Re: Be over the moon เหนือรีแอค between 90's : ตอนที่ 5 : Special make-up effect
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Re: Be over the moon เหนือรีแอค between 90's : ตอนที่ 5 : Special make-up effect  (อ่าน 1329 ครั้ง)

ออฟไลน์ BlackG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



***********************************************************************


Pre-Production

   ...จากวรรณกรรมเรื่อง The Sitting Room ของผู้เขียนนามปากกา Sol สรุปได้ว่าเรื่องนี้ แบ่งออกเป็นสองแนวคิดหลักคือการมีชีวิต ที่มีแนวคิดหักล้างคือการคาดหวัง การกระทำของตัวละคร ชี้ให้เห็นถึงการทำตามความคาดหวังจากผู้อื่น ยึดถือคติของผู้อื่นเป็นเป้าหมาย ด้วยชุดความคิดที่ว่า...หากทำตามได้หรือทำสำเร็จ จะเป็นที่ภาคภูมิใจและได้รับการชื่นชม โดยที่ตัวละครเหล่านั้น ไม่ได้นึกถึงความปรารถนาที่แท้จริงในชีวิต

   “ทำไมถึงเรื่องวรรณกรรมเรื่องนี้ล่ะ?” อาจารย์ที่ปรึกษาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ครั้นนักศึกษาตรงหน้าเล่าเรื่องย่อของวรรณกรรมจบและถามด้วยแนวคิดของเรื่องที่วิเคราะห์ได้คร่าวๆ

   “อันดับแรก เรื่องนี้เป็นหนึ่งในสี่เรื่องที่อาจารย์เลือกมาและอันดับสุดท้าย ผมจับสลากกับเพื่อนในเซค แล้วได้เรื่องนี้ครับ”

   คำตอบที่ทำเอารอยยิ้มของอาจารย์ที่ปรึกษากว้างกว่าเดิม อย่างที่เพื่อนร่วมเซคชั่นเองก็พากันหลุดขำ

   “แล้วชอบหรือไม่ชอบล่ะ”

   คำถามที่เป็นดังธรรมเนียมก่อนการวิจารณ์วรรณกรรมถูกส่งต่อมา ให้คนที่ได้รับผิดชอบวรรณกรรมเรื่องดังกล่าวต้องตอบมาแบบแทบไม่ต้องวิเคราะห์ให้มากความว่า

   “ไม่ชอบครับ”

   “เหตุผล?”

   “ผมไม่ชอบที่สุดท้ายแล้ว ตัวละครต่างก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปในแบบที่สังคมต้องการและผมก็ไม่ชอบที่คนในสังคมพยายามยัดเยียดคติ ความเชื่อเข้ามาในชีวิตมากจนเกินไปและพาลไปกดดันให้คนอื่นทำตาม แบบไม่สมเหตุสมผล”

   เขาตอบอาจารย์ไปตามตรง หลังจากได้อ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ เขารู้สึกเหมือนมีมือหนึ่งมากุมหัวใจของเขาเอาไว้ คอยบีบให้มันแน่น คอยคลายเหมือนจะให้อิสระ แต่ก็ไม่ยอมปล่อย อย่างที่เขาหายใจหายคอไม่สะดวกเอาเสียเลย

   “คำตอบของเธอคือสองในห้าของนักศึกษาที่เคยทำเรื่องนี้ พอจะอธิบายเพิ่มเติมได้ไหมว่ามีอะไรที่เธอไม่ชอบอีก”

   “ผมไม่ชอบตัวละครที่ชื่อสายชลครับ เขาเป็นคนที่มีรอยยิ้มประดับหน้าอยู่ตลอดเวลา แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความเศร้า การแสดงออกภายนอกที่ขัดแย้งกับความรู้สึกภายใน สำหรับผมแล้ว มันทรมานเสียยิ่งกว่าการหัวเราะตอนสุขและร้องไห้ตอนเสียใจอีก ทุกครั้งที่ตัวละครตัวนี้ปรากฏบนหน้ากระดาษ บรรยากาศก็ชวนหดหู่ขึ้นมาทันมี ทั้งที่เขากำลังยิ้ม ที่สำคัญ...ผมไม่ชอบที่เขาตัดสินใจหันหลังให้กับศศิน”

คำอธิบายที่ยืดยาวเสียนึกว่าคนพูดกำลังบ่น ทำให้อาจารย์ที่ปรึกษาพยักหน้าแล้วคลี่รอยยิ้ม สบตามองนักศึกษาตรงหน้าของตน

“แล้วถ้าเธอเป็นสายชล เธอจะจัดการปัญหาในเรื่องยังไง”

“ถ้าผมเป็นสายชล...” คนถูกถามนิ่งไปนิด ใช้ความคิดอีกหน่อย แล้วเอ่ยปากบอก

“...หากมองจากมุมคนอ่าน ผมคงตอบได้เต็มปากว่าผมจะยอมรับความจริงและทำตามความรู้สึกของตัวเอง แต่ถ้าในมุมมองของสายชล ผมคงทำได้แค่รักษามิตรภาพระหว่างเพื่อนเอาไว้ เพราะบริบททางสังคมของเรื่อง ในช่วงเวลานั้น...ความรักยังเป็นเรื่องของสองเพศและความเหมาะสม”

“แสดงว่าเธอยอมรับว่าบริบททางสังคมมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต”

“ครับ เพราะมนุษย์ไม่ได้มีเพียงคนเดียวในโลก อย่างน้อยลืมตาตื่นขึ้นมาก็ต้องเจอคนในบ้าน ออกไปข้างนอกก็เจอเพื่อนบ้าน จะเดินทางก็เจอคนขับรถและผู้โดยสาร จะอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนเต็มไปหมด สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์ต้องอยู่รวมกัน”

คนฟังจดบันทึกข้อมูลสำคัญไปด้วย กระทั่งคนตรงหน้าพูดจบ จึงเงยหน้าขึ้นมาถามถึงประเด็นสำคัญอีกอย่าง

“ตอนต้นเธอบอกว่าแนวคิดของเรื่องนี้ คือการมีชีวิตกับการคาดหวัง อธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น”

“เพราะในเรื่อง ตัวละครแต่ละตัวใช้ชีวิตเหมือนคนไร้ชีวิต พวกเขาต่างก็ยึดถือความต้องการของผู้อื่นเป็นแนวทางในการปฏิบัติ โดยเฉพาะกับคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่พวกเขาพยายามจะทำทุกอย่างที่พ่อแม่ต้องการ เพื่อให้พวกท่านภาคภูมิใจและชื่นชมพวกเขา เห็นได้ชัดคือสายชล...ที่ยึดความต้องการของครอบครัวเป็นหลัก แม้เขาจะรักศศินมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ยอมรับความรู้สึกนั้น...”

“ในเรื่องได้บอกเอาไว้หรือเปล่าว่าทำไมสายชลถึงไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง”

“บอกครับ ตอนที่สายชลคุยกับเพื่อนที่ชื่อพนา เขาบอกพนาว่าหากความรู้สึกที่เขามีต่อศศิน เป็นสิ่งผิดทำนองคลองธรรม เขาไม่นับว่านั่นเป็นความรัก ก่อนที่ศศินจะจมน้ำเสียชีวิตในเวลาต่อมา ตอนเห็นร่างไร้ชีวิตของศศิน เป็นครั้งแรกที่น้ำตาของสายชลไหลออกมา พอถึงเวลานั้น เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าทั้งหมดที่เขากับศศินรู้สึกต่อกันมันเรียกว่าความรัก”

“...”

“สุดท้าย...สายน้ำก็ทำได้เพียงแค่กอดเงาของพระจันทร์เอาไว้ ในเวลาที่พระจันทร์ขึ้นไปอยู่บนฟ้า ระยะทางที่ห่างไกลแบบที่สายน้ำไม่สามารถเอื้อมถึงจันทร์ได้ ได้แต่เฝ้ามองกันและกันในยามค่ำคืนที่พระจันทร์มีโอกาสปรากฏต่อหน้าสายน้ำเท่านั้น”   

อาจารย์ที่ปรึกษาพยักหน้ารับ ขณะมือก็จดข้อความสำคัญลงบนหน้ากระดาษไปด้วย หน้าที่ของเธอตอนนี้ คือการช่วยลูกศิษย์หาแนวทางในการวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณกรรมที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ก่อนที่จะลงลึกในส่วนของข้อมูลอื่นๆ ต่อไป   

“เท่าที่ฟังแล้ว ถือว่าเธอเข้าใจเรื่องทั้งหมด แต่ในส่วนของการวิเคราะห์ อาจารย์จะเริ่มจากตัวละคร ดังนั้น ให้ไปทำการบ้านมาเสนอในส่วนของลักษณะภายนอกและนิสัยของตัวละคร เลือกมาแค่ 2 ตัวละครหลักนะ แล้วนำมาเสนอในคลาสสัปดาห์หน้า”

หลังจากมอบหมายภาระงานเสร็จสรรพ นักศึกษาคนสุดท้ายก็ออกมาเตรียมการบรรยายหน้าห้องต่อ ขณะที่อาจารย์และเพื่อนที่เหลือนั่งรอฟังแนวคิดจากวรรณกรรมอีกหนึ่งเรื่อง



ขณะเดียวกัน...ที่ห้องเรียนฝั่งตรงข้าม ที่มีนักกลุ่มนักศึกษาสามคน กับอาจารย์หนุ่มวัยสามสิบห้าปี กำลังเสวนากันเรื่องวิทยานิพนธ์ ของนักศึกษาชั้นปีที่สี่ จนเวลาล่วงเลยมาสักพักใหญ่ จนมาถึงนักศึกษาคนสุดท้ายที่กำลังยืนบรรยายเกี่ยวกับวรรณกรรมที่ตนได้รับเลือก

ราเมศวร์ยังคงจดจ่ออยู่กับข้อมูลสำคัญที่นักศึกษาในการดูแลของตนกำลังอธิบาย ขณะที่มือก็ถือดินสอเพื่อเตรียมบันทึกข้อมูลสำคัญลงบนหน้ากระดาษ

ตลกร้าย คำนิยามที่เหมาะสมที่สุดกับวรรณกรรมเรื่อง Le magasin des suicides ประพันธ์โดย Jean Tuele วรรณกรรมที่ดึงทุกความรู้สึกมาไว้ตรงกลาง เรื่องราวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายที่ไม่ได้หดหู่ ไม่มีความเศร้า ออกแนวติดตลกขบขัน แต่ก็...ขำไม่สุด สิ่งที่น่าสนใจก็คือการนำวิธีการฆ่าตัวตายและอุปกรณ์ต่างๆ มาเสนอผ่านรูปแบบคอมมิค เป็นเทคนิคการเล่าเรื่องที่ช่วยลดทอนความรุนแรงของการฆ่าตัวตาย ไม่มีการจูงใจว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งผิดหรือถูก หากกลับมุ่งประเด็นไปยังการตายอย่างมีชั้นเชิงและการสร้างศิลปะการฆ่าตัวตายที่งดงามที่สุด ผ่านการใช้อุปกรณ์และวิธีการที่แตกต่างกันออกไป หากท่ามกลางเรื่องราวการตายของลูกค้าที่แวะเวียนมาอย่างไม่มีทางซ้ำหน้านั้น กลับเติมสีสันและแสงสว่างเข้ามาในเรื่องผ่านตัวละครที่ชื่อว่าอลัน ศัตรูคู่แค้นของ มิชิมา

มิชิมาคือตัวแทนของดวงตาที่จมอยู่กับความมืดมิด จนนึกคิดไปเองว่าความมืดมนคือการมีชีวิต ความเจ็บปวดคือสิ่งที่ควรและความตายคือสิ่งที่งดงาม บทเพลงในงานศพคือเสียงที่ไพเราะที่สุดและการฆ่าตัวตายคือศิลปะของชีวิต

ขณะที่อลัน ลูกชายคนเล็กของเขาที่เกิดมาผิดแผกจากครอบครัว ตั้งแต่รอยยิ้มเปื้อนหน้า เสียงหัวเราะ การร้องเพลงและเหนือสิ่งอื่นใด เขาพยายามจะทำลายสินค้าสำหรับการฆ่าตัวตาย ที่วางขายในร้านขายของชำของครอบครัว แม้นในยามเกิดเรื่องร้าย เขาคือคนเดียวที่มองเห็นแสงสว่างที่ลอดเข้ามา

ความแตกต่างดำเนินไปท่ามกลางความขัดแย้ง เมื่อฝ่ายหนึ่งพยายามคลายเชือกที่รั้งคอเอาไว้ ขณะที่อีกฝ่ายพยายามผูกเชือกให้แน่นขึ้น ท่ามกลางความสับสนของคำถามระหว่างความตายคืออะไรและการมีชีวิตอยู่คืออะไร

จนสุดท้ายดวงตาที่พร่ามัวของมิชิมาก็เริ่มปรับรับแสงแห่งวันใหม่ได้ ทว่ามันกลับเป็นวันที่อลันเลือกที่จะปล่อยมือจากคนในครอบครัวไป

“แล้วแนวคิดของเรื่องนี้คืออะไร”

คำถามแรกถูกเอ่ยออกมาจากปากของราเมศวร์ หลังจากการบรรยายข้อมูลวรรณกรรมคร่าวๆ ได้สิ้นสุดลง เขายิ้มให้กับนักศึกษาตรงหน้า แสดงท่าทีสบายๆ อย่างที่ช่วยคลายบรรยากาศตึงเครียด เพื่ออีกฝ่ายสามารถตอบคำถามได้อย่างเต็มที่

“คุณค่าของชีวิตและการฆ่าตัวตายครับ เห็นได้จากการที่ตัวละครแต่ละตัวให้ค่ากับชีวิตที่ต่างกันออกไป อย่างมิชิมา...เขาให้ชีวิตเพื่อสืบทอดกิจการจากบรรพบุรุษ ขณะที่อลัน...เขามีชีวิตอยู่เพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดของครอบครัว วินเซนต์...เขามีชีวิตเพื่อการทำงาน แม้แต่กับมาริลีน...เธอก็มีชีวิตเพื่อความรัก...”

“แล้วแนวคิดการฆ่าตัวตายล่ะ”

“แนวคิดนี้ปรากฏชัดที่สุดครับ ทั้งในส่วนของเนื้อหา การดำเนินเรื่อง บรรยากาศ ที่เต็มไปด้วยความหดหู่และผู้คนจำนวนมากที่พากันฆ่าตัวตาย เพราะปัญหาในแต่ละวันที่ต้องเผชิญ”

ราเมศวร์เขียนบางอย่างลงในกระดาษ ได้สักพัก จึงเอ่ยถามนักศึกษาตรงหน้าต่อ

“คุณชอบตัวละครตัวไหนมากที่สุด”

เป็นคำถามที่เน้นไปในทางแสงความคิดเห็นส่วนตัว หากแต่ยังต้องอ้างอิงกับตัวเรื่องให้ได้มากที่สุด

“ผมชอบวินเซนต์ครับ...” และคำตอบที่ทำเอาราเมศวร์เลิกคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างนึกประหลาดใจ อย่างที่คนตรงหน้าเขานิ่งไปนิด..เพราะแม้ว่าจะอ่านวรรณกรรมเรื่องนี่จบไปหลายรอบและมีคำตอบอยู่ในใจ แต่ก็ต้องพยายามหาเหตุผลมาอธิบายความชอบของตนให้ได้

“...เขาเป็นพี่ชายคนโตที่พยายามทำทุกอย่างตามที่พ่อสั่ง คนที่มักจะได้รับคำชื่นชมจากพ่อเสมอ แต่เขาต้องเผชิญกับอาการปวดหัวตลอดเวลา เพราะเขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์สำหรับการฆ่าตัวตายที่เจ๋งที่สุด”

“ทำไมถึงชอบเขาล่ะ”

“ผมมองว่าเขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นและเพียรพยายามในการทำทุกอย่าง แม้ว่าการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์สำหรับการฆ่าตัวตาย จะไม่ใช่งานที่เขาต้องการ แต่เขาก็ทุ่มเทจนกว่ามันจะสำเร็จ แม้จะแลกมาด้วยการที่เขาต้องทนปวดหัวทุกวันก็ตาม...”

ราเมศวร์ครุ่นคิดตามคำพูดของอีกฝ่ายแล้วได้แต่ยิ้ม รู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นแรงกับมุมมองใหม่ที่เพิ่งจะได้รับรู้เมื่อครู่

“...ถึงแม้ตอนสุดท้าย ครอบครัวของเขาจะเลิกทำกิจการขายสินค้าสำหรับฆ่าตัวตาย เขาก็ยังทุ่มเทช่วยงานครอบครัวที่เปลี่ยนมาเปิดร้านขายเครปแทน มันทำให้ผมเห็นว่าการทำงานคือเป้าหมายที่แท้จริงสำหรับเขาและเขาก็ทุ่มเททำทุกอย่างให้ดีที่สุด”

พี่ชายคนโตที่ทุ่มเททำงาน...เพราะงานคือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า

ราเมศวร์ลอบยิ้มกับข้อสรุปนั้น หากกลับยิ้มไม่สุด มือหนึ่งจับกระดาษบันทึกคะแนนเอาไว้ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ขยับปากกาเขียนข้อความพร้อมคะแนนลงไป อย่างที่คิดไปว่าบางทีการได้ฟังความคิดวิเคราะห์วิจารณ์วรรณกรรมจากมุมมองของคนอื่น...ก็ให้มุมมองแปลกใหม่สำหรับเขา

แม้มันจะเป็นเรื่องเดิมก็ตาม

หลังจากมอบหมายภาระงานเสร็จสรรพ ราเมศวร์ก็เก็บข้าวของเดินออกมาจากห้องเรียน ระหว่างนั้น ที่ประตูห้องเรียนบานตรงข้ามเปิดออก สองในสี่ของนักศึกษากำลังปรึกษาเรื่องวิทยานิพนธ์กับอาจารย์ของตัวเอง ขณะที่อีกสองคนกำลังยกมือไหว้เขา

“เป็นยังไงบ้างสุขิต ไหวไหม”

ราเมศวร์เอ่ยปากถามนักศึกษาที่อยู่ในความดูแลของตน อย่างที่อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มมาให้ สีหน้าอ่อนเพลียบ่งบอกว่าก่อนหน้านี้แทบจะไม่ได้พักผ่อน

“ไหวครับ อย่างน้อยวิชานี้ก็มีสิ่งที่ผมถนัดบ้าง” คำตอบของพระคุณที่ทำเอาราเมศวร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“ปีสุดท้ายแล้วสิ ทำให้เต็มที่นะ” เขาบอกได้เพียงเท่านั้น ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา เขาเองก็เป็นห่วงลุกศิษย์ของตนอยู่ไม่น้อย เพราะเด็กแต่ละคน ล้วนมีความต่าง ไม่ว่าจะความถนัดหรือมุมมองความคิด เขาจึงต้องพยายามช่วยเหลือให้ลูกศิษย์ของตนก้าวข้ามอุปสรรคและไปถึงเป้าหมายของตนได้ ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะมีจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตาม 

“ขอบคุณครับ งั้นผม...ไปเรียนก่อนนะครับ”

ราเมศวร์พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะบอกให้นักศึกษารีบไปเรียนต่อ ขณะที่ตนต้องรีบกลับไปเก็บข้าวของที่ห้องทำงาน เพื่อไปให้ทันตามนัดมื้อเย็นกับครอบครัววันนี้

(มีต่อ...)


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-12-2020 16:43:19 โดย BlackG »

ออฟไลน์ BlackG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
         
         (ต่อ.....)

         ภายในห้องอาหารที่ครอบครัวควรจะอยู่กันพร้อมหน้า หากเก้าอี้ที่ประจำของลูกชายคนเล็กกลับว่างเปล่า ให้ชายวัยเจ็ดสิบปีที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะถึงกับถอนหายใจ

   “คุณราเชนทร์ติดธุระ ฝากมาบอกว่าให้รับประทานอาหารกันก่อนได้เลยค่ะ ไม่ต้องรอ”

   หัวหน้าแม่บ้านวัยหกสิบปีเอ่ยบอกด้วยท่าทีนอบน้อม อย่างที่ชวพลก็พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ให้หัวหน้าแม่บ้านถอยกลับไปยืนพักอยู่ทางด้านข้างโต๊ะอาหาร

   “ไปพักก่อนเถอะครับ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวผมจะเรียก” ราเมศวร์เอ่ยบอก เหมารวมไปถึงคนรับใช้ที่เหลือ ซึ่งกำลังยืนรอเจ้านายรับประทานอาหารเย็น เขาเกรงใจที่ต้องให้ใครมายืนรอจนจบมื้ออาหาร

   “ขอโทษแทนเจ้าเชนทร์มันด้วยนะ” เสียงนุ่มทุ้ม หากดูอ่อนล้าว่าออกมาแบบนั้น ขณะสายตามองตรงไปทางชายหนุ่มวัยสามสิบหกปี คนที่ชวพลรับเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กเพราะเป็นลูกชายของเพื่อนสนิท ซึ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายสิบปีก่อน

   อย่างที่ราเมศวร์เองก็มองตรงไปทางฝ่ายตรงข้าม ซึ่งกำลังยิ้มอย่างสุภาพให้กับผู้อุปถัมภ์ที่รับเลี้ยงและส่งเสียเลี้ยงดูตนทุกอย่าง ที่ตนได้เรียนหนังสือจนจบปริญญาเอก มีงานทำ มีเงินเดือนพอเหลือใช้แบบสบายๆ นับว่าเป็นบุญคุณที่คนโปรดคงไม่อาจจะลืมได้ลง

   “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” คนโปรดเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มแสนอ่อนโยน อาวุธที่ทำให้ใครหลายคนต่างหลงเอ็นดูเขา

   “ได้ข่าวว่าพี่โปรดจะกลับมาช่วยงานที่บริษัทของพ่อหรือครับ”

   “ครับ ผมอยากทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับคุณชวพล หลังจากเรียนจบแล้ว ก็อยากจะกลับมาช่วยงานท่านให้ได้มากที่สุด”

   คำตอบของลูกบุญธรรมที่ยังคงยึดมั่นในจุดมุ่งหมาย ที่มีมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีที่อายุครบยี่สิบปี กระทั่งเรียนจบปริญญาเอกจากต่างประเทศดังที่ใจหวัง ครั้งนี้จึงกลับมาเพื่อตอบแทนพระคุณบุคคลที่เปลี่ยนชีวิตของเขาให้ดีขึ้น

   “ฉันจะให้ปรารภคอยสอนงานให้ก่อนนะ เพราะตอนนี้ทางบริษัทกำลังมีการปรับเปลี่ยนแผนงานใหม่ รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ธุรกิจสตรีมมิ่งโตเร็วมาก...”

   ท้ายประโยค ชวพลเอ่ยเป็นเชิงถามความคิดเห็นให้คนโปรดพยักหน้ารับคำ อย่างคนที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว

   “...นั่นแหละ ทางบริษัทจึงต้องปรับแผนงาน ไม่ใช่เพื่อความอยู่รอด แต่ต้องมั่นคงสืบต่อให้ได้นานที่สุด”

   เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ชวพลกังวลมาโดยตลอด เพราะลำพังเพียงโรงภาพยนตร์ของเขา มันไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม ที่ผ่านมาเขาก็ต้องแบ่งไปลงทุนทำร้านอาหาร โรงแรมและขยายพื้นที่โรงภาพยนตร์เป็นห้างสรรพสินค้า จัดสรรทุกอย่างให้พร้อมเพื่อผู้ใช้บริการจะได้ไม่ต้องเดินทางออกไปใช้บริการที่อื่นเป็นทอดๆ ซึ่งมันก็ช่วยให้เขาประคองธุรกิจมาได้จนถึงตอนนี้...

   ทว่า...โลกของเทคโนโลยีมันเติบโตรวดเร็วมาก จนเขาต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา การแข่งขันเกิดขึ้นทุกวินาที ทั้งผู้แข่งขันรายเก่าและใหม่ ที่เร่งสร้างผลงานเพื่อครองใจผู้ใช้บริการให้ได้นานที่สุด หน้าที่สำคัญที่ต้องพึงระลึกเสมอคือการรักษาลูกค้ารายเดิมเอาไว้และเพิ่มลูกค้ารายใหม่เข้ามาสู่ธุรกิจ แม้ว่าการตลาดและการบริการที่ดี จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้ธุรกิจดำเนินไปได้ แต่การปรับตัวให้ทันต่อเทคโนโลยีและนำมาให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับธุรกิจได้ ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ที่จะทำให้ธุรกิจก้าวหน้าและอยู่เหนือกว่าคู่แข่งได้

   “ยังไงก็เข้าไปเรียนรู้งานก่อน หากมีไอเดียอะไรเพิ่มเติม ก็ค่อยเสริมเหมือนทุกครั้งก็แล้วกันนะ”

   ชวพลหมายถึงช่วงเวลาที่คนโปรดมีโอกาสได้เข้ามาช่วยงาน ตอนเป็นนักศึกษาและช่วงเว้นว่างก่อนไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่ต่างประเทศ ช่วงเวลานั้น คนโปรดก็ช่วยงานทางบริษัทเต็มที่ ทุกคนต่างเอ็นดูคนโปรดและเห็นศักยภาพในตัวเด็กคนนี้ เสียงขัดแย้งเรื่องที่จะให้คนโปรดกลับมาทำงานที่บริษัทจึงมีน้อย

   หรืออาจจะมีแค่เพียงคนหรือสองคน ที่ไม่เห็นด้วยกับการเข้ามาของคนโปรด

   “ได้ครับ คุณอา...ผมจะพยายามอย่างเต็มที่ ขอบคุณที่ให้โอกาสผมนะครับ”

   ราเมศวร์ทำเพียงแค่มองสองคนที่กำลังสนทนากันเรื่องสำคัญเท่านั้น กระทั่งสายตาของคนที่โตกว่า เคลื่อนมาสบเข้า จึงคลี่ยิ้มให้อย่างเช่นเคย

   “แล้วคุณเมศวร์ล่ะครับ ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

   คำถามที่ราเมศวร์หวังเอาไว้ลึกๆ ว่าชวพลจะเป็นคนถาม หากมันกลับออกมาจากปากของคนโปรดแทน แบบที่เขารู้สึกเหมือนมีอะไรมาทุบเข้าที่หัวใจ

   “วุ่นวายนิดหน่อยครับ ผมเพิ่งจะได้รับมอบหมายให้ไปเป็นที่ปรึกษาในการทำวิทยานิพนธ์เป็นเทอมแรก แต่ก็สนุกดีนะครับ ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ...เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น”

   ท้ายประโยคราเมศวร์นึกย้อนไปถึงคำพูดของนักศึกษาในคาบเรียนช่วงบ่าย ที่เขาเองก็คิดไปว่าบางที่เรื่องราวเดิมๆ มันก็อาจจะไม่ได้สร้างความรู้สึกแบบเดิม หากเขาลองมองเรื่องราวเหล่านั้น ในมุมที่ต่างออกไป และดูเหมือนว่าเขากำลังยืนอยู่ในมุมใหม่ บนเรื่องราวเดิมๆ

   “ยินดีด้วยนะครับ ผมหวังว่าการสอนจะเป็นไปได้ด้วยดี” คนโปรดบอกด้วยสีหน้าชื่นมื่น ให้ราเมศวร์ยิ้มรับ
 
   “แน่นอนครับ มันต้องเป็นไปได้ด้วยดี...ในทุกๆ เรื่อง” ราเมศวร์ทิ้งทวนด้วยความนัย ที่คนโปรดกับชวพลเหมือนจะเดาได้รางๆ ว่าคนพูดไม่ได้หมายความถึงเพียงแค่เรื่องการสอน

   หากราเมศวร์กลับเลือกที่จะเงียบและหันเหความสนใจไปที่หลนเต้าเจี้ยวปู เมนูที่เขาบ่นกับราเชนทร์ว่าอยากกินมาหลายวันแล้ว พอได้เห็นว่ามันวางอยู่ตรงหน้าแบบนี้แล้ว ก็อดยิ้มเหมือนเด็กที่กำลังได้กินขนมหวานแสนอร่อยไม่ได้

   “ยังน่ารักกับพี่ชายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะครับ”

   คนโปรดเอ่ยปาก ยามเห็นราเมศวณ์กำลังมีความสุขกับเมนูพิเศษที่ราเชนทร์ทำเอาไว้ให้ ก่อนเจ้าตัวจะหนีหายออกจากบ้านไปเมื่อเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า

   “มีกันแค่สองคนพี่น้อง ก็ต้องรักและเอาใจใส่กันเป็นธรรมดาครับ”

   คราวนี้ ราเมศวร์ถึงกับฉีกยิ้มกว้างให้อย่างเต็มภาคภูมิ อย่างที่คนโปรดทำเพียงแค่หัวเราะเบาๆ กับคำพูดและท่าทีเช่นนั้น เว้นแต่ชวพลที่มองหน้าลูกชายคนโตด้วยความเงียบ

   ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว ที่จากสถานที่แห่งนี้ไป...

   สองเท้ายังคงก้าวไปข้างหน้า สู่บริเวณเขตคณะมนุษยศาสตร์ ทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เชิญชวนให้สายตาของผู้มาเยือน มองสำรวจรอบข้าง อย่างที่ภาพความทรงจำครั้งวันวาน หวนย้อนกลับมาฉายทับที่ละภาพ จนเรียงร้อยเป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความสุขและทุกข์ปะปนกันไป

   “ทางนี้ครับ!!”

   เสียงร้องเรียกของคนเป็นน้อง ดังเรียกสายตาคนที่เพิ่งมาถึง ซึ่งเรียนจบจากที่นี่ไปนานนับปี ให้หันไปมอง สายตาสบเข้ากับคนที่มักคุ้นกันดีตั้งแต่เกิด กำลังฉีกยิ้มกว้าง โบกไม้โบกมือเรียกเขา อย่างไม่คิดจะสนใจเลยว่าคนรอบข้างจะมองด้วยสายตาแบบไหน

   “อายบ้างไหม” คณดลว่าแล้วยีผมน้องชายฝาแฝดอย่างนึกหมั่นไส้ หากคนที่โดนทำลายทรงผมกลับไม่สนใจสักนิด หันไปทักทายคนข้างหลังเขาแทนเสีย

   “สวัสดีครับ”

   แล้วยังไม่วายหันกลับมามองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มทั้งหน้า พร้อมกับสองมือที่แบออกเหมือนเด็กกำลังขอขนม

   “ตามสัญญา”

   คำทวงสัญญาที่คนเคยเอ่ยปากรับคำไปเมื่อสองปีก่อนแทบอยากจะเข้าไปบีบแก้มน้องไปที เพราะเห็นมันเอาแต่เศร้าเหงาหงอยที่เรียนไม่ทันเพื่อน พาลคิดมากจนเกือบจะตัดสินใจลาออก ตอนนั้นเขาเองแค่อยากจะให้กำลังใจ จึงคอยให้คำปรึกษาจนมันเริ่มหาทางออกให้กับชีวิตตัวเองได้ เขาเลยบอกกับมันว่าถ้าเรียนจบเมื่อไหร่ จะเลี้ยงขนม...เพื่อเป็นรางวัลเล็กๆ สำหรับคนดั้นด้นจนเข้าใกล้ความสำเร็จไปอีกขั้น

   จนตอนนี้ที่คณรักษ์ได้ก้าวข้ามอุปสรรคของตัวเองได้สำเร็จ ด้วยการใช้โควตาคุ้มกว่าคนอื่นถึงเจ็ดปี (และนี่ก็เป็นเทอมสุดท้าย) มันทำให้คณดลภาคภูมิใจในตัวน้องชายฝาแฝด ไม่ใช่ว่าเรื่องที่มันเรียนจบปริญญาตรีได้ แต่ภูมิใจที่คณรักษ์รู้ว่าตัวเองชอบอะไรและเลือกที่จะทำตามความต้องการของตัวเองได้

   “ผมไม่เบี้ยวคุณหรอกครับ เอาไป”

   คณดลยื่นถุงที่บรรจุกล่องขนมไปให้คนตรงหน้า พร้อมรอยยิ้มและสายตาที่บอกว่าเขาใช่คนผิดคำพูดเสียที่ไหน อย่างที่เจ้าตัวก็สำรวจข้าวของในถุง แล้วเงยหน้าขึ้นมามองคนเป็นพี่ด้วยความปลาบปลื้ม ก่อนจะโดดเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยง ให้คณดลถึงกับต้องรีบเอามือยันคนที่กลายร่างเป็นลิงให้ออกห่าง

   “ผมโคตรรักพี่เลย” แต่คนเป็นน้องก็ว่าแบบนั้น อีกทั้งยิ้มกว้างโชว์ฟันขาว ตาสองข้างเล็กลงจนนึกว่าหลับตาไปแล้ว

   “เรื่องรัก ไม่ปฏิเสธหรอก แต่เลิกเกาะแกะสักทีได้ไหม มันร้อน”

   “ฮั่นแน่ ร้อนหรือกลัวคนแถวนี้เข้าใจผิด คิดไปว่าพี่เป็นแฟนผม”

   คำหยอกล้อที่ทำเอาคนพูดมากโดนโบกหัว จนต้องยอมถอยห่าง แล้วเอามือลูบหัวป้อยๆ

   “กลัวเข้าใจผิดอะไร คงดีใจเสียมากกว่าที่คนเขาเข้าใจแบบนั้น”

   ซิ่งฝูที่เงียบมานานอดร่วมผสมลงโรงด้วยไม่ได้ คำพูดที่เรียกร้องความสนใจได้ดีจนคณรักษ์หูผึ่ง แล้วหันมาถาม

   “ทำไมหรือซิ่งฝู หรือว่าพี่ผมเขาไปก่อวินาศกรรมที่ไหนมา เหลาให้ฟังหน่อย”

   คณดลหันไปมองทางซิ่งฝูที่กำลังยิ้มเยาะ สีหน้าท่าทางที่ชวนให้คนที่ตกเป็นประเด็นหันมาหึงหู จนคนปากมากร้องโอดครวญ

   “เราน่าจะปล่อยให้นายเหงาตายที่ร้าน เหมือนที่เชนทร์บอก” 

   คณดลอ้างถึงเรื่องก่อนหน้านั้น ที่ซิ่งฝูมัวแต่ลีลาท่ามาก นาทีบอกจะไปด้วย อีกสองนาทีบอกว่าไม่ไป สามสี่นาทีถัดมาก็ตัดสินใจไม่ได้ จนราเชนทร์เริ่มหงุดหงิดและลากคณดลขึ้นรถ พอจะสตาร์ทรถเท่านั้นแหละ นายซิ่งฝูก็วิ่งหน้าตั้งตามขึ้นมาเบาะหลังแทบไม่ทัน

   “อย่ามาทำใจร้ายเหมือนเชนทร์นะ เหอะ ช่วงนี้เหอผิงหวงเนื้อหวงตัวเป็นพิเศษใส่ไข่เลยรู้หรือเปล่า...”

   “หวงตัว? คนขี้อ่อยอย่างพี่นี่นะ หวงตัวเป็นด้วย?” คณรักษ์เลิกคิ้วมองสำรวจพี่ชายตั้งแต่หัวจรดเท้า ให้คนถูกกล่าวหา เท้าสะเอวข้างหนึ่ง อีกมือก็จับล็อคเข้าที่หลังคอ ดึงน้องชายเข้ามาใกล้ ยามที่ปากก็บอกไปว่า

   “พูดให้มันดีๆ คนอย่างพี่อ่อยแต่เมียตัวเองเท่านั้นแหละ”

   “ไปแอบมีเมียที่ไหนอีกล่ะ” คณรักษ์เบิกตากว้าง มองพี่ชายของตนด้วยความตื่นเต้น เพราะตั้งแต่พี่ชายเลิกกับแฟนไปเมื่อห้าปีที่แล้ว ก็ไม่มีวี่แววแม้แต่เงาว่าที่พี่สะใภ้คนใหม่เข้ามาให้ชื่นใจเสียที

   “ไม่มีเว้ย โสดสนิทไม่ติดพันครับ” คณดลยืนยันตัวเองด้วยการยืดอก แสดงสีหน้าภาคภูมิใจกับความโสดแบบแห้งสนิทของตัวเอง อย่างที่คนเจ้าเล่ห์ถึงกับยิ้มกริ่ม

   “เอาน่าพี่ ไม่แน่นะ เนื้อคู่ของพี่อาจจะรออยู่ที่บนดอยก็ได้”

ไม่ว่าเปล่า คณรักษ์ยังผายมือเชื้อเชิญสายตาให้หันไปมองทางดอยสูงเด่นเป็นสง่า ทัศนียภาพที่กำลังงดงามจับตา ยามแสงสีทองของดวงอาทิตย์ยามเย็น ชโลมไปทั่วอาณาบริเวณ กอปรกับสายลมเย็นพัดใบไม้สั่นไหว พากลิ่นอายธรรมชาติมาใกล้ให้ได้สูดกลิ่นอายสดชื่นเข้าเต็มปอด

   “แค่กๆๆ”

แต่เพียงประเดี๋ยว คณรักษ์ก็ถึงกับสำลักออกมา เพราะกลิ่นควันรถที่เจือปนมากับอากาศ อย่างที่คณดลถึงกับหัวร่องอหาย ขณะคนที่เพิ่งจะดื่มด่ำกับธรรมชาติบนดอย (ในจินตนาการ) ได้ไม่ทันอิ่มเอมใจ ต้องมาหน้านิ่ว สำลักควันจนไอไม่หยุด

   “เชียงใหม่ไม่ได้มีแค่ออกซิเจนให้คุณน้องสูดเข้าปอดหรอกนะจ๊ะ”

   คณดลร้องบอก ท่าทีจีบปากจีบคอพูดจา อีกเสียงหัวเราะแบบมีจริต ที่คณรักษ์ถึงกับเบะปากใส่ ยามสติถูกดึงกลับมาสู่ทัศนียภาพของจริงตรงหน้า ซึ่งเต็มไปด้วยรถราของนักศึกษาที่เพิ่งจะเลิกเรียน ที่บางคันก็พ่นทั้งควันทั้งกลิ่น จนพาลเดือนร้อนรถคันหลังที่ตามมา ไหนจะคนที่ยืนอยู่รอบๆ นี่อีก

   “รถเยอะชะมัด”

   “และมันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่รถส่วนตัวอำนวยความสะดวกมากกว่ารถสาธารณะ”

ราเชนทร์เอ่ยออกมายามสายตาจับจ้องไปทางรถรางของทางมหาวิทยาลัย ที่เหล่านักศึกษารอคิวกันเต็มไปหมด บางคนก็พลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนต้องดูเวลาบนหน้าจอมือถือ แล้วตัดสินใจเดินอ้อมไปรออีกป้ายหนึ่งแทน ภาพที่แทบจะไม่ต่างไปจากเมื่อห้าปีก่อนหน้านี้ เพียงแต่ตอนนี้มีรถส่วนตัวเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเท่านั้น   

   “แต่ว่านะพี่ดล...” คณรักษ์ที่เริ่มรู้สึกดีขึ้น เหล่มองสีหน้าของคณดลที่ว่างเปล่า จึงเอ่ยปากเกริ่นนำอารัมภบทเข้าสู่เนื้อหาอันเป็นประเด็นสำคัญของการมาพบปะกันในวันนี้ แบบที่คณดลถึงกับหันมามองน้องชายที่เข้ามากอดไหล่ตนด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจ

   “...สถานะว่างคู่แบบพี่ ไปเปิดหูเปิดตาบนดอยสักหน่อยก็ดีนะครับ สักวันที่สิบเดือนสิบก็ได้นะ...”

   “วันเดียวกับรับน้องขึ้นดอยเลยเนอะ” คณดลว่าพร้อมส่งสายตาเหน็บแหนมไปให้ จนอีกฝ่ายทำหน้าเหรอหรา

   “โอ๊ะ บังเอิญจัง”

   “บังเอิญ! นี่ ขอหน่อยเถอะ...” แล้วฝ่ามือจากพี่ชายที่รัก ก็ผลักเข้าที่หัวของน้องคณรักษ์เข้าให้อย่างหมั่นไส้ในความไหลไปเรื่อยของน้องชาย

   “พี่ดลอะ ไปเถอะนะ...นะครับ นี่ซิ่งฝูกับเชนทร์ก็รับปากรักษ์เอาไว้แล้ว เหลือแต่พี่ดลคนดีของน้อง ไปเถอะนะๆๆ”

   สุดท้ายวัตถุประสงค์หลักก็ถูกพ่นออกมาจากปากคณรักษ์ จนคณดลอดหันไปมองหน้าเพื่อนสนิทสองคนที่เหลือไม่ได้ ว่าไปตกลงปลงใจขึ้นดอยกับคณรักษ์ตอนไหน

   “ช่วงนั้นฉันว่างพอดี ก็เลยรับปากมันไป ไหนๆ พวกฉันไปแล้ว นายก็ไปด้วยสิ” ราเชนทร์อธิบายให้คณดลเบะปากใส่

   “สรุปนายเป็นเพื่อนเราหรือเป็นเพื่อนมันกันแน่ พักหลังนี่ เข้าข้างให้ท้ายกันตลอดนะ”

   “เพราะผมน่ารักไงครับ เชนทร์ถึงได้เอาใจ”

   “เด็กเอาแต่ใจอย่างแกมากกว่าที่ไปเรียกร้องความสนใจจากเชนทร์”

   “ทำไม หรือว่าพี่หึง”

   แน่นอนว่าคณรักษ์หนีไม่พ้นฝ่ามือที่จับล็อคเข้าต้นคออีกหน อย่างที่เข้าตัวก็ดิ้นไม่หลุดเพราะคณดลใช้ทั้งมือ ทั้งแขนอีกข้างช่วยล็อคตัวเอาไว้

   “โอ๊ย! พี่ๆ! ปล่อยก่อน...อันนี้เจ็บจริง!” คณรักษ์โวยวาย

   “อันนี้ผมเข้าข้างเหอผิงนะ เพราะคนใจร้ายอย่างเชนทร์ไม่เหมาะกับเหอผิงหรอก” ซิ่งฝูออกความเห็น ให้คณรักษ์นึกสนุกปาก ยื่นหน้าทะเล้นเข้าไปใกล้ ไม่วายพูดจาล้อเลียนอีกว่า

   “จะบอกว่าเชนทร์เหมาะกับซิ่งฝูอย่างนั้นใช่ไหม”

   คราวนี้ คณรักษ์ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น เพราะไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่เขากำลังถูกคนที่โตกว่าถึงสองคนรุมจักจี้จนกลั้นน้ำหูน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ร่างกายของคนอวดดีก็ทรุดลงไปแทบจะกองกับพื้นอยู่รอมร่อ

   “พอแล้วน่า อันฉีมาแล้ว” ราเชนทร์หมายถึงน้องสาวของซิ่งฝูที่กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางพวกเขา พร้อมกับใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มสดใส เข้ากับดวงตาคู่โตของเธอ

   “สวัสดีค่ะ” เด็กสาวปีหนึ่งเอ่ยทักทายเพื่อนพี่ชาย ทุกคนก็ยิ้มรับเหมือนเช่นเคย เว้นแต่คณรักษ์ที่ดูเหมือนจะสติหลุดลอยหายไปบนดอยอีกครั้งหนึ่ง

   “โอ๊ย!” ก่อนจะร้องโอดโอยขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อซิ่งฝูเอามือดันคางคนที่เอาแต่อ้าปากค้าง ให้ฟันกระทบกันดังกึก

   “คนนี้คือ...อ้ายฉิงใช่ไหมคะ” อันฉีชี้ไปทางคณรักษ์ แล้วหันหน้าไปถามพี่ชายอย่างซิ่งฝู

   “ครับ ผมอ้ายฉิง...” เจ้าของชื่อรีบจัดเสื้อผ้าหน้าผมและออกมาแนะนำตัวตรงหน้าคนถาม แถมยังบอกอีกว่า

   “...อันฉีกับอ้ายฉิง ชื่อเข้ากันเลยเนอะ”

   แบบที่อันฉีได้แต่ยิ้มหวาน มองสำรวจคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วบอกว่า   

   “คงจะเป็นอย่างที่ใครเขาพูดถึงจริงๆ” คำพูดที่ทำเอาคณรักษ์มึนงงไปชั่วขณะ หากลางสังหรณ์กับร้องเตือนในใจว่า อย่างที่ใครเขาพูดถึง มันไม่ใช่เรื่องดีเลย

   “เลิกจ้องน้องผมได้แล้ว คนนี้อันฉี น้องสาว ¬ของผม รักมาก หวงมาก อย่าคิดจะแตะต้อง” สายตาปรามาสส่งไปปรามคนที่พยายามเข้ามาตีสนิท อย่างที่คณรักษ์เริ่มทำปากยื่นปากยาว

   “โอเคครับ ไม่แตะ ไม่ต้องเป็นอันขาด” แล้วก็ยกสองมือขึ้นอย่างยอมแพ้พ่ายต่อคำขู่ของเพื่อนพี่ชาย

   “ไปกินข้าวกัน เผื่อเวลารถติดอีก” แล้วคณดลก็ทำหน้าที่ดึงทุกคนออกจากบทสนทนา ก่อนมือจะหันไปคว้าคอเสื้อน้องชายตัวดีที่ยังหันไปส่งสายตาละห้อยใส่น้องปีหนึ่ง ดึงให้เจ้าตัวมาเดินข้างตน

   “อย่าเยอะ” แล้วก็ว่าเสียงดุให้คณรักษ์หน้างอง้ำค้ำคอกว่าเดิม


        จบตอน Pre-production
     
        TALK : ต้องขออภัยสำหรับคนที่เข้ามาอ่านเรื่อง Be over the moon ในช่วงก่อนหน้านี้ ด้วยนะคะ เนื่องจากมีการแก้ไขพล็อตเรื่องและวางตัวละครใหม่ จึงได้ทำการลบเรื่องนี้ไปและลงใหม่อีกครั้ง ใครเข้ามาอ่านแล้ว ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ติชมกันได้เสมอ มีข้อผิดพลาดประการใด นักเขียนพร้อมปรับปรุงแก้ไขต่อไปค่า






ออฟไลน์ BlackG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

1
Location management

สองเดือนต่อมา...

นาฬิกาปลุกแผดเสียงดังลั่นบ้าน ให้ชายหนุ่มวัยเบญจเพสสะดุ้ง ร่างกายกระตุกวูบเหมือนหล่นจากที่สูง สองตาเบิกโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจยามสัมผัสได้ถึงแสงสว่างที่เล็ดลอดผ่านม่านเข้ามา ให้รู้สึกว่าตนกำลังจะไปเรียนสาย หากพอตั้งสติได้ ก็พบความจริงที่ว่าเขาเรียนจบแล้ว ให้ผ่อนลมหายใจไปที อย่างที่สีหน้าเริ่มติดจะหงุดหงิดที่โดนรบกวนแต่เช้า จนต้องเด้งก้นลงจากเตียง กะจะเอาผ้าเช็ดตัวมาห่อส่วนล่างเอาไว้ แต่ก็หาไม่เจอ จึงคว้าผ้าห่มมาพันรอบตัวแทนและค่อยออกจากห้องนอน ตรงไปยังห้องของน้องชายที่คาดว่าน่าจะลืมปิดนาฬิกาปลุกอีกเช่นเคย

“ขอโทษนะคะคุณดล รบกวนเวลานอนอีกแล้วใช่ไหมคะ”

คณดลมองไปยังแม่นมของตัวเองด้วยสีหน้ากึ่งจะหงุดหงิด ปากซีดกำลังขยับโค้งขึ้นนิดเหมือนเด็กกำลังงอแง จนสายคำอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้กับท่าทางของคนโดนรบกวนเวลานอน

“โธ่ ป้าสายครับ ผมเพิ่งจะได้นอนตอนตีสาม แล้วนี่ก็เพิ่งจะเจ็ดโมง จะไม่ให้ผมหงุดหงิดได้ยังไง” คนนอนไม่เต็มอิ่มเริ่มโวยวายไป หากสายตากลับสอดส่องไปทั่วห้องนอนที่ไร้เงาของเจ้าของ

“มันออกทริปเช้าอีกแล้วใช่ไหมครับ ถึงทิ้งนาฬิกาให้ร้องลั่นบ้านแบบนี้”

คณดลหมายถึงธุรกิจเช่ารถที่เขากับคณรักษ์ช่วยกันดูแลต่อจากป้าของเขา ที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งได้ยกธุรกิจนี้ให้กับพวกเขาสานต่อเพราะไม่มีลูก โชคดีที่พนักงานคนเก่าคนแก่ของป้าเข้ามาช่วยเหลือเพราะตอนนั้น เขากับน้องชายฝาแฝดยังเป็นแค่เด็กมัธยมที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย นับเป็นความโชคดีของทั้งคู่ที่มีคนคอยช่วยเหลือจนพวกเขาสามารถขึ้นมาดูแลธุรกิจต่อได้

“ออกไปตั้งแต่ตอนตีสามแล้วค่ะ เห็นว่ามีรับส่งกองถ่ายต่างจังหวัด น่าจะกลับพรุ่งนี้ค่ะ”

คำตอบที่คณดลชะงักไปนิด เมื่อนึกได้ว่าเป็นวันหยุดของคณรักษ์ (เกือบลืมไปแล้วว่าเทอมนี้มันมีเรียนแค่ตัวเดียว) ก็พยักหน้ารับคำ แบบไม่ค่อยจะทันได้รับฟังสารเท่าไหร่ ปากก็หาววอดๆ แล้วว่าเสียงงัวเงีย

“ผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ ไม่ไหวแล้ว” เสร็จสรรพก็ทิ้งสายคำให้เก็บกวาดห้องต่อ ส่วนเจ้าตัวก็ลากสังขารง่วงๆ ของตนกลับไปตากแอร์เย็นๆ ซุกที่นอนอุ่นๆ ในห้องต่อ

ได้แค่ไม่ถึงสามนาที...

ก็มีสายเรียกเข้า...ให้เจ้าของเครื่องตีหน้ายุ่ง มือก็ควานหามือถือที่จมอยู่ในกองผ้าห่ม กว่าจะเจอก็ปาไปครึ่งนาที พอกดรับได้ก็ถูกปลายสายหัวเราะใส่ทันที

“อย่ามาขำน่า” จนคนที่นอนคุยไปด้วยหลับตาไปด้วยต้องว่าแบบนั้น แล้วร่องรอยความยุ่งยากก็ค่อยคืบคลานเข้ามาประดับบนใบหน้าของคนที่ยังหลับตา ครั้นหูพยายามรับสาระสำคัญจากปลายสาย

“สนิทกันมากขนาดนั้นเชียว” คณดลอดว่าออกไปไม่ได้เมื่อปลายสายกำลังขอร้องให้เขาช่วยทำอะไรบางอย่างให้ จนสุดท้าย...

“เดี๋ยวผมจะช่วยดูให้ก็แล้วกันครับ ถ้าได้วันย้ายเข้าเมื่อไหร่ พี่ก็บอกผมด้วยก็แล้วกัน”

คณดลรับปากอืออาต่อได้ไม่กี่คำก็วางสาย ปล่อยมือไม้ลงไปแนบกับเตียง ไม่นาน เสียงกรนเบาๆ ก็ตามมา บ่งบอกว่าเจ้าของห้องได้เข้าถึงบทเจ้าหญิงนิทราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ช่วงสายของวัน...อันจำเป็นต้องตื่นนอน แม้ว่าจะยังนอนไม่เต็มอิ่มก็ตาม คณดลงัวเงียลุกขึ้นมามองนาฬิกา ที่เข็มนาฬิกาชี้บอกว่าเขาไม่ควรจะนอนอืดบนเตียงต่อ แม้ว่าร่างกายพร้อมจะปะทะเตียงนอนมากแค่ไหน ขาจึงพยายามเหยียดออกจากผ้าห่มด้วยท่าทีที่ขี้เกียจสุดๆ แต่พอเท้าสัมผัสกับพื้นห้องเท่านั้น ประตูห้องก็ถูกมือดีเคาะเป็นจังหวะหลีดขึ้นมือ (1 2 123 12 12 1) ให้เขาต้องลุกขึ้นไปเคาะประตูกลับสองที เป็นเชิงบอกให้ไปรอชั้นสอง

ทว่าพอจะหมุนตัวกลับเท่านั้น เสียงเคาะประตูจังหวะเดิมก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าไอ้คนข้างนอกมันยืนยันที่จะเข้ามา                  จนสุดท้ายเจ้าของห้องก็หันไปคว้าผ้าห่มมาปกปิดท่อล่าง แล้วกลับไปเปิดประตูให้แขกคนสนิท

“เหอผิงงงงง คิดถึงผมไหม” ไม่ทันได้มองรอยยิ้มถนัดตา เพื่อนคนจีนนามว่าซิ่งฝูโผเข้ามากอดด้วยความคิดถึงสุดขั้วหัวใจ แต่จับเวลาได้เพียงสามวินาทีเท่านั้น ไอ้คนกอดก็ทำจมูกฟุดฟิด ไล่ดมตัวของคณดลอย่างใช้ความคิดไปด้วย พอภาพบางอย่างวาร์ปเข้ามาในหัวเท่านั้น ซิ่งฝูก็ถึงกับผงะถอยหนี

“อีกแล้วหรือ”

ซิ่งฝูหน้างอทันทีที่รู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะตื่นนอนสายเพราะอาการเพลียจากกิจกรรม มากกว่าเหนื่อยล้าจากการทำงาน

“ก็ไม่ได้เสียหายสักหน่อย ใช่ไหม” แล้วไม่วายเอามือไปป้ายแก้มคนมอง อย่างคนถูกกระทำถึงกับถอยเท้าหนี ด้วยสีหน้าท่าทีรังเกียจ

“สกปรก!” แล้วโวยวายออกไป และนั่นยิ่งทำให้คนกระทำหัวเราะชอบใจเสียยกใหญ่ ก่อนจะโยนผ้าห่มใส่ให้ซิ่งฝูถึงกับตกใจ ก่อนจะถอนหายใจไปทีเมื่ออีกฝ่ายยังสวมบ็อกเซอร์

“ไปอาบน้ำได้แล้ว ยืนเต๊ะท่า โชว์พุงหมาน้อยอยู่ได้” ซิ่งฝูจัดการโยนผ้าห่มกลับไปกองบนเตียง แล้วมองไปทางคณดลด้วยสายตาที่จงใจสื่อสารว่า...หุ่นอย่างเขาไม่เห็นจะมีอะไรน่าดู เสียจนคนถูกมองถึงกับฮึดฮัดขึ้นมาแล้วว่า

“อย่ามาบูลลี่ลูกเรานะเว้ย!” ไม่วายยังเอามือลูบพุงน้อยๆ อย่างต้องการจะปกป้อง

“ลูก?” แบบที่ซิ่งฝูถึงกับขมวดคิ้ว ทวนคำเหมือนว่าตนกำลังหูฟาด

“นี่...” จนคณดลต้องอธิบายด้วยการชี้มาที่พุงของตัวเองแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ทั้งปากยังบอกว่า

“...ลูกของเราอยู่ในนี้ เห็นไหม โอ๊ย ลูกดิ้นๆ”

ท่าทางการแสดงที่น่ามั่นไส้จนซิ่งฝูคว้าหมอนมาปาใส่ ขณะที่คณดลเอาแต่หัวเราะไม่หยุด

“เหอผิง ได้โปรดเลิกเล่นเสียทีเถอะครับ ผมยังไม่อยากโดนเชนทร์ด่าเพราะไปสายหรอกนะ”

“ฮ่าๆ โอเค ขอตัวไปคลอดก่อนนะ”

“คลอดลูก?”

“คลอดอะจารุจ”

“อุจจาระ”

“เปรี้ยงมากเพื่อนเลิฟ”

“ผมไหว้ล่ะ”

พอเห็นเพื่อนถึงกับยกมือไหว้ก็ได้แต่หัวเราะ แล้วก็หันไปคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปแต่โดยดี


เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมง คณดลก็จัดการแต่งตัวเสร็จสรรพ อย่างที่คนรอเองก็ฟุบหลับคาโซฟาไปเป็นที่เรียบร้อย เจ้าของห้องจึงจำต้องเดินมาปลุก เรียกอยู่สองสามที เขย่าตัวไปสี่ห้าครั้ง ซิ่งฝูก็สะดุ้งตื่นขึ้นมามองด้วยสีหน้าติดจะหงุดหงิด

“กว่าจะพร้อมเสด็จนะเหอผิง ผมนึกว่าต้องหลับเฝ้าจนพระอินทร์ไปเกิดก่อน ถึงจะได้ออกไปข้างนอก” ซิ่งฝูพูดไปด้วย หาวไปด้วย แถมบิดขี้เกียจ ยืดตัวจนสุด

“เออน่า ออกข้างนอกทั้งทีต้องคีพลุกหน่อยสิวะ แถมนี่...” ว่าแล้วก็เว้นจังหวะหันไปคว้าขวดสีฟ้ามาถือไว้

“อะไร”

“เซฟดราย สเปรย์ระงับกลิ่นกาย ฉีดง่าย แห้งเร็ว ไม่ทำลายเซลล์ผิว บำรุงขนรักแร้นุ่มสลวย เหงื่อออกแค่ไหนก็ยังหอมสดชื่น”
 
พรีเซนเตอร์โฆษณาสเปรย์ระงับกลิ่นกายเสนอสินค้าได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง พร้อมเก็กท่าถือขวดสเปรย์ โชว์ชื่อสินค้าให้คนดูได้เห็นแบบเต็มตา 

“เอาค่าตัวมาให้ผมเลยนะ โทษฐานให้ยืนฟังโฆษณาเนี่ย” ซิ่งฝูโวยวายยามที่สรุปความได้ว่าหาสาระอะไรไม่ได้กับการฟังเพื่อนเมื่อครู่เลยสักนิด

“นี่ไง เราให้นายใช้ฟรี ไม่คิดตังค์”

“งั้นเอามาเลย”

มือที่กำลังจะคว้าขวดสเปรย์มาถึงกับชะงัก ยามพรีเซนเตอร์ผู้อวดอ้างว่าจะให้เขาใช้ฟรีดึงมือกลับไป พร้อมทั้งชูมืออีกข้างขึ้นมากางนิ้วทั้งห้าตรงหน้าเขา แล้วบอกว่า

“ช้าก่อนซิ่งฝู ที่บอกว่าใช้ฟรีไม่คิดตังค์...แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว มานี่” แล้วไอ้คนมากความก็คว้าแขนเพื่อนชูขึ้น ล้วงเข้าไปในเสื้อและพ่นเปรย์ให้เรียบร้อย

“เป็นยังไง หอมไหม” แถมยังถามลองเชิงสินค้า ให้ซิ่งฝูดมรักแร้ตัวเองไปสองที แล้วค่อยบอก

“ก็หอมดี แต่ผมชอบของเรออนมากกว่า”

คำตอบที่ทำเอาคนฟังเบ้ปาก แถมยังว่า “นายมันสาวกเรออนนี่หว่า แต่ช่างเถอะ เราจะเปลี่ยนมาใช้ตัวนี้แหละ สดชื่นดี”

“จะใช้ตัวไหนก็เรื่องของเหอผิงเถอะ นี่สายแล้วนะ ผมยังไม่อยากโดนเชนทร์ด่า”

“ขอลงไปดูงานก่อนนะ แล้วจะรีบออกไปเลย”

คำขอที่ทำเอาซิ่งฝูถึงกับชักสีหน้าใส่ จนคณดลถึงกับต้องฉีกยิ้มกว้าง ทำหน้าตาทำที่คิดว่าน่ารักที่สุดแล้วว่า

“ไม่นานหรอกน่า โอเคไหม...” เหมือนจะเป็นประโยคคำถาม หากพออีกฝ่ายอ้าปากจะแย้ง คณดลก็รีบสวนกลับว่า

“...รู้อยู่แล้วว่านายต้องโอเค”

ก่อนจะลากซิ่งฝูออกจากห้องไป โดยไม่รอให้อีกฝ่ายขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น


ณ ห้องประชุมเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยเรื่องให้ครุ่นคิด คณดลนั่งอยู่ท่ามกลางลูกจ้างของตน ถกเถียงกันเรื่องแผนงานที่ต้องทำไปเสนอลูกค้า ซึ่งเข้ามาติดต่อขอให้ช่วยหาสถานเพื่อใช้ในการถ่ายทำโฆษณา ช่วงนี้เหมือนเป็นฤดูกาลสินค้า ทั้งตัวเก่า ตัวใหม่หรือแม้กระทั่งแบรนด์ใหม่ ทำให้พวกเขาต้องวางแผนงานให้รัดกุม เพื่อระยะเวลางานจะไม่ทับซ้อนกันและเพื่อการบริการที่ดี อันจะนำไปสู่การขยายฐานลูกค้าที่มากขึ้นเรื่อยๆ

นี่เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่คณดลต่อยอดมาจากบริษัทเช่ารถของป้า นั่นคือบริษัทจัดหาสถานที่ ส่วนใหญ่จะเพื่อการจัดงานหรือถ่ายทำงานต่างๆ ส่วนใหญ่คนที่มาช่วยงานเขาก็จะเป็นพนักงานเก่าของป้าและมีพ่วงเด็กใหม่มาอีกสองสามคน

 “สองตัวนี้ไม่มีปัญหาอะไร...” คณดลเอ่ยออกมา ขณะสายตากวาดมองเอกสารในมือ สลับกับภาพบนโต๊ะ

“น่าจะติดแค่ลูกค้าใหม่ครับ ตามบรีฟที่ได้มาคืออยากได้ฟีลแบบญี่ปุ่นครับ เท่าที่เช็คมาคร่าวๆ ที่ว่างช่วงเข้าถ่ายทำจะมีแถวอำเภอสารภีกับอำเภอไชยปราการ อีกที่จะเป็นม่อนแจ่ม เพิ่งจะปรับปรุงเสร็จ ต้องเข้าไปสำรวจอีกทีครับ” ปอนอธิบายเสริม หลังจากออกไปคุยกับลูกค้าในช่วงเช้า ให้คนฟังพยักหน้า

“เขาไม่ได้ต้องการแบบญี่ปุ่นจ๋าเลยใช่ไหม” คณดลเงยหน้าสบตาเจ้าของงาน อย่างที่ปอนเองก็พยักหน้ารับคำแล้วอธิบาย

“ครับ เขาอยากได้ฟีลที่ดูเป็นแหล่งท่องเที่ยว คาเฟ่ มุมพักผ่อน แต่ให้ฟีลเจแปนเบาๆ เท่าที่เอาภาพให้ดูคร่าวๆ เขาก็โอเค แต่ต้องคุยรายละเอียดเพิ่ม”

“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ยังไงก็ฝากพี่ปอนดูแลต่อด้วยนะครับ” คณดลบอกเจ้าของงานเสร็จ ก็เลื่อนสายตาไปมองคนที่นั่งข้างปอน พร้อมบอก

“เราก็ช่วยพี่ปอนเขาไปก่อนนะ ค่อยๆ เรียนรู้งาน ไม่ต้องไปกลัวพี่ปอนเขามาก เขาเก็กหน้าโหดไปแบบนั้นแหละ”

ท้ายประโยคทำเอาคนทั้งห้องหลุดขำออกมา เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าคนที่โตกว่าใครเขาชอบเก็กหน้าโหด แต่จะชอบเผลอเปิดโหมดแบ๊วๆ กับคนสนิทเท่านั้น

“ของพี่ข้าวแลงล่ะครับ มีปัญหาอะไรไหม” คณดลเปลี่ยนเรื่องคุย ถามถึงอีกงานหนึ่งที่ดูเหมือนใกล้จะบรรลุเป้าหมาย ให้ข้าวแลงที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาตอบ

“ก็เอาเรื่องอยู่ครับ ลูกค้าขอเลื่อนเวลาถ่ายทำและดันไปตรงกับช่วงเทศกาลแสงสีของตำบลพอดี ก็เลยต้องหาสถานที่ใหม่ ที่สามารถถ่ายทำช่วงนั้นได้”

“ลูกค้าเก่านั่นแหละค่ะ น้องดล...นี่ก็ขอเลื่อนถ่ายทำมาสองครั้งแล้ว ไม่ยอมบอกว่าติดปัญหาเรื่องอะไรแน่ พวกพี่ก็พยายามประคับประคองไปตามเนื้องานค่ะ” มีนารายงานปัญหาที่พวกเธอคิดไม่ตกกับลูกค้าคนเดิม ที่เคยคุยกันเอาไว้ว่าถ้าบางงานจำเป็นต้องเลี่ยงบ้าง

“ไหวไหมครับพี่มีน” จนคณดลเองเริ่มเป็นห่วง เขาเองก็สงสารพวกพี่ๆ ที่ต้องออกไปคุยการกับลูกค้าจนหัวหมุน แถมบางกรณี (อย่างเช่นกรณีนี้) ก็ยิ่งชวนให้วุ่นวายไปกันใหญ่

“ยังไหวค่ะ แต่ถ้าเลื่อนอีกรอบคงต้องคุยจริงจัง”

“ครับ ผมเข้าใจ บ้านหลังนั้นก็ขาประจำของเรามานาน ผมเองก็ไม่อยากมีปัญหากับสถานที่ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็จัดการตามเดิมได้เลยครับ”

คณดลว่าออกไปแบบนั้น ให้ต่างคนต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย สิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา นอกเหนือจากลูกค้าที่มาใช้บริการจัดหาสถานที่จัดงานหรือถ่ายทำงานแล้ว ก็คือเรื่องของสถานที่ พวกเขาต้องรักษามารยาทและทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าของสถานที่ไม่รู้สึกติดลบกับการเข้าไปขอใช้สถานที่จากพวกเขา เพราะถ้าเกิดมีอะไรไม่พอใจแล้ว การดีลงานครั้งต่อไปก็ยากขึ้นหรือบางที อาจจะไม่ได้กลับไปอีกเลย

เอาง่ายๆ คือสร้างความประทับใจให้เจ้าของสถานที่รู้สึกว่าอยากให้พวกเขากลับไปทำงานที่นั่นอีก

คณดลจัดการคุยงานต่ออีกครึ่งชั่วโมง เพื่อช่วยตรวจสอบสตอรี่บอร์ดและภาพสถานที่อีกเล็กน้อย แล้วต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ เหลือแค่ซิ่งฝูกับพิมพ์เท่านั้นที่อยู่ในห้องประชุม

“พี่พิมพ์ครับ ยังไงฝากบอกอินเหลากับพี่จันทร์ด้วยนะครับ ว่าให้ช่วยเข้าไปทำความสะอาดห้องพักกับสตูดิโอชั้นสามให้หน่อย เช็คพวกน้ำกับไฟฟ้าด้วยว่ายังใช้ได้อยู่ไหม ถ้ามีอะไรเสียหาย ฝากพี่พิมพ์ตามช่างเข้ามาได้เลยนะครับ”

“ได้ค่ะน้องดล ว่าแต่...ให้เก็บกวาดห้องแบบนี้ น้องดลจะย้ายขึ้นไปชั้นสามหรือคะ จะให้เตรียมย้ายของจากชั้นสองขึ้นไปด้วยไหมคะ”

“ไม่ต้องครับ ผมไม่ได้ย้ายขึ้นไปอยู่หรอก พอดีอ่า...” คณดลชะงักไปนิด ก่อนจะรีบพูดต่อว่า

“...พอดีพวกรุ่นพี่ของผมเขาจะขอเช่า ยังไงก็รบกวนพี่พิมพ์ด้วยนะครับ”

“อ๋อ ได้ค่ะ จะจัดการให้นะคะ”

   “ขอบคุณครับ”

   เสร็จสรรพ พิมพ์ก็เดินหอบแฟ้มเอกสารออกไปจัดการต่อ ขณะที่คณดลก็เดินออกมาหาซิ่งฝูที่กำลังนั่งเล่นเกมอยู่

   “นั่งเล่นเพลินเลยนะ” คณดลว่าพลางชะโงกหน้าเข้าไปดู เห็นตัวละครเกมกำลังวิ่งไปแก้ไฟอยู่ก็อดแหย่เล่นไม่ได้ว่า

   “ไฟดับทังที ต้องมีคนตายแน่ๆ”

   และทันทีที่พูดจบ ไอ้เจ้าฆาตกรชุดสีส้มก็วิ่งเข้ามาแทงมีดจึกๆ เข้าที่กลางหลังมนุษย์อวกาศชุดสีขาว ให้เจ้าของตัวละครในเกมถึงกับเงยหน้าขึ้นมามองอย่างไม่สบอารมณ์ ผิดกับคนที่เอาแต่ยิ้มกวน ซ้ำยังบอกว่า...

   “เราว่าแล้ว ว่าสีส้มต้องเป็นฆาตกร”

   “แล้วทำไมเหอผิงต้องพูดเป็นลางด้วยเล่า!”

   สีหน้าติดจะงอนยิ่งทำให้คณดลยิ่งหัวเราะชอบใจ ก่อนจะยีหัวอีกฝ่ายอย่างนึกเอ็นดูไปที

   “อย่ามายุ่ง!”

   “เฮ้ย อย่างอนดิ เดี๋ยวพาไปเลี้ยงขนมอะ” สุดท้ายก็ได้แต่ง้อเหมือนทุกที ที่อีกฝ่ายชอบทำเป็นงอน และพอเห็นว่าเขาพูดเข้าทางหน่อย เจ้าตัวก็เหลือบหางตามามอง แถมยังว่าย้ำ...

   “น้ำด้วย”

   “บ้านนายก็ขายน้ำหวาน ไม่เบื่อบ้างหรือไง”

   แม้จะเป็นคำหยอกล้อเหมือนเช่นทุกที แต่จู่ๆ นัยน์ตาอีกฝ่ายก็ไหววูบจนคณดลชะงักไปเล็กน้อย แล้วได้แต่ทำทีเป็นปรกติ ด้วยคติที่หากเพื่อนไม่อยากเล่า เขาก็จะไม่เค้น

   “ลุกได้แล้ว คุณชายเชนทร์รอนาน ได้พาลมาดุนายอีกหรอก”

   “รู้แล้วน่า”

   คณดลยืนรอซิ่งฝูถอดสายชาร์จ จัดการเก็บแบตสำรองใส่กระเป๋าเสร็จ ก็พากันออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปหาเพื่อนสนิทอีกคนที่คาดว่าน่าจะกำลังเคร่งเครียดกับงานครัว

   “ไหนบอกว่าจะพาไปเลี้ยงขนม”

   ซิ่งฝูทักท้วงคนที่กำลังจ้วงอาหารคาวตรงหน้า ทั้งส้มตำปูปลาร้า ปลาดุกย่าง ตูดไก่ปิ้ง พร้อมทั้งข้าวเหนียวอีกหนึ่งกระติบ แบบที่คนกินก็เงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับยิ้มเผละ

   “ขอกินข้าวหน่อยน่า นี่ไง เราสั่งตำทะเลมาเผื่อนายด้วย กินดิ”

   แม้ซ้อมจะจิ้มปลาหมึกเข้าปาก เคี้ยวและกลืนไปตามที่อีกฝ่ายบอกให้กินเพราะสั่งมาเผื่อแล้ว แต่สายตาก็ยังคงมองอย่างแค้นเคืองใจเพราะภาพในหัวก่อนออกจากบ้านนายคณดล คือโต๊ะที่เต็มไปด้วยของหวานที่ตนแสนจะโปรดปราน

   “อร่อยใช่ไหมล่ะ หมดนี่ยกให้นายเลย มื้อนี้ป๋าจ่ายเอง”

   “มันแน่นอนอยู่แล้วเพราะว่าเหอผิงบังคับผมมากิน”

   “โอ๋เอ๋ ไม่งอนน้าซิ่งฝู”

   คณดลว่าจบก็หัวเราะออกมา แต่เหมือนบาปกรรมที่หลอกเพื่อนมากินข้าวตามทัน เพราะไม่นานเขาก็สำลักน้ำลาย ไอออกมาจนคนมองได้แต่ส่ายหน้า

   “สม...” หากมือก็ช่วยเติมน้ำลงในแก้วให้เพื่อนไปจิบ จับตาดูจนคนที่ไอจนปวดคอนิดๆ น้ำตาปริ่มหน่อยๆ เริ่มดีขึ้น

   “แช่งกันในใจนี่หว่า” ทว่าคนสำลักก็ยังไม่สำนึก ยังจะหัวเราะไปน้ำตาไหลไปได้อีก อย่างที่มือก็คว้ากระดาษทิชชูที่เพื่อนยื่นให้ มาซับน้ำมูกน้ำตา

   “คนที่ทำอะไรไม่ระวังอย่างเหอผิง ไม่ต้องแช่งให้เสียเวลาหรอก”

   คณดลเบ้ปากใส่ไปที มองด้วยสายตาติดจะงอน ยามที่ปากก็ว่า

   “ใช่สิ คนไม่น่ารักอย่างเรา ทำอะไรก็ผิดนี่หว่า”

   “เลิกพูดจาเลอะเทอะเสียทีน่า”

   “ครับๆ รีบกินดีกว่าเนอะ เดี๋ยวคนแถวนี้จะไปสายเพราะเรา” คำพูดคำจากับสีหน้าท่าทางที่น่าหมั่นไส้เสียกว่าอยากง้อ ทำเอาคนมองได้แต่ถอนหายใจแล้วบอก

   “ไม่ต้องรีบไปหรอก เดี๋ยวเชนทร์จะมาหาที่นี่”

   คณดลถึงเงยหน้ามามองด้วยความแปลกใจ

   “ไหนว่ามันติดงานไง”

   แล้วซิ่งฝูก็คว้ามือถือยื่นมาตรงหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายได้ดูว่าตอนนี้มันเลยเวลางานของเพื่อนแล้ว

   “เออว่ะ เชนทร์ออกงานบ่ายสองนี่เนอะ”

   “กว่าเหอผิงจะออกบ้าน ก็ปาเข้าไปใกล้บ่ายสองแล้ว มานั่งกินข้าวอีก ป่านนี้เชนทร์คงใกล้ถึงแล้ว”

   คำบอกของคนที่เก็บมือถือเข้าหาตัว หากสายตาของคณดลกลับมองเลยไปทางด้านหลังแล้วฉีกยิ้มกว้าง

   “ไม่ใกล้หรอก แต่มาถึงแล้วแหละ”

   ซิ่งฝูหันไปมองตามก็เห็นหนุ่มลูกครึ่ง ตัวสูงประมาณร้อยแปดสิบ ในชุดลำลองสีกรม ยืนสั่งอาหารอยู่หน้ารถเข็น ไม่นานนัก ใครคนนั้นก็เดินตรงมาหาพวกเขาที่โต๊ะพร้อมกับมองหน้าสองคนสลับกันไปมา

   “เป็นอะไร” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามออกมา ยามเห็นว่าเพื่อนต่างพากันเงียบ คนหนึ่งฉีกยิ้มกว้างมองเขา ส่วนอีกคนมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง

   “พริกติดฟัน” ราเชนทร์หันไปบอกยามเห็นว่าเพื่อนสนิทยังไม่ยอมปริปากพูดอะไร อย่างที่คณดลหุบปากแทบไม่ทัน พร้อมทั้งใช้ปลายลิ้นถูฟันด้านหน้าของตัวเองแล้วยิ้มยิงฟันให้อีกรอบ

   “ออกยัง”

   “อืม” ราเชนทร์ส่งเสียงตอบรับ ให้อีกฝ่ายยิ้มร่า แล้วปากก็ถามไป

   “แล้วนี่นายขับรถมาหรือ”

   “ขึ้นรถมา...” เชนทร์ตอบ ก่อนจะหันไปหาคนที่เอาแต่นั่งเงียบแล้วว่า

   “...ขากลับ ส่งฉันที่คอนโดด้วยก็แล้วกัน”

   นั่นทำให้คนที่หน้าไม่รับเพื่อนอยู่แล้ว ยิ่งทะมึนตึงเข้าไปใหญ่ ยามที่คิดแค้นในใจแล้วตัดพ้อต่อหน้าเพื่อนว่า

   “มาถึงก็ไม่ยอมทัก แถมยังจะให้ผมไปส่งกลับอีก นี่ผมกลับบ้านเป็นเดือน ไม่คิดถึงกันบ้างหรือไง”

   ประโยคยาวเหยียดที่ราเชนทร์ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก

   “คิดถึงนะ แต่ไม่ได้มากจนอยากจะทักทายนายก่อนณดล”

   การพูดจาดีๆ แบบไม่มีโต้วาที คงไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับสองคนนี้

   “ไม่คิดถึงกันก็ดี จะได้เอาของฝากไปแจกคนอื่นให้หมด”

   “เฮ้ยๆ ถ้าจะแจก เอามาให้ฉันดีกว่า รับรองกินใช้คุ้มค่า คุ้มราคา” คณดลสวนขึ้นพร้อมหัวเราะเป็นเชิงหยอกล้อเพื่อน อย่างที่ราเชนทร์ส่ายหน้า จังหวะนั้น อาหารมาเสิร์ฟพอดี จึงรอกระทั่งพนักงานกลับไป เขาจึงเอ่ยปาก

   “คิดหรือว่าฉันจะสนใจของฝากของนาย ของพวกนั้น ฉันบินไปซื้อตอนนี้เลยก็ยังได้”

   คำพูดที่ทำเอาคนฟังเคียดแค้น ปากก็ขยับขยุกขยิก พลันเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะยืดตัวขึ้น มองไปทางคณดลเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้

   “เหอผิง ถามหน่อย...”

   “ว่ามา” คณดลเองก็เงยหน้ามามองเพื่อน ขณะที่จิ้มกุ้งเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ

   “...ไอ้ที่บอกว่ารุ่นพี่จะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยนี่ หมายถึงใคร”

   คำถามที่ราเชนทร์เองก็หันมามอง ขณะที่กินข้าวไปด้วย จนคนถูกถามได้แต่มองเพื่อนสองคนสลับกันแล้วยิ้ม

   “ก็...รุ่นพี่...ที่รู้จัก”

   “สนิทจนยอมให้เช่าอยู่ด้วยกันเลยหรือ?”

   “ก็...อืม รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนเลย” คณดลพยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติมากที่สุด ยามที่เริ่มจะหวั่นใจกับสายตาระแวงของเพื่อน    

   “ใคร” แม้แต่ราเชนทร์เองก็สงสัย เพราะพวกเขาเรียนมาด้วยกันตั้งแต่ปีหนึ่ง หากคณดลจะรู้จักรุ่นพี่คนไหน ก็ต้องมีผ่านหูผ่านตาพวกเขาบ้าง

   “พวกนายไม่รู้จักหรอก เขาเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่า พอดี...เขาถ่ายงานกันตอนกลางคืน ก็เลยอยากได้ที่พักที่เก็บเสียงหน่อย เห็นสตูดิโอกับห้องนอนชั้นสามยังว่าง ก็เลยปล่อยเช่าเท่านั้นเอง”

   คณดลอธิบายยาวเหยียดและบังคับสีหน้าใสซื่อ เพื่อให้เพื่อนทั้งสองเลิกเซ้าซี้เรื่องนี้ต่อ แบบที่ซิ่งฝูกับราเชนทร์ได้แต่มอง...สักพักก็ถอนสายตาออกไป ให้คณดลลอบถอนหายใจ



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ BlackG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

2
Account Executive


ภาพสถานที่ริมแม่น้ำปรากฏบนหน้าจอโปรเจ็กเตอร์ ภายในห้องประชุมที่พนักงานต่างกำลังจดจ่อกับข้อมูล สำหรับงานเทศกาลแสงสีประจำจังหวัดที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า 

“สำหรับงานแสงสีปีนี้ ย้ายไปจัดที่ริมแม่น้ำ ตรงข้ามบริเวณหน้าวัดพระธาตุฯ และนี่คือการแสดงทั้งหมดที่ทางเราต้องร่วมกับศูนย์วัฒนธรรมค่ะ”

ศิรินทร์ หนึ่งในฝ่ายบริหารงานลูกค้าเริ่มอธิบายข้อมูลเรื่องสถานที่ในการจัดงาน ซึ่งเธอเป็นคนรับเรื่องมาเมื่อวันก่อน

“ในส่วนของการจัดงานริมแม่น้ำฝั่งขวามือจะเป็นทางเดิน ปลายทางมีบันไดให้ลงไปริมแม่น้ำ ส่วนริมแม่น้ำฝั่งขวาจะเป็นลานกว้าง ตรงนี้จะมีการจัดตลาดอาหารเหนือ...”

หลังจากอธิบายรายละเอียดงาน ต่างฝ่ายต่างก็พูดคุยถึงเรื่องแบบงานจากปีก่อนที่อาจจะปรับใช้ในปีนี้ได้บ้าง ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็หัวหมุนไปตามๆ กันเพราะรูปแบบงานต้องออกมาสอดคล้องกับงบประมาณที่วางไว้  ที่สำคัญ ตอนนี้ยังมีงานทับซ้อนในช่วงเวลาเดียวกัน แถมยังมีต่อเนื่องถัดกันไปอีกแค่เพียงไม่ถึงสองสัปดาห์อีก

คนที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะจึงได้แต่มองตารางงาน ขณะที่สมองกำลังครุ่นคิดพิจารณาในการแบ่งงานให้ลงตัวมากที่สุด กระทั่งเริ่มจัดแจงได้ จึงลดแฟ้มเอกสารลงและเอ่ยปากบอก

“ตอนนี้มีงานซ้อนกันสองที่ในช่วงเวลาเดียวกัน งานที่ลำพูน พี่จะยกให้ทีมของผารับผิดชอบไปเลยก็แล้วกัน เพราะผาน่าจะคุ้นเคยกับสถานที่มากกว่า...” ภูพธนาหันไปบอกกับคนที่เด็กกว่า อย่างที่อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับคำอย่างรู้ดีว่าตนต้องนำทีมในงานนี้

“ได้ครับ แต่ว่า...” ผาธนาเว้นจังหวะ เหลือบมองไปทางก้อยซึ่งหันมาสบตาเขาพอดี ก่อนสายตาจะเคลื่อนกับไปหา                   ภูพธนา ยามที่เอ่ยคำขอว่า

“ผมขอทีมของก้อยเข้ามาช่วยงานได้ไหมครับ”

คำขอที่ต่างฝ่ายต่างแปลกใจไม่น้อย แม้แต่ผู้จัดการบริษัทอย่างภูพธนาเองยังแปลกใจในคำขอของน้องชาย หากเมื่อสบตาตาแน่วแน่กึ่งจะกำลังร้องขอของอีกฝ่าย ไม่นานเลยที่เขาพอจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้

“เอาสิ จะได้วิ่งงานกันง่ายขึ้น...” ภูพธนาพยักหน้า ก่อนจะหันไปบอกคนที่ต้องเข้ามาร่วมงานกับน้องชายว่า

“...ฝากก้อยกับทีมช่วยงานผาเขาหน่อยนะ”

“ได้ค่ะ” ก้อยรับปาก พยายามยิ้มให้กับเจ้านาย หากใบหน้ากับเต็มไปด้วยร่องรอยของความคิดที่ยุ่งเหยิง

“ขอบคุณครับ” ขณะที่ผาธนาเอ่ยปากขอบคุณพี่ชายไปเช่นนั้น พร้อมหันไปมองใบหน้าของหญิงสาวฝั่งตรงข้าม ด้วยความหวังที่ว่าเธอจะไม่มาปฏิเสธเขาทีหลัง

   แล้วภูพธนาค่อยเลื่อนสายตาไปมองยังศิลป์ ก่อนเอ่ยปากบอก

   “...ส่วนทีมศิลป์ พี่ฝากดูแลงานที่เชียงใหม่ด้วยนะ ฝ่ายอื่นก็มาจากบริษัทที่เราเคยดีลงานทั้งนั้น พี่เชื่อว่าศิลป์เอาอยู่”

   “ได้ครับ” ศิลป์ตกปากรับคำอย่างแข็งขัน หลังจากทำงานที่บริษัทฉายแสงแห่งนี้มาเกือบห้าปี เขาเพิ่งจะได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลทีม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่เขาเฝ้ารอมานาน

   “งานที่เชียงราย ผมมอบหมายให้พี่เติ้ลดูแลเหมือนเดิมนะครับ”

   เจ้าของชื่อรับคำ ครั้นภูพธนาเอ่ยถึงงานคอนเสิร์ตส่งท้ายปีที่จะจัดขึ้น แม้ช่วงเวลาจะไม่ได้ตรงกับสองงานก่อนหน้า แต่ก็ไล่เลี่ยกัน เพื่อความปลอดภัยในการวิ่งงาน ภูพธนาจึงจำต้องแบ่งทีมให้ออกไปดูแล

   “เรื่องงานที่เข้ามาก็มีเท่านี้นะ มีใครอยากเสนออะไรอีกไหม” ภูพธนาถามยามที่สายตาก็สำรวจไปรอบห้อง เมื่อมีเพียงแค่รอยยิ้มที่ตอบกลับมา เขาก็ตัดสินใจปิดประเด็นการประชุม

   “ประเด็นเรื่องงาน เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรจะเสนอเพิ่มเติมหรือมีปัญหาอะไร ก็นัดประชุมกันนอกรอบนะ...” 

   เมื่อไม่มีใครแย้งอะไร การประชุมก็จบลง ภูพธนากลับเข้าไปในห้องทำงานเพื่อจัดการเอกสารสัญญาต่างๆ ขณะที่พนักงานที่เหลือ ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปวางแผนกันในทีมต่อ เพื่อที่งานจะได้เดินหน้าให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะกับผาธนาที่เดินตามไปคุยกับก้อยเป็นการส่วนตัว

   “เราโอเคใช่ไหม”

   ก้อยหันกลับมามองคนที่เดินตามตนมาที่โต๊ะทำงาน สีหน้ากังวลเริ่มฉายออกมาชัดมากขึ้นยามที่ทั้งคู่สบตากัน

   “ทำไมถึงเลือกทีมก้อยล่ะคะพี่ผา...”

   “เรื่องเส้นสายใช่ไหม”

   ก้อยพยักหน้า ผาธนาจึงยิ้มออกอย่างที่พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดไม่ตกเรื่องอะไร

   “สองสามเดือนที่ผ่านมา มีแต่คนบอกว่าก้อยได้งาน ได้เป็นหัวหน้าทีมเพราะใช้เส้น พอจะติดต่อประสานงานกับใครก็มีแต่คนมองด้วยความคิดแบบนั้น ก้อยเครียดมากเลยพี่ผา ก้อยเลี่ยงมันไม่ได้”

   สีหน้าของคนพูดเต็มไปด้วยความตึงเครียดอย่างไม่อาจจะปกปิดมันจากสายตาคนมองได้ ผาธนามองสำรวจใบหน้าของคนเก่งประจำบริษัท หากแต่พักหลังมานี้ กลับขาดความมั่นใจในความสามรถของตนเอง อย่างที่ทั้งผาธนาและลูกทีมก็อดห่วงไม่ได้

   “แล้วก้อยคิดว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา ที่ก้อยได้งาน ได้นำทีมออกมาเป็นเพราะเส้นสายจริงหรือ”

   “...” คนฟังได้แต่เงียบยามสบสายตาของอีกฝ่าย

   “ถ้าก้อยคิดแบบนั้น แปลว่าก้อยดูถูกพี่ ดูถูกพี่ภูมากเลยนะ เพราะพวกพี่เป็นคนเลือกให้ก้อยรับหน้าที่นี้”

   “ก้อย...” คราวนี้ คนคิดไม่ตกมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเริ่มพูดไม่ออก เพราะที่ผ่านมาทั้งผาธนาและภูพผนาก็ไว้วางใจ มอบหมายงานให้เธอรับผิดชอบตลอด

   “ก้อย...จุดเริ่มต้นของคนเรามันไม่เหมือนกันทั้งหมดหรอก บางคนเข้ามาเพราะมีคนรู้จักทำงานที่นี่ บางคนสมัครงานเข้ามาเอง พี่ถามหน่อยว่าจุดเริ่มต้นพวกนั้น มันสำคัญกับผลงานทั้งหมดเลยหรือ”

   คำพูดของคนที่โตกว่าที่ทำเอาคนฟังส่ายหน้าช้าๆ ให้ผาธนาได้พูดต่อ

   “สิ่งสำคัญในการทำงาน มันคือความคิดสร้างสรรค์ ความตั้งใจและทีมเวิร์ค ก้อยคิดว่าตัวเองมีไหม มีมากน้อยแค่ไหน”

   “...”

   “ถ้าก้อยมี...จะกลับไปสนใจต้นทางทำไม ไม่ว่าก้อยจะมาจากไหน มาจากใคร ถ้าก้อยทำงานดี รับผิดชอบงานได้ แถมยังนำทีมได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง มันจะแปลกอะไรที่พวกพี่ไว้วางใจให้ก้อยทำงาน”

   “จริงพี่ อย่าคิดมากเลย”

เขมที่เดินตามมาที่โต๊ะ เพื่อจะเอาแบบงานมาให้เอ่ยปาก อย่างที่รู้เรื่องนี้มาดีตั้งแต่ก่อนที่ก้อยจะเข้ามาทำงานที่นี่เสียอีก แม้ตัวเขาจะไม่ได้ใช้เส้นภูพธนาเข้ามาเหมือนก้อย แต่เพราะเข้ากับคนง่ายและเพียงผาธนาเอ็นดูเขา คนก็พาลหาว่าประจบประแจงเอางาน ตอนนั้น ทั้งเสียใจและแค้นใจ จนสุดท้ายก็กลับมาทบทวนตัวเองว่ารู้สึกไม่ดีไปก็เท่านั้น อย่างไรเสีย คนพาลจะกล่าวหา มันห้ามปากพวกเขาไม่ได้หรอก เขาจึงเอาเวลาทั้งหมดทุ่มเททำงาน มีความสุขกับสิ่งที่ทำให้มากๆ ก็พอ นี่นับว่าโชคดีแค่ไหนแล้วที่เขาได้มาอยู่ทีมของก้อย สบายหู สบายใจขึ้นเป็นกองพะเนิน

   “นี่ถ้าก้อยยังคิดมากอยู่ เท่ากับว่าดูถูกลูกทีมด้วยนะ เพราะพวกเขาไว้ใจก้อยในการทำงานมาก”

   ผาธนาทำทีพูดติดตลก ปรายตาไปมองทางเขมที่กำลังทำหน้ามุ่ย พร้อมกล่าวเสริมคำพูดของผาธนาอีกแรง

   “พวกผมไม่ใช่หูตาไก่กานะครับ ระดับไอ้เขม มองขาดตลอด ผมรู้น่าว่าใครเป็นยังไง”

   ท่าทางของคนน้อยเนื้อต่ำใจทีทำเอาก้อยอดหมั่นไส้ไม่ได้ จนต้องเบะปากใส่ลูกน้องตัวแสบไปที

   “กูยอมแล้วจ้า” แล้วว่าออไปเช่นนั้น จนอีกสองคนที่เหลือพากันหัวเราะ ก่อนที่ก้อยจะหันไปหาผาธนา ดวงตาคู่สวยเต็มไปด้วยความซึ้งใจ ยามสบเข้ากับดวงตาของคู่สนทนา

   “ขอบคุณนะคะพี่ผา ช่วยฮีลจิตใจได้เยอะเลย”

   “เออ มั่นใจในตัวเองได้แล้วน่า ให้เหมือนตอนเสนองานลูกค้าหน่อย”

คำพูดของผาธนาชวนให้นึกถึงยามที่ก้อยออกไปขายงานให้กับลูกค้า ที่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะกลับมาใช้บริการจนกลายเป็นขาประจำหลายราย นั่นทำให้ภูพธนาไว้วางใจให้ก้อยรับผิดชอบงานต่างๆ ได้ เพราะนอกจากความสามารถในการคิด การขายแล้ว เธอยังสามารถแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้ โดยที่ทั้งฝ่ายลูกค้าและบริษัทต่างได้รับผลกระทบน้อยที่สุด 

   “ได้ค่ะได้ ถ้าจะเชื่อใจกันขนาดนี้คงต้องอัพสกิลด้วยแล้วแหละ”

   “อัพสกิลแล้ว อย่าลืมอัพค่าขนมพวกผมด้วยนะครับ” เขมยื่นหน้าเข้ามาร่วมวงพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง

   “ที่กินๆ ไปนี่ยังเลี้ยงไม่พออีกหรือไง” ก้อยทำทีเป็นบ่นไป พลางส่ายหน้าไปให้กับเขม
 
   “ได้ข่าวว่าเพิ่งจะบ่นเรื่องน้ำหนักขึ้นไม่ใช่หรือไงไอ้เขม” อย่างที่ผาธนาอดเสริมไม่ได้ เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน เขมเพิ่งจะมาบ่นกับเขาว่าทำงานที่นี่น้ำหนักพุ่งเอาๆ จนพุงเริ่มกางแล้ว

   “โห่ พี่ผาก็...ไม่เห็นท้องผมหรือ ยิ่งมันขยายออกเท่าไหร่ ผมยิ่งต้องการสารอาหารมากขึ้นอะ ไหนๆ ก็อยู่ทีมเดียวกันแล้ว แบ่งลาภปากจากทีมพี่ผามาให้น้องหน่อยเถอะครับ โอ๊ย!”

   จบประโยคไม่ทันจะถึงสามวินาที มะเหงกก็เขกเข้าข้างหัวเขมไปที อย่างที่คนทำอดหมั่นไส้ไม่ได้
   “ให้มันได้การได้งานก่อนเถอะ” ผาธนาว่าแบบนั้น ก่อนจะหันไปบอกก้อย

   “เดี๋ยวคืนนี้พี่ส่งรายละเอียดงานให้ จะได้วางแผนกันก่อน ค่อยกลับมาประชุมงานกันพรุ่งนี้นะ”

   เพราะตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มแล้ว ถึงเวลาเลิกงานที่ต้องพากันแยกย้ายกลับบ้าน ผาธนาจึงทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินกลับไปเก็บข้าวของที่โต๊ะ เพื่อเตรียมกลับบ้าน

   “ได้ข่าวว่าจะย้ายออกจากบ้านเช่าหรือ” ภูพธนาเข้ามาทัก อย่างที่ผาธนาก็หันไปยิ้มให้แล้วว่า

   “ผมนึกว่าพี่กลับไปแล้วเสียอีก” คนเป็นน้องยัดสายชาร์จโน้ตบุ๊คเข้ากระเป๋า จัดการรูปซิปเสร็จสรรพ ก็หันกลับมาคุยกับคนเป็นพี่

   “บ้านเช่าเก่ามันใช้เสียงตอนกลางคืนไม่ได้ครับ พวกเด็กๆ เขาต้องใช้ถ่ายคลิปรีแอคกันตอนกลางคืน ก็อยากใช้เสียงกันให้เต็มที่ อีกอย่างพวกผมก็ทำงานกันดึกด้วย เลยตัดสินใจย้าย”

   ภูพธนาพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วได้แต่ถามต่อ

   “แล้วจะย้ายไปที่ไหน”

   “บ้านของรุ่นพี่ที่รู้จักกันตอนเรียนมหา’ลัยครับ ที่บ้านเขามีสตูดิโอกับห้องพักว่างอยู่ เขาก็เลยเสนอให้ผมไปเช่าอยู่ที่นั่น” คำบอกเล่าของน้องชายที่ภูพธนานิ่งไปนิด อย่างกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า

   “จ่ายกันไหวใช่ไหม”

   “หรือพี่จะเปย์พวกผม?” ผาธนาว่าเชิงหยอกล้อ ส่งสายตาล้อเลียนแบบที่พี่ชายอดผลักหัวไปทีไม่ได้ ซ้ำยังบอกว่า

   “ถ้ามาร์คไม่ต้องเข้าคอร์สเสริมสวยกับทำจมูกใหม่ พี่ก็กะจะช่วยพวกเราอยู่”

   คนฟังถึงกลับเบ้ปาก ยามได้ยินประโยคที่บ่งบอกว่าพี่ชายทั้งรักทั้งหลงภรรยาหัวปักหัวปำแค่ไหน ถึงยอมตามใจทุกเรื่อง

   “น้อยใจได้ไหม มีพี่กับเขาทั้งที พี่ก็เอาเงินไปเปย์แต่เมียตัวเอง” แล้วน้องชายที่กลายเป็นหมาหัวเน่า ตั้งพี่ชายมีแฟนเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว ลากยาวมาถึงปัจจุบันก็แสดงท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจออกมา ทำเอาคนเป็นพี่อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ยังเสริมทับด้วยประโยคที่แทงใจแบบสุดๆ อีกว่า

   “จะน้อยใจที่พี่เอาแต่เปย์เมีย หรืออิจฉาที่มาร์คมันได้ผัวสายเปย์ที่ดี แบบพี่ หืม?”

   นานทีปีหน คนอย่างภูพธนาจะพูดจาหลงตัวเองเช่นนี้ออกมา มีหรือที่นายผาธนาจะไม่อึ้ง หากแต่ก็อดหมั่นไส้พี่ชายไปในทีไม่ได้

   “แหม นอกจากจะเป็นผัวสายเปย์ ยังเป็นผัวดีที่ดีอีก เป็นผัววีไอพีว่างั้น”

“แน่นอน เพราะมาร์คเป็นคนพิเศษ ก็ต้องได้สิ่งพิเศษเช่นผัวอย่างพี่นี่ไง”

“ตั้งแต่มีลูก มีเมียนี่เหลิงใหญ่แล้วนะเรา” ผาธนาว่าแล้วก็ส่ายหน้าให้กับคำพูดของพี่ชาย

   “เราก็ไม่ได้ต่างกันหรอกผาธนา” คำพูดยียวนจากพี่ชาย ยิ่งตอกย้ำว่าน้องชายที่คลานตามกันมาแต่เด็กนั้น...นิสัยใจคอก็ไม่ได้ต่างกันเสียเท่าไหร่หรอก

   “ถึงผมจะเคยเป็นสายเปย์ แต่ก็ไม่หลงเสน่ห์ใครจนเช้าถึงเย็นถึงแบบพี่หรอก”

   “ของแบบนี้ ยังไม่มีอย่าเพิ่งเอ็ดไป เดี๋ยวคำพูดมันจะเข้าตัว...โบราณเขาถือ” ท้ายประโยคภูพธนาทำทีพูดเสียงแผ่ว น้ำเสียงชวนให้ขนลุก

   “แล้วเมื่อไหร่จะมีตัวจริงกับเขาบ้าง คนที่เคยบอกน่ะ จะรอจริงๆ หรือ”

   ภูพธนาหมายถึงหนุ่มรุ่นน้องที่ผาธนาเคยเจอเมื่อตอนเข้าร่วมประเพณีรับน้องขึ้นดอยเมื่อหกปีก่อน จนป่านนี้แล้ว ดูเหมือนน้องชายของเขายังหาทางออกจากวังวนความรักข้างเดียวไม่ได้

   คำถามที่คำตอบของผาธนาไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ครั้งแรกที่ได้เจอ เขาก็ตกหลุมรักหนุ่มรุ่นน้องคนนั้นและความรู้สึกนั้น มันยังมั่นคงในหัวใจของเขาเสมอ แม้ว่าตลอดระยะหกปีที่ผ่านมา จะมีใครเข้าหามากหน้าหลายตา แต่ก็ไม่มีคนไหนที่จะสามารถสั่นคลอนหัวใจและทำลายความรู้สึกที่เขามีต่อรุ่นน้องคนนั้นได้

   แม้จะเป็นรักแรกพบ ที่บางที...พวกเขาอาจจะไม่ได้กลับมาพบกัน แต่เขาก็เลือกที่จะรอคอยปาฏิหาริย์นั้น เพราะหัวใจของเขาสั่งให้รอ

   “พี่จำที่พ่อบอกไม่ได้หรือว่า คู่กันแล้ว ไม่แคล้วกัน เพราะพ่อเชื่อแบบนั้น พ่อกับแม่ถึงได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ในวันที่พวกท่านพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกันไปตลอดชีวิต...”

   “ความเชื่อมันนำไปสู่ปาฏิหาริย์ก็จริง แต่ไม่ใช่กับทุกคน”

ภูพธนาร้องเตือนสติน้องชาย แม้ว่าพ่อกับแม่จะสมหวัง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าน้องชายของเขาจะสมหวังในความรักเช่นนั้น เขาเพียงแค่อยากให้น้องชายเปิดใจให้กับคนอื่นดูบ้าง ระยะเวลาหกปี มันยาวนานพอที่ผาธนาจะเริ่มต้นใหม่กับใครก็ได้ หากไม่มัวรอคนที่ไม่รู้ว่าจะเจอกันอีกในชาตินี้หรือเปล่า

“ผมรู้พี่ แต่ทำยังไงได้ หัวใจของผมมันดื้อนี่ครับ ปราบเท่าไหร่ก็ไม่เอาอยู่”

ผาธนาพูดติดตลกเพื่อคลายความตึงเครียด จนภูพธนาเองก็ได้แต่ยิ้มอ่อน อย่างหวังเอาไว้ลึกๆ ว่าอีกไม่นาน คงจะมีใครที่มีความสามารถมากพอ เข้ามาปราบหัวใจที่ดื้อด้านของน้องชายได้ 

“แล้วสรุปเรื่องค่าเช่าที่ใหม่ พวกเราจ่ายไหวกันแน่นอนนะ?” ในเมื่อคุยเท่าไหร่ น้องชายของเขาคงไม่เปลี่ยนใจ จึงกลับมาถามไถ่เรื่องที่คุยค้างกันเอาไว้ก่อนหน้านั้น

   “ไหวครับ เขาคิดราคาไม่แพงเพราะแบ่งพื้นที่ให้เช่า นี่ผมก็จะเข้าไปดูของจริงอยู่ ถ้าโอเค ก็คงจะย้ายสิ้นเดือนนี้”

ผาธนาตอบด้วยท่าทีสบายๆ เพราะราคาที่เช่าใหม่ถูกเสียยิ่งกว่าอะไรเสียอีก นี่อยู่กันตั้งเจ็ดคน รวมค่าใช้จ่ายน้ำ ไฟฟ้า หารกันจ่ายยังเหลือเงินใช้สบาย

   “ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกพี่ก็แล้วกัน” ภูพธนายิ้มให้กับน้องชาย นึกโล่งใจไปที่ได้ยินคนเป็นน้องบอกเช่นนั้น

   “ถ้ามีปัญหา พี่จะพาพวกผมไปอยู่ด้วยหรือ” หากไม่วาย น้องชายตัวแสบยังกลับมายียวนกวนประสาตเขาอีกรอบ จนคนเป็นพี่ทำเป็นคิดทบทวนคำพูดนั้น ก่อนจะบอกไปว่า

   “ถ้าไม่ติดที่พี่มีครอบครัว...ก็คงงั้น”

   “ครับๆ คุณพ่อ พวกผมไม่ไปกวนครอบครัวพี่หรอกครับ” ผาธนาว่าอย่างยอมแพ้ จะว่าไปเขาก็แอบคิดถึงลูกสาวกับลูกชายของภูพธนาเช่นกัน

   “พี่ล้อเล่น ว่างๆ ก็ไปเที่ยวเล่นบ้างสิ เจ้ามิวสิคกับเจ้าพากย์บ่นคิดถึงอาอยู่นั่น” ภูพธนาเอ่ยชวน เมื่อนึกถึงลูกชายของตนที่เอาแต่ถามถึงผาธนาไม่หยุด ให้ผาธนาฟังแล้วได้แต่หัวเราะแล้วบอก

   “ว่างเมื่อไหร่จะรีบไปเลยครับ ยังไงผมกลับก่อนนะพี่ เจอกันครับ”

   กล่าวอำลาเสร็จ คนเป็นน้องก็รีบออกจากบริษัทไปทันที ท่ามกลางสายตาของคนเป็นพี่ที่ยังอดห่วงน้องชายเรื่องหัวใจไม่ได้ เพราะนี่ก็เข้าปีที่เจ็ดแล้วที่ผาธนายังรอคอยใครคนนั้น และหากปาฏิหาริย์มีจริง...เขาก็อยากจะให้น้องชายของเขาสมหวังในความรักสักครั้ง

        (มีต่อ...)


ออฟไลน์ BlackG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
กว่าจะกลับถึงห้องก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม หลังจากแวะซื้อมื้อค่ำแถวตลาดประตูเมืองเชียงใหม่ ที่การจราจรแน่นขนัดตามเวลา อย่างที่ผาธนาเริ่มเมื่อยเนื้อเมื่อตัว จากการขับมอเตอร์ไซค์กึ่งวิบากบนท้องถนนที่ทั้งรถเล็ก รถใหญ่พร้อมจะเบียดชนกันได้ทุกเมื่อ โชคดีหน่อย ที่พักเป็นบ้านเช่าชั้นเดียว มิเช่นนั้น คงต้องลากสังขาร แบกข้าวของขึ้นบันไดไปให้ปวดขาหนักกว่าเดิม

   ทว่า...

   พอมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูเท่านั้น ดวงตาที่เหนื่อยล้าสะสมก็ฉายแววความเบื่อหน่ายออกมา ครั้นสายตาสบเข้ากับข้อความบนกระดาษสีขาวที่แปะเอาไว้กลางประตูบ้าน ซึ่งมองปราดเดียว แทบไม่ต้องมาไล่อ่านก็รู้ได้ว่าเป็นข้อความร้องขอ (แนวเกรี้ยวกราด) ว่ากรุณาอย่าส่งเสียงดังรบกวนบ้านหลังอื่น เพียงแต่วันนี้มีอัพเลเวลคำที่ใช้ให้ดูน่ารักกว่าทุกครั้งที่เคยอ่านก็เท่านั้น

   ผาธนาดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมา แล้วเคาะประตูไปสองสามที รอสักพักก็มีเสียงดังมาจากด้านใน ก่อนประตูตรงหน้าจะแง้มออกมาหน่อย ให้เขาพอจะมองเห็นลูกตาของคนที่มาเปิด และเมื่อลูกตานั้นรับรู้ว่าคือใคร บานประตูก็ถูกเปิดออกกว้างต้อนรับหนึ่งในผู้อาศัย

   “องค์ชายเสด็จจจ” เสียง (พยายาม) ทุ้มต่ำของสุขิตดังมาแต่ไกล ก่อนจะถูกเบรกด้วยคำสั่งของคนที่นั่งครองเก้าอี้เลื่อนเสียงดังว่า

   “สามหาว! ข้าคือองค์หญิง!”

   ให้คนเข็นเก้าอี้เลิกลัก หันรีหันขวาก่อนได้สติ รีบกระแอมไอแล้วว่า

   “อะ...องค์หญิงเสด็จจจ”

   แล้วเก้าอี้ก็เลื่อนมาหยุดตรงหน้า หลังจากผาธนาจัดการปิดประตูเสร็จเรียบร้อย หันมามองสำรวจสองพี่น้องที่คนหนึ่งอยู่ในชุดนอนผ้าแพรสีชมพูกะปิ บนหัวมีผ้าเช็ดผมพันเอาไว้อย่างคนเพิ่งจะสระผมเสร็จ ส่วนอีกคนยังใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นเหมือนทุกวัน ให้ผาธนาถึงกับหลุดขำ

   “องค์หญิงจะเสด็จไปที่ใดหรือพะย่ะค่ะ”

   คำถามที่ทำเอาคนถูกถามยิ้มหวานและเข้าไปคล้องแขนคนที่เพิ่งจะกลับเข้าบ้าน

   “มารับองค์ชายยังไงล่ะเพคะ” อุปรากรว่าเช่นนั้น ก่อนจะหันไปส่งเสียงดุใส่อีกคนข้างๆ

   “เจ้ากล้านิ่งดูดายได้เช่นไร ไม่เห็นหรือว่าในมือองค์ชายมีอะไรบ้าง”

   “กับข้าวยังไงล่ะขอรับ” คนซื่อตอบกลับมาเช่นนั้น จนผาธนาหลุดขำ หากมันกลับทำให้อุปรากรหันกลับมาฉอดคนตอบแทบไม่ทัน

   “ช่วยสิช่วย! ช่วยเอากับข้าวไปไว้ในครัว”

   “แล้วก็ไม่บอกตั้งแต่แรก” สุขิตบ่นอุบอิบ จนอุปรากรถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะว่า

   “เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับข้าหรือ”

   “ก็องค์ชาย เอ๊ย องค์หญิงพูดไม่รู้เรื่องนี่ขอรับ ไม่เอาอะ ผมไม่เล่นแล้ว” พูดจบ เจ้าตัวก็เข้าไปช่วยผาธนาหิ้วถุงอาหาร อย่างที่ผาธนาถึงกับกลั้นขำไม่ไหว

   “อันนี้ไม่ต้อง เดี๋ยวพี่เอาเข้าไปเอง” ผาธนาบอกสุขิตที่แม้ว่าของจะเต็มมือแล้ว ยังจะมาเอาของจากอีกมือหนึ่งของเขาไปอีก สุขิตได้แต่ตอบรับ หากไม่วายหันมามองแล้วเชิดหน้าใส่ ทิ้งทวนเอาไว้ด้วยสีหน้าติดจะงอน ก่อนเดินหนีเข้าครัวไป

   “พี่ผาอะ มัวแต่หัวเราะน้องอยู่ได้” เมื่อจัดการผู้ติดตามไม่ได้ ก็หันไปตัดพ้อกับคนที่นอกจากจะไม่ช่วยอะไร แถมยังเอาแต่หัวเราะอยู่ไม่ขาด

   “เลิกเล่นค่ะ เลิกเล่น!” เสียงของจิรายุดังขึ้นแทรก ก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้ามาหาสองคนที่ยังยืนสุมกันอยู่ที่ประตูอยู่นานสองนาน ให้จิรายุเท้าสะเอวแล้วว่าต่อ

“กูว่าละ ทำไมแต่ละคลิปมันตัดนานเป็นชาติ มึงเลิกเล่นเลยอิพี่องก์ กลับไปตัดคลิปลงช่องได้แล้ว กูไม่อยากโดนคอมเม้นต์ทวงคลิปถล่มช่อง”

“แหม มึง...กูตัดคลิปทั้งวันทั้งคืน กูเหนื่อยเป็นนะ กูก็แค่ออกมาหากำลังใจบ้างอะไรบ้างไม่ได้หรือยังไง” คำพูดตัดพ้อทำเอาคนฟังได้แต่ถอนหายใจด้วยความเอือมระอา จนได้แต่ว่า

“ได้ แต่อย่าเยอะ กลับเข้าห้องไปเลย”

ก่อนจะทันได้พูดอะไรต่อ จิรายุก็จัดการล็อกคออุปรากร แล้วลากให้ไปทางห้องนอน อย่างที่คนถูกกระทำได้แต่ส่งเสียงร้องงอแงไปจนสุดทาง ให้ผาธนาได้แต่ยิ้มแล้วยิ้มอีก ก่อนเจ้าตัวจะเอาของไปเก็บในครัวบ้าง


เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ทุกคนจึงออกมาช่วยกันจัดอาหารใส่จาน หลังจากที่สุพิชฌา รามเมืองและหมอนหนุนกลับมาถึงบ้านแล้ว  จึงปล่อยให้สองคนนั้นไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วค่อยออกมากินข้าวด้วยกัน

“โห พี่ผาซื้อมาคนเดียวหมดจริงดิ” สุพิชฌาอดถามไม่ได้ ยามมองสารพัดกับข้าวตรงหน้าที่ดูจะเยอะกว่าทุกวันที่ซื้อมากินด้วยกัน

“พอดีพี่เห็นมีแต่ของชอบพวกเรา จะซื้ออย่างก็กลัวอีกคนจะน้อยใจ เลยซื้อมาหมดนี่เลย”

“อย่างชอบ! โคตรน้ำใจเลยอะพี่ผา เลิฟยูนะ” สุพิชฌาไม่ว่าเปล่า ยังชูนิ้วมือเป็นสัญลักษณ์มินิฮาร์ทพร้อมทั้งขยิบตาให้

“กินก่อนได้ไหม โอ๊ย!”

ยังไม่ทันต่อประโยคอื่น มือที่กำลังจะหยิบตับปิ้งมากินสักไม้ ก็ถูกปรามด้วยมือของจิรายุ แบบที่สุพิชฌาหลบไม่ทัน ทำให้โดนฝ่ามือผู้คุ้มกันตับปิ้งไปเต็มๆ

“รอครบก่อนค่ะ คุณซอมพอ” แถมผู้คุมยังว่าแบบนั้นให้คนฟังหน้างอ

“ก็หนูหิวแล้วอ่า”

บ่นได้ไม่เท่าไหร่ สุพิชฌาก็ตาเป็นประกาย ยามสบเข้ากับมือที่ยื่นตับปิ้งมาให้

“หิวก็กิน” ผาธนาว่าย้ำ อย่างที่จิรายุได้แต่มอง แล้วปากก็ขยับบ่น

“ขัดหลังให้กันจนหนังหลุดติดมือออกมาแล้วมั้ง ถ้าจะนานขนาดนี้” จิรายุบ่นเสียงดังเผื่อแผ่เข้าไปในห้องน้ำ แล้วไม่นานนัก ประตูไม้บานเก่าก็เปิดออก พร้อมกับสองคนที่ออกมาจากห้องน้ำด้วยกัน

แล้วยังไงต่อล่ะ...ไอ้คนที่ปากชอบหยอกล้อชาวบ้านไม่ได้มีแค่คนเดียวเสียด้วย อุปรากรที่เพิ่งจะแกะส้มตำใส่จานเสร็จ ก็ยังอดรนทนไม่ไหว หากไม่ได้หันไปหยอกล้อคู่รักหน้าห้องน้ำหรอก เพราะคนที่แกล้งสนุกกว่านั่งอยู่ข้างตัว

“วันหลังลองให้กูถูหลังให้มึงบ้างไหมล่ะ จะได้รู้ว่านานขนาดนี้ หนังจะหลุดติดมือไหม”

และผักบุ้งก็ถูกปาเข้าหน้าคนขี้แซว ที่ไม่นึกโกรธอะไร ตรงกันข้ามกับหัวเราะใส่อย่างสนุกสนานอีกต่างหาก ทว่าสายตาของจิรายุก็ยังพาลหาเรื่องให้หงุดหงิด ยามเหลือบไปเห็นคู่รักเช็ดผมกันอีกรอบ

“เช็ดผมเองไม่เป็นแล้วมั้งคะพี่รามเมือง” 

คนถูกว่าทำเพียงหันมายกยิ้มมุมปาก อย่างรู้ว่าอีกฝ่ายแค่แซวเล่นด้วยความหมั่นไส้ เห็นว่าตั้งแต่เลิกกับหนุ่มน้อยอาชีวะ ก็โสดสนิทติดกันมาสามปีอย่างต่อเนื่อง

“อยากมีคนทำให้ก็บอกดีๆ นี่ เดี๋ยวมึงสระผมเสร็จคืนนี้ กูรอเช็ดให้เลย” อุปรากรไม่ได้หยอกล้อแค่ปาก แต่ยังแกล้งเอามือไปจับผม จนอีกฝ่ายร้องลั่น

“มึงไม่ต้องมาใกล้กู!” แล้วยังสะบัดสะบิ้งใส่ ก่อนขยับถอยให้ห่างจากอุปรากรไปเป็นโยชน์ ให้ต่างคนที่เห็นเหตุการณ์พากันหัวเราะ ให้อุปรากรอดพูดจาแกล้งอีกฝ่ายต่อไม่ได้ว่า 

“ทำไม กลัวอดใจไม่ไหวหรือ” ก่อนที่ถุงพลาสติกจะถูกขยำและโยนไปทางอุปรากร ก่อเกิดวินาศกรรมขึ้นจนดูท่าแล้วจะวุ่นวายเอาการ และก่อนที่สงครามจะลามไปยังดินแดนอื่น ผาธนาก็ยังคงทำหน้าที่เข้ามาปรามได้ทันเวลา

“รีบกินข้าวเถอะ ดึกมากแล้ว จะได้แยกย้ายกันไปพักผ่อน”

เท่านั้น ต่างฝ่ายต่างก็มุ่งความสนใจไปยังอาหารตรงหน้าของตน โดยเฉพาะซอมพอที่รีบคว้าตูดไก่ย่างมาอีกไม้ แต่เพียงกำลังจะเข้ามาปากเท่านั้น คนข้างๆ กลับชูปีกไก่ปิ้งขึ้นแล้วบอกว่า

“ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ”

ให้สุพิชฌาเลิกลักแล้วเอาตับปิ้งชูขึ้นตาม พร้อมสำทับด้วยสารพัดของกินที่ชูขึ้น ตามมาด้วยเสียงขานรับที่ว่า ขอให้เจ้าภาพจงเจริญ อย่างที่เจ้าภาพอาหารมื้อนี้แทบจะสำลักน้ำลายไปที แล้วได้แต่หัวเราะเสียงดัง

“พอ!” อีกทั้งว่าเสียงดังเช่นนั้น พาให้คนรอบข้างหัวเราะตาม

“เออ เรื่องสตูดิโอเป็นยังไงบ้างอะพ่อ”

จิรายุถามถึงเรื่องธุระสำคัญที่ผาธนาไปจัดการมาเมื่อไม่กี่วันก่อน อย่างที่คนถูกถามก็ล้วงมือถือออกมาเปิดรูป แล้วยื่นไปให้คนที่อายุน้อยกว่า พร้อมบอก

“รูปนี้เจ้าของเขาเพิ่งจะส่งให้เมื่อคืน พี่ทันได้ดูแค่คร่าวๆ ว่างเข้าไปติดต่อเขาอีกทีคือวันมะรืน”

ผาธนาอธิบายไปตามสถานการณ์ เพราะงานในช่วงนี้ยุ่งเหยิงไม่น้อย ทำให้เรื่องที่พักใหม่ค้างคา ไม่มีเวลาเข้าไปดูเสียที

“ดูดีมากเลยอะพ่อ” อุปรากรว่ายามตามดูรูปในมือถือจนหมด แล้วส่งให้คนอื่นดูต่อ

“พี่ผา! ค่าเช่าแค่สามพันห้าจริงดิ” ซอมพอหันไปถามผาธนาแบบอึ้งๆ

“รูปนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” รามเมืองเองก็ยังอดถามไม่ได้

“เขาบอกว่าถ่ายเมื่อวาน เพราะเพิ่งจะทำความสะอาดเสร็จ” ผาธนาได้แต่ตอบไปอย่างไม่รู้จะเอาอะไรมาอธิบายเพิ่มเติมมากว่านี้ ตัวเขาเองยังไม่ได้คุยกับเจ้าของที่พักเท่าไหร่ มีแค่ถามรายละเอียดเล็กน้อย เรื่องห้องหับและเรื่องค่าใช้จ่ายเท่านั้น

“ดูดีเกินราคามาก พ่ออย่าเพิ่งไปตกลงนะ รอดูของจริงก่อน เกิดจกตาหลอกเอาเงินฟรีขึ้นมาแล้วจะยุ่ง”

จิรายุเองก็ระแวงไม่แพ้กัน กับที่พักที่มีห้องเก็บเสียงให้ถ่ายทำงาน ห้องนอนอีกสาม ห้องน้ำอีกสอง ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ระเบียงห้อง...มันดูดีเกินราคาอย่างที่สมควรระแวดระวังเอาไว้ก่อน

“แล้วค่าใช้จ่ายอื่นๆ ล่ะครับ”

คำถามธรรมดาที่ต่างคนก็เริ่มจะให้ความสนใจ แบบที่ผาธนาได้แต่ยิ้มแล้วตอบกลับไปสั้นๆ ว่า

“ฟรี”

เท่านั้นเสียงอุทานก็หลุดออกจากปากของแต่ละคนอย่างรวดเร็ว

“ไม่ใช่ละ แบบนี้” สุพิชฌาร้องออกมา ด้วยลางสังหรณ์แปลกประหลาดที่กำลังร้องบอกว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติ

“นั่นสิ ไม่ใช่ว่าจะมาเก็บค่านั่น อ้างนี่กับเราทีหลังนะครับ” สุขิตเองก็อดใจไม่ไหวที่จะวิจารณ์ออกไปเช่นนั้น อย่างที่คนที่โตกว่าได้แต่บอก

“จะใช่หรือไม่ใช่ เราก็ต้องเข้าไปคุยกับเขาก่อน”

“พี่ผาเข้าไปมะรืนนี้ใช่ไหม” จิรายุถามย้ำเพื่อความแน่ใจ และเมื่อผาธนาพยักหน้ามาให้ เท่านั้น...

“งั้นก็เข้าไปด้วยกันหมดนี่เลย หลายหูหลายตา หลายมันสมองจะได้ไม่ถูกหลอก”

คำประกาศกร้าวของจิรายุจุดฉนวนความเห็นที่ไปในทิศทางเดียวกัน จึงต่างฝ่ายต่างตกลงปลงใจเข้าไปดูที่พักใหม่ด้วยกัน ในวันมะรืนนี้

“มาค่ะ มารวมพลังต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ที่พักใหม่ของเรากัน!”

จิรายุว่าอย่างแข็งขัน แล้วชูตูดไก่ย่างในมือขึ้น อย่างที่ทุกคนเองก็พร้อมใจกันทำตาม

“เพื่อที่พักใหม่ที่ดีกว่า” อุปรากร

“เพื่อห้องพักใสสะอาดที่รอเราอยู่” ซอมพอ

“พะ...เพื่อ...เพื่อ!” สุขิตว่าตะกุกตะกัก เดิมทีหันไปจ้วงข้างเหนียวจากถุงก็ช้าแล้ว ซ้ำยังวนแถวร่วมอุดมการณ์มาทางเขาอีก ใครมันจะไปคิดทัน

“เร็วๆ” จนอุปรากรได้แต่เร่ง อย่างที่สุขิตรีบโพล่งออกไปว่า

“เพื่อที่วิ่งเล่นของสุนัข” สุขิตหมายถึงแมวสีสวาทลูกรักของตน ที่เขาตั้งชื่อมันว่า สุนัข คำบอกเล่าอุดมการณ์ที่ทำเอาคนฟังได้แต่อึ้ง จนจิรายุต้องเร่งแก้สถานการณ์ว่า

“เพื่อช่องเหนือรีแอคของเรา”

แล้วตามมาด้วยเสียงเฮลั่นห้อง ท่ามกลางตับปิ้ง ตูดไก่ปิ้งเสียบไม้ ผักบุ้งและข้าวเหนียว ที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวอยู่เหนือศีรษะ ก่อนที่ตัวแทนอุดมการณ์เหล่านั้น จะย้ายที่เข้ามาอยู่ในปากหลังจากนั้น และต่างคนต่างก็หันมาจ้วงมื้อดึกตรงหน้าด้วยข้าวเหนียวอย่างเอร็ดอร่อย

ไม่ได้สนใจเลยว่าคืนนี้ บ้านเช่าหลังนี้มีห้องส้วมเพียงแค่ห้องเดียว…และเก่าจนใกล้พัง


(จบตอน 2 Account Executive)
 

ออฟไลน์ BlackG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

3
Casting 

   ช่วงเช้าของวันที่ผาธนาและแก๊งเหนือรีแอคพอมีเวลาว่าง จึงตกลงพากันมาดูที่พักใหม่ราคาแสนถูก โดยก่อนหน้าผาธนาได้โทรติดต่อกับคณรักษ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ทางนั้นที่ต้องไปเรียน จึงจัดการให้สายคำและอินเหลาเข้ามาคอยช่วยดูแลทางนี้แทน

   “ขอโทษด้วยนะคะ ท่าทางคุณดลน่าจะกำลังจะจัดงานเลี้ยงกับเพื่อน” สายคำเอ่ยปากบอกอย่างเกรงใจ เธอเองก็ไม่คิดว่าจะขึ้นมาเจอข้าวที่จัดแจงเหมือนกำลังจะเซอร์ไพรส์วันเกิดใครสักคนบนชั้นสาม

   “ไม่เป็นไรครับ พวกเราก็เข้ามาแบบไม่ทันได้นัดเหมือนกัน” อุปรากรบอกไปพร้อมส่งยิ้มให้ พวกเขาเองก็เพิ่งจะโทรบอกคณรักษ์เมื่อสองชั่วโมงก่อนเองว่าขอเข้ามาดูที่พัก เพราะเพิ่งจะมีเวลาว่างตรงกัน พวกเขาเองก็เกรงใจเจ้าของที่พักอยู่ไม่น้อย

   “ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้ไหมครับ” ผาธนาเอ่ยออกมา หลังจากเดินสำรวจห้องหับต่างๆ ได้สักพัก

   “ยังไงรบกวนลงไปใช้ห้องน้ำชั้นสองก่อนนะคะ ห้องน้ำชั้นนี้ยังไม่เรียบร้อยดี ลงไปทางประตูด้านหลังก็ได้ค่ะ ฝั่งนั้นจะใกล้ห้องน้ำกว่า”

   สายคำเอ่ยพร้อมผายมือให้ดูทางประตูอีกตรงทางเดินอีกฟากหนึ่ง อย่างที่ผาธนาก็หันมองตาม ครั้นเห็นลู่ทางแล้วจึงหันกลับมาส่งยิ้มให้สายคำอย่างนอบน้อม

   “ขอบคุณครับ” 

   “ถ้ายังไง เดินสำรวจดูก่อนได้เลยนะคะ ยังไงป้าขอตัวก่อน เดี๋ยวจะให้อินเหลาขึ้นมาคอยดูแลต่อค่ะ”

   ครั้นได้ยินสายคำว่าเช่นนั้น ต่างคนจึงต่างพยักหน้ารับพร้อมเอ่ยขอบคุณที่คำสายคอยตอบคำถามและยังดูแลเสิร์ฟน้ำท่าให้ ก่อนคำสายจะเดินหายไปยังประตูด้านหน้า ฝั่งที่พาพวกเขาขึ้นมาเมื่อครู่

   “มีใครจะไปเข้าห้องน้ำไหม” ผาธนาถามเผื่อทุกคน หากต่างคนต่างสายหน้ามาให้แทนคำตอบ จึงบอกต่อว่า

   “ถ้าอย่างนั้น ก็สำรวจห้องกันไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวพี่มา”

   ผาธนามองรุ่นน้องที่รับปากและพากันแยกย้ายหายกันเข้าไปสำรวจแต่ละห้องต่อ จึงหมุนตัวเดินไปตามทางเดินที่สายคำบอกจนสุดทาง


   
   วันนี้ คณดลมีแขกคนสำคัญ ที่อุตส่าห์ถ่อมาไกลจากกรุงเทพฯ เขาจึงจำต้องตื่นเช้าเพื่อมารับเพื่อนสนิทอีกคน ที่ดูเหมือนระยะหลังมานี้ จะขึ้นมาเหนือบ่อยเสียเหลือเกิน

   “มีอะไรข้องใจก็ว่ามา ไม่ต้องมองกูแบบนั้น”

   “ไม่มีนี่” คณดลว่ากลับ ขณะที่สายตายังคงมองไปยังเพื่อนสนิทของตน คนที่ทำให้รู้สึกสะดุดตาสะกดใจเขาอยู่ตลอดเวลา ราวกับมีมนต์เสน่ห์รายล้อมรอบตัว ออร่าแบบที่คณดลเพิ่งจะเคยสัมผัสจากตัวของเพื่อนก็วันนี้

   “สายตามึงน่ะ มีแต่ความอิจฉา อย่าคิดว่ากูดูไม่ออก”

   คณดลถึงกับเบ้ปาก กรอกตาใส่ไอ้คนรู้ทันความคิดของตนไปเสียหมด แต่ก็อย่างว่า...ในบรรดาเพื่อนทั้งสามคน เห็นจะมีธุวานนท์ที่นิสัยใจคอละม้ายคล้ายคลึงเขาที่สุด

   “ก็ใครใช้ให้มึงดูดีขึ้นทุกวี่ทุกวันล่ะเพื่อน ท่าทางพี่หมีใหญ่จะเลี้ยงคุณชายดีสินะครับ คงจะยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม เพราะจะเก็บไว้ดอมดมคนเดียว”

   “แน่นอนดิวะ คิดจะคบคนอย่างธุวานนท์ ไม่เลี้ยงดูให้ดี มีหนีไปซบอกคนอื่นนะครับ”

    “มึงยังจะกล้าไปซบอกคนอื่นอีกหรือ คราวนั้น ที่มีเรื่องกัน กูยังกลัวแทนเลย” คณดลหมายถึงเรื่องราวใหญ่โตในช่วงหลายเดือนก่อน ที่มีคนจะเข้ามาทำร้ายธุวานนท์ จนสติของจัตตวารัตน์ขาดผึงและเข้าไปแลกหมัดกับคนพวกนั้น เสียจนเลือดตกยางออกกันเป็นแถว

   “นั่นเขาก็ปกป้องกูไหม อีกอย่างคนอย่างไอ้พี่หมีอะ มันทำอะไรกูไม่ได้หรอก”

   “มั่นหน้า”

   “มั่นหน้าได้เพราะมันรักกูไง และกูก็มั่นใจว่ามันไม่มีวันทำร้ายกู”

   เกือบแล้ว...คณดลเกือบจะหยอกเพื่อนว่ามั่นใจนัก ระวังจะอกหักทีหลัง หากไม่เพราะสายตาแน่วแน่มั่นคงมันที่มองมาตอนนี้ มันทำให้คณดลเปลี่ยนใจ กลืนคำพูดนั้นลงคอไปในทันที อย่างที่คิดไปว่าครั้งนี้ คุณชายธุวานนท์จริงจังกับรักครั้งนี้ ชนิดที่ว่ามันคงรักจัตตวารัตน์มากกว่าชีวิตตัวเองไปแล้ว

   “มึงเถอะ เห็นเงียบมานับปีเห็นจะได้ ไม่คิดจะรักใครบ้างหรือ”

   คำถามที่คณดลส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับส่งยิ้มบางให้เพื่อน

   “มึงก็รู้ว่าคนอย่างกู หาได้ง่ายเสียที่ไหน” คณดลตอบเพื่อน อย่างที่รู้กันดีว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร ธุวานนท์จึงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ สายตาเลื่อนไปมองเสื้อผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า พลันรอยยิ้มบางๆ ก็ค่อยคลี่ออก ยามนึกถึงเรื่องวันวานที่ตนฝ่าฝันมา

   “ทีแรก กูก็ไม่คิดว่าจะชอบขนาดนี้หรอก ใช่ว่ากูเองจะไม่เคยรับให้ใครมาก่อน แต่เพราะมันไม่โอเค กูเลยเลือกที่จะไม่รับให้ใครอีก จนมาเจอมัน...ไม่รู้ทำไม มันถึงทำให้กูรู้สึกดีมากมายขนาดนั้นได้”

   “ไปว่าแต่เขาหลงรักมึงจนหัวปักหัวปำ มึงเองก็รักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น ยอมเขาไปทุกเรื่องเหมือนกันนั่นแหละ” พูดไปมองด้วยสายตาแพรวพราวแบบที่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับอยากจะผลักหัวสักทีที่บังอาจมาว่าเขาได้

   “อย่าให้เห็นว่ามึงไปหลงใครจนยอมเขาไปหมดก็แล้วกัน”

   “กูจะไม่แค่ยอมเขาไปหมดหรอก แต่กูจะกกกอดอยู่กับเขาทั้งวันทั้งคืน ลงรูปออกสื่อทุกวันและอวดเขาต่อหน้าพวกมึงทุกครั้งที่มีโอกาสเลยล่ะ”

   คณดลตัวจริงเสียงจริง ต้องไม่เกรงกลัวคำพูดใครและต่อปากต่อคำได้ไม่มีที่สิ้นสุด แบบที่ทำเอาคนฟังถึงกับส่ายหัว หากไม่วายสายตาแพรวพราวยังคงจับจ้องมายังใบหน้าของเพื่อน จนคนถูกเล่นเล่ห์ทางสายตาถึงกับต้องรีบจัดการอีกฝ่ายไปที

   “เฮ้ย เดี๋ยวดิ!”

   “ไม่ต้องพูดมาก มาเป็นหนูทดลองให้กูได้แล้ว”

   แล้วคนพูดมากก็ถูกผ้าปิดตาทันที แบบที่ไม่ทันได้ตั้งตัวสักนิด ครั้นจะโวยวาย แต่ก็ทำเพียงแค่ขยับปากไปเท่านั้น ครั้นขี้เกียจจะโวยวายเรื่องนอกจากเพื่อนจะมาใช้สถานที่จัดงานครบรอบกับแฟนแล้ว ยังมีหน้ามาใช้เขาเป็นหนูทดลอง ปิดตารอเซอร์ไพรส์อีก

   “พร้อมจะเห็นเซอร์ไพรส์จากกูหรือยัง”

   คณดลขมวดคิ้วยามได้ยินเช่นนั้น มันไม่ใช่เพราะสิ่งที่ต้องการสื่อหรอก แต่เพราะคำพูดของอีกฝ่ายต่างหาก

   “ตอนนี้ กูคือพี่หมีใหญ่ กรุณาพูดกับกูด้วยคำพูดแบบเดียวกับที่มึงพูดกับพี่เขาด้วย”

   “ไม่เอาเว้ย เรื่องอะไรกูต้องพูดให้มึงฟังด้วย”

   คำพูดที่ทำเอาคณดลอดขำไม่ได้ แม้จะมองไม่เห็นอีกฝ่าย แต่ก็รู้ได้ว่าไอ้คุณชายตรงหน้ามันกำลังแก้มแดง หูแดงเชียวล่ะ

   “อะ กูหยวนให้ก็ได้ ไหนล่ะครับ ผมอยากเห็นเซอร์ไพรส์ของคุณธุใจจะขาดแล้วครับ” หากไม่วายคนจอมกวนก็ยังล้อเลียนคำพูดของจัตตวารัตน์ที่มักเรียกแทนตัวเองว่าผมและเรียกแทนเพื่อนเขาว่าคุณธุ จนคงฟังอดผลักหัวไปทีไม่ได้ อย่างที่คนถูกกระทำหัวเราะชอบใจไม่เลิก

   “ลุกตามกูมาได้แล้ว พูดมากอยู่ได้” ธุวานนท์เอ็ดเพื่อนไปที ก่อนจะฉุดให้อีกฝ่ายค่อยลุกขึ้นและเดินตามไปที่บันไดอย่างระมัดระวัง กระทั่งพาขึ้นบันไดไปยังชั้นสามได้ ทว่ายังไม่ทันที่ธุวานนท์จะเปิดประตูเข้าไป กลับมีสายเรียกเข้าเสียก่อน พอเห็นว่าบนหน้าจอมือถือปรากฏชื่อของคนสำคัญ จึงได้แต่ถอนหายใจ 

   “มึงรอกูอยู่ตรงนี้ ห้ามดื้อ ห้ามซน เข้าใจไหม”

   คณดลขมวดคิ้ว ก่อนจะคลายออกยามคิดไปเองว่าเพื่อนคงกำลังตื่นเต้นกับการซ้อมเซอร์ไพรส์แฟนเป็นครั้งแรกในชีวิต จึงพยักหน้าไปให้แล้วบอก

   “จะเป็นเด็กดี รอคุณธุอยู่ตรงนี้ ไม่ขยับไปไหนเลยล่ะครับ”

   คำพูดหยอกล้อที่ตอนนี้คนฟังแทบจะไม่ได้สนใจ ตอบรับไปไม่กี่คำ ก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงไปชั้นล่าง เพื่อไปเอาเอกสารสำคัญที่ปลายสายทวงถามอย่างเร่งด่วน ให้คณดลทำทีเป็นเงียบ หากหูลอบฟังเสียงฝีเท้าของเพื่อนที่ห่างออกไปเรื่อยๆ กระทั่งหลงเหลือไว้เพียงความเงียบงันรอบตัว เขาจึงนับถอยหลังต่ออีกสิบวินาทีในใจ หมายจะแอบลอบผ้าผูกผ้าแล้วเข้าไปดูเซอร์ไพรส์ที่เพื่อนจัดไว้

   ทว่า...

   ท่ามกลางความเงียบงันและเสียงนับเลขถอยหลังที่ดังสะท้อนในหัวของคนที่เอาแต่นึกสนุก อีกฟากฝั่งหนึ่งของประตู...กลับมีฝีเท้าของใครบางคนกำลังเข้ามาใกล้ในเวลาเดียวกัน

   สองฟากฝั่งประตู...ต่างคนต่างจุดมุ่งหมายที่ต้องการจะเปิดประตูบานนั้นออก...

   และเมื่อเสียงในใจดังนับถึงเลขหนึ่ง มือซนก็ยกขึ้นมาเปิดผ้าผูกตา จังหวะนั้นเอง ที่เสียงลูกบิดดังขึ้นพร้อมประตูที่เปิดออก แล้วร่างสูงของใครบางคนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า ประสานสายตาเข้ากับดวงตาแพรวพราวของคณดล    

   ทั้งคู่สบตากันอยู่เนิ่นนานราวกับต่างฝ่ายต่างถูกสายตาของอีกคนหนึ่งสะกดเอาไว้ ให้ร่างกายเหมือนตกอยู่ภายใต้การควบคุมจากคนตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา จนรู้ว่าเวลาได้ล่วงเลยไปเท่าไหร่แล้ว...กว่าที่พวกเขาจะรู้ตัว

   ความตื่นเต้นที่ปรากฏบนดวงตาแสนซนของคนอวดดี ค่อยจางหายไปทีละนิด แทนที่ด้วยความสงสัย อย่างที่หัวคิ้วทั้งสองข้างกดเข้าหากันแน่น ขณะที่หัวใจก็เต้นแรงขึ้นจนคณดลรู้สึกได้ กับรูปลักษณ์ของคนแปลกหน้าที่ปรากฏกายอยู่ตรงนี้ แบบที่ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้เขารู้สึกว่าเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน

   ผู้ชายคนนี้หรือ คือเซอร์ไพรส์ของธุวานนท์   

   ยามนี้ คณดลไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตนควรจะพูดอะไรออกไป หากเป็นเวลาปกติ เขาคงเอ่ยปากถามไปแล้วว่าคนตรงหน้าเป็นใคร มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ยิ่งสบสายตากับอีกฝ่ายนานเท่าไหร่ ร่างกายมันก็ยิ่งไม่ยอมตอบสนองดังเช่นทุกครั้ง แถมยังรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปทั่วทั้งร่าง จนใกล้จะช็อตเข้าไปทุกวินาที

   นานเท่าไหร่แล้ว ที่คนอย่างคณดลไม่ได้เสียศูนย์ยามเจอหน้าใครเช่นนี้ 

   “พี่ผา...”

   เสียงร้องเรียกจากทางด้านหลัง เหมือนดังถูกสับคัตเอาท์ไฟฟ้า ตัดกระแสไฟที่เชื่อมต่อคนทั้งสองเอาไว้จนหัวใจของคณดลเกือบแย่ คนแปลกหน้าเบนทิศทางสายตาไปทางด้านหลัง ให้คณดลหันกลับไปมองตาม เห็นเพื่อนสนิทของตนยืนมองอยู่ด้วยสายตาประหลาดใจ

   “นี่พี่มาได้ยังไง” ธุวานนท์ถามไถ่อย่างคนที่คุ้นเคยกันมาพอสมควร สร้างความข้องใจให้คณดลเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

   “พี่กับพวกน้องๆ มาดูที่พักใหม่ ว่าจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่” ผาธนาตอบพร้อมรอยยิ้มใจดีเหมือนเช่นทุกครั้ง

   “ที่นี่?”

ธุวานนท์ทวนคำของคนที่โตกว่า ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาแล้วมองไปทางคณดลที่เหมือนจะอึ้งไปกับการเจอว่าที่ผู้เช่าที่พักคนใหม่ เห็นเพื่อนขยับปากพูดคล้ายจะทวนประโยคที่ว่า มาดูที่พักใหม่ แล้วก็แทบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ที่นานทีปีหน จะเห็นคณดลเสียอาการเช่นนี้ ดูท่าทางแล้ว ผาธนานี่ก็ตรงสเปคเพื่อนสนิทของเขาอยู่ไม่น้อย ทั้งรูปร่างหน้าตา ท่าทางและนิสัย เท่าที่รู้จักกันมา...ก็น่าจะเข้ากันได้ดีอยู่ไม่น้อย

   “บังเอิญจังเลยนะครับ นี่เพื่อนผม เป็นเจ้าของที่นี่”

   ธุวานนท์แนะนำเพื่อนของตนให้รู้จัก ครั้นเห็นว่าเพื่อนเอาแต่คร่ำเคร่ง จมอยู่กับความคิดของตัวเองไม่เลิก

   “นั่นสิ ไม่คิดว่าจะบังเอิญขนาดนี้”

ทั้งว่าที่ผู้เช่า ทั้งเพื่อนสนิทยังคงคุยกันอย่างไม่ได้คิดอะไร หากไอ้คนที่คิดคือเจ้าของที่พักแห่งใหม่นี่ต่างหาก คณดลกล้ำกลืนฝืนยิ้มไปให้คนตรงหน้า พยายามทำตัวปกติที่สุดเท่าที่ทำได้

   “ได้ดูห้องทั่วหรือยังครับ”

   และก่อนที่ธุวานนท์จะชวนผาธนาคุยระลึกความหลังกันไปไกล คณดลจึงรีบตัดบท แทรกถามเข้ามาด้วยเรื่องของที่พักใหม่แทน ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะทั้งเพื่อนและว่าที่ผู้เช่าถึงกับหยุดคุยกันและหันมาสนใจคณดลทันที

   “ยังเลยครับ พอดีพี่อยากเข้าห้องน้ำ คุณป้าเลยบอกให้ลงมาเข้าชั้นสองเพราะชั้นบนยังไม่เรียบร้อย”

   คณดลได้ยินเช่นนั้นก็ฉีกยิ้มกว้าง แล้วบอกกับคนตรงหน้า    

   “ท่อน้ำมีปัญหานิดหน่อยครับ ไม่ได้ใช้การนานแล้ว ถ้าจะเขาห้องน้ำก็เชิญทางนี้เลยครับ เดี๋ยวผมพาไป”

   คณดลบอกด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะหันไปหาธุวานนท์

   “มึงจะเข้าไปรอข้างในหรือลงไปรอห้องนั่งเล่น?” คณดลจงใจเสนอสองตัวเลือกเพื่อตัดช่องทางความคิดของเพื่อน อย่างที่ธุวานนท์เองก็ไม่ทันได้ครุ่นคิดให้มากความแล้วบอก

   “เดี๋ยวกูลงไปห้องนั่งเล่นก็ได้ เห็นว่ามีรุ่นน้องของพี่ผามาด้วย เขาจะได้สำรวจห้องกันสะดวก”

   แล้วคณดลก็นำทีม พาอีกสองคนลงไปชั้นสอง คณดลอาสาพาผาธนาไปเข้าห้องน้ำ

   “ตามสบายเลยนะครับ” คณดลว่าออกไปแบบนั้น พร้อมกับแสร้งยิ้มอย่างเป็นมิตรไปให้

   “ขอบคุณครับ” ผาธนาบอกได้เพียงเท่านั้น ก็เข้าห้องน้ำไป

   ยามเห็นว่าอีกฝ่ายเข้าห้องน้ำไปแล้ว คณดลก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ สองมือเท้าสะเอว สีหน้าเต็มไปด้วยเรื่องให้ครุ่นคิด ก่อนจะล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงและต่อสายถึงน้องชายสุดที่รัก ที่กำลังจะสร้างปัญหาให้กับพี่ชายฝาแฝดโดยไม่รู้ตัว

   “แกเป็นคนให้พวกเขามาดูที่พักใช่ไหม” ทันทีที่ปลายทางกดรับสาย คณดลก็ถามแทรกเข้าไปทันที โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันจะได้เอ่ยทักทายด้วยซ้ำ คณดลฟังคำตอบของคนที่ไม่รับรู้เรื่องราววินาศกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้น ก็ถึงกับกุมขมับไปที พร้อมบอกอีกว่า

   “พี่อ้างกับพวกเชนทร์ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าไง แต่รู้ไหมว่าคนที่ชื่อผาอะไรนั่น ดันมารู้จักกับไอ้ธุ...เออ เพื่อนพี่นั่นแหละ”

คณดลว่ายาวเหยียด สาธยายถึงเรื่องแผนการที่ดันไปอ้างว่ารู้จักกับคนที่จะมาเช่ามาก่อน แต่เป้าหมายดันมารู้จักกับเพื่อนสนิทอีกคนของเขาเสียได้ หากเป็นเช่นนี้ ราเชนทร์กับซิ่งฝูคงได้รู้ความจริงเป็นแน่ ว่าเขาไม่ได้รู้จักอะไรกับคนที่จะมาเช่าอยู่ที่นี่เลย หลังจากนั้น สองคนนั้นต้องซักเขาจนขาวซีด ถึงเรื่องที่เขาอนุญาตให้คนพวกนี้มาเช่าอยู่ในบ้านด้วยกัน เพราะสองคนนั้น รู้ดีว่าคนอย่างเขา...แม้จะเฟรนลี่ขี้เล่น เข้าหน้าเข้าตากับคนได้ง่าย แต่หากในความเป็นจริง เขาเป็นพวกโลกส่วนตัวสูง ไม่เปิดใจรับใครเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวแบบนี้หรอก

“เปล่า พี่แค่จะถามว่าเราได้บอกอะไรพวกที่มาเช่าหรือเปล่า”

คณดลตอบกลับน้องชาย ยามอีกฝ่ายถามกลับถึงเรื่องแผนการที่วางเอาไว้ ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็พอจะมีทางออกอยู่หรอก เพียงแค่เขาอยากจะแน่ใจว่าสิ่งที่น้องชายฝาแฝดพูดจะตรงกันกับเขาหรือไม่เท่านั้น เพราะหากมีอะไรผิดไปล่ะก็...เตรียมโดนไอ้พวกเพื่อนของเขาจับเชือดได้เลย 

“ดีแล้วที่ไม่ได้พูดอะไร เดี๋ยวทางนี้พี่ดูต่อให้เอง” คณดลว่าออกมาอย่างพอจะโล่งใจไปบ้าง วางสายได้ไม่นาน เงาตะคุ่มที่เข้ามาทางด้านหลัง ก็ทำเอาคณดลถึงกับสะดุ้ง จนต้องรีบหันกลับไปมอง

“ผมเองครับ คุณดล” อินเหลาว่าเช่นนั้น อย่างที่คณดลถึงกับถอนหายใจใส่อีกหน

“มีอะไรหรือเปล่า”

“คุณเชนทร์กับคุณซิ่งฝูมาหาคุณดลครับ ผมเลยจะถามว่าอยากให้เตรียมอาหารกลางวันเพิ่มไหมครับ”

เพราะวันนี้ ธุวานนท์มาที่บ้าน ทั้งราเชนทร์และซิ่งฝูจึงนัดหมายพากันไปเที่ยว โดยมาเจอกันที่บ้านของเขาก่อน

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเที่ยงนี้จะออกไปข้างนอกกัน”

“ครับคุณดล ยังไงผมขอตัวไปดูแลคนที่มาดูที่พักก่อนนะครับ” อินเหลาตอบรับเสร็จสรรพ รอคณดลพยักหน้าให้ จังหวะนั้นเอง ที่ผาธนาออกมาจากห้องน้ำพอดี คณดลจึงเปลี่ยนใจจากที่จะอยู่รอผาธนาก่อน

“เดี๋ยวขึ้นไปด้วยกันเลย” คณดลว่าแบบนั้น แล้วเดินนำอีกสองคนที่เหลือขึ้นไปชั้นสาม

เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็พบว่าแต่ละคนมารวมตัวกันรอผาธนาอยู่ที่โซนนั่งเล่นตรงกลาง ซึ่งตอนนี้ แต่ละคนกำลังมองมาทางพวกเขาเป็นสายตาเดียว ก่อนต่างฝ่ายต่างยกมือไหว้กัน ด้วยความไม่รู้ว่าใครอายุเท่าไหร่ ก็ทั้งไหวและรับไหว้ไปในที

“ที่พักเป็นยังไงบ้างครับ” คณดลเอ่ยปากถามและนั่งลงที่โซฟาโดยมีอินเหลายืนขนาบข้าง ขณะที่ผาธนาก็เดินไปนั่งที่โซฟาอีกฝั่ง

   “ดีมากเลยค่ะ แต่ว่า...ที่บอกจะให้เช่านี่หมายถึงทั้งชั้นเลยหรือครับ”อุปรากรเป็นฝ่ายเริ่มต้นสนทนากับคณดล มันเป็นคำถามที่แต่ละคนสงสัยมายาวนานเกือบสัปดาห์

   “ใช่ครับ ผมเห็นว่าอยู่กันหลายคน แล้วต้องถ่ายงานกันตอนกลางคืน เลยคิดว่าที่ชั้นสามน่าจะสะดวกสบายกว่าห้องพักด้านหลัง” คณดลหมายถึงบ้านชั้นเดียวที่อยู่ติดกับบ้านพักพนักงาน ที่คณรักษ์เคยติดต่อคุยกับผาธนาไปแล้ว

   “ไม่ต้องห่วงเรื่องเสียงนะครับ เพราะฝั่งซ้ายมือเป็นสตูดิโอเก็บเสียง ถ่ายงานกันได้สบายเลยครับ” คณดลแนะนำไปตามความต้องการที่กลุ่มคนตรงหน้าร้องขอมาในทีแรก

   “ส่วนถัดจากสตูดิโอจะเป็นห้องน้ำรวม ถัดไปเป็นห้องครัว และมีห้องนอนสี่ห้อง...คงจะพอต่อจำนวนคนนะครับ”

   “พอครับ เรื่องห้องนอน...พวกเราไม่มีปัญหาเลย” อุปรากรตอบ ก่อนจะวกเข้าเรื่องสำคัญ

   “พวกเราโอเคกับที่นี่มากเลยครับ แต่เรื่องราคา...มีแค่ค่าเช่าห้องเท่านั้นหรือครับ”

   “ใช่ครับ ผมคิดแค่ค่าห้อง สามพันห้าร้อยบาทต่อเดือน ค่าน้ำไฟและอื่นๆ ฟรี แม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดให้ทุกวันครับ สบายใจได้ครับ ไม่มีค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ แน่นอน”

   คำยืนยันเรื่องค่าใช้จ่ายทำเอาต่างคนต่างหันไปมองหน้ากัน อย่างมีเรื่องข้องใจ กระทั่งสายตาของคณดลสบเข้ากับผาธนาที่กำลังจะเอ่ยปาก อย่างที่คณดลเดาได้ไม่ยากว่าคนกลุ่มนี้กำลังกังวลเรื่องอะไร

   “ที่ผมคิดแค่ค่าเช่าเดือนละสามพันห้าร้อยบาท เพราะรุ่นพี่ของผม...เขาบอกว่าคุณผาธนามีบุญคุณต่อเขา เขาก็เลยขอให้ผมช่วยดูแลเรื่องที่พักให้ โดยให้จ่ายแค่ค่าเช่า ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ เขาจะรับผิดชอบเองครับ”

   คณดลว่าพร้อมกับสบตาผาธนาที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนเขาจะหันมามองสำรวจสีหน้าของแต่ละคน

    “เรื่องของคุณผาธนากับรุ่นพี่ ผมขอให้เป็นเรื่องระหว่างพวกคุณก็แล้วกันนะครับ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทุกคนได้เลย ไม่ต้องกังวลนะครับ ถ้าพร้อมย้ายเข้ามาเมื่อไหร่ ติดต่อผมได้ตลอด ผมยินดีดูแลทุกคนครับ”

    คณดลว่าย้ำ เพราะเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจแทนผาธนากับคนอื่นๆ อย่างที่บอกไปว่าหน้าที่ของเขาตอนนี้ คือการทำตามความต้องการของคนที่โตกว่า ซึ่งไม่ได้กลับมาเจอหน้ากันนานหลายปีแล้ว ล่าสุดที่ได้คุยกัน คือวันที่ใครคนนั้น โทรมาขอร้องให้เขาหาที่พักให้กับกลุ่มของผาธนา และคาดว่าอีกฝ่ายคงติดต่อไปทางคณรักษ์ด้วย น้องชายฝาแฝดของเขาถึงเข้ามาจัดการเรื่องนี้ไปบ้างแล้ว

   คณดลเหลือบมองไปทางผาธนาที่กำลังสบตากับคนที่เหลือ และกระซิบคุยอะไรบางอย่างกัน ก่อนจะหันมาทางเขาที่รอฟังอยู่

   “เอาเป็นว่าพี่ขอตัดสินใจกันก่อนก็แล้วกันนะครับ ถ้ายังไงจะติดต่อกลับมา”

   “ได้เลยครับ” คณดลฉีกยิ้มกว้าง มองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาใจดี...แบบที่ทำเอาคนที่นั่งตรงข้ามนิ่งงันไป จนรอยยิ้มสดใสค่อยกลายเป็นยิ้มเก้อ ยามรู้สึกแปลกใจกับแววตาของคนที่โตกว่าที่มองมาเช่นนั้น

   
   

        (จบตอนที่ 3 Casting) - ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Twitter : BLackcomedY (@LacomedB)  :mew1: :katai4:


 

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ BlackG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


4
Story Editor

แสงสีจากหลอดไฟสลับกันสาดไปในแต่ละทิศ เสียงเพลงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ตามห้วงเวลาที่ดึกดื่นเข้าไปทุกนาที ผู้คนที่อัดแน่นกันอยู่ภายในร้าน ปลดปล่อยทุกอย่างไปตามความต้องการของตน ท่ามกลางเสียงหัวเราะ เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ที่ดังแข่งกับเสียงเพลง ซึ่งกำลังปลุกทุกความรู้สึกให้ตื่นขึ้นในร่างนักท่องราตรี

   แยกห่างออกไปในโซนส่วนตัวชั้นสอง กลุ่มชายหนุ่มกำลังนั่งล้อมวงกันที่โต๊ะ มองสำรวจไปยังกลุ่มลูกค้าของร้านที่เมามายกันเต็มที่ แบบที่ไม่จำเป็นต้องสนใจว่าใครจะมองมายังไง

   “เชิญทางนี้เลยค่ะ คุณเชนทร์” คณดลส่งเสียงเรียก อย่างที่เจ้าของชื่อแทบจะไม่ต้องเพ่งตามองผ่านความมืดก็พอจะรู้ว่าคนที่จัดเต็มทั้งเสื้อผ้า แต่งหน้าและวิกผมสีบลอนยาวสลวยคือคณดลตัวจริงเสียงจริง ไม่ผิดตัวเป็นแน่

   “ชุดอะไรของนาย”

   “โนๆๆ อย่ามามองด้วยสายตาแบบนั้น นี่ดิฉันอุตส่าห์ลงทุนไปเช่าชุดคอเลกชั่นใหม่ของลาบาชอว์มาเลยนะคะ เพื่อเลี้ยงฉลองที่คุณราเชนทร์ได้เปิดร้านอย่างที่ใฝ่ฝันเอาไว้สักที”

   คำพูดที่ทำเอาเชนทร์ส่ายหน้า มองสำรวจชุดกระโปรงเปิดหลัง เปิดไหล่ แถมสีสันสุดจี๊ด คลุมทับด้วยเสื้อแขนยาวตัวโปร่ง ช่างเข้ากับบรรยากาศและเสียงเพลงตอนนี้เสียเหลือเกิน

   “ขอบใจที่อุตส่าห์ลงทุนเพื่อฉันขนาดนี้นะ” ราเชนทร์หันไปบอกคนที่เข้ามาควงแขนและดึงตัวเขาไปนั่งลงข้างๆ พร้อมบริการเสิร์ฟเครื่องดื่ม ดูแลดีเสียจนราเชนทร์แทบจะลืมตัว คิดว่าจ้างพนักงานมาบริการให้ถึงโต๊ะ

   “ไม่มีทิปหรือคะ” และไม่วายเพื่อนรักก็หันมาหยอกเล่นใส่ หน้าตาน่าหมั่นไส้จนราเชนทร์อดบีบจมูกทีไม่ได้

   “บ้าบอ มาทำแบบนี้ เค้าเขินเป็นนะ” คำพูดที่เพิ่มความน่าหมั่นไส้เข้าไปเป็นเท่าตัว หากคราวนี้ ราเชนทร์ไม่ได้ตอบโต้อะไร แต่เป็นซิ่งฝูที่หันมายัดแก้วเครื่องดื่มใส่มือและดันแก้วขึ้น อย่างต้องการจะกรอกเหล้าเข้าปากคนที่สวยที่สุดในกลุ่มตอนนี้

   “พอเลยนะ อ่อยราเชนทร์อยู่ได้ ส่วนเชนทร์ ห้ามมาตกหลุมรักเหอผิงนะ” คนที่เริ่มจะเมาส่งเสียงดังขึ้น มองตาขวางไปทางราเชนทร์อย่างที่คนถูกมองเอง ก็ส่งสายตามองมาอย่างท้าทาย

   “ทำไม ถ้าฉันจะคบกับณดลเสียอย่าง ให้ตายยังไง นายก็ห้ามไม่ได้หรอก” ราเชนทร์จงใจจะยั่วโมโหคนตรงหน้า และมันก็ได้ผล เมื่ออีกฝ่ายหน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วว่ากลับมา

   “นายไม่มีสิทธิ์! เพราะนายไม่ผ่านการพิจารณา เป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น! เข้าใจไหม”

   หากรอบข้างมีคนอยู่ พวกเขามั่นใจเลยว่าทุกคนต้องหันมามองเพราะเสียงของซิ่งฝูเป็นแน่ แต่นั่นมันก็ยิ่งสนุกสำหรับราเชนทร์ ที่มักจะชอบเย้าแหย่ซิ่งฝูจนกลายเป็นคู่ที่ปากก็กัด เท้าก็ถีบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน

   “ไม่เข้าใจ” ราเชนทร์เน้นทีละจำอย่างต้องการจะกวนประสาต เสียงหัวเราะเบาๆ ค่อยหลุดออกมาจากคนที่มักจะเอาแต่เงียบขรึม ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นตลอดเวลา แต่คงจะไม่ใช่ในยามที่เขาได้อยู่กับเพื่อนสนิทที่ทั้งรักและไว้ใจกันเช่นนี้

   “พวกมึงนี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ ทะเลาะกันอย่างกับผัวเมียข้างบ้านกู” ธุวานนท์เปรยขึ้นมา หลังจากเอาแต่นั่งมองสองเพื่อนรักเถียงกันไปมาอยู่นาน นั่นทำให้ราเชนทร์หันกลับไปส่งยิ้มเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่อยู่ไกลกัน

“นึกว่านายจะมาไม่ได้เสียอีก” เขาว่าเช่นนั้น เพราะเห็นว่าพักหลังมาดูธุวานนท์จะยุ่งเรื่องธุรกิจดูแลรถที่เพิ่งจะเปิดไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้

“เพื่อนรักกูลงทุนเปิดร้านทั้งที กูจะไม่มาได้ยังไง เชียงใหม่-กรุงเทพ ไกลกันสักเท่าไหร่เชียว” ธุวานนนท์ว่าเสร็จก็ยกแก้วขึ้นมาดื่มอีกหน แบบที่คนมองได้แต่ถอนหายใจยามเห็นเพื่อนกระดกเหล้าเข้าปากเรื่อยๆ อย่างกับดื่มน้ำเปล่า

“เออ เอาจริงนะ คิดไป...ทีแรก กูคิดว่ามึงอยากจะเปิดร้านอาหารหรูๆ เสียอีก”

ธุวานนท์ว่าไปตามการคาดคะเนของตนตั้งแต่สมัยเรียน เพราะราเชนทร์เลือกเรียนทำอาหารและฝึกงานที่ครัวโรงแรมมาตลอด แถมหลังจากเรียนจบก็ไปช่วยงานครัวที่โรงแรมของพ่ออีกด้วย จึงนึกแปลกใจที่มาเปิดร้านเหล้ากึ่งผับเช่นนี้

“ฉันแค่อยากได้อิสระ”

คำตอบที่เหมือนจะไม่ได้รับคำตอบทำเอาคนถามยิ่งขมวดคิ้วเพ่งมองคนตอบหนักเข้าไปอีก กระทั่งสายตาของราเชนทร์เชิญชวนให้ต่างคนต่างหันไปมองผู้คนจำนวนมากมายด้านล่าง ยามที่เจ้าของร้านอธิบายเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจลงทุนเปิดร้านนี้

“นายเห็นคนพวกนั้นไหม เขามีอิสระที่จะทำทุกอย่างตามที่ต้องการได้ที่นี่ อยากจะหัวเราะ อยากจะร้องไห้ อยากจะร้องเพลงหรืออยากจะเต้นแบบไหนก็ได้ จะกินดื่มอะไร ก็ไม่มีใครมานั่งมองด้วยสายตาดุด่าที่นี่”

ก่อนราเชนทร์จะแค้นเสียงหัวเราะ ยามนึกไปถึงเรื่องที่ทำให้เขาอึกอัดรำคาญใจมาตั้งแต่ยังเด็ก แล้วบอกคนรอบข้างต่อว่า...

“และที่สำคัญ ไม่มีใครคิดอะไรมากมายกับอาหาร ทั้งหน้าตาของมันและรสชาติ ไม่เหมือนกับร้านอาหารทั่วไป ที่หน้าตาต้องดูดี ภาชนะต้องสวยหรู รสชาติต้องได้มาตรฐานตามสูตรและเป็นที่ยอมรับ แต่กับที่นี่ แม้กับแกล้มธรรมดากับเครื่องดื่ม พวกเขาก็ยังได้อรรถรสในการกินดื่ม โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเมนูที่เสิร์ฟออกไป มันจัดวางยังไงและอยู่ในถ้วยชามแบบไหน เพราะพวกเขาแค่ต้องการความสุข”
 
   เหตุผลที่คนฟังเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จนเผลอยิ้มออกมา เพราะพวกเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่พบเจอเรื่องน่ารำคาญใจเช่นนี้

“เบาหน่อย เพิ่งจะเริ่มเอง” ราเชนทร์อดหันมาปรามไม่ได้ ยามเห็นธุวานนท์ยังกรอกเหล้าเข้าปากตัวเองทีละแก้วไม่เลิก อย่างไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายต้องการจะเมามายไปเพื่ออะไร

“ฉลองความสำเร็จให้กับมึงไงเชนทร์” ธุวานนทว่าไปก็ยกแก้วขึ้นให้ราเชนทร์เหล่ตามามองนิด แล้วยกยิ้มที่มุมปาก

“ให้กับฉันหรือว่า...คนที่รออยู่ที่โรงแรมกันแน่” ราเชนทร์หมายถึงจัตตวารัตน์ที่คาดว่าคงจะมารอรับอีกฝ่ายอยู่ที่โรงแรมใกล้ๆ ร้านของเขา เพราะความเป็นห่วงไม่อยากให้ธุวานนท์กลับเอง

“นานทีปีหนคนอย่างมันจะปล่อยให้กูได้สังสรรค์กับเพื่อน กูก็ต้องหนักหน่อยสิ”

“เพิ่งจะรู้ว่าคุณธุกลัวสามีเป็นเหมือนกัน” คณดลหันมาแซว แววตาหยอกล้อจนธุวานนท์ถึงกับมือลั่นเอาถั่วปาใส่หน้า

“คนไม่มีแฟนอย่างมึงจะไปเข้าใจหัวอกคนมีผัวอย่างกูได้ยังไง ไว้มีเมื่อไหร่ มึงค่อยมาบลัฟกูนะ ไอ้น้องดลลี่”

“ลิปกู! เดี๋ยวปากกูซีดหมด” คณดลแหวใส่ไปที ยามอีกฝ่ายเอานิ้วโป้งมาเกลี่ยปากเขา อย่างที่ธุวานนท์เบะปาก ขณะมองมือที่เปื้อนลิปของตัวเอง

“กูว่ามันแดงไปนะวันนี้” ธุวานนท์บอก ครั้นนึกถึงยามปกติที่คณดลแต่งตัวเช่นนี้ หากแต่ก็ไม่เคยทาลิปสติกสีแดงสดเลยสักครั้ง

“อ่อนไป เดี๋ยวมันไม่สู้แสงเว้ย อีกอย่าง...นี่เป็นลิปสติกนำโชค กูทามาปุ๊บ คนเข้าร้านเชนทร์เต็มเลย มึงไม่เห็นหรือ”

“เห็น! เห็นแต่ความมั่นหน้าของมึงเนี่ย! กูขอคืนได้ไหม ไอ้เพื่อนกูคนเดิมที่อ่อนหวานเรียบร้อย ไม่ได้แรดสู้แสงไฟแบบนี้”

“ไอ้คุณธุ ถึงกูจะแต่งตัวจัดจ้านแบบนี้ เล่นกับพวกมึงแบบนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่ากูแรดนะเว้ย แรดไม่แรดมันอยู่ที่ใจ ไม่ใช่เสื้อผ้าหน้าผมนะขอบอก ดังนั้น กู! คนนี้ คือเพื่อนคนดีคนเดิมที่สุดแสนจะอ่อนโยนของมึงนั่นแหละ”

“เออ กูเชื่อว่ามึงมันแรดปลอม”

“แน่นอน เพราะของแท้ต้องมีหนอ แต่กูไม่มีเพราะกูไม่ใช่แรด” ว่าจบคณดลก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเสียงดัง อย่างที่ธุวานนท์ได้แต่มอง แววตาที่เต็มไปด้วยความสนุกเมื่อครู่เริ่มเลือนหายไป

“กูขอโทษ รู้นะว่ามึงเจ็บกับคำพูดของกู” น้ำเสียงที่อ่อนลงและแววตาที่สื่อเจตนาของคนสำนึกผิด อย่างที่คณดลฉีกยิ้มกว้างกับความตรงไปตรงมาของธุวานนท์...ที่สมัยก่อนเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็คงเป็นอย่างนั้น ตามเจตคติที่ว่า ผิดก็ขอโทษและพยายามปรับปรุงตัว

“คิดว่าขอโทษแล้วจะจบแบบง่ายดายหรือ คนทำผิดต้องได้รับการลงโทษเว้ย”

แต่คติเช่นนั้นมันใช้ไม่ได้กับคนอย่างคณดล ที่ยึดถือว่าผิดเป็นผิด คนทำผิดย่อมได้รับบทลงโทษก่อนการให้อภัย

“จะทำอะไรของมึง!!” ธุวานนท์ร้องเสียงหลง ยามเพื่อนตัวดีมันพุ่งเข้ามาใกล้พร้อมจับล็อกคอจากทางด้านหลัง แล้วผู้ลงทัณฑ์ก็จัดการแนบริมฝีปากลงบนต้นคอของอีกฝ่าย อย่างที่ธุวานนท์ถึงกับเบิกตากว้าง ยามรับรู้ว่าคณดลต้องการจะลงโทษเขาแบบไหน

เพราะในเมื่อธุวานนท์ดันปากสุนัขไม่รับประทานใส่เพื่อน คณดลจึงจงใจจะให้ธุวานนท์ใช้ปากของตัวเอง แก้ตัวกับจัตตวารัตน์ในคืนนี้เอาเอง

“ปากมึงน่ะ ด่ากูแรดได้ คงไม่ยากใช่ไหมถ้าจะใช้ปากของมึงพูดจาหาข้อแก้ตัวกับผัวมึงเรื่องรอยจูบ” แล้วไม่วายคณดลยังจะยื่นจากเข้าใส่อีกหน หมายจะจุ๊บเข้าที่กลางหน้าผากเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด จนธุวานนท์รีบผลักหน้าคณดลออกแทบไม่ทัน

อย่างที่คนมองอย่างซิ่งฝูก็ได้แต่คิดว่าหากไม่รู้จักและสนิทกันมานาน สองคนนี้คงมีวางมวยกันแน่ แถมเขากับราเชนทร์คงเข้าไปจับสองคนนี้แยกออกจากกันตั้งแต้ธุวานนท์เผลอว่าคณดลว่าแรดแล้ว แต่เพราะมันเป็นการกระทำที่ชินตาของคนที่สนิทกันมาก่อนหน้าจะเข้ามหา’ลัย ทำให้เรื่องทุกอย่างมันเป็นเพียงการหยอกล้อเท่านั้น

“มึงแม่ง”

“มึงลบ กูจูบ” คณดลชิงพูดแทรกก่อนที่มือของธุวานนท์จะทันได้ลบรอยลิปสติกบนคอตัวเองออก สุดท้าย ธุวานนท์ก็ได้มองอีกฝ่าย แล้วจัดการระบายอารมณ์ด้วยการกระดกแก้วหรอกเหล้าเข้าปากอีกครั้ง

“เหอผิง...ผมมีเรื่องจะถาม” จู่ๆ ซิ่งฝูที่เงียบไปนานก็เปรยขึ้นมา เรียกสายตาจากเพื่อนที่เหลือให้หันไปมองคนที่เริ่มจะเลื้อยตัวนอนบนโซฟาอยู่รอมร่อ หากสายตาเยิ้มนั่นกลับพุ่งตรงมาทางคนที่เลิกคิ้วขึ้นอย่างรอฟังคำถาม

“สรุปว่าไอ้คนที่มาเช่าที่พักน่ะ สนิทกันจริงๆ หรือ สนิทกันแค่ไหน ตอนผมเจอหน้าแล้วไม่เห็นจะถูกชะตาเลย”

ซิ่งฝูหมายถึงผาธนา คนที่เขาบังเอิญเจอตอนไปที่บ้านของคณดล ตอนนั้น ผาธนากับพวกกำลังจะกลับกันพอดี พอเขาถามเพื่อนไปก็ได้รับคำตอบแค่ว่าเป็นคนที่จะเข้ามาเช่าที่พัก แต่ไม่รู้อะไรสะกิดใจให้ซิ่งฝูรู้สึกไม่สบายใจ จนเก็บกดแล้วเอามาโพล่งตอนนี้

ส่วนคณดลน่ะหรือ...สีหน้าปั้นยากแทบจะถูกกลืนหายไปในทันทีที่เผลอสบตาเข้ากับราเชนทร์ทีเดียวล่ะ

“นั่นสิ กูจะถามมึงอยู่พอดีว่ามึงรู้จักกับพี่ผาด้วยหรือ” ธุวานนท์เองก็เพิ่งจะมีโอกาสได้ซักถามเพื่อนเรื่องนี้ เพราะเมื่อกลางวันเขาก็มัวแต่ยุ่งเรื่องทำเซอร์ไพรส์ให้จัตตวารัตน์ ก่อนที่ธุวานนท์จะหันไปทางราเชนทร์อย่างเพิ่งจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วโพล่งออกไปว่า

“เออ! ตอนมัธยมมึงก็เรียนที่เดียวกับพี่ผานี่หว่า”

ราเชนทร์เลิกคิ้วมองไปทางธุวานนท์ที่บอกแบบนั้น

“พี่ผา?” แล้วทวนชื่อซ้ำอย่างพยายามจะคิดว่าใครคือผาที่ธุวานนท์พูดถึง

“ก็พี่ผา ประธานสีฟ้าที่มาขอให้มึงไปขึ้นแสตนด์เชียร์ให้เขาตอนมอสอง ตามตื๊อจนมึงต้องโดดรั้วออกนอกโรงเรียน แถมพาลหลอนรอยยิ้มของพี่เขาไปเป็นปีไง”

คำบรรยายเสริมที่ราเชนทร์แทบไม่ต้องคิดทบทวนให้มากความ ใบหน้าศัตรูคู่อาฆาตก็ลอยเด่นมาแต่ไกล ให้กำหมัดแน่นอย่างที่ในใจอยากจะซัดหมัดเข้าที่น่าอีกฝ่ายไป แต่มันติด...ติดที่ว่าหน้าของผาธนาเป็นเพียงแค่ลมจินตนาการเท่านั้น

“บังเอิญจัง อย่างกับพรมลิขิตบันดาลชักพา แท่แดแด๊ด” ซิ่งฝูร้องออกมาเป็นเพลง เหมือนสติจะเริ่มเลือนรางเต็มทน หากก็ยังไม่ล้มคอพับ โอนเอนไปมาจนราเชนทร์ต้องจับหัวอีกฝ่ายให้มาซบไหล่ เพราะเกรงจะคอหักตายคาร้านเขาเสียก่อน

ตรงข้ามกับคณดลแทบจะสำลักน้ำหวาน ยามได้ยินคุณชายที่เริ่มปากมาก ซึ่งนอกจากจะชวนคุยเรื่องผาธนาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น มันยังอวดดีไปบอกว่าราเชนทร์เคยเรียนที่เดียวกับผาธนาอีกต่างหาก จนสองตาของคุณดลอดสอดส่องไปยังเพื่อนอีกสามคนที่เหลือ กระทั่งไปสบเข้ากับสายตาของราเชนทร์ที่มองมาด้วยสายตาดุดัน หัวคิ้วทั้งสองข้างก็แทบจะชนกันอยู่รอมร่อ

“เอ...แต่ไหนเหอผิงบอกผมว่า คนที่มาเช่าเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าไง ถ้าอย่างนั้น...เหอผิงเคยเรียนโรงเรียนเดียวกับเชนทร์น่ะสิ”

คนปากมากเบอร์สองว่าเช่นนั้น ให้น้ำที่สำลักเมื่อครู่แทบจะพุ่งออกมาทางจมูก ให้คณดลได้แต่พร่ำบ่นในใจ แล้วแสร้งตีหน้านิ่ง ยืดหลังตรงพร้อมตอบคำถามเพื่อน แม้นในใจจะเอาแต่สาปส่งให้คนที่กำลังเลื้อยไปบนตัวราเชนทร์หลับไปเสียที

“คือเรากับพี่ผาอะไรนั่น ไม่ได้รู้จักกันตรงๆ หรอก เขาเป็นคนรู้จักของรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่าของเราอีกที...”

“แล้วไอ้รุ่นพี่นั่นมันชื่ออะไร” ราเชนทร์ถามเสียงนิ่ง ดูก็รู้ว่าหากคณดลไม่บอกความจริง มีหวังได้ตายคาร้านเหล้าเป็นแน่

“ชื่อพี่คิง...” คณดลตอบกลับเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดความสงสัยที่อีกฝ่ายกำลังจับพิรุธเขาเรื่องคิดชื่อให้กับตัวละครปริศนาอยู่ ก่อนที่เขาจะรีบอธิบายต่ออย่างพยายามห้ามกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามอยู่ตอนนี้

“...พี่คิงเขาเคยช่วยเราหลายเรื่อง เราก็แค่อยากจะช่วยเขาบ้างก็เท่านั้น อีกอย่าง พวกพี่ผาธนา เขาเองก็มีบุญคุณอะไรสักอย่างกับพี่คิงมาก พอพี่ผาเดือดร้อนเรื่องที่อยู่ พี่คิงก็เลยขอร้องให้เราช่วยให้ที่เช่าเขา แล้วก็จะออกเงินรายเดือนส่วนหนึ่งให้” 

“เดี๋ยว! ใครช่วยอะไรใครนะ?” ซิ่งฝูหันมาขมวดคิ้ว ถามออกมาอย่างคนจับใจความไม่ทันว่าเพื่อนกำลังพูดถึงใคร อะไร ยังไง จนคณดลถึงกับถอนหายใจใส่

“สรุปนะ พี่คิงขอร้องให้ไอ้ณดลช่วยเปิดพื้นที่บ้านให้พี่ผาเช่า เออ มันทำตามคำขอของพี่คิงนั่นแหละ” ธุวานนท์ว่าปิดท้ายไปแบบนั้น เพื่อสกัดซิ่งฝูที่กำลังจะอ้าปากถามเขาในประโยคแรก จนอีกฝ่ายพยักหน้าอย่างพอจะเข้าใจ แต่ไม่วายหันไปหาคณดล

“เหอผิงกับพี่คิงสนิทกันมากเลยหรือ ทำไมถึงยอมช่วย” คนขี้สงสัยยังซักไม่เลิก จนเจ้าของเรื่องแทบอยากจะปาแก้วใส่ หากยังยั้งมือทันและใจดีพอจะอธิบายให้เข้าใจว่า

“สนิทมาก! ถ้าไม่มีพี่คิง เราคงเรียนจนจบชั้นมัธยมฯ และเข้าไปเจอพวกนายตอนเรียนต่อมหาวิทยาลัยเลยแหละ”

คำอธิบายที่ทำเอาซิ่งฝูอ้าปากค้าง ซ้ำยังว่าต่อ

“ถือว่ามีบุญคุณมากที่เขาทำให้เราได้มาเจอกัน” แล้วคนพูดก็ฉีกยิ้มกว้าง อาการเคลิบเคลิ้มเริ่มหลงเข้าไปในโลกส่วนตัวกลายๆ แบบที่คนมองอย่างคณดลถึงกับลอบถอนหายใจ นึกไปว่าโชคดีที่อีกฝ่ายดื่มไปหลายแก้วแล้ว



   เวลาเคลื่อนผ่านจวนผ่านพ้นวันเก่า เข้าสู่วันใหม่มาได้เกือบสองชั่วโมง ราเชนทร์ขอตัวไปจัดการเรื่องร้านต่อ ขณะคนมีคู่คนเดียวในกลุ่ม ก็อยู่บนรถแฟนของตัวเองเรียบร้อย

   ...พร้อมพ่วงด้วยเพื่อนรักอีกสองคน ที่คนหนึ่งหลับไปแล้ว ส่วนอีกคนกำลังคุยแชทกับใครสักคนอยู่

   “มึงโกหก...”

   แล้วคนที่นั่งด้านหน้าก็เปรยขึ้นมา ในยามที่แฟนของตัวเองแวะซื้อของในร้านสะดวกซื้อ จนคณดลต้องหันไปมองคนที่นั่งอยู่เยื้องกัน กระทั่งมันหันมาเผชิญหน้าเขา ด้วยแววตาจับพิรุธ

   “มึงโกหกทุกคนทำไม” คนที่เหมือนจะรู้เรื่องบางอย่างดีกว่าใครส่งเสียงอ้อแอ้ถามแบบนั้น ให้คณดลถึงกับลอบกลืนน้ำลาย ได้แต่คิดว่าอีกฝ่ายยังค้างคาใจเรื่องนี้อยู่อีกหรือ

   “กูโกหกอะไร” แต่ก็ยังทำใจสู้ถามกลับไปเช่นนั้น จนคนถามเริ่มจะหงุดหงิด

   “เรื่องพี่ผา...เขาไม่รู้จักกับพี่คิง แล้วกูก็รู้จักกับพี่คิงเพราะมันเป็นพี่ข้างบ้านกู ดังนั้น มันไม่รู้จักกับพี่ผา”

   คณดลอยากจะตีปากตัวเองแรงๆ สักที ที่ดันปากไวกว่าสมองไปอ้างชื่อรุ่นพี่ที่ธุวานนท์รู้จัก แถมจะโกหกอะไรคนที่รู้ไส้รู้พุงกันมาแต่เด็กก็เห็นจะยาก และถึงจะโกหกมันในเวลานี้ได้ แต่มันต้องจับตาดูจนกว่าจะรู้ความจริง นี่ล่ะน้า ที่เขาว่ายิ่งใกล้ชิดกันนานเท่าไหร่ ลางสังหรณ์ยิ่งแรงเท่านั้น

   “แล้วทีมึงล่ะ รู้จักกับพี่ผาได้ยังไง” คณดลเลือกที่จะเลี่ยงตอบคำถามเป็นลำดับแรก เพราะอย่างน้อยเขาก็ต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายรู้รายละเอียดอะไรมาบ้าง

   “พี่ผาเป็นเพื่อนสนิทของไอ้พี่หมีใหญ่”

   คำบอกเล่าที่คณดลคิดไปว่าคงไม่มีใครซวยเท่ากับตนเองอีกแล้ว ทั้งหมด มันเป็นเพราะความปากไวของเขาแท้ๆ ตั้งแต่ตอนที่อ้างกับราเชนทร์กับซิ่งฝูว่าคนที่มาเช่าเป็นรุ่นพี่โรงเรียนเก่าแล้ว ตามมาด้วยเรื่องของพี่คิงอีกระรอก...ก็ตอนนั้นมันจวนตัวนี่นา คิดชื่อไม่ทันเสียด้วยสิ

   “ไอ้ดล...กูเป็นเพื่อนกับมึงมาตั้งแต่หกขวบ ทำไมกูจะไม่รู้ว่ามึงมีความลับกับกู มึงบอกกูมาสักทีเถอะ มึงก็รู้ว่าถ้าปล่อยให้คนอย่างกูสงสัยแล้วจะเป็นยังไง”

   มันเมาจริงหรือเปล่า ทำไมถึงยังขู่เขาได้อีก...แล้วแบบนี้ มันไม่ได้แปลว่าเขากำลังจนตรอกหรือ

   “กูแค่ไม่อยากให้เชนทร์กับ...” คณดลเหลือบตาไปมองข้างๆ จนแน่ใจแล้วว่าซิ่งฝูไม่น่าจะตื่นมารับรู้สารในยามนี้ได้ จึงพูดต่อว่า

   “...กูแค่ไม่อยากให้พวกมันรู้เรื่องพี่ผา”

   “ทำไม...”

   “กูชอบเขา”

   “ห๊ะ!?” ธุวานนท์เกือบจะสร้างเมาเพราะเหตุผลจากเพื่อน เขาทำหน้าไม่ถูก รู้สึเหมือนว่าจะได้ยินอะไรผิดไป...หรือเปล่า

   “มะ...มึงว่าไงนะ” จนอดถามซ้ำไม่ได้

   “เออ กูชอบเขา แล้วมึงก็รู้ว่าถ้าสองคนนี้มันรู้เรื่องเข้า...มันต้องขวางกูแน่”

   “เดี๋ยวก่อน...ก่อนจะไปถึงเรื่องสองคนนั้น มึงไปรู้จักกับพี่ผาตั้งแต่ตอนไหน”

   “กูแค่บังเอิญเจอเขาที่งานลอยกระทง แล้วกูก็ชอบเขาตั้งแต่ตอนนั้น กูตามหาเขามาตลอด กระทั่งณรักษ์มันบอกว่าพวกพี่ผากำลังหาที่พักกันอยู่ กูก็เลยเสนอว่าให้มาเช่าอยู่ที่บ้านเพื่อที่กูจะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเขา...กูไม่รู้หรอกนะ ว่าณรักษ์มันไปรู้จักพวกพี่ผาได้ยังไง”
   คณดลมองสบตากับธุวานนท์ที่มองมาทางเขานิ่ง แม้ในใจจะเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ถึงข้ออ้างเรื่องที่เขาชอบผาธนา มันจะฟังดูไม่เป็นเหตุเป็นผลเสียเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นข้ออ้างที่ทำให้ธุวานนท์คลายความสงสัยในตัวเขาได้

เพราะสำหรับเรื่องความรัก...มันไม่เคยมีเหตุผลที่แท้จริงหรอก

   “อืม เอาเป็นว่ากูจะไม่บอกพวกนั้นก็แล้วกัน...” คำบอกกล่าวที่ทำเอาคณดลโล่งใจไปไม่น้อย แต่ก็ได้เพียงแค่ไม่ถึงสามวินาที ยามที่อีกฝ่ายบอกต่อว่า

   “...และกูจะช่วยมึงเรื่องพี่ผาเอง เพราะอย่างน้อยเขาก็เป็นเพื่อนสนิทของไอ้พี่หมีใหญ่”

   คณดลเกือบลืมความจริงเรื่องนี้ไปแล้วเชียว แต่ในเมื่อบอกไปแล้วว่าเขาชอบผาธนา...แล้วยังไงล่ะ เขาก็ควรดีใจที่แฟนเพื่อนเป็นถึงเพื่อนสนิทของคนที่เขาแอบชอบสิ

   “กูขอบใจมึงมากนะ”

   “กูแค่อยากให้มึงมีความสุข อยากให้มึงสมหวังในความรักสักที และกูก็เชื่อว่าครั้งนี้...เป็นรักแท้ของมึง”

   รักแท้...

   ทั้งแท้ ทั้งจริง จนคณดลอยากจะเอาหัวโขกกระจกรถให้ตายไปเสียแต่ตอนนี้ คนเจ้าคิดเจ้าแผนการอย่างธุวานนท์ มีหรือที่วางแผนอะไรแล้วจะล่มไม่เป็นท่า และการที่มันพูดแบบนั้น แสดงว่ามันก็ต้องรู้จักผาธนาดีในระดับหนึ่ง ท่าทางมั่นใจในตัวอีกฝ่ายแบบนั้น มันทำให้คณดลหวั่นใจไม่น้อย

   แต่จะทำเช่นไรได้ ในเมื่อปากไว ปากมาก สร้างเรื่องเอง งานนี้ คณดลก็ต้องแก้ปมเรื่องที่ตนสร้างเองเสีย



        :กอด1:(จบตอนที่ 4 : Story Editor) ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Twitter : BLackcomedY (@LacomedB)  :bye2:






ออฟไลน์ BlackG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0


5
Special make-up effects



          saThuboon: กูลิสต์สิ่งที่พี่ผาชอบมาให้แล้ว กรุณาจดจำและนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันด้วย

         แม้ว่าเจ้าตัวจะกลับกรุงเทพฯ ไปเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้ว หากความทรงจำครั้งเคยพลั้งปากพูดเรื่องผาธนาให้ฟังยังอยู่ ธุวานนท์จึงทำหน้าที่อย่างดีแบบไม่มีขาดตกบกพร่อง ผ่านทางข้อความที่ส่งเข้ามาวันละสามครั้งหลังอาหาร เพื่อเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับผาธนาให้พอกพูนเพิ่มขึ้น เป็นความหวังดีของเพื่อนที่ทำให้คณดลถึงกับเบะปาก อย่างที่คิดไปว่าให้ตายชาตินี้จนเกิดชาติหน้ายังไง ไอ้ข้อมูลที่ได้คงไม่มีประโยชน์อะไรต่อตัวเขาแม้แต่เศษเสี้ยว

   คณดลทำเพียงส่งสติกเกอร์ซาบซึ้งใจกลับไป หน้าตาของมันดูปลาบปลื้มแบบสุดๆ ตรงข้ามกับสีหน้าของคนส่งที่แทบจะเอียนกับข้อมูลที่ได้อยู่รอมร่อ ก่อนเจ้าตัวจะกดออกจากแชทมือถือ หันมาสนใจข้อมูลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ที่เต็มไปด้วยภาพสถานที่ที่พนักงานของเขาลงพื้นที่ติดต่อเพื่อทำข้อมูลไว้สำหรับเสนอลูกค้า ซึ่งต้องยอมรับว่าตอนนี้ ตึกราบ้านช่อง สถานที่ท่องเที่ยวถูกสร้างขึ้นเยอะกว่าแต่ก่อน เขาก็ต้องลงพื้นที่สำรวจให้ได้ทั่วถึงมากที่สุด เพราะหากมีข้อมูลและคอนเนกชั่นพร้อมมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้งานจากลูกค้าก็จะเร็วมากขึ้นเท่านั้น

   หลังจากตรวจงานของลูกทีมเสร็จสรรพ คณดลก็ไม่ลืมใช้เวลาที่เหลือมาดูแลเพจที่รีวิวทั้งภาพยนตร์ ซีรีย์และละครขอตัวเอง คณดลเป็นคนหนึ่งที่ชอบดูหนังมาก แต่ไม่ค่อยได้ดูหนังตามกระแสเท่าไหร่ ยกเว้นสนใจเรื่องนั้นจริงๆ ส่วนใหญ่เขาจะชอบดูหนังเก่าเสียมากกว่า โดยเฉพาะหนังที่ถ่ายทำในยุคก่อน ทั้งในช่วงก่อนหน้าเขาจะเกิดและตอนที่เขาเป็นเด็ก มันทำให้เขาได้เห็นบรรยากาศเก่าๆ หวนนึกถึงวัยเด็กเสมอ ทุกครั้งที่ได้ดู ความรู้สึก...มันเหมือนมีบางอย่างคอยวิ่งวนอยู่ในหัวใจตลอดเวลา แบบที่เขาเองก็บรรยายมันไม่ถูก รู้แค่ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งจนยากเกินกว่าจะอธิบายมันออกมาเป็นคำพูด

   แม้ว่าหนังสมัยนี้ จะมีการนำเรื่องเดิมมารีเมคซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเองก็ติดตามอยู่ตลอด แต่ต้องออกตัวว่าสำหรับเขาแล้ว มันไม่มีเวอร์ชั่นไหนที่ให้อารมณ์เดียวกันเลย เพราะต่างยุคสมัย ต่างความคิด ต่างการแสดงออก ถึงเรื่องจะดำเนินในยุคก่อน แต่จะให้ได้อรรถรสแสงสีดังเช่นวันวาน คงเป็นเรื่องยาก นั่นเพราะเทคโนโลยีที่พัฒนาอยู่เรื่อยๆ รวมถึงมุมมองของผู้จัดแต่ละคนที่มักจะมีส่วนใดส่วนหนึ่งแตกต่างออกไปจากกันเสมอ

   จะว่าไป...เขาก็ไม่ได้ดูหนังมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว สงสัยต้องหาเวลาไปดูหนังเสียหน่อย

   คณดลจัดการเข้าไปในครีเอเตอร์สตูดิโอเพื่อจัดทำโพสหลังบ้านเหมือนดังเช่นทุกครั้งที่มีเวลา โพสบางส่วนที่ผ่านการตรวจสอบจนมั่นใจแล้ว ก็จะถูกกำหนดเวลาในการปล่อยเอาไว้ ขณะโพสอีกส่วนที่ยังไม่เรียบร้อยดี ก็จะถูกบันทึกอยู่ในโซนฉบับร่าง

   ไม่นานนัก เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ให้สายตาละไปมองทางประตู ก่อนร่างของน้องชายฝาแฝดจะเดินเข้ามาในห้อง ด้วยรอยยิ้มและแววตาแบบที่เขาเองเริ่มจะหวั่นใจถึงธุระกงการที่ทำให้มันเข้ามาหาเขา

   “ได้ข่าวว่าคนแถวนี้กำลังแอบรัก...ข้างเดียว”

   แน่นอนว่าไอ้ท้ายประโยคที่ทิ้งไว้มันทำให้คนมือไวคว้ายางลบปาใส่คนพูด อย่างที่คนเป็นน้องได้แต่หัวเราะชอบอกชอบใจ

   “เขินแล้วชอบทำร้ายร่างกายคนอื่น เฮ้ยพี่ดล! เขวี้ยงมาหัวแตกนะ” คณรักษ์ร้องห้ามพร้อมกับเอามือขึ้นมาบังหน้า เมื่อสายตาสบเข้ากับที่ทับกระดาษในมือของคนเป็นพี่ ที่ง้างมือพร้อมปามันมาใส่หัวเขาเต็มที่

   “ถ้าจะมาคุยเรื่องนี้ก็ออกไปเลย” แล้วคนเป็นพี่ก็ว่าแบบนั้น ให้น้องชายหัวเราะ

   “ไม่เอาน่าพี่ชาย เรื่องรักๆ ใคร่ๆ อย่ากั๊กน้องสิ ผมก็แค่อยากรู้ว่าพี่ณดลคนดีของผมไปตกหลุมรักพี่ผาเขาตั้งแต่เมื่อไหร่” คนพูดก็ทำท่าทางครุ่นคิดไปด้วย ท่าทางกวนประสาตนิดๆ แบบต้องการจะยั่วให้คนฟังหงุดหงิดใจ...ซึ่งมันก็ได้ผลอยู่นะ

   “อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง พี่ขอเตือนเอาไว้เลยนะ ว่าห้ามหลุดปากเรื่องนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด...”

   “แต่พี่ธุรู้แล้วนะ” คณรักษ์สวนกลับมาแล้วฉีกยิ้มจนเห็นฟัน ดวงตาหยอกล้อนั่นมันน่าทิ่มให้ทะลุในความคิดคณดลจริงๆ

   “นั่นมันเหตุสุดวิสัย!” คณดลอดว่ากลับเช่นนั้นไม่ได้ นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ก่อนแล้ว ยังโมโหตัวเองไม่หาย ปากพาซวยแท้ๆ แถมยังซวยซ้ำซวยซ้อนและมันยังเป็นความซวยแบบต่อเนื่องอีกต่างหาก

   ซวยไปยาวๆ ข้ามปีเลยล่ะ คณดลเอ๊ย

   “เอาน่า พี่ก็พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เปลี่ยนความลับให้กลายเป็นความรักเลยสิ ผมรับประกันเลยว่างานนี้ ไม่มีเสียแม้แต่นิ๊ดเดียว” ไม่ว่าเปล่ามันยังทำท่าประกอบให้สมกับคำว่านิดเดียวอีก

   “ฟ้าอุตส่าห์ประทานเนื้อคู่มาให้ถึงที่ พี่ก็ใช้โอกาสนี้ลองคุย ถ้าเขาถูกใจพี่ พี่ถูกใจเขาก็ลองคบ”

   “พูดง่าย! คนอย่างพี่ไม่ได้ง่ายเหมือนคำพูดที่ออกจากปากแกหรอกนะ”

   พอได้ยินคนที่เป็นพี่ว่าอย่างนั้น คนที่เด็กกว่าไม่ถึงสิบนาที ก็สาวเท้าเข้ามาใกล้ มองสำรวจพี่ชายตั้งแต่หัวจรดเท้า เอานิ้วชี้ปาดเข้าที่ต้นแขนที่โผล่พ้นเสื้อกล้ามสีแดง ก่อนจะบอกว่า

   “ผมเชื่อจนหมดใจเลยว่าพี่ไม่ง่าย...ก็ดูสิ ทั้งเนื้อทั้งตัว ฝุ่นเกาะหนาเชียว อีกไม่นานนะ แมงมุมต้องขึ้นมาทำรังบนหัวพี่แน่นอน”

   “พี่แกไม่ใช่รูปปั้นนะเว้ย อาบน้ำ แปรงฟัน สระผมเองได้ มลพิษแบบไหนก็ทำอะไรพี่ไม่ได้หรอก”

   “ยกเว้นพิษรักใช่ไหมล่ะ” คณรักษ์สวนกลับมาจนคนเป็นพี่ถึงกับชะงักปากแทบไม่ทัน สายตามองไปทางคณรักษ์ที่บัดนี้ในดวงตาคู่สวย ไม่หลงเหลือเค้าความล้อเล่นอีกแล้ว อีกทั้งน้ำเสียงที่อ่อนลงไปถนัดหู ชวนให้จิตใจคนฟังถึงกับเริ่มสั่นไหว

“...ผมรู้นะ ที่พี่เอาแต่เก็บตัวเพราะกลัวความรัก จะเริ่มต้นใหม่กับใคร จะให้ใจใคร พี่ก็ไม่กล้า”   

คณดลกล้ำกลืนความรู้สึกเจ็บแปลบลงไป พยายามปิดประตูขังมันเอาไว้ภายในห้องหัวใจของตน แล้วแสร้งยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่าตนไม่ได้รู้สึกอะไรกับความรักครั้งเก่าแล้ว

“เอาน่าพี่ ลองเปิดใจกับคนนี้ดูสักครั้ง ผมว่าบางที...เขาอาจจะทำให้พี่สมหวังในความรักก็ได้นะ ไหนๆ ก็แอบชอบเขามาเป็นปีแล้วไม่ใช่หรือครับ” ไม่วายท้ายประโยคยังยียวนกวนประสาต จนคณดลต้องประเคนมะเหงกให้เป็นรางวัลไปหนึ่งยก

“สรุปที่เข้ามาหาเพราะจะมาพูดแค่นี้ใช่ไหม ถ้าใช่ก็เชิญเดินออกประตูไปเลย” คณดลว่าแล้วชี้ไปทางประตูห้อง ทำหน้าเบื่อหน่ายกับเรื่องที่น้องชายฝาแฝดเอามาหยอกล้อสนุกปากไม่หยุด อีกนิดเดียวเท่านั้น เขาคงหมดความอดทนและจัดการหาอะไรมาปิดปากมันเสีย

   “ใจเย็นครับ ผมยังไม่ได้บอกเรื่องสำคัญเลย” คณรักษ์ร้องเสียงหลง ยกมือสองข้างอย่างยอมแพ้ให้กับความดุของพี่ชาย อย่างที่คิดในใจว่าเพราะเอาแต่เฟรนลี่กับคนสนิท แต่ปืดกั้นตัวเองจากคนภายนอกแบบนี้หรือเปล่า ใครเขาเข้ามาที ถึงได้หนีหายไปในเร็ววัน
 
“เรื่อง?” คนเป็นพี่เริ่มว่าเสียงดุ ให้น้องชายรีบเอ่ยปากบอก

“ก็เรื่องพี่ผา...”

“ออกไป”

ทว่ายังไม่ทันจะจบประโยค เพียงแค่ชื่อใครคนนั้น คณดลก็ออกปากไล่เขาเสียแล้ว ให้เขารีบกลืนเสียงหัวเราะลงคอเพราะกลัวพี่ชายจะเขินอายจนหน้ามืดทำร้ายร่างกายน้องชายจนถึงแก่ชีวิต ให้พรุ่งนี้ได้มีหน้าพวกเขาแปะอยู่บนรายงานข่าวอาชญากรรม พาดหัวข้อว่า “แซวหนัก! ดับคามือพี่ชาย” พร้อมด้วยเนื้อหาข่าวที่ตามมาว่า “เหตุสลด น้องชายออกปากแซวพี่ชายหนักมาก พี่ชายเขินอายจนควบคุมตัวเองไม่ได้และลงมือทำร้ายกับน้องชายจนถึงแก่ชีวิต” ...คงจะเป็นข่าวที่น่าสลดใจที่สุดแห่งปีเป็นแน่

“อย่าเพิ่งไล่กันสิครับ ผมแค่จะบอกว่าพวกพี่ผา เขาตกลงเช่าชั้นสามนะครับ” น้ำเสียงและสีหน้าที่แสดงออกไปมีแต่ความจริงจังล้วนๆ ไม่มีหยอกล้อ ให้คณดลใจเย็นลงแล้วถามกลับ

“เขาจะย้ายเข้ามาเมื่อไหร่”

“สิ้นเดือนครับ”   

   คำว่าสิ้นเดือนทำเอาคณดลเหลือบตามองปฏิทิน ที่กำลังยืนยันกับเขาว่าวันนี้คือวันที่ถูกเรียกว่าสิ้นเดือน จนต้องหันไปเลิกคิ้วใส่

   “สิ้นเดือนหน้า?” แล้วถามออกไปอย่างไม่แน่ใจนัก

   “สิ้นเดือนนี้สิครับ เขาโทรมาบอกผมตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว แต่ผมไม่ได้บอกพี่เพราะกะจะเซอร์ไพรส์”

   เซอร์ไพรส์มากจนคณดลแทบจะหัวใจวาย ความวัวไม่ทันหาย ความควาย หมู หมา กาไก่ จะเข้ามาแทรกอีกแล้วหรือ แถมยังมาไวกว่าที่คิดเอาไว้ ชนิดไม่ให้ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ

   “อยากเซอร์ไพรส์ด้วยการหัวแตกตอนสิ้นเดือนไหม” คนที่เริ่มจะหัวร้อนขึ้นมาอีกระรอก ส่งสายตาอาฆาตมาดร้าย จ้องไปทางอีกฝ่ายอย่างอยากจะกินเลือดกินเนื้อให้สิ้นซาก จนน้องชายถึงกับยกมือยอมแพ้

   “เซอร์ไพรส์ทั้งที ขอเรื่องดีสิครับ ไม่เอาเจ็บตัว”

   “แล้วสรุปยังไง เขาจะเข้ามาตอนกี่โมง” คณดลวกเข้าเรื่องสำคัญ

   “ข้าวของมาส่งเมื่อกี้ แต่เจ้าตัวจะย้ายเข้ามาช่วงค่ำ พี่ไปงานกี่โมง?” คณรักษ์ถามถึงเรื่องงานคอสเพลย์ที่พี่ชายเตรียมตัดชุดตั้งแต่เดือนที่แล้ว

   “ไม่ได้ไปหรอก เขาเลื่อนงานไปเดือนหน้า” คณดลบอกด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ แบบที่คณรักษ์ก็อดสงสารคนที่อุตส่าห์เตรียมตัวมาเป็นเดือนๆ ไม่ได้

   “แสดงว่าวันนี้พี่อยู่บ้าน?” แล้วก็ถามให้แน่ใจเพื่อจะจัดเวรยามดูแลคนที่จะเข้ามาเช่า

   “ไม่ล่ะ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไปทำทรีทเม้นต์หน้า ช่วงก่อนปล่อยตัวเกินไป ต้องกลับมาดูแลสักหน่อย”

   “ไม่คิดจะชวนผมเลย” คณรักษ์ทำปากยื่นปากยาว มองคนพูดด้วยแววตาน้อยใจ แบบที่ทำเอาคณดลถึงกลับหลุดขำ

   “จะรู้ไหมว่าแกว่างวันไหน ถ้าวันนี้ไปได้ ก็ไปด้วยกันเลยสิ พี่เพิ่งได้ส่วนลดมา” คณดลรู้หรอกว่าอีกฝ่ายดีใจแค่ไหนกับคำชวนของเขา แต่เขาก็รู้อีกเช่นกันว่าคณรักษ์ติดงานสำคัญ

   “สิ้นเดือนแล้ว ผมต้องจัดตารางคิวรถให้พนักงาน ไหนจะตัวจบผมอีก ไม่ว่างเหมือนคนแถวนี้หรอก”

   “ว้า ดูเหมือนคนแถวนี้จะอดได้โปรเสียแล้วล่ะมั้ง” ถึงคราวคณดลเป็นฝ่ายเอาคืนบ้าง ให้คนเป็นน้องหน้างอคอหักกว่าเก่า

   “อวดได้อวดไป ถ้าผมได้โปรมาบ้าง จะแอบไปคนเดียวไม่เอี่ยวพี่เลย”

   ดูมันพูดเข้า ทำเหมือนปกติจะได้ไปด้วยกันบ่อยนัก คนหนึ่งก็ติดเรียน ออกทริปต่างจังหวัดบ่อย ส่วนคณดลเองก็ต้องดูแลทั้งกิจการ ไหนจะงานอดิเรกของเขาอีก เพราะฉะนั้น หากมีเวลาก็เห็นสมควรไปก่อนดีกว่า

   “เลิกงอแงสักทีน่า เดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก”

   “น้ำมะพร้าวปั่นนม ขนมโตเกียวรวมทุกไส้ ข้าวมันไก่เจ้าเก่า แล้วก็เต้าฮวย ปาท่องโก๋”

   “กะจะกินยันวันพรุ่งนี้เลยหรือยังไง” คณดลอดแซวไม่ได้ รู้หรอกที่พูดมาทั้งหมด อีกฝ่ายแค่แกล้งเล่นเท่านั้น

   “ถ้าร้านโตเกียวเปิดจะซื้อมาฝากก็แล้วกัน” และตอบกลับเพียงเท่านั้น

   “แบบนี้สิถึงเป็นพี่ณดลคนดีของผม” ว่าแล้วคณรักษ์ก็โผเข้ากอดคนที่นั่งอยู่เต็มรัก จนคณดลต้องรีบเอามือยันอีกฝ่ายออกไป

   “พอเลย ไปทำงาน พี่ดินมาตามแล้วนั่น” คณดลบุ้ยปากไปทางประตูเลื่อนหน้าห้อง ที่มองเห็นผู้ช่วยของน้องชายกำลังยืนหอบแฟ้ม ชะเง้อมองเข้ามาในห้องอยู่

   “เจอกันเย็นนี้นะครับ”

   “อืม”

   แล้วน้องชายตัวดีก็ออกไปจากห้องเพื่อไปทำงานต่อ คณดลหันกลับมาสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าอีกครั้ง จัดการเคลียร์งานในครีเอเตอร์สตูดิโอจนเสร็จเรียบร้อย รอเวลาไปอีกสักพักใหญ่เพื่อออกไปคลินิกเหมือนอย่างที่ตั้งใจเอาไว้



   ในยามดึกดื่นที่บรรยากาศเงียบสงัด ภายในบ้านยังคงเงียบงันเหมือนดังเช่นทุกวันที่คณดลอยู่ตามลำพัง ร่างสูงเดินหอบถุงขนมขึ้นมาบนชั้นสองของบ้านด้วยความเหนื่อยล้าเต็มที ทว่าพอเปิดประตูเข้าไปเท่านั้น...จากความเงียบก็อันไกลโพ้น ก็เกิดสัญญาณแทรกซ้อน แทรกแซงมาด้วยคลื่นเสียงหัวเราะ

   และเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้โซนนั่งเล่นมากเท่าไหร่ เสียงนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสองเท้าก้าวเข้ามาในเขตพื้นที่ เท่านั้น เสียงพูดคุยก็เงียบลงไปพร้อมกับสายตาที่มองมาทางคณดล

   “สวัสดีครับ” ให้คนมาใหม่ทักทายเพื่อนบ้าน อย่างที่ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงมานั่งรวมตัวกันอยู่ตรงนี้ได้

   “มานี่สิพี่ มานั่งคุยกัน...หรือพี่จะไปเปลี่ยนชุดก่อน” คณรักษ์เอ่ยออกมาแล้วชะงักไปที เพราะนึกได้ว่าพี่ชายเพิ่งกลับมาจากข้างนอก คงอยากจะเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าที่สบายตัวกว่านี้

   “ขอไปเปลี่ยนชุดก่อนแล้วกัน เดี๋ยวมานะครับ”

ต้นประโยคพูดกับน้องชายที่แบมือรอรับขนมที่พี่ชายหิ้วมาให้ ส่วนท้ายประโยค...คณดลหันไปส่งยิ้มให้กับเพื่อนบ้านที่เหลือ แต่ไม่รู้ทำไมสายตาเจ้ากรรมมันดันไม่รักดี มีเหลือบไปทางผาธนาจนได้ ให้อีกฝ่ายที่กำลังมองเขาอยู่ส่งยิ้มกลับคืนมาให้ จังหวะนั้น มันทำให้คณดลทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ ลืมตัวไปเสียด้วยซ้ำว่ากำลังจะทำอะไร

   อยากจะทุบอกตัวเองแทบใจจะขาด ทำไมใจมันต้องเต้นแรงตอนเจอหน้ากันด้วย จะว่าไป...นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่เขาเสียอาการตอนอยู่ต่อหน้าคนที่ชื่อว่าผาธนา

   กว่าจะถอนสายตาออกมาจากอีกฝ่ายได้ ก็ทำเอาแทบจะหลุดอาการเก้อเขินเสียแล้ว พอหลุดจากความรู้สึกเช่นนั้นได้ คณดลก็รีบเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง เก็บข้าวของที่ซื้อจากคิลนิกเอาไว้บนเตียงแบบลวกๆ และจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดล้างใบหน้าจนสะอาดหมดจด จนหลงเหลือเพียงใบหน้าเปลือยเปล่า...และดวงตาที่เผลอมองเข้าไปในกระจกเงาตรงหน้า

   เพิ่งจะรู้ว่าตัวเองทั้งหน้าขึ้นสีระเรื่อ แถมด้วยอาการร้อนผ่าวก็คราวนี้ ท่าทางเขาคงประหม่าเพราะเรื่องที่ดันโป้ปดมดเท็จว่าแอบชอบผาธนาเป็นแน่ ช่วงนี้ยิ่งถูกเน้นย้ำซ้ำกระหน่ำเรื่องผาธนาจนแทบจะฝังลึกเข้าไปในจิตสำนึกอีก ธุวานนท์หนอธุวานนท์ คงกะจะเชียร์อัพจนเขาอัพระดับสถานนะจากเพื่อนบ้านไปเป็นแฟนกันจริงๆ เลยสินะ

   ครั้นจัดการธุระเสร็จสรรพ คณดลก็เดินออกมาหาคนที่เหลือที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งต่างฝ่ายกำลังรวมตัวกินอาหารมื้อดึกกันอยู่ อย่างที่คณดลนึกแปลกใจ แต่ก่อนที่จะทันได้ถามอะไร สายตามันก็ทำหน้าที่เหมือนถูกธุวานนท์ฝังชิปออกคำสั่ง ให้เหลือบมองไปทางมือของผาธนาที่กำลังใช้ข้าวเหนียวจิ้มลงไปบนห่อหมกหมู แล้วความคิดก็ถูกแทรกด้วยคลื่นเสียงที่ว่า

   พี่ผาเขาเป็นคนเหนือที่ชอบอาหารเหนือมาก โดยเฉพาะพวกห่อนึ่ง ห่อหมก แล้วก็พวกน้ำพริก

   ภาพตรงหน้าคงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ชัดแบบไม่ต้องตรวจสอบว่าพี่ผาธนาอะไรนี่จะชอบอาหารเหนือแบบเป็นจริงเป็นจัง เพราะท่าทางกำลังเอร็ดอร่อยแบบไม่สนใจคนรอบข้างเชียวล่ะ

   “มาค่ะน้องดล มากินข้าวด้วยกัน” จิรายุเป็นคนเอ่ยปากชวน อย่างที่คณดลต้องยิ้มให้และตอบรับง่ายๆ ก่อนจะเข้าไปร่วมวง

หากพอเดินเข้าไปหา หมายจะนั่งลงตรงกลางระหว่างคณรักษ์กับจิรายุ เจ้าน้องชายฝาแฝดตัวดีก็เป็นใจ อย่างไม่รู้ว่ามันไปวางแผนอะไรกับธุวานนท์มาก่อนหน้านี้หรือเปล่า ถึงได้ขยับย้ายก้นมาทางขวา เปิดช่องว่างตรงกลางระหว่างมันและผาธนา ให้เขาเข้าไปนั่งแทรก จนคณดลอดหันไปมองหน้าน้องชายด้วยสายตาเรียบนิ่งไม่ได้ ส่วนอีกฝ่าย...ยังมีหน้ามายิ้มจนตาหยีกลับมาให้เขาอีก อย่างที่คณดลฮึดฮัดในใจ หากอยู่สองคนเมื่อไหร่ เขาไม่ปล่อยมันลอยหน้าลอยตาเช่นนี้แน่

   “เพิ่งจะมารู้วันนี้ ว่าน้องรักษ์มีฝาแฝด” แล้วซอมพอก็เปรยออกมาแบบนั้น พลางมองสำรวจคนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันจนแทบจะแยกไม่ออก กำลังนั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ

   “นั่นสิ หนแรกที่เจอกันวันนั้น พี่ยังคิดว่าเราเป็นน้องรักษ์อยู่เลย”

   คณดลหัวเราะเบาๆ ให้กับคำพูดของอุปรากร ก่อนจะตอบ

   “ผมเองล่ะครับ ที่ไม่ได้แนะนำตัวก่อน เลยทำให้เข้าใจว่าเป็นไอ้รักษ์”

   “ถ้าอย่างนั้น ไหนๆ ก็เป็นเพื่อนร่วมเรียงเคียงบ้านกันแล้ว เรามาแนะนำตัวกันดีกว่า...พี่ชื่อองก์นะคะ จะเรียกองค์หญิงก็ได้ พี่ไม่ถือ” คำพูดที่ทำต่างคนต่างหัวเราะ เช่นเดียวกับคณดลที่อดจะพูดต่อไม่ได้ว่า

   “องค์หญิงก็น่ารักดีครับ” คำพูดหยอกล้อที่ทำเอาเจ้าของชื่อม้วนต้วนไปที แล้วรีบเก็บอาการ แนะนำคนอื่นต่อ

   “ส่วนนี่...”

   “มึงไม่ต้อง!...” จิรายุเอามือปิดปากอุปรากร แรงมือมาเต็มสตรีมชนิดที่ป้าบเข้าให้ทั้งหน้าจนอีกฝ่ายเกือบจะหงายหลัง หากเจ้าของมือมีหรือจะสนใจอะไร นอกเสียจากหันไปแนะนำตัวเองกับเจ้าของบ้าน

“...พี่ชื่อเจ้านายนะคะ จะเรียกพี่นายก็ได้ พี่อายุยี่สิบเจ็ดปี สถานะโสดสนิทชนิดไม่มีคนคุย หัวจุย (ใจ) ยังว่าง ถ้าไม่อยากอ้างว้าง ต้องรีบจับจอง สนใจโทร...โว้ย!”

   ยังไม่ทันที่เบอร์โทรจะหลุดห้องออกจากปากของเจ้าตัว ตับปิ้งไม้เบอเร่อจะยัดเข้าเต็มปากของคนพูด

   “ถ้าหิวก็กินตับปิ้งก่อนนะครับ” เป็นสุขิตที่พูดจาอ้อร้อจนคนหัวร้อนหันไปคว้าผักสดปาใส่ 

   “เออ! กูหิวมาก เดี๋ยววันนี้กูกินตับปิ้งเอง มึงกินแต่ผักไปเลยนะ” จิรายุว่าแล้วยัดผักสดใส่ปากเด็กอวดดีอีกหน

   “คนนี้ซอมพอ นี่รามเมืองและก็หมอนหนุน ส่วนคนนี้ ชื่อสุขิต...กำลังเรียนปอตรีปีสุดท้าย ส่วนคนอื่น ทำงานกันหมดแล้ว” ผาธนาจัดการแนะนำต่อจากจิรายุที่ง่วนอยู่กับการทำสงครามประสาตกับทั้งอุปรากรและสุขิต คู่หูที่เข้าขากันดีเสียยิ่งกว่าพี่น้องที่คลานตามกันมา

   “แล้วพี่ล่ะ ชื่ออะไรหรือครับ ก่อนหน้านี้ ผมฟังไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่” คณรักษ์หันมาถามผาธนาที่ไม่รู้ว่าลืมหรือจงใจไม่แนะนำตัวต่อหน้าพี่ชายเขากันแน่ แต่ที่รู้คือเขากำลังจงใจ...แบบที่แฝดพี่เองก็รู้ทัน จนฉวยโอกาสหยิกสีข้างเข้าให้

   “พี่ชื่อผา...”

   กระทั่งเสียงทุ้มของคนข้างกายเอ่ยออกมา เรียกสายตาจากคณดล หันกลับไปสบตาคู่สนทนา อย่างไม่รู้ตัวเลยว่าดวงตาคมคู่ตรงหน้าตรึงสายตาเขาเอาไว้ตั้งแต่วินาทีที่เท่าไหร่ ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังจ้องตาอีกฝ่ายนานเกินไปแล้ว

   “ผา...ที่แปลว่าหน้าผาน่ะหรือครับ” ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้คณดลถามออกไปแบบนั้น กระทั่งอีกฝ่ายส่ายหน้า ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ทั้งอบอุ่นและดูขี้เล่นไปในที

   “ผาธนาที่แปลว่าอธิษฐานครับ”

   “แบบนี้ถ้าผมอธิษฐานอะไรกับพี่ผา มันจะกลายเป็นจริงไหม” แน่นอนว่าคณรักษ์ต้องฉวยสานต่อมิตรภาพเพื่อดึงพี่ชายฝาแฝดเข้าสู่เส้นทางรัก ผาธนามองเลยไปทางคณรักษ์เล็กน้อยแล้วตอบอีกฝ่ายไปว่า

   “คงต้องลองก่อน ถึงตอบได้ว่าจริงหรือไม่จริง”

   “งั้นผมขอลองได้ไหมครับ”

   “เอาสิ จะอธิษฐานว่าอะไรล่ะ”

   “พี่ผาเอามือมาสิครับ” ผาธนายื่นมือไปให้อีกฝ่ายอย่างว่าง่าย เพราะตนไม่ได้ติดใจอะไรที่จะเล่นกับคนที่เด็กกว่าอยู่แล้ว ยกเว้น...

   “เอามือพี่มาด้วย” คณรักษ์ยังคงรักษาเกมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการหันไปหาคณดลและขอมือจากอีกฝ่าย ซึ่งแน่นอนว่าคนเป็นพี่ไม่ยอมง่ายดาย จนคณรักษ์เป็นฝ่ายไปดึงมือนั้นมา จัดการกุมเอาไว้พร้อมกับมือของผาธนา

   “เกี่ยวอะไรกับพี่เนี่ย!?” คณดลหันไปดุคณรักษ์อย่างไม่ได้ตั้งใจเสียทีเดียว เพราะที่จริงแล้วเขาเพียงสะดุ้งกับไออุ่นจากมือของผาธนาที่กุมอยู่บนมือของเขาต่างหาก

   “น่า! ก็ผมจะอธิษฐานเกี่ยวกับพี่ดล ก็ต้องใช้มือของพี่ดลด้วยสิ อยู่นิ่งๆ ผมจะอธิษฐานแล้ว”

   สุดท้าย คณดลก็ต้องปล่อยให้น้องชายเอามือไปกุม มองมันที่หลับตาลงแล้วเอ่ยคำอธิษฐานออกมาอย่างกวนประสาตว่า

   “ขอให้พี่ดลสมหวังในความรักด้วยเถอะ เพี้ยง!” และน้องชายตัวแสบมันก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับพ่นลมออกจากปาก รดลงบนมือทั้งสามที่เกาะกุมกันเอาไว้ เสร็จสรรพ...มันก็เงยหน้ามามองผาธนาและหันมายิ้มให้เขา

   “คำอธิษฐานของมึงไม่เป็นจริงหรอก เพราะมึงพูดมันออกมาและคนอื่นเขาก็รู้กันหมดแล้ว” คณดลทำหน้าตาล้อเลียนน้องชาย แต่มีหรือที่คณรักษ์จะยอมแพ้โดยง่าย นอกจากจะไม่สะทกสะท้านอะไร ยังมีหน้ามายอกย้อนพี่ชายกลับอีกว่า

   “เรื่องนี้ยิ่งรู้เยอะยิ่งดีสิครับ เพราะพี่จะได้สมหวังง่ายขึ้น”

   หลังจากนั้นคณดลก็จัดมะเหงกลงกลางหัวน้องชายเป็นรางวัล

   “ไอ้ที่อยากสมหวังในความรัก นี่โสดสนิทหรือติดคุยกับใครหรือเปล่าคะ พวกเราช่วยเชียร์ให้สมหวังได้นะ” หมอนหนุนแกล้งหยอก แบบที่คณดลได้แต่ยิ้มแบบสุภาพไปให้ โดยไม่ลืมแวะส่งสายตาอาฆาตไปให้คนข้างกายที่เอาแต่หัวเราะไม่หยุด มิหนำซ้ำยังย้ำสถานะของเขาจนแจ่มแจ้งว่า

   “ความโสดเต็มลิมิตเลยครับ เพราะพี่ผมไม่ยอมคุยกับใครง่ายๆ ถ้าใครไม่ผ่านมาตรฐานที่ว่าสูงเกินร้อยเจ็ดสิบห้า หน้าตาคม คารมดี คอยดูแลถี่ยี่สิบสี่ชั่วโมง ที่สำคัญ ต้องห้ามโกงสถานะโสด อย่างไอ้พวกมีลูกเมียอยู่แล้ว แต่ยังทำเนียนมาจีบนี่ไม่เอานะครับ    เพราะพี่ผมเอาถึงตาย“

   น้องชายตัวแสบเอามือป้องปาก ทำทีเป็นกระซิบกระซาบกับคนอื่น ท่าทางที่เรียกเสียงหัวเราะและมือพิฆาตที่คว้าเข้าที่ต้นคอให้

   “พี่ว่าแกมาลองก่อนดีไหม จะได้รู้ว่าถึงตายจริงๆ หรือเปล่า”

   คณรักษ์ร้องโอดโอยแล้วพยายามดิ้นให้หลุดจากมือปีศาจที่หน้าตาละม้ายคล้ายเขา แต่ไม่รู้ว่าดิ้นแรงไปหรือเปล่า เจ้าของมือพิฆาตถึงเสียทีหงายหลัง อย่างที่เจ้าตัวก็ลืมคิดไปเลยว่าด้านหลังของตนมีโต๊ะอยู่...กว่าจะคิดได้ มือของคนข้างกายก็ประคองเข้าตรงศีรษะของเขา จนต้องเหลียวกลับไปมอง

   ผาธนาเผลอมองสบตาคนที่เด็กกว่า ในจังหวะที่อีกฝ่ายหันมาเพราะสัมผัสได้ถึงมือของเขาที่ประคองศีรษะเจ้าตัวเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ชนขอบโต๊ะ ทุกอย่างเหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งเวลา รอบข้างระหว่างคนสองคน...ราวกับเวลาหยุดลงเพื่อให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน

   “ขอบคุณครับ” คณดลเอ่ยออกมาในที่สุด ก่อนจะถอนสายตาออกมา

   ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมาทางเดียวกัน...ด้วยความคิดแบบเดียวกัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา


        (มีต่อ...)





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ BlackG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
       

            (ต่อ....)


          มื้อค่ำจบลงไปด้วยการพูดคุยทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านกลุ่มใหม่ คณดลจัดการล้างจานชามอยู่ในครัว ระหว่างที่คณรักษ์ทำหน้าที่คอยดูแลคนอื่นต่อจากนั้น เพราะทั้งแม่บ้านและผู้ช่วยของเขาเลิกงานออกไปตั้งแต่ตอนสองทุ่ม จนเวลาล่วงเลยไปสิบกว่านาทีแล้ว จานใบที่สองยังอยู่ในมือที่เต็มไปด้วยฟองสีขาวจากน้ำยาล้างจาน มือข้างที่จับฟองน้ำยังคงวนเวียนอยู่ตรงจุดเดิม ท่าทางเหม่อลอยที่ทำเอาคนที่หมายจะเข้ามาช่วยถึงกับขมวดคิ้ว อย่างไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่

   “ล้างจานนานๆ มือจะพังเอานะครับ ระวัง!” ผาธนารีบเข้าไปคว้าจานเอาไว้แทบไม่ทัน แค่จะเข้าไปทักทายเท่านั้น ไม่คิดจะทำให้อีกฝ่ายตกใจจนเกือบปล่อยจานร่วงเช่นนี้

   “พี่ขอโทษ” ผาธนาบอกพร้อมกับมองสำรวจคนที่เด็กกว่าว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ แล้วจึงบอกอีกครั้ง

   “พี่ขอโทษนะ ที่ทำให้เราตกใจ”

   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดวงตาคมตรงหน้า ที่ไม่ว่าจะสบตามองกี่ครั้งก็ยังไม่ชินนั่นหรือเปล่า ถึงทำให้หัวใจของคณดลเต้นผิดจังหวะแบบกู่ไม่กลับอยู่แบบนี้

   “มะ...ไม่เป็นไรครับ” 

   “ขอโทษจริงๆ พี่ไม่รู้ว่าเราจะตกใจขนาดนี้” ผาธนายิ้มแบบพยายามกลั้นขำ แบบที่พอคณดลหันมาเห็นเข้า ก็ถึงกับทำตัวไม่ถูก

   “ผมไม่ได้ตกใจอะไรมากมายเสียหน่อย ไม่ต้องมาขำเลยนะ” คนที่เด็กกว่าว่ากลับ จนผาธนาอดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

   “มา...เดี๋ยวพี่ช่วยครับ”

   ในคำพูดที่ดูเหมือนไม่มีอะไร หากในแววตาที่มองมานั้น ทำไมคณดลสัมผัสได้ถึงความกวนล่ะ ท่าทางพี่ผาธนาจะแอบกวนประสาตและขี้เล่นใช่ย่อยเหมือนกัน...หมายถึง ถ้าคณดลเดาไม่ผิดล่ะนะ

   แล้วมันใช่เรื่องที่เขาตองมาคาดเดานิสัยอีกฝ่ายด้วยหรือ

   คณดลพยายามไล่ความคิดทั้งหมดออกจากหัว มันต้องเป็นเพราะข้อความจากธุวานนท์ที่ส่งมาให้เขาทุกเมื่อเชื่อยามเป็นแน่ ข้อความที่เอาแต่พูดถึงผาธนาจนคณดลเริ่มหลอนตามเสียแล้ว

   “กลัวพี่หรือ...” ผาธนาเอ่ยปากถามเชิงเย้าหยอก ยามอีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าก้มตาล้างจานจนเสร็จ แม้เขาจะเข้ามาช่วยแล้วก็ตาม ไม่ยักกะเห็นเด็กข้างกายเขาพูดอะไรออกมา เลยคาดเดาไปว่าท่าทางจะยังเกรงเขาอยู่เป็นแน่

   “เปล่าครับ”

   คำตอบรับสั้นๆ ที่เรียกเสียงหัวเราะจากคนที๋โตกว่า ให้คณดลเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสายตาไม่พอใจ

   “อะไรของพี่เนี่ย หัวเราะผมอยู่ได้”

   “พี่สังเกตว่าถ้าพี่หัวเราะ เราจะคุยประโยคยาวๆ กับพี่ได้ พี่ก็เลยลองหัวเราะดู”

   แล้วมันก็จริง...คณดลคิดต่อในใจ ตามนิสัยปกติแล้ว หากมีคนแปลกหน้ามาหัวเราะหรือพูดจาหยอกล้อเช่นนี้ ร่างกายมันมักจะตอบสนองอัตโนมัติ ด้วยการแสดงสีหน้าไม่พอใจและน้ำเสียงที่แข็งกร้าว พร้อมด้วยคำพูดห้าวๆ แบบที่บางครั้งคณดลเองก็ไม่รู้สึกตัว ราวกับนั่นเป็นกลไกลป้องกันคนแปลกหน้า...ไม่ให้ลุกล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่หัวใจของเขา

   “หรือว่าที่ไม่ยอมคุยกับพี่ เพราะเรื่องนั้น...”

   คราวนี้ หัวใจคณดลเหมือนถูกกระชากออกจากอก ก่อนจะพุ่งกลับเข้ามาที่เดิมจนเจ้าตัวแทบจะหงายหลัง ขณะที่สมองก็ประมวลผลจนเริ่มรวน ชวนให้คิดไม่ตกกับคำว่า เรื่องนั้น ที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึง 

   “เรื่อง...นั้น?” เขาทวนถามซ้ำอย่างระมัดระวัง รู้สึกเกร็งขึ้นเป็นเท่าตัว ยามใจสังหรณ์ว่ามันจะเป็นเรื่องที่เขาพยายามจะปกปิดอีกฝ่ายอยู่ ตรงข้ามกับผาธนาที่ทำเพียงแค่ยิ้มด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนที่ริมฝีปากคู่สวยจะขยับพูดประเด็นสำคัญที่ว่า

   “เรื่องน้องดลชอบพี่ไง”

   ร่างของคณดลถูกแช่แข็งไปในพริบตา เพียงประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากคนที่โตกว่า ดูเหมือนว่าต่อมความซวยในตัวจะเริ่มทำงานอีกแล้ว อย่างที่ปากได้แต่อ้าพะงาบๆ เหมือนสุนัขใกล้ตาย หูสองข้างเหมือนถูกตัดสัญญาณจนไม่สามารถรับฟังเสียงใดได้อีก อุณหภูมิในร่างกายช่างแปรปรวนจนนึกว่ามรสุมฝ่าเข้าไปกลางอก 

   หากว่าเขาเป็นหุ่นยนต์...คงต้องรีบตามช่างมาซ่อมโดยด่วนแล้ว

   “ณดล...ณดล!”

   “คะ...ครับ” คณดลตอบกลับแบบตะกุกตะกัก จนผาธนาต้องพยายามกลั้นเสียงหัวเราะแล้วค่อยๆ พูดกับอีกฝ่ายดีๆ

   “ทีแรกพี่คิดว่าต้าวมันพูดเล่น แต่พอเห็นเราเสียอาการแบบนี้ พี่ก็เริ่มมั่นใจ...”
 
   หากยามปกติและเป็นคนอื่น คณดลคงสวนกลับไปนานแล้ว แต่คงไม่ใช่กับคนตรงหน้า คนที่เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มีอิทธิพลต่อใจจนเขาศูนย์เสียการควบคุมเช่นนี้

   “พี่หมีใหญ่เป็นคนบอกพี่ผาหรือครับ” ในเมื่อโวยวายกับคนตรงหน้าไม่ได้ คณดลก็หันไปหาเรื่องตัวการเพิ่มความซวยให้เขาแทน

   “พี่บังเอิญไปเจอมันกับแฟน เมื่อเกือบสองสัปดาห์ก่อนหน้า แล้วสองคนนั้นก็บอกว่า...เราชอบพี่”

   คณดลเข่นเขี้ยวในใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องย้ำนักย้ำหนาว่าเขาชอบ ลำพังแค่เก็บความลับนี้เอาไว้ในใจ ก็ทำตัวลำบากอยู่แล้ว นี่อีกฝ่ายก็รู้เรื่องด้วย แบบนี้...เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร 

   “แค่เรื่องเข้าใจผิดกันน่ะครับ” คณดลเอ่ยออกไปจนได้ 

   “พี่รู้...เราแค่อยากจะปกป้องพี่ชายของเรา...ใช่ไหม” คำตอบรับที่กลับมาทำเอาคนที่เด็กกว่ารู้สึกเหมือนโดนของแข็งทุบเข้าซ้ำๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยเงยขึ้นมา สบตากับอีกฝ่ายด้วยแววตาที่มีแต่คำถาม

   “พี่กรบอกพี่หมดแล้ว ว่าดลเป็นน้องชายของเขา ดังนั้น ไม่จำเป็นหรอกที่เราจะโกหกว่าชอบพี่ ตอนอยู่กันแค่สองคน...แบบนี้”

   คณดลยังคงมองตาอีกฝ่ายอยู่เช่นนั้น พลันคิ้วกระตุกเข้าหากัน ยามความรู้สึก...ที่คณดลไม่แน่ใจว่ามันคือความผิดหวัง เสียใจหรืออะไร ที่มันเคลื่อนไหวอยู่ในดวงตาคมตรงหน้า เพราะมันผ่านมาแค่เพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะจากไปและถูกแทนที่ด้วยแววตาปกติ

   “พี่ผารู้เรื่องนี้ด้วยหรือครับ” คณดลถามออกไป เป็นครั้งแรกตั้งแต่คุยกันมานานหลายชั่วโมง ที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดเช่นนี้ แบบที่ทำให้สีหน้าของอีกฝ่ายดูจริงจังขึ้นมาถนัดตา

   “พี่กรบอกพี่ว่าเขาเปิดเผยตัวไม่ได้เพราะอาชีพของเขามันเสี่ยงอันตรายเกินไป พี่รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มทำงานใหม่ๆ ตั้งแต่นั้นมา พี่ก็ติดต่อเขาไม่ได้อีกเลย...”

คำอธิบายที่คณดลเข้าใจดี จึงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ไม่ว่าจะกับเรื่องหน้าที่การงานของพี่ชายหรือเรื่องการติดต่อ เพราะนานทีปีหนพี่ชายเขาจะติดต่อกลับมาให้พอได้ชื่นใจและรับรู้ว่าอีกฝ่ายยังมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ เขาเองเคยขอร้องให้พี่ชายเปลี่ยนมาทำงานอย่างอื่น แต่คนเป็นพี่ก็ปฏิเสธจนป่านนี้...เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงไปไกลเกินกว่าจะถอนตัวออกมาจากงานแบบนี้เสียแล้ว

“...จนวันที่พี่โพสลงในโซเชียลว่าต้องการที่พักใหม่ ที่สามารถถ่ายทำงานตอนกลางคืนและใช้เสียงได้เต็มที่ ไม่กี่วันหลังจากนั้น เขาก็ติดต่อพี่มา บอกว่าให้มาเช่าที่นี่...”

“พี่กรบอกว่าพี่ผามีบุญคุณกับเขามาก ก็เลยขอให้พวกผมช่วยหาที่พักให้ ผมเห็นว่าชั้นสามยังว่างและมีห้องเก็บเสียงที่พอจะใช้งานได้อยู่ ผมกับณรักษ์ก็เลยตกลงกันว่าจะให้พวกพี่มาเช่าที่นี่ ณรักษ์คงคุยเรื่องค่าเช่ากับพี่ผาแล้วใช่ไหมครับ”

คณดลหมายถึงข้อตกลงบางอย่างที่คนอื่นยังไม่รู้ ผาธนาได้ฟังเช่นนั้นก็เอ่ยปากบอก

“เรียบร้อยแล้วล่ะ พี่ตกลงเอาไว้ว่าถ้าจะไม่คิดค่าเช่า พี่ขอจ่ายเป็นค่าน้ำค่าไฟแทน จะมีบุญคุณต่อกันยังไง พี่ก็เกรงใจ พี่เองก็คนทำงาน กว่าจะได้มาแต่ละบาทก็ต้องทำงานหนักเหมือนกัน พี่ไม่อยากเอาเปรียบพวกเราแล้วก็พี่กร”

คณดลเข้าใจถึงเหตุผลข้อนั้นดี จึงไม่ปริปากคิดจะเถียงอะไรอีกฝ่ายกลับ และในเมื่อคณรักษ์ได้ตกลงกับผาธนาเอาไว้แล้ว ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามข้อตกลง

“แล้วพี่ผาได้บอกกับพวกพี่คนอื่นๆ หรือเปล่าครับ”

“พวกนั้นรู้แค่ว่าต้องจ่ายค่าเช่าสามพันห้าตามเดิม ส่วนพี่จะเป็นคนจัดการเรื่องค่าน้ำค่าไฟเอง หากเดือนไหนเงินเหลือ พี่ก็จะเก็บเข้าบัญชี พวกนั้นจะได้มีเงินสำรองเอาไว้ใช้”

คณดลเผลอมองผาธนาด้วยแววตาชื่นชมเสียไม่ได้ ท่าทางอีกฝ่ายจะเป็นคนรู้จักใช้ความคิดไม่น้อย แม้ว่าการแสดงออกจะทีเล่นทีจริงก็ตาม มันชวนให้เขาครุ่นคิดว่าคนตรงหน้าดูน่าค้นหาไปในที และก่อนที่ผาธนาจะทันได้สังเกต คณดลก็เก็บแววตาเช่นนั้นกลับคืนเข้าไปในความคิด ฉายทับด้วยแววตาที่เป็นปกติที่สุด

“แล้วสรุปว่าเราไม่ได้ชอบพี่จริงๆ ใช่ไหม” ไม่วายคนที่โตกว่ายังกลับมาหยอกล้อกับความปากพาซวยของเขาอีกหน จนคณดลถึงกับเบะปาก

“ผมบอกแล้วไง ว่ามันแค่ข้ออ้างไม่ให้ไอ้ธุมันสงสัยผมก็เท่านั้น”

เป็นครั้งแรกที่คณดลสวนกลับไปอย่างเช่นที่พูดกับเพื่อน อาจจะเพราะว่าเขาเริ่มสบายใจที่จะพูดจากับอีกฝ่ายมากขึ้น หลังค้นพบว่าความลับที่พยายามปิดบังอยู่นานสองนานนั้น อีกฝ่ายก็รู้เห็นเป็นอย่างดี มันทำให้คณดลโล่งใจที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องหาข้ออ้างมาปิดบังอะไรคนตรงหน้า จนท่าทีที่เกรงกลัวอีกฝ่ายลดทอนลงไปและสามารถโต้ตอบได้อย่างเป็นตัวเองมากขึ้น

และมันก็ล้วนอยู่ในสายตาผาธนา คนที่โตกว่าพอจะจับสังเกตได้ว่าคนตรงหน้าเริ่มผ่อนคลายท่าทีระแวดระวังลงไป และเขาก็ชอบที่อีกฝ่ายตอบรับเขาเช่นนี้มากกว่า จนอดต่อบทสนทนาไม่ได้ว่า

“แบบนี้...ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่น เราก็ต้องแกล้งจีบกันใช่ไหม” 

“แค่ต่อหน้าไอ้คุณธุก็พอ” คณดลตอบกลับทันที เพราะเรื่องที่เขาชอบผาธนานั้น มีแค่ธุวานนท์ที่รู้เรื่อง

ทว่าคนที่โตกว่ากลับไม่ได้คิดแบบเดียวกัน ด้วยเหตุผลบางอย่างที่คณดลยังไม่รู้ ผาธนาใช้โอกาสที่คณดลเงยหน้าขึ้นมามองตาเขา สบตาอีกฝ่ายคืน แล้วปฏิเสธ

“พี่คงทำแบบนั้นไม่ได้หรอก เพราะพี่บอกคนอื่นไปแล้วเหมือนกัน”

คำพูดที่ทำเอาคนที่เด็กกว่าถึงกับชะงัก ยามมองเข้าไปในดวงตาคมที่ไม่มีแม้แต่แววล้อเล่นสักนิดแล้ว ก็ถึงกับหายใจผิดจังหวะ จนได้สติรีบถามกลับในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะบอกเขา

“พี่หมายถึงอะไร”

ผาธนาพยายามกลั้นขำเมื่อคนตรงหน้ากำลังแสดสีหน้าร้อนรนใจออกมา ท่าทางคงคิดว่าเขาจะหลุดปากบอกความลับสำคัญไป

“หมายถึงเรื่องที่พี่บอกไป แล้วคนอื่นก็ยอมให้มาเช่าอยู่ที่นี่”

แล้วคนที่โตกว่าก็ขยับเท้า เข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น พยายามองเข้าไปในดวงตาของคนตรงหน้า ยามที่อีกฝ่ายถามกลับมาว่า

“พี่บอกอะไรพวกเขา”

คณดลจ้องหน้าอีกฝ่ายกลับอย่างนึกหวั่นใจ แม้แรกเริ่มจะสบายใจที่อีกฝ่ายรู้เรื่องทุกอย่างและสามารถคุยกันได้อย่างเปิดเผย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมารับประกันว่าผาธนาจะเก็บความลับนี้เอาไว้ตลอดไป เพราะเขายังไม่รู้จักผาธนาดีพอเลย...มันทำให้เขาหวั่นใจว่าอีกฝ่ายจะบอกอะไรคนอื่นไปบ้าง

“สิ่งที่พี่บอกกับคนอื่น มันเหตุผลที่พี่อยากย้ายมาเช่าอยู่ที่นี่...”

เสี้ยวนาทีที่ผาธนาตอบกลับมาพร้อมแววตาที่ดูเหมือนจะชัดเจนต่อความรู้สึก แต่ก็ยากเกินกว่าจะคาดเดาได้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร คณดลสบตาอีกฝ่ายนิ่ง สองคิ้ววิ่งวุ่นเข้าหาจนแทบจะพันกัน แววตาของเขาเผยให้เห็นได้ชัดว่ากำลังรอคอยคำตอบจากอีกฝ่าย

จนกระทั่งผาธนาเอ่ยปากบอกกับเขาเพียงว่า

“...เพราะพี่อยากอยู่ใกล้ณดล”


                   :katai4:จบตอนที่ 5 Special make-up effect) ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ Twitter : BLackcomedY (@LacomedB) :bye2:






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด