ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้
18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
***********************************************************************
Pre-Production
...จากวรรณกรรมเรื่อง The Sitting Room ของผู้เขียนนามปากกา Sol สรุปได้ว่าเรื่องนี้ แบ่งออกเป็นสองแนวคิดหลักคือการมีชีวิต ที่มีแนวคิดหักล้างคือการคาดหวัง การกระทำของตัวละคร ชี้ให้เห็นถึงการทำตามความคาดหวังจากผู้อื่น ยึดถือคติของผู้อื่นเป็นเป้าหมาย ด้วยชุดความคิดที่ว่า...หากทำตามได้หรือทำสำเร็จ จะเป็นที่ภาคภูมิใจและได้รับการชื่นชม โดยที่ตัวละครเหล่านั้น ไม่ได้นึกถึงความปรารถนาที่แท้จริงในชีวิต
“ทำไมถึงเรื่องวรรณกรรมเรื่องนี้ล่ะ?” อาจารย์ที่ปรึกษาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ครั้นนักศึกษาตรงหน้าเล่าเรื่องย่อของวรรณกรรมจบและถามด้วยแนวคิดของเรื่องที่วิเคราะห์ได้คร่าวๆ
“อันดับแรก เรื่องนี้เป็นหนึ่งในสี่เรื่องที่อาจารย์เลือกมาและอันดับสุดท้าย ผมจับสลากกับเพื่อนในเซค แล้วได้เรื่องนี้ครับ”
คำตอบที่ทำเอารอยยิ้มของอาจารย์ที่ปรึกษากว้างกว่าเดิม อย่างที่เพื่อนร่วมเซคชั่นเองก็พากันหลุดขำ
“แล้วชอบหรือไม่ชอบล่ะ”
คำถามที่เป็นดังธรรมเนียมก่อนการวิจารณ์วรรณกรรมถูกส่งต่อมา ให้คนที่ได้รับผิดชอบวรรณกรรมเรื่องดังกล่าวต้องตอบมาแบบแทบไม่ต้องวิเคราะห์ให้มากความว่า
“ไม่ชอบครับ”
“เหตุผล?”
“ผมไม่ชอบที่สุดท้ายแล้ว ตัวละครต่างก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปในแบบที่สังคมต้องการและผมก็ไม่ชอบที่คนในสังคมพยายามยัดเยียดคติ ความเชื่อเข้ามาในชีวิตมากจนเกินไปและพาลไปกดดันให้คนอื่นทำตาม แบบไม่สมเหตุสมผล”
เขาตอบอาจารย์ไปตามตรง หลังจากได้อ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นจนจบ เขารู้สึกเหมือนมีมือหนึ่งมากุมหัวใจของเขาเอาไว้ คอยบีบให้มันแน่น คอยคลายเหมือนจะให้อิสระ แต่ก็ไม่ยอมปล่อย อย่างที่เขาหายใจหายคอไม่สะดวกเอาเสียเลย
“คำตอบของเธอคือสองในห้าของนักศึกษาที่เคยทำเรื่องนี้ พอจะอธิบายเพิ่มเติมได้ไหมว่ามีอะไรที่เธอไม่ชอบอีก”
“ผมไม่ชอบตัวละครที่ชื่อสายชลครับ เขาเป็นคนที่มีรอยยิ้มประดับหน้าอยู่ตลอดเวลา แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความเศร้า การแสดงออกภายนอกที่ขัดแย้งกับความรู้สึกภายใน สำหรับผมแล้ว มันทรมานเสียยิ่งกว่าการหัวเราะตอนสุขและร้องไห้ตอนเสียใจอีก ทุกครั้งที่ตัวละครตัวนี้ปรากฏบนหน้ากระดาษ บรรยากาศก็ชวนหดหู่ขึ้นมาทันมี ทั้งที่เขากำลังยิ้ม ที่สำคัญ...ผมไม่ชอบที่เขาตัดสินใจหันหลังให้กับศศิน”
คำอธิบายที่ยืดยาวเสียนึกว่าคนพูดกำลังบ่น ทำให้อาจารย์ที่ปรึกษาพยักหน้าแล้วคลี่รอยยิ้ม สบตามองนักศึกษาตรงหน้าของตน
“แล้วถ้าเธอเป็นสายชล เธอจะจัดการปัญหาในเรื่องยังไง”
“ถ้าผมเป็นสายชล...” คนถูกถามนิ่งไปนิด ใช้ความคิดอีกหน่อย แล้วเอ่ยปากบอก
“...หากมองจากมุมคนอ่าน ผมคงตอบได้เต็มปากว่าผมจะยอมรับความจริงและทำตามความรู้สึกของตัวเอง แต่ถ้าในมุมมองของสายชล ผมคงทำได้แค่รักษามิตรภาพระหว่างเพื่อนเอาไว้ เพราะบริบททางสังคมของเรื่อง ในช่วงเวลานั้น...ความรักยังเป็นเรื่องของสองเพศและความเหมาะสม”
“แสดงว่าเธอยอมรับว่าบริบททางสังคมมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต”
“ครับ เพราะมนุษย์ไม่ได้มีเพียงคนเดียวในโลก อย่างน้อยลืมตาตื่นขึ้นมาก็ต้องเจอคนในบ้าน ออกไปข้างนอกก็เจอเพื่อนบ้าน จะเดินทางก็เจอคนขับรถและผู้โดยสาร จะอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนเต็มไปหมด สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์ต้องอยู่รวมกัน”
คนฟังจดบันทึกข้อมูลสำคัญไปด้วย กระทั่งคนตรงหน้าพูดจบ จึงเงยหน้าขึ้นมาถามถึงประเด็นสำคัญอีกอย่าง
“ตอนต้นเธอบอกว่าแนวคิดของเรื่องนี้ คือการมีชีวิตกับการคาดหวัง อธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“เพราะในเรื่อง ตัวละครแต่ละตัวใช้ชีวิตเหมือนคนไร้ชีวิต พวกเขาต่างก็ยึดถือความต้องการของผู้อื่นเป็นแนวทางในการปฏิบัติ โดยเฉพาะกับคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ที่พวกเขาพยายามจะทำทุกอย่างที่พ่อแม่ต้องการ เพื่อให้พวกท่านภาคภูมิใจและชื่นชมพวกเขา เห็นได้ชัดคือสายชล...ที่ยึดความต้องการของครอบครัวเป็นหลัก แม้เขาจะรักศศินมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ยอมรับความรู้สึกนั้น...”
“ในเรื่องได้บอกเอาไว้หรือเปล่าว่าทำไมสายชลถึงไม่ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง”
“บอกครับ ตอนที่สายชลคุยกับเพื่อนที่ชื่อพนา เขาบอกพนาว่าหากความรู้สึกที่เขามีต่อศศิน เป็นสิ่งผิดทำนองคลองธรรม เขาไม่นับว่านั่นเป็นความรัก ก่อนที่ศศินจะจมน้ำเสียชีวิตในเวลาต่อมา ตอนเห็นร่างไร้ชีวิตของศศิน เป็นครั้งแรกที่น้ำตาของสายชลไหลออกมา พอถึงเวลานั้น เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าทั้งหมดที่เขากับศศินรู้สึกต่อกันมันเรียกว่าความรัก”
“...”
“สุดท้าย...สายน้ำก็ทำได้เพียงแค่กอดเงาของพระจันทร์เอาไว้ ในเวลาที่พระจันทร์ขึ้นไปอยู่บนฟ้า ระยะทางที่ห่างไกลแบบที่สายน้ำไม่สามารถเอื้อมถึงจันทร์ได้ ได้แต่เฝ้ามองกันและกันในยามค่ำคืนที่พระจันทร์มีโอกาสปรากฏต่อหน้าสายน้ำเท่านั้น”
อาจารย์ที่ปรึกษาพยักหน้ารับ ขณะมือก็จดข้อความสำคัญลงบนหน้ากระดาษไปด้วย หน้าที่ของเธอตอนนี้ คือการช่วยลูกศิษย์หาแนวทางในการวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณกรรมที่ได้รับมอบหมายให้ได้ ก่อนที่จะลงลึกในส่วนของข้อมูลอื่นๆ ต่อไป
“เท่าที่ฟังแล้ว ถือว่าเธอเข้าใจเรื่องทั้งหมด แต่ในส่วนของการวิเคราะห์ อาจารย์จะเริ่มจากตัวละคร ดังนั้น ให้ไปทำการบ้านมาเสนอในส่วนของลักษณะภายนอกและนิสัยของตัวละคร เลือกมาแค่ 2 ตัวละครหลักนะ แล้วนำมาเสนอในคลาสสัปดาห์หน้า”
หลังจากมอบหมายภาระงานเสร็จสรรพ นักศึกษาคนสุดท้ายก็ออกมาเตรียมการบรรยายหน้าห้องต่อ ขณะที่อาจารย์และเพื่อนที่เหลือนั่งรอฟังแนวคิดจากวรรณกรรมอีกหนึ่งเรื่อง
ขณะเดียวกัน...ที่ห้องเรียนฝั่งตรงข้าม ที่มีนักกลุ่มนักศึกษาสามคน กับอาจารย์หนุ่มวัยสามสิบห้าปี กำลังเสวนากันเรื่องวิทยานิพนธ์ ของนักศึกษาชั้นปีที่สี่ จนเวลาล่วงเลยมาสักพักใหญ่ จนมาถึงนักศึกษาคนสุดท้ายที่กำลังยืนบรรยายเกี่ยวกับวรรณกรรมที่ตนได้รับเลือก
ราเมศวร์ยังคงจดจ่ออยู่กับข้อมูลสำคัญที่นักศึกษาในการดูแลของตนกำลังอธิบาย ขณะที่มือก็ถือดินสอเพื่อเตรียมบันทึกข้อมูลสำคัญลงบนหน้ากระดาษ
ตลกร้าย คำนิยามที่เหมาะสมที่สุดกับวรรณกรรมเรื่อง Le magasin des suicides ประพันธ์โดย Jean Tuele วรรณกรรมที่ดึงทุกความรู้สึกมาไว้ตรงกลาง เรื่องราวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายที่ไม่ได้หดหู่ ไม่มีความเศร้า ออกแนวติดตลกขบขัน แต่ก็...ขำไม่สุด สิ่งที่น่าสนใจก็คือการนำวิธีการฆ่าตัวตายและอุปกรณ์ต่างๆ มาเสนอผ่านรูปแบบคอมมิค เป็นเทคนิคการเล่าเรื่องที่ช่วยลดทอนความรุนแรงของการฆ่าตัวตาย ไม่มีการจูงใจว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งผิดหรือถูก หากกลับมุ่งประเด็นไปยังการตายอย่างมีชั้นเชิงและการสร้างศิลปะการฆ่าตัวตายที่งดงามที่สุด ผ่านการใช้อุปกรณ์และวิธีการที่แตกต่างกันออกไป หากท่ามกลางเรื่องราวการตายของลูกค้าที่แวะเวียนมาอย่างไม่มีทางซ้ำหน้านั้น กลับเติมสีสันและแสงสว่างเข้ามาในเรื่องผ่านตัวละครที่ชื่อว่าอลัน ศัตรูคู่แค้นของ มิชิมา
มิชิมาคือตัวแทนของดวงตาที่จมอยู่กับความมืดมิด จนนึกคิดไปเองว่าความมืดมนคือการมีชีวิต ความเจ็บปวดคือสิ่งที่ควรและความตายคือสิ่งที่งดงาม บทเพลงในงานศพคือเสียงที่ไพเราะที่สุดและการฆ่าตัวตายคือศิลปะของชีวิต
ขณะที่อลัน ลูกชายคนเล็กของเขาที่เกิดมาผิดแผกจากครอบครัว ตั้งแต่รอยยิ้มเปื้อนหน้า เสียงหัวเราะ การร้องเพลงและเหนือสิ่งอื่นใด เขาพยายามจะทำลายสินค้าสำหรับการฆ่าตัวตาย ที่วางขายในร้านขายของชำของครอบครัว แม้นในยามเกิดเรื่องร้าย เขาคือคนเดียวที่มองเห็นแสงสว่างที่ลอดเข้ามา
ความแตกต่างดำเนินไปท่ามกลางความขัดแย้ง เมื่อฝ่ายหนึ่งพยายามคลายเชือกที่รั้งคอเอาไว้ ขณะที่อีกฝ่ายพยายามผูกเชือกให้แน่นขึ้น ท่ามกลางความสับสนของคำถามระหว่างความตายคืออะไรและการมีชีวิตอยู่คืออะไร
จนสุดท้ายดวงตาที่พร่ามัวของมิชิมาก็เริ่มปรับรับแสงแห่งวันใหม่ได้ ทว่ามันกลับเป็นวันที่อลันเลือกที่จะปล่อยมือจากคนในครอบครัวไป
“แล้วแนวคิดของเรื่องนี้คืออะไร”
คำถามแรกถูกเอ่ยออกมาจากปากของราเมศวร์ หลังจากการบรรยายข้อมูลวรรณกรรมคร่าวๆ ได้สิ้นสุดลง เขายิ้มให้กับนักศึกษาตรงหน้า แสดงท่าทีสบายๆ อย่างที่ช่วยคลายบรรยากาศตึงเครียด เพื่ออีกฝ่ายสามารถตอบคำถามได้อย่างเต็มที่
“คุณค่าของชีวิตและการฆ่าตัวตายครับ เห็นได้จากการที่ตัวละครแต่ละตัวให้ค่ากับชีวิตที่ต่างกันออกไป อย่างมิชิมา...เขาให้ชีวิตเพื่อสืบทอดกิจการจากบรรพบุรุษ ขณะที่อลัน...เขามีชีวิตอยู่เพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดของครอบครัว วินเซนต์...เขามีชีวิตเพื่อการทำงาน แม้แต่กับมาริลีน...เธอก็มีชีวิตเพื่อความรัก...”
“แล้วแนวคิดการฆ่าตัวตายล่ะ”
“แนวคิดนี้ปรากฏชัดที่สุดครับ ทั้งในส่วนของเนื้อหา การดำเนินเรื่อง บรรยากาศ ที่เต็มไปด้วยความหดหู่และผู้คนจำนวนมากที่พากันฆ่าตัวตาย เพราะปัญหาในแต่ละวันที่ต้องเผชิญ”
ราเมศวร์เขียนบางอย่างลงในกระดาษ ได้สักพัก จึงเอ่ยถามนักศึกษาตรงหน้าต่อ
“คุณชอบตัวละครตัวไหนมากที่สุด”
เป็นคำถามที่เน้นไปในทางแสงความคิดเห็นส่วนตัว หากแต่ยังต้องอ้างอิงกับตัวเรื่องให้ได้มากที่สุด
“ผมชอบวินเซนต์ครับ...” และคำตอบที่ทำเอาราเมศวร์เลิกคิ้วมองอีกฝ่ายอย่างนึกประหลาดใจ อย่างที่คนตรงหน้าเขานิ่งไปนิด..เพราะแม้ว่าจะอ่านวรรณกรรมเรื่องนี่จบไปหลายรอบและมีคำตอบอยู่ในใจ แต่ก็ต้องพยายามหาเหตุผลมาอธิบายความชอบของตนให้ได้
“...เขาเป็นพี่ชายคนโตที่พยายามทำทุกอย่างตามที่พ่อสั่ง คนที่มักจะได้รับคำชื่นชมจากพ่อเสมอ แต่เขาต้องเผชิญกับอาการปวดหัวตลอดเวลา เพราะเขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์สำหรับการฆ่าตัวตายที่เจ๋งที่สุด”
“ทำไมถึงชอบเขาล่ะ”
“ผมมองว่าเขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นและเพียรพยายามในการทำทุกอย่าง แม้ว่าการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์สำหรับการฆ่าตัวตาย จะไม่ใช่งานที่เขาต้องการ แต่เขาก็ทุ่มเทจนกว่ามันจะสำเร็จ แม้จะแลกมาด้วยการที่เขาต้องทนปวดหัวทุกวันก็ตาม...”
ราเมศวร์ครุ่นคิดตามคำพูดของอีกฝ่ายแล้วได้แต่ยิ้ม รู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นแรงกับมุมมองใหม่ที่เพิ่งจะได้รับรู้เมื่อครู่
“...ถึงแม้ตอนสุดท้าย ครอบครัวของเขาจะเลิกทำกิจการขายสินค้าสำหรับฆ่าตัวตาย เขาก็ยังทุ่มเทช่วยงานครอบครัวที่เปลี่ยนมาเปิดร้านขายเครปแทน มันทำให้ผมเห็นว่าการทำงานคือเป้าหมายที่แท้จริงสำหรับเขาและเขาก็ทุ่มเททำทุกอย่างให้ดีที่สุด”
พี่ชายคนโตที่ทุ่มเททำงาน...เพราะงานคือสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า
ราเมศวร์ลอบยิ้มกับข้อสรุปนั้น หากกลับยิ้มไม่สุด มือหนึ่งจับกระดาษบันทึกคะแนนเอาไว้ ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ขยับปากกาเขียนข้อความพร้อมคะแนนลงไป อย่างที่คิดไปว่าบางทีการได้ฟังความคิดวิเคราะห์วิจารณ์วรรณกรรมจากมุมมองของคนอื่น...ก็ให้มุมมองแปลกใหม่สำหรับเขา
แม้มันจะเป็นเรื่องเดิมก็ตาม
หลังจากมอบหมายภาระงานเสร็จสรรพ ราเมศวร์ก็เก็บข้าวของเดินออกมาจากห้องเรียน ระหว่างนั้น ที่ประตูห้องเรียนบานตรงข้ามเปิดออก สองในสี่ของนักศึกษากำลังปรึกษาเรื่องวิทยานิพนธ์กับอาจารย์ของตัวเอง ขณะที่อีกสองคนกำลังยกมือไหว้เขา
“เป็นยังไงบ้างสุขิต ไหวไหม”
ราเมศวร์เอ่ยปากถามนักศึกษาที่อยู่ในความดูแลของตน อย่างที่อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มมาให้ สีหน้าอ่อนเพลียบ่งบอกว่าก่อนหน้านี้แทบจะไม่ได้พักผ่อน
“ไหวครับ อย่างน้อยวิชานี้ก็มีสิ่งที่ผมถนัดบ้าง” คำตอบของพระคุณที่ทำเอาราเมศวร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ปีสุดท้ายแล้วสิ ทำให้เต็มที่นะ” เขาบอกได้เพียงเท่านั้น ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษา เขาเองก็เป็นห่วงลุกศิษย์ของตนอยู่ไม่น้อย เพราะเด็กแต่ละคน ล้วนมีความต่าง ไม่ว่าจะความถนัดหรือมุมมองความคิด เขาจึงต้องพยายามช่วยเหลือให้ลูกศิษย์ของตนก้าวข้ามอุปสรรคและไปถึงเป้าหมายของตนได้ ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะมีจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตาม
“ขอบคุณครับ งั้นผม...ไปเรียนก่อนนะครับ”
ราเมศวร์พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะบอกให้นักศึกษารีบไปเรียนต่อ ขณะที่ตนต้องรีบกลับไปเก็บข้าวของที่ห้องทำงาน เพื่อไปให้ทันตามนัดมื้อเย็นกับครอบครัววันนี้
(มีต่อ...)