็รู้จักสู้บ้างไม่ใช้ยอมไปทุกอย่าง” ใบพัดบอกอย่างจริงจัง

“ฮ่ะ! ให้เราเนี่ยนะสู้แก” ผมถามอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “แกกล้าสาบานมั้ยล่ะว่าจะไม่ทำร้ายเรากลับ”

“ฉันไม่มีวันทำร้ายนาย” ใบพัดพูดเสียงหนักแน่นราวกับว่าคำพูดนั้นเชื่อถือได้จริงๆ จนผมแอบหวั่นใจ

“เพื่ออะไร” ผมถามในสิ่งที่ผมสงสัยออกไปเพราะข้อสุดท้ายไม่เหมือนกับสองข้อแรกที่เขาขอเพราะสองข้อแรกจะทำให้เขาได้กินข้าวฟรีแล้วโขกสับผมได้ตลอดเวลาแต่ข้อสุดท้ายเนี่ยมันดูแปลกๆ เขาคิดว่าอะไรจากข้อสุดท้ายงั้นเหรอ...

“โอกาสไง” ใบพัดตอบพลางมองเข้ามาในตาผมอย่างที่ไม่คิดจะละสายตา จนทำให้ผมนิ่งกับคำตอบของเขา ผมฟังไม่ผิดใช่มั้ยโอกาส โอกาสงั้นเหรอ โอกาสของอะไรล่ะ...



















หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 11 ข้อตกลง (ขอร่วมประนามการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม)
เริ่มหัวข้อโดย: Nattie69 ที่ 14-02-2021 20:05:17
 :-[ :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 11 ข้อตกลง (ขอร่วมประณามการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม)
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 14-02-2021 21:51:43
เศร้า
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ Chapter 11 ข้อตกลง (ขอร่วมประณามการใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม)
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 14-02-2021 21:58:51
ไร เป็นกำลังใจนะ ประชาธิปไตยจะเบ่งบาน ทุกคนต้องเท่ากัน
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ แจ้งนักอ่าน
เริ่มหัวข้อโดย: Do_Maht ที่ 15-02-2021 01:37:58
สามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของนิยายเรื่องนี้ได้ที่
https://www.facebook.com/CloverLeafWriter หรือ https://twitter.com/cloverl62246410
นะคะเพราะไรท์อาจจะไม่ได้ลงนิยายที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ตามอ่านเรื่องนี้มาตลอดนะคะ
ไรท์จะเก็บทุกๆcomment ไว้เป็นกำลังใจค่ะขอบคุณทุกคนนะคะแล้วหวังว่าจะได่พบกันใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ปณิธาณปีใหม่ แจ้งนักอ่าน สำคัญมากสำหรับนักอ่านที่ตามอ่านเรื่องนี้
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-02-2021 23:22:53
 :katai2-1: