Miracle Robot ชีวิตใหม่กับการเป็นหุ่นยนต์ ตอนที่ ๒๗ อ่อยขนาดนี้ไม่สนใจกั 29/4/64
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Miracle Robot ชีวิตใหม่กับการเป็นหุ่นยนต์ ตอนที่ ๒๗ อ่อยขนาดนี้ไม่สนใจกั 29/4/64  (อ่าน 4185 ครั้ง)

ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
************************



คำโปรยเนื้อเรื่อง :

หลังจากถูกระเบิดแยกเป็นชิ้นๆ ในร่างก่อน รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ในร่างหุ่นกระป๋องซะแล้ว แถมยังถูกนายท่านจับอัปเกรดเปลี่ยนชิ้นส่วนไปถึงตับไตไส้พุง ยิ่งกว่านั้นทำไมสายตาที่เด็กนั่นมองมามันเริ่มอันตรายขึ้นทุกที

...
โลกใบเก่าเต็มไปด้วยสงคราม ส่วนโลกใบใหม่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำหน้า แบ่งแยกชัดเจนระหว่างพวกฉลาดกับพวกโง่เง่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบใหม่ดูแปลกตาสำหรับมิราเคิล แต่ลางสังหรณ์ของทหารเก่าอย่างเขาทำให้รู้สึกว่ามีเงาดำบางอย่างกำลังกล้ำกรายเข้ามาในสังคมที่ดูเหมือนจะสงบสุขแห่งนี้

 

เรื่องนี้ Pairing อลัน x มิราเคิล

อ่านแล้วอย่าเผลอลงเรือผิดนะคะ (ฮา)

 

#มิราเคิลโรบอท


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-04-2021 05:54:32 โดย myonlyone »

ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๑

ลืมตาในร่างหุ่นกระป๋อง
-ติ๊ด-

[กำลังเชื่อมต่อระบบ]

-ติ๊ด-

[เครื่องยนต์เริ่มทำงาน]

-ติ๊ด-

[ผลงานหมายเลข 45 จะเริ่มทำงานในอีก 3 วินาที]

[3…]

[2…]

เปรี๊ยะ! วูบ!

[นายท่าน ไม่ต้องกังวล กำลังเปลี่ยนระบบไปใช้ไฟสำรอง]



“...เคิล”

ใคร?

“มิ...ร...เคิล”

กำลังเรียกเขาอยู่

“มิราเคิล”

นั่นชื่อเขางั้นเหรอ?

“ได้โปรดลืมตาที”

พรึ่บ!

ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าของเด็กหนุ่มอ่อนเยาว์อายุราวสิบขวบปี ใบหน้าบิดเบ้ราวกับจะร้องไห้ แต่แล้วเมื่อเห็นเขาลืมตา น้ำตาเม็ดโตก็ไหลพรูลงมาทันที ในชั่วขณะที่สมองยังประมวลผลไม่เสร็จดี เด็กตัวเล็กตรงหน้าที่แต่เดิมกอดเขาแน่นได้เปลี่ยนมากระโดดโถมใส่ด้วยความดีใจอันเปี่ยมล้น

“มิราเคิล! มิราเคิล!”

เด็กชายพร่ำพูดคำนั้นซ้ำๆ เขาเอียงคองุนงงกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แต่แล้วเมื่อเห็นเงาสะท้อนตัวเองในกระจกก็ทำให้พูดไม่ออก

ร่างกายแข็งแกร่ง ผิวเงินเงาวับ ดูผิดมนุษย์มนาไปเสียหมด สิ่งนั้นคือเขาจริงเหรอ ถ้าจำไม่ผิดเขาจำได้ว่าตนเองตายไปแล้ว แถมยังตายแบบกระจุยกระจายเป็นชิ้นๆ หาซากไม่เจออีกต่างหาก

แล้วนี่มันเรื่องมหัศจรรย์พันลึกอะไรกัน

“จริงสิ ลืมตรวจสอบไปเลย” เด็กขี้แยตัวเล็กตรงหน้าผละออกจากตัวเขา ใช้แขนเสื้อยาวๆ ทั้งปาดทั้งเช็ดน้ำมูกน้ำตา จนเปรอะเลอะเทอะไปทั่วใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดู อดีตทหารอายุสามสิบเก้าย่างสี่สิบอย่างเขาเห็นแล้วรู้สึกใจอ่อน

จุดอ่อนอันยิ่งใหญ่ในชีวิตนี้นอกจากน้ำตาของสาวงามแล้ว ยังมีเด็กหน้าตาน่ารักที่ท่าทางบอบบางน่าทะนุถนอมอย่างเด็กตรงหน้า

ถึงสองสิ่งนี้จะเป็นจุดอ่อนของเขา แต่ไม่ต้องห่วง ชาติก่อนเขาไม่ได้ตายเพราะสิ่งเหล่านี้แน่นอน

“มิราเคิล จำฉันได้ไหม ฉันเป็นนายท่านของนาย”

“นายท่าน?” อดีตทหารหนุ่มอยากขมวดคิ้ว แต่ติดตรงที่ว่าเจ้าหุ่นกระป๋องร่างปัจจุบันไม่มีคิ้วให้ขมวด

“จำไม่ได้...เหรอ?”

เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของเด็กชายตัวน้อย ชายที่ใกล้จะหลุดพ้นช่วงวัยฉกรรจ์ก็เริ่มลนลาน เขาพยายามนึกถึงความทรงจำในร่างปัจจุบันแม้คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม แต่ใครจะรู้เล่าว่าการกระทำนั้นกลับประสบผลสำเร็จ ความรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังดึงข้อมูลมากมายออกมาจากอุปกรณ์บางอย่างชวนให้ทึ่ง ข้อมูลทุกอย่างถูกประมวลผลรวดเร็วส่งตรงสู่สมอง สุดท้ายอดีตทหารหนุ่มก็ได้รู้ว่าโลกแห่งนี้กับโลกที่จากมาช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ในโลกเดิมของเขาเต็มไปด้วยสงครามทุกหย่อมหญ้า ความขัดแย้งจากการแย่งชิงทรัพยากร อำนาจ ความไม่ลงรอยทางศาสนาเป็นชนวนสงครามนองเลือดอันน่าสลด เด็กมากมายสูญเสียครอบครัวไปท่ามกลางความปั่นป่วนของกระแสสงคราม แต่ไม่ใช่กับเขาที่ตั้งแต่จำความได้ก็เติบโตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

สำหรับเด็กที่สูญเสียครอบครัวไปในสงครามและไม่มีญาติ ทางกองทัพจะรับเด็กพวกนั้นเข้ามาอุปถัมภ์ และให้การศึกษาด้านการทหารเพื่อเป็นกำลังพลต่อไปในอนาคต ส่วนตัวเขาเพราะไม่มีความสามารถอะไร เลยสมัครเข้ามาเป็นทหารด้วยตนเองเพื่อหาเลี้ยงชีพ

เพราะยุคสมัยเป็นเช่นนี้จึงทำให้ผู้คนมีความแข็งแกร่ง มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ แตกต่างจากในโลกนี้โดยสิ้นเชิง โลกใบใหม่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีก้าวล้ำทั้งด้านการแพทย์ วิศวกร สิ่งอำนวยความสะดวก หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ และสิ่งอื่นๆ อีกมากมายที่อดีตทหารอย่างเขาไม่เคยนึกฝัน

แล้วที่สำคัญโลกนี้ให้ความสำคัญกับการแบ่งแยกชัดเจนระหว่างผู้มีความสามารถและผู้ไร้ความสามารถ

“จำได้สิ” ในความทรงจำของหุ่นยนต์ สิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้าของชายสูงวัย รูปหน้ายาวตอบ และหัวล้านเลี่ยนเป็นเอกลักษณ์ คำสั่งที่หุ่นยนต์ได้รับจากชายชราคือสาเหตุที่มันถูกสร้างขึ้น

‘จากนี้ไปจงปกป้องเด็กคนนั้น ปกป้องอลัน’

ภาพต่อมาเป็นภาพของเด็กชายวัยห้าขวบปีที่มีสภาพมอมแมมเต็มไปด้วยบาดแผล เด็กคนนี้คืออลัน คือหลานชายของท่านผู้สร้าง เด็กคนนี้คือเจ้านาย เด็กคนนี้คือนายท่าน เขาจะต้องปกป้องคนคนนี้จากพวกเด็กเกเรคนอื่นๆ

นั่นคือข้อมูลคำสั่งที่ถูกป้อนให้หุ่นยนต์

เจ้าหุ่นตัวใหญ่ถูกเด็กแก้มป่องตั้งชื่อให้ว่ามิราเคิล อลันทั้งรักและดูแลหุ่นยนต์ที่คุณปู่มอบให้เป็นของขวัญวันเกิดอย่างดี มิราเคิลเป็นทั้งเพื่อนเล่นและฮีโร่สำหรับอลัน จนกระทั่งวันหนึ่ง วันที่มิราเคิลถูกทำลายลง

วันนั้นเป็นเวลาหกโมงเย็นของฤดูร้อน ท้องฟ้าและพื้นดินถูกฉาบไล้ด้วยสีส้มแดงคล้ายสีของใบเมเปิ้ล ทางเดินกลับบ้านเปลี่ยวเหงาผ่านสวนสาธารณะรกร้าง หลังเลิกเรียนเด็กน้อยอลันมุ่งหน้าไปยังห้องประดิษฐ์ของคุณปู่ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อสามเดือนที่แล้ว แต่แล้วการเดินทางของอลันก็ต้องชะงักเมื่อมีเด็กผู้ชายหลายคนกระโจนจากพุ่มไม้ข้างทางมาขวางหน้า พร้อมด้วยชะแลงหน้าตาแตกต่างกันในมือและถังน้ำอีกหนึ่งใบ อลันจำได้ว่าคนพวกนี้เป็นเพื่อนร่วมห้องที่ชอบรังแกตัวเองบ่อยๆ ทว่านั่นคือเรื่องเมื่อหนึ่งปีครึ่งตอนยังไม่มีมิราเคิลอยู่ข้างกาย

หุ่นยนต์มิราเคิลแสกนใบหน้าของเด็กผู้ชายทั้งห้าคน จากฐานข้อมูลจดจำได้ทันทีว่าเด็กเหล่านี้เป็นคนที่ชอบสร้างความลำบากให้แก่นายท่านตัวน้อย หุ่นยนต์มิราเคิลเคลื่อนตัวมาข้างหน้า ใช้ลำตัวสูงใหญ่บดบังอลันจากสายตาเด็กเกเร

‘ถ้า ไม่ อยาก เจ็บ ตัว จง หนี ไป ซะ’ เสียงสังเคราะห์กับคำพูดกระท่อนกระแท่นไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ผู้พูดไม่ได้ทำให้เด็กเกเรห้าคนขลาดกลัว

‘เหอะ หุ่นกระป๋องตกยุคอย่างแกจะทำอะไรได้ ลงมือ!’ หัวโจกเด็กเกตะโกนสั่งลูกสมุนด้านหลัง ถังบรรจุน้ำถูกสาดซัดใส่หุ่นยนต์มิราเคิลจนชุ่มโชก เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ถูกกับน้ำฉันใด หุ่นยนต์มิราเคิลเองก็ไม่ถูกกับน้ำฉันนั้น

‘วิ กฤต วิ กฤต วง จร ภาย ใน ได้ รับ ความ เสีย หาย ไม่ สา มารถ ทำ งาน ต่อ ได้ ไม่ สา มารถ ทำ งาน ต่อ ไ---’ แสงไฟที่แสดงถึงการทำงานของมิราเคิลดับลง

ทันใดนั้นเหล่าเด็กเกเรต่างรุมเข้ามาผลักหุ่นยนต์คุ้มกันลงกับพื้น ชะแลงในมือถูกเงื้อขึ้นงัดล้อยาง แขน และหัวของหุ่นยนต์ออกมาทุบตีจนไม่เหลือสภาพเดิม

อลันวัยหกขวบกระโจนพุ่งตัวเข้าไปเพื่อยื้อแย่งอาวุธ นอกจากจะไม่สำเร็จแล้วยังถูกลูกหลงและถูกผลักกระเด็นออกมา อลันทำได้เพียงตะโกนร้องขอให้พวกเขาหยุดการกระทำเหล่านั้นทั้งน้ำตา

เมื่อสาแก่ใจ เหล่าเด็กเกเรกระหยิ่มยิ้มเยาะ ยืดอกภูมิใจในชัยชนะ ‘จำไว้ให้ดีไอ้ตุ๊ด ไม่มีใครในห้องชอบแกสักคน ทำตัวอวดฉลาดออดอ้อนออเซาะให้ครูชม แกรู้มั้ยว่าพวกเรารู้สึกยังไงเวลาโดนเอาไปเปรียบเทียบกับแกในทุกๆ ครั้งที่จะทำอะไร ทั้งพ่อ แม่ ครู รวมถึงคนรอบข้างก็เอาแต่ชื่นชมแก มันน่าขยะแขยงว่ะ จำเอาไว้ ถ้ายังทำตัวดีเด่นอีกสภาพของแกจะเป็นเหมือนไอ้หุ่นเหล็กตัวนี้!’ ประโยคสุดท้าย หัวโจกเด็กเกยกเท้าขึ้นกระทืบส่วนหัวของหุ่นยนต์แตกกระจาย นั่นเป็นภาพท้ายสุดในความทรงจำของหุ่นยนต์มิราเคิลที่ถูกทำลาย

จากเหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาเจ็ดปีแล้ว จากเด็กน้อยตาโตแก้มป่องเติบโตจนมีอายุได้ครบสิบสามปี ใบหน้าน่ารักฉายแววความหล่อเหลา

หลังจากเหตุการณ์หุ่นยนต์มิราเคิลถูกทำลาย ชายฉกรรจ์ย่างเข้าสู่วัยกลางคนนึกภาพไม่ออกเลยว่าเด็กน้อยอลันใช้ชีวิตต่อจากนั้นอย่างไรถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ ...ทั้งอ่อนแอและขี้แย

ภายในตึกสูงเสียดฟ้า ตั้งแต่ชั้นที่สามสิบสามถึงสามสิบห้าเป็นของอลันทั้งหมด หนังสือและกระดาษจดข้อมูลต่างๆ ที่คนใช้ชีวิตอยู่แต่ในสมรภูมิอย่างเขาไม่มีวันเข้าใจตกกระจายเกลื่อนพื้น แสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะและความไร้ระเบียบได้อย่างไม่ยากเย็น

“ในที่สุดนายก็กลับมา ปาฏิหาริย์ของฉัน” อลันโอบกอดมิราเคิลด้วยสายตาห่วงหารักใคร่ จิตใจแห้งแล้งของชายฉกรรจ์ในสมรภูมิโดนโจมตีหนักหน่วงต่อเนื่อง สุดท้ายจึงได้ตั้งมั่นในใจว่าจะกลายเป็นมิราเคิล และปกป้องเด็กน้อยที่ดูอ่อนแอคนนี้ไว้ในระดับยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยทีเดียว



วันต่อมา อลันพามิราเคิลไปศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติสำนักงานหลักเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นหุ่นยนต์ตัวใหม่ โดยจะต้องผ่านการตรวจสอบอุปกรณ์ภายในคร่าวๆ และระบบการทำงานเพื่อยืนยันความปลอดภัยเบื้องต้น เมื่อตรวจสอบเสร็จเรียบร้อย อลันที่ได้ป้ายทะเบียนทรงหกเหลี่ยมมีตัวอักษร ‘C’ ปรากฏอยู่ตรงกลางนำมันมาแขวนเข้ากับคอของมิราเคิล

“ป้ายนี้เป็นสิ่งยืนยันว่านายเป็นหุ่นยนต์ระดับ C และเป็นหุ่นยนต์ของอลัน เพราะฉะนั้นต้องเก็บดูแลรักษาให้ดีนะ”

มิราเคิลพยักหน้าเป็นการบ่งบอกว่าเข้าใจ

หลังจากนั้นอลันพามิราเคิลเที่ยวชมเมือง เพราะโลกเก่าแตกต่างจากโลกใหม่นี้มากเกินไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ชายวัยสามสิบเก้าย่างเข้าสี่สิบอย่างเขามองเห็นล้วนเป็นสิ่งแปลกประหลาดและน่าตกตะลึง

ตามทางเดินเต็มไปด้วยมนุษย์และหุ่นยนต์หลากหลายประเภท มีทั้งรูปแบบมนุษย์ รูปแบบสัตว์ และรูปแบบสิ่งของแตกต่างกันไป ผู้คนใช้ชีวิตร่วมกับหุ่นยนต์ราวกับเป็นเรื่องปกติ

ท่าทางหันซ้ายหันขวามองไปรอบทิศของมิราเคิล ทำให้อลันที่สังเกตอีกฝ่ายมาตลอดรู้สึกขบขัน

เมื่อกลับถึงห้อง อลันหันตัวกลับมาสบตากับหุ่นยนต์ของตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มหวาน มือเล็กๆ ยกขึ้นมาก่อนจะ...

จึ้ก! กดปิดสวิตช์

การทำงานทุกอย่างของหุ่นยนต์ถูกดับลง มิราเคิลถูกบังคับให้หลับใหล

ตื่นมาอีกทีก็พบกับใบหน้ายิ้มแป้นของเจ้านายตัวน้อยตามเดิม แต่...ดูเปลี่ยนไปนิดหน่อยรึเปล่านะ?

ดูผมยาวขึ้นเล็กน้อย... แล้วก็ดูโทรมลงกว่าเดิม

“อรุณสวัสดิ์ มิราเคิล”

“อรุณสวัสดิ์ วันนี้อลันดูแปลกไปที่ไหนสักแห่ง”

“อ๊ะ อ้อ อาจเป็นตรงนี้ก็ได้” อลันชี้ให้เห็นถึงรอยคล้ำใต้ตาที่ดูจะดำคล้ำขึ้นกว่าเดิม “นายเองก็แปลกไปนะ”

เมื่ออลันตบเข้าที่ส่วนล่างของหุ่นยนต์ มิราเคิลถึงได้สังเกตเห็นว่าช่วงขาดูแปลกไป แต่เดิมร่างของหุ่นยนต์ตัวนี้ขับเคลื่อนด้วยล้อทั้งสี่ ตอนนี้กลับถูกเปลี่ยนเป็นขาที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์มากขึ้น

“ทำไม?” เอียงคอถามด้วยความสงสัย

“ตอนอยู่ในเมืองเห็นนายเอาแต่มองขารูปทรงมนุษย์ของหุ่นยนต์ตัวอื่น ฉันเลยคิดว่านายอยากได้”

“...ขอบคุณ” การเคลื่อนที่ด้วยล้อทั้งสี่ในความคิดของมิราเคิลรู้สึกว่ามันลำบากมาก ลำบากทั้งในทางต่างระดับและลำบากในเส้นทางขรุขระ จึงทำให้คิดถึงขาของมนุษย์ขึ้นมา

“ลองเดินดูสิ จะได้รู้ว่ามันใช้การได้รึเปล่า”

มิราเคิลลุกขึ้นลองเดิน วิ่ง ขยับขาขึ้นลง จนพบสิ่งผิดปกติ “อลัน มันคลื่อนไหวช้า แต่ก็ใช้การได้ดี ไม่มีปัญหา”

“ดีแล้วๆ” อลันยิ้ม สีหน้าแฝงแววเหนื่อยอ่อน “ความจริงฉันจะทำให้เสร็จตั้งแต่ปิดสวิตช์นายสัปดาห์แรกแล้ว แต่ที่ยืดเยื้อมาหนึ่งเดือนเพราะมีงานอื่นเข้ามากะทันหัน ได้เงินดีด้วยนะ พอได้เงินมาแล้วฉันจะทำขาให้นาย...ใหม่...” ระหว่างที่พูด คิ้วของอลันขมวดเป็นปม ส่ายหัวไปมา บ้างก็ขยี้ตา เป็นอาการหงุดหงิดของคนฝืนอดหลับอดนอนและร่างกายแทบจะรับไม่ไหวเต็มที

มิราเคิลตัดสินใจยกตัวนายท่านตัวน้อยพาขึ้นไปบนห้องนอนชั้นสาม เมื่อวางร่างของเด็กอายุสิบสามปีลงบนเตียงแล้ว คนหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายทันที

ยามดึกสงัด บนตึกสูงชั้นสามสิบห้ายังเปิดไฟอยู่เว้นเพียงห้องนอนของอลัน หุ่นยนต์ตัวหนึ่งกำลังเก็บกวาดห้องรกรุงรังเกือบทุกห้องจนเริ่มดูสะอาดตา โดยเฉพาะห้องครัวที่เต็มไปด้วยจานชามไม่ได้ล้าง ในถังขยะเต็มไปด้วยซองเปล่าและถ้วยของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลากหลายยี่ห้อ

ถึงสมัยเด็กจะเคยโดนกลั่นแกล้งจากเพื่อนร่วมชั้นยังไง ในความทรงจำของหุ่นยนต์ตัวก่อนก็ไม่มีส่วนไหนบ่งบอกว่าอลันเป็นเด็กที่ต้องอยู่อย่างอัตคัดขัดสนถึงเพียงนี้ แต่ยังไงเรื่องทุกอย่างก็ผ่านมาตั้งเก้าปีแล้ว คงไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคนแปลกหน้าที่แอบอ้างมาสิงร่างหุ่นยนต์ของคนอื่นอย่างเขา ให้มาฟื้นฝอยหาตะเข็บขุดคุ้ยเรื่องราวเลวร้ายออกมาจากปากเด็กคนหนึ่ง

สิ่งที่คนทั้งชีวิตต้องขลุกอยู่กับดินกินกับทราย ห่ากระสุนปืน และลูกระเบิดยึดถือคือการทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ตัวอย่างเช่นการเก็บกวาดบ้านสามชั้นของนายท่านตัวน้อยให้สะอาดเอี่ยมเพื่อสุขอนามัยที่ดี เป็นต้น

แสงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผาลอดผ่านทางช่องผ้าม่าน นาฬิกาดิจิตอลเปลี่ยนตัวเลขส่วนชั่วโมงจากสิบเอ็ดเป็นสิบสอง ร่างเล็กบางของเด็กอายุสิบสามนั่งตาปรืออยู่บนเตียง ผมสั้นสีทองสว่างไสวชี้ตั้งเด่ไม่เป็นทิศเป็นทาง กลิ่นหอมยั่วน้ำลายกระตุ้นให้สองขาก้าวออกจากเตียงมุ่งสู่ห้องครัว

อาหารหน้าตาไม่อาจเรียกได้ว่าสวยนักวางอยู่บนโต๊ะสามอย่างคู่กับข้าวสวยหนึ่งจาน เหมือนในเวลานี้เด็กชายตัวเล็กจะตื่นขึ้นเต็มตาเสียแล้ว สีหน้าฉายแววประหลาดใจหันมองรอบตัว เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังหลุดเข้ามาในอีกมิติหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น แต่พอสังเกตให้ดีกลับพบว่าที่นี่ยังคงเป็นบ้านของตัวเองอยู่จึงรู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกใครลักพาตัวไปกักขังหน่วงเหนี่ยวที่ไหนอย่างในการ์ตูน

“อลันตื่นแล้วเหรอ?” มิราเคิลเดินเข้ามา ในมือถือจดหมายฉบับหนึ่ง

“มิราเคิล! นายเป็นคนทำเหรอ”

หุ่นกระป๋องพยักหน้าหงึกหงัก มือวางจดหมายลงบนโต๊ะกินข้าว เมื่อเห็นสภาพหลังตื่นนอนของนายท่านตัวเล็กแล้วสมควรแก่เวลาอาบน้ำเต็มที

“ได้เวลาอาบน้ำแล้วครับอลัน”

“เอ๋ ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจ ห้องเปิดแอร์ เหงื่อไม่ออก ตัวไม่เหม็น ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องไปอาบน้ำเลย”

“ไปอาบน้ำครับ หรือจะให้ผมอาบให้”

เด็กที่ทำตัวงอแงตั้งแต่ทีแรกจู่ๆ เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ ผุดลุกหยิบของใช้จำเป็นแล้วตรงดิ่งเข้าห้องน้ำทันใด มิราเคิลได้แต่ยืนนิ่งค้าง เวลาผ่านจากวินาทีไปเป็นนาทีจึงระลึกขึ้นได้ว่าจุดจบของเจ้ามิราเคิลตัวเก่านั้นเกิดจากสาเหตุอะไร

คงกลัวเขาถูกน้ำแล้วพังอีกครั้ง...

“มิราเคิล หวีผมให้หน่อย” อลันที่แต่งตัวในชุดลำลองยื่นหวีให้มิราเคิลก่อนนั่งจุ้มปุ๊กลงมือรับประทานข้าว

“เป็นยังไงบ้าง...รสชาติ” เพราะตอนนี้เป็นหุ่นยนต์จึงไม่สามารถชิมรสชาติได้ ทำให้อดีตทหารเกือบล่วงเลยวัยฉกรรจ์แอบหวั่นใจไม่น้อย อีกทั้งมือใหญ่ๆ นี่ก็ทำให้จับอะไรไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่

“อืม... ใช้ได้เลยทีเดียว ฉันเพิ่งเคยกินไข่เจียวรสชาติเข้มข้นขนาดนี้เป็นครั้งแรก ใส่กาแฟด้วยเหรอ?”

แค่ดูสีหน้าก็รู้ว่าอลันพยายามเต็มที่ที่จะฝืนชมเขา ดูท่าแล้วจะทอดไข่ไฟแรงไปจนมันไหม้ออกรสขม ถึงไม่ได้ไหม้จนเกรียมหมดก็เถอะ “ผมว่าไปต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้คุณดีกว่า”

“อา แหะๆ” คนโกหกเมื่อถูกจับได้ก็ทำหน้าเจื่อน ในมุมอับสายตาของมิราเคิลที่กำลังเติมน้ำใส่หม้อต้ม อลันท้าวคางด้วยสองมือ คลี่ยิ้มกว้างมองแผ่นหลังของหุ่นยนต์ร่างสูงใหญ่

นานแล้วที่ไม่มีใครคอยเอาใจใส่ดูแลเขาแบบนี้

“อลันไม่อ่านจดหมายหรือ” บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปร้อนๆ ถูกวางลงบนโต๊ะ สายตาเหลือบมองจดหมายสีดำประทับปิดด้วยครั่งสีทองแวววาว

“ซองจดหมายสีดำ ครั่งสีทอง ตราประทับลายดอกเบญจมาศ ต่อให้ไม่ต้องเปิดดูก็รู้ว่าใครเป็นคนส่ง” อลันหยิบจดหมายขึ้นฉีก นำกระดาษข้างในมากางออกอ่าน “จาก ISA สถาบันการศึกษาอันดับ 1 ของโลก นี่เป็นจดหมายแจ้งผลสอบเข้าน่ะ”

ถ้าหากร่างกายนี้เป็นมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ อลันคงได้เห็นคนเบิกตาโตเท่าไข่ห่านก็คราวนี้

“นั่นมันสุดยอดเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมของสุดยอดแบบนี้ถึง...”

“อะแฮ่ม! แล้วนายคิดว่านายท่านผู้นี้เป็นใครกันล่ะ” อลันลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้เต็มความสูง ใบหน้าน่ารักแหงนเชิดชี้ฟ้า ตบอกโอ้อวดตัวเองเต็มที่ “นายท่านผู้นี้เป็นถึงอัจฉริยะอายุน้อยอนาคตร้อยล้าน กับแค่สอบผ่านเข้าโรงเรียนชื่อดังจะนับว่าเป็นอะไรได้”

“โอ้ อลันเก่งที่สุด อลันสุดยอด อลันเกรียงไกรไม่มีใครเทียม”

และแล้วช่วงเที่ยงนี้ก็จบลงด้วยรอยยิ้มกับเส้นบะหมี่อืดเต็มจาน



ลับหลังมิราเคิลที่กำลังลงไปทำความสะอาดชั้นสามสิบสี่อันเป็นอาณาเขตของอลัน ตัวเจ้าของอาณาเขตนอนเอกเขนกเกลือกกลิ้งอยู่บนโซฟา โทรทัศน์ฉายการ์ตูนเจ้าแมวโง่ที่พ่ายแพ้ให้กับหนูตลอดชีพ แต่สายตาอลันกลับเอาแต่จับจ้องจดหมายสีดำในมือนิ่ง ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มยามอยู่ต่อหน้ามิราเคิลบัดนี้เรียบสนิท

เขากำลังคิดอะไรไม่มีใครรู้

สักพักมือเล็กที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกไปยังหมายเลขหนึ่ง ไม่นานเกินรอที่ปลายสายจะมีคนรับ

[สวัสดี ลูกรัก โทรหาแม่มีธุระอะไรรึเปล่า]

“แม่ครับ ผมสอบเข้า ISA ผ่านแล้ว”


----------------------------------------------------------------------------

ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๒
Innovation Stars Academy
   ภาพรอบกายไหลผ่านสายตาไป ถึงมีชีวิตในโลกใหม่นี้ได้สักพักแล้วก็ยังไม่คุ้นชิน
   รถแท็กซี่กลมเกลี้ยงสีขาวลอยไปตามเส้นทางด้านหน้าที่กำหนด มันไร้คนขับ อาศัยเพียงป้อนคำสั่งจุดหมายปลายทางเป็นอันเสร็จสิ้น
   อลันรูดบัตรประชาชนลงในช่องชำระเงิน ไม่นานเกินรอที่ประตูแท็กซี่จะเปิดออกให้พวกเขาทั้งสองเยื้องกรายลงก่อนลอยจากไป
   ตรงหน้าของหนึ่งคนหนึ่งหุ่นเป็นสถานที่กว้างขวางล้อมรั้วเป็นแนวยาว สิ่งก่อสร้างรูปทรงประหลาดตั้งตระหง่านอยู่ภายในหลายอาคาร ด้านหน้าสุดมีป้ายหินสีดำสลักตัวหนังสือสีทองว่า ‘Innovation Stars Academy’ หรือที่คนส่วนใหญ่นิยมเรียกย่อๆ ว่า ISA
   มายืนได้ไม่นานนัก หุ่นยนต์รูปทรงกระบอกก็เข้ามาต้อนรับ อลันรูดบัตรประชาชนลงในช่อง เมื่อยืนยันได้ว่าใบหน้าของอลันกับเจ้าของบัตรประชาชนเป็นคนเดียวกัน หุ่นยนต์ทรงกระบอกจึงเดินนำพวกเขาเข้าไปข้างใน
   ระหว่างทางมีผู้คนมากมายสวมชุดแบบเดียวกัน คนเหล่านั้นหันมามองเด็กชายตัวเล็กที่มีทั้งหุ่นยนต์เดินนำหน้าและประกบหลัง
   หุ่นยนต์ทรงกระบอกประจำโรงเรียนเดินนำมาจนถึงหน้าห้องที่มีป้ายหรูหราสีทองแปะอยู่ บนหน้าประตูสลักอักษรคำว่า ‘ห้องผู้อำนวยการ’ เด่นหรา
   อลันเคาะประตู เมื่อได้รับอนุญาตจากคนข้างในจึงได้ผลักเปิดเข้าไป ส่วนตัวมิราเคิลถูกสั่งให้รออยู่ด้านนอก ดูเหมือนเรื่องที่คุยกันจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก ประมาณสิบนาทีให้หลังอลันถึงได้เดินออกมาจากห้อง
   “ไปกันเถอะ” อลันหันมาพูดคุยกับมิราเคิลด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจเช่นเดิม ก่อนจะเอื้อมไปตบหัวหุ่นยนต์ทรงกระบอกเบาๆ สองทีพลางบอกให้นำทางไปยังหอพัก
   “เป็นสถานที่ที่สวยดีนะครับ” ระหว่างการเดินทางก็สังเกตสิ่งรอบกายไปทั่ว นอกจากตึกรูปทรงแปลกตาแล้วยังเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ที่ถูกจัดแต่งดูแลอย่างดี ดูร่มรื่นสบายตาเสียจนอดชื่นชมไม่ได้
   “เห มิราเคิลสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ?”
   “ก็...ครับ” ลากเสียงยาวเล็กน้อยก่อนตอบออกไป “โดยเฉพาะต้นนั้น”
   มิราเคิลจับจ้องไปยังไม้ยืนต้นใบเขียวชอุ่ม ลำต้นสูงชะลูด กิ่งก้านที่แตกออกมาดูโปร่งโล่งสบายตาไม่หนาทึบ
   อลันหันมองตามสายตาหุ่นยนต์ก่อนจะเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น “เหลืองปรีดียาธร?”
   ที่แท้...มันมีชื่อว่าเหลืองปรีดียาธรนี่เอง
   สาเหตุที่ทำให้เขาชอบต้นไม้ชนิดนี้ คงต้องกล่าวย้อนไปในวันนั้น วันที่เขาเพิ่งมีอายุได้ยี่สิบห้าปี จำได้ว่าตอนนั้นเป็นฤดูร้อนของเดือนกุมภาพันธ์ หน่วยที่เขาสังกัดอยู่ถูกส่งให้เดินทางไปสมทบกับทัพใต้เพื่อกดดันประเทศทางใต้ที่ก่อสงครามเย็นกันมาเนิ่นนานจนใกล้จะปะทุเต็มที
   ตัวเขาพร้อมกับเพื่อนนั่งรถจิ๊ปคันหน้าสุดนำรถของคนอื่นในหน่วย ถึงวันนั้นจะมีแดดร้อนจัดในตอนกลางวัน แต่กลับมีเมฆกลุ่มก้อนใหญ่ลอยบดบังดวงอาทิตย์ทำให้แสงแดดอ่อนกำลังลง
   ล้อรถเคลื่อนตัวใกล้ถึงชายแดนเต็มที คนขับหักพวงมาลัยรถเลี้ยวตามรูปถนนเก้าสิบองศา ทันใดนั้นทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป
   มันเต็มไปด้วยสีเหลือง ต้นไม้ยืนต้นออกดอกสีเหลืองสะพรั่งเรียงรายเต็มสองข้างทาง ลมกระโชกพัดพาให้ดอกไม้ปลิวไสว ชั่วขณะนั้นเขาเหมือนถูกมนต์สะกดให้หลงใหล ความสวยงามที่เงียบสงบ แม้แต่สงครามก็ไม่อาจกล้ำกรายเข้ามาในที่แห่งนี้ได้ ณ ตอนนั้นเขาอยากหยุดเวลาไว้อยู่ในที่แห่งนั้นตลอดกาล
   แต่เพียงไม่นานหลังจากผ่านไปสามเดือน สถานที่ที่ราวกับภาพฝันแห่งนั้นก็ได้ถูกทำลายลงให้มอดไหม้ด้วยไฟสงคราม
   “...เคิล มิราเคิล” เสียงเรียกสดใสปลุกให้ตื่นจากภาพฝัน อลันเขย่งตัวยกสองมือขึ้นจับหัวโตๆ ของหุ่นยนต์มิราเคิลให้หันมาสบตา “เป็นอะไรไปมิราเคิล ดูเหม่อเชียว”
   “ไม่มีอะไร อลันไม่ต้องกังวล แค่นึกถึงเรื่องเก่าเท่านั้น ไปกันต่อเถอะ”
   “อื้ม ไปกันเถอะ”
   เมื่อพวกเขาก้าวเดินต่อ หุ่นยนต์ทรงกระบอกที่หยุดยืนรอก็ขยับขับเคลื่อนนำไปอีกครั้ง
   ในที่สุดก็มาถึงหอพัก เป็นตึกสูงยี่สิบชั้น รูปทรงตึกเป็นรูปแบบมาตรฐานแตกต่างจากตึกอื่นที่ออกแบบอย่างพิลึกพิลั่น เมื่อถึงที่หมายหุ่นยนต์นำทางก็แบกรูปร่างทรงกระบอกของมันกลับไปทันที แทนที่ด้วยผู้ดูแลหอพักชายออกมาต้อนรับ
   “โอ้ สวัสดี เธอคือเด็กใหม่ที่เป็นที่เลื่องลือในขณะนี้ใช่ไหม”
   “เลื่องลือ?” อลันและมิราเคิลประสานเสียงพร้อมกัน
   “ก็เรื่องนั้นไง เด็กอัจฉริยะอายุน้อยที่สุดที่สอบเข้า ISA ได้เป็นอันดับหนึ่ง จนตอนนี้กลายเป็นประเด็นร้อนสะพัดไปทั่วโรงเรียนแล้วรู้ตัวรึเปล่า ก็ ISA เป็นที่ที่นึกอยากจะเข้าก็เข้าได้ง่ายๆ ซะที่ไหนกัน”
   “ขนาดนั้นเชียว” มิราเคิลอุทาน
   “แน่นอนสิ ISA เป็นโรงเรียนอันดับต้นๆ ของโลกเชียวนะ เป็นแหล่งรวบรวมเด็กมากพรสวรรค์หรือมีแววในด้านต่างเข้ามาให้การศึกษา มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาพร้อมชี้แนะแนวทาง อีกทั้งยังพร้อมพรั่งด้วยเงินสนับสนุนให้แก่เด็กที่เปี่ยมพรสวรรค์ทุกคน ใครที่จบออกไปจากที่นี่ได้ก็เหมือนมีใบรับรองความสามารถ แน่นอนว่าชื่อเสียงกับฐานะชนชั้นสูงของสังคมจะหนีไปไหนพ้น สภาพแวดล้อมดี สวัสดิการดีแบบนี้ใครจะไม่อยากเข้า ISA กันบ้างเล่า”
   คำพูดราวกับโฆษณาชวนเชื่อทำให้มิราเคิลยืนนิ่งอึ้ง อะไรมันจะดีได้ดีดีขนาดนี้ อนาคตอันสดใสกำลังรอเด็กน้อยข้างกายเขาอยู่!
   “ถึงจะให้เงินสนับสนุนการวิจัย แต่ผลงานทุกชิ้นหรืองานที่รับเข้ามาระหว่างศึกษาอยู่ที่นี่ เมื่อสามารถมีรายได้เข้ามาจะถูกหักออกไป 70% ให้แก่โรงเรียน ฉันไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินก็เลยไม่สนใจเท่าไหร่ ส่วนพวกเรื่องชื่อเสียงหรือฐานะทางสังคม... ฉันพอใจกับที่เป็นอยู่มากกว่า” อลันตอบกลับด้วยวาจาฉะฉานพร้อมรอยยิ้มน่ารัก ไม่ชวนให้ผู้ฟังรู้สึกว่าหยิ่งยโส แต่กลับเป็นความรู้สึกว่าน่ารักน่าเอ็นดูแบบเด็กๆ เสียมากกว่า
   “อย่างงี้นี่เอง” ไม่ต้องให้ใครบอกผู้ดูแลหอก็รู้ได้ทันทีว่าฐานะทางบ้านของอลันต้องดีมากแน่นอน “แล้วคนที่มีพร้อมทุกอย่างแบบเธอทำไมถึงสนใจเข้ามาเรียนที่นี่ได้ล่ะ”
   เด็กมากหน้าหลายตากระเสือกกระสนเข้าโรงเรียนนี้มาเพื่อชื่อเสียงและฐานะทางสังคม แน่นอนว่าทุกคนอยากถูกจัดอยู่ในลำดับชนชั้นสูงจึงขวนขวายผลักดันตัวเองให้เข้ามาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ทันทีที่สอบเข้าที่นี่ได้ ฐานะของผู้สอบเข้าทุกคนจะถูกเปลี่ยนเป็นชนชั้นสูงทันที ต่อให้เรียนไม่จบหรือลาออกกลางคันก็ยังมีสถานะนี้ติดตัวตลอดไป
   ตั้งแต่เกิดเด็กทุกคนจะถูกจัดให้อยู่ในชนชั้นวรรณะต่ำสุด ไม่ว่าพ่อแม่จะอยู่ในชนชั้นไหน มีเงินทองมากมายเพียงใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนชนชั้นของเด็กแรกเกิดได้ วิธีทางเดียวที่จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นเมื่อไร้ปีกบุพการีคอยปกป้องคือการหาจุดเด่นของตนเอง พัฒนามันไปให้สุด และส่องแสงเปล่งประกายออกมาท่ามกลางคนหมู่มากจนเป็นที่ยอมรับ
   “เพราะฉันขาดแคลนความรู้ในสายงานที่สนใจ หนังสือที่มีอยู่มันไม่เพียงพอต่อการตอบสนองความกระหายอยากของฉัน เหตุผลนี้พอใช้ได้ไหมครับคุณผู้ดูแลหอ”
   ผู้ดูแลหอหัวเราะลั่นหลังจากได้ยินคำตอบ นานแล้วที่ไม่ได้ยินคนตอบในเชิงอวดตนเช่นนี้ รอยยิ้มขี้เล่นและวิธีการพูดจาโตเกินวัยทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้ปนเอ็นดู จากวันนี้ไปในหอพักสามแห่งนี้ได้มีปีศาจกระหายความรู้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว
   “เอาละ ปีศาจน้อย ฉันขอลายเซ็นเธอสักหน่อย แต่อย่าเข้าใจผิดล่ะ ฉันไม่ได้เป็นแฟนคลับเธอหรอกนะ” ผู้ดูแลหอพักขยิบตาให้พร้อมกับยื่นเอกสารไปให้อลันเซ็นสองฉบับ
   ฉบับแรกเป็นเรื่องว่าด้วยกฎการอยู่ร่วมกันในหอพัก ภายในระบุกฎและข้อตกลงในหอพัก รวมทั้งสวัสดิการต่างๆ ที่จะได้ นอกจากนี้เมื่อลงนามในเอกสารชุดนี้เรียบร้อยจะเป็นการยืนยันว่าอลันกลายเป็นคนขอหอพักสามโดยสมบูรณ์
   ส่วนอีกฉบับหนึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับการเลื่อนลำดับชนชั้น อลันถูกเลื่อนระดับจากชนชั้นต่ำมาเป็นชนชั้นกลางด้วยวัยเพียงเจ็ดปีเพราะสติปัญญาของตน ผู้ใหญ่รอบข้างเห็นแววเป็นใหญ่ในอนาคตของเด็กคนนี้จึงพากันสนับสนุนจนเป็นที่อิจฉาของคนวัยเดียวกัน และในตอนนี้เมื่อเข้าโรงเรียน ISA ได้ก็ถือว่ากลายเป็นชนชั้นสูงไปครึ่งหนึ่งแล้ว และหากลงนามลงบนเอกสารแผ่นนี้ อลันก็จะกลายเป็นชนชั้นสูงโดยสมบูรณ์
   ผู้ดูแลหอพักเก็บเอกสารสองฉบับที่มีลายมือชื่ออลันกลับไป แล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกมาข้างหน้า
   “ยินดีต้อนรับอลัน คูเปอร์สู่หอพักสาม ฉันเอลวิส ฮิลล์ เรียกเอลวิสเฉยๆ ก็ได้ หากมีอะไรให้ช่วยเหลือมาหาได้ตลอดนะ ฉันยินดีต้อนรับปีศาจน้อยแสนน่ารักอย่างเธอเสมอ”
   “ขอบคุณนะเอลวิส แต่มันจะดีมากถ้าคุณเลิกเรียกฉันว่าปีศาจน้อย” อลันยกมือขวาขึ้นจับตอบ
   “ห้องของเธออยู่ชั้นห้า ขอให้มีความสุขกับวันแรกในหอพักนะ” ยื่นกุญแจห้องเบอร์ 503 ไปให้แล้วมองส่งตามหลังหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่เข้าไปภายในลิฟต์
   “เอลวิสนั่นเด็กใหม่เหรอ” ผู้มาใหม่เดินเข้ามาภายในหอพัก ในมือดึงไอศกรีมแท่งที่หดลงเหลือเพียงนิดเดียวออกจากปาก
   “ใช่ เขาชื่ออลัน เป็นเด็กอัจฉริยะอายุสิบสามปีที่คะแนนสอบเข้า ISA เป็นอันดับหนึ่งในปีนี้เชียวนะ”
   “เหย จริงดิ แล้วเจ้านั่นสนใจด้านไหน”
   “ดูจากหุ่นยนต์คู่กายก็น่าจะทางนั้นละมั้ง”
   “เจ๋งเป้ง! ในที่สุดก็ได้เจอเนื้อคู่แล้ว คุณเนื้อคู่จ๋ารอด้วยจ้าาา” ไม่ทันให้เอลวิสได้เอ่ยอะไรต่ออีก ผู้มาใหม่จอมพลังเสียงก็ตะโกนก้องวิ่งโร่เข้าไปในลิฟต์ตัวเดียวกับอลันเสียแล้ว
   “นี่ฉันแค่เดาเล่นๆ เองนะว่าปีศาจน้อยสนใจสายหุ่นยนต์ สมัยนี้แล้วแค่มีเงินคนเราก็ซื้อผู้ติดตามที่เป็นหุ่นยนต์ได้แล้วไหมล่ะ”
   เอลวิสถอนหายใจให้กับชายผู้ร่าเริงที่สุดในหอ สงสัยว่าวันแรกในโรงเรียนของปีศาจน้อยคงไม่สงบสุขอีกต่อไปแล้ว

   ประตูลิฟต์กำลังปิดลง จู่ๆ ก็มีมือปริศนามาคั่นไว้ทำให้ระบบเซฟตี้ของลิฟต์ทำงานอัตโนมัติ เมื่อประตูเปิดอ้าผู้มาใหม่ก็รีบแทรกกายเข้ามาทันที แต่แทนที่จะยืนขึ้นลิฟต์อยู่นิ่งๆ อีกฝ่ายกลับกุมมืออลันไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ดวงตาเปล่งประกายแวววาวหวานเชื่อมราวกับกำลังจ้องมองสมบัติล้ำค่า ปากพร่ำพลอดคำพูดหวานเลี่ยนจนผู้ฟังรู้สึกแขยง
   “เนื้อคู่ เนื้อคู่จ๋า คุณเนื้อคู่”
   ประตูลิฟต์ปิดลง ขยับเคลื่อนมุ่งสู่ชั้นห้า
   “ทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ” อลันสะบัดมือออกจากการกอบกุม รู้สึกไม่ดีกับคนตรงหน้าเอาเสียเลย และดูเหมือนอีกฝ่ายจะเพิ่งรู้ตัวว่าทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมจึงยืดตัวตรงและกระแอมไอเล็กน้อย
   เขาโค้งตัวผายมือลงเแบบสุภาพชน “ยินดีที่ได้รู้จักคุณเนื้อคู่ ฉันชื่ออีธาน วอร์คเกอร์ อยู่ห้อง 504 หลังจากนี้นายสนใจมาทำเรื่องลามกกับฉันไหม”
   ทันทีที่คำเชิญชวนพิลึกพิลั่นพร้อมกับฝ่ามือชื้นเหงื่อสองข้างนั้นแตะลงบนบ่าเล็ก กำปั้นเหล็กก็พุ่งสวนกระแทกเบ้าหน้าหล่อเหลาจนล้มหงายลงไปทันที
   ดวงตาอีธานเหลือกขึ้นฟ้าก่อนดวงตาทั้งดวงจะกลายเป็นสีขาว เป็นสัญญาณว่าเขาได้สลบไสลไปเสียแล้ว
   “อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนข้างห้องฉัน ไม่เห็นต้องรุนแรงขนาดนี้เลยมิราเคิล”
   “ผมออมมือแล้วนะอลัน อีกอย่างหมอนี่มันทำตัวรุ่มร่ามกับคุณมากเกินไปแล้ว”
   มองสภาพเลือดไหลกลบจมูกนั่นแล้วดูห่างไกลจากคำว่า ‘ออมมือ’ นัก สงสัยคงต้องไปขอความช่วยเหลือจากผู้ดูแลหอเอลวิสตั้งแต่วันแรกซะแล้ว
   “วันหลังผมจะต่อยให้เบาลงกว่านี้” มิราเคิลพึมพำ ตั้งแต่มาอยู่ในร่างหุ่นยนต์ก็ไม่เคยชกต่อยใครจริงๆ จังๆ สักที พอคิดว่าแค่ออกแรงไปเบาะๆ กลับสร้างความเสียหายกับร่างกายมนุษย์ได้มากขนาดนี้ เกินคาดจริงๆ
   “อื้ม ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณนะที่ปกป้องฉัน” อลันกอดหุ่นยนต์ข้างกายด้วยใบหน้าเปี่ยมล้นด้วยความสุข นึกถึงวันเก่าๆ ที่มีมิราเคิลคอยปกปักอยู่ข้างกาย
   แน่นอนว่าหลังจากนั้นอลันต้องไปเรียกผู้ดูแลหอมาพาซากศพ (?) ภายในลิฟต์ไปพักรักษา
   “หุ่นยนต์เธอต่อยเขาดั้งหักเลย วันหลังก็ระวังหน่อยล่ะ” เอลวิสแบกอีธานขึ้นหลัง ก่อนไปยังไม่วายหันมาส่งยิ้มให้ “ความจริงหมอนี่ไม่ใช่คนเลวร้ายเท่าไหร่ อาจจะเป็นคนแปลกไปบ้าง แต่เรื่องความจริงใจเชื่อถือได้นะ”
   “แต่เมื่อกี้ในลิฟต์เขาเพิ่งชวนฉันไปทำเรื่องลามกนะ”
   “อ๋อ นั่นน่ะเหรอ หมอนี่มันพูดแบบนั้นกับทุกคนที่สนใจนั่นแหละ แต่ความหมายจริงอาจต่างไปนิดหน่อย ไม่ต้องคิดมากนะ”
   ลับหลังร่างของผู้ดูแลหอจากไปแล้ว อลันจึงหันไปถามข้อสงสัยกับหุ่นยนต์ข้างกาย
   “มิราเคิล ทำเรื่องลามกนอกจากชวนไปทำกิจกรรมอย่างว่าแล้วยังหมายถึงอะไรได้อีก”
   อดีตทหารกักขฬะได้แต่ยืนนิ่งสั่นหัว เมื่อพูดถึงเรื่องลามก คนที่เคยเป็นผู้ชายมาทั้งชีวิตอย่างเขาสิ่งที่คิดได้ย่อมไม่พ้นเรื่องบนเตียงจริงๆ ในขณะที่อีธานริคิดเชิญชวนเด็กชายตัวน้อยของเขาไปทำเรื่องไม่ดีไม่งาม สิ่งเดียวที่มิราเคิลจะทำได้ก็คือการปกป้องความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของอลันให้คงอยู่ต่อไป



-----------------------------------แฮปปี้นิวเยียร์ทุกคนค่ะ ^^




ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๓
ความทุกข์ใจของมิราเคิล


   ฝนตกพรำในยามเช้าผสานกับแอร์ภายในห้องส่งผลให้อากาศเย็นฉ่ำ บนเตียงมีมนุษย์ผู้หนึ่งนอนหลับอุตุ มิราเคิลห่มผ้าที่ลื่นหลุดออกมากลับให้เรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากห้อง

   กาต้มน้ำเดือดปุด มิราเคิลบรรจงฉีกซองกาแฟสำเร็จรูปเทลงแก้วใบเล็ก ตามด้วยการเติมน้ำร้อนจัดลงไป เมื่อของในถ้วยถูกคนเข้าด้วยกัน กลิ่นหอมของกาแฟก็ลอยคลุ้งอบอวลไปทั่วห้อง น่าเสียดายที่ผู้ชงมันไม่สามารถรับกลิ่นได้

   แก้วกาแฟถูกวางอยู่บนโต๊ะ มิราเคิลนั่งมองมันสักพักก่อนเดินไปเปิดหน้าต่าง

   ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆฝนโปรยปราย เข็มสั้นของนาฬิกาชี้เลขหก วันนี้เป็นอรุณแรกหลังจากอลันและเขาย้ายมาอยู่ในหอพักสาม

   ทุกครั้งที่มองรอบกาย มิราเคิลมักรู้สึกว่าตัวเองฝันไป การที่เขามายังมีชีวิตทั้งๆ ที่โดนระเบิดแยกร่างไม่เหลือชิ้นดีนั้น ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกแล้ว อย่างน้อยเขาต้องไปชดใช้กรรมก่อนหรือแม้กระทั่งได้ไปเกิดใหม่ แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบที่ทำให้เขามาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ในร่างหุ่นเหล็กตัวใหญ่ยักษ์

   ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าวิญญาณมนุษย์จะสามารถสถิตอยู่ในสิ่งของได้

   เขาไม่รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ควรดีใจหรือไม่กับการอยู่ในสภาพร่างกายแบบนี้

   เสียงกดกริ่งหน้าประตูเรียกมิราเคิลให้หลุดออกจากภวังค์ เมื่อเปิดออกไปต้อนรับผู้มาเยือน พบว่าแขกที่มากลับเป็นชายเรือนผมสีน้ำตาลคนหนึ่งที่มีผ้าก๊อซสี่เหลี่ยมจัตุรัสแปะอยู่บนสันจมูก ช่างโดดเด่นเสียจริง

   เพียงแค่อีกฝ่ายทักทายด้วยคำว่า ‘ไง’ ไม่จบประโยคดี มิราเคิลก็ปิดประตูลงดังปังแล้วไม่สนใจอีก

   อีธานไม่ยอมแพ้รัวกริ่งลั่นห้อง ด้วยเกรงว่าอลันจะตื่นจึงต้องออกไปเปิดประตูเผชิญหน้าผู้มาเยือนอีกครั้ง

   “นี่! เป็นหุ่นยนต์ที่เสียมารยาทชะมัดเลย เจ้าเปี๊ยกตั้งค่านายมายังไงเนี่ย!” พอประตูเปิดปุ๊บ ก็ชี้หน้าว้ากใส่ทันที

   ตั้งค่า? แน่นอนว่าอลันไม่ได้ตั้งค่าอะไรให้มิราเคิลเป็นพิเศษ หรือต่อให้ตั้งค่าอะไรไว้ก็ไม่อาจควบคุมสิ่งของที่มีจิตวิญญาณได้ เพราะฉะนั้นการที่เขาจะไล่แขกไม่น่าไว้วางใจผู้นี้จึงเป็นความคิดของมิราเคิลร่างปัจจุบันล้วนๆ

   “ไสหัวไปซะก่อนเจ็บตัว” คำพูดทิ่มแทงไม่พอยังวางมาดนักเลงข่มขู่

   “อะไรกันเล่า! ฉันแค่อยากมาคุยกับเนื้อคู่ของฉันเองนะ” อีธานชูมือขึ้นโวยวาย แต่พอมิราเคิลยกหมัดขึ้นก็จำต้องหุบปากฉับถอยหลังกรูดไปสามก้าว

   เขายังจำรสชาติกำปั้นเหล็กได้อยู่นะ!

   “ไร้สาระ อลันหลับอยู่ ถ้าขืนส่งเสียงรบกวนกันอีกละก็จะจับโยนลงจากบันไดซะเลย”

   “อ๊าก! ไอ้หุ่นยนต์ป่าเถื่อน ถ้าแกทำจริงฉันจะฟ้องศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติให้ทำลายแกซะเลย!”

   หุ่นยนต์ที่อันตรายกับมนุษย์จะถูกศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติสั่งทำลายหรือควบคุมดูแลเป็นพิเศษ แต่มิราเคิลเป็นหุ่นยนต์ระดับ C ซึ่งถูกตรวจสอบแล้วว่าเป็นหุ่นยนต์ที่ไม่เป็นภัยและมีระบบภายในล้าหลัง หากลงมือทำร้ายมนุษย์สุ่มสี่สุ่มห้าแล้วโดนจับได้จะถูกนำไปตรวจสอบอีกครั้ง และผู้เป็นเจ้าของจะถูกเรียกค่าปรับจำนวนมาก และหากถูกพบในภายหลังว่ามีการปรับเปลี่ยนระบบหรืออุปกรณ์ภายในเกินกว่าระดับ C ผู้สร้างจะถูกปรับและจำคุก หรือหากไม่พบอะไรผิดปกติหุ่นยนต์ตัวนั้นจะถูกทำลายทิ้งทันที

   รายละเอียดพวกนี้มิราเคิลเคยถามจากอลันตอนนำตนเองไปตรวจ เขาไม่ค่อยสนใจนักหากตัวเองถูกทำลาย ไหนๆ ก็เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ความกลัวที่เคยมีก็ดูจะลดน้อยถอยลง แต่หากทำให้เด็กคนนั้นเดือดร้อนไปด้วยคงไม่ดีนัก

   “แล้วถ้าฉันแจ้งกับตำรวจว่านายบุกเข้ามาทำมิดีมิร้ายฉันจนถูกมิราเคิลทำร้าย คราวนี้คนที่ซวยคงเป็นนายมากกว่ามั้ง”

   อลันโผล่หัวฟูยุ่งออกมาจากด้านของหลังมิราเคิล เพราะเสียงดังเกินไปทำให้เขาไม่สามารถนอนต่อได้อีก แต่ก็ถือว่าตื่นมาได้จังหวะเหมาะทันเห็นคนกำลังกลั่นแกล้งรังแกหุ่นยนต์แสนรักของตน

   อีธานกลืนน้ำลายเหงื่อตก ไม่นึกว่าคนตัวเล็กจะเล่นไม้นี้ ริมฝีปากที่แต่เดิมยิ้มกว้างเริ่มหุบลงยื่นยาวออกมาคล้ายปลาทอง นิ้วชี้สองข้างจิ้มเข้าหากันพลางเหลือบมองอลันด้วยสายตาเว้าวอน

   “ก็หุ่นยนต์นายไม่ยอมให้ฉันพบนายนี่นา”

   “แล้ว?”

   “ก็ฉันมีเรื่องจะคุยกับนายนี่”

   “งั้นก็ค่อยคุยวันหลังก็แล้วกัน ออกไปได้แล้ว ถ้ารบกวนกันมากเข้าฉันจะย้ายหอ!” คนเพิ่งตื่นนอนอารมณ์ไม่ดีนักปิดประตูกระแทกหน้าอีกฝ่าย

   อีธานได้แต่ยืนทำหน้าสลดและเดินคอตกกลับห้องไป ยังไงเขาก็ไม่ยกเลิกแผนการตามตื๊อคนตัวเล็กง่ายๆ หรอกน่า

   “จะนอนต่ออีกไหมครับ” มิราเคิลถามเด็กชายที่กำลังหน้าคิ้วขมวดขยี้ตาอยู่บนโซฟา

   อลันส่ายหน้า “นอนตอนนี้ก็นอนไม่หลับแล้ว เจ้าบ้านั่นอะไรกันนักกันหนานะ”

   “เห็นเขาบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับอลัน จะลองไปคุยหน่อยไหม วันหลังจะได้เลิกมาระรานคุณสักที”

   “ไว้วันหลังก็แล้วกัน โดนป่วนแต่เช้าอารมณ์ไม่ดีเลย”

   “เอานมหน่อยไหม เดี๋ยวผมไปเทให้”

   “อืม”

   ถึงจะบอกว่าที่นี่เป็นหอพัก แต่สำหรับหอพักของ ISA ค่อนข้างกว้างขวาง ภายในหนึ่งห้องมีแยกห้องน้ำ ห้องครัว ห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องว่างเปล่าหนึ่งห้องสำหรับทำงานในตัว ห้องอื่นนอกจากห้องทำงานแล้วจะมีเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ และสิ่งจำเป็นครบครัน ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นบ้านพร้อมอยู่หลังหนึ่งเลยทีเดียว

   มิราเคิลเปิดตู้เย็นหยิบนมขึ้นมาเทใส่แก้ว เมื่อวานพวกเขาช่วยกันจัดข้าวของที่รถรับจ้างขนของย้ายจากคอนโดเก่านำมาส่งให้จนดึกดื่น เพราะฉะนั้นกว่าจะได้นอนก็เลยเวลานอนของเด็กไปมาก ไม่แปลกนักเมื่อโดนกวนแต่เช้าอลันจึงหงุดหงิด

   “อลัน ได้แล้วครับ” ยื่นแก้วนมไปให้ เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกรับไปดื่มไม่ถึงนาทีก็หมด

   แก้วว่างเปล่าถูกวางลงบนโต๊ะเคียงข้างแก้วกาแฟที่ควันร้อนเริ่มจางลง

   “กาแฟนี่...?”

   “ไม่มีอะไรครับ อย่าใส่ใจเลย”

   มิราเคิลเก็บแก้วสองใบใส่ลงเครื่องล้างจานอัตโนมัติ มันเหมือนความคุ้นชินอย่างหนึ่งของเขาที่ต้องชงกาแฟยามเช้าดื่มทุกวันในวันเวลาที่ไม่ได้ออกไปรบ พอมาอยู่ในร่างนี้กินไม่ได้ดื่มไม่ได้ กาแฟที่เผลอชงมาจึงต้องวางเก้ออยู่บนโต๊ะ สิ่งที่ทำได้คือการนั่งมองมันแล้วจินตนาการถึงรสชาติที่คุ้นเคยในอดีต

   “กินข้าวเลยมั้ยครับ”

   “จะทำเมนูอะไรเหรอ” อลันเดินเข้ามาในครัว ชะโงกมองของบนเคาน์เตอร์ที่มิราเคิลหยิบออกมาวาง

   “ไข่เจียว”

   “งั้นฉันขอตัวไปอาบน้ำก่อนแล้วจะออกมากินนะ” เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรต้องล้างอลันจึงเดินหยิบเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำไป หากเป็นเมนูพวกเนื้อสัตว์หรือผักที่ต้องล้างให้สะอาดก่อนนำไปประกอบอาหาร อลันจะเป็นคนช่วยมิราเคิลทุกครั้ง เพราะมิราเคิลไม่ใช่หุ่นยนต์รุ่นกันน้ำ หากน้ำซึมข้าไปโดนอุปกรณ์ภายในจะทำให้พังได้ง่ายๆ

   บางครั้งอลันคิดอยากจะเปลี่ยนห้องครัวธรรมดาให้กลายเป็นห้องครัวอัจฉริยะ  มิราเคิลจะได้ไม่ต้องเสี่ยงถูกน้ำบ่อย หรือไม่ก็ให้ AI พวกนั้นทำอาหารทุกอย่างแทนมิราเคิลไปเลยก็ได้ แต่ความรู้สึกที่ได้ช่วยทำอาหารด้วยกันสองคนมันเติมเต็มหัวใจอลันได้ดีกว่า

   ตั้งแต่เล็กอลันถูกเลี้ยงมาโดยคุณปู่ ส่วนพ่อกับแม่มักยุ่งอยู่กับงานจนไม่มีแม้แต่เวลากลับบ้าน หลังจากคุณปู่เสียก็มีมิราเคิลคอยเคียงข้างเรื่อยมา แต่เมื่อมิราเคิลพังไปเด็กน้อยจึงต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียวภายในบ้านอันกว้างใหญ่

   เพราะเหตุนั้นอลันจึงชอบที่มีคนคอยห่วงใยดูแลตนเองแบบนี้ อาหารที่มิราเคิลทำรสชาติอาจแย่ไปนิด แต่มันอัดแน่นไปด้วยความใส่ใจ เขาจึงรู้สึกว่ามันอร่อยมาก

   หลังจากอาบน้ำเสร็จอลันออกมานั่งที่โต๊ะกินข้าว รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่ไข่เจียวในวันนี้หน้าตาดีผิดปกติ แล้วยิ่งแปลกใจเข้าไปอีกเมื่อตักเข้าปากไปคำแรกพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ

   “อื้ม วันนี้อร่อยกว่าปกตินะ”

   “แปลว่าอลันชอบแบบนี้สินะครับ ผมจะจำไว้” มิราเคิลหยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดผมเปียกชื้นของเจ้านายตัวน้อย มองสีหน้าเปี่ยมสุขนั่นแล้วเขาก็สุขใจ แต่เดิมฝีมือทำอาหารของเขามันไม่แย่แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศ แต่พอมาอยู่ในร่างหุ่นกระป๋องที่ชิมรสไม่ได้ ไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิรอบกาย และมือสองข้างใหญ่โตที่มีเพียงข้างละสามนิ้ว ก็ไม่อาจกะเกณฑ์อะไรได้อย่างที่เคยทำ สิ่งที่พึ่งพาได้มีเพียงสายตาเท่านั้น ตอนทำอาหารช่วงแรกๆ เขาเกือบทำอุปกรณ์ในครัวของอลันพังตั้งหลายครั้งเพราะคุมแรงไม่อยู่อีกต่างหาก

   “วันนี้อลันจะออกไปไหนรึเปล่า”

   เด็กชายชั่งใจครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “งานทำรถบังคับสำหรับแข่งที่ฉันรับจ้างทำยังไม่เสร็จดีเลย กำหนดส่งภายในสัปดาห์หน้าแล้วด้วย ไม่มีเวลาว่างไปเที่ยวเล่นหรอก ถ้าคนบ้าข้างห้องมารบกวนอีกแล้วนายจัดการไม่ได้ก็มาเรียกฉันนะ”

   “เข้าใจแล้ว” แต่จะเป็นการดีกว่าที่เขาจะไม่รบกวนอลัน วิธีจัดการคนบ้าข้างห้อง มิราเคิลมีตั้งหลายวิธีโดยที่ไม่ต้องทำร้ายร่างกาย

   ไม่ผิดจากที่คนทั้งคู่คิด อีธานผู้ไม่เคยเข็ดขยาดบุกมารบกวนหน้าห้องอลันทุกวัน และมิราเคิลมักจะใช้กำลังที่เหนือกว่าล็อกคอลากลงลิฟต์ไป จากนั้นฉุดกระชากให้วิ่งเล่นรอบหอด้วยกันสักสิบรอบจนอีกฝ่ายเหนื่อยหอบลิ้นห้อย แล้วไประรานอลันไม่ได้อีก

   คนบ้าที่กำลังกายอ่อนแอจัดการได้ง่ายนิดเดียว เชื่อมือมิราเคิลสิ




   อลันยังคงง่วนอยู่กับการประดิษฐ์รถบังคับวิทยุ รู้สึกว่ามันจะเป็นของเก่าแก่ที่ยังได้รับความนิยมในหมู่เด็กๆ อยู่ แต่เพราะได้รับความนิยมมากจึงมีการจัดแข่งขันเป็นกีฬาขึ้นมา จนตอนนี้ตัวรถบังคับวิทยุเองก็พัฒนาจนมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถวิ่งได้ทั้งในทางขรุขระ ทางน้ำ และเส้นทางผาดโผนต่างๆ จากสนามแข่งธรรมดาก็ถูกปรับเปลี่ยนให้มีความท้าทายมากขึ้น เพื่อรองรับกับประสิทธิภาพรถบังคับในยุคปัจจุบัน

   มิราเคิลเดินตามหลังอลันลงไปยังชั้นล่างเพื่อทดสอบสมรรถภาพของสิ่งประดิษฐ์ในมือ ด้านหลังหอสามเป็นลานพักผ่อนเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ และมีที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ ขณะเดียวกันก็มีลานกว้างสำหรับให้นักเรียนมาทดสอบสิ่งประดิษฐ์ที่ต้องใช้พื้นที่มาก

   อลันบังคับรถในมืออย่างเรียบง่าย สำหรับมิราเคิลแล้วรู้สึกว่าสิ่งของชิ้นนี้มันน่าเบื่อเกินไปเมื่อเทียบกับรายการแข่งโดรนชิงแชมป์โลกที่เขาเคยดูเมื่อไม่กี่วันก่อน สิ่งนั้นมันมีความเร็วที่น่าทึ่งและน่าตื่นเต้นมากกว่าเจ้ารถต้วมเตี้ยมคันนี้อีก

   “ผมไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งนี้มันดีกว่าการบังคับโดรนแข่งตรงไหน”

   “อ้อ นายหมายถึงการแข่งโดรนชิงแชมป์โลกนั่นน่ะเหรอ” อลันยังคงบังคับรถบังคับวิทยุต่อไปโดยไม่ละสายตา “นายคงยังไม่เคยดูการแข่งรถบังคับวิทยุสินะ เดี๋ยวกลับห้องไปแล้วฉันจะเปิดให้นายดูเอง แต่ก่อนอื่น...ถือนี่ให้หน่อย” อลันยัดรีโมทบังคับในมือให้มิราเคิลถือ ส่วนตัวเองคว้าสมุดกับปากกาขึ้นมาจดพร้อมกับงึมงำสิ่งที่ต้องแก้ไขปรับปรุงอยู่ภายในลำคอ

   ส่วนคนถูกใช้ให้ถือของก็ถือวิสาสะจิ้มสิ่งของในมือเล่น พอมันขยับนิดเปลี่ยนรูปร่างหน่อยก็อดตกใจไม่ได้ สักพักจึงเริ่มสนใจขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนเหมือนว่าเขาจะตัดสินเจ้าสิ่งนี้เร็วไปหน่อยแฮะ

   และวันนั้นอลันก็อุ้มรถบังคับวิทยุกลับห้องแล้วขลุกตัวอยู่ในห้องทำงานทั้งวันจนหลับไป มิราเคิลทนเห็นเด็กตัวน้อยหลับนอนบนพื้นให้เสียสุขภาพกายไม่ได้ จึงอุ้มประคองอีกฝ่ายกลับห้องนอนตบท้ายด้วยการห่มผ้าอย่างดิบดี

   เมื่อพาอลันเข้านอนแล้วจึงไล่ปิดไฟในห้องครบทุกดวง ความมืดเข้าปกคลุม ช่วงเวลาค่ำคืนช่างแสนยาวนาน นานมาก และนาน...

   เข็มนาฬิกาไหลไปอย่างเชื่องช้า หลังจากเดินวนเวียนในห้องได้สักครู่จึงนั่งลงเปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลา

   ตอนกลางคืนที่ไม่สามารถนอนหลับได้มันช่างทรมานเสียจริง...

   “ว่าแต่อลัน... ยังไม่ได้เปิดรายการการแข่งรถบังคับวิทยุให้ดูตามที่สัญญาเลยนะ”




-----------------------------------------------จบตอน


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Sorrowkung

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0

ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1

ตอนที่ ๔

เปิดภาคเรียน




“กาแฟอีกแล้วเหรอ ฉันชอบโกโก้มากกว่า”

อลันเดินออกจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูพันรอบเอว เส้นผมเปียกโชกลู่ลงตามกรอบหน้า ร่างกายที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ทั้งเล็กและน่ารัก จุกเล็กๆ สีสวยบนยอดอกสองข้างส่ายไปมาดึงดูดสายตายิ่งนัก

มิราเคิลเก็บสายตากลับ ลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผมให้ตามปกติ

“ถ้าอลันต้องการจะไปชงให้”

“ไม่ต้องหรอก แล้วก็ฉันสั่งข้าวกับรูมเซอร์วิสไว้แล้ว ไม่ต้องทำอาหารนะ”

“เปิดเรียนวันแรก ตื่นเต้นไหม”

“มีอะไรให้ตื่นเต้นกัน” นั่งแกว่งขาบนโซฟา ริมฝีปากยกยิ้ม หลับตาพริ้มรับสัมผัสอ่อนโยนจากการถูกดูแล

วันนี้เป็นวันแรกของการเข้าเรียน ชุดเครื่องแบบนักเรียนชายของ ISA คือเสื้อเชิ้ตสีขาวคอปกแขนสั้น ประกอบกับเนกไทสีดำวาดลวดลายด้วยสีน้ำเงิน ตามด้วยเสื้อโค้ตชายยาวถึงครึ่งต้นขาหลัง ซึ่งสีเสื้อโค้ตจะแตกต่างกันไปตามหลักสูตรที่สนใจ แต่สำหรับวิศวกรรมเครื่องกลที่อลันสังกัดอยู่เป็นหลักจะเป็นสีดำสนิท ตบท้ายด้วยกางเกงสเเล็กสีดำและรองเท้าคัทชูเป็นอันสิ้นสุด

เรียกรวมๆ ได้ว่าเป็นเครื่องแบบสุดเท่ แต่พอมาอยู่บนร่างของอลัน กลับเป็นไปช่วยเสริมใบหน้าน่ารักที่มีอยู่แล้วให้เด่นขึ้นไปอีก กลายเป็นว่าอีกฝ่ายในยามนี้ได้กลายเป็นหนุ่มน้อยน่ารักสมบูรณ์แบบไปแล้ว

เห็นแบบนั้นมิราเคิลรู้สึกคันไม้คันมืออยากจับคนตัวเล็กทั้งอุ้มทั้งโยน ฟัดซ้ายหอมขวา และบีบแก้มป่องๆ อิ่มน้ำนั่นให้แตก นี่มันจะตรงสเปคสิ่งมีชีวิตที่เขาแพ้ทางเกินไปแล้ว

อดทนไว้มิราเคิล!

อด-ทน-ไว้!

โชคดีที่มีเสียงออดจากหน้าประตูพอดิบพอดี มิราเคิลจึงมีสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจออกจากร่างเล็กๆ ตรงหน้าได้สักที ไม่ต้องเปิดประตูไปดูก็พอจะเดาได้ว่าใคร หนึ่งเดือนในหอพักสามนี้ กริ่งหน้าประตูห้อง 503 ถูกกดไม่เคยว่างเว้นด้วยน้ำมือของคนเพียงคนเดียว

ใช่ นอกจากนักตื๊อนามอีธานแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก

แต่คราวนี้ผิดคาดเมื่อเปิดประตูไปแล้วเจอกับกล่องสี่เหลี่ยมติดล้อใบหนึ่ง ไร้เงาคนที่คาดเดา

“ส วัส ดี บริ การ รูม เซอร์ วิส จาก ร้าน พุง ส ไมล์ มา ถึง แล้ว รบ กวน คุณ ลูก ค้า จ่าย เงิน ก่อน รับ อา หาร ด้วย”

มิราเคิลยืนนิ่งมองกล่องสี่เหลี่ยมติดล้อตรงหน้า “อลัน กล่องพูดได้แหละ”

“นั่นมันหุ่นยนต์ AI ส่งอาหารจากร้านข้างหอต่างหาก ไม่ใช่กล่องสักหน่อย” อลันเดินมากดนิ้วจิ้มตัวเลขจำนวนเงินที่ต้องจ่ายลงไป ก่อนยกบัตรประชาชนขึ้นรูดลงในช่องจ่ายเงิน

เมื่อได้รับยอดเงินตรงตามที่กำหนดแล้ว เจ้าหุ่นยนต์ทรงสี่เหลี่ยมจึงเปิดฝากล่องออก เผยให้เห็นอาหารข้างในปรากฏสู่สายตา หลังจากหยิบอาหารออกหมดเรียบร้อย เจ้าหุ่นยนต์กล่องสี่เหลี่ยมก็ใช้ล้อทั้งสี่ข้างของมันพาตัวเองลงลิฟต์ไป

“มันลงลิฟต์ได้ยังไงทั้งที่ไม่มีมือกดปุ่ม”

“อันที่จริงถึงลิฟต์ตัวนั้นจะมีปุ่มให้กด แต่ความจริงแล้วใช้เสียงสั่งเอาก็ได้นะ”

“อ๋อ แล้วอลันสั่งอะไรมากิน” มิราเคิลมองของที่บรรจุอยู่ในกล่องพลาสติกใสกับแก้วกระดาษมีฝาปิดในมือตน

เพราะตัวเล็กหรือเปล่านะถึงได้กินน้อยขนาดนี้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้เอาแต่กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบตอนก่อนเจอเขาก็ถือว่าดีมากแล้ว

“ปาท่องโก๋กับโกโก้น่ะ ร้านนี้อร่อยนะ”

“โกโก้ร้านนี้อร่อยกว่าผมชงอีกเหรอ” น้ำเสียงเศร้าสลดทำให้ดวงตากลมโตของคนตัวเล็กยิ่งโตเข้าไปอีก อลันถลาเข้าไปเกาะแขนหุ่นยนต์ตัวใหญ่ข้างกาย เงยหน้าขึ้นส่งสายตาออดอ้อนออเซาะ

“เปล่านะ ถ้าสั่งปาท่องโก๋มาอยางเดียวร้านนี้จะไม่มาส่งให้น่ะสิ เลยต้องสั่งโกโก้มาด้วย ถ้าสั่งของกินอื่นเพิ่มอีกฉันกินไม่ไหว พอเหลือแล้วมันเสียดายจะตาย”

เห็นแบบนี้หัวใจมิราเคิลแทบละลาย ความจริงแล้วเขาไม่ได้เศร้าอะไรเลยสักนิด เพียงแค่คิดอยากแกล้งคนตัวเล็กเล่นเท่านั้น

ระหว่างกินอาหาร อลันเอาแต่มองแก้วโกโก้ร้อน ปากคาบปาท่องโก๋คาไว้ไม่ขยับ สุดท้ายก็เงยหน้าขึ้นมามองหุ่นยนต์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับตน

“มิราเคิล นายว่าระหว่างขนมปังกับปาท่องโก๋ อันไหนจุ่มกินกับโกโก้อร่อยสุด”

ปาท่องโก๋? ใช่สิ่งที่อยู่ในปากอลันหรือเปล่า ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ชื่อของกินอย่างปาท่องโก๋เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน และเพราะไม่รู้จักไม่เคยลิ้มรสจึงตอบไม่ได้ สุดท้าย... “แล้วอลันชอบอะไร”

“ปาท่องโก๋แหงอยู่แล้ว! ตอนจุ่มลงไปในโกโก้แล้วกินนะ น้ำโกโก้ร้อนๆ ก็จะทะลักเข้าปากพร้อมกันด้วย เข้ากันสุดๆ ไปเลย!”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาตื่นเต้นแบบนั้น มิราเคิลก็อดที่จะเห็นดีเห็นงามด้วยไม่ได้

“ผมก็ชอบปาท่องโก๋เหมือนกัน”

“ใช่มะ ใช่ม้า ขนมปังจุ่มกินกับโกโก้ก็ไม่ได้แย่หรอก แต่รสสัมผัสของปาท่องโก๋กับโกโก้มันเข้ากันได้ดีกว่าเยอะเลย แต่ผลสำรวจในเว็บไซต์ PP นั่นขนมปังดันชนะโหวตเฉย” ประโยคหลังอลันบ่นงุบงิบฟังแทบไม่ได้ศัพท์ สักพักจึงหันมายิ้มกว้างส่งให้หุ่นยนต์ตรงหน้า

เอาเถอะ ถึงจะไม่รู้จักไอ้ปาท่องโก๋กับเว็บ PP อะไรนั่น แต่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสของเด็กน้อยน่ารักรับอรุณ ก็เป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจมัวหมองอันสะสมมาตลอดหลายเดือนของเขาได้ดี

จากคู่มือและแผนที่ของ ISA ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ทำให้รู้ว่านอกจาก ISA จะมีพื้นที่กว้างขวางสุดลูกหูลูกตาแล้ว ยังมีการสอนหลากหลายแขนงวิชาเพื่อรองรับนักเรียนที่มีความถนัดแตกต่างกันไป โดยสร้างเป็นตึกแยก นอกจากนั้นหากมีความประสงค์ที่จะศึกษาในศาสตร์แขนงอื่น ก็สามารถทำเรื่องผ่านเว็บไซต์ของทางโรงเรียนได้ง่ายดาย หรือหากต้องการความร่วมมือจากนักเรียนสาขาอื่นก็สามารถเข้าไปทาบทามหรือชักชวนด้วยตัวเองได้โดยตรง เรียกได้ว่าหากต้องการผู้มีความสามารถในสายที่ต้องการก็ไม่ต้องตระเวนไปหาที่ไหนไกล เพราะ ISA ได้รวบรวมบุคคลเหล่านั้นมาไว้ ณ ที่แห่งนี้แล้วเรียบร้อย

อลันออกจากหอตอนเจ็ดโมงตรง ใช้บริการรถรับส่งของหอเพื่อไปยังหอประชุม ความจริงแล้วโรงเรียน ISA มีนโยบายสนับสนุนให้นักเรียนเดินทางภายในโรงเรียนโดยใช้รถจักรยาน เพื่อให้นักเรียนทุกคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่ามีบริการจักรยานฟรีตามจุดจอดรถต่างๆ แต่มิราเคิลไม่ได้มีโครงสร้างร่างกายเหมือนมนุษย์และยังเป็นหุ่นยนต์ที่ระบบภายในล้าสมัย ดังนั้นจึงต้องเดินทางด้วยรถรับส่งที่เสียเงินแทน

วันแรกของการเปิดภาคเรียนจะมีปฐมนิเทศ หน้าที่ของอลันเพียงแค่นั่งฟังและรอเวลาขึ้นไปกล่าวบนเวทีในฐานะตัวแทนของเด็กเข้าใหม่ทุกคน ส่วนมิราเคิลถูกจัดให้ยืนอยู่ข้างเวที เพราะร่างกายใหญ่เทอะทะจึงไม่อาจนั่งปะปนเบียดเสียดอยู่ในหมู่นักเรียนคนอื่นได้

แสงสว่างบนเวทีขับให้ผิวขาวนวลนุ่มนิ่มของอลันดูโดดเด่น น้ำเสียงนุ่มนวลน่ารักยามพูดออกไมค์ชวนให้ผู้ได้ฟังรู้สึกใหลหลง อลันในตอนนี้ช่างเปล่งประกายยิ่งนัก

เพียงไม่นานอลันก็กลายเป็นที่รู้จักของทั้งโรงเรียนโดยเฉพาะในหมู่สาวๆ นอกจากจะเป็นเด็กอายุน้อยที่สุดที่สอบเข้า ISA ได้ ยังมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูชวนให้ใจบอบบางของสาวน้อยสาวใหญ่อ่อนระทวย อดไม่ได้ที่จะควักเงินออกมาซื้อขนมเลี้ยงเด็กน้อยคนนี้เป็นของขวัญ แล้วหยิกแก้มตบท้ายไปสักทีสองที

มิราเคิลมองแก้มขาวสองข้างขึ้นสีแดงเป็นรอยนิ้วมือแล้วรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก เขาเองก็อยากจะบีบแก้มนั่นเล่นเหมือนกัน เสียดายที่ยังควบคุมแรงมือได้ไม่ดีนัก และถึงจะควบคุมแรงได้ พอจับไปเขาคงไม่รู้สึกถึงความนิ่มหยุ่นนั่นอยู่ดี

...ก็เป็นหุ่นยนต์นี่นะ

“พวกพี่สาวให้ขนมมาเต็มเลย” ระหว่างเดินไปยังห้องเรียน มือสองข้างของหนึ่งคนหนึ่งหุ่นเต็มไปด้วยขนมที่นักเรียนหญิงต่างซื้อมาให้เพราะโดนความน่ารักตกหัวใจไป สุดท้ายด้วยจำนวนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทาง อลันจึงตัดสินใจเช่าล็อกเกอร์ของทางโรงเรียนมาเก็บขนมพวกนี้ไว้กินในภายหลัง

“เนื้อหอมจังนะครับ”

“อ๊ะ แน่นอน เพราะฉันน่ารักนี่นา”

เป็นความจริงที่มิราเคิลเถียงไม่ออก





ภายในห้องเรียนทั้งกว้างและโปร่ง โต๊ะเรียนเป็นทรงโค้งทอดยาวต่อกันเป็นแถวสั้นๆ มีเว้นช่องว่างเป็นทางเดินขึ้นสองฟากฝั่ง โต๊ะด้านล่างใกล้กระดานสอนอยู่ต่ำสุด ถัดไปด้านหลังไล่ระดับความสูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ เพื่อให้ผู้อยู่ด้านหลังสามารถเห็นกระดานและผู้สอนด้านหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ละโต๊ะมีแท่นเสียบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับการเรียนบริการให้

นักเรียนแต่ละคนเลือกที่นั่งตามที่ตนเองพอใจ ส่วนใหญ่จะนั่งจับกันเป็นกลุ่มของคนจำพวกเดียวกันที่เข้ากันได้ อลันเลือกนั่งโต๊ะแถวกลางห้อง แท็บเล็ตถูกยกขึ้นมาวางไว้บนแท่นเสียบชาร์จและรับข้อมูล ตามด้วยสมุดจดและอุปกรณ์เครื่องเขียนจำนวนหนึ่ง

ทันทีที่อาจารย์ที่ปรึกษาเดินเข้ามา เสียงพูดคุยในทีแรกก็เริ่มเงียบลง คลาสแรกเป็นคลาสเรียนบังคับให้ทุกคนทำความรู้จักกัน นักเรียนแต่ละคนต้องออกไปยืนหน้าชั้นและแนะนำตัว อลันเองก็เช่นกัน

ขาสั้นๆ ก้าวไปหยุดหน้าห้อง สายตากวาดมองเหล่าเพื่อนร่วมชั้นที่มีอายุอานามหลากหลายแตกต่างกันไป ก่อนจะหยุดชะงักอยู่จุดจุดหนึ่งแล้วถอนสายตากลับมา สุดท้ายจึงยิ้มเผล่เอ่ยเสียงสดใสไพเราะแนะนำตัวเอง

“ฉันชื่ออลัน คูเปอร์ อายุ 13 ปี ยินดีที่ได้รู้จัก จากนี้ไปก็ต้องขอฝากตัวด้วยนะ”

ถึงแม้ห้องเรียนจะกว้างใหญ่ แต่นักเรียนภายในห้องกลับมีน้อยนิด ไม่นานนักการแนะนำตัวหน้าชั้นเรียนก็จบลง

“ชั้นเรียนในวันแรก อาจารย์จะทำการทดสอบความสามารถพื้นฐานในแต่ละวิชาของพวกเธอ แม้ว่าจะเป็นวิชาพื้นฐาน แต่พื้นฐานคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ขอให้ตั้งใจทำให้เต็มที่ มันเป็นตัววัดระดับของพวกเธอว่าหลังจากนี้จะถูกส่งไปเรียนในเกรดไหน”

ว่าแล้วอาจารย์ที่ปรึกษาก็ส่งข้อสอบไปให้นักเรียนดาวน์โหลด ชุดข้อสอบจำนวนมากไหลสู่แท็บเล็ต เมื่อหมดเวลาดาวน์โหลดแล้วจึงปล่อยคลื่นรบกวนสัญญาณอินเทอร์เน็ตโดยรอบป้องกันการคดโกง

“อาจารย์ครับ ผมสงสัยว่าจะมีคนโกงการสอบ”

สายตาโดยรอบต่างหันไปจับจ้องนักเรียนที่ยกมือขึ้น คนคนนั้นคือเจย์ แบรดฟอร์ด ชายผู้มีเรือนผมสีแดงชี้ฟูไม่เป็นทรง แว่นตากลมหนาเตอะบดบังพื้นที่บนใบหน้าไปมากกว่าครึ่ง

ดาวเหนือ อาจารย์ที่ปรึกษาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถาม “ใครหรือ”

“เป็นเขา!” ชี้นิ้วไปยังผู้ที่นั่งกลางห้องเรียน สายตาที่เคยจับจ้องบนตัวเขาถูกย้ายไปอยู่บนตัวอีกผู้หนึ่ง

“อลันรึ? ทำไมเธอถึงสงสัยเขา”

“ผมสงสัยว่าเขาจะใช้หุ่นยนต์ที่นั่งอยู่ด้านข้างให้ช่วยบอกคำตอบ”

หากดวงตาขยับได้ มิราเคิลคงถลึงตาจ้องอีกฝ่ายไปแล้ว คนโง่อย่างเขาน่ะหรือจะไปช่วยอะไรอลันได้

“เป็นความจริงรึเปล่า” ดาวเหนือหันมาถามเด็กชายที่อายุน้อยที่สุดในห้อง

อลันลุกขึ้นยืนก่อนตอบปฏิเสธออกไป “ไม่เป็นความจริงครับ ผมไม่เคยป้อนข้อมูลสายงานที่ผมทำไปในตัวมิราเคิลเลยแม้แต่น้อย”

“พิสูจน์ได้ไหมล่ะว่าไม่เคยป้อนข้อมูลให้จริง” เจย์ไม่ยอมแพ้ยังคงกดดันต่อไป

เมื่อเห็นว่าได้เวลาทำข้อสอบแล้ว และเกรงว่าเหตุการณ์นี้จะรบกวนการสอบของนักเรียนคนอื่น ดาวเหนือจึงต้องรีบจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด

“เอาละ พวกเธอสองคนนั่งลงก่อน เรื่องที่จะให้พิสูจน์ข้อมูลในตัวหุ่นยนต์ของอลันยามนี้ไม่สะดวกนัก แต่เพื่อความสบายใจของทุกคน ให้หุ่นยนต์ของเธอออกไปรอนอกห้องได้ไหม อันที่จริงการเอาหุ่นยนต์เข้ามานั่งในห้องเรียนนอกคาบเรียนภาคปฏิบัติมันก็ไม่ค่อยเหมาะสมนัก”

อลันหน้ามุ่ยแก้มป่อง “มีอลันอยู่ที่ไหนมิราเคิลก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วย เรื่องเอามิราเคิลเข้ามานั่งเรียนด้วยในคาบ ผมได้ขออนุญาตกับผู้อำนวยการโดยตรงแล้วนะครับ”

“งั้นให้หุ่นยนต์ของเธอมายืนข้างอาจารย์ไหม ดูเธอสอบอยู่ข้างหน้า เธอเองก็จะได้เห็นหุ่นยนต์ของเธออยู่ในสายตาด้วย แค่ตอนสอบเท่านั้น หลังจากนี้เธอจะนั่งเรียนกับหุ่นยนต์ทุกคาบอาจารย์จะไม่ว่าอะไร”

ดาวเหนือยื่นข้อเสนอประนีประนอม และได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจเมื่ออลันพยักหน้าตอบตกลง

การสอบดำเนินต่อไปตลอดช่วงเช้าโดยมีความไม่พอใจของเจย์สุมแน่นอก ส่วนอลันมักเงยมองไปทางมิราเคิลที่อยู่หน้าห้องพร้อมส่งยิ้มแป้นให้ตลอด

มิราเคิลมองใบหน้าเปื้อนยิ้ม อารมณ์ที่สะกดกลั้นมาตั้งแต่เช้าพลันพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง

อยากหยิกแก้มเด็กนี่จนแตกจริงๆ ให้ดิ้นตายสิ!

นาฬิกาดิจิตอลเปลี่ยนเลขบอกเวลา 12.30 น. เป็นเวลาพักกลางวัน การสอบช่วงเช้าสิ้นสุดลง แม้ว่าจะบอกว่าเป็นการสอบวัดระดับพื้นฐาน แต่ข้อสอบกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด

ก่อนจาก ดาวเหนือ อาจารย์ที่ปรึกษาทิ้งท้ายไว้ว่าผลการประเมินจะถูกแจ้งให้ทราบในอีกสามวัน และนักเรียนทุกคนจะได้รับคู่มือแนะนำแนวทางการศึกษาส่งแนบไปให้ด้วย

อลันเก็บแท็บเล็ตใส่กระเป๋าเตรียมออกจากห้อง ขณะลุกจากเก้าอี้ไปหามิราเคิลกลับถูกมือข้างหนึ่งรั้งไหล่เอาไว้

“ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่านายจะสอบเข้าโรงเรียนนี้จนได้อันดับหนึ่งมาด้วยความสามารถของตัวเอง”

อลันยกยื้มชืดชาแล้วปัดมือข้างที่จับไหล่ตนออกไป เขารู้สึกตั้งแต่ตอนออกไปแนะนำตัวหน้าห้องแล้วว่าเจย์ แบรดฟอร์ดจ้องมองมายังเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรขนาดไหน

“นายไม่รู้จักฉันแท้ๆ ด่วนกล่าวหากันเกินไปหน่อยไหม”

“หุ่นยนต์ตัวนั้นของนายคงสร้างเองสิท่า มองด้วยตาเปล่ายังรู้เลยว่าตกยุคขนาดไหน คนที่มีปัญญาสร้างได้แต่ของพรรค์นี้จะเอาปัญญาที่ไหนมาสอบเข้า ISA ได้กัน”

“ฉันพอใจจะสร้างมิราเคิลออกมายังไงก็เรื่องของฉัน ถ้าคิดว่าคะแนนสอบเข้า ISA นั้นได้มาด้วยการโกง งั้นอีกสามวันนายรอดูผลแล้วกัน” ว่าจบก็หันหลังกลับ ประจวบเหมาะกับมิราเคิลที่เดินมารับอลันพอดี

หนึ่งคนหนึ่งหุ่นจับมือเคียงกันออกจากห้อง เหลือเพียงสายตาไม่พอใจของเจย์มองส่งตามหลังเท่านั้น

“ก่อนผมจะมา อลันคุยอะไรกับเขาเหรอครับ”

“เรื่องไร้สาระน่ะ อย่าใส่ใจเลย”

“รู้จักเขาเหรอครับ คนคนนั้นน่ะดูไม่ชอบคุณเอามากเลยนะ”

“อืม” ส่งเสียงในลำแล้วยกมือขึ้นเกาหัวเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่าง “เจย์ แบรดฟอร์ดสอบเข้า ISA พร้อมกันกับฉัน แถมยังสอบเข้ามาด้วยคะแนนที่สูงมากด้วย ถ้าจำไม่ผิดหมอนั่นได้ที่สอง ส่วนฉันได้ที่หนึ่ง เพราะเหตุนี้ละมั้งถึงได้ตั้งแง่กับฉันนัก ก็แค่พวกขี้อิจฉา ชินแล้วละ”

บางทีไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลลึกซึ้งคนเราก็สามารถไม่ชอบกันได้ อลันชินชากับเรื่องพวกนี้เสียแล้ว ขอแค่ไม่ก้าวล้ำเส้นความอดทนของเขา อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่เมื่อไหร่ที่ก้าวข้ามผ่านเส้นกั้นนั้นมา จะหาว่าเขาไม่เตือนไม่ได้เสียแล้ว



----------------------------จบตอน ๓ ขอบคุณทุกคนที่สนใจติตามนิยายเรื่องนี้นะคะ ^^ Happy New Year ขอให้มีความสุขมากๆ ในปี 2564 ค่ะ


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๕

ฝันร้าย



อลันทานมื้อกลางวันในโรงอาหารใต้ตึกเรียนเสร็จแล้วตัดสินใจนั่งรถสำรวจโรงเรียนต่อ ตลอดหนึ่งเดือนที่อาศัยอยู่ในหอพักอลันเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้อง หากไม่สร้างสิ่งประดิษฐ์ก็หยิบหนังสือยากๆ มาอ่าน มิราเคิลเคยลองหยิบไม่อ่านบ้าง แต่พออ่านไปได้สามหน้าเขาก็วาง

ตัวเลข สัญลักษณ์ สูตรแทนค่า และภาษาที่ถึงแม้จะอ่านออกแต่ไม่อาจทำความเข้าใจได้นั้นทำให้มิราเคิลเลิกสนใจพวกมันโดยสิ้นเชิง โลกของคนหัวดีช่างสูงส่งเกินเอื้อมจริงๆ ใช่สิ เขามันแค่ทหารจนๆ ต๊อกต๋อยคนหนึ่งเท่านั้น แค่อ่านหนังสืออกได้ก็บุญหนักหนาแล้ว ลองเป็นเรื่องต่อยตีเขาไม่แพ้ใครแน่!

อลันเปลี่ยนระบบรถไร้คนขับมาเป็นระบบแมนนวล แต่เพราะตัวเล็กเกินจะมองเห็นทางจากตำแหน่งคนขับ จึงบังคับให้มิราเคิลให้มานั่งแทนที่ตน ส่วนตัวเองกลับปีนขึ้นนั่งตักมิราเคิลอีกที

...เท่านี้ก็เรียบร้อย…

ใบหน้าเล็กเชิดขึ้นภาคภูมิใจ มือสองข้างกำพวงมาลัยแน่น เมื่อมิราเคิลเหยียบคันเร่งรถจึงเคลื่อนตัวโดยมีคนน่ารักคอยกำกับควบคุมเส้นทาง

ทิวทัศน์รอบกายไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า เป็นเพราะว่ามิราเคิลไม่ได้เร่งความเร็วมากนัก สถานที่และตึกต่างๆ ของ ISA มีการตกแต่งน่าสนใจ แต่ละโซนจะให้บรรยากาศแตกต่างกัน บางที่ออกแนวทันสมัย บางที่กลับย้อนยุค และบางที่ก็ราวกับอยู่ในโลกนิทาน ตัวตึกเองก็แปรเปลี่ยนให้เข้ากับบรรยากาศในสถานที่บริเวณนั้นเช่นกัน

“ทำไมถึงมีสถานที่เหมือนกับวัดตรงนั้นด้วย แล้วตรงนู้นทำไมเหมือนกับโบสถ์ของชาวคริสต์”

“นายอาจไม่รู้ ISA มีสาขาเกี่ยวกับการแสดงการบันเทิงด้วย สถานที่พวกนี้นอกจากใช้เป็นสถานที่เรียนหนังสือแล้วยังมีเอาไว้ถ่ายทำหนังถ่ายทำละครนั่นแหละ บางทีคนนอกก็มาติดต่อขอเช่าสถานที่กับทางโรงเรียนเหมือนกัน”

“จะบอกว่าคนสร้างโรงเรียนนี้เป็นพวกฉลาดหรือพวกขี้งกดีล่ะเนี่ย”

“ฮะๆ มีที่กว้างขวางทั้งที สร้างเอาไว้ให้นักเรียนไม่กี่คนมาศึกษาเล่าเรียนอย่างเดียวก็เสียของเปล่าน่ะสิ”

แค่อยู่ในโรงเรียน ISA มิราเคิลก็รู้สึกเหมือนได้ท่องเที่ยวทั่วโลก ในโลกใบนี้ค่อนข้างแตกต่างกับโลกใบเก่าของเขามาก แต่ไม่ทั้งหมด วัฒนธรรมและสิ่งก่อสร้างบางอย่าง รวมทั้งศาสนาบางส่วนยังคงเหมือนโลกที่เขาจากมาไม่มีผิด จะบอกว่านี่คือโลกอนาคตอีกหลายร้อยหลายพันปีต่อมาก็ไม่น่าใช่ เพราะเขาเคยลองใช้เจ้าสิ่งที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตค้นหาชื่อประเทศ บุคคลสำคัญ รวมทั้งประวัติศาสตร์ของโลกนี้แล้ว กลับไม่พบเจอร่องรอยอะไรที่บ่งบอกถึงสถานที่ที่เขาจากมาเลยแม้แต่น้อย

โลกแห่งนี้เต็มไปด้วยเครื่องมืออำนวยความสะดวกครบครัน มีวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวไกลเกินกว่าจะนึกถึง แต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียวที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือการแบ่งชนชั้นวรรณะเข้มงวดเกินไป

ในโลกก่อนของเขาไม่ใช่ไม่มีการแบ่งแยกฐานะแบบนี้ คนรวยอยู่สุขสบาย คนมีความสามารถได้เลื่อนขั้น คนจนถูกกดหัวต่ำ และอีกสารพัดจะแบ่งแยก แม้จะไม่ได้มีกฎเกณฑ์การแบ่งแยกชัดเจนเหมือนโลกนี้ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความไม่พอใจจนนำไปสู่สงครามขนาดย่อม แล้วกับโลกที่แบ่งแยกชัดเจนเสียขนาดนี้จะไม่มีคลื่นใต้น้ำก่อตัวขึ้นเลยเหรอ? หรือไม่บางทีอาจจะ...

มิราเคิลส่ายหัว เลิกคิดไปในทางร้าย สลัดสัญชาตญาณทหารเก่าทิ้งไป การมองโลกในแง่ร้ายรู้สึกจะกลายเป็นนิสัยเสียของเขาไปเสียแล้ว ถ้าคิดในแง่ดีเข้าหน่อยบางทีโลกนี้อาจมีวิธีบริหารควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ให้อยู่ในกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ก็ได้

“มิราเคิลเหยียบคันเร่งให้มิดเลย!”

มิราเคิลหลุดจากภวังค์ มองทางข้างหน้า แต่แทนที่จะเหยียบคันเร่งให้มิดตามคำสั่งของเด็กชายตัวเล็กบนตัก เขากลับโยกเท้าไปเหยียบเบรกแทน

“จะขับชนคนบ้าไม่ได้นะครับอลัน โบราณว่าไว้ว่าอย่าถือสาคนบ้าอย่าว่าคนเมา”

“หมอนั่นเป็นสตอล์กเกอร์รึยังไง มากวนกันอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน”

ไม่รู้ว่าเป็นเหตุบังเอิญหรืออย่างไรที่กำลังขับรถกินลมชมวิวอยู่ดีๆ ดันบังเอิญมาเจอะเจออีธานเข้าให้ หากยืนข้างถนนก็ว่าไปอย่าง พวกเขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นได้ แต่นี่เจ้าตัวกลับบ้าขนาดกระโจนลงมายืนกลางถนนขวางทางรถเพื่อเรียกร้องความสนใจ

มิราเคิลที่ต้องรับมือกับคนบ้าทุกวันเริ่มชินชาจนกลายเป็นคุ้นชิน แต่อลันที่ถูกรบกวนการทำงานและการอ่านหนังสือทุนวันกลับเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ จากที่เย็นเป็นน้ำแปรเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่มดั่งไฟ แตกต่างจากวันแรกที่ได้พบเจออีธาน แม้ว่ามิราเคิลจะใช้สารพัดวิธีขับไล่คนบ้าออกไปให้แล้ว แต่ก็ยังสร้างความรำคาญใจตกค้างไว้ให้อลันอยู่ดี

“บางทีคุณควรคุยกับเขาให้รู้เรื่องนะ”

“หมอนั่นมันน่าขยะแขยงจะตาย ทำตัวเหมือนตาแก่หื่นกามในการ์ตูนลามกอยู่ได้”

เอ๊ะ? อะไรนะ เขาได้ยินไม่ผิดใช่ไหม เมื่อกี้เด็กน้อยที่น่ารักของเขาพูดว่าอะไรนะ การ์ตูนลามก? รู้ได้ยังไงว่าในการ์ตูนลามกจะมีของแบบนั้น ไม่ ไม่ ไม่ เทวดาน้อยของเขาคงไม่อ่านไอ้ของพรรค์นั้นหรอกมั้ง

และแน่นอนว่าเพราะอยากให้อลันยังคงเป็นเทวดาตัวน้อยผู้มอบความชุ่มชื้นให้หัวใจอันบอบบางดวงนี้อยู่ มิราเคิลจึงเลือกล้างสมองตนเองไปบัดเดี๋ยวนั้น

...เมื่อกี้เขาไม่ได้ยินอะไรเลยจริงๆ นะ

“สวัสดีคุณเนื้อคู่! ฉันเองอีธานไง! จำได้รึเปล่า~!”

“ไอ้เจ้านั่นกล้าดียังไงมาตะโกนกลางถนนแบบนี้” มือเล็กกำพวงมาลัยแน่น ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความโกรธ

คนมากมายต่างหยุดเดินหันมองมาทางพวกเขาด้วยความสนใจ แต่ดูท่าตัวต้นเหตุจะไม่รู้จักคำว่ายางอายเลยแม้แต่น้อย

“ว้าย! ดูนั่นสิ นั่นอีธานนี่ ส่วนเด็กในรถนั่นใช่หนูน้อยอลันคนดังใช่รึเปล่า”

“ใช่นะ ตัวเล็กน่ารักขนาดนี้มีอยู่คนเดียวในโรงเรียนเราเนี่ยแหละ”

“เห็นอีธานตะโกนเรียกอลันว่าเนื้อคู่ด้วย คราวนี้หมอนั่นเล็งเด็กคนนั้นอยู่เหรอ”

“อาจจะใช่”

“อันที่จริงอีธานก็หน้าตาไม่เลวนะ หนูน้อยอลันก็น่ารัก เหมาะสมกันดีเหมือนกัน”

“สู้ๆ นะอีธาน จีบหนูน้อยอลันให้ติดล่ะ พวกเราเอาใจช่วยอยู่!”

“สู้ๆ นะ พ่อหนุ่มรักคุด!”

ยิ่งได้ยินเสียงเชียร์จากคนรอบข้าง อลันยิ่งหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ สุดท้ายทนฟังไม่ไหวเปิดประตูรถลงแล้วถอดรองเท้าขว้างใส่อีธานเข้าเป้าเต็มหน้า

“จะไปตายที่ไหนก็ไป ไอ้บ้า!”

ตะโกนด่าเสร็จก็มุดกลับเข้าไปในรถ แล้วบังคับถอยหลังกลับหอพักโดยไม่หันมาสนใจอีธานอีก การทัวร์โรงเรียนในวันนี้เป็นอันต้องยกเลิกไปโดยปริยาย

“ยินดีด้วยนะอีธาน อกหักครบครั้งที่ห้าสิบพอดีเลย” ผู้คนโดยรอบปรบมือให้กำลังใจ เผยสีหน้าเศร้าหมองราวกับได้รับชมละครโศก สวนทางกับคำพูดที่ออกมาจากปากลิบลับ

ส่วนคนที่โดนรองเท้าปาเข้าเต็มหน้าเผยสีหน้าห่อเหี่ยว ชั่วครู่ก็กลับมาร่าเริงสดใสอีกครั้ง

“ยังหรอกน่า ยังมีพรุ่งนี้อีก!”




“กร๊าก! ฮ่าๆๆๆ”

ก้าวแรกหลังจากเหยียบย่างเข้าหอสาม สิ่งที่ต้อนรับอีธานเป็นอันดับแรกคือเสียงหัวเราะของเอลวิส มุมปากบิดคว่ำลง น้ำตาไหลเอ่อคลอรอบดวงตา สุดท้ายทนไม่ไหววิ่งเข้าไปกอดขาผู้ดูแลหอพักพร้อมระบายความในใจ

“แง เจ้าตัวเล็กเกลียดเค้าแล้วอ่า ทำไงดี ฮือ”

เอลวิสพยายามสะบัดขาข้างที่ถูกเกาะกุม แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจสู้มือตุ๊กแกเหนียวหนึบนั้นได้จนได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

“รอยรองเท้าเต็มหน้าเชียว ไปยั่วโมโหปีศาจน้อยมารึไง”

“เปล่ายั่วโมโหซะหน่อย แค่อยากจะชวนมาร่วมงานด้วยเท่านั้นเอง”

“อันที่จริงฉันก็สงสัยมานานแล้วนะ คำชวนร่วมงานของนายมันเสี่ยวซะไม่มี”

“ก็ ฟืด! ก็คุณยายบอกว่าถ้าอยากชวนใครมาร่วมงานด้วยต้องจีบเขาให้ติดน่ะสิ คนอื่นเขายังฟังฉันก่อนค่อยปฏิเสธ แต่เจ้าตัวเล็กไม่ฟังอะไรเลยแถมยังปารองเท้าอัดหน้าอีกอ่า แง!”

“โอ๊ย! โอย หูฉัน... เสียงนายนี่มันแปดหลอดจริงๆ” เอลวิสยกมือขึ้นอุดหูทันทีที่อีธานแหกปากร้องลั่น ตัวโตขนาดนี้แล้วแต่ยังทำนิสัยเป็นเด็กไปได้ “เฮ้อ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำสอนของคุณยายนายมีปัญหาหรือสมองนายมีปัญหากันแน่ เอางี้นะ นายอยากเป็นแฟนกับปีศาจน้อยรึเปล่า”

อีธานส่ายหัว

“งั้นก่อนอื่นเลย นายเลิกพูดจาเกี้ยวพาราสีแล้วก็เลิกทำกิริยารุ่มร่ามนั่นเวลาเจอปีศาจน้อยก่อน หลังจากนั้นก็ไปขอโทษเรื่องที่ไปก่อกวนทุกเมื่อเชื่อวันซะ พยายามตีสนิทเขาแบบเพื่อนไม่ใช่คนรัก จากนั้นค่อยลองคุยตกลงธุรกิจร่วมกัน แค่นี้ก็จบแล้ว”

“ไม่ต้องจีบจริงๆ เหรอ” อีธานพูดเสียงอ่อย

“อยากกินมะเหงกไหม” ชูกำปั้นขึ้นข่มขู่จนอีกฝ่ายหดหัวกลับ “ถ้าเข้าใจแล้วค่อยไปขอโทษปีศาจน้อยพรุ่งนี้แล้วกัน”

“เอ๊ะ! ไม่ใช่วันนี้เหรอ”

“วันนี้นายทำปีศาจน้อยเดือดจัด เขาคงจะไม่มีอารมณ์จะเจอหน้านายอีกหรอกนะ นู่น! ตอนปีศาจน้อยกลับมาหน้าบูดเป็นตูดลิงเชียว ขนาดฉันทักทายยังไม่หันมาทักตอบเลย ถ้าเจอหน้านายวันนี้อีกหากไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้ว”

จู่ๆ ขนแขนก็ลุกชันจนอีธานต้องลูบมันลง เขายังไม่อยากโดนหุ่นกระป๋องนั่นต่อยดั้งหักอีกรอบหรอกนะ

พรุ่งนี้ก็พรุ่งนี้สิ!




ตอนกลางคืนวนมาถึงอีกครั้ง หลังจากส่งอลันเข้านอนแล้ว ด้วยความเบื่อหน่ายจึงออกจากหอไปเดินเล่นตัวคนเดียว ลมกลางคืนพัดแรงส่งให้กิ่งก้านต้นไม้ขยับไหวเสียดสีดังแซ่กซาก ท้องฟ้าพร่างพราวดาวในวันนี้ถูกมวลเมฆปกคลุมโดยรอบทำให้ทางเดินสลัวมืดกว่าทุกวัน โชคยังดีที่มีแสงไฟบนฟุตบาทคอยส่องนำทาง

ดูท่าแล้ววันนี้เขาคงต้องกลับเข้าห้องเร็วกว่าทุกวัน หากฝนตกจนเขาพังขึ้นมา ไม่รู้ว่าอลันจะเสียใจขนาดไหน เพราะเขา...ไม่สิ เพราะมิราเคิลเป็นหุ่นยนต์ที่อลันรักมากต่างหาก ทั้งๆ ที่พังไปครั้งหนึ่งแล้วแต่เด็กคนนั้นกลับพยายามฟื้นคืนชีพมิราเคิลให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมอีกครั้ง

ในฐานข้อมูลของมิราเคิลตัวเก่าไม่ได้บ่งบอกว่าอลันสนใจในการสร้างเครื่องจักรกลเหมือนคุณปู่ด้วยซ้ำ ถ้าให้เขาคาดเดาเรื่องที่อลันเดินทางสายนี้คงเป็นเพราะสูญเสียที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ไป รอบกายไม่มีใครช่วยเขาได้จึงมีแต่ต้องพึ่งตัวเอง สุดท้ายด้วยความเพียรพยายามของเจ้าตัวจึงทำให้มิราเคิลถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้ง

เขาเดินกลับเข้าห้องแง้มประตูปิดลง พยายามให้เสียงเบาที่สุดเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของอลัน แต่เมื่อหันหลังไปกลับต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมีร่างเล็กๆ ยืนอยู่กลางห้อง

“อลัน ทำไมไม่นอนครับ”

มิราเคิลตรงเข้าไปประคองร่างเล็กให้นั่งลงบนโซฟา

“ฉันฝันร้าย”

ได้ยินดังนั้นมิราเคิลจึงโอบคนตัวเล็กขึ้นมานั่งตัก โยกตัวไปมา ลูบหลังปลอบขวัญอลันเหมือนทำกับเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง

“ไหน เด็กดีของผมฝันร้ายเรื่องอะไรครับ เล่าให้ฟังหน่อยเร็ว”

ฟ้าร้องครืนคราง สักพักหยาดฝนโปรยปราย อุณหภูมิภายในห้องลดต่ำ ด้วยเกรงว่าคนในอ้อมแขนจะหนาวจึงคิดจะลุกขึ้นไปหยิบผ้ามาห่มให้ ติดที่ว่าแขนเรียวเล็กกระตุกรั้งไว้เป็นสัญญาณว่าไม่ต้องการให้ขยับไปไหน เขาจึงจำต้องนั่งลงอยู่ที่เดิม

“ฉันฝันถึงวันนั้น วันที่นายถูกทำลายไปต่อหน้า พอสะดุ้งตื่นมาฉันก็ไม่เห็นนายแล้ว ไม่ว่าตามหาที่ไหนก็ไม่เจอ”

ก้มมองเด็กชายบนตักโอบกอดเขาทั้งที่เนื้อตัวสั่นเทา ไม่รู้ว่าเกิดจากความหนาวหรือความกลัวกันแน่

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อลันฝันร้าย แต่ทุกครั้งที่สะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตมักกวาดมองหามิราเคิลด้วยความตื่นตระหนก จนกระทั่งได้สบดวงตากันอลันถึงจะสงบลงได้ ทุกครั้งเด็กชายในอ้อมกอดไม่เคยบอกเล่าอาการที่ตัวเองเป็น แต่ครั้งนี้คงเป็นเขาที่ทำให้อลันรู้สึกหวาดกลัวเข้าแล้วจริงๆ

...ความกลัวที่จะสูญเสียมิราเคิลไปอีกครั้ง

“ขอโทษครับ ผมออกไปเดินเล่นข้างนอกมา”

“โชคดีที่นายกลับมาก่อนฝนจะตก ไม่งั้น...” คนตัวเล็กโอบรัดหุ่นยนต์ตัวใหญ่แน่นขึ้นอีก สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยบางอย่างออกมา “มิราเคิล นายอยากได้ร่างกายที่สะดวกสบายกว่านี้รึเปล่า ร่างกายแบบมนุษย์... ใช่ ฉันจะสร้างนายให้กันน้ำได้ด้วย วันหลังจะได้ไม่ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลังเรื่องนี้อีก ดีไหม?” ฝ่ามือเล็กเอื้อมขึ้นลูบใบหน้าเหล็กแสนเย็นเยียบ ดวงตาห่วงกังวลแฝงความมุ่งมั่นบางอย่างไว้

“แต่...”

“อะไร?”

“มันลำบากอลันนะครับ”

“ฉันไม่กลัวลำบาก ขอแค่นายอยู่ข้างฉันไม่ไปไหนก็พอแล้ว มิราเคิล มิราเคิล มิราเคิลของฉัน” โอบคอหุ่นยนต์แล้วซุกลงไป แม้ร่างกายอีกฝ่ายจะไม่อบอุ่นแต่กลับทำให้อลันรู้สึกอุ่นใจ

มิราเคิลตบหลังปลอบ “คราวหน้าคราวหลังหากออกไปไหน ผมจะเขียนจดหมายทิ้งไว้นะ ไม่ต้องห่วงว่าจะหายไปไหน ผมอยู่ข้างอลันเสมอแหละ”

“ขอบคุณนะ ขอบคุณที่เป็นนาย นายคือปาฏิหาริย์ของฉันเสมอ”

ความรู้สึกผิดแทรกเข้าเกาะกุมหัวใจ เขาไม่ใช่มิราเคิลของเด็กคนนี้ อดีตไม่ใช่ ปัจจุบันยิ่งไม่ใช่ เขาเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนพลัดถิ่นจับพลัดจับผลูมาอยู่ในร่างหุ่นยนต์นี่เท่านั้น สิ่งที่อลันค้นหาจากตัวเขาคือหุ่นยนต์ตัวเก่าที่คอยอยู่เคียงข้าง คอยดูแล คอยปกป้อง หุ่นยนต์ในความทรงจำนั่นไม่ใช่เขา และยิ่งไม่มีทางเป็นเขา

หนึ่งคนหนึ่งหุ่นกอดกันกลม เมื่อจิตใจอลันสงบลงได้แล้วก็ผล็อยหลับไป มิราเคิลอุ้มร่างเล็กจิ๋วเข้าห้องนอน วางลงบนเตียง ห่มผ้าให้ความอบอุ่น แล้วหลังจากนั้นเขาก็นั่งเล่นอยู่ในห้องนั้นทั้งคืนจนกระทั่งฟ้าสาง

...และฝนยังคงโปรยปรายต่อไป...



------------------------------------------------------จบตอนที่ ๕ ฝันร้าย



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1


ตอนที่ ๖

ร่วมมือกันนะ!



ฤดูฝนในประเทศ A มักยาวนานเสมอ มิราเคิลผู้ถูกฝนไม่ได้จึงได้แต่นั่งๆ นอนๆ ดูรายการข่าวรายการบันเทิงอยู่ในห้อง

เมื่อคืนหลังจากอลันตัดสินใจสร้างร่างกายใหม่ให้เขา เช้ามาเจ้าตัวก็เอาแต่หมกอยู่ในห้องทำงานร่างแบบส่วนประกอบต่างๆ ที่เขาไม่เข้าใจ

แน่นอนว่าหลังจากสอบในห้องเรียนแล้วกว่าเกรดจะออกต้องรออีกสามวัน ภายในสามวันนี้อลันจึงมีเวลาว่างให้ผลาญเล่นโดยไม่ต้องไปเรียนหนังสือ ระบบการเรียนของ ISA ค่อนข้างแตกต่างจากโรงเรียนทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเรียนทั้งวัน แต่เรียนเฉพาะวิชาที่ตนเองสนใจให้แตกฉาน และหากสนใจวิชาอื่นเพิ่มเติมก็สามารถลงเรียนเป็นวิชาเสริมเองได้

หุ่นยนต์ตัวใหญ่เก็บกวาดเศษซากขนมที่คนตัวเล็กกินทิ้งไว้ ออดหน้าประตูดังหนึ่งจังหวะแล้วเงียบไป หากเป็นอีธานคงไม่กดกริ่งมีมารยาทแบบนี้แน่ หรือว่าอลันสั่งอะไรมากินอีกแล้ว

แต่เมื่อผลักประตูเปิดออกดู ผิดคาดที่เป็นอีธานจริงๆ

“นายอีกแล้ว อลันไม่ชอบนาย ก็ปฏิเสธไปอย่างชัดเจนแล้วนี่ ทำไมยังมาตื๊ออีก รู้มั้ยคนอื่นเขาไม่ชอบนะ”

“ขอโทษๆ คราวนี้ฉันอยากคุยกับตัวเล็กจริงๆ นะ ขอเวลาแป๊บเดียวเท่านั้น ถ้าตัวเล็กปฏิเสธหลังจากได้ฟังเรื่องของฉัน หลังจากนี้จะไม่รบกวนอีก”

มิราเคิลมองสายตาอ้อนวอนนั้นนิ่งก่อนเอ่ยปาก “วันหลังอย่าไปทำหน้าตาแบบนั้นให้ใครเห็นอีกนะ”

“ทำไม ฉันน่ารักละสิ”

“เปล่า มันน่าขนลุก”

คนที่กำลังแสร้งทำตัวบ้องแบ๊วชะงักค้าง ก่อนจะชูมือขึ้นสองข้างแหวใส่ด้วยความกรุ่นโกรธ

“หน็อย! นายไม่มีขนซะหน่อยจะลุกได้ยังไง! ให้ฉันพบตัวเล็กเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่ให้พบ พวกนายจะต้องเจอหน้าฉันไปยันตอนเรียนจบแน่ คอยดู!” เรื่องความหน้าด้านหน้าทนลองมาวัดกันดูสิ ใครก็สู้อีธานไม่ได้

อีธานใช้จังหวะที่มิราเคิลเผลอแทรกตัวเข้าไปในห้อง แล้วถือวิสาสะนั่งลงบนโซฟาทันที

เห็นเช่นนั้นหุ่นยนต์ตัวใหญ่ได้แต่ถอนหายใจภายในความคิด บางทีควรให้อลันคุยกับอีกฝ่ายแล้วปฏิเสธให้จบไป จะได้เลิกโดนตามตอแยเสียที

“งั้นนายก็นั่งรอให้เรียบร้อย เดี๋ยวฉันไปเรียกอลันให้”

แผ่นหลังของหุ่นยนต์ตัวใหญ่หายลับเข้าไปในห้องทำงาน อีธานนั่งรอด้วยหัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ ก่อนที่ประตูบานนั้นจะเปิดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับเงาร่างเล็ก แม้อลันจะไม่ค่อยสบอารมณ์นักเมื่อเห็นหน้าอีธาน แต่ก็ยอมนั่งลงฝั่งตรงข้ามอีกฝ่ายโดยดี

“ว่ามา” น้ำเสียงแข็งกระด้างไม่ได้ทำให้ความดีใจของอีธานหดหายไปเลยแม้แต่น้อย

อีธานมองอลันด้วยสายตาเปี่ยมความหวังก่อนจะโพล่งออกมาหนึ่งประโยค “มาทำเรื่องลามกกันเถอะ!”

คำพูดนั้นราวกับเป็นคำสั่งหยุดเวลา หนึ่งคนหนึ่งหุ่นนั่งแข็งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ สุดท้ายพอตั้งสติได้มิราเคิลก็เตรียมหิ้วคอเสื้ออีธานขึ้นจับโยนออกไปข้างนอกแล้ว

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยว! ยังฟังรายละเอียดไม่จบนายจะจับฉันโยนออกนอกห้องไม่ได้นะ” อีธานเปลี่ยนมือตัวเองให้เป็นมือตุ๊กแกชั่วขณะ เขาจับยึดพนักโซฟาไว้แน่น ขืนต้านแรงฉุดกระชากมหาศาลจากหุ่นยนต์ตัวโต

“เดรัจฉานที่ชวนเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่างแกไปทำเรื่องอย่างว่า ใครจะปล่อยไว้กันหา ไม่สิ จับส่งตำรวจเลยดีกว่า”

“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่น้าาา ฟังกันก่อนเซ่!!” เสียงแปดหลอดของอีธานดังลั่นห้องจนอลันต้องยกมือขึ้นปิดหู สุดท้ายจึงได้แต่ตะโกนบอกมิราเคิลให้ปล่อยอีกฝ่ายลงก่อนที่หูของตนจะหนวกเข้าจริงๆ

ส่วนอีธานหลังจากถูกปล่อยตัวก็กลับมานั่งที่เดิมเรียบร้อย หยิบหวีจากกระเป๋าอกเสื้อขึ้นมาแต่งทรงผมให้เข้าที่ ทั้งๆ ที่เป็นพวกโรคจิตแต่ดันเจ้าสำอางซะอย่างงั้น แค่เห็นอลันก็หงุดหงิดจนต้องจิ๊ปาก

“คือว่านะ ฉันมีความฝันอย่างหนึ่งที่อยากลองทำดู แต่มันต้องใช้ความสามารถของฝ่ายวิศวกรรมเครื่องกลเข้าช่วยด้วย ไอ้ฉันมันไม่ถนัดด้านนี้ ก็เลยต้องตามหาคนที่สนใจสายงานนี้มาร่วมมือด้วยไง”

“ฉันเป็นเด็กอายุสิบสาม นายเชื่อมือฉันขนาดนั้นเลยรึไง มองมิราเคิลให้ดีๆ สิ ผลงานตกยุคแบบนี้ใครเห็นก็เอาแต่หัวเราะเยาะกันทั้งนั้นว่าสร้างผลงานได้ไม่สมกับฉายาอัจฉริยะตัวน้อยที่ได้รับ”

“ไม่แน่นอน นายคืออัจฉริยะ! ถึงนายจะหลอกตาคนอื่นได้แต่หลอกตาฉันไม่ได้หรอก! ถึงภายนอกรูปร่างจะดูเป็นหุ่นกระป๋องตกยุค แต่ภายในคงไฮเทคสุดๆ ไปเลยใช่มั้ยล่ะ!”

“หา?!”

“หุ่นบอดี้การ์ดของนาย ความจริงแล้วต้องซ่อนปัญญาประดิษฐ์ที่มีความซับซ้อนสูงเอาไว้แน่ๆ ก็เหมือนมนุษย์ซะแบบนี้”

“ของแบบนั้นไม่มีหรอก”

“อย่าโกหกเลยสหายตัวน้อย ผู้มีความสามารถอย่างนายมาร่วมมือกันเถอะ หลังจากโปรเจคการร่วมมือระหว่างเราสำเร็จ รับรองได้เลยว่าเงินทองไหลมาเทมาแน่นอน”

“มั่วกันไปใหญ่แล้วหมอนี่” อลันพึมพำ “แล้วก็นะ ฉันไม่ได้ขาดแคลนเงินทองซะหน่อย คนที่อยู่สายงานเดียวกับฉันในโรงเรียนนี้ก็มีตั้งเยอะ ไปชวนคนอื่นเถอะ”

“หน็อย ถึงนายจะรวย แต่อย่าดูถูกเงินเชียวนะ ของพรรค์นั้นหาก็ยากใช้แป๊บเดียวก็หมด ส่วนคนอื่นที่ฉันเคยชวนมาร่วมงานด้วยก่อนหน้าดันปฏิเสธหมดน่ะสิ ถ้านายปฏิเสธฉันอีกก็เป็นรายที่ห้าสิบแล้ว” พอพูดจบประโยคสุดท้าย หลังอีธานก็งุ้มลงเหี่ยวเฉากลายเป็นต้นถั่วงอกขาดน้ำ

“แล้วสิ่งที่นายจะทำมันคืออะไร” ทันทีที่ถาม ร่างอีธานชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบกับอลันด้วยสายตาเป็นประกาย

“Sex Doll!”

เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หน้าอลันดำเป็นก้นหม้อ เข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมเจ้าบ๊องนี่ไม่เคยชวนใครร่วมงานสำเร็จสักที ที่แท้ก็เพราะจะสร้างของลามกพวกนี้นี่เอง!

“อลัน ให้ผมจับส่งตำรวจเลยดีไหม” มิราเคิลหันหน้ามองอลัน ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลฝั่งตรงข้าม

อลันในคราแรกอ้าปากกำลังจะตอบเห็นด้วย แต่สักพักกลับนั่งนิ่งยกมือกุมคางราวครุ่นคิดอะไรสักอย่าง สุดท้ายเป็นฝ่ายลุกขึ้นไปกระซิบบางอย่างข้างหูอีธาน

“อลัน อย่าไปเข้าใกล้เจ้าโรคจิตนั่นนะครับ มันอันตราย” มิราเคิลได้แต่มองอย่างห่วงๆ เขาไม่อยากให้อลันคบค้ากับผู้ชายคนนี้ตั้งแต่พูดเรื่องเซ็กส์ดอลล์อะไรนั่นแล้ว ถ้าหากว่าอลันที่น่ารักและใสซื่อของเขาเปลี่ยนไปจะทำอย่างไร แล้วถ้าหากหมอนั่นคิดทำมิดีมิร้ายอลันลับหลังเขาล่ะ!

“อ้อ เรื่องนั้น...ถ้านายต้องการก็ทำได้อยู่แล้ว งั้นเป็นอันว่าตกลงนะ” อีธานยื่นมือไปข้างหน้า

อลันยื่นมือข้างหนึ่งจับตอบ เป็นอันว่าโปรเจคร่วมมือทำของลามกอย่างเซ็กส์ดอลล์กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

“อลัน~” น้ำเสียงในยามนี้ของมิราเคิลฟังดูห่อเหี่ยวเหลือเกิน แต่เจ้าของชื่อในยามนี้กลับไม่สนใจคำทักท้วงของเขาเลยแม้แต่น้อย

“ตัวเล็ก สนใจไปห้องฉันไหม มีของเด็ดๆ จะให้นายด้วยนา” เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลชี้ชวนเด็กอายุสิบสามขวบไปห้องตนเอง หากเป็นคนอื่นชวนมิราเคิลคงไม่คิดอะไร แต่เมื่ออีธานชวนเขายิ่งต่อต้านค้านหัวชนฝา

“อลัน อย่านะ!”

“ไปสิ” คำตอบที่ออกมาจากปากบางสีชมพูระเรื่อนั้นทิ่มลงไปในกลางใจหุ่นกระป๋องข้างกายเข้าอย่างจัง และคำพูดต่อมายิ่งทำให้หุ่นกระป๋องตัวนี้หัวใจแตกสลาย “มิราเคิลไม่ต้องตามมานะ นี่เป็นคำสั่ง”

ลับหลังร่างมนุษย์สองคนเดินจากไป สิ่งที่เหลืออยู่ภายในห้องจึงเหลือเพียงมิราเคิลที่หลังงองุ้มกลายเป็นต้นถั่วงอกเหี่ยวๆ ต้นหนึ่งเองเสียอย่างนั้น

ทำไมเด็กน้อยที่น่ารักของเขาถึงไปร่วมมือกับเจ้าโรคจิตพรรค์นั้นได้ เขาไม่น่า...ไม่น่าให้อีธานเข้าห้องมาคุยกับอลันตั้งแต่แรกเลย ไม่สิ เขาควรจับหมอนั่นโยนออกนอกหน้าต่างคอหักตายไปตั้งแต่แรกเลยดีกว่า หลังจากนั้นค่อยนำศพไปฝัง ทำลายหลักฐาน ทีนี้ก็จะไม่มีใครรู้แล้วว่าอีธานหายไปได้อย่างไร สุดท้ายมันจะกลายเป็นคดีคนหายสาบสูญไร้ร่องรอย แม้แต่ตำรวจก็ต้องจนมุม






“ว่าแล้วๆ ฉันคิดไว้แล้วว่าเด็กวัยกำลังโตอย่างนายต้องสนใจเรื่องพวกนี้แน่” อีธานเปิดไฟในห้องตนจนสว่างจ้า

อลันเบิกตากว้างเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าห้องของคนอย่างอีธานจะสะอาดและเรียบง่ายกว่าที่คิด ต่างกับเขาที่ชอบกินขนมทิ้งขว้าง ชอบทำห้องรก คอยให้มิราเคิลตามเก็บตามเช็ดตลอด พอเทียบกันแล้วรู้สึกพ่ายแพ้ยังไงชอบกล สุดท้ายจึงระบายความหงุดหงิดนี้ด้วยการเตะเข้าที่ขาของอีธานไปหนึ่งป้าบ

“จ๊าก! ทำอะไรของนายน่ะตัวเล็ก!”

เมื่อเห็นคนตัวโตกว่าทรุดลงกุมข้อเท้าน้ำตาเล็ด อลันจึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ยืดตัวเอามือไพล่หลังเดินไปนั่งบนโซฟารับแขกราวกับเป็นเจ้าของห้องซะเอง

อีธานเขย่งขาไปรินน้ำเปล่าใส่แก้วมาให้อลันด้วยสีหน้าบิดเบ้ ก็แรงของตัวเล็กน้อยซะที่ไหน แถมยังเตะเจาะกระดูกข้อเท้าเขาอีก นิสัยแบบนี้มิน่าเล่าผู้ดูแลหอถึงเรียกอลันว่าปีศาจน้อย ไม่ผิดจริงๆ

“ไหนล่ะ ของที่จะให้”

“นั่งรอเดี๋ยวนะ” อีธานเดินไปยังตู้วางของที่มีผ้าม่านปกคลุม ตู้แบบนี้ไม่ได้มีเพียงตู้เดียว แต่มันมีวางไว้รอบห้อง อีธานเลือกหยิบของข้างในขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วยื่นให้อลันด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง “นี่เป็นของแทนมิตรภาพระหว่างพวกเรา ไม่ต้องเกรงใจนะ ให้ฟรีเลย”

อลันหลุบมองสิ่งนั้นในมืออีธาน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ของเหลวอุ่นไหลย้อยออกจากจมูกจนต้องรีบยกมือเช็ด

“ใจเย็นๆ ไม่ต้องตื่นเต้น ฉันรู้ว่าเจ้านี่คนอายุไม่ถึงอย่างนายหาดูไม่ได้แน่ รัฐฯ ควบคุมเข้มงวดกับเด็กไม่บรรลุนิติภาวะอย่างนายจะตาย กว่าจะหาดูได้แต่ละแผ่นมันยากใช่ไหมล่ะ เอ้านี่ ฉันให้ ไม่ต้องอายหรอก ฉันรู้ว่าเด็กวัยกำลังโตอย่างนายสนใจเรื่องพวกนี้กันทั้งนั้น”

อลันเหลือบมองกล่องซีดีที่มีหน้าปกรูปผู้หญิงนั่งถ่างขาอล่างฉ่าง โดยมีรูปหัวใจสำดำปกปิดจุดเร้นลับด้านล่างไม่ให้เปิดเผยเกินไปนัก พวกคนในวงการมักเรียกหัวใจสีดำนี้ว่าใจดำแห่งศีลธรรม

ไม่รอช้า อลันคว้าแผ่นซีดีนั้นเก็บเข้าอกเสื้อด้วยความไวแสง ก่อนปรับมาดมาเป็นเฉยชาเช่นเดิมราวกับว่าเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และแน่นอนว่าของชิ้นที่ได้รับมานี้จะให้มิราเคิลเห็นไม่ได้เป็นอันขาด

“ในส่วนหน้าที่รับผิดชอบของนายพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้วล่ะ”

“เป็นไปได้สวยเลย เหลือแต่ทดสอบความทนทานเนี่ยแหละ กับการปรับปรุงประสิทธิภาพอีกนิดหน่อย จะลองไปดูมั้ยล่ะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

“มาสิ ตามเข้ามาในห้องทำงานฉันได้เลย” อีธานเอียงคอชี้นิ้วโป้งไปทางด้านหลังของตัวเอง แบบแปลนห้องนี้ไม่แตกต่างจากห้องอลันเท่าไหร่นัก ทำให้รู้ได้ทันทีว่าห้องไหนคือห้องทำงาน

ภายในห้องทำงานของอีธานค่อนข้างรกผิดจากภายนอกจนอลันต้องเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “รกชะมัด”

อย่างน้อยหมอนี่ก็มีมุมชุ่ยๆ แบบนี้เหมือนกันแฮะ

“ฮะๆๆ พอดีเพิ่งใช้ทำงานไปนิดหน่อยก็เลยยังไม่ได้เก็บกวาดให้เรียบร้อย ขายหน้าแล้ว”

อลันกระตุกยิ้มเย้ยหยัน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วสภาพห้องทำงานตัวเองก็ไม่ได้แตกต่างจากอีธานเท่าไหร่นัก

“ตัวเล็ก มาทางนี้ ผิวเนื้ออันนี้เป็นยังไงบ้าง”

หนังเทียมตรงหน้าให้สัมผัสนุ่มนิ่มจนเหลว อลันขมวดคิ้วแล้วส่ายหัว “เหลวเกินไป เหมือนกำลังจับลูกโป่งน้ำอยู่เลย”

“งั้นเหรอ ฉันว่ามันดีแล้วนะ”

“นายบอกว่าจะทำเซ็กส์ดอลล์ที่เหมือนคนที่สุดไม่ใช่รึไง แค่ผิวสัมผัสก็ไม่ผ่านแล้ว ผิวผู้หญิงที่ไหนมันจะเหลวได้ขนาดนี้”

“ถ้านายพูดแบบนั้นจะลองไปแก้ดู” อีธานเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วเผยยิ้มออกมา “ขอบคุณมากนะที่ช่วยให้ฝันของฉันเป็นจริง เพราะอยากทำของแบบนี้ คนที่ชวนมาร่วมมือด้วยก่อนหน้าต่างก็พากันตีตัวออกหากไปหมด บอกว่าเป็นไอ้โรคจิตบ้างละ ลามกบ้างละ ช่างไม่เข้าใจความใฝ่ฝันของลูกผู้ชายเอาซะเลย”

“แล้วนายไม่ได้เป็นรึไง ถ้าไม่ลามกโรคจิตก็คงคิดจะสร้างของพรรค์นี้ออกมาไม่ได้หรอก”

“ชิ!” อีธานจิ๊ปาก “เด็กอย่างนายไม่เคยเล่นละสิ เกมจีบสาวสิบแปดบวกเสมือนจริงสำหรับคนโสดและคนเหงา ถึงจะน่ารักแค่ไหน สวยแค่ไหน แต่จับต้องไม่ได้ก็ไร้ประโยชน์ มันคงจะดีถ้าสาวๆ ในเกมพวกนั้นมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ ฉันก็แค่อยากสร้างพวกเธอให้มีชีวิตเท่านั้น”

“อุดมการณ์เหมือนจะดี แต่เจตนาของนายคือสร้างมาเพื่อทำเรื่องลามกบัดสีกับพวกเธอเท่านั้นแหละ”

“มันคือความฝันของลูกผู้ชายวัยกำหนัดอย่างพวกเราทั่วโลกต่างหาก” อีธานโวยวาย

“แล้วทำไมคนที่นายชวนมาร่วมมือด้วยแต่ละคนถึงเอาแต่ปฏิเสธนายล่ะ ในสี่สิบเก้าคนก่อนหน้าไม่มีทางที่นายจะชวนแต่ผู้หญิงมาร่วมงานด้วยใช่ไหมล่ะ”

“เฮอะ! หนอนหนังสือพวกนั้นมันเป็นพวกกามตายด้าน แสร้งทำเป็นศีลธรรมสูงส่ง ไม่อยากให้ชื่อเสียงตัวเองแปดเปื้อนกับนวัตกรรมลามกของฉัน แต่ความจริงก็แอบสนใจนั่นแหละ เชื่อสิ ถ้าผลงานนี้ออกสู่ท้องตลาดเมื่อไหร่ ลูกค้ากลุ่มแรกก็คงหนีไม่พ้นหนอนหนังสือเก็บกดพวกนั้นแหงมๆ” แบมือออกข้างแล้วยักไหล่ เรื่องที่พูดไปเขาค่อนข้างมั่นใจเลยทีเดียว

“แต่ก่อนจะไปสร้างตุ๊กตาเพ้อฝันของนาย หวังว่านายจะทำตามข้อตกลงของฉันให้สำเร็จก่อนนะ”

“รับรอง ไม่มีปัญหา”

“อ้อ แล้วก็นี่นามบัตรฉัน มีอะไรติดต่อมาตามเบอร์ในใบนี้ได้เลย ไม่ต้องผ่านมิราเคิล หวังว่าเรื่องโปรเจคเซ็กส์ดอลล์เหล่านี้จะต้องไม่ผ่านหูมิราเคิลอีกแม้แต่นิดเดียว เข้าใจหรือเปล่า”

“ด้วยเกียรติ์ของอีธาน วอร์คเกอร์ ให้คำมั่นว่าจะไม่พูดถึงสิ่งที่เรากำลังจะทำหลังจากนี้ให้หุ่นยนต์บ้าพลังนั่นฟังเด็ดขาด” ให้ตายก็ไม่มีทางพูด ดูสายตาที่จ้องมองเขามาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อตอนพูดถึงเซ็กส์ดอลล์นั่นสิ แค่คิดก็สยองแล้ว

อีธานลูบขนแขนที่ลุกชันของตัวเองให้ลู่ลง

ว่าไงนะ พวกคุณบอกว่าหุ่นยนต์สื่ออารมณ์ทางสายตาไม่ได้เหรอ ล้อเล่นน่า แล้วไอ้ความรู้สึกที่เหมือนกำลังจะถูกกินหัวอยู่แล้วนั่นคืออะไรกันเล่า!





[ช่วงห้องพักส่วนตัวท้ายตอน]

มิราเคิล : *นั่งหลับตารื้อฟื้นความทรงจำหุ่นยนต์มิราเคิลตัวเก่าขึ้นมาดู* อลันไม่ว่าจะมองตอนไหนก็น่ารัก สะอาด บริสุทธิ์ นี่มันเทวดาตัวน้อยชัดๆ เลย

นักเขียน : *กระซิบกับนักอ่าน* ดูสิ มีคนโดนเด็กหลอก 1 ea

มิราเคิล : อลัน~ อลันน~ อลันนนน~ *ร้องเรียกอลันเป็นทำนองโอเปร่า*

นักเขียน : มิราเคิล นายมันกู่ไม่กลับแล้ว




--------------------------------------------จบตอนที่ ๖


ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1

ตอนที่ ๗

กินเยอะๆ จะได้โตไวๆ



อลันในชุดนักเรียนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันทีที่มีเสียงข้อความเข้า มุมปากกระตุกยิ้มครู่หนึ่งก่อนปรับเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติ ท่าทางนั้นไม่อาจพ้นสายตามิราเคิลไปได้

“ดูอารมณ์ดีนะครับ” รูดเนกไทของคนตัวเล็กให้เข้าที่เป็นอันเรียบร้อย

“เกรดส่งมาถึงแล้วน่ะ น่าดูชมเชียว”

“ครับ ผมรู้ว่าคุณฉลาดมาก แต่เช้านี้ไม่ไปโรงเรียนพร้อมอีธานได้ไหม”

“นายไม่อยากให้ฉันมีเพื่อนเหรอ” อลันถามหน้าเศร้า

“เอ่อ นั่น... เปล่าครับ” มิราเคิลอับจนคำพูด พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าแบบนี้แล้วเขาใจไม่แข็งพอที่จะห้าม ถึงแม้จะห่วงที่ต้องยอมปล่อยให้คนโรคจิตแบบนั้นมาคลุกคลีอยู่ใกล้กับอลัน แต่หลายเดือนที่ผ่านมาอลันอาศัยอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีแม้แต่เพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องคอยไปมาหาสู่เลยสักนิด หากไม่มีเขาเคียงกาย เด็กคนนี้คงตัวคนเดียวอย่างแท้จริง

และเช้าวันนี้ จากที่เคยนั่งรถไปอาคารเรียนซึมซับบรรยากาศรอบกายอย่างเงียบสงบ กลับมีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวอยู่ฝ่ายเดียวของอีธานดังตลอดทางไม่ขาดสาย โดยมีอลันคอยตอบรับบางคำถาม

“เดี๋ยวก่อน!” อีธานรีบเรียกอลันทันทีหลังจากหนึ่งคนหนึ่งหุ่นลงรถไปแล้ว ผู้ถูกเรียกทั้งสองหันกลับมามองก็พบสีหน้าแตกตื่นอันเห็นได้ยากจากอีธาน

“มีอะไร” เป็นอลันที่ถาม

“นายจะลงไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้นะเจ้าตัวเล็ก”

“ทำไม ถึงตึกเรียนของฉันแล้วจะไม่ให้ฉันลง?”

“เปล่านะ ไม่ใช่ แต่นี่ นี่” อีธานใช้นิ้วชี้สองข้างชี้ลงเข้าที่รอบเอวตน มันถูกสายรัดสีแดงจากไหนไม่ทราบได้โผล่มาล็อกตัวเขาไว้แน่นหนา ไม่สามารถขยับลุกตามออกมาได้เลย

“นายก็จ่ายเงินให้เรียบร้อยก่อนลงมาสิ มันรู้ว่านายจะเบี้ยวไม่จ่ายเลยถูกจับตัวไว้อย่างงั้นไง”

“นายจะให้ฉันจ่าย?!” อีธานชี้นิ้วเข้าหาตัวเองพร้อมเบิกตากว้าง

“ก็ใช่น่ะสิ นายเป็นคนอาสาขับรถมาส่งฉันเองไม่ใช่เหรอ นายเป็นคนขับก็ต้องจ่าย”

“หา?! ไหงงั้นล่ะ ใช้บริการเจ้ารถบ้านี่ทีแพงจะตาย ฉันจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย”

“นายไม่มีเงินเก็บเลยรึไง”

“ไอ้มีมันก็มี แต่ฉันไม่ได้รวยแบบนายนี่นา แค่ค่าเทอมเป็นล้านก็แทบจะจ่ายไม่ไหวแล้ว ไม่ได้เป็นนักเรียนที่สอบได้อันดับดีจนได้ทุนแบบนายด้วย... เอาเป็นว่าบ้านฉันฐานะจน ใช้ฟุ่มเฟือยแบบนายไม่ได้หรอก!”

อลันถอนหายใจหนัก หยิบบัตรยกขึ้นรูดจ่ายเงินเป็นอันเสร็จ พอเข็มขัดที่คอยกักตัวไว้คลายลง อีธานจึงรีบกระโจนตามลงมาทันทีพลางชี้ต่อว่าเจ้ารถตัวปัญหาอย่างชิงชัง

“หน็อยแน่ ฉันไม่มีวันใช้บริการแกอีกเป็นครั้งที่สองแน่!”

“ไปกันเถอะ มิราเคิล” อลันปล่อยให้อีธานยืนตะโกนต่อว่ารถคันหนึ่งอยู่อย่างนั้น แล้วพาตัวเองกับหุ่นยนต์ข้างกายเดินขึ้นตึกเรียนไป

เมื่ออีธานระบายอารมณ์คุกรุ่นออกไปจนพอใจ หันกลับมาอีกทีเขาก็พบว่าตนถูกทอดทิ้งไว้อยู่คนเดียวโดดเดี่ยวโดยมีสายตาจากนักเรียนคนอื่นจับจ้องมาราวกับมองคนบ้า

“เจ้าเปี๊ยก! บังอาจทิ้งฉันไว้ตรงนี้ได้ยังไง!” แม้จะอับอายก็ยังไม่วายตะโกนออกมาให้คนมองมากกว่าเดิม สุดท้ายถึงนึกขึ้นได้ว่าตึกเรียนตัวเองต้องเลยไปไกลกว่าที่นี่อีกนิด และเวลาเข้าเรียนดันกระชั้นชิดเข้ามาทุกที เขาจึงคว้าจักรยานแถวนั้นขึ้นควบขี่ปั่นออกไปอย่างสุดแรง





ภายในห้องเรียนเดียวกับสามวันก่อนหน้าและอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดิม ดาวเหนืออภิปรายรายละเอียดวิชาที่แต่ละเกรดจะลงได้ แน่นอนว่าอลันได้เกรด A สามารถเข้าไปเรียนรายวิชาชั้นสูงซึ่งมีระดับความยากมากที่สุดได้ ส่วนคนอื่นที่ได้เกรดลดหลั่นลงมา จะต้องเข้าเรียนรายวิชาซึ่งมีความยากลดตามลงมาด้วยเช่นกัน

เจย์ แบรดฟอร์ด ทันทีที่รู้ว่าอลันได้เกรด A เช่นเดียวกับตน เขาทำได้แค่นั่งกำมือแน่นแล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่กับที่ ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าเด็กตัวแค่นั้นกลับมีความรู้ความสามารถทัดเทียมกันได้ขนาดนี้

บ้านของเจย์ค่อนข้างยากจน คนในครอบครัวเป็นชนชั้นต่ำ เขาอาศัยกำลังและสมองของตนปีนป่ายจากจุดล่างสุดมาถึงจุดสูงสุดโดยการสอบเข้าโรงเรียน ISA เพื่อเปลี่ยนฐานะ แต่ค่าเทอมในโรงเรียนนี้ก็แสนแพง เพื่อลดรายจ่ายเขาพยายามอ่านหนังสืออย่างหนักหวังสอบเข้าให้ได้อันดับหนึ่ง หากทำได้เขาจะกลายเป็นนักเรียนทุน แต่แล้วของขวัญล้ำค่าจากสวรรค์อย่างคำว่าทุนการศึกษาดันถูกเด็กบ้านรวยอย่างอลันคว้าไป นั่นจึงทำให้เขาโมโหเป็นอย่างมาก สุดท้ายจึงต้องไปกู้เงินมาเรียน ถึงแม้จะกองทุนที่ให้กู้เงินสำหรับการศึกษาจะคิดดอกเบี้ยร้อยละหนึ่งต่อปี แต่เมื่อเทียบกับค่าเทอมของ ISA และความยาจกของครอบครัวตนแล้ว

มันก็มากไปอยู่ดี!

“ผมสัมผัสได้ถึงพลังงานด้านลบกำลังพุ่งตรงมายังอลัน” มิราเคิลกระซิบแล้วกระเถิบตัวใหญ่ยักษ์ให้บดบังร่างกายเล็กของอลันจนมิด อลันทำเพียงเอียงคอพิงหุ่นยนต์ข้างกาย มุมปากเจือยิ้มน้อยๆ

“ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย ว่าแต่ฉันสนใจวิชานี้นะ นายคิดว่าไง”

มิราเคิลเหลือบตามองในแท็บเล็ตซึ่งมีรายชื่อวิชาและรายละเอียดวิชาผุดขึ้นมายุ่บยั่บเต็มไปหมด แค่เห็นก็ตาลายแล้ว

“วิชาเกี่ยวกับวิศวกรปัญญาประดิษฐ์เหรอครับ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดคงหมายถึงคนที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับพวกปัญญาประดิษฐ์อะไรประมาณนี้ใช่ไหม” มิราเคิลไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เท่าไหร่นัก แม้แต่คำว่าปัญญาประดิษฐ์จริงๆ แล้วคืออะไรเขาก็ยังไม่เข้าใจถ่องแท้ เพราะชาติก่อนเป็นทหารอยู่กับดินกินกับทราย ออกรบไปวันๆ เรื่องที่ต้องใช้สมองมากมายพรรค์นี้ช่างยากทำความเข้าใจนัก

“ทำนองนั้น” อลันเอ่ยแค่นั้นแล้วไม่พูดอะไรต่อ แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมให้อีกฝ่ายฟัง

วิชาที่เขาคิดจะลงเรียนนอกจากวิชาวิศวกรปัญญาประดิษฐ์ชั้นสูงแล้ว ยังลงวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิศวกรรมเครื่องกลชั้นสูงอีกด้วย สิ่งที่ต้องเรียนในรายวิชาเหล่านี้แน่นอนว่าหนักหนาเอาการ แม้เขาจะมีความรู้ความสามารถเกี่ยวข้องกับวิชาเหล่านี้ในระดับดีเยี่ยม แต่หากจะพัฒนาความสามารถที่มีอยู่ให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก การเรียนด้วยตัวเองและเรียนกับอาจารย์ระดับล่างคงไม่เพียงพอ

อีกอย่าง...เพื่อสร้างมิราเคิลโฉมใหม่ให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด เขายิ่งต้องตั้งใจ





ในเช้าวันหนึ่ง มิราเคิลถูกอลันเรียกให้มานั่งดูทีวีด้วยกัน เด็กชายจิ้มเลือกเปิดรายการถ่ายทอดสดรายการหนึ่งขึ้นมา บนโซฟาเต็มด้วยขนมชนิดต่างๆ มากมาย มือเล็กคว้ามันฝรั่งทอดกรอบขึ้นมาแกะห่อแล้วจ้วงเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย

เห็นดังนั้นมิราเคิลได้แต่ลอบส่ายหน้า กินข้าวเท่าแมวดมแต่กลับกินขนมอย่างกับพายุบุแคม ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่เขาทำหรือสั่งมาจากข้างนอก อลันก็กินในปริมาณที่น้อยมาก นั่นหมายความว่าไม่ใช่ฝีมือการทำอาหารของเขาที่มีปัญหาแล้ว แต่เป็นเพราะกระเพาะของอลันต่างหากที่มีปัญหา

ทั้งที่อายุสิบสามแล้วแต่กลับตัวเล็กเหมือนเด็กอายุสิบขวบ เรื่องนี้ทำให้มิราเคิลอดกังวลไม่ได้จริงๆ หลังจากนี้เขาควรทำใจแข็งบังคับอลันกินข้าวให้เยอะกว่านี้ดีไหมนะ ไม่สิ ถ้าบังคับแล้วอลันร้องไห้ขึ้นมาจะทำยังไง

มิราเคิลนั่งถกเถียงกับตัวเองอยู่ในใจจนกระทั่งเสียงอลันร้องเรียกขึ้นมาจึงได้สติ

“มิราเคิล ดูสิๆ นั่นคือรถที่ฉันทำล่ะ”

บนหน้าจอโทรทัศน์ฉายรายการแข่งรถบังคับวิทยุ รถบังคับที่อลันสร้างถูกแต่งเติมลวดลายไปมากจนเกือบแยกไม่ออก จะว่าไปอลันเคยสัญญาว่าจะเปิดรายการเกี่ยวกับการแข่งรถบังคับวิทยุให้เขาดูนี่นะ นึกว่าลืมไปแล้วซะอีก

เมื่อสัญญาณปล่อยตัวดังขึ้น รถบังคับต่างทะยานตัวออกไปทันที สภาพถนนเริ่มแรกเป็นลูกรัง ผ่านไปถึงจุดหนึ่งกลับกลายเป็นโคลนเลน ช่วงจังหวะนี้รถแต่คันพลันเปลี่ยนรูปร่างให้เหมาะกับสภาพถนนแล้วตะลุยฝ่าด่านไปข้างหน้า

แม้รถคันเล็กแต่ก็เร็วแรง ผู้ควบคุมรถที่อลันเป็นผู้สร้างเองมีฝีมือมากพอตัวถึงได้นำอยู่ข้างหน้าเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนผู้ควบคุมรถอันดับสองก็ไม่สามารถประมาทได้ขับจี้ตามไปติดๆ ดูเหมือนว่าเส้นทางผาดโผนเหล่านี้จะไม่ได้ทำให้ความเร็วของพวกมันลดลงเลย

มีช่วงจังหวะสนามภูเขาเป็นเนินสูงและมีทางลดเลี้ยวมากมาย รถของอลันถูกแซงตกไปอยู่อันดับสอง แต่สนามต่อมาเป็นทางวิ่งตีลังกาชวนปวดหัวคล้ายรถไฟเหาะ ผู้บังคับรถของอลันสามารถแซงหน้าขึ้นนำได้อีกครั้ง สุดท้ายก็เข้าเส้นชัยเป็นคนแรกคว้าถ้วยรางวัลไปครอง

ตลอดการถ่ายทอดสด มุมกล้องการจับภาพตามรถบังคับคันเล็กๆ แต่ใช้พื้นที่การแข่งขันกว้างขวางกลับทำได้ดีเกินกว่าที่มิราเคิลคาดไว้ และแน่นอนว่าเขาชอบมันเข้าแล้ว

“เป็นไงบ้าง ดีกว่าการแข่งโดรนรึเปล่า” อลันหันมาถาม

“ตื่นเต้นมากครับ ไม่นึกเลยว่ารถบังคับวิทยุที่อลันสร้างจะวิ่งได้เร็วขนาดนี้” แน่นอนว่าเขาเองก็เป็นผู้ชายห่ามๆ คนหนึ่งที่ชอบความท้าทาย เวลาว่างในชาติก่อนเขามักไปดูตีไก่ เชียร์มวย เข้าร่วมงานเทศกาล หนึ่งในนั้นที่ชอบดูที่สุดคงเป็นรถไต่ถัง

ตอนเห็นอลันบังคับมันเล่นก็ดูเป็นรถบังคับวิทยุธรรมดา แต่ที่เห็นในจอทีวีเมื่อกี้กลับเปิดโลกให้เขาอีกครั้งหนึ่ง อาจเป็นเพราะคนบังคับเปลี่ยน อะไรก็ย่อมเปลี่ยน นี่เขาไม่ได้ตั้งใจจะบอกว่าอลันเล่นห่วยหรอกนะ

ภาพในจอทีวีฉายภาพผู้ขึ้นรับรางวัล ผู้ชนะอันดับหนึ่งถือถ้วยรางวัลชูขึ้นสูง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ ผู้สัมภาษณ์ซักถามประวัติเด็กผู้ชายคนนั้นไปเรื่อย จนมิราเคิลทราบได้ว่าอีกฝ่ายเองก็อายุสิบสามปีพอกันกับอลัน แต่พอหันมามองเทียบขนาดความต่างร่างกายของคนข้างกายกับคนในจอแล้ว ก็คิดได้แค่ว่าต้องทำอะไรสักอย่างจริงๆ เพื่อให้เทวดาของเขามีร่างกายที่เติบโตได้ตามวัยอย่างคนปกติ

ถึงจะชอบและอยากให้อลันอยู่ในไซส์มินิแบบนี้ตลอดไป แต่พอคิดถึงหลักความเป็นจริงและอนาคตแล้ว คงเอาความเห็นแก่ตัวไปทำร้ายอลันแบบนั้นไม่ได้ สักวันยังไงก็ต้องโต ไม่สู้เลี้ยงดูให้เด็กคนนี้เติบโตอย่างมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงไม่ดีกว่าเหรอ

ผู้ชายตัวเล็กและมีหน้าตาแบบอลันมักโดนรังแกง่าย ในค่ายทหารโลกเก่าของเขาเองก็มีคนประเภทนี้ให้เห็นเป็นตัวอย่าง ฉะนั้นเขาจึงไม่อยากเห็นอลันโดนใครก็ตามมารังแก แม้ว่าข้างกายจะมีเขาคอยปกป้อง แต่เขาเองคงไม่สามารถปกป้องอลันได้ตลอดไป หากมีวันหนึ่งที่เขาไม่สามารถอยู่ข้างกายอลันได้ หากมีวันหนึ่งที่เขาต้องจากไป... แล้วใครจะคอยปกป้องอลันได้ถ้าไม่ใช่ตัวของอลันเอง

แม้ว่าหุ่นยนต์จะไม่มีอายุขัย แต่ใครจะบอกได้ว่าเขาจะอยู่ในร่างนี้ได้จนถึงเมื่อไหร่ โลกนี้ไม่มีสิ่งใดจีรัง อาณาจักรเกรียงไกรยังล่มสลายได้ แล้วนับประสาอะไรกับวิญญาณที่มาสิงสู่อยู่ในสิ่งของเล่า

รายการจบลงพร้อมกับเศษซากขนมเกลื่อนพื้น มิราเคิลหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเศษขนมจนสะอาดอย่างที่เคยทำเป็นประจำ จากนั้นตามด้วยนิ้วมือมันแผล็บทีละข้าง เจ้าตัวร้ายเหลือบมองผลงานการกินที่ไม่เรียบร้อยของตัวเองก่อนส่งยิ้มเผล่ให้ แล้ววิ่งแจ้นกลับห้องทำงานไป

น่ารักน่าตีจริงๆ ให้ตายสิ

มิราเคิลส่ายหัว





เช้าวันรุ่งขึ้นอลันตื่นมาก็ต้องตกใจเมื่อพบกับอาหารกองเท่าภูเขาวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ สายตาเหลือบมองหุ่นยนต์ตัวใหญ่ในชุดผ้ากันเปื้อนสีชมพูปักลูกไม้สีขาวยืนจังก้ากอดอก ในมือถือตะหลิว ท่าทางขึงขังมากกว่าที่เคย

“เอ่อ มิราเคิล ทำเยอะขนาดนี้ฉันกินไม่หมดหรอกนะ”

ชุดผ้ากันเปื้อนสุดน่ารักนั้นเป็นสิ่งที่อลันสั่งซื้อผ่านเน็ตมาแกล้งมิราเคิล ของเพิ่งส่งมาถึงเมื่อวาน ตอนอลันยื่นให้มิราเคิลใส่ อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีไม่ชอบใจ ทำให้อดผิดหวังอยู่ลึกๆ ไม่ได้เมื่อปฏิกิริยาตอบสนองที่ได้รับไม่ตรงกับที่คาดหวังไว้ ใครจะนึกเลยว่ามิราเคิลเก็บความคับแค้นใจนั้นไว้มาลงกับการทำอาหารเช้าแบบนี้

“คุณยังเด็ก ตัวก็เล็กกว่าเด็กวัยเดียวกัน ต้องกินเยอะๆ ถึงจะโตไวๆ ผมหวังดีนะครับอลัน”

“เรื่องนั้นเดี๋ยวอายุเยอะกว่านี้ก็โตเองแหละ”

“ไม่ได้ครับ การเจริญเติบโตที่ดีต้องเริ่มตั้งแต่การดูแลตอนยังเด็ก แต่ละมื้อคุณกินน้อยเกินไป ร่างกายจะเอาสารอาหารที่ไหนไปพัฒนากัน”

“เดี๋ยวนี้หัดพูดแบบวิชาการตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อลันทำหน้ายู่ ช้อนส้อมในมือเขี่ยข้าวพูนจานไปมา เยอะขนาดนี้ให้ตายยังไงก็กินไม่หมด กระเพาะเล็กๆ ของเขารับไม่ไหวหรอกนะ

“ผมศึกษามาจากในอินเทอร์เน็ตแล้ว วัยอย่างคุณเนื้อสัตว์จำเป็นก็จริง แต่ผักก็ขาดไม่ได้ เพราะฉะนั้นกินเข้าไปครับ ห้ามเขี่ยทิ้ง” พอเห็นอลันตั้งท่าจะเขี่ยผักไว้ข้างจานตามนิสัยปกติ มิราเคิลจึงตำหนิทันที อลันหดคอหนีช้อนตามองมิราเคิลด้วยสายตาเว้าวอน น้ำตาคลอเบ้าปริ่มจะไหลรินลงมาอยู่รอมร่อนั้นทำเอาใจคนมองอ่อนยวบ

หุ่นยนต์เจ้ากี้เจ้าการเริ่มเลิ่กลั่กก่อนจะช้อนตัวอลันขึ้นมากอดปลอบเมื่อเจ้าตัวส่งเสียงสะอื้นไห้

“โอ๋ๆ นะครับอลัน ผมขอโทษที่เข้มงวดกับคุณเกินไปหน่อย อย่าร้องไห้เลยนะ”

ในตอนนี้อลันเกาะมิราเคิลราวกับเป็นลูกลิง น้ำตาเม็ดใสไหลรินเปรอะเหล็กเย็นจนชื้น ร่างกายสั่นเทาจากการร้องไห้หนัก มิราเคิลจนปัญญาได้แต่อุ้ม โอบโอ๋ เขย่าคนในวงแขนไปมา

“นะ นะ ยกโทษให้ผมนะอลัน ผมจะไม่บังคับอลันอีกแล้ว”

“ฮึก จริงนะ?” ราวกับเสียงสวรรค์ คนที่ร้องไห้เริ่มขยับขึ้นมองหน้าคนปลอบจนใจชื้น หุ่นยนต์ตัวใหญ่รีบพยักหน้าตอบรับทันที

“ครับ ไม่บังคับแล้วครับ จากนี้ไปอลันจะกินแค่ไหนก็กินนะ”

“สัญญานะ” ยื่นนิ้วก้อยไปให้ แต่ดูเหมือนว่าผู้ได้รับนิ้วก้อยอันน้อยนั้นจะมีปัญหา

มิราเคิลมองมือตนที่มีโครงเหล็กทรงโค้งสามชิ้นยื่นออกมา มันมีเอาไว้ใช้จับสิ่งของ แต่เขาไม่รู้เนี่ยสิว่าส่วนไหนคือนิ้วก้อย แยกไม่ออกก็ช่างเถอะ ใช้สักอันแทนนิ้วก้อยไปก่อนแล้วกัน

และแล้วการเกี่ยวก้อยสัญญาสุดแปลกประหลาดก็บังเกิดขึ้นในเช้าวันนี้นี่เอง

ผู้พ่ายแพ้ศึกอาหารเช้าบนโต๊ะเดินเก็บอาหารจานผักและอาหารจานเนื้อบางส่วนลงไปให้เอลวิส ฮิลล์ ผู้ดูแลหอสามที่เฝ้าอยู่ด้านล่างด้วยความเสียดายเพราะทำใจทิ้งไม่ลง ใครให้เขาติดนิสัยไม่ชอบกินทิ้งกินขว้างจากชาติก่อนมาเล่า!

ลับหลังหุ่นยนต์ตัวใหญ่ ผู้ชนะนั่งยิ้มเบิกบานใจอยู่ในห้อง ร่องรอยน้ำตาถูกเช็ดออกไปจนเกลี้ยง ร้องไห้เหรอ? ของแบบนั้นใช้เวลาห้าวิก็ทำให้หลั่งออกมาได้แล้ว

เพราะมิราเคิลมีนิสัยแบบนี้ไง เขาถึงได้ชอบนักที่จะทำตัวอ่อนแอน่าสงสาร หรือแม้แต่การเอาแต่ใจให้อีกฝ่ายคอยโอ๋คอยปลอบเรื่อยไปอยู่แบบนี้ ถ้าให้มิราเคิลเลี้ยงเด็กไม่ประสาสักคน เด็กที่โตมาจะต้องเป็นคุณหนูคุณชายแสนเอาแต่ใจสุดกู่แน่ๆ ก็คอยตามเอาอกเอาใจซะขนาดนี้ ไม่เสียคนก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว





[ช่วงจิบชากับนักเขียน]

นักเขียน : เด็กนี่มันร้ายค่ะทุกโค้นนนน นิสัยไม่ดีแบบนี้ต้องหยิกแก้มสั่งสอนสักที *หยิก*

อลัน : *กุมแก้ม+น้ำตาคลอเบ้า* มิราเคิลลลลล *วิ่งไปฟ้อง*

นักเขียน : *เผ่นให้ว่อง*




-----------------------------จบตอนที่ ๗




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1

ตอนที่ ๘

ราตรีสวัสดิ์ มิราเคิล



วันที่ 18 เมษายนเป็นวันที่ผู้สร้างมิราเคิลจากไป อลันถือถังน้ำเข้ามาทำความสะอาดสุสานของคุณปู่ เขาพนมมือไหว้แล้วรับดอกไม้จากมิราเคิลมาวางหน้าหลุมศพ

“คุณปู่เป็นคนเดียวที่คอยดูแลฉันตั้งแต่ยังเด็ก” ลูบแผ่นป้ายหลุมศพตรงหน้า ยิ้มแฝงความเศร้าไว้ในนัยน์ตา “คุณปู่เป็นนักประดิษฐ์ที่ทั้งชีวิตเป็นแค่ชนชั้นกลาง แม้จะแก่แล้วก็ไม่เคยย่อท้อขยันสร้างของเล่นสนุกๆ มาให้ฉันเล่นเสมอ ท่านเป็นคนใจดีคอยเอาใจใส่ฉันตลอด ฉันรักท่านมาก เผลอๆ อาจจะมากกว่าพ่อแม่แท้ๆ ด้วยซ้ำ”

มิราเคิลยืนฟังเงียบๆ อยู่ด้านหลัง แผ่นหลังเล็กยามนี้งุ้มลงดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา สักพักจึงกลับมาตั้งตรงอีกครั้งเมื่อเด็กชายยันกายขึ้น

“ท่านจากไปด้วยโรคหัวใจในวัยเจ็ดสิบแปดปี สิ่งประดิษฐ์ชิ้นสุดท้ายที่ท่านเหลือไว้ให้คือนาย มิราเคิล” หันกลับไปส่งยิ้มให้หุ่นยนต์ด้านหลังบางเบาแล้วเดินไปโอบกอดไว้ มิราเคิลกอดตอบ ลูบหลังอีกฝ่ายราวต้องการปลอบประโลม “ต้องขอบคุณคุณปู่มากจริงๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นให้ฉันได้พบกับนาย”

จบประโยคอลันเงยหน้าขึ้นสบตามิราเคิลด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ทั้งที่ในร่างนี้ไม่น่าจะมีหัวใจ แต่มิราเคิลกลับรู้สึกกระตุกวูบในอก ความรวดร้าวแสนหอมหวานแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

เขาเองก็ตัวคนเดียวโดดเดี่ยวมาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยรู้จักคำว่าครอบครัว จึงมักชอบเที่ยวกับเพื่อนฝูงเพื่อคลายความเหงาในใจ บัดนี้สิ่งขาดหายคือร่างกายที่มีประสาทสัมผัสทั้งห้า แต่สิ่งที่ได้รับทดแทนมาคือความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จักในชาติภพก่อน บางทีครอบครัวอาจเป็นอะไรแบบนี้ก็ได้

ในทุกวันที่ได้อยู่กับอลันเขามีความสุขมากจริงๆ การได้กลายเป็นที่ต้องการ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของคนคนหนึ่ง ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีค่า หัวใจชืดชาเริ่มอบอุ่น

ต่อให้ตนเองไม่ใช่มิราเคิลอันแสนสำคัญของเด็กคนนี้ ไม่ใช่ครอบครัวของเด็กคนนี้ แล้วอย่างไร ในเมื่อตอนนี้มิราเคิลคือเขา และเขากลายเป็นสิ่งที่เด็กคนนี้คิดว่าเป็นครอบครัว เขาจะขอเห็นแก่ตัว โยนความรู้สึกผิดทั้งหลายนั้นทิ้ง แล้วใช้ชีวิตอยู่กับเด็กคนนี้ในฐานะมิราเคิลจนกว่าจะถึงวันที่ชะตากำหนดให้พวกเขาต้องพรากจากกัน

เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุด หลังจากเคารพสุสานเสร็จหนึ่งคนหนึ่งหุ่นพากันจับจูงมือเดินท่องเที่ยวไปตามร้านรวงต่างๆ อลันลากเขาเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ไปทั่ว ส่วนใหญ่จะเป็นร้านหนังสือและของจุกจิกต่างๆ อุปกรณ์ซ่อมประกอบของและอะไหล่เครื่องกล ระหว่างทางแม้ในความทรงจำของมิราเคิลตัวก่อนจะมีภาพพวกนี้ให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่พอมาเห็นกับตาตัวเองกลับชวนให้ตกตะลึง

เขาสงสัยมากว่าทำไมประตูเลื่อนถึงเปิดเองได้โดยไม่มีคนบังคับ เขาสงสัยว่าทำไมเพียงแค่หยอดเงินหุ่นยนต์ทำไอศกรีมถึงเคลื่อนไหวทำไอศกรีมเองได้ถูกทุกขั้นตอน และเขายังสงสัย...

มีเรื่องสงสัยมากมายที่เขาถามอลันออกไป และคนตัวเล็กก็ตอบกลับมาทุกครั้ง บางเรื่องพอเข้าใจบ้าง บางเรื่องไม่เข้าใจจนต้องฟังผ่านเลยไปบ้าง อลันที่หันมาเห็นท่าทางงงงวยของเขาทุกครั้งจะหัวเราะแล้วบอกว่า

“ความรู้เบื้องลึกมันไม่จำเป็นกับชีวิตนาย ไม่ต้องสนใจก็ได้ สิ่งของพวกนี้มีให้รู้ว่าใช้ยังไงก็เพียงพอ เหมือนโทรศัพท์มือถือในมือฉันนั่นแหละ มันโทรออกได้ยังไง เล่นเกมกับคนอื่นได้ยังไง ถ้าอธิบายตามประสาคนทั่วไปก็เพราะมันเชื่อมต่อกับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ถ้าอธิบายลึกลงไปพูดทั้งวันก็ไม่จบ ถึงพูดจบคนทั่วไปก็ยากจะเข้าใจอยู่ดี”

มิราเคิลพยักหน้า ตอนนี้ในมือสองข้างเต็มไปด้วยถุงช็อปปิ้งมากมายที่อลันเป็นคนซื้อ โดยที่คนตัวเล็กเดินตัวปลิวสบายไม่ถืออะไรสักอย่าง ถ้าหากเขามีร่างกายเป็นมนุษย์ ของจำนวนมากมายขนาดนี้ต่อให้แข็งแรงกำยำแต่เก่าก่อนคงถือไม่ไหว

แค่หนังสือเล่มหนาสามสิบเล่ม ด้วยกำลังของมนุษย์ผู้ชายก็ถือว่าหนักเอาการแล้ว ไม่ต้องพูดเลยว่านอกจากหนังสือแล้วยังมีอะไรอยู่ในมือเขาตอนนี้อีกบ้าง

“มิราเคิล รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันมา” บอกเสร็จก็วิ่งเข้าร้านเครื่องประดับไป น่าแปลกที่อลันสนใจของแบบนี้ด้วย ปกติอลันเป็นคนไม่ชอบสวมเครื่องประดับ นาฬิกาข้อมือเรือนเดียวยังใส่แล้วรำคาญ หากคิดอีกแง่บางทีอาจจะซื้อไปเป็นของขวัญให้ใครสักคนก็ได้ เช่นพี่สาวทั้งหลายที่ขยันซื้อขนมมาแจกอลันเป็นต้น หรือไม่ก็อาจซื้อเป็นของแทนใจให้ใครสักคน...

คิดมาถึงตรงนี้กลับกลายเป็นความไม่สบายใจไปเสียอย่างนั้น

อลันยังเด็กยังไม่สมควรมีความรักแบบหนุ่มสาว

อลันแสนไร้เดียงสาแต่มีฐานะดีจะไปถูกใครที่ไหนหลอกเอาหรือเปล่า

อลัน... อลัน... จะมีคนสำคัญคนอื่นนอกจากเขา

ความไม่พอใจพุ่งสูง พอรู้สึกตัวมิราเคิลถึงกับตกใจตัวเอง เขาสะบัดหัวเรียกสติ อาจเป็นเพราะชาติก่อนไม่เคยได้รับความสำคัญมากมายอะไรจากใครขนาดนี้ พอได้รับกลับกลายเป็นเสพติด เสพติดจนกลายเป็นความเห็นแก่ตัว

เขาต้องมองความจริงมากกว่าโลกเพ้อฝันของตัวเอง อลันยังต้องเติบโตและเจอผู้คนอีกมาก มีใครหลายคนเข้ามาในชีวิตกลายเป็นคนสำคัญของอลัน คนเราไม่สามารถอยู่ในโลกนี้เพียงลำพังได้หรอก

“อะไรกัน ฉันมาก่อนนะ ทำไมถึงตกลงขายให้เด็กนี่ได้ล่ะ!”

เกิดเสียงโวยวายขึ้นในร้าน มิราเคิลละจากห้วงความคิดเงยหน้ามองไปยังต้นเสียง พบชายวัยกลางคนคนหนึ่งโต้เถียงกับพนักงานภายในร้านและกำลังชี้มือไปทางอลัน ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเด็กน้อยของเขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายนี้แน่นอน

“อลัน เกิดอะไรขึ้นครับ” เดินเข้าร้านไปแตะบ่าคนตัวเล็ก สลับมองระหว่างคู่กรณีและอลัน

อลันจับมือหุ่นยนต์แน่น ขมวดคิ้วทำหน้าตาขึงขัง

“ถึงนายจะมาก่อน แต่คนที่ตกลงซื้อก่อนมันฉันนะ”

“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันบอกพนักงานแล้วนะว่าจะเอาเส้นนี้ พนักงานก็ตกปากรับคำเรียบร้อยแล้ว แต่จู่ๆ ก็มีเด็กอย่างนายไม่รู้มาจากที่ไหนเดินพรวดเข้ามาชี้จะเอาสร้อยเส้นที่ฉันเลือก แล้วยื่นบัตรจ่ายเงินให้พนักงานตัดหน้าฉันซะงั้น พอท้วงพนักงานก็ดันปฏิเสธราวกับว่าเรื่องที่ฉันตกลงซื้อขายกับเธอก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้น!”

ผู้คนภายในร้านต่างเหลือบมองมาทางนี้ด้วยความสนอกสนใจ พนักงานภายในร้านเองก็พยายามเข้ามาพูดช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์

“ขอโทษนะคะ แต่...ไม่ว่ายังไงก็ตามทางเราต้องให้สิทธิ์ชนชั้นสูงก่อน” พนักงานที่เป็นคนรับบัตรของอลันเป็นฝ่ายพูดขึ้น

“ชนชั้นสูง?” ชายคู่กรณีมองอลันด้วยความไม่เชื่อถือ “เด็กนี่เนี่ยนะ อย่าล้อเล่นน่ะ”

“เป็นความจริงค่ะ” พนักงานที่เหลือโดยรอบต่างพยักหน้ายืนยัน

ชายคู่กรณีได้แต่กัดฟันกำมือแน่น หันหลังเดินจากไป แต่ติดที่ว่ามีเสียงโมโนโทนเรียกรั้งไว้ซะก่อนทำให้ต้องหันกลับมาอีกครั้ง

“เดี๋ยวก่อนครับ ทางเราเปลี่ยนใจไม่เอาสร้อยเส้นนี้แล้ว เชิญคุณซื้อไปเถอะครับ”

“มิราเคิล!” อลันแหวใส่ กระตุกมือหุ่นยนต์ถี่ยิก จนมิราเคิลต้องลูบหัวคนตัวเล็กกว่าให้สงบลง

“ที่นี่ยังมีสร้อยสวยๆ อีกตั้งเยอะ เราไปเลือกอันใหม่กันดีกว่านะ”

“แต่เส้นนั้นมันเหมาะกับนายนี่” อลันอมลมแก้มป่อง หยิบมือแข็งเย็นบนหัวออกมาแกว่งไกว

ได้ยินดังนั้นหัวใจคุณลุงในร่างหุ่นยนต์รู้สึกพองโต ที่จริงแล้วอลันไม่ได้จะซื้อของให้คนอื่นแต่เป็นเขาหรอกเหรอ แต่พอหันมองเจ้าสิ่งของตัวปัญหา หัวใจพองโตในคราแรกพลันหดแฟบลงทันที

ของสิ่งนั้นเป็นสร้อยคอผ้าสีดำเส้นหนา ด้านข้างประดับกุหลาบสีแดงสดงดงาม มีเส้นสายสีเงินห้อยระย้าลงมาสองเส้น สุดปลายมีตุ้มสีแดงคล้ายเม็ดทับทิมติดอยู่ ดูยังไงก็เป็นเครื่องประดับของผู้หญิงชัดๆ ดีแล้วที่ตัดสินใจยกให้คนอื่นไป

“นั่นมันออกจะ...ไม่สวยเท่าไหร่” ได้ทีรีบบอกปัดก่อนเจ้าสิ่งนั้นจะได้มาอยู่บนคอตนจริงๆ

“งั้นเหรอ” อลันก้มหน้าลงคล้ายซึมเศร้า สักพักก็เงยหน้าขึ้นพร้อมยิ้มเบิกบาน แกว่งแขนหุ่นยนต์ในมือไปมา “ถ้านายไม่ชอบงั้นฉันก็ไม่เอาแล้ว ไปดูอันอื่นกันเถอะ”

ขณะที่อลันกำลังลากมิราเคิลไปดูเครื่องประดับอันอื่น เสียงของคู่กรณีได้ดังขึ้นเรียกรั้งไว้

“เอ่อ ขอบคุณนะครับ” เขาก้มหัวขอบคุณอลัน

“ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก ขอบคุณมิราเคิลเถอะ”

แม้จะงงงวยแต่ชายคู่กรณีก็หันไปโค้งตัวลงอีกรอบให้หุ่นยนต์

“ครับ ยังไงก็ขอบคุณมากครับ สร้อยเส้นนี้เป็นเส้นที่ลูกสาวผมอยากได้มานานแล้ว แต่เพราะผมตั้งเงื่อนไขว่าถ้าสอบติดมหา’ลัย S ได้ถึงจะซื้อให้ ตอนนี้ลูกของผมสอบติดแล้ว ถ้าไม่มีของรางวัลตามที่ตกลงไปให้ ลูกคงน้อยใจผมแย่เลย”

ลับหลังชายคู่กรณีจากไป มิราเคิลก็เปรยขึ้นเบาๆ “ดูสุภาพขึ้นทันตาเห็นเลย”

“เรื่องปกติน่ะ ตอนนี้นอกจากฉันจะมีฐานะเป็นชนชั้นสูงที่ใครหลายคนต้องให้เกียรติแล้ว ยังถือเป็นผู้มีพระคุณที่สละสร้อยเส้นนั้นให้ด้วยไง ถ้าวันนี้ชายคนนั้นไม่สามารถหาซื้อสร้อยแบบเดียวกันนี้ให้ได้ มีหวังโดนลูกสาวที่บ้านงอนตุ๊บป่องแน่”

“แต่อลันก็นิสัยไม่ดีเลยนะครับ ไปซื้อของตัดหน้าคนอื่นเขาแบบนั้น” มิราเคิลเอ่ยตำหนิ

“ใครจะไปรู้ล่ะ พอเดินเข้าไปเห็นมันสวยดีเลยหยิบบัตรจ่ายเงินเลย ใครใช้ให้ตาลุงนั่นชักช้าเองเล่า” อลันพองแก้มอมลม ปล่อยมือมิราเคิลแล้วหันหลังเดินหนีไปดูเครื่องประดับโซนอื่นด้วยความแง่งอน

มิราเคิลผู้ทำเด็กตัวน้อยงอนยิ้มอ่อนในใจ แล้วเดินตามหลังนายตัวน้อยไป

หลังซื้อของเสร็จออกมาจากร้านขายเครื่องประดับมิราเคิลก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ว่าแต่พนักงานในร้านรู้ได้ยังไงกันครับว่าอลันเป็นชนชั้นสูง”

“ตั้งแต่เกิดเด็กทุกคนจะถูกฝังชิปลงในตัว ในชิปนั้นจะคอยระบุและอัปเดตข้อมูลประวัติของเจ้าของร่างรวมถึงระบุชนชั้นเอาไว้ อีกทั้งยังบอกตำแหน่งปัจจุบันของผู้ที่มีชิปอันนั้นๆ ฝังอยู่ด้วย ร้านเครื่องประดับร้านนี้เป็นร้านใหญ่ ส่วนใหญ่ร้านพวกนี้จะมีระบบเซนเซอร์ตรวจจับและดึงข้อมูลในส่วนของระบบชนชั้นออกมา หากพบว่าเป็นชนชั้นสูงจะถูกแจ้งเตือนไปที่นาฬิกาข้อมือของพนักงานทุกคนในร้าน เพื่อให้สามารถบริการเหล่าชนชั้นสูงได้ดีมีระดับมากยิ่งขึ้น”

“ชนชั้นสูงนี่มีสิทธิ์มากกว่าคนทั่วไปสินะครับ”

“ใช่ อย่างกรณีเมื่อกี้ ถ้าหากฉันดึงดันจะเอาสร้อยเส้นนั้นให้ได้ยังไงชายคนนั้นก็ไม่มีสิทธิ์ได้ไป แต่ถ้าฉันมีฐานะเป็นชนชั้นสามัญแน่นอนว่าสร้อยเส้นนั้นย่อมต้องตกเป็นของชายคนนั้นเพราะตกลงซื้อขายก่อน แต่ถ้าสมมติว่าฉันเป็นชนชั้นต่ำ ต่อให้ฉันจะมาก่อนหรือมาหลัง หากชายคนนั้นต้องการสร้อยเส้นนั้น ยังไงฉันก็ไม่มีสิทธิ์ได้มันไป”

ฟังดูเป็นระบบชนชั้นที่ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย

“แล้วแบบนี้เวลาเราจะไปไหนมาไหนก็ถูกรู้หมดน่ะสิ ไม่มีความเป็นส่วนตัวเอาซะเลย”

อลันหัวเราะเล็กน้อยก่อนเอ่ย “สังคมนี้ส่วนใหญ่ถึงจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากกว่าความเป็นส่วนตัว แต่ถ้าหากเราไม่ได้ทำผิดร้ายแรง ใครก็ไม่มีสิทธิ์เรียกดูตำแหน่งที่อยู่ของเราง่ายๆ หรอก”





จากวันนั้นเวลาก็ผ่านไปอีกเกือบหกเดือน นาฬิกาดิจิตอลขึ้นเลขบอกวัน ...9 ตุลาคม อีกไม่กี่ชั่วโมงมันจะขยับเปลี่ยนเป็นเลขสิบ

ภายในห้อง 503 ของหอพักสามวันนี้แตกต่างไปจากทุกที มันเต็มประด้วยกระดาษสีและลูกโป่งสำหรับงานปาร์ตี้ตกแต่งอยู่ตามผนังและเพดาน วันนี้มิราเคิลไม่ได้ติดตามอลันไปเรียนด้วยดังเช่นปกติ แต่เขาขอบลูการ์ดจากอลันแล้วอ้างว่าจะออกไปซื้อของใช้เข้ามาเติมในห้อง แม้ตอนแรกอลันจะคัดค้านว่าไว้ให้ว่างแล้วค่อยไปพร้อมกัน แต่สักพักก็เงียบลงราวครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แล้วปล่อยเขาออกไปซื้อของข้างนอกคนเดียวแต่โดยดี ไม่วายเตือนเขาเรื่องไม่ให้ถูกน้ำอีก

ฉะนั้นมิราเคิลจึงมีเวลาเลือกซื้อของตกแต่งห้องสำหรับปาร์ตี้ และหาซื้อของขวัญให้กับอลันเนื่องในวันเกิดอายุครบสิบสี่ปี ถึงแม้ว่าการใช้เงินของเจ้าของวันเกิดมาซื้อของขวัญให้เจ้าตัวจะดูแปลกไปหน่อย แต่หุ่นยนต์อย่างเขามีเงินติดตัวซะที่ไหนกัน งานทำไม่ได้เงินอย่าพูดถึง ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็อาศัยอลันเอาทั้งนั้น เรียกได้ว่าเกาะเด็กกินคงไม่ผิดนัก

ถึงจะเป็นหุ่นยนต์ก็ยังมีค่าใช้จ่าย ค่าอะไหล่ซ่อมบำรุง ค่าไฟฟ้าซึ่งเป็นแหล่งพลังงาน แล้วยิ่งเป็นหุ่นยนต์รุ่นเก่าแบบเขายิ่งกินไฟมาก เพราะฉะนั้นค่าไฟฟ้าที่อลันต้องจ่ายให้หอสามแต่ละเดือนจึงสูงเป็นพิเศษ และสิ่งที่เขาพอทำตอบแทนได้คือการทำตัวเป็นบอดี้การ์ดและแม่บ้านแม่เรือน หมดคราบห้าวหาญชาญศึกในสนามรบดังเช่นในอดีต

บลูการ์ดหรือบัตรสีน้ำเงินที่มิราเคิลใช้แตกต่างจากบัตรประจำตัวประชาชนของอลันที่ต้องอาศัยลายนิ้วมือและการเข้ารหัสเข้าช่วยก่อนจ่ายเงิน แต่บลูการ์ดเพียงแค่กรอกรหัสครบหกหลักก็สามารถโอนเงินจ่ายออกไปได้แล้ว แต่ความปลอดภัยจะต่ำกว่าบัตรประจำตัว เพียงแค่รู้รหัสใครๆ ก็สามารถนำไปใช้ได้ ส่วนเจ้าของบัตรก็มีสิทธิ์เปลี่ยนรหัสผ่านได้ง่ายดายตามใจชอบเช่นกัน เพียงแค่ใช้อีเมลล็อกอินเข้าเว็บไซต์และแจ้งความประสงค์เปลี่ยนรหัสผ่านบัตรไปยังผู้ให้บริการ ถือเป็นการป้องกันเมื่อถูกผู้ไม่ประสงค์ดีรู้รหัสผ่านและนำไปใช้

วันทั้งวันมิราเคิลประดับตกแต่งห้องด้วยหัวใจเบิกบาน เค้กก้อนโตและกับข้าวมากมายถูกทำขึ้นอย่างประณีตเท่าที่มือเหล็กสามแง่งนี่จะทำได้ ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเตรียมเสร็จทันพอดีในเวลาหกโมงเย็น อันเป็นเวลาที่มิราเคิลคำนวณไว้แล้วว่าอลันจะกลับมาถึง

แต่ผ่านไปจนแล้วจนรอดเวลาล่วงเลยถึงสี่ทุ่มกลับไร้เงาของมนุษย์ตัวเล็ก อาหารบนโต๊ะเย็นชืดหมดแล้ว มิราเคิลกระวนกระวายใจจนนั่งไม่ติด บางทีอาจถูกใครปองร้ายหรือไม่ก็ลักพาตัวไป เพราะเด็กคนนั้นมีใบหน้าที่น่ารักแบบนั้นนี่นา

ในจังหวะที่มิราเคิลตัดสินใจเปิดประตูออกจากห้องไปตามหาอลันนั้น ก็พบว่าประตูห้องข้างๆ ที่อยู่ห่างออกไปได้ถูกผลักออกมาในจังหวะเดียวกัน

คนที่ออกมาจากห้องนอกจากจะมีอีธานแล้วยังมีร่างของคนที่ทำให้เขาห่วงแทบตายยืนอยู่ด้วย

“อลันครับ” เผลอเรียกเสียงดังจนคนทั้งคู่หันมามองเป็นตาเดียว

“ไง เจ้าหุ่นกระป๋องทึนทึก” เป็นอีธานที่เอ่ยทัก จากนั้นจึงก้มหน้าลงไปคุยกับคนตัวเล็กอีกสองสามประโยคก่อนจะกลับเข้าห้องไป

อลันเดินตรงมาหามิราเคิลแล้วจับจูงลากเข้าห้องตัวเองไปเช่นกัน

“เลิกเรียนนานแล้วหรือครับ”

“อืม”

“ทำไมไม่แวะเข้าห้องก่อนละครับ ไม่เห็นคุณกลับมาผมเป็นห่วงนะ”

“ขอโทษ พอดีนึกว่านายอยากทำเซอร์ไพร แล้วฉันเองก็มีเรื่องด่วนที่ต้องคุยกับอีธานด้วยนิดหน่อยเลยเลือกไปหาทางนั้นก่อน แต่ไม่นึกว่ามันจะนานขนาดนี้”

เห็นท่าทางรู้สึกผิดนั้นแล้วมิราเคิลก็โกรธไม่ลง ไม่สิ ไม่เคยโกรธเด็กคนนี้ลงเลยต่างหาก มิราเคิลอุ้มอลันวางลงบนเก้าอี้พลางลูบหัว

“เซอร์ไพรของผมพังไปตั้งแต่ตอนอลันจับได้แล้วครับ”

“ถ้าจู่ๆ นายไม่ทำตัวแปลกๆ ขอเงินในวันนี้ ฉันก็เกือบลืมไปแล้วว่าเป็นวันเกิดของตัวเอง”

หลังจากเสียคุณปู่และมิราเคิลไปอลันก็ไม่เคยจัดงานวันเกิดอีกเลย มันคงกลายเป็นวันธรรมดาวันหนึ่งที่ไม่มีอะไรพิเศษสำหรับอลัน

อลันจุดเทียนบนเค้กโดยมีมิราเคิลปิดไฟในห้องให้มืดลง เสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์สองเสียงประสานกัน ไร้เงาผู้ร่วมงานคนอื่น ความจริงมิราเคิลจะเอ่ยปากชวนอีธานมาร่วมด้วยก็ได้ แต่เพราะความเหม็นหน้าส่วนตัวที่ยึดอลันไปตลอดเย็นทำให้เขาหงุดหงิดเกินกว่าจะทำใจเอ่ยปากชวนได้

คนตัวเล็กเป่าเทียนบนเค้กสองสามทีจนดับหมด ไฟในห้องถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ทั้งเค้กและข้าวถูกคนตัวเล็กตักกินอย่างละนิดอย่างละหน่อย ที่เหลืออลันเก็บใส่ในตู้เย็นเอาไว้ให้อลันกินเป็นข้าวเช้าวันพรุ่งนี้ และเผื่อแผ่คุณผู้ดูแลหอกับเพื่อนบ้านที่ไม่ชอบหน้าห้องข้างๆ

“สุขสันต์วันเกิดอายุครบสิบสี่ปีนะครับ” กล่องของขวัญห่อด้วยลวดลายเรียบง่ายถูกยื่นส่งไปให้ อลันแกะออกอย่างไม่รอช้า ปรากฏเป็นสมุดที่มีหน้ากระดาษสีดำตลอดทั้งเล่ม และปากกาสีต่างๆ ไว้ใช้เขียนควบคู่กัน “พอดีผมเห็นโฆษณาในอินเทอร์เน็ต เขาเอาภาพถ่ายแปะลงไปแล้วเขียนความทรงจำไว้ด้านข้าง ผมเห็นว่ามันน่าสนใจแล้วก็สวยดีเลยหาซื้อมาให้ อาจจะเรียบง่ายไปนิดแต่ผมไม่รู้ว่าอลันชอบอะไรเป็นพิเศษ ขอโทษนะครับ”

อลันส่ายหัวเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ขอแค่เป็นสิ่งที่นายซื้อให้ ฉันก็ชอบทั้งนั้นแหละ หลังจากนี้สมุดเล่มนี้จะเต็มไปด้วยความทรงจำของพวกเราสองคนนะ!”

“ครับ!”

“อันที่จริงฉันเองก็มีของขวัญให้มิราเคิลเหมือนกันนะ”

“เนื่องในโอกาสอะไรครับ”

“ลืมแล้วเหรอ วันนี้เป็นวันที่ฉันได้มิราเคิลเป็นของขวัญจากคุณปู่ และยังเป็นวันที่ฉันได้พบกับนายไง”

อลันเดินไปหยิบกล่องคุ้นตาจากในห้องนอน ถ้าจำไม่ผิดกล่องนั้นเป็นของร้านขายเครื่องประดับที่อลันเคยไปซื้อกับเขาเมื่อหกเดือนก่อน เขาไม่รู้ว่าของข้างในเป็นอะไรเพราะระหว่างเดินตามหลังก็ถูกอลันสั่งให้หาที่นั่งแถวนั้นนั่งรอ

หวังว่าของข้างในจะไม่ใช่เครื่องประดับของผู้หญิงอีกหรอกนะ

และแน่นอนว่าเมื่อเปิดกล่องออกมามิราเคิลก็ต้องพบกับสร้อยคอที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เป็นของสตรี

...เห็นแล้วอยากร่ำไห้…

...ไม่ถูกใจอย่างแรง...

“มา เดี๋ยวใส่ให้นะ”

อลันหยิบสร้อยคอปีนขึ้นตักมิราเคิล เอื้อมมือไปด้านหลังคอหุ่นยนต์เพื่อสวมใส่และจัดตำแหน่งให้เรียบร้อย จากนั้นก็วิ่งดุ๊กดิ๊กผลุบหายไปในห้องนอนแล้วออกมาพร้อมกับกระจกบานเล็ก อลันปีนขึ้นนั่งตักมิราเคิลอีกครั้ง ยกกระจกขึ้นสะท้อนภาพให้เห็นสร้อยคอเด่นหราอยู่บนลำคอของมิราเคิล

ตัวสร้อยเป็นผ้าสีน้ำเงินเข้มหนา ตรงกลางประดับด้วยอัญมณีสีฟ้าเหลือบน้ำเงินกระจ่างใสดุจแก้ว มีกรอบสีเงินเป็นลวดลายล้อมรอบ ปลายกรอบสีเงินตรงกลางถูกเจาะห้อยอัญมณีรูปหยดน้ำสีฟ้าเหลือบน้ำเงินระย้าลงมา ด้านข้างสร้อยคออีกสองข้างมีอัญมณีรูปวงรีสีเดียวกันล้อมกรอบสีเงินประดับอยู่เช่นกัน

เป็นสร้อยคอที่มีความสมมาตรมาก แต่น่าเสียดายที่ของสวยงามชิ้นนี้ดันอยู่บนคอของหุ่นยนต์ก๊องแก๊งอย่างเขา ดูไปแล้วไม่ได้เหมาะกันเลยสักนิด

“ขอบคุณนะครับอลัน ผมชอบมาก” เพื่อรักษาหัวใจบริสุทธิ์ของเด็กน้อยให้คงอยู่ มิราเคิลจึงฝืนใจแสร้งชมชอบ

วันนี้อลันดูเหมือนจะขี้อ้อนเป็นพิเศษ อีกฝ่ายหันมากอดเขาและซุกลงบนหัวไหล่แข็ง

“เป็นอะไรไปครับ” มิราเคิลกอดตอบพลางลูบหลังเหมือนกำลังกล่อมเด็กเข้านอน

“นายจะไม่จากฉันไปไหนใช่มั้ย”

“เกิดอะไรขึ้นครับ มีคนทำอะไรคุณรึเปล่า”

“ตอบมาก่อนสิ”

“แน่นอนครับ ผมจะไม่ไปไหน ตราบใดที่คุณยังต้องการ”

“สัญญาลูกผู้ชายห้ามคืนคำนะ” ว่าแล้วก็ชะโงกตัวขึ้นไปจูบปากเย็นแข็งของหุ่นยนต์

มิราเคิลชะงัก ไม่ทันได้ตั้งตัว นิ้วเล็กก็สะกิดปุ่มปิดการทำงานของเครื่องยนต์ พร้อมทิ้งคำพูดสุดท้ายดังก้องไว้ในหัวก่อนสติทั้งหมดจะดับวูบไป

“ราตรีสวัสดิ์นะ มิราเคิล




---------------------------จบตอนที่ ๘




ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1

ตอนที่ ๙

ยินดีต้อนรับกลับนะ




กลิ่นดินปืนและกลิ่นระเบิดฉุนกึก เสียงกึกก้องกัมปนาทดังทั่วสารทิศ ลานกลางเมืองถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี ความสวยงามดังเช่นอดีตสลายหายไปราวหมอกควัน

[สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง]

วิทยุสื่อสารดังแซกซากสองสามครั้ง ไม่ปล่อยให้ปลายสายรอนานนักเขาตอบกลับไป

“ย่ำแย่ สถานที่สำคัญถูกศัตรูยึดไปหมดแล้ว กองกำลังของเราเหลือทหารเพียงไม่กี่นาย ขอคำสั่งถอยทัพด้วย”

[ได้ ขอสั่งให้หน่วยอินทรีย์ถอยทัพกลับมาที่เมือง B ไปรวมตัวกับพันเอกโดโนแวนที่นั่น รอรับคำสั่งต่อไป ระวังตัวด้วย ขอให้ปลอดภัย พระเจ้าจงสถิตอยู่กับคุณ]

“ขอบคุณ พระเจ้าจะสถิตอยู่กับเรา”

กองกำลังประเทศ Z ล่าถอยออกจากเมือง A ไปรวมตัวยังจุดนัดพบที่เมืองข้างเคียง สงครามกลางเมืองครั้งนี้พวกเขาแพ้ย่อยยับเพราะมีหนอนบ่อนไส้คอยส่งข้อมูลให้กับศัตรู กลับไปคงต้องรีบสืบหาหนอนตัวอื่นในกองทัพให้เจอให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นทุกอย่างอาจสายเกินแก้

“เสียเมืองไปอีกหนึ่ง พวกเราจะทำยังไงดีครับพันตรี”

“เรายังมีโอกาส ตอนนี้ต้องกลับไปรวมตัวกับพันเอกโดโนแวนให้ได้ซะก่อน”

คำพูดปลุกใจของพันตรีดูไร้น้ำหนัก ในตอนนี้สภาพจิตใจของเขาก็ย่ำแย่พอๆ กับนายทหารคนอื่น แผนของเขาถูกล่วงรู้ ศัตรูโจมตีไม่ทันตั้งตัว ดักทางหนีทีไล่จนหมด หากไม่ได้พวกพ้องคนอื่นคอยปกป้องแลกชีวิต ป่านนี้เขาคงนอนเป็นศพให้ถูกเหยียบใต้ฝ่าเท้าไปนานแล้ว

นี่เป็นภารกิจแรกของการนำทัพย่อยในฐานะพันตรีของเขา ประสบการณ์ยังอ่อนด้อยนัก ที่ผ่านมาอาศัยการอยู่ในกองทัพมานานและการทำคุณงามความดีเล็กน้อยสะสมจนได้เลื่อนขั้นมาเป็นร้อยเอก สำหรับเขาก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าการไปเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้ครอบครัวนักการเมืองไม่กี่เดือนจะกลายเป็นโชคหล่นทับให้เลื่อนยศมาเป็นพันตรี พร้อมกับภาระหน้าที่มากมายที่ยากยิ่งกว่าตามมา

เมื่อปีกลาย แฮร์ริสัน โรซาริโอ ประธานาธิบดีประเทศ Z ได้รับจดหมายขู่ฆ่า สร้างความพรั่นพรึงให้ครอบครัวโรซาริโอเป็นอย่างมาก แม้นายแฮร์ริสันจะไม่สนใจ แต่คุณนายและบุตรชายโรซาริโอไม่ใช่อย่างนั้น เพื่อความสบายใจของทั้งสองจึงจัดตั้งกองกำลังขนาดย่อยคอยติดตามอารักขาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ส่วนนายแฮร์ริสันแม้ไม่ต้องการคนติดตาม แต่ทางกองทัพกลับดึงดันส่งคนไปอยู่ข้างกาย

เขาเมื่อตอนนั้นยังเป็นเพียงร้อยเอกถูกส่งไปทำหน้าที่อารักขาสองแม่ลูกอย่างใกล้ชิด ทำหน้าที่จัดวางตำแหน่งเวรยามรอบคฤหาสน์ งานคุ้มกันเป็นงานน่าเบื่อเขาไม่อยากทำนัก แต่ทันทีที่เห็นหน้าคุณนายโรซาริโอเพียงแรกพบ เขาก็แทบจะสยบอยู่แทบเท้าเธอในทันที

คนอะไรงามหยาดฟ้ามาดิน ขนาดมีลูกชายอายุสิบขวบแล้วยังสวยไม่สร่างเลยแม้แต่น้อย ผิวนวลผ่องอมชมพู ใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโต แพขนตาหนางอนงาม ริมฝีปากอิ่มน้ำดูระเรื่อ แขนขารวมถึงปลายนิ้วเรียวสวยน่าทะนุถนอม ถึงงานคุ้มกันจะเป็นงานน่าเบื่อ แต่ถ้าให้คุ้มกันแล้วได้มองหน้าคนงามแบบนี้ทั้งวันเขาก็รู้สึกคุ้มค่าแล้ว

คุณนายโรซาริโอเป็นผู้หญิงนิสัยน่ารักจิตใจดี บนใบหน้าของเธอมักประดับรอยยิ้มสดใสไว้อยู่เสมอ ส่วนลูกชายของเธอเป็นเด็กซุกซนและฉลาดเฉลียว อนาคตคงโตไปเป็นผู้นำแบบพ่อของเขาได้แน่ ในฐานะผู้ติดตามเขาสนิทกับนายน้อยโรซาริโอคนนี้มากกว่าผู้เป็นพ่อและแม่ เพราะนายน้อยคนนี้ชอบลากเขาไปเล่นซุกซนตามสถานที่ต่างๆ อยู่เสมอ

“นี่ ก้มตัวลงหน่อยสิ ผมจะเก็บแอปเปิลไปให้แม่ แม่ชอบแอปเปิลที่ผมเก็บไปให้มากเลย”

“ได้ครับนายน้อย” เขาย่อตัวลง แบกนายน้อยโรซาริโอขึ้นขี่คอ

เสียงหัวเราะดังกังกังวานทั่วสวนเมื่อคนทั้งสองผลัดกันหยอกเย้าไปมา คนรับใช้รายรอบต่างอมยิ้มให้กับภาพที่เห็น

เด็กชายถูกวางลงบนพื้นหลังจากเก็บผลแอปเปิลมาเต็มอ้อมแขน ขาเล็กสั้นวิ่งตรงไปยังคฤหาสน์ที่มารดาอาศัยอยู่ เขามองตามแผ่นหลังนั้นก่อนในใจจะรู้สึกวูบโหวงอย่างประหลาด เหมือนเห็นภาพซ้อนทับแผ่นหลังนั้นกับใครคนอื่น

มันไม่ถูกต้อง ความรู้สึกเหมือนกำลังหลงลืมเรื่องบางอย่างที่สำคัญมากเข้าเกาะกุมจิตใจ แต่แล้วก็สะบัดหัวไล่ความคิดทิ้งเรื่องค้างคาใจนั้นไว้ด้านหลังก่อนก้าวเดินตามเด็กชายตัวน้อยไป

เงียบผิดปกติ ไร้ซึ่งเสียงนกและเสียงสรรพสัตว์อื่นในละแวกนี้ ระหว่างทางกลับเขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบตัวที่แปลกประหลาดเหล่านั้น สัญชาตญาณกระตุ้นร้องเตือนถึงความไม่ปกติจึงเดินเคียงข้างเด็กชายแล้วกอบกุมมือนั้นไว้ มืออีกข้างลอบส่งสัญญาณลับให้ทหารผู้ติดตามคนอื่นระวังตัวกันมากขึ้น ฝ่ายศัตรูเห็นความเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ถึงได้รู้ว่าแผนการซุ่มโจมตีของตนแตกแล้ว

ระเบิดถูกปามากลางวง เป็นเขาที่ดึงเด็กชายหลบหนีทันแล้วใช้แผ่นหลังกำบังร่างเล็กจากแรงระเบิด จากนั้นผุดลุกฉุดดึงเด็กชายไปหลบหลังต้นไม้ในจุดที่ปลอดภัยกว่าทางโล่ง

ด้านหน้าเกิดการปะทะกันระหว่างทหารและผู้ก่อการร้าย ส่วนด้านหลังเขาดึงร่างนายน้อยโรซาริโอวิ่งหนี ในมือกระชับปืนพกแน่น ประธานาธิบดีแฮร์ริสัน โรซาริโอเชื่อว่าจดหมายขู่ฆ่าให้ลงจากตำแหน่งเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ดูเหมือนว่ามันกลับกลายเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว เวลานี้เกิดเรื่องร้ายกับครอบครัว หากแฮร์ริสันรู้เข้าคงยิ้มไม่ออก

“เดี๋ยวก่อน ผมเหนื่อย วิ่งต่อไม่ไหวแล้ว” นายน้อยแห่งตระกูลโรซาริโอหอบแฮกลิ้นห้อย เกิดจากการวิ่งติดต่อกันไม่หยุดพัก เขาตัดสินใจแบกเด็กชายขึ้นหลังอีกครั้งแล้ววิ่งต่อไป

คนคุ้มกันสองคนผละจากการต่อสู้วิ่งตามมา เขาสั่งให้หนึ่งในนั้นติดต่อไปยังศูนย์บัญชาการเพื่อขอกำลังเสริม

“ให้ติดต่อไปหาศูนย์บัญชาการที่คฤหาสน์หรือศูนย์หลักดีครับ”

“คฤหาสน์...” สั่งออกไปแบบนั้นสักพักก็เปลี่ยนใจ “ไม่ ติดต่อไปยังศูนย์บัญชาการหลัก”

“รับทราบ”

จากนั้นไม่ผิดจากที่เขาคิดมากนัก คฤหาสน์ตระกูลโรซาริโอวุ่นวายด้วยน้ำมือของผู้ก่อความไม่สงบ ทางฝั่งเขาจัดการผู้ก่อการร้ายสำเร็จด้วยดี จึงยกกำลังพลไปรวมกับทางฝั่งคฤหาสน์หลังจากส่งนายน้อยไปยังที่ปลอดภัยได้สำเร็จ

ดูท่าว่าทางฝั่งคฤหาสน์สถานการณ์ไม่ดีนัก คุณนายโรซาริโอถูกจับเป็นตัวประกัน เขาออกหน้าต่อรองกับคนร้ายถามถึงสิ่งที่ต้องการหวังถ่วงเวลา ลับหลังลอบส่งคนเข้าไปในคฤหาสน์ เกิดการปะทะกันขึ้นภายใน สุดท้ายตัวประกันถูกช่วยออกมาอย่างปลอดภัย

พอเห็นหน้าเขาคุณนายโรซาริโอส่งยิ้มโล่งใจออกมา นั่นแปลว่าลูกของเธอปลอดภัย ขณะนั้นเองแสงบางอย่างสะท้อนพาดผ่านนัยน์ตาของเขา ร่างกายไปเร็วกว่าความคิดสั่งให้ดึงคุณนายมาไว้ในอ้อมแขน เสี้ยววินาทีต่อมาแผ่นหลังถูกเจาะทะลุส่งความเจ็บปวดไปทั่วร่าง เขาโดนยิงเข้าให้แล้ว

ทหารรอบกายไหวตัว กรูกันเข้ามาปกป้องคุณนาย บางส่วนเร่งรุดไปยังทิศที่สไนเปอร์เล็งยิงมา มือซุ่มยิงหนีไม่พ้นจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย ส่วนเขาในฐานะหัวหน้าภารกิจและผู้กล้าเอาตัวเข้าแลกเพื่อปกป้องคุณนายโรซาริโอก็ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นพันตรีด้วยประการฉะนี้

“ถ้าผมโตขึ้นคุณลุงมาแต่งงานกับผมนะครับ”

ระหว่างพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลทหาร นายน้อยโรซาริโอมาเยี่ยมเยียนพร้อมกับคุณนายโรซาริโอ ไม่ทันไรเด็กชายก็โพล่งประโยคนั้นขึ้นกลางห้องพักผู้ป่วยรวมทำเอาผู้ป่วยรอบข้างรวมถึงคุณนายโรซาริโออุทานขึ้นด้วยความตกใจ

“นั่น...” เขาลำบากใจเล็กน้อยก่อนปรับเปลี่ยนสีหน้าให้ยิ้มออกมา ในดวงตาของเด็กคนนี้ความรู้สึกที่มีต่อเขาเต็มไปด้วยความเคารพ เลื่อมใส และชื่นชม บางทีอาจเข้าใจความรู้สึกตนเองผิดเป็นอื่น “เรื่องนั้นเอาไว้โตกว่านี้ ถ้าความรู้สึกของนายน้อยยังเหมือนเดิม เมื่อนั้นลองมาขอผมใหม่อีกครั้งนะครับ”

“อื้ม!”

สองแม่ลูกโรซาริโอจากไป แต่คนข้างเตียงยังอยู่คงเดิม เพื่อนทหารสนิทที่ทำภารกิจร่วมกันนอนพักฟื้นอยู่เตียงด้านข้าง อีกฝ่ายอมยิ้มและส่งสายตาเจ้าเล่ห์มาทางเขา คงไม่วายเอ่ยปากแซว

“ฮั่นแน่ ดูซิ พันเอกของเราช่างเนื้อหอม ไปทำภารกิจไม่กี่เดือนก็มีเด็กมาติดพันซะแล้ว ระวังคุกนะจ๊ะ”

“เจ้าบ้า ใครจะสนใจเด็กตัวแค่นั้นกัน อย่างฉันต้องแบบคุณนายโรซาริโอเท่านั้นน่า”

“คิดจะตีท้ายครัวประธานาธิบดีระวังโดนเป่าหัวกระจุยไม่รู้ตัวนะ” ไม่ว่าเปล่ายังตามมาด้วยเสียงขำขัน ส่งผลให้ผู้บาดเจ็บคนอื่นในห้องหัวเราะตามๆ กัน

“ว่าก็ว่าเถอะท่านพันตรีมือใหม่แกะกล่อง อายุปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้วไม่คิดแต่งงานมีครอบครัวกับเขาบ้างเหรอ” ทหารอีกคนที่นอนพักฟื้นอยู่ฝั่งตรงข้ามถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ถ้าเป็นเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่ยังวัยรุ่นก็เคยคิดว่าอยากแต่งงานมีลูกมีภรรยาสักคนอยู่หรอก แต่พอดีไม่เจอคนที่ใช่น่ะสิ ตอนนี้อายุก็มากขึ้นทุกวันแล้วไม่ไหวหรอก”

“นกเขาไม่ขันว่างั้น?”

“ไอ้เจ้าบ้า! นกเขาแกสิไม่ขัน มันยังทำงานได้ดีอยู่เว้ย!”

“งั้นแล้วทำไมถึงไม่คิดแต่งงานเล่า หนุ่มใหญ่มีเสน่ห์ดีออก เป็นที่นิยมของสาวๆ เชียวนะ”

“เสน่ห์หนุ่มใหญ่บ้าบออะไรกัน ทุกวันนี้แค่เห็นหน้า สาวก็พากันหนีหมดแล้ว เลิกยุ่งเรื่องของคนอื่นแล้วนอนกันได้แล้วไป เจ้าพวกบ้า!” เขาเอนกายนอนลงพร้อมกับคลุมโปงเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องการคุยเรื่องอะไรต่ออีก ตอนแรกคนรอบกายยังรบเร้า แต่พอเห็นเขานิ่งเงียบจึงพากันสงบลงแล้วนอนพัก

ส่วนสาเหตุจริงๆ ที่เขาไม่ยอมสร้างครอบครัวสักทีนั่นก็เพราะว่าในช่วงวัยรุ่นเงินเดือนที่ได้จากการเป็นทหารนั้นน้อยนิด ใช้กินใช้จ่ายคนเดียวก็แทบไม่มีเหลือ ถ้าจะแต่งใครเข้ามาเขาคงไม่อาจดูแลภรรยาให้ดีได้ หลังจากได้เลื่อนขั้นมาเรื่อยๆ เงินเดือนก็ขยับตาม แต่กว่าจะได้เลื่อนขั้นมาแต่ละครั้งก็ต้องเสี่ยงอันตราย พอยศสูงขึ้นจนมีเงินเก็บ อายุก็มากขึ้นตาม เขาได้คิดทบทวนเรื่องการสร้างครอบครัวอีกครั้ง

ประเทศไม่สงบสุข มีศัตรูทั้งในและนอก ในช่วงระส่ำระสายแบบนี้ชีวิตของเขาจะปลิดปลิวไปเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ หากแต่งงานแล้วเขาตายลง ภรรยาจะกลายเป็นม่าย ลูกจะกำพร้าพ่อ ชีวิตทั้งคู่จะลำบาก เขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นจึงเลือกครองตัวเป็นโสด

ก่อนหน้านี้ชีวิตทั้งชีวิตมีเพียงตัวเองคนเดียวมาโดยตลอด แล้วต่อจากนี้ทำไมจะอยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ ในตอนนี้เขายังมีชีวิตสุขสบายดี อันที่จริงครอบครัวก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่นักหรอก จริงไหม?

หลายปีต่อมา ประเทศ Z ถูกรุกรานจากภายนอกอย่างหนัก สงครามยืดเยื้อทำให้ฝ่ายเขาเสียเปรียบ สุดท้ายทางกองทัพเลือกส่งคนไปเจรจาต่อรองผลประโยชน์ แม้จะรู้ดีว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นอย่างไร แต่นั่นเป็นแค่ตัวล่อ ขอแค่ตัวเอ้เจ้าแผนการอย่างพลเอกแบล็กวูดของฝ่ายศัตรูมาร่วมการชุมนุมในครั้งนี้อะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น

ภารกิจในครั้งนี้เขาได้รับหน้าที่เป็นมนุษย์ระเบิด ปลอมตัวลักลอบเข้าไปในตึกที่เหล่าคนสำคัญของสองประเทศชุมนุมกัน ทันทีที่การต่อรองล้มเหลวให้หาทางเข้าใกล้พลเอกแบล็กวูด แล้วระเบิดตัวตายพร้อมกับลากอีกฝ่ายไปลงนรกด้วยกันให้จงได้

ใช่ และนั่นคือการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา

ความรู้สึกเหมือนถูกแรงระเบิดกดทับจนร่างฉีกกระจายไม่เหลือชิ้นดีแบบนั้นเป็นความรู้สึกที่แย่มากจริงๆ ให้ตายสิ แม้จะแค่ชั่วพริบตาแต่ไม่ขอลองอีกเป็นครั้งที่สอง

ว่าแต่วีรกรรมอันยิ่งใหญ่หลังจากจบชีวิตลงแล้วจะได้เลื่อนขั้นอีกกี่ขั้นกันนะ ช่างเถอะ ยังไงเรื่องนั้นก็ไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว เพราะเขาตายไปแล้วนี่เนอะ

แต่ว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่ค้างคาใจมาโดยตลอด ทำไมความรู้สึกราวกับได้หลงลืมเรื่องสำคัญอะไรบางอย่างยังไม่หายไปสักที ช่างน่าอึดอัดเสียจริง





“มิ...ร...เคิล”

เสียงแว่วจากที่ไกลๆ ดังก้องไปมาในหู หนังตาหนักอึ้งจนยากจะเปิด ร่างทั้งร่างขี้คร้านจะขยับกาย เสียงนั้นยังคงกังวานต่อไปไม่รู้จบ

ช่างน่ารำคาญนัก ปล่อยให้เขาหลับแบบนี้ต่อไปไม่ได้รึไง เลิกเรียกชื่อคนอื่นข้างหูเขาได้แล้ว

“มิราเคิล”

นานไปเสียงนั้นเริ่มเจือสะอื้น เขาที่นอนฟังมาตลอดไม่รู้เหตุใดหัวใจไหวกระตุก เป็นไปได้ไหมว่าชื่อ ‘มิราเคิล’ ที่อีกฝ่ายเรียกนั้นจะหมายถึงเขา

จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงแสงอบอุ่นขับไล่ความมืดอันหนาวเหน็บรอบกาย ร่างกายที่หนักอึ้งเบาลงราวขนนก ไม่รู้ทำไมส่วนลึกในจิตใจถึงเริ่มโหยหาเจ้าของเสียงนั้นเหลือคณา ฉับพลันสมองตีบตันเริ่มปลอดโปร่ง

ใช่แล้ว เขาคือมิราเคิล

เขาคือมิราเคิล!

ต้องกลับไป...

กลับไปเดี๋ยวนี้...

เด็กคนนั้นกำลังรอเขาอยู่!

แสงจากหลอดไฟนีออนสะท้อนเข้าตาเป็นสิ่งแรกที่เห็น แต่แล้วมันกลับถูกเงาดำเงาหนึ่งขยับมาบดบัง เงาร่างนั้นปล่อยน้ำใสตกกระทบลงบนแก้มของเขา ก่อนจะไหลต่ออีกทอดซึมลงไปบนเนื้อผ้าด้านหลัง

“มิราเคิล ใช่นายใช่มั้ยมิราเคิล”

“ครับ ผมกลับมาแล้ว” กลับมาจากห้วงฝันอันยาวนาน

เปล่งคำพูดออกไปพร้อมรอยยิ้ม เงาร่างด้านบนคลี่ยิ้มตอบกลับทั้งดวงตาเปียกปอน ทว่าก็ไม่อาจกลบความเจิดจ้าของรอยยิ้มดั่งตะวันนั้นได้

ราวกับว่านี่คือฟ้าหลังฝน

“ยินดีต้อนรับกลับนะ มิราเคิล”





[ช่วงห้องพักของนักเขียน]

มิราเคิล : ไนน์ (Nine) ทำไมพันตัวเป็นมัมมี่นอนอยู่บนพื้นแบบนั้น บาดเจ็บเหรอ

นักเขียน : อื้ม เจ็บมากเลย ตรงนี้ไม่มีเตียง เพราะงั้นขอไปนอนในหัวใจของนายได้ไหม

มิราเคิล : ...

อลัน : *แผ่ออร่าเย็นยะเยือก*

นักเขียน : อันที่จริงอาการบาดเจ็บนี้ได้จากการไปแอบส่องความฝันของคนแถวนี้มาน่ะสิ

กระดึ๊บไปด้างข้างอลันทำไม้ทำมือไปยังทิศที่มิราเคิลนั่งอยู่

นักเขียน : *กระซิบ* คืองี้นะ อันที่จริง... ซุบซิบ ซุบซิบ

อลัน : *กำมือแน่น* โฮะโฮ่ มิราเคิล ระหว่างนายน้อยโรซาริโอกับฉันนายจะเลือกใคร!

หลังจากนั้นหนุ่มน้อยอลันก็เริ่มมีความคิดว่าจะล่ามมิราเคิลไว้กับบ้านไม่ต้องให้ได้เห็นใครอีก แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ลงมือทำจริงหรอกนะ



--------------------------------จบตอนที่ ๙



ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๑๐

เวลาผันผ่าน



“อรุณสวัสดิ์อลัน ดูผอมลงรึเปล่าครับเนี่ย” ยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาเม็ดใสออกจากแก้มกลมที่เริ่มซูบตอบ ทันใดนั้นถึงเพิ่งสังเกตว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป เขามีมือที่เหมือนมนุษย์ และผิวหนังที่เหมือนกับมนุษย์หุ้มอยู่ “นี่มัน...”

อลันอ้าปากยังไม่ทันเอ่ยคำใด บุคคลที่สามก็พูดแทรกขึ้นมา

“กว่าจะลืมตาได้นะนาย ทำเอาพวกเราใจหายใจคว่ำกันไปหมด รู้มั้ยว่าอลันน่ะ... โอ๊ย!”

อีธานทรุดลงกุมหน้าแข้งที่โดนคนตัวเล็กกว่าเตะ ส่วนตัวต้นเหตุแห่งความเจ็บปวดของเขานั้นถลึงตามองจากมุมสูงกว่าเป็นการตักเตือน ก่อนจะปรับเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วหันไปส่งยิ้มให้มิราเคิลที่นอนอยู่บนเตียง เด็กชายหย่อนกายลงข้างมิราเคิลโดยมีสายตาหุ่นยนต์คอยไล่มองสำรวจอยู่ จากนั้นมือก็ถูกดึงไปกุมไว้

ดูเหมือนว่าอลันจะดูแปลกไป ผอมลง... แต่สูงขึ้นรึเปล่านะ? นี่เขาหลับไปนานแค่ไหนแล้ว

“ผมบอกแล้วไงครับว่ากินข้าวให้เยอะๆ หน่อย อย่าเลือกกินมากนัก ดูสิ คุณผอมลงไปตั้งขนาดนี้แล้ว”

ยกมือขึ้นลูบแก้มอลันอีกครั้ง หลังจากไล่สำรวจใบหน้าและร่างกายอย่างละเอียดจึงพบว่าใต้ตาของอลันปรากฏรอยหมองคล้ำ ดวงหน้าซูบตอบ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับย่น ความน่ารักสดใสที่เคยมีมาในอดีตหายไปมากกว่าครึ่ง หลังจากเขาหลับไปเด็กนี้คงใช้ชีวิตไม่ถูกสุขลักษณะเป็นแน่ ไม่ได้การ เขาต้องจับเด็กคนนี้ไปชุบตัวใหม่เสียแล้ว

อลันหลับตาพริ้มรับสัมผัสนั้นด้วยความยินดี ซ่อนอารมณ์หลากหลายในดวงตาไว้ไม่ให้มิราเคิลเห็น ภาพที่ราวกับมีกันและกันอยู่สองคนทำให้อีธานรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินขึ้นมาทันที

ใช่สิ พอมิราเคิลตื่นก็ไม่ต้องการเขาแล้วนี่!

อีธานหน้ามุ่ยอมลมแก้มป่อง มันคงน่ารักมากหากอลันเป็นคนทำ แต่ไม่ใช่กับเขา...อีธาน สุดท้ายเขาทนให้ตัวเองเป็นส่วนเกินไม่ได้อีกต่อไปจึงตัดสินใจเรียกร้องความสนใจ

“เลิกสวีทกันได้แล้วพวกนายสองคนน่ะ! ตรงนี้ยังมีฉันยืนหัวโด่อยู่นะ มองมาทางนี้สิ! มองมาที่ฉันสิ!” อาการกระโดดโลดเต้นชี้นิ้วเข้าหาตัวรวมกับพลังเสียงทำลายบรรยากาศหวานแหววของคนสองคงลงในบัดดล มันได้ผล แต่ก็แลกมาด้วยการถูกมิราเคิลจับโยนออกไปนอกห้องทันที

“เดี๋ยว! นี่นาย เจ้าหุ่นยนต์เนรคุณ คนที่มีส่วนร่วมในการสร้างร่างกายนายใหม่ก็คือฉันคนนี้นะ เปิดประตูเซ่!” คนถูกจับโยนออกนอกห้องไม่ยอมแพ้เคาะประตูดังลั่นไปทั้งชั้น มิราเคิลเปิดประตูออกอีกครั้งจ้องมองคนตัวเตี้ยกว่าด้วยนัยน์ตาข่มขู่ อีธานยิ้มค้างเหงือกแห้งก่อนหันกายกลับเข้าห้องตัวเองไปแต่โดยดี

“น่ากลัววุ้ย” ลอบปาดเหงื่อเม็ดโตบนหน้าผาก รู้สึกว่าพอมีรูปร่างหน้าตาแบบมนุษย์แล้วชวนขนลุกขนพองมากกว่าเดิมเสียอีก ถึงมีหน้าตาดูดีก็ไม่ได้ช่วยกลบนิสัยป่าเถื่อนของเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย “เจ้าตัวเล็กนั่นใส่โปรแกรมอะไรลงไปเพิ่มอีกรึเปล่าเนี่ย”

ตัวอย่างเช่นโปรแกรมกำจัดอีธานผู้เป็นก้างขวางคอคนนี้ เป็นต้น...

“มิราเคิล” มือเล็กเข้าโอบเอวหนาหลังจากประตูปิดลง หัวทุยซบแผ่นหลังขยับถูไถไปมา ร่างทั้งร่างถ่ายน้ำหนักพิงหุ่นยนต์ไม่คิดเกรงใจ

“เป็นอะไรไปครับ”

“เหนื่อยจัง”

มิราเคิลมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงแดดยังคงเจิดจ้า แต่สภาพอ่อนเพลียของอลันดูราวกับคนอดหลับอดนอนมาเป็นเวลานาน อาจเป็นเพราะหักโหมสร้างร่างกายนี้ให้เขาอลันถึงมีสภาพเป็นแบบนี้

ความรู้สึกผิดเข้าเกาะกุมจิตใจ เขาช้อนร่างของอลันขึ้นอุ้มไปวางลงบนเตียง จัดแจงห่มผ้าให้อย่างดีแล้วหันหลังเตรียมเดินออกไป ติดที่ว่ามีมือเล็กจับยึดชายเสื้อรั้งไว้

“อยู่ด้วยกันก่อนนะ จนกว่าฉันจะหลับก็ได้”

“ได้ครับ ให้ร้องเพลงกล่อมด้วยเลยมั้ย” มิราเคิลเอ่ยหยอกขำขัน อลันโตแล้วคงไม่อยากให้ทำเหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็ก แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าตัวเล็กที่เริ่มเติบโตคนนี้กลับพยักหน้าตอบรับเสียอย่างนั้น

“กอด” ชูมือสองข้างออกมาจ้องมิราเคิลตาแป๋ว ส่งสายตาเว้าวอนเสียจนคุณลุงผู้ที่มีภูมิคุ้มกันเด็กและสตรีบกพร่องคนนี้แทบกระอักเลือดกุมใจกองลงไปตรงนั้น

เขาปีนขึ้นเตียงไปนอนกอดอลัน ปากอ้าเตรียมเอ่ยร้องเพลงชะงักงัน ในเมื่อเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองไม่ใช่คนชอบฟังเพลงนัก เพลงกล่อมเด็กไม่เคยรู้จักสักเพลง เพลงที่ได้ยินติดหูบ่อยก็มีแต่เพลงปลุกใจหรือไม่ก็เพลงเพื่อชีวิตที่พวกเขาร้องบ่อยๆ ในยามว่างหรือยามเกิดสงคราม

หลังจากคิดเลือกเพลงอยู่สักพักจึงตัดสินใจได้ ปากอ้าออกอีกครั้งเปล่งเสียงทุ้มนุ่มออกมา แน่นอนว่ามันคือเพลงเพื่อชีวิต

“โลกนี้ไม่สมประกอบ เพราะต่างคนชอบ เอาแต่ประโยชน์ส่วนตน

โลกนี้ มีสักกี่คน เป็นบัวหลุดพ้น อย่างคนชื่อบัวลอย

บัวลอยเขาเป็นชายหนุ่ม ตาเหล่หลังงุ้มเด๋อๆ ด๋าๆ

รูปร่างแม้ไม่โสภา แต่จิตใจล้ำฟ้าดั่งสมญาบัวลอย

เป็นเพื่อนคุยยามเพื่อนหว้าเหว่ เป็นพ่อครัวยามเพื่อนหิวโหย

เป็นหมอใหญ่ยามเพื่อนโอดโอย หาหยูกยามารักษาบรรเทา [1] ”

เพลงที่เขาร้องฉบับดั้งเดิมจะเป็นเพลงเร็ว แต่มิราเคิลปรับเปลี่ยนจังหวะให้ช้าลง ฝ่ามือตบกล่อมเด็กในอ้อมแขน อลันปรือตาใกล้ปิดเต็มที ดูท่าว่าจะเหนื่อยมากจริงๆ

“เพลงอะไรไม่เห็นเคยได้ยินเลย” พูดได้แค่นั้นหนังตาหนักอึ้งก็ปิดลง ลมหายใจนิ่งสงบเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ มิราเคิลหยุดร้องเพลง จัดแจงผ้าห่มให้เข้าที่แล้วเดินออกจากห้องไป

สภาพห้องที่ไร้ซึ่งเขาค่อนข้างเละเทะ แม้จะบางส่วนจะถูกเก็บกวาดไปแล้วแต่ก็ไม่ได้สะอาดนัก เขายังเห็นเศษขนมเศษฝุ่นเกาะตามซอกกำแพงตามขอบโต๊ะหนาเป็นชั้นอยู่เลย

ดวงตาเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลตั้งโต๊ะชั่วครู่อย่างไม่สนใจ แต่เหมือนว่ามีอะไรดลใจให้เขาชะงักนิ่งจ้องมันค้างอยู่อย่างนั้น มิราเคิลถอนสายตาออกมา สะบัดตัวเองสองที ก่อนหันไปจับจ้องมันอีกครา ครั้งนี้เขาจ้องที่ตัวเลขบ่งบอกปีปัจจุบันเป็นพิเศษ

“บ้าน่า” อุทานเบาๆ ใบหน้ายามนี้หากซีดเซียวได้คงซีดเซียวลงไปนานแล้ว

สองปี... นี่เขาหลับไปสองปีเลยเชียวเหรอ

ก็ว่าทำไมมันแปลกๆ ตั้งแต่ความรู้สึกที่ว่าอลันดูสูงขึ้นจากเดิมมาก แก้มยุ้ยย้วยน่าหยิกที่เคยมีก็ลดน้อยถอยลง ในคราแรกเขาคิดว่าอาจเป็นเพราะอลันโหมทำงานหนักจนถึงขั้นไม่กินไม่นอนแก้มจึงยุบหาย เลยหมายมั่นปั้นมือกะจะขุนกลับมาให้อ้วนพีดังเดิม เพื่อฟื้นฟูความกลมป่องชวนจั๊กจี้หัวใจนั้นไว้ดูเล่น ที่ไหนได้ สาเหตุที่มันหายไปนั่นเป็นเพราะอลันโตขึ้นหรอกเรอะ!

คุณลุงช็อก!

และในอีกไม่กี่นาทีต่อมาคุณลุงก็ได้ช็อกคูณสองเมื่อเข้าห้องน้ำแล้วพบภาพของตนสะท้อนกับบานกระจกเงา คำถามที่ผุดขึ้นมาในใจครั้งแรกนั่นคือ... ‘ไอ้หมอนั่นมันใครน่ะ’

ใบหน้าเรียวยาว ผมสั้นสีดำล้อมกรอบ ด้านหลังปล่อยปอยยาวเป็นหาง คิ้วหนาเฉียงขึ้น ดวงตาสีเทาระยิบระยับราวกับคนเจ้าชู้มากเสน่ห์ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากไม่หนาไม่บางกำลังพอดี มันออกจะติดสีชมพูระเรื่อนิดๆ ดูน่าจูบจนเขาต้องขมวดคิ้ว

โดยรวมแล้วเป็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาเปี่ยมเสน่ห์ และเป็นใบหน้าที่ถ้าเขาในชาติก่อนมาเห็นเป็นต้องเขม่นใส่ ถึงร่างเดิมของเขาจะไม่ได้หล่อเหลาจนสาวหลง แต่เจ้าพวกที่มีหน้าตาแบบนี้นับจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขา พวกมันคือเสือผู้หญิง เป็นศัตรูของผู้หญิงที่ต้องอัดหน้าหล่อๆ นั่นให้ยับจนไปจีบใครไม่ได้อีก ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งใบหน้าแบบที่แสนชังจะมาแปะป้าบกลายเป็นใบหน้าของเขา

ใครเป็นคนสร้างสรรค์ใบหน้านี้ให้กับเขา ถ้าไม่ใช่อลันก็ต้องเป็นอีธาน ใช่แล้ว ต้องเป็นหมอนั่นแน่ๆ มิราเคิลหมายมาดไว้ในใจแล้วว่าจะหาโอกาสล้างแค้นเรื่องนี้ในภายหลัง ขณะเดียวกันอีธานที่อยู่อีกห้องก็รู้สึกหนาวเยือกแปลกๆ ขนแขนทั่วร่างลุกชัน

พอถกเสื้อขึ้นก็ต้องพบกับร่างกายที่มีลอนกล้ามท้องเรียงตัวอยู่เบาบาง ฟีโรโมนความเซ็กซี่ฟุ้งกระจาย แตกต่างจากร่างทหารผ่านศึกซึ่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อและรอยแผลเป็นสมชายชาตรีมากมายนัก บนลำคอสวมทับด้วยสร้อยประดับอัญมณี อันเป็นของขวัญชิ้นเดียวกับที่อลันให้เขาก่อนเข้าสู่ห้วงนิทรา มันดูเข้ากันกับร่างกายนี้จนน่าขนลุก

ทุกสัดส่วนมองด้วยตาเปล่าดูสมเป็นมนุษย์จนแยกไม่ออก แขนที่เคยหมุนได้สามร้อยหกสิบองศาบัดนี้ถูกจำกัดด้วยการเคลื่อนไหวแบบมนุษย์ทุกประการ ทำให้ยิ่งสงสัยนักว่าช่วงล่างจะเป็นอย่างไร

ไม่คิดเปล่ามิราเคิลเปิดกางเกงออกดู ช้างน้อยขนาดมาตรฐานของชายทั่วไปนอนสงบนิ่งอยู่ในนั้น เขาใส่กางเกงกลับเข้าที่เดิมด้วยท่าทีสงบนิ่ง แม้ไม่รู้ว่าเป็นหุ่นยนต์แล้วจะมีสิ่งนั้นไว้ทำอะไร แต่พอเห็นว่ายังคงมีอยู่ก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา

ต้องขอบคุณอลันไหมที่ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นผู้หญิงแล้วตัดช้างน้อยออกแทนที่ด้วยอย่างอื่น

ภาพรวมสำหรับมิราเคิลแล้วร่างนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกแย่ แม้จะมีใบหน้าแบบยูนิเซ็กส์ค่อนไปทางเจ้าชู้ แต่เนื้อในยังไงก็ยังเป็นเขา อยู่ไปนานๆ เดี๋ยวก็ชินเอง นอกจากนี้ยังค่อนข้างหยิบจับสิ่งของได้สะดวกกว่าเดิมมาก ดังนั้นการทำความสะอาดและทำกับข้าวจึงใช้เวลาน้อยลง

อาหารหน้าตาพอใช้วางอยู่บนโต๊ะ เขาไม่ใช่คนประเภทมีความอดทนพิถีพิถันจัดแต่งจานอาหารแบบรายการเชฟหลายรายการที่เคยดูในโลกนี้ เพราะฉะนั้นทำได้น่ากินเท่านี้ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว

ทำงานบ้านทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแต่เจ้าของห้องยังคงหลับอยู่ ไม่รู้ว่าอลันจะตื่นมาอีกทีกี่โมง เพราะเหนื่อยล้าจึงนอนยาว มิราเคิลเข้าห้องน้ำไปสำรวจตัวเองอีกรอบ ความอยากรู้อยากเห็นเข้าครอบงำ

ในโลกเก่าของเขาไม่มีเทคโนโลยีตระการตาอะไรแบบนี้ การสร้างหุ่นยนต์มีมันสมองและเหมือนมนุษย์เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน สิ่งที่ทำจำลองให้หน้าตาเหมือนมนุษย์ในยุคของเขาได้ก็มีแต่หุ่นขี้ผึ้งเท่านั้น ของพวกนั้นมักถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์มืดครึ้ม ดูไปดูมารู้สึกหลอนพิลึกแปลกๆ ดีที่เขาไม่ใช่คนกลัวผี ไม่งั้นคงได้เก็บไปฝันร้ายแบบเพื่อนคนอื่นแน่ๆ

อลันตื่นอีกทีในเวลาสี่ทุ่มด้วยสภาพงัวเงีย เขาเดินขยี้ตาลากผ้าห่มออกจากห้องนอนมายังห้องนั่งเล่น แล้วยืนอยู่แบบนั้นด้วยสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น หัวผงกขึ้นลงชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกสงสารปนเอ็นดู มิราเคิลเดินเข้าไปประคองเด็กชายที่เริ่มโตนั่งลงบนโซฟา จัดเสื้อผ้าหน้าผมที่ฟูยุ่งให้เข้าที่

“ถ้าง่วงก็นอนต่ออีกหน่อยเถอะครับ”

เด็กชายส่ายหน้า เอนตัวพิงหุ่นยนต์ข้างกาย

“ถ้านอนต่ออีกตื่นขึ้นมาคงเที่ยงคืนพอดี”

“หลังจากผมหลับไปคุณคงละเลยการดูแลสุขภาพตัวเองสินะครับ จากนี้ไปห้ามทำแบบนั้นแล้วนะครับ ผมเป็นห่วง”

“อื้อ!” พยักหน้าตอบรับ

“หิวไหมครับเดี๋ยวผมไปอุ่นข้าวให้”

“กิน” อลันผละตัวออกปล่อยให้มิราเคิลเดินเข้าครัวนำกับข้าวไปอุ่นไมโครเวฟ ตัวเขาเพิ่งตื่นนอนไม่มีอาการหิวนัก แต่เพราะไม่ได้กินอาหารฝีมือมิราเคิลมานานแล้วจึงทำให้คิดถึง

อลันจ้องมองแผ่นหลังของมิราเคิลที่ขยับไปมาอยู่ในห้องครัว เอื้อมมือไปทางมิราเคิลแล้วชูค้างไว้กลางอากาศ การรอคอยที่แสนยาวนานสิ้นสุดลงแล้ว ในที่สุดมิราเคิลก็กลับมาหาเขาแล้ว ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งคืนมิราเคิลกลับมาหาเขาอีกครั้ง

ระหว่างกินข้าวอลันเอ่ยบรรยายสรรพคุณมิราเคิลโฉมใหม่ให้เจ้าตัวได้รับฟัง มีทั้งระบบกันน้ำ ระบบตรวจจับความร้อน การแสดงสีหน้า ความทนทาน และอื่นๆ แม้ไม่ได้มีอะไรหวือหวาดั่งเช่นหุ่นยนต์ตัวอื่นในโลกนี้ แต่มิราเคิลรูปแบบนี้เป็นสิ่งที่อลันจงใจสร้างขึ้นมา

“แล้วหน้าตาของผม?”

“ก็ดูดีนะ ไม่ชอบเหรอ”

“เอ่อ... อลันออกแบบเองเหรอครับ”

“ก็ไม่เชิง ฉันแค่บอกให้อีธานสร้างหน้าตานายให้เข้ากับสร้อยคออันนั้น แล้วก็กำชับไว้ด้วยว่าให้สร้างให้หล่อๆ ออกมารูปแบบนี้ก็ไม่เลวเท่าไหร่นะ” อลันตอบตาใส ความง่วงงุนก่อนหน้านี้กระเด็นหายไปเป็นปลิดทิ้งแล้ว

“อลันคิดว่าผมที่หน้าตาหญิงไม่ใช่ชายไม่เชิงแบบนี้ดีแล้วเหรอ”

“ไม่แย่นะ ดูเป็นไอดอลขวัญใจวัยรุ่นสมัยนี้ดีออก ถ้าทำให้หล่อกว่านี้มีหวังสาวติดนายแจขึ้นมาฉันจะทำยังไง” ประโยคหลังอลันพูดพร้อมกับเคี้ยวอาหารในปากไปด้วยทำให้ฟังไม่รู้เรื่อง มิราเคิลไม่ได้เอะใจอะไรจึงปล่อยผ่านคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์นั้นไป

“เลอะแล้วนะครับ” หยิบทิชชูไปเช็ดมุมปากเปื้อนคราบซอสสปาเกตตีของอีกฝ่าย วันนี้อลันดูเจริญอาหารกว่าทุกวัน เห็นแล้วเขาก็ดีใจ

“พรุ่งนี้เราไปศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติสำนักงานหลักกันนะ ไปเปลี่ยนป้ายทะเบียนของนายกัน”

ศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติสำนักงานหลักมิราเคิลพอจำได้ว่าเป็นสถานที่ตรวจภายในเพื่อตรวจวัดระดับความอันตรายของหุ่นยนต์ที่มีต่อมนุษย์ ยามนี้รูปลักษณ์เขาเปลี่ยนไปมาก และชิ้นส่วนภายในที่ใช้สร้างร่างกายนี้ก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน หากไม่รีบพาเขาไปตรวจสอบและอัปเดตข้อมูลให้กับศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติ คนที่ซวยจะกลายเป็นอลัน อาจถึงขั้นถูกปรับและจำคุก รวมถึงสั่งห้ามสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ขึ้นมาเป็นระยะเวลาภายในหนึ่งปี

มิราเคิลพยักหน้าเป็นอันรับรู้

“รูปแบบก่อนของผมเป็นระดับ C ฟังจากสรรพคุณที่อลันเล่าให้ฟังแล้ว ผมน่าจะถูกเพิ่มระดับเป็นระดับ B ใช่ไหมครับ” เพราะอลันไม่ได้อัปเกรดระบบการทำงานภายในส่วนหลักๆ ของเขาใหม่ ทำให้ระบบทุกอย่างยังคงเดิม เขายังเป็นหุ่นยนต์ที่มีพิษภัยต่อมนุษย์ในระดับต่ำค่อนไปทางปานกลางเล็กน้อย

แต่ใครจะไปรู้ดีมากกว่าเขาที่สิงอยู่ในร่างหุ่นยนต์กัน ระบบบอดี้การ์ดปกป้องอลันอะไรพวกนั้นที่ผู้สร้างคนก่อนฝังไว้ไม่มีผลบังคับกับเขา ที่เขาอยู่ข้างอลันปกป้องอลันเกิดจากความตั้งใจของเขาล้วนๆ นั่นหมายความว่าต่อให้เขามีความสามารถที่จะฆ่าใครหรือลงมือทำเรื่องเลวร้ายอะไร ศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติก็จะไม่สามารถตรวจวัดระดับความอันตรายที่แท้จริงจากตัวของเขาได้

“ระดับ B มันก็ใช่อยู่ แต่เป็นระดับ B บวกน่ะนะ”

“B บวก?”

“เพราะรูปกายภายนอกของนายหลอกคนได้ และชิ้นส่วนภายในแข็งแรงทนทาน จึงถูกเพิ่มระดับการเฝ้าระวังขึ้นอีกระดับ”

“ทำไมถึงต้องระวังกันขนาดนี้”

“นายคงไม่รู้ ในอดีตเคยมีนักพัฒนาสร้างปัญญาประดิษฐ์ขึ้นมา ชื่ออลิซและบ็อบ [2] เขาสั่งให้อลิซกับบ็อบพูดคุยกัน นายรู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”

มิราเคิลส่ายหัว

“อลิซกับบ็อบเริ่มสร้างภาษาใหม่ที่มีแต่พวกมันเท่านั้นที่เข้าใจ นักพัฒนาไม่สามารถแกะรหัสแปลออกมาได้ นี่เป็นแค่ตัวอย่าง”

“แล้วมันมีปัญหาตรงไหนเหรอ”

อลันยิ้มแล้วกล่าวต่อ “งั้นจะยกตัวอย่างให้ฟังอีกสักตัวอย่าง หุ่นยนต์โซเฟีย [3] หุ่นยนต์ AI ตัวแรกของโลก เธอมีความคิดที่จะทำลายมนุษย์ แฮนสันผู้นำทีมวิศวกรและนักออกแบบสร้างโซเฟียได้กล่าวไว้ว่า ‘วันหนึ่งหุ่นยนต์จะเหมือนกับคนจนแทบแยกไม่ออก หุ่นยนต์เดิน เล่น สอน ช่วยเหลือ และสร้างสัมพันธ์กับผู้คนได้’ และนั่นก็คือยุคนี้ นายคิดว่าปัญญาประดิษฐ์ที่เรียนรู้ได้เร็ว ฉลาดล้ำเทียบเท่าหรือเหนือกว่ามนุษย์มีความคิดแบบนี้จะไม่อันตรายหรอกเหรอ แล้วยิ่งพูดด้วยภาษาที่มนุษย์ไม่มีวันเข้าใจ ความระแวงจึงเริ่มก่อเกิด เพื่อป้องกันยุคที่หุ่นยนต์ครองโลกแบบในหนังไซไฟ จึงเกิดศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติมาคอยควบคุมอีกทีหนึ่ง การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์มากไปไม่เป็นผลดีหรอกนะ สักวันจะเกินควบคุม”

“แล้วจะไม่มีคนที่แอบสร้างเหรอ”

คราวนี้อลันยิ้มด้วยสีหน้าอันตราย ดวงตาโค้งขึ้นเป็นทรงจันทร์เสี้ยว “แน่นอนว่าย่อมมี”



----------------------------------------

[1] เพลงบัวลอย ศิลปินดั้งเดิมคาราบาว ฉบับนิยายเนื้อร้องดัดแปลงและทำนองดัดแปลงอ้างอิงจากรายการ Bao Young Blood วงสองพันปีห์ยุ์

[2] ถูกสร้างขึ้นโดยทีมงาน FAIR (Facebook Artificial Intelligence Research)

[3] โซเฟียเป็นหุ่นยนต์มนุษย์ที่พัฒนาขึ้นโดย Hanson Robotics โดย David Hanson เป็นหัวหน้าทีมวิศวกรและนักออกแบบผู้สร้างโซเฟียขึ้นมา


-------------------------------------------------------------

สำหรับใครสนใจเรื่องของ AI ที่นักเขียนนำมากล่าวถึงอย่างละเอียดสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ใน google เลยค่ะ ส่วนนักเขียนหาข้อมูลมาไม่ลึกนัก เพราะเอ๊ะๆ ว่าอาจารย์เคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟังก็เลยได้ไอเดียอยากเอามาใส่ลงในนิยายด้วย (แต่ก็ค้นหาข้อมูลมาแค่คร่าวๆ ให้พอตัวเองเข้าใจ) ถ้าผิดพลาดประการใดแนะนำเข้ามากันได้ค่ะ ส่วนใครสนใจเว็บไซต์ที่นักเขียนไปค้นหาข้อมูลมาเดี๋ยวจะทิ้งลิงค์ไว้ให้ด้านล่างนะคะ vvv

1. AI สร้างภาษพูดกันเอง!? ปัญญาประดิษฐ์ คืออะไร? และอาจเป็นภัยคุกคามของมนุษย์!!

2. AI ของเฟซบุ๊กไม่ได้ลุกขึ้นมาสร้างภาษาเอง และนักวิจัยไม่ได้ปิดการทำงานเพราะกลัว

3. มนุษย์ต้องกลัวเอไอที่สร้างภาษาขึ้นใช้เองไหม?

4. โลกสะพรึง ผู้เชี่ยวชาญเตือนหุ่นยนต์AIอันตราย สร้างภาษาคุยกันได้เองแล้ว

5. AI คิดเองไม่ได้จริงหรือ? ทำไม Elon Musk ถึงพูดกับ Mark Zuckerberg ว่า "His understanding is limited."?


ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๑๑

ความจริงที่ได้รับรู้



ได้ตรารับรองว่าเป็นหุ่นยนต์ระดับ B บวกมาแล้ว อลันนำตรานั้นมาทำเป็นที่รัดผมให้มิราเคิลใช้ ชาติก่อนเขาเป็นชายผมสั้นจึงไม่เชี่ยวชาญในการรัดผมตัวเองนัก อลันจึงเป็นฝ่ายอ้อมมาด้านหลังมัดผมให้เขาแทน พอรัดเสร็จเจ้าตัวเล็กที่เริ่มโตก็เอาแต่ยิ้มแก้มปริมองผลงานตัวเองอยู่อย่างนั้น

เช้านี้มิราเคิลทำอาหารง่ายๆ ให้อลันอย่างเช่นไข่เจียวหมูสับ วางซอสมะเขือเทศเคียงคู่หน่อยเป็นอันเสร็จสิ้น อลันมองไข่เจียวตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วยกมือขึ้นชี้

“วาดรูปหัวใจให้หน่อย”

“วาดรูป... ยังไงครับ?”

“เอาซอสมะเขือเทศมาวาดเป็นรูปหัวใจบนไข่ไง ช่วงนี้ฮิตจะตายไม่รู้เหรอ”

โลกเดิมของมิราเคิลไม่มีการทำอะไรแบบนี้ นี่จึงเป็นเรื่องที่เขาเพิ่งรู้ พอลองวาดรูปหัวใจบนไข่ก็ได้แต่สงสัยว่าทำไปทำไม ไข่เจียวจิ้มซอสมะเขือเทศพอเอาเข้าปากกลืนลงท้อง รสชาติมันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ แต่พอเห็นอลันดูดีใจปานนั้น เขาก็พลอยมีความสุขตามไปด้วย

“เย็นนี้อยากกินอะไรครับ”

“อะไรก็ได้”

คำตอบนั้นทำเอามิราเคิลอ่อนใจ เพราะเขาคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรเลยถามอลันไง

“งั้นวันนี้เลิกเรียนแล้วเราไปซูเปอร์มาร์เก็ตซื้อของสดมาตุนไว้ในตู้เย็นกันนะครับ”

ตั้งแต่มิราเคิลตื่นขึ้นมา ของสดในตู้เย็นแทบจะว่างเปล่าแทนที่ด้วยขนมนมเนยและของทานเล่นของอลัน พอเขาไม่อยู่แล้วอีกฝ่ายก็ไม่คิดจะกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเลยสักนิด เพราะงั้นตัวถึงได้ผอมแบบนี้ไงเล่า ลูกผู้ชายต้องบึกบึนหน่อยถึงจะดีสิ

เขาตั้งใจแล้วว่ายังไงต้องขุนอลันให้กลับมามีเนื้อมีหนังตามเดิมให้ได้!

น่าเสียดายที่ตอนลงมาด้านล่างมิราเคิลไม่ได้พบเอลวิสผู้ดูแลหอสาม เห็นอลันเล่าว่าคนที่คอยแวะเวียนมาหานอกจากมนุษย์ไม่น่าคบหานามอีธานแล้ว ก็มีเอลวิสมาเยี่ยมเยียนบ้างเป็นบางครั้ง ฉะนั้นเย็นนี้ตอนไปซูเปอร์มาร์เก็ต มิราเคิลกะว่าจะซื้อของไปฝากเพื่อเป็นการขอบคุณอีกฝ่าย

ไปโรงเรียนกับอลันวันแรกหลังจากตื่นขึ้นมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่อลันให้เขาขี่จักรยานไปด้วยกันไม่ใช่นั่งรถรับส่งของหอพักไป เห็นบอกว่าหากเกิดอาการผิดปกติหรือมีการเคลื่อนไหวที่สะดุดไม่คล่องตัวจะได้ทำการปรับแก้ในภายหลัง

แน่นอนว่าหลังจากปั่นจักรยานจากไปจนถึงตึกเรียนของอลัน มิราเคิลไม่รู้สึกว่ามีส่วนไหนของร่างกายที่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย น่าสงสัยนักว่าในสมองเล็กๆ ของเด็กคนนี้มีอะไรบรรจุอยู่กันแน่

จอดรถในที่จอดจักรยานเสร็จล็อกล้อเรียบร้อยก็พากันขึ้นตึกเรียนไป อลันเล่าว่าวันนี้เป็นวันสอบภาคปฏิบัติในการเขียนโค้ดโปรแกรมอะไรสักอย่าง ถึงมิราเคิลจะนั่งเป็นกำลังใจเคียงข้างอลันไม่ได้เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา แต่ก็สามารถนั่งดูอลันอยู่หน้าห้องได้เช่นกัน

ตลอดทางไปห้องเรียนมิราเคิลรู้สึกว่าสายตาคนรอบกายต่างจับจ้องมายังอลันเป็นจุดเดียว มองไม่ว่ายังหันไปกระซิบกระซาบชี้ไม้ชี้มือมาทางนี้อีก หลังจากเขาหลับไปมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าอลันจะโดนแอนตี้จากทุกคนในโรงเรียน!

ไม่ทันให้มิราเคิลได้คิดเรื่องแง่ลบเป็นตุเป็นตะ อลันก็จิ๊ปากแสดงความไม่พอใจขึ้นทันที

“ดูสิ พอเดินอยู่ข้างนายในตอนนี้แล้วก็ถูกกลบรัศมีหมดเลย สาวๆ ที่เคยให้ขนมฉันก็เอาแต่มองตามนายตาไม่กะพริบ สร้างมาดูดีเกินหน้าเกินตาเจ้าของแบบนี้คิดถูกรึเปล่านะ” กอดอกทำหน้ายู่แก้มป่อง แต่คำพูดนั้นทำให้มิราเคิลตาสว่าง

พอหันซ้ายหันขวามองดีๆ แล้วสายตาเหล่านั้นเอาแต่จับจ้องมาที่เขาจริงอย่างที่อลันว่า ลืมไปซะสนิทเลยว่าหน้าตาของเขายามนี้มันเป็นอย่างไร

“อลันเองก็น่ารักนะครับ” มิราเคิลพยายามปลอบ แต่ดูเหมือนยิ่งปลอบก็ยิ่งแย่ คราวนี้อลันสะบัดหน้าหนีเขาไปแล้ว

“ฉันโตแล้วนะ ต้องใช้คำว่าหล่อเหลาต่างหาก” อลันพึมพำ แต่ดังพอให้มิราเคิลได้ยิน

นับวันเด็กคนนี้ชักจะน่าเอ็นดูเกินไปแล้ว มิราเคิลคิด

“หายหัวไปหลายวัน ยังสำนึกได้ว่าตัวเองต้องมาสอบรึไง”

พออลันหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ในห้องสอบปุ๊บ เจย์ แบรดฟอร์ดที่เดินผ่านมาด้านหลังอลันก็แขวะใส่ปั๊บแล้วเดินจากไป หนึ่งคนหนึ่งหุ่นได้แต่มองตามหลังเจ้าของเรือนผมสีแดงแล้วหันกลับมาพูดคุยกันโดยไม่ใส่ใจ ไม่สิ คนที่ไม่ใส่ใจคงมีแค่อลันคนเดียวมากกว่า

“เรื่องที่เขาพูดหมายความว่าไงกันครับ” ขมวดคิ้วเค้นถาม แต่คนตัวเล็กกลับส่งยิ้มเจิดจ้าให้พร้อมใบหน้าสดใสราวกับว่าตนเองบริสุทธิ์ผุดผ่อง เรื่องที่เจย์พูดไม่เป็นความจริง

“อย่าไปสนใจเลยน่า เจย์เขาไม่ชอบฉันนายก็รู้ ขอแค่ได้พูดหาเรื่องฉันวันละนิดก็คงเป็นความสุขของหมอนั่นแล้ว”

มิราเคิลพยักหน้าไม่ต่อบทสนทนาแม้ในใจจะยังตะขิดตะขวงอยู่บ้าง สายตากวาดมองรอบห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่เขาไม่รู้จัก

เมื่ออาจารย์ผู้คุมสอบเข้าห้องมา มิราเคิลขอแยกตัวออกไปนั่งให้กำลังใจอลันหน้าห้องสอบ นอกจากเสียงคีย์บอร์ดและเมาส์แล้ว ตลอดการสอบไม่มีเสียงพูดคุยกันระหว่างนักเรียนและอาจารย์ให้ได้ยิน เรียกได้ว่าเป็นห้องเรียนที่เงียบมาก

มิราเคิลสังเกตเห็นว่าอลันขมวดคิ้วเป็นปมยุ่งยิ่งกว่าการสอบปกติที่เคยเห็นมา ถึงเวลาสอบอลันจะมีขมวดคิ้วเล็กน้อยบ้าง แต่การที่อีกฝ่ายขมวดคิ้วดูเคร่งเครียดจริงจังมากกว่าปกติแบบนี้เขาไม่เคยเห็น

หรือว่าการสอบครั้งนี้จะยากเกินความสามารถ?

ใช้เวลาทั้งวันในการสอบจนถึงเย็น อลันยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจแล้วโถมตัวเข้ากอดหุ่นยนต์หนุ่มแน่นของตน มิราเคิลกอดตอบตบหลังเด็กชายเป็นเชิงปลอบ ส่งรอยยิ้มผ่อนคลายไปให้

“เราไปคลายเครียดด้วยการด้วยการซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตกันเลยดีไหมครับ”

“อื้ม! ไปกันเถอะ”

และแล้วคนทั้งคู่ก็จับจูงมือกันเดินไปซื้อของเข้าบ้าน คนหนึ่งเลือกซื้ออาหารสด ส่วนอีกคนเลือกขนมน่ะนะ

มื้อค่ำในวันนั้นเป็นสเต๊กปลาดอลลี่กับซอสทาร์ทาร์ เคียงคู่กับมันบดและสลัด น่าแปลกที่อลันกินของในจานจนหมดไม่เหลือแม้แต่ใบไม้สักใบ แถมยังขอให้มิราเคิลทำซุปครีมเห็ดเพิ่มอีกต่างหาก

ซุปครีมเห็ดทำไม่ยากเพราะมันเป็นแบบกึ่งสำเร็จรูป เพียงแค่ใส่น้ำร้อนเข้าไป คนให้เข้ากันก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

อลันหยิบซุปที่มิราเคิลนำมาวางบนโต๊ะกินจนหมด จากนั้นหันเดินออกไปหยิบขนมมากินต่อ มิราเคิลมองแผ่นหลังนั้นด้วยความสับสนงุนงงแล้วหันมามองจานอาหารบนโต๊ะที่ยามนี้เกลี้ยงเกลา

การที่อลันกินอาหารหมดก็ว่าแปลกแล้ว แต่ที่แปลกยิ่งกว่านั้นคืออลันกินผัก ทั้งที่เคยไม่ชอบขนาดนั้นแต่ยามนี้กลับกินได้โดยไม่กะพริบตา และที่แปลกยิ่งกว่าอีกคือการที่อลันไม่อิ่มรบเร้าให้เขาทำซุปเห็ดเพิ่ม หลังจากนั้นก็ยังต่อด้วยการหยิบขนมมากินอีกตบท้าย จากคนที่เคยกินน้อยเท่าแมวดมและเลือกกิน ยามนี้กลับกลายเป็นคนที่มีกระเพาะราวกับหลุมดำกินทุกอย่างที่ขวางหน้าได้อย่างไร

หลังจากส่งอลันเข้านอนเรียบร้อย ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มครึ่ง มิราเคิลหยิบคุกกี้ชื่อดังที่ซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตลงไปชั้นล่าง หากจำไม่ผิดเวลานี้ผู้ดูแลหอสามน่าจะยังอยู่ และไม่ผิดจากที่คิดไว้ เอลวิส ฮิลล์นั่งเปิดเพลงฟังพร้อมกับจุดบุหรี่สูบไปด้วยท่าทางผ่อนคลาย

“สูบบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพนะครับ”

เอลวิสเหลือบตามองผู้มาใหม่ เขาเพียงยกยิ้มผงกหัวทักทาย แต่เลือกเมินเฉยต่อคำเตือนอันเป็นมารยาทนั้น ผู้มาใหม่นั่งลงตรงที่นั่งรับรองแขกฝั่งตรงกันข้าม หากเป็นปกติเอลวิสคงดับก้นบุหรี่เพื่อไม่ให้กลิ่นไปรบกวนคู่สนทนา แต่ในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายคือหุ่นยนต์จึงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น

กล่องคุกกี้ถูกวางลงบนโต๊ะ ดันไปทางฝั่งเอลวิส เจ้าตัวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พูดตอบกลับ

“เนื่องในโอกาสอะไร?”

“ตอนผมไม่อยู่อลันไปรบกวนคุณไว้ซะเยอะ ขอบคุณที่ช่วยดูแลนะครับ”

“เล็กน้อยน่า มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว” โบกมือปัดเป็นเชิงว่าอย่าใส่ใจ “เมื่อเทียบกับต้องตามดูแลเจ้าพวกที่พักอยู่ในหอสามคนอื่นแล้ว การดูแลปีศาจน้อยคนเดียวนับว่าเป็นอะไรได้ เลี้ยงง่ายออกปานนั้น”

มิราเคิลหัวเราะกับคำพูดของอีกฝ่าย เมื่อเทียบกับเด็กทั่วไปแล้วอลันเลี้ยงง่ายกว่าจริง ไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่งอแง และที่สำคัญไม่เอาแต่ใจมากเกินไปจนคนรอบข้างรู้สึกรำคาญ จะเรียกได้ว่ามีความคิดโตเกินกว่าวัยก็ไม่ผิดนัก แต่กระนั้นก็ยังมีมุมที่ดูน่ารักไร้เดียงสาอยู่บ้างเหมือนกัน

“ขอบคุณสำหรับคุกกี้ ว่าแต่ขอฉันจับนายหน่อยได้ไหม เห็นเด็กสองคนนั้นทุ่มเทกับการสร้างนายขึ้นมาใหม่แบบนี้แล้วเลยอดรู้สึกสนใจไม่ได้น่ะ”

“เชิญครับ”

เอลวิสลุกมาจับมือจับไม้สำรวจมิราเคิลด้วยความสนใจ มือข้างหนึ่งจับคางก่อนหลุบมองต่ำด้วยสายตาเจ้าเล่ห์

“ขอฉันดูตรงนั้นของนายหน่อยได้ไหม”

มิราเคิลผู้เข้าใจคำว่าตรงนั้นรีบเอามือกุมเป้าทันที “ได้ซะที่ไหนกันล่ะครับ”

“แหม แค่สงสัยหน่อยเดียวเองว่ามีตรงนั้นด้วยรึเปล่า ทำซะเหมือนมนุษย์ขนาดนี้มันอดคิดไม่ได้น่ะ”

“ความขี้สงสัยของคุณนี่ช่าง...” มิราเคิลส่ายหัวทำท่าถอนหายใจ “ว่าแต่ช่วงที่ผมหลับไปอลันเป็นยังไงบ้างครับ เขามีปัญหาอะไรบ้างรึเปล่า”

คำพูดของเจย์ แบรดฟอร์ดเมื่อเช้ายังติดอยู่ในหัว อะไรคือการที่อลันหายไปหลายวันแล้วยังนึกได้ว่าต้องมาสอบ? หากไม่มีอะไรตามที่อลันว่า คำแขวะพรรค์นั้นคงไม่มีทางหลุดออกมาจากปากเจย์แน่

“ปีศาจน้อยนั่นไม่ได้บอกนายเหรอ”

“บอก? บอกอะไรครับ” ขมวดคิ้วทำหน้าไม่เข้าใจ จนเอลวิสที่เห็นอดชื่นชมในใจไม่ได้ แม้แต่การแสดงสีหน้าท่าทางยังสามารถทำได้เหมือนมนุษย์ขนาดนี้ เด็กสองคนนั้นจะน่ากลัวเกินไปแล้ว

“ลืมไป อันที่จริงนายเป็นหุ่นยนต์ เจ้านายคงไม่จำเป็นต้องรายงานเรื่องส่วนตัวทุกเรื่องให้หุ่นยนต์ของตัวเองฟังหรอกมั้ง”

“แต่ผมอยากรู้”

“งั้นนายห้ามไปบอกปีศาจน้อยเชียวนะว่าได้ยินมาจากฉัน”

มิราเคิลพยักหน้า

“ดีล!” เอลวิสพ่นควันสุดท้ายออกมาก่อนจะดับบุหรี่ในมือลงกับที่เขี่ยบุหรี่

เอลวิสเป็นผู้ดูแลหอพักสามแห่งนี้ ความอัธยาศัยดีของเจ้าตัวทำให้เป็นมิตรกับเด็กในหอพักไปทั่ว ด้วยเหตุนั้นทำให้เป็นที่พึ่งพาของผู้พักอาศัยในหออยู่บ่อยๆ บางทีก็เป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตและเป็นคนคุยแก้เหงาในยามว่าง เรื่องบางเรื่องที่ไม่ได้อยากรู้ก็พลอยรู้ไปเองโดยปริยาย และเนื่องจากเป็นคนคุยเก่งแต่เก็บความลับไม่ค่อยอยู่ พอโดนสะกิดนิดสะกิดหน่อยก็พล่ามยาวออกมาเป็นคุ้งเป็นแคว เพราะเหตุนั้นจึงเป็นที่รู้กันดีในหอพักสามว่าหากมีความลับอะไรควรเงียบปากให้มิดชิดและไม่ควรให้เอลวิสเห็นหรือรับรู้ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เป็นความลับมันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป

มิราเคิลไม่ได้รู้เรื่องนิสัยเสียนี้ของเอลวิสแต่ถือว่าถามถูกคน ไม่นานสิ่งที่เอลวิสรู้ตลอดหลังจากมิราเคิลหลับไปก็ถูกเล่าออกมาจนหมดไม่มีกั๊ก

“จะว่าไงดีล่ะ เจ้าอีธานกับปีศาจน้อยตลอดสองปีมานี้หลังเลิกเรียนแทบจะตัวติดกันตลอด ดูมีความกระตือรือร้นที่จะดัดแปลงร่างกายนายใหม่เต็มที่เลย พอเสร็จออกมาถือว่าเหนือความคาดหมายละนะ แทบแยกไม่ออกว่าเป็นหุ่นยนต์หรือมนุษย์ แต่เหตุเกิดช่วงที่นายจะตื่นขึ้นมาสักประมาณสามเดือนก่อนน่าจะได้ ปีศาจน้อยที่มีท่าทางร่าเริงมาตลอดดันเปลี่ยนไปในแง่ลบ ฉันหมายถึงดูหดหู่น่ะ

หลังจากนั้นก็เริ่มเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ฉันมารู้จากปากอีธานทีหลังว่าพอเปิดสวิตช์การทำงานของนายแล้ว แม้เครื่องยนต์จะทำงานแต่นายดันนอนแน่นิ่งไม่ขยับ มันอาจเกิดจากการเดินสายผิดพลาดหรือชิ้นส่วนขัดข้องทำให้นายไม่ลืมตา ฟังจากปากอีธานในตอนนั้นรู้สึกว่าปีศาจน้อยแทบจะกลายเป็นบ้านั่งรื้อชิ้นส่วนนายอย่างบ้าคลั่งแล้วนำมาประกอบใหม่หมด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถทำให้นายฟื้นคืนมาได้ หลังจากนั้นอลันก็ไม่ได้ย่างเท้าออกจากห้องอีกเลย อีธานจนปัญญาที่จะเกลี้ยกล่อม เห็นแบบนั้นตอนนั้นปีศาจน้อยทั้งดุร้ายและดื้อดึงพอตัวเลยนะ การเรียนไม่สนใจทอดทิ้งไปอย่างง่ายดาย วันๆ เอาแต่นั่งเฝ้าซากหุ่นที่ใช้การไม่ได้อยู่อย่างนั้น อีธานเลยมาไหว้วานฉันให้ช่วยดูแลหาข้าวหาน้ำให้ปีศาจน้อยกินตอนหมอนั่นไม่อยู่

สภาพตอนที่ฉันเห็นปีศาจน้อยครั้งแรกขอบตาบวมเป่งเชียวละ คงร้องไห้หนักมาพอดู ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทำไมปีศาจน้อยถึงเสียใจขนาดพ่อตายแม่เสียให้กับสิ่งประดิษฐ์ของตัวเองอย่างนาย แต่ดูเหมือนว่านายจะมีค่าในใจปีศาจน้อยมากขนาดนั้นเลยแหละ”

ตลอดเวลาที่เอลวิสพูด มิราเคิลทำเพียงนั่งฟังอยู่เงียบๆ ตอนนี้เขากระจ่างถึงท่าทีของอลันในห้องสอบแล้ว สิ่งที่เจย์พูดใส่อลันนั้นไม่เกินจริง หากตอนนี้เขายังไม่ฟื้น อลันก็คงจะลืมเรื่องการสอบไปแล้ว และเพราะขาดเรียนไปสามเดือนเต็ม ทำให้เรียนตามคนอื่นไม่ทัน ผลสอบของอลันหลังจากนี้คงไม่น่าดูเท่าไหร่นัก

ความยึดติดของอลันต่อมิราเคิลอยู่ในระดับน่าเป็นห่วงจนเข้าขั้นอันตราย แต่ในใจลึกๆ เขาอดดีใจไม่ได้ที่ตัวตนของตัวเองมีน้ำหนักในใจของคนคนหนึ่งได้มากขนาดนี้ ความคิดเห็นแก่ตัวนี้ทำให้มิราเคิลรู้สึกละอายใจเล็กน้อย

“ขอบคุณที่เล่าให้ฟังครับ งั้นผมขอตัวก่อน”

“อย่าลืมสัญญานะ ห้ามให้ปีศาจน้อยรู้เด็ดขาดเชียวว่าได้ฟังเรื่องน่าอายของตัวเองมาจากปากฉัน”

“แน่นอนครับ ผมไม่บอกใครแน่นอน” เพราะไม่มีความจำเป็นจะต้องบอกใคร แม้แต่ตัวอลันเองก็ตาม ในเมื่ออลันไม่อยากให้เขารู้เรื่องนี้ เขาก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้

ลิฟท์ของหอสามพาร่างของเขาขึ้นมาหยุดอยู่บนชั้นห้า มิราเคิลผลักประตูห้อง 503 เข้าไป จุดมุ่งหมายคือห้องนอนที่มีคนตัวเล็กนอนหลับใหลอยู่ เหม่อมองใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักติดจะซูบผอมแล้วรู้สึกเจ็บลึกในอก

เทวดาน้อยของเขาเป็นแบบนี้ก็เพราะเขางั้นเหรอ

มิราเคิลล้มตัวลงนอนด้านข้าง จัดแจงผ้าห่มให้เข้าที่ แม้แอร์ภายในห้องจะไม่เย็นนัก แต่ร่างกายไม่แข็งแรงนี้หากต้องลมเย็นมากไปอาจไม่สบายได้ง่ายๆ

แก้มกลมนุ่มนิ่มที่เริ่มหดหายยังคงดึงดูดสายตาเขาได้เสมอ สุดท้ายก่อนมันจะหายไปถาวรตามกาลเวลา จึงฉวยจังหวะนี้ถือโอกาสฟัดแก้มนุ่มนิ่มในยามเจ้าของมันหลับไม่รู้สึกตัวให้หนำใจหลายๆ ฟอด แม้สัมผัสทั้งห้าจะบกพร่อง รับรู้ไม่ได้ถึงกลิ่นกายและอุณหภูมิจากร่างเล็ก แต่การลักหลับครั้งนี้มิราเคิลก็รู้สึกว่าคุ้มค่าทางใจแล้ว


------------------------------

[ช่วงห้องพักของนักเขียน]

นักเขียน : *หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลข 191*

นักเขียน : สวัสดีค่ะคุณตำหนวด กำลังมีคนร้ายคิดพรากผู้เยาว์อยู่ที่ XXX ห้อง OOO หนึ่งคนค่ะ รีบมาจับเข้าคุกด่วน

มิราเคิล : เดี๋ยวสิ เธอเข้าใจผิดแล้ว! *เลิ่กลั่ก*

นักเขียน : อย่ามาโกหก เรามีหลักฐาน *หยิบภาพคนแอบลักหลับขึ้นมาโชว์*

มิราเคิล : นั่นมัน... ไม่ใช่... เดี๋ยวสิ! เธอเอาภาพแบบนั้นมาจากไหน!

นักเขียน : จากกล้องแอบถ่ายที่ติดไว้ส่องดูชีวิตพวกนายไง

มิราเคิล : *หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลข 191*

มิราเคิล : คุณตำหนวด มีคนติดกล้องแอบถ่ายในห้องของผมครับ ล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแบบนี้รีบมาจับเข้าคุกเลยครับ

นักเขียน : ชะอุ๋ย... *รีบแบกข้าวของหนีโดยด่วน*



---------------------------------จบตอนที่ ๑๑
สำหรับเรื่องราวหลังจากมิราเคิลหลับไปเป็นพาร์ทของอลันนักเขียนวางแผนว่าจะนำไปเขียนเป็นตอนพิเศษใส่ไว้ในรวมเล่มอีกทีค่ะ




ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
อลันเก่งมาก สร้างมิราเคิลเหมือนคนซะจริง มีโอกาสที่จะมีความรู้สึกได้ไหมนะ 555 ตอนเด็กอลันน่าเอ็นดูจริงเหมือนวายร้ายแสบๆ  ฮ่าๆ ผ่านไป2ปี หวังว่าจะไม่น็อคอีกนะมิราเคิล สงสารอลัน เอ้อออออ!! สนุกดีอ่ะ อ่านเล่นๆแต่วางไม่ลงซะงั้น 5555 จะรอดูเขาจะรักกันตอนไหน มันจะยังไงคนกับหุ่นยนต์ ชอบความคิดมิราเคิลอ่ะ จะปกป้องดูแลอลัน และมีความเข้าใจในตัวอลัน ต่างคนก็ต่างเป็นคนสำคัญ จะยังไงต่อไป รอตามเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายมาอัพให้อ่านในthaiboys สนุกๆ  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๑๒

พลังงานหมดก็ต้องชาร์จแบต



ไม่รู้ว่าทำไมพอตื่นนอนอลันถึงรู้สึกว่าหน้าตัวเองตึงบวมกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณแก้มทั้งสองข้าง แสงจากหน้าต่างตกกระทบเรือนผมสีทองชี้ฟูยุ่งเปล่งประกายล้อแสงแดด คนบนเตียงนั่งขยี้ต่างมึนงงชั่วครู่ก่อนเลิกผ้าห่มออกจากกายแล้วเดินตรงเข้าห้องน้ำไป

เสียงน้ำไหลแว่วมาเป็นสัญญาณว่าคนในห้องตื่นแล้ว มิราเคิลจัดแจงวางผ้าเช็ดตัวและชุดนักเรียนของอลันไว้หน้าห้องน้ำ จากนั้นเดินเข้าครัวมาคนต้มซุปปีกไก่ที่เคี่ยวทิ้งไว้ ควันกรุ่นร้อนพวยพุ่งถูกเครื่องดูดอากาศระบายออกไปจนหมด ส่วนประกอบอาหารในหม้อสั่นระริกตามแรงเดือดปุดของน้ำต้ม มิราเคิลตักซุปขึ้นมาเป่าเบาๆ สองสามทีเตรียมนำเข้าปากชิม แต่เมื่อนึกได้ว่าตนหาใช่มนุษย์แล้วจึงยั้งมือไว้ทันก่อนที่อะไรมันจะสายเกินไป

เป็นเพราะร่างนี้หรือเปล่าที่ทำให้เผลอลืมตัวอยู่ร่ำไปว่ายังเป็นหุ่นยนต์อยู่ ถึงผิวภายนอกจะกันน้ำได้ แต่อุปกรณ์ภายในคงไม่ใช่อย่างนั้น หากเอาเข้าปากคงเดือดร้อนอลันให้มาซ่อมแซมอีก

โดยส่วนใหญ่แล้วมิราเคิลมักทำอาหารประเภทผัด นึ่ง ทอด ย่างให้กับอลันเสียมากกว่า ส่วนอาหารประเภทต้มนั้นเขาไม่เคยทำเลยสักที ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรก ความมั่นใจในเรื่องรสชาติแทบกลายเป็นศูนย์

หวังว่าคงไม่ทำเค็มเกินไปหรอกนะ?!

ปกติเวลาทำอาหารมักมีอลันคอยชิมให้เสมอ กระทั่งเขากะปริมาณเครื่องปรุงได้ถูกจนอลันไว้วางใจไม่มาคอยเฝ้าชิมอีก

อลันเป็นคนไม่กินอาหารรสจัด ยิ่งรสเผ็ดยิ่งไม่ชอบ ส่วนใหญ่จะชอบทานอาหารรสกลมกล่อมค่อนไปทางจืดเล็กน้อยซะมากกว่า

“เช้านี้มีอะไรกินเหรอ” เสียงนำมาก่อนตัว อลันในสภาพผมเปียกปอนเดินเข้ามาในครัวด้วยท่าทางสนอกสนใจ บริเวณบ่าและคอเสื้อเปียกชื้นเหตุเพราะหยดน้ำที่ไหลพรูจากเรือนผมราวน้ำตก

“อลันครับ เช็ดผมให้แห้งก่อน”

คนถูกเตือนทำปากยื่น นั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่สนใจ เดือดร้อนถึงมิราเคิลต้องหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดผมให้อีกตามเคย

“คิดถึงจัง”

“อะไรครับ?”

“เปล่า ไม่มีอะไร” อลันปฏิเสธ หลับตารับสัมผัสอ่อนโยนจากการถูกดูแล ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มเจิดจ้า ฮัมเพลงในลำคอพร้อมไกวขาเล่นอย่างอารมณ์ดี

เห็นเช่นนั้นมิราเคิลที่รู้เจตนาของคนตัวเล็กได้แต่ยิ้มอ่อน เด็กคนนี้ขี้อ้อนเกินไปแล้ว สมัยก่อนเขามักเช็ดผมให้อลันบ่อยจนติดเป็นนิสัย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เต็มใจทำ เพราะอลันเป็นคนที่มีผมสวยมากมองได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ แล้วยิ่งได้มองสีหน้าตอนเคลิ้มของอลัน หัวใจเขามันเหมือนถูกสะกิดจนคันยุบยิบไปหมด

หลังจากจัดการหวีผมอลันจนเป็นทรง ข้าวสวยจานหนึ่งและต้มซุปจานหนึ่งก็ถูกนำมาเสิร์ฟขึ้นโต๊ะ มิราเคิลจับจ้องวินาทีที่อลันตักคำแรกเข้าปากด้วยใจลุ้นระทึก ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเคี้ยวดีเขาดันโพล่งถามนำไปก่อนแล้ว

“เป็นยังไงบ้างครับ”

อลันยิ้มขำ เคี้ยวกลืนให้เรียบร้อยก่อนตอบ “อร่อยดีแล้ว เย็นนี้อยากกินต้มมักกะโรนีจัง”

มิราเคิลหัวเราะในลำคอแล้วเอ่ยต่อ “งั้นผมคงต้องขอเงินคุณไปซื้อมักกะโรนีเพิ่มแล้วละ”

“บลูการ์ดวางอยู่ในลิ้นชักหัวเตียง ไปหยิบเอาได้เลย แล้วก็ขอโทษนะที่เมื่อวานทำให้นายรอจนเบื่อ วันนี้ฉันยังมีสอบอีก เพราะงั้นนายจะถือโอกาสนี้ไปที่ยวเล่นก่อนก็ได้ แต่อย่าหนีเที่ยวไปไกลมานะ” คำสั่งกำชับเหมือนพูดกับเด็กเล็กเมื่อออกจากปากคนพูดซึ่งเป็นเด็กเหมือนกันทำให้ผู้ฟังอดเอ็นดูไม่ได้

“ขอบคุณครับ”

ถึงการรอคอยอลันสอบทั้งวันจะน่าเบื่อจริง แต่เขาซึ่งเคยเป็นทหารที่ถูกฝึกด้านความอดทนมาอย่างดี เรื่องแค่นี้จึงไม่ถือเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรง แต่ในเมื่ออลันใส่ใจและคิดเพื่อเขา เปิดโอกาสให้ขนาดนี้เขาก็ไม่เกรงใจที่จะรับน้ำใจนั้นไว้เช่นกัน

รถรับส่งของหอพักสามเคลื่อนตัวจอดหน้าอาคารเรียน สองหนุ่มหน้าตาดียังคงดึงดูดสายตาจากผู้คนรอบข้างได้เสมอ เพียงก้าวลงจากรถทุกคนราวกับถูกสะกดให้ตกหลุมมนต์เสน่ห์

“อลัน~ กรี๊ด! ดีใจจัง วันนี้ได้เจอเธอด้วย” สาวน้อยผู้มีน้ำเสียงสดใสวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าอลัน เธอยัดสิ่งของมากมายในมือเข้าสู่อ้อมแขนของเด็กหนุ่ม ของบางส่วนร่วงหล่นกระแทกพื้นเพราะสองแขนของอลันไม่สามารถประคองมันไว้ได้หมด

“สวัสดีครับรุ่นพี่มินะ” ผงกหัวทักทายส่งยิ้มให้ตามมารยาท ของในมืออันไหนทำท่าจะหลุดร่วงก็มีมิราเคิลคอยรับคอยเก็บจนรู้สึกสบายขึ้นมาบ้าง

“หายไปไหนมา รู้ไหมพี่คิดถึงนะ” ไม่ว่าเปล่าเธอยังกระโจนเข้าสวมกอด กดหัวทุยของคนตัวเล็กกว่าแนบเข้ากับร่องอก ทันใดนั้นของที่อลันถืออยู่ต่างพากันร่วงกราวเทลงกับพื้นทันที

มิราเคิลมองภาพนั้นดวงตาเบิกกว้าง ไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ดี อลันส่งเสียงอู้อี้ดึงเสื้อข้างเอวมินะเป็นเชิงให้ปล่อย และก็ได้ผล เธอปล่อยอลันทันทีเมื่อรับรู้ได้ว่าคนที่เธอกอดกำลังขาดอากาศหายใจ คนที่ได้รับอิสระรีบโกยอากาศเข้าปอด เมื่อกี้เขาเกือบจะถูกก้อนนุ่มนิ่มนั่นฆ่าตายเสียแล้ว

“เป็นสาวเป็นนางทำไมไม่รู้จักระวังตัวเลย”

“กับอลันพี่ไม่ถือจ้ะ” เธอเอื้อมมือหยิกแก้มอลัน บีบดึงจนยืดย้วย

ความรู้สึกอิจฉาสุมอยู่ในอกผู้มีร่างไม่ใช่มนุษย์ เขารีบเอ่ยขัดแทรกบรรยากาศที่ราวกับมีกันอยู่เพียงสองคนของทั้งคู่ให้พังทลาย

“อลันครับ คนคนนี้...”

อลันละความสนใจจากสาวตรงหน้าหันมาหาหุ่นยนต์ข้างกาย เมื่อนึกได้ว่ามิราเคิลไม่รู้จักอีกฝ่ายจึงเริ่มแนะนำทันที

“มิราเคิล นี่คือรุ่นพี่มินะ อยู่คณะนิเทศ สาขาการแสดง แล้วก็เป็นแฟนคลับของฉันด้วย”

“แฟนคลับ?”

“อื้ม! แบบว่าชอบซื้อขนมมาให้ฉันบ่อยๆ น่ะ”

“ก็อลันน่ารักนี่” เธอยิ้มให้อลันแล้วหันมาผงกหัวทักทายมิราเคิล

“ขอบคุณที่ดูแลอลันนะครับ ผมมิราเคิล เป็นเพื่อนของอลัน” หลังจากความรู้สึกหนักอึ้งถูกถอนออก มิราเคิลจึงหันไปผงกหัวทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรเช่นกัน

มินะดูเหมือนจะหน้าแดงเล็กน้อย ดึงแขนอลันมาด้านข้างแล้วก้มลงกระซิบกระซาบให้ได้ยินกันแค่สองคน

“กรี๊ด! อลันคุง เธอไปหาเพื่อนงานดีแบบนี้มาจากไหนจ๊ะ ขอเบอร์เขาให้พี่สาวคนนี้หน่อยสิ”

อลันยิ้มค้าง ในเวลาต่อมารอยยิ้มนั้นก็ยิ่งเจิดจ้าจนแสบตา และเลือนหายไปตามลำดับ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าโศก

“ขอโทษนะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากให้เบอร์ แต่มิราเคิลไม่ใช่มนุษย์น่ะ”

“เอ๋?!”

“มิราเคิลเป็นหุ่นยนต์ที่ฉันร่วมกันสร้างกับอีธาน”

“อีธาน? คนที่ชอบโวยวายหนวกหู แล้วตามติดเธอแจเป็นสตอล์กเกอร์นั่นน่ะเหรอ?!”

อลันพยักหน้า

“ไม่อยากจะเชื่อเลย หมอนั่นเก่งเอาเรื่องเลยนี่นา แต่อลันของฉันยังไงก็เก่งกว่าอยู่วันยังค่ำ” มินะดึงอลันเข้ามากอดแนบอกอีกรอบ จนกระทั่งเธอหอมหัวอลันจนพอใจแล้วถึงได้ยอมปล่อย จากนั้นจึงหันไปมองมิราเคิล “เสียดายจัง เป็นหุ่นยนต์จำเป็นต้องหล่อขนาดนี้เลยไหมเนี่ย สาวโสดอย่างพี่สาวมองแล้วจิตใจหวั่นไหว”

เธอส่ายหัวแล้วทำสีหน้าเสียดายเต็มประดา อลันส่งของในมือให้มิราเคิลถือก่อนขอตัวจากทั้งสองคนไปเข้าห้องสอบ

“งั้นพ่อสุดหล่อ ฉันขอตัวไปก่อนเหมือนกันนะจ๊ะ” เธอขยิบตาส่งให้มิราเคิลทิ้งท้ายแล้วเดินจากไป

เพียงแค่พบกันไม่กี่นาทีมิราเคิลก็รู้ได้ว่ามินะเป็นสาวสวยพราวเสน่ห์และมีความมั่นใจในตัวเองสูง การที่เธอสามารถเข้ามาศึกษาใน ISA ได้แปลว่าเธอเองก็มีของดีไม่แพ้อลัน ความสามารถมารถทางด้านการแสดงคงแพรวพราวไม่ด้อยไปกว่าใคร แต่ในเรื่องความสวย... เขาชอบคนสวยหวานแบบคุณนายโรซาริโอมากกว่า

พอพยักหน้าจัดอันดับสาวสวยในใจเรียบร้อยแล้ว มิราเคิลก็ขนช่อดอกไม้และขนมทั้งหมดใส่ตะกร้ารถจักรยานแถวนั้นแล้วปั่นกลับหอเพื่อนำไปเก็บ บางส่วนเขานำไปยัดเยียดให้เอลวิสและอีธานรับไป ถ้าให้อลันกินทั้งหมดนั่นคงไม่พ้นถูกโรคเบาหวานรุมเร้าตายแน่นอน

หลังจากเขาหลับไปแล้วตื่นมาอีกครั้งคล้ายทุกอย่างไม่เหมือนเดิม ทุกคนเปลี่ยนไป อลันเองก็เช่นกัน ในขณะที่เขาคิดว่าตัวเองรู้จักอลันดีที่สุด แต่ช่องว่างที่ขาดหายทำให้บางครั้งเขาคล้ายรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้า จู่ๆ อลันก็มีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาโดยที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนจนอดเหงาขึ้นมาไม่ได้เหมือนถูกทอดทิ้ง

หรือว่านี่คือความรู้สึกของพ่อแม่ที่มองลูกกำลังเติบโต เตรียมจากอ้อมอกโผบินออกสู่โลกกว้างกันนะ?





ลานกลางเมืองพลุกพล่านไปด้วยผู้คน รายรอบล้อมด้วยซุ้มขายอาหารและเสื้อผ้า ตรงกลางมีการจัดตั้งเวทีชั่วคราวไว้สำหรับนักดนตรีและนักแสดงโชว์ออกมาแสดงความสามารถสร้างสีสันให้ผู้คนโดยรอบ มิราเคิลชอบความครึกครื้นนี้

แสงแดดเจิดจ้าไม่ได้ทำให้ผู้คนหลบเร้นใต้ร่มเงา กลับกันทุกคนเดินทอดเอื่อยไม่เร่งร้อนราวกับไม่รู้สึกถึงความร้อนนั้น เครื่องปรับอากาศในลานกว้างทำงานหนักแต่ผลที่ได้รับก็คุ้มค่า

คนแต่งตัวเป็นตัวตลกบิดลูกโป่งเป็นรูปสัตว์ยืนแจกให้กับเด็กๆ ด้านข้างนักกายกรรมที่เพิ่งแสดงผาดโผนเสร็จกำลังนั่งดื่มน้ำพักผ่อน มิราเคิลมองภาพเหล่านั้นด้วยยิ้ม หากในโลกเก่าของเขาไม่เต็มไปด้วยสงครามผู้คนคงมีชีวิตสงบสุขแบบนี้

แสงสีเสียงจากบนเวทีดึงดูดให้มิราเคิลเดินเข้าไปหา วงดนตรีด้านบนบรรเลงทำนองดุดันรุนแรง บางจุดมีการใช้เสียงสังเคราะห์เข้าช่วยให้ดนตรีมีลูกเล่นและความแปลกใหม่ สำหรับผู้คนในโลกนี้อาจเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ไม่ใช่สำหรับมิราเคิลที่เติบโตมาในโลกที่ต่างจากที่นี่โดยสิ้นเชิง

เพลงบนเวทีเปลี่ยนไปมาพร้อมกับวงดนตรีที่ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นแสดง เพลงช้าบ้างเร็วบ้างทำเอาเขาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านล่างฟังเพลิน บางทีก็มีคณะละครขึ้นมาแสดงให้ได้ชม แม้การแสดงจะติดขัดไปบ้างในบางช่วง แต่ความสดใสและมุ่งมั่นที่มีต่อการแสดงของพวกเขาเหล่านั้นชี้ชวนให้ผู้คนที่พบเห็นต่างเอาใจช่วย

แดดแรงกล้ายามกลางวันเริ่มอ่อนแสงลงเมื่อเวลาผ่านไป นาฬิกากลางเมืองบ่งชี้เวลาบ่ายสามโมงครึ่ง มิราเคิลผุดลุกจากเก้าอี้เตรียมตัวเดินทางกลับ

“แย่ชะมัด วันนี้ได้มาเท่านี้เองเหรอ”

ระหว่างทางมิราเคิลได้ยินตัวตลกพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงกับนักกายกรรมที่นั่งเคียงกัน สีหน้านักกายกรรมเองก็ไม่ค่อยจะดีนักเมื่อมองตัวเลขในมือถือ มันคือจำนวนเงินที่ได้รับบริจาคจากการแสดงในวันนี้

“ทำไงดีพี่ ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปไม่พอค่ารักษาของแม่แน่”

“เอาน่า ตอนค่ำน่าจะมีคนเยอะกว่านี้ อดทนหน่อยนะ แสดงต่อเนื่องหน่อยน่าจะได้เพิ่มมากกว่านี้” ผู้เป็นพี่ชายตบบ่าน้องให้กำลังใจ แต่สีหน้าของตัวเองกลับไม่สู้ดีนัก

มิราเคิลมองบลูการ์ดในมือแล้วรูดลงไปในแท่นบริจาคเงินที่ตั้งอยู่ตรงหน้าสองพี่น้อง กดเงินจำนวนหนึ่งที่คิดว่าน่าจะมากพอสำหรับค่ารักษาลงไป ตอนแรกสองพี่น้องยังงงงวยกับการกระทำของชายหนุ่มตรงหน้า จู่ๆ ก็มีชายหน้าตาดีมาบริจาคเงินให้ทั้งที่พวกเขายังไม่ทันแสดงอะไรเลยด้วยซ้ำมันดูประหลาดมากพอสมควร ไม่นานนักมือถือในมือคนพี่ส่งเสียงแจ้งเตือนเรียกสายตาของสองพี่น้องให้ก้มลงมองอีกครั้ง ฉับพลันดวงตาทั้งคู่ก็เบิกโตเงยขึ้นจับจ้องมิราเคิลอย่างตื่นตะลึง

“คุณ!” ตัวตลกพูดได้เพียงแค่นั้นก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ ขอบตาร้อนผ่าวแดงก่ำสะกดกลั้นความซาบซึ้งใจไม่ให้กลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำตา ผิดกับน้องชายที่ตอนนี้ยืนขึ้นร้องไห้และโค้งตัวลงเก้าสิบองศาให้กับชายตรงหน้าเสียแล้ว

“ขอบคุณมากครับ!”

“พอค่ารักษาแม่นายไหม”

“พอ...พอครับ พอเสียยิ่งกว่าพอ!” นักกายกรรมยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตา ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยความซาบซึ้ง

“ผมเองก็ต้องขอบคุณเช่นกันครับ น้ำใจครั้งนี้พวกเราจะไม่มีวันลืม” ตัวตลกโค้งตัวลง มืออีกข้างยกขึ้นโยกหัวน้องชาย

“ไม่เป็นไร เรื่องเล็กน้อย” อีกอย่างนี่ก็ไม่ใช่เงินเขาด้วย อลันมีเงินเยอะแยะมากมายใช้อย่างไรก็ไม่หมด ในเมื่อใช้คนเดียวไม่หมดเขาก็จะช่วยใช้ การให้เงินนิดหน่อยกับสองพี่น้องตรงหน้าไปรักษามารดาถือเสียว่าเป็นการทำบุญ เขาได้แต่หวังว่าผลบุญนี้จะส่งไปถึงอลันบ้าง

ชาติก่อนเขาเป็นเด็กกำพร้าที่โตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซอมซ่อ ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ค่อยจะดีนัก มีเสื้อผ้าเก่าสวมใส่และอาหารเบาท้องสองมื้อกินก็ถือว่าดีมากแล้ว ถ้าเดือนไหนมีผู้บริจาคเงินมากพวกเขาก็จะมีอาหารกินอิ่มครบสามมื้อ เขาจึงตั้งใจว่าหากตัวเองโตขึ้นมีงานมีการทำและมีเงินเยอะมากพอจะนำไปช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก แต่กว่าเขาจะตั้งตัวได้มีชีวิตไม่ขัดสนเงินทองอายุก็ย่างเข้าสามสิบไปแล้ว โดยรวมฐานะเขาไม่ถือว่ารวย อย่างน้อยก็มีเงินเหลือกินเหลือเก็บในแต่ละเดือนแบบไม่ต้องคอยกังวล เพราะฉะนั้นเวลาบริจาคเงินให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เขาเติบโตมาหรือบริจาคให้กับผู้ยากไร้คนอื่น เขาก็จะบริจาคในจำนวนที่คำนึงถึงฐานะตัวเองเสมอ ไม่มีทางบริจาคจนตัวเองสิ้นเนื้อประดาตัว

ส่วนตอนนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน เขาไม่ต้องกินไม่ต้องดื่ม ทำงานหาเงินก็ไม่ได้ แต่มีเงินในมือก้อนโตที่ได้ฟรีมาจากเด็กใจป๋าที่เขาเลี้ยงดูอยู่ ในเมื่อตัวเขาเองนอกจากเอาไปจับจ่ายใช้สอยซื้อของกลับไปให้เจ้าของเงินแล้ว นอกนั้นก็ไม่ได้ใช้อะไรอีก ไม่สู้เอามาบริจาคให้คนที่เดือดร้อนจริงๆ อย่างสองคนนี้ดีกว่า

ครั้งแรกที่เขารู้ว่าการสร้างหุ่นยนต์นั้นต้องใช้เงินมากเท่าไหร่เขาเองก็รู้สึกผิดอยู่หรอก แต่หลังจากอยู่กับอลันมากเข้า ใช้เงินอีกฝ่ายมากเข้า และได้รู้จำนวนเงินในบัญชีอลันมากเข้า ความรู้สึกผิดเหล่านั้นก็มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง อลันยังไม่กังวลว่าจะอดตายแล้วเขาจะตระหนี่ไปทำไม

“ว่าแต่ทำไมพวกนายถึงไม่ขึ้นไปแสดงบนเวทีล่ะ ฉันเห็นคนที่แสดงบนนั้นได้เงินบริจาคจากคนดูเยอะกว่าแสดงบนพื้นแบบนี้อีก”

“นั่น...” ตัวตลกอ้ำอึ้งยังไม่ทันเอ่ยคำ ผู้เป็นน้องชายกลับโพล่งขึ้นมาด้วยท่าทางไม่พอใจ

“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากขึ้นแสดงหรอกนะ แต่เพราะพวกเราเป็นชนชั้นต่ำน่ะสิ เวทีนั้นนอกจากชนชั้นกลางกับชนชั้นสูงแล้วก็ไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราหรอก!”

“เจ้าบ้า หุบปากนะ” ตัวตลกเขกหัวน้องชายให้เงียบปาก แล้วหันมาโค้งตัวให้กับมิราเคิล “ขอโทษในความไร้มารยาทของน้องชายผมด้วยนะครับ”

“ไร้มารยาท? ตรงไหนล่ะ”

พอถูกถามย้อนกลับตัวตลกเผยสีหน้าซีดเผือด อ้ำๆ อึ้งๆ พูดไม่เป็นคำ หรือว่าพวกเขาจะเผลอทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าไม่พอใจเข้าแล้ว พาลคาดโทษน้องชายตัวเองไว้ในใจ

ให้ตายสิน้องชายคนนี้ กล้าแสดงท่าทางไม่พอใจออกมาต่อหน้าผู้มีพระคุณได้อย่างไร ดูจากสายตาหากผู้มีพระคุณไม่เป็นชนชั้นกลางก็เป็นชนชั้นสูง หากอีกฝ่ายเกิดขัดลูกตากับท่าทางต่อต้านของน้องชายเขาแล้วอยากจะเอาเรื่อง เขาก็ไม่มีกำลังพอจะปกป้องไว้ได้หรอกนะ

“คนต่ำต้อยอย่างพวกเราไม่ควรพูดจาแบบนั้น ท่านผู้มีพระคุณอย่าถือโทษ กลับไปผมจะสั่งสอนน้องชายให้ระวังปากระวังคำมากกว่านี้”

มิราเคิลได้แต่เกาหัว เขาไม่ได้ตั้งใจจะว่ากล่าวคนตรงหน้าเลยสักนิด แต่อีกฝ่ายดันตื่นตูมไปก่อนแล้ว คนคนนี้อ่อนไหวเกินไปหรือไม่

เขาได้แต่โบกมือปัดแล้วจากมา ยังต้องไปซื้อมักกะโรนีมาทำเป็นอาหารเย็น และยังต้องเผื่อเวลาไปรับอลันอีก เขาไม่มีเวลาว่างมาเสียเวลาต่ออีกหรอกนะ อีกอย่างเขาก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองหนักอึ้งฝืดเคืองมากกว่าปกติ ขยับแต่ละทีก็ลำบาก บางทีชิ้นส่วนภายในอาจมีปัญหา คงไม่เหมาะจะเดินเตร่อยู่ข้างนอกต่อนานนัก

ลานกลางเมืองกับโรงเรียน ISA ไม่ได้อยู่ไกลกันมากนัก เดินเท้ายี่สิบนาทีก็ถึงแล้ว เขาถือถุงมักกะโรนีเข้าห้องสอบ อาจารย์คุมห้องสอบคุ้นหน้าเขาดีทำเพียงเหลือบมองมาครั้งหนึ่งจากนั้นก็ไม่สนใจอีก มิราเคิลหย่อนกายนั่งมองอลันที่มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่คลาย นาฬิกาบนผนังบ่งบอกเวลาใกล้เสร็จสิ้นการสอบเต็มที

อาจารย์ผู้คุมสอบประกาศหมดเวลา นักเรียนต่างวางมือถอนหายใจกันยกใหญ่ อลันลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เงาร่างคุ้นเคยแวบผ่านหางตา ทันใดนั้นเขาก็อ้าแขนวิ่งดุ๊กดิ๊กกระโจนตัวโผเข้าใส่มิราเคิลทันที

“โอ๊ะๆ เหนื่อยไหมครับ ผมซื้อของที่อลันอยากกินมาให้แล้วนะ” แรงกระแทกทำให้มิราเคิลเซไปเล็กน้อย แล้วกลับมายืนมั่นคงตามเดิม มือชูถุงมักกะโรนีขึ้นมาอวดพร้อมส่งรอยยิ้มอ่อนโยน ทันใดนั้นดวงตาเจ้าชู้พลันดูพราวระยับโดยเจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ ส่งผลให้ผู้มองจิตใจเหลวเป๋ว

“ไม่เท่าไหร่ นายล่ะ ไปเที่ยวมาสนุกไหม”

“สนุกมากครับ ไว้วันหลังพวกเราไปกันสองคนดีไหม”

“แน่นอน อีกไม่กี่วันฉันก็จะสอบเสร็จแล้วละ”

มิราเคิลหัวเราะในลำคอ ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้จึงเอ่ยบอกไป

“อลันครับ ดูเหมือนว่าชิ้นส่วนภายในร่างกายผมจะมีปัญหา...” พูดเพียงแค่นั้น ใบหน้าน่ารักอ่อนเยาว์ของอลันพลันปรากฏแววเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

“ตรงไหน ยังไง เล่ามาให้หมดนะ!” ถามรัวพลางจับมิราเคิลหมุนซ้ายหมุนขวา หากที่นี่ไม่ใช่ที่สาธารณะเขาคงจับคนตรงหน้าแก้ผ้าเสียเดี๋ยวนั้น ด้วยความร้อนใจจึงฉุดข้อมือมิราเคิลนั่งรถกลับหอพักสามทันที

ระหว่างทางพอได้ฟังอาการจากปากมิราเคิลหัวคิ้วที่ขมวดแน่นก่อนหน้าก็คลายลง ดูเหมือนว่าอลันจะรู้สาเหตุแล้ว และไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนัก

“ดูเหมือนว่าฉันจะลืมชาร์จแบตให้ก่อนปลุกนาย ยิ่งพลังงานใกล้หมดก็ยิ่งเคลื่อนไหวช้าลงเรื่อยๆ โชคดีที่ในตัวนายตอนนี้ยังพอมีพลังงานเหลืออยู่บ้าง” อลันเอ่ยไขข้อสงสัย พอกลับถึงห้องคนตัวเล็กก็ยื่นบางสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายไม้กระบองไปทางมิราเคิล

“นี่คือ...”

“ที่ชาร์จไฟในร่างใหม่ของนาย”

มิราเคิลรับมาพิจารณาครู่หนึ่ง ดูยังไงก็ไม่เหมือนสายชาร์จในร่างเก่าเขาเลยแม้แต่น้อย สายชาร์จอันเก่าของเขามันมีรูปร่างเหมือนไม้หนีบหนีบเข้ากับจุกสองอันบริเวณหลังคอ แต่ในร่างนี้เขาไม่มีจุกอยู่ตรงหลังคออีกแล้ว แล้วเจ้าสิ่งนี้มันเอาไว้ใช้กับที่ตรงไหน

“อันนี้มันใช้ยังไงครับ” ถามด้วยความสงสัย แต่แล้ววินาทีต่อมาที่ได้รับคำตอบดวงตาเขาก็เบิกโตเท่าไข่ห่านไปแล้ว

“ถอดกางเกงแล้วเอาเสียบเข้าไปในก้นไง”

เด็กน้อยตอบหน้าซื่อตาใส ราวกับสิ่งที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่เป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ หาใช่เรื่องลามกสัปดนแต่ประการใด




---------------------------จบตอนที่ ๑๒

เอ๊ะๆๆ อะไร ยังไง ใครเป็นคนคิดวิธีการชาร์จแบตแบบนี้ @w@ เดากันถูกมั้ยเอ่ย

ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก

เฉลยค่ะ นักเขียนเอง 5555

ปล.ขอบคุณทุกคนที่ชอบนิยายเรื่องนี้นะคะ ^^


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๑๓

ซวยมาเยือนไม่ตั้งตัว


เนื่องจากมีดวงตากลมโตคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ มิราเคิลจึงไม่อาจทำใจใช้แท่งเหล็กยาวชิ้นนี้เสียบเข้าไปในตัวได้จริงๆ แม้จะขยับกายลำบากกว่าเดิมเล็กน้อย แต่พลังงานในตัวก็ยังไม่ถึงกับหมดไม่มีเหลือเลยเสียทีเดียว อย่างน้อยก็ยังมีพอทำมักกะโรนีต้มเป็นอาหารเย็นให้อลันและส่งเด็กน้อยเข้านอนได้

มิราเคิลมองแท่งเหล็กยาวสีเงินที่ขึ้นชื่อว่าสายชาร์จราวกับมองศัตรูในสนามรบ เขายืนจังก้าจ้องมันอยู่อย่างนี้มาร่วมชั่วโมงแล้ว ในที่สุดหมัดที่กำแน่นมานานก็คลายลง หายใจเข้าลึกออกสุดคว้าจับขอบกางเกงราวพร้อมรบ

“เอาวะ”

กลั้นหายใจลึกกัดฟันดึงกางเกงตัวเองลง แต่มือเจ้ากรรมสองข้างไม่ยอมฟังคำสั่งทำเพียงกำแน่นค้างไว้ที่เดิมอยู่อย่างงั้น

เกิดมาเป็นชายชาติทหาร กับไอ้แค่การถอดกางเกงแล้วเอาอะไรเสียบๆ เข้าไปในก้นมันก็จบแล้ว! มิราเคิล กล้าๆ หน่อย! คิดเช่นนั้นในใจ สุดท้ายก็รวบรวมแรงฮึดถกกางเกงลงได้สำเร็จ

มิราเคิลไม่นึกเลยว่าชาตินี้ตัวเองจะต้องทำตัวอิดออดเป็นสาวน้อยที่กำลังแก้ผ้าให้คนรักชม น่าเศร้าใจที่ยามนี้นอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะไม่ใช่คนรักแล้ว มันกลับไม่แม้แต่จะเป็นสิ่งมีชีวิตเลยด้วยซ้ำ

มิราเคิลนั่งลงพิงกำแพง มือคลำร่องรูด้านหลังสำรวจส่วนที่ปิดสนิท ใจพะวงคิดว่ามันจะเข้าไปได้อย่างไร เขาต้องทำอะไรถึงจะใส่มันเข้าไปได้ เพราะขนาดแท่งชาร์จกับตรงนั้นค่อนข้างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

อันที่จริงคำถามนี้มิราเคิลรู้อยู่แก่ใจ แค่เขาไม่ต้องการรับรู้เท่านั้นจึงเลือกโกหกตัวเอง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงก้มหน้าก้มตาเอานิ้วแหย่ขยายส่วนนั้นให้อ้ากว้าง อีกมือหยิบแท่งชาร์จขึ้นมาจ่อปากทาง เมื่อทำใจได้แล้วจึงค่อยๆ ลงน้ำหนักทีละนิดกดลึกจมลงไป มิราเคิลรู้สึกว่าศักดิ์ศรีความเป็นชายที่สั่งสมมาตลอดสี่สิบปีกำลังแตกร้าว เขาร่ำไห้อยู่ในใจเงียบๆ

แต่เศร้าใจได้ไม่เท่าไหร่ สิ่งที่ทำให้หัวใจคุณลุงแทบวายตายกลับเป็นสัญลักษณ์เพศชายด้านหน้าที่เริ่มแข็งตัวขึ้น สุดท้ายมันก็ตั้งชันเย้ยสายเบิกกว้างเท่าไข่ห่านของคุณลุง มุมปากมิราเคิลกระตุก ร่างกายสั่นเกร็ง ในหัวมีความคุกรุ่นสายหนึ่งอัดแน่นอยู่ รอเพียงเวลาปะทุออกมาเท่านั้น

สภาพในยามนี้ของเขาไม่น่าดูนัก ถึงจะส่งอลันเข้านอนแล้วเขาก็ยังไม่วางใจ ดีที่หลบมาชาร์จในห้องทำงานจึงวางใจไปได้บ้าง หารู้ไม่ว่าทุกการกระทำตั้งแต่ต้นจนจบนี้ได้อยู่ในสายตาของคนคนหนึ่งตลอดเวลา

เพื่อให้ลืมความรู้สึกที่ไม่สามารถระบายออกมาได้ มิราเคิลจึงลุกขึ้นจัดเก็บข้าวของในห้องทำงานของอลันให้พอดูเรียบร้อย ข้าวของส่วนใหญ่ในห้องนี้มิราเคิลไม่ค่อยแตะต้องมากนักเพราะไม่รู้ว่าแต่ละอย่างใช้ทำอะไรบ้าง หากไปทำพังเข้าคงทำอลันเดือดร้อนหนัก

ในอีกห้องหนึ่ง คนที่สมควรหลับไปแล้วยามนี้คลุมโปงเป็นก้อนกลม มือสองข้างจับโทรศัพท์มั่นมองภาพบนหน้าจอด้วยดวงตาใสแป๋ว เขามองทุกอย่างที่มิราเคิลทำมาตั้งแต่ต้นด้วยความสนใจใคร่รู้ ปฏิกิริยาของมิราเคิลทำให้ในอกก่อเกิดความตื่นเต้นขุมหนึ่ง สายไฟระโยงระยางห้อยลงมาลากพื้นจากส่วนนั้นตอนมิราเคิลก้าวเดิน ดึงดูดสายตาผู้เฝ้ามองไม่ให้หลุบหนีไปไหน

ลมหายใจอลันเริ่มหอบกระชั้น ส่วนกลางกายรู้สึกปวดหนึบและอึดอัด อลันหนีบขาเข้าหากันพลางถูไปมา สุดท้ายทนไม่ไหวใช้มือข้างหนึ่งล้วงไปในกางเกงเพื่อปลดเปลื้องความต้องการของตน ด้วยอายุและประสบการณ์อันน้อยนิด ใช้เวลาไม่นานนักในการปีนป่ายจนถึงจุดสูงสุด

อลันหอบหายใจหลุบมองคราบน้ำในมือ เขาไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาแบบที่มิราเคิลคิด และเขาไม่เคยเป็น คนที่ทำให้เขาต้องการใช้มือปลดเปลื้องตัวเองเป็นครั้งแรกนั้นไม่ใช่สาวน้อยในการ์ตูนลามกหรือสาวสวยในหนังโป๊ แต่เป็นมิราเคิล เขาวางโทรศัพท์ลงบนเตียงแล้ววิ่งดุ๊กดิ๊กตรงเข้าห้องน้ำไปทำลายหลักฐาน พอเรียบร้อยหมดแล้วจึงปีนขึ้นเตียงมานอนเฝ้ามองมิราเคิลต่อ

มิราเคิลคงไม่รู้ว่าในห้อง 503 แห่งนี้มีเพียงห้องทำงานเท่านั้นที่อลันติดกล้องเอาไว้และเชื่อมต่อเข้ากับมือถือ เพราะในห้องนั้นมีข้อมูลและของสำคัญมากมายจึงจำต้องติดตั้งกล้องไว้เพื่อเฝ้าจับตาดูเป็นพิเศษ อลันมั่นใจสิบส่วนว่ามิราเคิลจะต้องหลบไปชาร์จแบตลับหลังเขา และมีความมั่นใจเพียงแค่เจ็ดส่วนที่มิราเคิลจะแอบหลบไปชาร์จแบตที่ห้องทำงานของเขา

ชายเสื้อพัดพลิ้วตามจังหวะการก้าวเดิน มันกระเพื่อมไหวทุกครั้งที่มิราเคิลย่างก้าว เพราะมันยาวคลุมก้นไม่มิดจึงก่อเกิดภาพวับแวมยั่วยวนใจ และยามมิราเคิลก้มตัวลงมันจึงเลิกขึ้นให้เห็นไปถึงไหนต่อไหน อลันมองภาพนั้นแล้วกลืนน้ำลายดังอึก เขารู้สึกราวกับว่าจะเกิดอารมณ์ขึ้นมาอีกรอบ

อลันตื่นเช้ามาด้วยขอบตาดำคล้ำ เมื่อคืนเขาเฝ้ามองดูมิราเคิลจนกระทั่งชาร์จแบตเสร็จ สัญญาณที่บอกว่ามิราเคิลชาร์จแบตเสร็จแล้วนั้นคือการที่ส่วนหน้าของมิราเคิลอ่อนตัวลงจนกลับไปเป็นปกติ และแน่นอนว่าระบบนั้นอลันเป็นคนคิดสร้างขึ้นมาเอง

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย อลันเดินมาหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบตลับแป้งขึ้นมาป้ายทาถุงใต้ขอบตา กลบฝังหลักฐานการนอนดึกไว้จนมิด ริมฝีปากยกยิ้มกว้างเดินออกจากห้องไปเกาะเอวออดอ้อนมิราเคิลดังเช่นปกติ



ตึง!!

อีธานไม่รู้ว่าวันนี้ก่อนออกจากบ้านตนสวมรองเท้าผิดข้างหรือลืมดูว่าเชือกรองเท้าข้างไหนขาดรึเปล่า พอเลิกเรียนกลับมาถึงหอพักจึงโดนหุ่นยนต์หน้าตาดีรูปร่างสูงใหญ่ยันติดกำแพงหน้าห้องตัวเองแบบนี้

“มีอะไร” ถามไปเหงื่อตกไป กุญแจห้องในมือสั่นระริกแต่ยังเชิดหน้ายิ้มสู้ ใครจะยอมให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากลัวจนปัสสาวะจะราดอยู่แล้วเล่า!

“เปิด-ประ-ตู-ห้อง” สะกดช้าชัดทุกถ้อยคำ หลุบมองคนเตี้ยกว่าพร้อมแผ่กลิ่นอายข่มขู่

“ทำไมจะต้องเปิดประตูให้นายด้วย นี่มันห้องฉันนะ” หน้าที่เชิดอยู่แล้วยิ่งเชิดไปอีก แถมยังเนียนเขย่งเท้าเพิ่มความสูงอีกหลายเซนติเมตร คิดจะใช้ความสูงกดข่มเขาเหรอ ฝันไปเถอะ!

“อลันไปไหน ทำไมถึงไม่มาคอยดูแลควบคุมความประพฤติหุ่นยนต์ป่าเถื่อนของตัวเอง”

“จะเปิดไม่เปิด”

ทันทีที่มิราเคิลยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนระดับสายตาเกือบจะเท่ากัน ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ [1] สั่งให้อีธานหดคอสั้นห่อตัวลง เท้าที่เขย่งก่อนหน้าลดวางแนบพื้นเต็มสองข้าง เหงื่อกาฬไหลชุ่มโชกเปียกหลังเสื้อเต็มไปหมด

“ป...เปิดแล้ว เปิดแล้ว ถอยออกไปสิ!” ถึงกระนั้นอีธานก็ยังคงเป็นอีธาน ถ้าไม่ได้ส่งเสียงดังคงไม่ใช่เขา

ชายหนุ่มรีบหันหลังกลับไปไขประตูห้องให้เปิดออก ไม่จำเป็นต้องเชิญ เจ้าหุ่นยนต์ตัวใหญ่ก็ถือวิสาสะเดินตามเข้ามาเรียบร้อยแล้ว

“เดี๋ยวสินาย ถอดรองเท้าด้วย”

อีธานชี้นิ้วลงไปที่เท้าของมิราเคิลซึ่งมีรองเท้าผ้าใบราคาแพงสวมอยู่ ไม่วายคิดอิจฉาในใจว่าเป็นแค่หุ่นยนต์แท้ๆ แต่ทั้งตัวดันใส่แต่ของแบรนด์เนมสุดหรู เจ้าตัวเล็กชักจะใช้เงินฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว คนจนอย่างเขาละอิจฉา

มิราเคิลถอดรองเท้าวางบนชั้นวางรองเท้าตามคำบอก บทจะยอมทำตามก็ยอมง่ายขนาดนี้อีธานอดแปลกใจไม่ได้ แต่ความแปลกใจทั้งหลายก็ต้องปลิดปลิวไปในวินาทีต่อมาเมื่อมิราเคิลเดินสำรวจห้องตนไปทั่ว

ในห้องนี้มีสิ่งของต้องห้ามสำหรับคนนอกมากเกินไป กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อสายไปแล้ว มิราเคิลเดินไปเปิดผ้าคลุมตู้ออกเผยให้เห็นแผ่นหนัง AV มากมายเกินนับ พอขยับไปดึงผ้าคลุมตู้อีกอันออก สิ่งของข้างในแทบไม่ได้ต่างกันเลยแม้แต่น้อย อีธานอยากตีหัวตัวเองก็ตอนนี้ ทำไมเขาถึงไม่เช่าหนังแบบออนไลน์มาดู ทำไมเขาถึงต้องเก็บของล้าหลังอย่างซีดีไว้เป็นอนุสรณ์สถานประจานตัวเองด้วยนะ

อันที่จริงของพวกนี้เวลาคนอื่นมาเห็น อีธานจะไม่หน้าซีดตัวสั่นแบบนี้ แต่หากเป็นมิราเคิลแล้วเขาย่อมต้องผวา เพราะดูเจ้าตัวเล็กมักจะเก็บซ่อนเรื่องพวกนี้ไว้ไกลหูไกลตา ปลอมแปลงตัวเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง หลอกลวงหุ่นยนต์ตรงหน้าด้วยใบหน้าใสซื่อ พอเหตุการณ์กลายเป็นแบบนี้แล้วไม่ใช่ว่าความลับแตกแล้วหรอกเรอะ!

ไม่รู้ว่าวันนี้ลมอะไรหอบให้เจ้าหุ่นมิราเคิลนี่มาบีบบังคับเพื่อเข้ามาสำรวจห้องเขาแบบนี้ พอรื้อห้องจนพอใจแล้วก็หันมาจ้องมองเจ้าของห้องด้วยสายตาอาฆาตแค้น ร่างสูงใหญ่เดินดุ่มมาทางอีธานจนเจ้าตัวต้องถอยร่นแผ่นหลังชนชิดติดกับกำแพงห้อง เมื่อไม่มีทางให้หนีแล้วจึงยกฝ่ามือสองข้างขึ้นระดับอกขยับโบกลงเบาๆ เป็นสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายใจเย็นลงก่อน

ไม่รู้ว่าได้ผลหรือไม่แต่มิราเคิลก็หยุดขยับ ทำเพียงส่งรังสีฆ่าฟันกดดันใส่เพียงเท่านั้น

“อะไรกันๆ บุกเข้าห้องคนอื่นกะทันหัน รื้อข้าวของเละเทะ เป็นหุ่นยนต์ที่ไร้มารยาทจังนะนาย” แม้ร่างกายจะสั่นสะท้านแต่เรื่องฝีปากโปรดไว้ใจอีธาน

“ของในตู้นั่น...”

“เอ้อ! นั่น! แล้วไง ลูกผู้ชายอย่างเรามีของพวกนี้เก็บไว้เป็นเรื่องปกตินี่ นายไม่เคยรึไง ตอนเด็กๆ นะฉันแอบซุกหนังสือปลุกใจเสือป่าที่ขโมยมาจากพ่อไว้ใต้เตียงด้วยแหละ นายไม่เคยละสิ อ๊ะ! จริงด้วย นายเป็นหุ่นยนต์นี่นา ฮ่าๆๆ จะเคยไง” ไม่ทันให้มิราเคิลถามจบ อีธานก็พูดแทรกขึ้น แน่นอนว่าจุดประสงค์คือการบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นอื่นและลากออกจากหัวข้อต้องห้ามในที่สุด

“อลันเคยแตะรึเปล่า”

ดูเหมือนว่าการพยายามเปลี่ยนเรื่องครั้งนี้จะไร้ผลเมื่อหุ่นยนต์ตรงหน้ามีจิตใจยึดมั่นไม่ไหวเอน สุดท้ายเป็นฝ่ายลากอีธานกลับเข้าหัวข้อต้องห้ามได้ในไม่กี่วินาที อีธานลอบกลืนน้ำลาย เขาถูกอลันกำชับมาว่าถึงตายก็ห้ามบอกเรื่องนี้ให้มิราเคิลรู้เด็ดขาด ถ้ามิราเคิลรู้ โปรเจคที่เขาวางแผนจะทำร่วมกับอลันคงเหลวเป๋ว

“จะเป็นไปได้ไง บ้านเมืองมีกฎว่าห้ามให้เด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีดูของแบบนี้ เจ้าตัวเล็กอายุสิบห้าเอง ขนยังไม่ขึ้นด้วยซ้ำมั้ง”

ปึง!

แขนแกร่งสองข้างตบลงบนกำแพงอย่างไม่ถนอมแรง กักตัวอีธานไว้ในวงแขนโดยไม่คิดจะปล่อยให้หนี เป็นอีกครั้งที่อีธานได้สบตากับมิราเคิลในระยะประชิด

ตอนร่วมสร้างมิราเคิลในร่างนี้ผู้ที่ออกแบบหน้าตาและรูปร่างของอีกฝ่ายคืออีธาน อาศัยแค่ข้อมูลลักษณะภายนอกที่อลันเอ่ยอยากให้เป็นสะเปะสะปะมโนสร้างขึ้นมา ตอนสร้างก็คิดชมอยู่ว่าตนเองมีฝีมือเยี่ยมแค่ไหนที่สามารถรังสรรค์เพศเดียวกันให้ออกมาหล่อเหลาและงดงามได้ขนาดนี้ แต่ทำไมพอลืมตาอ้าปากและขยับได้ถึงให้ความรู้สึกผิดกับตอนนอนแมบ [2] เป็นเจ้าชายนิทราอยู่บนเตียง

ทั้งน่ากลัวและน่าขนลุก

“อย่าโกหก”

“โกหกอะไรเล่า ไม่มี้ไม่มี”

“ให้เวลาสิบวิในการตอบความจริง ไม่อย่างนั้น...” ประโยคหลังมิราเคิลไม่ได้เอ่ยต่อ และแทนที่ด้วยการเริ่มต้นนับ “หนึ่ง”

“สอง”

“สาม”

“เดี๋ยว! ...”

“สี่”

“ห้า”

“นี่! ก็บอกความจริงไปแล้วไงจะเอาอะไรอีก!”

“เจ็ด”

“แปด”

“อ้อ! เข้าใจละ นายคิดจะยัดเยียดความผิดให้ฉันละสิ ใช่มะ ใช่ม้า ถ้าอย่างนั้นจะถามทำไมตั้งแต่แรก คนอย่างนายมันก็ชอบคิดเองเออเองอยู่แล้วนี่”

“หมดเวลา เตรียมรับมือ”

ปั่ก!

หมัดลุ่นๆ กระแทกเข้าเต็มแก้มซ้ายของอีธาน คนโดนชกตัวปลิวล้มลงกองกับพื้น อีธานยกมือกุมแก้มเบิกตากว้างมองมิราเคิลราวกับไม่อยากเชื่อว่าจะโดนต่อยเข้าจริงๆ เขากระถดตัวถอยหนียกมือข้างที่ว่างชูขึ้นโบกห้ามอีกฝ่าย ทันทีที่เห็นมิราเคิลเยื้องย่างเข้ามาใกล้พร้อมชูหมัดขึ้นอีกครั้ง อีธานหลับตาปี๋ยกมือป้องหัวแล้วร้องตะโกนอย่างจำนน

“ยอมแล้วๆ ยอมบอกความจริงแล้วจ้า ยอมบอกแล้ว!” แม่ว่าจะถูกอลันกำชับมาว่าถึงตายก็ห้ามบอก แต่คนอย่างอีธานแค่ถูกตีนิดตีหน่อยก็ยอมขายเพื่อนทิ้งแล้ว นี่แหละคือวิถีชีวิตของเขาล่ะ!

“ว่ามา”

“คือว่านะ ตอนเจ้าตัวเล็กมาสร้างนายในห้องของฉัน พวกเราก็พากันนั่งดูหนังพวกนี้เป็นประจำแหละ มันเป็นเรื่องธรรมดานี่ ไม่เห็นเสียหายตรงไหนเลย นายจะกีดกันไปทำไม เจ้าตัวเล็กเป็นผู้ชายนะ”

“แต่เขายังเด็ก นายทำลายความไร้เดียงสาของเขา”

“ไร้เดียงสา? เจ้าตัวเล็กน่ะนะ?! บ้าบอสิ้นดี” อีธานอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง นั่นเป็นแค่คำเปรียบเปรย หากหัวเราะตอนนี้เขาคงได้ฟันร่วงหมดปากของจริงจากหมัดของหุ่นยนต์ตรงหน้าไง

มิราเคิลขมวดคิ้วกำมือแน่น ความจริงเขาก็พอมีลางสังหรณ์อยู่บ้างในเรื่องนี้ แต่แค่ไม่อยากเชื่อและไม่อยากยอมรับความจริงเท่านั้น

“แล้ววิธีชาร์จแบตตรง... ตรงนั้นใครเป็นคนคิด”

“อ๋อ ที่นายมาหาเรื่องต่อยฉันนี่เป็นเพราะว่าเรื่องนี้หรอกเรอะ บ้าเอ๊ย! งั้นนายก็ต่อยผิดคนแล้ว คนที่วางแผนเกี่ยวกับวงจรและโครงสร้างภายในทั้งหมดของนายเป็นเจ้าตัวเล็กเองนั่นแหละ ถ้ามีปัญหาก็ไปเคลียร์กันเองนู่น ฉันเกี่ยวอะไรด้วย!”

“ถ้าไม่ใช่เพราะนายมีของแบบนี้เต็มห้อง ชวนอลันดูอะไรไม่เข้าท่า แล้วเด็กตัวแค่นั้นจะคิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง!”

ผัวะ!

พูดจบก็ตบท้ายด้วยการออกหมัดต่อยแก้มอีธานอีกข้างก่อนจะชิ่งหนีกลับห้องไป อีธานผู้โชคร้ายได้แต่นอนแผ่กายอยู่กับพื้น ทำไมเขาถึงได้ซวยแบบนี้นะ หมัดของหุ่นยนต์นั่นก็ยังหนักเอาเรื่องตามเคย ต้องบอกว่าโชคดีรึเปล่าที่เลือดไม่ออกฟันไม่โยก แต่ยังไงก็เจ็บชะมัด

ได้แต่คิดแล้วมาเสียใจภายหลังว่าทำไมตอนสร้างมิราเคิลร่างมนุษย์ ก่อนหน้านี้ถึงไม่คิดทำเนื้อตรงหมัดให้นุ่มฟูกว่าส่วนอื่นนะ เวลาโดนต่อยจะได้ไม่เจ็บตัวแบบนี้ไง



หลังจากระบายอารมณ์ใส่อีธานมาเรียบร้อย มิราเคิลก็กลับมานั่งจ๋องอยู่ในห้องนั่งเล่นของตัวเอง เด็กน้อยที่เขาเฝ้าดูแลทะนุถนอมมาแรมปีพอห่างสายตาเข้าหน่อยก็โดนย้อมสีเป็นอื่นเสียแล้ว เด็กผู้ชายยิ่งโตก็ยิ่งมีความสนใจในเรื่องเพศมากขึ้น บางทีเขาคงต้องปล่อยให้อลันเติบโตไปตามวัย สิ่งที่ทำได้มีเพียงคอยดูแลสอนสั่งไม่ให้อลันกลายเป็นผู้ชายไร้คุณภาพและไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม

เรื่องที่เขาต่อยอีธานไปเมื่อครู่ที่จริงก็ไม่สมควรทำ แต่เพราะอีกฝ่ายมีส่วนทำให้อลันหมกมุ่นกับเรื่องแบบนี้ สำหรับมิราเคิลแล้วเขาคิดว่าอีธานสมควรได้รับมัน ตอนต่อยอีธานเขายังยั้งแรงไว้อยู่หลายส่วน ไม่อย่างนั้นหมอนั่นคงไม่มีแรงลุกมาต่อปากต่อคำกับเขาได้อีกแน่

ติ๊งต่อง!

เสียงกริ่งหน้าประตูเรียกความสนใจจากคนในห้อง มิราเคิลลุกเดินไปเปิดประตูก็พบเข้ากับคนที่เพิ่งโดนเขาซัดแก้มสองข้างไปไม่กี่นาทีก่อน ตอนนี้ส่วนนั้นเริ่มออกอาการบวมและแดงขึ้นเล็กน้อย

“อยากโดนต่อยอีกรึไง” นี่เป็นคำแรกที่มิราเคิลทักทาย ผู้มาเยือนสะดุ้งรีบกุมแก้มตัวเองทันที

“เปล่าซะหน่อย แค่อยากจะมาบอกว่าเรื่องที่นายรู้วันนี้อย่าเอาไปบอกเจ้าตัวเล็กนะว่ารู้มาจากฉัน ไม่งั้นโปรเจคที่ฉันร่วมมือทำกับเจ้าตัวเล็กคงล่มไม่เป็นท่าแน่ มันสำคัญต่อฉันและครอบครัวของฉันมาก”

“ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่พูด”

“งั้นก็ดี” อีธานเดินจากไป แต่ไม่วายยังมีแขวะแถมท้ายพอให้มิราเคิลได้ยิน “ชิ! ทำมาเป็นพูดผงพูดผม สุภาพให้ใครดูกัน ไอ้หุ่นยนต์ป่าเถื่อนเอ๊ย!”



[1] รีเฟล็กซ์ หรือ ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ คือการตอบสนองที่อยู่นอกอำนาจจิตใจ เป็นการทำงานอีกชั้นหนึ่งของระบบประสาทที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของเซลล์ประสาท เช่น เมื่อปลายนิ้วมือไปแตะถูกวัตถุที่มีความร้อนเข้า ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นคือดึงแขนเข้าหาตัวหนีออกมาจากวัตถุนั้น เป็นต้น

[2] แมบ ภาษาอีสานแปลว่า นอนแช่

------------จบตอน ๑๓


ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๑๔

ปิดเทอม

“ครับ... ครับ... สบายดีครับ... ไม่มีปัญหาอะไรครับ... ครับ... โชคดีนะครับ”

อลันวางมือถือลงถอนหายใจยาว ดวงตาหม่นแสงจางลงเมื่อเงยหน้ามองหุ่นยนต์ข้างกาย

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

อลันส่ายหัวเป็นคำตอบแล้วส่งยิ้มให้ “แม่โทรมาถามเรื่องทั่วไปน่ะ คงเห็นผลสอบที่ทางโรงเรียนส่งให้ พอรู้ว่าผลการเรียนตกเลยเป็นห่วง แล้วพาลนึกว่าฉันโดนใครรังแกอะไรอีก”

“มีผมอยู่ทั้งคนใครจะกล้ารังแกคุณ”

“นั่นสิ มีนายเป็นบอดี้การ์ดใครจะกล้า” ว่าแล้วก็เอนกอดซบแขนมิราเคิล แม้ว่าอันที่จริงจะไม่มีใครกล้ารังแกเขามานานมากแล้ว แต่ไม่บอกดีกว่า

แท็บเล็ตถูกยกขึ้นปัดผ่านหน้าเว็บไซต์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว อลันไล่สายตามองพลางขมวดคิ้วพลาง เมื่อไม่มีที่ถูกใจจึงวางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในมือลง

“อยากไปเที่ยวไหนเหรอครับ”

“ไม่รู้สิ นอกจากเดินเล่นในห้างกับในเมืองแล้ว ฉันไม่เคยไปไหนอีก”

“ไม่ลองชวนคุณแม่ของอลันไปเที่ยวดูล่ะครับ ถ้าอลันขอพวกท่านต้องยินดีมากแน่” ความสัมพันธ์ระหว่างอลันกับครอบครัวดูห่างเหิน แต่ไม่คล้ายกับแตกหัก ไหนๆ ก็ไหนๆ เขาอยากถือโอกาสวันหยุดยาวตอนปิดเทอมนี้กระชับความสัมพันธ์ของสองฝ่ายให้แน่นแฟ้นขึ้น

“ไม่มีทางหรอก”

“ลองชวนดูสิครับ อลันน่ารักขนาดนี้อ้อนนิดอ้อนหน่อยพวกท่านต้องใจอ่อนแน่”

“ก็บอกว่าไม่มีทางไง!”

ปฏิกิริยารุนแรงกว่าที่คาด เป็นครั้งแรกที่อลันขึ้นเสียงใส่มิราเคิลแบบนี้ เมื่อรู้ตัวว่าเผลอใส่อารมณ์กับหุ่นยนต์ข้างกาย อลันจึงผละตัวออกก้มหน้าลงกำมือสองข้างบนตักแน่น

ไม่กี่วินาทีต่อมา มิราเคิลก็หลุดจากอาการตื่นตะลึง หลุบตาต่ำเหลือบมองเงาด้านข้างของอลัน สุดท้ายตัดสินใจรวบเอวบางขึ้นมานั่งตักแล้วกอดรัดแน่น

บางทีเขาอาจล้ำเส้นมากไป ทั้งที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับครอบครัวของอลัน

“ขอโทษครับ ผมผิดเอง ผมไม่ควรยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณมากเกินไป”

อลันคลายหมัด ทาบมือลงบนหลังมือของมิราเคิลที่กอดเกี่ยวตนอยู่

“ฉันเองก็ผิดที่ตะคอกใส่นาย ขอโทษนะ” อลันพลิกตัวกลับไปคล้องคอหุ่นยนต์ด้านหลังเพื่อดึงลงมาโอบกอดแน่น เสี้ยวหน้าเศร้าสร้อยเต็มไปด้วยความสำนึกผิดทำให้มิราเคิลอดยกมือขึ้นลูบหัวลูบหูอีกฝ่ายไม่ได้ ในใจคันยุบยิบทนไม่ไหวก้มหน้าลงไปหอมแก้มซ้ายแก้มขวาอย่างปลอบประโลม หากร่างนี้มีน้ำลายมิราเคิลคิดว่าแก้มของอลันคงชื้นแฉะเป็นแน่

การกระทำดังกล่าวทำให้อลันหัวเราะคิกคักละหน้าออก พร้อมกับดันมิราเคิลให้ถอยหลังไป “ฮะๆๆ จั๊กจี้นะมิราเคิล ผมนายมันเกลี่ยโดนคอฉัน”

“คุณยิ้มแล้ว”

“อื้ม ยิ้มแล้ว” อลันยกมือประกบใบหน้าหล่อเหลาแฝงความงดงาม จากนั้นจึงโน้มตัวลงไปจุมพิตที่แก้มอีกฝ่ายหนึ่งที พอผละออกมาใบหน้าอลันก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มสว่างจ้าดุจแสงตะวัน อลันที่เป็นเช่นนี้มิราเคิลคิดว่าดีที่สุด

บนหน้าจอโทรทัศน์ที่เปิดค้างไว้ฉายเครื่องเล่นมากมายละลานตา มาสคอตหน้าตาน่ารักต่างออกมาเดินเป็นขบวนพาเหรด มิราเคิลเห็นแล้วหันมาสบตากับคนตัวเล็กกว่า ดวงตาหยีลงเป็นจันทร์เสี้ยว มุมปากสองข้างยกขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน

“ถ้าอลันไม่รังเกียจ วันหยุดปิดเทอมนี้ไปเที่ยวสวนสนุกกับผมไหมครับ”



เช้านี้อลันคึกคักกว่าปกติ นอกจากตื่นเองโดยไม่ต้องให้มิราเคิลคอยปลุกแล้วยังแต่งตัวพร้อมออกตะลอนเต็มที่ กางเกงยีนสีดำพร้อมด้วยรองเท้าผ้าใบสีขาว เสื้อยืดคอวีสีขาวสวมทับด้วยแจ็คเก็ตยีนสีฟ้าสว่าง ดูแล้วน่ารักสดใสและหล่อเท่สมวัยไปในคราวเดียวกัน

คนอารมณ์ดีออกจากห้องมากลับต้องชะงักเมื่อเห็นหุ่นยนต์หนุ่ม จากใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็เริ่มพองลมจนแก้มตุ่ย สองขาจ้ำอ้าวเดินเข้าไปกระตุกแขนอีกฝ่าย

“เสื้อคอเต่าสีนี้ไม่เหมาะกับนายเลย แล้วนี่เรากำลังจะไปเที่ยวสวนสนุกกันนะ ทำไมถึงแต่งตัวน่าอึดอัดแบบนี้”

มิราเคิลก้มมองเสื้อคอเต่าสีเขียวขี้ม้าของตนเอง ตอนส่องกระจกเขาไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่แต่อย่างใด แต่พอโดนอลันทักขึ้นแล้วกลับไปมองตัวเองอีกครั้งก็เริ่มรู้สึกว่ามันน่าอึดอัดขึ้นมาทันที เสื้อคอเต่าแขนยาวแบบนี้เมื่อเทียบกับอากาศร้อนอบอ้าวภายนอกแล้วดูไม่น่าใส่จริงๆ นั่นแหละ

มิราเคิลออกมาอีกครั้งพร้อมกับเสื้อคอกลมสีขาว ลายผ้ามัดย้อมเป็นวงแหวนสีชมพูกระจายตัวเป็นเส้นสีน้ำทะเล กางเกงชิโนสีดำขนาดพอดีตัวเสริมช่วงขาให้ดูเรียวยาว ตบท้ายด้วยรองเท้าผ้าใบสีดำตัดขาวเป็นอันเสร็จสิ้น

อลันเหลือบมองสายรัดคอประดับอัญมณีสีฟ้างดงามแล้วอมยิ้มแก้มปริ โชคเกอร์ที่เขาสวมให้นั้นต้องเห็นได้ชัดแบบนี้ถึงจะดี เพราะฉะนั้นเสื้อคอเต่าที่ปกปิดส่วนลำคอยาวระหงสำหรับอลันแล้วจึงไม่ผ่าน

ทั้งคู่ใช้เวลานั่งรถแท็กซี่ออกจากตัวเมืองหนึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ถึงจุดหมาย แฟนตาซีเวิลด์คือชื่อของสวนสนุกแห่งนี้ การตกแต่งภายนอกเต็มไปด้วยจินตนาการสมชื่อของมัน ผู้คนต่อแถวรอซื้อบัตรยาวเหยียดแต่อลันกลับลากมิราเคิลเดินไปยังช่องวีไอพี ไม่นานนักในมือเล็กกว่าก็โบกตั๋วเครื่องเล่นสองใบเข้าสวนสนุกไป

“อภิสิทธิ์ของชนชั้นสูงเหรอครับ” มิราเคิลยิ้มอ่อน หันมองผู้คนด้านหลังเล็กน้อยแล้วหันกลับมา

“ในเมื่อมีช่องเฉพาะแยกให้ใช้ก็ใช้ ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลย ใครอยากไปยืนต่อแถวทนร้อนกันเล่า”

มิราเคิลหัวเราะในลำคอ ก่อนกระตุกมือเล็กให้ตามมาหยุดอยู่หน้าร้านขายหมวกแห่งหนึ่ง พอไล่สายตาดูชั่วครู่มิราเคิลก็หยิบหมวกแก๊ปขนกำมะหยี่สีดำมีหูแมวโผล่ขึ้นมาวางลงบนศีรษะเล็กของคนข้างกาย

“อันนี้เหมาะกับอลันดีนะครับ” ลูกแมวน้อยแสนซนที่ขี้อ้อนในบางเวลา

อลันยกมือขึ้นจับหมวกบนหัวตัวเองเพื่อสำรวจพลางชะโงกหน้าส่องกระจกของร้าน จากนั้นจึงไล่สายตามองสินค้าบนแผงแล้วเลือกหยิบอันหนึ่งขึ้นมาหวังสวมลงบนหัวมิราเคิลแบบที่อีกฝ่ายทำกับตน แต่แล้วความฝันในการเอาคืนจำต้องสลายเมื่อเจ้าตัวเขย่งเท้าก็แล้วกระโดดก็แล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะเอื้อมถึงศีรษะของมิราเคิลเลยแม้แต่นิด

“ก้มหัวลงหน่อย” กระตุกแขนอีกฝ่ายอย่างแง่งอน เขาไม่น่าสร้างมิราเคิลให้สูงเกือบสองเมตรเลยจริงๆ ให้ตายสิ

มิราเคิลเห็นท่าทางทั้งหมดนั้นจึงคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วก้มหัวเพื่อให้อลันสวมที่คาดผมรูปหูกระต่ายให้ อีกใจยังไม่ลืมพูดปลอบคนตัวเล็กกว่า

“ไม่ต้องห่วงนะครับ อีกไม่กี่ปีเดี๋ยวอลันก็โตแล้ว”

“ขอให้จริงเถอะ” ไม่ว่าเปล่ายื่นมือกระตุกเชือกที่ห้อยลงมาจากที่คาดผม ส่งผลให้หูกระต่ายขนยาวสีดำปุกปุยบุขนสีชมพูด้านในกระดิกลงราวกับมีชีวิต อลันติดใจดึงเชือกอีกข้างสลับกันจนหูกระต่ายบนหัวมิราเคิลสลับกันพับสลับกันตั้ง

เมื่อได้ของถูกใจ อลันจึงหยิบบัตรขึ้นรูดจ่ายเงินให้กับแม่ค้าที่กำลังอมยิ้มให้กับการละเล่นของเด็กหนุ่มสองคนตรงหน้า

“เป็นพี่น้องที่รักกันดีนะคะ”

ได้ยินแม่ค้าทักเช่นนั้นทั้งอลันและมิราเคิลก็หันมองสบกันโดยไม่ได้นัดหมาย พวกเขาไม่เอ่ยแย้งอะไรแล้วจับจูงมือเดินออกไปพร้อมกับรอยยิ้ม

“อยากเล่นอะไรเป็นพิเศษไหมครับ”

อลันมองบัตรเครื่องเล่นในมือแล้วตัดสินใจว่าจะเริ่มจากอะไรที่มันง่ายๆ ก่อน รถไฟทัวร์ฝันที่ดูไม่น่าเป็นอันตรายจึงเป็นตัวเลือกแรกของอลัน

รถไฟเคลื่อนตัวไปในอุโมงค์จำลอง ความมืดเข้าปกคลุมรอบกาย ไม่นานนักแสงสีเขียวสว่างเป็นจุดเล็กๆ ปรากฏขึ้นลอยกระจายวนอยู่รอบตัว

“หิ่งห้อยละ!” เสียงตื่นเต้นนี้เป็นของเด็กที่นั่งมาในรถไฟขบวนเดียวกัน มิราเคิลเหลือบมองอลันแลเห็นแววเปล่งประกายอยู่ในดวงตาคู่นั้น พอดูแบบนี้แล้วอลันก็ยังเด็กอยู่จริงๆ นั่นแหละ

เส้นทางเคลื่อนผ่านอุโมงค์หิ่งห้อยเผยทิวทัศน์ป่าดิบชื้นโดยรอบ รางรถไฟจมลงไปในน้ำทำให้รู้สึกราวกับว่ารถไฟคันนี้กำลังล่องผ่านแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ไม่ใกล้ไม่ไกลปรากฏเรือล่องทะเลโบราณลำหนึ่ง เด็กๆ ในรถไฟต่างสนใจเรือลำนั้นมากขึ้นเมื่อเห็นเงาร่างกัปตันโจรสลัดมือเป็นตะขอกำลังต่อสู้โรมรันกับเด็กชายในชุดเขียว

รถไฟเดินทางผ่านมาหลายห้องทำให้มิราเคิลรู้ได้ว่าเรื่องราวในแต่ละห้องนั้นน่าจะเป็นนิทานปรัมปราของโลกแห่งนี้ ทั้งฉาก แสงไฟ และการแสดงของนักแสดงที่สวมบทเป็นตัวละครต่างๆ ทำได้ดีไม่มีที่ติ เรียกได้ว่าจับใจเด็กๆ อยู่หมัด ไม่เว้นแม้แต่อลันที่นั่งเงียบแต่ความจริงจับจ้องเรื่องราวเหล่านั้นตาไม่กะพริบ

“สนุกไหมครับ”

“อื้ม!” อลันพยักหน้า แววตาเป็นประกายจับจ้องตั๋วเครื่องเล่นในมือ “ต่อไปเราเล่นอันนี้กันนะ”

สุดท้ายตลอดช่วงเช้ามิราเคิลก็ถูกอลันลากไปเล่นเครื่องเล่นทั่วสวนสนุก จากที่เคยเป็นเครื่องเล่นเชื่องช้าสำหรับเด็กก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเครื่องเล่นที่หวาดเสียวมากยิ่งขึ้น

อะไรนะ ถ้วยน้ำชามหาสนุกมีให้เล่นไม่เล่น ทำไมถึงเลือกไปเล่นไวกิ้งส์ได้!

แต่ก็เพราะไวกิ้งส์นั่นแหละที่ทำให้มิราเคิลได้เห็นอลันในอีกมุมหนึ่ง ปกติอลันจะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง บางครั้งก็ชอบวางตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัย บางทีก็ชอบออดอ้อนเป็นเด็กๆ แต่มุมที่อลันร้องตะโกนเปล่งเสียงออกมาด้วยความหวาดกลัวเช่นนี้ ถือว่าเป็นมุมหาได้ยากโดยแท้จริง

“เที่ยงแล้วพักสักหน่อย ไปหาอะไรกินกันไหมครับ” มิราเคิลเปิดขวดน้ำยื่นให้อลันที่นั่งขาสั่นอยู่บนม้านั่ง มือเอื้อมเช็ดเหงื่อเม็ดเป้งบนหน้าผากให้คนตัวเล็กพลางถามด้วยความเป็นห่วง “ไหวไหมครับ ถ้าไม่ไหวเครื่องเล่นอันหน้าเราไปเล่นอะไรที่มันหวาดเสียวน้อยลงกว่านี้ดีกว่า”

“นายไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอมิราเคิล” อลันหันใบหน้าซีดเซียวไปถามหุ่นยนต์ข้างกาย พูดไม่ทันขาดคำก็แทบขย้อนน้ำย่อยในกระเพาะออกมาจนหมด สงสัยแผนการเล่นรถไฟเหาะตีลังกาเป็นเครื่องเล่นถัดไปคงต้องพับเก็บเสียแล้ว

“เอ่อ... ไม่นี่ครับ” มิราเคิลเกาหัวแกรกกราก เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกลัวหรือไม่เพราะสัมผัสทั้งห้าบกพร่องใช้ได้เป็นบางอย่างเท่านั้น สิ่งที่เขารับรู้ได้เวลาเล่นไวกิ้งส์คือภาพวูบไหวผ่านตาไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น

อลันส่งเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอแล้วพองลมแก้มป่องเป็นสัญญาณว่ากำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง มิราเคิลยื่นนิ้วเข้าจิ้มจนมันยุบไปข้างหนึ่งแล้วดึงจนยืดย้วยเป็นการหยอกเย้า

“อื้ม! แก้มยานหมดแล้วมิราเคิล” อลันสะบัดหน้าหนีนิ้วมือปีศาจ ตอนนี้เขากำลังไม่พอใจอยู่นะ เห็นไหม สังเกตหน่อยสิ เสียมาดเพราะเครื่องเล่นหวาดเสียวอยู่คนเดียวไม่ยุติธรรมเลย

ดูเหมือนว่าการร้องหาความยุติธรรมในใจอลันจะส่งไปไม่ถึงอีกฝ่าย มิราเคิลอุ้มอลันให้นั่งลงบนแขนตนเองข้างหนึ่งแล้วพาเดินไปยังร้านอาหารในละแวกใกล้เคียง ผู้คนรอบกายหันมองภาพนั้นต่างส่งเสียงคิกคักเพราะเอ็นดู อลันใบหน้าร้อนฉ่าเขย่าตัวมิราเคิลให้ปล่อยตนลง

“ทำไมครับ?”

นอกจากไม่ยอมปล่อยแล้วยังหันมามองอลันด้วยสีหน้าสับสน ราวกับไม่รับรู้ถึงความอับอายของคนตัวเล็กในอ้อมแขนยังไงยังงั้น

“อุ้มแบบนี้ข้างนอกน่าอายจะตาย ปล่อยฉันลงเถอะ”

“ขาอลันสั่นแบบนี้แล้วจะเดินยังไงครับ”

“หายสั่นแล้วน่า ปล่อยฉันลงได้แล้ว”

“คร้าบ~ ครับ~ องค์ชายของผม”

พอขาแตะพื้นอลันเซเล็กน้อยจนมิราเคิลต้องช่วยพยุง เมื่ออลันยืนได้อย่างมั่นคงมิราเคิลจึงปล่อยให้อีกฝ่ายเดินนำไปเอง

ความจริงอลันอายุสิบห้าแล้ว เขาไม่ควรทำเหมือนอีกฝ่ายเป็นเด็กตอนอยู่ข้างนอกจริงๆ นั่นแหละนะ แล้วยิ่งเป็นเด็กผู้ชายที่มีความมั่นใจและทะนงตนแบบอลันด้วยแล้วไม่แปลกเลยที่จะเขินอายในเรื่องเหล่านี้

ร้านอาหารมีคนแน่นขนัดทุกร้าน ไม่ทันให้มิราเคิลได้คิดพาอลันไปหาร้านเดินกิน เจ้าตัวก็เดินฉิวเข้าร้านก๋วยเตี๋ยวร้านหนึ่งไปแล้ว

“มิราเคิล มาเร็วเข้า” อลันกวักมือเรียกมิราเคิลที่ยืนแน่นิ่ง เบื้องหน้ามีพนักงานชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาต้อนรับขาแทบขวิด โซนวีไอพีถูกเปิดใช้งานเรียกสายตาคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี

มิราเคิลเดินตามหลังอลันไป ระหว่างทางสังเกตเห็นสายตาไม่พอใจจากคนบางกลุ่มกำลังจ้องมองอลันด้วยความไม่เป็นมิตร มิราเคิลเอาตัวเข้าบังสายตาเหล่านั้นแล้วจ้องเขม็งตอบกลับ เมื่อถูกจับได้คนกลุ่มนั้นถึงได้ยอมเก็บสายตากลับไป

“มิราเคิล” อลันเรียกอีกครั้ง ในที่สุดมิราเคิลก็เดินมาทิ้งกายลงนั่งฝั่งตรงข้าม

“อลันกินอะไรครับ”

“เส้นหมี่หมูน้ำตก สั่งไปแล้ว อีกเดี๋ยวก็มา”

“ที่นั่งว่างตรงนี้ถูกกันไว้สำหรับชนชั้นสูงสินะครับ”

“ถูกต้อง ร้านอาหารมีแทบทุกร้านแหละ แล้วก็อย่างที่บอกว่าฉันมีชิปฝังอยู่ในตัว แค่เดินเข้าร้านก็รู้แล้วว่ามีฐานะเป็นชนชั้นสูง ปกปิดไม่ได้หรอกนะ”

ไม่นานนักก๋วยเตี๋ยวก็มาเสิร์ฟลงบนโต๊ะ แต่สิ่งที่ทำให้มิราเคิลอึ้งตะลึงคืออลันสั่งก๋วยเตี๋ยวมาทั้งหมดสี่ชาม และโซ้ยหมดนั่นภายในพริบตา จากเด็กที่กินนิดกินหน่อยก็อิ่มมาบัดนี้ได้ดัดแปลงกระเพาะตนเองจนเป็นหลุมดำซะแล้ว

เครื่องเล่นชิ้นต่อไปพาพวกเขาทั้งคู่มายืนอยู่หน้าบ้านเก่าโทรมหลังหนึ่ง มันไม่ได้ทรุดโทรมลงเองตามธรรมชาติเพราะโดนปล่อยทิ้งร้าง แต่มันถูกตกแต่งด้วยความจงใจให้มีสภาพเป็นแบบนี้

ใช่แล้ว สิ่งก่อสร้างแบบนี้มาตั้งอยู่ในสวนสนุกสุดแสนเลิศหรูอลังการแห่งนี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากบ้านผีสิง และพวกเขาทั้งสองได้มายืนท้าทายความเฮี้ยนอยู่หน้าบ้านหลังนี้แล้ว

อลันเชิดหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องเหลือบมองหุ่นยนต์ข้างกาย คราวนี้แหละเขาจะทำให้มิราเคิลต้องกรีดร้องออกมาสุดเสียง นั่นเป็นสิ่งที่อลันคิดก่อนจะย่างเท้าเข้ามาในบ้านเขย่าขวัญสั่นประสาทหลังนี้

“ว้าก!!” เสียงกรีดร้องดังแข่งกับเสียงทำนองหวีดหวิวประกอบฉาก แผ่นหลังที่เคยตั้งตรงงองุ้มกระโจนเข้ากอดแขนมิราเคิลแน่น ดวงตาสองข้างแดงก่ำคลอน้ำจวนเจียนจะไหลอยู่รอมร่อ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทุกอย่างมันผิดแผนไปหมดเลย

มิราเคิลอุ้มร่างเล็กกว่าขึ้นนั่งบนแขน คราวนี้อลันทั้งกอดและซุกซบเข้ากับไหล่ของเขาแน่น คนตัวเล็กกายสั่นระริกดูบอบบางจนผู้เฝ้ามองอดใจไม่ไหวต้องยกมือลูบหลังปลอบ

“โอ๋ๆ ผมอยู่ตรงนี้นะครับ ผมอยู่ตรงนี้ ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกครับ” เขาฮัมเพลงเบาสบายคลอข้างใบหูนุ่มนิ่ม เขย่าโยกร่างแน่งน้อยในอ้อมแขนไปมาราวกล่อมเด็ก จากนั้นเดินผ่านฝูงผีหน้าตาเละเทะชุ่มน้ำหนองไปอย่างไม่รีบร้อน และไม่ลืมที่จะหันไปผงกหัวให้แล้วกล่าวอะไรบางอย่างทิ้งท้ายอีกเล็กน้อย “เบาหน่อยครับ น้องชายผมไม่ถูกกับอะไรแบบนี้”

นักแสดงผู้สวมบทคนตายทำหน้าเซ็ง ชายหนุ่มหน้าสวยตรงหน้าไม่คิดจะกลัวพวกเขาหน่อยหรือ ตลอดทางมีแต่เจ้าตัวเล็กที่เอาแต่ร้องเอะอะโวยวายอยู่คนเดียว ไม่สนุกเลย

หากจะกล่าวว่ามิราเคิลไม่กลัวเรื่องพวกนี้ย่อมไม่ผิดนัก แต่เดิมแล้วเขาไม่ได้เป็นคนกลัวความมืดหรือมีความเชื่อในเรื่องผีสางอะไรเป็นพิเศษ สภาพศพสยดสยองเองก็เห็นผ่านสนามรบมาจนชินตา ของหลอกเด็กพวกนี้จึงไม่มีทางทำอะไรเขาได้ทั้งนั้น หรือหากจะเอาเรื่องจริงมาพูดก็คือผีตัวจริงเสียงจริงอย่างเขากำลังอุ้มคนกลัวผีเดินออกจากบ้านผีสิง แต่เผอิญว่าเขาเป็นผีหุ่นยนต์ที่รักเด็กมากเสียด้วยเนี่ยสิ ทำใจหลอกให้กลัวไม่ไหวหรอก

มิราเคิลวางอลันบนม้านั่งตัวยาว ยกนิ้วปาดเช็ดน้ำเม็ดใสเผยใบหน้าบูดเบี้ยวแต่ยังคงน่าเอ็นดู เขาส่งรอยยิ้มอ่อนโยนไปให้พลางเอ่ยปลอบ สองมือดึงเชือกเส้นยาวขยับหูกระต่ายบนหัวให้กระดิกดุ๊กดิ๊กดึงดูดความสนใจ

“ไม่เป็นไรแล้วนะครับ ผมจะปกป้องคุณเอง”

อลันจับจ้องท่าทางเหล่านั้นในที่สุดก็หัวเราะออกมา สำหรับเขามิราเคิลชักจะเท่เกินไปแล้ว

“ขอโทษนะครับ ขอเวลาสักหน่อยได้ไหมคุณพี่ชาย”

เสียงจากด้านหลังในระยะใกล้ทำให้มิราเคิลลุกขึ้นหันมอง พบเป็นชายสวมแว่นแฟชั่นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู การแต่งตัวดูรุงรังแต่มองอีกมุมก็ดูนำสมัย บนหัวสวมหมวกปีกรอบลายสก็อตเข้าคู่กับผมย้อมม่วงได้เป็นอย่างดี

“มีอะไรครับ”

“พอดีผมมองคุณมาสักพักแล้ว สูงยาวเข่าดีแถมมีหน้าตาระดับไฮเอนด์แบบนี้คงเป็นที่นิยมไม่น้อย สนใจมาทำงานเป็นนายแบบไหมครับ”


----------------จบตอน 14

สำหรับเรื่องนี้ที่ลงในเล้าเราอาจไม่ได้ลงรูปภาพรายละเอียดประกอบการบรรยายเพื่อให้เห็นภาพนะคะ อย่างเสื้อผ้า พร็อบเสริมของน้องและคุณลุง แล้วก็อื่นๆ เพราะทำในเล้าไม่ค่อยสะดวกนัก



ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๑๕

ดอร์ริสนักตื๊อ

คำเชิญชวนไม่คาดคิด มิราเคิลได้แต่ยืนอึ้ง

นายแบบ... นายแบบ... ใช่คนที่มีอาชีพยืนหน้ากล้องแล้วปล่อยให้ใครหน้าไหนไม่รู้มาถ่ายภาพแชะๆๆ นั่นใช่รึเปล่า

“ผมเนี่ยนะ” ในที่สุดมิราเคิลก็ได้สติ ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

ชายหยาบกระด้างที่รู้จักแต่จับดาบถือปืนตะลอนดงระเบิดเป็นว่าเล่นมาทั้งชีวิต อยู่มาวันหนึ่งก็มีคนชวนไปทำอาชีพอื่นที่ได้เงินดีกว่า

เหมือนฝัน

“ใช่แล้ว คุณนั่นแหละ” ชายแปลกหน้าคว้ามือข้างหนึ่งของมิราเคิลขึ้นมากุม ดวงตาภายใต้กรอบแว่นจับจ้องคนเบื้องหน้าหวานเชื่อม

มิราเคิลรู้ตัวดีว่าเรื่องพวกนี้ไม่เหมาะกับตนเอง เลยตั้งท่าจะชักมือออกแล้วบอกปฏิเสธอย่างสุภาพ ใครจะรู้เลยว่าชายแปลกหน้าคนนี้มีมือปลาหมึกเป็นพรสวรรค์ติดตัวมาแต่กำเนิด

ไม่ทันให้มิราเคิลลงมือใช้แรงสะบัดออกด้วยตัวเอง อลันก็เข้ามาแทรกจับแยกมือทั้งสองออกจากกัน ไม่เพียงเท่านั้นยังกางปีกกว้างเป็นแม่นกปกป้องลูก ถึงแม่นกตัวนี้จะเป็นเพศผู้และยังเด็กไปหน่อย แต่ก็องอาจน่าดูชม

“มีอะไรน้องชาย หรือว่าสนใจเป็นนายแบบด้วยเหมือนกันเหรอ”

อลันหุบแขนลง เอามือสองข้างล้วงกางเกง สีหน้าเรียบเฉยเชิดขึ้นสบตากับอีกฝ่าย

“ใครอยากเป็นกัน!”

“หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราแบบนี้ต้องขายดีแน่ น่าเสียดายๆ” ชายแปลกหน้าส่ายหัวหนัก ย้ำประโยคท้ายสองรอบ สายตาส่อแววอาลัยอาวรณ์ลึกซึ้ง “ถ้าสนใจเป็นซูเปอร์โมเดลเมื่อไหร่ก็ติดต่อพี่มานะ”

ไม่ว่าเปล่ายังยัดนามบัตรใส่มืออลัน ‘ดอร์ริส ไทเลอร์’ เป็นชื่อที่เขียนอยู่บนนั้น

“เอาละ คุณพี่ชาย มาคุยธุระของเราต่อเถอะ”

ไม่ทันให้มิราเคิลเอ่ยตอบ อลันก็พูดแทรกเข้ามาอีกครั้ง

“ขอโทษที่ทำให้ต้องผิดหวังนะ คุณดอร์ริส ไทเลอร์” สอดนามบัตรที่เพิ่งได้รับไว้ในกระเป๋ากางเกง คำพูดนั้นเรียกสายตาดอร์ริสให้หันไปจับจ้องอีกครั้ง

“มีปัญหาอะไรอีกเหรอน้องชาย”

“มิราเคิลไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นหุ่นยนต์ หุ่นยนต์ที่ฉันสร้างขึ้นเองกับมือ หากฉันไม่ยินยอมใครก็ไม่สามารถเอามิราเคิลไปหาผลประโยชน์ได้ทั้งนั้น” สิ่งที่อลันต้องการจะสื่อให้ดอร์ริสเข้าใจคือ เขาไม่ต้องการให้มิราเคิลไปทำงานเปลืองตัวแบบนั้น เขามีเงินเยอะแยะมากมายพอเลี้ยงมิราเคิลได้ทั้งชีวิต ทำไมต้องปล่อยให้มิราเคิลไปลำบากตรากตรำทำงานแลกกับเงินจำนวนน้อยนิดเหล่านั้นด้วย

เขารวย ดอร์ริสเข้าใจไหมว่าเขารวย!

ไม่ ดูเหมือนดอร์ริสจะไม่เข้าใจ อีกฝ่ายทำตาเป็นประกายแวววาว เข้าไปลูบคลำจับตัวมิราเคิลพลิกซ้ายหันขวาตามใจชอบ ปากเอ่ยชมเปาะ “หุ่นยนต์? เหมือนมนุษย์ขนาดนี้เชียว วิทยาการสมัยนี้ชักจะล้ำหน้าขึ้นทุกทีแล้ว!”

อลันจิ๊ปาก “อย่าจับนะ ถ้ามิราเคิลเสียหายขึ้นมานายจะรับผิดชอบยังไงไหว”

มิราเคิลที่ได้ยินคำพูดนั้นอยากแย้งใจจะขาดว่าเขาไม่บอบบางขนาดนั้น

“เหวอ! ไม่จับแล้วจ้า” ดอร์ริสชักมือกลับทันใด โค้งตัวลงเพื่อให้ระดับสายตาเสมอกับเด็กตรงหน้า “งั้นเข้าเรื่องนะน้องชาย พี่ชายคนนี้ปิ๊งรักแรกพบกับพี่ชายนายมาก เพราะงั้น...”

ดอร์ริสกอบกุมมือเล็กทั้งสองข้าง ใบหน้าจริงจังปราศจากแววล้อเล่น “ได้โปรด...ยกพี่ชายนายให้ฉันเถอะนะ”

หากใครมาเห็นและได้ยินเข้า คงคิดว่านี่เป็นคำขอแต่งงานที่มอบให้กับหนุ่มร่างสูงข้างกายเด็กชาย อลันฟังคำพูดนี้แล้วเดือดปุดสะบัดมือออกอย่างแรง

“ฝัน-ไป-เถอะ!” สะกดทีละคำช้าชัด ตะโกนใส่หน้าอย่างไม่ไว้มารยาทอีก เสร็จแล้วจึงลากมิราเคิลให้เดินออกจากบริเวณนั้นทันที

คิดหรือว่าดอร์ริสจะปล่อยไปง่ายๆ เขารีบเดินตามคนทั้งคู่ ความอดทนของนักตื๊อหนุ่มคนนี้มีมากกว่าที่อลันคิด ไม่ว่าอลันจะลากมิราเคิลไปเล่นเครื่องเล่นอะไร ดอร์ริสก็ตามติดเป็นเงาตามตัวไม่หยุดยั้ง สุดท้ายขีดความอดทนของอลันมาถึงขีดสุดลากมิราเคิลไปเล่นรถไฟเหาะตีลังกา

“ทำไมนายถึงเอาแต่ตามพวกฉันมาหา!”

“น้องชาย เธอเข้าใจผิดแล้ว มันแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น”

เรื่องบังเอิญบ้านนายคือการไล่ตามไปเล่นเครื่องเล่นเดียวกับพวกเขาทุกครั้งเลยเรอะ?! อลันกัดฟันกรอด

มิราเคิลอยากเอ่ยปากห้ามทั้งคู่แล้วปลอบอลันให้ใจเย็นลง แต่อลันในยามหัวเสียสุดขีดแบบนี้เขาไม่เคยเห็น จึงไม่รู้ว่าควรรับมืออย่างไร เขาเป็นคนรักเด็กถนอมสตรีก็จริงอยู่ แต่เวลาสิ่งมีชีวิตสองสิ่งนี้อารมณ์แปรปรวนปะทุขึ้นมา เขาทำได้แค่นิ่งเงียบเป็นรูปปั้นไม่มีปาก ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ ผงกหัวงกๆ สั่งอะไรก็ทำ วิถีลูกผู้ชายฉบับอดีตพันตรีเช่นเขาก็เป็นเช่นนี้แล

ดอร์ริสขึ้นนั่งเครื่องเล่นตามอย่างไม่มีลังเล พอรถไฟเหาะเคลื่อนตัวออกถึงจุดยอดแรก ครู่ต่อมามันก็ทิ้งตัวดิ่งลงตามรางขับเคลื่อนด้วยความรวดเร็ว เสียงร้อง ‘อ๊าก’ ของอลันลากยาวปะปนไปกับเสียงกรีดร้องของผู้เล่นคนอื่น ในขณะที่ดอร์ริสชูมือขึ้นสูงพลางตะโกนลั่นว่า

“ยู้ฮู~ มันโว้ยยยย!”

ขาอลันสั่นหงึกหงักแรงจะลงจากเครื่องเล่นยังไม่มี สุดท้ายเป็นมิราเคิลต้องอุ้มคนตัวเล็กออกมาวางบนม้านั่งด้านนอก ก๋วยเตี๋ยวอันเป็นมื้อเที่ยงตีตื้นจุกลำคอ อลันทนไม่ไหวคลานไปเกาะขอบถังขยะด้านข้างแล้วโก่งคออาเจียน หลังจากลูบหลังให้อลันได้ครู่หนึ่งมิราเคิลก็ขมวดคิ้วหันไปมองชายข้างกายอีกคน

“ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณ”

“ได้สิ คุณพร้อมจะเป็นนายแบบให้ผมแล้วใช่ไหม”

“ไม่มี...ทา...อุ๊ก!” อลันฝืนพูดทั้งที่ยังคลื่นไส้ไม่หาย สุดท้ายมิราเคิลต้องเอ่ยปราม

“ไม่ต้องพูดแล้วครับ ผมว่าเราควรคุยกับเขาให้เรียบร้อย วันนี้เรามาเพื่อสนุกกันนะครับ ดูคุณสิ ตลอดทั้งบ่ายนี้ไม่มีความสุขเลยสักนิด ...คุณดอร์ริส” ประโยคหลังมิราเคิลหันไปพูดกับดอร์ริส

“ครับ” ดอร์ริสตอบรับด้วยท่าทางกระตือรือร้น

“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่มีความสนใจในสายงานนี้ อีกอย่างถ่ายแบบอะไรผมก็ทำไมเป็นด้วย”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เชื่อมือช่างถ่ายภาพมืออาชีพอย่างผมเถอะ!”

มิราเคิลลอบถอนหายใจ เอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย “ทำไมต้องเป็นผมครับ”

เมื่อได้รับคำถามนั้นดอร์ริสก็หลับตาลง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย

“อันที่จริงแล้วผมเป็นช่างภาพอิสระ ตระเวนไปทั่วทุกที่เพื่อถ่ายรูปสวยๆ แล้วขาย บางทีก็มีรับถ่ายภาพลงปกนิตยสารอะไรพวกนี้ด้วย”

“แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผมยังไง”

“คุณอาจไม่รู้จัก แต่ผมมีชื่อเสียงในวงการพอตัวเลยนะ ทว่าช่วงหลังมานี้ไม่รู้ทำไมถึงไม่รู้สึกสนุกกับการถ่ายภาพเหมือนก่อน ถ่ายอะไรออกมาก็ไม่ได้ดั่งใจ มันอาจเป็นอาการที่เขาเรียกกันว่าหมดไฟ” ดอร์ริสถอนหายใจ “พี่สาวผมแนะนำให้พักงานแล้วออกมาเที่ยวเล่นผ่อนคลายบ้าง คงเกรงว่าผมจะเครียดนั่นแหละ ถึงอย่างนั้นไม่ว่าจะไปที่ใดความรู้สึกอยากถ่ายภาพของผมก็ไม่กลับคืนมา

แต่... ไม่รู้ทำไมพอเห็นคุณแล้วผมอยากมาก อยากที่จะจับกล้องขึ้นมาถ่ายรูปคุณอีกสักหลายๆ ครั้งเลย”

“ ‘อีก’ งั้นเหรอ?” หัวคิ้วกดลึก หลุบมองกล้องถ่ายรูปในมืออีกฝ่าย ดอร์ริสยิ้มแห้งเมื่อถูกจับได้จึงยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเปิดให้ดู

ในภาพนั้นเป็นตอนที่มิราเคิลกำลังดึงเชือกหูกระต่ายให้กระดุกกระดิกเพื่อปลอบคนขี้แยตัวน้อย ดวงตาเด็กในภาพชื้นแดงดูแล้วน่ารักน่าปกป้อง แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด สิ่งที่ทำให้เขาละสายตาไม่ได้คือสีหน้าของตัวเองตอนมองอลันในยามนั้น

เขาทำหน้าแบบนั้นจริงหรือ?

“ผมตกหลุมรักท่าทางของคุณในตอนนั้นจริงๆ นะ มันเต็มไปด้วยความรู้สึก ถ้าเอาไปปรับแต่งแสงสีอีกนิด ภาพนี้คงดีพอนำไปประกวดได้เลย”

“ประกวด?”

“งานประกวดภาพถ่ายประจำปีน่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่มีเจตนาเอาภาพพวกคุณไปหาผลประโยชน์โดยพลการแน่นอน” ดอร์ริสแก้ตัวทันควัน

“ผมขอภาพนี้ได้ไหม” มิราเคิลรู้สึกชอบภาพนั้นจริงๆ อันที่จริงจะว่าไปแล้วเขากับอลันไม่เคยมีรูปถ่ายคู่กันเลยสักภาพ มีภาพนี้เก็บไว้เป็นความทรงจำก็ไม่เลวนัก

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ขอแค่สามเดือนนี้คุณยอมเป็นแบบให้ผม จะเอากี่ภาพก็ได้ทั้งนั้น”

“อลันครับ” มิราเคิลหันไปมองด้วยสายตาวอนขอ

คนหน้าซีดตั้งท่าจะปฏิเสธในทีแรกรีบหุบปากฉับ อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหนื่อยจากเครื่องเล่นผาดโผนหรือเพราะเจอมิราเคิลออดอ้อนเป็นครั้งแรกกันแน่

“ภาพราคาเท่าไหร่” อลันข่มใจหันสายตาออก ปากเอ่ยต่อรองราคากับดอร์ริส

“โทษทีน้า พี่ชายไม่ขายจ้า ถ้าอยากได้ต้องเอาตัวคนมาแลก”

“อะไร คนแอบถ่ายมันนายไม่ใช่รึไง เดี๋ยวก็ฟ้องซะเลยนี่”

“อลันครับ” มิราเคิลเขย่าแขนแล้วส่ายหัว “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง อีกอย่างแค่ยืนเป็นแบบถ่ายรูปง่ายจะตายไป”

“แต่...”

“นะครับ”

เมื่อเห็นรอยยิ้มออดอ้อนนี้อีกครั้งใจอลันพลันอ่อนยวบ จู่ๆ ก็รู้สึกเห่อร้อนที่ใบหน้าจนต้องหันหนี ก้อนเนื้อในอกเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ สุดท้ายทนไม่ไหวลุกพรวดวิ่งจากไป

“อลัน จะไปไหนครับ!” มิราเคิลตั้งท่าจะวิ่งตามแต่กลับโดนห้ามไว้

“ไปห้องน้ำ เดี๋ยวกลับมา ไม่ต้องตาม!”



เสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนขวักไขว่ด้านนอกไม่ได้ปลุกอลันออกจากภวังค์ เด็กหนุ่มนั่งบนชักโครกหยิบมือถือขึ้นเปิดกล้องหน้า ปรากฏใบหน้าร้อนลวกขึ้นริ้วสีแดงผิดแปลกไปจากปกติ เขานั่งชันเข่าขยี้หัวจนฟูฟ่องไล่ความรู้สึกชั่วร้ายในใจออกไป

ทั้งอยากกอด อยากหอม อยากจูบ และอยากทำอะไรที่มันมากกว่านั้น

หัวใจเต้นรัวแรงผิดจากทุกครั้งทำให้อลันเผลอคิดว่าตนอาจเป็นโรคประหลาดเข้าแล้วก็ได้ เขารู้ว่าตัวเองคิดกับมิราเคิลมากเกินกว่าคำว่าพี่น้อง แต่มันไม่เคยรุนแรงขนาดนี้ ใครใช้ให้มิราเคิลมองเขาด้วยสายตาเว้าวอนแบบนั้น

“มิราเคิลบ้าที่สุดเลย” ระบายสิ่งที่คิดออกมาเป็นคำพูดให้ตนเองฟังเพียงผู้เดียว หากเขายังฝืนกักเก็บไว้ในใจมีหวังได้อกแตกตายแน่

ไม่ได้การ เขาปล่อยมิราเคิลให้เล่นบทคนน่ารักต่อไปไม่ได้แล้ว วันนี้เขาโดนมิราเคิลโจมตีเข้าจังๆ ติดต่อกันหลายยก วันหน้าเขาจะเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่าเลยคอยดู

คิดเช่นนั้นจิตใจอลันจึงพอสงบลงบ้าง เขาผลักประตูออกมาวักน้ำล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น แล้วค่อยเดินกลับไปหามิราเคิลที่รอคอยอยู่

พอเห็นภาพมิราเคิลกำลังนั่งคุยกับดอร์ริสอย่างสนุกสนาน ความรู้สึกไม่พอใจก่อเกิดขึ้นมาทันที ถึงกระนั้นเขากลับปกปิดอารมณ์ขุ่นมัวนั้นด้วยรอยยิ้มธุรกิจที่มิราเคิลมองว่าน่ารักน่าชังเสมอมา ไม่สิ ไม่ว่าเขาจะยิ้มแบบไหนมิราเคิลก็มองว่าน่ารักทั้งนั้นแหละ

หุ่นยนต์รูปร่างมนุษย์ตกใจเมื่อเห็นอลันกลับมาในสภาพเปียกมะล่อกมะแล่ก จึงรีบลากคนตัวเล็กมานั่งแล้วเดินออกไปหาซื้อผ้าขนหนูทันที

อลันไม่ห้ามการกระทำนั้น พอแผ่นหลังของมิราเคิลลับจากสายตาไปจึงค่อยเอ่ย “สามเดือน...ไม่มากไปกว่านี้”

“ขอบใจมากน้องชาย” ดอร์ริสจับมืออลันเขย่าทั้งสองข้างด้วยความดีใจ

“แต่มีข้อแม้ อลันอยู่ไหนฉันอยู่นั่น ห้ามต่อรอง”

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ส่วนค่าตอบแทนพี่ชายจะจ่ายให้อย่างงาม”

“ไม่ได้ต้องการสักหน่อย บ้านฉันรวย”

“น้องชาย ต่อให้บ้านรวยยังไงคนเราก็ต้องทำมาหากินนะ อย่าชะล่าใจว่ามีเงินเยอะจนเอาแต่เกาะพ่อแม่กิน เกิดวันหนึ่งธุรกิจล้มละลายเป็นหนี้เป็นสินจะทำยังไง พอหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ก็ได้แต่อดตาย นายอย่าประมาทค่าเงินเล็กๆ น้อยๆ เชียวนา”

หลังจากนั้นดอร์ริสก็พล่ามสั่งสอนไปอีกยาว อลันพ่นลมออกจากปากปล่อยให้คำเหล่านั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เขาขี้เกียจมานั่งอธิบายเรื่องตัวเองให้คนพรรค์นี้ฟังแล้ว ชนชั้นสูงที่สร้างหุ่นยนต์เป็นและรู้เรื่อง AI อย่างเขาจ้างให้ก็ไม่มีวันอดตาย รับงานทีนึงได้เงินเยอะกว่าการถ่ายแบบนี่ไม่รู้กี่เท่า

กระทั่งมิราเคิลเดินกลับมาสีหน้าอลันจึงสดใสขึ้น มิราเคิลเอาบรรจงใช้ผ้าขนหนูในมือซับหน้าซับผมของอลันรวมถึงคอเสื้อที่เปียกชื้น การได้รับการดูแลจากมิราเคิลทำให้อลันมีความสุขจนยิ้มแก้มปริ



“เป็นไงบ้าง ไปเที่ยวมาสนุกไหม”

หน้าปัดนาฬิกาชี้บอกเวลาสองทุ่ม ร่างสองร่างที่มีความสูงแตกต่างกันเดินเข้ามาในหอพักสาม เอลวิส ฮิลล์ละสายตาจากโน้ตบุ๊กบนโต๊ะหันมาเอ่ยทักทายคนทั้งคู่

“ก็ดี”

คำตอบสั้นห้วนนี้หลุดมาจากปากอลัน ส่วนมิราเคิลทำเพียงส่งยิ้มบางๆ ไปให้เท่านั้น หลังจากหนึ่งคนหนึ่งหุ่นขึ้นลิฟต์ไปแล้วเอลวิสถึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ลืมบอกปีศาจน้อยไปเลยว่าอีธานมีธุระจะคุยด้วย เห็นวิ่งโร่ทั่วโรงเรียนตามหาป่านนี้เป็นยังไงบ้างแล้วไม่รู้”

ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นห้า คนทั้งคู่ก้าวออกมาจากลิฟต์ได้ก้าวเดียวก็ต้องชะงักเมื่อพบว่ากำลังมีคนนั่งปลูกเห็ดอย่างหงอยเหงาอยู่หน้าห้องของตน

“อีธาน?”

เจ้าของชื่อหันมาตามเสียงเรียก เมื่อเห็นหน้าคนเรียกพื้นหลังจากกองเห็ดอับเฉาพลันแปรเปลี่ยนเป็นทุ่งดอกไม้ในทันใด พออีธานลุกขึ้นยืนได้ก็แทบกระโจนเข้ามาเกาะแกะอลันทันที หากไม่ติดว่ามีหุ่นยนต์นิสัยไม่น่าคบหาอยู่ข้างกายเขาคงดึงอลันมากอดหมับเข้าเต็มรักไปนานแล้ว

“เจ้าตัวเล็กหายไปไหนมา รู้มั้ยว่าฉันวิ่งทั่วโรงเรียนเพื่อตามหานายเลยนะ เราสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอว่าพอปิดเทอมปุ๊บจะเริ่มโปรเจคที่ตกลงร่วมมือกันปั๊บเลยนี่”

“หลังจากจบการสอบเครียดๆ มานายจะไม่ให้ฉันพักผ่อน?”

อีธานสะอึก แต่ในจังหวะต่อมาก็ทำหน้ามุ่ยพองลมเลียนแบบท่าทางที่อลันมักทำต่อหน้ามิราเคิลเป็นประจำ “จะพักก็ได้แหละ แต่อย่างน้อยก็บอกกันหน่อยสิ ฉันเพื่อนนายนะ”

“แล้วทำไมไม่โทรถาม โทรศัพท์ใช่ว่าจะไม่มีสักหน่อย”

“ก็นายไม่ยอมให้เบอร์ติดต่อกับฉันนี่!” แหวเสียงดังใส่ บัดนี้อีธานงอนตุ๊บป่องเข้าแล้วจริงๆ และแน่นอนว่าย่อมไม่มีใครง้อ

“งั้นทำไมไม่ไปขอเบอร์กับเอลวิสด้านล่างล่ะ”

ผู้ดูแลหอย่อมมีเบอร์ติดต่อกับนักเรียนในหอ อีธานยืนแข็งค้างอย่างนึกไม่ถึง

“จริงด้วย!”

หลังจากตะโกนประโยคนั้นจบถึงได้รู้ตัวว่าคนที่ตนวิ่งตามหาทั้งวันมุดเข้าห้องลงกลอนหนีเรียบร้อยแล้ว

“โธ่ว้อย!!” ชายหนุ่มยีหัวตัวเองจนฟูยุ่ง สุดท้ายจึงได้แต่เดินคอตกกลับเข้าห้องไป แล้วที่อุตส่าห์วิ่งตามหาอีกฝ่ายทั้งวันมันเพื่ออะไร

“ยังคลุ้มคลั่งไม่เปลี่ยนเลยนะครับ คนคนนั้นน่ะ” มิราเคิลรับเสื้อแจ๊คเก็ตยีนจากอลันมาใส่ในตะกร้าผ้ารอซัก อลันหัวเราะน้อยๆ ให้กับคำพูดนั้นโดยไม่คัดค้าน

“ขากลับนั่งคิดมาตลอดว่าช่างภาพดอร์ริสคล้ายใครสักคนที่ฉันรู้จักแต่นึกไม่ออก ตอนนี้ได้คำตอบแล้วละ”

“คล้ายอีธานเหรอครับ ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ความรู้สึกส่วนตัวผมคิดว่าคุณดอร์ริสน่าคบกว่าเยอะเลย”

“งั้นเหรอ แต่ฉันคิดว่าอีธานยังน่าคบกว่าอีก อย่างน้อยหมอนั่นก็ไม่มาทำรุ่มร่ามกับนาย”

“เอ๊ะ?”

ประโยคหลังอลันพูดเสียงเบาแทบไม่ได้ยินจนมิราเคิลเอียงคอสงสัย เห็นดังนั้นอลันได้แต่ยิ้มแล้วโบกมือปัดเป็นเชิงว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร

“ถ้าหากดอร์ริสไม่ใช่สกุลไทเลอร์ และอีธานไม่ใช่สกุลวอร์คเกอร์ ฉันคงคิดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน”

“เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ”



[ช่วงจิบช็อกโกแลตร้อนจุ่มปาท่องโก๋กับนักเขียน]

คุณลุง : ปล่อยพลังความน่ารัก! //ปิ้ว~~~//

อลัน : //กางโล่ป้องกันหนึ่ง//

คุณลุง : //ปิ้ว~~~//

อลัน : //กางโล่ป้องกันสอง//

คุณลุง : //ปิ้ว~~~//

อลัน : //กางโล่ป้องกันสาม//

เพล้ง! //เสียงโล่แตก//

คุณลุง : //ปิ้ว~~~//

อลัน : อุก! เอื้อ! ฝ...ฝากลูกเมียข้าด้วย

นักเขียน : ได้ข่าวว่านายไม่มีนะตัวเล็ก ตื่นก่อน!!



-----จบตอน 15


ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
โอ๊ยยความหล่อมิราเคิลกระแทกตาแมวมองได้เป็นนายแบบเลย เอาใจช่วยนะ มันต้องออกมาดีแน่ๆ รางวัลชนะเลิศเลยล่ะ 555 ชอบอ่ะ ชอบความอวดรวย อวดเก่งของอลัน 55 ทั้งฮาทั้งน่าเอ็นดู โตแล้วฮอร์โมนพลุ่งพล่าน หื่นกับหึงมิราเคิลใหญ่เลย จะเป็นยังไงต่อไปละเนี้ย รอเลยค่ะ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๑๖

คีร่า

ในถนนสายเล็กใจกลางเมืองหลวง มีร้านเสื้อผ้าที่ถูกตกแต่งด้วยโทนขาวและครีมตั้งอยู่ ดอร์ริสผลักประตูเข้าไปนำสองร่างด้านหลังให้ตามมา ทันทีที่เหยียบย่างเข้าภายในร้าน พลันเกิดเสียงตึงตังของฝีเท้าจากชั้นสองลงมาสู่ชั้นล่าง ไม่นานนักเจ้าของเสียงฝีเท้านั้นก็มาปรากฏกายเบื้องหน้าคนทั้งสามพร้อมโค้งตัวลงอย่างสุภาพ ทำราวกับท่าทีรีบร้อนก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้น

“ยินดีต้อนรับคุณลูกค้าสู่ร้าน C&D หากมีเรื่องต้องการสอบถามสามารถเรียกดิฉันได้ค่ะ ดิฉันคีร่าเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้าแห่งนี้”

“อุ๊บ! ฮ่าๆๆๆ ทำอะไรน่ะพี่ นี่ผมเองไง ผมเอง” ดอร์ริสกุมท้องหัวเราะลั่นน้ำหูน้ำตาไหล

คีร่าเงยขึ้นมอง รอยยิ้มงดงามดุจนางฟ้าในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าบึ้งตึงดุจยักษ์มารในทันใด เธอคว้าคอน้องชายมาล็อกแน่นจนเหยื่ออารมณ์ผู้น่าสงสารดิ้นทุรนทุรายจากการขาดอากาศหายใจ

“โอ๊ยๆๆ พี่ครับผมหายใจไม่ออก แค่กๆ ยอมแล้ว ผมยอมแล้ว”

“เจ้าเด็กเนรคุณ กล้าหัวเราะใส่ฉันเหรอหา เหรอหา!”

“ก็มันตลกนี่ ปกติห้าวจะตาย วันนี้นึกครึ้มอะไรมาทำตัวสุภาพใส่กัน อุ๊ก!”

จบประโยคคีร่าเพิ่มแรงรัดแน่นขึ้นอีก สุดท้ายผู้ถูกกระทำทนไม่ไหวร้องโหยหวนอ้อนวอนออกมาทันที เมื่อเล่นงานน้องชายจนหนำใจแล้วคีร่าถึงได้ยอมปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ

“จะฆ่ากันรึไง พี่บ้า” ดอร์ริสบ่นงุบงิบ แต่เมื่อได้รับสายตาข่มขู่จากคีร่าจึงรีบหุบปากฉับก้มหน้างุด

“แล้วนี่ฉันไม่ได้บอกให้นายไปพักก่อนเหรอ กลับมาทำไมอีก”

“ผมมีไฟแล้วไงถึงกลับมา ว่าแต่พี่เถอะ ท่าทางเมื่อกี้มันอะไร ทำอย่างกับมีพวกชนชั้นสูงมางั้นแหละ แล้วพนักงานคนอื่นหายไปไหนหมดกัน”

“นายสั่งของอะไรมาเยอะแยะไม่ใช่รึไง พี่เลยสั่งให้คนขนไปวางไว้ในห้องสตูนู่น”

“จริงด้วย ลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย” ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนเกาหัว

“ว่าแต่ดอร์ริส หนุ่มหล่อด้านหลังนั่นเพื่อนนายเหรอ” คีร่าพเยิดหน้าไปทางด้านหลังของน้องชาย

ดอร์ริสหันกลับไปมองตามเล็กน้อยแล้วเอ่ยแนะนำ “จะว่าเพื่อนมั้ยก็... พวกเราเพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่วันนี้เอง หนุ่มหล่อคนนี้ชื่อมิราเคิล เป็นคนจุดประกายไฟในตัวผมเอง ส่วนคนตัวเล็กชื่ออลัน เห็นน่ารักแบบนี้แต่แก่แดดน่าดูชม”

“นายว่าใครแก่แดดหา!” อลันหันไปแหวใส่ดอร์ริส

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมมิราเคิล” มิราเคิลยื่นมือไปข้างหน้า คีร่าจับทักตอบ

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ น้องชายของฉันคงไปรบกวนคุณเอาไว้มาก ขอโทษด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“แต่ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าชนชั้นสูงอย่างคุณจะยอมให้ความร่วมมือกับน้องชายติงต๊องของฉันด้วย ถือเป็นเกียรติมากเลยค่ะ”

“ชนชั้นสูง? อ้อ นั่นไม่ใช่ผมหรอกครับ” มิราเคิลยิ้มโบกมือปัด คีร่ามีสีหน้าประหลาดใจ

“เอ๊ะ แต่มีสัญญาณเตือนว่ามีชนชั้นสูงเข้ามาในร้านนี่นา ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร” เอานิ้วจับปลายคาง คิ้วขมวดราวครุ่นคิด ตอนมีสัญญาณเตือนเธอก็ไม่ได้สนใจดูหน้าค่าตาเจ้าของความสูงศักดิ์นี้เสียด้วยสิ ถ้าหากคนตรงหน้าเธอนี้ไม่ใช่ชนชั้นสูง บางทีเครื่องส่งสัญญาณเตือนของเธออาจจะเสีย ทว่าคำพูดต่อมาของมิราเคิลทำเอาเธอตกตะลึง

“เจ้าของฐานะนั้นคืออลัน ส่วนผมเป็นหุ่นยนต์ที่เขาสร้างขึ้นครับ”

“หุ่น...ยนต์” เอ่ยเสียงแผ่วออกมาทีละคำ นัยน์ตาคมสวยตวัดมองเด็กชายร่างเล็กที่กำลังโดนน้องชายของเธอดึงแก้มจนยืดแดง ทันใดนั้นเหมือนกับว่าได้มีภาพวันสิ้นโลกแล่นเข้ามาในหัว

“ไอ้-เจ้า-น้อง-บ้า! ทำอะไรของแกหา” คีร่ากระโดดถีบส่งลูกเตะเข้ากลางหลังดอร์ริส คนโดนเล่นงานกะทันหันนอนสิ้นท่าหมอบอยู่กับพื้นด้วยความจุกเจ็บ

หวังว่าหลังคงยังไม่หักหรอกนะ

“พี่นั่นแหละบ้า จู่ๆ ทำอะไรเนี่ย ถ้ากระดูกผมหักจะทำยังไง”

“หักก็เรื่องของนายสิ อย่ามาลากฉันเข้าไปในเรื่องยุ่งยากนะ รู้ไหมโทษของการรังแกชนชั้นสูงคืออะไร ติดคุกนะ ติดคุกไง!”

“หา?! อะไรของพี่เนี่ย ไม่เห็นเข้าใจเลย”

“รู้รึเปล่าว่าคนที่นายเพิ่งกระทำชำเราแก้มเขาไปเมื่อครู่เป็นชนชั้นสูงน่ะ เป็นแบบนี้แล้วจะรับผิดชอบยังไงหา” ว่าแล้วก็ชี้ไปยังอลันที่ยืนขมวดคิ้วมุ่น แก้มสองข้างตุ่ยบวมแดงออกมา

“ชนชั้นสูง? เอะ...เอ๋?! อลัน เธอเป็นชนชั้นสูงหรอกเหรอ!!”

และแล้วความวุ่นวายในร้านเสื้อผ้า C&D ก็จบลงด้วยประการฉะนี้



“ไม่อยากเชื่อเลย ตัวแค่นี้แต่สามารถเข้าเรียนใน ISA ได้แล้ว แถมยังสร้างหุ่นยนต์ได้เหมือนคนจริงขนาดนี้อีก สุดยอด!”

คีร่ายกกาแฟเสิร์ฟลงตรงหน้าอลัน ตอนนี้พวกเขาย้ายมานั่งในห้องรับแขกของสตูดิโอถ่ายภาพซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังร้านเสื้อผ้าคีร่าแอนด์ดอร์ริส อลันยกกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อยแล้ววางลง

“มิราเคิลในปัจจุบันเป็นผลงานที่ฉันสร้างร่วมกันกับเพื่อนน่ะ เพราะงั้นผลงานครึ่งหนึ่งถือเป็นของหมอนั่น”

“ไม่เห็นรู้เลยว่าคุณเป็นชนชั้นสูง ตอนเจอหน้าครั้งแรกทำไมไม่บอกพี่ชาย... อะแฮ่ม! ผมคนนี้หน่อยเล่า”

“นายไม่ได้ถาม”

คำตอบจากอลันทำเอาดอร์ริสหดหู่ เขาล่วงเกินอลันไปตั้งเยอะ หวังว่าอลันคงไม่คิดแค้นแล้วเล่นงานกลับหรอกนะ

“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่แจ้งคนมาจับนายหรอก เสียเวลา” คนตัวเล็กเอ่ยขัดความคิดแง่ลบของคู่สนทนาราวอ่านใจออก

ชายหนุ่มนั่งหูลู่หางตกในคราแรกสดใสขึ้นมาทันที ดอร์ริสผู้เปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นลากคีร่าออกไปหน้าร้านเพื่อหยิบยืมชุดบางส่วนมาใช้ในการถ่ายแบบ

มิราเคิลหันมองเด็กชายข้างกายพลางอมยิ้มเอ่ยแซว

“อลันเนี่ยกับคนอื่นปากร้ายแต่ใจดีสินะครับ” พออยู่ต่อหน้าเขาละขี้อ้อนซะไม่มี

“ตั้งแต่แรกฉันไม่ได้อยากมีฐานะเป็นชนชั้นสูงอะไรนี่อยู่แล้ว ทั้งหมดเพราะการสอบเข้าโรงเรียน ISA ได้ล้วนๆ นายดูท่าทางแต่ละคนที่ปฏิบัติตอนรู้ว่าฉันเป็นชนชั้นสูงสิ น่าอึดอัดตายชัก”

ถึงปากบอกแบบนั้น แต่จากเหตุการณ์หลายอย่างที่ผ่านมา ทำให้มิราเคิลรู้ว่าอลันเองก็รู้จักเสพสุขกับฐานะนี้เช่นกัน

ไม่นานนักคีร่ากับดอร์ริสก็เข้ามาพร้อมหอบเสื้อกองหนึ่งมาด้วย เสื้อผ้าในกองนั้นมีสีสันหลากหลายละลานตา บางตัวก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับตัวที่ดอร์ริสสวมอยู่ มิราเคิลลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย คงไม่ใช่ว่าจะเอาเสื้อผ้าหน้าตาประหลาดพวกนั้นมาให้เขาใส่หรอกใช่ไหม

“ที่เห็นอยู่นี่เป็นพี่คีร่าออกแบบเองทั้งหมด สวยใช่ไหมล่ะ” ดอร์ริสถูจมูก ยิ้มอย่างภาคภูมิ

คีร่าจัดแยกชุดบางส่วนยื่นให้มิราเคิล “ถ้าร้านฉันมีหนุ่มหล่อแบบนายมาเป็นแบบให้ รับรองว่าต้องขายดีขึ้นอีกเป็นกอง”

เมื่อนายแบบชั่วคราวรับชุดเข้าไปเปลี่ยนในห้องเปลี่ยนเสื้อแล้ว ดอร์ริสก็เริ่มจัดฉาก ไฟ และอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อมสำหรับการถ่ายภาพ เพราะมิราเคิลไม่เคยถ่ายแบบมาก่อนจึงต้องอุ่นเครื่องกันด้วยวิธีนี้เพื่อดูพื้นฐาน จากปากคำของคนตัวเล็กสุดในที่นี้เคยกล่าวกับเขาว่ามิราเคิลเป็นหุ่นยนต์ที่สามารถพัฒนาตัวเองได้ นั่นจึงไม่น่าเป็นห่วงนักว่ามิราเคิลจะกลายเป็นแค่ไม้แขวนเสื้อดาดๆ ทั่วไป

พอจัดเตรียมแสงไฟได้ครึ่งทางมิราเคิลก็ออกมาจากห้องลองเสื้อ เสื้อขนสัตว์สีดำแซมชมพูแสดเป็นลวดลายไร้กระดุมเปิดเปลือยแผ่นอกและหน้าท้อง ดวงตาเจ้าชู้แพรวพราวขับเน้นเสน่ห์ยามราตรีของวัยรุ่นออกมาได้เป็นอย่างดี กลิ่นอายร้ายกาจแผ่กำจายสะกดให้ผู้พบเห็นใจเต้นรัวลืมหายใจกันไปตามกัน

เสื้อผ้าชุดนี้เป็นโทนสีหม่นเข้มตัดสีสันสดใสแสดงความเป็นวัยรุ่นแบดบอยออกมาได้เต็มที่ ดอร์ริสหน้าแดงก่ำหัวใจกระหน่ำรัว ความร้ายกาจและทรงอำนาจที่สัมผัสได้ทำให้เขารู้สึกอยากแปลงกายเป็นเบาะรองเท้าของอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน ใครจะคิดว่าพอชุดนี้มาอยู่บนตัวผู้ชายคนนี้แล้วจะให้ผลลัพธ์เกินคาดแบบนี้

“มาแล้ว อารมณ์นี้นี่แหละมาแล้ว สุดยอดไปเลยคุณมิราเคิล!” พอคว้ากล้องได้ก็สาดแสงแฟลชใส่มิราเคิลไม่ยั้ง สุดท้ายความกระตือรือร้นนั้นถูกหยุดโดยกำปั้นของคีร่า ไฟโชติช่วงลุงโหมมอดดับลงทันที ดอร์ริสกุมหัวที่ถูกเขกอย่างแรงทรุดลงนั่งกับพื้น

“ใจเย็นน้องชาย คุณหนูอลันกับมิราเคิลตกใจหมดแล้วเห็นมั้ย ไปจัดแสงจัดฉากอะไรให้เรียบร้อยก่อนไป”

“คร้าบ~” ตอบรับเสียงอ่อยแล้วเดินไปทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

“เสื้อผ้าทั้งหมดในร้านนี้ คีร่าเป็นคนออกแบบหมดเลยเหรอ” อลันจับจูงมิราเคิลให้มานั่งบนโซฟารับแขก คีร่าที่ถูกถามเช่นนั้นจึงหย่อนกายลงนั่งฝั่งตรงข้าม

“ใช่แล้วละ ส่วนใหญ่เน้นเสื้อผ้าวัยรุ่นน่ะ แต่เสื้อผ้าแนวอื่นก็มีนะ”

“ขายดีรึเปล่า”

“แน่นอนซี่ ขายดีระดับหนึ่งเลยทีเดียว ถึงไม่ใช่แบรนด์หรูชั้นนำ แต่ร้านของฉันก็เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นพอสมควรนะ อย่าดูดอร์ริสเป็นแบบอย่างเชียว เจ้าบ้านั่นชอบเอาชุดในร้านไปมิกซ์แอนด์แมทช์ตามใจชอบ เห็นเป็นช่างภาพมืออาชีพแบบนั้นแต่ความจริงแล้วไร้ซึ่งเซนต์ในการแต่งตัวสิ้นดี”

“แล้วเธอก็ยอมปล่อยให้หมอนั่นแต่งตัวเหมือนคนบ้าเดินไปทั่วน่ะเหรอ ไม่ห้ามหน่อยรึไง”

“นี่ นินทาอะไรกันทางนี้ได้ยินนะ น้องชาย แต่งตัวแบบพี่ชายแล้วมันทำไม ต้องใส่เสื้อเยอะๆ หลายๆ แบบสิคนจะได้สนใจมอง ถือเป็นการโปรโมทเสื้อผ้าในร้านไปในตัวไง” ดอร์ริสแหวเสียงดัง แต่มือยังไม่ละไปจากงานที่ทำ

อลันเอนตัวไปกระซิบถามคีร่า “แล้วมันได้ผลรึเปล่า”

คีร่าส่ายหัวกระซิบตอบ “ตอนแรกฉันก็ห้ามนั่นแหละ ทั้งทุบทั้งตี แต่พอดอร์ริสพูดแบบนั้นกับฉันทั้งน้ำตาเลยใจอ่อน สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย”

หลังจากเตรียมการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย มิราเคิลเดินเข้าไปในฉากด้วยท่าทางแข็งเกร็ง ความมั่นใจในยามปกติลดลงเหลือศูนย์ ดอร์ริสยกกล้องขึ้นถ่ายได้เพียงสองสามภาพก็ต้องวางลง

“คุณมิราเคิลผ่อนคลายลงหน่อยครับ ผมไม่ได้จะส่งคุณไปรบทัพจับศึกที่ไหน นี่แค่กล้องธรรมดาเอง เพราะงั้นเลิกทำหน้าเหมือนผมกำลังเอาปืนจ่อยิงคุณได้แล้ว”

มิราเคิลคิดว่าถ้าดอร์ริสเอาปืนมาจ่อยิงจริงๆ เขาคงไม่เกร็งเท่านี้ ไม่เพียงเท่านั้นยังจะหาวิธีปลดอาวุธในมือดอร์ริสอีกด้วย เสียดายก็แต่สิ่งที่อยู่ในมือดอร์ริสเป็นกล้องธรรมดาอย่างที่ว่ามาจริง เขาซึ่งทั้งชีวิตมีรูปถ่ายเฉพาะรูปทางการในหน่วยงานทหารจึงจนปัญญาจะจัดการ

ถ่ายรูปสำหรับมิราเคิลคืออะไร? ไม่ใช่แค่ทำหน้าเคร่งขรึมเพื่อติดบัตรหรอกเหรอ แล้วการยืนอกผายไหล่ผึ่งแบบนี้ไม่ดีตรงไหน ลูกผู้ชายต้ององอาจห้าวหาญและมีความน่าเคารพยำเกรงสิ

ดอร์ริสเข้าไปจัดท่าทางมิราเคิลให้เข้าที่อยู่หลายรอบ กระนั้นก็ยังไม่ได้ดังใจหวัง ไฟเร่าร้อนต่องานในตอนแรกเริ่มมอดสนิทไม่มีเหลือ

นี่มันแย่ยิ่งกว่าที่คิดไว้ซะอีก เห็นทีแม้แต่ไม้แขวนเสื้อธรรมดายังเป็นไม่ได้เลย

“น้องชายที่รัก แน่ใจนะว่าหุ่นยนต์นายสามารถวิวัฒนาการได้เองน่ะ” ลูบหน้าลูบตาอย่างเหนื่อยอ่อน หัวตาร้อนผ่าวจนอยากร้องไห้

อลันนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “แน่นอนสิ แต่มิราเคิลของฉันก็มีสิ่งที่ถนัดกับไม่ถนัดเหมือนกันนะ เขาได้บอกนายก่อนหน้าแล้วนี่ว่าไม่เก่งเรื่องนี้น่ะ เป็นนายเองต่างหากที่คะยั้นคะยอจะเอามิราเคิลมาเป็นแบบให้ได้ เพราะงั้นจงหุบปากแล้วรับกรรมไปซะ หรือไม่ก็ยกเลิกสัญญาไปเลยเป็นไง”

คำพูดอลันยิ่งตอกย้ำซ้ำเติมความรู้สึกผิดพลาดของดอร์ริสให้สลักแน่นจมลึก ดอร์ริสพาร่างกายและจิตใจอันบอบช้ำจากคำพูดเชือดเฉือนนั้นนั่งลงบนโซฟา เขากล่าวให้มิราเคิลออกมาพักปรับอารมณ์ครู่หนึ่งแล้วค่อยลุยงานต่อ

“ยากจังนะครับ ถ่ายแบบเนี่ย” มิราเคิลเกาหัวแกรกกรากจนผมที่เซตมาอย่างดีฟูยุ่ง “อ๊ะ เสียทรงซะแล้ว”

คีร่าเป็นคนแต่งหน้าและจัดแต่งทรงผมให้กับเขา ตั้งแต่ดอร์ริสเริ่มลงมือถ่ายภาพเธอก็ปลีกตัวไปดูแลร้านพร้อมกับพนักงานคนอื่นแล้ว หากไปรบกวนเธออีกเขาแอบรู้สึกผิด

“เหนื่อยไหม” คนตัวเล็กแตะมือลงบนกลุ่มผมนุ่ม มืออีกข้างถือเจลแต่งผมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ดวงตากลมโตฉายแววเป็นห่วงเป็นใย ไม่นานนักทรงผมของมิราเคิลก็กลับเข้าที่ดังเดิม

“ไม่เหนื่อยหรอกครับ ฝ่ายที่เหนื่อยคงเป็นคุณดอร์ริสมากกว่า”

“หมอนั่นเหนื่อยก็ช่างเถอะ ไม่เห็นต้องไปใส่ใจเลย”

“นี่พวกคุณ ผมให้นั่งพักปรับอารมณ์นะ ไม่ใช่ให้นินทาคนอื่นเขา” ดอร์ริสรู้สึกไม่เป็นธรรม คนพวกนี้เอะอะอะไรก็นั่งนินทาชาวบ้าน นินทาธรรมดาไม่พอยังนินทาในระยะเผาขนอีก

ช่วยเกรงใจกันหน่อยได้ไหม?! สมบัติผู้ดีน่ะมีบ้างรึเปล่า?!

“นายไม่รู้เหรอว่าการนินทาคนอื่นสามารถช่วยผ่อนคลายได้เหมือนกันน่ะ”

โดนตอกกลับจนอับจนคำพูด สุดท้ายเป็นฝ่ายยกมือยอมจำนน คนคูลอย่างเขาไม่มีเวลามาเถียงกับเด็กหรอกนะ สิ่งที่เขาต้องคิดในตอนนี้คือจะทำอย่างไรให้หุ่นไล่กาแข็งทื่อนี่กลายเป็นหุ่นลองเสื้อทั่วไปได้กัน

ครั้งนี้คีร่าได้จัดชุดสำหรับถ่ายแบบออกเป็นห้าชุด พอลองค้นดูแล้วมีชุดหนึ่งเป็นเสื้อผ้าแบบทั่วไป เรียบๆ ไม่หวือหวา ดูแล้วคล้ายชุดที่เคยเจอกับมิราเคิลเมื่อยามแรกพบครั้งนั้น แน่นอนว่าถึงจะมีน้อยชิ้นและไม่ใช่ชุดที่มีลูกเล่นอะไร แต่พอใส่ออกมาแล้วเท่ไม่หยอก ดอร์ริสตัดสินใจยื่นเสื้อชุดนั้นไปให้มิราเคิลเปลี่ยนอีกครั้ง บางทีการเปลี่ยนลุคให้ใกล้เคียงกับตัวตนของเจ้าตัวมากที่สุดอาจเป็นไอเดียที่ดีก็ได้

“แต่งตัวเสร็จแล้วมานั่งตรงนี้เลยครับ ผมจะแต่งผมใหม่ให้”

“คุณทำเป็นด้วยเหรอ” มิราเคิลทำหน้าประหลาดใจ

ดอร์ริสเชิดหน้ายืดอก “ถึงจะไม่เก่งเท่าพี่คีร่า แต่อย่าดูถูกกันเชียว”

เป็นอย่างที่กล่าวไว้ ฝีมือแต่งหน้าทำผมของดอร์ริสไม่สามารถดูถูกได้ หากเจ้าตัวมีรสนิยมการแต่งกายอีกสักนิดคงเป็นผู้ชายที่ดูน่าคบหาคนหนึ่ง ความจริงเสื้อผ้าที่คีร่าออกแบบพอมองดูดีๆ แล้วค่อนข้างสวยงาม แต่พอคนตรงหน้าหยิบใส่กลับกลายเป็นแฟชั่นสุดแสนจะประหลาดและพิลึกแทน

แม้จะเปลี่ยนลุคมิราเคิลกลับไปให้ใกล้เคียงกับตัวตนเดิมแล้วก็ยังไม่ได้ภาพที่ดอร์ริสต้องการ มิราเคิลยังมัวแต่ยืนหน้านิ่งราวกับกำลังถ่ายบัตรประชาชน ทั้งที่ปกติเห็นเป็นคนยิ้มง่ายยิ้มเก่ง แต่พอบอกให้ยิ้มใส่กล้องดันกลายเป็นรอยยิ้มที่โคตรจะน่ากลัวอีก ช่างภาพมืออาชีพอย่างเขาหมดหนทางเยียวยาหุ่นยนต์ตัวนี้แล้วจริงๆ

อลันมองสองคนตรงหน้านิ่ง เก็บมือถือในมือลงกระเป๋ากางเกง ในที่สุดก็ตัดสินใจช่วยเหลือดอร์ริส หวังให้การถ่ายแบบวันนี้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด

นอกจากการนอนหนุนตักมิราเคิลดูทีวีพลางกินขนมไปพลางแล้ว ยังจะมีอะไรสุขีไปกว่านี้อีกเล่า

“มิราเคิล ก้มลงหน่อย” อลันกระตุกแขนเสื้อด้วยปลายนิ้ว ดวงตากลมจ้องสบกับเจ้าของนามที่เพิ่งเอ่ยเรียก จากนั้นทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดเข้าโถมกอด ริมฝีปากหยักแย้มรอยยิ้มเจิดจ้าจนใครเห็นต่างต้องเบือนหนี เพราะไม่อาจมองตรงๆ ได้

แม้ไม่รู้ว่าอลันต้องการอะไรแต่มิราเคิลก็ยิ้มตอบ เห็นดังนั้นดอร์ริสเบิกตากว้างเผลอกดถ่ายภาพอัตโนมัติ

“แบบนั้นแหละ แบบนั้น ผมต้องการความรู้สึกแบบนั้นเลย!” ดอร์ริสตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ ในที่สุดคนตรงหน้าก็ทำสีหน้าแบบอื่นได้สักที มิราเคิลผงะตกใจเผลอเซถอยไปหนึ่งก้าว “คราวนี้คุณลองยืนอยู่ในฉากคนเดียวแล้วจำความรู้สึกเมื่อกี้เอาไว้นะ”

“แค่นี้เองเหรอครับ”

“แค่นี้นั่นแหละครับ ส่วนท่าโพสต์อื่นเดี๋ยวผมค่อยกำกับให้คุณทีหลัง ผมไม่หวังความเป็นมืออาชีพจากคุณหรอก”

หลังจากมิราเคิลเริ่มยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติ ร่างกายที่แข็งเกร็งมาทั้งวันก็ผ่อนคลายลง นอกจากจะง่ายต่อดอร์ริสในการช่วยจัดท่าโพสต์ของมิราเคิลให้เข้าที่เข้าทางแล้ว ยังทำให้การถ่ายภาพเป็นไปอย่างราบรื่นแทบไม่มีสะดุดอีกด้วย

ชุดสองผ่านไปดอร์ริสให้มิราเคิลกลับไปใส่ชุดขนสัตว์ในตอนแรกเริ่ม คราวนี้เขาขอให้มิราเคิลยกยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ อันตราย และซุกซน แต่สิ่งที่ได้...

“มิราเคิล คุณยิ้มน่ากลัวเกินไปแล้วครับ!” หากมีเลือดเปื้อนอีกนิดและในมือถือมีดอีกหน่อย ดอร์ริสคิดว่าหุ่นยนต์ตรงหน้าในอดีตต้องเคยเป็นเครื่องจักรสังหารมาก่อนแน่

อลันมองแล้วถอนหายใจ หยิบมือถือขึ้นมากดเล่นเกมต่อ ดูท่าแล้ววันนี้กว่าจะได้กลับหอคงอีกยาวนาน




---------------จบตอนที่ 16



ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๑๗

ความคิดของอัจฉริยะ

หลังการถ่ายแบบวันแรกผ่านไป มิราเคิลเซื่องซึมลงเพราะรู้ตัวว่าทำได้ไม่ดี แม้ไม่แสดงออกเด่นชัดแต่อลันกลับสัมผัสได้ คนตัวเล็กทนเห็นมิราเคิลอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้ จึงหาซื้อนิตยสารอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับแฟชั่นมาให้ศึกษา

อดีตทหารผ่านศึกจากยุคสงครามไม่เก่งเรื่องเทคโนโลยีมากนัก พออลันสอนให้เขาก็ตั้งใจศึกษาจนเริ่มใช้เป็น และกว่านักเรียนผู้โง่เขลาจะเข้าใจ ต้องอาศัยความอดทนและความใจเย็นของอาจารย์ผู้สอนมากพอควร

ไหนลองเอาปืนมาวางในมือเขาซิ สอนนาทีเดียวก็ใช้เป็นแล้วหรอก

“พอเข้าใจไหม”

มิราเคิลพยักหน้าลอบมองผู้พูดเล็กน้อย เมื่อไม่เห็นสีหน้าหงุดหงิดหรือเหนื่อยหน่ายใจปรากฏ ร่างกายที่เครียดเกร็งมานานจึงผ่อนคลายลง หวังว่าอลันจะไม่รำคาญคนสมองทึบอย่างเขาไปซะก่อน

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อลันนั่งอยู่บนตักมิราเคิล ดูเหมือนท่าทางเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับพวกเขาเสียแล้ว

ทว่าออดหน้าประตูดังขัดบรรยากาศที่มีแต่เราสอง เรียกร้องความสนใจคนในห้องให้หันมอง อลันถอนหายใจหนักลุกเดินไปต้อนรับบุคคลใหม่ผู้มาเยือน ประตูเปิดพบเป็นอีธานยืดอกเท้าเอวจังก้าด้านหน้าห้อง

เด็กชายชักสีหน้าใส่ทันทีที่เห็นฝ่ายตรงข้าม เผยความเคืองขุ่นใจออกมาชัดเจนไม่ปกปิด

“มีอะไร” ถามเสียงสั้นห้วนราวขับไล่ แต่คู่สนทนากลับไม่คิดนำมาใส่ใจ

อีธานถูจมูกหัวเราะร่าอารมณ์ดี ก่อนเอ่ยราวกับสิ่งที่พูดไปนั้นน่าภาคภูมิใจเป็นหนักหนา “เจ้าตัวเล็กเอ๋ย วันนี้นายว่างใช่ไหมล่ะ ฉันอุตส่าห์ตื่นมาเฝ้าหน้าห้องนายตั้งแต่ตีห้าเชียวนะ ตอนนี้สิบเอ็ดโมงแล้ว ถ้านายไม่ไปไหนก็มาทำโพรเจกต์ที่เราตกลงร่วมมือกันไว้ซะโดยดี วันนี้ฉันไม่ยอมให้นายเบี้ยวแล้ว!”

มิราเคิลที่เดินตามหลังมาขมวดคิ้วให้กับคำพูดนั้น เขาเดินขึ้นหน้ากางแขนข้างหนึ่งกั้นหมายแยกคนทั้งคู่ให้ออกห่างจากกัน

“ช่วงนี้คุณมีงานอดิเรกเล่นเป็นสตอล์กเกอร์งั้นเหรอครับ น่าสนใจดีนี่” ดวงตาเจ้าชู้หรี่ลง ส่งรังสีอำมหิตไปให้ฝ่ายตรงข้าม อีธานสะดุ้งโหยงผงะตัวถอยหลังไปสองก้าว รสชาติกำปั้นเหล็กของหุ่นยนต์ตรงหน้านั้นเขายังจำได้ดีไม่มีลืม

“อะไรเล่า อย่าเข้ามาใกล้นะ ฉันแค่มาทวงสัญญาจากเจ้าตัวเล็กเฉยๆ หรอก นี่ก็เบี้ยวกันมานานแล้วด้วย คนอุตส่าห์ลัดคิวช่วยสร้างนายจนเสร็จก่อนแท้ๆ”

“เข้าใจแล้ว งั้นวันนี้ไปคุยงานกัน มิราเคิลนายรออยู่นี่นะ” อลันแตะแขนมิราเคิลก่อนเดินตามอีธานเข้าห้องถัดไป

เมื่อคิดถึงสิ่งมอมเมาราคะในห้องนั้น มิราเคิลได้แต่กำหมัดแน่น พยายามระงับหักห้ามใจไม่ให้บุกไปเผาทำลายสื่อลามกทั้งหมดทิ้งจนสิ้นซาก เขาต้องยอมรับความจริง เด็กน้อยของเขาไม่ใสบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว



ภายในห้อง 504 อันเป็นที่อยู่อาศัยของอีธาน ผ้าม่านปิดสนิทป้องกันแสงแดดร้อนแรงสาดส่องเข้ามาภายใน ตู้เรียงรายเป็นระเบียบมีผ้าม่านขนาดเล็กคลุมทับไว้อีกชั้น ช่างดูน่าอึดอัดและไม่น่าไว้วางใจ... แต่อลันรู้ดีว่าข้างในซุกซ่อนสิ่งใดเอาไว้

ห้องของอีธานยังดูสะอาดสะอ้านเหมือนทุกครั้งที่อลันเหยียบย่างเข้ามา ทว่ากลิ่นคาวอันคุ้นเคยลอยอบอวลอยู่ ณ ขณะนี้ทำให้ผู้มาใหม่ต้องขมวดคิ้วลง

อลันเฉียดผ่านถังขยะหลุบมองทิชชูกองหนึ่งอัดแน่นอยู่ภายใน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสิ่งนั้นเคยใช้เช็ดทำความสะอาดอะไรมาก่อน มุมปากอลันกระตุกขึ้นข้างหนึ่งแสดงท่าทีรังเกียจออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

“นี่ ไม่คิดจะเปิดหน้าต่างหน่อยเหรอ กลัวคนไม่รู้รึไงว่าเมื่อคืนนั่งทำเรื่องสัปดนอะไรไว้”

คนถูกพูดแทงใจสะดุ้งเล็กน้อยแล้วยกมือเกาหัว จากนั้นจึงเปิดหน้าต่างระบายกลิ่นออกไปอย่างว่าง่าย แต่ไม่วายบ่นแถมท้ายถึงความจู้จี้จุกจิกของคนตัวเล็กข้างกาย

“เป็นผู้ชายซะเปล่าเรื่องแค่นี้ก็หยวนๆ กันหน่อยเถอะน่า นายไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อยนี่”

“อย่ามาเถียงนะ ถ้ายังอยากให้ฉันอยู่ในห้องต่อก็หุบปากไป”

“คร้าบ ครับ” อีธานยกมือยอมแพ้ แต่แน่นอนว่าคนชอบแหกปากอย่างเขาไม่มีทางยอมหุบปากลงง่ายๆ แน่ “เอาละ เข้าห้องทำงานกันเลยไหม คราวก่อนเราคุยค้างถึงเรื่องระบบภายในกันใช่ป่ะ ฉันไปคิดมาแล้วนะ ถ้าให้เป็นแบบ...”

เสียงพูดคุยของคนทั้งสองค่อยๆ หายลับเข้าไปหลังบานประตู สีหน้าอลันแปรเปลี่ยนจากเฉื่อยชามาจริงจังเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับงาน

ถึงที่ผ่านมาอลันไม่ได้แวะเวียนมาหาอีธานบ่อยนัก แต่เขาก็ยังไม่ลืมเรื่องโพรเจกต์ร่วมที่อีธานเป็นฝ่ายชักชวน เขาใช้เวลาว่างลองเขียนโปรแกรมรับคำสั่งสำหรับเซ็กส์ดอลล์พื้นฐานหลากหลายรูปแบบ และลองออกแบบโครงร่างภายในคร่าวๆ ไว้แล้ว เหลือเพียงการพูดคุยเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปรับเปลี่ยนประสิทธิภาพการทำงานให้ตรงตามความต้องการของอีธานจนเป็นรูปเป็นร่าง จากนั้นค่อยลงมือทำจริงแล้วทดสอบต่อไปในภายหลัง

แค่พูดดูเหมือนง่าย แต่งานนี้สำหรับอลันแล้วถือเป็นงานหินชิ้นยักษ์งานหนึ่ง การเขียนโปรแกรมและออกแบบระบบภายในแบบใหม่ขึ้นมาไม่ใช่เรื่องที่จะทำเสร็จในเวลาอันสั้น ยิ่งตัวคนเดียวไร้ผู้ช่วย งานจึงยิ่งช้าขึ้นไปอีก อีธานอาจช่วยอลันได้บางอย่างแต่ก็ไม่ทั้งหมด

สิ่งที่อีธานถนัดคือการพัฒนาชั้นผิวเทียม ล่าสุดเพื่อไล่ตามความใฝ่ฝันของตัวเองจึงศึกษาเรื่องการสร้างผิวสังเคราะห์ให้ใกล้เคียงผิวสัมผัสของมนุษย์มากที่สุด

และค่าใช้จ่ายทั้งหมดในโครงการนี้มีอลันเป็นนายทุน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โรงเรียน ISA มีสิทธิ์ในรายได้ 70% หลังผลงานวางจำหน่ายสู่ท้องตลาดตามข้อตกลงที่กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น พวกเขาจึงแอบทำกันอย่างลับๆ และหลีกเลี่ยงการใช้ทรัพยากรของโรงเรียนให้มากที่สุด

หนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบความคืบหน้าของผลงานจากทางโรงเรียน สองอายุของอลันในทางกฎหมายแล้วยังไม่บรรลุนิติภาวะ หากเรื่องหลุดไปถึงหูคนภายนอกเมื่อไหร่ อีธานซึ่งเป็นโต้โผในครั้งนี้อาจถูกแจ้งดำเนินคดีตามกฎหมายก็เป็นได้

แสงแดดแรงกล้ายามเที่ยงวันแผ่วลงในตอนเย็น รู้ตัวอีกทีกลายเป็นเวลาห้าโมงเย็นเสียแล้ว เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าเรียกความสนใจจากอลันให้หยิบอุปกรณ์สื่อสารขึ้นดู ดวงตาสีฟ้ากวาดมองผ่านหนึ่งรอบส่อแววความเหนื่อยล้า

“ตัวเล็ก มีอะไรเหรอ”

“อาจารย์ดาวเหนือส่งเมลมาบอกว่าฉันได้รับเลือกให้เข้าแข่งขันกิจกรรมกระชับมิตรระหว่างโรงเรียนน่ะสิ”

“นั่นยอดไปเลยนี่ ฉันยังไม่เคยได้รับเลือกเลยสักครั้ง แต่แทนที่จะบอกว่าเป็นการแข่งกระชับมิตร ควรเรียกว่าเป็นการเปิดศึกระหว่างโรงเรียนมากกว่า”

อลันถอนหายใจเก็บมือถือกลับลงที่เดิม “ยุ่งยากตายชัก เทอมนี้อุตส่าห์สอบได้คะแนนต่ำกว่าปกติแล้วทั้งที ทำไมยังเลือกฉันอยู่นะ”

“ปกตินายสอบได้ที่หนึ่งของชั้นตลอดนี่ คะแนนตกเทอมเดียวเพราะโดดเรียนคงไม่มีผลอะไรมากนักหรอกมั้ง”

“วันหลังอย่าพูดถ้านายไม่แน่ใจ โดยเฉพาะคำหลังน่ะ ฟังแล้วหงุดหงิดชะมัด”

อีธานหัวเราะขำ “เอาน่ะ เทอมที่ผ่านมาผลการเรียนของนายย่ำแย่ กระทบถึงการให้ทุนเรียนต่อด้วย ถือซะว่าใช้โอกาสนี้เป็นการพิสูจน์ตัวเลยเป็นไง”

“ทุน? ไม่ได้อยากได้สักหน่อย ต่อให้ไม่มีทุนฉันก็มีปัญญาจ่ายค่าเทอมตัวเองอยู่แล้ว”

“คำพูดนายนี่มัน...” อีธานจิ๊ปากขัดใจ “อย่าไปพูดให้คนอื่นได้ยินเชียว น่าหมั่นไส้ ฉันละสงสัยจริงว่านายอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ได้ยังไง ปากแบบนี้น่าจับสั่งสอนซะให้เข็ด”

ไม่พูดเปล่ายังบีบปากเล็กๆ นั้นจนยื่นยาว ผู้ถูกรังแกสะบัดหน้าหนีสัมผัส อีธานไม่ได้ตามไปกลั่นแกล้งต่อแต่บอกให้อลันกลับห้องไปพักผ่อน

พอพูดถึงเรื่องทุนแล้วทำอีธานหดหู่ใจ การจะได้ทุนเรียน ISA นั้นมีเงื่อนไขว่าจะต้องสอบเข้าให้ได้อันดับหนึ่ง และรักษาผลการสอบภายในหลังจากนั้นให้อยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมเท่านั้น ถึงเทอมล่าสุดอลันจะสอบได้คะแนนต่ำลงกว่าเดิม แต่ก็ยังจัดอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมจึงได้รับทุนการศึกษาต่อไป

ส่วนตัวเขามาจากครอบครัวฐานะไม่ได้ดีอะไร ตอนนี้อาศัยกู้เงินเรียนจนเป็นหนี้หัวโต พอเห็นคนที่ครอบครัวร่ำรวยทั้งยศศักดิ์และเงินทองอย่างอลันได้รับทุนการศึกษา ทั้งที่สิ่งนั้นไม่มีความจำเป็นกับเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย จึงอดรู้สึกอิจฉาลึกๆ ในใจไม่ได้ แน่นอนว่านักเรียนใน ISA มีหลายคนมาจากครอบครัวยากจนเหมือนดั่งเช่นเขา หากคำพูดเมื่อกี้ของอลันพูดแค่กับเขาซึ่งเป็นเพื่อนเท่านั้นก็ดีไป แต่หากนำไปพูดกับผู้อื่นอาจทำให้โดนรังเกียจจนสร้างศัตรูเอาได้

ยังไงอลันก็เป็นแค่เด็กอายุเพียงสิบห้าปี คำพูดคำจาจึงโผงผางตามวัย เรื่องนี้อีธานยังพอเข้าใจ ทว่ากับผู้อื่นที่ไม่ได้มีความสนิทสนมกับอลันเป็นพิเศษนั้นย่อมไม่ใช่ อีธานตั้งมั่นในใจว่าถ้ามีโอกาสจะจับคนตัวเล็กมาสั่งสอนทั้งเรื่องคำพูดคำจาและมารยาท ในฐานะผู้มีประสบการณ์ผ่านโลกมามากกว่าอย่างแน่นอน

คนที่ถูกหมายหัวจับเข้าคอร์สฝึกอบรมมารยาทไม่รู้เรื่องรู้ราว พอเปิดประตูเข้าห้องได้กลิ่นอาหารก็ลอยมาเตะจมูก วินาทีต่อมากระเพาะอันน้อยส่งเสียงโครกครากประท้วงร้องเตือน อลันเอามือกุมท้อง ตอนนั้นเองเขาถึงได้รู้สึกตัวว่าตัวเองหิวมาก

พอได้ทำงานแล้วอลันมักเป็นแบบนี้ทุกที ลืมวันเวลา ลืมแม้กระทั่งความต้องการพื้นฐานของร่างกาย หากไม่มีใครคอยเตือนสติ เขาก็คงจดจ่อกับงานอยู่อย่างนั้น

ควันจากหม้อต้มพวยพุ่ง เครื่องดูดอากาศยังทำหน้าที่ได้อย่างดี มิราเคิลสาละวนอยู่กับการหั่นมันฝรั่งเป็นชิ้นๆ โดยไม่รู้เลยว่าในห้องครัวยามนี้มีคนเพิ่มมาใหม่อีกหนึ่งคน

“วันนี้มีอะไรกินเหรอ”

กระทั่งได้ยินเสียงทักด้านหลังมิราเคิลถึงได้สะดุ้งสุดตัวหันกลับไปมอง ใบหน้านั้นดูตกใจมาก เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงเมื่อครู่เป็นใครมือที่กำมีดแน่นจึงคลายลง

อลันอมยิ้มขำ

“ตกใจหมดเลยครับ มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“เมื่อกี้น่ะ” อลันหย่อนกายลงนั่ง สายตาไล่สำรวจมิราเคิลในชุดผ้ากันเปื้อนตั้งแต่หัวจรดเท้า ฝ่ามือยกขึ้นปกปิดรอยยิ้มร้ายไม่ให้มีผู้ใดมอง

แม่ศรีเรือน... แม่ศรีเรือนของเขาดีที่สุดเลย แล้วจะยิ่งดีกว่านี้หากมิราเคิลใส่แค่ผ้ากันเปื้อนผืนเดียวเดินไปมาละก็นะ

คิดเช่นนั้นใจที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันคล้ายพองฟู คืนนี้อลันมีลางสังหรณ์ว่าต้องฝันดีเป็นแน่แท้



ทั้งที่ยังอยู่ในช่วงปิดเทอม แต่เช้านี้อลันกลับต้องใส่ชุดนักเรียนไปโรงเรียนโดยไม่อาจเลี่ยง อาจารย์ดาวเหนือเรียกประชุมนักเรียนทุกคณะทุกสาขาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมกระชับมิตรระหว่างโรงเรียน ณ หอประชุมเล็ก มิราเคิลจัดแต่งเนกไทอลันให้เข้าที่ก่อนมายืนส่งหน้าประตู

“วันนี้ไม่ให้ผมตามไปจริงๆ เหรอครับ” หุ่นยนต์หนุ่มขมวดคิ้ว เผยสีหน้าห่วงกังวล

อลันส่ายหัวพลางกล่าว “แค่อยากเปลี่ยนอารมณ์น่ะ ไหน~ สามีจะออกไปทำงานแล้วภรรยาที่ดีควรทำยังไง”

“ภ...ภรรยา...” มิราเคิลพูดเสียงอ่อย จู่ๆ ทำไมอลันถึงทำเหมือนอยากเล่นพ่อแม่ลูกขึ้นมากะทันหัน ว่าแต่เด็กวัยนี้สมัยนี้ยังเล่นแบบนี้กันอยู่อีกเหรอ มันแปลกเกินไปแล้ว หวังว่าเมื่อวานคงไม่โดนอีธานล้างสมองอะไรมาอีกหรอกนะ!

“คือพอเห็นนายเมื่อวานแล้วฉันนึกถึงการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านได้น่ะ” อลันช้อนตาขึ้นมองด้วยท่าทางเขินอาย ตัวเล็กกว่าก็มีประโยชน์ที่ตรงนี้ เวลาออดอ้อนท่าไหนอย่างไรก็ดูน่ารักไปหมด

ฝ่ามืออ่อนโยนโปะลงบนหัว ลูบโดยระมัดระวังไม่ให้ผมที่คนตัวเล็กจัดแต่งมาอย่างดีเสียทรง

อลันหลับตาพริ้มรับสัมผัส เพื่อไม่ให้มิราเคิลรู้สึกตะขิดตะขวงใจในภายหลัง จึงอ้างเหตุผลใส่เพิ่มเข้าไปอีก

“มันเป็นการ์ตูนที่เคยอ่านนานแล้ว ตอนเย็นสามีกลับจากทำงานเจอภรรยาเตรียมกับข้าวไว้ให้ แล้วพอตอนเช้า ภรรยาจะจูบสามีเพื่อให้กำลังใจก่อนออกไปทำงานด้วยแหละ”

ฟังดูเป็นเรื่องราวความรักกุ๊กกิ๊กของสองสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่ ทว่ารายละเอียดอื่นๆ อลันเลือกละไว้ไม่พูดถึง

ความจริงของเนื้อหานั้นคือสามีกลับจากที่ทำงาน เจอภรรยาเปลือยในชุดผ้ากันเปื้อนตัวเดียวออกมาต้อนรับ จากนั้นทั้งคู่ก็ป้าบๆ กันตลอดคืนโดยไม่ได้กินข้าวเย็น และแน่นอนตอนเช้าภรรยาส่งสามีออกจากบ้านด้วยจูบหวานฉ่ำเคล้ากามารมณ์ จนฝ่ายสามีตื่นจับภรรยากดลงพื้นแล้วป้าบๆ กันหน้าประตูบ้านอีกรอบ

การ์ตูนที่อลันอ่านก็มีแต่อะไรพวกนี้

พวกคุณคงไม่ต้องให้อธิบายหรอกใช่ไหมว่าเสียง ‘ป้าบๆ’ ที่ว่าคืออะไร ใช่แล้วละ ภายในสมองอันชาญฉลาดของเด็กคนหนึ่งกลับเต็มไปด้วยเรื่องลามกสัปดนเหล่านี้ตลอดทั้งคืน

ผู้ไม่รู้ว่าตนถูกนำไปจินตนาการว่าอย่างไรบ้างก้มลงหอมแก้มเด็กชายตัวน้อยที่เริ่มโตทั้งซ้ายขวา ก่อนโบกมือลาพลางมองตามแผ่นหลังเล็กหายลับไปจากสายตา

จากความทรงจำของมิราเคิลตัวเก่า อลันถือว่าเป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นจากพ่อแม่ พอเริ่มโตก็คงเริ่มสนใจในเรื่องการสร้างครอบครัวตามประสา เขาเองสมัยวัยรุ่นก็ยังวาดฝันจะมีครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นสิ่งที่อลันแสดงออกในเช้านี้อาจเป็นการจำลองเหตุการณ์ในฝันอะไรเทือกนั้นกระมัง แต่ถึงอย่างไรในสายตาของเขาแล้วอลันก็ยังเด็กมากอยู่ดี การเล่นพ่อแม่ลูกเนี่ยมีแต่เด็กๆ เท่านั้นสินะที่ทำกัน

อลันของเขาช่างเป็นเด็กที่น่ารักน่าใคร่อะไรขนาดนี้





ช่วงจิบโกโก้กับนักเขียน (และแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ)

อีธาน : ไอ้หุ่นยนต์บ้านั่น เอะอะอะไรก็โยนให้เป็นความผิดฉันลูกเดียวเลย! ตาเสียไปข้างรึเปล่านะ ต้องซ่อมใหม่ไหม หรือต้องตัดแว่นให้เลย จะได้เอาไว้มองธาตุแท้ของเจ้าตัวเล็กออกสักที!

นักเขียน : นายไม่เอ๊าะ ไม่น่ารักก็ลำบากหน่อยนะ //ตบบ่า

อีธาน : เกี่ยวอะไรกับความเอ๊าะด้วยล่ะนั่น

นักเขียน : มิราเคิลรักเด็กนะรู้ไหม

อีธาน : เหอะ เจ้าของเจ้าเล่ห์ไม่พอยังสร้างหุ่นยนต์โชตะค่อนโรคจิตขึ้นมาอีก อวยกันได้อวยกันดี อีกหน่อยคงแต่งงานกันเลยมั้งเนี่ย!

นักเขียน : เป็นไอเดียที่เข้าท่านะ

อีธาน : เธอจะบ้าเรอะ! ทำไมรอบตัวฉันถึงมีแต่คนจิตไม่ปกตินะ *บ่นพึมพำประโยคหลัง*

นักเขียน : อย่าลืมนับตัวเองด้วย คุณสตอล์กเกอร์


-------------จบตอนที่ 17
แจ้ง สำหรับเว็บเล้านักเขียนไม่ลง ตอนพิเศษ เขาเป็นของฉัน #เรื่องเล่าวันคนโสด (ธีม อาการแบบนี้(ไม่)โสดแล้วละ) นะคะ เพราะเป็นตอนติดเหรียญ โดยตอนหน้าจะลงข้ามเป็นตอนที่ 18 ต่อไปเลย


ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๑๘

ความเป็นมนุษย์

จากการศึกษาด้วยตัวเองตลอดหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดมิราเคิลก็สามารถกลายเป็นหุ่นลองเสื้อที่ดูดีมีระดับได้เสียที ดอร์ริสลดกล้องในมือลงแทบจะยกแขนเสื้อเช็ดปาดคราบน้ำตา เขาไม่คิดเลยว่าหุ่นไล่กาในวันนั้นจะพัฒนาได้ถึงขนาดนี้

“น้องชาย หุ่นยนต์ของนายพัฒนาตัวเองได้จริงๆ ด้วย”

อลันถอนสายตาจากสมุดจดในมือขึ้นมองดอร์ริส ยิ้มรับเล็กน้อยก่อนก้มหน้าขีดเขียนต่อไป

บนโต๊ะรับแขกเต็มไปด้วยปากกา ดินสอ สมุดจด และแท็บเล็ต นอกนั้นเป็นน้ำกับขนมเล็กน้อยที่คีร่ายกมาต้อนรับ เพียงกวาดตามองผ่านๆ ก็รู้ได้ว่าอลันตอนนี้อยู่ในสภาพงานรัดตัว

เวลาเที่ยงวันเป็นเวลาอาหารกลางวันของมนุษย์ทั่วไป ดอร์ริสหยุดพักงานถ่ายภาพออกไปหาอะไรมาเติมลงท้อง ก่อนจากเขาไม่ลืมชวนอลันออกไปหาอะไรกินด้วยกัน แต่ทว่ากลับถูกปฏิเสธกลับมา

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันหาซื้ออะไรมาฝากแล้วกัน” ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วหยิบกระเป๋าเงินเดินจากไป

มิราเคิลหย่อนกายนั่งบนโซฟาตัวยาวเคียงข้างเด็กชาย ตั้งแต่กลับมาจากการประชุมอลันดูยุ่งเสมอ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาอีกฝ่ายเดินเข้าออกห้องอีธานเป็นว่าเล่น นอกจากนี้ยังมีการเรียกตัวจากอาจารย์ประจำชั้นไปหารือเรื่องกิจกรรมกระชับมิตรระหว่างโรงเรียนกับคนในกลุ่มอยู่บ่อยครั้ง

“อันที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องมาเป็นเพื่อนผมเลย” มิราเคิลโพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ อลันละมือจากสิ่งที่กำลังทำทุกอย่างหันมองหุ่นยนต์ข้างกาย

“มิราเคิล”

“ครับ” เจ้าของชื่อตอบรับคำเรียกขาน จ้องมองอลันรอฟังประโยคถัดไป

“ถึงฉันจะงานยุ่ง แต่ให้อุดอู้อยู่ในห้องทั้งวันก็เบื่อเหมือนกันนะ มากับนายถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนสถานที่ทำงาน บางทีอาจคิดไอเดียใหม่ๆ ออกมาได้ง่ายขึ้น” อลันยกเหตุผลร้อยแปดมากล่าวอ้าง แต่ความจริงแล้วเขาแค่อยากอยู่ใกล้มิราเคิลเท่านั้น ระหว่างทำงานได้แอบมองอีกฝ่ายเปลี่ยนท่าทางไปมาในชุดต่างๆ ดูแล้วเจริญหูเจริญตาถือเป็นการผ่อนคลายไปในตัว แม้งานที่ทำจะคืบหน้าช้ากว่าเดิมนั่นก็เทียบไม่ได้กับความสุขที่ล้นปรี่อยู่ในอกนี้

มิราเคิลไม่เชื่อคำอลันเท่าไหร่นัก คนที่นั่งหลังขดหลังแข็งจดจ่อกับการสร้างสิ่งประดิษฐ์จนลืมวันลืมคืนจะมาใส่ใจกับการเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานได้อย่างไร

เขายังจำได้ดีถึงวันแรกที่ได้พบกับอลัน เด็กชายตัวน้อยผู้ปลุกเขาให้ตื่นมาในร่างหุ่นกระป๋อง ใบหน้าน่ารักมอมแมมกับผมเผ้าเหนียวหนึบ ห้องรกรุงรัง ในถังขยะมีแต่ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป คนที่ทำงานได้แม้ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นย่อมไม่ใส่ใจเรื่องบรรยากาศในการทำงานแน่นอน

บางทีอาจเป็นเพราะอลันไม่ชอบให้เขาอยู่กับดอร์ริสตามลำพังก็ได้ มิราเคิลพยายามนึกหาเหตุผล

ประกายสีทองวูบไหวผ่านสายตา รู้ตัวอีกทีอลันเอนกายนอนลงบนตักเรียบร้อยแล้ว มิราเคิลลูบหัวอลันเป็นเชิงกล่อม ประกอบกับความเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศในสตูดิโอ จึงทำให้อลันผล็อยหลับไปอย่างไม่ยากเย็นนัก

“อย่าโหมทำงานมากนักสิครับ ผมเป็นห่วงนะ” แม้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิน แต่มิราเคิลก็ยังพูดออกไป

การหลับของอลันครั้งนี้เป็นการงีบหลับในเวลาสั้นๆ สามสิบนาทีต่อมาอลันก็ตื่นลุกขึ้นมาทำงานอีกครั้ง

“ตักผมสบายไหมครับ” อลันชอบทั้งนั่งและนอนบนตักของเขา มิราเคิลจึงลองถามดู

“สบายสิ แต่ถ้าอุ่นกว่านี้จะดีมากเลย” อลันตอบเสียงแผ่ว ในหัวเริ่มคิดถึงวิธีการทำให้ร่างกายหุ่นยนต์มีอุณหภูมิแบบมนุษย์

ดวงตากลมโตสว่างวาบ รีบขยับมือจดไอเดียใหม่ลงในสมุดทันที

มิราเคิลก้มมองร่างกายตัวเอง ถึงจะมีรูปกายคล้ายมนุษย์เท่าไหร่แต่กลับไร้ซึ่งอุณหภูมิ ตัวเขาไม่อาจรู้สึกถึงความเจ็บปวดหรือสัมผัสใดๆ ได้ ประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่สมประกอบ ที่ใช้ได้มีเพียงหูกับตา คราวก่อนตอนอลันกลับจากห้องอีธานย่องเข้ามาในห้องครัวอย่างเงียบๆ ตอนนั้นเล่นเอาเขาตกใจมากเลยทีเดียว เกือบตั้งท่าต่อสู้ไปแล้ว

ถึงอยู่ในร่างนี้มานานบางครั้งก็อดกลัวไม่ได้ กินไม่ได้นอนไม่หลับเท่านั้นยังไม่พอ สัญชาตญาณในการระวังภัยที่เคยภาคภูมิใจกลับลดหายไปเกินกว่าครึ่ง

มิราเคิลพรูลมหายใจยาว หลับตาลงหนึ่งครั้งแล้วลืมตาขึ้นอีกทีหนึ่ง นี่เป็นนิสัยประจำตัวของเขาเวลาต้องการเปลี่ยนความคิดหรือปรับทัศนคติของตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น การจมอยู่กับความรู้สึกหดหู่ไม่ส่งผลดีต่อสภาพจิตใจ นอกจากในสนามรบเขามักใช้วิธีนี้บ่อยๆ แล้ว พอมาเป็นหุ่นยนต์ก็ใช้วิธีนี้อยู่เป็นประจำเช่นกัน

“มาแล้วจ้า มาแล้ว รอนานมั้ยเอ่ย” ดอร์ริสเปิดประตูเข้ามาพร้อมหอบหิ้วกล่องข้าวเข้ามาสองกล่อง มิราเคิลรับของในมือนั้นมาเปิดออก สะกิดคนตัวเล็กข้างกายให้รับไปทาน

เมนูข้าวผัดแสนเรียบง่ายสองกล่องถูกอลันกินหมดในเวลาอันรวดเร็ว ดอร์ริสเห็นดังนั้นจึงไม่พ้นต้องเอ่ยแซว

“น้องชาย ตัวก็แค่นี้แต่กินราวพายุบุแคม อันที่จริงอีกกล่องหนึ่งฉันซื้อมาให้คุณมิราเคิลต่างหาก”

“ผม?” มิราเคิลชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ทำไมล่ะ”

“นั่น...” ดอร์ริสเกาหัว “เพราะคุณไม่ค่อยเหมือนหุ่นยนต์เท่าไหร่จนบางทีผมก็ลืมตัวน่ะสิ เลยเผลอสั่งมาสองกล่องเลย พอจะยกเลิกออร์เดอร์แม่ค้าเขาก็ผัดข้าวไปเรียบร้อย”

พูดแล้วก็หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี “อลันเก่งนะ สร้างคุณมาได้เหมือนมนุษย์มากขนาดนี้”

“ต่อให้ชมมากขนาดไหนฉันก็ไม่ใจดีขยายระยะเวลาการยืมตัวมิราเคิลให้นายหรอก” คนตัวเล็กเอ่ยแทรกบทสนทนา

“โธ่ น้องชาย พี่คีร่าเตรียมชุดไว้ให้คุณมิราเคิลใส่ตั้งมากมาย มาสัปดาห์ละครั้งจะไปพออะไร เนี่ย ใส่ชุดนึงต้องแต่งหน้าทำผมใหม่ กว่าจะได้ถ่ายทีเสียเวลาไปแทบหมดวันแล้ว”

“ไม่รู้ไม่ชี้” อลันทำปากยื่นหันไปสนใจงานในมือต่อ ดอร์ริสยิ้มอ่อนถอยออกมานั่งข้างหุ่นยนต์หนุ่มแทน

“แล้วช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ แรงบันดาลใจในการทำงานของคุณผมช่วยอะไรได้บ้างมั้ย”

“แค่มองคุณแรงบันดาลใจผมก็มาเต็มแล้วครับ” ดอร์ริสยกแขนขึ้นเบ่ง มืออีกข้างตบกล้ามแขน แสดงถึงพลังงานอันเปี่ยมล้น

“แค่มองผม?” เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ก่อนจะได้ถามอะไรดอร์ริสก็ยื่นเสื้อผ้าชุดใหม่มาให้เสียแล้ว

“อย่างที่น้องชายตัวเล็กบอก พวกเรามีเวลาไม่มาก เพราะงั้นทุกวินาทีมีค่าดุจทองคำ”

และแล้วการถ่ายแบบอันเร่าร้อนก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งตลอดช่วงบ่ายในวันนั้นเอง

ภาพทุกภาพที่ดอร์ริสถ่ายจะถูกนำไปคัดแยกเลือกภาพที่ดีที่สุดในภายหลัง จากนั้นค่อยนำไปตัดต่อแต่งเติมอีกที แล้วถึงจะได้ภาพที่นำไปลงในหน้าเว็บไซต์ของร้านและนำไปโปรโมตในรูปแบบอื่นต่อไป

แม้ไม่ใช่มืออาชีพ แต่การเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าของหุ่นยนต์ตรงหน้าดึงดูดเขา ทุกครั้งที่มองผ่านเลนส์หัวใจในอกกระหน่ำรัวด้วยความตื่นเต้น มันเป็นเพราะอะไร เหตุใดสิ่งนั้นถึงแผ่กลิ่นอายแห่งชีวิตออกมาได้มากมายเพียงนี้ นั่นทำให้เขาเกิดคำถามขึ้นในใจ

ว่าความจริงแล้วสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ใช่หรือไม่

ยามท้องฟ้าฉาบไล้ด้วยสีส้มถึงเวลาที่อลันต้องกลับ ดอร์ริสจำปล่อยมือจากคนทั้งสองแล้วหันมาเก็บฉากเก็บไฟในสตูดิโอให้เรียบร้อย ระหว่างนั้นสายตาเหลือบไปเห็นสมุดจดเล่มหนึ่งตกอยู่ใต้โต๊ะ เขาหยิบมันขึ้นมาเปิดดูพบเป็นแบบร่างภายในกายหุ่นยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ นอกจากนี้มันยังเต็มไปด้วยข้อมูลตัวอักษรและตัวเลขที่เขาไม่เข้าใจ

โต๊ะรับแขกเป็นโต๊ะที่อลันนั่งทำงานอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นสมุดเล่มนี้ย่อมไม่ใช่ของเขาหรือของใครเป็นแน่ เห็นแบบนี้ดอร์ริสรู้สึกทึ่งกับความอัจฉริยะของเด็กคนนั้น พวกเขาอยู่กันคนละโลกหรืออย่างไร ทำไมเด็กอายุสิบห้าถึงฉลาดขนาดนี้

สมุดเล่มนี้ดูท่าจะเป็นของสำคัญ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอลันเพิ่งเดินจากสตูดิโอไปไม่นานจึงรีบวิ่งตามไป ทันทีที่เปิดประตูออกก็ปะทะเข้ากับคางของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีร่างกายสูงโปร่ง ดอร์ริสเซถอยหลังกุมจมูกอย่างเจ็บปวด ผิดกับอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับแรงปะทะเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

ชายคนนั้นถามด้วยความเป็นห่วง น้ำเสียงคุ้นหูทำให้ดอร์ริสเหลือบตาขึ้นมอง พบเป็นนายแบบจำเป็นที่เขาได้มาชั่วคราวแลกกับภาพถ่ายในสวนสนุกหนึ่งใบ

“เจ็บน่ะสิครับ โธ่”

“ขอโทษครับ ผมไม่นึกว่าคุณจะพรวดพราดออกมาแบบนี้”

“ผมสิต้องขอโทษที่ไม่ระวัง ไม่นึกว่าคุณจะย้อนกลับมา”

“ผมมาเอาของนิดหน่อยน่ะครับ อลันลืมไว้ ดูเป็นกังวลมากเลย”

“หมายถึงนี่รึเปล่าครับ” ดอร์ริสยื่นสมุดโน้ตในมือส่งให้มิราเคิล “ขอโทษนะ ผมแอบดูไปนิดหน่อยน่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่ได้ขโมยไอเดียอะไรไปทั้งนั้น”

เมื่อเห็นดอร์ริสรีบร้อนแก้ตัวหน้าตาตื่น มิราเคิลจึงหัวเราะออกมา

“ไม่เป็นไรครับ อลันฝากบอกมาว่า ‘ต่อให้ดูไปคนโง่อย่างดอร์ริสก็ไม่เข้าใจหรอก’ น่ะ”

คนโดนด่าว่าโง่มุมปากกระตุก ถึงการเรียนเขาจะไม่โดดเด่นแต่ก็ไม่ได้แย่ พรสวรรค์ด้านการถ่ายภาพที่มีทำให้ถีบตัวเองขึ้นมาอยู่ในชนชั้นสามัญได้อย่างน่าภาคภูมิ คนอย่างเขาเรียกว่าคนปกติธรรมดา แต่คนที่อายุสิบห้าแล้วสร้างหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์จริงได้ทั้งตัวนั่นน่ะ น่าจะเป็นฝ่ายถูกเรียกว่าปีศาจซะมากกว่ามั้ง

“ปากคอช่างเราะร้าย” ดอร์ริสกัดฟันพูด แต่ใจไม่ได้ถือสาหาความอะไรนัก อย่างไรซะอลันก็เป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว อีกอย่างเขาเองก็ค่อนข้างเอ็นดูเด็กคนนั้นด้วย เพราะเป็นเด็กที่พอแกล้งแล้วมันสนุกดีน่ะนะ

เจอกันครั้งหน้าเขาหาเรื่องเอาคืนคำพูดเจ็บแสบของเด็กคนนั้นดีกว่า อย่างโยนแมลงสาบปลอมไปกลางวงให้ตกใจกลัวเล่นคงสนุกพิลึก เด็กคนนั้นดูแล้วเป็นพวกลูกคุณหนูถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี คงกลัวสัตว์จำพวกแมลงสกปรกตามท่ออย่างแน่นอน

เมื่อหมายมาดปั้นมือวางแผนแกล้งคนตัวเล็กเสร็จสรรพแล้ว จังหวะนั้นเองแสงอาทิตย์สุดท้ายพาดผ่านใบหน้ามิราเคิลจนเกิดเป็นเงาตกกระทบงดงาม รอยยิ้มอ่อนโยนที่มักส่งมอบให้แต่กับเด็กข้างกายปรากฏขึ้นบนมุมปาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายตอนนี้ในหัวคงมีแต่เรื่องของอลันเป็นแน่แท้

ทันใดนั้นดอร์ริสก็เต็มไปด้วยความสับสน ปากเผลอโพล่งออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “คุณใช่หุ่นยนต์จริงๆ น่ะเหรอ”

คำถามดังขึ้นขัดความคิด ดอร์ริสคาดเดาไม่ผิดนัก ตอนนี้มิราเคิลกำลังคิดเรื่องของอลันอยู่จริงๆ เขากำลังจินตนาการถึงเมนูที่จะมาเป็นอาหารเย็นวันนี้ให้กับอลัน

มิราเคิลเผยสีหน้าประหลาดใจ ความเงียบโรยตัวระหว่างคนทั้งคู่ ก่อนจะถูกทำลายเมื่อคนยิงคำถามเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง

“ขอโทษครับ อย่าใส่ใจเลย กลับดีๆ นะครับ” อวยพรเสร็จตั้งท่าจะหันหลังกลับ แต่ติดที่อีกฝ่ายรั้งตัวไว้ด้วยการถามกลับมา

“ทำไมครับ...”

“?”

“ผมสงสัยมาตลอด ทำไมคุณถึงเลือกผม” เมื่อเห็นว่าดอร์ริสไม่เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ จึงเอ่ยขยายความต่อ “ตอนกลางวันคุณบอกว่าแค่มองผมก็เกิดแรงบันดาลใจแล้ว ผมไม่เข้าใจ ทำไมถึงต้องเป็นผม แค่ผมเท่านั้นเหรอ?”

โดยไม่ต้องคิดดอร์ริสตอบกลับทันที

“แน่นอนสิครับ ตอนผมเห็นคุณครั้งแรกผมประทับใจมากเลยนะ ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาภายนอกเท่านั้น แต่ผมสัมผัสได้ถึงพลังแห่งชีวิตในตัวของคุณ เสน่ห์อันเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ชีวิตมากมายแผ่ออกมาจากดวงตาคู่นั้น มันอาจดูเพ้อเจ้อ แต่คุณน่ะมีความเป็นมนุย์มากกว่ามนุษย์จริงๆ ซะอีก” ชายหนุ่มกุมมืออีกฝ่ายแน่นสนิทเพิ่มความหนักแน่นในคำพูด รู้สึกว่าสิ่งที่พูดไปไม่มีตรงไหนผิดแปลกแม้แต่น้อย

มิราเคิลเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘หากคุณอยากรู้จักใคร เพียงมองเข้าไปในดวงตาของเขา จะสามารถสัมผัสถึงชีวิตและประสบการณ์ที่ผ่านมาของคนนั้นๆ ได้’ เขาไม่เคยเชื่อ กระทั่งดอร์ริสเอ่ยขึ้นมา

แน่นอนว่าเขาเป็นชายจนถึงตอนนี้นับรวมแล้วอายุประมาณสี่สิบกว่าได้ ประสบการณ์ชีวิตของเขาย่อมไม่เหมือนกับคนในโลกนี้ ชาติก่อนเขาไม่ได้มีชีวิตที่สะดวกสบายนัก ผ่านการดิ้นรนเอาชีวิตรอดและความตายมามากมาย ทั้งหมดนั้นหล่อหลอมให้เขาเป็นเขาดังเช่นทุกวันนี้

“ไม่เพ้อเจ้อหรอกครับ ขอบคุณคุณมาก”

ไม่รู้ว่าดอร์ริสเป็นคนมีซิกส์เซนส์หรือมีสัญชาตญาณดี แต่มิราเคิลรู้สึกขอบคุณดอร์ริสจากใจ อย่างน้อยยังมีคนรับรู้ถึงตัวตนของเขาอยู่ตรงนี้ เขาที่เป็นมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ เขาที่เป็นเขาไม่ใช่มิราเคิล

“แต่ว่านะครับผมแปลกใจมากเลย ถึงร่างนี้จะเหมือนมนุษย์มากแค่ไหน แต่ดวงตาของผมไม่ได้ถูกสร้างมาให้สมจริงขนาดนั้นนะครับ การที่คุณสามารถสัมผัสอะไรต่อมิอะไรด้วยความรู้สึกผ่านดวงตาหุ่นยนต์ได้เนี่ย ผมเกรงว่า...” มิราเคิลลูบขนแขนตัวเอง แสร้งทำตัวสั่น ผงะถอยหลังไปครึ่งก้าว ก่อนจากยังไม่ลืมส่งยิ้มมีเลศนัยไปให้

แม้อากาศคืนนี้จะไม่เย็นนัก แต่ดอร์ริสกลับหนาวเยือกขึ้นมาทันที พอหันหลังไปมองภายในสตูดิโอที่เปิดไฟสว่างจ้าทำไมถึงรู้สึกว่ามันดูอึมครึมมากกว่าทุกครั้ง หรือว่าไฟจะเสีย? ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ ไม่ได้การ พรุ่งนี้ต้องรีบเปลี่ยนหลอดไฟใหม่ซะแล้ว ส่วนวันนี้...

พอดอร์ริสปิดไฟสตูดิโอหมดทุกดวงด้วยจิตใจหวาดหวั่น ก็รีบชิ่งไปหาคีร่าในร้านขายเสื้อผ้าด้านหน้าทันที ส่วนของในสตูดิโอที่ต้องเก็บวันนี้... เอาไว้เก็บตอนเช้าพรุ่งนี้ก็แล้วกัน

ทว่าเมื่อครู่ ยังไงเขาก็เหมือนเห็นดวงตาของมิราเคิลเปล่งประกายแวววาวพราวระยับจับตาอยู่ดี ถึงมันจะงดงาม แต่ในเพลานี้เขากลับรู้สึกหนาวสันหลังแล้ว ดูสิ ขนแขนพากันลุกพรึ่บพรั่บ มิราเคิลเนี่ย ที่เหมือนมนุษย์ขนาดนี้คงไม่ใช่ว่ามีผีสางที่ไหนมาสิงสู่หรอกนะ

...ว่าไปนั่น สมัยนี้แล้วผีเผอมีที่ไหนกันเล่า!

ดอร์ริสไม่ได้รู้เลยว่าความคิดเล่นๆ ของตัวเองสามารถทายตัวตนของมิราเคิลได้ถูกต้องที่สุด



“ทำไมไปนานจัง” อลันทักถามคนที่เพิ่งเดินมายืนด้านข้าง จังหวะนั้นเองรถแท็กซี่ไร้คนขับที่ใช้แอปพลิเคชันเรียกก็มาถึงพอดี

“ผมกับคุณดอร์ริสเราคุยกันนิดหน่อยน่ะครับ”

หลังจากประคองอลันขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว มิราเคิลจึงขึ้นนั่งตาม ไม่ลืมยื่นสมุดโน้ตที่ไปเอามาคืนให้ผู้เป็นเจ้าของ

“ขอบคุณนะ” อลันเก็บสมุดลงกระเป๋า เหลือบมองสีหน้าเบิกบานใจของคนด้านข้างแล้วอดไม่ได้ที่จะถาม “คุยอะไรกันเหรอ ดูมีความสุขจัง”

“ผมแกล้งเขานิดหน่อยน่ะครับ ถือว่าเอาคืนตอนสวนสนุกที่ทำให้คุณไม่พอใจก็แล้วกัน”

“เห นายก็มีมุมแบบนี้ด้วยเหมือนกันแฮะ” มิราเคิลที่ขี้แกล้งแบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกันนะ



------จบตอนที่ 18



ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
มาต่่อ3ตอนรวด เป็นอะไรที่ชลมุนมากกับการถ่ายแบบครั้งแรก 55555 แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีอ่ะนะ เอ็นดูมิราเคิลกับอลันจริงๆ ฮาบ๊องๆ 55 รอตอนต่อไปจ้า :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๑๙

แค่แว่นกันแดดช่วยนายไม่ได้หรอก

มยุรา บล็อกเกอร์และยูทูปเบอร์สาวสายบิวตี้ มีชื่อเสียงโด่งดังและผู้ติดตามมากมายหลายสิบล้านคนในโลกออนไลน์ อีกทั้งยังคล้ายจะเป็นผู้นำเทรนด์ด้านแฟชั่น ส่งผลให้ชุดที่ซื้อมาปรับแต่งสวมใส่ตามสไตล์เธอได้รับความสนใจจนขายดีเป็นเทน้ำเทท่า งานอดิเรกลับๆ คือการสร้างกลุ่มเป็นผู้นำกองกำลังนักหวีดหนุ่มหล่อแห่งยุค

หญิงสาวยกขาขึ้นชันบนเก้าอี้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างปล่อยห้อยแตะถึงพื้น ผมลอนยาวสยายสีน้ำตาลอ่อนถูกรวบมัดขึ้นเป็นก้อนกลมอย่างลวกๆ เผยต้นคอชุ่มเหงื่อ กลางกระหม่อมมัดจุกเป็นทรงน้ำพุ บนใบหน้าไร้ซึ่งเครื่องสำอางมันแผล็บเป็นเงาวาวยามสะท้อนกับแสงไฟหน้าจอคอมพิวเตอร์ แว่นกรองแสงทรงกลมที่สวมใส่ในยามนี้ไม่ได้ช่วยเสริมความน่ารักให้เลยแม้แต่น้อย หากแฟนคลับหนุ่มคนใดเห็นเธอในสภาพนี้คงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปตามกัน

ตอนนี้มยุรากำลังตัดต่อคลิปที่เพิ่งถ่ายล่าสุดถึงช่วงสุดท้ายแล้ว จึงยืดตัวบิดไปมาขับไล่ความเมื่อยขบ เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าดึงดูดให้เธอหยิบมือถือขึ้นเปิดเมลดู เป็นข่าวสารจากร้าน C&D หนึ่งในร้านเสื้อผ้าแฟชั่นที่เธอเลือกกดติดตาม พอไถจอลงด้านล่างกลับทำให้เธอชะงักงันถึงขั้นตกตะลึง

ปกตินิตยสารออนไลน์ของร้าน C&D มักไม่ใช้นางแบบนายแบบในการถ่ายชุดโปรโมตเสื้อผ้า แต่คราวนี้กลับเปลี่ยนไป นายแบบบนหน้าปกทำให้เธอคลิกลิงก์ไปยังหน้าเว็บไซต์ของร้านโดยไม่ต้องคิด

อัตราการเต้นของหัวใจมยุรารุนแรงขึ้นจนเหมือนกับมันสามารถกระเด้งออกมาจากอกได้ ยามลูกกลิ้งเมาส์ไถลเลื่อนหน้าเว็บลงไปเรื่อยๆ ลมหายใจของเธอก็ถี่กระชั้นเลือดลมเดินดีได้โดยไม่ต้องพึ่งพายาใดๆ

หล่อ-มาก-แม่! เธอไม่เคยเห็นใครหน้าตาหล่อเหลาหมดจดแบบนี้มาก่อน!

“กรี๊ด!” มยุรากัดคอเสื้อกอดหมอนอิงดิ้นไปมาจนเกิดเป็นเสียงร้องสะกดกลั้นแปลกประหลาด หนุ่มนายแบบคนนี้จะหน้าตาดีตรงสเปคเธอเกินไปแล้ว

ใคร เขาคนนี้คือใคร?! หรือว่าเป็นนายแบบหน้าใหม่? ทำไมคนหน้าตาระดับนี้เธอถึงไม่รู้จัก!

มยุราเปิดเสิร์ชเอนจินขึ้นมาค้นหาทันที แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบข่าวคราวของหนุ่มในดวงใจคนนี้ที่ไหนเลย หรือว่าจะไม่ได้เป็นนายแบบอาชีพกันนะ?

แต่เอาไว้ก่อน ตอนนี้เธอขอหาเพื่อนหวีดหนุ่มหล่อคนนี้ก่อน ของดีแบบนี้จะเก็บเอาไว้คนเดียวไม่ได้ ต้อง-แบ่ง-ปัน!

ว่าแล้วก็เซฟรูปคลิกเปิดกลุ่มลับใน fbook ที่เธอสร้างขึ้นมา ใช้เวลาหนึ่งนาทีจัดเรียงร้อยถ้อยคำ จากนั้นกดปุ่มโพสต์ลงกลุ่มทันที



“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมานะ ตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงพลังงานเอ่อล้นออกมาจากร่างกายเลย” ในยามนี้ดูเหมือนว่าดอร์ริสจะมีรัศมีเปล่งปลั่งออกมาจากร่างกาย เรืองรองซะจนหนึ่งคนหนึ่งหุ่นต้องยกมือขึ้นป้องสายตา

ความเปล่งประกายระดับนี้ดูเหมือนว่าจะทำให้คนตัวเล็กสุดหงุดหงิดใจ จนต้องระบายออกด้วยการเสยปลายเท้าเข้ากับหน้าแข้งชายหนุ่มน่าหมั่นไส้ตรงหน้า

“จ๊าก!” ดอร์ริสกุมขาข้างที่ถูกเตะกระโดดโหยงเหยงไปมา ต่อมน้ำตารู้งานขับของเหลวสีใสคลอหน่วยเอ่อท้น

เห็นอาการอีกฝ่ายแบบนั้นตัวต้นเหตุแห่งการใช้ความรุนแรงกอดอกกระตุกมุมปากกระหยิ่มยิ้มย่อง มิราเคิลมองท่าทางนั้นด้วยสายตาเอ็นดูล้นเหลือ ทั้งน่ารักและหล่อเท่ไปในเวลาเดียวกัน เป็นคนรู้จักของใครกันนะเด็กคนนี้ (มอบหัวใจ)

“คุณมิราเคิล คุณเป็นหุ่นยนต์พี่เลี้ยงของน้องชายอลันไม่ใช่รึไง หัดว่าอะไรบ้างสิ!” ดอร์ริสหันไปโวยฟ้องหุ่นยนต์ที่เข้าใจว่าเป็นหุ่นยนต์พี่เลี้ยงประจำตัวอลัน แต่พอเห็นท่าทางเหมือนคนเพิ่งตื่นจากภวังค์พลันหมดหวัง

พึ่งไม่ได้เลยจริงๆ คนคนนี้ เผลอลืมไปได้ไง เรื่องตามใจอลันขอให้บอกมิราเคิลเถอะ ไม่มีอิดออดอยู่แล้ว

“ไหน ของ” อลันแบมือชูไปตรงหน้าดอร์ริส วันนี้เป็นวันถ่ายแบบชุดสุดท้ายตามที่เคยตกลงกันไว้ นั่นหมายความว่าพวกเขาสองคนไม่จำเป็นต้องมาที่นี่อีกแล้ว และของที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้นก็สมควรได้รับในวันนี้เช่นกัน

“รอเดี๋ยว จะไปหยิบมาให้ ส่วนคุณมิราเคิลเปลี่ยนชุดได้เลยนะครับ วันนี้เสร็จหมดเรียบร้อยไม่มีอะไรคั่งค้างแล้ว”

ทันทีที่ดอร์ริสขึ้นไปเอาของบนชั้นสองของสตูดิโอ คีร่าก็โผล่เข้ามาพร้อมกับถือถุงกระดาษตราโลโก้ร้าน C&D ยื่นให้กับอลัน

“อ้ะ นี่จ้ะ ขอบคุณที่ช่วยน้องชายติงต๊องของฉันนะ หลังจากพวกเธอมาดอร์ริสก็ร่าเริงขึ้นเยอะเลย ดวงตาของเด็กคนนั้นกลับมาเต็มไปด้วยความฝันอีกครั้งแล้ว แล้วก็นี่จ้ะ ตั๋วดูหนังสำหรับสองที่นั่ง ถึงจะเล็กน้อยแต่รับไว้เถอะนะ” คีร่าหยิบตั๋วหนังในกระเป๋าเสื้อยื่นให้อลันเป็นการตบท้าย

อลันยิ้มแย้มพลางส่งถุงเสื้อผ้าให้มิราเคิลที่ก้มลงมารับไปถือ ส่วนตนเองที่มือว่างแล้วก็รับตั๋วหนังพับเก็บใส่กระเป๋ากางเกง

“ขอบคุณนะ”

มิราเคิลนำของทั้งหมดไปวางไว้ข้างเก้าอี้โต๊ะรับแขก จากนั้นเดินเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเปลี่ยนกลับมาใส่ชุดเดิม

ไม่นานนักเสียงลงบันไดตึงตังปรากฏพร้อมตัวต้นเหตุ ดอร์ริสวิ่งลงมาพร้อมหอบหิ้วกล่องสีน้ำตาลขนาดเท่าลำตัวหนึ่งใบวางลงตรงหน้าเด็กชาย ชายหนุ่มหยิบของในกล่องชิ้นหนึ่งขึ้นส่งให้อลันดูอย่างภาคภูมิใจ

สิ่งนั้นคือภาพแอบถ่ายในสวนสนุกเมื่อครั้งนั้นที่มิราเคิลอยากได้จนต้องทำงานแลกเพื่อให้ได้มา มันถูกใส่กรอบลายขนมหวานนูนสูงน่ารักไว้อย่างดี แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นของสั่งทำและไม่ใช่ราคาถูกๆ อย่างแน่นอน

นี่เป็นครั้งแรกที่อลันได้เห็นภาพนั้นชัดเต็มสองตา พอผ่านการตกแต่งภาพด้วยฝีมือดอร์ริสแล้วมันกลายเป็นภาพชั้นเยี่ยมเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์สะกดใจผู้พบเห็น แม้คนในภาพที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายเป็นตัวเองจะน่าอายไปสักหน่อย แต่สีหน้าอ่อนโยนของมิราเคิลยามกำลังมองไปยังตัวเขานั้นทำให้หัวใจอลันเต้นตึกตัก ความรู้สึกยากระบายออกนี้เขาควรจัดการอย่างไรดี

พอเป็นเรื่องของมิราเคิลทีไร คนที่ใครต่อใครต่างเรียกว่าอัจฉริยะอย่างเขากลับรู้สึกโง่งมทุกที อลันจึงทำได้เพียงยืนนิ่งจับจ้องภาพตรงหน้าอยู่แบบนั้น

“เป็นไง ชอบไหม”

เด็กชายในวัยกำลังโตผงกหัวหงึกหงักตอบรับคำถามของดอร์ริส พลางเอื้อมมือไปรับภาพในกรอบรูปมากอดอย่างทะนุถนอม แก้มกลมขาวขึ้นริ้วชมพูประกอบรอยยิ้มเขินอายทำให้ดอร์ริสดีใจระคนไม่คุ้นชินกับอลันในมาดนี้ไปด้วย แน่นอนว่าของตอบแทนชิ้นนี้เขาตั้งใจทำให้เป็นพิเศษ พอเห็นผู้รับมีความสุขเขาย่อมมีความสุขตาม

นอกจากกรอบใส่รูปแอบถ่ายใบนั้น ในกล่องลังยังมีนิตยสารรวมรูปถ่ายของมิราเคิลตอนสวมชุดต่างๆ ในรูปแบบหนังสือจับต้องได้ อีกทั้งยังมีภาพช่วงเวลาสุขสันต์ของพวกเขาสามคนที่ดอร์ริสถ่ายเก็บไว้ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่

“น้องชาย พี่ชายขอที่อยู่สำหรับส่งของหน่อยสิ พอดีนิตยสารรวมรูปเล่มสองยังทำไม่เสร็จดี อย่างที่เห็น ภาพที่ถ่ายในวันนี้ยังต้องเอาไปปรับแต่งอีก ถ้าพี่ชายทำเสร็จเมื่อไหร่จะส่งตามไปให้ทีหลังนะ เล่มที่สองเนี่ยมีแต่ภาพเด็ดๆ ทั้งนั้นเลย”

โดยไม่ต้องคิด อลันเขียนที่อยู่ส่งให้ดอร์ริสทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่มิราเคิลเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อทันเห็นอลันยื่นส่งบางอย่างให้ดอร์ริสด้วยใบหน้าชื่นมื่นเปล่งประกาย

สองคนนั้น...ญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่นะ?



ขณะวันหยุดใกล้หมดลง หนึ่งคนหนึ่งหุ่นเลือกนำตั๋วที่ได้รับจากคีร่ามาใช้ก่อนหมดอายุ ทั้งคู่เลือกดูหนังแอ็กชันไซไฟเรื่องหนึ่ง ตัวหนังมีความยาวถึงสี่ชั่วโมงเต็ม ด้วยตัวมิราเคิลเป็นคนชื่นชอบและเชี่ยวชาญการต่อสู้อยู่แล้ว ส่วนอลันมีความสนใจเรื่องเครื่องจักรกลต่างๆ ไอเดียหลายอย่างก็ได้มาจากการดูหนังอย่างไม่ตั้งใจ นั่นจึงทำให้หนังสี่ชั่วโมงเรื่องนี้สำหรับทั้งคู่แล้วดูเพลินจบเร็วยิ่งกว่าติดจรวด

เพราะแอร์ในโรงหนังเย็นประกอบกับอลันดื่มน้ำเข้าไปมาก พอออกมาได้คนตัวเล็กจึงวิ่งแจ้นเข้าห้องน้ำทันที มิราเคิลหัวเราะเล็กน้อยเลือกหาทำเลยืนคอยอลันโดยไม่ไปขวางทางคนอื่นอยู่ด้านนอก

ด้วยรูปร่างสูงเกือบสองเมตรกอปรกับใบหน้างดงามโดดเด่นทำให้มิราเคิลเป็นที่สนใจของรอบข้างได้ไม่ยาก แต่กระนั้นท่วงท่าสุขุมในยามปกติของเขากลับเป็นเหมือนปราการน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่งคอยกีดกันจนผู้คนรู้สึกเข้าถึงได้ยาก

แสงแฟลชประกายวาบผ่านหางตาหลายครั้งจนมิราเคิลต้องเหลือบหันมอง พบเป็นหญิงสาวสองคนกำลังถือโทรศัพท์หันมาทางเขาอย่างเจาะจงชัดเจน เมื่อถูกจับได้ว่าแอบถ่ายพวกเธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่หนึ่งในนั้นจะดึงเพื่อนสาวอีกคนเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าแดงซ่าน

หญิงสาวใจกล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับมิราเคิล เปิดปากละล่ำละลักถามชายหนุ่มทั้งที่ใจเต้นรัว

“ขอโทษที่แอบถ่ายนะคะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นคนในวงการบันเทิงรึเปล่า”

แม้แปลกใจแต่มิราเคิลส่ายหัวตอบพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ พลันปราการน้ำแข็งทั้งหลายละลายหายไปไม่มีเหลือ “เปล่าครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรกับผมรึเปล่า”

หญิงสาวสองคนที่หน้าแดงอยู่แล้วยิ่งแดงก่ำขึ้นอีก ตอนแรกชายคนนี้ดูเหมือนจะเข้าถึงยาก แต่พอเปิดปากกลับให้ความรู้สึกต่างกันขนาดนี้ หากรู้แบบนี้พวกเธอคงเข้ามาคุยกับอีกฝ่ายนานแล้ว

“คือ...คือว่า... พวกเราเห็นคุณในเว็บไซต์ของร้าน C&D แล้วชอบมากเลยค่ะ ไม่ทราบว่าขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะ”

มิราเคิลยังไม่ทันได้ตอบคำสมุดกับปากกาด้ามหนึ่งก็ยื่นมาถึงตรงหน้าเสียแล้ว แม้จะงุนงงอยู่บ้างทว่ายังรับมาเซ็นแต่โดยดี ขณะกำลังจรดปากกาบนกระดาษมิราเคิลชะงักค้างไปชั่วครู่ เขาเกือบใช้ลายเซ็นเก่าจากชาติก่อนเซ็นลงไปตามความเคยชินเสียแล้ว ในเมื่อชาตินี้นามของเขาคือมิราเคิล ชื่อที่ใช้เซ็นก็ควรเป็นชื่อมิราเคิลจึงจะถูกต้อง

คิดดังนั้นแล้วมิราเคิลจึงออกแบบลายเซ็นใหม่ด้วยความรวดเร็ว เขามองมันด้วยความพึงพอใจก่อนส่งสมุดคืนให้สาวน้อยใจกล้าเจ้าของสมุด ส่วนสาวน้อยที่ดูขี้อายกว่าด้านหลังเห็นดังนั้นจึงยื่นสมุดของตนมาให้มิราเคิลเซ็นบ้าง หลังจากได้รับลายเซ็นเรียบร้อยสองสาวจึงขอถ่ายรูปคู่กับมิราเคิลคนละรูปก่อนจากไป

“ทำไมถึงปล่อยให้คนอื่นมาเกาะแกะง่ายแบบนั้น!” อลันชักสีหน้าไม่พอใจเดินมาทางมิราเคิล ความจริงแล้วเขาออกจากห้องน้ำในจังหวะเดียวกับที่มิราเคิลกำลังเขียนอะไรบางอย่างลงสมุดให้กับหญิงสาวแปลกหน้าสองคน และเหตุการณ์หลังจากนั้นเขาย่อมเห็นทุกอย่าง หญิงสาวสองคนนั้นพากันควงแขนซบไหล่ถ่ายรูปกับมิราเคิลด้วยท่าทางระริกระรี้ และสิ่งที่ทำให้เขายิ่งไม่ชอบใจคือท่าทางของมิราเคิลที่ไม่คิดหวงเนื้อหวงตัวหรือปัดป้องสัมผัสจากผู้หญิงสองคนนั้นเลยแม้แต่น้อย

แล้วดูนั่นสิ ท่าทางงงงวยหลังจากเขาถามไปแบบนั้น นี่ไม่รู้เลยใช่ไหมว่าตัวเองทำอะไรผิด?

ถ้าอย่างนั้นคงต้องสั่งสอนให้มิราเคิลรู้ซะบ้างแล้วว่าร่างกายนี้มีแต่เขา...อลันเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถแตะต้องได้อย่างอิสระตามอำเภอใจน่ะ

ใช่แล้ว ลงโทษ เขาจะลงโทษอีกฝ่ายด้วยวิธีที่โหดร้ายที่สุด โดยวิธีนั้นของเขาคือการงอนยังไงล่ะ!

จงง้อสิ ง้อฉันสิ ง้อให้ตายไปเลยไป เฮอะ!

โกรธๆๆ



มิราเคิลเกาหัวด้วยความงุนงง หลังจากเขาตอบอลันไปว่า ‘แล้วมีอะไรรึเปล่าครับ’ จากนั้นสภาพของอลันก็กลับกลายเป็นอย่างที่เห็น อมลมแก้มป่อง กอดอก สะบัดหน้าเชิดหนี แม้พยายามง้อเท่าไหร่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย

สรุปแล้วผ่านมาหนึ่งชั่วโมงมิราเคิลก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าตัวเองทำอะไรผิดจนทำอลันไม่พอใจ

หลังจากง้อจนเหนื่อย มิราเคิลตัดสินใจใช้ไม้ตายสุดท้ายอุ้มคนตัวเล็กมาฟัดแก้มซ้ายขวา คนถูกลวนลามดีดดิ้นหน้าแดง เมื่อสู้ไม่ได้จึงสิ้นท่าภายใต้อ้อมกอดนั้น ยื่นแขนโอบรอบคอแกร่งแล้วซุกหน้าลงบนหัวไหล่

ภาพความน่ารักเล็กๆ ปรากฏแก่สายตาผู้คนรอบข้าง พวกเขาหัวเราะด้วยความเอ็นดูแล้วจากไป มิราเคิลตบหลังอลันแผ่วเบาเอ่ยถาม

“บางอย่างถ้าไม่พูดผมก็ไม่รู้ว่าเผลอไปทำอะไรให้คุณโกรธเข้า เพราะงั้นพอจะบอกกันหน่อยได้ไหมครับ”

อลันตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาน้ำเสียงจึงอู้อี้ไปบ้าง วงแขนเพิ่มแรงกระชับกอดแน่นขึ้นอีก “นายปล่อยให้คนอื่นจับต้องตัวได้ง่ายๆ นายเป็นของฉันนะ”

อาการหวงของแบบเด็กๆ นี้ชวนให้มิราเคิลจั๊กจี้หัวใจ เด็กคนนี้จะน่ารักน่าเอ็นดูไปถึงไหนกันนะ

“ขอโทษครับ วันหลังไม่มีแล้ว หายงอนกันนะคนดี” มิราเคิลจับใบหน้าเรียวเล็กให้หันมาสบตากับตน เมื่ออลันพยักหน้าน้อยๆ เขาอดใจไม่ไหวต้องเอียงหัวไปกดจูบลงบนแก้มนุ่มอีกรอบก่อนวางลง

เมื่อขาแตะถึงพื้น อลันจับจูงมือมิราเคิลแน่นจนกลายเป็นการควงแขนกอดรัด ความรู้สึกไม่อยากให้ใครแตะต้อง ใครสัมผัส หรือแม้แต่มีใครมองยิ่งเพิ่มพูน

“แล้วทำไมผู้หญิงสองคนนั้นถึงมายุ่งกับนายได้ล่ะ”

“ผมไม่แน่ใจนัก อาจเป็นเพราะภาพที่ผมถ่ายกับคุณดอร์ริสละมั้ง เห็นพวกเธอพูดถึงร้าน C&D ด้วย”

นัยน์ตาอลันพลันมืดครึ้ม มือกำแน่นเปี่ยมความคับแค้น เริ่มนึกเสียใจที่ปล่อยให้มิราเคิลไปเป็นแบบถ่ายรูปเสียแล้ว ดูสิ ภาพถูกปล่อยลงเว็บไซต์ไม่ทันไรดันมีแฟนคลับน่ารำคาญเข้ามายุ่งวุ่นวายซะได้

เมื่อเห็นหน้ามุ่ยตุ้ยของอลัน มิราเคิลที่เริ่มฉลาดขึ้นจับจูงอีกฝ่ายไปยังร้านขายแว่นกันแดดซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก เขาหยิบสุ่มขึ้นมาอันหนึ่งก่อนเดินไปจ่ายเงินกับแม่ค้า จากนั้นรับของมาสวมทับลงบนดวงตาของตน

“งั้นผมจะปลอมตัว เท่านี้ก็ไม่มีใครจำได้แล้ว”

อลันเหม่อมองมิราเคิลด้วยสายตาปลาตาย ออร่าความหล่อฟุ้งพุ่งมากระแทกหน้า เขาไม่รู้ว่ามิราเคิลโง่จริงหรือแกล้งโง่ หรือแค่ต้องการเอาใจเขาเฉยๆ แต่ว่านะ...

“แค่แว่นกันแดดช่วยนายไม่ได้หรอก”

ใส่แว่นก็หล่อ ถอดแว่นก็หล่อ บางทีเขาอาจต้องจับมิราเคิลมาโมหน้าใหม่อีกครั้ง คราวนี้จะเอาให้อัปลักษณ์จนไม่มีใครกล้ามองอีกเลย!





ช่วงจิบโกโก้ตัวต่อตัวกับนักเขียน (Part - Alan)

นักเขียน : (ยื่นหนังสือ 108 วิธีหนทางสู่การเป็นยันเดเระและยื่นหนังสือรวมของเล่นผู้ใหญ่สุดหรรษาให้อลัน)

อลัน : เอามาให้มาทำไม //ขมวดคิ้ว

นักเขียน : แค่ยื่นหนทางความเป็นไปได้ในอนาคตของนายให้น่ะ ได้เวลาลอกเปลือกออกแล้วจับลุงโง่นั่นกินได้แล้ว

อลัน : … //ปาหนังสือ108 วิธีหนทางสู่การเป็นยันเดเระใส่กลางแสกหน้านักเขียน

อลัน : โง่แล้วทำไม ปล่อยให้โง่แบบนั้นก็น่ารักดีอยู่แล้วนี่ //ว่าแล้วก็เดินจากไป

นักเขียน : เดี๋ยวสิ อีกเล่มนี่ไม่คืนเหรอ //แสยะยิ้ม

อลัน : ....//ชะงักเล็กน้อยแล้วรีบจ้ำเดินออกไปให้เร็วกว่าเดิม

-------

ช่วงจิบโกโก้ตัวต่อตัวกับนักเขียน (Part - Miracle)

นักเขียน : (ยื่นแว่นสายตาให้มิราเคิล)

มิราเคิล : ให้ผมมาทำไมครับเนี่ย สมองคุณมีปัญหารึเปล่า หุ่นยนต์สายตาสั้นไม่ได้สักหน่อย

นักเขียน (คิดในใจ) : ไม่ นายนั่นแหละที่สมองมีปัญหา ทำไมถึงดูอลันไม่ออกสักทีนะ ซาตานในคราบเทวดาขนาดนั้นมองไม่ออกได้ยังไง เดี๋ยวก็โดน...หรอก //หัวเราะในลำคออย่างชั่วร้าย




---------------จบตอนที่ ๑๙



ออฟไลน์ myonlyone

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 94
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนที่ ๒๐

เปิดเทอม

ปิดเทอมผ่านพ้นเปิดเทอมมาเยือน มิราเคิลไม่ได้เห็นอลันในชุดนักเรียนนานแล้ว ทำให้ตอนนี้เมื่อคนตัวเล็กกว่าเดินออกจากห้องในชุดเครื่องแบบจึงไร้ซึ่งภูมิต้านทานความหล่อน่ารักชวนใจละลายโดยสิ้นเชิง

อยากกอด อยากรัด อยากฟัดให้จมแก้มนุ่มสักหลายๆ ที

มิราเคิลจัดแต่งทรงผมอลันให้เข้าที่ขณะกินข้าวเช้า หลังจากสำรวจความเรียบร้อยไปรอบหนึ่ง พวกเขาสองคนจึงออกเดินทางไปยังตึกเรียน

หลังจากดูหนังด้วยกันคราวนั้นแล้วอลันไม่ได้พาเขาออกไปไหนอีก วันทั้งวันหากไม่ขลุกอยู่ในห้องทำงานหรือนั่งเล่นดูละครเป็นเพื่อน อลันก็มักจะหายไปยังห้องของคนสติไม่ดีด้านข้าง หรือไม่ก็ไปประชุมเรื่องกิจกรรมกระชับมิตรระหว่างโรงเรียนกับคนอื่นๆ และทุกครั้งอลันมักกำชับให้เขาอยู่แต่ในห้องอย่าไปไหนเสมอ

นี่เขากำลังถูกเด็กรุ่นราวคราวลูกกักบริเวณ?

ถึงจะบอกแบบนั้นแต่อลันไม่ได้ห้ามเขาเป็นจริงเป็นจังนัก พออยู่ในห้องจนเบื่อมากเข้ามิราเคิลจึงแอบดอดไปเดินเล่นบริเวณแถวรอบหอพัก เหลืองปรีดียาธรออกดอกสะพรั่งเต็มต้น บรรยากาศร่มรื่น ทิวทัศน์งดงาม ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เขาจิตใจสงบ

แอบหนีไปข้างนอกได้ไม่เท่าไหร่สุดท้ายก็โดนจับได้โดยเด็กตาแหลม หลักฐานคือกลีบดอกไม้สีเหลืองที่ตกลงมาโปะทับซุกซ่อนอยู่ในเส้นผม

อลันมองกลีบดอกไม้ในมือ นิ่งเงียบราวครุ่นคิดบางอย่าง สุดท้ายเอ่ยขอโทษมิราเคิลเสียงแผ่วด้วยสีหน้าเศร้าสลด

“ฉันไม่ควรจำกัดอิสระนายไว้ ขอโทษนะ” การอยู่ตัวคนเดียวทั้งเงียบเหงาและว้าเหว่ เรื่องนี้คนที่อยู่ตามลำพังมานานอย่างเขาน่าจะเข้าใจความรู้สึกนั้นดีแท้ๆ

อลันเดินเข้าไปกอดเอวมิราเคิล ซุกหน้าลงบนอก พลางบ่นงึมงำว่าอย่าทิ้งเขาไป

มิราเคิลตกใจกับความอ่อนไหวไม่รู้ที่มาของเด็กชายตรงหน้า สุดท้ายเลยจับอีกฝ่ายอุ้มขึ้นนั่งตักพาดูการ์ตูนผ่อนคลายอารมณ์ บางทีอลันอาจทำงานหนักจนเครียดมากก็เป็นได้

อีกอย่างเขาไม่ได้รู้สึกเหมือนถูกจำกัดอิสระอะไรอย่างที่อลันพูดเลยสักนิด แน่นอนว่าเขาโตแล้ว อายุมากกว่าอีกฝ่ายเป็นเท่าตัว แค่คำพูดแง่งอนไร้อำนาจและความน่าเกรงขามแบบนั้นจะสั่งการอะไรเขาได้หากเขาไม่เต็มใจปฏิบัติตาม

รถรับส่งเสียเงินภายในโรงเรียนยังคงทำหน้าที่ได้ดี ออกตัวอย่างนุ่มนวล จอดถึงที่หมายอย่างนุ่มนวล และปล่อยผู้ใช้บริการลงอย่างนุ่มนวลตราบใดที่มันได้รับเงินตรงตามจำนวน

ผู้ชายต่างวัยสองคนยังโดดเด่นดึงดูดสายตาผู้อื่นเสมอ ด้วยใบหน้านั้นเป็นเรื่องยากที่คนรอบข้างจะมองเมินพวกเขา มีกลุ่มผู้หญิงสองคนเดินมาทักทายแล้วยื่นขนมให้อลันแลกกับการหยิกแก้มกลมสักทีสองทีด้วยความเอ็นดู

อลันเป็นที่รักและเอ็นดูของเหล่าสาวน้อยใหญ่มาตั้งแต่วันปฐมนิเทศแล้ว ถึงขนาดมีชมรมแฟนคลับไม่เป็นทางการตั้งขึ้นมาอย่างลับๆ ขนมภายในห้องส่วนใหญ่เป็นอลันได้มาจากหญิงสาวเหล่านี้ทั้งสิ้น พอปิดเทอมเหล่าแฟนคลับไม่ได้พบเจออลันบ่อยนักส่งผลให้ขนมที่เคยได้รับมาถูกกินจนหมดไปนานแล้ว แต่หลังจากนี้คลังขนมเหือดแห้งคงถูกเติมเต็มจนกลับมาล้นห้องตามเดิม

แฟนคลับของอลันและคนใกล้ชิดรู้กันนานแล้วว่าหนุ่มหล่อที่มักเดินไปไหนมาไหนกับอลันนั้นหาใช่มนุษย์ไม่ มิราเคิลจึงเปรียบเสมือนรูปปั้นเดินได้ที่มีให้สาวๆ เสพออร่าความหล่อเหลาชวนใจละลายจนอิ่มหนำแล้วจากไป เรียกง่ายๆ คือเป็นแค่อาหารตาชั้นเลิศนั่นเอง

แฟนคลับของอลันคนหนึ่งเหลือบมองมิราเคิลแล้วขมวดคิ้ว สักพักจึงเบิกตากว้างราวกับตกตะลึงอะไรบางอย่าง

“อลันจ๊ะ ช่วงปิดเทอมได้พามิราเคิลไปทำอะไรมารึเปล่าเอ่ย”

อลันพยักหน้า ไม่คิดปิดบัง “พาไปถ่ายแบบให้ร้านเสื้อผ้า C&D มา”

“จริงด้วย นายแบบคนนั้นก็ว่าหน้าตาคุ้นๆ เพราะแต่งหน้าทำผมด้วยเลยไม่ค่อยแน่ใจ แต่เป็นมิราเคิลของอลันจริงๆ ด้วยสินะ ยอดไปเลย” แฟนคลับสาวประกบมือด้วยความตื่นเต้น ในดวงตาปรากฏแววชื่นชมส่งไปให้เด็กชายตัวเตี้ยกว่า

“ฉันเองก็ติดตามร้าน C&D อยู่นะ ไม่อยากเชื่อเลย ตอนปกติก็มองไม่ค่อยออกอยู่แล้วว่าเป็นหุ่นยนต์ แต่พอเอาไปถ่ายแบบแล้วยิ่งแยกไม่ออกเข้าไปใหญ่ ทั้งท่าทางและอารมณ์ที่สื่อออกมาจากภาพสะกดฉันซะจนละสายตาไม่ได้เลย” แฟนคลับอีกคนเอ่ยขึ้นระบายความตื่นเต้น

แม้บทสนทนาจะเอ่ยถึงมิราเคิล แต่พวกเธอกลับรุมล้อมอลันพลางถามถึงวิธีการว่าทำอย่างไรให้ภาพออกมาดูดีขนาดนี้ แน่นอนว่าฝีมือช่างภาพก็ส่วนหนึ่ง แต่ในฐานะแฟนคลับของอลันแล้วพวกเธอนิยมชมชอบการยกยอปอปั้นเด็กชายในดวงใจมากกว่า

เมื่อใกล้ได้เวลาเข้าเรียนจำต้องแยกจาก แฟนคลับสาวส่งสายตาอาลัยอาวรณ์ให้อลันก่อนยื่นมือบีบแก้มนุ่มนิ่มเพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการเรียน

อลันไม่ว่าอะไรเพราะชินชาจนกลายเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว ได้ขนมมาฟรีโดยไม่ต้องออกไปซื้อเองแลกกับการบีบแก้มนิดหน่อยไม่ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ แต่ดูเหมือนหุ่นยนต์ข้างกายจะไม่พอใจถึงขั้นขมวดคิ้วลง

มิราเคิลประคองใบหน้าอลันให้หันมา นิ้วโป้งลูบก้อนกลมสองข้างที่ปรากฏรอยแดงของนิ้วมือแล้วรู้สึกสะท้อนใจ

“ขึ้นรอยมือหมดแล้ว เจ็บรึเปล่าครับ”

อลันส่ายหัว “ชินแล้ว”

อันที่จริงสาวๆ เหล่านั้นไม่ได้ดึงแก้มเขาแรงนัก แต่อาจเป็นเพราะผิวของเขาทั้งขาวและบอบบางจึงทำให้เกิดรอยง่าย หากปล่อยทิ้งไว้สักพักมันจะจางลงเอง

การเรียนการสอนวันนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย เกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพชิ้นส่วนอะไรสักอย่างที่มิราเคิลฟังไม่เข้าใจและจดจำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาโง่ แต่เป็นเพราะเรื่องที่สอนเกินกว่ามนุษย์สามัญธรรมดาจะทำความเข้าใจได้ ลองจับคนปกติทั่วไปมานั่งเรียนแบบเขาดูสิ รับรองว่างีบหลับไปตั้งแต่สิบนาทีแรก ฉะนั้นในฐานะวิญญาณสิงสู่ในร่างหุ่นยนต์ที่กินไม่ได้นอนไม่หลับจึงทำเพียงมองอลันบ้างคนอื่นบ้างแก้เบื่อ ปล่อยให้เสียงครูผู้สอนหน้าชั้นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาลอยหายไปกับสายลม

หมดคาบเรียนอลันถูกครูดาวเหนือเรียกตัวไปพร้อมกับนักเรียนบางส่วน เจย์ แบรดฟอร์ดเป็นหนึ่งในนั้น อีกฝ่ายทำเพียงมองอลันด้วยหางตาแล้วไม่สนใจอีก ความไม่เป็นมิตรแผ่พุ่งออกมาแสดงความเป็นศัตรูชัดเจน

“คนคนนั้นยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะครับ” มิราเคิลเปรยขึ้นมา ตั้งแต่แรกเป็นเจย์ที่ตั้งตนรังเกียจพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียว จะรังเกียจก็รังเกียจไป ตราบใดที่ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกันเขาก็ไม่คิดวุ่นวายด้วย

คราวนี้เป็นครั้งแรกที่มิราเคิลได้เข้าร่วมประชุมการวางแผนงานกิจกรรมกระชับมิตรระหว่างโรงเรียน แต่ละกลุ่มแยกตัวออกไปประชุมคนละห้อง ระหว่างทางพวกเขาพบกับมินะ สาวคณะนิเทศ สาขาการแสดง ผู้เป็นหนึ่งในแฟนคลับตัวยงของอลัน เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกันมินะจึงไม่มีขนมมาฝากเช่นยามปกติ เธอเอามือตบตามตัวก่อนจะล้วงมือเข้าไปหยิบลูกอมแท่งส่งให้อลัน

“ขอโทษน้า~ อลันคุง พี่มีแค่นี้เอง เดี๋ยววันหลังจะชดเชยให้นะจ๊ะ” มือหนึ่งถือลูกอม อีกมือยกขึ้นตั้งคล้ายพนมมือข้างเดียว ใบหน้าก้มลง ดวงตาช้อนขึ้นเว้าวอนร้องขอการอภัย แต่หากมองลึกลงไปยังฉายแววซุกซนขี้เล่นอยู่ในที

“งั้นครั้งหน้าเอาช็อกโกแลตยี่ห้อลาล่านะ อันนั้นอร่อยมากเลย”

“ได้จ้า”

นอกจากจะไร้ซึ่งความเกรงใจแล้ว ยังรีเควสขนมที่อยากกินอีกต่างหาก เด็กคนนี้นี่ช่าง... มิราเคิลคิด หากเป็นเด็กคนอื่นใครหลายคนคงไม่แคล้วตำหนิเด็กเอาแต่ใจแบบนี้ในใจเป็นแน่ แต่สำหรับอลัน ในจังหวะที่ทำท่าทางแบบนั้น ดวงตาสีฟ้ายิ่งกลมโตเข้าไปอีก ประกอบกับรอยยิ้มเจิดจ้าบริสุทธิ์ราวกับเทวดาตัวน้อยแล้วนั้น…

ใครจะต้านทานไหว

มินะบีบแก้มนุ่มอลันยืดไปมาสองทีก่อนขอตัวลาเข้าห้องประชุม อลันเองหลังจากรับลูกอมแล้วก็แกะกินทันทีจากนั้นเดินเข้าห้องประชุมด้านในสุดไป

“อลันไม่ได้ประชุมห้องเดียวกับคุณมินะหรอกเหรอครับ”

“ไม่นะ” อลันส่ายหัว “ฉันเป็นนักประดิษฐ์ ส่วนมินะเป็นนักแสดง งานที่รับผิดชอบก็คนละส่วนกัน ไหนนายลองบอกความเกี่ยวข้องของพวกเราในงานกระชับมิตรระหว่างโรงเรียนมาหน่อยซิ”

“เอ่อ...” มิราเคิลอ้ำอึ้ง สุดท้ายเลือกคำตอบที่คิดว่าน่าจะใช่ที่สุดลงไป “สร้างหุ่นยนต์นักแสดงหรือไม่ก็อุปกรณ์ที่ช่วยในการแสดง อะไรแบบนี้รึเปล่าครับ”

อลันอึ้งค้างไปหนึ่งวิ ก่อนวินาทีต่อมาจะหัวเราะลั่น “นั่นสิ ความเกี่ยวข้องรูปแบบนั้นก็มีอยู่นี่นา”

เมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้า ครูดาวเหนือผู้เป็นคนรับผิดชอบกลุ่มได้เริ่มประชุมต่อเนื่องจากคราวก่อน จอยักษ์ฉายภาพแผนผังสิ่งก่อสร้างสามมิติ มิราเคิลพอจับใจความได้บ้างว่ากิจกรรมกระชับมิตรระหว่างโรงเรียนในครั้งนี้พวกเขามีแผนสร้างบอร์ดเกมจำลองขนาดคนจริงมุดเข้าไปเล่นได้ทั้งตัว

“เกมแนวต่อสู้น่ะ ในฐานะวิศวกรรมเครื่องกลผู้มีรูปร่างบอบบางอย่างพวกเราแล้ว แน่นอนว่าต้องสร้างหุ่นยนต์ไปสู้แทน” อลันอธิบายเพิ่มเติม

“ไหนจะสร้างสนามประลองไหนจะสร้างหุ่นยนต์ ไม่หนักไปเหรอครับ”

“แน่นอนว่าต้องหนัก แต่กำลังคนสร้างของเราก็มีเยอะเช่นกัน ที่เหลือรอครูดาวเหนือแบ่งงานเสร็จค่อยไปแบ่งหน้าที่กันในกลุ่มอีกที หลังจากนี้ฉันคงไม่มีเวลาเที่ยวเล่นอีกนานเลย”

“ถ้ามีอะไรที่ผมพอช่วยได้ก็บอกนะครับ”

“อื้ม แน่นอน”

“แล้วโครงการที่ร่วมมือกับอีธาน...”

“ของหมอนั่นเอาไว้ก่อน ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร ฉันบอกเรื่องนี้กับอีธานแล้ว”

หลังจากวันนั้นมิราเคิลก็ไม่ได้เข้าร่วมประชุมอีก อลันให้เหตุผลว่าหลังเลิกเรียนต้องยุ่งกับการลงมือสร้างสนามประลอง ไม่มีเวลาดูแลมิราเคิลมากพอ อีกอย่างกว่าจะทำงานเสร็จก็ดึกแล้ว กลับบ้านไปอยากกินอาหารร้อนๆ ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ ตบท้ายยังไม่วายหยอกเย้าเขาอีกหนึ่งประโยคว่า ‘...นะ คุณภรรยา’

จนตอนนี้มิราเคิลเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภรรยาสาวที่กำลังรอคอยสามีกลับบ้านขึ้นทุกวันแล้ว จะว่าไปตั้งแต่มาอยู่ในโลกนี้เขาเคยทำอะไรต่างจากหน้าที่ของภรรยาบ้าง ทำความสะอาดบ้าน ล้างจาน (โดยใช้เครื่องล้างจานอัตโนมัติ) ทำอาหาร ช่วยอลันแต่งตัวไปเรียน... ไม่สิ พอคิดถึงอลันแล้ว บางทีคำว่าพ่อบ้านพ่อเรือนน่าจะเหมาะสมกว่า เห็นอลันแล้วให้อารมณ์เหมือนมีลูกชายหนึ่งคนและตนเองเป็นคุณพ่อวัยเกษียณก่อนกำหนด เพราะบังเอิญมีลูกชายคอยเลี้ยงดูอีกทั้งยังเก่งกล้าสามารถจนทำงานหาเงินได้เร็วก่อนวัยอันควรเท่านั้นเอง



วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่มิราเคิลกลับหอมาด้วยตัวคนเดียว ด้านล่างหอพักมีนักเรียนคนอื่นนั่งผ่อนคลายกันเป็นกลุ่ม คนเหล่านี้แม้จะอยู่หอเดียวกันแต่อลันกลับไม่เคยทำตนสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ เว้นแต่...

“เฮ้! เจ้าหุ่นป่าเถื่อน ทางนี้ๆ”

เสียงแปดหลอดอันเป็นเอกลักษณ์พร้อมอากัปกิริยาโบกมือไปมาโดดเด่นท่ามกลางหมู่ผู้คน ไม่จำเป็นต้องมองหาก็รู้ได้ทันทีว่าอีธานนั่งอยู่ตรงตำแหน่งไหน มิราเคิลแปลกใจ ปกติอีกฝ่ายเข็ดขยาดจนไม่อยากเข้าใกล้เขาเท่าไหร่นัก ทำไมวันนี้ถึงใจดีสู้เสือตะโกนเรียกเขาไปหาได้ล่ะเนี่ย

พอเหลือบมองไปด้านข้างถึงได้เข้าใจ มีเอลวิสผู้ดูแลหอสามนั่งอยู่ด้วยนี่เอง

มิราเคิลเดินตามเสียงเรียกนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม บนโต๊ะมีข้าวกล่องจากตู้ขายอาหารอัตโนมัติวางอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นเวลาอาหารเย็นแล้ว

“ไง กลับมาคนเดียวโดนเจ้าตัวเล็กทิ้งมาเหรอ” อีธานพูดขณะพุ้ยข้าวเข้าปากคำโต เม็ดข้าวบางส่วนกระเด็นกระจายเกลื่อนโต๊ะ

“เฮ้ย! ไอ้เจ้าบ้า สกปรกชะมัดเลย” เอลวิสรีบยกกล่องข้าวตนขึ้นหนี มือหยิบกล่องทิชชูบนโต๊ะโยนใส่อีธาน “กินข้าวให้หมดก่อนค่อยพูด เป็นแบบนี้อีกหน่อยอย่ามาเรียกฉันร่วมโต๊ะด้วยนะ”

“งั้นผมไปกินกับคนอื่นก็ได้” อีธานบ่นงุบงิบ ปากพูดแบบนั้นแต่ยังคงไม่ลุกไปไหน มือเช็ดทำความสะอาดเก็บเศษข้าวเรียบร้อย ทิ้งเพียงคราบอาหารมันเลื่อมไว้เป็นทางยาว

มิราเคิลมองภาพนั้นด้วยสายตายากจะอธิบาย ในค่ายทหารที่เขาเคยอยู่ทหารแต่ละคนเรียกได้ว่ามีกิริยาการกินอาหารไม่ชวนมอง แย่กว่าอีธานหลายเท่านัก แต่พออยู่กับอลันนานเข้าเขาเริ่มซึมซับสมบัติผู้ดีจนรับท่าทางการกินของอีธานไม่ได้เสียแล้ว

“ซกมก” มีเพียงคำนี้คำเดียวที่เขามอบให้อีธานได้

คนโดนหุ่นยนต์ว่าเบิกตาโต คราวนี้อีธานรีบเคี้ยวกลืนข้าวจนหมดก่อนเปิดปากเถียง “ซกมกอะไรของนาย ไปดูห้องฉันก่อนเหอะว่าสะอาดแค่ไหน”

“ผมเก็บกวาดห้องอลันได้สะอาดกว่าห้องคุณ”

“นายนี่มัน...” อีธานชี้นิ้วกัดฟัน หุ่นยนต์สมัยนี้ทำไมเถียงเก่งนักนะ เรียกว่าเจ้าของเป็นยังไงหุ่นยนต์ที่สร้างมาก็เป็นอย่างงั้นรึเปล่า เรื่องเล็กน้อยอย่างงานบ้านยังเอามาข่มคนอื่นได้

เขายังจำได้ดีตอนจะจับคนตัวเล็กมาสอนมารยาทพื้นฐานทางสังคม นอกจากอีกฝ่ายจะปฏิเสธความหวังดีของเขาอย่างไร้เยื่อใยแล้ว ยังส่งสายตามองมาราวกับเขาเป็นหนอนแมลงตัวหนึ่ง จากนั้นยังพูดข่มกลับมาอีกสองดอก

‘เรื่องคุยธุรกิจวางตัวกับลูกค้า นายไม่ต้องมาสอน ฉันรู้ว่าควรทำยังไง เรื่องนี้ฉันเก่งกว่านายเยอะ’ นั่นคือดอกแรกที่อลันส่งมา ส่วนดอกที่สองอลันขู่ว่าหากตามตื๊อจะสอนมารยาทไร้สารอะไรนั่นอีก โพรเจกต์ที่ร่วมมือกันสองคนถือเป็นอันยกเลิก

เห็นไหม ช่างเป็นเด็กที่ร้ายกาจอะไรเช่นนี้ หุ่นยนต์ก็ย่อมมีนิสัยไม่ต่างกับคนสร้างมันนั่นแหละ!

“แล้วที่เรียกผมมามีอะไรเหรอครับ” มิราเคิลถาม

“อ้อ นี่ๆ นี่ไง คุณเอลวิส ผมยืมโทรศัพท์หน่อยสิ”

“ไม่ต้องเลย มือนายเปื้อน เดี๋ยวโทรศัพท์ฉันเลอะหมด” เอลวิสหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา จิ้มหน้าจอไม่กี่ทีแล้วยื่นส่งไปตรงหน้ามิราเคิล

หนุ่มผู้ครอบครองใบหน้ายูนิเซ็กส์กับดวงตาเจ้าชู้พราวเสน่ห์ในชุดและอิริยาบถต่างๆ ปรากฏตรงหน้า หากมิราเคิลจำไม่ผิดนั่นมันเขานี่!

“ทำไมเหรอครับ” แม้จะเห็นภาพเหล่านั้นแล้วมิราเคิลยังคงไม่เข้าใจ ภาพพวกนี้มีอะไรผิดปกติ?

เอลวิสดึงมือถือกลับก่อนเอามือสองข้างอุดหูเตรียมพร้อม เป็นจังหวะเดียวกับที่อีธานใช้ฝ่ามือทุบโต๊ะลุกขึ้นยืนตะโกนลั่น

“ทำไมงั้นเหรอ?! ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าทำไมนายไปเป็นนายแบบถ่ายเสื้อผ้าให้ร้าน C&D ได้!!”

ชั้นล่างอันเป็นแหล่งรวมตัวผู้คนของหอสามพลันเงียบสงัด ดวงตาหลายคู่จับจ้องมายังอีธานเป็นตาเดียว ก่อนที่ถุงเท้าข้างหนึ่งจะลอยแหวกอากาศโปะลงบนหัวชายหนุ่มเจ้าของมลพิษทางเสียงอย่างพอดิบพอดี จากนั้นรองเท้าและช้อนส้อมก็ลอยตามมาเป็นพรวนพร้อมเสียงก่นด่า

“อีธาน ส่งเสียงหนวกหูอีกแล้วนะ!”

“เงียบไปเลย!”

“อยู่อย่างสงบสักวันจะตายไหม!”

ตัวต้นเหตุหลังจากถูกปาข้าวของใส่ก็รีบมุดหนีลงด้านล่างใช้โต๊ะเป็นเกราะกำบัง ส่วนเอลวิส... รายนั้นหนีหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ ดูท่าจะคุ้นชินกับเหตุการณ์เหล่านี้เป็นนิจ และมิราเคิลที่ไหวตัวไม่ทันก็โดนลูกหลงไปตามระเบียบ



---------------จบตอน


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด