☁▧☀▧☁ คิด(ไม่)ถึง .. คะนึง(ไม่)หา ☁▨☀▨☁ ๑๘/๖/๖๔ ‡ บทที่ ๓๕ {จบ} หน้า ๑๔
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☁▧☀▧☁ คิด(ไม่)ถึง .. คะนึง(ไม่)หา ☁▨☀▨☁ ๑๘/๖/๖๔ ‡ บทที่ ๓๕ {จบ} หน้า ๑๔  (อ่าน 35166 ครั้ง)

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
ชาตินี้คุณณิชเขาแข็งแกร่งขึ้นแล้วนะ

ออฟไลน์ :นางสาวผอบ:

  • ความเคลื่อนไหวในเงามืด
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +649/-4
บทที่ ๑๘ (ครึ่งหลัง)


หลังจากได้ยินเสียงปรบมือให้การแสดงชุดสุดท้ายที่เพิ่งจบลงไป อนันต์ดึงความสนใจกลับมาอยู่ปัจจุบันอีกครั้ง คุณชายปราณที่คนอื่นเรียกกันพามารดาเดินไปยังโต๊ะจัดเลี้ยง ซึ่งจัดวางเค้กก้อนโตและตกแต่งไว้อย่างสวยงาม

ทุกคนยืนล้อมกันเพื่อรอวินาทีเป่าเทียนบนเค้กของเจ้าของวันคล้ายวันเกิด คุณหญิงช่อทิพย์ยิ้มกว้างเมื่อทุกคนร้องเพลงแฮปปีเบิร์ดเดย์ให้ ก่อนจะก้มลงเป่าเค้กจนเทียนที่ปักไว้ดับจนหมด จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงท้ายของงาน หมออนันต์ยังคงมองตามคุณชายปราณไม่ละสายตา ลอบยิ้มไปกับท่าทีนอบน้อมที่อีกฝ่ายมีให้แก่ผู้ใหญ่แต่ละคน มารยาทงดงามเรียบร้อยเหมือนชาติก่อนไม่มีผิด

“หมออนันต์อย่าเพิ่งกลับนะครับ รอทักทายน้องสาวกับน้องชายผมก่อน เมื่อครู่มัวแต่คุยกับคุณหญิงแม่เลยยังไม่ได้คุยกับชายปราณเลย” คุณชายปุณบอกก่อนจะเดินนำเพื่อนออกมาตรงระเบียง มีแก้วไวน์ทรงสูงที่ข้างในบรรจุของเหลวสีแดงเข้มติดมือมาด้วย

“คุณชายเรียกผมอนันต์เฉยๆ ก็ได้ครับ เรียกหมอตลอดแบบนี้เหมือนผมยังทำงานอยู่เลย” อนันต์บอกเพื่อนคนใหม่ของตนพร้อมรอยยิ้ม อีกฝ่ายหัวเราะเพราะเข้าใจดี หากใครมาเรียกเขาว่าคุณชายหมอตลอดก็คงไม่ยินดีเท่าไหร่นัก

“ได้ครับ งั้นคุณอนันต์อย่าเพิ่งไปไหนนะครับ รอเจอน้องของผมก่อน” คุณชายปุณพูดซ้ำอีกครั้ง ทวนประโยคที่ตนจะพูดอีก ทำเอาคนฟังถึงกับยิ้มขำ

“ยินดีครับ ไหนๆ คุณชายก็เป็นเพื่อนผม คงต้องรู้จักครอบครัวของคุณชายให้ครบ” อนันต์ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการให้เกียรติอีกฝ่าย คนฟังหัวเราะร่าก่อนจะชวนคุยเรื่องอื่นต่อ

หลังจากนั้นไม่นานหางตาคนที่กำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศก็พลันไปเห็นน้องสาวของตนกำลังเดินมา หญิงรตีมาหาเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม คนที่เดินมาคู่กันคือชายปราณที่ตอนนี้ตาแดงก่ำคงเพราะหาวไปหลายวอดแล้ว

“มานี่เลยทั้งคู่ พี่จะแนะนำเพื่อนพี่ให้รู้จัก นี่อนันต์ เพื่อนใหม่ของพี่เอง ส่วนนี่หญิงรตีเป็นน้องสาวคนเล็กครับ และชายปราณที่ผมเคยพูดถึงก่อนหน้านี้”

ชายปุณแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จัก อนันต์ยื่นมือออกไปทักทายแบบสากล หวังใช้โอกาสนี้สัมผัสมือเรียวของยอดดวงใจ หญิงรตียิ้มสวยก่อนจะยื่นมือมาจับทักทาย อนันต์ยิ้มให้หญิงสาวก่อนจะเลยมาที่ชายปราณ ซึ่งตอนนี้ดูสีหน้าเหนื่อยอ่อนมากกว่าจะสนุกสนานกับงานกลางคืนแบบนี้

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

ทันทีที่มือสัมผัสกันความอุ่นวาบก็แล่นริ้วขึ้นมาจากปลายมือจนคุณชายปราณอึ้งไป หมออนันต์กล่าวทักทายด้วยเสียงทุ้มนุ่ม มือเรียวที่อยู่ในอุ้งมือใหญ่อบอุ่นขึ้นทันที

ความอบอุ่นแล่นริ้วเข้าเกาะกุมใจ คุณชายปราณเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายให้เต็มๆ ตา รอยยิ้มเป็นมิตรที่อีกฝ่ายมอบให้ทำเขายิ้มตามได้ไม่ยาก รวมไปถึงประกายตาที่ดูเจ้าตัวมีความในใจจะสื่อถึงเขา เพียงแต่เขาไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด เขาคุ้นหน้าอีกฝ่ายอย่างประหลาด ทั้งที่มั่นใจว่าตนไม่เคยพบเจอคนคนนี้เป็นแน่ แต่กลับทำให้เขาคุ้นเคยราวกับความจริงใจที่อีกฝ่ายมอบให้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้พบ คนทั้งสองสอดประสานสายตากันอยู่นานโดยไม่รู้ตัว จนชายปุณต้องกระแอมคนทั้งสองจึงจะปล่อยมือจากกัน

“เราไปหามุมนั่งกันดีไหมคะ หญิงเมื่อยขาจะแย่แล้วพี่ชายใหญ่” ท้ายประโยคหญิงรตีกระซิบบอกพี่ชายของเธอ ด้วยกิริยาที่เป็นถึงหม่อมฯ ทำให้ต้องสำรวมกิริยาไว้ ทั้งที่ใจจริงอยากถอดรองเท้าส้นสูงและนั่งลงเดี๋ยวนั้นเลย

“ได้สิ”

“แต่ผมขอตัวดีกว่า ง่วงจะแย่ แต่ไม่รู้จะออกไปยังไงนี่สิ คุณหญิงป้าจ้องจะเข้ามาคุยตลอดเลย” ชายปราณบอกพลางทำหน้าเบื่อหน่าย คุณหญิงชดช้อยต้องการจะจับตนให้คู่กับหลานสาวอย่างคุณปาริมาให้ได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนาสักเท่าไหร่

“ถ้าอย่างนั้นผมขอไปเข้าห้องน้ำสักครู่ รบกวนคุณชายปราณนำทางไปได้ไหมครับ เผื่อคุณชายจะได้ออกจากงานได้โดยไม่น่าเกลียดนัก”

อนันต์เสนอทางเลือกให้ซึ่งอีกฝ่ายก็ตกลงในทันที ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยิ้มกริ่มที่ตนได้ใกล้ชิดอีกฝ่ายแบบสองต่อสองสักที แม้จะเป็นเวลาแค่เพียงสั้นๆ ก็ตาม

ชายปราณเดินนำแขกของพี่ชายออกจากห้องจัดเลี้ยง คุณหญิงชดช้อยทำท่าจะเข้ามาหา แต่เขาปฏิเสธอย่างมีมารยาทว่ากำลังดูแลแขกของพี่ชายอยู่ หญิงสูงวัยจึงยอมปล่อยไปแต่เขาคิดว่าอีกฝ่ายคนไปไล่บี้กับพี่ชายตนแน่ๆ แต่พี่ชายใหญ่คงมีวิธีรับมือที่ดีกว่าเขาแน่นอน

“ดูคุณชายจะเสน่ห์แรงนะครับ ผมเห็นพวกคุณหญิงคุณนายทั้งหลายมองไม่วางตาเลย” อนันต์ชวนคุยเมื่อเห็นว่าบรรยากาศระหว่างเขาสองคนเงียบเกินไป คุณชายปราณจึงหันมาอมยิ้มให้ก่อนจะตอบ

“คุณอนันต์พูดเกินไปครับ พี่ชายใหญ่ยังมากกว่าผมอีก รายนั้นชอบเล่นหูเล่นตาด้วย ถูกใจคนสูงวัยอยู่มากจนอยากจับเป็นลูกเขย”

“เช่นนั้น แสดงว่าทั้งคุณชายและคุณชายปุณยังไม่มีใครในใจใช่ไหมครับ” อนันต์ถามพลางใจที่รออย่างจดจ่อว่าอีกฝ่ายจะให้คำตอบเช่นไร

“ตัวผมไม่มีหรอกครับ แค่ทำงานก็ไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปหาผู้หญิงแล้ว ส่วนพี่ชายใหญ่นั้น อันนี้ไม่ทราบครับ คุณอนันต์คงต้องไปถามพี่ชายใหญ่เองแล้วล่ะ” คุณชายปราณกล่าวในเรื่องของตนที่ยินดีตอบให้อีกฝ่ายรู้ ส่วนเรื่องส่วนตัวของพี่ชายเขาไม่สามารถพูดได้เพราะมันคือเรื่องของพี่ชายเขา

อนันต์ลอบยิ้ม ใจพองฟูคับอกเมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หมายปองผู้ใดอยู่ แสดงว่าชาตินี้เชามีหวังแล้ว ไอ้หาญเอ๋ย...ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการรอคอยต่อไปอีกแล้ว จากนี้ไปมันจะทำให้อีกฝ่ายเห็นว่าอนันต์คนนี้มีตัวตน และอยากจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณชายปราณจนชั่วชีวิต

“สุดทางเดินตรงนี้ไปก็จะเป็นห้องน้ำแล้วครับ เชิญคุณอนันต์ตามสบาย ผมคงต้องขอตัวก่อน” เขาบอกก่อนจะผายมือไปทางห้องน้ำตามที่บอก อนันต์กล่าวขอบคุณ แต่ก่อนไปไม่วายทิ้งคำถามไว้ เพื่อชวนต่อยอดในการพูดคุยกับอีกฝ่ายไว้ด้วย

“คุณชายเล่นเปียโนเก่งมาก หากมีโอกาสผมอยากจะให้สอนผมเล่นบ้างได้หรือไม่ หรือต้องไปสมัครเรียนที่ไหนครับ”

“ไม่ต้องสมัครหรอกครับ ไว้หลังจากงานนี้คุณอนันต์แวะมาหาผมที่นี่ก็ได้ นานๆ ทีพี่ชายใหญ่จะแนะนำเพื่อนใหม่ให้รู้จัก ผมเชื่อว่าพี่ชายใหญ่จะลากคุณอนันต์มาที่วังอีกแน่นอน” เขาพูดเพราะรู้นิสัยพี่ชายตนดี อีกฝ่ายยิ้มพร้อมกล่าวขอบคุณอีกครั้ง

คุณชายปราณมองคนที่เดินไปทางห้องน้ำ เขามองตามแผ่นหลังกว้างที่กลับมีภาพซ้อนทับเป็นชายนุ่งโจงกระเบนแบบหยักรั้งสั้น ท่าทางกำยำที่คล้ายกันจนคิดว่าเป็นคนเดียวกัน เขากะพริบตาและขยี้ตาเบาๆ เพื่อมองให้ชัด ปรากฏว่าอนันต์เดินเข้าห้องน้ำตรงสุดทางเดินไปแล้ว พร้อมกับเงานั้นเลือนหายไป

สงสัยเพราะเดินทางนานยังไม่พักและเหนื่อยจนเบลอทำให้เขาตาฝาดแบบนี้ ชายปราณสะบัดหัว 2-3 ทีไล่ความมึนงงก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนไปยังห้องตนเอง เมื่อเข้ามาในห้องได้เขาก็ถอดสูทออกและเปลี่ยนมาใส่ชุดนอน ไปล้างหน้าล้างมืออีกรอบให้สบายตัวจากนั้นก็ปีนขึ้นเตียงสี่เสา ยังไม่ทันได้ปลดม่านลงเสียด้วยซ้ำความง่วงก็เข้าครอบงำแทบจะทันที

ลมเย็นๆ พัดหอบกลิ่นดอกไม้หอมเข้ามาในห้อง เขาเผลอสูดดมด้วยความผ่อนคลายก่อนใบหน้าหวานจะระบายยิ้มอ่อนๆ เขาคว้าหมอนข้างมากอดพลางซุกหน้าลงกับหมอนหนุนทั้งที่ตายังคงหลับอยู่ ท่าทางที่หามุมสบายได้แล้วทำให้ชายหนุ่มเข้าสู่ห้วงนิทราในทันที โดยไม่รู้เลยว่าลมเอื่อยๆ ที่พัดเข้ามาในห้อง ไม่ได้มีแค่กลิ่นหอมแต่หอบเอากลุ่มเงาทะมึนเข้ามาด้วย





--##--##--##--##--##--##--





ณิชยังคงคิดถึงสิ่งที่สุทินพูดทิ้งไว้เมื่อตอนเย็นว่าคนอย่างจีรัชญ์มักชอบอะไรเดิมๆ อีกฝ่ายพูดแบบนี้เพื่อสื่อความนัยอะไรหรือเปล่า จะเป็นการบอกว่าหากเขารักจีรัชญ์ที่เป็นไอ้หาญจริง ก็ต้องรู้ว่าจีรัชญ์ชอบหรือไม่ชอบอะไรอย่างนั้นเหรอ

ความคิดไม่ตกนี้ ทำให้เขามาขลุกตัวที่ร้านกาแฟติดแอร์ในเมืองได้ราวชั่วโมงแล้ว หูฟังที่ใส่ติดหูไว้กำลังฟังเพลงจากโทรศัพท์มือถือ เมนูเพลงเป็นแบบสบายๆ ที่กำลังฮิตในช่วงนี้ ซึ่งเข้ากับบรรยากาศของร้านที่ตกแต่งเน้นธรรมชาติ มีมุมสงบให้ได้ทำงานดูผ่อนคลาย เขาชักติดใจการนั่งทานกาแฟที่ร้านนี้เสียแล้วจนเกือบลืมดูเวลา มารู้สึกอีกทีก็ตอนที่ไฟของร้านเปิดสว่างแทบทุกพื้นที่ รวมไปถึงไฟริมถนนที่เปิดทำงานแล้วเช่นเดียวกัน

ชายหนุ่มต่างถิ่นลุกไปสั่งขนมเค้ก 2-3 ชิ้น เพื่อเอากลับไปฝากมิ้ง และเผื่อไว้แช่ตู้เย็นให้ตัวเองได้ทานเล่นตอนเครียดๆ ด้วย พอได้ของครับจากนั้นก็ออกจากร้านในเวลาต่อมา

ฝั่งจีรัชญ์ที่เห็นว่าตะวันตกดินไปได้ราวครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่คนที่บอกว่าออกไปธุระตั้งแต่ตอนกลางวันยังไม่กลับมา โทรหาก็ไม่รับสายพอโทรไปอีกครั้งก็ปิดเครื่องหนีไปแล้วทำเขาร้อนใจ แม้ประตูวังจะปิดไปแล้ว แต่เขาก็กำชับนายพลีว่าอย่าเพิ่งไปไหนไกล ต้องรอเปิดประตูให้ณิชเสียก่อน

“คุณมิ้งครับ” จีรัชญ์เรียกหญิงสาวที่กำลังขะมักเขม้นกับงานที่ทำ ขนาดที่ยกมาทำที่โต๊ะทานอาหารด้วยเพราะกำลังเร่งงานให้เสร็จอยู่

“คะคุณตรี”

“รุ่นพี่คุณยังไม่กลับมา ไม่ทราบเขาได้บอกไหมครับว่าหลังจากหมดธุระแล้วจะไปไหนต่อ” เขาถามออกไปในที่สุด หลังจากนับหนึ่งถึงร้อยในใจด้วยความอดทน

เขาได้รับสายจากสุทินไปเมื่อตอนเย็น สุทินบอกว่าณิชออกไปแล้ว เขาลองโทรถามซ้ำเมื่อครู่ฝ่ายนั้นก็บอกว่าณิชไม่ได้กลับมาหาตนแต่อย่างใด ยิ่งติดต่อณิชไม่ได้แบบนี้เขายิ่งเป็นห่วง กลัวอีกฝ่ายจะเป็นอันตรายไป เพราะไม่คุ้นที่ทางและทางเข้าวังก็เปลี่ยวเกินไป

“จริงด้วย! หนูลืมไปสนิทเลย แป๊บนึงนะคะ เดี๋ยวหนูโทรให้ค่ะ” มิ้งรีบหาโทรศัพท์ตนเพื่อจะได้โทรหารุ่นพี่ แต่จีรัชญ์กลับห้ามไว้

“เขาปิดเครื่องครับ ติดต่อไม่ได้”

มิ้งเริ่มใจเสียเมื่อเห็นสีหน้าของจีรัชญ์ที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ เธอทำงานจนลืมไปเลยว่าณิชยังไม่กลับ ตอนแรกคิดว่าอีกฝ่ายคงกลับมาทานข้าวเย็นด้วยกัน แต่จนป่านนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงา

“พี่มั่น ลองถามพี่มั่นไหมคะ” มิ้งเสนอความคิด เพราะมั่นคงเป็นคนเดียวที่พอจะรู้ว่าณิชอยู่ไหน

เพียงแค่เอ่ยชื่อคนถูกพูดถึงก็ปรากฏกายขึ้นมาทันที ร่างกายสูงใหญ่ดำทะมึนที่เป็นเพียงวิญญาณเลือนรางยืนอยู่ริมหน้าต่าง เหม่อมองออกไปทางสวนยางข้างวังที่เป็นทางเดียวกับถนนสายที่มุ่งสู่ถนนสายหลัก

“กำลังเดินทาง” ไอ้มั่นตอบเสียงเบา จีรัชญ์ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นสีหน้าไอ้เกลอที่ดูไม่ปกตินัก ไอ้มั่นเผลอขมวดคิ้วเมื่อเสียงเพลงที่เจ้านายมันกำลังฮัมอยู่ในคอเงียบไป มันเงี่ยหูฟังใช้พลังที่ตัวเองพอจะมีฟังความเคลื่อนไหวของณิช แต่อีกฝ่ายกลับเงียบไปแล้ว

“มีอะไร”

“ไม่มี”

“มึงอย่าโกหกกูไอ้มั่น” จีรัชญ์พูดเสียงเข้ม ดีที่แม่บ้านและป้าแจ่มออกจากห้องนี้ไปหลังจากจัดอาหารขึ้นโต๊ะเสร็จ พวกเขาจึงไม่ต้องลอบพูดกันในใจอีก

มันได้ยินเสียงแว่วของคุณปราณเข้ามาในดวงจิตอีกครั้ง ครั้งนี้มันตั้งใจฟังเพื่อหาว่าเจ้านายของตนอยู่ที่ใด หางตาเหลือบมองไอ้เพื่อนเกลอที่จ้องมันตาเขม็งเพื่อรอคำตอบ ไอ้มั่นนึกอยากแกล้งมันเหลือเกินเมื่อได้เห็นท่าทางร้อนรนแบบนี้ มันจึงถ่วงเวลาไม่ได้พูดอะไร ซึ่งนั่นทำให้ไอ้หาญอยู่ไม่ติด ถึงโกรธแต่ก็ทำอะไรมันไม่ได้

‘โอ๊ย! บ้าเอ๊ย! อะไรวะเนี่ย!’

ไอ้บ่าวผู้ซื่อสัตย์หันขวับไปมองยังต้นเสียง เสียงของคุณปราณดังขึ้นและสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะเงียบหายไปจนไอ้มั่นใจเสีย เรื่องสนุกที่คิดไว้ว่าจะแกล้งไอ้หาญก่อนหน้านี้ถูกพับเก็บ ดวงตาเบิกโตก่อนจะหายตัวไปทันที ยังไม่ทันที่จีรัชญ์จะได้สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ

“พี่ณิชต้องเกิดเรื่องอะไรแน่ๆ เลยค่ะ ไม่งั้นพี่มั่นคงไม่รีบร้อนแบบนี้”

หญิงสาวพูดเสียงสั่น ใจคิดไปต่างๆ นานาว่าเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นวันนั้นอาจเกิดขึ้นได้ วันนั้นยังดีที่มีจีรัชญ์แต่วันนี้ณิชขับรถออกไปคนเดียว และตอนนี้ก็มืดค่ำแล้วหากมีเรื่องคงแย่อย่างแน่นอน

‘กูกำลังช่วยคุณปราณ’ เสียงไอ้มั่นแว่วเข้าหูมาจากที่ไกลๆ จีรัชญ์ถามกลับไปเสียงเครียด แต่มิ้งไม่ได้ยินที่พวกเขาทั้งสองคุยกันเพราะไม่ได้ก่อกรรมร่วมกันมา

‘เกิดอะไรขึ้น! ไอ้มั่น! ตอบกูเดี๋ยวนี้ว่าคุณปราณเป็นอะไร!’

‘มึงไล่คุณเขา ไยต้องเป็นห่วงเป็นใยกันเล่า อยากตัดใจจากคุณเขามิใช่หรือ’
ไอ้มั่นถามกลับเสียงเรียบ ตอนนี้มันอยู่กับคุณปราณแล้ว เมื่อเห็นว่าเจ้านายมันไม่เป็นอะไรอย่างที่สังหรณ์ใจ ยิ่งอยากแกล้งไอ้เพื่อนรักที่แสนใจแข็งให้ใจอ่อนและอย่าฝืนโชคชะตาเสียที

‘มึงอย่าเล่นลิ้นกับกู บอกมาว่าคุณปราณอยู่ที่ใด’

เขาเริ่มอยู่ไม่ติดด้วยอารมณ์ร้อนใจ คิดว่าคงมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ แต่จะให้ไปตามที่ไหนนั้นเขาก็ไม่แน่ใจนัก เพราะนอกจากไอ้มั่นจะไม่ตอบแล้วยังกวนใส่เขาด้วย

“คุณตรีจะไปไหนคะ!” มิ้งรีบวิ่งตามชายหนุ่มออกมาจากห้อง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีความเคลื่อนไหว จีรัชญ์ตอบเพียงสั้นๆ ว่าจะออกไปตามหารุ่นพี่เธอ

“คุณรู้เหรอว่าพี่ณิชอยู่ที่ไหน”

“ไม่รู้ แต่ต้องออกไปหาก่อน”

จีรัชญ์ตอบเสียงเครียด ขณะเดียวกันก็รีบวิ่งไปหยิบกุญแจรถ ใจเต้นรัวในอกจนปวดหนึบ ความกลัวที่เคยคิดว่าตนเคยชินและรับมือมันได้กลับมาอีกครั้ง ตอนนี้เลือดในกายสูบฉีดพลุ่งพล่านมาก ความเครียดขึงแสดงออกทางสีหน้าและแววตาชัดเจน

“คุณอยู่รอฟังข่าวที่นี่ ถ้าผมเจอตัวคุณณิชแล้วจะรีบติดต่อกลับมา” จีรัชญ์พูดจบก็ขับรถออกไปทันที แต่ยังไม่ทันพ้นเขตรั้วก็มีรถสวนเข้ามา เป็นรถคันคุ้นตาของณิชที่เจ้าของกำลังขับเข้ามาในรั้ววัง เขาจึงหมุนพวงมาลัยขับตามอีกฝ่ายไปจอดใกล้ๆ

“พี่ณิช! พี่ไปไหนมา หนูตกใจแทบแย่คิดว่าพี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น!” มิ้งถลาเข้าไปเกาะประตูรถระหว่างที่ณิชเปิดประตูลงจากรถพอดี แต่ยังไม่ทันที่ณิชจะได้ตอบรุ่นน้องคนสนิทก็ถูกมือใหญ่จับเข้าที่แขน ก่อนจะกระชากให้หันไปหาคนดึง เขาเห็นสีหน้าถมึงทึงที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าโกรธจัดของจีรัชญ์ ดวงตาแข็งกร้าวที่เต็มไปด้วยโทสะทำณิชลอบกลืนน้ำลาย

“จะไปไหนทำไมไม่บอก! คิดว่าตัวเองเก่งนักหรือไง ทำไมถึงได้ชอบทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงนัก!” จีรัชญ์ตวาดออกมาอย่างสุดกลั้น ทั้งโกรธทั้งโล่งใจที่อีกฝ่ายไม่เป็นอะไรและกลับถึงบ้านปลอดภัย

คำต่อว่าที่มาพร้อมความห่วงใยทำให้ณิชพูดไม่ออก มิ้งถอยหลบเมื่อเห็นว่าจีรัชญ์ตอนนี้ไม่ใช่คนใจเย็นพูดน้อยและเงียบขรึมอย่างที่เธอเคยเห็น แต่กำลังกลายร่างเป็นเสือตัวใหญ่พร้อมตะปบ

ณิชอึ้งไปกับการโดนต่อว่าด้วยน้ำเสียงกึ่งตะคอกแบบนี้ เพราะเขาไม่เคยเห็นจีรัชญ์ในมุมนี้มาก่อนเลย และไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมีมุมนี้กับเขาด้วย ก่อนชายหนุ่มจะเชิดหน้าขึ้นมองอย่างท้าทาย

“ไหนบอกไม่อยากสนใจแล้วจะมาร้อนใจเรื่องผมทำไม”

คำพูดคำจาของคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าผิดทำไอ้หาญนึกอยากปรามให้อยู่หมัด สันกรามขึ้นชัดจากการที่เจ้าตัวขบฟันสะกดอารมณ์โกรธไว้ ก่อนจะดึงให้อีกฝ่ายตามเขาเข้าไปในตัวตึก





โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
ณิชเสร็จแน่ๆ ไม่ได้นอนแน่ๆคืนนี้ โดนลงโทษทั้งคืนแน่ๆ

หาญจัดหนัก จัดเต็มไปเลย

รอตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ต้องโดนทำโทษแล้วณิช  :oo1: ไปไหนมาไหนติดต่อไม่ได้คนเขาเป็นห่วง คึคึ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ รอตอนต่อไปเลย :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
นั่นไง ๆ ได้เรื่องแล้วไหมล่ะ ณิชกวนน้ำแล้วจ้า
สงสารทั้งคู่เลยค่ะ อนาคตยังมาไม่ถึง
แต่หาญก็กลัวไว้ก่อน ไม่แปลก คนที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมานาน
ใครจะรู้ และทรมานเท่าได้อีก ไม่มีแล้ว นอกจากมั่น และอาจมีอีกหนึ่ง


ออฟไลน์ :นางสาวผอบ:

  • ความเคลื่อนไหวในเงามืด
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +649/-4
บทที่ ๑๙ (ครึ่งแรก)


“พี่มั่น! เล่ามาว่าเมื่อกี๊เกิดอะไรขึ้น” มิ้งหันไปไล่บี้กับไอ้มั่นหลังจากคนทั้งคู่เดินหายเข้าไปด้านในแล้ว ไอ้มั่นที่ยืนอยู่ใกล้กันจึงหัวเราะเบาๆ

“หาได้มีเรื่องอันใดให้เจ้าต้องกลัวไม่ คุณปราณเพียงแต่ขับเจ้าสี่ล้อนี้ตกหลุมเบ้อเริ่มตรงทางเข้าซอย จนตัวรถเป็นรอยถลอกเพียงแค่นั้น”

“แต่พี่รีบหายตัวไปเลย หน้าตาเหมือนรู้ว่าเกิดเรื่องร้ายแรง”

“ข้าก็แค่แสดง มิเช่นนั่นเจ้าจะได้เห็นไอ้หาญในมุมนี้รึ”

อันที่จริงมันตกใจเมื่อได้ยินเสียงคุณปราณ แต่เมื่อไปดูก็พบว่าอีกฝ่ายแค่จอดรถริมถนนและลงมาดูสภาพรถตนเองเท่านั้น อีกทั้งยังอยู่ในที่ชุมชน พอถามก็ได้ความอย่างที่บอกมิ้งไป จากนั้นมันก็นั่งรถมากับคุณปราณจนมาเจอไอ้หาญที่โกรธจัดนั่นแหละ ไอ้หาญนะไอ้หาญ หากไม่ห่วงเขาจริง มีหรือจะร้อนเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้

ทางด้านจีรัชญ์ที่ลากณิชเข้ามาในบ้านได้ก็โดนณิชยื้อตัวให้หยุดที่โถงกลาง ณิชมองจีรัชญ์ด้วยใบหน้าอมยิ้ม เขาไม่ได้โกรธอีกฝ่ายทำรุนแรงใส่ เพราะแม้ท่าทีขึงขังที่แสดงออกมันจะดูดุดันอยู่ในที แต่ความรู้สึกจริงๆ ที่ได้รับนั้นจีรัชญ์ทำเพียงกดแรงมือให้แน่นกว่าเดิมเพียงแค่นั้น ไม่ได้ฉุดกระชากลากถูเหมือนพวกชอบความรุนแรงที่ทำกัน

“ใจเย็นๆ ก่อนได้ไหม ผมเดินไม่ทัน”

“ผมโกรธคุณมากนะคุณณิช เรื่องตอนนั้นที่โดนเด็กวัยรุ่นรุมทำร้ายมันไม่ทำให้คุณรู้สึกกลัวบ้างเลยรึไง ก็รู้อยู่ว่าที่ทางแถวนี้มันเปลี่ยว ทำไมถึงได้...”

“พอก่อนหาญ ใจเย็นๆ ขึ้นไปคุยกันข้างบนเถอะ”

ณิชพูดเบาๆ มือเรียวยกขึ้นลูบแขนข้างที่อีกฝ่ายยังจับข้อมือเขาไว้มั่น เพื่อปลอบให้ความร้อนใจของเจ้าตัวเย็นลง พี่หวีแม่บ้านเดินออกมาดูเพราะเห็นว่าที่โต๊ะรับประทานอาหารไม่มีใครอยู่เลยทั้งที่กับข้าวยังเต็มโต๊ะ ณิชไม่อยากให้อาการโกรธจนฟิวส์ขาดของไอ้หาญทำแม่บ้านตกใจจึงคิดว่าเลี่ยงขึ้นไปคุยกันข้างบนคงจะดีกว่า

เมื่อขึ้นมาข้างบนได้ไอ้หาญก็พาคนของมันเข้าห้องในทันที อยากจะต่อว่าให้สมกับความเป็นห่วงที่พลุ่งพล่านในอกก่อนหน้านี้ แต่เมื่อหันกลับมาเห็นรอยยิ้มของอีกฝ่ายก็ทำมันฉุนกึก ณิชไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้หรือยังไง

“ยิ้มอะไร” จีรัชญ์ถามเสียงเข้ม มองอีกฝ่ายที่ยังคงมองมาที่เขาพร้อมรอยยิ้มดูมีเลศนัย

“คุณดูโกรธมาก”

“ใช่! ผมโกรธที่คุณไม่รู้จักห่วงตัวเอง จะออกไปไหนมาไหนผมไม่เคยห้าม แต่ไม่ใช่กลับตอนมืดค่ำแบบนี้ ผมคิดว่าเหตุการณ์โดนทำร้ายในครั้งนั้นมันจะทำให้คุณจำว่าที่ทางแถวนี้ไม่ปลอดภัย แต่คุณก็ยัง...อุ๊บ!”

คนที่ครั้งหนึ่งเคยใจเย็น พูดน้อย และพูดแต่คำว่าขอรับ ทำเขาอดไม่ได้ที่จะจูบปิดปากเพื่อกลืนคำต่อว่าเหล่านั้นเข้าไปให้หมด สองมือเรียวประคองแก้มสากของอีกฝ่ายไว้ ไม่ให้เจ้าตัวได้ทั้งตั้งตัวว่ากำลังโดนจู่โจมอยู่ มอบรสจูบที่เต็มไปด้วยความออดอ้อนเพื่อขอโทษในสิ่งที่ตนได้ทำลงไป หวังว่าจูบนี้จะง้ออีกฝ่ายได้สำเร็จ

ในเมื่อสุทินบอกว่าจีรัชญ์ชอบอะไรเดิมๆ ชอบเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนดั่งคนรักเดียวใจเดียว เช่นนั้นเขาก็ต้องปลุกจิตวิญญาณของคุณปราณให้ทำงานอีกครั้ง ใช้วิธีการง้อแบบถึงเนื้อถึงตัวอย่างที่ไอ้หาญเคยชอบคงจะดีที่สุด

จีรัชญ์ยืนแข็งเป็นแท่งหินเมื่อโดนณิชประกบปิดปากเสียอย่างนั้น แทนที่จะสำนึกว่าเขากำลังต่อว่าและตัวเองต้องสำนึกผิด กลับกลายมาจูบเขาเพื่อปิดคิดต่อว่าเหล่านั้นเสีย กลีบปากที่กำลังขยับอยู่บนริมฝีปากของเขาดูซุกซน เขาจะผละออกแต่ก็โดนรั้งไว้จนทนไม่ไหว ต้องอุ้มอีกฝ่ายไปทิ้งบนเตียง

“อย่ามาเล่นแบบนี้กับผม”

ในที่สุดปากก็หลุดห่างออกจากกัน จีรัชญ์คร่อมณิชอยู่มองอีกฝ่ายตาเขม็งอย่างตำหนิ แม้ใจจะเต้นรัวในอกเพราะรสจูบวาบหวามเมื่อครู่

“ผมไม่ได้เล่น อยากรู้เหมือนกันว่าคนที่พยายามทำใจแข็งเหมือนหินจะทนได้สักกี่น้ำ ปากบอกไม่ห่วงแต่ตอนนี้คุณกำลังเป็นห่วงผมอยู่ชัดๆ”

ณิชยิ้มเย้ยที่เขารู้สึกว่าตนเองกำลังเหนือกว่าจีรัชญ์ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะนอนอยู่ใต้ร่างของอีกฝ่ายก็ตาม นิ้วเรียวไต่แตะไปบนผิวที่โผล่พ้นเสื้อของอีกฝ่ายเบาๆ ลำแขนแข็งแรงที่มีมัดกล้ามและผิวคล้ำแดดน่าสัมผัส

จีรัชญ์เงียบจับมือณิชที่กำลังซุกซนไต่ไปทั่วตัวเขาไว้ เขาไม่รู้จะโต้ตอบอีกฝ่ายไปอย่างไรดีเพราะทุกอย่างชัดเจนจนไม่อาจค้านได้ เขาเป็นห่วงณิชจนแทบบ้า คิดไว้เลยว่าถ้าขับรถออกไปแล้วไม่เจอณิชใจเขาคงแหลกเหลวไปอีกครั้ง

สายตาสองคู่สอดประสาน ต่างฝ่ายต่างมองลึกเข้าไปในดวงตาที่ใครๆ ต่างบอกว่าเป็นหน้าต่างของหัวใจ จีรัชญ์เห็นแต่ความอยากรู้ อยากลอง และโหยหาตัวเขาจากสายตาของณิช ส่วนณิชที่มองตอบไม่ยอมแพ้ค่อยๆ หุบยิ้มลง เพราะเขารู้สึกได้แค่ความท้อถอยจากจีรัชญ์ที่ส่งผ่านมาเท่านั้น

“คุณไม่รู้อะไรเลย ไม่เคยรู้อะไรเลย”

หลังจากที่เงียบไปนานจีรัชญ์ก็พูดขึ้นในที่สุด ดวงตาคมที่เคยแข็งกร้าวเพราะความโกรธก่อนหน้านี้อ่อนลง ทอดมองคนใต้ร่างที่ยังคงมองเขาไม่ละสายตา ดวงตาคู่นี้คู่เดิมที่เขาจำได้แม่นไม่เคยเปลี่ยน คิดถึงใจจะขาดแต่เพราะไม่อยากเจ็บช้ำจนเกินทนอีกจึงอยากตัดใจเสียตั้งแต่ต้น

รู้ว่ามันยากเพราะโชคชะตาผูกเขาสองคนไว้ด้วยกัน

รู้ว่าคนเดียวที่จะช่วยเหลือเขาได้มีเพียงคนตรงหน้าเท่านั้น

รู้ว่าทุกอย่างต้องดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แต่ขอแค่เพียงชาตินี้ได้ไหม ที่มันจะอยู่ซ่อมแซมความรู้สึกที่ติดค้างไว้จากเมื่อสองชาติก่อนให้กลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้ง ขอให้มันได้อยู่กับความว่างเปล่าต่อไปอีกสักหน่อย เพราะอย่างน้อยๆ มันก็ได้รู้ว่าความเสียใจในชาตินี้มันเป็นคนเลือกเอง หาใช่เพราะการดูคนรักจากไปอย่างไม่มีวันกลับอีกครั้ง

มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาจากดวงตาสวย ไอ้หาญร้องไห้ต่อหน้ายอดดวงใจของมันอีกครั้งหนึ่ง ร่างกายที่กำยำสูงใหญ่เอนลงซบกับอกบางราวคนกำลังหมดแรง ไร้เสียงสะอื้นแต่ร่างกายกลับสั่นเทาเพราะความสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ อ้อมแขนแข็งแรงกอดร่างของณิชไว้ราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหายไปในนาทีใดนาทีหนึ่ง ความเปียกชื้นของเสื้อตรงอกที่จีรัชญ์ซบอยู่เขารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องทนแบกรับทุกอย่างไว้มากแค่ไหน

“ผมไม่อยากเสียคุณไปซ้ำๆ แม้ปากผมจะบอกว่าเข้าใจว่ามันเป็นโชคชะตาแต่ผมไม่เคยทนได้ แต่เพราะคำสาปทำให้ต้องทน ผมเคยทำทุกอย่างที่คนคนหนึ่งจะทำได้ ผมตามหาคุณ ผมแทบพลิกแผ่นดินทุกตารางนิ้วมองหาเพียงแค่คุณคนเดียว แต่ท้ายสุดผมก็เสียคุณไปอยู่ดี ชาตินี้...ผมอยากพัก ผมเหนื่อยจนแทบยืนไม่ไหวแล้ว”

เพราะมันต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว วันที่มันเสียใจที่สุดจนไม่อยากมีชีวิตแต่ก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทนต่อไป นาทีแล้วนาทีเล่า วันแล้ววันเล่า ในขณะที่ทุกอย่างดำเนินไปแต่มันก็ยังคงจมอยู่กับความเสียใจเช่นเดิม

ครั้งหนึ่งเคยวาดหวังเสียสวยหรู คิดไว้ว่าตนต้องหลุดพ้นจากคำสาปนี้ แต่เมื่อไม่เป็นดังหวัง อีกทั้งยังเจ็บปวดทรมานกว่าครั้งแรกที่รู้ว่าคุณปราณตายเป็นไหนๆ ไอ้หาญที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าขออโหสิกรรมให้ท่านออกญาศรีรัตนกรกลับทรุดกายลง ร้องไห้ทุรนทุรายอยู่บนพื้นพร้อมใจที่โกรธเกลียดคนที่ทำให้มันเป็นเช่นนี้ มันคับแน่นในอกแทบหายใจไม่ออก

ณิชเงียบฟังสิ่งที่จีรัชญ์กำลังระบายออกมา เขากอดกระชับอีกฝ่ายเพื่อสื่อให้รู้ว่าชาตินี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องช่วยคนคนนี้พ้นคำสาปให้ได้

“ผมสัญญา...ในชาตินี้ผมจะรักษาตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อคุณ คุณจะไม่มีวันมองผมจากไปเหมือนชาติที่แล้วมา ถ้าคุณเหนื่อยผมจะเป็นที่พักพิงที่สุดท้ายของคุณเอง”

เขากระซิบบอกคนที่ต้องอยู่กับความเสียใจมาตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา ในอกเจ็บแปลบยามคิดไปถึงว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไอ้หาญต้องมาเจอแบบนี้ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ฆ่าตัวตายเพื่อหนีความเจ็บปวดที่เทียบไม่ได้สักครึ่งหนึ่งของไอ้หาญในตอนนี้เลย

คนทั้งคู่นอนกอดกันอยู่อย่างนั้นจวบจนจีรัชญ์เผลอหลับไป ณิชก้มมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในอ้อมกอด ก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยไล่ความเมื่อยขบ ไอ้มั่นปรากฏตัวขึ้นที่มุมห้องเมื่อคิดว่าให้เวลาคนทั้งคู่พอสมควรแล้ว มันเดินเข้าไปใกล้เตียงเห็นไอ้เกลอรักหลับสนิทอย่างที่ไม่ได้เห็นมาสองสามวันแล้ว ส่วนเจ้านายของมันลุกขึ้นนั่งนวดไหล่นวดแขนเพราะก่อนหน้านี้โดนไอ้หาญนอนทับอยู่

“มันเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

“เขายังคงยึดติดกับอดีตอยู่ สำหรับผมมันคืออดีตที่ผมจำไม่ได้ แต่กับหาญ...มันคือความทรงจำที่ไม่เคยลืม ผมไม่รู้ว่าชาติก่อนผมกับเขาเป็นยังไงบ้าง นายพอจะเล่าได้ไหม”

ณิชถามพลางเดินออกจากห้องของจีรัชญ์มาหยุดอยู่ที่ระเบียงกว้าง ที่สามารถมองเห็นสระบัวได้อย่างชัดเจน แต่เวลานี้มืดแล้วจึงเห็นได้เพียงรำไรจากแสงไฟที่พอส่องถึงเท่านั้น

“ขอรับ” ไอ้มั่นรับคำก่อนจะนั่งคุกเข่าลง ไม่ตีตนเสมอนายเหมือนอย่างที่ทำในวันวาน แต่ณิชกลับบอกให้อีกฝ่ายยืนขึ้นข้างตนแทน

ไอ้มั่นเล่าว่าตั้งแต่ครั้งที่ไอ้หาญรู้ว่าคุณปราณตายแล้วในชาติแรก ไอ้หาญพยายามก่อร่างสร้างตัว ทำทุกอย่างเพื่อรอวันที่จะได้พบคุณปราณอีกครั้ง โดยตอนนั้นไอ้มั่นเป็นเพียงแค่วิญญาณเลื่อนลอย ไม่สามารถสื่อสารใดๆ กับไอ้หาญได้เพราะคุณปราณยังไม่เกิด มันได้แค่เฝ้าดูชีวิตของไอ้เพื่อนรักที่ดำเนินไปในแต่ละวันด้วยความทุกข์ทรมาน สงสารเพื่อนจับจิตแต่ตนเองทำได้แค่มอง และต้องรอเวลาต่อไปเช่นกัน

ไอ้หาญเฝ้ารอทุกวันตั้งแต่วันที่รู้ข่าวว่าคุณปราณตาย สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวตัวมันไว้ได้คือสมุดบันทึกและจดหมายที่คุณปราณให้ไว้ ผ้าเช็ดหน้าของยอดดวงใจเปรียบเหมือนชีวิตของไอ้หาญก็ว่าได้ มันพกติดกายตลอดเวลา หมั่นซักให้สะอาดด้วยความทะนุถนอม สร้อยที่คุณปราณให้ไว้มันเก็บไว้มิดชิดมิให้ใครได้พบเห็นหรือรู้ได้

ไอ้หาญไม่ทิ้งเวลาให้สูญเปล่า ถึงแม้มันจะรอคุณปราณไปด้วยแต่มันก็ไม่งอมืองอเท้า ด้วยแต่เดิมเป็นคนขยันอยู่แล้วไอ้หาญจึงเร่งทำงาน ยังดีที่หลังจากนั้นไม่นานก็มีการเลิกทาส ทำให้มันพอที่จะทิ้งตัวตนความเป็นทาสชั้นต่ำดั่งคำของท่านออกญาฯ พูดไว้เบื้องหลัง มันเก็บทุกสลึงที่ได้มาสะสมไปทีละน้อย เก็บหอมรอมริบจนพอจะสร้างกระท่อมสักหลังที่แข็งแรงไว้อยู่พักพิง คราแรกมันคิดว่าการเกิดใหม่ของคุณปราณคงจะมาถึงในไม่ช้า แต่รอมาเป็นสิบๆ ปี มันก็ยังไม่เจอใครที่หน้าตาละม้ายคล้ายคุณปราณเลย

เมื่อเริ่มมีเงินสักก้อนไอ้หาญก็เริ่มออกตามหาคุณปราณไปด้วย ไอ้บ่าวซื่อมีจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังเพราะคิดว่าต้องเจอคุณปราณในสักวันหนึ่ง มันขึ้นเหนือไปทำงานอยู่พักใหญ่ ก่อนจะลงใต้เพื่อเปลี่ยนตัวตนใหม่ จากทาสคนหนึ่งที่ไม่รู้วิชากลับกลายมาเป็นคนมีหลายอาชีพ เริ่มจากจับกังไปเป็นคนทำบัญชี จนได้มาค้าขายเปิดร้านค้าข้าวสาร ออกทะเลหาปลาก็เคยทำมาแล้ว จนได้รู้จักกับพวกนายเรือฝรั่งจึงได้ศึกษาภาษาต่างประเทศไปด้วย

มันได้ไปอยู่ต่างประเทศเพราะไปช่วยท่านทูตตกเรือได้ทันท่วงที ทำให้เขาเอ็นดูรับไอ้หาญไปอยู่ด้วยเพราะเห็นว่ามันทำงานดี อีกทั้งยังพูดคุยภาษาต่างประเทศเป็น จนมันได้ศึกษาเล่าเรียนที่บ้านของเขา ก่อนจะกลับมาประเทศไทยอีกครั้งในบทบาทใหม่ที่ต่างจากเดิม ไปกลับหลายต่อหลายครั้งในตัวตนที่ต่างออกไป จนได้กลับมาเป็นแพทย์ที่เมืองไทย

ในแต่ละครั้งก็ต้องเปลี่ยนตัวตนเพื่อไม่ให้ใครจำได้ การปลอมตัวจึงเป็นสิ่งที่ไอ้หาญถนัดนัก เพื่อนฝูงที่สนิทด้วยไม่มีสักราย ในตอนแรกยังดีที่พวกตัวตนเอกสารต่างๆ ยังไม่แพร่หลายนัก แต่เมื่อบ้านเมืองพัฒนามากขึ้น อะไรหลายๆ อย่างที่เคยจัดการได้ง่ายจำต้องเปลี่ยนไป

ไอ้หาญไม่สามารถทำตัวแบบที่อยู่ๆ ก็หายตัวไปได้อีกแล้ว มันต้องทำให้คนอื่นเชื่อว่าตัวของมันตายไปแล้วจริงๆ และต้องไม่กลับไปที่เดิมเพื่อกันคนเดิมๆ จำได้ มีครั้งหนึ่งที่มันบังเอิญเจอตาแก่ๆ คนหนึ่ง ซึ่งชายคนนั้นเคยรู้จักกับไอ้หาญเมื่อหลายสิบปีก่อน ฝ่ายนั้นตกใจเกือบช็อกตาย ยังดีที่ไอ้หาญบอกว่าตัวมันคือหลานชายหาใช่ไอ้หาญคนเดิม จากนั้นก็รีบจากมาเพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่สามารถถามไถ่อะไรมันได้อีก

ในส่วนของเรื่องเอกสารการมีตัวตนของมันนั้น ไอ้หาญจะต้องเลือกหาคนที่จะทำหน้าที่สำคัญนี้ด้วยตัวเอง ลองใจสารพัดจึงจะให้มาจัดการเรื่องตัวตนของมันในทางกฎหมาย ซึ่งแต่ละคนที่ไอ้หาญเลือกนั้นจะต้องทำงานให้กับมันไปชั่วชีวิต ผูกสัญญากันจนกว่าอีกฝ่ายจะสิ้นอายุขัยอย่างที่ควรจะเป็น และจนกว่าไอ้หาญจะปลดออกจากการเป็นผู้ช่วยด้านนี้ คนล่าสุดที่เพิ่งเสียชีวิตไปก็ราว 2-3 ปีก่อนเห็นจะได้

หากเข้าไปในห้องเก็บเอกสารที่เป็นห้องลับในคฤหาสน์หลังนี้ จะพบว่าไอ้หาญมีใบมรณะบัตรของตนเองหลายใบ แต่ละใบการตายก็จะอยู่ในช่วงวัยที่ไม่แก่เลย หากพูดในสมัยนี้ก็เรียกว่าตายตั้งแต่ยังหนุ่ม ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนเป็นคนใหม่ในอาชีพใหม่วนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ต่างจากคนที่ตายแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่

“แล้วเรื่องวังปริพัตรล่ะ”

เขาพอจะรู้เรื่องชีวิตของไอ้หาญคร่าวๆ บ้างแล้ว แต่ที่อยากรู้อีกอย่างคือจีรัชญ์มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับวังนี้ หากจะบอกว่าอีกฝ่ายก่อร่างสร้างตัวจนมีคฤหาสน์เป็นของตนเองก็พอเข้าใจได้ แต่นี่คือวัง แสดงว่าคนที่เคยเป็นเจ้าของจะต้องมียศที่สูงศักดิ์ไม่น้อย ต้องเป็นลูกเจ้าลูกนายไม่ใช่คนเดินดินธรรมดาอย่างไอ้หาญแน่นอน

“ในตอนนั้นไอ้หาญเพิ่งกลับมาจากยุโรป ก่อนหน้านี้มันได้ไปๆ กลับๆ เปลี่ยนตัวตนไปเรื่อยๆ เพื่อตามหาคุณปราณทั้งที่เมืองไทยและต่างแดน จนครั้งนั้นมันเลือกที่จะกลับมาอีกครั้งเพราะไปอยู่ที่ยุโรปได้ราว 5-6 ปีเห็นจะได้ หลังจากที่มันเฝ้ารอมาเป็นร้อยกว่าปีมันกลับมาก็ได้เจอคุณปราณขอรับ”

ฟังมาถึงตรงนี้ลมหายใจณิชถึงกับสะดุด ก้อนความเสียใจจุกตื้อที่ลำคอแทบกลืนน้ำลายไม่ได้ หมัดกำแน่นวางอยู่บนราวระเบียงแบบปูน มันเย็นเฉียบราวแช่อยู่ในน้ำแข็ง แต่เพราะเรื่องราวที่ไอ้มั่นกำลังถ่ายทอดให้ฟังต่างหากที่แช่แข็งตัวณิชในตอนนี้

การรอคอยแค่เพียงหนึ่งวันยังว่านาน แต่นี่เวลาผันผ่านมาเป็นร้อยปีที่ไอ้หาญต้องรอเขา ไม่แปลกที่จะวาดหวังว่ามันจะได้ครองรักกับยอดดวงใจในตอนนั้น เพราะคิดว่าการทรมานของวันคืนที่ยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์กำลังจะสิ้นสุด แต่พอไม่ใช่อย่างที่คิดเลยปิดใจ ตั้งปราการกักขังตัวเองไว้เพื่อฝืนชะตากรรม

“แต่เดิมวังแห่งนี้เป็นของหม่อมเจ้าจุลปรีชา ปริพัตร ท่านเป็นบิดาของคุณปราณในชาติก่อนขอรับ ท่านเสียไปก่อนที่ไอ้หาญจะเจอคุณปราณ วังนี้จึงมีคุณหญิงช่อทิพย์ภริยาของท่านชายเป็นเจ้าของ คุณปราณคือลูกคนกลางของคุณหญิง มีพี่ชายและน้องสาวด้วยขอรับ”

“พวกเขาขัดขวางผมกับไอ้หาญไหม”

ไอ้มั่นเงียบไป มันทำเพียงยิ้มและนึกไปถึงเหตุการณ์ในช่วงปีนั้นที่ไอ้หาญได้พบกับคุณปราณอีกครั้ง...





โปรดติดตามส่วนต่อไป



สวัสดีค่ะ ผอบขอทักทายคนอ่านอย่างเป็นทางการ
ผอบดีใจมากๆ ที่มีคนเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้
ขอบคุณนักอ่านคนเดิมๆ ที่เมนต์ให้กันตลอดตั้งแต่ตอนแรกๆที่ลง

คุณ blove
คุณ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก
คุณ anterosz
คุณ cavalli
คุณ Ginny Jinny
คุณ nightsza
คุณ fullfinale

เป็นขาประจำที่ผอบมักเห็นบ่อยๆ ขอบคุณที่อ่านนิยายและสละเวลาแสดงความเห็นให้ได้รู้ว่ามีคนรออยู่
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย และฝนตกแทบทุกวัน ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ

 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2020 06:07:36 โดย :นางสาวผอบ: »

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
คุณณิชไหนๆหาญก่รอมาเป็นร้อยปี ให้รางวัลโหน่ยยยยย  :impress2:

ปล.คุณผอบดูแลตัวเองด้วยนะคะ พกทั้งร่มทั้งเสื้อกันหนาวเลย❤️❤️❤️

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
ค่อยๆ รู้เรื่องชีวิตของหาญที่ผ่านมาทีละนิดแล้ว

หวังว่าคุณปราญในชาตินี้จะทำให้หาญสมหวังและหลุดพ้น

รอตอนต่อไปครับ

ปล.สวัสดีคุณผอบด้วยครับ

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คุณผอบ รักษาสุขภาพด้วยนะ

อย่าเท เล้าเป็ด เหมือนบางเรื่อง



ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
คุณตรีเปิดอกคุยกันมากแล้วเว้ย ในที่สุดก็พูดออกมากับความคับแค้นใจในอดีต จากการยั่วเวอร์ชั่นคุณปราณ 5555 ชาิตนี้นะชาตินี้ต้องรอดไปด้วยกันอยู่จนแก่เฒ่า เพราะณิชก็ไม่เหลือครอบครัวแล้วคงมีแต่คุณตรีนี่แหละ  :กอด1: รอตอนต่อไปเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาต่อ  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ :นางสาวผอบ:

  • ความเคลื่อนไหวในเงามืด
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +649/-4
บทที่ ๑๙ (ครึ่งหลัง)




วันนี้ฝนโปรยปรายลงมาตั้งแต่เช้ามืด พื้นถนนชื้นแฉะไปด้วยหยาดน้ำฝนที่ร่วงหล่นกระทบพื้นไม่ขาดสาย แม้ตอนนี้จะเป็นเวลากว่าแปดโมงเช้าแล้ว แต่ท้องฟ้าที่ครึ้มเมฆฝนกลับทำให้รู้สึกว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาปกติที่ต้องออกมาทำงาน

“คุณหมอวิ่งฝ่าฝนมาเหรอคะ ดูสิคะเปียกไปทั้งตัวเลย” พยาบาลสาวเอ่ยทัก เมื่อเห็นคุณหมอหนุ่มหล่อที่เพิ่งเข้าทำงานได้ไม่นานเสื้อผ้าเปียกชื้นเกือบทั้งชุด

“พอดีที่จอดรถมันเต็มน่ะครับ เลยต้องวนไปจอดด้านหลังตึกแล้วต้องวิ่งมา”

“โห ไกลเลยนะคะนั่น หลังคาทางเดินก็ไม่มีเสียด้วย มาค่ะ...เดี๋ยวฉันเอาผ้าขนหนูให้คุณหมอจะได้ซับหน้าซับตาสักหน่อย ไม่ทราบคุณหมอมีเสื้อผ้าติดห้องพักแพทย์บ้างไหมคะ”

“อ่า...แย่แล้วสิครับ ผมไม่มีชุดเปลี่ยนเลย”

เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเพราะครั้งล่าสุดที่ต้องอยู่เวรนอนโรงพยาบาลก็หลายสิบปีก่อนตอนยังเป็นแพทย์ฝึกหัด ทำให้ไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาติดตู้ล็อกเกอร์ของตนเองไว้เลย

“แย่แล้วล่ะสิ เช่นนั้นใส่เสื้อคนไข้ไปก่อนนะคะ ฉันจะเอาชุดไปให้แม่บ้านรีดให้ก่อนคุณหมอจะได้ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าชื้นๆ ทำงาน”

“ดีเลยครับ ขอบคุณมากนะครับ”

อนันต์กล่าวขอบคุณ นึกซึ้งใจที่พยาบาลสาวร่างท้วมอาสาเป็นธุระในเรื่องนี้ให้ มารู้ตอนหลังแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นหัวหน้าพยาบาลที่ทำงานเก่ง และใส่ใจทุกคนที่เธอร่วมงานด้วย ซึ่งนับว่าน้อยคนที่จะเป็นแบบนี้

อนันต์ที่อยู่ในชุดของผู้ป่วยในไม่ได้ออกจากห้องทำงานของตนเลย โชคยังดีที่วันนี้ไม่มีเคสเร่งด่วนจึงสามารถรอตรวจได้ เขาจึงทำงานเอกสารฆ่าเวลาไประหว่างรอ

ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ชายหนุ่มที่นั่งจิบกาแฟไปพลางอ่านแฟ้มประวัติของคนไข้ไปพลางพูดอนุญาตให้คนนอกห้องเขามา ฝ่ายผู้มาเยือนหัวเราะทันทีที่เห็นว่าเจ้าของห้องอยู่ในสภาพใด

“ทำไมอยู่ในชุดแบบนี้ล่ะอนันต์ ดูสิ...เป็นหมอดีๆ ไม่ชอบ ดันมาเป็นคนไข้เองเสียอย่างนั้น”

ชายปุณเอ่ยแซวเพื่อนตนเองที่ตอนนี้สนิทกันมากกว่าเดิม สรรพนามที่ใช้เรียกก็เปลี่ยนไปตามความสนิทสนม เพียงแต่อนันต์ยังคงรักษาท่าทีไว้เช่นเดิมเหมือนตอนที่รู้จักกันในคราแรก นั่นเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงคุณชาย หากมีท่าทีสนิทสนมมากเกินไปคงจะไม่ดีนัก

“ฝนทำพิษน่ะสิครับ ทำผมเปียกทั้งตัว นี่คุณพยาบาลฉลวยกำลังจัดการเอาไปฝากแม่บ้านรีดให้อยู่ อีกสักครู่คงได้”

“ถ้าเช่นนั้นก็ดีเลย ฉันมีเคสอยากจะให้นายช่วยดูสักหน่อย เดี๋ยวจะเลี้ยงมื้อเที่ยงเป็นการตอบแทน” คุณชายตอบเสร็จก็วางแฟ้มลงบนโต๊ะ อนันต์ยิ้มขำเพราะอีกฝ่ายคงเตรียมมัดมือชกให้เขาช่วยเหลือเสียแล้ว

“ประเดี๋ยวผมตามไปครับ เชิญคุณชายล่วงหน้าไปก่อนได้เลย” อนันต์ตอบพร้อมกับเสียงร้องดีใจของคุณชายหมอ ก่อนเจ้าตัวจะออกจากห้องไปรออยู่ที่แผนกกุมารเวชที่อยู่ถัดจากชั้นนี้ลงไป 1 ชั้น ซึ่งนั่นแสดงว่าเขาจะต้องใส่ชุดคนป่วยออกข้างนอกอย่างเลี่ยงไม่ได้

หมออนันต์ลงมาชั้นล่างโดยมีสายตาของนางพยาบาลทั้งหลายมองตามพลางหัวเราะขำ บางคนเอ่ยแซวเสียจนเขายิ้มเขิน แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือสายตาของญาติผู้ป่วย บางคนที่เคยเห็นหน้าเขามาบ้างแล้วต่างถามไถ่ว่าป่วยเป็นอะไร เขาจึงต้องรีบตอบกลับไปตามจริงเพื่อไม่ให้ญาติคนไข้ตื่นตระหนก

นายแพทย์อนันต์เป็นหมอกุมารแพทย์ที่เก่งหาตัวจับยาก แน่นอนว่าไอ้หาญปิดบังชื่อเสียงและความเก่งกาจของตนไว้ แต่เมื่ออยู่หน้างานท้ายสุดจิตวิญญาณของความเป็นหมอก็ปิดบังความเก่งที่สั่งสมประสบการณ์มาหลายสิบปีไม่มิด กลายเป็นว่าเขาได้งานใหม่ในโรงพยาบาลทันทีที่แนะนำตัว และยังเป็นที่เชื่อใจของหมออีกหลายๆ ท่านในการดูแลผู้ป่วยเด็ก

แน่นอนว่าคุณชายหมอก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เขาจึงมักขอความช่วยเหลือจากเพื่อนคนนี้บ่อยๆ และตอบแทนเพื่อนคนนี้หลายครั้งจนเหลือจะนับ ดังเช่นวันนี้ที่หลังจากปรึกษาเรื่องแนวทางการรักษาของผู้ป่วยคนหนึ่งเสร็จแล้ว คนทั้งคู่ก็เดินออกจากแผนกมาเพื่อวางแผนกันไปหามื้อเที่ยงทานกัน

“คุณชายหมอคะ คุณชายปราณมารอพบอยู่ที่ห้องค่ะ” พยาบาลเข้ามาบอกขณะที่อนันต์กับคุณชายปุณกำลังคุยกันเรื่องมื้อเที่ยงที่กำลังจะถึง

“ครับ ขอบคุณมากครับ” คุณชายกล่าวขอบคุณพยาบาลที่มาบอกข่าว ก่อนจะหันมาหาเพื่อนของตนที่ยืนอยู่ด้วยกัน แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็แทรกขึ้นเสียก่อน

“ถ้างั้นผมแวะไปทักทายคุณชายปราณสักหน่อยดีกว่าครับ”

อนันต์แทบซ่อนความดีใจไม่มิด เพราะตั้งแต่งานเลี้ยงวันนั้นก็ผ่านมาราวอาทิตย์กว่าๆ แล้วที่เขาไม่ได้เจอหน้าคุณชายปราณเลย คิดถึงอีกฝ่ายจับจิต แต่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรไปพบดี เรื่องที่บอกว่าอยากเรียนเปียโนนั่นก็ดูจะน้ำหนักน้อยไปสักหน่อย

เมื่อมาถึงห้องทำงานของคุณชายหมอก็พบว่ามีหนุ่มร่างบอบบางนั่งอยู่ในห้อง ในมือกำลังถือตำราแพทย์อยู่ แต่ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวคงอ่านไม่เข้าใจเพราะชายปราณทำเพียงแค่เปิดผ่านไปเรื่อยๆ เท่านั้น

“รอพี่นานไหมชายปราณ”

“ไม่นานหรอกครับ ผมเพิ่งมาถึงเมื่อครู่นี่เอง พอดีขับรถผ่านมาแถวนี้เลยว่าจะชวนพี่ชายใหญ่ไปทานมื้อเที่ยงสักหน่อย” ฝั่งน้องชายวางหนังสือลงก่อนจะพูดพร้อมใบหน้าที่แต่งแต้มรอยยิ้มสวย สายตาของเขาเหลือบมองไปเห็นเพื่อนใหม่ของพี่ชายใหญ่ก็ตกใจไม่เบา

“คุณอนันต์ป่วยเป็นอะไรครับ ทำไมถึงมาอยู่ในชุดนี้ได้”

ดวงตากลมที่เบิกโตราวแมวตกใจนั่นทำเอาอนันต์ลอบยิ้มในใจด้วยความเอ็นดู เขาเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอีกหน่อยก่อนจะตอบเสียงนุ่ม

“ไม่ได้ป่วยครับ แค่เสื้อเปียกเลยไม่มีชุดเปลี่ยน ต้องใส่ชุดนี้ไปก่อนระหว่างรอเสื้อส่งไปซักรีดให้แห้ง”

ชายปราณพยักหน้าเข้าใจก่อนจะยิ้มให้ จากนั้นก็หันมาสนใจพี่ชายของตัวเองแทน คุยไปคุยมาได้ความว่าพี่ชายใหญ่กำลังจะพาคุณอนันต์ไปเลี้ยงมื้อเที่ยงพอดี เขาจึงติดสอยห้อยตามพี่ชายของตนไปด้วยเสียเลย

อนันต์ขอตัวกลับขึ้นมาที่ห้องทำงานของตัวเองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดที่ผ่านการอบแห้งและรีดมาเรียบร้อยแล้วแขวนอยู่ตรงที่แขวนเสื้อแบบเป็นเสาตรงมุมห้อง เขาเปลี่ยนชุดเสร็จก็ออกมาเจอกับคุณชายทั้งสองที่ชั้นล่างที่รออยู่แล้ว

“จริงสิ แล้วนี่ชายปราณมาที่นี่ยังไง” คุณชายปุณถามเพราะไม่เห็นรถประจำตัวของน้องชายแต่อย่างใด

“นั่งรถรับจ้างมาสิครับ เจ้าแดงยังซ่อมไม่เสร็จเลย”

“เช่นนั้นไปรถพี่ก็แล้วกัน อนันต์...นายก็ไปรถฉันเลยนะ จะได้ไม่ต้องขับไปหลายคันให้เปลืองน้ำมัน”

“ได้ครับ” อนันต์รับคำก่อนจะเดินตามสองพี่น้องไปที่รถของคุณชายปุณ

แน่นอนว่าหม่อมราชวงศ์ปุณมนัสไม่ยอมให้ตนเองเสียเกียรติ ในเมื่อออกปากว่าจะเลี้ยงมื้ออาหารอนันต์แล้ว ตนจึงขับรถพามายังภัตตาคารหรูที่ขายอาหารจีนขึ้นชื่อในตัวเมือง

พวกเขาทั้งสามเดินขึ้นชั้นบนไปยังห้องวีไอพีที่คุณชายปุณโทรมาจองไว้แล้ว เมนูอาหารขึ้นชื่อที่ถูกจัดเตรียมไว้ตั้งแต่ชายปุณโทรมาจองค่อยๆ ทยอยออกมาเสิร์ฟทีละอย่าง กลิ่นหอมของมันรวมไปถึงการจัดจานที่ดูสวยงามสมราคาดูน่าทาน

“เห็นทีผมต้องมาหาพี่ชายใหญ่บ่อยๆ แล้วกระมัง ดูสิอาหารเต็มโต๊ะอย่างกับเลี้ยงคนเป็นสิบ”

“จะให้น้อยได้ยังไงเล่า ชวนเพื่อนมาเลี้ยงทั้งทีก็ต้องจัดหนัก อีกทั้งมีตัวแถมเป็นน้องชายตัวเองอีกก็ต้องจัดชุดใหญ่ไปเลย” ชายปุณพูดจบก็หัวเราะขำตัวเอง

ท่านพ่อและคุณหญิงแม่ไม่เคยสอนให้พวกเขาสามคนพี่น้องฟุ่มเฟือยแม้แต่น้อย มีแต่สอนให้กินอยู่อย่างประหยัด ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นและเก็บเงินไว้ให้มากจะได้ไม่ลำบากตอนแก่ตัวลง แต่ครั้งนี้เขาคิดว่าจะเป็นการเลี้ยงมื้อใหญ่ให้เพื่อนใหม่ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูจะเข้าขากับเขาได้เป็นอย่างดี ถูกใจเสียจนต้องจัดเลี้ยงแบบนี้แทนคำขอคุณที่อีกฝ่ายช่วยงาน แต่หากเป็นคนอื่นที่คุณชายหมอไม่สนิทด้วยแล้ว อย่าหวังว่าจะได้เข้าถึงตัวตนของเขามากถึงเพียงนี้เลย

มื้อเที่ยงเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของสองหนุ่มพี่น้อง ส่วนแขกรับเชิญทำเพียงนั่งฟังเงียบๆ พยักหน้าและยิ้มตามเป็นครั้งคราวเมื่อสองคนนั้นถาม มีหลายครั้งที่อนันต์ลอบมองเสี้ยวหน้าของคุณชายปราณซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งของชายปุณ หัวใจที่เคยเกือบสิ้นหวังบัดนี้กลับมาเต้นได้อีกครั้งเพื่อคนคนเดียวจริงๆ

ความยินดีตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ยังมีอยู่ เขารอคอยที่จะเจอคุณปราณมานานเหลือจะนับ เวลาที่ผันผ่านไปวันแล้ววันเล่าจนเขาทิ้งเวลาเหล่านั้นไว้เบื้องหลัง ทำเพียงเฝ้ามองไปข้างหน้าเพื่อมองหายอดดวงใจของตนเอง จนท้ายที่สุดก็เจออีกครั้งเมื่อโชคชะตาเริ่มทำงาน และครั้งนี้เขาพร้อมกระโจนเข้าสู้เพื่อความรักของตนเองสุดตัว ต่อให้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายเท่าไหร่ก็ไม่หวั่น ขอเพียงแค่ได้อยู่เคียงคู่คุณปราณอีกครั้งเป็นพอ

“เดี๋ยวพี่มา ขอเข้าห้องน้ำสักหน่อย กลับไปจะได้ไปทำงานต่อเลย” ชายปุณบอกน้องชายกับอนันต์หลังจากทานมื้อเที่ยงและจ่ายเงินเสร็จแล้ว ก่อนจะเดินหายไปทางห้องน้ำของภัตตาคารเพราะรู้สึกปวดเบาเหลือเกิน

คุณชายปราณใช้เวลาระหว่างรอพี่ชายเดินออกมาดูเครื่องดนตรีตรงร้านที่อยู่ติดกัน อนันต์จึงเดินตามไปอย่างไม่รอช้า เผื่อว่าจะมีโอกาสได้คุยกับยอดดวงใจอีกสักครั้ง

ร้านนี้ขายพวกเครื่องสายอย่างไวโอลิน เชลโล่ ดับเบิลเบส หรือแม้แต่ซอเครื่องดนตรีของไทยก็มีขาย เจ้าของร้านเมื่อเห็นว่ามีลูกค้าเข้ามาจึงกุลีกุจอมาต้อนรับ แต่คุณชายบอกว่าขอตนเดินดูก่อน เพราะเครื่องสายเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องดนตรีที่ตนถนัดนักแค่พอเล่นได้เท่านั้น

แต่แล้วเสียงคันชักที่เสียดสีกับสายไวโอลินดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนที่กำลังเดินดูเครื่องดนตรีอยู่ ชายปราณหันไปมองทางต้นเสียงก็พบว่าเพื่อนของพี่ชายตนกำลังยืนเล่นเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งในร้าน โดยมีเจ้าของร้านยืนยิ้มอยู่ข้างๆ เพียงแค่สบตามองอีกฝ่ายที่กำลังเล่นไวโอลิน เพียงแค่นั้นก็ทำเขาราวกับตกอยู่ในภวังค์ จนรู้สึกเหมือนในที่นี้มีเพียงเขาสองคนเท่านั้น

รอยยิ้มอ่อนๆ ประดับบนใบหน้าหล่อคมสัน สายตาของอนันต์มองมาที่เขาราวสื่อความนัย และหากเขาเข้าใจไม่ผิด สิ่งที่อีกฝ่ายสื่อออกมามันสามารถทำให้หัวใจที่เคยสงบเงียบของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงได้

ภาพซ้อนทับเริ่มกลับมาอีกครั้ง เขาเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงชายไทยสมัยโบราณนุ่งโจงกระเบน แต่ตอนนี้เขาไม่อยากละสายตาไปกับสิ่งที่กำลังมองจึงปล่อยใจกับตามเสียงเพลงที่อนันต์กำลังเล่นขับกล่อม ภาพความทรงจำบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในหัวกำลังหมุนวนไปพร้อมๆ กับเสียงเพลง

ภาพที่เขากำลังกอดซบอ้อมอกอุ่นของคนตรงหน้า

ภาพที่รอยยิ้มของเขามอบให้คนตรงหน้าที่ลอยคออยู่ในบึงบัว

มันช่างเป็นภาพที่ทำให้รู้สึกราวกับเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้เอง และภาพเหล่านั้นมันกำลังบ่งบอกว่าเขามีความสุขอยู่กับอีกฝ่ายโดยไม่สามารถหาคำใดมาบรรยายได้

คุณชายปราณเผลอหลับตาลงเพื่อซึมซับภาพหลอนเหล่านั้นซึ่งเขายินดีที่จะเห็นมัน ท่วงทำนองของเพลงดังอย่าง Can't Help Falling In Love ของศิลปินผู้โด่งดังอย่าง Elvis Presley เข้าตรึงจิตใจของคนที่หลงใหลในดนตรี โน้ตแต่ละตัวที่อนันต์เล่นไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักตัวเดียว มันหวานซึ้งพอๆ กับความหมายของบทเพลงนี้

เขาลืมตาขึ้นมองคนตรงหน้าอีกครั้ง ภาพซ้อนทับที่เคยเห็นหายไปแล้ว เหลือเพียงคุณหมอหนุ่มอยู่ในชุดสูทมีราคาที่ยังคงจับจ้องมาที่เขา นิ้วเรียวยาวขยับกดสายไปตามตัวโน้ต เสียงเสียดหูเป็นท่วงทำนองจนครูสอนดนตรีอย่างเขาอดชื่นชมไม่ได้

อนันต์อมยิ้มเมื่อเห็นว่าเสียงไวโอลินของเขาตรึงคนฟังได้อยู่หมัด แววตาที่หวานหยดของเขานั้นไม่ปิดซ่อนความรู้สึกที่อยู่ภายในใจ มันกำลังบอกออกไปถึงคนตรงหน้าว่าใจกำลังร่ำร้องอยู่ก้องอกว่าคิดถึง คิดถึงใจแทบขาด อยากกอด อยากหอม อยากใกล้ชิดให้มากกว่านี้

แปะๆๆ

เสียงปรบมือจากเจ้าของร้านดึงสติของพวกเขาสองคนกลับมาอีกครั้งเมื่อเพลงจบลง อนันต์คืนไวโอลินให้กับเจ้าของร้านเพื่อนำไปเก็บตามเดิม ส่วนตนนั้นก็เดินเข้าไปหาคุณชายปราณที่ยังจ้องมองเขาพร้อมรอยยิ้มและแก้มสีแดงระเรื่อ

“เป็นอย่างไรบ้างครับ ฝีมือการเล่นไวโอลินของผม” อนันต์เอ่ยถามอีกฝ่ายพร้อมใจที่จดจ่อรอคำตอบ

ไอ้หาญที่มือเคยแต่จับขวานจับจอบ แปรเปลี่ยนมาจับเครื่องดนตรีสากลเสียแล้ว แน่ล่ะว่าเสียงดนตรีเป็นอย่างหนึ่งที่คอยขับกล่อมจิตใจของมัน ไม่ให้จิตตกและหดหู่ไปกับชีวิตที่แสนทรมานไปมากกว่าที่เป็นอยู่ แต่ถึงแม้จะเล่นไวโอลินได้ แต่คุณปราณกลับสนใจในเปียโนเสียอย่างนั้น ซึ่งมันเล่นเครื่องดนตรีชนิดนั้นไม่เป็นเลย

“ผมเล่นเครื่องสายไม่ถนัดนัก แต่เมื่อครู่ที่ได้ฟังต้องขอบอกว่าประทับใจมากๆ ครับ ไม่ยักรู้ว่าคุณอนันต์ก็เล่นดนตรีเป็น ตอนนั้นยังขอให้ผมสอนเปียโนอยู่เลย”

“ถือเป็นเกียรติของผมที่ได้เล่นให้คุณชายฟัง แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังอยากให้คุณชายสอนเปียโนให้ผมอยู่ดีครับ เพราะตอนนี้ผมชักสนใจเปียโนมากกว่าไวโอลินเสียแล้ว” อนันต์ตอบพร้อมค้อมหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อยเป็นการตอบแทน ก่อนจะหยอดคำหวานไปเพื่อให้เขาสองคนได้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากกว่านี้

“อยู่นี่นี่เองทั้งสองคน พี่เดินหาซะทั่วเลย กลับกันเถอะเดี๋ยวพี่กลับไปประชุมไม่ทัน”

ยังไม่ทันที่ชายปราณจะตอบอะไรกลับคุณชายปุณที่ตามหาคนทั้งสองอยู่นานก็เปิดประตูร้านเข้ามา พวกเขาจึงตามไปขึ้นรถเพื่อจะได้กลับไปที่โรงพยาบาลเสียที

คุณชายปราณนั่งอยู่ที่เบาะหลัง แม้จะลอบมองออกไปนอกหน้าต่างแต่หางตาก็ยังคอยดูปฏิกิริยาของอนันต์ว่าเป็นเช่นไร เพราะตอนนี้ในหัวเขามันมีแต่ภาพสายตาหวานหยดของอีกฝ่ายที่มอบให้เมื่อตอนเล่นไวโอลิน มันทำให้เขาคิดไม่ตกว่าเหตุใดเพื่อนพี่ชายถึงได้ส่งสายตาให้เขาราวมองหญิงสาวขนาดนั้น

“ขอบคุณสำหรับมื้อเที่ยงนะครับพี่ชายใหญ่”

เมื่อมาถึงโรงพยาบาลชายปราณยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณพี่ชายก่อนชายปุณจะรับคำ เขาบอกลาทั้งเพื่อนและน้องชายก่อนจะรีบแยกตัวออกไปไม่ได้หันกลับมามองอีก เพราะมันได้เวลาที่เขาต้องเข้าประชุมกับพวกอาจารย์หมอแล้ว

“คุณชายจะกลับวังเลยไหมครับ” อนันต์ที่ไม่ได้มีประชุมหรือธุระเร่งด่วนอะไรถามขึ้น เขาอยากยื้อเวลาที่จะอยู่กับอีกฝ่ายให้นานกว่านี้สักหน่อย

“ใช่ครับ คงต้องกลับเลย พอดีช่วงบ่ายนักเรียนที่ต้องสอนเปียโนให้เขาไม่อยู่ผมเลยว่างไปหนึ่งวัน”

“ถ้าเช่นนั้น...ให้ผมไปส่งไหมครับ”

“จะดีเหรอครับ คุณอนันต์ไม่ต้องตรวจคนไข้เหรอครับ”

“เดี๋ยวผมมา รบกวนคุณชายรอตรงนี้สักครู่นะครับ”

อนันต์รีบวิ่งขึ้นตึกไปเพื่อฝากเคสคนไข้ของตนเองให้กับหมอท่านอื่นตรวจไปก่อน แล้วตนจะกลับมาเคลียร์ส่วนที่เหลือตอนกลับจากส่งคุณชายปราณเสร็จ ถึงแม้ว่าการกระทำนี้จะไม่เหมาะสมในฐานะหมอ แต่เพื่อคนที่เขาตามหามาชั่วชีวิตที่เป็นนิรันดร์แล้ว เขาก็ขอตักตวงความสุขให้ตัวเองบ้าง

คุณชายปราณมองเสี้ยวหน้าของคนที่ยอมทิ้งงานและอาสาขับรถไปส่งตนที่วัง การกระทำต่างๆ รวมไปถึงสายตาหวานหยดก่อนหน้านี้ทำให้เขาคิดเป็นอื่นไม่ได้ แต่ที่ทำเขาตกใจคือตัวเองดันรู้สึกดีที่อีกฝ่ายทำแบบนี้

“คุณอนันต์ใจดีแบบนี้ ถึงว่าทำไมพี่ชายใหญ่จึงถูกชะตานัก” ชายปราณเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ ฝ่ายคนขับรถหันมามองเพียงนิดแล้วยิ้มให้

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมแค่อยากทำในสิ่งที่อยากทำให้กับคนที่ผมรู้สึกดีด้วยเพียงเท่านั้น”

“จะบอกว่าคุณอนันต์รู้สึกดีกับพี่ชายใหญ่เหรอครับ” ชายปราณเอ่ยเย้าแหย่ไป อนันต์จึงหัวเราะร่วนที่คุณชายกล้าทำไขสือ ทั้งที่เขาแสดงออกไปชัดเจนว่ารู้สึกกับอีกฝ่ายเช่นไร

“หากจะให้ผมพูดให้ชัดคงต้องบอกว่าผมรู้สึกดีกับคุณชาย ผมเลยทำแบบนี้ครับ”

คำพูดที่ไม่ได้พิเศษอะไรแต่กลับเรียกสีแดงระเรื่อบนแก้มใสที่มีเลือดฝาดได้ คุณชายปราณเสมองออกนอกหน้าต่างรถยุโรปราคาแพงที่อีกฝ่ายเป็นเจ้าของ มือที่วางอยู่บนตักกุมเข้าหากันแน่นเพื่อข่มความรู้สึกอบอุ่นหัวใจที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละนิด

“คุณพูดราวกับผมคือสตรีที่หมายปอง”

“จริงอยู่ที่คุณชายไม่ใช่สตรี แต่หากผมหมายปองคุณชาย...ไม่ทราบคุณชายจะถือว่าหมิ่นเกียรติหรือไม่”





โปรดติดตามตอนต่อไป

ถ้าอยากได้ฟีลเดียวกันลองเสิร์ชหา Can't Help Falling In Love - Elvis Presley - Violin cover ฟังดูนะคะ แล้วจะเข้าใจความรู้สึกของคนทั้งสองได้มากขึ้นค่ะ

ขอบคุณคนอ่านทุกคนค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2020 20:18:46 โดย :นางสาวผอบ: »

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
กำลังจะได้รู้เรื่องราวของอีกหนึ่งชาติของทั้งสองคนมากขึ้นแล้ว

รอตอนต่อไปครับ

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
วี้ดดดด ไม่ลบหลู่เลยยยยย แง

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ว้อยยย  :-[ 555 ชาติก่อนๆทาสกับเจ้านาย หมอกับคุณชาย ชาตินี้ก็เหมาะสมกันดีนะ ได้อยู่ 55555  :katai2-1:  :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
หาญช่างเป็นคนรักมั่นคงอะไรอย่างนี้ อดทนมาเป็นร้อยปีกว่าจะหาคุณปราณเจอ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ :นางสาวผอบ:

  • ความเคลื่อนไหวในเงามืด
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +649/-4
บทที่ ๒๐ (ครึ่งแรก)



“จริงอยู่ที่คุณชายไม่ใช่สตรี แต่หากผมหมายปองคุณชาย...ไม่ทราบคุณชายจะถือว่าหมิ่นเกียรติหรือไม่”

คำพูดของอนันต์ทำคนฟังอึ้งไป ใจเต้นรัวในอกเพราะไม่เคยมีชายใดกล้าพูดกับเขาแบบนี้ หากถามว่าหมิ่นเกียรติหรือไม่ เขาคงตอบได้เลยว่าไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เพราะอนันต์ไม่ได้ดูหมิ่นหรือก้าวล่วงอะไรเขาเลย ออกจากให้เกียรติมากเสียด้วยซ้ำ ดูได้จากคำพูดและการกระทำที่ไม่มีล่วงเกินเขาให้รู้สึกขุ่นข้องหมองใจเลยแม้แต่น้อย

อนันต์ไม่ได้เร่งรัดเอาคำตอบ ถึงแม้เขาจะอยากใกล้ชิดอีกฝ่ายมาแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ควรพึงระลึกไว้คือคุณชายปราณยังไม่รู้ว่าตัวเองคือคุณปราณคนที่เขาตามหา คงต้องให้เวลาอีกฝ่ายเพื่อได้ทำความรู้จักเขาให้มากกว่านี้

แต่เหมือนความคิดเขาจะช้าไปสักหน่อย เพราะเมื่อรถจอดลงที่หน้าคฤหาสน์ในเขตพื้นที่ของวังปริพัตรแล้ว คุณชายปราณได้หันมาพูดประโยคที่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะได้ยินในวันนี้

“สำหรับผม...การได้รับความรู้สึกดีๆ จากใครสักคนไม่ถือว่าเป็นการหมิ่นเกียรติแต่อย่างใดนะครับ”

ใบหน้าคมสันค่อยๆ เผยรอยยิ้มกว้างเมื่อฟังอีกฝ่ายพูดจบ คุณชายปราณเปิดประตูลงจากรถไปโดยมีอนันต์ตามลงไปด้วย แม่บ้านรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับเจ้านายอีกคนของบ้านก่อนจะหายไปเมื่อคุณชายบอกว่าขออยู่ส่งอนันต์ก่อน

“คุณชายครับ ถ้าเช่นนั้นผมจะขอมาหาคุณชายบ้างได้ไหมครับ” ชายหนุ่มเอ่ยถามคนที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดที่สูงกว่าเขาไปสองขั้น อีกฝ่ายก้มลงสบตามองก่อนจะยิ้มให้

“แล้วแต่ใจคุณอนันต์เถอะครับ เพราะวังแห่งนี้ยินดีต้อนรับเสมอ”

“คุณชายบอกว่าแล้วแต่ใจผม... งั้นผมคงต้องขอถามย้ำอีกทีว่าหัวใจของผมยินดีที่จะให้มาหาใช่ไหมครับ”

คำถามหวานหยดที่แอบซ่อนความหมายโดยนัยไว้หยอดลงตรงหัวใจคำแล้วคำเล่า สายตาที่คนพูดสื่อออกมาชัดเจนไม่ปิดบังว่าหมายถึงใคร ทำเอาคุณชายแห่งวังปริพัตรถึงกับเก็บซ่อนความเขินอายบนแก้มไว้ไม่มิด ทำให้ตอนนี้หน้าเขาแดงจนลามไปถึงใบหู เพราะไม่เคยโดนจีบซึ่งๆ หน้า อีกทั้งอีกฝ่ายเป็นถึงชายหนุ่มร่างกำยำที่เป็นถึงเพื่อนพี่ชายตนอีกมันเลยยิ่งแล้วใหญ่

“หากอยากรู้เรื่องเปียโนให้มากขึ้นก็มาสิครับ ผมยินดี” คุณชายปราณตอบออกไปอย่างไว้ตัวสักหน่อย เพราะมีคนรับใช้ออกมาตามเมื่อเห็นว่าเขาไม่เข้าข้างในเสียที โดยไม่ลืมเน้นหนักท้ายประโยคเพื่อสื่อความตอบสิ่งที่อีกฝ่ายถามไว้ก่อนหน้านี้

อนันต์ค้อมหัวให้คนตัวเล็กก่อนจะกลับขึ้นรถ โดยมีชายปราณมองอีกฝ่ายขับรถกลับออกไปจนลับสายตาจึงจะเดินเข้าตัวตึก แต่เมื่อเข้ามาก็พบน้องสาวกำลังยืนกอดอกมองตนอยู่

“ทำไมมองพี่แบบนั้นล่ะหญิงรตี”

“หญิงสงสัยนี่คะ ว่าเหตุใดทำไมคุณอนันต์ที่เป็นเพื่อนพี่ชายใหญ่ถึงได้มาส่งพี่ชายกลางได้”

“พี่แวะไปทานมื้อเที่ยงกับพี่ชายใหญ่มา คุณอนันต์เขาก็ไปด้วย แต่พอตอนกลับเขาเห็นพี่ไม่มีรถจึงอาสาขับมาส่ง”

“ไม่ยักรู้ว่าคนเป็นหมอมีเวลาว่างขนาดนี้”

คุณหญิงรตีหรี่ตามองพี่ชายเธอด้วยสายตาจับผิด เมื่อครู่แอบเห็นว่าคนทั้งสองคุยกัน แม้ระยะห่างจะเป็นขั้นบันไดกั้น แต่แววตาที่อนันต์มองพี่ชายของเธอหวานซึ้งจนเธอเองยังรู้สึกได้

“ไม่คุยด้วยแล้ว ไปหาคุณหญิงแม่ดีกว่า แม่สาย...เห็นคุณหญิงแม่ไหม”

“คุณหญิงอยู่ในสวนอังกฤษค่ะ” แม่สายแม่บ้านสูงวัยของวังตอบกลับมา ชายปราณไม่รอช้ารีบปลีกตัวจากสายตาจ้องจับผิดของน้องสาวทันที หญิงรตีมองตามพี่ชายของตนเองที่หายไปทางอีกด้านหนึ่งของวังซึ่งจัดสวนไว้จิบชายามบ่ายตามสไตล์ยุโรป ก่อนจะยิ้มเมื่อคิดว่าต่อจากนี้คงมีอะไรสนุกๆ ได้ดูแน่ๆ

::::::::::::

อนันต์ไม่ทิ้งเวลาให้สูญเปล่าอีกต่อไป เขาออกจากบ้านในวันหยุดเพื่อขับรถตรงมายังวังปริพัตร วันนี้เขานัดกับคุณชายปุณไว้ว่าจะไปเล่นเทนนิสด้วยกันที่สโมสร แน่นอนว่าเขาไม่ลืมบอกคุณชายปุณว่าให้ชวนน้องชายไปด้วย

เมื่อมาถึงวังปริพัตรเขาก็เดินตามแม่บ้านไปรอที่ห้องรับแขก เพราะสามพี่น้องยังไม่ลงมาจากชั้นบน ส่วนคุณหญิงช่อทิพย์ไม่อยู่ออกไปสมาคมกับเพื่อนฝูงตั้งแต่เช้าแล้ว

“อนันต์มาแล้วเหรอ รอหน่อยนะพอดีหญิงรตีเขาไปด้วยจะได้ครบคู่เลยกำลังแต่งตัว”

ชายปุณเดินมาหาเพื่อนตนที่ห้องรับแขก ชายหนุ่มอยู่ในชุดพร้อมเล่นกีฬาเรียบร้อยโดยไม้เทนนิสนอนอยู่ในกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ต่อมาคนที่เดินเข้ามาในห้องรับแขกคือคุณหญิงธีรตี สาวเจ้ามาพร้อมกับกล้องถ่ายรูปประจำตัวจนพี่ชายต้องเอ่ยถาม

“จะเอากล้องไปทำไมน่ะ”

“ก็ไว้ถ่ายรูปสวยๆ ไว้เก็บเป็นภาพความทรงจำไงคะ คุณอนันต์ได้มาเข้ากลุ่มกับพวกเราแบบนี้ก็ต้องเก็บภาพสักหน่อย”

“แล้วแต่เถอะแม่คุณ แล้วนี่ชายปราณล่ะ”

“พี่ชายกลางกำลังลงมาค่ะ ไม่ทราบจะแต่งตัวให้หล่อไปถึงไหน หรืออวดใครก็ไม่รู้” หญิงรตีที่อยู่ในชุดเสื้อกีฬาและกระโปรงจีบรอบแบบสั้นสีขาวตอบพลางอมยิ้ม เธอหันไปมองอนันต์ซึ่งอีกฝ่ายไม่ได้หลบสายตา แสดงว่าสิ่งที่เธอคิดคงไม่ผิดไปจากความจริงแน่ๆ

คุณหมออนันต์กำลังจีบพี่ชายกลางอย่างแน่นอน ถือเป็นเรื่องน่าตกใจแต่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเมืองนอกเขาก็มีเรื่องพวกนี้ออกถมไป เพียงแต่ไม่ได้แพร่หลายหรือเป็นที่ยอมรับในวงกว้างเท่านั้น

“มาแล้วครับๆ ขอโทษที่สายนะครับพอดีผมหาแร็กเกตตัวเองไม่เจอ คงต้องขอยืมของพี่ชายใหญ่ไปก่อน”

คุณชายปราณรีบกล่าวขอโทษเพราะเขาหาไม้เทนนิสของตนเองไม่เจอ ทั้งที่จำได้ว่าเก็บอยู่ในตู้อย่างดี เพราะถึงแม้จะไม่ค่อยได้ไปออกกำลังกายบ่อยเท่าเล่นดนตรี แต่เขาก็เก็บทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเสมอ แต่ก็ไม่เข้าใจว่ามันหายไปได้อย่างไร

“อ๋อ ไม้ของเราอยู่ที่พี่ เมื่อเดือนก่อนที่เราไปตีเทนนิสกันแต่ตอนกลับชายปราณฝากพี่ไว้ไงเล่า” คุณชายปุณเตือนน้องชายทำให้ฝ่ายคนที่คิดว่าไม้เทนนิสของตนหายถึงกับร้องอ๋อยาวๆ

“จริงด้วย ผมลืมสนิทเลย”

“ถ้างั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ เดี๋ยวแดดร้อนแล้วจะเล่นไม่สนุก”

“งั้นหญิงนั่งรถไปกับพี่ชายใหญ่ ส่วนพี่ชายกลางก็ไปกับคุณอนันต์ดีไหมคะ เพราะคุณอนันต์คงไม่รู้ทางเท่าไหร่” หญิงรตีออกความเห็นเมื่อทั้งสี่เดินมาที่รถแล้ว แอบส่งยิ้มให้พี่ชายคนรองของเธอที่มองมาสื่อให้รู้ว่าเธอรู้ทันเจ้าตัว ชายปราณจึงขึงตาดุใส่น้องสาวไปหนึ่งที่ข้อหาที่รู้มากเกินเหตุ

“เอางั้นก็ได้ ไปเจอกันที่สโมสรเลยนะ” คุณชายปุณพูดจบก็ขึ้นรถตัวเองโดยมีน้องสาวสุดรักตามไปด้วย จากนั้นรถทั้งสองคันก็ขับตามกันมาจนถึงสโมสรกีฬา

ผู้คนในสนามไม่หนาตาเท่าไหร่นัก พวกเขาทั้งสี่จับจองตู้ล็อกเกอร์เก็บของได้คนละตู้จากนั้นก็เดินออกมาที่สนาม มีทั้งสาวๆ และหนุ่มๆ ต่างหวดลูกกลมๆ ข้ามฝั่งไปมา คุณชายหมอที่รู้จักคนไปทั่วแม้ไม่ได้สนิทมีคนเข้ามาทักทายบ้าง แน่ล่ะว่าคนที่มาเล่นเทนนิสไม่ใช่พวกตาสีตาสาที่จะเข้าเล่นได้ ต้องเป็นพวกคนสังคมมีระดับเท่าๆ กันเท่านั้น ทำให้ในที่นี้แทบไม่มีใครที่จะไม่รู้จักสามพี่น้องแห่งวังปริพัตร

หญิงรตีกับชายปุณเจอเพื่อนดักไว้ก่อนจึงติดลมยืนพูดคุยกัน ชายปราณที่ไม่ได้ออกงานสังคมบ่อยเท่าพี่น้องทั้งสองจึงเลี่ยงมารอเล่นเทนนิสที่ข้างสนามแทน อนันต์ไม่คิดจะให้อีกฝ่ายห่างสายตาจึงเดินตามมาด้วย เพราะเขาก็ไม่เคยมาที่นี่เช่นกัน หากผูกตัวติดกับคุณชายปราณคงจะดีกว่า

คนทั้งสองรอไม่นานก็ได้สนามเพราะกลุ่มคนที่เพิ่งเล่นไปก่อนหน้านี้ไม่เล่นแล้ว ชายปราณหันไปเรียกพี่ชายและน้องสาวของตนให้มาที่สนามได้แล้ว ชายปุณไม่รอช้ารีบวิ่งมาหาพร้อมกับหยิบไม้เทนนิสมาถือเตรียมพร้อม แต่ก่อนจะเริ่มเกมการหญิงรตีกลับขอถ่ายรูปก่อน โดยขอช่วยให้คนแถวนั้นช่วยถ่ายรูปกลุ่มให้เธอหน่อย

หญิงรตียืนอยู่ตรงกลางระหว่างพี่ชายทั้งสอง ส่วนอนันต์ขยับไปยืนข้างคุณชายปราณ แผ่นอกแน่นตึงของคนวัยหนุ่มแนบชิดไหล่ข้างซ้ายของคุณชาย ทำเอาคนที่ยืนใกล้ต้องขยับออกสักนิดด้วยความเขินอาย แต่มีหรือที่อนันต์จะยอมปล่อยไป เขาขยับเข้าไปใกล้อีกจนได้ จนท้ายที่สุดคุณชายปราณก็ไม่มีทางหนี ยืนถ่ายรูปโดยแผ่นหลังตนแนบไปกับแผ่นอกของเพื่อนพี่ชายอย่างเสียไม่ได้

คนทั้งสี่แบ่งทีมกันเพื่อจะได้ทำการแข่งขัน คุณชายปราณได้คู่กับอนันต์ ส่วนหญิงรตีก็คู่กับคุณชายปุณไปตามระเบียบ พวกเขาทั้งสี่ผลัดกันเก็บแต้มไปมาไม่มีทีมไหนยอมกัน แต่มีจังหวะหนึ่งที่ชายปุณพลาดหวดลูกไปเต็มแรง ลูกพุ่งเข้าใส่น้องชายตัวเองที่ไม่ทันได้ตั้งตัวทำเอาชายปราณถึงกับสะดุดล้มหงายหลัง อนันต์ที่อยู่ทีมเดียวกันรีบวิ่งเข้ามารับไว้ทันก่อนที่ชายปราณจะหัวฟาดพื้น

ทันทีที่เห็นว่ายอดดวงใจของมันบาดเจ็บจนจุกลุกไม่ขึ้น เนื่องจากลูกเทนนิสพุ่งเข้าใส่ตัวเต็มๆ ก็ทำเอามันรู้สึกอยากเจ็บแทน เมื่อเปิดเสื้อดูแถวหน้าท้องก็เห็นรอยแดงชัดเพราะตัดกับผิวเนียนขาว คุณชายปุณกับหญิงรตีรีบวิ่งเข้ามาดูคนเจ็บ พี่ชายพร่ำขอโทษน้องชายไม่ขาดปากแต่ชายปราณบอกว่าไม่เป็นไร

“พี่ชายกลางไหวไหมคะ หญิงว่าพักก่อนดีไหม”

“พี่ไหว แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก กลับไปเล่นต่อเถอะ กำลังสนุกเลย” ชายปราณพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเพื่อให้ทุกคนสบายใจ แต่คงจะมีแค่อนันต์เท่านั้นที่ตีหน้าขรึมไม่เห็นด้วยนัก

“พักสักหน่อยเถอะครับ รอยแดงที่หน้าท้องไม่ใช่เล็กๆ เลย คงเจ็บไม่น้อย” เขาบอกก่อนจะพยุงคนตัวเล็กให้ลุกขึ้นยืน

“ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”

“แน่นะชายปราณ ไม่ใช่สะดุดหงายหลังล้มลงไปอีกนะ”

ชายปราณหัวเราะคำสบประมาทของพี่ชายตน เมื่อครู่มันเป็นจังหวะเดียวกับที่เขารู้สึกตาพร่าจึงไม่ทันเห็นลูกที่พุ่งเข้าหา บวกกับพอถอยหลังแล้วรู้สึกมันหน้ามืดเลยกลายเป็นล้มลงไป แต่พอได้หยุดเล่นก็รู้สึกดีขึ้น เพียงแต่เจ็บตรงโดนลูกเทนนิสอัดใส่แถวหน้าท้องก็เท่านั้น

“แน่สิครับ ผมรู้นะว่าที่พี่ชายใหญ่กับหญิงรตีพูดแบบนี้เพราะกำลังเป็นรองอยู่ใช่ไหมล่ะ กลัวจะต้องเลี้ยงไอติมเลยต้องบอกให้ผมหยุดแข่งน่ะ” เขาแซวอย่างคนรู้ทัน สองพี่น้องชายหญิงลอบมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะเบาๆ

จากนั้นคนทั้งสี่ก็เริ่มการแข่งขันอีกครั้ง อนันต์ปล่อยให้ชายปราณได้เล่นให้เต็มที่ เพราะดูแล้วอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรอย่างที่พูดจริงๆ เมื่อแข่งจบก็ปรากฏว่าทีมชายปราณกับอนันต์ชนะ ทำให้มื้อนี้คุณชายปุณและหญิงรตีต้องเป็นผู้เลี้ยงไอศกรีมแทน

ความสนิทสนมของชายปราณกับอนันต์เริ่มมีมากขึ้น หลังจากวันที่ไปเล่นเทนนิสด้วยกันก็มีอีกหลายครั้งที่อนันต์แวะเวียนมาหา ข้ออ้างที่ได้ยินบ่อยสุดเห็นทีจะเป็นอยากเรียนเปียโน ทำเอาชายปุณถึงกับออกปากว่าหากสนใจขนาดนี้คงต้องให้น้องชายเก็บค่าเรียนแล้วกระมัง

“คุณชายจะคิดเท่าไหร่ล่ะครับ ผมยินดีจ่าย” อนันต์หันไปพูดกับคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกัน มือเรียวแตะอยู่บนลิ่มเปียโนพร้อมเล่นเพลงคู่กับเขา

สำหรับไอ้หาญในตอนนี้แล้ว หากบอกว่ามันคือมหาเศรษฐีก็คงไม่ผิดนัก ทรัพย์สมบัติที่ทั้งมีให้เห็นและที่ฝังดินไว้มีมากมายมหาศาล เพราะมันเก็บหอมรอมริบมาเรื่อยๆ เพื่อว่าสักวันหนึ่งจะได้เอามาเลี้ยงดูคุณปราณในวันที่มันได้เจออีกฝ่ายอีกครั้ง และตอนนี้เงินเหล่านั้นที่มันหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองพร้อมที่จะเลี้ยงดูคุณปราณแล้ว เหลือก็แต่รอวันที่เจ้าตัวจะยินยอมเพียงแค่นั้น

“พี่ชายใหญ่ก็พูดไปเรื่อย คุณอนันต์อย่าถือสาเลยครับ ผมสอนให้ฟรีไม่คิดเงินหรอก”

คนตอบตอบโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองแต่อย่างใด ทำทีเป็นจดจ่ออยู่กับการกดลิ่มเปียโนให้เกิดเสียงตัวโน้ต เพื่อไม่ให้บรรยากาศระหว่างเขาสองคนเงียบไปนัก ยิ่งคุณหญิงแม่อยู่วังด้วยแล้ว หากไม่มีเสียงเปียโนเกิดขึ้นเลยท่านจะสงสัยเอาได้ ว่าทำไมมาเรียนเปียโนแต่กลับไม่มีเสียงลอดให้ได้ยินเลย

อนันต์ยิ้มมุมปาก เขาไม่ตอบอะไรเพียงแค่วางนิ้วลงบนเปียโน ไล่กดไปตามที่คุณครูตัวเล็กเป็นคนสอน แต่พลันสายตาเหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มที่มุมห้อง กลิ่นดอกไม้หอมแสนคุ้นเคยลอยเข้ามาพร้อมลมที่พัดม่านจนพลิ้วไหว ก่อนจะชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยและไม่ได้ยินมานานแล้วแว่วมาว่า...

‘ว่าไงไอ้เกลอ มึงยังจำกูได้หรือไม่’






โปรดติดตามส่วนต่อไป


ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 687
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
เขินตรงขอถามหัวใจ แล้วเจ้าของหัวใจเค้าตอบยินดีมาอ่ะ   :o8:

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ยอมใจหาญ

อยากรู้ว่า หาญทำอย่างไร ให้ชีวิตเป็นอมตะ

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
มั่นมาแล้ว แสดงว่าชายปราณกำลังจะจำหาญได้แล้วแน่ๆ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai3:


ทำให้คิดถึงละครเรื่อง ปริศนา ชอบๆๆๆ บรรยากาศแบบนั้น

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ความจริงค่อยๆ มา ณิชก็รู้เยอะขึ้นแล้ว

ตอนแรกที่ใจรักมาก รอมานาน เหมือนสมหวัง
ดินแห้งแตกมีน้ำรดให้ชุ่ม แต่เพราะยังไม่ถึงเวลาที่ใช่
หาญเลยต้องเจ็บปวดจนมาเจอณิชอีกครั้ง

สงสารเนาะ ใจเจ็บมาเยอะและยาวนาน ไม่แปลกที่หาญจะไม่กล้าวางใจไว้อีก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด