บทที่ 6
จระเข้ตลุยกองถ่าย
หลังวันที่ผมหลอกจับมือพี่หัน ตั้งแต่นั้นผมก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ลวนลาม เอ้ย! ได้อยู่ใกล้กับพี่หัสอีกเลย ไม่ใช่ว่าพี่หัสเขาหลบหน้าหลบตาผมหรอกนะครับ แต่พี่หัสเขาต้องเข้าคลินิกหรือเรียนภาคปฏิบัติในชั้นปีสุดท้ายของนักศึกษาคณะทันตแพทยศาสตร์ ทำให้พี่หัสต้องไปนอนค้างที่คอนโดฯ จะกลับบ้านทีก็ช่วงศุกร์เย็น
“ของโปรดพี่หัสทั้งนั้นเลย” ผมมองอาหารตรงหน้าในช่วงเช้าของวัน อาหารที่ทำให้ผมนึกถึงแต่ใบหน้าของพี่หัสผมรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเหี่ยวเฉามากๆ เลยครับ เวลาที่ไม่มีพี่หัสมาหล่อเลี้ยงแบบนี้ทำให้ผมไม่อยากโต
“เอาไปให้พี่เขาก็ได้สิลูก” แม่ผมพูดขึ้นมายิ้มๆ เหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร ส่วนพ่อใหม่เองก็สนับสนุนผมเช่นเดียวกัน
“ทำตั้งเยอะ เอาไปให้เจ้าหัสก็ได้ เข้สะดวกไหมลูก?”
“สะดวกสุดๆ ไปเลยครับ เดี๋ยวผมรีบกินก่อนนะ จะได้ทันช่วงกลางวันพอดี” เพราะผมเคยศึกษาเส้นทางระหว่างบ้านไปยังมหาวิทยาลัยนั้นอย่างต่ำใช้เวลาเกือบๆ ชั่วโมงครึ่งถ้ารถไม่ติด ดังนั้นผมจึงตั้งใจว่าจะรีบออกไปก่อนเผื่อมีเวลาจะได้ไปแอบดูว่าพี่หัสเขาทำอะไรบ้างระหว่างที่อยู่มหาลัย
“ไม่ต้องรีบเดี๋ยวติดคอ”
“ครับผม”
หลังจากที่ผมกินข้าวเสร็จก็จัดการนำอาหารส่วนหนึ่งที่แยกเอาไว้ใส่ปิ่นโตน่ารักๆ สีสันสดใสพร้อมกับแวะซื้อขนมร้านประจำของพี่หัสติดไม้ติดมือไปด้วย จนกระทั่งพร้อมทุกอย่างผมจึงเริ่มออกเดินทาง แม้ว่าจะยังไม่ค่อยคุ้นทางในกรุงเทพฯ เท่าไหร่ มันเลยดูเงอะงะไปบ้าง โชคดีที่ผมเป็นคนปากดีเลยกล้าที่จะถามทางคนแปลกหน้าในระหว่างการเดินทาง
“ไอ้หนุ่มถึงแล้ว” กระเป๋ารถเมล์ตะโกนเสียงดังหลังจากที่ผมบอกเขาว่าถ้าถึงที่หมายแล้วให้บอกผมด้วย
“ขอบคุณครับ” ผมรีบกระโดดลงจากรถเมล์และตรงมาที่โรงพยาบาลซึ่งเป็นสถานที่ที่พี่หัสใช้เรียนอยู่ในตอนนี้ แต่ผมไม่มั่นใจว่าระหว่างที่ผมเข้าไปหาพี่หัสจะยังอยู่ไหม หรือออกไปกินข้าวกับเพื่อนๆ แล้วเพราะก่อนมาผมไม่ได้โทรมาบอกพี่หัสล่วงหน้า
“แผนกทันตกรรมอยู่ตรงไหนเหรอครับ?” เมื่อเข้ามายังด้านในของโรงพยาบาลผมรีบตรงมาที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อสอบถามว่าแผนกทันตกรรมอยู่ส่วนไหน เพราะถ้าให้ผมหาวันนี้ก็คงไม่เจอครับ
“เดินตรงไปสุดอาคารแล้วเลี้ยงซ้ายนะคะ”
“ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ” ผมยกมือไหว้และออกเดินไปตามทางที่พี่ประชาสัมพันธ์บอก ระหว่างนั้นสายตาของผมก็มองไปรอบๆ จะว่าไปโรงพยาบาลนี้มีแต่นักศึกษามาใช้บริการเป็นส่วนมาก และที่สำคัญอาหารตาของผมก็เยอะมากๆ เช่นกัน
ตื่นเต้น!
เมื่อก้าวมาถึงแผนกทันตกรรมหัวใจของผมก็เต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะคาดเดาไม่ได้ว่าพี่หัสจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเห็นหน้าผมพร้อมกับปิ่นโตอาหารสุดน่ารัก แต่จะไปถึงขั้นนั้นผมต้องหาพี่หัสให้เจอก่อนครับ
“น้องเข้?”
“พี่ยิม?” ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ผมดันบังเอิญเจอพี่ยิมเข้าพอดี “สวัสดีครับ” และไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ตามมารยาทที่พี่หัสสั่งสอน (ได้ข่าวว่ากูสอนมึง? /เสียงของพ่อตะโขง)
“มาหาไอ้หัสเหรอ?”
“ครับ แต่ผมไม่ได้โทรบอกเลยไม่รู้ว่าพี่หัสอยู่ไหน”
“อ่อ เดี๋ยวอีกสักพักก็พักแล้วมั้ง มันน่าจะทำเคสอยู่” พี่ยิมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ไปรอกับพี่ก่อนไหมล่ะ?”
“ผมบอกพี่ก่อนเลยนะว่า ห้ามทำมิดีมิร้ายผมเด็ดขาด แล้วพี่ก็ห้ามคิดอะไรกับผมด้วย เพราะผมมีพี่หัสแค่คนเดียวเท่านั้นครับ”
“โถ่ หลงตัวเองโคตรๆ”
“อีกไม่นานพี่หัสเขาก็หลงผมแหละครับ”
“ก่อนที่จะหลงน้อง ป่านนี้มันหลงอย่างอื่นไปแล้วมั้ง...”
“พี่ยิม เรามีเรื่องต้องคุยกันแล้วแหละครับ” เพราะน้ำเสียงและสีหน้าของพี่ยิมตอนนี้มันทำให้ผมสันนิษฐานว่าต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้
“ไปสิ ตอนนี้ไม่มีคนไข้” ผมเดินตามพี่ยิมมาที่ห้องพักของเขา และผมก็พึ่งรู้ว่าวันธรรมดาพี่ยิมเป็นหมอฟันใช้ทุนอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนช่วงเย็นหรือวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็เปิดคลินิกเป็นรายได้เสริม ถ้าไม่ติดว่าผมไม่ได้ชอบพี่หัสอยู่พี่ยิมนี่ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจจริงๆ นะครับ
“พี่ยิม เล่าเลยพี่”
“เออ เร่งจังเลย” พี่ยิมเดินไปเปิดตู้เย็นพร้อมกับหยิบขวดน้ำมาให้ผมหนึ่งขวด “เอ้า ดื่มน้ำก่อนจะได้ใจเย็นๆ”
“พี่นั่งเลยๆ เล่าๆ” ผมขยับให้พี่ยิมนั่งลงบนโซฟาข้างๆ ผม “ผมตงิดตั้งแต่ที่พี่บอกผมตอนที่ไปอุดฟันแล้ว”
“นั่นแหละ อย่างที่บอก แต่พี่ก็ไม่ได้อยากจะยุ่งเรื่องของไอ้หัสมันเท่าไหร่ แต่พี่ถูกชะตากับเราก็เลยอยากจะบอกเอาไว้ก่อนจะได้เผื่อใจ” ผมเกลียดคำว่าเผื่อใจที่สุดเลยครับ
“......”
“เฮ้ย! อย่าพึ่งทำหน้าซีเรียสสิ ยังไม่ทันได้เล่าเลย”
“พี่เล่ามา ผมพร้อมละ” ผมนั่งตัวตรงพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
“ก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ มีคนชอบไอ้หัสเยอะแต่มันไม่เคยชอบใครเลย แต่มีอยู่คนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของมันมากๆ และที่สำคัญ....อยู่ใกล้มันด้วย” พี่ยิมเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนที่จะเล่าต่อ “อยากไปดูไหม เผื่อจะได้เห็นชัดๆ มากกว่าที่พี่พูด”
“เสี้ยมผมปะเนี่ย?”
“ก็ไปดูกับตา ไปไหมล่ะ?”
“ไปครับๆ” ผมทิ้งของทุกอย่างไว้ที่ห้องของพี่ยิมก่อนที่จะเดินตามหลังพี่ยิมออกจากห้องไป ผมไม่รู้หรอกนะว่าพี่ยิมจะพาผมไปดูอะไร แต่ที่แน่ๆ ผมเตรียมใจไว้แล้วแหละครับ
“นี่ อย่าให้มันจับได้นะ” พี่ยิมพาผมมาที่ด้านหลังห้องทันตกรรมที่ตอนนี้มีคนอยู่เพียงไม่กี่คน และหนึ่งในนั้นก็คือพี่หัส แม้ว่าจะเห็นเพียงด้านหลังผมก็จำได้เป็นอย่างดี ซึ่งพี่หัสตอนนี้ดูเหมือนว่ากำลังเก็บอุปกรณ์โดยที่มีผู้ชายตัวเล็กๆ ยืนอยู่ข้างๆ แต่ที่แปลกออกไปคือการแต่งการของผู้ชายคนนั้นต่างจากพี่หัสและดูคล้ายกับพี่ยิม
“พี่ให้ผมดูอะไร?” แม้ว่าลางสังหรณ์ของผมมันจะเริ่มทำงานบ้างและ แต่ในเมื่อภาพตรงหน้ามันยังดูปกติผมจึงหันกลับไปถามพี่ยิมที่ยืนอยู่ข้างๆ ผม
“อาจารย์วิน”
“อาจารย์เลยเหรอ ทำไมหน้าเด็กกว่าพี่ยิมอีกอะครับ โอ๊ย! ผมให้พี่ทำได้คนเดียวนะพี่” แต่ก่อนที่ผมจะโวยวายไปมากกว่านี้เพราะพี่ยิมดันเขกมาที่หัวของผม ผมก็ต้องรีบหลบเมื่อพี่หัสหันหน้ามาทางที่ผมกับพี่ยิมยืนอยู่พอดี “พี่จะบอกว่าพี่หัสกับอาจารย์วินอะไรนั่นกิ๊กกั๊กกัน?”
“ทำไมรู้”
“ก็พี่หัสหล่อสะขนาดนี้ จะมีคนไม่ชอบด้วยเหรอ?”
“ไม่รู้สึกอะไรหน่อยเหรอ? เขาเคยคบกันนะ”
“ก็แค่เคยไหมพี่ เพราะพี่บอกว่าเคยอีกอย่างพี่หัสก็บอกผมว่าเขาไม่มีแฟนและยังไม่สนใจใคร” ผมตอบด้วยความมั่นใจเพราะพี่หัสเคยบอกผม เช่นเดียวกันพี่หัสก็ปฏิเสธผมเหมือนกัน “และที่สำคัญเลยนะพี่ ผมกับพี่หัสก็ยังไม่ได้เป็นอะไรกัน พี่อย่าปั่นให้ผมหึงออกนอกหน้าเลยครับ เพราะถ้าทำแบบนั้นพี่หัสก็จะยิ่งไม่ชอบผม”
“ฉลาดนิหว่า” พี่ยิมมองผมพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กๆ ราวกับว่าไม่เชื่อว่าคำพูดเหล่านี้จะหลุดออกมาจากปากผม “ถ้าอย่างนั้นก็รอมันตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวมันก็ออกมา”
“แหมพี่ยิม พอผมไม่เป็นไปตามที่พี่คิดก็หนีเลยนะ”
“มันไม่สนุกอะ”
“อยากสนุกไหมล่ะ ผมจะได้บอกพี่หัสให้ว่าพี่เผาเขาให้ผมฟัง”
“เดี๋ยวจะไม่บอกอะไรอีกนะ”
“พี่ยิมหล่อและใจดีที่สุดครับ” ผมยิ้มให้ผมยิมทันที เพราะต่อจากนี้ถ้าผมจะเริ่มเดินหน้าแบบจริงจังพี่ยิมก็เป็นตัวสำคัญที่จะช่วยผมสอดส่องพี่หัส
“เข้?” ไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัวพี่หัสก็เดินออกมาพร้อมกับมองผมสลับกับพี่ยิมไปมาเหมือนสงสัยว่าผมอยู่กับพี่ยิมได้อย่างไร แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ พี่หัสตอนนี้
ผมใช้เวลาไม่นานพิจารณาอาจารย์วิน หากมองภายนอกเขาเป็นผู้ชายที่ดูดีทีเดียว น่ารัก ตัวเล็ก และที่สำคัญมีออร่าความฉลาดอยู่เต็มไปหมด
“มาได้ไง ทำไมไม่โทรมาบอกก่อน” พี่หัสเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างของเขากุมใบหน้าของผมเอาไว้ และออกแรงบังคับให้ผมเงยขึ้นและมองเขาตรงๆ ไม่อยากจะบอกว่าตอนนี้ไอ้เข้เข่าแทบทรุดเพราะไม่คิดว่าพี่หัสจะทำแบบนี้ต่อหน้าทุกคน โดยเฉพาะอดีตแฟนเก่าที่ยังคงอยู่ที่เดิมและมองมาที่ผมสองคนด้วยสายตาสงสัย “ไหนอ้าปากดิ ได้แปรงฟันตามที่บอกไหม?”
“แองอับ (แปรงครับ) ” ผมอ้าปากตามที่พี่หัสบอกส่วนสายตาของผมก็จับจ้องมาที่ใบหน้าของพี่หัสที่อยู่ใกล้ผมมากๆ มากชนิดที่ว่าถ้าผมอุตริเอาปากไปแตะปากพี่หัสก็ยังได้อะครับ แต่ก็ต้องห้ามความคิดนั้นเอาไว้เพราะไม่อยากให้พี่หัสต่อยปากผมสะก่อน
“แต่มีเศษอาหารติดอยู่?”
“ก็ผมแปรงตอนเช้ากับตอนนอนไงครับ” พี่หัสปล่อยมือออกจากใบหน้าของผมก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“บอกให้แปรงหลังมื้ออาหาร ถ้ามันสะสมไปเรื่อยๆ อีก แก๊สไข่เน่ากลับมาไม่ช่วยแล้วนะ”
“แต่ตอนนี้ยังไม่มีแก๊สไข่เน่านะครับ มีแต่แก๊สน้ำตา”
“แก๊สน้ำตา?” พี่หัสขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปมองพี่ยิมเพื่อถามว่าสิ่งที่ผมพูดคืออะไร แต่พี่ยิมทำท่าไว้ไหล่ “แล้วมาทำไม ยังไม่บอกเลย”
“เอาอาหารมาให้ วันนี้แม่ทำแต่ของชอบพี่เต็มไปหมดเลย”
“เหรอ? ไม่ใช่ข้ออ้างนะ”
“ไม่เลยครับ”
“งั้นรอก่อน” พี่หัสเดินกลับไปหาอาจารย์วินที่ตอนนี้ยืนแข็งเป็นหินไปแล้ว ถ้าจะมาหวงก้างผมทุบให้เลยนะ อาจารย์ก็อาจารย์เถอะ
“ขอโทษนะครับ วันนี้ผมคงต้องไปทานกับน้อง ไว้วันหลังนะครับอาจารย์”
“ไม่เป็นไรพฤหัส ไว้เจอกันๆ ผมไปก่อนนะ” อาจารย์วินตอบยิ้มๆ ก่อนที่จะเดินแยกออกไปอีกทาง ส่วนผมตอนนี้ก็กันไปมองหน้าพี่ยิมพร้อมกับทำมือเป็นรูปกดไลก์ให้ ส่วนพี่ยิมเองก็หัวเราะเบาๆ
“ชนะใสๆ อะนะ พี่เขาเลยผมอะครับพี่ยิม”
“ค้าบบ จะคอยดูต่อไปครับ อนุญาตให้ใช้ห้องได้ แต่ห้ามเลอะ”
“ทะลึ่งว่ะพี่”
“หมายถึงอาหาร อย่าทำเลอะ ทะลงทะลึ่งอะไรเป็นเด็กเป็นเล็กนะเราคิดไปนู่น” ผมอยากจะแหมให้ถึงดาวอังคาร เป็นใครก็รู้ว่าพี่ยิมมันจะสื่ออะไร แต่ก็ดีครับเพราะผมจะได้ใช้เวลาอยู่กับพี่หัสสองคน
เมื่อมาถึงห้องของพี่ยิมแล้วผมก็ไม่รอช้าจัดการนำอาหารออกมาจากปิ่นโต ส่วนพี่หัสก็นั่งกอดอกมองผมนิ่งๆ เหมือนกำลังคิดว่าผมจะมาไม้ไหน ส่วนผมน่ะหรอยังคงสะใจกับท่าทางของอาจารย์วินอะไรนั่นอยู่เลยครับ ถึงจะแสดงออกไปว่าไม่สนใจ แต่ลึกๆ ผมก็แอบเป็นกังวลอยู่นะ
“คิดอะไรอยู่?”
“คิดถึง”
“ปากดี” พี่หัสหัวเราะออกมาเล็กๆ “ทำหน้าเหมือนสงสัย ไอ้พี่ยิมมันเล่าอะไรให้ฟังละ?”
“ผมให้พี่เดา เพราะพี่รู้จักพี่ยิมมากกว่าผม” ถ้าจะมาหลอกให้ผมตอบพี่หัสคิดผิดแล้วแหละครับ เพราะถ้าผมตอบไปผมก็จะกลายเป็นเด็กคบไม่ได้ แต่ถ้าพี่หัสเดาได้นั่นก็ไม่เกี่ยวกับผมเพราะผมไม่ได้เป็นคนบอก “เดาออกไหมครับ?”
“พอจะออก ไอ้พี่ยิมนี่ปากมากจริงๆ”
“แล้วเรื่องมันเป็นมาอย่างไรเหรอครับ?”
“ไม่บอก”
“ผมจะคิดมากนะพี่ เพราะเรื่องของพี่ก็คือเรื่องของผมเหมือนกัน อย่าลืมดิว่าผมชอบพี่นะครับ” ผมใช้จังหวะนี้เลื่อนมือออกมาสัมผัสมือของพี่หัสเบาๆ พยายามจะทำให้เนียนมากที่สุดเพื่อที่พี่หัสจะได้ไม่เอามือของเขาออก
“ให้เป็นเอฟซีก่อน”
“ผมอะนะ?”
“อืม ให้เป็นเอฟซี ถ้าทำตัวดีจะเลื่อนขั้นให้”
“ผมไม่อยากเป็นคลับนะพี่” ผมเบะปากเตรียมที่จะงอแงแบบเล็กๆ ให้ดูตัวเล็กน่ารักที่สุด แต่ยังไม่ทันที่ผมจะอมลมเข้าปากให้แก้มป่องๆ พี่หัสก็พูดออกมาอีกประโยคที่ทำให้ผมเสียอาการเลยทันที
“ทำตัวดีจะตัดคลับออก”
“.......!!”
“อึ้งขนาดนั้นเลย?”
“มีคอตตอนบัดไหม ผมอยากจะแคะหูเพื่อว่าขี้หูในผมจะเยอะเกินไปเลยรู้สึกตื้อๆ กับคำพูดของพี่เมื่อครู่” ตอนนี้ไม่สนใจคอตตอนบัดแล้วครับ ใช้นิ้วแคะไปเลยเพื่อให้หูผมโล่งที่สุด “บอกอีกรอบได้ไหม?”
“ไม่บอก”
“โห่ ใจร้ายอะพี่”
“รีบกินข้าว เดี๋ยวบ่ายมีเคสต่อ” พี่หัสทำเฉไฉไปเรื่องอื่นโดยการหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารทาน ส่วนผมนะหรอแค่ได้มองพี่หัสกินก็มีความสุขแล้วแหละครับ ถึงตอนนี้จะได้เป็นเอฟซีก็เถอะ แต่เอฟซีคนนี้ยอมถวายตัวและหัวใจให้เสมอเพียงแค่พี่หัสเอ่ยปาก
“ไม่กินเหรอ?” ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบหลังจากที่พี่หัสทานไปได้สักพัก “กินไปเถอะ จะได้ไม่ยิ้ม” พี่หัสยิ้มผลไม้พร้อมกับจ่อมาที่ริมฝีปากของ
“อ้ำ หวานมากครับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลไม้หรือเพราะคนป้อน....”
“ผลไม้” ยังไม่ทันที่ผมจะได้หยอดจนจบประโยคพี่หัสก็พูดแทรกขึ้นมาทำเอาผมเปลี่ยนสีหน้าแทบไม่ทัน
เมื่อพี่หัสทานเสร็จ ผมก็จัดแจงล้างปิ่นโตและเตรียมที่จะกลับบ้าน แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฟ้าฝนเป็นใจหรือเปล่าที่อยู่ๆ ก็เทลงมาเหมือนโกรธ ทำให้พี่หัสบอกผมว่าถ้าฝนยังไม่หยุดก็ให้รออยู่ที่ห้องของพี่ยิมไปก่อน ถ้าพี่หัสเลิกแล้วฝนยังตกก็นอนที่นี่ไปเลย ระหว่างนั้นผมก็รีบเสิร์ชบทสวดขอให้ฝนตกหนักๆ เพื่อที่ว่าผมจะนอนกับพี่หัสที่คอนโด แค่คิดก็เขินแล้วอะครับ
แต่ระหว่างนั้นผมรู้เบื่อที่จะต้องนั่งอยู่ในห้องของพี่ยิมไปเรื่อยๆ ทำให้ผมออกมาเดินเล่นในโรงพยาบาลระหว่างที่รอพี่หัส
“เฮ้ย!!!” อยู่ๆ เสียงร้องของใครบางคนเรียกร้องความสนใจของผมไปหมด และหันไปตามเสียงที่ได้ยินก่อนจะพบว่าตอนนี้ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งท่าทางไม่ปกติใช้มือจี้ที่คอของตัวเองคล้ายกับคลั่ง
“ออกไป อย่าห้าม!! ไม่งั้นแทงนะเว้ย!” ด้วยความที่เป็นคนอยากรู้อยากเห็นอยู่แล้วทำให้ผมเข้าไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่พยาบาลและหมอที่กำลังเกลี้ยกล่อมผู้ชายคลั่งคนนี้อยู่ พร้อมกับคนที่อยู่แถวนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่าย
“ใจเย็นๆ นะคะคุณ ค่อยๆ คุยกันนะ วางมีดก่อน แล้วเรามาคุยกันนะ” หนึ่งในเจ้าหน้าที่เดินเข้าไปใกล้พร้อมกับเจรจาไกล่เกลี่ยด้วยความใจเย็น
“ไม่!!! ไม่อยากอยู่แล้ว!!” แต่ทำไมผู้ชายคลั่งคนนี้หน้าตาดูคุ้นๆ เหมือนผมเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ผมก็คิดไม่ออก รู้ตัวอีกทีผมก็เดินเข้ามาแถวหน้าที่มีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่
“ใจเย็นๆ นะคะ” แล้วเจ้าหน้าที่พูดเป็นใครใจเย็นๆ เหรอวะ? คนคลั่งขนาดนี้เขาคงจะฟังหรอก ด้วยความที่ผมเป็นคนที่มีจิตสาธารณะและชอบช่วยเหลือคนอื่นอยู่แล้ว ทำให้ผมเดินพุ่งเข้าไปใกล้ๆ กับผู้ชายคลั่งคนนั้นโดยที่มีสายตาของใครหลายๆ คนจับจ้องมาที่ผม ผมจะโชว์ให้ดูว่าต้องพูดอย่างไรให้เขายอมวาง
“พี่ชาย พี่มีอะไรในใจ พี่บอกผมได้นะ” ผมยกมือขึ้นทั้งสองข้างพร้อมกับก้าวเข้าไปหาใกล้ๆ “ผมรู้ว่าพี่ชายอาจจะเจอเรื่องที่ลำบากมากๆ มา แต่ผมอยากให้พี่ชายค่อยๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ นะ”
“........” ผู้ชายคลั่งเงียบลงพร้อมกับมองผมด้วยสายตาว่างเปล่าซึ่งต่างจากตอนแรกที่มีแต่แววตาโกรธแค้นและเศร้าหมอง
“ผมอะก็เคยเจอเรื่องแย่มามากๆ จนผมย้อนถามกับตัวเองว่า กูเกิดมาทำไมวะ เกิดมาลำบากขนาดนี้ก็ไม่อยากจะเกิด” ซึ่งผมเคยคิดแบบนี้จริงๆ ช่วงที่ผมเห็นพ่อทำงานหนักเพื่อที่จะส่งให้ผมได้เรียน ผมเคยคิดว่าถ้าผมไม่เกิดมาพ่ออาจจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่แบบนี้ก็ได้ “แต่เรื่องของผมมันเทียบกับเรื่องที่พี่ชายเจอไม่ได้หรอก พี่อาจจะเจอมาหนักกว่าผม แต่ผมอยากให้พี่คิดนะ ว่าถ้าพี่ไปตอนนี้พี่จะไม่เสียใจทีหลังกับการกระทำแบบนี้”
“........”
“คนเรามันเลือกเกิดไม่ได้นะพี่ และเลือกที่จะไม่เกิดก็ไม่ได้”
“........”
“แต่ในเมื่อเกิดมาแล้ว ก่อนที่เราจะกลับไปยังจุดเดิม เราต้องทำให้สุดกำลังของเราเพื่อที่จะไม่ให้ย้อนกลับมามองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น แต่ถ้าพี่ชายคิดดีแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าจะห้ามอะไร” ไม่ใช่ว่าผมอยากให้ผู้ชายคนนี้เขาจบชีวิตของตัวเองจริงๆ แต่ผมอยากให้เขามีสติและคิดตามในสิ่งที่ผมพูด
ตุบ!
ผู้ชายคลั่งคนดังกล่าวทิ้งมีดลงพื้นทันทีพร้อมกับพุ่งตัวเข้ามากอดผมแรงๆ จนตัวของผมเซไปทางด้านหลัง ระหว่างนั้นเองเสียงปรบมือของคนรอบข้าง ก็ดังขึ้น
ผมไม่เคยรู้สึกเท่มาก่อนเท่ากับวันนี้เลยครับ ยังไม่ทันที่ผู้ชายคลั่งจะผละออกจากอ้อมกอดของผม อยู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา เสียงนั้นเล่นเอาเข่าผมทรุดไปกับพื้นทันที
“คัท!! ไอ้น้องนี่เป็นใครวะ! ใครปล่อยคิวมา”
ตุบ!!!
ผมทรุดลงทันทีที่ผู้ชายคลั่งคนนี้ผละออกจากอ้อมกอดของผม ด้วยความที่ตอนนี้ในหัวของผมว่างเปล่า และไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เรี่ยวแรงที่มีของผมหายไปพร้อมกับตัวผมที่ล้มลงมาที่พื้น
อาย...อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปทรุดไว้ที่ไหน ใครก็ได้เอาผมออกไปจากตรงนี้ที
ถ้าทุกคนมองภาพไม่ออก ผมอยากให้ทุกคนจินตนาการถึงกองถ่ายภาพยนตร์ที่กำลังดำเนินการถ่ายซีนสำคัญซีนหนึ่งเรียกได้ว่าเป็นซีนอารมณ์เลยก็ว่าได้ แต่มีไอ้เด็กบ้าที่ไหนสะเหล่อเข้ามาพูดจาอะไรก็ไม่รู้จนทำให้ต้องถ่ายใหม่ และที่สำคัญที่สุดผมเจ็บใจมากๆ ที่แม่งไม่สั่งคัทตั้งแต่ผมเสนอหน้าออกไปตั้งแต่แรก หลังจากนี้ผมคงไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่งกับเรื่องอะไรแบบนี้อีกแล้วครับ
“น้องเก่งมากเลยนะ พี่นับถือ” เป็นผู้ชายคลั่งคนนั้นที่ย่อตัวลงมาให้เสมอกับผมที่ยังคงคุกเข่าอยู่ “ไม่ต้องคิดมากนะ น้องคือคนที่สังคมต้องการ”
ไอ้ฉิบหาย! ผมอยากจะสบถออกไป แต่เวลานี้ผมกลับได้แต่นิ่งและอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“น้องเจคะ ซับหน้าค่ะ!” ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองผู้ชายคลั่งคนนี้หลังจากที่ผมได้ยินชื่อของเขาชัดๆ ถึงว่าทำไมผมถึงคุ้นหน้าคุ้นตาเขาอย่างประหลาด ก็เพราะเขาคือ ‘เจ จิรภัทร’ นักแสดงวัยรุ่นที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้ ทำไมผมถึงไม่คิดออกให้เร็วกว่านี้ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่หน้าแตกแบบนี้หรอกครับ แตกต่อหน้าคนนับร้อย
สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือกลั้นหายใจและรีบลุกขึ้นก่อนจะรีบวิ่งหายไปโดยไม่สนใจว่าใครจะเรียกผมเอาไว้ เพราะตอนนี้นอกจากจะเจ็บใจแล้วร่างกายของผมก็เจ็บไม่เบา เพราะช่วงที่ทิ้งตัวลงมาไม่รู้ว่ามีเศษอะไรสักอย่างอยู่ที่พื้น ทำให้เข่าของผมทิ่มมันเข้าไปตรงๆ ไม่รู้ว่าเลือดจะออกไหมเพราะตอนนี้ไม่ทันได้ดู
“ไปไหนมา?” ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาในห้องก็เจอกับพี่หัสที่ยืนมองผมอยู่ด้วยสายตางงๆ ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่บริเวณเข่าของผม “ไปโดนอะ....!!”
หมับ!!
“ฮื่ออออออ ผมอายอะพี่ อายมากๆ อายโคตรๆ เลย เกิดมาผมไม่เคยอายขนาดนี้เลยนะพี่ ฮื่อออออ” ผมพุ่งตัวเข้ามากอดพี่หัสทันที แต่ต้องรีบปล่อยออกเพราะไม่รู้ว่าตัวของผมเปื้อนอะไรหรือเปล่า เพราะถ้าผมเปื้อน ชุดกาวด์ของพี่หัสต้องเปื้อนไปด้วยแน่ๆ
“เปื้อนไหมพี่? ผมขอโทษ ผมไม่ทันได้ดู” ผมรีบสำรวจชุดของพี่หัสทันทีหลังจากที่ปล่อยออก
“ช่างชุดเถอะ แต่มานั่งนี่เลย” พี่หัสคว้าข้อมือของผมเอาไว้พร้อมกับออกแรงให้ผมเดินตามเขามายังโซฟาก่อนจะกดไหล่ให้ผมนั่งลง “ไปซนที่ไหนมา ทำไมเลือดออก แบบนี้?”
“เลือดไหน?” ผมก้มลงมองตามสายตาของพี่หัสที่มองมายังบริเวณหัวเข่าของผม และผมก็พึ่งคิดได้ว่าก่อนหน้านั้นผมเจ็บที่เข่ามากๆ แต่ไม่ทันได้สังเกตเพราะต้องรับหนีความอับอายที่เกิดขึ้น
“ไปซนที่ไหนมา นั่งเฉยๆ เลย”
“ครับ”
“เดี๋ยวทำแผลให้ ระหว่างนี้ก็เล่ามาให้หมด” พี่หัสลุกขึ้นไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลก่อนจะกลับมาที่เดิม พร้อมกับใช้มือของเขายกขาของผมให้พาดกับโต๊ะด้านหน้าเอาไว้
“แสบไหมพี่?”
“ไม่เท่ามึงหรอก”
“อย่าว่าผมสิครับ ผมมีเหตุผล ไม่ใช่ว่าผมอยากจะไปทำให้ตัวเองเจ็บตัวขนาดนี้หรอกครับ”
“เล่ามา” พี่หัสเปิดขวดน้ำเกลือพร้อมกับใช้สำลีชุบมาเช็ดบริเวณรอบๆ แผลของผมเบาๆ
“คือผมอะ.......” ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่หัสฟังระหว่างที่พี่หัสค่อยๆ บรรจงทำแผลให้ผมด้วยความตั้งใจและเบามือที่สุด จนกระทั่งถึงขั้นตอนสุดท้ายของการทำแผล
“ปิดเอาไว้แบบนี้ก่อน”
“ขอบคุณครับ” พี่หัสลุกเอากล่องปฐมพยาบาลไปเก็บพร้อมกับล้างมือของตัวเองที่ใช้ทำแผลให้ผม “ผมอายอะพี่ ผมไม่รู้ว่าตรงนั้นเขาถ่ายทำกันอยู่ ถ้ารู้ผมไม่ไปโชว์สะเหล่อหรอกครับ” ผมเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าพี่หัสต้องว่าผมแน่ๆ เพราะเรื่องนี้คนผิดน่าจะเป็นผมเอง จะไปโทษใครเขาไม่ได้
“ฟังนะ” พี่หัสกลับมาที่เดิมพร้อมกับย่อตัวลงตรงหน้าผมโดยที่มือของเขาแตะที่ไหล่ของผมเบาๆ “วันนี้ทำดีมากที่กล้าหาญแบบนี้ แต่ถ้ามันไม่ใช่การแสดงรู้ไหมว่ามันเสี่ยง? รู้ไหมว่าตัวเองจะเป็นอันตราย? อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงอะไรแบบนี้ ถ้าอยากช่วยจริงๆ มันมีหลายวิธีมากๆ แต่ต้องใช้สติให้มากที่สุด ไม่ใช่อยากจะช่วยจนเอาตัวเองไปเสี่ยง โชคดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ใช่เรื่องจริง เข้าใจที่พูดไหมครับ?” ผมหยักหน้าเบาๆ เพื่อเป็นคำตอบให้พี่หัส “อันนี้ไม่ได้ดุนะ อันนี้สอน” เมื่อพี่หัสเห็นว่าสีหน้าของผมไม่สู้ดีนักเขาจึงค่อยๆ ยื่นมือนิ้วหัวแม่มืออีกข้างของเขาเขี่ยเบาๆ บริเวณใต้ดวงตาของผม
“.........”
“ไหนว่าซ่า ร้องไห้เป็นเด็กเลย”
“ที่ร้องเพราะอายหรอกพี่ ไม่ได้เจ็บอะไรเลย มันอาจจะหาที่ระบายไม่ได้เลยร้องไห้ออกมา พี่รู้ไหมว่าผมอะเหมือนคนโง่เลย แม้คนอื่นจะปรบมือให้ผม แต่แม่งก็มีคนหัวเราะอะ” บอกตามตรงว่าเสียงหัวเราะที่มองว่าสิ่งที่ผมทำไปเป็นเรื่องตลก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็ตลกจริงๆ
“แต่กูชมมึงนะ”
“ก็มีตำหนิด้วยไม่ใช่เหรอครับ?”
“ก็เพราะเป็นห่วง”
“.......”
“เข้าใจไหม? แต่ถ้าไม่อยากให้เป็นห่วงก็บอก”
“ไม่ครับ อยากให้เป็นห่วง และอยากให้ชอบผมด้วย”
“........”
“พี่ไปทำงานต่อเถอะครับ ผมโอเคแล้ว” ผมรีบออกปากไล่ให้พี่หัสกลับไปทำงาน เพราะตอนนี้บอกตามตรงว่าผมเขินกับสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปมากๆ
“อืม ถ้าฝนหยุดแล้วไม่ต้องกลับนะ” พี่หัสยันตัวลุกขึ้นเหมือนเดิม “วันนี้นอนนี่แหละ” พี่หัสวางมือลงบนศีรษะของผมเบาๆ พร้อมกับออกแรงขยี่ผมเล็กน้อยก่อนที่จะเดินออกจากห้องไป
ส่วนผมตอนนี้หรอ เป็นลมไปแล้วครับ! ไม่แน่ว่าคือนนี้หัวนมชมพูที่ผมเคยมาร์คไว้อาจจะได้ใช้ก็ได้ครับ!
ปล. หนึ่งตอนหลากหลายอารมณ์งับบบบ ขอบคุณที่ชื่นชอบเจ้าจระเข้และพี่หัสนะคะ