1
Location management
สองเดือนต่อมา...
นาฬิกาปลุกแผดเสียงดังลั่นบ้าน ให้ชายหนุ่มวัยเบญจเพสสะดุ้ง ร่างกายกระตุกวูบเหมือนหล่นจากที่สูง สองตาเบิกโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจยามสัมผัสได้ถึงแสงสว่างที่เล็ดลอดผ่านม่านเข้ามา ให้รู้สึกว่าตนกำลังจะไปเรียนสาย หากพอตั้งสติได้ ก็พบความจริงที่ว่าเขาเรียนจบแล้ว ให้ผ่อนลมหายใจไปที อย่างที่สีหน้าเริ่มติดจะหงุดหงิดที่โดนรบกวนแต่เช้า จนต้องเด้งก้นลงจากเตียง กะจะเอาผ้าเช็ดตัวมาห่อส่วนล่างเอาไว้ แต่ก็หาไม่เจอ จึงคว้าผ้าห่มมาพันรอบตัวแทนและค่อยออกจากห้องนอน ตรงไปยังห้องของน้องชายที่คาดว่าน่าจะลืมปิดนาฬิกาปลุกอีกเช่นเคย
“ขอโทษนะคะคุณดล รบกวนเวลานอนอีกแล้วใช่ไหมคะ”
คณดลมองไปยังแม่นมของตัวเองด้วยสีหน้ากึ่งจะหงุดหงิด ปากซีดกำลังขยับโค้งขึ้นนิดเหมือนเด็กกำลังงอแง จนสายคำอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้กับท่าทางของคนโดนรบกวนเวลานอน
“โธ่ ป้าสายครับ ผมเพิ่งจะได้นอนตอนตีสาม แล้วนี่ก็เพิ่งจะเจ็ดโมง จะไม่ให้ผมหงุดหงิดได้ยังไง” คนนอนไม่เต็มอิ่มเริ่มโวยวายไป หากสายตากลับสอดส่องไปทั่วห้องนอนที่ไร้เงาของเจ้าของ
“มันออกทริปเช้าอีกแล้วใช่ไหมครับ ถึงทิ้งนาฬิกาให้ร้องลั่นบ้านแบบนี้”
คณดลหมายถึงธุรกิจเช่ารถที่เขากับคณรักษ์ช่วยกันดูแลต่อจากป้าของเขา ที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งได้ยกธุรกิจนี้ให้กับพวกเขาสานต่อเพราะไม่มีลูก โชคดีที่พนักงานคนเก่าคนแก่ของป้าเข้ามาช่วยเหลือเพราะตอนนั้น เขากับน้องชายฝาแฝดยังเป็นแค่เด็กมัธยมที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย นับเป็นความโชคดีของทั้งคู่ที่มีคนคอยช่วยเหลือจนพวกเขาสามารถขึ้นมาดูแลธุรกิจต่อได้
“ออกไปตั้งแต่ตอนตีสามแล้วค่ะ เห็นว่ามีรับส่งกองถ่ายต่างจังหวัด น่าจะกลับพรุ่งนี้ค่ะ”
คำตอบที่คณดลชะงักไปนิด เมื่อนึกได้ว่าเป็นวันหยุดของคณรักษ์ (เกือบลืมไปแล้วว่าเทอมนี้มันมีเรียนแค่ตัวเดียว) ก็พยักหน้ารับคำ แบบไม่ค่อยจะทันได้รับฟังสารเท่าไหร่ ปากก็หาววอดๆ แล้วว่าเสียงงัวเงีย
“ผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับ ไม่ไหวแล้ว” เสร็จสรรพก็ทิ้งสายคำให้เก็บกวาดห้องต่อ ส่วนเจ้าตัวก็ลากสังขารง่วงๆ ของตนกลับไปตากแอร์เย็นๆ ซุกที่นอนอุ่นๆ ในห้องต่อ
ได้แค่ไม่ถึงสามนาที...
ก็มีสายเรียกเข้า...ให้เจ้าของเครื่องตีหน้ายุ่ง มือก็ควานหามือถือที่จมอยู่ในกองผ้าห่ม กว่าจะเจอก็ปาไปครึ่งนาที พอกดรับได้ก็ถูกปลายสายหัวเราะใส่ทันที
“อย่ามาขำน่า” จนคนที่นอนคุยไปด้วยหลับตาไปด้วยต้องว่าแบบนั้น แล้วร่องรอยความยุ่งยากก็ค่อยคืบคลานเข้ามาประดับบนใบหน้าของคนที่ยังหลับตา ครั้นหูพยายามรับสาระสำคัญจากปลายสาย
“สนิทกันมากขนาดนั้นเชียว” คณดลอดว่าออกไปไม่ได้เมื่อปลายสายกำลังขอร้องให้เขาช่วยทำอะไรบางอย่างให้ จนสุดท้าย...
“เดี๋ยวผมจะช่วยดูให้ก็แล้วกันครับ ถ้าได้วันย้ายเข้าเมื่อไหร่ พี่ก็บอกผมด้วยก็แล้วกัน”
คณดลรับปากอืออาต่อได้ไม่กี่คำก็วางสาย ปล่อยมือไม้ลงไปแนบกับเตียง ไม่นาน เสียงกรนเบาๆ ก็ตามมา บ่งบอกว่าเจ้าของห้องได้เข้าถึงบทเจ้าหญิงนิทราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ช่วงสายของวัน...อันจำเป็นต้องตื่นนอน แม้ว่าจะยังนอนไม่เต็มอิ่มก็ตาม คณดลงัวเงียลุกขึ้นมามองนาฬิกา ที่เข็มนาฬิกาชี้บอกว่าเขาไม่ควรจะนอนอืดบนเตียงต่อ แม้ว่าร่างกายพร้อมจะปะทะเตียงนอนมากแค่ไหน ขาจึงพยายามเหยียดออกจากผ้าห่มด้วยท่าทีที่ขี้เกียจสุดๆ แต่พอเท้าสัมผัสกับพื้นห้องเท่านั้น ประตูห้องก็ถูกมือดีเคาะเป็นจังหวะหลีดขึ้นมือ (1 2 123 12 12 1) ให้เขาต้องลุกขึ้นไปเคาะประตูกลับสองที เป็นเชิงบอกให้ไปรอชั้นสอง
ทว่าพอจะหมุนตัวกลับเท่านั้น เสียงเคาะประตูจังหวะเดิมก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าไอ้คนข้างนอกมันยืนยันที่จะเข้ามา จนสุดท้ายเจ้าของห้องก็หันไปคว้าผ้าห่มมาปกปิดท่อล่าง แล้วกลับไปเปิดประตูให้แขกคนสนิท
“เหอผิงงงงง คิดถึงผมไหม” ไม่ทันได้มองรอยยิ้มถนัดตา เพื่อนคนจีนนามว่าซิ่งฝูโผเข้ามากอดด้วยความคิดถึงสุดขั้วหัวใจ แต่จับเวลาได้เพียงสามวินาทีเท่านั้น ไอ้คนกอดก็ทำจมูกฟุดฟิด ไล่ดมตัวของคณดลอย่างใช้ความคิดไปด้วย พอภาพบางอย่างวาร์ปเข้ามาในหัวเท่านั้น ซิ่งฝูก็ถึงกับผงะถอยหนี
“อีกแล้วหรือ”
ซิ่งฝูหน้างอทันทีที่รู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะตื่นนอนสายเพราะอาการเพลียจากกิจกรรม มากกว่าเหนื่อยล้าจากการทำงาน
“ก็ไม่ได้เสียหายสักหน่อย ใช่ไหม” แล้วไม่วายเอามือไปป้ายแก้มคนมอง อย่างคนถูกกระทำถึงกับถอยเท้าหนี ด้วยสีหน้าท่าทีรังเกียจ
“สกปรก!” แล้วโวยวายออกไป และนั่นยิ่งทำให้คนกระทำหัวเราะชอบใจเสียยกใหญ่ ก่อนจะโยนผ้าห่มใส่ให้ซิ่งฝูถึงกับตกใจ ก่อนจะถอนหายใจไปทีเมื่ออีกฝ่ายยังสวมบ็อกเซอร์
“ไปอาบน้ำได้แล้ว ยืนเต๊ะท่า โชว์พุงหมาน้อยอยู่ได้” ซิ่งฝูจัดการโยนผ้าห่มกลับไปกองบนเตียง แล้วมองไปทางคณดลด้วยสายตาที่จงใจสื่อสารว่า...หุ่นอย่างเขาไม่เห็นจะมีอะไรน่าดู เสียจนคนถูกมองถึงกับฮึดฮัดขึ้นมาแล้วว่า
“อย่ามาบูลลี่ลูกเรานะเว้ย!” ไม่วายยังเอามือลูบพุงน้อยๆ อย่างต้องการจะปกป้อง
“ลูก?” แบบที่ซิ่งฝูถึงกับขมวดคิ้ว ทวนคำเหมือนว่าตนกำลังหูฟาด
“นี่...” จนคณดลต้องอธิบายด้วยการชี้มาที่พุงของตัวเองแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ทั้งปากยังบอกว่า
“...ลูกของเราอยู่ในนี้ เห็นไหม โอ๊ย ลูกดิ้นๆ”
ท่าทางการแสดงที่น่ามั่นไส้จนซิ่งฝูคว้าหมอนมาปาใส่ ขณะที่คณดลเอาแต่หัวเราะไม่หยุด
“เหอผิง ได้โปรดเลิกเล่นเสียทีเถอะครับ ผมยังไม่อยากโดนเชนทร์ด่าเพราะไปสายหรอกนะ”
“ฮ่าๆ โอเค ขอตัวไปคลอดก่อนนะ”
“คลอดลูก?”
“คลอดอะจารุจ”
“อุจจาระ”
“เปรี้ยงมากเพื่อนเลิฟ”
“ผมไหว้ล่ะ”
พอเห็นเพื่อนถึงกับยกมือไหว้ก็ได้แต่หัวเราะ แล้วก็หันไปคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไปแต่โดยดี
เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมง คณดลก็จัดการแต่งตัวเสร็จสรรพ อย่างที่คนรอเองก็ฟุบหลับคาโซฟาไปเป็นที่เรียบร้อย เจ้าของห้องจึงจำต้องเดินมาปลุก เรียกอยู่สองสามที เขย่าตัวไปสี่ห้าครั้ง ซิ่งฝูก็สะดุ้งตื่นขึ้นมามองด้วยสีหน้าติดจะหงุดหงิด
“กว่าจะพร้อมเสด็จนะเหอผิง ผมนึกว่าต้องหลับเฝ้าจนพระอินทร์ไปเกิดก่อน ถึงจะได้ออกไปข้างนอก” ซิ่งฝูพูดไปด้วย หาวไปด้วย แถมบิดขี้เกียจ ยืดตัวจนสุด
“เออน่า ออกข้างนอกทั้งทีต้องคีพลุกหน่อยสิวะ แถมนี่...” ว่าแล้วก็เว้นจังหวะหันไปคว้าขวดสีฟ้ามาถือไว้
“อะไร”
“เซฟดราย สเปรย์ระงับกลิ่นกาย ฉีดง่าย แห้งเร็ว ไม่ทำลายเซลล์ผิว บำรุงขนรักแร้นุ่มสลวย เหงื่อออกแค่ไหนก็ยังหอมสดชื่น”
พรีเซนเตอร์โฆษณาสเปรย์ระงับกลิ่นกายเสนอสินค้าได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง พร้อมเก็กท่าถือขวดสเปรย์ โชว์ชื่อสินค้าให้คนดูได้เห็นแบบเต็มตา
“เอาค่าตัวมาให้ผมเลยนะ โทษฐานให้ยืนฟังโฆษณาเนี่ย” ซิ่งฝูโวยวายยามที่สรุปความได้ว่าหาสาระอะไรไม่ได้กับการฟังเพื่อนเมื่อครู่เลยสักนิด
“นี่ไง เราให้นายใช้ฟรี ไม่คิดตังค์”
“งั้นเอามาเลย”
มือที่กำลังจะคว้าขวดสเปรย์มาถึงกับชะงัก ยามพรีเซนเตอร์ผู้อวดอ้างว่าจะให้เขาใช้ฟรีดึงมือกลับไป พร้อมทั้งชูมืออีกข้างขึ้นมากางนิ้วทั้งห้าตรงหน้าเขา แล้วบอกว่า
“ช้าก่อนซิ่งฝู ที่บอกว่าใช้ฟรีไม่คิดตังค์...แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว มานี่” แล้วไอ้คนมากความก็คว้าแขนเพื่อนชูขึ้น ล้วงเข้าไปในเสื้อและพ่นเปรย์ให้เรียบร้อย
“เป็นยังไง หอมไหม” แถมยังถามลองเชิงสินค้า ให้ซิ่งฝูดมรักแร้ตัวเองไปสองที แล้วค่อยบอก
“ก็หอมดี แต่ผมชอบของเรออนมากกว่า”
คำตอบที่ทำเอาคนฟังเบ้ปาก แถมยังว่า “นายมันสาวกเรออนนี่หว่า แต่ช่างเถอะ เราจะเปลี่ยนมาใช้ตัวนี้แหละ สดชื่นดี”
“จะใช้ตัวไหนก็เรื่องของเหอผิงเถอะ นี่สายแล้วนะ ผมยังไม่อยากโดนเชนทร์ด่า”
“ขอลงไปดูงานก่อนนะ แล้วจะรีบออกไปเลย”
คำขอที่ทำเอาซิ่งฝูถึงกับชักสีหน้าใส่ จนคณดลถึงกับต้องฉีกยิ้มกว้าง ทำหน้าตาทำที่คิดว่าน่ารักที่สุดแล้วว่า
“ไม่นานหรอกน่า โอเคไหม...” เหมือนจะเป็นประโยคคำถาม หากพออีกฝ่ายอ้าปากจะแย้ง คณดลก็รีบสวนกลับว่า
“...รู้อยู่แล้วว่านายต้องโอเค”
ก่อนจะลากซิ่งฝูออกจากห้องไป โดยไม่รอให้อีกฝ่ายขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น
ณ ห้องประชุมเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยเรื่องให้ครุ่นคิด คณดลนั่งอยู่ท่ามกลางลูกจ้างของตน ถกเถียงกันเรื่องแผนงานที่ต้องทำไปเสนอลูกค้า ซึ่งเข้ามาติดต่อขอให้ช่วยหาสถานเพื่อใช้ในการถ่ายทำโฆษณา ช่วงนี้เหมือนเป็นฤดูกาลสินค้า ทั้งตัวเก่า ตัวใหม่หรือแม้กระทั่งแบรนด์ใหม่ ทำให้พวกเขาต้องวางแผนงานให้รัดกุม เพื่อระยะเวลางานจะไม่ทับซ้อนกันและเพื่อการบริการที่ดี อันจะนำไปสู่การขยายฐานลูกค้าที่มากขึ้นเรื่อยๆ
นี่เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่คณดลต่อยอดมาจากบริษัทเช่ารถของป้า นั่นคือบริษัทจัดหาสถานที่ ส่วนใหญ่จะเพื่อการจัดงานหรือถ่ายทำงานต่างๆ ส่วนใหญ่คนที่มาช่วยงานเขาก็จะเป็นพนักงานเก่าของป้าและมีพ่วงเด็กใหม่มาอีกสองสามคน
“สองตัวนี้ไม่มีปัญหาอะไร...” คณดลเอ่ยออกมา ขณะสายตากวาดมองเอกสารในมือ สลับกับภาพบนโต๊ะ
“น่าจะติดแค่ลูกค้าใหม่ครับ ตามบรีฟที่ได้มาคืออยากได้ฟีลแบบญี่ปุ่นครับ เท่าที่เช็คมาคร่าวๆ ที่ว่างช่วงเข้าถ่ายทำจะมีแถวอำเภอสารภีกับอำเภอไชยปราการ อีกที่จะเป็นม่อนแจ่ม เพิ่งจะปรับปรุงเสร็จ ต้องเข้าไปสำรวจอีกทีครับ” ปอนอธิบายเสริม หลังจากออกไปคุยกับลูกค้าในช่วงเช้า ให้คนฟังพยักหน้า
“เขาไม่ได้ต้องการแบบญี่ปุ่นจ๋าเลยใช่ไหม” คณดลเงยหน้าสบตาเจ้าของงาน อย่างที่ปอนเองก็พยักหน้ารับคำแล้วอธิบาย
“ครับ เขาอยากได้ฟีลที่ดูเป็นแหล่งท่องเที่ยว คาเฟ่ มุมพักผ่อน แต่ให้ฟีลเจแปนเบาๆ เท่าที่เอาภาพให้ดูคร่าวๆ เขาก็โอเค แต่ต้องคุยรายละเอียดเพิ่ม”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ยังไงก็ฝากพี่ปอนดูแลต่อด้วยนะครับ” คณดลบอกเจ้าของงานเสร็จ ก็เลื่อนสายตาไปมองคนที่นั่งข้างปอน พร้อมบอก
“เราก็ช่วยพี่ปอนเขาไปก่อนนะ ค่อยๆ เรียนรู้งาน ไม่ต้องไปกลัวพี่ปอนเขามาก เขาเก็กหน้าโหดไปแบบนั้นแหละ”
ท้ายประโยคทำเอาคนทั้งห้องหลุดขำออกมา เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าคนที่โตกว่าใครเขาชอบเก็กหน้าโหด แต่จะชอบเผลอเปิดโหมดแบ๊วๆ กับคนสนิทเท่านั้น
“ของพี่ข้าวแลงล่ะครับ มีปัญหาอะไรไหม” คณดลเปลี่ยนเรื่องคุย ถามถึงอีกงานหนึ่งที่ดูเหมือนใกล้จะบรรลุเป้าหมาย ให้ข้าวแลงที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาตอบ
“ก็เอาเรื่องอยู่ครับ ลูกค้าขอเลื่อนเวลาถ่ายทำและดันไปตรงกับช่วงเทศกาลแสงสีของตำบลพอดี ก็เลยต้องหาสถานที่ใหม่ ที่สามารถถ่ายทำช่วงนั้นได้”
“ลูกค้าเก่านั่นแหละค่ะ น้องดล...นี่ก็ขอเลื่อนถ่ายทำมาสองครั้งแล้ว ไม่ยอมบอกว่าติดปัญหาเรื่องอะไรแน่ พวกพี่ก็พยายามประคับประคองไปตามเนื้องานค่ะ” มีนารายงานปัญหาที่พวกเธอคิดไม่ตกกับลูกค้าคนเดิม ที่เคยคุยกันเอาไว้ว่าถ้าบางงานจำเป็นต้องเลี่ยงบ้าง
“ไหวไหมครับพี่มีน” จนคณดลเองเริ่มเป็นห่วง เขาเองก็สงสารพวกพี่ๆ ที่ต้องออกไปคุยการกับลูกค้าจนหัวหมุน แถมบางกรณี (อย่างเช่นกรณีนี้) ก็ยิ่งชวนให้วุ่นวายไปกันใหญ่
“ยังไหวค่ะ แต่ถ้าเลื่อนอีกรอบคงต้องคุยจริงจัง”
“ครับ ผมเข้าใจ บ้านหลังนั้นก็ขาประจำของเรามานาน ผมเองก็ไม่อยากมีปัญหากับสถานที่ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็จัดการตามเดิมได้เลยครับ”
คณดลว่าออกไปแบบนั้น ให้ต่างคนต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย สิ่งสำคัญสำหรับพวกเขา นอกเหนือจากลูกค้าที่มาใช้บริการจัดหาสถานที่จัดงานหรือถ่ายทำงานแล้ว ก็คือเรื่องของสถานที่ พวกเขาต้องรักษามารยาทและทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้าของสถานที่ไม่รู้สึกติดลบกับการเข้าไปขอใช้สถานที่จากพวกเขา เพราะถ้าเกิดมีอะไรไม่พอใจแล้ว การดีลงานครั้งต่อไปก็ยากขึ้นหรือบางที อาจจะไม่ได้กลับไปอีกเลย
เอาง่ายๆ คือสร้างความประทับใจให้เจ้าของสถานที่รู้สึกว่าอยากให้พวกเขากลับไปทำงานที่นั่นอีก
คณดลจัดการคุยงานต่ออีกครึ่งชั่วโมง เพื่อช่วยตรวจสอบสตอรี่บอร์ดและภาพสถานที่อีกเล็กน้อย แล้วต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ เหลือแค่ซิ่งฝูกับพิมพ์เท่านั้นที่อยู่ในห้องประชุม
“พี่พิมพ์ครับ ยังไงฝากบอกอินเหลากับพี่จันทร์ด้วยนะครับ ว่าให้ช่วยเข้าไปทำความสะอาดห้องพักกับสตูดิโอชั้นสามให้หน่อย เช็คพวกน้ำกับไฟฟ้าด้วยว่ายังใช้ได้อยู่ไหม ถ้ามีอะไรเสียหาย ฝากพี่พิมพ์ตามช่างเข้ามาได้เลยนะครับ”
“ได้ค่ะน้องดล ว่าแต่...ให้เก็บกวาดห้องแบบนี้ น้องดลจะย้ายขึ้นไปชั้นสามหรือคะ จะให้เตรียมย้ายของจากชั้นสองขึ้นไปด้วยไหมคะ”
“ไม่ต้องครับ ผมไม่ได้ย้ายขึ้นไปอยู่หรอก พอดีอ่า...” คณดลชะงักไปนิด ก่อนจะรีบพูดต่อว่า
“...พอดีพวกรุ่นพี่ของผมเขาจะขอเช่า ยังไงก็รบกวนพี่พิมพ์ด้วยนะครับ”
“อ๋อ ได้ค่ะ จะจัดการให้นะคะ”
“ขอบคุณครับ”
เสร็จสรรพ พิมพ์ก็เดินหอบแฟ้มเอกสารออกไปจัดการต่อ ขณะที่คณดลก็เดินออกมาหาซิ่งฝูที่กำลังนั่งเล่นเกมอยู่
“นั่งเล่นเพลินเลยนะ” คณดลว่าพลางชะโงกหน้าเข้าไปดู เห็นตัวละครเกมกำลังวิ่งไปแก้ไฟอยู่ก็อดแหย่เล่นไม่ได้ว่า
“ไฟดับทังที ต้องมีคนตายแน่ๆ”
และทันทีที่พูดจบ ไอ้เจ้าฆาตกรชุดสีส้มก็วิ่งเข้ามาแทงมีดจึกๆ เข้าที่กลางหลังมนุษย์อวกาศชุดสีขาว ให้เจ้าของตัวละครในเกมถึงกับเงยหน้าขึ้นมามองอย่างไม่สบอารมณ์ ผิดกับคนที่เอาแต่ยิ้มกวน ซ้ำยังบอกว่า...
“เราว่าแล้ว ว่าสีส้มต้องเป็นฆาตกร”
“แล้วทำไมเหอผิงต้องพูดเป็นลางด้วยเล่า!”
สีหน้าติดจะงอนยิ่งทำให้คณดลยิ่งหัวเราะชอบใจ ก่อนจะยีหัวอีกฝ่ายอย่างนึกเอ็นดูไปที
“อย่ามายุ่ง!”
“เฮ้ย อย่างอนดิ เดี๋ยวพาไปเลี้ยงขนมอะ” สุดท้ายก็ได้แต่ง้อเหมือนทุกที ที่อีกฝ่ายชอบทำเป็นงอน และพอเห็นว่าเขาพูดเข้าทางหน่อย เจ้าตัวก็เหลือบหางตามามอง แถมยังว่าย้ำ...
“น้ำด้วย”
“บ้านนายก็ขายน้ำหวาน ไม่เบื่อบ้างหรือไง”
แม้จะเป็นคำหยอกล้อเหมือนเช่นทุกที แต่จู่ๆ นัยน์ตาอีกฝ่ายก็ไหววูบจนคณดลชะงักไปเล็กน้อย แล้วได้แต่ทำทีเป็นปรกติ ด้วยคติที่หากเพื่อนไม่อยากเล่า เขาก็จะไม่เค้น
“ลุกได้แล้ว คุณชายเชนทร์รอนาน ได้พาลมาดุนายอีกหรอก”
“รู้แล้วน่า”
คณดลยืนรอซิ่งฝูถอดสายชาร์จ จัดการเก็บแบตสำรองใส่กระเป๋าเสร็จ ก็พากันออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปหาเพื่อนสนิทอีกคนที่คาดว่าน่าจะกำลังเคร่งเครียดกับงานครัว
“ไหนบอกว่าจะพาไปเลี้ยงขนม”
ซิ่งฝูทักท้วงคนที่กำลังจ้วงอาหารคาวตรงหน้า ทั้งส้มตำปูปลาร้า ปลาดุกย่าง ตูดไก่ปิ้ง พร้อมทั้งข้าวเหนียวอีกหนึ่งกระติบ แบบที่คนกินก็เงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับยิ้มเผละ
“ขอกินข้าวหน่อยน่า นี่ไง เราสั่งตำทะเลมาเผื่อนายด้วย กินดิ”
แม้ซ้อมจะจิ้มปลาหมึกเข้าปาก เคี้ยวและกลืนไปตามที่อีกฝ่ายบอกให้กินเพราะสั่งมาเผื่อแล้ว แต่สายตาก็ยังคงมองอย่างแค้นเคืองใจเพราะภาพในหัวก่อนออกจากบ้านนายคณดล คือโต๊ะที่เต็มไปด้วยของหวานที่ตนแสนจะโปรดปราน
“อร่อยใช่ไหมล่ะ หมดนี่ยกให้นายเลย มื้อนี้ป๋าจ่ายเอง”
“มันแน่นอนอยู่แล้วเพราะว่าเหอผิงบังคับผมมากิน”
“โอ๋เอ๋ ไม่งอนน้าซิ่งฝู”
คณดลว่าจบก็หัวเราะออกมา แต่เหมือนบาปกรรมที่หลอกเพื่อนมากินข้าวตามทัน เพราะไม่นานเขาก็สำลักน้ำลาย ไอออกมาจนคนมองได้แต่ส่ายหน้า
“สม...” หากมือก็ช่วยเติมน้ำลงในแก้วให้เพื่อนไปจิบ จับตาดูจนคนที่ไอจนปวดคอนิดๆ น้ำตาปริ่มหน่อยๆ เริ่มดีขึ้น
“แช่งกันในใจนี่หว่า” ทว่าคนสำลักก็ยังไม่สำนึก ยังจะหัวเราะไปน้ำตาไหลไปได้อีก อย่างที่มือก็คว้ากระดาษทิชชูที่เพื่อนยื่นให้ มาซับน้ำมูกน้ำตา
“คนที่ทำอะไรไม่ระวังอย่างเหอผิง ไม่ต้องแช่งให้เสียเวลาหรอก”
คณดลเบ้ปากใส่ไปที มองด้วยสายตาติดจะงอน ยามที่ปากก็ว่า
“ใช่สิ คนไม่น่ารักอย่างเรา ทำอะไรก็ผิดนี่หว่า”
“เลิกพูดจาเลอะเทอะเสียทีน่า”
“ครับๆ รีบกินดีกว่าเนอะ เดี๋ยวคนแถวนี้จะไปสายเพราะเรา” คำพูดคำจากับสีหน้าท่าทางที่น่าหมั่นไส้เสียกว่าอยากง้อ ทำเอาคนมองได้แต่ถอนหายใจแล้วบอก
“ไม่ต้องรีบไปหรอก เดี๋ยวเชนทร์จะมาหาที่นี่”
คณดลถึงเงยหน้ามามองด้วยความแปลกใจ
“ไหนว่ามันติดงานไง”
แล้วซิ่งฝูก็คว้ามือถือยื่นมาตรงหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายได้ดูว่าตอนนี้มันเลยเวลางานของเพื่อนแล้ว
“เออว่ะ เชนทร์ออกงานบ่ายสองนี่เนอะ”
“กว่าเหอผิงจะออกบ้าน ก็ปาเข้าไปใกล้บ่ายสองแล้ว มานั่งกินข้าวอีก ป่านนี้เชนทร์คงใกล้ถึงแล้ว”
คำบอกของคนที่เก็บมือถือเข้าหาตัว หากสายตาของคณดลกลับมองเลยไปทางด้านหลังแล้วฉีกยิ้มกว้าง
“ไม่ใกล้หรอก แต่มาถึงแล้วแหละ”
ซิ่งฝูหันไปมองตามก็เห็นหนุ่มลูกครึ่ง ตัวสูงประมาณร้อยแปดสิบ ในชุดลำลองสีกรม ยืนสั่งอาหารอยู่หน้ารถเข็น ไม่นานนัก ใครคนนั้นก็เดินตรงมาหาพวกเขาที่โต๊ะพร้อมกับมองหน้าสองคนสลับกันไปมา
“เป็นอะไร” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามออกมา ยามเห็นว่าเพื่อนต่างพากันเงียบ คนหนึ่งฉีกยิ้มกว้างมองเขา ส่วนอีกคนมองด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“พริกติดฟัน” ราเชนทร์หันไปบอกยามเห็นว่าเพื่อนสนิทยังไม่ยอมปริปากพูดอะไร อย่างที่คณดลหุบปากแทบไม่ทัน พร้อมทั้งใช้ปลายลิ้นถูฟันด้านหน้าของตัวเองแล้วยิ้มยิงฟันให้อีกรอบ
“ออกยัง”
“อืม” ราเชนทร์ส่งเสียงตอบรับ ให้อีกฝ่ายยิ้มร่า แล้วปากก็ถามไป
“แล้วนี่นายขับรถมาหรือ”
“ขึ้นรถมา...” เชนทร์ตอบ ก่อนจะหันไปหาคนที่เอาแต่นั่งเงียบแล้วว่า
“...ขากลับ ส่งฉันที่คอนโดด้วยก็แล้วกัน”
นั่นทำให้คนที่หน้าไม่รับเพื่อนอยู่แล้ว ยิ่งทะมึนตึงเข้าไปใหญ่ ยามที่คิดแค้นในใจแล้วตัดพ้อต่อหน้าเพื่อนว่า
“มาถึงก็ไม่ยอมทัก แถมยังจะให้ผมไปส่งกลับอีก นี่ผมกลับบ้านเป็นเดือน ไม่คิดถึงกันบ้างหรือไง”
ประโยคยาวเหยียดที่ราเชนทร์ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะยกยิ้มมุมปาก
“คิดถึงนะ แต่ไม่ได้มากจนอยากจะทักทายนายก่อนณดล”
การพูดจาดีๆ แบบไม่มีโต้วาที คงไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับสองคนนี้
“ไม่คิดถึงกันก็ดี จะได้เอาของฝากไปแจกคนอื่นให้หมด”
“เฮ้ยๆ ถ้าจะแจก เอามาให้ฉันดีกว่า รับรองกินใช้คุ้มค่า คุ้มราคา” คณดลสวนขึ้นพร้อมหัวเราะเป็นเชิงหยอกล้อเพื่อน อย่างที่ราเชนทร์ส่ายหน้า จังหวะนั้น อาหารมาเสิร์ฟพอดี จึงรอกระทั่งพนักงานกลับไป เขาจึงเอ่ยปาก
“คิดหรือว่าฉันจะสนใจของฝากของนาย ของพวกนั้น ฉันบินไปซื้อตอนนี้เลยก็ยังได้”
คำพูดที่ทำเอาคนฟังเคียดแค้น ปากก็ขยับขยุกขยิก พลันเบือนหน้าหนีอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะยืดตัวขึ้น มองไปทางคณดลเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เหอผิง ถามหน่อย...”
“ว่ามา” คณดลเองก็เงยหน้ามามองเพื่อน ขณะที่จิ้มกุ้งเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ
“...ไอ้ที่บอกว่ารุ่นพี่จะย้ายเข้ามาอยู่ด้วยนี่ หมายถึงใคร”
คำถามที่ราเชนทร์เองก็หันมามอง ขณะที่กินข้าวไปด้วย จนคนถูกถามได้แต่มองเพื่อนสองคนสลับกันแล้วยิ้ม
“ก็...รุ่นพี่...ที่รู้จัก”
“สนิทจนยอมให้เช่าอยู่ด้วยกันเลยหรือ?”
“ก็...อืม รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนเลย” คณดลพยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติมากที่สุด ยามที่เริ่มจะหวั่นใจกับสายตาระแวงของเพื่อน
“ใคร” แม้แต่ราเชนทร์เองก็สงสัย เพราะพวกเขาเรียนมาด้วยกันตั้งแต่ปีหนึ่ง หากคณดลจะรู้จักรุ่นพี่คนไหน ก็ต้องมีผ่านหูผ่านตาพวกเขาบ้าง
“พวกนายไม่รู้จักหรอก เขาเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่า พอดี...เขาถ่ายงานกันตอนกลางคืน ก็เลยอยากได้ที่พักที่เก็บเสียงหน่อย เห็นสตูดิโอกับห้องนอนชั้นสามยังว่าง ก็เลยปล่อยเช่าเท่านั้นเอง”
คณดลอธิบายยาวเหยียดและบังคับสีหน้าใสซื่อ เพื่อให้เพื่อนทั้งสองเลิกเซ้าซี้เรื่องนี้ต่อ แบบที่ซิ่งฝูกับราเชนทร์ได้แต่มอง...สักพักก็ถอนสายตาออกไป ให้คณดลลอบถอนหายใจ