ตอนที่ ๘
ราตรีสวัสดิ์ มิราเคิล
วันที่ 18 เมษายนเป็นวันที่ผู้สร้างมิราเคิลจากไป อลันถือถังน้ำเข้ามาทำความสะอาดสุสานของคุณปู่ เขาพนมมือไหว้แล้วรับดอกไม้จากมิราเคิลมาวางหน้าหลุมศพ
“คุณปู่เป็นคนเดียวที่คอยดูแลฉันตั้งแต่ยังเด็ก” ลูบแผ่นป้ายหลุมศพตรงหน้า ยิ้มแฝงความเศร้าไว้ในนัยน์ตา “คุณปู่เป็นนักประดิษฐ์ที่ทั้งชีวิตเป็นแค่ชนชั้นกลาง แม้จะแก่แล้วก็ไม่เคยย่อท้อขยันสร้างของเล่นสนุกๆ มาให้ฉันเล่นเสมอ ท่านเป็นคนใจดีคอยเอาใจใส่ฉันตลอด ฉันรักท่านมาก เผลอๆ อาจจะมากกว่าพ่อแม่แท้ๆ ด้วยซ้ำ”
มิราเคิลยืนฟังเงียบๆ อยู่ด้านหลัง แผ่นหลังเล็กยามนี้งุ้มลงดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา สักพักจึงกลับมาตั้งตรงอีกครั้งเมื่อเด็กชายยันกายขึ้น
“ท่านจากไปด้วยโรคหัวใจในวัยเจ็ดสิบแปดปี สิ่งประดิษฐ์ชิ้นสุดท้ายที่ท่านเหลือไว้ให้คือนาย มิราเคิล” หันกลับไปส่งยิ้มให้หุ่นยนต์ด้านหลังบางเบาแล้วเดินไปโอบกอดไว้ มิราเคิลกอดตอบ ลูบหลังอีกฝ่ายราวต้องการปลอบประโลม “ต้องขอบคุณคุณปู่มากจริงๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ฉันได้พบกับนาย”
จบประโยคอลันเงยหน้าขึ้นสบตามิราเคิลด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ทั้งที่ในร่างนี้ไม่น่าจะมีหัวใจ แต่มิราเคิลกลับรู้สึกกระตุกวูบในอก ความรวดร้าวแสนหอมหวานแผ่ซ่านไปทั่วร่าง
เขาเองก็ตัวคนเดียวโดดเดี่ยวมาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยรู้จักคำว่าครอบครัว จึงมักชอบเที่ยวกับเพื่อนฝูงเพื่อคลายความเหงาในใจ บัดนี้สิ่งขาดหายคือร่างกายที่มีประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่สิ่งที่ได้รับทดแทนมาคือความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จักในชาติภพก่อน บางทีครอบครัวอาจเป็นอะไรแบบนี้ก็ได้
ในทุกวันที่ได้อยู่กับอลันเขามีความสุขมากจริงๆ การได้กลายเป็นที่ต้องการ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของคนคนหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่า หัวใจชืดชาเริ่มอบอุ่น
ต่อให้ตนเองไม่ใช่มิราเคิลอันแสนสำคัญของเด็กคนนี้ ไม่ใช่ครอบครัวของเด็กคนนี้ แล้วอย่างไร ในเมื่อตอนนี้มิราเคิลคือเขา และเขากลายเป็นสิ่งที่เด็กคนนี้คิดว่าเป็นครอบครัว เขาจะขอเห็นแก่ตัว โยนความรู้สึกผิดทั้งหลายนั้นทิ้ง แล้วใช้ชีวิตอยู่กับเด็กคนนี้ในฐานะมิราเคิลจนกว่าจะถึงวันที่ชะตากำหนดให้พวกเขาต้องพรากจากกัน
เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด หลังจากเคารพสุสานเสร็จหนึ่งคนหนึ่งหุ่นพากันจับจูงมือเดินท่องเที่ยวไปตามร้านรวงต่างๆ อลันลากเขาเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ไปทั่ว ส่วนใหญ่จะเป็นร้านหนังสือและของจุกจิกต่างๆ อุปกรณ์ซ่อมประกอบของและอะไหล่เครื่องกล ระหว่างทางแม้ในความทรงจำของมิราเคิลตัวก่อนจะมีภาพพวกนี้ให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่พอมาเห็นกับตาตัวเองกลับชวนให้ตกตะลึง
เขาสงสัยมากว่าทำไมประตูเลื่อนถึงเปิดเองได้โดยไม่มีคนบังคับ เขาสงสัยว่าทำไมเพียงแค่หยอดเงินหุ่นยนต์ทำไอศกรีมถึงเคลื่อนไหวทำไอศกรีมเองได้ถูกทุกขั้นตอน และเขายังสงสัย...
มีเรื่องสงสัยมากมายที่เขาถามอลันออกไป และคนตัวเล็กก็ตอบกลับมาทุกครั้ง บางเรื่องพอเข้าใจบ้าง บางเรื่องไม่เข้าใจจนต้องฟังผ่านเลยไปบ้าง อลันที่หันมาเห็นท่าทางงงงวยของเขาทุกครั้งจะหัวเราะแล้วบอกว่า
“ความรู้เบื้องลึกมันไม่จำเป็นกับชีวิตนาย ไม่ต้องสนใจก็ได้ สิ่งของพวกนี้มีให้รู้ว่าใช้ยังไงก็เพียงพอ เหมือนโทรศัพท์มือถือในมือฉันนั่นแหละ มันโทรออกได้ยังไง เล่นเกมกับคนอื่นได้ยังไง ถ้าอธิบายตามประสาคนทั่วไปก็เพราะมันเชื่อมต่อกับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ถ้าอธิบายลึกลงไปพูดทั้งวันก็ไม่จบ ถึงพูดจบคนทั่วไปก็ยากจะเข้าใจอยู่ดี”
มิราเคิลพยักหน้า ตอนนี้ในมือสองข้างเต็มไปด้วยถุงช็อปปิ้งมากมายที่อลันเป็นคนซื้อ โดยที่คนตัวเล็กเดินตัวปลิวสบายไม่ถืออะไรสักอย่าง ถ้าหากเขามีร่างกายเป็นมนุษย์ ของจำนวนมากมายขนาดนี้ต่อให้แข็งแรงกำยำแต่เก่าก่อนคงถือไม่ไหว
แค่หนังสือเล่มหนาสามสิบเล่ม ด้วยกำลังของมนุษย์ผู้ชายก็ถือว่าหนักเอาการแล้ว ไม่ต้องพูดเลยว่านอกจากหนังสือแล้วยังมีอะไรอยู่ในมือเขาตอนนี้อีกบ้าง
“มิราเคิล รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา” บอกเสร็จก็วิ่งเข้าร้านเครื่องประดับไป น่าแปลกที่อลันสนใจของแบบนี้ด้วย ปกติอลันเป็นคนไม่ชอบสวมเครื่องประดับ นาฬิกาข้อมือเรือนเดียวยังใส่แล้วรำคาญ หากคิดอีกแง่บางทีอาจจะซื้อไปเป็นของขวัญให้ใครสักคนก็ได้ เช่นพี่สาวทั้งหลายที่ขยันซื้อขนมมาแจกอลันเป็นต้น หรือไม่ก็อาจซื้อเป็นของแทนใจให้ใครสักคน...
คิดมาถึงตรงนี้กลับกลายเป็นความไม่สบายใจไปเสียอย่างนั้น
อลันยังเด็กยังไม่สมควรมีความรักแบบหนุ่มสาว
อลันแสนไร้เดียงสาแต่มีฐานะดีจะไปถูกใครที่ไหนหลอกเอาหรือเปล่า
อลัน... อลัน... จะมีคนสำคัญคนอื่นนอกจากเขา
ความไม่พอใจพุ่งสูง พอรู้สึกตัวมิราเคิลถึงกับตกใจตัวเอง เขาสะบัดหัวเรียกสติ อาจเป็นเพราะชาติก่อนไม่เคยได้รับความสำคัญมากมายอะไรจากใครขนาดนี้ พอได้รับกลับกลายเป็นเสพติด เสพติดจนกลายเป็นความเห็นแก่ตัว
เขาต้องมองความจริงมากกว่าโลกเพ้อฝันของตัวเอง อลันยังต้องเติบโตและเจอผู้คนอีกมาก มีใครหลายคนเข้ามาในชีวิตกลายเป็นคนสำคัญของอลัน คนเราไม่สามารถอยู่ในโลกนี้เพียงลำพังได้หรอก
“อะไรกัน ฉันมาก่อนนะ ทำไมถึงตกลงขายให้เด็กนี่ได้ล่ะ!”
เกิดเสียงโวยวายขึ้นในร้าน มิราเคิลละจากห้วงความคิดเงยหน้ามองไปยังต้นเสียง พบชายวัยกลางคนคนหนึ่งโต้เถียงกับพนักงานภายในร้านและกำลังชี้มือไปทางอลัน ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเด็กน้อยของเขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายนี้แน่นอน
“อลัน เกิดอะไรขึ้นครับ” เดินเข้าร้านไปแตะบ่าคนตัวเล็ก สลับมองระหว่างคู่กรณีและอลัน
อลันจับมือหุ่นยนต์แน่น ขมวดคิ้วทำหน้าตาขึงขัง
“ถึงนายจะมาก่อน แต่คนที่ตกลงซื้อก่อนมันฉันนะ”
“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันบอกพนักงานแล้วนะว่าจะเอาเส้นนี้ พนักงานก็ตกปากรับคำเรียบร้อยแล้ว แต่จู่ๆ ก็มีเด็กอย่างนายไม่รู้มาจากที่ไหนเดินพรวดเข้ามาชี้จะเอาสร้อยเส้นที่ฉันเลือก แล้วยื่นบัตรจ่ายเงินให้พนักงานตัดหน้าฉันซะงั้น พอท้วงพนักงานก็ดันปฏิเสธราวกับว่าเรื่องที่ฉันตกลงซื้อขายกับเธอก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้น!”
ผู้คนภายในร้านต่างเหลือบมองมาทางนี้ด้วยความสนอกสนใจ พนักงานภายในร้านเองก็พยายามเข้ามาพูดช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์
“ขอโทษนะคะ แต่...ไม่ว่ายังไงก็ตามทางเราต้องให้สิทธิ์ชนชั้นสูงก่อน” พนักงานที่เป็นคนรับบัตรของอลันเป็นฝ่ายพูดขึ้น
“ชนชั้นสูง?” ชายคู่กรณีมองอลันด้วยความไม่เชื่อถือ “เด็กนี่เนี่ยนะ อย่าล้อเล่นน่ะ”
“เป็นความจริงค่ะ” พนักงานที่เหลือโดยรอบต่างพยักหน้ายืนยัน
ชายคู่กรณีได้แต่กัดฟันกำมือแน่น หันหลังเดินจากไป แต่ติดที่ว่ามีเสียงโมโนโทนเรียกรั้งไว้ซะก่อนทำให้ต้องหันกลับมาอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อนครับ ทางเราเปลี่ยนใจไม่เอาสร้อยเส้นนี้แล้ว เชิญคุณซื้อไปเถอะครับ”
“มิราเคิล!” อลันแหวใส่ กระตุกมือหุ่นยนต์ถี่ยิก จนมิราเคิลต้องลูบหัวคนตัวเล็กกว่าให้สงบลง
“ที่นี่ยังมีสร้อยสวยๆ อีกตั้งเยอะ เราไปเลือกอันใหม่กันดีกว่านะ”
“แต่เส้นนั้นมันเหมาะกับนายนี่” อลันอมลมแก้มป่อง หยิบมือแข็งเย็นบนหัวออกมาแกว่งไกว
ได้ยินดังนั้นหัวใจคุณลุงในร่างหุ่นยนต์รู้สึกพองโต ที่จริงแล้วอลันไม่ได้จะซื้อของให้คนอื่นแต่เป็นเขาหรอกเหรอ แต่พอหันมองเจ้าสิ่งของตัวปัญหา หัวใจพองโตในคราแรกพลันหดแฟบลงทันที
ของสิ่งนั้นเป็นสร้อยคอผ้าสีดำเส้นหนา ด้านข้างประดับกุหลาบสีแดงสดงดงาม มีเส้นสายสีเงินห้อยระย้าลงมาสองเส้น สุดปลายมีตุ้มสีแดงคล้ายเม็ดทับทิมติดอยู่ ดูยังไงก็เป็นเครื่องประดับของผู้หญิงชัดๆ ดีแล้วที่ตัดสินใจยกให้คนอื่นไป
“นั่นมันออกจะ...ไม่สวยเท่าไหร่” ได้ทีรีบบอกปัดก่อนเจ้าสิ่งนั้นจะได้มาอยู่บนคอตนจริงๆ
“งั้นเหรอ” อลันก้มหน้าลงคล้ายซึมเศร้า สักพักก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มเบิกบาน แกว่งแขนหุ่นยนต์ในมือไปมา “ถ้านายไม่ชอบงั้นฉันก็ไม่เอาแล้ว ไปดูอันอื่นกันเถอะ”
ขณะที่อลันกำลังลากมิราเคิลไปดูเครื่องประดับอันอื่น เสียงของคู่กรณีได้ดังขึ้นเรียกรั้งไว้
“เอ่อ ขอบคุณนะครับ” เขาก้มหัวขอบคุณอลัน
“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ขอบคุณมิราเคิลเถอะ”
แม้จะงงงวยแต่ชายคู่กรณีก็หันไปโค้งตัวลงอีกรอบให้หุ่นยนต์
“ครับ ยังไงก็ขอบคุณมากครับ สร้อยเส้นนี้เป็นเส้นที่ลูกสาวผมอยากได้มานานแล้ว แต่เพราะผมตั้งเงื่อนไขว่าถ้าสอบติดมหา’ลัย S ได้ถึงจะซื้อให้ ตอนนี้ลูกของผมสอบติดแล้ว ถ้าไม่มีของรางวัลตามที่ตกลงไปให้ ลูกคงน้อยใจผมแย่เลย”
ลับหลังชายคู่กรณีจากไป มิราเคิลก็เปรยขึ้นเบาๆ “ดูสุภาพขึ้นทันตาเห็นเลย”
“เรื่องปกติน่ะ ตอนนี้นอกจากฉันจะมีฐานะเป็นชนชั้นสูงที่ใครหลายคนต้องให้เกียรติแล้ว ยังถือเป็นผู้มีพระคุณที่สละสร้อยเส้นนั้นให้ด้วยไง ถ้าวันนี้ชายคนนั้นไม่สามารถหาซื้อสร้อยแบบเดียวกันนี้ให้ได้ มีหวังโดนลูกสาวที่บ้านงอนตุ๊บป่องแน่”
“แต่อลันก็นิสัยไม่ดีเลยนะครับ ไปซื้อของตัดหน้าคนอื่นเขาแบบนั้น” มิราเคิลเอ่ยตำหนิ
“ใครจะไปรู้ล่ะ พอเดินเข้าไปเห็นมันสวยดีเลยหยิบบัตรจ่ายเงินเลย ใครใช้ให้ตาลุงนั่นชักช้าเองเล่า” อลันพองแก้มอมลม ปล่อยมือมิราเคิลแล้วหันหลังเดินหนีไปดูเครื่องประดับโซนอื่นด้วยความแง่งอน
มิราเคิลผู้ทำเด็กตัวน้อยงอนยิ้มอ่อนในใจ แล้วเดินตามหลังนายตัวน้อยไป
หลังซื้อของเสร็จออกมาจากร้านขายเครื่องประดับมิราเคิลก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ว่าแต่พนักงานในร้านรู้ได้ยังไงกันครับว่าอลันเป็นชนชั้นสูง”
“ตั้งแต่เกิดเด็กทุกคนจะถูกฝังชิปลงในตัว ในชิปนั้นจะคอยระบุและอัปเดตข้อมูลประวัติของเจ้าของร่างรวมถึงระบุชนชั้นเอาไว้ อีกทั้งยังบอกตำแหน่งปัจจุบันของผู้ที่มีชิปอันนั้นๆ ฝังอยู่ด้วย ร้านเครื่องประดับร้านนี้เป็นร้านใหญ่ ส่วนใหญ่ร้านพวกนี้จะมีระบบเซนเซอร์ตรวจจับและดึงข้อมูลในส่วนของระบบชนชั้นออกมา หากพบว่าเป็นชนชั้นสูงจะถูกแจ้งเตือนไปที่นาฬิกาข้อมือของพนักงานทุกคนในร้าน เพื่อให้สามารถบริการเหล่าชนชั้นสูงได้ดีมีระดับมากยิ่งขึ้น”
“ชนชั้นสูงนี่มีสิทธิ์มากกว่าคนทั่วไปสินะครับ”
“ใช่ อย่างกรณีเมื่อกี้ ถ้าหากฉันดึงดันจะเอาสร้อยเส้นนั้นให้ได้ยังไงชายคนนั้นก็ไม่มีสิทธิ์ได้ไป แต่ถ้าฉันมีฐานะเป็นชนชั้นสามัญแน่นอนว่าสร้อยเส้นนั้นย่อมต้องตกเป็นของชายคนนั้นเพราะตกลงซื้อขายก่อน แต่ถ้าสมมติว่าฉันเป็นชนชั้นต่ำ ต่อให้ฉันจะมาก่อนหรือมาหลัง หากชายคนนั้นต้องการสร้อยเส้นนั้น ยังไงฉันก็ไม่มีสิทธิ์ได้มันไป”
ฟังดูเป็นระบบชนชั้นที่ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย
“แล้วแบบนี้เวลาเราจะไปไหนมาไหนก็ถูกรู้หมดน่ะสิ ไม่มีความเป็นส่วนตัวเอาซะเลย”
อลันหัวเราะเล็กน้อยก่อนเอ่ย “สังคมนี้ส่วนใหญ่ถึงจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากกว่าความเป็นส่วนตัว แต่ถ้าหากเราไม่ได้ทำผิดร้ายแรง ใครก็ไม่มีสิทธิ์เรียกดูตำแหน่งที่อยู่ของเราง่ายๆ หรอก”
จากวันนั้นเวลาก็ผ่านไปอีกเกือบหกเดือน นาฬิกาดิจิตอลขึ้นเลขบอกวัน ...9 ตุลาคม อีกไม่กี่ชั่วโมงมันจะขยับเปลี่ยนเป็นเลขสิบ
ภายในห้อง 503 ของหอพักสามวันนี้แตกต่างไปจากทุกที มันเต็มประด้วยกระดาษสีและลูกโป่งสำหรับงานปาร์ตี้ตกแต่งอยู่ตามผนังและเพดาน วันนี้มิราเคิลไม่ได้ติดตามอลันไปเรียนด้วยดังเช่นปกติ แต่เขาขอบลูการ์ดจากอลันแล้วอ้างว่าจะออกไปซื้อของใช้เข้ามาเติมในห้อง แม้ตอนแรกอลันจะคัดค้านว่าไว้ให้ว่างแล้วค่อยไปพร้อมกัน แต่สักพักก็เงียบลงราวครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แล้วปล่อยเขาออกไปซื้อของข้างนอกคนเดียวแต่โดยดี ไม่วายเตือนเขาเรื่องไม่ให้ถูกน้ำอีก
ฉะนั้นมิราเคิลจึงมีเวลาเลือกซื้อของตกแต่งห้องสำหรับปาร์ตี้ และหาซื้อของขวัญให้กับอลันเนื่องในวันเกิดอายุครบสิบสี่ปี ถึงแม้ว่าการใช้เงินของเจ้าของวันเกิดมาซื้อของขวัญให้เจ้าตัวจะดูแปลกไปหน่อย แต่หุ่นยนต์อย่างเขามีเงินติดตัวซะที่ไหนกัน งานทำไม่ได้เงินอย่าพูดถึง ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็อาศัยอลันเอาทั้งนั้น เรียกได้ว่าเกาะเด็กกินคงไม่ผิดนัก
ถึงจะเป็นหุ่นยนต์ก็ยังมีค่าใช้จ่าย ค่าอะไหล่ซ่อมบำรุง ค่าไฟฟ้าซึ่งเป็นแหล่งพลังงาน แล้วยิ่งเป็นหุ่นยนต์รุ่นเก่าแบบเขายิ่งกินไฟมาก เพราะฉะนั้นค่าไฟฟ้าที่อลันต้องจ่ายให้หอสามแต่ละเดือนจึงสูงเป็นพิเศษ และสิ่งที่เขาพอทำตอบแทนได้คือการทำตัวเป็นบอดี้การ์ดและแม่บ้านแม่เรือน หมดคราบห้าวหาญชาญศึกในสนามรบดังเช่นในอดีต
บลูการ์ดหรือบัตรสีน้ำเงินที่มิราเคิลใช้แตกต่างจากบัตรประจำตัวประชาชนของอลันที่ต้องอาศัยลายนิ้วมือและการเข้ารหัสเข้าช่วยก่อนจ่ายเงิน แต่บลูการ์ดเพียงแค่กรอกรหัสครบหกหลักก็สามารถโอนเงินจ่ายออกไปได้แล้ว แต่ความปลอดภัยจะต่ำกว่าบัตรประจำตัว เพียงแค่รู้รหัสใครๆ ก็สามารถนำไปใช้ได้ ส่วนเจ้าของบัตรก็มีสิทธิ์เปลี่ยนรหัสผ่านได้ง่ายดายตามใจชอบเช่นกัน เพียงแค่ใช้อีเมลล็อกอินเข้าเว็บไซต์และแจ้งความประสงค์เปลี่ยนรหัสผ่านบัตรไปยังผู้ให้บริการ ถือเป็นการป้องกันเมื่อถูกผู้ไม่ประสงค์ดีรู้รหัสผ่านและนำไปใช้
วันทั้งวันมิราเคิลประดับตกแต่งห้องด้วยหัวใจเบิกบาน เค้กก้อนโตและกับข้าวมากมายถูกทำขึ้นอย่างประณีตเท่าที่มือเหล็กสามแง่งนี่จะทำได้ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเตรียมเสร็จทันพอดีในเวลาหกโมงเย็น อันเป็นเวลาที่มิราเคิลคำนวณไว้แล้วว่าอลันจะกลับมาถึง
แต่ผ่านไปจนแล้วจนรอดเวลาล่วงเลยถึงสี่ทุ่มกลับไร้เงาของมนุษย์ตัวเล็ก อาหารบนโต๊ะเย็นชืดหมดแล้ว มิราเคิลกระวนกระวายใจจนนั่งไม่ติด บางทีอาจถูกใครปองร้ายหรือไม่ก็ลักพาตัวไป เพราะเด็กคนนั้นมีใบหน้าที่น่ารักแบบนั้นนี่นา
ในจังหวะที่มิราเคิลตัดสินใจเปิดประตูออกจากห้องไปตามหาอลันนั้น ก็พบว่าประตูห้องข้างๆ ที่อยู่ห่างออกไปได้ถูกผลักออกมาในจังหวะเดียวกัน
คนที่ออกมาจากห้องนอกจากจะมีอีธานแล้วยังมีร่างของคนที่ทำให้เขาห่วงแทบตายยืนอยู่ด้วย
“อลันครับ” เผลอเรียกเสียงดังจนคนทั้งคู่หันมามองเป็นตาเดียว
“ไง เจ้าหุ่นกระป๋องทึนทึก” เป็นอีธานที่เอ่ยทัก จากนั้นจึงก้มหน้าลงไปคุยกับคนตัวเล็กอีกสองสามประโยคก่อนจะกลับเข้าห้องไป
อลันเดินตรงมาหามิราเคิลแล้วจับจูงลากเข้าห้องตัวเองไปเช่นกัน
“เลิกเรียนนานแล้วหรือครับ”
“อืม”
“ทำไมไม่แวะเข้าห้องก่อนละครับ ไม่เห็นคุณกลับมาผมเป็นห่วงนะ”
“ขอโทษ พอดีนึกว่านายอยากทำเซอร์ไพร แล้วฉันเองก็มีเรื่องด่วนที่ต้องคุยกับอีธานด้วยนิดหน่อยเลยเลือกไปหาทางนั้นก่อน แต่ไม่นึกว่ามันจะนานขนาดนี้”
เห็นท่าทางรู้สึกผิดนั้นแล้วมิราเคิลก็โกรธไม่ลง ไม่สิ ไม่เคยโกรธเด็กคนนี้ลงเลยต่างหาก มิราเคิลอุ้มอลันวางลงบนเก้าอี้พลางลูบหัว
“เซอร์ไพรของผมพังไปตั้งแต่ตอนอลันจับได้แล้วครับ”
“ถ้าจู่ๆ นายไม่ทำตัวแปลกๆ ขอเงินในวันนี้ ฉันก็เกือบลืมไปแล้วว่าเป็นวันเกิดของตัวเอง”
หลังจากเสียคุณปู่และมิราเคิลไปอลันก็ไม่เคยจัดงานวันเกิดอีกเลย มันคงกลายเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่ไม่มีอะไรพิเศษสำหรับอลัน
อลันจุดเทียนบนเค้กโดยมีมิราเคิลปิดไฟในห้องให้มืดลง เสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์สองเสียงประสานกัน ไร้เงาผู้ร่วมงานคนอื่น ความจริงมิราเคิลจะเอ่ยปากชวนอีธานมาร่วมด้วยก็ได้ แต่เพราะความเหม็นหน้าส่วนตัวที่ยึดอลันไปตลอดเย็นทำให้เขาหงุดหงิดเกินกว่าจะทำใจเอ่ยปากชวนได้
คนตัวเล็กเป่าเทียนบนเค้กสองสามทีจนดับหมด ไฟในห้องถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งเค้กและข้าวถูกคนตัวเล็กตักกินอย่างละนิดอย่างละหน่อย ที่เหลืออลันเก็บใส่ในตู้เย็นเอาไว้ให้อลันกินเป็นข้าวเช้าวันพรุ่งนี้ และเผื่อแผ่คุณผู้ดูแลหอกับเพื่อนบ้านที่ไม่ชอบหน้าห้องข้างๆ
“สุขสันต์วันเกิดอายุครบสิบสี่ปีนะครับ” กล่องของขวัญห่อด้วยลวดลายเรียบง่ายถูกยื่นส่งไปให้ อลันแกะออกอย่างไม่รอช้า ปรากฏเป็นสมุดที่มีหน้ากระดาษสีดำตลอดทั้งเล่ม และปากกาสีต่างๆ ไว้ใช้เขียนควบคู่กัน “พอดีผมเห็นโฆษณาในอินเทอร์เน็ต เขาเอาภาพถ่ายแปะลงไปแล้วเขียนความทรงจำไว้ด้านข้าง ผมเห็นว่ามันน่าสนใจแล้วก็สวยดีเลยหาซื้อมาให้ อาจจะเรียบง่ายไปนิดแต่ผมไม่รู้ว่าอลันชอบอะไรเป็นพิเศษ ขอโทษนะครับ”
อลันส่ายหัวเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ขอแค่เป็นสิ่งที่นายซื้อให้ ฉันก็ชอบทั้งนั้นแหละ หลังจากนี้สมุดเล่มนี้จะเต็มไปด้วยความทรงจำของพวกเราสองคนนะ!”
“ครับ!”
“อันที่จริงฉันเองก็มีของขวัญให้มิราเคิลเหมือนกันนะ”
“เนื่องในโอกาสอะไรครับ”
“ลืมแล้วเหรอ วันนี้เป็นวันที่ฉันได้มิราเคิลเป็นของขวัญจากคุณปู่ และยังเป็นวันที่ฉันได้พบกับนายไง”
อลันเดินไปหยิบกล่องคุ้นตาจากในห้องนอน ถ้าจำไม่ผิดกล่องนั้นเป็นของร้านขายเครื่องประดับที่อลันเคยไปซื้อกับเขาเมื่อหกเดือนก่อน เขาไม่รู้ว่าของข้างในเป็นอะไรเพราะระหว่างเดินตามหลังก็ถูกอลันสั่งให้หาที่นั่งแถวนั้นนั่งรอ
หวังว่าของข้างในจะไม่ใช่เครื่องประดับของผู้หญิงอีกหรอกนะ
และแน่นอนว่าเมื่อเปิดกล่องออกมามิราเคิลก็ต้องพบกับสร้อยคอที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เป็นของสตรี
...เห็นแล้วอยากร่ำไห้…
...ไม่ถูกใจอย่างแรง...
“มา เดี๋ยวใส่ให้นะ”
อลันหยิบสร้อยคอปีนขึ้นตักมิราเคิล เอื้อมมือไปด้านหลังคอหุ่นยนต์เพื่อสวมใส่และจัดตำแหน่งให้เรียบร้อย จากนั้นก็วิ่งดุ๊กดิ๊กผลุบหายไปในห้องนอนแล้วออกมาพร้อมกับกระจกบานเล็ก อลันปีนขึ้นนั่งตักมิราเคิลอีกครั้ง ยกกระจกขึ้นสะท้อนภาพให้เห็นสร้อยคอเด่นหราอยู่บนลำคอของมิราเคิล
ตัวสร้อยเป็นผ้าสีน้ำเงินเข้มหนา ตรงกลางประดับด้วยอัญมณีสีฟ้าเหลือบน้ำเงินกระจ่างใสดุจแก้ว มีกรอบสีเงินเป็นลวดลายล้อมรอบ ปลายกรอบสีเงินตรงกลางถูกเจาะห้อยอัญมณีรูปหยดน้ำสีฟ้าเหลือบน้ำเงินระย้าลงมา ด้านข้างสร้อยคออีกสองข้างมีอัญมณีรูปวงรีสีเดียวกันล้อมกรอบสีเงินประดับอยู่เช่นกัน
เป็นสร้อยคอที่มีความสมมาตรมาก แต่น่าเสียดายที่ของสวยงามชิ้นนี้ดันอยู่บนคอของหุ่นยนต์ก๊องแก๊งอย่างเขา ดูไปแล้วไม่ได้เหมาะกันเลยสักนิด
“ขอบคุณนะครับอลัน ผมชอบมาก” เพื่อรักษาหัวใจบริสุทธิ์ของเด็กน้อยให้คงอยู่ มิราเคิลจึงฝืนใจแสร้งชมชอบ
วันนี้อลันดูเหมือนจะขี้อ้อนเป็นพิเศษ อีกฝ่ายหันมากอดเขาและซุกลงบนหัวไหล่แข็ง
“เป็นอะไรไปครับ” มิราเคิลกอดตอบพลางลูบหลังเหมือนกำลังกล่อมเด็กเข้านอน
“นายจะไม่จากฉันไปไหนใช่มั้ย”
“เกิดอะไรขึ้นครับ มีคนทำอะไรคุณรึเปล่า”
“ตอบมาก่อนสิ”
“แน่นอนครับ ผมจะไม่ไปไหน ตราบใดที่คุณยังต้องการ”
“สัญญาลูกผู้ชายห้ามคืนคำนะ” ว่าแล้วก็ชะโงกตัวขึ้นไปจูบปากเย็นแข็งของหุ่นยนต์
มิราเคิลชะงัก ไม่ทันได้ตั้งตัว นิ้วเล็กก็สะกิดปุ่มปิดการทำงานของเครื่องยนต์ พร้อมทิ้งคำพูดสุดท้ายดังก้องไว้ในหัวก่อนสติทั้งหมดจะดับวูบไป
“ราตรีสวัสดิ์นะ มิราเคิล
---------------------------จบตอนที่ ๘