M A S C O T บทพิเศษ[ 8 / 3 / 2021 ] หน้า 2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: M A S C O T บทพิเศษ[ 8 / 3 / 2021 ] หน้า 2  (อ่าน 8009 ครั้ง)

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
M A S C O T บทพิเศษ[ 8 / 3 / 2021 ] หน้า 2
« เมื่อ04-07-2020 14:28:16 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


******************************************************************************************


"ถ้าเปรียบเขาเป็นพระจันทร์ ตัวผมนั้นคงจะเป็นกระต่าย
กระต่ายที่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะให้ได้พระจันทร์มาครอง....ผมมันกิ๊กก๊อกชะมัด"


--------------------------------------------------------------------------------------------------


MASCOT....คือสถานที่ที่ทำให้เราได้ใกล้ชิดกัน

ชุด White Bunny ที่ผมต้องสวมมันก็ยิ่งทำให้เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

และทั้งหมดนั่น....มันคือความสุขของผม



-------------------------






M A S C O T



-------------------------



ผมชื่อ 'ดั้นเมฆ' เป็นเด็กหลังห้องที่ใครๆ ก็บอกว่าเกเร

ส่วนเขาชื่อ 'ช่อม่วง' เป็นหัวหน้าห้อง เรียนเก่งและเป็นที่รักของเพื่อนๆ เรื่องมันแย่ตรงที่เขาไม่ค่อยชอบผมสักเท่าไหร่

และมันยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ตรงที่....

ผม 'ชอบ' เขานี่แหละ

เฮ้อ....



-------------------------



ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านจ้า


--------------------------------------------------------------------------------------------------


ติดต่อข่าวสาร - Twitter : Chaleeisis
#ดั้นเมฆช่อม่วง
[/b]
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-03-2021 20:52:06 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T [ บทที่ 1 - 4 / 7 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #1 เมื่อ04-07-2020 15:13:52 »

บทที่ 1 ความใจดี



   ผมรู้ว่าทุกคนต้องเคยตื่นสาย

   แต่....เคยตื่นสายแล้วหากางเกงนักเรียนไม่เจอเหมือนผมไหมครับ

   อยู่ไหนวะ

   ผมคุ้ยหากางเกงนักเรียนตัวเองทั่วทั้งห้อง แต่ก็ไม่เจอเลย ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน ถ้าจำไม่ผิดตอนที่ซักแล้วเอาไปรีดก็แขวนไว้ในตู้ป้ะวะ แล้วมันจะหายไปไหนได้ นอกจากจะมีใครหยิบไป แหม แล้วก็หยิบไปถูกวันซะจริงนะ ไอ้วันที่ผมตื่นเช้าๆ นี่ก็ไม่หยิบหรอก มาหยิบเอาวันที่ตื่นสายเนี่ยะ

   ปวดจิตปวดใจ

   ผมวิ่งลงมาด้านล่างของบ้านก่อนจะมุ่งเข้าไปในครัว ร่างสูงของพี่ชายสุดที่รักนั่งเด็ดดอกอัญชันอยู่ ดวงตาคมแวบขึ้นมามองผมแป๊บนึงก่อนจะหันไปสนใจดอกอัญชันต่อ

   น้องมีค่าแค่นั้นสินะ

   "พี่อินเห็นกางเกงเมฆไหมอะ เมฆหาไม่เจอ"

   "ก็แขวนอยู่ในตู้ไม่ใช่เหรอ"

   "เมฆก็คิดว่ามันน่าจะอยู่ในตู้ แต่มันก็ไม่มีอะ"

   "หลันใส่ไปมั้ง ได้ลองไปดูตู้หลันรึยังล่ะ"

   ผมส่ายหัวรัวๆ "ยัง แต่ถ้าแบบนั้นทำไมหลันไม่ใส่ของตัวเองอะ จะเอาของเมฆไปใส่ทำไม"

   "เรื่องนี้เมฆต้องไปถามหลันเองแล้วล่ะ ลองไปดูสิ เผื่อจะมีแขวนอยู่ นี่สายแล้วไม่ใช่เหรอ"

   "ใช่น่ะสิ พี่อินไปส่งเมฆได้ไหม"

   "ให้เวลา 10 นาที"

   "ได้ดิ" ผมรับคำก่อนจะรีบวิ่งกลับขึ้นมาที่ห้องแล้วไปเปิดตู้เสื้อผ้าของน้องชายฝาแฝดทันที

   นั่นไง

   นั่นไงกางเกง

   "จิ๊....บุหลันนี่มันน่า" ผมรีบใส่กางเกงนักเรียนก่อนจะหยิบกระเป๋าและของทุกอย่างลงมาด้านล่าง พี่อินสตาร์ทรถรอผมเรียบร้อย ตอนนี้เลยเวลาเข้าแถวมา 10 นาทีแล้วครับซึ่งผมไปไม่ทันแล้วไง

   ไม่ทันไม่พอ....ต้องโดนลงโทษด้วย

   ชีวิตนี่ต้องเจออะไรแบบนี้ด้วยเหรอ

   เสียใจอะ

   ผมชื่อ 'ดั้นเมฆ' เป็นเด็กอายุ 17 เรียนอยู่ม.5 สายวิทย์ฯ - คณิตฯ ที่กำลังไปโรงเรียนสาย สาเหตุมันก็เป็นเพราะผมฝันดีเกินจนไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกนั่นแหละ และก็โชคร้ายตรงที่ 'บุหลัน' น้องชายฝาแฝดของผมก็ไม่ยอมปลุก ไปโรงเรียนคนเดียวสบายใจเฉิบแถมยังเอากางเกงนักเรียนผมไปใส่ด้วย เอาจริงๆ ถ้าผมไม่วิ่งวุ่นหากางเกงตัวเอง ผมอาจจะไปโรงเรียนทันก็ได้นะ

   คิดแล้วมันน่านัก

   การที่นอนตื่นสายก็น่าจะมาจากนอนดึกด้วยล่ะมั้ง ผมเพิ่งนอนเมื่อตอนตี 3 เอง คือที่นอนดึกก็เป็นเพราะว่าช่วยพี่อินเตรียมของโน่นนี่สำหรับการเปิดร้านขนมในวันนี้น่ะครับ

   ร้านขนมที่ชื่อว่า 'MASCOT'

   ถึงชื่อจะดูอิ๊งค์จ๋าและแปลกๆ ไปสักหน่อยแต่ว่าร้าน MASCOT เป็นร้านขนมไทยนะครับ และวันนี้ก็เป็นวันที่เปิดร้านวันแรกด้วย ร้านนี้มันเป็นความฝันของพี่อินที่อยากจะมีร้านขนมไทยแต่เป็นสไตล์แบบตามใจตัวเองมากๆ ผมว่าร้านที่เขาแต่งมันดูเหมือนหลุดออกมาจากโลกของเทพนิยายอะ ออกไปในแนวแฟนตาซีด้วยนะ

   โคตรใช่

   ภายในร้านจะถูกแต่งโทนสีม่วงอ่อน สีฟ้าอ่อนและสีเหลืองนวลๆ ครับ ของตกแต่งส่วนมากจะเกี่ยวกับกระต่ายและพระจันทร์ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่าพี่อินชอบน่ะ ที่พีคสุดคือยูนิฟอร์มของพนักงานในร้านเนี่ยะจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว สวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีดำ ส่วนกางเกงก็เป็นสแล็คสีดำ มีผ้ากันเปื้อนผูกเอวสีม่วงอ่อนมัดทับอีกที และที่สำคัญ....ต้องสวมหัวมาสคอตกระต่ายด้วย

   แถมหูยาวมากอีกต่างหาก

   "ไม่ลงเหรอ"

   ผมสะดุ้งทันทีที่คนข้างๆ เอ่ยถาม "....ขอบคุณนะครับพี่อิน"

   "อืม....เลิกเรียนก็รีบกลับนะ เปิดร้านวันแรก พี่ไม่รู้ว่าจะยุ่งไหม"

   "ได้เลย เดี๋ยวเมฆเรียนเสร็จเมฆจะรีบกลับไปช่วย เมฆไปละนะ"

   "ตั้งใจเรียน"

   "ครับ" ผมคว้ากระเป๋าก่อนจะเดินลงมาจากรถ พี่อินก็ขับกลับไปทางเดิม ผมว่าวันนี้เขาคงยุ่งหัวปั่นเลยล่ะ แต่ไม่เป็นไร....พี่อินเขาเป็นยอดมนุษย์น่ะนะ

   เรื่องแค่เนี้ยะ สบาย

   ผมชะเง้อคอมองอยู่เยื้องๆ ทางเข้าโรงเรียน เห็นอาจารย์ยืนคุมกันอยู่หลายคนเลย ตรงนั้นมีแถวของเด็กที่มาสายด้วย บทลงโทษของคนที่มาสายคือวิ่งรอบสนาม 2 รอบครับ ซึ่งตอนนี้แดดกำลังเปรี้ยงมาก ผมอาจจะดูเป็นเด็กที่ไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ แต่ว่าวันนี้ผมไม่อยากวิ่งรอบสนามจริงๆ เพราะงั้นผมจะไม่เดินเข้าไปทางรั้ว

   แต่จะปีนเข้าแทน

   ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วงครับ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดั้นเมฆคนนี้ปีนกำแพงโรงเรียน ตั้งแต่ที่ผมย้ายมาเรียนที่นี่เมื่อตอนม.4 ผมก็อาศัยการเข้าโรงเรียนโดยปีนข้ามกำแพงประจำ บางวันผมไม่ได้มาสายนะแต่ก็เลือกที่จะปีนเข้า เพราะบางทีอาจารย์เขาตรวจระเบียบไง ผมไม่ชอบการโดนตรวจ ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหมแต่ผมว่าอาจารย์อะชอบจับผิดผม โดยเฉพาะอาจารย์มณฑล

   ผมไม่อยากเจอแกเลยจริงๆ

   "เอาล่ะ" ผมมองซ้ายมองขวาก่อนจะเริ่มปีนข้ามกำแพง สูงอยู่นะประมาณ 2 เมตรกว่า แต่ว่ามันก็ไม่ได้สูงมากเกินจนผมจะปีนข้ามไม่ได้

   วันนี้ผมต้องไม่โดนทำโทษ

   "ดั้นเมฆ"

   "เห้ยยยย!!! "

   ตุ้บบบบ

   ผมร่วงลงมากองข้างล่าง ก้นกระแทกพื้นเต็มๆ เลย แถมมือได้แผลถลอกอีกต่างหาก ผมซี๊ดปากก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นมา สายตามองไปยังร่างโปร่งเจ้าของเสียงที่เรียกชื่อตัวเองเมื่อกี๊ ดวงตาคมสีดำสนิทมองผมนิ่งๆ คิ้วขมวดเป็นปมเชิงบอกว่าเจ้าตัวไม่ชอบใจในสิ่งที่ผมทำลงไป คนที่อยู่ตรงหน้านี้ ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีเลย

   หัวหน้าห้องของผมเอง

   "....ช่อม่วง"

   "นายปีนข้ามกำแพงทำไม"

   "คือว่า...."

   "ทำไมไม่เดินเข้ามาทางประตูดีดี"

   ผมยิ้มแห้งๆ ให้เขา "คือว่าเรา...."

   "ไม่อยากถูกทำโทษสินะ" ช่อม่วงเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะทำคิ้วขมวดมากกว่าเดิม "แล้วจะเอาเปรียบคนอื่นที่โดนทำโทษด้วยการหนีแบบนี้น่ะเหรอ.....นิสัยไม่ดี"

   โดนว่าอีกแล้ว

   "เรา....ขอโทษ" ผมบอกเสียงอ่อน "เดี๋ยวเราไปมอบตัวกับอาจารย์ก็ได้"

   "ดี วันหลังก็ห้ามทำแบบนี้อีก มาสายเอง ก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง"

   "....อื้ม เจอกันบนห้องนะ" ว่าแล้วผมก็หมุนตัวเพื่อจะเดินไปมอบตัวกับอาจารย์ที่หน้าประตู

   "เดี๋ยว"

   "หืม....." ผมหันกลับมาหาคนที่เรียก ช่อม่วงเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะคว้าแขนผมไปแล้วเปิดขวดน้ำในมือราดบนแผลผม มือเรียวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเบาๆ ตรงแผล

   "มันสกปรก อีกอย่างกว่านายจะไปล้างเอง เชื้อโรคคงเข้าแผลหมด" เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะหยิบพลาสเตอร์ในกระเป๋าเสื้อออกมาแกะแล้วแปะลงบนแผลผม

   ตึกตัก

   อ่อนโยนมากเว่อร์

   "ช่อม่วง"

   คนที่ถูกเรียกเงยหน้ามองผมนิ่งๆ "เราขอโทษละกันที่ทำให้นายร่วงลงมา"

   "ไม่เป็นไร....ขอบคุณนะ" ผมบอกก่อนจะฉีกยิ้มให้ช่อม่วง

   "ไปได้แล้ว มัวแต่ยิ้มอยู่นั่น" เสียงบ่นดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะหันหลังแล้วเดินหนีผมไปทันที เนี่ยะ ขนาดมองจากด้านหลังยังดูน่ารักเลย

   คนอะไรก็ไม่รู้

   ผมมองคนที่ตัวเล็กกว่าเดินไปจนลับตาก่อนจะผ่อนลมหายใจเบาๆ เพื่อเตรียมรับกับบทลงโทษที่ต้องไปเผชิญ ไม่เป็นไร บอกเขาไปแบบนั้นผมก็ต้องทำตามที่ตัวเองพูด ช่อม่วงเองก็พูดถูกว่าผมควรรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง เอาวะดั้นเมฆ....แค่วิ่งรอบสนาม 2 รอบเอง มันไม่ตายหรอก

   มัน ไม่ ตาย หรอก . . . .

   

   
***

   

   ห้องม. 5/3

   ผมเดินเข้าห้องมาในสภาพลากเลือดก่อนจะวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะตัวเองที่อยู่หลังห้อง คนอื่นๆ ในห้องก็คุยกันเจี๊ยวจ๊าวตามประสา นี่เลยเวลาเรียนมาสักพักแล้วนะ อาจารย์ยังไม่มาอีก อย่าว่าแต่อาจารย์เลย พวกเพื่อนๆ ผมก็ไปไหนไม่รู้เนี่ยะ มีแค่กระเป๋าเท่านั้นที่วางอยู่ ผมคิดว่าพวกมันอาจจะไปห้องน้ำกันล่ะมั้ง

   อื้มมม...ม...ม....เหนื่อยชะมัด

   "มาแล้วเหรอครับพ่อนักวิ่ง" เสียงยียวนของจ๋ายเพื่อนรักดังแว่วเข้ามาในหู พูดแบบนี้แปลว่าเห็นที่ผมวิ่งกลางสนามสินะ

   "อะน้ำ" มือเรียวของกรีซยื่นขวดน้ำเปล่ามาให้ผม "เสื้อมึงเปียกไปหมดเลยว่ะเมฆ"

   "เออดิ แล้วนี่ทำไมอาจารย์ยังไม่มาวะ หรือว่าแกไม่มา" ผมถามก่อนจะกระดกน้ำเปล่าลงคอ อื้มม...ม...ค่อยยังชั่วหน่อย

   "ใช่ อาจารย์แกไม่มา ก็ถือว่าคาบแรกว่างไปอะนะ แต่กูคิดว่าคงต้องไปเรียนเสริมวันอื่นแทน"

   ผมพยักหน้ารับเบาๆ "แล้วไอ้ยักษ์ไปไหนวะ"

   "ไปช่วยหัวหน้ายกของ"

   "ยกของอะไรวะ แล้วทำไมไอ้ยักษ์ต้องไปช่วย" ผมถามด้วยความสงสัย ปกติช่อม่วงไม่ค่อยชอบกลุ่มผมสักเท่าไหร่ มันเลยดูแปลกๆ ที่ไอ้ยักษ์ไปช่วยเขายกของ

   "ยกหนังสือ พอดีว่าแก๊งค์หัวหน้าเขาไปไหนกับอาจารย์ธนินนี่แหละ กูก็ไม่รู้"

   "เออๆ งั้นช่างมัน" ผมบอกปัดก่อนจะลูบพลาสเตอร์ที่แปะมืออยู่เบาๆ พลางคิดถึงคนที่เป็นเจ้าของมัน

   'ช่อม่วง'

   นั่นคือชื่อของเขา

   ช่อม่วงเป็นคนที่ใจดีนะครับถึงแม้ว่าจะทำหน้านิ่งอยู่แทบตลอดเวลาเลยก็เถอะ เมื่อตอนม.4 ที่ผมย้ายเข้ามากลางเทอมก็มีเขานี่แหละที่คอยช่วยเหลือในหลายๆ อย่าง เอาจริงๆ เขาโดนอาจารย์สั่งมาแหละนะ ผมยังจำวันที่เจอเขาครั้งแรกได้เลย ดวงตาสีดำมีเสน่ห์น่าค้นหาอย่างบอกไม่ถูก มองจากภายนอกก็ดูเป็นคนเข้าถึงยาก พอมาได้รู้จัก....

   ก็เป็นคนเข้าถึงยากจริงๆ นั่นแหละ

   จริงจังเลยนะ

   ผมกับเขาเริ่มต้นกันไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ด้วย คือวันนั้นน่ะผมมาโรงเรียนวันแรกแล้วดันไปเจอกับเด็กโรงเรียนอื่นที่มาแซงคิวผมกำลังซื้อหมูปิ้งไง แน่นอนว่าดั้นเมฆคนนี้ไม่ยอม มันก็เลยเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกัน ช่อม่วงบังเอิญผ่านมาก็เลยโดนลูกหลงไปด้วย ก็....นั่นแหละ เขาเลยไม่ค่อยชอบผมตั้งแต่นั้นมา ที่ช่วยโน่นช่วยนี่ก็เป็นเพราะจำใจน่ะนะ

   คิดแล้วเศร้าว่ะ

   แต่ช่วงที่ผ่านมาผมก็พยายามทำตัวดีดีแล้วนะ ดีเท่าที่พอจะทำได้ เอาจริงๆ ผมว่าผมก็ไม่ได้เป็นคนที่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก แต่เหมือนว่าช่อม่วงเขาตีความผมเป็นอีกแบบไปแล้วไง ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเปลี่ยนความคิดเขาได้ เพื่อนๆ ผมเคยบอกว่าไม่ต้องไปแคร์ ไม่ต้องไปสนใจหรอก แต่ผมทำไม่ได้อะ

   คนมันแคร์ไปแล้วหนิ

   "มาแล้วเหรอวะเมฆ" เสียงคุ้นเคยของไอ้ยักษ์ดังขึ้นจากด้านหลัง เจ้าตัวก็เดินมานั่งลงข้างผม

   "อืม....ไปช่วยช่อม่วงยกหนังสือเป็นไงบ้าง"

   "จะเป็นไงล่ะ ก็หนักไงมึง" เพื่อนรักบ่นอุบอิบก่อนจะนั่งเท้าคางมองบรรดาเพื่อนๆ "เออมึง กูว่าหัวหน้าเราอะ โคตรเย็นชาเลยว่ะ"

   ผมทำหน้ามุ่ยใส่มันทันที "อะไรทำให้มึงคิดแบบบนั้น"

   "ตอนเดินไปยกของด้วยกัน กูสัมผัสได้ถึงรังสีความเย็นที่แผ่ออกมาเลยนะมึง แถมเขาไม่พูดอะไรกับกูเลยสักคำ เนี่ยะ ไม่เรียกเย็นชาให้เรียกอะไร"

   "ก็เรียกว่าไม่อยากคุยกับมึงไง" จ๋ายบอกก่อนจะเบ้ปาก "กูเห็นเขาก็คุยกับเพื่อนเขาปกติ"

   "กูก็เพื่อนร่วมห้องป้ะวะ"

   "มันไม่เหมือนกันไงยักษ์ แบบ....ระดับความสนิทอะ คนประเภทหัวหน้าเนี่ยะ ดูก็รู้ว่าเป็นคนที่ตีสเปซของคอมฟอร์ตโซนไว้กว้างชิบหายมาก ใครได้เข้าไปอยู่ในส่วนนั้นได้คือโคตรโชคดีอะ ซึ่งแน่นอนว่าคนอย่างเราๆ ไม่มีทางเข้าไปได้เด็ดขาด ทุกวันนี้แค่เขายังมองหน้าพวกเราอยู่ก็ดีแค่ไหนละ"

   ผมพยักหน้ารับคำของกรีซ "กูเห็นด้วยกับที่กรีซพูดนะ แต่สำหรับกู....กูว่าช่อม่วงเป็นคนใจดี"

   "เหรอวะ"

   "เออสิ ความใจดีนั้นมึงไม่เข้าใจหรอก" ผมเอ่ยบอกก่อนจะนั่งเท้าคางมองคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าไม่ไกลนัก

   เคยฝันไว้ว่าอยากจะไปนั่งข้างๆ เขาด้วยนะ แต่แน่ล่ะ นั่นคือความฝัน ส่วนที่เป็นความจริงมันก็อย่างที่เห็นว่าคนที่นั่งอยู่ข้างผมคือไอ้ยักษ์ จะว่าไปนี่ก็เป็นปีแล้วนะที่ผมได้แต่นั่งมองเขาจากด้านหลังแบบนี้ จะหาเรื่องไปชวนคุยก็ไม่กล้าอีก รู้สึกว่าตัวเองกระจอกยังไงไม่รู้ เขากับผมดูต่างกันมากเลยนะ ผมคิดไว้แล้วว่าคนแบบนั้นไม่มีทางจะมาชอบผม....เหมือนที่ผมชอบเขาแน่ๆ

   คิดยังไงก็ไม่มีทาง

   พรึ่บบบบ

   "หืม...." ผมก้มหยิบกระดาษที่ปลิวมาอยู่ใต้โต๊ะ มันเป็นใบโบรชัวร์ร้านขนมที่พี่อินทำนี่หว่า ของใครปลิวมาวะ

   "กระดาษของเรา"

   ผมมองตามเสียงก็พบว่าช่อม่วงยืนอยู่ตรงข้างโต๊ะ "ช่อจะไปร้านนี้อ๋อ"

   "อืม....เห็นว่าเปิดใหม่ น่าสนใจดี"

   "งี้เอง" ผมส่งใบโบรชัวร์คืนให้เจ้าตัว "ช่อ....ชอบขนมเหรอ"

   "เราชอบขนมไทยน่ะ"

   "หัวหน้าชอบขนมแบบไหนบ้างเหรอ" ไอ้ยักษ์เสนอหน้าเข้ามาถามทันที "ไอ้เมฆทำขนมไทยเป็นด้วยนะหัวหน้า"

   "ไอ้ยักษ์มึง...." ผมถลึงตาใส่มันพร้อมกับหยิกแรงๆ ไปทีนึง

   คนตรงหน้าเลิกคิ้วมองผม "พูดจริงงั้นเหรอ"

   "ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก" ผมยิ้มแห้งๆ ให้เจ้าตัว ไอ้บ้ายักษ์นี่ อย่าเอาเรื่องนี้มาแพร่งพรายได้ไหมวะ ยิ่งไม่อยากให้ใครรู้อยู่

   "หึ...." พอหึใส่ผมเสร็จช่อม่วงก็เดินกลับไปนั่งที่ของตัวเองทันที ว่าแต่ไอ้หึเมื่อกี๊มันคืออะไรวะ

   ช่างมันละกัน

   "หนิ เรื่องที่กูทำขนมเป็นเนี่ยะ รู้กันแค่นี้ก็พอแล้ว"

   "ก็กูอยากบอกหัวหน้าอะ" ไอ้เพื่อนตัวดีมันปากจีบปากคอพูดใส่ผม พอเป็นแบบนั้นผมก็บีบแก้มมันจนปากจู๋เข้าหากัน

   "เจ๋อจริงๆ นะมึงอะ" ผมทำหน้าเหี้ยมใส่ก่อนจะโขกหัวมันไปอีกที น่าหมั่นไส้นัก เรื่องที่ผมทำขนมเป็นเนี่ยะ ผมอยากจะเอาไว้บอกเขาเองในตอนที่สนิทกันมากขึ้นแท้ๆ

   ไอ้ยักษ์สะเหล่อ

   จะว่าไปก็รู้สึกดีแปลกๆ เหมือนกันนะที่ช่อม่วงจะไปที่ร้านขนมน่ะ เพราะว่าผมจะได้เจอเขาตอนเย็นนี้ไง ถึงแม้ว่าผมอาจจะต้องช่วยพี่อินทำขนมอยู่ด้านหลัง แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมจะแอบมาดูเขา เมื่อคืนตอนที่เตรียมของกัน ผม บุหลัน และพี่อินแบ่งหน้าที่กันไว้แล้วครับว่าใครจะทำอะไร ผมกับพี่อินจะทำขนม ส่วนบุหลันจะเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ต้องสวมหัวกระต่ายและคอยให้บริการลูกค้า

   นึกภาพแล้วดูตลกยังไงไม่รู้

   เดี๋ยวต้องรอดูตอนเย็นว่าคุณไวท์บันนี่จะทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีไหม ถ้าบุหลันทำได้ไม่ดีแน่นอนว่าพี่อินด่ายับแน่ เดี๋ยวผมต้องกำชับไว้ด้วยว่าถ้าช่อม่วงมาที่ร้านก็ให้บริการเขาให้ดี เขาจะได้ประทับใจและก็มาที่ร้านบ่อยๆ ผมจะได้เจอเขานอกเวลาบ่อยๆ ไง

   แค่คิดก็มีความสุขแล้วครับ

   ปริ่มไปหมด

   อืมม....เมื่อไหร่จะตอนเย็นวะ

   "นั่นๆ มันเป็นบ้าอีกแล้วนั่น ไอ้เมฆเพื่อนมึงอะกรีซ"

   "มึงนี่อยู่ดีไม่ว่าดีจริงว่ะยักษ์"

   เออ....อยู่ดีไม่ว่าดี

   "มึงมานี่เลยนะไอ้ยักษ์!!!! "









TBC.

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th ค่า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: M A S C O T บทที่ 1 [ 4 / 7 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #2 เมื่อ04-07-2020 16:17:38 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 2 [ 5 / 7 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #3 เมื่อ05-07-2020 21:57:14 »

บทที่ 2 คุณกระต่าย



   "นี่เรื่องจริงเหรอพี่อิน"

   "อืม...."

   "ช่วยบอกน้องทีว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่น"

   "มันเป็นเรื่องจริง"

   ผมยกมือกุมขมับทันทีที่เขาเอ่ยออกมาแบบนั้น "พี่ควรหลอกเมฆบ้าง"

   "ก็มันจริง พี่จะหลอกเราทำไม เลิกทำหน้าแบบนั้นแล้วไปแต่งตัวได้แล้ว อีก 15 นาทีร้านจะเปิด" เจ้าตัวบอกก่อนจะเดินออกไปจากห้องและสิ่งแรกที่ผมอยากทำนั้นก็คือ....

   "อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

   บุหลันนนน....ตัวแสบเอ๊ย

   ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างประสาทเสียพลางมองหัวมาสคอตไวท์บันนี่ที่ตั้งหลาอยู่บนเตียงเข้ากับชุดยูนิฟอร์มที่เข้ากัน คือเมื่อกี๊พี่อินแจ้งข่าวร้ายกับผมว่า บุหลันน้องรักโทรมาบอกว่าเย็นนี้คงกลับมืดเพราะมีงานกลุ่มด่วนมากจะต้องรีบทำส่งอาจารย์ ที่ตกลงกันไว้คือเขาต้องเป็นคนที่สวมชุดมาสคอตนี่ไง เนี่ยะ แล้วพอเจ้าตัวไม่อยู่ ผลจะเป็นยังไงต่อล่ะ

   หึ....

   โลกเล่นตลกกับดั้นเมฆเหรอครับ

   "รู้สึกปวดจิตปวดใจสุดๆ ไปเลย" ผมถอดเสื้อผ้าตัวเองออกก่อนจะหยิบชุดที่วางอยู่มาสวม มันควรจะเป็นบุหลันสิที่ได้ใส่น่ะ

   ทำไมต้องเป็นผมก็ไม่รู้

   ความจริงผมต้องเป็นคนคอยช่วยพี่อินอยู่ด้านหลังแท้ๆ แต่นี่อะไรก็ไม่รู้เนี่ย แบบนี้พี่อินก็เหนื่อยหนักสองเท่าเลยสิ ตอนแรกผมบอกเขาไปแล้วนะว่าร้านน่ะจำเป็นต้องมีพนักงานมากกว่าหนึ่งคน แต่เขาดื้อไม่ยอมฟังผมไง ลองคิดดูว่าถ้าวันนี้มีคนมาเยอะมากๆ มันจะวุ่นวายแค่ไหน ผมต้องอยู่หลังตู้ขนมเพื่อหยิบให้ลูกค้า ต้องคิดเงิน ต้องไปเก็บโต๊ะ คือแบบ....เฮ้อ

   ชิงตายก่อนเลยได้ไหม

   แต่จะว่าไป....ถ้าสิ่งที่ผมคิดไว้ว่าตัวเองต้องเหนื่อยจนตาเหลือกนั่นเป็นความจริง พี่อินเขาก็น่าจะคิดเรื่องรับพนักงานเพิ่มนะ นับว่าเป็นข้อต่อรองที่ดีพอสมควร งั้นเอาเป็นว่าผมจะอดทนไปก่อน เพราะว่านอกจากอดทนแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยก็แค่วันนี้เท่านั้นแหละที่ผมจะเป็นไวท์บันนี่ พอถึงวันพรุ่งนี้ หน้าที่นี้มันก็จะต้องเป็นของบุหลัน

   ตามนั้นแหละ

   ผมหยิบหัวมาสคอตกระต่ายสีขาวขึ้นมาดู "เอาก็เอาวะ" ว่าแล้วผมก็สวมมันลงที่หัว โอเค หายใจออกอยู่นะ มันไม่แย่เท่าไหร่ ทัศนียภาพของการมองเห็นก็นับว่าใช้ได้ ถ้ามีอะไรที่จะขัดใจสุดก็คงจะเป็น.....

   หูยาวๆ นี่

   หนักพอสมควรเลย

   "ใส่ทุกวันนี่ก็คอหักได้อะนะ" ผมมองตัวเองที่อยู่ในกระจก มันจะมีคาร์เฟ่สักกี่แห่งกันที่มีพนักงานแต่งตัวแบบนี้

   ผมเดินออกมาจากห้องด้านหลัง ที่อยู่เยื้องๆ กับห้องทำขนมของพี่อิน ตอนนี้เกือบจะ 5 โมงแล้วครับ ร้านขนมจะเปิดตอน 5 โมงเย็น และก็ปิดตอน 3 ทุ่มซึ่งผมคิดว่าเป็นเวลาที่โอเคแหละ กว่าจะเก็บของก็ต้องใช้เวลา ร้านนี้จะเปิดทุกวันด้วยนะ พี่อินของผมคงทำขนมจนมือชาไปข้างนึง แต่ก็นะ คนมันทำแล้วมีความสุข ก็ต้องปล่อยให้เขาทำไป ส่วนเวรกรรมต่างๆ ก็....

   ตกอยู่กับน้องชายอย่างผมยังไงล่ะ

   ผมเดินออกมาจนถึงโซนหน้าร้านก็พบพี่อินที่ไล่จัดเรียงขนมใส่ในตู้ เจ้าตัวมองผมพลางยิ้มออกมาอย่างพอใจ แน่ล่ะ เขาชอบกระต่ายหนิ การได้เห็นอะไรแบบนี้ก็คงรู้สึกชอบใจอยู่ไม่น้อย นี่ถ้าวิ่งออกมากอดได้คงวิ่งออกมาละ ผมหันไปมองนาฬิกาที่แสดงเวลา 5 โมง พอเป็นแบบนั้นผมจึงเดินไปพลิกป้ายที่ห้อยตรงประตูจาก Close ให้เป็น Open แทน

   เอาล่ะ....คีปไฟท์ติ้งนะดั้นเมฆ

   ผมเดินมาอยู่ที่หลังตู้โชว์ขนม ตื่นเต้นจัง ดีนะที่แอร์ในร้านค่อนข้างเย็น ไม่งั้นดั้นเมฆต้องเหงื่อแตกพลั่กแน่ๆ ชุดนี้ก็ร้อนเอาเรื่องอยู่ มันเป็นหัวมาสคอตนี่นะ เวลาพูดเสียงก็จะก้องๆ ด้วย แต่จะว่าไปก็อาจจะดีก็ได้ คนอื่นได้จำเสียงผมไม่ได้

   กริ่งงงง

   ลูกค้ารายแรกมาแล้ว

   ผมมองกลุ่มผู้หญิงที่เดินเข้ามาในร้าน สีหน้าแต่ละคนดูตื่นตาตื่นใจมาก แล้วเขายิ่งตื่นตามากขึ้นเมื่อเห็นผมยืนอยู่ตรงนี้ พวกเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปผมด้วย

   เขินๆ ยังไงก็ไม่รู้แฮะ

   "ร้าน MASCOT ยินดีต้อนรับครับ ทานที่นี่หรือรับกลับบ้านดีครับ"

   "ทานที่นี่ค่ะ....อืม ขนมอันนี้คืออะไรเหรอคะ" เสียงใสเอ่ยถามผม นิ้วเรียวก็ชี้ไปยังขนมที่อยู่ในตู้

   "เรียกว่าขนมอินทนิลครับ ลักษณะจะเป็นแป้งที่ผสมกับน้ำใบเตย ปกติแล้วเวลาทานจะต้องราดน้ำกะทิด้วยครับ แต่ส่วนนี้เรายังไม่ได้จัดให้ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าจะรับไหมครับ"

   "เอาอันนี้แหละค่ะ แล้วก็ชุดขนมมงคลนี่ด้วยค่ะ"

   "ทำไมแกกินเยอะแบบนี้วะ" เพื่อนสาวอีกคนของเธอเอ็ด ส่วนผมก็จัดแจงจัดขนมให้แล้วเดินมาคิดเงิน

   "ก็มันน่ากินนี่แก ทั้งหมดเท่าไหร่คะ"

   "ทั้งหมด 105 บาทครับ" ผมส่งจานถ้วยขนมให้ก่อนจะรับเงินมาจากเธอ "ขอบคุณนะครับ"

   "ขอบคุณเช่นกันนะคะคุณกระต่าย" เจ้าตัวยิ้มหวานก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ ผมก็ทำหน้าที่รับออเดอร์ต่อจากเหล่าเพื่อนๆ ของเธอ

   โอเค งานมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่แต่ผมว่ามันค่อนข้างที่จะใช้เวลานานในการทำแต่ละอย่างน่ะนะ มีคนเดียวมันลำบากจริงๆ ด้วย กว่าจะจัดขนม กว่าจะคิดเงิน ต้องให้ลูกค้ารอนานด้วยซึ่งมันไม่ควรเป็นแบบนี้ไง นี่ลูกค้าแค่ไม่กี่คนเองนะ ลองคิดดูว่าถ้ามาเยอะกว่านี้สิ จะวุ่นวายมากแค่ไหน เนี่ยะ ยังไงผมก็ต้องเสี้ยมให้พี่อินจ้างคนเข้ามาเพิ่มให้ได้

   ถ้าเขาไม่ยอมก็ต้องบังคับ

   ความจริง....ถ้าบุหลันอยู่ด้วยมันก็อาจจะดีกว่านี้นิดหน่อย แต่ช่างมันเถอะ คิดโน่นคิดนี่ไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมยืนมองกลุ่มลูกค้าผู้หญิงที่กินขนมและถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน หวังว่าพวกเธอคงจะมีความสุขนะ ในฐานะที่ผมเองก็มีส่วนช่วยทำขนมในร้าน มันมีความสุขนะครับเวลาที่ได้เห็นคนกินขนมที่เราทำแล้วยิ้มออกมาได้น่ะ

   กริ่งงงง

   ร่างเล็กของเด็กผู้ชายนึงเดินมาพร้อมกับผู้หญิงที่หน้าสวยมากๆ ผมคิดว่าเธอคงเป็นคุณแม่ของเขา เด็กน้อยตะลึงกับการเห็นผมก่อนจะยิ้มกว้างออกมาแล้วมาเขย่งตรงเคาน์เตอร์

   น่ารักจัง

   "พี่เป็นกระต่ายเหรอฮะ"

   ผมพยักหน้ารับเบาๆ "ใช่ครับ"

   "เป็นกระต่ายจริงๆ ใช่ไหมฮะ" ใบหน้ากลมหันไปทางคนด้านหลัง "พี่เขาเป็นกระต่ายด้วยล่ะฮะแม่ มิวไม่เคยเจอกระต่ายพูดได้มาก่อนเลย แม่เคยเจอมาก่อนไหมฮะ"

   "เจอครั้งแรกพร้อมกับมิวนี่แหละครับ หนูมาดูเร็วว่าหนูจะกินอะไรดี" สิ้นเสียงหวาน เด็กน้อยก็เดินไปดูหน้าตู้ขนมทันที

   "อันนี้คือขนมอะไรฮะ" นิ้วป้อมชี้ขนมที่อยู่ในตู้พลางชะเง้อคอมองผม "มันคืออะไรฮะพี่กระต่าย"

   "เขาเรียกว่าขนมผกากรองไส้ถั่วแดงครับ"

   "มันเหมือนดอกไม้เลยฮะแม่ มันอร่อยไหมฮะ"

   "อันนี้พี่ว่าหนูต้องลองชิมนะครับ"

   "งั้นมิวอันนี้ฮะแม่ มิวจะกินดอกไม้"

   "จ่ะ เอาอันนี้ชุดนึง แล้วก็ทับทิมกรอบ 2 ถ้วยนะ"

   "ครับผม" ผมรับคำก่อนจะเตรียมขนมให้ ชอบการที่ได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ มองขนมอย่างตื่นตาตื่นใจแบบนี้มากเลยนะ

   เหมือนได้ย้อนกลับไปเห็นตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็ก

   สูตรขนมต่างๆ นี่ได้มาจากคุณย่าครับ เมื่อตอนที่พวกผมสามพี่น้องยังเป็นเด็กเนี่ยะ พวกเราอยู่กับคุณย่าที่จังหวัดลำพูน ท่านทำขนมไทยส่งขายให้กับแม่ค้าในตลาดในเมือง ขนมไทยของคุณย่าขึ้นชื่อมาก แล้วท่านเป็นคนที่ไม่ได้หวงสูตรด้วยนะ หากใครอยากเข้าไปเรียนรู้กับท่าน ท่านยินดีจะสอน ผู้คนในหมู่บ้านรักคุณย่าของผมมากแต่มันน่าเศร้าที่ท่านเพิ่งเสียไปเมื่อปีก่อนนี้เอง

   พูดแล้วก็คิดถึงท่าน

   อยู่ดีดีคุณย่าก็หลับไปเฉยๆ น่ะครับ ท่านไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ตอนนั้นครอบครัวผมเสียใจมากแต่ก็คิดว่าคงถึงเวลาที่ท่านต้องไปอยู่กับคุณปู่แล้ว อีกอย่างคือท่านเองก็อายุมากแล้วด้วย บางทีการให้ท่านพักผ่อนแบบนั้นมันอาจจะดีแล้วก็ได้ สิ่งที่พวกผมทำได้ในฐานะหลานคุณย่าก็คือเก็บรักษาสูตรขนมของคุณย่าไว้นี่แหละ

   ถ้าท่านมองลงมาจากบนฟ้า ท่านจะได้ภูมิใจ

   กริ่งงงง

   "ร้าน MASCOT ยินดีต้อนรับครับ...."

   

   
***

   

   นาฬิกาแสดงเวลา 2 ทุ่มกว่าๆ กับผมที่หอบลากเลือดมาก

   จะตายแล้ว

   ผมนั่งเป็นกระต่ายตายซากอยู่หลังตู้ขนม รู้สึกเหนื่อยและคอแห้งมากๆ มันดีนะที่ลูกค้าไม่ได้เข้ามาทีละเยอะๆ แต่ตลอดเวลาหลายชั่วโมงนี้ก็มีเข้ามาไม่ขาด ขนมหมดไปหลายอย่างแล้วด้วย ที่เหลืออยู่ในตู้นี่ก็ไม่กี่ชิ้นเอง ผมว่าตอนนี้อาจจะไม่มีลูกค้าเพิ่มแล้วก็ได้เพราะว่ามันก็ดึกพอสมควรแล้ว

   ลูกค้าที่ว่าก็ต้องรวมช่อม่วงด้วย

   ผมไม่เห็นเขามาเลยนะทั้งๆ ที่เขาบอกว่าจะมา อาจจะไม่ว่างหรือมีธุระก็ได้ คิดแล้วมันน่าเสียดาย ผมนึกว่าจะได้เจอเขาอีกรอบซะอีก แต่ว่าไม่เป็นไร ถึงวันนี้เขาจะไม่มา มันก็ไม่ได้หมายความว่าวันอื่นเขาจะไม่มาหนิจริงไหม

   เอ๊ะ หรือเขาจะไม่มาทุกวัน

   กริ่งงงง

   ผมหันมองตามเสียงก็พบกับร่างโปร่งของใครบางคนที่คุ้นตา มือเรียวเสยผมสีดำที่ปรกหน้าตัวเองออกก่อนจะมองผม เขาชะงักไปแล้วยิ้มออกมาช้าๆ ดวงตาคมสีดำฉายแววชอบอกชอบใจไม่น้อย

   ตึกตัก

   ทำไมหัวใจเต้นแรงแบบนี้ล่ะดั้นเมฆ

   "ร้าน MASCOT ยินดีต้อนรับครับ ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีครับ"

   "ผมนึกว่ากระต่ายจะไม่พูดซะอีก" เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะยิ้มบางแล้วเดินไปหยุดอยู่หน้าตู้ขนม "ผมเอาทั้งหมดที่เหลือนี่ล่ะครับ"

   "ได้ครับ" ผมเดินมาจัดให้ช่อม่วงด้วยหัวใจที่พองโต เขาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว แววตาที่เขามอง รอยยิ้มที่เขาส่งมาให้ ผมไม่เคยเห็นมันที่โรงเรียนเลยสักครั้ง

   รู้สึกดีจริงๆ เลยอะ

   "นี่ขนมอะไรครับ" นิ้วเรียวชี้ไปยังขนมสีน้ำเงินที่มีแต้มสีส้มอยู่ตรงกลาง

   "เรียกว่าขนมบุหลันดั้นเมฆครับ"

   เจ้าตัวเลิกคิ้วมอง "....ดั้นเมฆ"

   "ครับ บุหลันดั้นเมฆเนี่ยะ เป็นขนมชาววังในสมัยโบราณ ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงพระราชนิพนธ์บุหลันลอยเลื่อย ในสมัยของรัชกาลที่ 2 " ผมส่งจานขนมให้ช่อม่วง "มันเป็นเรื่องของพระจันทร์ที่อยู่ในความฝันน่ะครับ"

   "ตรงกลางคือพระจันทร์สินะ"

   "ใช่ครับ รอบๆ คือท้องฟ้าตอนกลางคืน"

   "ดั้นเมฆก็คือท้องฟ้าตอนกลางคืนน่ะสิ" ร่างโปร่งพึมพำเบาๆ ผมฟังไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่เพราะเขาพูดในลำคอตัวเอง อีกอย่างคือหัวมาสคอตนี่มันทำให้ได้ยินไม่ชัดด้วยแหละ

   ช่างมันละกัน

   "ทั้งหมด 135 บาทครับ"

   "อะ....นี่ ผมเรียกคุณว่าคุณกระต่ายได้ไหม" มือเรียวส่งเงินให้ผม

   ผมพยักหน้ารับ "ได้สิครับ" ได้ทุกอย่างตามที่คุณต้องการเลย จะเรียกที่รักก็ยังได้

   หื้อออ...อ....คิดบ้าอะไรเนี่ยะดั้นเมฆ

   "เอ่อ....ไหนๆ ผมก็คงเป็นลูกค้าคนสุดท้ายของร้าน ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไป คุณกระต่ายช่วยไปนั่งเป็นเพื่อนผมหน่อยได้ไหม แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะครับ"

   "ได้สิครับไม่มีปัญหา" โอกาสทองแบบนี้ปล่อยให้หลุดมือไปก็อย่ามาเรียกคุณกระต่ายคนนี้ว่าดั้นเมฆอีกเลย

   "ขอบคุณนะครับ" เจ้าตัวยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ ผมก็เดินออกมาจากหลังเคาน์เตอร์แล้วไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา

   คนอะไรทำไม....ยิ้มแล้วน่ากินแบบนี้ล่ะ

   ผมนั่งมองช่อม่วงอมยิ้มกินขนมอยู่อย่างนั้น คนตรงหน้าดูชอบขนมมากจริงๆ มุมนี้คือมุมที่ผมไม่เคยเห็นเลยตั้งแต่ได้รู้จักเขามา ไม่เคยเห็นสีหน้าและรอยยิ้มแบบนี้เลยสักครั้ง ปกติเขาจะทำหน้านิ่งๆ แววตาเหมือนพวกไร้ความรู้สึก ไม่รู้ว่าเขาเคยทำหน้าแบบนี้ให้ใครเห็นไหมนะแต่มันคงจะดีไม่น้อยถ้าผมเป็นคนเดียวที่ได้เห็นเขาแสดงท่าทีแบบนี้ แม้ว่ามันจะ....ผ่านหัวมาสคอตกระต่ายนี่ก็เถอะ

   มันก็ดีกว่าไม่เห็นเลยนี่นะ

   "คุณกระต่ายกินด้วยกันไหม"

   ผมส่ายหัวเบาๆ "คุณลูกค้าทานเถอะครับ" แค่ผมได้มองคุณนั่งทานขนมด้วยรอยยิ้ม ผมก็มีความสุขแล้วครับ ไม่ขออะไรไปมากกว่านี้แล้วจริงๆ

   ทำไมต้องน้ำเน่าขนาดนี้ด้วยอะงงใจ

   "คุณทานไม่ได้เพราะคุณเป็นกระต่ายสินะ ไม่เป็นไรนะครับ วันหลังผมจะพกแครอทมาให้"

   "ขอ 3 หัวเลยนะครับ เพราะหัวเดียวไม่อิ่ม"

   "ฮ่าๆ ๆ ๆ ทำไมกินจุจังล่ะหืม"

   อื้ออออ...หือออ.....

   ช่อม่วงหัวเราะครับทุกคน....เขาหัวเราะให้ผมเห็นด้วย

   ใจนี่สั่นพั่บๆ ๆ ๆ เลยอะ

   "ผมคงกินจุสู้คุณไม่ได้หรอก ดูสิ ขนมตั้งเยอะ กินคนเดียวหมดเลย" ผมเท้าคางมองคนที่กินขนมหมดอย่างเอ็นดู

   เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่ผม "ก็มันอร่อยหนิ อีกอย่างคุณกระต่ายไม่ช่วยผมกิน ผมก็กินคนเดียวน่ะสิ"

   "ดูท่าแล้วคุณคงชอบขนมมากเลยนะครับ"

   "ใช่ครับ ผมชอบขนมไทยมากๆ คุณแม่ผมท่านทำขนมอร่อยมากเลยนะแต่ว่า....." สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ผมว่ามันคงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีแน่ๆ

   "ไม่เป็นไรครับ คุณไม่ต้องพูดออกมาก็ได้ถ้ามันทำให้รู้สึกไม่ค่อยโอเค เอาเป็นว่าผมรับรู้ว่าคุณชอบขนมไทยและคุณแม่ของคุณทำขนมอร่อย แค่นั้นดีไหมครับ"

   ช่อม่วงพยักหน้ารับเบาๆ "ครับ ขอบคุณนะคุณกระต่าย"

   "ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ ผมยังไม่ทันทำอะไรเลย"

   "คุณทำ....แต่คุณไม่รู้ตัวมากกว่า" มือเรียวหยิบกระเป๋าขึ้นมาก่อนจะยิ้มหวานให้ผม "วันนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ ขนมอร่อยมาก ผมจะมาอุดหนุนอีก"

   "ผมจะรอนะครับ"

   "ครับ แล้วเจอกันนะคุณกระต่าย" สิ้นเสียง ร่างโปร่งก็เดินออกไปจากร้าน ส่วนผมก็เดินไปพลิกป้ายจาก Open เป็น Close จบแล้วครับสำหรับการเปิดร้านวันแรก

   จบด้วยความประทับใจเลยล่ะ

   ผมเก็บจานของช่อม่วงเดินมาที่หลังเคาน์เตอร์ ตรงประตูด้านหลังก็มีร่างสูงของคนทำขนมยืนพิงอยู่ ริมฝีปากบางยกยิ้มมองผมเบาๆ ก่อนจะโชว์รูปถ่ายที่อยู่ในโทรศัพท์ให้ผมดู

   "ชอบเด็กคนนั้นเหรอเมฆ"

   ผมถอดหัวมาสคอตออก "พี่แอบถ่ายไว้งั้นเหรอ"

   "ยังไม่ได้ตอบพี่เลยนะ" เขาเดินเข้ามาใกล้ผม "ว่าไง....ชอบใช่ไหมล่ะ"

   "ก็เพื่อนที่โรงเรียน"

   "ตอบไม่ตรงคำถาม"

   "ชอบครับ ชอบมากๆ ด้วย" ผมบอกก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ

   "ก็เท่าเนี้ยะ" มือเรียวหยิบหัวมาสคอตขึ้นไปถือ "งั้นแบบนี้....ไวท์บันนี่ก็คงต้องเป็นเมฆแล้วล่ะมั้ง"

   "พี่อิน"

   "จากการทำงานวันแรกพี่รู้แล้วล่ะว่าเราต้องรับคนเข้ามาเพิ่มจริงๆ ช่วงรอรับสมัครคน เมฆอาจจะต้องเหนื่อยหน่อย อดทนนะ"

   "ครับ เอาจริงๆ ถ้ามีบุหลันด้วยก็อาจจะดีกว่านี้"

   "อืม เดี๋ยวพี่บอกหลันเอง" เจ้าตัวยิ้มหวานให้ผม "ส่วนเราก็ไปพักได้แล้วคุณกระต่าย ที่เหลือพี่จะจัดการให้" ว่าแล้วเขาก็เดินไปทางด้านหลัง

   รู้สึกแปลกๆ เวลาเห็นพี่อินยิ้มกว้างๆ

   ปกติแล้วเขาก็ไม่ใช่พวกชอบยิ้มน่ะนะ พอยิ้มทีมันก็จะมีความรู้สึกที่เรียกว่าไม่ชอบมาพากล แต่ช่างเถอะ อาจจะอารมณ์ดีที่ขนมขายได้หมดเกลี้ยงเลยล่ะมั้ง หรือไม่ก็เป็นเพราะรู้เรื่องที่ผมชอบช่อม่วง ก็อาจจะใช่ ผมไม่รู้นะว่าพอพี่อินเขารู้แบบนี้แล้วเขาจะทำยังไงต่อ ไม่มีใครเดาใจคนๆ นี้ได้เลย เอาเป็นว่า....ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ช่างเขาไปละกัน ส่วนตัวผมตอนนี้ควรพักได้แล้ว

   รู้สึกเหนื่อยนะครับแต่ว่า.....ผมสุขใจมากเลย

   อยากเจอเขาอีกเร็วๆ จัง









TBC.

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th ค่า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2020 13:38:53 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: M A S C O T บทที่ 2 [ 5 / 7 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #4 เมื่อ05-07-2020 22:30:57 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: M A S C O T บทที่ 2 [ 5 / 7 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #5 เมื่อ05-07-2020 22:55:16 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 3 [ 8 / 7 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #6 เมื่อ08-07-2020 13:35:23 »

บทที่ 3 วันดีดีของดั้นเมฆ




   "มึงจะบอกกูได้รึยังดั้นเมฆว่าเมื่อวานมึงไปไหน"

   “เออ หายหัวไปเลยตั้งแต่กลับบ้าน ติดต่อไม่ได้ ไลน์ก็เพิ่งมาอ่านตอนเช้า มันยังไงกันหืม”

   “จริง โคตรผิดปกติอะ มึงไปทำอะไรมา”

   “กูไม่ได้ทำอะไร”

   “มึงโกหก!!!!”

   ไอ้พวกนี้นี่มัน

   ผมกรอกตามองเพื่อนๆ ก่อนจะเบ้ปากใส่ คือว่าพวกมันไล่เค้นถามผมว่าเมื่อวานหายไปไหนมาตั้งแต่เช้าละ ซึ่งตอนนี้ก็บ่ายกว่าๆ แต่มันยังไม่เลิกถามเลย ไม่รู้ว่าจะอยากรู้อะไรขนาดนั้น รู้สึกตลกเหมือนกันที่ถูกมองด้วยสายตาที่จ้องจับผิดน่ะ ผมว่าในหัวของพวกเพื่อนๆ คงจะคิดไปต่างๆ นานาเพื่อหาเหตุผลมาตอบว่าผมไปไหน

   ปล่อยให้คิดไปอย่างนั้นแหละ

   เมื่อวานที่ร้านเปิดเป็นวันแรก ผมทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่างที่จะรับโทรศัพท์หรือตอบใครทั้งนั้น อีกอย่างคือดันปล่อยให้แบตฯ หมดด้วยนี่สิ กว่าจะมาเปิดโทรศัพท์ก็ตอนเช้าแล้ว จำได้เลยว่าตอนที่เปิดดูแจ้งเตือนคือโทรศัพท์ค้างไปประมาณล้านรอบได้ ใจผมอยากจะปาอัดกำแพงมากเลย มันน่าหงุดหงิดนะเวลาที่โทรศัพท์ค้างน่ะ ผมมักจะหัวร้อนเพราะเรื่องนี้เสมอ ไม่รู้ว่าแก้ปัญหาภาวะทางอารมณ์ตรงส่วนนี้ยังไงด้วย

   ผมนี่มันเป็นดั้นเมฆที่งี่เง่าจริงๆ

   “ยัง ยังเงียบอีก” ยักษ์ตีไหล่ผมพลางทำหน้าขึงขัง “บอกมาซะดีดีนะ”

   “เอ๊ะมึงนี่ กูบอกว่าไม่มีอะไรไง”

   “เอ้ออออ กูจะทำเป็นเชื่อมึงก็ได้ นี่เพราะว่ากูเป็นเพื่อนที่ดีหรอกนะ เลยจะไม่ฝืนใจเพื่อน” จ๋ายบอกพลางยักคิ้วให้ คือมึงเลยแหละจ๋ายที่เป็นคนเปิดประเด็นถามน่ะ

   ยังจะมาทำหน้าทำตา.....น่าตบชะมัด

   “เสียดายที่มึงไม่บอก แต่ไม่เป็นไร มึงคงมีเหตุผลของมึง อยากบอกวันไหนค่อยบอกละกันนะ” กรีซยิ้มหวานให้ผมก่อนจะทาสีลงบนไม้ต่อ แหม่ ช่างเป็นรอยยิ้มที่เจิดจ้าซะเหลือเกิน

   นี่คนหรือพระอาทิตย์อะ

   ผมหยิบไม้แผ่นใหม่ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ “เขาจะเอาไม้พวกนี้ไปทำอะไรวะ”

   “ปิดข้างสแตนด์อะ ความจริงกูว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของเราเลยนะแต่พวกรุ่นพี่เขาดันขอมาว่าให้ม.5 ทาให้หน่อย” จ๋ายบ่นพร้อมกับหยิบไม้แผ่นใหม่ไปทา

   “เขาจะเอาเท่าไหร่”

   “เอา 90 แผ่น”

   “ตอนนี้เสร็จไปแล้วกี่แผ่น”

   “เสร็จแล้ว 5 แผ่น” ผมรู้สึกสลดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินยักษ์บอกแบบนั้น มันเหลืออีกเยอะมากเลยนะ เอาจริงๆ ถ้ามีคนมาช่วยกันทามากกว่านี้มันก็น่าจะเสร็จเร็วขึ้น

   เร็วขึ้นเยอะเลยแหละ

   ตอนนี้ผมกับเพื่อนๆ กำลังนั่งทาสีแผ่นไม้อยู่ที่ใต้ตึก 2 ครับ มันกำลังจะเข้าสู่ช่วงเตรียมงานกีฬาสีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หน้าที่ของพวกม.5 คือไปดูแลส่วนของขบวนพาเหรดนะ แต่นี่ก็งงใจเหมือนกันที่พี่ม.6 เขามาขอให้ทาสีให้ ครั้นจะบอกปัดไปเขาก็เอาเรื่องทำเพื่อสีมาอ้าง ไม่น่ารักเลยอะ หน้าที่ใครก็ควรหน้าที่มันรึเปล่า คือถ้าพวกผมไม่มีหน้าที่ต้องจัดการมันก็ไม่ลำบากหรอกเรื่องที่จะช่วยน่ะ

   แต่นี่พวกผมก็มีหน้าที่ต้องทำไง

   เรื่องขบวนพาเหรดทั้งขบวนเนี่ยะพวกม.5 จะต้องจัดการตั้งแต่หาคนมาเดิน เสนอคอนเซ็ปต์สี ซ้อมน้องๆ ม.2 ให้เดินร่วม ทำพร็อพถือต่างๆ ซึ่งมันเยอะมาก แล้วไหนจะงานที่ต้องเร่งทำส่งอีก โคตรหัวปั่นเลย มันลำบากตรงที่คณะยูงทองของผมมีอยู่แค่ 2 ห้อง และแต่ละห้องก็มีกันอยู่ไม่ถึง 30 คน คือน้อยมากอะ

   ทีมทำพาเหรดมีกันอยู่แค่นี้เอง

   เอาจริงๆ ผมไม่ค่อยชอบช่วงกีฬาสีเท่าไหร่เพราะมันเป็นเหมือนสถานการณ์กดดันและสร้างสงครามภายในซะมากกว่า เมื่อตอนช่วงมัธยมฯ ต้นก็คิดว่ามันสนุกอยู่หรอก แต่พอโตมาเรื่อยๆ ก็เริ่มไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ผมรู้ว่าบางทีมันก็ต้องมีการไม่ลงรอยกันบ้างแต่ถึงขั้นทะเลาะวิวาทกันเป็นเรื่องใหญ่โตมันก็เกินไป หลายครั้งละที่ผมเคยเห็นมา ไม่ทะเลาะกับสีอื่นก็ทะเลาะกันเองในสี

   น่าปวดหัวเนอะ

   พอเป็นแบบนั้น แทนที่มันจะสนุกมันก็ไม่สนุก แถมยังทำให้รู้สึกว่าเหนื่อยมากกว่าปกติอีกต่างหาก ผมรู้ว่าผลงานที่ทำกิจกรรมก็ถือว่าดีในการนำไปใส่แฟ้มสะสมผลงานตอนเข้ามหา’ ลัยแต่ถ้าส่วนตัวผมนะ ผมคิดว่าอะไรที่ตัวเองไม่ชอบ ผมก็ไม่อยากจะฝืนใจทำ ต่อให้ไม่มีภาพกิจกรรมประดับไว้ในแฟ้มสะสมผลงานเท่าคนอื่นแต่ถ้าเรามีสิ่งๆ นึงติดตัวเอาไว้ มันก็พอจะไปสู้กับภาพผลงานพวกนั้นได้นะ

   สิ่งที่เรียกว่า ‘ไหวพริบในการเอาตัวรอด’

   เรื่องนี้พี่อินสอนผมมาด้วยนะครับ

   เจ้าตัวบอกว่าตอนที่เขาสัมภาษณ์เข้ามหา’ ลัย เขาไม่ได้ใช้แฟ้มสะสมผลงานเลย ใช้แค่ใจและคำพูดกับไหวพริบในการตอบคำถามของคนที่สัมภาษณ์เขาเท่านั้น ผมว่าพี่อินเป็นคนที่ไหวพริบดีอะ ในหลายๆ อย่างเลย ผมจะต้องเก่งให้ได้สักครึ่งของเขา มันจะได้เอาตัวรอดได้ ไม่ใช่แค่เฉพาะการสัมภาษณ์เข้ามหา’ ลัยหรอกนะ เรื่องนี้เราสามารถเอามาปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน

   นี่คิดจริงจังเลยนะเนี่ย

   “ดั้นเมฆ”

   ผมหันไปตามเสียงเรียกก็พบร่างโปร่งของหัวหน้าห้องตัวเอง “ชะ....ช่อม่วง”

   “ว่างรึเปล่า มีอะไรจะให้ช่วยหน่อยน่ะ”

   “ว่างแหละ มีอะไรเหรอ” ผมส่งแปรงทาสีให้จ๋ายก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าเขา

   “อยากให้ไปซื้อของมาทำพร๊อพด้วยกันหน่อยน่ะ” ช่อม่วงมองไปทางเพื่อนๆ ผม “เดี๋ยวพวกเพื่อนๆ เราจะมาช่วยนะ ประชุมสภาฯ เสร็จแล้วน่ะ ส่วนพวกที่เหลือก็ให้ไปซ้อมน้อง โอเคนะ”

   “โอเคเลย” ยักษ์ขานรับคำ

   “เราไปล้างมือแป๊บนึงนะ” พอเห็นเขาพยักหน้ารับผมก็เดินไปล้างมือที่อ่างน้ำใกล้ๆ รู้สึกโชคดียังไงไม่รู้ที่เขามาชวนผมไปซื้อของทั้งๆ ที่เพื่อนเขาก็มีตั้งเยอะ

   จะห้ามปากไม่ให้ยิ้มยังไงดีล่ะเนี่ย

   หลังจากจัดการตัวเองเสร็จสรรพผมก็เดินกลับมาหาเขา ร่างโปร่งเดินนำไปทันที ช่อม่วงในตอนนี้กับช่อม่วงที่ผมเจอเมื่อวานที่ร้านดูเหมือนเป็นคนละคนเลยนะครับ ปกติแล้วเวลาอยู่ที่โรงเรียนเขาจะไม่ค่อยยิ้มแม้ว่าจะเป็นกับกลุ่มเพื่อนตัวเองก็ตาม แต่เมื่อวานที่เขาอยู่ต่อหน้าผมที่สวมชุดไวท์บันนี่ สีหน้าเขาดูสดใส ยิ้มเก่ง ดูก็รู้ว่ากำลังมีความสุขอยู่ซึ่งผมอยากเห็นอะไรแบบนั้นบ่อยๆ นะ

   เห็นโดยไม่ต้องผ่านชุดมาสคอตกระต่ายน่ะ

   เอาจริงๆ ก่อนที่จะทำให้เขายิ้มให้บ่อยๆ ผมควรจะทำให้เขาเลิกไม่ชอบหน้าผมซะก่อน นี่คิดว่าที่ชวนมาซื้อของด้วยกันมันก็น่าจะเป็นเพราะผมเป็นพวกใช้แรงงาน ตัวใหญ่แบบผมคงจะแบกของได้เยอะ ในหัวของช่อม่วงจะต้องคิดอะไรแบบนี้อยู่แน่ๆ

   อืม....คิดเองแล้วทำไมปวดใจจัง

   “ขับมอเตอร์ไซค์เป็นใช่ไหม” เจ้าตัวเอ่ยถามก่อนจะส่งกุญแจรถมาให้ “เรายืมของเพื่อนมา แต่ว่าขับรถไม่เป็นน่ะ”

   “เราขับเป็น เดี๋ยวเราขับให้ก็ได้ ว่าแต่ช่อม่วงจะไปซื้อร้านไหนเหรอ” ผมรับกุญแจมาก่อนจะขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์

   “ร้านที่เลยสวนสาธารณะไปน่ะ ร้านนั้นถูกดี เราลองไปถามราคามาแล้ว” เขาบอกก่อนจะขึ้นซ้อนท้ายผม พอเป็นแบบนั้นผมก็จัดการออกรถทันที

   นี่ถือว่าดีนะที่เราสองคนสามารถออกมาจากโรงเรียนได้ก่อนเวลาเลิกเรียนน่ะ นั่นมันก็เป็นเพราะเส้นของสภาฯ ที่ช่อม่วงอยู่ เขาจะมีบัตรผ่านประตู แต่ว่าก็ต้องให้เหตุผลนะว่าออกมาทำไม แล้วถ้าคิดโดดเรียนหายไปเลยนี่จะโดนลงโทษหนักมาก

   บุหลันเคยโดน

   น้องชายตัวดีของผมก็เป็นหนึ่งในสภาฯ นะครับ แล้วก็เป็นประธานแผนการเรียนอังกฤษ – ญี่ปุ่นด้วย เมื่อคืนตอนที่เขากลับมาบ้าน ก็บ่นให้ผมฟังเรื่องงานวัฒนธรรมที่ต้องจัดหลังงานกีฬาสี มันก็เหนื่อยหน่อยอะสำหรับงานของประธานแผนฯ แล้วอีกอย่างพวกงานวัฒนธรรมก็ถือว่าเป็นงานใหญ่ที่ต้องทำให้มันออกมาดีที่สุดซะด้วย ผมก็คงทำได้แค่ตบไหล่ปลอบใจบุหลันเบาๆ ล่ะนะ

   เพราะก็ทำได้แค่นั้นแหละ

   ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็มาถึงร้านขายของ ร่างโปร่งลงจากรถก่อนจะเดินเข้าไปในร้านโดยมีผมเดินตามอยู่ด้านหลัง สองมือถือของที่ช่อม่วงหยิบส่งมาให้ไปเรื่อย บรรยากาศค่อนข้างเงียบมากเลย ใจคอจะไม่คุยกันสักคำเลยเหรอครับคุณ หรือว่าต้องให้ผมเป็นคุณกระต่ายเท่านั้นถึงจะยอมคุยกับผม คิดแล้วมันน่าน้อยใจจัง

   “ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น” สายตาคมเหลือบมองผมนิ่งๆ “ลำบากใจเหรอที่มาช่วยเราน่ะ”

   ผมส่ายหัวทันที “เปล่านะ เราไม่ได้คิดแบบนั้นเลย”

   “ไม่ได้คิดก็อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”

   “หน้าที่ว่ามันคือหน้าแบบไหนอะ”

   “ก็แบบนี้” ว่าแล้วช่อม่วงก็ทำหน้ามุ่ยใส่ผม “เข้าใจรึยัง”

   ผมหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นแบบนั้น “เราเข้าใจแล้ว”

   “หัวเราะเราเหรอ เดี๋ยวจะโดน”

   “ช่อจะทำอะไรเราได้” ผมพึมพำในลำคอ

   “เราได้ยินนะ” มือเรียวดึงคอเสื้อผมเข้าไปใกล้จนหน้าเราห่างไม่ถึงคืบ “ห้าวเหรอดั้นเมฆ”

   ตึกตัก

   สถานการณ์นี้มัน....

   “หึ.....” ผมยกยิ้มพลางเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ “ถ้าเราห้าว ช่อจะทำยังไง”

   “เราก็จะทุบแบบนี้” มือเรียวทุบเบาๆ ที่ไหล่ผม

   “ไม่เห็นจะเจ็บเลย”

   “นี่ถือว่าปรานีไง ตามมาถือของได้แล้ว” สิ้นเสียงร่างโปร่งก็ผละออกไปก่อนจะเดินนำไปเลือกของต่อ เหตุการณ์เมื่อกี๊ถึงจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่รู้สึกว่ามันดีต่อใจผมเหลือเกิน

   หน้าร้อนไปหมดเลยว่ะ

   ผมเดินตามช่อม่วงมาเรื่อยๆ เสียดายที่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาด้วยไม่งั้นผมคงแอบถ่ายรูปเขาไปแล้ว โอกาสแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ไม่เป็นไร ผมจะเก็บเขาไว้ในความทรงจำแทนรูปถ่ายละกัน หื้มม...ม...พูดจาเหมือนจะตายวันนี้เลยว่ะ

   บ้าบอ

   เราสองคนใช้เวลาสักพักใหญ่ในการซื้อของ ของที่ใช้ทำพร็อพค่อนข้างเยอะเลยครับ ส่วนมากเป็นกระดาษ แต่ผมคิดว่าอาจจะต้องมาซื้ออีกก็ได้นะ มันคงมีของขาดเหลือบ้างแหละ หวังว่าถ้ามาซื้อของอีก ช่อม่วงจะชวนผมมาด้วยนะ อย่างน้อยมาในฐานะคนแบกของก็ได้

   พร้อมเป็นทุกอย่างให้คุณแล้ว

   “ดั้นเมฆ”

   “หืม....”

   “เราหิว เรายังไม่ได้กินข้าวเลยตั้งแต่เที่ยง” มือเรียวถือถุงของก่อนจะขึ้นซ้อนท้าย “พาเราไปหาอะไรกินหน่อย”

   “ช่ออยากกินอะไรอะ”

   “อยากกินข้าวมันไก่ซอย 17 อะ พาไปหน่อย”

   “ได้เลย” ผมรับคำก่อนจะออกรถพาคุณหัวหน้าห้องไปหาข้าวมันไก่กิน จะว่าไปนี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมกับเขานั่งกินข้าวด้วยกันน่ะ

   โชคดีเกินไปป้ะวะวันนี้

   ใช้เวลาสักแป๊บผมก็พาร่างโปร่งมาจนถึงร้านข้าวมันไก่เจ้าอร่อย ร้านป้าแป๊ดซอย 17 นี่ถือว่าเป็นที่เลื่องชื่อลือชามาในแถบโรงเรียนผม ดีว่าเรามาช่วงที่คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ถ้ามาช่วงที่เลิกเรียนคือจะไม่มีนั่งเลย ผมกับพวกเพื่อนๆ เคยซื้อเป็นห่อแล้วนั่งกินริมฟุตปาธมาแล้ว คือของอร่อยเนี่ยะ กินที่ไหนก็อร่อยน่ะนะ ดูทรงแล้ววันนี้อาจจะอร่อยเป็นพิเศษ

   เพราะได้กินกับคนที่ชอบ

   อื้มมม....ม....หุบยิ้มไม่ได้เลยบ้าจริง

   “ผมเอาข้าวมันไก่ต้มพิเศษ ขอหัวไชเท้าเพิ่มด้วยนะครับ” ช่อม่วงสั่งก่อนจะเหลือบมองผม “กินอะไรก็สั่งสิ มัวแต่ยิ้มอยู่นั่นแหละ”

   ผมยิ้มแห้งให้เจ้าตัวทันที “ของผมเอา....เหมือนเขาครับ”

   “กินตาม”

   “ก็จะกินอะ”

   “หนิ เดี๋ยวเถอะ ชักเอาใหญ่แล้วนะ” ช่อม่วงทำหน้านิ่งใส่ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ ผมก็เดินมานั่งลงฝั่งตรงข้ามเขาพลางมองใบหน้าขาวอยู่อย่างนั้น

   ขนาดทำหน้านิ่งยังดูน่ารักเลยอะ....คนมีเสน่ห์มันก็จะประมาณสินะ

   “เอ่อ....ช่อ ที่เมื่อวานช่อบอกว่าไปจะร้านขนมที่เปิดใหม่ ช่อได้ไปมาไหม”

   เขาพยักหน้ารับเบาๆ “ถามทำไม”

   “ก็ถามเฉยๆ อะ อยากรู้”

   “เราว่านายน่าจะรู้นะว่าเราไปมารึเปล่า” ช่อม่วงเท้าคางมองผม “เราหมายถึง นายน่าจะรู้ว่าเราเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น”

   “นั่นสินะ แล้ว....เป็นไงอะ ร้านนั้นดีป้ะ เผื่อว่าเราจะได้ไปบ้าง”

   “ก็ดีนะ ขนมอร่อยมากเลยล่ะ ในร้านมีพนักงานคนเดียว สวมชุดมาสคอตกระต่ายขาวด้วย น่ารักมากเลย” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาจนตาหยี

   ตึกตัก

   น่ารักจนใจสั่นเลยว่ะ

   รอยยิ้มนี้ผมเห็นมันลางๆ ผ่านช่องมองของหัวกระต่าย นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นโดยที่ไม่มีอะไรมาขวางน่ะ รู้สึกดีจัง ช่อม่วงดูชอบไวท์บันนี่จริงๆ นั่นแหละ พอเห็นแบบนี้แล้วผมคงไม่อิดออดอีกแล้วถ้าจะต้องสวมชุดไวท์บันนี่ทำงานต่อ มันก็จริงอยู่ว่าช่อม่วงไม่ได้ไปที่ร้านทุกวัน แต่ว่าการที่ผมต้องสวมชุดนั้นเพื่อรอเขา มันก็ไม่ได้หนักเกินไป เพราะยังไงมันก็คือการทำเพื่อคนที่ตัวเองชอบ

   อีกอย่างคือเพื่อช่วยพี่อินด้วยล่ะนะ

   “เราไม่ค่อยเห็นช่อยิ้มเท่าไหร่เลยอะ นี่แปลว่าชอบมาสคอตกระต่ายจริงๆ สินะ”

   “ใช่ เราชอบมากๆ เลย” ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองผมนิ่งๆ “เราชอบขนมที่ชื่อว่า บุหลันดั้นเมฆ ด้วยนะ มันเป็นครั้งแรกที่เราได้กินมันเลยน่ะ”

   “ขนมบุหลันดั้นเมฆ”

   “ใช่ นายคงจะรู้จักสินะ เพราะมันเป็นชื่อนายหนิ”

   ผมพยักหน้ารับ “ใช่ เราทำเป็นด้วยนะ”

   “จริงอะ อ๋อ ใช่สิ เพื่อนนายเคยบอกอยู่ว่านายทำได้”

   “อื้ม ทำได้ มันไม่ยากหรอก” เพราะอย่างขนมบุหลันดั้นเมฆที่ช่อม่วงเป็นคนกิน ผมก็เป็นคนเตรียมของทั้งหมด พี่อินมีหน้าที่แค่เอาไปนิ่งเท่านั้นเอง

   “วันหลังเมฆทำให้เรากินบ้างสิ” ช่อม่วงมองผมก่อนจะยิ้มบางๆ “เราเรียกแบบนี้ได้ใช่ไหม”

   “ได้สิ เรียกอะไรก็ได้”

   “โอเค อย่าลืมคำที่พูดด้วยนะ” มือเรียวยื่นมาตรงหน้าผมก่อนจะชูนิ้วก้อยขึ้นมา “สัญญากันก่อน”

   ผมเลื่อนนิ้วไปเกี่ยวกับนิ้วเรียวนั่น “สัญญาครับ”

   “อื้ม....พรุ่งนี้เราจะไปที่ร้าน MASCOT อีก ความจริงวันนี้ก็อยากไปแต่ว่ามีนัดกับที่บ้านแล้ว”

   “ไว้เดี๋ยวเราไปมั่งดีกว่า”

   “หึ.....” ช่อม่วงยกยิ้ม “เอาสิ แต่ว่าวันที่เมฆไปกับวันที่เราไป มันคงไม่มีวันไหนตรงกันเลยสินะ”

   “ก็อาจจะ....” มันจะไปตรงกันได้ไงวะ ผมต้องอยู่ที่ร้านตลอดอยู่แล้วอะ นี่ถ้าช่อม่วงรู้ว่าผมโกหกเขา ผมต้องโดนโกรธแน่ๆ เลย เพราะงั้นเราจะไม่ให้เขารู้เรื่องนี้เด็ดขาด

   อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้แหละวะ

   “กินข้าวดีกว่า จะได้กลับโรงเรียนกัน”

   “อื้ม....”

   รอยยิ้มแปลกๆ ของคนตรงหน้านี่ทำให้รู้สึกเสียวสันหลังยังไม่รู้ว่ะ

   อื้มมม....คิดมากน่ะดั้นเมฆ

   คิดมาก





TBC.

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th ค่า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2020 13:39:12 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: M A S C O T บทที่ 3 [ 8 / 7 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #7 เมื่อ08-07-2020 22:23:51 »

 :katai2-1:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 4 [ 30 / 9 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #8 เมื่อ30-09-2020 22:01:14 »

บทที่ 4 กระต่ายจอมเพ้อเจ้อ



   ตอนนี้นายดั้นเมฆกำลังเผชิญกับมนุษย์บันนี่ยักษ์ทั้ง 3 ตัวอยู่

   ฮืออออ.....มาจากไหนเนี่ย

   ผมยิ้มแห้งๆ ให้กับเหล่าบันนี่ยักษ์ที่ยืนประจันหน้ากับผมอยู่ ค่อนข้างตกใจมากนะที่เดินเข้ามาในร้านแล้วต้องเจออะไรแบบนี้ คือใส่ชุดมาสคอตแล้วตัวใหญ่ขนาดนี้ คนที่อยู่ในนั้นก็แน่นอนว่าไม่ใช่คนตัวเล็กแน่ๆ พี่อินเขาไปหาพนักงานเพิ่มมาจากไหนวะ แล้วทำไมถึงหาได้เร็วขนาดนี้ เหมือนเขาบอกกับผมเมื่อวานเองว่าจะหาพนักงานมาเพิ่มให้ อย่าว่าแต่เรื่องหาพนักงานเร็วเลย หาชุดให้พนักงานใส่ก็เร็วมากเหมือนกัน

   งงไปหมดแล้วเอาจริงๆ

   “ใช่น้องเมฆรึเปล่าครับ” พี่แบล็คบันนี่เอ่ยถามผม เสียงนุ่มเชียว ผมว่าคนที่จะเป็นเจ้าของเสียงนุ่มละมุนหูแบบนี้ต้องเป็นคนที่ใจดีมากแน่ๆ

   “ใช่ครับ พวกพี่คือพนักงานใหม่ของร้านสินะ”

   พี่บราวน์บันนี่พยักหน้ารับ “ใช่ครับ พวกพี่เป็นรุ่นน้องของพี่อินที่กำลังว่างงานและหาอะไรทำเรื่อยเปื่อยเพื่อรอวันรับปริญญา พวกพี่เห็นว่างานนี้น่าสนุกก็เลยมาลองทำดู”

   “อย่างงี้นี่เอง” ผมรับคำก่อนจะมองไปรอบๆ ร้าน “แล้วนี่พี่อินอยู่ไหนเหรอครับ”

   “ครัวด้านหลังร้านครับ” พี่เกรย์บันนี่ตอบผมแทน พี่คนนี้เสียงเรียบๆ แฮะ ต่างจากพี่บราวน์ที่เสียงจะดูสดใสหน่อย ใจผมคิดอยากจะถอดหัวมาสคอตของทุกคนออกมากเลย อยากเห็นหน้าครับไม่ใช่อะไร

   แต่เดี๋ยวไว้ดูตอนเลิกงานก็ได้

   “งั้นผมไปหาพี่อินก่อนนะครับ” ผมยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว ร่างสูงกำลังยืนจัดขนมใส่ถ้วยอยู่โดยมีเจ้าน้องชายตัวแสบยืนอยู่ข้างๆ ในสภาพที่มีที่คาดผมเป็นหูกระต่ายคาดหัวอยู่

   คิ้วท์ไม่เหมาะกับหน้าเลย

   “กลับช้านะดั้นเมฆ” บุหลันหรี่ตามองผมอย่างจับผิด “แอบไปทำไรมาหืม”

   “ก็งานกีฬาสีนั่นแหละ อีกอย่างเมฆไม่ได้กลับช้าขนาดนั้นซะหน่อย เหลือเวลาเปิดร้านอีกตั้งเยอะ”

   “กลับช้าก็คือกลับช้า”

   ผมเบ้ปากใส่คนขี้จับผิด “ทีเมื่อวานหลันไม่อยู่ทำงาน เมฆยังไม่ว่าอะไรสักคำ”

   “ไม่รู้ไม่ชี้ แบร่บๆ ๆ ๆ ๆ ” ว่าแล้วเขาก็แลบลิ้นใส่ผม หึ้ยย...ย....มันน่านักนะ เอาจริงๆ เรื่องกางเกงของผมที่บุหลันขโมยไปใส่ยังไม่ได้เคลียร์เลยด้วย ไว้เผลอก่อนเถอะ จะตีให้แขนช้ำ

   “พอแล้วทั้งสองคน ง้องแง้งใส่กันเป็นเด็กๆ ไปได้”

   “ก็ยังเด็กอยู่นะครับ” เจ้าตัวดียิ้มหวานก่อนจะเอียงหัวไปไถไหล่พี่อิน “เด็กอายุ 17 ไง”

   “หูมันทิ่มหน้าพี่เนี่ยะ” เขาเอ่ยเสียงเรียบพลางเหลือบมองผม “ไปเปลี่ยนชุดซะดั้นเมฆ เดี๋ยวพี่จะพาเราไปแนะนำกับพวกพี่ๆ พนักงานใหม่”

   “ค้าบบบบ” ผมรับคำก่อนจะเดินไปที่ห้องแต่งตัว เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงร้านก็จะเปิดแล้ว เสียดายที่วันนี้ช่อม่วงจะไม่ได้มาที่ร้าน มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่เขามีนัด แต่ไม่เป็นไร เจ้าตัวบอกเองว่าจะมาพรุ่งนี้นี่นะ

   แค่คิดก็ตื่นเต้นจะแย่

   คนเราจะตื่นเต้นข้ามวันเลยเหรอวะ

   ผมลูบแก้มตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติก่อนจะปลดเสื้อผ้าตัวเองออกแล้วหยิบยูนิฟอร์มที่แขวนอยู่มาใส่ พี่อินเขาซักแล้วก็รีดให้ซะเรียบเลยล่ะ แต่หลังจากที่มีพนักงานเพิ่มก็อาจจะเหนื่อยขึ้น ปกติแล้วพี่ชายผมไม่ค่อยบ่นหรอกว่าตัวเองเหนื่อย บางทีผมก็อยากให้เขาพูดออกมาบ้างนะ อย่างน้อยก็จะได้ช่วยแบ่งเบาในหลายๆ อย่าง ผมคิดมาตลอดว่าเขาเท่ที่สุดและคือที่หนึ่งในใจของผมเลย

   งานอวยพี่ชายตัวเองก็มา

   ลองคิดดูสิ พี่อินต้องรับผิดชอบการดูแลพวกเราทั้งสองคนเพราะว่าป่ะป๊ากับหม่าม้าไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทย คือตอนนี้พวกท่านดูแลธุรกิจร้านอาหารอยู่ที่ฮ่องกงแล้วก็จะกลับไทยนานๆ ครั้ง แต่ว่าพวกเราสามพี่น้องวิดีโอคอลหาพวกท่านทุกอาทิตย์เลยนะ มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยพี่อินเรียนมหา’ ลัยแล้ว ตอนนั้นที่ผมยังเป็นเด็ก ผมก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ แต่พอโตมาก็เข้าใจแล้วล่ะครับ

   เพราะทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองต้องรับผิดชอบ....มันก็เท่านั้นเอง

   ทุกวันนี้ผมก็เลยพยายามทำทุกอย่างที่จะสามารถช่วยพี่อินได้ เอาจริงๆ การไม่สร้างเรื่องให้เขาปวดหัวหนักๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มากเกินพอแล้ว ตัวเขาเองก็คงไม่ขออะไรไปมากกว่านี้

   “ทำไมแต่งตัวนานจัง” บุหลันโผล่หัวเข้ามาในห้อง “ดูดีเหมือนกันนะเนี่ยดั้นเมฆ”

   “แน่นอน”

   “มันจะดูหน้าหมั่นไส้เพราะแบบนี้นี่แหละ” เจ้าตัวเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผมก่อนจะจัดเสื้อให้ มันตลกเหมือนกันนะที่หูกระต่ายยาวๆ นั่นปักอยู่ที่หัวบุหลันน่ะ

   “แล้วนี่หลันไม่ต้องสวมหัวมาสคอตเหรอ”

   “ใช่ พี่อินบอกว่าให้หลันใส่แค่ที่คาดผมพอ หน้าที่ของหลันคือคิดเงินตรงเคาน์เตอร์ ก่อนที่เมฆจะมาพี่อินแจงงานทั้งหมดว่าให้พี่กระต่ายสีดำกับสีน้ำตาลคอยจัดขนมให้ลูกค้า พี่กระต่ายสีเทาคอยเก็บจานและก็ทำความสะอาด ส่วนเมฆก็คอยดูแลและต้อนรับลูกค้า”

   “งี้นี่เอง แล้วนี่หลันเห็นหน้าพวกพี่ๆ กระต่ายแล้วสิ” ผมถามก่อนจะหยิบหัวมาสคอตของตัวเองมาสวม

   “เห็นแล้ว พี่กระต่ายเทาอะชื่อพี่อ้าย กระต่ายน้ำตาลคือพี่ป๊อบ ส่วนพี่กระต่ายดำคือพี่บิ๊วท์ หลันว่าพวกพี่เค้าดูดีมากเลยนะ น่าเสียดายอยู่ที่ต้องสวมหัวมาสคอตปิดหน้าตัวเองเอาไว้”

   “งานนี่นะ ไปกันดีกว่า ใกล้ได้เวลาเปิดร้านละ” ผมบอกกับเจ้าน้องตัวแสบก่อนจะเดินนำเขามาที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า พวกพี่ๆ กระต่ายก็กำลังช่วยพี่อินเรียงขนมใส่ตู้อยู่

   “เมฆมาแล้วครับ” ผมบอกก่อนจะยิ้มแฉ่งให้ทุกคน แต่เดี๋ยวนะ ถึงจะยิ้มไปเขาก็มองไม่เห็นหน้าผมอยู่ดีนี่หว่า บ้าบอจริงๆ เลยดั้นเมฆ

   “หลันได้บอกรึยังล่ะว่าใครเป็นใครแล้วจะทำงานกันยังไง”

   ผมพยักหน้ารับเบาๆ “บอกแล้วครับ แต่ว่าในเวลางานเมฆขอเรียกพวกพี่ตามสีของหัวมาสคอตละกันนะครับ พวกพี่ๆ ก็เรียกเมฆว่าไวท์นะ”

   “ไม่มีปัญหาครับ” พี่บิ๊วท์รับคำ ทำไมเหมือนผมเห็นรอยยิ้มเขาทะลุผ่านหัวมาสคอตมาเลยวะ เนี่ยะ พอเป็นแบบนี้ก็ยิ่งทำให้อยากเห็นหน้าเข้าไปใหญ่

   จะมีมาดอบอุ่นขนาดไหนกันนะ

   “ไปเปิดร้านได้แล้วเมฆ ได้เวลาแล้ว” พี่อินสั่งก่อนจะเดินเข้าไปในครัว ส่วนผมก็เดินมาพลิกป้ายร้านให้เป็น Open เอาล่ะวันนี้ก็ต้องตั้งใจทำงานนะดั้นเมฆนะ

   ผมคิดว่าวันนี้น่าจะเหนื่อยน้อยกว่าเมื่อวานเพราะพนักงานในร้านเพิ่มขึ้นมาเยอะเลย จากการทำงานเมื่อวานคือมีคนไม่น้อยที่ถ่ายรูปผมไป มันจะเป็นการดีนะครับถ้าพวกเขาแชร์กันลงโซเชียล มันเป็นการโปรโมทร้าน ผมคิดว่าจะเสนอให้พี่อินทำเพจเฟซบุ๊กของร้านขึ้นมาเพื่อการโฆษณา มันน่าจะดีนะถ้ามีคนเช็คอินที่ร้านเราเยอะๆ น่ะ

   คิดการไกลตั้งแต่ร้านเปิด 2 วันแรกเลยครับ

   กริ่งงงง

   “ร้าน MASCOT ยินดีต้อนรับครับ” ผมเอ่ยบอกกับกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงที่เดินเข้ามา พวกเธอดูตื่นเต้นมากที่ได้เห็นเหล่ากระต่ายยืนกันให้เต็มไปหมด

   “เหมือนในรูปของแจมจริงๆ ด้วยอะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยบอกกับเพื่อนๆ ที่พากันไปดูขนมที่หน้าตู้

   “รับอะไรดีครับ” พี่บิ๊วท์เอ่ยถาม

   “เอาอันนี้ๆ ๆ ๆ ค่ะ” เด็กผมเปียบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “หนูขอถ่ายรูปพี่ๆ ได้ไหมคะ น่ารักมากเลยอะ”

   “ได้สิครับ” พี่ป๊อบตอบรับก่อนจะชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้วเพื่อให้กลุ่มนักเรียนถ่ายรูปกันได้อย่างเต็มที่ เห็นแบบนี้มันก็ดูคึกคักดีนะ อย่างน้อยคนที่มาร้านเราก็ต้องได้รูปกลับไปหลายรูป

   “คุณกระต่ายขาวคะ ขอถ่ายรูปด้วยได้ไหมคะ” ผู้หญิงผมบ๊อบยิ้มบางๆ ให้ผม พอเห็นแบบนั้นผมก็พยักหน้ารับ เธอขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะให้เพื่อนถ่ายรูปให้

   ปกติแล้ว....การเป็นดั้นเมฆค่อนข้างจืดชืดนะครับ เอาจริงๆ ไม่เคยมีใครมาขอผมถ่ายรูปบ่อยๆ แบบนี้เลย คือถ้าไม่ใช่ไวท์บันนี่ ผมก็คงจะอยู่แบบจืดๆ ต่อไปซึ่งมันต่างกับบุหลันมาก รายนั้นค่อนข้างจะฮอตอยู่พอตัว ถึงเราจะเป็นฝาแฝดกันแต่ว่าเราเกิดมาจากไข่คนละใบเพราะงั้นหน้าตาเราก็เลยไม่เหมือนกันและก็เป็นผมด้วยที่ดูเห่ยอะ ไม่ดิ ความจริงต้องเรียกว่าแค่เห่ยมากกว่าบุหลันนิดหน่อย

   ก็แค่นิดหน่อยเองป้ะวะ

   “ทั้งหมด 275 บาทครับ” เสียงหวานของคนที่ผมเพิ่งนินทาในใจไปเมื่อกี๊เอ่ยบอกกับลูกค้า ดูเหมือนว่าพวกเธอจะชอบใจพนักงานคนนั้นเป็นพิเศษเลยนะครับ

   น่าหมั่นไส้ซะจริงๆ

   กริ่งงงง

   “พี่กาต่ายยยยยขา” เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งมาเกาะขาผมก่อนจะยิ้มหวานให้อย่างน่ารัก “ทำไมพี่ตัวใหญ่จังคะ”

   ผมแกะมือเล็กออกก่อนจะย่อตัวลงไปนั่งยองๆ ตรงหน้า “เพราะพี่กินข้าวเยอะไงคะ ถ้าหนูอยากตัวใหญ่แบบพี่กระต่าย หนูก็ต้องกินข้าวเยอะๆ นะคะ”

   “หนูกินขนมด้วยได้ไหมคะ”

   “กินได้ค่ะ ร้านนี้มีขนมเยอะแยะเลยนะ หนูลองไปดูตรงหน้าตู้ที่มีพี่กระต่ายสีน้ำตาลกับสีดำอยู่นะคะ” ว่าแล้วผมก็ชี้นิ้วให้น้องดู ร่างเล็กวิ่งไปทางตู้ขนมทันที ด้านหลังก็มีคุณแม่ของเธอที่เดินตามเข้ามาด้วย

   ผมยืนให้บริการลูกค้าไปเรื่อย ทุกคนดูมีความสุขกันมากเลยนะครับ ขนมที่อยู่ในตู้ก็ลดลงเรื่อยๆ จนต้องช่วยกันเอาออกมาเติมเป็นระยะๆ แปลว่าพี่อินคิดถูกจริงๆ ที่ทำขนมเยอะกว่าเมื่อวานน่ะ ไม่งั้นมันต้องหมดก่อนที่จะถึงเวลาปิดร้านแน่ๆ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้พี่อินจะเพิ่มจำนวนขนมด้วยรึเปล่าเพราะว่าเป็นวันเสาร์ คนน่าจะมาเยอะ เดี๋ยวผมก็ต้องช่วยพี่อินทำขนมนี่แหละ รู้สึกว่าจะไม่มีธุระอะไรต้องทำนะ

   หรือว่ามีวะ

   ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้อาจจะต้องไปทาสีแผ่นไม้ต่อ แต่ไม่รู้ครับเดี๋ยวต้องดูก่อน ต้องถามเพื่อนๆ ด้วย ยังไม่ได้มีการนัดกันอย่างเป็นทางการไงเพราะงั้นก็ถือว่าว่างไว้ก่อน เอาจริงๆ ถ้าพรุ่งนี้ผมลงมือทำขนมล่ะก็ มันคงเป็นอะไรที่มีความสุขมากแน่ๆ เพราะว่าช่อม่วงจะมาที่ร้าน ผมเชื่อนะว่าเขาจะมาเพราะเจ้าตัวบอกไว้เองและอย่างเขาคือคำไหนก็คำนั้น

   อยากเจอหน้าเร็วๆ จัง

   อา....ผมนี่ชอบช่อม่วงมากจริงๆ นั่นแหละ

   กริ่งงงง

   “ร้าน MASCOT ยินดีต้อนรับครับ”

   

***

   

   “ชุดสุดท้ายแล้วนะเมฆ” บุหลันส่งถ้วยเช็ตสุดท้ายมาให้ผม “วันนี้ขายหมดเกลี้ยงเลยเนอะ คนเยอะมากจริงๆ ”

   “ยังดีว่ามีพนักงานหลายคน ไม่งั้นแย่แน่ๆ แล้วนี่พวกพี่ๆ ที่เหลืออยู่ไหนล่ะ”

   “ก็ช่วยกันเก็บร้านอยู่นั่นแหละ ส่วนพี่อินก็จัดการเรื่องบัญชีอยู่”

   “อ๋อ ตอนนี้กี่โมงแล้วอะหลัน”

   “จะ 4 ทุ่มครึ่งแล้วแหละ ถ้ากลับถึงบ้านนะจะนอนให้เต็มอิ่มเลย”

   “เดี๋ยวก็เล่มเกมอีกตามเคย”

   “อย่ามาทำเป็นรู้มากสิ” เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่ผม “หลันไปหาพี่อินละ” ว่าแล้วเจ้าน้องตัวแสบก็เดินหนีผมไปทันที

   ก็เป็นซะอย่างเนี้ยะ

   ผมคว่ำถ้วยใบสุดท้ายก่อนจะหยิบผ้ามาเช็ดมือ รู้สึกล้ามากเลยนะครับจากการยืนแล้วก็เดินไปมาหลายชั่วโมงน่ะ ผมแทบไม่ได้นั่งเลย ตอนทำงานอยู่มันก็สนุกนะแต่พอเลิกงานแล้วมันก็เป็นอย่างที่เห็น วันนี้คนมาที่ร้านเยอะมากเลย เยอะจนช่วงนึงไม่มีโต๊ะว่างและลูกค้าก็ต้องนั่งรอหน้าร้าน ระหว่างนั้นผมก็ไปนั่งเป็นเพื่อนนั่นแหละ ไวท์บันนี่ตัวนี้นอกจากจะเป็นพนักงานแล้วยังเป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิตชาวบ้านด้วยนะ

   คิดแล้วก็ขำแฮะ

   มีพี่ผู้ชายคนนึงเขามานั่งคุยกับผมตอนที่รอโต๊ะว่าง ปัญหาที่เขาเอามาเล่าให้ผมฟังมันคือความรักของเขาครับ คือพี่เขาหลงรักเพื่อนตัวเองแล้วก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ผมยังจำน้ำเสียงซึมๆ นั่นได้เลย เขาคงชอบเพื่อนเขามากจริงๆ และก็คงลำบากใจกับอะไรหลายๆ อย่างมากเลยล่ะ เรื่องของเขาทำให้ผมนึกถึงตัวเองเหมือนกันนะ ผมเองก็ชอบช่อม่วงไงซึ่งเขาก็เป็นเพื่อนของผม

   ช่อม่วงนี่เป็นเพื่อนผมใช่ไหม

   ก็คงใช่แหละ....เพื่อนร่วมห้อง

   มันโอเคอยู่ที่ช่วงนี้เราคุยกันมากขึ้นและมันยิ่งโอเคที่เขาคิดจะพึ่งพาผมในหลายๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นให้ช่วยแบกของ พาไปซื้อของหรืออะไรก็ตามที่มันเกี่ยวกับงาน มันดีนะครับเพราะก่อนหน้านั้นระหว่างเรามันติดลบมาตลอดเลย ผมดีใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้นะ ที่เขาเรียกชื่อผมทั้งๆ ที่ปกติเขาจะเรียกว่านาย สิ่งเหล่านี้มันให้ความรู้สึกเหมือนเราก้าวเข้าใกล้กันมากขึ้น....รึเปล่า

   หรือผมคิดไปเอง

   คิดแล้วทำไมเศร้าอะ

   “เพ้อเจ้อจริงๆ เลยดั้นเมฆ”

   ครืดดด.....ครืดดดด

   ผมล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาดู หน้าจอปรากฏเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย โทรผิดงั้นเหรอ แต่เรื่องนั้นจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเรากดรับสายครับ “....ฮัลโหลครับ”

   (.....)

   “ฮัลโหล”

   (เราเองนะเมฆ)

   เสียงนี้มัน.....

   “ชะ....ช่อม่วงเหรอ”

   (ใช่ แล้วจะทำเสียงสั่นทำไมอะ)

   ตึกตัก

   ช่อม่วงโทรหาผมครับ

   ช่อม่วงโทรหาผมด้วยล่ะทุกโคนนนนนนนนนน

   “เปล่าสักหน่อย” ผมอมยิ้มให้โทรศัพท์พลางลูบแก้มตัวเองเบาๆ “แล้วช่อเอาเบอร์เรามาจากไหน”

   (เราเป็นหัวหน้าห้อง เราต้องมีเบอร์ทุกคนอยู่แล้ว)

   “งี้นี่เอง ว่าแต่มีอะไรรึเปล่า โทรมาดึกเลยนะ”

   (เรารบกวนเมฆเหรอ ถ้าแบบนั้น.....)

   “เปล่าช่อเปล่า ช่อไม่ได้กวนอะไรเราเลย” ผมรีบพูดทันควัน อย่าคิดแบบนั้นสิครับหัวหน้าของดั้นเมฆ ขืนเขาคิดแบบนั้นแล้วนอยด์จนวางสายผมไปนี่จะบัดซบมากเลยนะ

   (หึ....เสียงลนลานขนาดนั้นเชียว)

   “ก็เรา....ไม่อยากให้ช่อเข้าใจผิดหนิ” ผมเอ่ยบอกเสียงอ่อน “เอาจริงๆ เรารู้สึกดีใจนะที่ช่อโทรหาเราอะ”

   (ดีใจอะไรกันเล่า เออที่เราโทรหาเมฆเพราะว่ามีเรื่องอยากจะให้ช่วยหน่อย คือของที่ซื้อมามันไม่พอน่ะแล้วก็ต้องซื้อเพิ่ม พรุ่งนี้เมฆพอจะว่างไหมตอนเช้า)

   “ว่างสิ” ผมรับคำทันทีโดยไม่ต้องคิด เรื่องที่จะช่วยพี่อินทำขนมคือเอาไว้ก่อนละกัน อีกอย่างตอนนี้พี่อินมีลูกมือเพิ่มขึ้นแล้วด้วยเพราะงั้นถ้าผมหายไปสักพักมันคงไม่เป็นอะไรหรอก

   ใช่ครับ....ช่อม่วงต้องมาก่อน

   (งั้นเจอกันที่โรงเรียนนะตอน 10 โมง รีบไปนอนด้วยล่ะ เรารู้ว่าเมฆเหนื่อย)

   แค่ได้ยินเสียงคุณผมก็หายเหนื่อยแล้วครับ

   “ครับ ช่อก็รีบนอนล่ะ”

   (อื้ม ฝันดีนะดั้นเมฆ)

   “ฝันดีครับช่อม่วง” ผมบอกเขาก่อนที่สายจะตัดไป ในใจมันพองโตมากเลยอะ ไม่คิดเลยว่าชีวิตจะมีวันนี้ด้วย อื้มมมม...ม...คนเราจะมีความสุขจนตายได้ไหมนะ ถ้าเป็นแบบนั้นผมอาจจะเป็นคนแรกในโลก

   ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้าต่าง บนท้องฟ้ามีพระจันทร์ดวงโตกำลังส่องแสงอยู่ มันสวยมากเลยครับ พอเห็นพระจันทร์สวยๆ แบบนี้มันทำให้ผมนึกถึงสำนวนที่ว่ากระต่ายหมายจันทร์เลยนะ เจ้ากระต่ายบ๊องที่เพ้อเจ้อเก่ง อยากจะคว้าพระจันทร์มาเป็นของตัวเองทั้งๆ ที่พระจันทร์ก็อยู่ห่างไกลจากตัวมันเหลือเกิน แต่การได้เฝ้ามองอย่างเดียวมันไม่พอจริงๆ นั่นแหละ

   ยังไงมันก็ต้องลองไขว่คว้าดูสักครั้ง

   ถึงไม่ถึงไม่รู้แต่สิ่งที่รู้คือต้องลองทำ ไม่มีใครรู้ว่าตอนจบของเจ้ากระต่ายกับพระจันทร์จะเป็นยังไง แต่ผมคิดว่ากว่าจะถึงตอนนั้นเจ้ากระต่ายคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกครับ ตัวผมเองก็คงจะเป็นแบบนั้น ผมจะต้องเป็นกระต่ายที่คว้าพระจันทร์อย่างช่อม่วงมาเคียงข้างกายให้ได้สิน่า ถ้าผมทำได้จริงๆ มันจะรู้สึกมีความสุขขนาดไหนกันนะ

   แค่คิดมันก็....










TBC.

มาส่งมาสคอตค่า

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: M A S C O T บทที่ 4 [ 30 / 9 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #9 เมื่อ30-09-2020 22:33:58 »

 :pig4:
 :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: M A S C O T บทที่ 4 [ 30 / 9 / 2020 ] หน้า 1
« ตอบ #9 เมื่อ: 30-09-2020 22:33:58 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 4 [ 5 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #10 เมื่อ05-10-2020 17:00:35 »

บทที่ 5 ความชอบ   ​


   “มึงทาเบี้ยวอะกรีซ”

   “กูทาตรงละ มึงอะเอียงหัวมอง”

   “ไม่ๆ ๆ ๆ มึงอะทาเบี้ยว ไม่เชื่อลองถามไอ้จ๋ายได้”

   “จ๋าย กูทาสีเบี้ยวเหรอ”

   “ไม่นะ ไอ้ยักษ์มันตาเอียง”

   “มึงไม่ต้องมาเข้าข้างมันเลยไอ้เวรจ๋าย มันทาเบี้ยวมึงก็บอกว่าเบี้ยวสิวะ มึงแม่งก็สปอยล์ไอ้กรีซตลอดอะ น่ารำคาญจังโว้ย”

   ตอนนี้คนที่น่ารำคาญสุดก็มึงนี่แหละไอ้ยักษ์

   ไอ้เวร

   ผมถอนหายใจก่อนจะนั่งทาสีแผ่นไม้ต่อ เสียเวลากับอีแผ่นไม้พวกนี้สุดๆ ทามาเป็นอาทิตย์แล้วยังไม่เสร็จเลย แน่ล่ะ คนมีตั้งเยอะแต่เกณฑ์มาช่วยกันทาแค่พวกผมสี่คนเนี่ยะ น่าเบื่อจริงๆ เสียดายเวลาที่จมอยู่ตรงนี้มาก แทนที่จะได้เอาไปทำอย่างอื่นก็ไม่ได้ทำ แล้วพวกรุ่นพี่ที่สั่งก็เอาแต่ใจอยู่พอตัว อยากแข็งข้อนะแต่ไม่อยากให้คนอื่นมีปัญหา คือถ้าสมมุติว่าพวกผมไม่ทำเนี่ยะ งานส่วนนี้มันจะตกไปอยู่กับพวกหัวหน้าห้องไง

   ผมไม่อยากให้ช่อม่วงต้องเหนื่อยมากกว่าที่เป็นอยู่

   แค่นี้เขาก็เหนื่อยมากเกินพอแล้ว

   อาทิตย์หน้าก็จะกีฬาสีแล้วครับ ช่อม่วงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบเยอะเลยในงานที่ต้องประสานงานกับพวกรุ่นพี่ รุ่นน้องและห้องอื่น ผมรู้ว่าเขาเหนื่อย ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามเก็บมันไว้ยังไงแต่ผมก็มองออกอยู่ดี แล้วช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาไปที่ร้านขนมค่อนข้างบ่อย เขาเล่าเรื่องที่เจอมาให้ผมฟัง ในฐานะของไวท์บันนี่ผมก็รับฟังแล้วก็ให้กำลังใจเขา ช่อม่วงยิ้มออกทุกครั้งเลยนะที่ได้ระบายกับผมซึ่งพอเป็นแบบนั้นมันก็ทำให้กระต่ายกากอย่างดั้นเมฆรู้สึกสบายใจ

   อย่างน้อยก็ทำให้เขายิ้มได้

   ความลับที่ผมเป็นไวท์บันนี่มันยังคงเป็นความลับอยู่ เขาไม่น่าจะรู้ได้หรอกว่าภายใต้หน้ากากกระต่ายขาวที่เขาคุยด้วยนั่นเป็นผม ไม่รู้เลยว่าถ้าวันนึงช่อม่วงรู้ความจริงขึ้นมาแล้วเขาจะเป็นยังไง จะโกรธหรือเกลียดผมไปเลยรึเปล่า แค่คิดเรื่องนี้ก็รู้สึกใจไม่ค่อยดีแล้วนะเอาจริงๆ แต่จะทำไงได้ ในเมื่อทางนี้เป็นทางเดียวที่จะทำให้ผมกับเขาได้ใกล้ชิดกัน อีกอย่างคือช่อม่วงจะเป็นตัวของตัวเองมากเลยนะต่อหน้าไวท์บันนี่น่ะ

   เป็นตัวของตัวเองแบบที่คนอื่นอาจจะไม่เคยเห็นก็ได้

   บ่อยครั้งที่รู้สึกอิจฉามาสคอตกระต่ายขาวกากๆ นั่น ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนใส่เองก็เถอะ แต่ช่อม่วงดูชอบมันเอามากๆ เลยไง กับมาสคอตบันนี่ตัวอื่นเขาก็เฉยๆ นะ ตัวที่เขาเลือกจะคุยด้วยก็คือผมเนี่ยะ ใจนึงมันก็ดีใจแต่อีกใจมันก็ยังไงๆ ไม่รู้ว่ะ ทุกวันนี้ผมกับเขาก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมากไปกว่าเรื่องงานกีฬาสี ผมจะมีบทบาทมากในเรื่องของการขับรถไปซื้อของเป็นเพื่อนเขาไม่ก็พวกงานกรรมกรเนี่ยะ ผมจะรับผิดชอบเองทั้งหมด

   แมนๆ แบกหามครับ

   “วันนี้มึงรีบกลับป้ะเนี่ยเมฆ” จ๋ายหันมาถามผม “กูว่าจะชวนไปดูหนังว่ะ”

   “กูไม่ว่างว่ะ โทษทีนะมึง” ผมบอกปัดไป ตั้งแต่ที่ MASCOT เปิดมาผมก็แทบไม่ได้ไปไหนกับเพื่อนเลยเพราะว่าต้องกลับไปทำงานที่ร้านไง ยิ่งตอนนี้ร้านกำลังเป็นที่รู้จักด้วย คนมาเยอะมากแถมยังต้องทำขนมเยอะขึ้นด้วย

   พี่อินนี่เหนื่อยหนักเลย

   ก็ยังดีว่าในร้านมีพนักงานเพิ่มขึ้นมาหลายคนน่ะนะ ถ้าเป็นตอนแรกที่มีผมอยู่คนเดียวนี่คือตายเป็นซากไปแล้วล่ะ จะว่าไป การที่ร้านมีลูกค้าเยอะแบบนี้ก็ดีนะครับ รายได้มันก็เยอะตามไปด้วยไง เหนื่อยหน่อยแต่ก็คุ้มอยู่

   “ทำไมช่วงนี้มึงไม่ว่างเลยวะ แอบมีแฟนแล้วไม่บอกพวกกูเหรอห้ะ” ไอ้ยักษ์หรี่ตามองผมอย่างจับผิด

   “กูจะเอาเวลาไหนไปมีแฟนวะ มึงทำเหมือนแฟนหาง่ายมากเลยมั้ง”

   “คนถวายตัวให้มึงเยอะแยะไอ้เมฆ มึงอะไม่เอาเอง นึกถึงน้องเหมียวม.4/2 ขาว เนียน ตัวเล็กน่าพกพาแถมยิ้มก็หวานมาก น้องเค้าตัวท็อปของม.4 เลยนะมึง ไม่น่าหลงผิดมาชอบคนอย่างมึงได้เลยว่ะ แล้วไอ้สัสนี่ก็เทน้องเขาแบบ....หึ้ยยย...ย....ไอ้ชั่วเอ๊ย”

   อะไรของมันวะ

   “ก็กูไม่ได้ชอบหนิ กูผิดไรเนี่ยะ”

   “ไม่รู้แหละแต่มึงผิด” มันเดินมาตีไหล่ผม “เนี่ยะ ถ้าน้องเหมียวมาชอบกูนะ เขาจะไม่เสียใจหรอก”

   “เขาน่าจะเสียใจนะกูคิดว่า” กรีซเหลือบมองพลางยิ้มเยาะให้

   “เงียบไปเลยไอ้กรีซไอ้เด็กสะเหล่อ มึงคอยดู กูจะทำให้น้องเหมียวมาเป็นของกูให้ได้”

   “นี่ขนาดไม่ได้หลับยังฝันขนาดนี้เลยนะ” จ๋ายส่ายหัวให้คนขี้มโนอย่างเอือมๆ “เพ้อเจ้อชิบหาย”

   “เอ๊ะ พวกมึงนี่....”

   ผมผ่อนลมหายใจก่อนจะนั่งทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ตอนนี้เกือบจะบ่าย 3 แล้ว มีเวลาอีกชั่วโมงเดียวที่ต้องรีบทาไม้ให้ได้มากที่สุด บางทีผมก็คิดนะว่าถ้ามันไม่ทันจะทำไงวะ พวกรุ่นพี่ที่สั่งจะมาแหกอกผมรึเปล่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็ ผมคิดคำพูดไว้ปะทะแล้วเรียบร้อย ปกติดั้นเมฆจะเป็นคนเงียบๆ นะ ไม่ค่อยตอบโต้เวลามีใครมาว่าหรือพูดอะไร แต่ถ้ารอบนี้เขาเปิดประเด็นมาก่อนผมจะสวนกลับเอาให้หน้าชาเลย

   จะได้รู้ว่าไม่พอใจจริงๆ

   ไม่พอใจมาสักพักแล้วด้วย

   ครืดดด....ครืดดด

   ผมล้วงโทรศัพท์มากดรับสาย “ฮัลโหลครับ”

   (นี่เราเองนะเมฆ)

   “ช่อม่วงเหรอ”

   (ใช่ เมฆทำอะไรอยู่ ว่างรึเปล่า)

   “เราทาสีอยู่อะ ช่อมีไรไหม”

   (มีของต้องออกไปซื้อ แต่ถ้าเมฆไม่ว่างเดี๋ยวเรา....)

   “ว่างสิ ว่างแหละ ก็ว่างอยู่ เดี๋ยวเราให้เพื่อนทำแทน” เรื่องของช่อม่วงนี่ยังไงก็ต้องมาก่อนเสมอ ต่อให้มีหน้าที่การงานถมทับเท่าไหร่ผมก็จะว่างให้ได้

   เพื่อช่อม่วงอะครับ....อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ

   (งั้นเรารอที่เดิมนะ รีบมาล่ะ)

   “โอเคครับ” ผมกดวางสายก่อนจะหันไปทางเพื่อนๆ “เออมึง กูต้องไปซื้อของว่ะ”

   “เออไปเหอะ เดี๋ยวพวกกูจัดการเอง” จ๋ายรับคำก่อนจะโบกมือไล่ผมไป ดูทรงแล้วที่อยากให้รีบไปแบบนี้น่าจะเป็นเพราะว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าไอ้ยักษ์จะบ่นเป็นวรรคเป็นเวรแน่ๆ

   “มึงจะไปอื้อออ.อ.อ.....” ไอ้กรีซปิดปากไอ้เพื่อนตัวแสบได้ทันเวลา พอเห็นแบบนั้นผมจึงรีบวิ่งออกมาทันที ขืนยังชักช้าแล้วไอ้ยักษ์ดิ้นหลุดออกมา ผมต้องลำบากแน่ๆ

   ผมแบกของเดินมาเรื่อยๆ จนถึงซอยข้างโรงเรียน ร่างโปร่งของช่อม่วงยืนรออยู่ที่รถมอเตอร์ไซค์ของผม ช่วงนี้ผมเอารถมาโรงเรียนด้วยทุกวันเลยเพราะว่าเผื่อจะไปซื้อของหรือจะใช้งานกะทันหันแบบนี้นี่แหละ เขินมากเลยนะที่เขาซ้อนท้ายแล้วจับชายเสื้ออะ อยากหยุดช่วงเวลานั้นไว้จริงๆ มันพิเศษกว่าการที่ช่อม่วงซ้อนท้ายผมทุกครั้งนะเพราะว่ามันรถของผมไง ปกติจะเป็นรถของคนอื่น ความรู้สึกมันก็จะพิเศษไม่เท่า

   งงในสิ่งที่ผมคิดไหม

   ถ้างงก็ช่างมันเถอะ

   “เรามาละช่อ” ผมเดินเข้ามาหาเขาก่อนจะขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง “วันนี้ไปซื้ออะไรอะ”

   “กระดาษทำพร็อพ ที่ซื้อมากันเมื่อวันก่อนมันไม่พอ” เจ้าตัวบอกก่อนจะขึ้นซ้อนท้าย หลังจากนั้นผมก็ออกรถมุ่งหน้าไปยันร้านขายของที่เราไปด้วยกันเป็นประจำ

   “เราว่าที่ซื้อมาวันก่อนก็เยอะนะ จะว่าไปนี่ถือว่าเกินงบมาแล้วรึเปล่า”

   “อื้อ กำลังเข้าเนื้ออยู่เนี่ยะ เราไปคุยกับรุ่นพี่มาแล้วแต่เรื่องเยอะน่าดูเลยล่ะ เดี๋ยวต้องไปตามเคลียร์”

   “เราอยากให้ผ่านกีฬาสีไปสักทีอะ มันเหนื่อย มันน่าเบื่อ มีหลายเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดด้วย” ผมบ่นไปตามตรง นี่ถ้าพ้นกีฬาสีไปนะ ผมจะนอนฉลองแบบยาวๆ

   เสียพลังงานชีวิตไปเยอะมากเลยกับงานนี้

   “เราก็เหมือนกัน อยากมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง ก็ต้องมายุ่งอยู่กับงานๆ เดียว”

   “อดทนนะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว”

   “เมฆก็เหมือนกัน” พอได้ยินแบบนั้นแล้วรู้สึกเหมือนความอดทนเพิ่มขึ้นมาเป็นทวีคูณเลยว่ะ

   กำลังใจมาเต็มเปี่ยม

   ผมจอดรถที่หน้าร้านขายของ ร่างโปร่งเดินนำเข้าไปด้านในก่อนจะหยิบของส่งให้ผมถือ เหมือนเป็นภาพซ้ำๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ผมนี่ได้อารมณ์พ่อบ้านที่เดินตามหลังภรรยาตัวเองต้อยๆ เคยคิดขำๆ ด้วยนะว่าถ้าช่อม่วงเป็นผู้หญิง เขาจะเป็นคนประมาณไหน แน่นอนว่าจะต้องอยู่สูงมากจนผมเอื้อมไม่ถึงแน่ๆ ขนาดตอนนี้ผมก็ยังเอื้อมไม่ถึงเขาเลย แค่มีเวลาได้ใกล้ชิดกันแบบนี้ก็ถือว่าเป็นบุญกับชีวิตของกระต่ายกากมากแล้ว

   อะไรที่มากกว่านี้คงต้องเก็บไว้ทำในฝันเท่านั้นแหละ

   แอบชอบเขา....ก็ต้องอดทนหน่อยนะ

   “มองเราขนาดนั้น” ช่อม่วงเหลือบมามองผม “มีอะไรรึเปล่า”

   ผมส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีไร เออวันนี้ช่อจะไปร้านขนมรึเปล่าอะ”

   “ทำไม จะไปด้วยเหรอ”

   “เราถามเฉยๆ อะ เห็นช่อชอบไปบ่อยๆ ”

   “รู้ได้ยังไงว่าเราไปบ่อย”

   “สตอรี่ไอจีไง” ผมยิ้มแห้งๆ ให้เขา เกือบไปแล้วดั้นเมฆ เกือบแถไม่ทันแล้วไงล่ะ นี่ดีนะว่าเขาอัปฯ ขนมลงสตอรี่บ่อยถึงได้รู้น่ะ ไม่งั้นมีหวังได้ความแตกแน่ๆ

   “อย่างนี้นี่เอง” เจ้าตัวยกยิ้มให้ผมก่อนจะส่งกระดาษแผ่นใหญ่มาให้ “วันนี้เราไป อยากกินอะไรหวานๆ น่ะ แล้วเมฆล่ะ ถ้าเสร็จงานแล้วจะไปไหนรึเปล่า”

   “เราคงกลับบ้านเลยแหละ พอดีว่ามีธุระต้องทำกับพี่ชายน่ะ”

   “เมฆมีพี่ชายด้วยเหรอ เรานึกว่ามีน้องที่เป็นฝาแฝดแค่คนเดียว”

   “เรามีพี่ชายอีกคนนึง เขาชื่อว่าพี่อิน เป็นพี่ชายคนโตของบ้านอะ”

   “อย่างนี้นี่เอง….งั้นพี่ชายของเมฆก็ทำขนมอร่อยน่าดูเลยสิ”

   ผมหันขวับมองช่อม่วงทันที “ช่อรู้ได้ไงว่าพี่เราทำขนมอร่อย”

   “ก็ยักษ์เคยบอกไว้ว่าเมฆทำขนมเป็น เราเลยคิดว่าพี่ชายของเมฆก็น่าจะทำเป็นเหมือนกัน แล้วขนมที่ทำมันก็น่าจะอร่อยไม่ใช่เหรอ”

   “อื้ม อร่อยมากเลยล่ะฝีมือของพี่ชายเราน่ะ อร่อยกว่าเราทำอีก”

   “ถึงเมฆจะบอกแบบนั้น แต่เราก็ยังอยากลองกินขนมฝีมือของเมฆนะ” ช่อม่วงเอ่ยพลางยิ้มบางๆ ให้ผมแวบนึงก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง อา.....ใจเต้นตึกตักไปหมดเลยว่ะ

   ดาเมจรอยยิ้มของเขามันรุนแรงเกินไปแล้ว

   เราใช้เวลาซื้อของด้วยกันสักพักก่อนจะกลับมาที่โรงเรียน วันนี้ช่อม่วงบอกว่าจะไปที่ร้านด้วย รู้สึกมีความสุขจัง ไม่รู้ว่าเขาจะบ่นอะไรให้ผมฟังอีกไหมนะ ใบหน้าเรียบๆ นั่นจะแสดงสีหน้ายังไงออกมา เท่าที่ผมสังเกตคือช่อม่วงจะมาช่วง 2 ทุ่มกว่าๆ ขนมในร้านหวิดจะหมดหลายรอบแล้วล่ะ แต่ดีว่าผมแอบเก็บไว้ให้เขา พี่อินรู้นะครับว่าผมซ่อนขนมแต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร สมมุติว่าถ้าเขาว่า ผมก็จะทำเนียนเป็นไม่ได้ยินไปตามประสา

   “มาช้านะมึงไอ้เมฆ” เสียงแหกปากโวยวายของไอ้ยักษ์ดังมาแต่ไกล “เอาหัวมามอบให้กูทุบซะดีดีเลยนะไอ้ชิบหายยยย!!!!”

   อา....อะไรมันจะขนาดนั้นวะ

    .

***

    .

   “เนี่ยะ เราไม่เข้าใจเลยนะคุณกระต่ายว่าทำไมพวกรุ่นพี่ถึงได้เรื่องมากถึงขนาดนั้น ถ้าไม่พอใจควรจะทำเองไหม ไม่ใช่เอาแต่สั่งๆ รู้สึกหงุดหงิดใจมากเลยอะ”

   “ผมคงบอกได้แค่ว่าให้คุณอดทนเอาไว้นะครับเพราะเดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้วน่ะ”

   คนตรงหน้าหลุดยิ้มออกมา “คุณกระต่ายพูดเหมือนกับใครบางคนที่ผมรู้จักเลย”

   “เพื่อนเหรอครับ”

   “อื้ม เพื่อนของผมเอง” มือเรียวตักลอดช่องเข้าปากพลางอมยิ้มออกมา อร่อยถูกปากสินะ พอเห็นแบบนี้ค่อยรู้สึกมั่นใจในน้ำกะทิที่ผมเป็นคนทำเองซะหน่อย

   ดีจังที่ช่อม่วงชอบ

   ผมยืนมองคุณลูกค้าคนสำคัญของตัวเองที่นั่งกินขนมอยู่ตรงหน้า ตอนนี้ในร้านคนน้อยลงแล้วล่ะครับเพราะมันก็ 2 ทุ่มกว่าแล้ว แต่เมื่อเย็นนี่คือนรกแตกมาก คนโคตรเยอะ คิวต่อกันยาวเหยียดเลย ผมแวบไปดูในครัวคือพี่อินนี่มือเป็นระวิง ขนาดทำขนมเตรียมไว้เยอะยังต้องทำเพิ่มสดๆ เลย ร้าน MASCOT นี่ชักจะเป็นที่สนใจของชาวบ้านชาวช่องเยอะเกินไปรึเปล่านะ

   เหล่าบันนี่บริการไม่ทันแล้วนะครับ

   ใจเย็นๆ กันหน่อย

   “คุณกระต่าย”

   “ว่าไงครับ”

   “คุณเบื่อไหมที่ต้องคอยมาฟังผมบ่นอยู่บ่อยๆ ทั้งๆ ที่คุณไม่จำเป็นต้องมาฟังก็ได้” ร่างโปร่งเอ่ยถามพลางมองด้วยสายตาที่จริงจัง สายตาแบบนี้ไม่ได้เห็นได้บ่อยๆ นะครับเพราะปกติเขาจะมองด้วยสายตาที่เรียบเฉยมากกว่า

   คงจริงจังในสิ่งที่ถามจริงๆ

   “ไม่เบื่อหรอกครับเพราะมันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำอยู่แล้ว”

   “เพราะผมเป็นลูกค้าสินะ”

   “ไม่เกี่ยวหรอกครับ” ผมหยิบทิชชู่ก่อนจะส่งให้เขา “ต่อให้คุณไม่ใช่ลูกค้าของผม ผมก็ยินดีที่จะรับฟังเรื่องราวของคุณอย่างเต็มใจเพราะมันเป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำ”

   มือเรียวรีบทิชชู่ไปจากมือผมก่อนจะเช็ดปากตัวเอง “คุณกระต่ายนี่ใจดีจริงๆ เลยนะ”

   “ชอบไหมครับ....คนใจดี”

   “....ชอบครับ” ช่อม่วงยิ้มบางๆ ให้ผม “ชอบมาตลอดเลยล่ะ”

   ตึกตัก

   อยู่ดีดีหัวใจก็เต้นแรงแบบนี้ได้เหรอวะ

   ผมยกมือขึ้นทาบอกตัวเองพลางผ่อนลมหายใจเบาๆ ใจเย็นไว้ก่อนดั้นเมฆ เดี๋ยวหัวใจวายชิงตายไปก่อนพอดี นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกอิจฉาชุดกระต่ายกากนี่ ดูสิว่าช่อม่วงยิ้มให้มันมากแค่ไหน สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในใจเขาก็เล่าออกมาให้มันฟังแทบทั้งหมด ลองตัดภาพไปที่ผมตอนเป็นแค่ดั้นเมฆสิ ทำอะไรได้มากกว่าการเป็นสารถีพาเขาไปซื้อของไหม ก็ไม่ไง ต่อให้ผมกับกระต่ายกากคือคนๆ เดียวกันแต่ความรู้สึกของช่อม่วงที่ส่งมาให้มันก็ต่างกันอยู่ดี

   ดราม่าเฉยเลยว่ะ

   หัวใจมันเป็นอะไรไปวะเนี่ย

   “แล้วคุณกระต่ายล่ะ ชอบคนใจดีไหม”

   “ก็ชอบนะครับ แต่อาจจะไม่ใช่กับทุกคน”

   “ถ้า....เป็นผมล่ะ” ช่อม่วงเอ่ยถาม “คุณจะชอบไหม”

   ถามแบบนี้.....

   “ชอบสิครับ”

   ของมันแน่นอนอยู่แล้ว

   “หึ....มันเป็นคำตอบที่ทำให้ผมรู้สึกว่าขนมมันอร่อยขึ้นเลยนะ” เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตักขนมใส่ปากจนหมด แก้มพองๆ นั่นน่าบีบจริงๆ

   “อร่อยก็ทานเยอะๆ นะครับ”

   “ได้สิครับ เรื่องกินนี่ขอให้บอกเถอะ” ว่าแล้วช่อม่วงก็ตั้งหน้าตั้งตากินขนมที่อยู่ตรงหน้าเขา ไม่มีใครกินขนมแล้วน่าเอ็นดูไปกว่าหัวหน้าห้องของผมอีกแล้ว

   มันคือช่วงเวลาแห่งความสุขจริงๆ นะถึงแม้ว่าสิ่งที่ผมทำได้มันจะเป็นแค่การคุยกับเขาผ่านทางหัวกระต่ายกากนี้ ทุกครั้งผมก็หวังว่าวันนึงเราจะได้คุยกันแบบนี้โดยไม่ต้องมีหัวมาสคอตมาเป็นตัวช่วย มีความรักทั้งทีก็ต้องตั้งความคาดหวังกับมันจริงไหม ไม่รู้หรอกว่าปลายทางของสิ่งที่ใจเลือกมันจะเป็นยังไง มันจะสมหวังหรือว่าต้องผิดหวัง แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือต้องลองพยายามดูละนะ จนกว่าจะถึงตอนจบผมจะต้องไม่ยอมแพ้

   สู้ๆ นะดั้นเมฆ.....สู้ๆ

.

.

.

.

.

TBC.

สวัสดีค้าบ เอามาสคอตมาส่งให้ค้าบ

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis และเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านค้าบ

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 6 [ 5 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #11 เมื่อ05-10-2020 21:26:26 »

บทที่ 6 คนที่ชอบ



   กีฬาสีนี่มันเหนื่อยจริงๆ เลยนะ

   ประสาทจะเสียอะ

   ผมนั่งเหม่อมองท้องฟ้าที่มีนกบินไปมาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย วันนี้อากาศแจ่มใสดีนะแต่ว่ามันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขเท่าไหร่นักอาจเป็นเพราะว่าร่างกายเหนื่อยเกินไปล่ะมั้ง คืองี้ครับ....วันนี้มันเป็นวันกีฬาสีไง เมื่อวานผมโดนรุ่นพี่สั่งให้ไปช่วยประกอบคัตเอาท์ แล้วกว่าจะเสร็จก็คือดึกมาก งานที่ผมมีส่วนต้องรับผิดชอบคือเตรียมพร็อพให้ขบวนพาเหรดตอนเช้ามืดด้วยไง เมื่อคืนได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมงเอง

   งอแงมาก

   ผมไม่ชอบเวลาตัวเองเป็นแบบนี้เลย ไม่ว่าอะไรมันก็ดูขัดหูขัดตาไปซะหมด เพราะแบบนี้แหละผมถึงได้ปลีกวิเวกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ ไม่ต้องห่วงเรื่องงานแล้วล่ะเพราะหน้าที่ทั้งหมดของผมเสร็จแล้ว เอาจริงๆ ชั่งใจอยู่ด้วยนะว่าจะปีนกำแพงกลับบ้านไปนอนดีไหม งานกีฬาสีโรงเรียนผมเนี่ยะ เข้ามาแล้วจะออกได้อีกทีก็ตอนงานเลิกเลยนะ ช่วงเย็นๆ นั่นแหละ สำหรับคนนอกที่เข้ามาดูก็ต้องแลกบัตรประชาชนเอาไว้

   เข้ายากออกยากจริงๆ

   ตอนนี้เกือบบ่าย 2 แล้วครับ ผมเอาตัวเองมาทิ้งไว้ที่สวนพฤกษาหลังตึกสามได้หลายชั่วโมงโดยมีทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทองที่แอบจิ๊กพี่อินมาอยู่เป็นเพื่อน การได้กินขนมหวานก็ทำให้รู้สึกโอเคขึ้นอยู่แหละ พอเห็นขนมพวกนี้มันก็ทำให้ผมอดคิดถึงใครบางคนไม่ได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้เขาจะทำอะไรอยู่และอยู่ส่วนไหนของโรงเรียน แต่ที่รู้แน่ๆ คือเขาคงกำลังเหนื่อยน่าดู

   เป็นห่วงจัง

   ช่วงหลายวันมานี้ที่ใกล้งานกีฬาสี ผมไม่เห็นช่อม่วงไปที่ MASCOT เลยสักวัน แน่นอนว่าเพราะงานกำลังยุ่งมากๆ เขาก็เลยไม่ว่าง ยังดีว่าเราได้เจอกันที่ห้องเรียน มีพูดคุยบ้างตามประสาแต่มันก็มีอะไรมากกว่านั้นเลย เราไม่ได้ไปซื้อของด้วยกันเหมือนตอนเตรียมงานช่วงแรกๆ ผมรู้สึกคิดถึงเขานะถึงแม้ว่าเราจะอยู่ใกล้กันในระดับที่สายตามองเห็น แต่บางครั้งมันก็เป็นความรู้สึกว่าเราอยู่ห่างไกลกันมากเหลือเกิน

   นี่ผมเพ้อเจ้ออะไรอยู่วะ

   บ้าบอจริงๆ

   ผมกำลังหวังว่าถ้าผ่านจากงานกีฬาสีไปแล้ว ช่อม่วงจะไปที่ร้านแล้วก็นั่งคุยกับผมเหมือนอย่างเคย ช่วงเวลานั้นมันดีจริงๆ เลยนะ ผมชอบที่เขาดูเป็นตัวของตัวเองที่สุด รอยยิ้มหวานๆ สายที่ดูเป็นมิตรนั่นมันทำให้ใจผมเต้นแรงเสมอ แต่คิดเรื่องนี้ทีไรก็หึงตัวเองที่อยู่ในคราบไวท์บันนี่ทุกที หึ้ยย...ย.....ทำไมในเวลาปกติมันถึงไม่เป็นแบบนั้นบ้างวะ ดั้นเมฆคนนี้จะไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรแบบนั้นกับตาตัวเองจริงๆ งั้นเหรอ

   ต้องมองผ่านหัวมาสคอตอยู่ร่ำไปสินะ

   “ดั้นเมฆ”

   ผมหันไปตามเสียงเรียกทันที “ชะ....ช่อม่วง”

   เขามาที่นี่ได้ไงวะ

   “ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ เรานึกว่าสวนพฤกษ์จะไม่มีคนซะอีก” เขาเอ่ยก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผม “หนีงานกีฬาสีเหรอ”

   “ก็.....คงงั้นแหละ”

   “เราก็หนีมาเหมือนกัน” เจ้าตัวบอกก่อนจะเอนตัวพิงกำแพงแล้วหลับตาลง สีหน้าดูเหนื่อยมากเลยครับ มันเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ ด้วย

   “เหนื่อยมากไหม”

   “อืม เราเพลียมากเลยล่ะ”

   “กินขนมไหม เรามีทองหยิบ ทองหยอดกับฝอยทองด้วยนะ”

   ช่อม่วงลืมตาขึ้นมาพลางเหลือบมองผม “ขนมงั้นเหรอ”

   “ใช่ มันอาจจะทำให้ช่อรู้สึกดีขึ้นก็ได้นะ” ผมส่งกล่องขนมให้ มือเรียวรับไปก่อนจะหยิบมันเข้าปาก เขายิ้มออกมาบางๆ เหมือนกับว่าตัวเองพอใจขนมที่เพิ่งกินเข้าไปอยู่ไม่น้อย

   ดีจังที่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้

   ผมนั่งมองช่อม่วงกินขนมเงียบๆ เขาไม่พูดอะไรออกมาเลยนอกจากตั้งใจกินขนมของผม ชอบจริงๆ แหละนะของหวานน่ะ ผมว่ามันดูขัดกับลุคเขายังไงก็รู้ เขาดูเหมือนคนที่ไม่ได้ชอบกินขนมหวานเลยแต่ความจริงมันกลับเป็นสิ่งที่เขาชอบเอามากๆ แถมยังกินได้เยอะแล้วก็ไม่มีเบื่ออีกต่างหาก และต่อให้กินเยอะขนาดไหน ช่อม่วงก็ยังดูตัวเท่าเดิมอยู่ ไม่ได้ดูอ้วนขึ้นเลยสักนิด

   หลายๆ คนคงอิจฉาเขาน่าดู

   ผมเองก็ด้วย

   การที่เป็นคนมีพุงมันก็จะลำบากพอสมควรเวลาที่จะกินนั่นโน่นนี่นะครับ คือเวลาที่ผมกินมันมักจะออกพุงไง ส่วนแขนขามันก็เท่าเดิมแหละ แต่วิธีแก้มันก็ไม่ยากหรอก แค่ออกกำลังกายเท่านั้นเอง ทุกคืนก่อนจะนอนผมก็พยายามออกกำลังกายง่ายๆ อย่างพวก ซิทอัพ วิดพื้นหรือการทำคาดิโอต่างๆ ผมไม่อยากรู้สึกอึดอัดเวลาที่ใส่กางเกงนักเรียนอะ อีกอย่างคือถ้าผมมีพุงล่ะก็ บุหลันมันต้องมาจิ้มเล่นแน่ๆ

   แค่คิดก็รู้สึกหงุดหงิดแล้ว

   ป่านนี้ไอ้น้องตัวแสบของผมมันน่าจะไปแอบงีบอยู่ที่ไหนสักที่ในโรงเรียน กีฬาสีปีนี้มันได้รับหน้าที่เป็นคนถือธงคณะสีครับ ใส่สูทผูกไทซะดูดีเลยล่ะ ทำไมกันวะ ทั้งๆ ที่เป็นฝาแฝดกันแท้ๆ แต่ผมกลับไม่ดูดีแบบนั้นเลย ถึงเราจะเกิดมาจากไข่คนละใบแต่มันน่าจะแบ่งความดูดีมาให้ผมสักครึ่งนึงป้ะวะ โคตรไม่แฟร์เลยอะ ผมบ่นเรื่องนี้ให้พี่อินฟังบ่อยมากเลยนะแต่เขาก็ชอบตอบกลับว่าแค่ได้เกิดมาก็ดีแค่ไหนแล้ว จะเอาอะไรอีก

   ดูคำพูดคำจา

   “ขนมนี่ของร้าน MASCOT ใช่ไหม เราจำรสชาติได้” ช่อม่วงเอ่ยถามผมก่อนจะจิ้มทองหยอดแล้วยื่นเข้ามาใกล้ “....อย่ามัวแต่มองสิ กินเข้าไปด้วย”

   ตึกตัก

   ผมอ้าปากรับขนมที่เขาป้อน ความหวานที่ลิ้นสัมผัสได้มันทำให้รู้สึกดีนะแต่มันคงดีไม่เท่ากับรอยยิ้มบางๆ ของคนที่ป้อนขนมผมหรอก เหลือเชื่อเลยที่คนอย่างเขาจะป้อนขนมให้ผมกินน่ะ

   เหมือนฝันไปเลยว่ะ

   “ขนมนี่....เราซื้อเก็บเอาไว้อะ วันนี้เลยเอามากินด้วย”

   “อย่างงี้นี่เอง เราไม่ได้ไปที่ร้านหลายวันแล้วล่ะ แต่วันนี้ว่าจะไปนะ อยากเจอคุณกระต่ายมากๆ เลย”

   ผมเหลือบมองเขา “คุณกระต่าย....อ๋อ ที่เป็นพนักงานของร้านใช่ไหม เราเห็นอยู่ มีหลายตัวเลย”

   “ใช่ แต่คุณกระต่ายที่เราชอบคุยกับเขาคือตัวสีขาวน่ะ คนในร้านเรียกกันว่าไวท์บันนี่ เขาดูเป็นคนที่ใจดีมากเลยนะ เขารับฟังเราแทบทุกเรื่องเลย”

   “ช่อดูชอบไวท์บันนี่มากเลยนะ”

   “อื้ม...” เจ้าตัวหันมามองก่อนจะยิ้มหวานออกมา “เราชอบเขามากๆ เลย”

   ตึกตักๆ ๆ ๆ

   อา....หัวใจจะเต้นแรงเกินไปไหมเนี่ยะ

   “ช่อ....” ผมเอียงหัวเข้าไปใกล้เขา “เคยมีคนบอกไหมว่าเวลาที่ช่อยิ้มออกมาแบบนั้นมันทำให้ทุกอย่างดูสดใสมากเลยน่ะ”

   “ขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาหันมองผม พอเป็นแบบนี้มันเลยทำให้ระยะห่างของใบหน้าเราสองคนอยู่ห่างกันเพียงแค่คืบ ดวงตาสีดำที่จ้องมองมานั้นมันช่างมีเสน่ห์มากจริงๆ

   ยิ่งมองยิ่งหลงรัก

   “ใช่” ผมเลื่อนหน้าออกมาพลางยกมือลูบคอตัวเองแล้วผ่อนลมหายใจเบาๆ “เอาจริงๆ เราไม่ค่อยเห็นช่อยิ้มเท่าไหร่น่ะ พอได้เห็นแบบนี้มันก็เลยรู้สึกแบบนั้น”

   “เราจะยิ้มแบบนี้ต่อเมื่อมีความสุขมากๆ ถ้าสมมุติว่าเมฆได้เห็นตอนที่เรากินขนมล่ะก็....เมฆก็จะได้เห็นเรายิ้มบ่อยๆ เราพอรู้ตัวอยู่หรอกว่าเวลาที่อยู่โรงเรียนเราแทบไม่ยิ้มเลยสักนิด แต่ก็นะ มันไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องยิ้มหนิ”

   มันก็คงจะจริงของเขาแหละนะ.....ไม่มีเหตุผลที่ต้องยิ้มก็เลยไม่ยิ้ม

   ผมควรดีใจใช่ไหมที่เมื่อกี๊เขายิ้มให้ผมเพราะพูดถึงตัวผมที่อยู่ในชุดกระต่ายกากนั่นน่ะ ชอบของเขานี่จะตีความยังไงดีนะ ชอบเหมือนกับที่ชอบกินของหวานแบบนี้รึเปล่า เป็นความชอบทั่วๆ ไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษอย่างนั้นสินะ มันก็คงใช่ เขาอาจจะแค่ประทับใจกระต่ายกากๆ ที่เป็นคนรับฟังเรื่องราวของเขาก็ได้ เอาจริงๆ ผมก็อยากจะลองคิดเข้าข้างตัวเองนะว่าเขาชอบผมในความหมายที่มันมากกว่านี้แต่.....เจียมตัวไว้น่าจะดีกว่า

   กระต่ายกากๆ ไม่มีทางได้ครอบครองพระจันทร์หรอก

   “ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะดั้นเมฆ”

   “หน้าแบบไหนเหรอ”

   “หน้าเศร้าๆ น่ะ ความจริง....เวลาที่เราเจอเมฆ เมฆมักจะทำหน้าแบบนี้เสมอ” เขาบอกก่อนจะผ่อนหายใจออกมา “อยู่กับเรา มันแย่มากเลยเหรอ”

   ผมส่ายหน้ารัวๆ “เปล่าเลยนะ อย่าคิดแบบนั้นสิ”

   “ก็อาการของเมฆมันทำให้เราคิดหนิ”

   “เราทำหน้าเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “ใช่ มันดูเศร้ามาก เศร้าจนบางทีเราก็สงสัยว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของความรู้สึกนั้นรึเปล่า เราไม่อยากให้เมฆทำหน้าหม่นหมองตอนที่อยู่กับเราน่ะ”

   “คือว่าเราไม่ได้อยากทำหน้าเศร้าหรอก แต่บางทีมันดันไปคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็เลยทำหน้าแบบนั้นออกไป เราเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำหน้าแบบไหนจนช่อบอกเรานี่แหละ” ผมยิ้มบางๆ ให้เขา “ไม่ต้องคิดมากนะว่าเวลาที่เราอยู่กับช่อแล้วเราจะรู้สึกแย่ เพราะมันไม่ใช่แบบนั้นเลย” .....และในทางกลับกัน มันคือสิ่งที่ดีมากต่างหาก

   ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับช่อม่วงมันคือความสุข

   “ได้ฟังแบบนี้แล้วค่อยโล่งใจหน่อย ว่าแต่เราขอถามได้ไหมว่าเรื่องเรื่อยเปื่อยของเมฆ มันคือเรื่องอะไรเหรอ”

   “ก็.....ความรักน่ะ”

   คนข้างๆ เลิกคิ้วมองผมทันที “เมฆมีความรักงั้นเหรอ”

   “อื้ม แต่เป็นความรักกากๆ นะ คิดยังไงก็ไม่สมหวังอะ”

   “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ” ช่อม่วงยกมือขึ้นแตะไหล่ผมเบาๆ “มันอาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เมฆคิดก็ได้นะ ลองคิดในแง่ดีเข้าไว้สิ”

   “เราก็พยายามอยู่ล่ะนะ แล้วช่อล่ะ มีรึเปล่า....ความรักน่ะ”

   “....มีสิ” เจ้าตัวหลุดยิ้มออกมา “แต่เราก็คิดคล้ายๆ กับเมฆนะ เราคิดว่าความรักของตัวเองก็ไม่น่าจะสมหวังเหมือนกัน”

   ผมมองรอยยิ้มที่ดูหม่นของช่อม่วง มันคงเป็นรอยยิ้มที่คล้ายๆ กับของผม เพิ่งรู้เลยนะว่าเขาเองก็มีความรักเหมือนกัน แบบนี้ก็แปลว่าเขามีคนที่ชอบแล้วน่ะสิ ถ้าแบบนั้น....ผมก็อกหักแล้วสินะ ม่ายยยยยยยยยยยย ผมจะมาอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลยแบบนี้ไม่ได้ เท่าที่ฟังดูก็เหมือนว่าเขายังไม่สมหวังในความรักเหมือนกัน งั้นดีเลย ผมจะแช่งให้ไม่สมหวังทุกวันเลยอะเอาดิ ถ้าเขาไม่เป็นของผม เขาก็ต้องไม่เป็นของคนอื่นเหมือนกัน

   โคตรเอาแต่ใจเลยว่ะดั้นเมฆ

   ก่อนอื่นผมจะสืบให้ได้ว่าใครคือคนที่ช่อม่วงชอบ อย่างน้อยมันต้องรู้ศัตรูของหัวใจก่อนถึงจะคิดออกว่าควรทำยังไง แต่เอาจริงๆ การที่จะสู้กับคนที่ได้ใจเขาไปมันก็ยากนะ อยากรู้จริงๆ ว่าคนประเภทไหนกันที่เขาชอบ คนคนนั้นจะดีมากแค่ไหนถึงทำให้หัวหน้าห้องของผมหลงรักได้ คิดแล้วน่าอิจฉาจัง ดูหนิ ดูดั้นเมฆหนิ ได้มีโอกาสนั่งข้างกันก็ดีแค่ไหนแล้ว

   ผมควรจะดีใจด้วยซ้ำไป

   “ช่อ.....ชอบใครเหรอ”

   “แล้วเมฆล่ะ ชอบใคร”

   “เราถามช่อก่อนนะ ช่อต้องบอกเราก่อนสิ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่ ถามก่อนก็ต้องได้คำตอบก่อน ถามกลับแบบนี้คือขี้โกงนะ

   “เราชอบ....เพื่อนตัวเองน่ะ”

   เพื่อนตัวเอง

   ใครวะ

   ผมนั่งคิดหน้าเพื่อนของช่อม่วงทีละคน มันก็เยอะพอสมควรเลยนะ อาจจะเป็นรองหัวหน้าก็ได้ เธอชื่อมีนครับ เป็นคนน่ารักเลยทีเดียว หลายๆ คนต่างหมายปองเธอกันทั้งนั้น เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นบ๋อมแบ๋มวะ รายนั้นจะสวยมากแถมยังสนิทกับช่อม่วงที่สุดแล้วมั้งจากที่ผมสังเกตมา ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมก็คงแพ้ราบคาบเลยล่ะ

   แพ้ตั้งแต่ที่เป็นผู้ชายแล้ว

   ลืมคิดเรื่องเพศไปเลยให้ตายสิ ตัวผมเองรู้สึกชอบแค่ช่อม่วงนะครับ กับผู้ชายคนอื่นผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันเป็นแบบนี้ เคยถามพี่อิน เขาบอกว่าเพราะเราโฟกัสที่ความรู้สึกและตัวบุคคลมากกว่า เพศสภาพเลยเป็นสิ่งรอง มันก็คงเป็นแบบนั้นแหละ ไม่รู้ว่าช่อม่วงจะมีความคิดแบบผมรึเปล่า ถ้าคิดมันก็ดีนะแต่ถ้าไม่.....ผมก็คงหมดหวังแล้วล่ะ

   ผมเหลือบมองเขา “ชอบเพื่อนคนไหนอะ”

   “ไม่บอก” เจ้าตัวหันขวับมองผม “เราบอกเมฆไปแล้วนะ ทีนี้ก็ถึงตาเมฆต้องบอกเราบ้างแล้ว”

   “คนที่เราชอบคือ....”

   “มาอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย” เสียงใสของผู้หญิงคนนึงเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน ร่างบางเดินเข้ามาหาพวกเราสองคนก่อนจะทำตาถลึงใส่ “รู้ไหมว่าทุกคนเป็นห่วงน่ะช่อ นึกว่าไปล้มพับอยู่ที่ไหน”

   “เราไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นน่ะแบ๋ม เป็นห่วงเกินไปแล้ว”

   “ก็เป็นห่วงหนิ” บ๋อมแบ๋มหรี่ตามองพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม “แหมๆ ๆ ๆ ๆ อยู่กับดั้นเมฆซะด้วย ถึงว่าไลน์หาแล้วไม่อื้อออ...อ....” ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบก็โดนช่อม่วงยกมือปิดปากไปซะก่อน

   อะไรของเขาล่ะน่ะ

   “ไปหามีนกันเถอะแบ๋ม” ช่อม่วงบอกก่อนจะหันมาหาผม “เราไปก่อนนะ เมฆติดคำตอบเราไว้ เดี๋ยวเราจะมาถามทีหลัง” ว่าแล้วเขาก็ลากบ๋อมแบ๋มไปทันที

   เหมือนรีบอะ

   ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ มันดีไหมนะที่บ๋อมแบ๋มโผล่มาขัดจังหวะก่อน ถ้าเมื่อกี๊ผมพูดออกไปว่าคนที่ผมชอบคือเขา มันจะเป็นยังไงต่อนะ แต่เดี๋ยวสักวันผมก็คงได้เห็นผลของมันนั่นแหละ มันต้องมีอยู่แล้ววันที่ผมบอกชอบเขา ตอนนี้คงต้องอาศัยมาสคอตกระต่ายกากเก็บช่วงเวลาแห่งความสุขเอาไว้เยอะๆ ก่อน เผื่อวันนึงที่ความรักของผมไม่สมหวังแบบสมบูรณ์ มันจะได้มีความทรงจำดีดีให้ย้อนกลับไปนึกถึงได้บ้าง

   เศร้าอีกละ

   เดี๋ยวผูกคอตายแม่งเลยหนิ

   “โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

   

   







TBC.

สวัสดีค่า มาส่งมาสคอตให้อีกตอนค่า

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 7 [ 5 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #12 เมื่อ05-10-2020 22:35:20 »

บทที่ 7 ความโชคดีของกระต่ายกาก



   “ร้าน MASCOT ยินดีต้อนรับครับ”

   “พี่กระต่ายขา”

   “ว่าไงคะ”

   “หนูชอบพี่กระต่ายมากเลยค่ะ ถ้าหนูโตขึ้น หนูเป็นเจ้าสาวของพี่กระต่ายได้ไหมคะ”

   “พูดอะไรแบบนั้นล่ะคะน้องอิม”

   “ก็หนูอยากเป็นเจ้าสาวของพี่กระต่ายนี่นา”

   ถึงหนูจะพูดแบบนั้นก็เถอะนะ....แต่ว่าพี่เองก็มีเจ้าสาวที่อยู่ในใจแล้วล่ะ

   เรียกว่าเจ้าสาวได้เหรอวะ

   ผมยืนมองเด็กหญิงตัวน้อยที่อยากจะมาเป็นเจ้าสาวของผมอย่างเอ็นดู ถ้ามีลูกสาวล่ะก็ ผมอยากได้ลูกหน้าตาจิ้มลิ้มแบบนี้แหละ แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้ล่ะนะ ผมจะมีลูกกับผู้หญิงได้ยังไงในเมื่อใจผมไปหลงรักผู้ชายอยู่ ว่าแล้วก็คิดถึงจัง เจ้าของใบหน้านิ่งๆ ที่ยิ้มทีแล้วโลกละลายนั่นน่ะ

   ป่านนี้ช่อม่วงกำลังทำอะไรอยู่นะ

   ผ่านไปได้ 2 อาทิตย์กว่าๆ แล้วครับสำหรับงานกีฬาสี ผมกลับมาใช้ชีวิตปกติตามเดิม กลางวันเรียน ตกเย็นก็เป็นไวท์บันนี่ทำงานที่ MASCOT มันวนลูปอยู่แบบนี้จริงๆ วันไหนที่ช่อม่วงมากินขนมที่ร้าน วันนั้นผมจะมีความสุขขึ้นมาหน่อยนึง รอยยิ้มที่เขาส่งมามันทำให้ผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง พูดจาเหมือนจะเว่อร์แต่นี่คือความจริงนะ ผมไม่รู้ว่าวันนี้เขาจะมารึเปล่า นี่เกือบ 2 ทุ่มแล้วด้วย

   ปกติเขาต้องมาเวลาประมาณนี้นี่แหละ

   “ฮอตจังเลยนะคุณกระต่ายเผือก”

   “กระต่ายขาวไหมล่ะ” ผมมองเจ้าน้องชายสุดแสบที่ทำหน้าทะเล้นอยู่ตรงแคชเชียร์ ไม่มีวันไหนเลยที่บุหลันจะไม่เรียกผมว่ากระต่ายเผือก โอเค สีขาวกับสีเผือกมันไม่ได้ต่างกันนักหรอก แต่ว่ายังไงผมก็เป็นกระต่ายสีขาวไง

   ไอแอมไวท์บันนี่ ยูโน้ว??

   “กระต่ายเผือกก็น่ารักออก” ว่าแล้วบุหลันก็ดึงหูกระต่ายของผม ใช่สิ ตัวเองใส่แค่ที่คาดผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าการโดนดึงหูแบบนี้มันรั้งหัวน่ะ ผมนี่อยากถอดหัวมาสคอตออกแล้วเอาฟาดหน้าเขาจริงๆ

   “เจ็บ” ผมจับมือเจ้าตัวออกก่อนจะเดินหนีมาทางพี่อ้ายที่กำลังเก็บจาน พอเห็นแบบนั้นผมก็ไปช่วยเขาเก็บ

   “ขอบใจนะ” เสียงทุ้มเอ่ยบอกกับผม

   “ไม่เป็นไรครับ” ว่าแล้วผมก็ฉีกยิ้มแฉ่งให้เขา ยิ้มทั้งๆ ที่สวมหัวมาสคอตอยู่ ใช่ พี่อ้ายเขาก็ไม่เห็นหรอกว่าผมยิ้มให้และผมก็ลืมตัวตลอดว่ายิ้มไปก็ไม่มีใครเห็น

   เป็นดั้นเมฆที่เด๋อจริงๆ

   “เดี๋ยวพี่ยกไปเก็บหลังร้านเอง”

   “ครับ” ผมขานรับก่อนจะมองพี่อ้ายเดินถือถาดจานเข้าไปด้านใน ลูกค้ายังเข้ามาซื้อขนมกันอยู่เรื่อยๆ

   ร้าน MASCOT เปิดมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว กระแสตอบรับดีเกินคาดเลยล่ะ มีลูกค้าชอบขนมของพี่อินเยอะแยะเลย และที่ทำให้ร้านของเราดูโดดเด่นก็น่าจะเป็นเพราะบรรดาพนักงานที่สวมมาสคอตบันนี่นี่แหละ ตัวผมจะเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเหล่าลูกค้ามากที่สุดเพราะอยู่งานนอกเคาน์เตอร์และต้องคอยดูแลลูกค้า แต่อย่างพี่อ้ายที่อยู่งานนอกเหมือนกันเขากลับไม่ค่อยได้พูดคุยกับลูกค้ามากเท่าไหร่นะเพราะงานเขาคือทำความสะอาดไง

   เป็นเกรย์บันนี่ที่เงียบขรึม

   ส่วนพี่บิ๊วท์กับพี่ป๊อปอยู่ในเคาน์เตอร์ คอยพูดคุยกับลูกค้าเรื่องขนม พี่อินก็จะคอยทำขนมเพิ่มอยู่หลังร้าน บุหลันคอยคิดเงินและแจกรอยยิ้มที่สดใสให้กับลูกค้า เอาจริงๆ ผมสังเกตเห็นเวลาที่ช่อม่วงมาที่ร้าน บุหลันมักจะยิ้มหวานแล้วหันมาทำหน้าทะเล้นใส่ผม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแต่ที่คิดเอาไว้น่าจะเพราะอยากทำผมเสียอาการ

   ร้ายกาจที่สุด

   ผมไม่รู้ว่าช่อม่วงเอะใจไหมที่เห็นบุหลันเป็นแคชเชียร์ของร้านนี้ เขารู้ว่าผมมีฝาแฝดและผมคิดว่าเจ้าตัวคงรู้ว่าบุหลันเป็นแฝดของผม จะว่าไปมันก็ดูแปลกๆ ยังไงไม่รู้เนอะ มีบุหลันอยู่ที่นี่แต่ไม่มีผมน่ะ แต่ช่อม่วงอาจจะคิดว่าบุหลันทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่ก็ได้แต่ผมไม่ได้ทำ เอาจริงๆ การที่เขาไม่สงสัยมันอาจจะดีก็ได้

   ผมยังไม่พร้อมจะความลับแตกตอนนี้เหมือนกัน

   “คุณกระต่ายคะ”

   ผมหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับร่างบางของผู้หญิงคนนึง “มีอะไรให้รับใช้ครับ”

   “คือว่าฉันชอบขนมของร้านนี้มากๆ แล้วอยากจะจ้างให้ทำขนมเพื่อเป็นของที่ระลึกในวันแต่งงานน่ะค่ะ ฉันต้องติดต่อใครดีคะ”

   “อ๋อ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะบอกเจ้าของร้านให้นะครับ แล้วก็ยินดีด้วยนะครับที่กำลังจะแต่งงาน”

   “ขอบคุณค่ะ ต้องรบกวนคุณกระต่ายด้วยนะคะ” เธอยิ้มหวานให้อย่างเป็นมิตร ผมก็ผงกหัวรับเบาๆ ก่อนจะเดินมาหลังร้านเพื่อหาพี่อิน แต่สิ่งที่ผมเห็นก็คือพี่อ้ายกำลังกอดพี่อินอยู่

   นี่มันอะไรกันเนี่ย

   ผมแอบมองพี่ทั้งสองคนอยู่เงียบๆ พี่อ้ายกอดพี่อินจากด้านหลังพร้อมกับพูดอะไรก็ไม่รู้ ส่วนพี่อินเองก็ยืนฟังเงียบๆ ทำไมพี่เขาถึงยืนกอดกันแบบนั้นล่ะ มีอะไรที่ผมยังไม่รู้แน่ๆ เลย พี่อ้ายตอนนี้คือถอดหัวมาสคอตออกด้วยนะครับ ใบหน้าเข้มๆ นั่นแสดงออกถึงความรู้สึกผิด เนี่ยะ พอเห็นแบบนี้แล้วต่อมความสงสัยยิ่งทำงาน อยากจะพุ่งเข้าไปถามแต่มันก็ไม่ใช่เวลาไง

   ผมควรทำไงดี

   “เดี๋ยวมีคนเห็น” พี่อินบอกก่อนจะแกะมือพี่อ้ายออก “เธอยังอยู่ในเวลางานนะ”

   “ก็พี่งอนผมอะ”

   “มันสมควรไหมล่ะ”

   “มันไม่มีอะไรจริงๆ นะพี่อิน”

   “เธอบอกพี่แบบนี้กี่รอบแล้วอ้าย” เขาเอ่ยอย่างรำคาญ “พี่ไม่อยากฟังอีกแล้ว”

   “.....โอเค งั้นเดี๋ยวค่อยคุยกันก็ได้” พี่อ้ายหยิบหัวมาสคอตสวมไว้เหมือนเดิมก่อนจะเดินออกมา “ดั้นเมฆ”

   “เอ่อ....อยู่นี่เหรอครับพี่อ้าย แล้วพี่อินอยู่ไหม” ผมแถไปเรื่อย จะทำให้เขารู้ไม่ได้ว่าผมแอบดูอยู่

   “อยู่ข้างในน่ะ พี่ไปทำงานก่อนนะ” ว่าแล้วเขาก็เดินไปทันที ฟังจากเสียงก็รู้แล้วว่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย ผมเดินเข้ามาหาพี่อินด้านใน ร่างโปร่งเหลือบมองผมก่อนจะวางมือจากขนมที่ทำอยู่

   “ได้ยินหมดเลยไหม”

   “ไม่หมด” ผมบอกก่อนจะถอดหัวมาสคอตออก “ทะเลาะกับพี่อ้ายเหรอ”

   “นั่นเป็นสิ่งที่เมฆอยากถามพี่เป็นอย่างแรกรึไง”

   “พี่เป็นอะไรกับเขาอะ”

   “นั่นสิ” เจ้าตัวถอนหายใจออกมาเบาๆ “พี่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองกับอ้ายเป็นอะไรกัน”

   ผมมองสีหน้าเศร้าๆ ของพี่ชายตัวเอง ไม่เคยเห็นเขาทำหน้าแบบนี้เลย ปกติพี่อินจะทำหน้านิ่งๆ เรียบๆ ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกอะไรออกมาทางสีหน้าอยู่แล้ว นับว่าแปลกมากเลยที่เขาทำหน้าแบบนี้น่ะ พี่อ้ายน่าจะเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อเขาพอสมควร ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่เห็นพี่อินทำหน้าเศร้า คือมันไม่ควรเป็นแบบนี้ไง

   อื้ออออ....พี่อินของน้องงงง

   “ไม่เศร้านะ”

   “พี่ชินแล้วล่ะ ว่าแต่เมฆมาหาพี่ทำไม มีอะไร”

   “มีลูกค้าอยากได้ขนมของเราไปเป็นของที่ระลึกน่ะ คือเขาจะแต่งงาน”

   “อ๋อ เขารออยู่ข้างนอกใช่ไหม”

   “ใช่”

   “งั้นเดี๋ยวพี่ออกไปหาเขาเอง” เขาบอกก่อนจะถอดผ้ากันเปื้อนออก “เรื่องของพี่ ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจนะ แล้วก็ยังไม่ต้องบอกบุหลันล่ะ” สิ้นเสียงพูด พี่อินก็เดินออกไปโดยทิ้งให้ผมที่ยังสับสนมึนงงเอาไว้

   คือยังไงนะ

   พี่อินบอกกับผมว่าอย่าใส่ใจเรื่องของเขาแล้วก็บอกว่าอย่าเพิ่งให้ผมบอกบุหลัน เรื่องใส่ใจผมคิดว่าเขาคงไม่อยากให้ผมไปคิดมากแทนแน่ๆ ส่วนเรื่องของบุหลันนี่น่าจะเป็นเพราะว่าถ้าบอกไปมันจะต้องวุ่นวาย เดี๋ยวถ้าเลิกงานแล้วผมค่อยถามพี่อินอีกรอบดีกว่าว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นมายังไง ถ้าไม่รู้เรื่องราวก็จะคาใจมากเลยนะ

   ครืดดด....ดดด

   ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะกดรับสาย “ฮัลโหล”

   (ว่างรึเปล่าน่ะดั้นเมฆ)

   “ตอนนี้ไม่ว่างอะ คือเราออกมาซื้อของ ช่อมีอะไรรึเปล่า”

   (เราหิวข้าว)

   หิวข้าว

   “แล้วยังไงต่อ พูดแบบนี้คือจะชวนเราไปกินข้าวเหรอ”

   (ใช่ คือที่บ้านเราไม่มีใครอยู่เลยแล้วก็ไม่มีรถอะ ออกไปเองไม่ได้ เราโทรหาเพื่อนๆ แล้วแต่ไม่มีใครว่างเลย)

   “งั้นขอสัก 3 ทุ่มได้ป้ะ ทนหิวอีกหน่อยไหวไหม”

   (ได้แหละ เมฆจะมาหาเราใช่ไหม)

   “อื้ม เดี๋ยวไปรับ”

   (งั้นเดี๋ยวเราแชร์โลฯ ไปให้)

   “ได้เลย แล้วเจอกันนะช่อ” ผมบอกก่อนจะกดวางสายด้วยหัวใจที่เต้นระรัว โว้ยยยยยยยยยยย ช่อม่วงโทรมาชวนไปกินข้าวด้วยว่ะ อื้อออ...ดีใจอะ

   ถ้าลอยได้นี่คือลอยไปแล้ว

   ฟังจากที่เขาบอกคือไม่มีคนอยู่ที่บ้าน ไม่มีรถด้วย ก็ออกจากบ้านมาไม่ได้ นี่อาจเป็นเหตุผลก็ได้นะว่าทำไมวันนี้เขาไม่มาที่ร้าน มันเป็นแบบนี้นี่เอง คือวันนี้เป็นวันเสาร์ไงครับ ผมไม่ได้เจอช่อม่วงอยู่แล้ว ใจก็หวังว่าเดี๋ยวมาเจอกันที่ร้าน รอจนร้านจะปิดเขาก็ยังไม่มา ผมนึกว่าหมดหวังที่จะเห็นหน้าเขาแล้วล่ะ นี่ดีนะที่เจ้าตัวชวนไปกินข้าว นับว่าแต้มบุญของผมยังพอเหลืออยู่

   กระต่ายกากไม่ได้เจอเรื่องแย่ๆ เสมอไปนะครับ

   เดี๋ยวผมรีบทำงานดีกว่า เสร็จแล้วจะได้ไปหาช่อม่วง ต้องบอกพี่อินด้วยว่าจะออกไปข้างนอก เขาได้ไม่ต้องเป็นห่วง พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินออกมาทำงานตามปกติ อีกไม่กี่อึดใจจะปิดร้านแล้ว ช่อม่วงคงหิวอยู่พอตัวเลย แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจะพาเขาไปหาอะไรอร่อยๆ กินเอง หื้ออออ....แค่คิดก็มีความสุขแล้ว

   อยากเจอเขาเร็วๆ จัง

   
***



   “อิ่มจัง”

   กินเย็นตาโฟไปตั้งสามชาม

   ไม่อิ่มก็แปลกแล้วล่ะ

   “อร่อยป้ะล่ะเจ้านี้”

   “อร่อย เราไม่เคยมากินเลย นี่ถ้าเมฆไม่พามาเราก็ไม่รู้หรอกนะว่ามีเย็นตาโฟร้านอร่อยๆ แบบนี้อยู่ด้วย”

   “ชอบไหม”

   “ชอบ” เจ้าตัวเอ่ยพลางยิ้มหวานให้ผม อา.....ใจสั่นไปหมดแล้วครับคุณช่อม่วง อย่าส่งดาเมจมาแรงขนาดนั้นได้ไหม ดั้นเมฆรู้สึกเหมือนจะตายเลยอะ

   งื้อออ....

   ผมมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างมีความสุข ผมพาช่อม่วงมากินเย็นตาโฟเจ้าอร่อยครับ เขาดูชอบมากเลยล่ะ สั่งกินไปตั้งสามชาม ผมใช้เวลาอยู่กับเขาประมาณชั่วโมงกว่าๆ จนตอนนี้เกือบ 4 ทุ่มครึ่งแล้ว นี่ถ้าเสร็จแล้วผมก็จะไปส่งเขาที่บ้าน เออวันนี้มีเรื่องพิเศษเกิดขึ้นกับกระต่ายกากนั่นก็คือได้รู้แล้วว่าบ้านของคนที่ตัวเองชอบอยู่ที่ไหน ขอบอกเลยว่าบ้านของช่อม่วงเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก เปลี่ยวมากแล้วยังเข้าไปในซอยลึกมากๆ ด้วย

   วังเวงสุดๆ อีกต่างหาก

   ผมยังคิดอยู่เลยว่าถ้าไปส่งเขาแล้วเนี่ยะ ตัวเองจะกลับออกมาถูกทางที่เข้าไปรึเปล่า บ้านหรือเขาวงกตอะเอาตรงๆ แต่เอาน่ะ ตอนไปหายังเข้าไปได้ถูกเลย ทำไมตอนออกผมจะออกมาไม่ได้ล่ะจริงไหม หรือถ้าออกมาไม่ได้จริงๆ ผมก็จะโทรหาช่อให้เขาบอกทางให้ ไงล่ะ เจ้าแผนการสุดก็ดั้นเมฆคนนี้นี่ล่ะ

   แผนชั่วด้วยนะบอกเลย

   “ขอบคุณนะเมฆที่พาเราออกมาหาอะไรกินน่ะ”

   “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่กลับเลยเนอะ ดึกแล้วอะ”

   “เอาสิ” พอได้ยินแบบนั้นผมก็เดินนำช่อม่วงมาที่รถของตัวเองทันที ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันชั่วโมงกว่าๆ นี่ก็สุขใจมากละเอาจริงๆ

   “แล้วนี่ช่อก็ต้องอยู่บ้านคนเดียวใช่ป้ะ”

   “อื้อ กว่าอาชัชจะกลับมาก็วันพุธแน่ะ เราต้องลำบากเพื่อนฝูงอีกหลายวันอยู่” เขาบอกก่อนจะขึ้นซ้อนท้ายรถผม

   “ถ้าหิวดึกๆ ก็บอกเราได้นะ เราพร้อมจะพาช่อมาหาอะไรกิน”

   “ใจดีจังอะ”

   “ไม่ดีเหรอ”

   “ดีสิ” มือเรียวจับชายเสื้อผมเอาไว้ “ขอบใจนะเมฆ”

   “ค้าบ” ผมยิ้มหวานก่อนจะออกรถเพื่อไปส่งช่อม่วงที่บ้าน ชอบโมเม้นท์นี้จริงๆ เป็นไปได้ผมก็อยากให้มันเกิดขึ้นทุกวันนะ

   ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงมีความสุขมาก

   ขับรถมาได้สักพักก็รู้สึกเหมือนมีน้ำอะไรหยดใส่ ฝนตกเหรอวะ ตอนนี้เนี่ยนะ พอคิดได้แบบนั้นผมจึงรีบเร่งเครื่องทันที ฝนที่ตกปรอยๆ ตอนแรกเริ่มกระหน่ำลงมาหนักขึ้น บ้าเอ๊ย ตอนแรกอากาศยังดีอยู่แท้ๆ เชียว ไม่คิดเลยว่าฝนจะเทลงมาแบบนี้ โหยยยย นี่ต้องขับรถฝ่าฝนกลับบ้านเหรอวะเนี่ยะ

   พี่อินเป็นห่วงตายเลย

   ผมจอดรถที่หน้าบ้านของช่อม่วง “รีบเข้าบ้านนะช่อ เดี๋ยวเรารีบไปก่อนที่มันจะตกหนักกว่านี้”

   “เดี๋ยวเมฆ”

   “หืม....”

   “ฝนตกหนักขนาดนี้ อย่าเพิ่งไปเลย” ช่อม่วงเปิดประตูรั้วบ้าน “รอให้ฝนหยุดก่อนดีกว่านะ”

   “เอางั้นเหรอ”

   “อื้ม ถ้าเมฆฝ่าฝนแล้วดันเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เราต้องรู้สึกผิดมาก เอาจริงๆ ถ้าให้บอกตรงๆ ก็คือ.....เราเป็นห่วง

   ตึกตัก

   ช่อม่วงเป็นห่วงผมด้วยว่ะ

   “โอเค งั้นเราจะรอฝนหยุดก็ได้” ว่าแล้วผมก็เข็นรถเข้ามาจอดในรั้วบ้านของเขา เจ้าของบ้านเปิดไฟก่อนจะเดินนำเข้าไป ตื่นเต้นว่ะ ได้เข้าบ้านช่อม่วงด้วย

   ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วครับ

   ผมมองซ้ายมองขวาก็พบแต่ความว่างเปล่า ก็นะ ไม่มีใครอยู่บ้านเลยหนิ บ้านของช่อม่วงอารมณ์คล้ายๆ บ้านผมนะ ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ทรงบ้านเป็นทาวส์เฮ้าส์สองชั้น ตกแต่งแบบเรียบง่ายคุมโทนออกสีเทาๆ เห็นแล้วสบายตา ผมเหลือบไปเห็นกรอบรูปที่เรียงกันอยู่ในตู้ มันเป็นรูปของช่อม่วงตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็กเลยครับ ไล่มาจนถึงตอนปัจจุบันเลย น่ารักจัง อยากขโมยกลับบ้านด้วยอะ

   ผมแอบจิ๊กกลับไปด้วยได้ไหม

   “ฝนตกหนักเลยแฮะ” ช่อม่วงบอกก่อนจะส่งผ้าขนหนูมาให้ผม “ขอโทษนะ เราทำเมฆลำบากเลยอะ”

   “ไม่หรอก ไม่มีใครคิดว่าฝนจะตกนี่นะ”

   “ไม่รู้เลยว่าฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่ ถ้ามันดึกเกินไป.....เมฆนอนที่นี่ก็ได้นะ”

   นอนที่นี่

   นอนที่นี่!!!!

   “จะ....จะดีเหรอช่อ”

   “ไม่ดีเหรอ”

   ดีสิ ทำไมจะไม่ดี

   “เรา....เกรงใจช่ออะ” แต่ความจริงในใจตอนนี้คือภาวนาให้ฝนตกแรงกว่าเดิมอีก พายุเข้าไปเลยก็ได้อะ

   “ไม่ต้องเกรงใจหรอก พรุ่งนี้ก็วันหยุดด้วย ถ้าเมฆจะนอนที่นี่ก็โทรบอกที่บ้านด้วยล่ะ เดี๋ยวเขาเป็นห่วง”

   ผมยกมือขึ้นลูบคอตัวเองอย่างประหม่าพลางสบตาคนตรงหน้า ไม่คิดเลยว่ากระต่ายกากๆ อย่างผมจะได้มีโอกาสนอนบ้านของช่อม่วง ได้นอนบ้านของคนที่ตัวเองชอบเลยนะเห้ย เกินไปอะ มันจะมีสักกี่คนที่โชคดีแบบนี้ ตอนนี้ในใจผมคิดเอาไว้แล้วล่ะว่าจะทำอะไรตอนที่เขาหลับบ้าง ก็ไม่ได้มีความคิดหื่นกามหรืออะไรหรอกนะ แต่แบบ....โอกาสดีดีมันมีครั้งเดียว

   ใครจะพลาดวะ

   “โอเค งั้นคืนนี้เราคงต้องรบกวนช่อละนะ”

   “มาสิ.....ห้องเราอยู่ทางนี้”











TBC.

สวัสดีค้าบ ชัลมาส่งมาสคอตให้อีกตอนนึงนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันคับ

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis และเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 8 [ 6 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #13 เมื่อ06-10-2020 16:14:01 »

บทที่ 8 ขออนุญาต

   การได้อยู่ในห้องของคนที่ตัวเองชอบเนี่ยะ....มันเป็นอะไรที่สุดจริงๆ นะ

   ใจคอไม่ดีเลย

   ผมเดินวนอยู่ในห้องช่อม่วงมาสักพักแล้วครับ ตอนนี้เจ้าตัวกำลังอาบน้ำอยู่ เสียงที่ได้ยินออกมาจากห้องน้ำมันทำให้ผมรู้สึกร้อนๆ ยังไงไม่รู้ ไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกนี้เท่าไหร่ อาจเป็นเพราะว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นก็ได้มั้ง ตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้วและฝนข้างนอกก็ยังคงกระหน่ำอยู่ ไม่มีวี่แววว่าจะเบาลงเลยสักนิด เอาจริงๆ ผมต้องขอบคุณที่ฟ้าทำให้ฝนตกนะ เพราะถ้าฝนไม่ตกลงมา ผมก็คงไม่ได้นอนค้างที่บ้านช่อม่วงหรอก

   นี่สินะที่เรียกว่าฟ้าฝนเป็นใจ

   ผมโทรไปบอกพี่อินแล้วล่ะครับว่าวันนี้จะค้างที่บ้านของช่อม่วง เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรแถมยังแซวผมด้วยว่าอย่าหน้ามืดไปทำอะไรช่อม่วงเข้าล่ะ ก็พูดเกินไปแหละ ผมจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง เราเป็นแค่เพื่อนกันนะ ถ้าเป็นแฟนกันก็ค่อยว่าไปอย่าง ยอมรับว่าบ่อยครั้งเลยนะที่ผมชอบคิดเรื่องบ้ากามขึ้นมาเวลาที่ผมได้มีโอกาสอยู่กับเขา ก็แหมมมม นั่นคนที่ชอบหนิ มันจะห้ามไม่ให้ตัวเองคิดเลยก็ไม่ได้ แล้วสิ่งที่ทำได้ก็คือได้แค่คิดนั่นแหละ

   อา....เศร้าจัง

   พอๆ นี่ไม่ใช่เวลาที่นายจะมารู้สึกเศร้านะดั้นเมฆ นายควรรีบตักตวงช่วงเวลาที่ได้อยู่ในห้องนี้ให้ได้มากที่สุดดีกว่าเพราะนี่อาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ได้เข้ามาในห้องของช่อม่วง พอคิดได้แบบนั้นผมจึงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองถ่ายรูปเก็บบรรยากาศห้องของเขาไว้ทุกซอกทุกมุม เนี่ยะ วันไหนที่คิดถึงเขามากๆ ก็เปิดรูปเขากับรูปห้องเขาดูเอา มันอาจจะดูเหมือนคนโรคจิตแต่ผมจะทำแบบนั้นแหละ

   “ทำไรอะ” เสียงดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมองทันที ร่างโปร่งเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวพันเอวไว้หลวมๆ หยดน้ำที่เกาะอยู่ตามผิวขาวๆ นั่นทำให้ผมคิดดีไม่ได้เลยจริงๆ

   จังหวะนี้คือจะตายแล้ว

   หัวใจเต้นแรงจนจะตาย

   “ระ...เราถ่ายรูปจะส่งให้พี่ชายดูอะ”

   “อ๋อ” เขารับคำก่อนจะเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวส่งมาให้ผม “เมฆก็ไปอาบน้ำซะนะ เดี๋ยวเราหาเสื้อผ้าไว้ให้ เมฆน่าจะใส่เสื้อเราได้อยู่แหละ”

   “โอเค งั้นเราขอใช้ห้องน้ำหน่อยนะ”

   “อื้ม ตามสบายเลย” หลังจากที่ช่อม่วงรับคำ ผมก็เดินข่มใจพาตัวเองเข้ามาในห้องน้ำ กลิ่นสบู่อาบน้ำหอมๆ ทำให้รู้สึกดียังไงก็ไม่รู้ เขินเหมือนกันนะที่ต้องมาใช้ของของเขาเนี่ยะ

   อาการหนักเหมือนกันนะดั้นเมฆ

   ผมจัดแจงจัดการตัวเองอยู่พักใหญ่ในห้องน้ำก่อนจะโผล่ออกมาในสภาพที่มีผ้าเช็ดตัวพันเอวไว้ผืนเดียวเหมือนกัน ช่อม่วงที่นั่งเช็ดผมอยู่บนเตียงหันมามอง ดวงตาสีดำสนิทไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลยสักนิด ทำไมไม่เห็นเหมือนผมเลยวะ ตอนที่ผมเห็นเขาเปลือยอกออกมาใจนี่เต้นตึกตักๆ เลยนะ ใช่สิ เพราะผมคือคนที่รู้สึกหนิ เขาไม่ได้รู้สึกเหมือนผม เขาจะมาใจเต้นแรงเพราะเห็นผมคาดผ้าเช็ดตัวไว้หมิ่นเหม่ทำไมล่ะ

   หึ้ยยย...ย....เหมือนกำลังโมโหเลยบ้าจริง

   “นั่นเสื้อกับกางเกงนะ” เขาชี้ให้ผมดูเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้ก่อนจะหันหน้ากลับไปทางเดิม ผมจึงอาศัยจังหวะนั้นรีบแต่งตัว ถึงจะหนึบหนับในใจแต่ก็จะยืนเปลือยอกอยู่ต่อหน้าเขาไม่ได้น่ะนะครับ

   “ขอบใจนะที่ให้เรายืมเสื้อผ้าน่ะ”

   “ไม่เป็นไรหรอก” ช่อม่วงบอกก่อนจะเดินเอาผ้าขนหนูไปตาก “ว่าแต่เมฆโทรบอกที่บ้านแล้วใช่ป้ะว่าจะค้างบ้านเรา”

   “โทรบอกแล้วเรียบร้อย”

   “โอเค แล้วจะนอนเลยไหม”

   “เรายังไม่ค่อยง่วงเลยอะ ช่อง่วงแล้วเหรอ”

   เจ้าตัวส่ายหัวเบาๆ “ยังอะ เราว่าจะดูหนังก่อน งั้นก็ดูด้วยกันเนอะ” สิ้นเสียงพูด เจ้าของห้องก็เดินไปเปิดหนังก่อนจะกลับมานั่งลงบนเตียง มือเรียวตบด้านข้างเบาๆ พอผมเห็นแบบนั้นก็เลยขึ้นไปนั่งอยู่ข้างเขา

   “หนังเรื่องอะไรเหรอช่อ”

   “NANA น่ะ หนังมันนานแล้วแหละแต่เราชอบมาก ก็เลยอยากดูอีก”

   ผมพยักหน้ารับเบาๆ พลางเหลือบมองเขา “มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรอะ”

   “มันเกี่ยวกับ....ความรัก มิตรภาพแล้วก็เสียงเพลงน่ะ เดี๋ยวเมฆลองดูละกัน” เขาบอกก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ผม เนี่ยะ มายิ้มให้ใจสั่นเล่นอีกละ

   ช่อม่วงนี่ร้ายจริงๆ

   ผมมองทางจอโทรศัพท์พลางเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เป็นระยะ ดีใจนะที่ได้ใช้เวลาอยู่กับเขาแบบนี้และคงจะดีมากๆ ถ้ามันเกิดขึ้นอีก ผมอยากให้เรื่องของเราสมหวังถึงแม้ว่ามันจะมีทางเกิดขึ้นได้แค่ 1% ก็ตาม ผมเป็นแค่คนที่แอบชอบเขาน่ะครับ จะไปหวังมากก็ดูไม่เจียมอีก ช่างเถอะ....ตอนนี้ผมควรหยุดคิดอะไรที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ เพราะสิ่งที่ควรทำคือการโฟกัสคนที่อยู่ด้วยกันตอนนี้จะดีกว่า

   ผมควรทำแบบนั้น

   

   [บันทึกพิเศษ : ช่อม่วง]

   

   เคยชอบใคร....แล้วเขาไม่รู้ตัวไหมครับ

   โคตรเด๋อเลย

   ผมเหลือบมองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ดั้นเมฆตั้งใจกับการดูหนังมาก มีฉากนึงที่พระเอกกับนางเอกต้องจากกัน เขาก็น้ำตาคลอเบ้า ผมเห็นแล้วอยากจะยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้จริงๆ แต่ติดที่ว่าทำแบบนั้นไม่ได้ ผมคีพลุคอยู่ครับซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำไปทำไม บ่อยครั้งที่ผมอยากจะทำโน่นทำนี่ตามที่ใจตัวเองอยากทำแต่เหมือนกับว่าร่างกายมันไม่ขยับตามสิ่งที่คิดเลย

   น่าหงุดหงิดชิบ

   เพราะแบบนี้แหละความสัมพันธ์ของผมกับคนที่ผมชอบถึงไม่คืบหน้าไปไหนเลย นึกถึงความรักบ้าบอของตัวเองก็ตลกเหมือนกันนะ ผมชอบเขาตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน โอเคมันอาจจะไม่ใช่การเจอกันที่น่าประทับใจสักเท่าไหร่เพราะวันนั้นมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับโรงเรียนอื่น แต่ก็เพราะเหตุการณ์นั้นแหละที่ทำให้ผม....ตกหลุมรักเขา

   ตกหลุมรักผู้ชายที่ชื่อว่า....ดั้นเมฆ

   ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร แต่ที่รับรู้ได้คือหัวใจเต้นแรงมากๆ หน้าผมก็ร้อนมากเลยด้วย เขาเท่มากนะครับตอนนั้นน่ะ เด็กโรงเรียนอื่นมีตั้งหลายคนแต่เขาก็จัดการได้โดยตัวคนเดียว แล้วตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร จนได้มาเจออีกทีก็คือเขาเป็นเด็กใหม่ที่ย้ายเข้ามากลางคันตอนม.4 เทอมแรก จำได้ว่าตอนนั้นผมรู้สึกดีใจมากเลยนะที่ได้เจอเขาอีกแต่สิ่งที่แสดงออกไปก็คือตรงกันข้ามกับความรู้สึกหมดเลย

   บัดซบขนาดเพื่อนยังด่าอะคิดดู

   ปกติผมเป็นคนที่หน้านิ่งมาก อันนี้แบ๋มบอกมา เธอบอกว่าผมดูเป็นคนที่เข้าถึงยากอาจเพราะไม่ค่อยพูดแล้วก็ไม่ค่อยยิ้ม เอาจริงๆ มันก็เรื่องปกติป้ะวะ ใครจะพูดหรือยิ้มได้ตลอดเวลา เพื่อนๆ ชอบบอกให้ผมทำตัวให้ดูเป็นมิตรหน่อย แต่ขอถามเถอะ เราจะเป็นต้องเป็นมิตรกับทุกคนเลยเหรอ เพราะคิดแบบนี้แหละ ทุกวันนี้ก็เลยไม่ค่อยมีใครอยากมาสุงสิงกับผมสักเท่าไหร่ซึ่งมันก็ดีแล้ว

   ช่อม่วงเป็นคนขี้รำคาญอะ

   “สงสารนานะเนอะ” เสียงจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น “ทั้งๆ ที่รักมากขนาดนั้นแต่ก็ยังยอมปล่อยให้เรนไป”

   “ก็มันเป็นความฝันของเรนหนิ เราว่าเรนเองก็น่าจะลำบากใจเหมือนกันตอนที่ตัดสินใจจะไป”

   “ถ้าเราเป็นนานะ เราก็คงยอมปล่อยให้เรนไปทำตามความฝันของตัวเองนะ เพราะนั่นเป็น....คนที่เรารักไง” เขาเหลือบมองผมก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา

   ตึกตัก

   ดั้นเมฆเล่นผมแล้ว

   “ถึงแม้ว่าตัวเองจะเสียใจน่ะนะ”

   เขาพยักหน้ารับเบาๆ “แต่ถ้ามันทำให้คนที่เรารักมีความสุข มันก็ไม่เป็นไรหรอก”

   “ใจดีจังเลยนะ” ใจดีจนทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันก็รู้สึกแพ้ตลอด ไม่ว่าจะตอนที่เป็นดั้นเมฆหรือว่าเป็น....กระต่ายไวท์บันนี่

   คิดแล้วตลกจัง

   ผมยังจำวันที่ไปร้าน MASCOT ครั้งแรกได้เลย ตอนนั้นผมไปด้วยเหตุผลที่ตัวเองชอบกินขนมไทยเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าจะไปเจอกับเขาที่นั่น สิ่งที่ทำให้ผมจำได้ว่าพนักงานที่สวมชุดมาสคอตกระต่ายขาวคือดั้นเมฆก็เป็นเพราะพลาสเตอร์ยาที่ผมเป็นคนแปะให้เขาเอง เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าผมรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ก็ดีแล้วล่ะ ปล่อยให้เขาไม่รู้ตัวแบบนั้นไปน่ะดีแล้ว ผมจะได้เห็นมุมที่เขาไม่แสดงให้คนอื่นเห็น และตัวเขาเองก็จะได้เห็นมุมของผมที่ไม่เคยให้คนอื่นได้เห็นเหมือนกัน

   ดูพิเศษดีเนอะ

   อบอุ่นมากเลยนะครับดั้นเมฆในร่างกระต่ายน่ะ ความใจดีที่เขาแสดงออกมามันทำให้ผมยิ่งหลงรักตัวเขามากขึ้นไปอีก เอาจริงๆ ผมก็ชอบใจและก็ไม่ชอบใจไปพร้อมๆ กันนะเพราะว่าความใจดีที่เขาแสดงออกมานั้น ผมไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับมันไง ฟังดูแล้วเหมือนเด็กขี้อิจฉายังไงก็ไม่รู้ แต่นั่นแหละ....ผมเป็น

   อิจฉาทุกคนที่ได้อยู่ใกล้ชิดตัวเขาจริงๆ

   “.....ช่อ”

   “หืม....” ผมหันมองเขา “มีอะไรเหรอ”

   “เราเห็นช่อเหม่อๆ อะ คิดอะไรอยู่”

   “อ๋อ....คือเราชอบฉากอาบน้ำนี้อะ ก็เลยตั้งใจดูไปหน่อย” ผมบอกปัดไป จะบอกไปตรงๆ ไม่ได้นี่ครับว่าคิดเรื่องของเขาอยู่ แต่อีกใจผมก็อยากรู้นะว่าถ้าดั้นเมฆรู้ในสิ่งที่ผมคิดทั้งหมด เขาจะแสดงทีท่ายังไงออกมา

   “มันดูโรแมนติกดีเนอะ แช่ในอ่างที่มีกลีบกุหลาบน่ะ”

   “เมฆอยากลองทำแบบนี้เหรอ”

   “ก็อยากนะ” เขาอมยิ้มมองผม “ถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากมีโอกาสได้ทำแบบนี้กับคนที่ชอบสักครั้งนึง”

   คนที่เมฆชอบ....ใครวะ

   ผมเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย “คนที่เมฆชอบนี่ใครเหรอ ครั้งที่แล้วเมฆยังไม่ได้บอกเราเลย”

   “เราขอติดไว้ก่อนได้ป้ะ”

   “ได้ไง แบบนั้นก็ขี้โกงดิ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่เขา ขนาดผมยังบอกไปแล้วเลยนะว่าตัวเองหลงรักเพื่อนอะ แล้วทำไมเขาถึงไม่บอกผมบ้างล่ะ

   ไม่รู้ว่าศัตรูเป็นใครนี่ลำบากนะ

   “เราขอโกงได้ป้ะล่ะ”

   “ถ้าเราบอกว่าไม่อะ”

   “เราก็จะโกงอยู่ดี” เจ้าตัวเอียงหัวเข้ามาใกล้ผม “ช่อห้ามเราไม่ได้หรอก”

   ผมหันมองคนที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ ด้วยหัวใจที่สั่นระรัว นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่เขาทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ ดั้นเมฆจะรู้ตัวไหมนะว่าเขามีอิทธิพลกับหัวใจใครคนนึงเอามากๆ เนี่ยะ เขาเป็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้ผมชอบเขาได้ยังไง แค่คิดว่าเขามีคนที่ชอบแล้วก็รู้สึกปวดหัวใจจริงๆ ใครวะที่ทำให้ดั้นเมฆชอบได้ คนนั้นเขามีอะไรดีถึงได้หัวใจของคนที่ผมชอบไป

   เรื่องนี้ยังไงก็ต้องรู้ให้ได้

   “งั้นเราขอถามแค่บางอย่างได้ป้ะ”

   “อะไรอะ”

   “คนที่เมฆชอบ เป็นคนแบบไหนเหรอ”

   “คนแบบไหนงั้นเหรอ” เจ้าตัวหันมองผมพลางไล่สายตามองไปทั่ว “.....น่ารักล่ะมั้ง”

   น่ารักแบบนี้.....ผู้หญิงชัวร์

   แพ้แล้วว่ะช่อม่วง

   “เหรอ....แค่น่ารักเองเหรอ”

   “สำหรับเรา เขาเป็นคนใจดีมากเลยล่ะ เป็นคนที่พึ่งพาได้ เป็นคนมีเสน่ห์ เวลายิ้มก็ทำให้โลกสดใส” เขาพูดออกมาให้ผมฟังด้วยสีหน้าที่ดูมีความสุข ใช่แหละ ก็เขาพูดถึงคนที่ชอบหนิ

   คงเป็นใครสักคนที่ไม่ใช่ผมอะ

   “ดีเนอะ ผู้หญิงคนนั้นต้อง....สุดยอดมากแน่ๆ เลยอะ”

   “คือว่าไม่ใช่ผู้หญิงหรอก”

   ผมหันขวับมองเขาทันที “ถามจริง”

   “ใช่ เขาเป็นผู้ชายแต่เราชอบอะ แต่ไม่ใช่กับผู้ชายทุกคนนะที่เราจะรู้สึกแบบนี้ แล้วนี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกชอบใครแบบจริงๆ จังๆ น่ะ”

   ผมพยักหน้ารับเบาๆ “เราเข้าใจเมฆแหละ” เพราะเราเองก็เป็นเหมือนกัน

   “ช่อรู้แบบนี้แล้ว ช่อจะไม่รู้สึกแปลกๆ กับเราใช่ป้ะ”

   “เราไม่รู้สึกอะไรหรอกเพราะยังไงเมฆก็เป็นเมฆอยู่ดี” ผมยิ้มหวานให้เขา รู้สึกเหมือนในใจมีคนเอาพลุเป็นร้อยนัดไปจุดจนดังโป้งป้างเต็มไปหมด ดีใจนะที่เขาก็มีความรู้สึกชอบผู้ชายได้น่ะ

   ผมอาจจะยังมีหวังอยู่

   ไม่แน่ว่าต้องวางแผนให้เขาเปลี่ยนใจจากคนที่เขาชอบมาเป็นผมแทน เรื่องนี้ต้องปรึกษาแบ๋มครับเพราะเธอน่าจะรู้ว่าควรทำยังไง แต่ที่แน่ๆ คือเราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าคนที่ดั้นเมฆชอบเป็นใครกันแน่ เบาะแสที่ได้มาตอนนี้ก็คือเป็นคนน่ารัก ใจดี มีเสน่ห์ ยิ้มแล้วโลกสดใส โคตรตรงข้ามกับผมเลยอะ ช่อม่วงนี่เป็นประเภทไม่คิ้วท์ ใจร้าย เสน่ห์ไม่มีแถมไม่ยิ้มเลยอีกต่างหาก

   ทำไมผมดูเป็นคนมืดมนจัง

   คิดๆ ดูแล้วว่ามีใครบ้างที่ดูน่ารักในห้อง ถ้าเป็นผู้ชายก็มีอยู่หลายคน แต่ที่แน่ๆ คือไม่ใช่เพื่อนในกลุ่มเขาแน่นอนเพราะแต่ละคนนี่ห่างไกลคำว่าน่ารักเหลือเกิน ถ้าน่ารักแล้วอยู่ในห้องก็ยังดีอยู่หรอกแต่ถ้าอยู่ห้องอื่นนี่จะตามสืบลำบากมาก ดีไม่ดีอาจจะเป็นรุ่นพี่ไม่ก็รุ่นน้อง คิดเรื่องนี้แล้วโคตรหัวปั่นเลย ไม่เป็นไร....เดี๋ยวทุกอย่างก็มีทางออกเองนั่นแหละ ไม่ว่ายังไงผมต้องรู้ให้ได้ว่าใครกันที่ดั้นเมฆชอบ

   มันจะขนาดไหนเชียวคนคนนั้นน่ะ

   “ดั้นเมฆ”

   “หืม....”

   เราชอบเมฆนะ

   “ไม่มีไร” ผมยิ้มแห้งๆ ให้เขา “หนังจบแล้วเดี๋ยวเราปิดแล้วนอนเลยเนอะ” ว่าแล้วผมก็ลุกไปปิดเครื่องเล่นวิดิโอพร้อมกับโทรทัศน์ก่อนจะกลับมานอนลงข้างๆ เขา

   “ช่อม่วง”

   “หืม....”

   “......”

   “มองหน้าเราแล้วไม่พูดนี่คืออะไร”

   “เราจะบอกว่า” ร่างสูงเลื่อนหัวเข้ามาใกล้ผม “ฝันดีนะ”

   ฉ่า

   “อื้ม เมฆก็ฝันดีนะ”

   “ครับ” หลังจากที่ได้ยินเสียงตอบรับผมก็ปิดไฟแล้วปล่อยให้ห้องอยู่ใต้ความมืด สิ่งเดียวที่พอรับรู้ได้คือเสียงจากหัวใจที่เต้นแรงมากๆ ของตัวเอง

   จะอธิบายยังไงดีล่ะ คนที่ผมชอบเขานอนอยู่บนเตียงของผม เขานอนอยู่ข้างผม เสื้อผ้าของผมอยู่บนตัวเขา กลิ่นสบู่อาบน้ำของผมก็ติดอยู่ที่ตัวเขา เราอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ และผมกำลังทำเนียนเลื่อนแขนไปแตะแขนเขา อืม....อุ่นจัง ปกติเขาเป็นคนตัวอุ่นแบบนี้งั้นเหรอ ลำบากเหมือนกันนะเวลาอยู่ท่ามกลางความมืดน่ะ ผมไม่รู้เลยว่าเขาหลับไปรึยัง ใจผมได้แต่หวังให้เขาเข้าสู่ห้วงนิทราไปเร็วๆ เพราะว่าผมจะได้....กอดเขา

   นี่อาจจะเป็นโอกาสแค่ครั้งเดียวที่ผมจะได้ทำมันก็ได้

   ที่เขาบอกว่าให้ฝันดีนี่คงยากนะเพราะดูทรงแล้วผมอาจนอนไม่หลับ ใครมันจะข่มตาหลับลงได้วะ ข่มใจให้เต้นเป็นจังหวะปกติยังทำไม่ได้เลย ในขณะที่ผมกำลังฟุ้งซ่านอยู่ในใจ อ้อมแขนของคนที่นอนอยู่ข้างๆ ก็รั้งตัวผมเข้าไปกอด สัมผัสได้ถึงมือเรียวที่กดหัวผมให้จมไปกับอกเขา เสียงที่ดังออกมานั้นมันทำให้รู้สึกดีจริงๆ

   ตึกตัก

   เสียงหัวใจของเราสองคนมัน....

   “ตัวเย็นจัง” ดั้นเมฆเอ่ยพลางลูบหัวผมเบาๆ “เพราะงั้น....ขออนุญาตกอดนะ”

   “.....”

   “เรากลัวช่อไม่สบาย”

   ถ้าพูดออกมาแบบนี้แล้วล่ะก็....ผมคงต้องปล่อยไปตามนั้น

   “.....อื้ม”

   

   [จบบันทึกพิเศษ : ช่อม่วง]



   









TBC.

สวัสดีค่า มาส่งมาสคอตให้ค่ะ เดี๋ยวมาอีกนะ

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: M A S C O T บทที่ 8 [ 6 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #14 เมื่อ06-10-2020 18:52:26 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 9 [ 7 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #15 เมื่อ07-10-2020 09:26:49 »

บทที่ 9 จอง


   “ช่วงนี้เพื่อนมึงเป็นไรวะ”

   “เหมือนคนมีความรักอะ”

   “มึงว่ามันไปมีความรักกับใคร”

   “นั่นสิ เรื่องนี้กูก็สงสัยอยู่เหมือนกัน”

   “ลองถามมันดิ๊”

   “มึงไม่ถามเองล่ะ”

   “เดี๋ยวมันด่าว่ากูเสือก แบบนั้นไม่ได้นะ กูยิ่งเป็นคนใจบางอยู่ด้วย”

   ไอ้เพื่อนเวรนี่น่าด่าชะมัด

   ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางลอกเลคเชอร์ของจ๋ายต่อ ใจอยากจะหันไปด่าอยู่หรอกแต่คิดว่าเสียเวลาก็เลยปล่อยเลยตามเลย ตอนนี้เกือบบ่าย 3 แล้วล่ะครับ พวกผมไม่ได้เรียนคาบสุดท้ายเพราะอาจารย์ติดประชุม แต่เดี๋ยวต้องไปชดเชยวันอื่นอีก บางทีก็เบื่อเหมือนกันนะ เวลาที่ต้องมีเรียนชดเชยมันจะทำให้ตารางเวลาชีวิตติดขัดอะ แต่สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือทำใจ

   จะเผาโรงเรียนทิ้งก็ไม่ได้จริงไหม

   พวกเรานั่งสะเหล่อกันอยู่แถวสนามบาสฯ ด้วยเหตุผลที่ว่าไอ้ยักษ์อยากนั่งส่องสาวและพบปะผู้คน นั่งอยู่บนห้องมีพัดลมเป่าเย็นๆ ไม่ชอบไง ตอนแรกผมกะว่าจะไม่ลงมาหรอก แต่มันงี่เง่าง้องแง้งจนน่ารำคาญ ก็เลยตัดปัญหาด้วยการตบกะโหลกมันไปทีนึงแล้วยอมลงมาด้วย ไอ้เพื่อนตัวแสบโวยวายใหญ่เลยนะแต่ผมว่ามันสมควรโดนแล้ว โทษฐานที่ทำตัวบัดซบและทำให้ผมอดแอบนั่งมองช่อม่วง

   คิดแล้วหงุดหงิดใจ

   จากวันที่ไปนอนบ้านช่อม่วงก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าๆ แล้วล่ะครับ ความสัมพันธ์ของเราสองคนก็ไม่ได้พัฒนาจากเดิมไปเท่าไหร่หรอกมั้ง ผมคิดว่างั้นนะ อยู่ที่โรงเรียนผมก็ไม่ค่อยได้คุยกับช่อม่วงเท่าไหร่ ช่วงนี้เขายุ่งเรื่องงานของสภานักเรียน ที่ผมรู้เรื่องนี้เพราะว่าเจ้าตัวบ่นให้ฟังทุกครั้งเวลาเขามาที่ MASCOT พอเห็นแบบนั้นผมเลยไม่ค่อยไปกวนเขาเท่าไหร่ เอาจริงๆ ก็คุยกันบ้างแหละแต่วันละไม่กี่ประโยคเท่านั้นเอง

   อยู่ดีดีก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเฉยๆ

   ตอนแรกผมคิดว่าเรื่องระหว่างเรามันอาจจะดีขึ้นก็ได้นะหลังจากที่ได้นอนกอดเขาน่ะ แต่มันไม่ได้เป็นไปตามที่ผมคิดเท่าไหร่ แน่ล่ะ เขาน่ะมีคนที่ชอบแล้ว ช่อม่วงคงไม่มารู้สึกอะไรกับกอดของผมนักหรอก แต่สำหรับผมแล้วมันถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เลยนะที่ได้กอดเขา และผมคิดว่านั่นอาจจะเป็นกอดแรกและกอดสุดท้ายของเราด้วย ไม่ได้อยากคิดแบบคนขี้แพ้นะแต่ผมคิดว่าตัวเองก็ไม่น่าจะใช่คนชนะอะ

   อยากเอาปากกาแทงตัวเองให้ตายๆ ไปซะ

   แม่งเอ๊ยยยย

   ผมหันหน้าไปทางจ๋าย “กูมีเรื่องอยากจะปรึกษา”

   “เรื่องไรวะ” ไอ้ยักษ์ตาวาวขึ้นมาทันที

   “มึงชื่อจ๋ายเหรอ สะเหล่อ”

   คนโดนด่าเบะปากใส่ “คนใจร้าย”

   “ก็มึงสะเหล่อจริงอะ” จ๋ายผลักหัวไอ้ยักษ์ออกไปไกลๆ ก่อนจะหันมองผม “ว่าไงครับเพื่อน จะปรึกษาอะไรกู”

   “มึงเคยแอบรักเพื่อนตัวเองป้ะวะ”

   มันหรี่ตามองผมทันที “มึงพูดแบบนี้นี่....”

   “กูหมายถึงแบบ....เพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมงานอะไรอย่างงี้ดิ ไม่ใช่พวกกู”

   “อ๋ออออ ก็เคยนะ” เจ้าตัวบอกก่อนจะยกมือลูบคอตัวเองเบาๆ “ไม่ใช่เคยดิ เพราะตอนนี้กูก็ชอบอยู่”

   “มึงชอบกูเหรอ อย่ามาตลกนะ” เสียงไอ้สะเหล่อยักษ์แทรกเข้ามาทันที

   “ไม่ใช่มึงไอ้สัส” มือเรียวโขกที่หัวไอ้ตัวแสบแรงๆ “แต่เอาจริงๆ กูคงไม่สมหวังหรอกเพราะกูคิดว่ามันก็ดีแล้วในฐานะเพื่อน ถ้ามันมากเกินกูกลัวว่าจะเสียเขาไป และถ้ากูเสียเขาไป กูคงเสียใจมาก”

   “เพราะงั้นก็จะเป็นเพื่อนกันไปแบบนี้น่ะเหรอ”

   “ไม่รู้ว่ะ ตอนนี้กูเพิ่ง 17 อะ กูว่าเรายังมีเวลาตัดสินใจในเรื่องนี้อีกเยอะ ถึงจะเจ็บปวดหน่อยมันก็คงไม่เป็นไรหรอก”

   “ก็จริงของมึง....” ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะเหลือบมองกรีซ “แล้วมึงอะ มีโมเม้นท์แอบรักเพื่อนตัวเองไหมวะ”

   “ไม่มี ชีวิตกูมีแค่หมาที่บ้านก็พอแล้ว”

   ทาสหมาที่แท้ทรู

   “ว่าแต่มึงเถอะ ชอบใครวะถึงได้มาถามอะไรแบบนี้” จ๋ายจ้องผมอย่างจับผิด ไม่ใช่แค่มันคนเดียวนะครับ ไอ้ยักษ์ก็อีกคน คิดว่าคนอย่างดั้นเมฆจะไหวหวั่นกับสายตาพวกนั้นเหรอ หึ....ไม่มีทาง

   “เปล่า กูถามเฉยๆ ”

   “โกหกกกก”

   ตื้อดึ่ง

   ผมล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาก่อนจะกดเข้าไปดูข้อความที่ไลน์แจ้งเตือน เจ้าของข้อความนั้นเป็นคนที่ผมรอแจ้งเตือนจากเขามาหลายวันอยู่เหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าจะทักมาแบบนี้

   ดีใจยังไงก็ไม่รู้

   

   CH_M : ไปเซเว่นฯ หน้าโรงเรียนกัน เรารออยู่หน้าตึก

   CH_M : ไปไหม??

   ดั้นเมฆ : ไปปปป รอเราแป๊บนะ

   CH_M : โอเค


   

   ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อ “กูจะไปเซเว่นฯ หน้าโรงเรียน พวกมึงเอาไรไหม”

   “มึงจะออกไปยังไง” ไอ้ยักษ์เอ่ยถาม

   “เออหน่า จะเอาไรไหมล่ะ ถ้าไม่เอากูไปละนะ”

   “กูไม่”

   “กูก็ไม่”

   “ยังไม่บอกอีกว่าจะออกไปยังไง”

   “มึงนี่น่ารำคาญจริง” ผมดีดหน้าผากไอ้ยักษ์แรงๆ ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น ได้ยินเสียงมันโวยวายไล่หลังด้วยแต่ช่างแม่งเถอะ ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่าหัวหน้าห้องของผมอีกแล้ว

   ผมเดินมาเรื่อยๆ จนถึงหน้าตึกก็พบกับร่างโปร่งที่ยืนรออยู่ สีหน้าของช่อม่วงดูเหนื่อยยังไงก็ไม่รู้ ช่วงนี้เขาได้พักบ้างไหมนะ ทุกครั้งที่ผมเห็นเขาทำหน้าแบบนี้แล้วก็รู้สึกเหนื่อยไปด้วยเลย อยากแบ่งเบาความเหนื่อยนั้นมาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ที่ดีที่สุดก็ทำได้แค่พูดให้กำลังใจเขาในร่างของกระต่ายกากก็เท่านั้น ใจผมอะอยากจะทักไปถามเขาทุกวันแหละว่าวันนี้เป็นไงบ้าง ทำงานเหนื่อยไหม กินข้าวรึยัง โน่นนี่นั่นแต่สุดท้ายแล้วก็ไม่กล้า

   กระจอกชิบ

   “เหนื่อยอะ” เสียงจากคนที่อยู่ข้างๆ เอ่ยบอก “อยากไปนั่งพักที่ไหนสักที่”

   “สวนสาธารณะตรงซอย 6 ไหมล่ะ เดี๋ยวเราพาช่อไปเอง”

   “เอาสิ แต่ไปซื้ออะไรกินก่อนนะ เราหิวมากเลย”

   “อื้ม แล้วงานไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม”

   “เราให้เพื่อนๆ ทำแล้วอะ เดี๋ยวค่อยมาไล่ตรวจอีกที แต่คงไม่มีอะไรแล้วแหละ หลายวันมานี้เหนื่อยกับงานเอกสารมากเลย อยากเผาทิ้งชะมัด” ช่อม่วงทำหน้ามุ่ยออกมาอย่างหงุดหงิด

   ผมหลุดหัวเราะออกมา “ทำแบบนั้นไม่ได้สิ”

   “นั่นสินะ” เจ้าตัวเดินนำผมเข้าไปในเซเว่นฯ ก่อนจะหยิบตะกร้าแล้วเดินหาของไปเรื่อย

   เราสองคนใช้เวลาในเซเว่นฯ ไม่นาน ผมเดินนำช่อม่วงมาที่รถมอเตอร์ไซค์ก่อนจะขับพาเขามาที่สวนสาธารณะซอย 6 ซึ่งช่วงบ่ายแบบนี้ยังไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่นัก ดีละ ผมจะได้ใช้เวลาอยู่กับเขาแค่สองคน ก็นะ ไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันเลยนับจากวันที่ไปบ้านเขา ผมยังจำตอนที่ตัวเองตื่นมาแล้วเห็นหน้าใสใสซุกอยู่ที่อกได้อยู่เลย ตอนนั้นใจเต้นแรงมากเลยนะครับ แถมยังไม่กล้าขยับตัวด้วยเพราะกลัวว่าเขาจะตื่น

   อดแอบถ่ายรูปไว้เลยอะ

   ผมเหลือบมองช่อม่วงนั่งกินขนมปังอยู่อย่างนั้น ทำไมบรรยากาศมันเงียบๆ แบบนี้วะ ผมควรชวนเขาคุยไหมหรือจะปล่อยให้เขานั่งกินไปเงียบๆ ก่อน เขาเหนื่อยแถมบอกว่าอยากพัก ผมกลัวว่าถ้าไปถามโน่นนี่มากมันจะกวนเขาเปล่าๆ เนี่ยะ แค่จะชวนคุยคือต้องคิดมากแบบนี้เลยนะดั้นเมฆนะ

   “ดั้นเมฆ”

   “หืม....”

   “เคยทะเลาะกับครอบครัวเพราะเขาไม่ยอมให้เราเลือกในสิ่งที่เราต้องการไหม”

   ผมส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เคยอะ ครอบครัวเราเคารพในการตัดสินใจของเรา พวกเขาให้คำแนะนำมากกว่า แต่ปกติก็ไม่ขัดเลยนะ ช่อถามแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”

   “เราทะเลาะกับพ่อน่ะ เรื่องเรียนต่อ”

   “ทะเลาะหนักเลยเหรอ”

   “ก็ไม่ได้คุยกันมา 3 วันแล้ว เอาจริงๆ เราอยากเรียนหมอแต่ว่าพ่อไม่อยากให้เรียน ทั้งๆ ที่มันเป็นความฝันของเรามาตั้งแต่เด็ก แล้วเราเองก็บอกกับแม่ไว้ว่าเราจะเป็นคุณหมอ เราสัญญากับท่านไว้แล้วด้วย เราไม่อยากผิดคำพูด”

   “งั้นช่อก็ให้แม่ลองช่วยพูดสิ”

   “แม่เราเสียไปแล้วน่ะ ตั้งแต่เราอยู่ประถมฯ”

   “เรา....เสียใจด้วยนะ” ผมบอกเสียงอ่อน นี่คงเป็นเหตุผลที่เขาเคยบอกผมตอนที่ไป MASCOT ว่าแม่ของเขาทำขนมอร่อยแล้วก็ทำหน้าเศร้าออกมา

   เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง

   “มันก็หลายปีแล้วอะนะ แต่ว่าหลังจากแม่เราเสียไม่นาน พ่อเราก็แต่งงานใหม่แล้วก็มีลูกกับผู้หญิงคนนั้น พ่อค่อนข้างทุ่มเทเวลาให้กับพวกเขามากเลย มากจนบางทีเราก็รู้สึกเสียใจนะ เราก็ลูกของเขาแต่เขาไม่ค่อยสนใจเราเท่าไหร่ บ้านที่เราอยู่นั่นก็เป็นบ้านของแม่ ทุกวันนี้เราก็อยู่กับน้าเพราะว่าแม่เลี้ยงของเราเขาไม่อยากให้เราอยู่ในบ้านที่เขาอยู่กับพ่อ”

   “แย่เลยเนอะแบบนั้นน่ะ”

   “อืม พ่อรับผิดชอบชีวิตเราโดยการส่งเงินมาให้ใช้ ซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของเขาแหละ ตอนแรกเราคิดว่ากับเรื่องเรียนจะไม่มีปัญหาแล้วแท้ๆ เพราะเขาดูไม่ได้สนใจอะไรเรานักแต่เหมือนเราจะคิดผิด เมื่อวันก่อนเขามากินข้าวกับเราที่บ้านแล้วก็ถามถึงเรื่องเรียนต่อ พอเราบอกว่าจะเรียนหมอเขาก็บอกว่าไม่ได้ เขาบอกว่าค่าใช้จ่ายมันเยอะเกินไปแล้วเขาก็ไม่มั่นใจในตัวเราว่าจะเรียนจบไหม เราเสียใจกับสิ่งที่เขาพูดมากเลยนะ อยากคว่ำโต๊ะข้าวแต่กับข้าวที่น้าชัชทำมันอร่อยมาก เรารู้สึกย้อนแย้งมากเลยตอนนั้นอะ....เมฆขำทำไม”

   “ขำที่ช่อยังห่วงกับข้าวน่ะ ถ้าเป็นเราที่เจอเรื่องแบบนี้ ต่อให้กับข้าวมื้อนั้นอร่อยแค่ไหน เราคงกินไม่ลง”

   “แม่เราสอนไว้น่ะว่าเวลาเจออะไรที่ถูกปากก็ให้กินมันอย่างมีความสุข อีกอย่างถ้าสมมุติว่าเราคว่ำโต๊ะนั้น น้าชัชอาจจะเสียใจก็ได้”

   “ก็อาจจะเป็นแบบนั้น” ผมยกมือขึ้นแตะไหล่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เบาๆ “จากเรื่องที่ช่อเล่ามา เราไม่รู้เลยว่าจะปลอบช่อยังไงดี”

   “ไม่ต้องปลอบหรอก แค่รับฟังก็พอ” เขายิ้มบางๆ ให้ผม “เมฆเป็นคนเดียวเลยนะที่เราเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง”

   “เราคนเดียวเลยเหรอ”

   “อืม เราคิดว่าถ้าคนฟังคือดั้นเมฆ เราน่าจะสบายใจน่ะ”

   ตึกตัก

   หัวใจเต้นแรงเฉยเลยว่ะ

   ผมยกมือขึ้นลูบอกตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยิบน้ำวิตามินขึ้นมาดื่มแก้เขิน หน้าแดงป้ะวะ ไม่เป็นไร ถ้ามันแดงก็แค่บอกเขาว่าผมร้อน ดีใจเหมือนกันนะที่ช่อม่วงพูดออกมาแบบนั้นน่ะ ผมเป็นคนเดียวที่เขาเล่าให้ฟัง แน่นอนว่ามันคงเป็นเรื่องจริงนั่นแหละเพราะตัวผมที่อยู่ในร่างกระต่ายกากก็ไม่รู้เรื่องนี้ มีแค่เรื่องงานเท่านั้นที่ผมรับรู้ พอเป็นแบบนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพิเศษขึ้นมานิดหน่อยเลยว่ะ

   พัฒนาเป็นดั้นเมฆชุบแป้งทอดแล้วนะครับ

   เรื่องของครอบครัวช่อม่วงถือว่าหนักหนาต่อหัวใจเขาเอาการ เขาอยากเรียนหมอเพราะมันเป็นความฝันของเขาและก็เป็นคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่เขา มันก็ไม่แปลกถ้าเจ้าตัวจะเสียใจที่ความตั้งใจของเขาโดนคำพูดที่ฟังไม่ค่อยดีเท่าไหร่จากคนเป็นพ่อพูดใส่ เป็นผมก็คงเสียใจมากเลยแหละ ผมอยากให้เขาผ่านช่วงนี้ไปได้และได้เรียนหมออย่างที่ตั้งใจไว้จริงๆ สิ่งที่ผมทำได้ก็คงเป็นการเอาใจช่วยเขาแหละนะ

   สิ่งใดที่เขาปรารถนา....ผมก็อยากให้มันเป็นไปตามนั้น

   ผมอยากเห็นเขามีความสุข

   “ดั้นเมฆ”

   “หืม....”

   “น้ำนั่นอร่อยเหรอ เราเห็นแบ๋มชอบซื้อมากิน” เขาถามก่อนจะหยิบขวดน้ำวิตามินไปดู “แบ๋มบอกว่ากินแล้วจะรู้สึกชื่นใจ”

   “ก็ใช่แหละมั้ง เราว่ารสชาติมันเหมือนน้ำใบเตยที่ไม่หวานอะ”

   “แต่มันเขียนข้างๆ ไว้ว่ามีส่วนผสมของน้ำเก๊กฮวยนะ”

   “มันก็ใช่ แต่ช่อลองกินดิ มันเหมือนน้ำใบเตยจริงๆ ”

   “เรากินได้เหรอ” เขามองผมตาใส “หลอดเดียวกันเลยนะ”

   “ถ้าช่อไม่รังเกียจก็....” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เขาก็งับหลอดพร้อมกับดูดน้ำในขวดทันที เนี่ยะ จะทำตัวน่ารักให้ผมใจเต้นแรงไปถึงไหนกันวะ

   งั้นขอเอาคืนสักนิดนึงเถอะ

   “เหมือนน้ำใบเตยจริงๆ ด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้เราซื้อกินบ้างดีกว่า” เขาส่งขวดน้ำมาให้ผมพร้อมกับยิ้มหวาน “ขอบใจที่ให้เราชิมนะ”

   ผมพยักหน้ารับแล้วยิ้มแป้นให้ เอาล่ะ คิดสิดั้นเมฆคิด เราจะใช้แผนไหนดีในการทำให้ช่อม่วงหน้าแดงแล้วหัวใจเต้นแรงเหมือนที่เราเป็น มันเป็นเรื่องไม่ง่ายซะด้วยสิ ผมมองขวดน้ำวิตามินที่อยู่ในมือก่อนจะค่อยๆ หมุนมันไปมา ทำไมมันยากจังวะ อาจเพราะผมไม่เก่งเรื่องนี้รึเปล่ามันก็เลยคิดไม่ค่อยออก ที่คิดออกก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเวิร์คไหม แต่ให้คิดอย่างอื่นมันก็ไม่ได้แล้วอะ

   ลองดูก่อนละกัน

   “ช่อม่วง”

   “ว่า...”

   “เราชอบกินน้ำวิตามินนี่ใช่ป้ะ” ผมชูขวดน้ำให้เขาดู

   เจ้าตัวพยักหน้ารับ “อืม แล้วไงต่อ”

   “เราคิดด้วยนะว่าถ้าเรามีโอกาสได้อยู่กับคนที่ตัวเองชอบ เราจะทำสิ่งๆ นึง”

   “ทำอะไรเหรอ”

   “เราก็จะบอกเขาว่า....ขอมือหน่อย” ผมแบมือไปทางช่อม่วง เขาเองก็มองอย่างงงๆ “....เร็ว”

   มือเรียววางบนมือผม “เมฆจะทำอะไรอะ”

   “เราก็จะทำแบบนี้” ผมเปิดฝาขวดน้ำออกก่อนจะสวมส่วนที่เป็นรูเข้าไปในนิ้วนางของเขา “แล้วก็....”

   “แล้วก็....”

   “เราจะบอกเขาว่า....” ผมเอียงหัวเข้าไปใกล้หัวช่อม่วง “ขอจองนะ”

   “.....”

   “ร้อนเหรอช่อ”

   “ทำไมเมฆถามแบบนั้นอะ”

   “ก็....แก้มแดงเชียว” ผมหลุดยิ้มออกไปทันทีเมื่อเห็นเขายกมือขึ้นปิดแก้มตัวเองทั้งสองข้างพร้อมกับหันหน้าหนีไปทางอื่น อาการแบบนี้แปลว่าเขินกับสิ่งที่ผมทำเมื่อกี๊สินะ

   น่ารักจัง

   ช่อม่วงหันกลับมามองผม “ใช่ เราร้อน” ว่าแล้วมือเรียวก็หยิบขวดน้ำของผมไปกระดกจนหมด

   “กินน้ำเยอะขนาดนั้น หายร้อนรึยังล่ะหืม....”

   “หายแล้ว” เขาส่งขวดน้ำคืนให้ผมก่อนจะยิ้มหวาน “น้ำหมดแล้วก็คงไม่จำเป็นต้องปิดฝาเนอะ เพราะงั้น....”

   “เพราะงั้น....”

   “เราขอฝาขวดน้ำละกัน”

   ฉ่า

   เอาว่ะ มาว่ะ

   “อืมมมม....” ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง “ช่อทำเราร้อนนะ”

   “ทีนี้ก็เจ๊ากันละ” เขายิ้มแป้นก่อนจะเก็บขยะทั้งหมดใส่ถุง “กลับโรงเรียนกันเถอะ เราอิ่มแล้ว ขืนยังอยู่ตรงนี้เดี๋ยวจะได้ร้อนกันอีก”

   “นั่นสินะ” ผมยิ้มรับคำเขาก่อนจะเดินตามไปที่รถมอเตอร์ไซค์ อา....เหตุการณ์เมื่อกี๊มันทำให้ใจเต้นแรงชะมัดเลยว่ะ แต่มันก็มีความสุขดีนะ

   ผมอยากให้มีช่วงเวลาดีดีแบบนี้กับเขาทุกวันจริงๆ แต่เรื่องพวกนี้คงจะไม่เกิดขึ้นถ้าผมยังไม่กล้าที่จะทำอะไรหลายๆ อย่างซึ่งผมคิดว่าหลังจากนี้ ผมควรจะแสดงออกให้มากกว่านี้ จริงอยู่ว่าเขามีคนในใจแต่ผมก็จะต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อไล่ไอ้เวรนั่นออกไปจากใจเขาให้ได้ ที่ตรงนั้นมันต้องเป็นของผม ช่อม่วงควรเป็นของดั้นเมฆสิ มันควรเป็นแบบนั้นเพราะฝาขวดที่ผมสวมให้มันชัดเจนว่า....ผมจองเขาแล้ว

   เพ้อให้ไกลแล้วต้องไปให้ถึง

   สู้ต่อไปนะดั้นเมฆ

   สู้ ต่อ ไป . . . .



   







TBC.

สวัสดีค้าบ มาส่งมาสคอตแล้วน้า เดี๋ยวมาส่งอีกนะคับ

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 10 [ 12 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #16 เมื่อ12-10-2020 15:13:43 »

มุมที่แตกต่าง



   “แล้วทำไมคาโลต้องบดไข่มุกให้เฟรินกินด้วยอะ”

   “ก็เพื่อรักษาไง ไข่มุกของเจ้าชายเปรียบเหมือนยาอายุวัฒนะ กูว่าเจตนาของคาโลก็ชัดๆ อยู่คืออยากให้เฟรินหาย”

   “แล้วทำไมคาโลไม่ให้หมอที่อยู่ในคฑามารักษาล่ะ”

   “คาโลก็ให้หมอมารักษาเฟรินไง” ผมเลิกคิ้วมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “มึงอ่านจริงป้ะเนี่ยะยักษ์”

   “กูคิดว่าอ่านจริงนะ หรือข้ามไปวะ”

   “มึงนี่มันน่าตบด้วยหนังสือจริงๆ เลย”

   “อย่าครับอย่า หนังสือเล่มหนาขนาดนี้ ถ้ามึงเอาฟาดกูขึ้นมาแล้วกูตายไป เวรกรรมจะตกอยู่กับมึงเลยนะ ดีไม่ดีติดคุก ส่วนกูเป็นผีก็จะเฮี้ยนมากและตามหลอกหลอนมึงทุกชาติไป”

   เพ้อเจ้อชิบหาย

   ผมส่ายหัวอย่างเอือมๆ ให้กับจินตนาการของเพื่อนรัก ช่วงนี้เวิ่นเว้อเก่งมากเลยนะเพื่อนผมน่ะ ปกติก็เป็นคนพูดจาเลอะเทอะอยู่แล้วแต่เดี๋ยวนี้ชักเริ่มจะเลอะเทอะหนัก มันเป็นเพราะผมแนะนำวรรณกรรมให้มันอ่านรึเปล่าวะ ก็อาจจะใช่ แต่กับคนอื่นที่ผมแนะนำให้ก็ไม่เป็นอะไร เนี่ยะ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่วรรณกรรมละ

   ปัญหาอยู่ที่ไอ้ยักษ์

   ตอนนี้ผมนั่งอ่านวรรณกรรมอยู่แถวสนามบาสฯ ครับ ตอนนี้กำลังพักกลางวัน อีกสักพักเลยกว่าจะเข้าเรียน ผมเลยอาศัยเวลานี้มานั่งชิวรับลมเย็นๆ กับเหล่าสหาย วรรณกรรมที่กำลังอ่านอยู่ชื่อเรื่องว่าหัวขโมยแห่งบารามอส มันเป็นหนังสือที่ผมชอบมากเลยนะ เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่นักเขียนเป็นคนไทย เนื้อหาของมันออกแนวแฟนตาซีและสอดแทรกแนวคิดหลายอย่างเอาไว้

   ผมได้อะไรดีดีจากวรรณกรรมชุดนี้เยอะมาก

   เมื่อก่อนผมว่าตัวเองใจร้อนกว่านี้นะครับแต่น่าจะเป็นเพราะได้อ่านหนังสือยาวๆ นี่แหละ มันก็เลยช่วยทำให้ใจเย็นขึ้นมานิดหน่อย การอ่านหนังสือมันทำให้มีสมาธิ การที่เราคิดภาพตามในหัวมันดูเป็นอะไรที่วิเศษไปเลยเนอะ คนที่เป็นนักเขียนแล้วคิดเรื่องราวพวกนี้ขึ้นมาได้นี่สุดยอดจริงๆ เขาต้องคิดเยอะขนาดไหนถึงแต่งวรรณกรรมแบบนั้นออกมาได้นะ ถ้ามีโอกาสได้เจอเขาผมอยากกระโดดกอดจริงๆ

   เขาจะคิดว่าผมเป็นโรคจิตไหม

   “ไอ้เมฆ!!!!”

   ผมหันไปมองตามเสียงก็พบกับเพื่อนจ๋ายที่วิ่งหน้าตาตื่นมา “มีอะไร ตะโกนมาซะดังเลย”

   “ช่อม่วง”

   “มึงใจเย็นๆ ก่อนนะ” ผมปรามเมื่อเห็นมันหายใจไม่ทัน “ช่อม่วงทำไม”

   “ช่อม่วงมีเรื่องกับพวกห้องสองอะดิ”

   “ที่ไหน”

   “หลังตึก” พอได้ยินแบบนั้นผมก็รีบวิ่งไปที่หลังตึกตามคำบอกของจ๋ายทันที มันแปลกๆ อยู่นะที่คนอย่างช่อม่วงจะไปมีเรื่องกับคนอื่นเพราะปกติเขาไม่ค่อยสุงสิงกับใคร

   เกิดอะไรขึ้นวะ

   เสียงเอะอะโวยวายดังเข้ามาในหู ผมรีบเดินเข้ามาตรงที่มีคนยืนประจันหน้ากันอยู่เป็นกลุ่ม พวกนั้นเป็นเด็กห้องสองครับ ส่วนอีกฝั่งคือหัวหน้าห้องของผมเอง ช่อม่วงยืนเถียงอะไรกับพวกนั้นสักอย่าง ดูท่าแล้วเหมือนจะโมโหมากซะด้วย สายตาแบบนี้ผมไม่เคยได้เห็นเลย ตอนนี้คือสงสัยมากว่าเขามีเรื่องอะไรกัน แล้วเรื่องมันใหญ่ขนาดไหนถึงทำให้คนอย่างช่อม่วงโมโหได้

   “เกิดอะไรขึ้นอะช่อ” ผมเอ่ยถามพลางมองเด็กห้องสองที่ยืนเท้าเอวมองอย่างเอาเรื่อง ดูนักเลงสุด นี่พร้อมบวกเลยสินะ

   “เรื่องงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์น่ะ กิจกรรมที่เราเสนออาจารย์ไปโดนห้องสองลอกไปทั้งหมด”

   “มึงพูดให้ดีดีนะช่อม่วง ใครลอกงานห้องมึง” เสียงของกิ๊ฟที่เป็นหัวหน้าห้องสองพูดออกมาอย่างฉุนเฉียว

   “ถ้าฉลาดมากพอก็น่าจะรู้อยู่อะนะ” ช่อม่วงเอ่ยพลางมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า “หรือว่าโง่ล่ะ”

   “มึง!!!!”

   “เห้ยกิ๊ฟ เย็นก่อน” เพื่อนของกิ๊ฟรั้งแขนเอาไว้เมื่อร่างบางเดินเข้ามาเหมือนจะเอาเรื่อง ผมมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างหวั่นใจ กลัวอยู่ว่าจะมีการลงไม้ลงมือ พวกผู้ชายฝั่งนั้นก็ดูเดือดอยู่ไม่น้อยเลย

   “ก็มันด่ากูอะ”

   “ทำไม พูดความจริงแล้วรับไม่ได้เหรอ”

   “ใจเย็นนะช่อม่วง” ผมลูบแขนเจ้าตัวเบาๆ เชิงปราม ไม่อยากให้เขามีปัญหากับใครเลยครับ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมได้เห็นเขาเป็นแบบนี้ ปกติแล้วช่อม่วงจะดูเป็นคนใจเย็น มีอะไรก็ค่อยๆ พูดด้วย

   ปัญหารอบนี้น่าจะหนักจริง

   “พอได้แล้วมั้งมึงอะ จะมาดิ้นอะไรนักหนาวะ พวกกูเอาแรงบันดาลใจมาจากกิจกรรมที่เคยไปทำมาจากที่อื่นหรอก แล้วก็ไม่มีหลักฐานป้ะว่าห้องกูไปลอกมา มัวแต่เห่าอยู่ได้ เป็นคนหรือหมาวะ” ผู้ชายของห้องสองพูดขึ้นมา ผมได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกหงุดหงิดทันที ใช้คำพูดแรงถึงขนาดนั้น นี่ถ้าไอ้ยักษ์อยู่ตรงนี้นะ แม่งคงพุ่งไปซัดแล้วล่ะ

   “แผ่นงานกิจกรรมของห้องเราส่งก่อนที่โต๊ะอาจารย์วันณี ห้องสองไปส่งทีหลังแล้วก็อีกวันด้วยซ้ำ ถ้ามาบอกเราดิ้นงั้นให้เราไปทำเรื่องขอดูกล้องวงจรปิดไหมล่ะ มันจะได้รู้ว่าอะไรมันเป็นยังไง ใครหมาไม่หมาจะได้รู้” ช่อม่วงเหยียดมองเด็กห้องสอง “ลอกมาทั้งแผนแล้วยังมีน้ำหน้ามาเปิดการ์ดแรงบันดาลใจ ทุเรศ”

   “มึงงงง”

   พลั่กกกก

   “ดั้นเมฆ” เสียงของช่อม่วงดังขึ้นอย่างตกใจหลังจากที่ผมสะเหล่อยื่นหน้าเข้ามารับหมัดแทน ซี๊ดดดด....เจ็บชิบหาย นานแค่ไหนที่ไม่ได้โดนต่อยวะ ไอ้เวรนี่ก็หมัดหนักซะด้วย

   “มึงมาขวางทำไมวะ หรือมึงจะเอาอีกคน” มือหนากระชากคอเสื้อผม “เรื่องของกูกับมัน มึงจะเสือกทำไม”

   “ช่อม่วงเป็นเพื่อนกู” ผมบอกก่อนจะผลักมันออกจนเซไปชนเพื่อนๆ ด้านหลัง “เก่งมากเลยดิพวกมึงอะ มาก็มากันเป็นฝูง ถ้าไม่มีพวกจะปากดีขนาดนี้ไหมห้ะ”

   “ไอ้ดั้นเมฆ!!!!”

   “จัดจ้านนักก็ไปเจอกูวันนี้ด้วยที่สวนซอย 7 มึงจะเอาพวกไปเยอะขนาดไหนก็เรื่องของมึง แต่ฝั่งกูมีสี่คน” ผมมองฝั่งตรงข้ามอย่างสมเพช “หวังว่าจะเอาปากหมาๆ มาให้กูประทับรอยตีนนะ”

   “ได้ไอ้สัส มึงเจอกูแน่”

   “ขอให้เจอเถอะ ไปช่อม่วง” ว่าแล้วผมก็ลากช่อม่วงมาจากตรงนั้น ไม่ได้อยากจะยอมแต่การมีเรื่องกันในโรงเรียนมันเป็นเรื่องที่ไม่ดีถ้าอาจารย์จับได้ เพราะงั้นไว้ไปซัดกันข้างนอกจะดีกว่า

   ถึงตอนนั้นจะไม่ยั้งแรงเลย

   ผมไม่ใช่คนยอมคนและนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมีเรื่องกับชาวบ้านชาวช่อง ผมไม่ได้เก่งหรือเจ๋งอะไรหรอกนะ รู้ตัวด้วยว่าการเคลียร์กันด้วยการลงไม้ลงมือหรือการใช้ความรุนแรงมันไม่ดี แต่เรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับอารมณ์ล้วนๆ เลยครับ ผมไม่ใช่คนใจเย็นมากพอที่จะปล่อยให้คนพวกนั้นทำอยู่ฝ่ายเดียว มันผิดตั้งแต่เรื่องลอกแผนงานกิจกรรมแล้ว ทำไมวะ เรื่องแค่นี้คิดกันเองไม่ได้เหรอถึงต้องมาลอกกันเนี่ยะ

   ทุเรศจริงๆ แบบที่ช่อม่วงบอกแหละ

   แผนงานกิจกรรมงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นงานที่สำคัญมากของเด็กแผนวิทย์ฯ อะ ผมไม่เห็นว่าห้องหนึ่งกับห้องสี่จะมีปัญหาเลย พวกนั้นก็ดูคิดงานกันได้ แต่ทำไมห้องสองถึงทำเองไม่ได้ก็ไม่รู้ ผมเชื่อแบบสุดใจเลยนะว่าห้องสองลอกงานเราไปจริงๆ เพราะการที่ช่อม่วงจะกล่าวหาเรื่องแบบนี้ใส่ใครก็แปลว่าเขาต้องรู้มาจริงๆ และคงมีหลักฐานด้วย ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงใครจะกล้าพูด

   เรื่องไม่ใช่เรื่องเล็ก

   “ดั้นเมฆ”

   “ทำแผลให้หน่อยนะ” ผมบอกเขาก่อนจะลากเจ้าตัวมาจนถึงห้องพยาบาล “ผมขอที่ทำแผลหน่อยครับอาจารย์ พอดีล้มแล้วปากแตก”

   “ไปล้มท่าไหนของเธอเนี่ยะหืม....” อาจารย์ประจำห้องพยาบาลหยิบอุปกรณ์ทำแผลให้ผม “ให้ครูทำให้ไหม”

   “ไม่ครับ ผมขอแค่ยาพอ” ผมหยิบอุปกรณ์ทั้งหมดก่อนจะเดินนำออกมาจากห้องพยาบาล จุดมุ่งหมายคือสวนพฤกษาครับ เพราะว่ามันเงียบและคงจะดีถ้าผมได้นั่งคุยกับช่อม่วงที่นั่น

   ใช้เวลาไม่นานเราสองคนก็เดินมาจนถึงสวนพฤกษา ผมนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่โดยมีช่อม่วงเดินมานั่งลงข้างๆ มือเรียวเปิดขวดแอลกอฮอล์ก่อนจะเริ่มเช็ดที่ขอบปากให้ผม อื้มมมม.....โคตรแสบ เอาจริงๆ เขามือเบาอยู่แหละแต่มันก็เจ็บอยู่ดีป้ะวะ ไงล่ะดั้นเมฆ พระเอกสุดๆ เลย ยื่นหน้าไปรับหมัดแทนเขา แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเย็นนี้ก็ได้เอาคืนละ ความเจ็บที่ได้รับมานี้ ผมจะคืนกลับไปสักร้อยเท่า

   เอาให้แดกข้าวไม่ได้เลยคอยดู

   “เจ็บมากไหม”

   “เจ็บดิ”

   “เมฆไม่น่ามารับหมัดแทนเราเลย”

   “เราเจ็บ....ดีกว่าช่อเจ็บ”

   “ไม่ดี”

   “ทำไมคิดงั้นล่ะ”

   “เราไม่อยากเห็นเมฆเจ็บ” นิ้วเรียวแตะเบาๆ ที่มุมปากผม “ขอโทษนะ ที่เราทำให้เมฆเป็นแบบนี้น่ะ”

   “เราไม่เป็นไรมากหรอก อย่างมากก็อาจจะเคี้ยวข้าวไม่ถนัดเท่าไหร่” ผมพูดติดตลกเพื่อหวังให้คนด้านหน้ายิ้มได้และมันก็เป็นไปตามที่ผมคิด ช่อม่วงหลุดยิ้มออกมาด้วยครับ เนี่ยะ เห็นแค่นี้ก็หายเจ็บแผลแล้ว

   “ยังตลกได้นะ เอาจริงๆ เราตกใจเหมือนกันที่พวกนั้นลงไม้ลงมือ แต่ที่ตกใจกว่าคือเมฆนัดไปเจอกันที่สวนอีก เราไม่อยากให้เมฆไปเลย”

   “ไม่ได้หรอก พูดไว้แล้วก็ต้องไป เราไม่ใช่คนผิดคำพูด อีกอย่างมันด่าช่อแล้วมันก็ต่อยเรา นั่นเป็นเรื่องที่เราคงไม่ปล่อยไป”

   “ถึงเมฆจะบอกแบบนั้นเราก็ไม่อยากให้ไปอยู่ดี” ช่อม่วงเขี่ยผมที่ปรกหน้าผมออกเบาๆ “เราเป็นห่วงเมฆนะ....มากเลยด้วย”

   ตึกตัก

   ทำไมหัวใจเต้นแรงแบบนี้วะ

   ผมมองช่อม่วงอยู่อย่างนั้น สายตาที่แสดงออกมามันยืนยันในสิ่งที่เขาพูดได้ดี รู้ว่าช่อม่วงเป็นห่วงขนาดนี้งั้นผมต้องกลับมาแบบไร้รอยขีดข่วนแล้วแหละ เรื่องนี้ไม่ยากนักหรอกครับ ผมคิดว่าตัวเองทำได้อยู่แล้ว อีกอย่างคือไม่ได้จะไปวอร์คนเดียวด้วย เรื่องนี้ต้องรู้ถึงหูเพื่อนๆ ผม ไอ้สามแสบมันก็ไม่ธรรมดาป้ะวะ ถ้ามันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นคงจะไม่ชอบใจน่าดู

   ไอ้ยักษ์นี่น่าจะอาละวาดได้เลยล่ะ

   ผมยิ้มแป้นให้ช่อม่วง “ไม่ต้องเป็นห่วงเรานะ เราจะไม่เป็นอะไร”

   “เมฆห้ามความเป็นห่วงเราไม่ได้หรอก แต่ถ้ายังดึงดันจะไปก็ต้องสัญญากันก่อนว่าจะไม่เป็นไร” นิ้วก้อยเรียวยื่นมาตรงหน้าผม

   “สัญญาครับ” ผมยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวนิ้วเขา “เราจะไม่เป็นไร ถ้าผิดคำพูดนะ ช่อเตรียมหาไม้มาตีเราได้เลย”

   “ไม่เอา บอกแล้วไงว่าไม่อยากเห็นเมฆเจ็บ”

   “อ่อนโยนจัง” ผมมองนิ้วก้อยของเราที่เกี่ยวกันก่อนจะมองตาคนตรงหน้า “ช่อรู้ไหมว่าบางครั้งเราก็คิดว่าตัวเองโชคดีที่ได้เห็นมุมอ่อนโยนของช่อแบบนี้”

   “ความจริงเมฆโชคดีมากกว่านั้นอีก”

   “ยังไงอะ”

   “มุมอ่อนโยนที่เรามี....”

   “......”

   “เมฆเป็นคนเดียว....ที่ได้เห็นมัน”

   

***

   

   “พี่จะทำยังไงกับเมฆดีหืม....ตีสักสามทีดีไหม”

   ผมส่ายหน้ารัวๆ “ไม่ดีครับ แค่นี้เมฆก็เจ็บมากพอแล้ว”

   “รู้ว่าเจ็บแล้วยังจะไปมีเรื่องอีก” พี่อินคว้ามือผมที่เป็นรอยแดงขึ้นมาดู “ดีนะว่าเป็นแค่นี้ ถ้าเมฆเป็นอะไรไปมากกว่านี้พี่ต้องรู้สึกผิดต่อป่ะป๊ากับหม่าม้ามากแน่ๆ ”

   “เมฆขอโทษนะครับ เมฆจะไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้ว”

   “อืม แล้ววันนี้ทำงานไหวรึเปล่าล่ะ”

   “ไหวครับ งั้นเดี๋ยวเมฆไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” ว่าแล้วผมก็รีบชิ่งมาที่ห้องแต่งตัวหลังร้านทันที เกือบตายแล้วไหมล่ะดั้นเมฆ นี่ดีนะว่าพี่อินยังปรานีผมอยู่

   ตอนนี้เกือบ 1 ทุ่มแล้วครับ ผมกลับมาร้านช้ามากเพราะไปเคลียร์กับพวกเด็กห้องสองมา แน่นอนว่ามันเป็นการเคลียร์ด้วยกำลัง ผมไปซัดกันมาเรียบร้อยและผลปรากฏว่าฝ่ายนั้นก็ยับเยินไปตามที่ผมตั้งใจเอาไว้ พรุ่งนี้คงไปโรงเรียนด้วยสภาพที่หน้าเขียวตาโปนแน่ๆ ส่วนฝั่งผมและเหล่าสหายก็ได้แผลมานิดหน่อยเท่านั้น นี่ถือว่าผมยังรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับช่อม่วงได้อยู่ว่าจะไม่ทำให้ตัวเองเป็นอะไรไป

   แบบนี้เขาคงโล่งใจแล้วล่ะ

   เหตุการณ์เมื่อเย็นคือสะใจมากครับ ไอ้ที่แค้นๆ เมื่อเที่ยงก็หายเป็นปลิดทิ้ง แต่เอาจริงๆ การใช้กำลังแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดี เอาเป็นว่าครั้งหน้าผมจะใช้สติแก้ปัญหาให้มากกว่านี้แล้วก็จะพยายามไม่ทำอะไรฉุนเฉียวอีกแล้ว ไม่อยากให้มีคนต้องมาลำบากหรือเป็นห่วง ไม่อยากให้ใครหลายๆ คนไม่สบายใจด้วย ผมจะต้องกลับไปเป็นดั้นเมฆที่สงบเสงี่ยมและเจียมตัว ถ้าสมมุติว่าเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นก็จะส่งไอ้ยักษ์ไปไฟท์แทน

   มันคนเดียวก็เอาอยู่ละ

   ใช้เวลาสักพักในการเปลี่ยนชุดก่อนจะออกมาด้านนอก ลูกค้าเยอะเหมือนอย่างกับทุกวันเลย ไม่รู้ว่าวันนี้ช่อม่วงจะมารึเปล่า ใจผมก็อยากให้เขามาแหละ อยากเจอหน้าไงไม่ใช่อะไร เมื่อตอนเที่ยงที่เราอยู่ด้วยกันผมมีความสุขมากเลยนะครับ สิ่งที่ช่อม่วงพูดออกมามันดีต่อใจผมมากถึงมากที่สุด ผมคือดั้นเมฆชุบแป้งทอดจริงๆ นั่นแหละ เขาถึงแสดงมุมอ่อนโยนให้ผมเห็นคนเดียว

   เขินว่ะ

   เขินทะลุหัวกระต่ายกากแล้วเอาจริงๆ

   “ไวท์”

   ผมหันไปตามเสียงเรียก “ว่าไงครับพี่บราวน์”

   “รบกวนนำขยะไปทิ้งให้หน่อยสิครับ มันล้นแล้ว”

   “ได้ครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” ผมรับคำก่อนจะหยิบถุงขยะที่อยู่ด้านในเคาน์เตอร์ออกไปทิ้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมออกมาด้านนอกในรูปลักษณ์แบบนี้ จำได้เลยว่าครั้งแรกที่ออกมามีเด็กตกใจกลัวจนร้องไห้ด้วย

   ครั้งที่สองมีหมาเห่า

   คือที่ทิ้งขยะมันจะอยู่ถัดจากร้านมาสักสิบเมตรได้ ปกติผมจะเอาขยะมาทิ้งตอนเก็บร้านแต่วันนี้ขยะมันเยอะเกิน ถ้ารอเอามาทิ้งทีเดียวก็จะเกะกะไปสักหน่อย อีกอย่างเรื่องความสะอาดถือว่าสำคัญมากสำหรับร้านขนมนะครับ

   “คะ....คุณกระต่าย”

   เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง ไม่ต้องหันไปมองก็รู้เลยครับว่าเป็นใคร เหมือนฟ้าจะเข้าข้างผมนะวันนี้ ได้อยู่กับช่อม่วงเมื่อเที่ยงแล้วยังจะได้เจอกันตอนกลางคืนอีก เนี่ยะ โชคดีกว่าดั้นเมฆไม่มีอีกแล้ว

   “ว่าไงครับคุณลูกค้า” ผมหันกลับมาหาเขา “ทะ....ทำไมหน้าคุณ”

   “ฮึกกกก....คุณกระต่าย....ฮือออ...อ.....” ร่างโปร่งโผเข้ามากอดผม เขาร้องไห้อยู่อย่างนั้น ช่อม่วงเป็นอะไรทำไมถึงร้องไห้

   “......” ผมยกมือขึ้นลูบหัวเขาเบาๆ เชิงปลอบ คนที่อยู่อ้อมแขนกอดผมแน่นเหมือนต้องการหาที่ยึดเหนี่ยว ผมไม่เคยเห็นช่อม่วงเป็นแบบนี้เลยสักครั้ง

   ตอนที่ผมเห็นใบหน้าขาวเมื่อกี๊ ตกใจมากเลยครับ หน้าของช่อม่วงมีรอยช้ำเต็มไปหมด ตรงมุมปากเขาก็แตกซึ่งผมไม่รู้เลยว่าเขาไปโดนอะไรมา ใครกันที่ทำให้ช่อม่วงเป็นแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นน้ำตาของเขา ผมไม่อยากให้เขาอยู่ในสภาพแบบนี้เลย ยิ่งได้ยินเสียงเขาร้องไห้ ใจผมก็ยิ่งเจ็บปวด ช่อม่วงต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ

   ผมเองก็ไม่ต่างกัน

   “ฮืออออ....” เขาผละออกก่อนจะมองผม “คุณ....”

   “เป็นอะไรครับ บอกผมได้ไหม”

   “ผม....ทะเลาะกับพ่อ ขะ....เขาทำร้ายผม มันแย่มากเลยคุณกระต่าย....ฮึกกก....ผมเจ็บ”

   “อื้มมม....อย่าร้องเลยนะครับคนเก่ง” ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เขาเบาๆ “ผมไม่อยากเห็นน้ำตาของคุณเลย”

   “.....ผมคิดว่าตัวเองทนไหวกับทุกอย่างมาตลอด แต่วันนี้มันเกินไป ทั้งปัญหาที่โรงเรียนก็มากพอแล้ว ผมไม่คิดเลยว่ากลับมาบ้านแล้วผมจะเจออะไรแบบนี้ ผมไม่คิดเลยว่าเรื่องวันนี้จะเกิดขึ้น”

   “แล้วคนอื่นที่บ้านคุณ ไม่มีเลยเหรอครับ”

   “น้าของผมไปทำงานต่างจังหวัดเมื่อเช้า อีกหลายวันกว่าเขาจะกลับ....ฮึกกก....ถ้าน้าผมอยู่ มันคงไม่เป็นแบบนี้”

   ....อย่างนี้นี่เอง

   “ไม่เป็นไรนะครับ” ผมเกลี่ยแก้มคนตรงหน้าเบาๆ “ผมอยู่ตรงนี้กับคุณนะ ผมพร้อมจะรับฟังคุณทุกอย่าง....คุณไม่ได้ตัวคนเดียวนะครับ”

   “ขอบคุณนะครับคุณกระต่าย...ฮึก...” เขาขยับเข้ามากอดผมอีกครั้ง “.....ขอบคุณ”

   ผมยืนลูบหัวช่อม่วงเบาๆ ปล่อยให้เขาได้ระบายสิ่งที่มันอัดอั้นอยู่ด้านใน คนที่ดูเข้มแข็งอยู่ตลอดมันไม่ได้หมายความว่าเขาจะรับกับทุกอย่างไหวจริงๆ ผมเสียใจนะที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้มากนักทั้งๆ ที่เห็นเขาเศร้าขนาดนี้ ปัญหาที่ช่อม่วงเจอมามันค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ ถึงขั้นมีการลงไม้ลงมือ ถึงจะเป็นพ่อลูกแต่ผมว่ามันเกินไป อยากรู้เรื่องให้มากกว่านี้นะแต่คงต้องรอให้เจ้าตัวอาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน

   อย่างน้อยผมก็หวังให้เขาหยุดร้องไห้

   “คุณคิดรึยังครับว่าจะทำยังไงต่อสำหรับวันนี้”

   “....ผมขออยู่แบบนี้สักพัก” เขาเอ่ยออกมาเบาๆ “นะครับคุณกระต่าย”

   ถ้านั่นคือคำขอของช่อม่วงล่ะก็....

   “ได้สิครับ”

   เท่าที่คุณต้องการเลย....









TBC.

สวัสดีค่าชัลมาส่งมาสคอตแล้วน้า ขอโทษด้วยที่ทิ้งช่วงเป็นพักๆ ตอนนี้ประสบปัญหาสุขภาพ กล้ามเนื้ออักเสบอยู่ค่ะ แต่ดีขึ้นแล้วนิดหน่อย จะรีบรีไรท์ลงนะค้าบ

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi TH น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ

ออนไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 777
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
Re: M A S C O T บทที่ 10 [ 12 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #17 เมื่อ12-10-2020 21:06:19 »

 o13

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 11 [ 16 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #18 เมื่อ16-10-2020 00:35:27 »

บทที่ 11 ช่อม่วง



   ปิ๊งป่อง

   เจ้าของห้องโผล่หน้าออกมาก่อนจะยิ้มหวานให้ “ดั้นเมฆ”

   “เราขอรบกวนหน่อยนะแบ๋ม”

   “ไม่ได้รบกวนหรอก เข้ามาเลย” ร่างบางเปิดประตูให้ ผมเดินเข้ามาในคอนโดฯ ของบ๋อมแบ๋มพลางมองซ้ายมองขวา ห้องกว้างใช้ได้เลยนะเนี่ย ดูทรงแล้วคอนโดฯ ห้องนี้น่าจะแพงเอาเรื่อง

   “แบกอะไรมาเยอะแยะเลย”

   “อ๋อ เรากะว่าจะมาทำขนมให้กินด้วยอะ เดี๋ยวขอยืมครัวหน่อยนะ” ผมบอกก่อนจะวางของทั้งหมดไว้ที่เคาน์เตอร์ครัว

   “ตามสบายเลย เราเพิ่งรู้นะว่าเมฆทำขนมเป็นด้วย”

   “คุณย่าสอนน่ะ แล้วนี่ช่อม่วงอยู่ไหนเหรอ”

   “ในห้องนอนอะ เมฆเข้าไปปลุกช่อละกัน เดี๋ยวเราออกไปซื้อของแป๊บนึง”

   “โอเค” ผมรับคำพลางมองเจ้าของห้องเดินออกไป

   เมื่อวานที่ช่อม่วงมาหาผมที่ร้าน สภาพเขาคือโดนทำร้ายมา เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่าคนที่ทำร้ายก็คือพ่อของเขาเอง ผมไม่เข้าใจพ่อของช่อม่วงเลยสักนิด ถึงจะมีปัญหากันยังไงแต่ก็ไม่ควรทำร้ายร่างกายกันขนาดนั้น นี่ดีนะว่ามันตรงกับช่วงวันหยุดพอดี เลยพอมีเวลาให้ช่อม่วงได้พักหน่อย เอาจริงๆ เมื่อคืนผมเป็นห่วงเขามากเลยนะ อยากจะให้เขามาค้างที่บ้านด้วยซ้ำแต่ติดตรงที่ว่าผมเป็นกระต่ายกากอยู่ไง

   ความจะแตกเอา

   ผมเลยบอกให้ช่อม่วงติดต่อเพื่อนสักคนแล้วก็ขอไปค้างด้วย ซึ่งคอนโดฯ ของบ๋อมแบ๋มถือว่าโอเคอยู่เพราะเธออยู่คนเดียวแถมยังสนิทที่สุด ถ้าจะฝากเขาไว้กับใครสักคนก็ต้องบ๋อมแบ๋มนี่แหละ ผมว่าช่อม่วงน่าจะโทรบอกน้าเขาเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วนะ เมื่อคืนหลังจากที่เลิกงานผมก็ทำเนียนโทรไปหาช่อม่วงด้วย ก็นั่นแหละ เขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ผมปลอบเขาไปแล้วบอกวันนี้จะมาหา

   จะมาทำขนมให้กินด้วย

   ผมเดินเข้ามาในห้องนอนก็พบกับร่างโปร่งที่ซุกอยู่ในผ้าห่ม ตอนนี้ 10 โมงกว่าแล้วนะครับแต่เหมือนคนขี้เซาจะยังไม่ตื่น ใจนึงผมก็อยากให้เขานอนเยอะๆ แต่อีกใจก็อยากปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาคุยกับผม แปลกตาจริงๆ ที่ใบหน้าขาวมีรอยช้ำเยอะไปหมดแบบนี้ ไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลากี่วันมันถึงจะหายดี ผมเลื่อนนิ้วไปเกลี่ยที่แก้มช่อม่วง คนที่หลับอยู่ส่งเสียงครางในลำคอออกมาเบาๆ

   “อื้มมม....ม.....แบ๋ม”

   “ไม่ใช่แบ๋มนะ” ผมเอ่ยบอกเขาก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปลูบหัวแทน “ตื่นได้แล้ว เรามาหาช่อแล้วนะ”

   ร่างโปร่งลืมตาขึ้นมองผม “.....ดั้นเมฆ”

   “เป็นไงบ้างหืม....ยังเจ็บอยู่รึเปล่า”

   “ดีขึ้นมากแล้วแหละ” ดวงตาเรียวมองผมนิ่งๆ “เมฆลูบหัวเราด้วย”

   “ไม่ชอบเหรอ ถ้างั้นเรา......”

   เจ้าตัวจับมือผมเอาไว้ที่เดิม “เปล่า ยังไม่ทันบอกเลยว่าไม่ชอบ”

   “งั้นก็แปลว่าชอบน่ะสิ”

   “มันก็ดีอะ มันไม่ได้แย่” เขาบ่นอุบอิบ “แล้วนี่เมฆมานานรึยัง”

   “เพิ่งมานี่แหละ เราว่าจะปลุกช่อไปช่วยทำขนมหน่อย”

   “ทำขนมงั้นเหรอ”

   “อื้ม เดี๋ยวเรารอข้างนอกนะ ช่อก็จัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วค่อยออกมาละกัน” ผมยิ้มหวานให้เขา ช่อม่วงพยักหน้ารัวๆ ก่อนจะลุกจากเตียงแล้วเดินไปห้องน้ำ

   สีหน้าเขาดูโอเคขึ้นนะ ผมว่าในใจนั่นน่าจะยังเศร้าอยู่แต่คงไม่มากเท่าเมื่อวาน อาจเป็นเพราะเขาเล่าเรื่องราวที่เจอมาให้คนอื่นได้ฟังมั้ง การระบายคงทำให้เขารู้สึกดีขึ้นนั่นแหละ แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก ผมจะทำให้ช่อม่วงยิ้มให้มากกว่านี้ให้ได้ ผมเป็นคนโลภครับ รอยยิ้มของคนที่ผมชอบเนี่ยะ เห็นเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่ามันพอจริงๆ ถึงแม้ว่าตัวเองจะดูเป็นคนพิเศษที่ได้เห็นมันบ่อยๆ ก็เถอะ

   แต่เชื่อไหมว่ามีคนพิเศษกว่าผม

   กระต่ายกากที่ชื่อว่า....ไวท์บันนี่ไง

   ช่อม่วงยิ้มให้นังกระต่ายกากมากกว่ายิ้มให้ผมอีก ถึงแม้ว่าไวท์บันนี่คือตัวผมแต่ช่อม่วงเขาไม่รู้ไง เขาต้องคิดว่าเป็นคนอื่น นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่ผมอิจฉาแล้วก็หึงตัวเอง รู้อยู่หรอกว่ามันเป็นเรื่องบ้าบอแต่คิดทีไรก็น่าหงุดหงิดใจจริงๆ นั่นแหละ ทุกวันนี้ก็คิดนะครับว่าเมื่อถึงวันที่ผมต้องบอกเขาว่าไวท์บันนี่กับดั้นเมฆเป็นคนๆ เดียว ถึงเวลานั้นผมจะพูดออกไปยังไงดี

   กลัวเขาโกรธที่ผมปิดบัง

   แต่ถึงยังไงมันก็ต้องมีแน่ๆ แหละวันที่ผมบอกเขา ก็ขออวยพรให้ตัวเองโชคดีมีชัยล่วงหน้าเลยละกัน ผมเดินออกมาเตรียมของไว้โดยจัดแจงล้างวัตถุดิบรอช่อม่วง ขนมที่ตั้งใจจะทำวันนี้ค่อนข้างใช้เวลาอยู่เหมือนกันแต่ผมคิดว่าเขาน่าจะชอบนะ เพราะทุกครั้งที่ไปที่ MASCOT แล้วถ้ามีขนมอันนี้เขาจะสั่งเยอะเป็นพิเศษ ที่น่าเหลือเชื่อคือกินจนหมดเกลี้ยงเลยด้วย

   ขนมที่เหมือนกับชื่อของเขาน่ะ

   “ช่อตื่นแล้วใช่ไหมเมฆ” บ๋อมแบ๋มถามพลางเอาของเก็บไว้ในตู้เย็น

   “อื้ม คงล้างหน้าแปรงฟันอยู่น่ะ เมื่อคืนช่อได้เล่าอะไรให้แบ๋มฟังไหม”

   “ก็เล่านะ น่าจะเรื่องเดียวกับที่เมฆรู้นั่นแหละ” ร่างบางเดินมานั่งบนเก้าอี้ ใกล้ๆ เคาน์เตอร์ “เราเป็นเพื่อนของช่อก็จริงนะแต่ว่าเราไม่เคยรู้เลยว่าครอบครัวของช่อเป็นยังไง เขาไม่เคยเล่าให้ฟังเลยล่ะ เราไม่เคยเห็นช่อทำหน้าเศร้าขนาดนี้ด้วย มันเป็นครั้งแรก”

   “เราก็เหมือนกัน ไม่รู้ด้วยว่าช่อจะทำยังไงต่อ เราได้แต่หวังว่าเรื่องทุกอย่างมันคงจะดีขึ้น”

   “มันต้องดีขึ้นนั่นแหละ”

   ร่างโปร่งออกมาจากห้องก่อนจะเดินเข้ามาทางพวกเรา “เราพร้อมละ จะทำขนมอะไรเหรอ”

   “ช่อม่วง”

   “เรียกเราทำไม” เจ้าของชื่อถามผมพลางทำตาใสใส่ นี่เขาไม่รู้หรือเล่นมุกวะเนี่ย

   “ติ๊งต๊องน่ะช่อ” มือบางบีบที่แก้มช่อม่วงอย่างมันเขี้ยว “เมฆหมายถึงจะทำช่อม่วง เขาไม่ได้เรียกแก”

   “อ๋อ งี้นี่เอง” เขารับคำก่อนจะไล่มองดูของทั้งหมด “ทำเลยไหม หิวแล้วอะ จะได้เสร็จเร็วๆ ”

   “เอาสิ เราเตรียมของไว้ทั้งหมดแล้ว มาลงมือทำกันเลย”

   “มีอะไรให้เราช่วยป้ะ หรือจะทำกันสองคน” บ๋อมแบ๋มเอ่ยถาม

   “แบ๋มอยากช่วยป้ะล่ะ” ช่อม่วงเหลือบมองเธอพลางมองประตูห้องนอน

   ร่างบางส่ายหน้าช้าๆ “เรา....รอกินละกัน เดี๋ยวดูหนังรอในห้องนะ เสร็จแล้วก็เรียกด้วย” เธอยิ้มหวานให้ก่อนจะเดินไปทันที เอาล่ะ ทีนี้ก็เหลือผมกับช่อม่วงแค่สองคนแล้ว

   สำหรับขนมช่อม่วงเนี่ยะ วิธีการทำค่อนข้างหลายขั้นตอนพอสมควรเพราะต้องทำไส้และก็ทำตัวแป้ง แต่ว่ามันเป็นขนมที่ผมทำบ่อยนะ ถือว่าคล่องมือพอสมควรเลยครับ ก่อนที่จะทำแป้งผมจะทำไส้ก่อน พอคิดได้แบบนั้นผมก็หยิบสันในไก่มาหั่นเป็นชิ้นก่อนจะสับละเอียด ต้องหั่นหอมใหญ่ด้วยแต่เดี๋ยวผมจะทำเอง

   ไม่อยากให้ช่อม่วงต้องแสบตาอะ

   “เมฆให้เราทำอะไรบ้าง”

   “ช่อเห็นสามเกลอในครกป้ะ”

   “สามเกลอเหรอ”

   “อื้ม คือมันเป็นส่วนผสมที่ใช้เรียกรากผักชี กระเทียม พริกไทยอะ” ผมบอกเขา “ตำละเอียดเลยนะ เดี๋ยวต้องเอาไปผัดรวมกัน”

   “โอเค” มือเรียวจับสากก่อนจะตำส่วนผสมทั้งหมดให้ละเอียด “เพิ่งรู้เลยนะว่าเขาเรียกว่าสามเกลอ”

   “เราก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงเรียกแบบนั้น แต่คุณย่าสอนมาแบบนี้ก็เลยจำมาด้วยน่ะ”

   “อย่างนี้นี่เอง อะเสร็จแล้ว ละเอียดยิบเลย”

   “เดี๋ยวเราผัดไก่แป๊บละกัน” ผมตั้งกระทะก่อนจะตักสามเกลอในครกมาใส่ ตามด้วยไก่และหอมใหญ่สับตามลำดับ พอไก่เริ่มสุกก็ปรุงรสด้วย น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทราย เกลือป่นและน้ำปลาครับ จากนั้นก็ผัดจนแห้งเลย

   “คล่องจัง เราไม่ค่อยชอบทำกับข้าวอะ เวลาน้ำมันกระเด็นใส่มันแสบ”

   “ตอนเราเด็กๆ เราก็ไม่ชอบเหมือนกัน แต่มันก็สนุกดีนะเวลาทำกับข้าวหรือทำขนม จนมาวันนึงมันก็ชินไปเอง เออช่อล้างดอกอัญชันแล้วก็เด็ดขั้วออกให้เราหน่อยสิ เดี๋ยวเราจะเอาไปต้ม”

   “ได้เลย”

   ผมมองร่างโปร่งที่กำลังจัดการกับดอกอัญชัน ตอนนี้ไส้ไก่เสร็จแล้วครับเดี๋ยวพักไว้ให้เย็นก่อน ผมย้ายมาเตรียมในส่วนของแป้งต่อ แป้งของขนมช่อม่วงจะใช้แป้งข้าวเจ้า แป้งมัน แป้งข้าวเหนียวแล้วก็แป้งท้าวฯ

   “เราต้มน้ำไว้ให้แล้วอะ ช่อใส่ดอกอัญชันลงไปเลยนะ แล้วก็ต้มจนสีดอกซีดเลย”

   “โอเค” มือเรียวเทดอกอัญชันลงไปในหม้อ ใช้เวลาไม่นานนักเพื่อรอให้ดอกซีด หลังจากนั้นผมก็บีบมะนาวใส่ลงไปนิดหน่อยก่อนจะยกน้ำอัญชันมากรองแล้วค่อยนำไปใช้ แต่เดี๋ยวต้องรอให้เย็นขึ้นด้วย

   ระหว่างรอน้ำอัญชัน ผมก็หยิบกระเทียมกลีบเล็กมาใส่ในครกก่อนจะดันไปทางช่อม่วง เจ้าตัวตำอย่างรู้งาน เดี๋ยวทำกระเทียมมเจียวก่อนครับไว้กินเคียงกับขนม ผมเดินไปตั้งไฟอ่อนๆ แล้วตักกระเทียมละเอียดในครกไปเจียว ต้องเจียวจนเหลืองเพื่อที่จะได้มีกลิ่นหอม พอเจียวเสร็จก็ต้องกรองแยกน้ำมันออก ส่วนของน้ำมันที่เราใช้เจียวกระเทียมผมจะนำมาทาบนใบตองที่ใช้นึ่งขนม

   อื้มมมม.....อยากให้เสร็จเร็วๆ จัง

   “หอม” ช่อม่วงโผล่หน้ามาจากด้านหลัง “อยากกินแล้ว”

   “เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว” ผมกรองกระเทียมเจียวกับน้ำมันออกจากกัน “เดี๋ยวทำแป้งกัน”

   “มันต้องใส่อะไรบ้างอะ”

   “นี่ไงเราเตรียมแป้งไว้แล้ว เดี๋ยวใส่หัวกะทิกับน้ำอัญชัน ช่อหยิบมาเทให้เราเลยก็ได้”

   “เยอะไหม” ช่อม่วงหยิบถ้วยหัวกะทิกับน้ำอัญชันมาก่อนจะเทช้าๆ

   “ทั้งหมดนั่นแหละ เรากะสัดส่วนไว้แล้ว” ผมเริ่มคนแป้งให้เข้ากัน “เดี๋ยวเราต้องกวนแป้งแต่ก่อนหน้านั้นต้องกรองก่อน”

   “ทำไมต้องกรองอะ”

   “เพราะบางทีแป้งมันจะเป็นเม็ดๆ ไง การกรองก็เพื่อให้เนื้อแป้งมันละเอียด”

   เขาพยักหน้ารับรู้ “อย่างนี้นี่เอง”

   “เดี๋ยวช่อตั้งไฟอ่อนนะ เราจะกรองลงกระทะเลย”

   “ได้” ร่างโปร่งหยิบกระทะใบใหม่ก่อนจะตั้งใจตามที่บอก ผมยกชามแป้งขึ้นเหนือกระทะแล้วเทผ่านตัวกรอง เอาล่ะ ต่อจากนี้ก็จะกวนจนแป้งร่อนแล้วไม่ติดกระทะนะครับ

   ผมยืนกวนแป้งไปเรื่อยๆ โดยมีช่อม่วงยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างสนใจ บ่อยครั้งที่เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปไว้ด้วย ผมดีใจนะที่ได้เห็นสีหน้าที่ดีขึ้นของเขาน่ะ อย่างน้อยการที่เรามาช่วยกันทำขนมมันก็น่าจะทำให้เขาลืมเรื่องแย่ๆ ไปได้บ้าง ถ้าผมมีโอกาสได้ทำขนมกับเขาบ่อยๆ ก็คงดี ชอบนะครับเวลาได้เห็นแววตาที่ดูตื่นเต้นน่ะ

   น่ารัก

   ใช้เวลาสักพักแป้งก็ร่อนจนจับตัวเป็นก้อนแล้วครับ เดี๋ยวต้องนวดก่อนจะนำมาใช้ห่อไส้ ผมหยิบแป้งนวลมาโรยแล้วเริ่มจัดการนวดแป้ง ช่อม่วงจะรู้ไหมว่าเขายืนชิดผมมากแค่ไหน คือหน้าเขาแนบอยู่กับแขนผมเลยแหละ คงอยากเห็นว่าผมทำยังไง กลัวเหมือนกันว่าจังหวะที่ขยับแขนแล้วมันจะไปกระแทกแผลบนหน้าเขาซะจริง พอคิดได้แบบนั้นผมควรเปลี่ยนท่ายืนหน่อยละล่ะ

   เป็นแบบนี้น่าจะดีกว่านะ

   “เมฆทำอะไรเนี่ยะ”

   “เรากลัวแขนมันจะไปกระแทกหน้าช่อน่ะสิถ้าช่อยังอยู่ตรงนั้น” ผมถือวิสาสะเอามือตัวเองที่เปื้อนแป้งนวลไปลูบบนฝ่ามือเขา “เดี๋ยวเราสอนช่อนวดแป้ง....เอาไหม”

   “.....อื้ม” เขารับคำพลางก้มหน้ามองแป้งอยู่อย่างนั้น น่าเอ็นดูจังเลยน้า ขอเถอะ ใบหน้าและท่าทางแบบนี้ขอให้ผมได้เป็นคนเดียวที่ได้เห็น

   เพี้ยง

   ผมเริ่มนวดแป้งต่อ มือเรียวก็ทำตามผม ใจเต้นแรงเหมือนกันนะที่เราสองคนอยู่ในท่ายืนแบบนี้น่ะ ช่อม่วงอยู่ด้านหน้าโดยมีผมยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง อารมณ์เหมือนผมกำลังกอดเขาอยู่ เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกเหมือนตัวเองตัวใหญ่มากเลยว่ะ มันทำให้นึกถึงตอนที่ผมนอนกอดเขาได้เลย หัวหน้าห้องดูตัวเล็กมาก ทั้งผอมทั้งตัวบาง นี่ถ้าเขาเตี้ยกว่านี้มันจะดูเป็นนิยามของคำว่าตัวเล็กตัวน้อยมากเลย

   มันน่าขังไว้ในอ้อมแขนตลอดเวลาจริงๆ

   “เนี่ยะ พอมันเนียนจนไม่ติดแล้วก็ใช้ได้ จากนั้นแบ่งเป็นก้อนแบบนี้เท่าๆ กันนะ” ผมแบ่งก้อนแป้งก่อนจะวางเรียงไว้บนจาน

   “แบ่งเสร็จแล้วยังไงต่อ”

   “เราก็จะกลึงให้กลมก่อนจะกดให้แบนแบบนี้” ผมทำแป้งให้เขาดู “แล้วเราก็เอาไส้มาใส่ก่อนจะห่อแล้วกลึงให้กลมเหมือนเดิม อะลองทำดู”

   เจ้าตัวหยิบแป้งมากลึงตามที่ผมบอก “แล้วก็ทำให้แบน ตักไส้มาใส่แล้วก็ห่อ....แบบนี้ใช่ไหม”

   “ใช่ เนี่ยะ ทำทุกอันแบบนี้เลย แล้วเดี๋ยวค่อยทำกลีบกัน”

   “โอเค” ช่อม่วงรับคำก่อนจะจัดการห่อไส้ต่อ เขาดูมีความสุขที่ได้ทำอะไรแบบนี้นะ ผมเองก็มีความสุขเหมือนกันที่ได้ยืนอยู่ตรงนี้

   ตัวเขาหอมมากเลยอะ

   “เสร็จแล้วเราก็ใช้อันนี้ เขาเรียกว่าหัวบีบใบไม้ อันนี้เป็นหัวบีบแบบตัด” ผมหยิบแป้งที่กลึงขึ้นมาก่อนจะทำกลีบให้ช่อม่วงดู “ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนมันออกมาเหมือนดอกไม้แบบนี้”

   “น่ากินอะ”

   “แต่ยังกินไม่ได้นะ ต้องนึ่งก่อน เดี๋ยวช่อทำกลีบ ส่วนเราจะเตรียมซึ้งนึ่งให้”

   “ไว้ใจได้เลย” เจ้าตัวยักคิ้วให้ผมก่อนจะลงมือทำกลีบขนมอย่างขะมักเขม้น โอ่ยยยย ใครไหวก็ไหวไปเลยนะแต่ดั้นเมฆไม่ไหวแล้วจริงๆ

   ทำไมช่อม่วงน่ากินจังเลยวะ

   วันนี้เจ้ากระต่ายกากชักจะคิดเหิมเกริมแบบบ้ากามหลายรอบมากเลยนะครับ แต่ก็นะ ผมก็ผู้ชายป้ะวะ มีความรู้สึก ของแบบนี้มันก็ต้องมีบ้างแหละ พยายามห้ามใจแล้วแต่ก็แบบ คนที่ชอบยืนอยู่ตรงนั้นอะ ห่างแค่เพียงเอื้อมมืออย่างเงี้ยะ ไม่แปลกหรอกที่ความคิดพวกนี้จะเข้ามาในหัว ผมคงต้องตั้งเป้าหมายเพิ่มแล้วล่ะมั้งว่าถ้าอยากทำในสิ่งที่ใจอยาก ผมจะต้องคว้ำหัวใจของช่อม่วงมาให้ได้

   เก่งจริงงงง

   เรื่องเพ้อเจ้อเนี่ยะเก่งจริงๆ เลยดั้นเมฆ

   ผมหยิบใบตองมาวางไว้ในซึ้งแล้วเอาน้ำมันที่แยกไว้ตอนแรกมาทา ตั้งน้ำไว้จนเดือดก่อนจะกลับไปดูขนมที่ช่อม่วงกำลังทำ อันสุดท้ายแล้วล่ะบนมือเขาน่ะ มันออกมาสวยอยู่นะ เดี๋ยวพอนึ่งแล้วก็จะยิ่งน่ากิน

   “เดี๋ยวนึ่งสัก 10 นาทีก็จะได้กินแล้วนะ” ผมหยิบส่วนที่เสร็จแล้วไปเรียงบนซึ้งก่อนจะหยิบน้ำมาฉีดเพื่อให้แป้งนวลหลุดออกแล้วปิดฝา ทีนี้ก็รอแค่เวลาละครับ

   “ทำขนมเนี่ยะ หลายขั้นตอนเหมือนกันเนอะกว่าจะเสร็จ”

   “ใช่ แต่มันก็สนุกดีใช่ไหมล่ะ”

   “อื้ม” ช่อม่วงยิ้มหวานให้ผม “ครั้งหน้าสอนเราอีกนะ”

   “ได้สิ” ผมเลื่อนหลังมือขึ้นไปเช็ดแก้มช่อม่วงเบาๆ “แป้งเลอะน่ะ”

   “....ขอบใจ”

   อื้มม..ม....ของแรงจังวะวันนี้

   ผมยิ้มหวานให้ช่อม่วงก่อนเก็บของไปล้างเพื่อที่จะได้ไม่รู้สึกฟุ้งซ่านมากเกินไป แต่ดูเหมือนไม่ค่อยเป็นผลเพราะร่างโปร่งมายืนช่วยผมล้าง หื้ออออ....ใจผมบางไปหมดแล้วครับคุณ คุณนี่ชักมีอิทธิพลต่อใจผมมากเกินไปแล้วนะครับคุณช่อม่วง

   เกิ๊นนนน

   หลังจากที่ล้างอุปกรณ์ทั้งหมดเสร็จผมก็เดินมาเปิดฝาซึ้ง เสร็จเรียบร้อยแล้วครับสำหรับขนมช่อม่วง กลิ่นหอมน่ากินสุดๆ ผมยกขนมลงมาก่อนจะจัดใส่จานแล้วทาน้ำมันบางๆ จากนั้นก็โรยกระเทียมเจียวไว้เคียง เรากินคู่กับผักกาดหอมก็ได้นะครับ ก็จะอร่อยไปอีกแบบ ผมตักขนมช่อม่วงใส่ช้อนก่อนจะยื่นไปหาคนที่อยู่ข้างๆ เจ้าตัวมองอยู่แวบนึงก่อนจะอ้าปากกินขนมที่ผมป้อนแล้วก็ยิ้มออกมา

   โว้ยยยยยยยยยยย

   ไม่ไหวแล้วน้า

   “เป็นไง อร่อยป้ะ”

   “อื้ม” ช่อม่วงพยักหน้ารัวๆ “อร่อยมากๆ รสชาติเหมือนขนมในร้าน MASCOT เลย”

   ก็ต้องเหมือนสิ....มันสูตรเดียวกันหนิ

   “งั้นเหรอ เดี๋ยวแบ่งไว้ให้แบ๋มด้วยเนอะ” ผมหยิบจานมาใส่ขนมแยกไว้ให้แบ๋ม ส่วนช่อม่วงก็เดินถือจานของตัวเองไปนั่งกินที่โซฟาเรียบร้อย

   ผมเดินมานั่งลงข้างๆ เขาก่อนจะหยิบขนมมากินบ้าง อื้มม...ม....อร่อยจัง อร่อยผิดปกติด้วยแฮะ หรือเป็นเพราะว่าผมกับช่อม่วงช่วยกันทำนะ มันต้องใช่แน่ๆ เพราะปกติเวลาผมทำคนเดียวมันไม่อร่อยขนาดนี้ไง เนี่ยะ สงสัยต้องหาเรื่องมาทำขนมกับเขาบ่อยๆ มันจะได้อร่อยกว่าเดิม โอเค การทำขนมคือข้ออ้าง ความจริงผมแค่อยากมีเวลาได้ใช้ร่วมกับเขาเท่านั้นแหละ มันมีความสุขน่ะครับ....ก็ไม่แปลกที่ผมจะอยากให้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ

   ถ้าช่อม่วงรู้สึกเหมือนกันก็คงจะดี

   “ถ้าเราทำขนมเป็นนะ เราจะทำกินเองทุกวันเลย” ช่อม่วงบอกพลางเคี้ยวขนมแก้มตุ่ย

   “ถ้าแบบนั้นช่อก็ไม่ต้องไปที่ร้านขนมก็ได้น่ะสิ”

   “อืม....งั้นเราไม่ต้องทำเป็นก็ได้ ไว้ไปกินที่ MASCOT จะได้เจอคุณกระต่ายด้วย”

   “ชอบขนาดนั้นเชียว”

   “แน่ล่ะ” เจ้าตัวยิ้มให้ผม “เขาน่ารักนะ”

   เขาชมผมว่ะ

   นี่ต้องเขินสินะ

   ผมพยักหน้ารับก่อนจะหยิบขนมกินไปเรื่อยๆ ตอนนี้ผมกำลังสงสัยในตัวช่อม่วงมาก คือไม่อยากเข้าข้างตัวเองเลยนะครับแต่บางทีการกระทำหลายๆ อย่างของเขามันบ่งบอกว่ามีใจให้ผมอยู่จึ๋งนึง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเริ่มปันใจมาให้ผมแทนคนที่เขาชอบแล้วก็ได้ เอาว่ะ ถ้าเป็นแบบที่คิดจริงๆ ผมควรจะทำอะไรให้มันมากกว่านี้แล้วล่ะ ถ้าช่อม่วงรู้ว่าคนที่ผมชอบคือเขา ผมก็อยากรู้นะว่าเรื่องต่อจากนี้มันจะเป็นยังไง

   จะสมหวังหรือจะผิดหวัง

   ถ้าสมหวังมันก็ดีแต่ถ้าไม่ ผมก็ต้องหาทางทำใจให้ได้ อีกอย่างผมยังเป็นกระต่ายกากที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขา ในวันนึงเรื่องของเรามันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้ มันคงดีถ้าในอนาคตของผมมีช่อม่วงอยู่ตรงนั้นด้วย มันคงจะมีความสุขมากๆ เลย

   ผมเนี่ยะ....ชอบเขาขนาดนี้เลยนะ

   “เมฆ”

   “หืม....”

   “ทำไมเมฆถึงทำช่อม่วงล่ะ” เจ้าตัวเอ่ยถามพลางเหลือบมอง “ขนมมีตั้งเยอะแยะ ทำอย่างอื่นก็ได้หนิ”

   “เราคิดว่าช่อคงชอบอะ” ผมเห็นว่าเขาสั่งทุกครั้งเวลาที่ร้านทำไง ขนมช่อม่วงน่าจะอยู่ในลิสต์ขนมที่เขาชอบมากๆ เลยล่ะ

   “ก็จริง เราชอบมากเลยแหละ ยิ่งของ MASCOT ด้วยนะ อร่อยมากเลย”

   “ดีแล้วที่ช่อชอบ” ผมยิ้มหวานให้เขา

   “แล้วเมฆล่ะ....ชอบไหม”

   “ชอบอะไรอะ”

   “ช่อม่วง”

   ผมเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางคลี่ยิ้มให้ “ก็ชอบนะ แต่ว่า....”

   “แต่ว่าอะไร”

   “ถ้าชอบช่อม่วง ที่ไม่ใช่ขนม.....”

   “.....”

   “ช่อจะว่ายังไงอะ”



   





TBC

สวัสดีค้าบ ชาลมาส่งมาสคอตแล้วน้า ก็ในที่สุดเจ้าคนเด๋อก็บอกชอบยัยช่อแล้วนะ จะเป็นยังไงต่อรอติดตามคับ

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 12 [ 16 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #19 เมื่อ16-10-2020 17:09:26 »

บทที่ 12 ข้ออ้าง




   [บันทึกพิเศษ : ช่อม่วง]

   

   “เลิกทำหน้ายับใส่เราได้ป้ะ บอกไปประมาณแสนสามครั้งแล้วว่าอัมโซซอรี่อะ”

   “เชอะ”

   “หนิ เดี๋ยวจะโดนทุบนะ”

   “ก็แบ๋มอะ”

   “ก็เราไม่รู้ แหม ถ้ารู้ว่าเมฆกำลังสารภาพรักกับช่อ เราไม่สะเหล่อออกมาจากห้องหรอก”

   “อย่าพูดว่าสารภาพรักสิ”

   “ทำไม”

   “เขินน่ะ”

   ตัวจะแตกแล้วนะ

   ผมยกมือขึ้นกุมแก้มตัวเองก่อนปล่อยให้เพื่อนรักเช็ดผมให้อยู่แบบนั้น เมื่อวานมีเหตุการณ์ระทึกใจเกิดขึ้นกับชีวิตผมครับ มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดจริงๆ อยู่ดีดีดั้นเมฆก็บอกว่าชอบช่อม่วงที่ไม่ใช่ขนม แล้วเขาถามผมว่าคิดยังไง แต่ยังไม่ทันตอบอะไรเลย บ๋อมแบ๋มก็เดินออกมาจากห้องซะก่อน พอเป็นแบบนั้นทั้งผมทั้งดั้นเมฆก็เอ๋อแดกทั้งคู่ คำที่เขาพูดมามันทำให้ผมหัวใจเต้นแรงเอามากๆ ไม่เคยรู้เลยว่าการที่เราชอบใครสักคนแล้วเขาชอบเราเหมือนกันมันทำให้รู้สึกดีขนาดนี้

   ฮือออ....เกินไปอะ

   แบบนี้ก็แปลว่าคนที่เขาบอกว่าชอบนั่นก็หมายถึงผมมาตลอดเลยน่ะสิ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ เอาจริงๆ ก่อนหน้านี้ผมกับดั้นเมฆไม่ค่อยมีโอกาสได้คุยกันเท่าไหร่ มันเป็นเพราะผมเองที่เว้นระยะห่างเอาไว้ คือไม่อยากอยู่ใกล้คนที่ชอบจนเกินไปไง มันรู้สึกเหมือนสูญเสียความเป็นตัวเอง ผมมักทำอะไรไม่ค่อยถูกเวลาได้อยู่ใกล้ดั้นเมฆ เพราะแบบนั้นแหละ ผมถึงทำเป็นนิ่งใส่เขา

   คิดแล้วไม่น่าเลยอะ

   ช่างมัน เราแก้ไขในสิ่งที่มันผ่านไปแล้วไม่ได้เพราะงั้นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเราต้องทำมันให้ดีที่สุดเพื่อทดแทน นึกแล้วก็ตลกตัวเองเหมือนกันนะ ผมกล้าเข้าหาดั้นเมฆมากขึ้นเพราะเขาเป็นไวท์บันนี่ ถ้าไม่รู้ว่าเขาเป็นคุณกระต่ายผมยังคงเว้นระยะห่างกับเขาต่อไป รวมถึงตัวคุณกระต่ายเองก็ด้วย บางครั้งก็สงสัยนะว่าเขารู้ไหมว่าผมรู้ทุกอย่าง เขาจะไม่เอะใจอะไรเลยรึไงนะ

   นี่เป็นอีกครั้งที่ผมคิดว่าเขาควรชื่อเด๋อเมฆ

   “เราเห็นช่อมีความสุข เราก็มีความสุขนะ” บ๋อมแบ๋มกอดผมตัวกลม “ดีใจจังที่เพื่อนจะมีผัวแล้วววว”

   “ผัวอะไรเล่า ไม่ใช่ซะหน่อย” ผมบ่นอุบอิบ แค่แฟนกันยังไม่ได้เป็นเลย

   “อะไรช่อม่วง อย่าบอกนะว่าคิดจะจับดั้นเมฆยัดไทป์เมีย” มือบางเชยคางผมหันไปมา “ไม่ไหวมั้ง ช่อไม่มีรังสีผัวที่มากพอ ไม่ผ่าน”

   “อื้ออออ....แบ๋มอะ” ผมจับมือเธอออกก่อนจะเอนตัวลงนอนหนุนตักนิ่ม “ขอบคุณนะที่คอยช่วยเราหลายๆ อย่าง”

   เจ้าตัวยิ้มหวานออกมา “ช่อเป็นเพื่อนเราหนิ อะไรที่ช่วยได้เราก็พร้อมช่วยเสมอนั่นแหละ”

   “ใจดีสุดๆ ไปเลยครับคุณบ๋อมแบ๋ม”

   “คุณบ๋อมแบ๋มใจดีแค่กับคุณช่อม่วงแล้วก็คุณมีนเท่านั้นแหละค่ะ เออพูดถึงมีน เราต้องไปรับมีนนี่หว่า ลืมเลย”

   “เออใช่ มีนบอกว่าจะมานอนด้วยหนิ” ผมลุกขึ้นมานั่ง ร่างบางเดินไปหยิบกุญแจรถที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

   “งั้นเดี๋ยวเรามาละกันนะ” ว่าแล้วบ๋อมแบ๋มก็เดินออกจากห้องไปทันที ผมว่ามีนต้องงอแงแน่ๆ เลยที่ไปรับเธอช้า

   ตอนนี้เกือบ 3 ทุ่มแล้วครับ พรุ่งนี้น้าผมจะกลับมาต่างจังหวัดและตัวผมเองก็ต้องกลับบ้านเหมือนกัน ตราบใดที่มีน้าชัชอยู่ พ่อคงไม่มายุ่งวุ่นวาย แต่ก็ไม่แน่หรอก ถ้าสมมุติว่าพ่อเลิกส่งเงินให้ผม น้าชัชก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบชีวิตผมแทน ถ้าเป็นแบบนั้นเขาต้องเหนื่อยเป็นสองเท่าแน่ เดิมทีก็ไม่ใช่คนมีเงินมากมาย เป็นแค่พนักงานบริษัทที่เงินเดือนไม่กี่หมื่น ถ้าเทียบกับค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ต้องรับผิดชอบ มันน้อยกว่ารายรับแค่นิดเดียวอะ

   ผมพอจะทำอะไรเพื่อแบ่งเบาค่าใช้จ่ายได้บ้างไหมนะ

   น้าชัชบอกผมเสมอว่าให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ด้วยความที่ผมตั้งใจจะเรียนหมอไงครับ มันก็ต้องทุ่มเทเวลาให้กับการอ่านหนังสือ การเตรียมตัวสอบค่อนข้างมาก อีกอย่างคือผมไม่มีเป้าหมายคณะที่เป็นลำดับสอง แพทยศาสตร์เป็นคณะเดียวที่ผมจะเข้าไปเรียนและผมต้องทำให้ได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้มันจะเป็นเรื่องที่ทะเลาะกันใหญ่โตระหว่างผมกับพ่อ แต่ช่างเถอะ ชีวิตของผม ผมต้องเลือกมันด้วยตัวเอง

   ช่อม่วงเป็นคนดื้อมากนะครับ

   ใครจะห้ามได้

   เอาจริงๆ พูดถึงเรื่องแบ่งเบาค่าใช้จ่ายในกรณีที่พ่อหยุดส่งเงินให้ผม บ๋อมแบ๋มเคยแนะนำให้ผมรับสอนพิเศษให้เด็กม.ต้น มันก็น่าสนใจนะแต่ถ้าคิดจะทำจริงๆ ขึ้นมาผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำมันออกมาได้ดีรึเปล่า แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องทำผมก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ การสอนหนังสือมันทำให้เราได้ทบทวนบทเรียนไปด้วยซึ่งมันก็ดีนั่นแหละ ถ้าสมมุติว่าออกไปหางานพาร์ทไทม์ก็อาจจะยากด้วยเวลาและอายุของผม

   คิดมากก็ปวดหัวแฮะ

   จะไม่คิดเอาไว้ก็ไม่ได้อีก

   ครืดดดด....ดดด

   ผมหยิบโทรศัพท์มาดู หน้าจอแสดงชื่อของคนที่เป็นสาเหตุของการยิ้มบ่อยๆ ของผมเอง ผมใช้เวลาตั้งสติแป๊บนึงก่อนจะกดรับสาย “....ฮัลโหล”

   (.....)

   ไม่พูด

   “เมฆมีอะไรรึเปล่า”

   (....ถ้าไม่มีนี่โทรหาได้ไหม)

   “ถ้าเราบอกว่าไม่ได้ล่ะ” ผมถามเขาพลางอมยิ้ม ไหนดูซิว่าคุณกระต่ายของผมจะตอบว่ายังไง

   (งั้นเดี๋ยวขอหาอ้างก่อนนะ.....อืมมมม...ม....)

   มีหาข้ออ้างด้วยว่ะ

   “อะ....หาเจอยังล่ะ”

   (....เจอละ)

   “ว่ามา”

   (ก็....คิดถึง)

   ตึกตัก

   ดั้นเมฆ!!!!

   ผมยกมือขึ้นทาบอกตัวเอง หัวใจเต้นแรงมากเลยอะ จะตายป้ะเนี่ย นี่มันไม่เหมือนดั้นเมฆคนเด๋อที่ผมรู้จักเลย ทำไมเหรอ พอสารภาพรักแล้วต้องรุกแรงขนาดนี้เลยใช่ไหม นี่เขากะทำให้ผมช็อกตายเลยนะเนี่ย ร้ายกาจจริงๆ เดี๋ยวก่อนเถอะนะ เดี๋ยวผมจะเอาคืนบ้าง คนอย่างช่อม่วงจะไม่ยอมเป็นฝ่ายเขินจนเป็นบ้าอยู่คนเดียวแน่

   “งั้นเหรอๆ เมฆคิดถึงเรางั้นเหรอ”

   (ใช่ แล้วนี่ช่อทำอะไรอยู่อะ)

   “ถ้าเราบอกว่า.....”

   (ว่า....)

   “เราก็กำลังนั่งคิดถึงเมฆอยู่เหมือนกัน”

   (.....)

   “เมฆจะคิดยังไงอะ”

   

   [จบบันทึกพิเศษ : ช่อม่วง]

   

   นี่มันวันอะไรกันวะเนี่ย

   หัวใจจะเต้นแรงแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ห้ะ

   ผมยกมือกุมอกตัวเอง รับรู้ได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วเอามากๆ เกินไปอะ ไม่คิดเลยว่าแค่ประโยคเดียวจะทำให้ใจฟูได้มากถึงขนาดนี้ เนี่ยะ ช่อม่วงต้องมีใจให้จึ๋งนึงแบบที่ผมคิดแน่ๆ เพื่อนที่ไหนเขาจะบอกคิดถึงกัน ไม่มีหรอก แต่ถึงจะมี สำหรับผมกับช่อม่วงมันไม่ใช่ไง มันเป็นความคิดถึงที่ไม่ใช่เพื่อนทั่วไปคิดถึงกันอะ โอเค สิ่งที่ผมคิดอยู่มันอาจจะดูเป็นการเข้าข้างตัวเองแต่ก็จะคิดแบบนั้นครับ

   ก็ดั้นเมฆสะดวกแบบนี้อะ

   เอาจริงๆ การคิดของผมจะแบ่งออกเป็นสองแบบนะครับก็คือคิดเข้าข้างตัวเองกับคิดไปเอง ผมหวั่นใจอยู่เหมือนกันนะว่าช่อม่วงอาจจะไม่ได้รู้สึกจริงๆ ตามที่เขาพูดก็ได้ ก็รู้อยู่หรอกว่าเขาไม่ใช่คนโซแบดแบบนั้นแต่เราจะรู้ใจของคนอื่นได้ยังไงจริงไหม เขาอาจจะเห็นผมหน้าโง่แล้วอยากแกล้งผมก็ได้ ถ้าเป็นแบบที่คิดจริงๆ ถึงตอนที่ผมรู้เรื่องทุกอย่าง ผมคงเสียใจมากเลยแหละ และก็คงผิดหวังที่เขาเป็นคนแบบนั้น

   ขออย่าให้มันเป็นแบบที่ผมคิดเลย

   จากการที่อยู่ในแอบชอบโซนมานานมันก็ทำให้ผมได้รู้ว่าการที่เราชอบใครสักคน เราทำอะไรได้ไม่มากเลยนะนอกจากอดทน เฝ้ามอง เพ้อเจ้อกับตัวเองไปวันๆ ใจนึงก็อยากลงมือทำอะไรเพื่อให้ได้ความรักนั้นมา แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้ามันไม่เป็นแบบที่เราคิด เราจะเสียเขาไปเลยนะครับ เพราะแบบนี้ผมเลยคิดว่าการที่ได้มองดูเขาในแต่ละวัน แค่นั้นมันก็อาจจะพอสำหรับผมแล้ว

   แค่ได้มองก็มีความสุขแล้วเอาจริงๆ

   แต่ก็นั่นแหละ กระต่ายกากที่อยู่ในแอบชอบโซนอย่างผมก็มีความคิดกบฏ อยากออกมาจากตรงนั้นเพียงเพราะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองชอบ พอมากขึ้นมันก็ยิ่งอยากครอบครอง จนสุดท้ายได้สารภาพรักออกไปโดยไม่รู้ว่าปลายทางของความสัมพันธ์นี้มันจะเป็นยังไง วันนี้อาจยังมีความสุข อาจยังยิ้มให้กันได้แต่ไม่รู้เลยนะครับว่าวันข้างหน้าเราจะยังยิ้มให้กันหรือมีความสุขเหมือนกับวันนี้รึเปล่า

   เพิ่งคิดจะเริ่มจีบเขาก็ห่อเหี่ยวแล้วเหรอดั้นเมฆ

   ไม่ๆ ๆ ๆ ๆ

   ผมส่ายหัวไล่ความดราม่าออกไป คนที่ชอบคิดฟุ้งซ่านทั้งๆ ที่เรื่องยังไม่เกิดขึ้นมีอยู่จริงในโลกนะครับแล้วนามนั้นชื่อดั้นเมฆ ก่อนที่ผมจะโฟกัสถึงอนาคตที่ไม่มีอยู่จริง ผมควรทุ่มเทและพยายามกับปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่า ตอนนี้ผมยังไม่รู้ใจที่แท้จริงของช่อม่วงว่าเขาคิดยังไงกับผม เรื่องนั้นก็คงต้องให้เจ้าตัวเป็นคนบอกเอง ซึ่งหน้าที่ของกระต่ายกากก็คืออดทนรอและทำคะแนนไปเรื่อยๆ

   น้ำหยดลงหินทุกวัน....หินมันยังกร่อนเลย หวังว่าหินจะไม่รำคาญจนหนีผมไปนะ

   แต่ถึงหินจะหนี ผมก็จะตามเอาน้ำไปหยดใส่จนกว่าหินจะยอมเลยคอยดู

   แอ๊ดดดด

   “ทำอะไรหืมดั้นเมฆ” พี่อินเดินเข้ามานั่งข้างผม “ทำไมหน้าแดงแบบนั้นล่ะ”

   ผมยกมือลูบหน้าตัวเอง “ยังไม่หายแดงอีกเหรอครับ”

   “ใช่ มีใครมาทำให้มันแดงรึไง”

   “ก็....ก็มีนะครับ”

   “เด็กคนนั้นใช่ไหม ที่ชื่อ....ช่อม่วง”

   “เขาน่ารักมากเลยอะ เมฆชอบเขา” ผมบอกไปตามตรง เอาจริงๆ พี่อินก็รู้เรื่องนี้มาสักพักแล้วนะ เนี่ยะ เหลือสารภาพกับป่ะป๊าหม่าม้าเท่านั้นแหละ

   “แล้วได้บอกเขารึยังว่าชอบ”

   ผมพยักหน้ารับ “บอกไปเมื่อวาน”

   “แล้วเขามีท่าทียังไงล่ะ”

   “ก็แก้มแดงจัดเลยอะ แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมานะเพราะว่าตอนนั้นเพื่อนเขาออกมาจากห้องพอดี เราก็เลยไม่ได้คุยเรื่องนั้นต่อ”

   “พี่ว่าถ้าแบบนั้น เมฆก็อาจจะมีโอกาสก็ได้นะ” เจ้าตัวบอกก่อนจะยกมือมาขยี้หัวผม “ถ้าชอบเขา คิดจะจริงจังกับเขา ก็แสดงออกไปตรงๆ เลยว่าเรารู้สึกแบบนั้น พยายามทำดีกับเขามากๆ พี่เชื่อว่าเมฆคงจะทำให้ช่อม่วงตกหลุมรักได้”

   “เมฆก็หวังให้เป็นแบบนั้น บางครั้งการกระทำของช่อมันก็เหมือนว่ามีใจให้เมฆนะ แต่เมฆก็เคยถามเขาว่ามีคนที่ชอบไหม เขาก็บอกว่าชอบเพื่อนของตัวเอง เนี่ยะ พอเป็นแบบเนี้ยมันก็รู้สึกหม่นๆ อะ”

   “ไม่ลองคิดว่าเพื่อนคนที่เขาพูดถึงคือตัวเองบ้างล่ะ....เมฆก็เป็นเพื่อนเขาหนิ จริงไหม”

   เออว่ะ

   ผมก็เป็นเพื่อนของช่อม่วงนี่นา

   ตอนนั้นผมถามเขาไปว่าเพื่อนคนไหนแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้บอก เอาละ ได้ยินพี่อินพูดแบบนี้ผมเริ่มมีความหวังขึ้นอีกเป็นกอง ถ้าสมมุติว่าเพื่อนที่ช่อม่วงชอบคือผมจริงๆ ก็ไม่มีอะไรต้องหวั่นใจแล้วล่ะครับ ถ้าเราสองคนชอบกันจริงๆ มันก็คงไม่มีอะไรยากแล้วล่ะนะ ตอนนี้ผมพอเข้าใจเหตุผลว่าทำไมหลายๆ อย่างที่ช่อม่วงปฏิบัติกับผมมันถึงได้พิเศษกว่าคนอื่นนัก

   มันอาจจะเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง

   อื้ออออ....ใจฟูกว่าเดิมอีกโอ๊ยยยย

   “เมฆควรทำยังไงต่อไปดีพี่อิน”

   “ก็อย่างที่พี่บอกนั่นแหละ เมฆต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเมฆชอบเขาจริงๆ แล้วก็ทำให้เขารู้สึกว่าเราต้องการที่จะมีเขาอยู่ในชีวิต” พี่อินเอ่ยพลางทำหน้าเศร้าออกมา ทำไมอยู่ดีดีถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ

   “พี่อินเป็นอะไรรึเปล่า”

   “เปล่า” เจ้าตัวยิ้มหวานให้ก่อนจะดึงแก้มผม “ไม่น่าเชื่อเลยว่าน้องของพี่จะมีความรักซะแล้ว”

   “เมฆก็แทบไม่เชื่อตัวเองเหมือนกัน”

   “มีอะไรก็มาปรึกษาได้ตลอดนะ เดี๋ยวพี่ไปนอนก่อน”

   “ฝันดีครับ” ผมบอกก่อนจะยิ้มแฉ่งให้เขา

   “อื้ม ฝันหวานนะดั้นเมฆ” ว่าแล้วร่างโปร่งก็เดินออกไปจากห้อง เหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังอยู่ในนี้

   วันนี้บุหลันไปนอนบ้านเพื่อนครับ ดั้นเมฆคือโดดเดี่ยวเดียวดาย จะว่าไปก็ดีเหมือนกันเพราะการไม่มีเจ้าแฝดตัวแสบมันทำให้หูผมสงบขึ้นเยอะ ปกติบุหลันจะเป็นประเภทพูดมาก พูดเพ้อเจ้อ พูดไปเรื่อย ไม่มีใครห้ามไม่ให้เขาพูดได้ด้วยนะ ผมกะว่าจะขอพี่อินแยกห้องกับเขาหลายรอบแล้วเพราะว่ารำคาญ แต่พี่อินบอกว่าเดี๋ยวพอเข้ามหา’ลัยก็จะไม่ได้รำคาญกันแบบนี้แล้ว

   ใครจะไปเชื่อวะ

   ตื้อดึ่ง

   ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่ามีข้อความไลน์ส่งมาจากใครสักคนที่ผมไม่รู้จัก ดูจากรูปโปรไฟล์คือเป็นเด็กโรงเรียนผมเอง ดาวที่ปกนั่นมีแค่ดวงเดียว คงเป็นรุ่นน้องสินะ หน้าตาน่ารักใช้ได้เลยล่ะ ว่าแต่เขาเอาไลน์ผมมาจากไหนเนี่ยะ

   

   NiDa : ใช่พี่ดั้นเมฆรึเปล่าคะ

   ดั้นเมฆ : ใช่ครับ

   NiDa : หนูชื่อนิดานะคะ อยู่ม.4

   ดั้นเมฆ : ครับ

   

   น้องเขาจะแนะนำตัวเองทำไมวะ ผมไม่ได้อยากรู้เลย แต่จะว่าไปมันก็เป็นปกติมั้งที่เราจะแนะนำตัวกับคนที่เพิ่งรู้จัก แต่ผมไม่ได้อยากรู้จักเขาป้ะวะ นี่ถ้าพิมพ์กลับไปว่า ‘พี่ไม่ได้อยากรู้จักน้องครับ’ เขาต้องกรีดร้องออกมาแน่ๆ

   

   NiDa : พี่ทำอะไรอยู่เหรอคะ

   

   พี่ทำอะไรก็เรื่องของพี่สิครับ....ใจนึงก็อยากจะพิมพ์ไปแบบนี้แต่ผมควรใจดีกับเขาหน่อย อย่างน้อยเขาก็เป็นผู้หญิง ผมเลยตอบไปแค่ว่านอนเล่นอยู่บนเตียง ข้อความจากเขาอันต่อมาก็คือถามว่าผมกินข้าวรึยัง คือน้องครับ นี่มันก็จะ 5 ทุ่มแล้วอะ พี่น่าจะกินข้าวแล้วไหมเอ่ย นี่ถ้าเป็นเพื่อนๆ ผมแล้วมาถามอะไรติ๊งต๊องแบบนี้นี่ผมด่าแล้วนะ

   

   NiDa : หนูไม่รู้ว่าพี่จำหนูได้ไหม เราเดินสวนกันบ่อยๆ ด้วยนะคะ ที่สนามบาสฯ อะ แทบทุกวันเลย

   ดั้นเมฆ : จำไม่ได้55555

   NiDa : แต่เดี๋ยวพี่ก็จำหนูได้

   ดั้นเมฆ : คิดงั้นเหรอ

   NiDa : ใช่ หนูมีอะไรจะบอกพี่ด้วยนะ

   ดั้นเมฆ : อะไรอะ

   NiDa : หนูชอบพี่นะคะ


   

   หนูชอบพี่นะคะ

   ชอบ....คนอย่างผมเนี่ยนะ

   ผมมองข้อความที่ปรากฏตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา น้องนิดาชอบผมเฉยเลยว่ะ น้องเขาน่ารักนะแต่ผมมีคนที่ชอบแล้วนี่สิ สายตาของผมมีแต่ช่อม่วง เพราะแบบนั้นน้องคนงามคงต้องอกหักแล้วล่ะครับ อยากจะบอกให้เขาไปหาคนอื่นแทนดีกว่า อย่ามาเสียเวลากับคนที่เขาไม่มีแม้แต่เสี้ยวใจให้เลยเพราะมันจะมีแต่ช้ำเปล่าๆ

   

   ดั้นเมฆ : พี่ก็มีคนที่ชอบแล้วน่ะครับ

   NiDa : แต่พี่ก็ยังโสดนี่คะ พี่อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ ขอให้หนูลองพยายามก่อนนะคะ

   ดั้นเมฆ : ก็ได้ครับ


   

   แล้วน้องจะได้รู้ว่ามันเสียเวลา

   ผมกดแคปหน้าจอแชทที่คุยกับน้องส่งไปให้ช่อม่วงดู หัวหน้าห้องอ่านไวมากเลยครับ ยังไม่หลับอีกเหรอเนี่ย งั้นที่บอกกับผมว่าจะนอนแล้วนี่ขี้โม้สินะ เดี๋ยวเถอะนะคุณ เรื่องนี้จะแปะโป้งแล้วเอาไว้ทำโทษในวันที่มีสิทธิ์ ถึงวันนั้นเมื่อไหร่ล่ะไม่รอดแน่

   พรึ่บ

   ผมมองข้อความที่เด้งขึ้นมาก่อนจะหลุดยิ้มจนแก้มปริ ก็เพราะพูดจาแบบนี้อะ จะไม่ให้ยิ่งหลงได้ยังไง ช่อม่วงนี่เกินไปจริงๆ ผมจะแพ้ความน่ารักนี้ไปอีกนานแค่ไหนนะ เขาจะรู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำให้ผู้ชายที่ชื่อดั้นเมฆเป็นบ้าตาย

   

   CH_M : ไปตอบใหม่เลยว่าไม่ได้

   CH_M : เราไม่ให้


   

   เนี่ยะ

   ใครไม่หลงรักก็บ้าแล้ว









TBC.

สวัสดีค่า ชาลมาส่งมาสคอตแล้วน้าาาา หวานเนอะ แต่เชื่อปะว่ามันหวานได้กว่านี้อีก รอติดตามน้า

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: M A S C O T บทที่ 12 [ 16 / 10 / 2020 ] หน้า 1
« ตอบ #19 เมื่อ: 16-10-2020 17:09:26 »





ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: M A S C O T บทที่ 12 [ 16 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #20 เมื่อ19-10-2020 01:03:26 »

 :hao3:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 13 [ 21 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #21 เมื่อ21-10-2020 11:23:44 »

บทที่ 13 ความลับ

   เวลาที่ความรักมีอิทธิพลต่อหัวใจเรามากๆ มันน่ากลัวเหมือนกันนะ

   มองไปทางไหนก็เห็นแต่หน้าเขาเต็มไปหมด

   เพ้อเจ้อดีจัง

   ผมนั่งประกอบกลองชุดอยู่ที่ห้องดนตรีกับเหล่าสหาย ถูกอาจารย์กรณ์ขอให้มาช่วยจัดเครื่องดนตรีน่ะครับ เอาจริงๆ ไม่ได้ถูกขอแค่นี้ด้วยนะ เขาขอให้พวกผมเล่นดนตรีในงานโรงเรียนที่กำลังจะถึงนี้ด้วย ผมค่อนข้างชั่งใจมากเพราะคิดว่าตัวเองจะไม่มีเวลาซ้อมมากนัก ผมเล่นกีต้าร์เป็น ตีกลองได้นิดหน่อย ร้องเพลงก็ร้องได้ แต่บางเพลงก็เพี้ยนนะ ผมว่ามันเรื่องปกติของเสียงคนเราที่จะต้องมีเพลงที่ตัวเองพยายามร้องยังไงมันก็ไม่เพราะอะ

   น่าอนาถใจจัง

   แต่ช่างเถอะ ผมไม่ค่อยร้องเพลงให้ใครฟังเท่าไหร่ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่เพื่อนหรือว่าคนพิเศษ วันนี้ตลอดช่วงบ่ายคือว่างเลยครับเพราะอาจารย์มีประชุมเรื่องงานโรงเรียนนี่แหละ เอาจริงๆ ผมอยากจะเอาเวลาตรงนี้ไปวอแวคนที่ผมชอบแต่ติดตรงที่เขาต้องไปประชุมกับห้องอื่นเรื่องงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์อาทิตย์หน้า ไม่รู้ว่าจะประชุมเสร็จกี่โมง ตอนนี้บ่าย 2 กว่าแล้วล่ะ อีกพักนึงรั้วจะเปิดแล้ว

   ผมอยากเจอเขาก่อนกลับบ้านจัง

   ตั้งแต่วันที่สารภาพกับช่อม่วงก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าๆ แล้ว ความสัมพันธ์ของเราดีขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดว่างั้นนะ อย่างน้อยผมก็กล้าที่จะเข้าไปหาเรื่องคุยกับเขา หามุกกากๆ ไปหยอดเขา มีโอกาสทำให้เขายิ้มให้เห็นบ่อยขึ้น มีวันนึงที่เราวิดีโอคอลหากันก่อนนอน หัวหน้าห้องของผมน่ารักมาก รู้สึกดีทุกครั้งที่คิดว่าผมเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เห็นอะไรแบบนั้น อืม....จะว่าไปก็อาจจะไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว

   นังไวท์บันนี่ก็ได้เห็นเหมือนกัน

   ช่อม่วงยังคงปฏิบัติกับกระต่ายกากเหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็นการหยอกล้อ คุยเล่นหรือยิ้มหวานให้ แน่นอนว่าดั้นเมฆคนนี้คือหึงขั้นสุด ใช่ ผมหึงตัวเองนั่นแหละ จิ๊....ถึงผมจะเป็นไวท์บันนี่แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ อะ ช่อม่วงไม่รู้ซะหน่อยว่าผมอยู่ในนั้น ถ้าสมมุติผมเลือกที่จะบอกความจริงกับเขาไปในตอนนี้ ผมกลัวว่าเขาจะโกรธ แต่ถ้าไม่รีบบอกมันก็เหมือนผมปิดบังเขาไปเรื่อยๆ ป้ะวะ

   เอาไงดีเนี่ยะดั้นเมฆ

   “ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ” จ๋ายถามก่อนจะส่งลูกอมมาให้ผม

   “มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยว่ะ”

   “เรื่องไรวะ”

   “คือกูอะ มีเรื่องปิดบังคนที่ตัวเองชอบอยู่ แล้วกูไม่สบายใจที่จะปิดบังเขาต่อ แต่ก็ไม่สะดวกใจที่จะบอกตอนนี้เหมือนกันว่ะ”

   “เรื่องใหญ่เหรอ”

   “อาจจะใหญ่ ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

   “ถ้าถามกู กูก็แนะนำให้บอกนะ เพราะการให้เขารู้จากปากเรามันดีกว่าการให้เขารู้เองหรือรู้จากปากคนอื่น”

   ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ถ้าบอกไปแล้วเขาโกรธวะ”

   “ง้อไง ง้อจนกว่าเขาจะหายโกรธ”

   “ถ้าเขาไม่หายอะ”

   “ทำใจนะมึง” มือเรียวยกแตะไหล่ผมอย่างปลอบใจ ตอนแรกก็คิดอยากจะบอกเขาให้เร็วที่สุดอยู่หรอกแต่พอไอ้เวรจ๋ายบอกแบบนี้ผมก็ชักหวั่นใจ

   ไว้ลองปรึกษาเรื่องนี้กับพี่อินดีกว่าเผื่อเขาจะให้คำแนะนำดีดีกับผมได้ ช่วงนี้พี่ชายผมดูหม่นหมองยังไงก็ไม่รู้ ไม่ใช่แค่เขาด้วยนะที่เป็นแบบนั้น พี่อ้ายเองก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรกันรึเปล่า ผมยังจำวันที่เห็นพี่อ้ายกอดพี่อินได้เลย คำถามยังคงคาใจเหมือนเดิมว่าเขาเป็นอะไรกัน ถามพี่อินเขาก็ไม่บอก จะไปถามพี่อ้ายมันก็ไม่ใช่เรื่องอีก สิ่งที่ผมทำได้ก็น่าจะเป็นการสังเกตไปเรื่อยๆ แล้วค่อยเอาเรื่องราวมาปะติดปะต่อกัน

   ดูท่าน่าจะต้องใช้เวลานาน

   “เมฆ”

   “ห้ะ”

   “ตั้งสายให้หน่อยสิ” กรีซส่งกีต้าร์โปร่งมาให้ผม “แล้วนี่ไอ้ยักษ์ไปไหน”

   “ไปซื้อของ” ผมไล่ดีดกีต้าร์ไปทีละสายก่อจะตั้งให้เสียงตรง ถ้ามีจูนเนอร์ก็จะตั้งง่ายกว่านี้อะ ตั้งเองนี่ต้องฟังเสียงเอาอย่างเดียวเลย

   “พี่ดั้นเมฆ” เสียงหวานดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง ผมหันไปมองก็พบกับร่างบางของน้องมอสี่คนนึงยืนอยู่ตรงนั้น

   “ใครวะเมฆ” จ๋ายกระซิบถาม

   “ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” ผมบอกก่อนจะมองเธอ “น้องเป็นใครครับ”

   “นิดาไงคะ”

   “อ๋อ” ผมวางกีต้าร์ก่อนจะเดินเข้าไปหา “เรียกพี่ มีอะไรรึเปล่า”

   “หนูทำขนมน่ะค่ะ แล้วก็อยากให้พี่ชิม” มือบางส่งถุงขนมมาทางผม แก้มใสขึ้นสีแดงระเรื่อ เขินอะไรของเขาเนี่ยะ

   “ขอบใจนะ” ผมรับมาพลางมองขนมที่อยู่ในถุง มันเป็นคุกกี้ครับ ดีเลย ก่อนหน้านี้ไอ้กรีซบ่นว่าหิวอยู่พอดี

   “แล้วพี่ทำอะไรอยู่เหรอคะ”

   “เซ็ตเครื่องดนตรีให้อาจารย์น่ะ แล้วนี่ไม่เรียนเหรอ”

   “เรียนค่ะ”

   “งั้นก็ไปเรียนได้แล้วนะ เดี๋ยวอาจารย์ว่า”

   “ได้ค่ะ หนูไปก่อนนะคะ” เธอยิ้มหวานให้ผมก่อนจะเดินไป ท่าทีแบบนั้นคือเขินมากเลยสิ

   มันเป็นประสบการณ์ชีวิตแปลกๆ ดีนะ ผมไม่เคยมีคนเอาขนมมาให้แบบนี้เลย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจเท่าไหร่เพราะคนที่เอามาให้ เป็นคนที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรด้วย ลองนึกภาพว่าเป็นช่อม่วงเอามาให้นะ โอ้โหวววว ดั้นเมฆต้องเขินจนตัวแตกตายแน่ๆ จะว่าไป....มันคงไม่มีวันที่หัวหน้าห้องจะทำขนมมาให้ผมเพราะเขาทำไม่เป็น

   พูดถึงก็อยากเจอหน้าจัง

   ผมเดินกลับมาหาเพื่อนๆ ก่อนจะส่งถุงคุกกี้ไปให้ เกลียดสายตาที่พวกมันมองมาก ใจเหมือนอยากจะแซวแต่กลัวโดนด่าก็เลยขอให้ได้ส่งสายตามาจับผิดก่อน มันน่าจิ้มตาแตกซะจริง ดีนะว่าไอ้ยักษ์ไม่อยู่เพราะถ้ามันอยู่ ไอ้บ้านั่นต้องกวนประสาทแล้วถามผมไม่เลิกแน่ว่านิดาเป็นใคร เอาขนมมาให้ทำไม แอบไปกิ๊กกั๊กกับรุ่นน้องตั้งแต่เมื่อไหร่บลาๆ ๆ ๆ

   มันเป็นบุคคลที่น่ารำคาญแห่งปีเลย

   “ใครวะ”

   “เขาชื่อนิดา เป็นรุ่นน้องนี่แหละ”

   “แล้วเขาเอาขนมมาให้มึงทำไม” กรีซถามพลางแกะถุงขนม “คุกกี้ว่ะ”

   “เมื่ออาทิตย์ก่อนเขาทักมาแล้วก็บอกว่าชอบกู”

   “ถามจริงงงง” จ๋ายทำตาโต ทำไมวะ การที่เพื่อนเมฆมีคนมาชอบมันแปลกขนาดนั้นเลยเหรอ

   “เขาก็น่ารักดีนะ มึงชอบไหมล่ะ”

   ผมส่ายหน้าทันที “กูมีคนที่ชอบแล้ว”

   “เออ พูดถึงคนที่มึงชอบก็ดีเหมือนกัน ตกลงว่าใครวะ บอกกูพวกกูได้ไหม”

   “ก็บอกได้ แต่พวกมึงอย่าตกใจนะ”

   “เออน่ะ บอกมาซิเพื่อนรักว่าใครที่ได้หัวใจมึงไป”

   “ช่อม่วง” สิ้นเสียงของผม สหายทั้งสองคนก็เงียบกริบ

   ผมคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะว่าเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้น มันไม่แปลกเลยที่เพื่อนๆ จะแสดงท่าทีแบบนั้นออกมาหลังจากรู้ว่าคนที่ผมชอบเป็นผู้ชาย ไม่รู้ว่าพวกมันจะรับได้ไหม ต้องยอมรับนะครับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะรับเรื่องราวอะไรแบบนี้ได้ จริงอยู่ว่านี่มันสมัยไหนแล้วแต่การไม่ยอมรับในเรื่องของรักร่วมเพศมันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคล เราเองก็ไม่มีมีสิทธิ์ไปว่าคนกลุ่มนั้น การไม่ยอมรับมันไม่เป็นไร ขอแค่ไม่เหยียดกันก็พอ

   ความจริง....เราก็ไม่ควรเหยียดใครทั้งนั้นแหละ

   ไม่ว่าจะเพศไหนก็ตาม

   มือเรียวของจ๋ายยื่นไปทางกรีซ “เอามาสองร้อย”

   “มึงแม่ง” เพื่อนรักโอดครวญก่อนจะหยิบเงินในกระเป๋าส่งให้ อะไรของพวกมันวะ

   “ทำไรวะ”

   “ก็เมื่ออาทิตย์ก่อนที่มึงมาถามว่าเคยชอบเพื่อนไหมอะไรทำนองนั้นอะ พวกกูก็มานั่งวิเคราะห์กันว่ามึงจะชอบใคร ซึ่งพวกกูก็เดากันไปคนละคนอะนะ เพราะแบบนั้นก็เลยพนันกันนิดหน่อย แต่เหมือนโชคจะเป็นของกูที่เดาถูกว่ามึงชอบช่อม่วง”

   “เฉยเลยอะ มันทำไมวะห้ะ” คนเสียเงินนั่งทำหน้าบู้บี้ “มึงทำกูเสียเงินนะเมฆ”

   “มึงอย่าไปโทษไอ้เมฆ โทษตัวเองดีกว่าที่มองเพื่อนไม่เฉียบ ไงล่ะ กูบอกแล้วว่ามันชอบช่อม่วง ไม่มีใครเชื่อกูสักคนทั้งมึงหรือไอ้ยักษ์ เออ เดี๋ยวกูต้องเก็บเงินกับไอ้ยักษ์ด้วย แหม่ วันนี้ดีว่ะ อยู่ดีดีก็รวย ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ”

   “แล้วพวกมึงไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอที่กูชอบผู้ชาย”

   “ก็....รู้สึกแหละ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันไม่ได้ป้ะวะ ก็ถ้าชอบจริงๆ อะ” กรีซบอกก่อนจะยัดคุกกี้เข้าปาก

   “อืม สำหรับกู มึงเป็นเพื่อนที่ดีมากๆ จะมาให้กูตัดเพื่อนกับมึงแค่เพราะว่ามึงชอบผู้ชายด้วยกันมันก็ดูไม่ใช่เรื่องอะ อีกอย่างคือกูก็เคารพในการตัดสินใจของมึงอะนะ มึงว่าอะไรดี เพื่อนแบบกูก็ว่าไปตามนั้นแหละ”

   “ขอบใจพวกมึงที่เข้าใจกูนะ” ผมยิ้มบางๆ ให้พวกมัน “พวกมึงยังพอโอเค แต่ไอ้ยักษ์นี่สิ”

   “ไอ้ยักษ์ไม่มีปัญหาหรอกเพราะพี่ชายมันเป็นเกย์”

   “แต่พี่กับเพื่อนมันไม่เหมือนกันไงมึง”

   “มึงไม่ต้องไปกังวลหรอก เต็มที่มันก็อาจจะวอแวมึงสักพักแล้วเดี๋ยวมันก็หาย มันติ๊งต๊องจะตาย ไม่มีเรื่องไหนจะทำให้มันคิดมากไปกว่าการหาขนมกินหลังแดกข้าวแล้วแหละ”

   “ก็จริงของมึง” ว่าแล้วพวกผมก็หัวเราะออกมากันลั่นห้องดนตรี ป่านนี้คนถูกนินทาน่าจะจามหัวมุดพื้นอยู่ก็ได้

   รู้สึกดีและก็สบายใจที่ได้บอกเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ ได้รับรู้นะ ตอนแรกก็หวั่นใจอยู่เพราะทุกอย่างมันตกอยู่ในความเงียบ ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะมาพนันกันเอาไว้เรื่องคนที่ผมชอบ ร้ายซะจริง แต่ที่ร้ายที่สุดน่าจะเป็นจ๋ายเพราะมันเดาออกด้วยว่าผมชอบช่อม่วง ผมว่าตัวเองไม่ค่อยแสดงอาการออกไปให้ใครเห็นนะ เอ๊ะ หรือแสดงวะ ช่างเถอะ เอาเป็นว่าพอเรื่องมันเป็นแบบนี้แล้วก็ถือว่าดี

   เพื่อนผมก็ยังคงเป็นเพื่อนผมต่อไป

   “ดูซิกูพาใครมา” เสียงสะเหล่อที่คุ้นหูดังเข้ามา หันไปมองก็พบกับไอ้ยักษ์ที่เดินมาพร้อมกับใครบางคนที่ผมอยากเจอเขามากๆ

   แล้วทำไมต้องมากับไอ้ยักษ์

   “ดั้นเมฆ” ร่างโปร่งเดินเข้ามาหาผม “ทำอะไรอยู่อะ”

   “เช็ตเครื่องดนตรี ช่ออะ ประชุมเสร็จแล้วเหรอ”

   “อื้ม” เขารับคำก่อนจะนั่งลงข้างผม รับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องจับผิดจากสหายรักทั้งสาม พวกมึงเป็นอะไรกันวะ เดี๋ยวกูก็จิ้มให้ตาแตกซะหรอก

   “คุกกี้ใครอะ” ไอ้สะเหล่อถามก่อนจะหยิบคุกกี้ยัดเข้าปาก

   “มีเด็กเอามาให้ไอ้เมฆมัน โคตรน่ารักอะ” พอกรีซพูดจบ ช่อม่วงก็หันขวับมองผมทันที

   หางานให้กูอีกนะไอ้เพื่อนเวร

   “มึงนี่แดกหมาเข้าไปป้ะเนี่ยะ” จ๋ายหยิกขากรีซแรงๆ ก่อนจะยิ้มแห้งๆ ให้ช่อม่วง “คือ....พวกเราจะไปซื้อน้ำ เอาอะไรป้ะช่อ”

   คนโดนหยิกหรี่ตามอง “มึงใช้คำว่าพวก”

   “ใช่ กูจะไปกับพวกมึง”

   “โหยอะไร กูเพิ่งเดินมาเองนะ” ไอ้ยักษ์โวยวาย

   “เออน่ะ”

   “งั้น....เราฝากจ๋ายซื้อชาเขียวหน่อยละกัน”

   “ของกูเอาชานม”

   “โอเค งั้นเดี๋ยวพวกกูมา ไปเร็วสิวะ พวกมึงแม่งไม่เป็นงานเลย ไป๊” จ๋ายลากเพื่อนรักทั้งสองออกไปจากห้องดนตรี ผมรู้เจตนามันดีว่ามันไม่ได้อยากจะไปซื้อน้ำหรืออะไร

   มันแค่อยากให้ผมกับหัวหน้าห้องอยู่ด้วยกันเท่านั้นแหละ

   ช่อม่วงหยิบถุงคุกกี้ไปดูก่อนจะหยิบออกมาหนึ่งชิ้น ดวงตาคมมองมันอย่างพิจารณาก่อนจะยัดเข้าไปในปาก ผมนั่งมองเขานิ่งๆ ไม่กล้าพูดอะไรเลยครับ กลัวเขาไม่ชอบใจเหมือนกันที่ผมรับขนมจากคนอื่น ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะแสดงรีแอคชั่นอะไรออกมาหลังจากที่กินคุกกี้เสร็จ

   “รุ่นน้องคนไหนให้มาเหรอ”

   “ก็....น้องนิดานั่นแหละ”

   เขาพยักหน้ารับเบาๆ “เขาบอกเมฆว่ายังไงบ้าง”

   “บอกว่าทำขนมมาให้”

   “เขาโกหก”

   “ช่อรู้ได้ยังไง”

   “เพราะคุกกี้นี้มาจากร้านลาองตรงซอย 6” เจ้าตัวบอกก่อนจะยัดชิ้นใหม่เข้าปาก “เรากินบ่อย”

   “อย่างนี้นี่เอง”

   “เอามือมา” พอได้ยินแบบนั้นผมก็ยื่นมือไปทางช่อม่วง

   เพี้ยะ

   “อื้อออ....ช่อตีเราทำไม”

   “อย่ารับขนมของนิดาอีกนะ ถ้าเมฆไม่มีใจให้เธอ เมฆก็อย่าไปทำแบบนั้น เมฆอาจจะไม่คิดอะไรเพราะมันก็แค่การรับขนม แต่นิดาคิดนะ”

   “เราขอโทษ” ผมเอ่ยเสียงอ่อน “เราจะไม่รับอะไรจากน้องเขาแล้ว”

   “อื้ม เรามีอีกเรื่องที่ต้องบอกเมฆเอาไว้ด้วย แต่เราจะแค่บอกเฉยๆ เพราะว่าเรายังไม่อยากอธิบายอะไรทั้งนั้น”

   “อะไรอะ”

   “นิดาคือลูกติดของแม่เลี้ยงเรา” ช่อม่วงเอ่ยออกมาเสียงเรียบ

   ไม่รู้เลยนะว่าแม่เลี้ยงของเขาจะมีลูกติดมาด้วย ที่เจ้าตัวเคยเล่าให้ฟังคือพ่อแต่งงานใหม่แล้วมีลูกอีกคน งั้นแปลว่านิดาเป็นแค่ลูกเลี้ยงสินะ ไม่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรกับช่อม่วง ต่างจากคนน้องที่มีพ่อคนเดียวกัน เรื่องบังเอิญแบบไหนกันวะเนี่ย ผมคิดว่าช่อม่วงไม่น่าจะนับญาติอะไรกับนิดาหรอกเพราะไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย แต่เขาคงไม่ชอบใจอยู่ที่ลูกติดแม่เลี้ยงมายุ่งกับผม

   นี่คิดเข้าข้างตัวเองว่าช่อม่วงหึงแบบมั่นหน้ามากเลยนะ

   หัวหน้าห้องบอกว่ายังไม่อยากอธิบายอะไรตอนนี้มันน่าจะเป็นเพราะเขากำลังหงุดหงิด ดูจากหน้าก็รู้แล้วอะนะ ผมไม่ได้สงสัยในเรื่องนี้เท่าไหร่นักหรอก เอาเป็นว่าวันไหนที่เขาอยากเล่าให้ฟัง วันนั้นผมจะรับฟัง อะไรก็ตามที่ช่อม่วงสบายใจที่จะทำ ผมก็จะปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น แต่สำหรับตอนนี้ผมควรทำอะไรสักอย่างให้คนตรงหน้ารู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยผมก็อยากเห็นเขายิ้มมากกว่าทำหน้าแบบนี้

   ผมหยิบกีต้าร์ที่ตั้งสายเสร็จแล้วขึ้นมาตั้งไว้บนตัก “ฟังเพลงไหม”

   “เมฆเล่นกีต้าร์เป็นด้วยเหรอ”

   “เป็นสิ เดี๋ยวงานโรงเรียนที่จะถึงนี้ เราก็ต้องขึ้นเล่นด้วยนะ”

   “งั้นเราจะไปดูเมฆเอง แล้วนี่จะเล่นเพลงอะไรอะ”

   “ความลับ”

   “จะไม่บอกเราเหรอ”

   “ชื่อเพลง ความลับ ของพอสน่ะ เคยฟังไหม”

   “ไม่เคย เมฆเล่นสิ”

   “ครับ” ผมเริ่มเกากีต้าร์ตามคอร์ดเพลง ผมชอบเพลงนี้นะ อย่างน้อยมันก็เหมาะที่จะร้องให้ช่อม่วงฟัง หวังว่าการร้องเพลงและเล่นกีต้าร์มันจะทำให้เขาประทับใจในตัวดั้นเมฆมากขึ้นนะ

   

   “มอง มองเธอมาแสนนาน ฉันไม่กล้าต้องคอยหลบตาเธอเสมอ

   กลัวว่าวันหนึ่งถ้าเธอรู้ว่าฉัน ปิดบังความจริงอะไรเอาไว้

   ความลับที่ฉันซ่อนไว้ ไม่เคยบอกใคร จะอดใจไม่ไหว”


   

   ผมเอียงหัวเข้าไปใกล้เขา “ยิ่งฉันใกล้เธอเท่าไหร่ ยิ่งอยากจะเผยใจ เมื่อสบสายตาก็ยิ่งหวั่นไหว

   มันยากเหลือเกิน จะเก็บซ่อนความรักเอาไว้ และความลับในใจของเธอ มีฉันอยู่บ้างไหม

   โปรดบอกความในใจ ให้ฉันรู้ทีนะเธอ”

   

   ผมชอบสายตาที่ช่อม่วงมองมา ชอบที่เขายิ้ม ชอบที่แก้มใสๆ นั่นขึ้นสีแดงระเรื่อ ผมชอบทุกอย่างที่เป็นเขา ยิ่งนานวันมันก็ยิ่งมากขึ้น ผมมีความสุขที่ชีวิตของผมในตอนนี้มีเขาเป็นส่วนหนึ่งในนั้น และมันคงจะดีถ้าเขาอยู่ตรงนี้ไปทุกๆ วัน

   นี่มันมากกว่าชอบแล้วล่ะ

   

   “.....ก็เธอ เธอช่างดีแสนดี คำว่ารักเธอ จะต้องเก็บไว้อีกนานแค่ไหน

   ความลับที่ฉันซ่อนไว้ ไม่เคยบอกใคร จะอดใจไม่ไหว

   ยิ่งฉันใกล้เธอเท่าไหร่ ยิ่งอยากจะเผยใจ เมื่อสบสายตาก็ยิ่งหวั่นไหว

   มันยากเหลือเกิน จะเก็บซ่อนความรักเอาไว้ และความลับในใจของเธอ มีฉันอยู่บ้างไหม

   โปรดบอกความในใจ ให้ฉันรู้ทีนะเธอ ”


   

   ผมยิ้มหวานให้ช่อม่วง “เป็นไง”

   “เพราะ ไม่เห็นรู้เลยว่าร้องเพลงเพราะขนาดนี้”

   “ไม่ค่อยได้ร้องให้ใครฟังน่ะ” ผมเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาออกให้ “ปกติจะร้องให้คนพิเศษฟัง”

   “แต่งานโรงเรียนที่จะถึงนี้ ทุกคนก็คงพิเศษหมดล่ะมั้ง” เจ้าตัวเอ่ยพลางยกมือขึ้นลูบแก้มเบาๆ

   “ไม่หรอก คนที่เขาพิเศษ เขาก็รู้ตัวดีอยู่แล้ว”

   ช่อม่วงหลุดยิ้มออกมา “เมฆนี่ดีเนอะ ทำขนมก็อร่อย ร้องเพลงก็เพราะ เล่นกีต้าร์ก็เก่ง เป็นผู้ชายแบบที่ใครหลายๆ คนชอบเลยล่ะ”

   “งั้นเหรอ” ผมเท้าคางมองเขา “แต่ไม่รู้ว่าคนแถวนี้จะชอบรึเปล่า”

   “.....ก็อาจจะ”


   ตึกตัก

   เอาว่ะ....มาว่ะ

   “ช่อรู้ไหมว่าการกระทำหลายๆ อย่างของช่อมันทำให้เราคิดไปไกล ทั้งเรื่องมุมบางมุมของช่อที่มีแค่เราคนเดียวที่ได้เห็น หรืออะไรหลายๆ อย่างที่มันพิเศษ ทั้งเรื่องนิดาก็ด้วย” ผมเอ่ยพลางมองเขา “เราไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองแต่อะไรๆ มันก็ทำให้คิดแบบนั้นจริงๆ ”

   “คิดว่าอะไร”

   “คิดว่า....ช่อก็อาจจะมีใจให้เราเหมือนกัน”

   “ไม่รู้สิ” ช่อม่วงเหลือบมองผมก่อนจะคลี่ยิ้มให้ “....เมฆคิดว่าไงล่ะ”

   อื้มมม.....รอยยิ้มเอยคำพูดเอย

   ผมหลงรักทุกอย่างจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว

   “คิดว่า.....ไปไหนไม่รอดแล้วครับ”

   .....ไม่รอดจริงๆ













TBC.

สวัสดีค่า ชัลมาส่งมาสคอตแล้วนะ วันนี้เป็นวันดีดีของชัลนะคะ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันเกิด ก็เดี๋ยวมาส่งอีกนะค้าบ

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: M A S C O T บทที่ 13 [ 21 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #22 เมื่อ21-10-2020 22:12:21 »

 :pig4:
 :3123:

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: M A S C O T บทที่ 13 [ 21 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #23 เมื่อ22-10-2020 17:02:08 »

 :hao5:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 14 [ 25 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #24 เมื่อ25-10-2020 23:02:05 »

บทที่ 14 มากกว่าเพื่อน




   [บันทึกพิเศษ : ช่อม่วง]

   

   “แล้วอันนี้มันคือขนมอะไรเหรอครับ ผมไม่เคยเห็นที่ร้านทำเลย”

   “ขนมพะพายครับ ด้านในจะเป็นถั่วทองกวนแล้วหุ้มด้วยแป้งข้าวเหนียวจากนั้นก็เอาไปต้มแล้วก็ราดด้วยแป้งข้าวเจ้าที่ผสมกะทิน่ะครับ”

   ผมพยักหน้ารับเบาๆ “คุณกระต่ายว่ามันอร่อยไหม”

   “อร่อยสิครับ ถ้าทานแล้วจะติดใจเลยล่ะ”

   “ขนาดนั้นเชียว” ผมยิ้มหวานให้เขาก่อนจะตักขนมพะพายเข้าปาก อื้มมมม....อร่อยจริงๆ ด้วย ถั่วกวนที่อยู่ข้างในไม่หวานจนเกินไป กลิ่นก็หอมกำลังดี

   มีความสุขจัง

   ผมนั่งกินขนมพลางมองคุณกระต่ายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตอนนี้ผมอยู่ที่ร้าน MASCOT ครับ นาฬิกาแสดงเวลา 2 ทุ่มกว่าๆ ผมเพิ่งจะจัดการเรื่องงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์เสร็จ พรุ่งนี้ก็วันงานแล้ว โล่งเหมือนกันนะที่มันจะจบๆ ไปสักที ผมจะได้มีเวลาทำอย่างอื่นบ้าง ตอนแรกผมไม่ได้กะว่าจะมาที่นี่หรอกแต่อาจเป็นเพราะรู้สึกเหนื่อยมากแล้วก็อยากได้กำลังใจล่ะมั้ง และมันก็เป็นแบบที่ผมคิดจริงๆ ด้วยนะ พอได้มาที่นี่ก็หายเหนื่อยจริงๆ

   เพราะดั้นเมฆแน่ๆ

   ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในชุดมาสคอตกระต่ายขาวแต่เขาก็คือเขาอยู่ดี ไวท์บันนี่น่ะใจดีมากนะครับ ใจดีกับทุกคนซึ่งผมมองว่ามันเป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว เท่าที่ผมรู้จักดั้นเมฆคือเขาไม่ใช่คนใจดีขนาดนั้น เขามีมุมร้ายๆ อยู่แต่ผมไม่ค่อยได้เห็น  เวลาที่เราอยู่ด้วยกันเขาจะเป็นคนที่อ่อนโยนและอบอุ่นมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงได้หลงรักเขา เอาจริงๆ ถ้าคนอื่นได้รู้จักเขาในมาดที่ผมรู้จัก คนพวกนั้นต้องตกบ่วงคุณกระต่ายของผมแน่ๆ

   พูดมาได้....คุณกระต่ายของผม

   เหิมเกริมใหญ่แล้วนะช่อม่วง

   ผมจัดการซัดขนมตรงหน้าจนหมดเกลี้ยง อร่อยจัง ขนมของร้านนี้ต่อให้กินทุกวันก็ไม่เบื่อเลยนะ พี่อินเนี่ยะเก่งจริงๆ ที่ทำขนมได้อร่อยแบบนี้ ตัวดั้นเมฆเองก็เหมือนกัน รสชาติของช่อม่วงที่เราช่วยกันทำวันนั้นมันทำให้ผมรู้เลยว่าต่อให้เป็นขนมชนิดอื่น เขาก็น่าจะทำอร่อยเหมือนกัน ถ้ามีโอกาสได้เห็นคนตรงหน้าทำขนมอีกก็คงจะดี

   ผมจะแอบถ่ายรูปเขาไว้เยอะๆ เลย

   “ยิ้มอะไรเหรอครับ”

   “ยิ้มให้คุณกระต่ายนั่นแหละ”

   “ยิ้มให้ผมทำไมครับ”

   “ไม่มีเหตุผลพิเศษหรอกครับ” ผมเท้าคางมองเขา “ผมก็แค่ยิ้มให้คุณเหมือนกับทุกๆ ครั้ง”

   “นอกจากผมแล้ว....มีใครได้เห็นรอยยิ้มนี้ไหม”

   “ก็ไม่ค่อยนะครับ ปกติผมไม่ค่อยยิ้มให้ใครเท่าไหร่ ผมจะยิ้มก็ต่อเมื่อ....”

   “ต่อเมื่อ....”

   “ผมชอบสิ่งๆ นั้น” ว่าแล้วผมก็ยิ้มหวานให้เขา เด๋อเมฆนิ่งไปเลยครับ เชื่อได้เลยว่าภายใต้หัวมาสคอตนั่น หน้าของเขาต้องแดงมากแน่ๆ

   “คุณลูกค้าพูดแบบนี้ ผมก็เขินแย่เลยสิครับ” ร่างสูงยกมือขึ้นกุมแก้มของหัวกระต่าย น่ารักชะมัด ผมอยากกุมบ้างอะ

   “เอาจริงๆ สิ่งที่ผมพูดไปเมื่อกี๊ ถ้าคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไรก็จะไม่เขินนะครับ” ผมเอียงคอมองเขา “คุณกระต่ายเขินแบบนี้ก็แปลว่า....คุณรู้สึกอะไรกับผมน่ะสิ”

   หัวกระต่ายยื่นเข้ามาใกล้ผม “อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้มั้งครับ”

   ตึกตัก

   คนเด๋อเล่นผมแล้ว

   ผมยกมือขึ้นลูบคอตัวเองเพื่อแก้เขิน คุณกระต่ายนี่จริงๆ เลยนะ แต่จะว่าเขาก็ไม่ได้เพราะผมเริ่มก่อนเอง ฝากไว้ก่อนเถอะดั้นเมฆ สงครามเขินจนตายนี้จะไม่ใช่ช่อม่วงที่เป็นคนแพ้ อย่างน้อยเขาต้องแพ้ทางมากกว่าผม

   ไม่ยอมหรอก

   “ขนมหมดแล้ว....ผมขอตัวก่อนนะครับ แล้วจะมาใหม่”

   “ผมจะรอคุณลูกค้านะครับ” เจ้าตัวลุกขึ้นก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้ผม “แล้วเจอกันครับ”

   “แล้วเจอกันครับคุณกระต่าย” ผมยิ้มหวานให้เขาก่อนจะเดินออกมาจากร้าน เกือบ 3 ทุ่มแล้วครับ สมควรกลับบ้านอาบน้ำนอนเป็นที่สุด

   จากร้าน MASCOT ไปบ้านผมก็ไกลอยู่พอสมควรเลยนะ แต่ว่าทุกครั้งที่ผมมากินขนม น้าชัชจะเป็นคนมารับ ซึ่งตอนนี้รถยนต์ของเขาก็จอดอยู่ตรงหัวมุมนี่เอง ผมเดินมาเรื่อยๆ จนถึงรถก่อนจะย้ายตัวเองเข้ามานั่งด้านใน ยกมือไหว้ร่างสูงที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ เจ้าตัวยิ้มบางๆ ให้ก่อนออกรถมุ่งหน้ากลับบ้าน ชีวิตผมมีแค่น้าชัช ผมอยู่กับเขามาตลอดตั้งแต่ที่แม่เสียไป เขาคอยดูแลผมแทบทุกอย่าง

   ดูแลดีอีกต่างหาก

   น้าชัชคือสุดยอดน้ามากเลยนะ ทำกับข้าวอร่อย งานบ้านงานเรือนคือเนี้ยบที่สุด ผมยังไม่ได้ครึ่งเขาเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้น้าชัชทำงานอยู่ฝ่ายบัญชีในบริษัทนึงที่พ่อผมเป็นคนฝากเข้าให้ทำงาน ทุกครั้งเวลาที่มีปากเสียงกันเรื่องการเรียนต่อของผม พ่อมักจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเหมือนทวงหนี้บุญคุณน้าชัชยังไงก็ไม่รู้ เพราะแบบนี้เขาเลยพูดมากเรื่องการเรียนต่อของผมไม่ได้เลย ผมเข้าใจเขานะว่ามันน่าอึดอัดแค่ไหน

   อยากจะปกป้องแต่ก็ทำไม่ได้

   เขาทำหน้าที่น้าที่ดีที่สุดแล้ว อย่างน้อยตอนที่เขาอยู่ พ่อก็ทำอะไรผมได้ไม่มากนัก ผมโตมาด้วยความไม่เข้าใจพ่อสักนิด ไม่เคยเข้าใจในสิ่งที่เขาทำกับผม ไหนๆ ก็ปล่อยให้ผมออกมาจากชีวิตเขาแล้ว ทำไมถึงไม่ปล่อยให้สุด ถ้าสมมุติว่าเขาตัดหางทิ้งโดยไม่ส่งเงินมาให้ผม เขาน่าจะทำมันสักที ผมจะได้คิดหาทางว่าตัวเองจะทำยังไงกับชีวิตต่อ การที่เขาทำแบบนี้มันสร้างความลำบากใจให้น้าชัชเหมือนกัน

   รวมถึงตัวผมเองก็ด้วย

   ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงบ้านแล้วครับ ผมหยิบของทั้งหมดแล้วลงจากรถก่อนจะเดินเข้าบ้าน บ้านที่เป็นบ้านของแม่ ยังไงมันก็ยังอบอุ่นเสมอ ทุกวันนี้ผมพยายามที่จะใช้ชีวิตให้ตัวเองรู้สึกมีความสุขที่สุดนะเพราะว่าถ้าแม่มองลงมาจากบนฟ้าแล้วเห็นว่าผมมีความสุข เขาก็จะได้รู้สึกสบายใจ อย่างช่อม่วงน่ะ ติดขัดเรื่องเดียวก็แค่เรื่องเรียนต่อเท่านั้นแหละ เนี่ยะ ถ้าพ่อปล่อยให้ผมเรียนหมอตามที่ตั้งใจมันก็ไม่น่ามีปัญหาแล้วแท้ๆ

   “น้ามีเรื่องจะคุยกับช่อด้วยนะ” ร่างสูงเดินมานั่งข้างผม “น้าคิดว่ามันค่อนข้างสำคัญมากเลยล่ะ”

   “เรื่องอะไรเหรอครับ”

   “มีบริษัทนึงเขาอยากจะให้น้าไปร่วมงานด้วย ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบัญชีน่ะ”

   “แล้วยังไงต่อครับ”

   “ก็....เงินเดือนสูงมากเลยล่ะ สูงมากจนน้าคิดว่าสามารถส่งช่อเรียนจบหมอได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งเงินของพ่อเราแม้แต่แดงเดียว”

   ผมยิ้มออกมาทันที “งั้นก็ดีน่ะสิครับ”

   “มันก็ดีนั่นแหละแต่ว่ามันเป็นการทำงานที่ไกลมากเลยน่ะ น้าก็เลยยังลังเลอยู่” เจ้าตัวเอ่ยพลางทำหน้าคิดหนัก ไกลขนาดไหนกันถึงต้องคิดมากถึงขนาดนั้น

   “ไกลที่ว่านี่ไกลมากเลยเหรอครับ”

   “สิงคโปร์”

   ไกลจริงๆ ด้วย

   “ถ้าถามความเห็นช่อ ช่อก็อยากให้น้าชัชย้ายไปทำงานที่นั่นครับ เพราะมันเป็นเรื่องที่มีอนาคตเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ช่ออยากเรียนหมอ และถ้ายังยืนยันแบบนี้กับพ่อ ยังไงเขาก็ต้องหยุดส่งเงินมาแน่ๆ ถ้าแบบนั้นเลือกสิ่งที่มันแน่นอนจะดีกว่า”

   “ที่น้าลังเลมันเป็นเพราะน้าเป็นห่วง น้าทิ้งให้ช่ออยู่คนเดียวหลายครั้ง และทุกครั้งช่อก็มักจะโดนทำร้ายไม่ว่าจากคำพูดหรือจากการใช้กำลัง อย่างครั้งล่าสุดนี้น้าก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพี่วัตรจะทำแบบนั้นกับลูกของตัวเองได้”

   “ไม่มีใครคิดหรอกครับ มันอาจจจะยากสักหน่อยแต่ช่อยังยืนยันคำเดิมนะ ช่อจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อที่น้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงยังไงพ่อก็คงไม่รุนแรงกับช่อจนถึงขั้นร้ายแรงสุดๆ หรอกครับ ขึ้นชื่อว่าเป็นลูก เขาคงปรานีช่อบ้าง”

   มือเรียวลูบหัวผมเบาๆ “ถ้ามันเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิ”

   “หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้นครับ”

   “ตอนนี้น้ายังไม่ได้ตัดสินใจแน่นอน แต่เดี๋ยวจะบอกอีกทีละกัน” เขายิ้มบางๆ ให้ผม “แล้ววันนี้เป็นยังไงบ้างหืม....”

   “เหนื่อยครับ แต่ว่าพรุ่งนี้งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ก็จบแล้ว”

   “อดทนหน่อย ถ้าเหนื่อยมากๆ ก็หาความสุขให้ตัวเองซะ แต่จะว่าไป....ก็คงไปหามาแล้วล่ะสิ”

   “น้าชัชอย่าแซวช่อสิครับ” ผมทำแก้มป่องใส่เขา เจ้าตัวก็ยิ้มหัวเราะชอบใจ ชอบจริงๆ เลยแกล้งหลานเนี่ย

   น้าชัชรู้เรื่องของผมกับดั้นเมฆนะครับ ผมเป็นคนเล่าให้ฟังเอง เขาไม่ได้ห้ามหรือว่าอะไรผมเลยนะ บอกแค่ว่าชีวิตของผมก็เอาตามที่ผมต้องการ เอาจริงๆ คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องที่ผมชอบผู้ชายหรอกเพราะว่าเราก็รู้ๆ กันอยู่ น้าผมไม่สนใจสาวคนใดเลยมาจนอายุ 32 ในชีวิตเขาจะมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่เวียนเข้ามาก็เท่านั้น มีคนนึงที่น้าชัชเคยพามากินข้าวที่บ้านแต่เขาก็บอกกับผมนะว่าเป็นแค่เพื่อนเฉยๆ

   คิดว่าช่อม่วงคนนี้จะเชื่อเหรอ

   เรื่องส่วนตัวของเขาก็ให้มันเป็นส่วนตัวต่อไป ถ้ามีจังหวะมาให้แซวก็จะเอาหน่อยพอได้กวนประสาทคืนบ้าง ไว้ถ้ามีโอกาส ผมพาดั้นเมฆมากินข้าวที่บ้านดีกว่า เจ้าตัวจะได้เจอน้าชัชด้วย ผมโม้ให้เขาฟังไว้เยอะเลยว่าคนเด๋อทำขนมเก่งมาก ร้องเพลงเพราะแถมยังใจดีอีกต่างหาก ลองนึกภาพดั้นเมฆมาที่บ้านแล้วเจอน้าชัชสิ เขาต้องทำตัวประหม่ามากแน่ๆ หน้าเด๋อๆ นั่นจะแสดงออกมายังไงนะ

   ผมชักอยากเห็นแล้วสิ

   “น้าชัชครับ ถ้าช่อจะชวนเมฆมากินข้าวที่บ้าน จะเป็นไรไหมครับ”

   “ไม่นะ พามาก็ดี น้าอยากเจอเขาจะแย่”

   “เดี๋ยวได้เจอแน่ครับ” ผมยิ้มหวานก่อนจะหยิบกระเป๋านักเรียน “ช่อไปอาบน้ำก่อนนะครับ”

   “อื้ม ตามสบายเถอะ”

   “ครับผม” ผมเอ่ยก่อนจะเดินขึ้นห้อง รู้สึกล้าจัง ถ้าได้นอนก็น่าจะดีขึ้นสินะ

   ผมเข้ามาในห้องแล้วเอากระเป๋านักเรียนวางไว้บนตู้ สองมือถอดเสื้อผ้าตัวเองออกก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ ป่านนี้ดั้นเมฆน่าจะเก็บร้านอยู่ เขาจะว่างทักมาหาผมได้ก็เกือบ 5 ทุ่ม บางทีคิดถึงมากๆ เลยนะแต่ก็ต้องอดทนรอ เขาทำหน้าที่ของเขาอยู่ผมจะไปงอแงใส่ไม่ได้ ผมไม่อยากเป็นคนงี่เง่าในสายตาของคนที่ผมชอบถึงแม้ว่าคนงี่เง่าขั้นสุดจะคือช่อม่วงก็เถอะ ผมเก่งอยู่แล้วล่ะเรื่องเก็บอารมณ์น่ะ

   หลุดบ่อยก็พักหลังๆ นี่แหละ

   เอาจริงๆ เป็นแค่กับดั้นเมฆด้วยนะ มันไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหมล่ะเวลาที่เรารักใครชอบใครเราก็มักจะมองแต่คนคนนั้น สนใจแต่คนคนนั้น ถึงผมจะไม่เคยมีความรักชอบเชิงชู้สาวกับใครมาก่อนแต่เรื่องแบบนี้ก็รู้ตัวเองอยู่ คิดอยู่ตลอดว่าตัวเองก็โชคดีเนอะที่ชอบใครแล้วเขาก็ชอบเราเหมือนกัน เรื่องของความรักมันไม่ใช่ทุกคนที่จะสมหวังนะครับ เพราะงั้นถ้าได้ความรักมาจากใครสักคน เราก็ควรดูแลมันให้ดีที่สุด

   ถ้าเสียมันไปต้องปวดหัวใจมากแน่ๆ

   ผมเดินออกจากห้องน้ำพลางไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จัดแจงทาโลชั่นแล้วใส่เสื้อผ้า ที่เหลือก็แค่รอดั้นเมฆติดต่อมาครับ ผมทิ้งตัวลงบนที่นอนก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดรูปดู ผมแอบถ่ายรูปเขาไว้เยอะมากๆ เลยนะ เจ้าตัวไม่รู้เรื่องนี้หรอก เอาจริงๆ ผมแอบถ่ายรูปเขามานานมากแล้ว ตลกตัวเองเหมือนกันที่ทำอะไรบ๊องๆ ลับหลังคนที่ชอบ แต่หลังจากนี้จะไม่บ๊องแล้วนะเพราะว่าสถานะมันไม่ได้อยู่ที่แอบชอบอีกต่อไป

   ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละตอนนี้

   ตื้อดึ่ง

   ผมเปิดดูข้อความที่เพิ่งถูกส่งมา อ่านจบก็มีความไม่ชอบใจอยู่พอสมควร ร้อยวันพันปีเขาแทบไม่มายุ่งกับผมเลยด้วยซ้ำ แต่วันนี้อยู่ดีดีก็ทักมาแถมข้อความที่ใช้ก็ไม่ค่อยน่ารักสักเท่าไหร่

   หงุดหงิดจัง

   

   NiDa : เลิกยุ่งกับพี่เมฆได้ไหม หนูชอบเขา

   CH_M : ไม่มีเหตุผลที่พี่ต้องเลิกยุ่งกับดั้นเมฆ

   NiDa : ก็หนูบอกอยู่ไงว่าชอบเขาอะ พี่จะไม่ถอยอ๋อ

   CH_M : ดั้นเมฆไม่มีทางชอบเธอหรอกนิดา ตัดใจซะ ไม่งั้นคนที่จะเสียใจก็คือเธอ

   NiDa : งั้นพี่ก็ลองคิดเอาขำๆ นะพี่ช่อ ถ้าหนูบอกพ่อเรื่องของพี่มันจะเป็นยังไงน้า พี่คงไม่อยากทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงกว่าเดิมหรอกนะ เพราะงั้นก็คิดให้ดีว่าจะตัดสินใจยังไง

   

   เด็กคนนี้....ร้ายกว่าที่ผมคิดเยอะเลยว่ะ

   

   [จบบันทึกพิเศษ : ช่อม่วง]

   

   “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

   “....”

   “ไม่อร่อยเหรอช่อ”

   “อร่อยแต่เราแค่....มีเรื่องให้คิดน่ะ”

   เรื่องอะไรกันที่ทำให้คนเก่งของผมทำหน้าแบบนี้ซะได้

   เป็นห่วงจัง

   ผมตักปังเย็นเข้าปากพลางมองคนตรงหน้าอยู่อย่างนั้น งงตั้งแต่ที่เขาบอกว่าอยากกินปังเย็นโต้รุ่งตอน 5 ทุ่มแล้วล่ะ ผมขับรถไปรับเขาที่บ้าน สีหน้าดูหม่นแปลกๆ เหมือนเจอเรื่องไม่ดีมา ใจนึงอยากจะถามแต่อีกใจก็ไม่อยากเซ้าซี้ ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลยที่เขาเป็นแบบนี้ ปังเย็นหวานๆ ก็เหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่ ผมอยากสะเหล่อยื่นมือไปจับมือเขาพร้อมกับบีบมันเบาๆ แล้วบอกว่าไม่เป็นไรนะจริงๆ

   อยากให้เขารู้สึกดีขึ้น....สักนิดก็ยังดี

   “ช่อครับ”

   “หืม....”

   “ช่อกำลังทำให้เราเป็นห่วงนะ” ผมนั่งเท้าคางมองเขา “....ห่วงมากเลยด้วย”

   “เมฆจำที่เราบอกได้ไหมเรื่องนิดาน่ะ”

   ผมพยักหน้ารับเบาๆ “อืม ทำไมเหรอ”

   “ก่อนออกมา นิดาทักมาหาเรา บอกให้เลิกยุ่งกับเมฆ ไม่งั้นเขาจะบอกพ่อ”

   สาเหตุของสีหน้ากังวลมาจากเรื่องนี้นี่เอง

   “ช่อก็เลยรู้สึกแย่ใช่ไหม”

   “ใช่ เมฆก็รู้ว่าพ่อเราเป็นคนยังไง ถ้าเขารู้มันจะต้องเป็นปัญหามากแน่ๆ ลำพังแค่เรามันไม่เท่าไหร่ แต่เรากลัวว่าเมฆจะเดือดร้อนเพราะเรา เราไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น”

   “เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างหลังจากนี้แต่เราอยากให้ช่อรู้ว่า....” ผมเลื่อนมือไปกุมมือเขา “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะอยู่ข้างๆ ช่อนะ”

   “ถึงแม้ว่าเราอาจจะทำให้เมฆต้องเดือดร้อนน่ะเหรอ”

   “ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็ตามนั้นล่ะนะ”

   “ดั้นเมฆ”

   “ก็....เราหลงรักคนตรงหน้าไปแล้วอะ” ผมยิ้มบางๆ ให้เขา “เราไม่ยอมให้ช่อหายไปจากชีวิตเราหรอกนะ ไหนลองบอกซิว่าช่อเองก็จะไม่ไปไหนเหมือนกัน”

   ช่วยพูดให้ผมชื่นใจหน่อยเถอะนะคุณ

   “อืม....เราก็จะไม่ไปไหนเหมือนกัน”

   ให้มันได้อย่างนี้สิครับ

   แก้มใสของร่างโปร่งที่ขึ้นสีแดงระเรื่อนั่นทำให้รู้สึกดีชะมัด เขินกับคำที่ผมพูดสินะ เห็นไหมว่าตอนนี้ผมไม่ใช่กระต่ายกากอีกต่อไปแล้ว คือทุกคนต้องเรียกผมว่ากระต่ายเก่งแล้วล่ะ ตอนนี้ผมรู้เลยว่าความรู้สึกระหว่างเราสองคนมันชัดเจนมากพอที่จะขยับสถานะของความสัมพันธ์ให้มันไปไกลมากกว่านี้ได้ ตลอดมา....ผมกับเขาเป็นได้แค่เพื่อนร่วมห้องเท่านั้น แต่ว่าตอนนี้มันมากกว่าเพื่อนแล้วล่ะครับ

   ขอให้ผมเป็นคนที่สมหวังในความรักด้วยเถอะ

   ในขณะที่ผมรวบรวมความกล้าอยู่นั้น ช่อม่วงก็เลื่อนมือขึ้นมากุมแก้มผมเบาๆ “ดีจริงๆ เลย ที่ตรงนี้มีดั้นเมฆอยู่”

   “ช่อ....”

   “เราไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ว่ามันจะร้ายหรือดี” ปลายนิ้วเกลี่ยแก้มผม “ตอนแรกเรากังวลมากแต่ตอนนี้มันดีขึ้นเยอะเลยก็เพราะเมฆ....ขอบคุณนะ”

   “อะไรที่ทำให้ช่อมีความสุข” ผมยิ้มหวานให้เขาพลางยกมือขึ้นจับมือที่กุมแก้มตัวเอง “เราจะทำ”

   “เพราะเมฆเป็นแบบนี้แหละ เราถึงได้....ชอบ”

   ตึกตัก

   “เราชอบเมฆนะ”

   ความรู้สึกตอนโดนสารภาพรักมันเป็นแบบนี้นี่เอง

   ผมหลุดยิ้มออกมาทันทีหลังจากที่เขาเอ่ยแบบนั้น “ความรู้สึกของเราเหมือนกันแล้วนะ”

   “ใช่ ในเมื่อเรารู้สึกเหมือนกันเพราะงั้น....”

   “.....”

   “เป็นแฟนกันเถอะ....ดั้นเมฆ”











TBC.

สวัสดีค่าชาลมาส่งมาสคอตแล้วนะคะ ก็เขาเป็นแฟนกันแล้วทุกคนนนนน หวานกรุบมากนะคะตอนนี้ ก็เปิดพรีอยู่สำหรับเรื่องมาสคอตนะ รายละเอียดอยู่บทก่อนหน้า สำหรับใครที่สนใจพรีออเดอร์ก็ย้อนกลับไปดูรายละเอียดได้นะค้าบ

สามารถติดต่อข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 15 [ 27 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #25 เมื่อ27-10-2020 22:52:55 »

บทที่ 15 แฟนกันวันแรก



   “ตรงซุ้มเก็บหมดยังวะ”

   “หมดละ ไม่น่ามีไรเหลือแล้วนะ”

   “เราต้องทำอะไรต่ออีกป้ะ”

   “ไม่รู้ว่ะ ต้องถามช่อม่วง”

   “แล้วตอนนี้ช่อม่วงไปไหน”

   นั่นสิ....เขาไปไหนวะ

   “กูก็อยากรู้เหมือนกัน”

   ผมนั่งอยู่หน้าห้องวิทยาศาสตร์หลังจากขนของมาเก็บเสร็จ จบไปแล้วกับงานสัปดาห์วิทย์ฯ ที่แสนวุ่นวาย ทีนี้ก็เหลือแค่งานโรงเรียนและก็เตรียมตัวสอบปลายภาค อีกหลายเดือนข้างหน้า พวกเราก็จะเป็นพี่ใหญ่สุดในโรงเรียนและแบกความคาดหวังไว้มากมาย ช่างเถอะ เอาไว้ถึงเวลานั้นเมื่อไหร่ค่อยเอามันมาแบกละกัน ตอนนี้ดั้นเมฆและผองเพื่อนยังเป็นแค่เด็กม.5 ซึ่งเฮ้อ.....

   งานเยอะจัง

   ของผมมีแค่งานในห้องนะครับ แต่ของแฟนผมเนี่ยะ งานหลวงก็ต้องทำ งานราษฎร์ก็ห้ามขาด หน้าที่ของเขามันเยอะเหลือเกิน เอาจริงๆ ก็เห็นว่าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ที่รู้จักกันแล้วน่ะนะ ยังดีว่าแฟนผมเป็นคนเก่ง ไม่ว่ามีหน้าที่อะไรต้องรับผิดชอบ เจ้าตัวก็จะทำมันออกมาอย่างดีที่สุด เพราะแบบนี้เขาถึงได้เป็นที่รักของอาจารย์และบรรดาเพื่อนๆ แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีใครรักเขามากเท่าที่ผมรักหรอก

   ผมอะรักแฟนตัวเองที่สุดแล้วในจักรวาล

   ใครจะรักเขาเท่าผมเนี่ยะ....ไม่มีอีกแล้ว

   ไม่น่าเชื่อเลยเนอะที่กระต่ายกากอย่างดั้นเมฆจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขา ที่สำคัญคือผมคนนี้เป็นฝ่ายโดนขอเป็นแฟนด้วย เอาจริงๆ ผมกะจะขอเขาก่อน แต่ช่อม่วงชิงพูดไปแล้วไง นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็อดยิ้มไม่ได้ มีความสุขมากเลยครับ ดีเนอะ ความรู้สึกที่เรารักใครแล้วได้รับความรักคืนกลับมาน่ะ เมื่อคืนผมนอนแทบไม่หลับเลย ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน อาจเพราะตั้งแต่เกิดมา....ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อนล่ะมั้ง

   ช่อม่วงเป็นแฟนคนแรก

   ....เป็นรักครั้งแรก

   “คืออยู่ดีดีเพื่อนมึงก็ยิ้มอะจ๋าย” ไอ้ยักษ์ทำหน้าผวาแล้วมองผม “อาการหนักแล้ว”

   “ก็คนมันมีความรักนี่หว่า มันก็ต้องยิ้มเป็นธรรมดา”

   ผมมองค้อนใส่ทันที “รู้มากนะมึง”

   “นี่เพื่อนมึงไงครับ” จ๋ายยิ้มแฉ่งก่อนจะนั่งลงข้างผม “เป็นไงบ้างวะ”

   “ก็ดี”

   “อะไรดีวะ” ไอ้สะเหล่อยื่นหน้าเข้ามา ทีเรื่องของคนอื่นนี่อยากรู้มากจริงๆ มันน่าทุบนัก

   “อย่าเสือกน่ะ ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน” กรีซดันหน้าไอ้ยักษ์ออกไป คนโดนไล่ยืนเบะปากจนสุด ในหัวน่าจะกำลังคิดถึงคำตัดพ้ออยู่

   “ไอ้พวกคนใจร้าย” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะหันหนีเหมือนว่างอนหนักมาก การงอนของไอ้ยักษ์ไม่จำเป็นต้องง้อนะครับเพราะเดี๋ยวมันก็หายเอง

   ครืดดดด....ครืดดดด

   ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดรับสาย “ฮัลโหล....”

   (อยู่ไหนเหรอ)

   “หน้าห้องวิทยาศาสตร์ครับ ช่ออะอยู่ไหน”

   (หน้าห้องคณะกรรมการ เหนื่อยจัง)

   ผมหลุดยิ้มทันทีที่ได้ยินเสียงอ้อนๆ นั่น “ขนาดนั้นเชียว”

   (ขนาดนั้นเลยล่ะ เราอยู่นี่นะ ถ้าเมฆอยากมา....เมฆก็.....)

   “เดี๋ยวเราไป”

   (อืม แค่นี้นะ)

   “ครับ” ผมกดวางสายก่อนจะมองเหล่าสหายที่ยิ้มกริ่มกันอยู่ “ยิ้มอะไรของพวกมึง”

   “ฮันแน่ะ ใครโทรมาอะ”

   “มึงก็ได้ยินว่ากูเรียกชื่อช่อ จะมีใครอีกวะ”

   “คิดเหมือนกูไหมจ๋าย”

   “คิด”

   “จะคิดอะไรก็เรื่องของพวกมึงละกัน เดี๋ยวกูไปละ เจอกันพรุ่งนี้” ว่าแล้วผมก็รีบหยิบกระเป๋าก่อนจะเดินมาจากตรงนั้นทันที เสียงแซวที่ดังไล่หลังมานั่นก็ช่างมัน ได้ใจใหญ่เลยสิที่แซวดั้นเมฆคนนี้ได้

   ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้พวกตัวแสบ

   ตอนนี้เกือบ 6 โมงเย็นแล้วครับ วันนี้ผมลางานพี่อินหนึ่งวันเพราะว่าติดงานเก็บงานสัปดาห์วิทย์ฯ เขาก็ใจดีอนุญาตให้หยุด แน่ล่ะ เขาต้องให้ผมหยุดอยู่แล้วแหละ เพราะยังไงผมก็ไม่มีปัญญากลับไปทำงานทัน อีกอย่าง....ต่อให้ขาดไวท์บันนี่ไปสักคนมันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อร้านมากนักหรอก พี่ๆ บันนี่คนอื่นก็ทำงานแทนในส่วนของผมได้ พี่อินบอกผมว่าไหนๆ ก็ลาหยุดแล้วก็ไปเพลิดเพลินสำเริงใจตามสบายซะ

   ช่างเป็นพี่ชายที่ดีซะจริง

   ผมคิดไว้ว่าจะชวนดั้นเมฆไปกินข้าวแล้วก็อาจจะไปดูหนังต่อ ไม่รู้ว่าเขาจะไปกับผมไหมนะ เดี๋ยวต้องลองชวนดู ผมยังไม่ได้บอกเรื่องที่เราเป็นแฟนกันให้ใครรู้เลยครับ ไม่ใช่ว่าอยากปิดบังหรือเก็บไว้เป็นความลับนะแต่ว่าผมกับช่อม่วงก็เพิ่งเป็นแฟนกันเมื่อวาน เรายังไม่ได้คุยกันเลยว่าหลังจากคบกันเนี่ยะเราต้องปรับอะไรเพื่อเข้าหากันบ้าง ผมอยากให้ความสัมพันธ์นี้คงอยู่ไปเรื่อยๆ

   ผมจริงจังกับมันมากจริงๆ

   อีกเรื่องที่ต้องจัดการก็คือนิดา ผมต้องปฏิเสธเธอแบบจริงๆ จังๆ เหมือนกัน เพราะตอนนี้ตัวผมเองก็มีแฟนแล้ว และดูจากนิสัยของแฟนผม เขาค่อนข้างขี้หวงพอสมควร อะไรก็ตามที่จะทำให้เขาสบายใจผมก็จะทำ อีกอย่างนิดาก็มาทำตัวไม่น่ารักใส่ช่อม่วงด้วยเมื่อวานนี้ ข้อความที่เธอพิมพ์มาในแชท อ่านก็รู้แล้วว่าเป็นคนร้ายกาจมากแค่ไหน ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้ใครเดือดร้อน

   ผมไม่ชอบคนแบบนี้จริงๆ

   ยิ่งมาทำให้ช่อม่วงหม่นหมอง....ผมยิ่งไม่ชอบ

   “พี่ดั้นเมฆคะ” เสียงหวานเอ่ยเรียกผม พอหันไปมองก็พบกับนิดาที่ยิ้มหวานให้ เจอก็ดีละ จะได้คุยให้มันจบๆ

   “หืม....”

   “เก็บงานเสร็จแล้วเหรอคะ”

   “อื้ม เสร็จละ”

   “พี่จะไปไหนต่อไหมคะ คือหนูอยากชวนพี่ไปหาอะไรกินด้วยกัน ถือว่าฉลองที่งานสัปดาห์วิทย์ฯ จบ”

   “พี่มีนัดแล้วครับ” ผมยิ้มบางๆ ให้เธอ “หลังจากนี้พี่ว่า....เราอย่ามายุ่งกับพี่อีกเลยนะ ยังไงพี่ก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจอะ”

   นิดาหน้าเสียทันที “พี่ดั้นเมฆ”

   “พี่ว่ามันจะเสียเวลาเรามากเลย มาพยายามกับคนที่ไม่มีใจให้ มันเหนื่อยจะตาย อีกอย่าง....พี่ว่าเรารู้แหละว่าตัวเองทำอะไรเอาไว้ เอาจริงๆ พี่ไม่ชอบเลยนะ แต่ก็ต้องขอบคุณเราที่ส่งข้อความหาช่อม่วงแบบนั้น เพราะข้อความนั้นเลยที่ทำให้พี่กับช่อตัดสินใจคบกัน”

   “มะ....มันก็เพิ่งเมื่อวานนี่ไม่ใช่เหรอ”

   “ใช่ครับ ความจริงพี่กับช่อม่วงก็ดูๆ กันมาสักพักแล้วแหละ เราเป็นคนเข้ามาทำให้ทุกอย่างชัดเจนมากขึ้น”

   “แต่พี่ช่อม่วงเป็นผู้ชายนะคะ”

   “การที่ช่อม่วงเป็นผู้ชายมันไม่ได้หมายความว่าพี่จะรักเขาไม่ได้หนิครับ” ผมผ่อนลมหายใจออกมา “เดี๋ยวพี่ต้องไปละ ช่อรออยู่ พี่ไม่อยากทำให้เขารอนาน” ว่าแล้วผมก็เดินออกมาจากตรงนั้นทันที

   รู้สึกสบายใจจังที่ได้พูดแบบนั้นไป ผมคิดว่ายังไงนิดาก็ต้องไปบอกพ่อเธอเรื่องนี้แน่นอน ไม่รู้เลยว่าช่อม่วงจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ผมคิดว่ามันคงหนักพอสมควร ถ้าเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นผมก็ต้องคอยซัพพอร์ตเขา ยากมากเลยนะเรื่องพ่อแม่เนี่ยะ แต่ให้ทำไงอะ ความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้นี่หว่า ขออย่าให้เป็นอะไรที่ร้ายแรงจนถึงขั้นโดนทำร้ายร่างกายเลย ภาพที่เขามีรอยช้ำบนหน้านั่นผมยังจำมันได้ดี ที่สำคัญมันไม่ได้เจ็บแค่ร่างกายไง

   ความรู้สึกเขาก็คงเจ็บมากเหมือนกัน

   “เห้ยยยย” ผมร้องเสียงหลงออกมาทันทีเมื่อถูกดึง ร่างโปร่งดันผมให้ชิดกำแพงก่อนจะยกมือขึ้นพิงเพื่อกั้นตัวผมไว้ โห ฟีลซีรีส์เกาหลีมากเว่อร์ นี่ดั้นเมฆเป็นนางเอกใช่ไหม

   พระเอกตรงหน้าผมน่ารักจัง

   “มองอะไร”

   “มองช่อไงครับ” ผมอมยิ้มมองเจ้าตัว “จะทำอะไรเราเนี่ยะ”

   ช่อม่วงชะเง้อมองทางที่ผมเดินมา “คุยอะไรกับนิดาอะ”

   “เราบอกนิดาไปว่าอย่ามายุ่งกับเราอีกเพราะว่า....เรามีแฟนแล้ว”

   “เหรอ แฟนเมฆนี่ใครนะ” คนตรงหน้าถามพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ไหนลองเอ่ยชื่อมาซิ”

   ผมกระซิบข้างหูเขา “ก็ช่อไง”

   “อืม....เขินจัง” เขายิ้มหวานออกมา งื้ออออ....น่าบีบแก้ม คนอะไรน่ารักขนาดนั้นอะ ใจผมต้องเหลวเป็นน้ำแล้วไหม

   “ไหนบอกเราว่าอยู่หน้าห้องคณะกรรมการ” ผมหรี่ตามองเขา “ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้”

   “ก็เมฆมาช้าอะ” ช่อม่วงลดมือลงก่อนจะหันหลังให้ผม “เราหิวข้าวแล้ว พาไปหาข้าวกินหน่อย”

   “ว่าจะชวนอยู่พอดี ไปกันเถอะ” ผมบอกเขาก่อนจะเดินนำไป ร่างโปร่งก็เดินตามหลังมาเงียบๆ

   ตอนแรกที่ยังไม่ได้เป็นแฟนกันก็เขินอยู่แล้วนะ แต่พอเป็นแฟนกันนี่เขินหนักเข้าไปอีก ทำตัวไม่ค่อยถูกเลยอะ ยิ่งเป็นแฟนกันวันแรกแบบนี้ด้วย เรื่องนี้ลองถามพี่อินได้ไหมนะ หรือว่าลองผิดลองถูกไปเองเลย เก็บเป็นประสบการณ์เอา ถ้าแบบนั้นมันก็ดีแหละแต่โมเม้นท์สะเหล่อมันต้องมาแน่ๆ เลยว่ะ จะว่าไป....ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน ผมก็โชว์สะเหล่อออกไปตั้งเยอะแน่ะ

   อา....วันวานอันขมขื่นนี่มัน

   ช่างเถอะ เลิกคิดซะ

   ผมคิดว่าเรื่องความรักมันเป็นอะไรที่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ซึ่งกันและกันไปเรื่อยๆ มีปัญหาตรงไหนก็ต้องคุยกันเพื่อหาทางแก้ไข ผมว่าความเข้าใจกันเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับความสัมพันธ์ในสถานะนี้ ผมยินดีที่จะเรียนรู้ความเป็นช่อม่วงไปอย่างช้าๆ และคิดว่าเขาเองก็คงเป็นเหมือนผม นึกแล้วก็ตลกตัวเองเหมือนกันนะ เพิ่งคบกันวันแรกแต่เหมือนว่าจะวางแพลนเอาไว้เผื่อไปในระยะยาวเลย

   มันคงเป็นเพราะผมเลือกที่จะให้ใจเขาไปแล้วล่ะมั้ง

   ไม่งั้นคงไม่คิดอะไรจริงจังขนาดนี้

   ใช้เวลาสักพักผมก็ขับรถพาช่อม่วงมาจนถึงห้างสรรพสินค้าก่อนจะเดินนำเขาเข้าไป กินอะไรดีวะ ผมหันไปมองคนที่อยู่ข้างๆ เขาก็กำลังมองผมตาแป๋วอยู่เหมือนกัน ริมผีปากบางอมยิ้มอยู่น้อยๆ ช่อม่วงนี่เก่งเรื่องทำให้ผมใจสั่นซะจริง

   “กินอะไรดีอะ”

   “เรากินได้ทุกอย่างเลย เมฆมีอะไรที่อยากกินไหมล่ะ”

   ผมมองไปรอบๆ ร้านอาหารที่มีอยู่ “อืม....ชาบูป้ะ”

   “เอาดิ” พอเขาเอ่ยรับคำผมก็เดินนำเข้ามาในร้าน เหมือนนานมากเลยนะที่ไม่ได้กินชาบูอะ ครั้งล่าสุดคือกินกับเพื่อนเมื่อตอนเปิดเทอม

   “ 2 คนครับ” ร่างโปร่งเอ่ยบอกกับพนักงาน เราได้นั่งโต๊ะที่อยู่ด้านในสุดเลยครับ ดีเหมือนกัน ดูเป็นส่วนตัวดี

   “เออช่อ กินชาบูเสร็จ ไปดูหนังกันไหม”

   “ได้นะ เมฆอยากดูอะไรอะ”

   “อะไรก็ได้” ผมเท้าคางมองเขา “แค่ได้ดูกับช่อก็พอ”

   “ดั้นเมฆ” คนตรงข้ามทำหน้ามุ่ยใส่ สังเกตได้ว่าแก้มขาวนั่นขึ้นสีระเรื่อด้วย เขินก็บอกเขินสิครับ ทำมาเป็นเรียกกลบเกลื่อน

   “ขอ”

   “หืม....”

   “ขอ เออ นอ” ผมยิ้มหวานให้เขา “เขินน่ะ สะกดแบบนี้นะครับ”

   เป็นไงล่ะ....จัดไปอีกดอก

   ใจเต้นตึกตักๆ แล้วมั้งน่ะ

   ช่อม่วงยกมือขึ้นกุมแก้มตัวเองเอาไว้ก่อนจะจ้องผมไม่ละสายตา เขาคงเขินและกำลังคิดแผนเอาคืนอยู่แน่ๆ ไม่มีทางที่คนตรงหน้าจะปล่อยให้ผมแกล้งเขาอยู่ฝ่ายเดียวหรอก แต่มาเถอะค้าบบบบ ดั้นเมฆคนนี้พร้อมรับมือกับทุกอย่างเลย เห็นหน้าเขาตอนนี้มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เจ้าตัวไม่ได้บ่นนะที่ผมถ่ายรูปเขา มียิ้มแฉ่งให้กล้องอีกต่างหาก

   เดี๋ยวจะเอาตั้งไว้เป็นรูปวอลฯ โทรศัพท์

   ผมรู้ได้เลยว่าตัวเองเห่อช่อม่วงมากเลยอะ แต่นั่นแฟนผมไง ชีวิตไม่เคยมีอะไรแบบนี้มาก่อน ความรู้สึกเหมือนตอนได้ของเล่นใหม่สมัยเด็กๆ เลยอะ ไปไหนจะต้องหยิบไปด้วย ต้องอวดเพื่อนๆ ต้องเอาไปโชว์ คือความรู้สึกมันประมาณนั้นเลยครับ แต่อย่างคนตรงหน้าเขาจะไม่เหมือนของเล่นอย่างนึงเพราะว่าผมจะไม่มีทางทิ้งเขา ของเล่นน่ะ เล่นไปสักพักมันก็เบื่อ แต่กับช่อม่วง....ผมไม่รู้เลยว่าจะเบื่อเขาได้ยังไง

   คงไม่มีใครเบื่อความสุขของตัวเองได้หรอก

   “กินสิเมฆ เราคีบหมูไปให้แล้วน่ะ”

   ผมคีบหมูเข้าปาก “ช่อก็กินเยอะๆ นะ”

   “เรากินเยอะอยู่แล้ว” เจ้าตัวบอกก่อนจะมองผม “เมฆน่าจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วมั้ง”

   ก็จริง....เพราะเวลาเขาไปที่ MASCOT เขากินขนมเยอะเอามากๆ

   พูดถึงมาสคอต ผมควรหาจังหวะบอกเขาว่าผมคือไวท์บันนี่ ก่อนที่เขาจะรู้จากปากคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ผมไม่อยากให้ช่อม่วงโกรธที่ผมปิดบังเขามาตลอดหลายเดือน เจ้าตัวน่าจะเข้าใจเหตุผลของผมอยู่แหละ ถ้าไม่ทำแบบนั้น กระต่ายกากก็ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาน่ะสิ

   หวังว่าตอนที่บอก....เขาจะเข้าใจผมนะ

   “เมฆ”

   “หืม....”

   “เมฆรู้ป้ะว่าความรักของเราคืออะไร”

   ผมอมยิ้มให้ “คืออะไรเหรอ”

   “ความรักของเราคือ....การที่เราแกะกุ้งให้เมฆไง” มือเรียวส่งกุ้งที่แกะเปลือกออกแล้วมาใส่ในจานผม “มันจะอร่อยขึ้นสองเท่าด้วยนะ จริงๆ ”

   ตึกตัก

   ช่อม่วงเล่นผมแล้ว

   ผมหลุดหัวเราะก่อนจะคีบกุ้งเข้าปาก คนตรงหน้ายิ้มร่าเหมือนดีใจที่ทำให้ผมเขินได้ ร้ายนักนะเจ้าแฟน แล้วเรื่องนี้ยอมกันไม่ได้ด้วยนะ ผมยัดโน่นยัดนี่เข้าปากพลางคีบหมูไปใส่จานช่อม่วง มือก็เปิดเข้าไปดูตารางเวลาฉายหนัง มีหลายเรื่องหลายแนวที่น่าสนใจ เดี๋ยวค่อยให้เขาเลือกละกันว่าอยากดูอะไร ตอนนี้ประมาณทุ่มกว่าๆ แล้ว กว่าจะดูหนังจบก็อาจจะดึกอยู่ เดี๋ยวผมต้องไปส่งเขาที่บ้านด้วย

   น้าของช่อม่วงคงไม่ดุผมนะ

   “เมฆ”

   “หืม....”

   “วันหยุดนี้ไปกินข้าวบ้านเราไหม น้าชวนอะ เขาอยากเจอเมฆ”

   ผมพยักหน้ารับ “เอาสิ เราจะได้ฝากเนื้อฝากตัวกับน้าช่อด้วย”

   “เราบอกน้าไปแล้วนะว่าคบกับเมฆอะ”

   “เขาไม่ได้ว่าอะไรใช่ไหม”

   “อืม น้าเราเข้าใจเรื่องนี้น่ะ แต่ก็คิดว่าถ้าพ่อรู้ ก็คงเป็นปัญหา”

   “ถ้ามันมีปัญหา” ผมยกทิชชู่ขึ้นเช็ดปากให้เขา “เราค่อยแก้มันด้วยกันเนอะ”

   “อื้อ” เจ้าตัวรับคำก่อนจะยิ้มหวานให้ รอยยิ้มนี้มันดีจริงๆ เลยนะ ไม่อยากให้ใครมาทำให้มันหายไปเลย

   อุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก็คงต้องคิดหาทางแก้ไขมัน ส่วนช่วงเวลาที่เป็นความสุขก็ต้องเก็บเกี่ยวเอาไว้เหมือนกัน ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นช่อม่วงมีความสุข เพราะงั้นใครก็ตามที่พรากความสุขไปจากเขา มันก็เหมือนกับว่าพรากไปจากผมเหมือนกัน เรื่องของเรามันเพิ่งเริ่มต้น ผมรู้ว่ามันอาจจะเป็นความคิดเด็กๆ แต่ว่ามันคงจะดีถ้าคำว่าตลอดไป....ผมได้ใช้มันกับความรักครั้งนี้

   ตอนไม่มีแฟนว่าเพ้อแล้วนะ....พอมีแฟนนี่เพ้อหนักเลย

   ดั้นเมฆนี่มันบ้าบอจริงๆ

   “ทำหน้าตลก”

   “ตลกแล้วชอบป้ะ”

   “….”

   “ว่าไงหืม...”

   “ยิ่งกว่าชอบอีก”

   ฉ่า

   พูดแล้วยิ้มแบบนั้นมัน....

   “ร้ายกาจจริงๆ เลยนะเจ้าแฟน”

   “พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง”

   “ฝากไว้ก่อนเถอะ”

   เขินนี้ต้องชำระแน่....ช่อม่วง










TBC.

สวัสดีค่า ชัลมาส่งมาสคอตแล้วนะ ก็หวานกรุบอีกแล้วนะคะตอนนี้ ดั้นเมฆคือเป็นพระเอกที่คลั่งรักมากจริงๆ เลยนะ ตอนต่อไปจะเป็นยังไงรอติดตามค้าบ

สามารถติดตามข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 16 [ 28 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #26 เมื่อ28-10-2020 22:41:33 »

บทที่ 16 กินข้าวบ้านแฟน



   [บันทึกพิเศษ : ช่อม่วง]

   

   “ผิดคอร์ดนะเมื่อกี๊ ขออีกรอบ”

   “โอเค”

   “.....เคยคิดว่าฉันรู้จักกับความรัก เคยคิดว่าฉันเข้าใจเป็นอย่างดี แต่แล้วก็ต้องเจ็บ....ทุกที เมื่อสิ่งที่คิดว่าใช่กลับไม่ใช่”

   เสียงเพราะจัง

   ผมนั่งมองร่างสูงที่กำลังซ้อมร้องเพลงอยู่ อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานโรงเรียนแล้ว ดั้นเมฆต้องมาซ้อมร้องเพลงทุกวัน เป็นห่วงเสียงเขาเหมือนกันนะแต่ดูเหมือนเจ้าตัวยังโอเคอยู่ ผมชอบสีหน้าเขาเวลาที่ร้องเพลงมาก มีเสน่ห์น่าหลงใหลชะมัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นหน้านี้ต้องมีใจสั่นกันบ้างแหละ นึกไม่ออกเลยว่าหลังจากวันงานโรงเรียนไปแล้ว แฟนผมจะฮ็อตขึ้นมากแค่ไหน ดูทรงแล้วช่อม่วงน่าจะหึงจนประสาทเสีย

   หึงจนคลั่ง

   “เพราะเธอทำให้ฉันรู้สึก ความรักที่ฉันไม่เคยรู้สึก ส่วนลึกที่ใจไม่เคยค้นเจอ จนได้พบเธอ....ในวันนี้”

   “....”

   “เพราะเธอทำให้ฉันรู้จัก ความรักที่ฉันไม่เคยสัมผัส และขอสัญญาว่านับต่อจากนี้....จะรักเธอทุกทุกวินาที”

   “....”

   “ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

   ทำไมเขินแปลกๆ อะ

   เพราะสายตานั่นแน่ๆ

   ผมมานั่งฟังเขาร้องเพลงทุกวันเลยนะ วันไหนมีงานของสภาฯ ก็จะรีบเคลียร์งานก่อน พอซ้อมเสร็จเขาก็จะไปส่งผมที่บ้าน มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่วันที่เป็นแฟนกันแล้ว อาทิตย์กว่าแล้วนะครับที่สถานะเพื่อนร่วมห้องเปลี่ยนมาเป็นคนรักน่ะ ผมมีความสุขมากเลย ดั้นเมฆเป็นคนที่เทคแคร์และดูแลดีมาก ความจริงมันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนก่อนคบกันแล้วล่ะ เพราะสถานะเปลี่ยนไป....ความรู้สึกมันก็เลยมากขึ้นล่ะมั้ง

   ความรักนี่มันดีจังเลยน้า

   มันทำให้เรายิ้มได้ ทำให้หัวใจเราเต้นแรงมากๆ ทำให้หน้าร้อนสุดๆ บ่อยครั้งที่มันทำให้ผมสูญเสียความเป็นตัวเองและเขินโง่ๆ แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วคนที่ทำให้เขินเขาก็ชอบใจด้วยนะที่ได้เห็นผมเป็นแบบนั้น ทุกวันนี้ต้องเตรียมมุกห้าบาทสิบบาทมาเล่นกัน วันไหนใครเขินก่อนคือแพ้ไปเลย แต่เชื่อเถอะว่าคนที่แพ้ไม่ใช่ผมแน่นอน ในสงครามเขินตัวแตกนี้ช่อม่วงจะยืนหนึ่งอยู่ร่ำไปครับ

   เด๋อเมฆสู้ผมไม่ได้หรอก

   วันนี้เรามีนัดไปกินข้าวที่บ้านผมด้วย น้าชัชบอกว่าจะทำกับข้าวรออย่างสุดฝีมือแล้วก็จะฝึกทำหน้าขรึมด้วย สงสัยจะเอาไว้ขู่กระต่ายเด๋อ มีสิ่งนึงที่ผมสัมผัสได้หลังจากที่เป็นแฟนกันคือทุกครั้งที่ผมพูดถึงไวท์บันนี่ให้ดั้นเมฆได้ยิน เจ้าตัวจะแสดงอาการออกมาค่อนข้างชัดเจนว่างอน ไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองนั่นแหละที่สวมชุดกระต่ายขาวนั่น ผมไม่เข้าใจคนเด๋อเหมือนกันว่าจะหึงตัวเองไปทำไม ที่ผมหยอดไวท์บันนี่ก็เพราะผมรู้ว่าเป็นเขา

   ถ้าไม่ใช่เขาผมไม่ยุ่งตั้งแต่แรกหรอก

   “ช่อครับ” ร่างสูงเดินมานั่งลงใกล้ๆ “คอแห้งอะ”

   “เราซื้อน้ำมาให้แล้ว” ว่าแล้วผมก็เปิดขวดน้ำแล้วส่งให้ มือเรียวรับไปก่อนจะกระดกลงคอ

   “เราก็คอแห้งเหมือนกันอะช่อ” ยักษ์เอ่ยบอกก่อนจะยิ้มแฉ่ง

   ดั้นเมฆทำหน้าเหี้ยมใส่ “คอแห้งก็หาแดกเอาเองสิวะ”

   “ทำไมมึงแบดขนาดนี้อะ เดี๊ยะปั๊ดฟาดด้วยไม้กลองหรอก”

   “อย่าทะเลาะกันสิ” ผมปรามก่อนจะส่งถุงน้ำให้ “เราซื้อมาเผื่อทุกคนเลย ตามสบายนะ”

   “ขอบใจน้า” เสียงดังมาจากปากจ๋ายก่อนที่เจ้าตัวจะคว้าน้ำไปกิน ส่วนคนเด๋อก็นั่งทำหน้ามุ่ยใส่ผมไม่หยุด

   “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

   “ช่อใจดีกับทุกคนเลย”

   “ทุกคนนั่นก็เพื่อนเมฆทั้งนั้น” ผมเขี่ยผมที่ปรกหน้าเจ้าตัวออก “แต่เราใจดีกับเมฆมากที่สุดเลยนะ”

   “ยังไงครับ”

   “ของคนอื่นเขาต้องเปิดฝากันเองแต่ของเมฆเราเปิดให้กับมือเลย” ผมบอกก่อนจะยิ้มบางๆ มองแก้มคนตรงหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อ อะไรกัน....พูดแค่นี้ก็เขินแล้วเหรอ

   ผมอมยิ้มมองดั้นเมฆอยู่แบบนั้น เรื่องเขินเก่งนี่ยกให้เขาเลย ไม่มีใครเขินได้เรี่ยราดเท่ากระต่ายเด๋อนี่อีกแล้ว รอยยิ้มนี้ถ้าผมได้เห็นไปทุกวันก็คงจะดีเนอะ เวลาเขาแสดงอาการแบบนี้ออกมา ยอมรับเลยนะครับว่ารู้สึกมีความสุขมาก เจ้าตัวจะรู้ไหมนะว่าเขาทำให้ผมเป็นแบบนี้ ถ้าสมมุติว่าวันนึงในอนาคตไม่มีเขาอยู่ตรงหน้ามันจะเป็นยังไงนะ มันต้องน่าเศร้ามากแน่ๆ โลกที่สดใสของผมในตอนนี้ก็คงกลับไปหม่นหมองเหมือนเดิม

   มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

   ผมต้องรักษาเขาเอาไว้ให้ดีที่สุด ทำให้เขารัก ทำให้เขาหลงจนขาดผมไม่ได้ พอเป็นแบบนั้นแล้วก็คงไม่มีใครเอาเจ้ากระต่ายเด๋อของผมไปได้อีก ที่สำคัญคือขอให้เขาอยากอยู่แค่กับผมด้วยเถอะ ขอให้เขาไม่อยากจากผมไปไหน ผมจริงจังกับเขามากจนเผลอวาดอนาคตที่มีร่วมกันอยู่บ่อยครั้ง ตอนนั้นผมจะเป็นคุณหมอที่เหนื่อยจากงาน พอกลับถึงบ้านก็เดินไปกอดเขา กินกับข้าวฝีมือเขาและก็ฟังเขาบอกว่ารักผมอยู่ซ้ำๆ

   เพ้อเจ้อดีเนอะ

   แต่อยากให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

   ก่อนจะมีอนาคตที่แสนหวานก็ต้องผ่านครอบครัวที่ขมขื่นไปให้ได้ก่อน ไม่รู้เลยครับว่าพ่อจะมาอาละวาดใส่วันไหน แย่สุดผมก็คงเจ็บตัวเหมือนครั้งก่อน เอาจริงๆ มันไม่ควรเป็นแบบนั้น เขาไม่ควรใช้ความรุนแรงถึงแม้ว่าผมจะเป็นลูกเขาก็เถอะ เราคุยกันด้วยเหตุผลได้มากกว่าการใช้อารมณ์ ผมคิดทุกวันจริงๆ ว่าถ้าผมคือสิ่งที่ขัดใจเขามาก ก็แค่ตัดผมออกไปก็ได้ ผมไม่รู้สึกมีความผูกพันกับพ่อเลยสักนิด

   เขาแค่ทำให้ผมเกิดมา

   ผมรู้สึกแค่นั้นจริงๆ

   เขาไม่เคยไปงานวันพ่อที่โรงเรียนผม จะมีก็น้าชัชนี่แหละที่ไปนั่งแทนในตำแหน่งพ่อ ตั้งแต่ผมเกิดก็อยู่กับแม่และน้ามาตลอด ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรเลย แม่รักผม ดูแลผมอย่างดี น้าชัชก็ใจดีกว่าใครในโลก ภาพจำของผมที่มีต่อพ่อมันค่อนข้างแย่ ตอนเด็กอาจจะไม่คิดอะไรเยอะแต่พอโตมาถึงได้รู้นี่แหละว่าเขาไม่ควรทำแบบนั้นเลย แม่เคยร้องไห้เพราะพ่อไปมีคนอื่น แม่ผมต้องเสียใจเพราะเขา

   ภาพที่แม่นอนร้องไห้....ผมไม่เคยมีวันลืมเลย

   “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

   ผมเหลือบมองคนถาม “คิดอะไรนิดหน่อย”

   “เรื่องพ่อเหรอ”

   “เมฆรู้ได้ไง”

   “มันจะมีสักกี่เรื่องกันเชียวที่จะทำให้แฟนผมทำหน้าแบบนั้นออกมาได้” มือเรียวเลื่อนมากุมมือผมไว้ “เครียดอะไรเล่าให้เราฟังได้นะ เราไม่อยากให้ช่อเก็บมันเอาไว้คนเดียว”

   “เราไม่ค่อยเข้าใจพ่อน่ะ คิดมากเรื่องเรียนต่อก็คิดนะ เรื่องของเมฆก็กังวล ทุกอย่างมันติดขัดเพราะพ่อไปหมด เชื่อไหมว่าเราชอบคิดถึงอนาคตที่รออยู่ มันดีมากเลยนะแต่เหมือนพ่อจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้มันเลือนราง เรากลัวว่าเขาจะทำลายมัน”

   “เรื่องครอบครัวมันละเอียดอ่อนมาก เราไม่รู้ว่าช่อเจอกับอะไรมาบ้าง เราจะพูดมากก็ไม่ได้แต่ว่าขอให้ช่อได้รู้ไว้ว่าจนกว่าจะถึงอนาคตที่ช่อวาดฝัน เราจะอยู่ข้างช่อ ถ้ามันเลือนรางเราจะทำให้มันชัดเอง”

   “....ดั้นเมฆ”

   “ถึงไล่ก็ไม่ไปนะ เราชอบการได้อยู่ตรงนี้มากๆ เพราะตรงนี้มันทำให้เราได้เห็นช่อยิ้ม ได้เห็นช่อมีความสุข ตอนนี้เราอายุแค่ 17 เอง สิ่งที่พูดมันอาจจะดูเป็นแค่คำพูดเด็กๆ แต่เราก็อยากให้ช่อเชื่อว่าต่อให้เราอายุ 17 หรือ 27 หรือว่าจะแก่ขึ้นอีกสักกี่ 10 ปี เราก็จะเป็นเหมือนเดิม”

   “....”

   “เป็นดั้นเมฆคนเดิมของช่อม่วง” เจ้าตัวยิ้มหวานผม “มันจะไม่มีทางเปลี่ยนไป”

   ตึกตัก

   เนี่ยะ....เพราะแบบนี้ไงผมถึงได้หลงรักเขามาก

   “โตไปด้วยกันนะดั้นเมฆ”

   “เมฆจะโตไปพร้อมกับช่อครับ”

   

***





   “ทำไมเมฆดูลุกลี้ลุกลนจัง”

   “ตื่นเต้น”

   “ตื่นเต้นทำไม”

   “กินข้าวบ้านแฟนครั้งแรกเลยนะ”

   ผมหลุดยิ้มออกมาทันที “ขนาดนั้นเชียว”

   “ใช่สิ แฟนผมทั้งคนเลยนะครับ”

   ย้ำเก่งจริงๆ คำว่าแฟนเนี่ยะ

   ช่อม่วงเขินจะตายอยู่แล้ว

   ผมเดินนำดั้นเมฆเข้าบ้าน วันนี้ร้าน MASCOT ปิดครับ ผมถึงได้ชวนเขามาวันนี้เพราะรู้ว่ามันเป็นวันหยุด ตอนแรกร้านเปิดทุกวันเลยนะแต่เพิ่งมากำหนดวันหยุด ร้านขนมไทยนี้เป็นร้านที่เปิดมาไม่กี่เดือนแต่ลูกค้าเยอะมากและก็มีชื่อพอสมควร ผมเห็นมีหลายเพจในเฟซบุ๊กเอาไปรีวิว คือนอกจากขนมอร่อยก็ยังบริการดีด้วยไง คอนเซ็ปต์ร้านเป็นกระต่ายกับพระจันทร์ ไหนจะเอกลักษณ์ของร้านที่ให้พนักงานสวมหัวมาสคอตกระต่ายนั่นอีก

   มีเสน่ห์ดึงดูดไปหมดทุกสิ่ง

   ถึงไวท์บันนี่จะเด๋อไปหน่อยก็ไม่ใช่ปัญหา

   “สวัสดีครับน้าชัช” ผมยกมือไหว้คนที่กำลังจัดโต๊ะอยู่

   “สวัสดีครับ” คนเด๋อยกมือไหว้ตามพลางยิ้มอย่างเป็นมิตรที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ตลกชะมัด ทำหน้าอะไรแบบนั้นน่ะ

   “สวัสดีเด็กๆ นั่งสิ น้าจัดโต๊ะเสร็จพอดี”

   “ครับ” ผมนั่งลงที่ประจำของตัวเองก่อนจะดึงให้ดั้นเมฆมานั่งข้างๆ

   “คนนี้สินะที่ชื่อดั้นเมฆ” ร่างโปร่งเอ่ยถามก่อนจะตักข้าวให้ “หน้าตาดีเชียว”

   “ไม่เท่าน้าชัชหรอกครับ”

   คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามยกยิ้ม “น้ามองคนไม่ผิดหรอก เดี๋ยวพอดั้นเมฆโตขึ้นเมื่อไหร่ ผมยาวอีกนิด สูงอีกหน่อย ผมสีอ่อนกว่านี้นิดนึงก็น่าจะเนื้อหอมน่าดู หลานน้าต้องหึงจนหน้ามืดแน่ๆ ”

   “น้าชัช” ผมทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะหันไปมองคนเด๋อที่นั่งอยู่ข้างๆ “จะดูดีขึ้นอีกเหรอ” ไหนจะทำขนมอร่อย ร้องเพลงเพราะอีก ผมน่าจะหึงยิ่งกว่าหน้ามืดอะดูทรงแล้ว

   “อย่าทำหน้าเหมือนหึงสิล่วงหน้าสิครับ”

   “เปล่าสักหน่อย” ผมบ่นอุบอิบก่อนจะตักข้าวเข้าปาก “อันนี้อร่อยนะเมฆ กินเยอะๆ ”

   “ช่อก็กินเยอะๆ นะ”

   อย่างช่อม่วงน่ะกินเยอะอยู่แล้วล่ะ

   ผมนั่งมองน้าชัชคุยกับหลานคนใหม่อย่างออกรสออกชาติ สนุกเลยนั่งเผาผม มันน่าไหมเนี่ยะ เด๋อเมฆก็ขำไม่หยุดเลยครับ เห็นว่าเข้ากันได้ดีแบบนี้ก็โล่งใจไป ความเกร็งของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หายไปแล้วล่ะ หลังจากนี้ก็คงเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย น้าชัชต้องเข้าทีมดั้นเมฆแน่ๆ ไม่เป็นไร เดี๋ยวถ้าวันไหนที่ผมต้องเข้าบ้านแฟนบ้าง ผมจะดึงคนบ้านนั้นเข้าทีมตัวเองให้ได้เลย ครอบครัวเขาจะต้องเอ็นดูผม

   คิดว่าน่าจะทำได้นะ

   ใช้เวลาอยู่พักใหญ่สำหรับการกินข้าว ตอนนี้เกือบ 3 ทุ่มแล้ว ได้ยินเสียงฟ้าร้องเป็นระยะด้วย เหมือนว่าฝนจะตกเลยอะ เห็นแบบนี้ก็นึกถึงวันที่ผมอยู่บ้านคนเดียวแล้วชวนดั้นเมฆค้างได้เลย ถ้าวันนี้ฝนตกอีกก็น่าจะดีนะเพราะถ้าเป็นแบบนั้นผมจะได้ชวนเขานอนค้างที่นี่ อยากนอนกอดน่ะครับ สัมผัสในวันนั้นมันอบอุ่นมากจนผมอยากได้อีก อีกอย่างคือถ้านอนกอดกันในสถานะความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปแล้ว หัวใจต้องเต้นแรงกว่าเดิมแน่ๆ

   แค่คิดมันก็....

   “วันนี้ก็ค้างซะที่นี่สิเมฆ มันมืดแล้วแถมฝนก็จะตก” น้าชัชเอ่ยชวนเหมือนรู้ใจผม ดีอะ ไม่ต้องพูดเองด้วย

   “จะสะดวกใช่ไหมครับ”

   “สะดวกสิ คิดซะว่าเป็นบ้านอีกหลังของตัวเองนะ” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะยิ้มหวานให้ “แต่มีเรื่องนึงที่น้าอยากจะขอทั้งสองคนไว้”

   “อะไรครับ”

   “รักกัน คบกัน น้าไม่ว่านะ แต่ตอนนี้คงต้องมีขอบเขตอยู่ น้าคิดว่าพวกเรารู้ว่าน้าหมายถึงอะไร”

   ผมพยักหน้ารับ “ช่อเข้าใจครับ แต่ขอถามได้ไหมว่าทำไม”

   “เพราะว่าตอนนี้หน้าที่สำคัญของพวกเราคือการมุ่งเข้าเรียนในคณะที่ตัวเองตั้งใจ การเตรียมตัวเข้ามหา’ลัยไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่ว่าน้าไม่เชื่อใจว่าเราจะทำไม่ได้หรอกนะแต่เรื่องแบบนี้ รอไปก่อนก็ไม่ยากใช่ไหมล่ะ เชื่อน้าเถอะ อย่างน้อยน้าก็เคยผ่านมันมาก่อน ความผูกพันกันจนลึกซึ้งมันทำให้เราหลงใหลจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยนะ มันมีความสุขจริงแต่มันอาจจะมากไปในช่วงเวลาที่สำคัญแบบนี้” น้าชัชจับมือผมทั้งสองคนเอาไว้ “อดทนหน่อยนะ อย่างน้อยก็จนกว่าจะเข้ามหา’ลัย”

   “ได้ครับ”

   “พวกเราจะอดทนครับ”

   “รักกันก็ดูแลกันไปด้วยนะ อายุอย่างพวกเรา เรื่องเรียนมันสำคัญมากจริงๆ น้าห่วงแค่นี้นั่นแหละ”

   “ขอบคุณนะครับ ช่อจะทำตามที่น้าชัชบอก”

   “ดีมาก เดี๋ยวน้าเก็บจานก่อน พวกเราก็ขึ้นห้องไปได้ละ แล้วเมฆก็โทรบอกที่บ้านซะด้วยนะ เขาจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

   “ครับ”

   “ป่ะเมฆ” ว่าแล้วผมก็เดินนำร่างสูงขึ้นห้อง พรุ่งนี้ตรงกับวันเสาร์ซะด้วย ดีจังที่เป็นวันหยุด ผมอยากนอนเป็นซากยาวยันบ่ายเลย

   ดีหน่อยที่งานโรงเรียนผมไม่ได้รับผิดชอบโดยตรง ไม่งั้นต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ช่วงนี้ผมเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบแล้วด้วย งานก็ไล่เคลียร์จนครบแล้ว พอจบงานโรงเรียนก็นัดเพื่อนๆ ไว้ว่าจะติวด้วยกัน ถ้ากวาดเกรด 4 เรียบได้เหมือนเทอมก่อนก็จะดีมากเลย หมดเทอมนี้ก็เหลืออีกเทอมเดียวเท่านั้นสำหรับการเก็บเกรด สนามสอบต่างๆ รออยู่ ผมต้องเตรียมตัวให้ดีมากพอที่สอบเข้าคณะแพทย์ฯ

   ผมต้องสมหวังในสิ่งที่ตั้งใจสิหน่า

   “เมฆอาบน้ำก่อนเลยนะ” ผมยื่นผ้าเช็ดตัวให้เขา ร่างสูงรับมันก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

   วันที่ดั้นเมฆมาค้างครั้งก่อนผมยังจำหุ่นเขาตอนเดินออกมาจากห้องน้ำได้เลย มันไม่หนาไม่บาง หน้าท้องเป็นลอนด้วย ถึงยังไม่ชัดมากแต่มันดูดีเลยล่ะ ถ้าเขาออกกำลังกายและดูแลรูปร่างมากกว่านี้ ผมว่าซิกแพ็กต้องมาเป็นลูกแน่ๆ แล้วพอเป็นแบบนั้นช่อม่วงคนนี้ก็จะยิ่งหึงขึ้นไปอีก งั้นไม่ได้ละ แฟนผมจะฮ็อตไปกว่านี้ไม่ได้ จะทำยังไงให้คนเด๋อไม่เป็นที่สนใจของคนรอบข้างดีอะ

   คิดแล้วยากจัง

   “ยืนเหม่ออะไรหืม....” เสียงดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง พยายามโฟกัสตรงหน้าแล้วนะแต่ตาก็เลื่อนลงมาจนได้

   “เปล่าสักหน่อย” ผมหยิบเสื้อผ้าส่งให้ “เราไปอาบน้ำก่อนนะ”

   “ครับ” เจ้าตัวยิ้มรับก่อนจะเริ่มแต่งตัว ผมก็เดินเข้ามาในห้องน้ำแล้วจัดการตัวเอง

   หน้าร้อนชะมัดเลยให้ตายสิ นึกถึงคำพูดของน้าชัชเลยอะ ผมเข้าใจดีว่าที่เขาพูดหมายถึงเรื่องอะไร เอาจริงๆ พอเป็นแฟนกันแล้วมันก็ต้องมีคิดบ้างแหละเนอะ อีกอย่างคือพวกเราก็ผู้ชายทั้งคู่ เรื่องอารมณ์บางทีมันก็ลุกโชนขึ้นมาได้ง่ายๆ ความหลงใหลที่ถูกพูดถึงนั่นมันเป็นยังไงนะ เรื่องนี้กว่าจะรู้ได้ก็คงต้องรอไปก่อน มันก็แค่ปีกว่าเองแหละ ความจริงแค่ผมได้กอดดั้นเมฆมันก็มากเกินพอแล้ว

   เพราะอย่างอื่นทำไม่เป็นไง

   เรื่องหอมแก้มอาจจะทำได้แต่เรื่องจูบมันต้องสะเหล่อมากแน่ๆ และก็คงเป็นทั้งคู่เลยล่ะ ผมคิดว่าเขาคงไม่เคยจูบใครมาก่อนหรอก จะว่าไปก็ดีเนอะ การได้เป็นครั้งแรกของกันและกันในหลายๆ เรื่องมันทำให้ผมรู้สึกพิเศษจริงๆ หลังจากที่ใช้เวลาสักพักผมก็เดินออกจากห้องน้ำ ร่างโปร่งมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตานั่นร้อนแรงเหมือนอยากจะเผาผมให้ตายทั้งเป็นเลย

   เกินไปแล้วนะเจ้ากระต่ายเด๋อ

   “คิดค่ามองนะ” ผมบอกก่อนจะหยิบเสื้อผ้ามาใส่

   “คิดไปตลอดชีวิตเลยนะครับเพราะจะมองไปตลอดทั้งชีวิต”

   ตึกตัก

   พูดแบบนี้มันขี้โกงหนิ

   “พูดแล้วนะ” ผมเดินมาเอนตัวนอนลงบนเตียง ร่างสูงก็ขยับมานอนข้างผมโดยตะแคงหน้าเข้าหา

   “คำไหนคำนั้นอยู่แล้ว” มือเรียวเลื่อนมาเขี่ยผมที่ปรกหน้าผมออก “เกิดเป็นดั้นเมฆนี่โชคดีจังเลยน้า”

   “ยังไง”

   “ได้มีแฟนน่ารักขนาดนี้ คนเป็นแสนคงอิจฉาผมอะ”

   ผมหลุดยิ้มทันทีที่เขาบอกแบบนั้น “ไม่มีใครอิจฉาหรอก”

   “เมฆไง เมฆอิจฉาดั้นเมฆวันละเป็นล้านครั้งได้”

   “เราชอบเวลาเมฆแทนตัวเองว่าเมฆนะ”

   “งั้นต่อจากนี้จะแทนตัวว่าเมฆ โอเคไหมครับ”

   “อื้ม” ผมกุมแก้มคนตรงหน้าไว้ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเบาๆ “จำวันที่เมฆมานอนได้ไหม”

   “จำได้สิ วันนั้นเมฆได้กอดช่อด้วย โคตรมีความสุขเลยอะ”

   “อยู่ดีดีเมฆก็ดึงเราเข้าไปกอด เราตกใจมากเลยนะ”

   “ก็เห็นว่าตัวเย็นไง เมฆก็เลย....”

   “ขอความจริงได้ไหม”

   “ก็....ชอบคุณมาตั้งนาน” มือเรียวรั้งผมเข้าไปกอดไว้แน่น “มีโอกาสทั้งทีก็ต้องกอดเอาไว้ให้แน่นสิครับ”

   ตึกตัก

   หัวใจเต้นแรงจัง

   “หลังจากนี้ก็ห้ามปล่อยนะรู้ไหม....”

   “เมฆไม่ปล่อยความสุขของตัวเองไปหรอก” เจ้าตัวจุ๊บหัวผมก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น “ฝันหวานนะครับ....แฟนของดั้นเมฆ”

   ดูพูดเข้าสิ

   รักกระต่ายเด๋อตัวนี้จนตายแน่ๆ ผมเนี่ย

   “....ฝันหวานเหมือนกันนะ”

   ‘แฟน’ ของช่อม่วง











TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งมาสคอตแล้วนะ ความหวานของคู่นี้ก็คือไม่แผ่วเลยนะคะ รอติดตามว่าจะหวานไปได้ถึงขนาดนั้นไหนอีกเนอะ

สามารถติดต่อขข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
Re: M A S C O T บทที่ 16 [ 28 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #27 เมื่อ28-10-2020 23:36:59 »

 :hao5:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 17 [ 29 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #28 เมื่อ29-10-2020 22:16:03 »

บทที่ 17 บอกรัก




   งานโรงเรียนนี่เป็นอะไรที่วุ่นวายเหมือนกันนะ

   คนเยอะมากเว่อร์ด้วย

   ผมนั่งอยู่ที่ซุ้มของห้องพลางมองแฟนตัวเองที่ทำกิจกรรมกับรุ่นน้องอยู่ ตอนนี้เกือบบ่ายโมงแล้วครับ อากาศคือร้อนมากจนมากถึงที่สุด ถ้าออกไปตากแดดแค่ 2 นาทีก็ไหม้เกรียมแล้ว ตอนแรกผมกะจะนั่งตากลมเย็นๆ ที่ห้องดนตรีแต่คิดไปคิดมาก็อยากอยู่กับช่อม่วงเหมือนกัน ก็เลยมานั่งสะเหล่ออยู่ที่ซุ้มเขานี่ไง เมื่อเช้าผมไปเซ็ตเครื่องดนตรีมาละ คอนเสิร์ตเล็กๆ ของพวกผมจะอยู่ที่หน้าตึกสามเพราะว่าตรงนั้นตึกจะบังแดด มันน่าจะร่มพอสมควร

   คิดแล้วตื่นเต้นจัง

   ผมไม่เคยเล่นดนตรีแบบจริงจังในงานโรงเรียนเลยนะ เคยแค่เล่นกีต้าร์แหกปากร้องเพลงไปตามประสา ขอให้คอนเสิร์ตครั้งนี้สนุกด้วยละกัน อีกอย่างมันเป็นการย้อมใจก่อนสอบปลายภาคด้วย หลังจากนี้ก็คงต้องอ่านหนังสือเป็นตาย ดีไม่ดีอาจจะต้องต้มหนังสือกินไปด้วย เอาจริงๆ  ผมไม่ค่อยชอบการอ่านหนังสือเท่าไหร่นะ รู้สึกเหมือนตัวเองจะจดจ่อกับมันได้ไม่มาก ผมชอบการอธิบายให้ฟังมากกว่าเพราะงี้แหละเวลาที่เรียนในห้อง ผมถึงพยายามตั้งใจฟังให้ได้มากที่สุด

   ถึงแม้ไอ้ยักษ์จะชอบกวนก็เถอะ

   “ดั้นเมฆ”

   “หืม....”

   “ร้อนไหม” ช่อม่วงถามก่อนจะส่งพัดมาให้ “เหงื่อออกเยอะเลย”

   “นิดหน่อยอะ เอาจริงๆ แค่เมฆเห็นหน้าช่อ เมฆก็เย็นขึ้นมาละ”

   “เว่อร์จริงๆ ” เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่ผม “หิวไหม ไปกินข้าวกัน”

   “ไปได้แล้วเหรอ”

   “อื้ม เดี๋ยวให้แบ๋มจัดการต่อ”

   “โอเค งั้นไปกินข้าวกัน” ว่าแล้วผมก็เดินนำร่างโปร่งไปทางโรงอาหาร หิวเหมือนกันนะ ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย เดี๋ยวผมต้องกินเยอะหน่อยเพราะว่างานบ่ายน่าจะใช้พลังงานเยอะน่าดู

   เราสองคนแยกกันไปซื้อข้าวก่อนจะมานั่งอยู่ตรงโต๊ะแถวปากทางเข้า โรงอาหารคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ดีละ ปกติผมไม่ค่อยชอบโรงอาหารเลยเพราะมันเสียงดังมาก วันไหนที่พี่อินทำข้าวกล่องให้คือสวรรค์สุดๆ ผมเคยมีฟีลอยากตื่นมาทำข้าวกล่องบ้างแต่ลำพังแค่ตื่นมาเรียนยังไม่มีปัญญาเลย พี่อินเขาติดตื่นเช้ามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อก่อนเขาตื่นมาใส่บาตรกับหม่าม้าบ่อยไง ส่วนผมก็นอนซุกอยู่ในผ้าห่มโน่นแหละ

   มันมีความสุขมากเลยนะการได้อยู่ในนั้นอะ

   ผมนั่งมองช่อม่วงที่นั่งคีบลูกชิ้นกุ้งเข้าปากแล้วคีบลูกชิ้นปลามาใส่ชามผม “ช่อไม่กินลูกชิ้นปลาเหรอ”

   “เห็นเมฆบอกว่าชอบ”

   “ใจดีจังเลยน้า” ผมเท้าคางมองคนตรงหน้า “จะทำให้เมฆหลงไปถึงไหนอะ”

   “ไม่รู้สิ เมฆหลงของเมฆเองนะ เรายังไม่ได้ทำอะไรเลย”

   “ช่อน่ะทำเยอะเลยล่ะ”

   “เราเปล่า อืม....ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปที่ร้าน MASCOT เลย” ช่อม่วงเอ่ยก่อนจะหยิบน้ำแดงของผมไปดูด “อยากกินขนมแล้วก็คิดถึงคุณกระต่ายด้วย”

   ผมเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที “หนิ”

   “หนิอะไร แล้วทำไมเมฆต้องทำหน้าแบบนั้น”

   “ก็ช่ออะ”

   “เราทำไมเหรอ”

   “ช่อบอกคิดถึงคนอื่นต่อหน้าเราได้ไง” ผมทำหน้ามุ่ยใส่เขา

   “คุณกระต่ายไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย ดั้นเมฆนี่บ๊องจริงๆ ” มือเรียวยื่นมาบีบจมูกผมเบาๆ เหมือนมันเขี้ยว ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นเลยนะ ไม่ใจอ่อนให้หรอก

   ผมทำหน้ายับอยู่อย่างนั้น เนี่ยะ ช่อม่วงบอกว่าคิดถึงไวท์บันนี่อะ บอกต่อหน้าผมด้วย ถึงในชุดกระต่ายนั่นจะเป็นผมก็เถอะแต่ช่อม่วงไม่รู้ซะหน่อย ผมยังไม่ได้บอกเขาเรื่องนี้เลย เพราะงั้นมันก็หมายความว่าดั้นเมฆก็ยังเป็นคนละคนกับไวท์บันนี่อยู่ งงป้ะ ตอนแรกไม่งงนะแต่ตอนนี้เริ่มงงละ เออช่างแม่ง เอาเป็นว่าผมไม่ชอบที่เขาบอกว่าคิดถึงกระต่ายกากต่อหน้าผม แล้วยังมีการมาบอกว่าคุณกระต่ายไม่ใช่คนอื่นอีกนะ

   หึ้ยยย....ย....หึงหน้ามืดไปหมดแล้วโว้ย

   จะว่าไปผมยังไม่รู้ว่าจะบอกช่อม่วงเรื่องที่ตัวเองเป็นไวท์บันนี่ยังไงดี แต่คิดไว้แล้วล่ะครับว่าจะบอกเขาตอนหลังจากงานโรงเรียนจบไปแล้ว ผลจะออกมาเป็นยังไงผมก็จะยอมรับมัน ถ้าสมมุติว่าเขาโกรธ ผมก็ตามง้อจนกว่าเขาจะหายโกรธ แต่ถ้าเขาไม่โกรธก็แปลว่าแต้มบุญของผมยังมีอยู่ อีกอย่างช่อม่วงก็ปลื้มปริ่มไวท์บันนี่อยู่ไม่น้อย ขอให้เขาแค่งอนนิดหน่อยที่ผมไม่บอกว่าตัวเองเป็นกระต่ายกากนั่นก็แล้วกัน

   หวังให้เป็นแบบนั้นจริงๆ

   “เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว” ช่อม่วงบีบแก้มผมเข้าหากันจนปากจู๋ “หึงมากขนาดนั้นเลย”

   “มากถึงมากที่สุด....รู้ไว้ซะนะครับ”

   เจ้าตัวหลุดขำออกมา “เมฆนี่ตลกจัง” ร่างโปร่งเอ่ยบอกก่อนจะลุกเอาจานไปเก็บ

   ครืดดดด....ครืดดดด

   ผมหยิบโทรศัพท์­มากดรับสาย “เออว่าไง”

   (อยู่ไหนล่ะ)

   “โรงอาหาร มากินข้าว”

   (มาที่ห้องดนตรีได้แล้วนะ รันคิว)

   “โอเคเดี๋ยวกูไป”

   (จะพาแฟนมาด้วยก็ได้นะ ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ )

   “สะเหล่อน่ะไอ้จ๋าย มึงเป็นไอ้ยักษ์สองเหรอ เดี๋ยวจะโดน”

   (อู้วๆ ๆ ๆ ๆ ดุกูด้วยว่ะ ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ )

   “แค่นี้แหละไอ้เวร” ผมบอกก่อนจะกดวางสาย ทำตัวเป็นไอ้ยักษ์ไปได้ เจอหน้าจะทุบให้

   ผมเดินเอาจานไปเก็บก่อนจะลากช่อม่วงให้มาที่ห้องดนตรีด้วยกัน เรื่องซุ้มก็ปล่อยให้เพื่อนๆ เขาจัดการไป ร่างโปร่งก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ ยอมให้ผมลากมาแบบไม่อิดออด พอมาถึงห้องดนตรีเนี่ยะ สิ่งแรกที่เห็นก็คือสายตาอันยียวนกวนส้นตีนของบรรดาเพื่อนๆ ที่เกาะขอบประตูเพื่อรอกวนประสาทผมอยู่ เดี๋ยวคิดคำพูดไว้ด่ามันก่อนนะ เอาคำไหนที่จะทำให้พวกสะเหล่อนี่สลดดีวะ

   อืม....ไม่น่ามี

   ผมบอกพวกมันไปแล้วนะเรื่องที่คบกับช่อม่วง แน่นอนว่าเพื่อนๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไร มีแต่พากันแซวเราสองคนไม่หยุด แซวแม่งทุกวี่ทุกวัน ไม่เบื่อบ้างเหรอวะ อย่าให้ถึงทีของดั้นเมฆบ้างนะ ถ้าพวกมันมีแฟนเมื่อไหร่ผมจะเอาคืน จะแซวกลับแบบย่อยยับเลยคอยดู เรื่องอื่นอาจจะยอมได้นะแต่เรื่องนี้ถึงตายก็ไม่ยอม

   หึ....โดนแน่

   “ช่อม่วงงงง” ไอ้ยักษ์เสนอหน้ามายืนข้างช่อม่วง “เป็นไงร้อนไหม”

   “ร้อนสิ วันนี้แดดแรงมากเลยอะ”

   “เดี๋ยวเราพาไปนั่งตากพัดลมเย็นๆ นะ”

   “หนิๆ ” ผมทำหน้าเหี้ยมใส่มัน “มึงจะมายุ่งอะไรกับช่อม่วงเนี่ยะ”

   “ก็....ดูแลไง ไอ้จ๋ายบอกว่าแฟนเพื่อนก็เหมือนแฟนเรานั่นแหละ”

   “ตลกละ แฟนกูก็คือแฟนกู กูดูแลเองได้ พวกมึงไม่ต้องสะเหล่อเลยนะ เดี๋ยวจะตบให้หน้าสั่นเรียงตัวเลย” ผมขู่ใส่พวกมันแง้วๆ ก่อนจะลากช่อม่วงเข้ามาในห้องดนตรี ปล่อยพวกมันยืนเกาะขอบประตูไปอย่างนั้นแหละ

   “เมฆดุจัง” คนพูดมองผมตาใสพลางอมยิ้มน้อยๆ “เราต้องกลัวด้วยไหม”

   “ถึงเมฆบอกให้ช่อกลัว ช่อก็ไม่กลัวเมฆอยู่ดีอะ”

   “คิดงั้นเหรอ”

   “ใช่สิ แค่มองหน้าช่อก็รู้แล้ว” อีกอย่างคือ....ผมจะเอาปัญญาที่ไหนไปดุเขาได้ ช่อม่วงน่ารักขนาดนี้ใครจะดุลงวะ

   “แล้วเราดุเมฆได้ไหม”

   “ช่อจะทำอะไรกับเมฆก็ได้ทั้งนั้นแหละ” ผมยิ้มหวานให้เขาก่อนจะเลื่อนมือไปจับมือเรียวเอาไว้ “ตั้งใจฟังเพลงที่เมฆจะร้องวันนี้ด้วยนะ”

   “ก็ฟังตอนซ้อมอยู่ทุกวันนะ”

   “ไม่ดิ ตอนซ้อมกับร้องจริงไม่เหมือนกัน”

   “นั่นสิน้า” ช่อม่วงยกมือขึ้นมาเขี่ยผมที่ปรกหน้าผมออก “ไหนดูซิว่าวันนี้พี่ดั้นเมฆจะตกรุ่นน้องได้กี่คน”

   “ครึ่งโรงเรียนอะ”

   “หนิ เดี๋ยวจะโดนนะ ยังไม่ทันไรก็ทำให้เราหึงแล้วเหรอ” เจ้าตัวทำตาโตมองผม ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ น่ารักจัง ผมโคตรชอบเวลาที่เขาหึงเพราะมันทำให้ผมได้รู้ว่าคนตรงหน้ารักผมมากแค่ไหน

   ผมเป็นคนเลือกเพลงที่จะร้องทั้งหมดเองเลยนะ ช่อม่วงอาจจะได้ฟังตอนที่ผมซ้อมไปบ้างแล้วแต่มีเพลงนึงที่ผมตกลงกับเพื่อนไว้ว่าจะเล่นและเขาไม่รู้ว่ามันมีเพลงนี้อยู่ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะเคยไหมแต่ผมอยากร้องให้เขาได้ฟังนะ ส่วนตัวผมชอบเพลงนี้มากเพราะความหมายมันดี เคยคิดอยากเปิดให้เขาฟังหลายรอบแล้วแต่เดี๋ยวร้องเองเลยดีกว่า ขอยืมเวทีของโรงเรียนบอกรักแฟนผ่านเสียงเพลงหน่อยละกันนะครับ

   หวังว่าเขาจะชอบเพลงที่ผมร้องนะ



***


   “พร้อมไหม”

   “กูจะตีผิดป้ะวะ”

   “ก็แค่ทำเหมือนตอนซ้อมอะ ลองคิดว่าคนดูเยอะขึ้นเท่านั้นเอง”

   “ป่ะมึง ได้เวลาละ” ผมบอกเหล่าสหายก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวทีที่จัดอยู่หน้าตึกสาม

   มีเด็กไม่น้อยเลยที่รออยู่ตรงหน้า ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหาช่อม่วง ร่างโปร่งยืนมองผมอยู่กับกลุ่มเพื่อนพลางโบกมือให้ พอเป็นแบบนั้นผมก็ยิ้มให้ หูฟังเสียงเพื่อนๆ เช็คซาวน์ เขินๆ ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ไม่เคยมีสายตาจับจ้องมาเยอะขนาดนี้ไง ผมได้ยินบุหลันตะโกนเรียกด้วย ตอนแรกอาจจะไม่มีใครรู้ว่าผมชื่ออะไร แต่ตอนนี้บุหลันเป็นคนป่าวประกาศให้ทุกคนรู้กันทั่วแล้วว่าผมชื่อดั้นเมฆ

   เขานี่มันจริงๆ เลยนะ

   “เทส 1 2 3 4” ผมเทสไมค์พลางมองไปรอบๆ “สวัสดีชาว ม.ค. ทุกคน พวกผมเป็นตัวแทนจากห้องม.5/3 จะขึ้นเป็นวงเปิดนะครับ ก็....มาสนุกไปด้วยกันน้า”

   ฮิ้ววววววววววววววววววววววววววววววว

   ผมฟังเสียงอินโทรเพลงที่ดังขึ้น “หลายคนอาจจะรู้จักเพลงนี้นะครับ ผมอยากร้องให้.....ฟังจริงๆ หวังว่าจะชอบนะครับ”

   ผมฟังเสียงเพลงไปเรื่อยๆ พลางมองมือด้านล่างที่โบกตามจังหวะเพลง แฟนผมยังคงยืนยิ้มให้อยู่แบบนั้น ทำไมรู้สึกมีความสุขแบบนี้ก็ไม่รู้ เป็นโมเม้นท์ที่ดีเนอะ อย่างน้อยในวันนึงที่ผมโตกว่านี้แล้วย้อนกลับมาคิดถึงช่วงเวลาของชีวิตมัธยมฯ มันคงจะพิเศษมากๆ เลย ได้มีโอกาสขึ้นร้องเพลงในงานโรงเรียน ได้มีช่วงเวลาสนุกๆ แบบนี้ สิ่งใดก็ตามที่เป็นความสุข ผมจะเก็บมันเอาไว้ทั้งหมด

   ให้อยู่ในส่วนลึกของความทรงจำเลย

   

   “....อย่าเพิ่งสงสัย ฟังฉันก่อน อย่าเพิ่งใจร้อน เดินหนีไป

   แค่เพียงไม่นาน....อยากให้รู้ความจริงข้างใน

   ที่หยุดเฉยๆ เพราะฉันเองก็ไม่กล้า ชักช้า เพราะมัวเขินอาย

   แค่สบสายตา....ก็หวั่นไหวไปทั้งหัวใจ

   จะเก็บเอาไว้ ไม่ให้เธอรู้ก็กลัวจะต้องเสียใจ

   ถ้าบอกคำนั้น....ฉันต้องทำเช่นไร”


   

   ฟังเมฆนะครับช่อ

   

   “ให้เป็นดอกไม้ จะเข้าใจไหม ให้เป็นจดหมาย อาจยังไม่ซึ้งใจ ถ้างั้นก็คงไม่ดีสักเท่าไหร่

   ถ้าแต่งเป็นคำร้อง จะดีไหม บอกผ่านทำนอง เธอคงจะเข้าใจ

   ถ้าเป็นอย่างงั้น จะบอกเธอให้ฟังว่าทั้งหัวใจ....ฉันรักเธอ”

   

***


   เหนื่อยโฮก

   แต่สนุกสุดๆ ไปเลย

   ผมนั่งพักหลังจากที่เพิ่งเล่นดนตรีเสร็จ ร้องไป 6 เพลงคือที่สุดแล้วจริงๆ เห็นทุกคนดูสนุกไปกับวงเราก็ถือว่าใจชื้นหน่อย ตอนนี้เกือบ 4 โมงเย็นแล้วนะครับ ทางโรงเรียนปล่อยให้เด็กกลับบ้านได้แล้วแหละแต่ผมกะว่าจะอยู่จนถึงงานเลิกเลย เดี๋ยวต้องรอช่วยเขาเก็บเครื่องดนตรีด้วย พวกเพื่อนๆ ผมไปยืนเย้วๆ กันอยู่ที่หน้าเวทีเรียบร้อย วงต่อไปเป็นวงของผู้หญิงไง เรื่องแบบนี้ก็ต้องไวหน่อย ส่วนแฟนของผมนั้น....

   เดินมานั่นละ

   “พี่ดั้นเมฆคะ”

   ผมหันมองตามเสียงเรียกก็พบกับรุ่นน้องคนนึง “มีอะไรรึเปล่าครับ”

   “ร้องเพลงเพราะมากเลยนะคะ” ร่างบางบอกก่อนจะอมยิ้มให้ “ชอบมากๆ เลยค่ะ”

   “ดั้นเมฆ” เสียงของช่อม่วงดังขึ้นพร้อมกับมือเรียวที่ดึงชายเสื้อผมเบาๆ

   “อา....ขอบคุณที่ชอบนะครับ เดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนนะ มีธุระกับแฟน” ว่าแล้วผมก็คว้าข้อมือที่ดึงเสื้อผมไม่หยุด

   “ฟะ....แฟน” น้องผู้หญิงมองเราสองคนสลับกัน “พี่ดั้นเมฆเป็นแฟนพี่ช่อม่วงเหรอคะ”

   “.....ใช่ครับ พี่ไปแล้วนะ” ว่าแล้วผมก็ลากช่อม่วงมาจากตรงนั้นทันที

   ผมพาเขาขึ้นมาบนตึกสาม ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องม.4/3 ที่เคยเรียนเมื่อปีก่อน ตรงนี้ก็มีความทรงจำเก่าๆ อยู่เหมือนกันนะ มันจะมีคนคนนึงที่ชอบทำหน้าบึ้งใส่ผมเวลาที่เข้าห้องช้า คนคนนั้นก็คือแฟนผมในตอนนี้เนี่ยแหละ ผมมองร่างโปร่งที่ชะเง้อมองวงดนตรีด้านล่าง เราอยู่กันชั้นสามครับ ก็ยังได้ยินเสียงเพลงดังชัดเจนน่ะนะ มองจากตรงนี้ผมยังเห็นไอ้ยักษ์เกาะอยู่ที่ขอบเวทีเลย

   สะเหล่อชะมัด

   “ฮ็อตจังเลยนะพี่ดั้นเมฆ เพิ่งลงจากเวทีก็มีสาวมาบอกชอบซะแล้ว” ช่อม่วงเอ่ยก่อนจะทำหน้ามุ่ยใส่ผม

   “เขาชอบที่ร้องเพลงเพราะนั่นแหละ”

   “นั่นสินะ เพลงแรกเราไม่เคยได้ยินเวลาเมฆซ้อมเลย”

   ผมยิ้มแฉ่งให้คนที่อยู่ข้างๆ “ก็เอาไว้เซอร์ไพรส์ไง”

   “ร้ายนักนะ” มือเรียวตีมือผมเบาๆ “ว่าแต่มันชื่อเพลงอะไรเหรอ”

   “เพลงบอกรัก ของ Bedroom Audio เราตั้งใจมากเลยนะที่จะร้องเพลงนี้ให้ช่อฟัง”

   “เราชอบนะ” เจ้าตัวหันมายิ้มหวานให้ผม “ขอบคุณที่ร้องให้เราฟัง”

   ตึกตัก

   ยิ้มหวานน่ารักอะ....ยอมแล้ว

   “เราดีใจนะที่ช่อชอบ ความหมายของเพลงมันพูดถึงคนคนนึง ที่ไม่รู้จะบอกความรู้สึกกับคนที่เขารักยังไงดี ก็ตามเนื้อเพลงเลยนั่นแหละ”

   “.....”

   “จะว่าไป....เราก็ยังไม่เคยบอกช่อเหมือนกัน” ผมหันไปยิ้มหวานให้เขา “....เรารักช่อนะ”

   คนโดนบอกรักหันมองผมช้าๆ ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ คงเขินมากแน่ๆ เลย ช่อม่วงยกมือขึ้นกุมแก้มตัวเองก่อนจะหลุดยิ้มออกมา พอเห็นแบบนั้นผมจึงรั้งร่างโปร่งมากอดเอาไว้ เจ้าตัวซบหน้าลงกับไหล่ผมอยู่อย่างนั้น มีความสุขจัง การที่ผมบอกว่ารักเขามันก็แปลว่าผมมั่นใจแล้วว่าจะใช้คำว่ารักกับเขาได้ ผมรักช่อม่วงจริงๆ และคิดว่าเขาก็คงเป็นแบบเดียวกันกับผม

   “ดั้นเมฆ”

   “หืม....”

   “เราก็....รักดั้นเมฆเหมือนกันนะ”


   ตึกตัก

   เพิ่งเข้าใจคำว่าหัวใจพองโตก็วันนี้แหละ

   มันรู้สึกดีจริงๆ

   “งั้น....ก็รักกันไปนานๆ ละกันนะครับ”

   “....อื้ม”











TBC.

สวัสดีค่าชาลมาส่งมาสคอตแล้ว เขาบอกรักกันด้วย งานโรงเรียนแบบนี้มันทำให้นึกถึงช่วงมัธยมฯ เลย ตอนต่อไปจะเป็นยังไงรอติดตามน้า

สามารถติดต่อข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Re: M A S C O T บทที่ 18 [ 30 / 10 / 2020 ] หน้า 1
«ตอบ #29 เมื่อ30-10-2020 20:36:54 »

บทที่ 18 ผิดตรงที่ไม่ถูกใจ




   [บันทึกพิเศษ : ช่อม่วง]

   

   อ่านหนังสือไม่ค่อยเข้าหัวเลยแฮะ

   สงสัยต้องต้มกินแบบที่ดั้นเมฆเคยบอกเอาไว้

   ผมนั่งมองชีทบนโต๊ะด้วยความรู้สึกที่ปวดขมับ หรือเพราะว่าอ่านเยอะเกินไปนะ ก็อาจจะใช่ ผมนั่งอ่านหนังสือมาค่อนวันแล้ว คงถึงเวลาต้องพักแล้วล่ะ เหลือสอบอีกสองวิชาของวันพรุ่งนี้ก็จะปิดเทอมแล้วครับ มีเวลาให้หายใจหายคอพักใหญ่ก่อนจะไปเรียนพิเศษช่วงปิดเทอม ผมต้องพร้อมมากพอสำหรับการสอบเข้าคณะแพทย์ฯ และผมคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้นะเพราะว่ากำลังใจที่มีอยู่มันถือว่าดีเอามากๆ เลย

   พูดแล้วก็คิดถึงเขาจัง

   ตอนนี้เกือบ 5 โมงแล้วครับ ช่วงก่อนสอบเราติวกันทุกวัน มีวันนี้นี่แหละที่แยกกันอ่านหนังสือ ผมชอบเวลาได้ติวกับดั้นเมฆมากเลย ชอบเวลาที่ได้อธิบายให้เขาฟัง สีหน้าเจ้าตัวดูตลกเวลาไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด เวลาที่เขางอแงแล้วโยนชีททิ้งนั่นก็น่าเอ็นดูยังไงไม่รู้ แต่ถึงมันจะน่ารักแค่ไหนผมก็ตีเขาไปนะเพราะว่าหนังสือหรือชีทมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรโยนเล่นน่ะ พอเป็นแบบนั้นแล้วกระต่ายเด๋อก็สงบเสงี่ยมนั่งหูลู่ทันทีเลย

   ใจช่อม่วงบางไปหมดแล้ว

   จากวันงานโรงเรียนก็ผ่านมา 2 อาทิตย์กว่าแล้วนะครับ มันเป็นช่วงที่ผมรู้สึกได้ว่าดั้นเมฆฮ็อตมาก มีรุ่นน้องเอาขนมมาให้เขาแทบทุกวันเลย ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าตัวไม่ได้กินขนมพวกนั้นหรอก มีแต่ผมนี่แหละที่กิน เอาจริงๆ ผมค่อนข้างหึงเขามากเลยนะ นั่นแฟนทั้งคนอะ จะไม่ให้หึงก็ยังไงอยู่ เด๋อเมฆชอบใจไม่น้อยเลยล่ะที่เห็นผมหึงจนประสาทแดก แต่เอาเถอะ มันไม่ได้มีแค่ผมที่หึงเขาอยู่ฝ่ายเดียว

   เขาก็หึงตัวเองอยู่เหมือนกัน

   เวลาที่ผมไปร้าน MASCOT แล้วเล่าโน่นเล่านี่ให้คุณกระต่ายฟัง เขาก็ดูปกตินะ ไม่มีปัญหา แต่พอเอาเรื่องคุณกระต่ายมาเล่าให้ดั้นเมฆฟังเท่านั้นแหละ เขาหึงจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด ยิ่งถ้าผมบอกว่าคุณกระต่ายน่ารักนะ คนเด๋อจะโวยวายขึ้นมาทันที บ๊องจริงๆ เชียว ไม่รู้เลยครับว่าเมื่อไหร่ที่ดั้นเมฆจะบอกกับผมว่าตัวเองคือคนที่สวมชุดมาสคอตไวท์บันนี่ เนี่ยะ ถ้าเขาบอกผม เขาน่าจะสบายใจมากขึ้นรึเปล่า

   อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาหึงตัวเองแบบนี้

   โครกคราก

   ถ้าท้องจะร้องดังขนาดนี้น่ะนะ

   ผมวางปากกาก่อนจะเดินออกมาจากห้องตัวเอง น้าชัชทำสปาเก็ตตี้ไว้ให้แล้วครับแต่เขาออกไปทำธุระข้างนอก อีกสักพักก็คงกลับ ผมหยิบสปาเก็ตตี้เข้าไมโครเวฟเพื่ออุ่น ได้ยินเสียงประตูนอกบ้านแว่วเข้ามา น้าชัชกลับมาแล้วงั้นเหรอ ไวเหมือนกันนะเนี่ย งั้นเดี๋ยวผมอุ่นสปาเก็ตตี้เพิ่มดีกว่าเผื่อเขาจะทานด้วย พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินไปหยิบจานอีกใบทันที เห็นเงาสะท้อนจากด้านหลังทำให้ผมหันกลับไปมอง

   ไม่ใช่น้าชัชว่ะ

   “พะ....พ่อ”

   “ยังจำได้อยู่สินะว่าฉันเป็นพ่อ”

   ผมวางจานลงก่อนจะมองเขานิ่งๆ “พ่อมาหาช่อ มีอะไรรึเปล่าครับ”

   “มีสิ” มือหนากระชากคอเสื้อผม “แกทำเรื่องทุเรศอะไรเอาไว้ล่ะ”

   “ช่อไม่ได้ทำอะไรนี่ครับ”

   “งั้นเหรอ”

   เพี้ยะ

   หน้าผมสะบัดไปตามแรงตบก่อนจะสัมผัสได้ถึงแรงกระชากหัว “พ่อ ช่อเจ็บ”

   “เจ็บสิดี แกจะได้จำไง” เขาเอ่ยก่อนจะดันให้หน้าผมแนบกับผนัง “ฉันไม่น่าปล่อยแกไว้กับไอ้ชัชเลย เพราะแกอยู่กับมัน แกถึงได้เป็นแบบนี้ ชอบมากสินะผู้ชายน่ะ”

   “นิดาบอกพ่อแล้วสินะครับ”

   “ใช่ ถ้าน้องดาไม่บอกฉัน ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีลูกชั่วแบบนี้น่ะ”

   ลูกชั่ว....อย่างนั้นเหรอ

   ผมยังไม่ทันทำอะไรเลย ทำไมอะ แค่ผมชอบผู้ชายเท่านั้นเอง มันผิดมากเลยเหรอ ทำไมพ่อต้องมาทำแบบนี้กับผม หัวใจผมเจ็บมากกว่าหน้าที่เขาตบอีก มันมีความไม่เข้าใจเต็มไปหมด ผมควรจัดการกับความรู้สึกตัวเองในตอนนี้ยังไงดี ทำไมเรื่องแย่ๆ แบบนี้ต้องเกิดขึ้นด้วย

   ผมไม่เข้าใจเลย

   “ปล่อยช่อ”

   “แกกล้าสั่งฉันงั้นเหรอไอ้ช่อ” พ่อกดหัวผมมากกว่าเดิม “อยากโดนดีใช่ไหม ห้ะ!!!!”

   “ช่อไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ทำไมพ่อต้องทำแบบนี้กับช่อด้วย”

   “แกอย่ามาพูดว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ผิดนะ” เขาตวาดใส่ก่อนจะจับผมให้หันกลับไปเผชิญหน้า “แกผิดตั้งแต่เป็นสาเหตุให้ช้องนางตายแล้ว ถ้าไม่มีแก ผู้หญิงที่ฉันรักก็คงไม่ตายหรอก!!!!”

   “....ฮึกกก....งั้นพ่อจะทำให้ช่อเกิดมาทำไมล่ะ” ผมเถียงกลับไปทั้งน้ำตา เขาทำให้ผมเกิดมา มันเป็นความผิดของผมเหรอ พอแม่จากไปเขาก็มีครอบครัวใหม่ ถ้าเขารักแม่จริงๆ ทำไมเขาถึงต้องมีครอบครัวใหม่ด้วยล่ะ

   ฮึกกก....คนที่เขารักที่สุดก็คือตัวเองนั่นแหละ

   เพี้ยะ

   “ฉันไม่ได้อยากให้แกเกิดมาหรอกนะไอ้ช่อ” มือหนาจิกหัวผมอย่างแรง “พอแกเกิดมาช้องนางก็เริ่มอ่อนแอลงจนจากฉันไป พอแกโตมาก็เป็นพวกวิปริตอีก”

   “ช่อไม่ได้วิปริต!!!! น้าชัชเลี้ยงช่อมาอย่างดีที่สุด เขาทำหน้าที่แทนพ่อกับแม่โดยไม่บ่นสักคำ แล้วพ่อล่ะ ตลอดเวลาพ่อทำอะไรอยู่ พ่อให้ช่อแค่เงิน พ่อไม่เคยเลี้ยงช่อด้วยซ้ำ สายตาของพ่อที่มองช่อมันมีแต่ความเกลียดชัง”

   “ก็ฉันเกลียดแก แกทำให้ช้องนางตาย!!!!”

   “แม่ร่างกายอ่อนแอลงตอนที่มีช่อ เพราะแม่ให้ความสุขพ่อไม่ได้ ฮึกกกก....พ่อถึงต้องไปหาความสุขเอานอกบ้าน พ่อไม่เคยรู้หรอกว่าแม่เสียใจแค่ไหนที่พ่อทำแบบนั้น ที่แม่จากไปก็เพราะเขาตรอมใจที่พ่อเป็นแบบนี้นั่นแหละ!!!!”

   “ไอ้ช่อ....” พ่อตบผมอีกครั้งก่อนจะผลักให้ล้มลงไปกับพื้นแล้วเตะเข้ามาที่สีข้างอีกที ฮึกกกก....ผมเจ็บ ทำไมผมต้องถูกทำร้ายด้วย

   “ฮืออออ....อออ ช่อเจ็บ”

   “ไอ้ลูกชั่ว”

   ผลั่ก ผลั่ก ผลั่ก

   ฮึกกกก....ผมยกมือขึ้นผลักขาพ่อก่อนจะรีบพาตัวเองหนีออกมาจากตรงนั้น เจ็บไปทั้งตัวเลย ใจคอเขาทำด้วยอะไรกัน ผมวิ่งออกมานอกบ้านก็พบกับรถของน้าชัชที่ขับมาจอดพอดี ร่างสูงของเพื่อนที่น้าชัชพามาบ้านบ่อยๆ ลงมาจากรถก่อนจะรีบเข้ามาประคองผมเอาไว้ ฮืออออ....น้าชัชกลับมาแล้ว ผมไม่ต้องทนเจ็บอีกแล้ว

   “เกิดอะไรขึ้นช่อม่วง” น้าชัชรีบปรี่เข้ามาดูผม “รอยพวกนี้มันคืออะไร”

   “ฮึกกก....ก พ่อทำร้ายช่อ”

   “ไอ้ชัช”

   “พี่วัตร” ร่างโปร่งหันไปมองคนที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้าน “นี่มันเรื่องอะไรกันพี่ ทำไมต้องทำร้ายช่อม่วงขนาดนี้ นี่ลูกพี่นะ”

   “เพราะมันเป็นลูกกูไง ในเมื่อมันไม่รักดี กูจะทำอะไรกับมันก็ได้”

   “ไม่!!!! ช่อม่วงไม่ใช่สิ่งของที่พี่จะทำอะไรได้ตามใจนะ ชัชเลี้ยงหลานมาชัชยังไม่เคยตีหลานสักครั้ง ชัชยังสอนหลานดีดีได้เลย ทำไมพี่ถึงพูดกับลูกดีดีไม่ได้ล่ะ”

   “มึงไม่ต้องมาเสือกเลยไอ้ชัช เพราะลูกกูอยู่กับมึงนี่แหละ มันถึงได้ผิดเพศเหมือนมึงน่ะ”

   “พี่ควรเคารพในสิ่งที่คนอื่นเป็นนะครับพี่วัตร” น้าชัชผ่อนลมหายใจออกมา “ไหนๆ ก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นแล้ว ชัชอยากจะบอกพี่ว่าไม่ต้องส่งเงินมาให้ช่อม่วงแล้วนะครับ ต่อจากนี้ชีวิตของเขา ชัชจะดูแลเองทุกอย่าง”

   “น้ำหน้าอย่างมึงน่ะเหรอไอ้ชัช แค่เงินเดือนพนักงานกระจอกๆ นั่นจะมีปัญญาส่งมันเรียนได้ยังไง แล้วอีกอย่าง....ถ้ามึงยังจำได้ คนที่ฝากให้มึงทำงานที่นั่นคือกูนะ”

   “ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมาทั้งหมดครับ ชัชจะลาออกจากที่นั่นและไปทำงานที่อื่น อะไรก็ตามที่พี่วัตรเคยช่วยเหลือชัชไว้ ถ้ามีโอกาสได้ตอบแทนเมื่อไหร่ ชัชจะคืนให้ทั้งหมด ส่วนเรื่องของช่อม่วง ชัชก็ขอบคุณที่พี่ส่งเสียเขามาตลอดแต่หลังจากนี้ไม่ต้องแล้วครับ ชัชอยากให้ช่อม่วงได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียนและมีชีวิตในแบบที่ตัวเองตั้งใจ”

   “ปีกกล้าขาแข็งดีนะมึงน่ะ” พ่อมองคนที่ประคองผมอยู่ “ได้ผัวรวยน่าดูสิท่าถึงได้กล้าพูดอะไรแบบนี้ออกมา”

   “หยาบคายจังเลยนะครับคุณ” ร่างสูงมองอย่างหงุดหงิด “ผมไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณนะครับ”

   “นี่มึง....”

   “พีเจมาร์เก็ตติ้งของคุณกำลังจะทำสัญญาซื้อขายกับเพิร์กซึ่งเป็นบริษัทลูกของผม คุณลองคิดเอานะคุณวัตร ถ้าผมโทรไปบอกเลขาฯ ผมให้ลอยแพบริษัทของคุณซะ มันจะเสียหายสักเท่าไหร่ อืม....จะว่าไปผมลืมแนะนำตัวเอง ผมชื่อเชน เป็นประธานบริษัทเอชทีซีซึ่งคุณน่าจะรู้จักดี”

   สิ้นเสียงเรียบเอ่ย หน้าของพ่อซีดไปในทันที จากสิ่งที่ผมได้ยินก็คือคนที่ประคองผมอยู่ในตอนนี้มีอำนาจมากในระดับนึงเลยล่ะ คำพูดของเขาทำให้พ่อทำหน้าแบบนั้นออกมาได้ด้วย ตอนที่น้าชัชเคยพาผู้ชายคนนี้มาบ้าน ผมก็นึกว่าจะเป็นแค่พนักงานในบริษัทเดียวกันซะอีก แต่ที่ไหนได้....เขาเป็นถึงประธานบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านโลจิสติกส์อันดับต้นๆ ของเอเชีย

   ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

   “นี่มึงคิดจะขู่กูเหรอ”

   “เปล่าหนิครับ ผมแค่พูดให้คุณฟังเพื่อเป็นการประกอบการตัดสินใจในสิ่งที่คุณกำลังจะทำเท่านั้น เอาจริงๆ การที่คุณทำร้ายร่างกายลูกชายตัวเองมันถือว่าผิดกฎหมายนะครับ มันเกินคำว่าสั่งสอนแล้วเพราะเขาเลือดตกยางออกแบบนี้”

   “มึงมันแค่คนนอก อย่ามายุ่งเรื่องในครอบครัวกู”

   “งั้นในฐานะที่ชัชเป็นน้าของช่อม่วงแล้วก็เลี้ยงเขามาตลอด ชัชขอให้พี่วัตรเลิกยุ่งกับเขา ตัดพ่อลูกกันไปเลยก็ได้เพราะยังไงทุกวันนี้ช่อม่วงคงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีพ่ออยู่แล้ว”

   “ไอ้ชัช”

   “พี่จะให้เรื่องนี้ถึงโรงพักก็ได้นะครับ ถึงศาลไปเลยก็ได้เรื่องขอสิทธิ์เลี้ยงดูน่ะ แต่ถ้าถามช่อม่วงแล้ว ยังไงเขาก็ต้องอยากอยู่กับชัชมากกว่า” ร่างโปร่งมองอย่างจริงจัง “ชัชจะไม่ให้พี่ทำร้ายเขาอีกแล้ว”

   “หึ....มันไม่จบแค่นี้หรอกนะไอ้ชัช” พ่อมองน้าชัชอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะจ้องผมตาเขม็ง “แกอย่าคิดว่าชีวิตจะมีความสุขเลย รวมถึงแฟนของแกด้วย”

   ผมมองพ่อที่กำลังจะขึ้นรถ “พ่อจะทำอะไร”

   “เดี๋ยวแกก็รู้” สิ้นเสียงเขาก็ขับรถออกไปทันที รู้สึกใจไม่ดีเลยที่เขาพูดแบบนั้นออกมา ทำให้ผมเจ็บคนเดียวยังไม่สาแก่ใจรึไงนะ

   ใจร้ายที่สุด

   น้าชัชเข้ามาช่วยประคองก่อนจะพาผมเข้าบ้าน เจ็บตัวน่ะเจ็บ เจ็บใจก็เจ็บเหมือนกัน ผมทำอะไรไม่ได้เลย แล้วตอนนี้กำลังจะทำให้คนที่ตัวเองรักลำบากอีก เรื่องนี้ผมต้องบอกดั้นเมฆ อย่างน้อยเจ้าตัวต้องรับรู้เอาไว้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น พ่อเอาจริงแน่กับสิ่งที่พูด ทุกอย่างไม่ควรเป็นแบบนี้เลย แต่ละคำที่ออกมาจากปากเขาทำให้ผมเสียใจจริงๆ เขาบอกว่าผมไม่ควรเกิดมา เขาเรียกผมว่าลูกชั่ว เขาพูดว่าผมวิปริต ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

   ผิดตรงไม่ถูกใจเขาเท่านั้นเอง

   “ไปหาหมอไหมช่อ ไหวรึเปล่า”

   “ช่อ....ไม่เป็นไรแล้วครับ มันเจ็บแต่เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”

   “เดี๋ยวน้าทำแผลให้นะ” ร่างสูงเดินไปหยิบกล่องยามา “พ่อเราทำร้ายร่างกายบ่อยไหม”

   “ก็ตั้งแต่ที่ช่อบอกว่าจะเรียนหมอนั่นแหละครับ เขาไม่อยากให้ช่อเรียน”

   “แบบนี้นี่เอง” น้าเชนเริ่มทำแผลให้ผม “ไม่เป็นไรนะ หลังจากนี้น้ากับน้าชัชจะไม่ให้พ่อเรามาทำอะไรแบบนี้ได้อีก”

   น้าชัชลูบหัวผมเบาๆ “ไม่ต้องกลัวนะช่อ เรื่องอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ น้าจะจัดการเอง ช่อทำหน้าที่ของช่อให้ดีที่สุดเท่านั้นพอ”

   “ครับ” ผมรับคำพลางยิ้มบางๆ ให้ “ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกๆ อย่างเลย”

   “มันเป็นหน้าที่ของน้าอยู่แล้ว น้ารักช่อมากนะ”

   “ช่อก็รักน้าชัชเหมือนกันครับ” ผมขยับเข้าไปกอดเขาเอาไว้ นึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่มีน้าชัช ผมจะเป็นยังไงบ้าง

   ผมต้องตั้งใจทำทุกอย่างให้มันดีที่สุด อย่างน้อยพ่อจะต้องมาดูถูกผมไม่ได้อีก ผมจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าสิ่งที่ผมเลือกมันดีแล้วไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม อย่างเดียวที่ผมกังวลใจที่สุดก็คือเรื่องของดั้นเมฆนี่แหละ อยากไปหาเขาจัง วันนี้เป็นวันหยุดของเขาด้วย พี่อินให้หยุดเพราะเป็นช่วงสอบ ผมขอน้าชัชไปหาดั้นเมฆดีกว่า อย่างน้อยเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้ผมก็อยากเล่าให้เขาฟังกับตัวจริงๆ

   ถ้าได้พูดออกไปแล้ว....ผมอาจจะรู้สึกดีขึ้นก็ได้

   “น้าชัชครับ....ช่อขอไปหาเมฆนะครับ”

   

   [จบบันทึกพิเศษ : ช่อม่วง]

   

   การที่ได้เห็นช่อม่วงเจ็บ

   ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกเจ็บยิ่งกว่า

   ผมนั่งมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ สายตาของเขาจ้องมองแม่น้ำที่กำลังไหลผ่านเบื้องหน้า เราสองคนอยู่แถวใต้สะพานแขวนข้ามแม่น้ำซึ่งไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ ผมค่อนข้างตกใจที่ได้เห็นใบหน้าหวานมีรอยช้ำอีกแล้ว มันเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิดเลยที่เขามาหาผมที่ MASCOT น่ะ สาเหตุก็เหมือนกันเลยครับ เขาโดนพ่อทำร้ายร่างกายเพราะรู้ว่าเจ้าตัวมีแฟนเป็นผู้ชาย ส่วนตัวผมแล้วมันไม่น่าจะต้องรุนแรงกันถึงขนาดนี้เลย

   เกินไปอะ

   ไม่รู้เลยว่าความรู้สึกข้างในของช่อม่วงจะเป็นยังไงบ้าง ตอนที่เขาเล่าให้ฟังผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากกุมมือเขาไว้นิ่งๆ อย่างน้อยให้เขารู้สึกว่าเขายังมีผมอยู่ เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่าน้าชัชบอกพ่อของช่อไปว่าให้ตัดขาดกันไปเลย แล้วหลังจากนี้เขาจะดูแลและรับผิดชอบชีวิตของช่อม่วงเอง ยังถือว่าเป็นโชคดีของแฟนผมที่มีน้าชัชอยู่ ไม่งั้นเขาต้องแย่มากแน่ๆ อีกอย่างคือช่อบอกผมว่าพ่อเขาจะไม่ยอมหยุดอยู่แค่นี้

   หวั่นใจเหมือนกันนะ

   พ่อช่อคงรู้แล้วแหละว่าเขาคบกับผม เรื่องนี้ผมควรบอกพี่อินเอาไว้เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมาจะได้พอหาทางแก้ได้บ้าง ตอนนี้คงต้องคอยระวังตัวเอาไว้ให้ดีเพราะว่าอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ห่วงก็แต่ช่อม่วงนี่แหละ ผมไม่อยากให้เขารู้สึกเป็นทุกข์แบบนี้เลย อยากเห็นเขายิ้มมากกว่าทำหน้าเศร้าอะ ดั้นเมฆควรจะทำอะไรดีนะ มีอะไรที่ผมพอทำได้บ้าง

   คิดไม่ออกเลยว่ะ

   “ช่อม่วงครับ”

   “หืม....”

   “เล่นเกมจ้องตากัน”

   “อารมณ์ไหนเนี่ยะ”

   “เอาน่านะ เล่นกัน” ผมหันหน้าตรงเข้าหาเขา “ใครกระพริบตาหรือหลุดยิ้มก่อน แพ้นะ เอาเลยนะครับ สาม....สอง....หนึ่ง”

   “....” คนตรงหน้ามองผมนิ่งๆ เห็นแบบนี้แล้วเขินเหมือนกันนะเนี่ย แต่เชื่อได้เลยว่าเกมนี้คนแพ้จะไม่ใช่ดั้นเมฆแน่นอน

   ผมทำเป็นพองแก้มให้ป่องขึ้น “....”

   “....” ช่อม่วงทำหน้าเหวอทันที ตลกว่ะ อยากขำเหมือนกันแต่ก็ต้องอดทนไว้ก่อน บอกแล้วไงครับว่าเกมนี้ผมจะไม่แพ้เด็ดขาด พอคิดได้แบบนั้นผมก็ทำตาเหล่ให้เขามองทันที

   “....”

   “ดั้นเมฆ” ร่างโปร่งหลุดขำออกมาพลางตีแขนผม “ขี้โกง”

   “ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ เมฆชนะเฉยเลยอะ”

   “เมฆโกงเรา เมฆไม่บอกว่าทำหน้าอย่างอื่นได้ด้วย” เจ้าตัวทำหน้ามุ่ยใส่ผม น่ารักจนอยากจะบีบแก้มจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเขาเจ็บอยู่ล่ะก็นะ

   “โอ๋ๆ น้า” ผมยิ้มแฉ่งก่อนจะเขี่ยผมที่ปรกหน้าช่อม่วงออก “เมฆดีใจนะที่ช่อยิ้มได้น่ะ ถึงมันจะแค่แป๊บเดียวแต่อย่างน้อยมันก็คงทำให้ช่อดีขึ้น”

   “เอาจริงๆ แค่เราได้มานั่งเล่าเรื่องทุกอย่างให้เมฆฟัง เราก็รู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ” มือเรียวเลื่อนมากุมมือผม “ขอบใจนะที่ทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อเรา”

   “เมฆต้องทำแบบนั้นอยู่แล้วครับ อะไรก็ตามที่ทำให้ช่อมีความสุขหรือยิ้มได้ เมฆจะทำ” ผมยกมือขึ้นโอบไหล่เขาพลางจับหัวช่อม่วงมาพิงไหล่ตัวเอง “ในวันที่ช่อเหนื่อยหรือหมดแรง เมฆจะเป็นที่พักพิงให้ช่อเอง”

   “เราโชคดีจริงๆ ที่มีดั้นเมฆ”

   “เมฆจะทำให้ช่อรู้สึกว่าตัวเองโชคดีทุกวันเลย” ผมยิ้มหวานให้เขาพลางลูบหัวเจ้าตัวอยู่อย่างนั้น

   เรื่องครอบครัวมันเป็นเรื่องซีเรียสมากและผมคิดว่านี่แหละที่อาจจะเป็นอุปสรรคครั้งใหญ่และเป็นอุปสรรคครั้งแรกในความรักของเราด้วย แต่ผมเชื่อว่าเดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะดีเอง เราต้องคิดในแง่ดีไว้ก่อนครับ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการมีสติ เพราะถ้ามีสติก็จะหาทางแก้ไขปัญหาที่จะตามมาได้ไม่ยาก อีกอย่างคือพรุ่งนี้เป็นวันสอบวันสุดท้าย เราควรเคลียร์เรื่องวุ่นวายออกจากหัวดีกว่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกแต่มันต้องทำให้ได้ สอบเสร็จเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที

   ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น....มันไม่คณามือกระต่ายกากอย่างผมหรอก

   ก็มาดิครับ









TBC.

สวัสดีค่า ชาลมาส่งมาสคอตแล้วน้า สำหรับบทนี้ก็คือสงสารช่อม่วงเลยนะ นี่เป็นดราม่าที่หนักสุดแล้วในเรื่องนี้นะคะ เป็นเรื่องดราม่าของครอบครัว รอดูกันต่อไปว่าทั้งดั้นเมฆและช่อม่วงจะผ่านช่วงเวลานี้ไปยังไง รอติดตามค้าบ

สามารถติดตามข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด