☁▧☀▧☁ คิด(ไม่)ถึง .. คะนึง(ไม่)หา ☁▨☀▨☁ ๑๘/๖/๖๔ ‡ บทที่ ๓๕ {จบ} หน้า ๑๔
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☁▧☀▧☁ คิด(ไม่)ถึง .. คะนึง(ไม่)หา ☁▨☀▨☁ ๑๘/๖/๖๔ ‡ บทที่ ๓๕ {จบ} หน้า ๑๔  (อ่าน 35167 ครั้ง)

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
รอรับรู้เรื่องราวของคุณชาย

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ไม่อยากฟังตอนจบของนิทานก่อนนอนตอนหน้าเลย  :monkeysad:

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ :นางสาวผอบ:

  • ความเคลื่อนไหวในเงามืด
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +649/-4
บทที่ ๒๗ (ครึ่งแรก)




วันนี้ณิชตื่นสายเขาจึงไม่ทันมื้อเช้า เมื่อลงมาข้างล่างและเดินหามิ้งจนทั่วก็พบหญิงสาวกำลังทำอาหารอยู่ที่โรงครัว โดยมีไอ้มั่นเดินป้วนเปี้ยนไม่ห่าง แม่บ้านคนอื่นๆ แยกย้ายกันไปทำงานปัดกวาดเช็ดถูตามประสา ส่วนจีรัชญ์เข้าสวนกับนายพลีเหมือนเดิม

“หอมจัง” ณิชพูดพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปดมกลิ่นใกล้ๆ ในกระทะมีเส้นมักกะโรนีคลุกครีมซอสส่งกลิ่นหอมอยู่ ท้องเขาร้องโครกครากทันทีเมื่อเห็นความน่ากินของมัน

“พี่ขอจานนึงสิ”

“ได้เลย หนูทำเผื่อไว้แล้ว เมื่อเช้าได้กินข้าวต้มแล้วไม่อิ่มเลยทำอันนี้กิน นี่หนูว่าจะให้พี่มั่นลองชิมด้วย” มิ้งบอกก่อนจะบุ้ยใบ้ไปทางไอ้มั่นที่ยืนทำหน้าฉงนมองอาหารในกระทะ นานมากแล้วที่มันเคยตามไอ้หาญไปเมืองนอกจนลืมอาหารฝรั่งเหล่านี้ไปแล้ว รูปลักษณ์ที่เหมือนหนอนด้วงตัวอวบๆ อ้วนๆ ในกะทิทำให้มันรู้สึกแปลกๆ จนรู้สึกว่ามันดูไม่น่ากินเท่าไหร่นัก

“เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่ากระไรนะเจ้ามิ่ง”

“มักกะโรนีครีมซอส มันคล้ายสปาเกตตีคาโบนาร่าเพียงแต่หนูใส่เส้นมักกะโรนี” มิ้งยิ้มอวดพลางใช้ตะหลิวคนซอสให้เข้ากัน ตักมาชิมนิดหน่อยก่อนจะส่งต่อให้ณิชที่รอชิมอยู่แล้ว พอรุ่นพี่เธอพยักหน้าว่ารสชาติผ่านจึงปิดแก๊ส

“ข้าว่าเหมือนครองแครงกะทิสด เจ้าดูสิ...” ไอ้มั่นชี้พลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มิ้งถึงกับหันขวับไปต่อว่าอีกฝ่ายทันที

“หนูทำอาหารฝรั่งแต่พี่ทักซะเป็นขนมหวานของไทยเลยนะ เชยจริงๆ ไหนบอกว่าเคยตามคุณตรีไปอยู่ถึงเมืองนอกเมืองนา”

“ปัดโถะ! ข้าเคยตามไปแต่ใช่ว่าจะได้ไปอยู่ดีกินดีนะโว้ย เป็นแค่วิญญาณลอยไปลอยมา รูปร่างตัวตนใดก็หามีเช่นคนอื่นไม่ แค่ได้เห็นเมืองนอกก็ดีถมแล้ว” ไอ้มั่นโวยกลับ นี่หากเจ้ามิ่งเกิดทันเมื่อเขายังมีชีวิตคงได้ไล่เตะกันเสียแล้วกระมัง

มิ้งเลิกเถียงก่อนจะตักมักกะโรนีให้ณิชหนึ่งจาน ดีที่เธอตัดสินใจทำเผื่อไว้เพราะเห็นว่ารุ่นพี่เธอตื่นสายแน่ๆ ตอนนี้ตรงหน้าเลยมีจานสามใบเรียงไว้ พร้อมมักกะโรนีหน้าตาน่าทาน พวกเขานั่งกินในครัว มิ้งจุดธูปให้มั่นและไม่ลืมถ่ายรูปอาหารที่เธอลงมือทำเองด้วย

“เลี่ยน” คำแรกที่ไอ้มั่นพูดเมื่อรับรู้รสชาติแปลกๆ เข้าปาก แม้ไม่ได้เต็มรสอย่างคนเป็น แต่ก็พอรับรู้รสได้บ้าง มันส่ายหน้าหวือปฏิเสธที่จะกินต่อ

“ถ้าพี่ไม่กินหนูเสียใจนะ” มิ้งทำท่าบีบน้ำตา ร้อนถึงไอ้บ่าวตัวดำที่ต้องฝืนกินอาหารฝรั่งรสชาติเลี่ยนๆ ต่อไป

“เออพี่ณิช เมื่อคืนพี่ไปเที่ยวมาเหรอ ทำไมไม่ชวนกันบ้างอ่ะ น่าน้อยใจนะ เห็นหนูเป็นคนนอกแล้วรึไง ใช่สิ...พอรักกันแล้วอะไรๆ มันก็ดีนี่” มิ้งหันมาไล่บี้รุ่นพี่ของตัวเองอย่างคนเพิ่งนึกขึ้นได้ ใบหน้าน่ารักของหญิงสาวงอง้ำ ณิชที่ตักอาหารเข้าปากเกือบสำลักก่อนจะหันไปทางไอ้มั่นเพราะรู้ทันทีว่าคนปากสว่างคงไม่ใช่ใครที่ไหน ถ้าไม่ใช่จีรัชญ์ก็ต้องเป็นมั่นนี่แหละ

“ก็ว่าจะแอบไปสืบเรื่องคุณจีรัชญ์นั่นแหละ”

“แล้วยังไง ตกลงได้เรื่องไหม” มิ้งลืมเรื่องน้อยใจก่อนหน้านี้ไปเสียสนิทเมื่อได้ยินสิ่งที่ณิชพูด

“ได้อะไรล่ะ โดนคุณจีรัชญ์หิ้วกลับมาเพราะดันโดนรถเฉี่ยว เนี่ย...ยังปวดตัวอยู่เลย” ณิชถลกขากางเกงขาสั้นขึ้นให้เห็นรอยถลอกและรอยช้ำ รวมไปถึงยกแขนที่มีแผลให้มิ้งดู

“โห! แล้วคุณตรีเขาว่าไง” มิ้งถามพลางจับตัวอีกฝ่ายสำรวจดูให้ทั่วว่ามีส่วนไหนบาดเจ็บอีกหรือไม่

“ก็ไม่ว่าไง แต่ยอมเปิดปากเล่าเรื่องคุณชายปราณให้ฟัง” พูดจบก็ยักคิ้วไปหนึ่งทีเชิงอวดว่าในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ มิ้งถึงกับอ้าปากหวอด้วยความไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“พี่ลงทุนขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย นับถือใจจริงๆ แล้วรู้เรื่องอะไรเพิ่มบ้าง”

จากนั้นณิชก็เล่าเรื่องที่ตนได้ฟังมาเมื่อคืนให้มิ้งฟัง สลับกับหันไปถามมั่นเป็นระยะๆ รายนั้นก็บอกเท่าที่บอกได้ ซึ่งก็ไม่ต่างจากที่จีรัชญ์เล่าเท่าไหร่นัก เพียงแต่มุมมองของมั่นมันทำให้เขารู้สึกว่าพวกเขาสองคนในชาติที่แล้วรักกันมากจนยากที่จะแยกจากกันอีกแล้ว

“แสดงว่าบัวทุกต้นในสระนี้คุณตรีลงมือปลูกเองทั้งหมดเหรอพี่มั่น” มิ้งถามตาวาว ตอนนี้พวกเขาย้ายกันมานั่งเล่นที่ศาลากลางสระแล้ว ไอ้มั่นรีบพยักหน้าหงึกหงักตอบหญิงสาว

“เคราะห์กรรมพวกพี่โหดร้ายจริงๆ รักกันขนาดนี้ยังแยกจากกันได้ แล้วชาตินี้จะไหวไหมอ่ะพี่ณิช” เธอชักถอดใจแทนเมื่อได้ฟังเรื่องราวความรักที่แสนหวานปนเศร้านี้แล้ว

อดคิดไม่ได้ว่าชาติก่อนรักกันขนาดนั้นยังต้องจากกัน ชาตินี้จะไปเหลือเหรอ

“มันต้องไหวสิมิ้ง พี่ไม่ยอมหรอก”

“ไม่ยอมอะไร”

เสียงนุ่มคุ้นหูของเจ้าของวังปริพัตรคนปัจจุบันทำคนทั้งสองสะดุ้ง ส่วนไอ้มั่นที่เห็นเพื่อนรักเดินมาแล้วทำเพียงแค่พยักหน้าทักทาย

“เรื่องคุณไงครับ วันนี้จะเล่าเลยไหม ผมพร้อมฟังแล้ว” ณิชตอบก่อนที่จีรัชญ์จะมาหยุดอยู่ข้างๆ มิ้งยิ้มให้ชายหนุ่มที่ตอนนี้อยู่ในชุดเข้าสวนธรรมดาๆ แต่กลับหล่อเหลาเอาการ ขนาดเสื้อลายทางที่ใส่เปรอะเปื้อนไปบ้างแต่ก็ยังดูดี มีมาดราวกับผู้ดีจนลืมคิดไปเลยว่าจีรัชญ์เคยเป็นทาสในเรือนมาก่อน

“ผมจะไปอาบน้ำก่อน เหนียวตัว คุณไปรอที่ห้องทำงานได้เลย”

ณิชยิ้มกว้างทันที เขาชวนมิ้งไปด้วยแต่หญิงสาวปฏิเสธ เธอค่อยรอฟังจากณิชต่ออีกทีดีกว่า ช่วงเวลานี้ควรปล่อยให้จีรัชญ์กับณิชได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ก่อนที่พวกเธอจะต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ

*

ณิชมานั่งรอจีรัชญ์ที่ห้องทำงานอย่างที่อีกฝ่ายบอก ระหว่างรอเขาเดินไปดูภาพวาดบ้านเรือนไทยที่เห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึงที่นี่ รอยยิ้มค่อยๆ ฉายขึ้นบนใบหน้า มือเรียวลูบไปบนภาพแผ่วเบา แม้อายุของภาพนี้จะนับสิบๆ ปีแล้วก็ตาม แต่ความสวยงามของมันยังคงอยู่ไม่จางหาย ถึงว่าว่าทำไมจีรัชญ์ได้หวงนักหวงหนา ก็เพราะมันเป็นภาพที่อนันต์มอบให้คุณชายปราณในวันที่เจ้าตัวมีจิตใจอ่อนแอนั่นเอง

“ผมจะเอากลับไปติดไว้ที่เดิม” คนเข้ามาทีหลังในเสื้อผ้าชุดใหม่พูดขึ้น จีรัชญ์มายืนซ้อนหลังณิชแล้วจูบที่ขมับเบาๆ เขามองภาพวาดฝีมือตัวเองก่อนจะอมยิ้มเมื่อคิดถึงวันวานที่ผ่านมา

“คุณวาดสวยมากๆ ถ้าผมขอให้วาดรูปให้ผมบ้างได้ไหม”

“จะให้วาดอะไรล่ะ”

“วาดผมไง เอารูปผมกับคุณ อ้อ! รูปถ่ายขาวดำใบนั้นที่คุณถ่ายคนเดียวน่ะ คุณวาดให้ผมอยู่ในรูปนั้นกับคุณได้ไหม”

“หึ... ไปถ่ายใหม่ไม่ดีกว่าเหรอครับ” จีรัชญ์ถามพลางยิ้มขำกับคนที่คิดอะไรให้ยุ่งยาก

รูปถ่ายขาวดำที่ณิชเคยเห็นรูปนั้นเป็นรูปตอนที่เขากำลังจะไปต่างประเทศ ท่านทูตจับเขาถ่ายรูปไว้เพื่อให้ไว้เป็นที่ระลึก เขาเก็บมาเป็นอย่างดีแม้จะข้ามน้ำข้ามทะเลแรมเดือนก็ไม่ยอมให้มันเสียหายโดยเด็ดขาด ณิชจึงได้เห็นรูปใบนั้นในปีนี้

“จริงด้วย” ณิชเห็นด้วย แต่เขาก็อยากให้จีรัชญ์วาดรูปให้ตัวเองบ้าง เพราะฝีมือปลายพู่กันของจีรัชญ์มันดูงดงามมากจริงๆ

“มานี่สิ” จีรัชญ์รั้งคนตัวเล็กกว่าให้เดินตามตนไปทางมุมหนึ่งของห้องทำงาน เขาไขกุญแจเปิดประตูที่ซ่อนอยู่หลังตู้หนังสือเข้าไป ภายในนี้เขาเอาไว้เก็บรูปวาดต่างๆ ที่เขาวาดเอาไว้ แม้แต่รูปภาพที่ถูกถ่ายเมื่อสมัยหลายสิบปีก่อนก็อยู่ในนี้

“โอ้โห!!! คุณมีห้องลับในนี้ด้วยทำไมผมไม่รู้เลย” ณิชเบิกตาโตด้วยความตกใจ กลิ่นอับของห้องมีอยู่บ้าง ฝุ่นมีอยู่ประปรายสื่อให้รู้ว่าห้องไม่ได้ถูกทิ้งร้าง เจ้าของยังคงเข้ามาทำความสะอาดและปล่อยให้มันได้ระบายอากาศอยู่เนืองๆ

“รูปสระบัวนี้คือที่ไหน” ณิชเปิดภาพวาดดูแล้วชี้ถาม

“ที่ที่คุณชอบให้ผมพาไป”

“ตอนไหน...” ณิชหันไปถามพลางขมวดคิ้วมุ่น จีรัชญ์ยิ้มกริ่มไม่ได้ตอบ แต่สายตากรุ้มกริ่มนั้นณิชเดาได้ไม่ยากว่าตอนไหน ชายหนุ่มหน้าแดงขึ้นทันทีเมื่อคิดได้ว่าสระบัวนั้นคือที่แรกที่เขากับไอ้หาญพลอดรักกัน อาการเขินปิดไม่มิดจนต้องเบือนหน้าหนีสายตาของจีรัชญ์แล้วหันไปสนใจภาพวาดอื่นๆ แทน

รูปที่จีรัชญ์วาดส่วนใหญ่เป็นวิวทิวทัศน์อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด รูปก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายยังวาดไม่เสร็จแล้วดันมีปากเสียงกับเขาก่อนก็ตั้งอยู่บนขาตั้งและคลุมผ้าไว้ มันยังคงค้างไว้อยู่เหมือนเดิม จีรัชญ์ให้เวลาณิชเดินสำรวจดูรอบห้องเล็กนี้ไปเรื่อยๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายรื้อรูปออกมาดูทีละรูปจนกระทั่งณิชไปเจอภาพภาพหนึ่ง

“ผมเคยเห็นเหตุการณ์นี้ เหมือนมัน...เป็นเดจาวู” ณิชพูดขึ้นพร้อมกับภาพวาดในมือที่มีชายหนุ่มนั่งหันข้างเล่นเปียโนแกรนด์หลังใหญ่ ใบหน้าที่เห็นเพียงเสี้ยวระบายยิ้มอ่อนๆ และใช่...มันคือคุณชายปราณ หรือเขาในชาติที่แล้วนั่นเอง

“นี่คือครั้งแรกที่คุณชายปราณกับคุณอนันต์เจอกันใช่ไหมครับ” เพราะเสี้ยวความรู้สึกและภาพที่แวบเข้ามาในหัวเพียงเสี้ยววิทำให้เขามั่นใจว่าต้องใช่แน่ๆ

“ใช่ครับ”

ณิชน้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตาทันทีเมื่อคิดว่าจีรัชญ์ต้องเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเองแบบนี้คนเดียว แม้จะมีมั่นอยู่เป็นเพื่อนแต่อีกฝ่ายก็จะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อเขาจำเรื่องราวในอดีตได้เท่านั้น ซึ่งนั่นก็ไม่ต่างจากการอยู่คนเดียวอยู่ดี ภาพความทรงจำทุกอย่างถูกถ่ายทอดใส่เฟรมรูปภาพภาพแล้วภาพเล่า บางฉากบางตอนที่จีรัชญ์วาดคือสิ่งที่เขาไม่รู้และจำไม่ได้ แต่จีรัชญ์กลับจำได้ทุกอย่างราวกับความทรงจำเหล่านี้ไม่เคยเลือนหายไปเลยแม้แต่นาทีเดียว

“คุณร้องไห้อีกแล้ว ไม่ยักรู้ว่าคุณขี้แย” จีรัชญ์เกลี่ยน้ำตาบนแก้มใสเบาๆ

“ก็ดูสิ่งที่คุณทำสิ ทั้งห้องนี้เหมือนกรุความทรงจำของคุณทั้งหมดเลย”

“ไม่ใช่ความทรงจำของผม มันเป็นความทรงจำของเราต่างหาก”

พวกเขาทั้งคู่ออกมาข้างนอกอีกครั้ง ณิชหยิบหมอนมานั่งเล่นที่ข้างหน้าต่างเช่นเดิม เขารั้งให้จีรัชญ์นอนบนตักเพื่อที่จะได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง

“เริ่มเลยนะครับ”

“แป๊บนึงครับ” ณิชพูดขึ้นเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ เขารีบลุกออกไปจากห้อง จีรัชญ์ที่สงสัยว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรก็ได้แค่ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้ตามออกไป รอไม่นานณิชก็กลับมาพร้อมกับขนม น้ำ และส้มโอที่ปอกมาเสร็จแล้ว

“เสบียงพร้อมแล้วครับ เริ่มได้เลย”

จีรัชญ์ถึงกับหัวเราะเมื่อเห็นว่าณิชเตรียมตัวราวกับกำลังมาปิกนิก เขาล้มตัวลงนอนหนุนตักอีกฝ่ายที่กลับมานั่งเหยียดขายาวหลังพิงบานกระจกหน้าต่างเช่นเดิมแล้ว ก่อนเรื่องราวจะถูกถ่ายทอดออกจากปากจีรัชญ์อีกครั้ง

“เมื่อคืนผมเล่าถึงตรงไหนนะ”

“คุณสร้างสระบัวให้คุณชายปราณ และพวกคุณก็มีความสุขกันมาก” ณิชตอบพลางเคี้ยวคุกกี้กรุบๆ

“อ่า...ใช่ครับ เรามีความสุขกันมาก” จีรัชญ์พึมพำในลำคอ เขาคิดย้อนไปในตอนนั้นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ณิชก้มมองคนที่กำลังเหม่อก่อนที่รอยยิ้มของจีรัชญ์จะเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าเรียบเฉย สายตาอ่อนโยนดูเศร้าขึ้นมาในทันที

“ผมคิดว่าเราสองคนจะผ่านคำสาปนั้นมาด้วยกัน เพราะผมอยู่กับคุณนานแรมปีเราไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาหรืออุปสรรคในชีวิตเลย ทุกคนในวังปริพัตรรับรู้ว่าผมกับคุณเป็นอะไรกัน ญาติพี่น้องของคุณก็ไม่มี ไม่มีใครมาขัดขวางความรักของเราสองคนอย่างที่เป็นในอดีตอีก”

ในตอนนั้นอนันต์คิดไว้เลยว่าอีก 10 ปีข้างหน้าเขาต้องมีอะไรบ้าง เขาวางแผนชีวิตคู่ว่าเขากับคุณชายปราณจะต้องสร้างอะไรเพิ่ม หรือจะอยู่กินกันอย่างไร จะรับเด็กสักคนมาอุปการะดีหรือไม่ เขาคิดไปไกลมากโดยที่ไม่เอะใจเลยสักนิดว่า...ร่างกายของเขายังคงไม่มีบาดแผลที่ทำให้เลือดไหล หรืออาการบาดเจ็บใดที่ทำให้เขาถึงแก่ชีวิตได้

“คุณอนันต์! เจ็บไหมครับ ให้ผมดูแผลหน่อย” ชายปราณปรี่เข้าไปดูคนที่เพิ่งตกต้นไม้แล้วหน้าแข้งโดนกิ่งไม้ขูดเป็นทางยาว แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ กลับไม่พบแผลเลยสักนิด แม้แต่รอยถลอกก็ไม่มี มีเพียงรอยขูดแดงๆ เพียงเท่านั้น

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้เองโดนไม่เยอะ เห็นไหมแผลยังไม่มีเลย” อนันต์ปลอบคนรักที่ยื่นหน้าตื่นอยู่ใกล้ๆ สายตายังคงสำรวจไปทั่วร่างเขาว่ามีบาดแผลตรงอื่นหรือไม่

วันนี้เขานึกอยากจะตัดแต่งกิ่งไม้เสียหน่อย มีเลื่อยที่เพิ่งซื้อมาใหม่จึงอยากแกะใช้ เขาปีนต้นไม้ขึ้นไปก่อนจะใช้เลื่อยเลื่อยกิ่งไม้ที่มันดูไม่สวยงามออก แต่ก็ไม่คิดว่าตนจะก้าวพลาดจนตกต้นไม้ลงมาแบบนี้

“โชคดีก็แล้วไปครับ แต่ถ้าโชคร้ายโดนไม้เสียบขาขึ้นมานี่แย่เลยนะ คนในบ้านก็มีเยอะแยะทำไมไม่เรียกใช้ล่ะครับ จะทำเองทำไม” ชายปราณอดไม่ได้ที่จะเอ็ดคนรัก ใบหน้าหวานงอง้ำเล็กน้อยสื่อให้รู้ว่าตนห่วงใยอนันต์อยู่มาก

“อย่าเอ็ดผมนักเลยครับคุณชาย คุณเข้าข้างในเถอะ โดดแดดโดนลมเยอะๆ เดี๋ยวจะจับไข้ไม่สบายไปอีก”

เพราะช่วงนี้คุณชายปราณป่วยบ่อยอย่างไม่ทราบสาเหตุ เรียกได้ว่าสามวันดีสี่วันไข้จนเขาเป็นห่วง บอกให้ไปตรวจเจ้าตัวก็บอกไปว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก พอจะไปหาหมออาการเหล่านั้นก็หายแล้ว

และเพราะความชะล่าใจในตอนนั้น ทำให้เดือนต่อมาคุณชายปราณเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจนต้องหามส่งโรงพยาบาลในช่วงกลางดึก อนันต์ที่แทบจะตรวจไข้เองจำใจต้องยืนรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เพราะเขาไม่มีอำนาจในการรักษาเนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ป่วย

*

นานหลายวันที่คุณชายปราณต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เจ้าตัวยังมีอาการปวดหัวอยู่เนืองๆ เพียงแต่ไม่ได้รุนแรงเท่าวันแรก หมอยังคงวินิจฉัยได้ไม่แน่ชัดจนกว่าจะตรวจทุกอย่างครบแล้ว

“วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ ยังมีอาการคลื่นไส้อยู่ไหม” อนันต์ถามคนที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียงผู้ป่วย อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่แล้วครับ แต่ผมจะบอกข่าวดีอะไรบางอย่างเอียงหูมาสิครับ” คุณชายปราณกวักมือเรียกอนันต์ให้เอียงหูไปใกล้ตน อนันต์ยิ้มก่อนจะทำตามอย่างว่าง่าย

“อะไรครับ”

“เมื่อคืนผมเห็นคุณหญิงแม่ พี่ชายใหญ่แล้วก็หญิงรตีที่นี่ด้วยครับ” ชายปราณพูดพร้อมใบหน้าระบายยิ้ม แววตาซ่อนความดีใจปิดไม่มิดที่ตัวเองได้เจอคนที่รักอีกครั้ง แม้ไม่ได้พูดคุยกันแต่ก็ยังดีที่ได้เจอ

“จริงเหรอครับ? เห็นที่ไหน เห็นได้ยังไงครับ” อนันต์ถามพลางขมวดคิ้วสงสัย

“ก็มาหาผมที่นี่ ตอนที่คุณหลับไปแล้ว ผมไม่อยากปลุกเลยไม่ได้บอกตั้งแต่เมื่อคืน”

คำตอบของชายปราณทำอนันต์หันมองหน้าไอ้มั่นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ไอ้ทาสผู้ซื่อสัตย์ที่ดวงวิญญาณติดตามเจ้านายมาด้วยก็สงสัยเช่นกันว่าเจ้านายมันเห็นวิญญาณดวงอื่นได้อย่างไร

“หรือจะเป็นสิ่งพิเศษที่ติดตัวคุณปราณมาวะไอ้หาญ” ไอ้มั่นถามเมื่อมันกับไอ้เกลอออกมาจากห้องพักผู้ป่วย ไอ้หาญทำทีเป็นออกมาซื้อข้าวกินมันจึงตามออกมาถามด้วยความสงสัยที่มีอยู่เต็มอก

“แต่กูไม่คิดแบบนั้น”

แน่นอนว่าสิ่งที่เขาได้เจอในชีวิตอย่างเช่นการมีชีวิตเป็นนิรันดร์มันคือเรื่องเหลือเชื่อที่สุด แต่เรื่องที่คุณชายปราณเจอกลับทำให้เขาสงสัยมากกว่าจะมองว่ามันคือสิ่งอัศจรรย์

“ผมขอพบอาจารย์จเรหน่อยครับ”

“ได้ค่ะหมออนันต์ แต่คงต้องรอช่วงบ่ายนะคะ พอดีอาจารย์จเรติดประชุมค่ะ” เลขาฯ ของอาจารย์แพทย์ที่เก่งที่สุดของโรงพยาบาลบอกเขาเสียงหวาน อนันต์พยักหน้ารับเพราะเขายินดีรอ เนื่องจากเรื่องที่เขาจะปรึกษาต่อไปนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจทิ้งไว้ได้อีกต่อไป




โปรดติดตามส่วนต่อไป
ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-02-2021 06:03:43 โดย :นางสาวผอบ: »

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
มันเศร้าใจที่เห็นคนรักจากไป กอดไอ้หาญแน่นๆ :กอด1:

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ :นางสาวผอบ:

  • ความเคลื่อนไหวในเงามืด
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +649/-4
บทที่ ๒๗ (ครึ่งหลัง)



อนันต์ออกมาจากห้องของอาจารย์จเรที่เป็นอาจารย์แพทย์เกี่ยวกับระบบประสาทและสมอง เขาเข้าไปปรึกษาเรื่องอาการของคุณชายปราณอยู่นานหลายนาที ฝ่ายอาจารย์จึงบอกว่าเดี๋ยวจะดูให้ เพราะเท่าที่ฟังจากอนันต์เล่ามาก็ยังฟันธงไม่ได้ว่าสิ่งที่อนันต์คิดนั้นใช่หรือไม่

วันนี้เข้าสู่วันที่ 7 แล้วที่หม่อมราชวงศ์ปราณันต์พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ชายปราณนั่งอยู่บนเตียงกำลังกินมะม่วงเปรี้ยวจิ้มพริกเกลืออยู่กับมั่น เขาไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงยังกลับบ้านไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าแค่อาการปวดหัวถึงกับต้องนอนโรงพยาบาลหลายคืนแบบนี้ อีกทั้งอนันต์ยังมีสีหน้ากังวลและเครียดจนเขารู้สึกได้

“ทำไมไม่ทานข้าวล่ะครับ” อนันต์ถามเมื่อเข้าเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ แต่กลับเห็นคนป่วยนั่งกินมะม่วงเปรี้ยวแทนที่จะเป็นมื้อเย็นที่อยู่ในถาดอาหาร

ช่วงนี้เขานอนเฝ้าคุณชายปราณที่โรงพยาบาลทุกวัน ดีอยู่อย่างตรงที่พอตี่นเช้ามาอาบน้ำแต่งตัวก็เริ่มงานได้เลย เพียงแต่ว่าตอนนี้ก็มีสิ่งที่รบกวนจิตใจและยังไม่ได้รับคำตอบ นั่นคืออาการป่วยของคุณชายปราณ

“หมออนันต์คะ เลขาฯ อาจารย์จเรบอกว่าอาจารย์ให้ไปพบที่ห้องค่ะ” พยาบาลสาวนางนึงบอกเมื่ออนันต์กำลังจะเดินผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลไปในช่วงพักเที่ยงของวันหนึ่ง อนันต์ที่กำลังจะไปซื้อข้าวมาทานกับคุณชายปราณชะงักไป ก่อนจะรีบสาวเท้าเร็วๆ เพื่อไปยังห้องทำงานของอาจารย์จเร

“ผลตรวจออกมาแล้วนะหมออนันต์ คุณชายปราณมีเนื้องอกในสมอง”

คำตอบที่เขาได้รับจากแพทย์เจ้าของไข้เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้เตรียมใจไว้เลย อาจารย์จเรที่อยู่ในห้องนี้ด้วยพยักหน้ายืนยันอีกเสียงว่าสิ่งที่เขาได้ยินนั้นคือความจริง เพราะอาการป่วยของคุณชายปราณไม่ใช่เพียงแค่ร่างกายอ่อนแอ หรือจิตใจที่เกิดมาจากการสูญเสียคนในครอบครัวพร้อมกัน แต่เพราะเนื้องอกที่กำลังเป็นอยู่โดยไม่ออกอาการ และเพิ่งมามีอาการเอาตอนที่ตรวจพบช้าไปเสียแล้ว

“ไอ้หาญ...” ไอ้มั่นเรียกชื่อเพื่อนรักเสียงสั่นเครือ มันไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่คุณปราณเป็นร้ายแรงแค่ไหน แต่เห็นใบหน้าที่ซีดเผือดพร้อมกับการที่ไอ้หาญทรุดนั่งอย่างคนหมดแรงก็พอเดาได้ว่าคงอาการหนักพอสมควร

“คุณปราณจะรักษาได้หรือไม่วะ”

“........”


“มะ...มึง...พูดกระไรบ้างสิวะ”

“........”


“มึงหาหมอที่เก่งๆ มารักษาคุณเขาได้ไหมวะ รึต้องให้กูไปบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใดให้หรือไม่ กูจะทำทุกทางให้มึงกับคุณปราณสมหวังให้จงได้”

คำพูดของไอ้มั่นไม่สามารถเรียกสติของไอ้หาญกลับมาได้ ตอนนี้ไอ้หาญในคราบหมออนันต์นั่งหมดเรี่ยวแรงอยู่ที่ขั้นบันได ไม่สนคนที่เดินผ่านไปมาด้วยซ้ำเพราะสิ่งที่มันกำลังรู้สึกนั้นไม่สามารถบรรยายออกมาได้

ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ร่างกายของคุณชายปราณพยายามบอกอาการมาตลอดว่าไม่ปกติ แต่เขากลับไม่เอะใจ ประสบการณ์ที่มี สิ่งที่ได้เรียนมา ความรู้ที่สั่งสมมาเป็นสิบเป็นร้อยปีแต่กลับช่วยอะไรในตอนนี้ไม่ได้เลย

เขาถามแพทย์เจ้าของไข้และอาจารย์จเรแล้วว่ามีทางรักษาหรือไม่ หรือต้องให้ข้ามน้ำข้ามทะเลพาคุณชายปราณไปรักษาที่ต่างประเทศเขาก็ยอม แต่คำตอบที่ได้คือมันสายเกินไปแล้ว ตอนนี้มะเร็งได้ลุกลามเกินกว่าจะรักษาได้ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือทำใจ

“อึก...ฮึก...” อนันต์ไม่สามารถอดกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป หมัดกำแน่นอุดปากไว้เพื่อไม่ให้เสียงร้องสะอื้นของตนดังให้คนอื่นได้ยิน ตอนนี้คำถามที่วนอยู่ในหัวคือเขาผิดอะไร เขาพลาดตรงไหน เขาคิดว่าทุกอย่างมันผ่านพ้นไปแล้วแต่ท้ายสุดมันก็จะจบลงแบบเดิม

ไอ้มั่นนั่งลงข้างเพื่อนรัก น้ำตาของวิญญาณทาสรินไหลยามเห็นเพื่อนเสียใจอีกครา มันก็รู้สึกเสียใจไม่แพ้กันที่โชคชะตาเล่นตลกกับชีวิตไอ้หาญเช่นนี้ มันไม่ได้คิดเสียใจว่าตัวเองต้องตามติดคนทั้งสองไปทุกภพทุกชาติ แต่มันคิดเสียใจที่ช่วยอะไรคนทั้งสองไม่ได้มากกว่านี้

“มันอาจจะมีปา...เขาเรียกกระไรวะ ปาตีหานใช่หรือไม่ เออ! มันอาจจะเกิดปาตีหานขึ้นก็ได้นะเว้ยไอ้หาญ” ไอ้มั่นพูดปลอบใจ

ปาฏิหาริย์ที่ไอ้มั่นพูดถึงไม่มีจริงหรอก มันก็แค่คำพูดปลอบใจของคนที่สิ้นหวังแล้วก็เท่านั้น

*

อนันต์กลับมาที่ห้องพักผู้ป่วยอีกครั้ง คราบน้ำตาและดวงตาที่แดงก่ำถูกกำจัดออกไปไม่ให้คนป่วยได้เห็นว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไร ร่างบอบบางที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้าซูบเซียวลงไปมาก หน้าตาที่เคยแจ่มใสตอนนี้ซีดเผือดไร้เลือดฝาด

“อ่ะ... คุณกลับมาแล้ว ตรวจคนไข้เสร็จแล้วเหรอครับ” ชายปราณเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจที่อนันต์ชอบมอง มือใหญ่ยื่นมาลูบหัวชายปราณเบาๆ ก่อนหนุ่มร่างสูงจะก้มลงหอมกระหม่อม

หากจะให้คนอย่างไอ้หาญยอมแพ้คงต้องรอให้ปลายดาบของท่านออกญาฯ บั่นคอ เพราะหลังจากเขาคิดทบทวนดูแล้วเขาจะหาทางรักษาคุณชายปราณให้ได้ แม้มันจะไม่ใช่ทางที่เขาถนัดแต่ก็จะหาข้อมูลให้มากที่สุดเพื่อจะช่วยชีวิตคนรักในชาตินี้ไว้ อาจารย์จเรคืออาจารย์หมอที่เขาเคารพ แต่ครั้งนี้เขาขอไม่เชื่ออีกฝ่ายที่ว่าเปอร์เซ็นต์ที่คุณชายปราณจะรอดนั้นมีน้อย เขาจะสร้างคำว่าปาฏิหาริย์ขึ้นมาด้วยตัวเอง

“ผมอยากกลับบ้านแล้ว ผมขอกลับบ้านได้ไหมครับ” ชายปราณถามคนที่กำลังเหม่อมองออกนอกหน้าต่างห้องพัก อนันต์หันกลับมายิ้มให้ก่อนจะตอบตกลงออกไป ในเมื่ออาจารย์จเรบอกว่ารักษาไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะพาคุณชายกลับวังปริพัตรและหาทางอื่นต่อไป

เมื่อคุณชายปราณกลับมาอยู่ที่วังแล้ว อาการของโรคก็ยิ่งชัดมากขึ้น มีครั้งหนึ่งที่อนันต์เดินผ่านห้องหนังสือที่อีกฝ่ายชอบขลุกตัวอยู่ในนั้น เขาได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเบาๆ แต่เมื่อเงี่ยหูฟังบทสนทนามันก็ทำให้ความเข้มแข็งที่เขาแสร้งมีพังทลายลงตรงหน้า

“หญิงรตีก็พูดเกินไป พี่อยู่กับคุณอนันต์แล้วมีความสุขมาก มีความสุขกว่าตอนที่เราไปเที่ยวภาคเหนือด้วยกันเสียอีก”

บานประตูที่แง้มเปิดเพื่อที่อนันต์จะได้ดูคนข้างในได้ค่อยๆ ปิดลงอย่างเบามือ คุณชายปราณนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกพูดเสียงเจื้อยแจ้วกับชั้นหนังสือราวกับที่ตรงนั้นมีคนยืนอยู่ด้วย ทั้งที่จริงไม่มีใครอยู่เลย

ไอ้มั่นที่อยู่กับคุณชายปราณได้แค่ก้มหน้าซุกซ่อนความเสียใจที่เห็นอาการภาพหลอนของเจ้านายซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันยืนหลบอยู่ที่มุมห้อง ก่อนหน้านี้คุณปราณก็เพิ่งจะแนะนำมันกับพี่น้องของตัวเองไป ทั้งที่มันไม่เห็นดวงวิญญาณที่เหมือนกับมันแม้แต่คนเดียวในห้องนี้

อนันต์เปิดตำราหาทางช่วยเหลือคุณชายปราณแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน เขาติดต่อไปทางโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ว่าจะพาคุณชายไปรักษาตัวที่นั่น เพราะเครื่องมือที่ทันสมัยและมีแพทย์เฉพาะทางเยอะกว่าที่นี่ แต่เพราะตอนนี้คุณชายมีไข้และร่างกายยังอ่อนแออยู่มากทำให้เดินทางไกลนานๆ ไม่ได้ เขาจึงต้องรอให้อาการมันทรงตัวกว่านี้เสียก่อน

ก๊อกๆๆ

“ทำไมยังไม่นอนอีกครับ คุณทำงานหนักเกินไปแล้วนะ แทบไม่ได้พักเลย เป็นแบบนี้เข้าระวังตัวคุณหมอจะป่วยเสียเอง” ชายหนุ่มหน้าหวานเจ้าของวังปริพัตรเอ่ยถามคนรัก เพราะตลอดหลายวันมานี้อนันต์เอาแค่ขลุกตัวอยู่ในห้องทำงาน กองหนังสือเกี่ยวกับระบบประสาทและสมองถูกกางออกกระจายอยู่บนพื้นและโต๊ะทำงาน

“พอดีผมยุ่งๆ น่ะครับ อยากจะเคลียร์งานให้เสร็จก่อน” อนันต์ตอบเลี่ยงทั้งที่ความจริงแล้ว งานที่เขาทำอยู่นั้นไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าเสร็จเลย

“แต่ผมง่วงแล้ว ไปนอนกันเถอะครับ ผมนอนไม่หลับถ้าไม่มีคุณนอนด้วย” ชายปราณคะยั้นคะยอจนอนันต์ต้องวางมือจากกองหนังสือและเอกสารต่างๆ

เมื่อกลับมาที่ห้องนอนแล้วชายปราณก็เตรียมตัวนอนทันที เขารู้สึกเพลียและง่วงเพราะเพิ่งกินยาไป แต่กระนั้นก็ยังฝืนสายตาเพื่อรอให้อนันต์มานอนข้างกัน

“ฝันดีครับ” คุณชายปราณกระซิบบอก แขนล่ำถูกใช้แทนหมอนหนุน อนันต์หอมแก้มนิ่มก่อนมอบจุมพิตบอกราตรีสวัสดิ์ที่หน้าผากมน

ความมืดของค่ำคืนมันหม่นหมองพอๆ กับจิตใจของคนเป็นหมอในตอนนี้ เพราะความเพียรพยายามของเขาที่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ดูจะไร้ความสำเร็จ เขาอ่านตำราแพทย์เท่าที่จะหาได้แต่ท้ายสุดก็ไม่มีเล่มไหนที่จะมีทางออกให้กับคุณชายปราณ

เวลาผ่านล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ แม้ร่างกายเขาจะอ่อนล้าแต่กลับข่มตาหลับตามคนที่นอนหลับไปแล้วไม่ได้ แขนเขาชาจนแทบไม่รู้สึกจนต้องค่อยๆ ดึงแขนออกและให้อีกฝ่ายนอนหนุนหมอนดีๆ

อนันต์นอนลืมตามองเพดานไม่ได้จับจ้องที่จุดใดเป็นพิเศษ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงทำให้มีแสงของดวงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้ในห้องไม่มืดนัก เขาขยับตัวให้เบาที่สุดก่อนจะค่อยๆ ลุกออกจากเตียง กลอนประตูถูกปลดออกพร้อมกับคุณหมอที่ออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ โดยหารู้ไม่ว่าคนข้างกายที่ตนตั้งใจที่จะไม่รบกวนลืมตาตื่นอยู่ และรับรู้ทุกการกระทำของอีกฝ่ายทั้งหมด

คุณชายปราณไม่สามารถข่มตาหลับได้อีกต่อไป แม้ยาที่เขากินเข้าไปจะทำให้ง่วงซึมขนาดไหน แต่ความว้าวุ่นใจก็เอาชนะพวกมันได้อยู่ดี ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เขาไม่ใช่หมอและไม่ทราบเกี่ยวกับร่างกายตัวเองก็จริง แต่ก็พอเดาได้ไม่ยากว่าเขาคงเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง ภาพหลอนที่เห็นคุณหญิงแม่ พี่ชายใหญ่และหญิงรตีคือตัวบ่งชี้ว่าอาการเขาแย่มาก และตอนนี้มันกำลังถึงทางตันในการรักษา อนันต์จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาได้มีชีวิตอยู่ต่อให้นานกว่านี้

“มั่น...” ชายปราณเอ่ยเรียกหาบ่าวที่เป็นวิญญาณตามติดมาตั้งแต่ชาติก่อน ไอ้มั่นปรากฏตัวที่มุมห้องก่อนจะเดินเข้ามาหาแล้วหมอบลงข้างเตียง

“ขอรับ”

“รู้ใช่ไหมว่าผมเหลือเวลาไม่มากแล้ว” เขาถามอีกฝ่ายเสียงสั่นเครือ น้ำตาที่มักไหลทุกครั้งเวลาอยู่คนเดียวมันเอ่อคลอเต็มดวงตา จากนั้นก็ค่อยๆ ไหลกลิ้งผ่านสันจมูกลงสู่หมอนที่นอนหนุน

“ไอ้หาญกำลังหาทางช่วยคุณปราณขอรับ อีกไม่นานบ่าวว่ามันต้องเจอทางออกแน่นอนขอรับ”

“ผมเหนื่อยแล้ว... ผม...เจ็บ”

เจ็บปวดทางร่างกายก็ไม่เท่าทางจิตใจที่เห็นคนรักต้องมาดิ้นรนจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอนแบบนี้ เขารู้ว่าทุกคืนอนันต์กลับเข้าห้องเกือบรุ่งสาง และตื่นก่อนตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า เวลาที่อีกฝ่ายใช้นอนไม่ถึงสองชั่วโมงเสียด้วยซ้ำ เพราะมัวแต่อ่านตำราแพทย์ที่เจ้าตัวเสาะหามา

ไอ้มั่นก้มหน้าเพราะไม่อยากมองเจ้านายที่กำลังนอนตะแคงมองมันอยู่ มันไม่อยากเห็นความเจ็บปวดของคุณปราณ และไม่อยากให้คุณปราณเห็นความเสียใจของมันที่ไม่สามารถช่วยอะไรคุณปราณมากไปกว่านี้ได้

ชายปราณนอนเงียบไปอีกพักใหญ่ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้น เขาลงจากเตียงและเดินออกนอกห้องไปทางห้องทำงานที่ตอนนี้เปิดไฟอยู่

แอด...

เสียงบานประตูที่ถูกผลักเปิดออกเบาๆ อนันต์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจว่าใครกันที่ลุกขึ้นมาเดินในยามวิกาลเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นคุณชายปราณเขาจึงต้องวางปากกาในมือลง

“สะดุ้งตื่นเหรอครับ หรือว่าฝันร้าย” เขาเดินไปหาคนตัวเล็กก่อนจะแตะมือไปบนใบหน้าที่ซูบผอม แก้มอิ่มที่เคยจูบเคยหอมอยู่ทุกวันตอบลงไปมากจนเห็นโหนกแก้มชัดเจน

“ผมแค่จะมาขอให้คุณหยุด”

“ครับ?”

“ผมรู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่”

“คุณ...” ตาคมของอนันต์เบิกโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าคุณชายรู้เรื่องอาการป่วยของตนเองแล้ว เขาหันไปมองไอ้มั่นเพื่อคาดโทษมันเพราะคิดว่าอีกฝ่ายบอก แต่คุณชายปราณเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน

“มั่นไม่ได้บอกผม ผมรู้เอง หนังสือพวกนั้น...” ชายปราณเดินไปหยิบหนังสือที่กางอยู่บนโต๊ะทำงานของอนันต์ขึ้นมา ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษและเขาก็อ่านมันได้ความว่า “มันคือวิธีการรักษาเนื้องอกในสมอง”

“ผม...”

“คุณอนันต์... ผมรู้ว่าคุณกำลังหาทางช่วยผม คุณกำลังคิดทุกวิถีทางเพื่อให้ผมอยู่รอดต่อไปกับคุณ แต่ผมไม่มีความสุขเลยที่ต้องเห็นคุณเป็นแบบนี้ ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลมาจะร่วมเดือนแล้วคุณแทบไม่ได้ไปทำงาน คุณเอาแต่ขลุกตัวอยู่กับกองหนังสือพวกนี้ อยู่แต่ในห้องแคบๆ นี้ ข้าวปลาแทบไม่ตกถึงท้อง คุณไม่ได้พักเลยจนผมรู้สึก...แย่ รู้สึกแย่ที่ผมทำให้คุณเป็นแบบนี้”

“แต่คุณต้องหาย” อนันต์ยังยืนยันคำเดิม แม้เสียงของเขาจะไม่หนักแน่นเท่าวันแรกๆ แล้วก็ตาม

“ผมอยากหายครับ แต่ในเมื่อมันไม่หายคุณจะทำยังไง”

คำถามของคุณชายทำอนันต์เงียบไป สายตาที่มองมามันทั้งอ่อนโยนและสื่อให้รู้ว่าตัวเองก็เหนื่อยไม่แพ้กัน ร่างกายคุณชายปราณอ่อนแอลงทุกวันแต่แสร้งทำเหมือนว่าตัวเองไม่เป็นไรเพื่อไม่ให้เขาเป็นห่วง ใบหน้าคุณชายจึงมักมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ

“ผมไม่อยากเสียคุณไป”

อนันต์พูดออกมาด้วยเสียงเบาหวิว หัวใจเขาเจ็บไปหมดเมื่อต้องคิดว่าตัวเองจะต้องสูญเสียคนตรงหน้าไปอีกครั้ง มันเกินกว่าที่ใจเขาจะรับไหว ชาติที่แล้วเขาไม่ได้เห็นตอนคุณปราณจากไป แต่ชาตินี้พวกเขาได้รักกันแล้ว พวกเขาผ่านอะไรต่างๆ มาด้วยกันตั้งมากแต่กลับต้องมาจากกันอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ เขาไม่อยากเห็นคุณชายปราณจากไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้

“ผมรักคุณนะคุณอนันต์ แต่ผมขอได้ไหม หยุดแค่นี้เถอะนะครับ และเอาเวลาที่คุณทำเรื่องพวกนี้มาอยู่กับผม ได้ไหมครับ...”

คำขอจากคนตัวเล็กกว่าที่ทั้งเว้าวอนและสั่นเครือ น้ำตาของคุณชายปราณไหลอาบแก้มราวเปิดทำนบ พวกเขาทั้งคู่เหนื่อยกันมามากแล้ว หากเวลาที่เหลืออยู่จะทำให้พวกเขาพักได้ ก็อยากใช้เวลาเหล่านี้อยู่ด้วยกันให้มากที่สุด

ไอ้หาญมองคนรักของตัวเองที่มันตามหามานานกว่าจะได้เจอกัน แต่ตอนนี้กลับต้องมาเตรียมใจรับการจากลา มันเคยคิดว่าช่วงชีวิตในตอนนี้คือเวลาที่เหมาะสมที่มันกับคุณปราณจะได้ครองรักกัน แต่ไม่ใช่เลย ทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งที่มันคิดไม่ใช่สิ่งที่โชคชะตาอยากให้เป็น

*

อากาศในช่วงต้นปีหนาวจนชายปราณตัวสั่น แม่สายถักเสื้อไหมพรมตัวหนามาให้อีกฝ่ายได้สวมใส่ อาการของคุณชายไม่ได้หายไปเพียงแต่กินยาประคองอาการก็เท่านั้น และนับวันมันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ จนอนันต์ต้องหยุดอยู่วังไม่ได้ออกไปทำงานเลย

“ผมอยากออกไปข้างนอก” เสียงแหบเบาๆ ของคนป่วยหันไปพูดกับอนันต์ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือให้ฟังในบ่ายวันหนึ่ง

“อย่าเลยครับ อากาศมันหนาวเดี๋ยวไข้จะขึ้น” อนันต์บอกก่อนจะยิ้มบางๆ ให้คุณชายปราณ

ตั้งแต่วันนั้นที่คุณชายร้องขอเขาว่าให้หยุด เขายังคิดรั้นที่จะทำต่อ แต่เพราะอาการอีกฝ่ายทรุดลงอีกเขาจึงยอมทำตามคำขออย่างไม่มีข้อแม้ ในเมื่อเวลาที่อยู่ด้วยกันมันเหลือไม่มากแล้วเขาก็จะอยู่กับคุณชายปราณให้ครบทุกวินาทีที่เหลืออยู่

“คุณอนันต์พาผมไปที่ห้องจัดเลี้ยงได้ไหมครับ ไม่ได้เล่นเปียโนนานแล้วผมกลัวฝุ่นจะจับเขรอะไปเสียก่อน”

อนันต์ยอมพาคุณชายปราณมาที่ห้องตามที่เจ้าตัวร้องขอ แต่ยังไม่ทันที่คุณชายจะได้สัมผัสเปียโนก็รู้สึกวูบ อนันต์ทำท่าจะพาอีกฝ่ายกลับห้องแต่คุณชายกลับขอไว้

“ไม่ๆ ผมอยากฟังเพลง ผมขอฟังเพลงที่คุณเล่นนะครับ”

“งั้นก็ได้ครับ แต่ฟังจบคุณชายต้องขึ้นไปพักได้แล้วนะครับ” อนันต์รับคำก่อนจะสั่งให้คนยกเก้าอี้เอนมาวางไว้ใกล้เปียโนหลังใหญ่ คุณชายปราณยิ้มทอดสายตามองเครื่องดนตรีชิ้นที่ตัวเองโปรดปรานที่สุด ซึ่งตอนนี้คนที่เขารักที่สุดกำลังเล่นมันให้ฟัง

ช่วงหลังมานี้อนันต์เล่นเปียโนได้คล่องขึ้นมาก นับว่านานแล้วที่เขาได้เรียนกับคุณครูปราณันต์ผู้สอนเขาเล่นเปียโนครั้งแรกในชีวิต แต่พอคุณชายป่วยเขาก็อยู่ดูแลอีกฝ่ายจนไม่ได้จับเจ้าเครื่องดนตรีชนิดนี้อยู่นานหลายเดือนเหมือนกัน

“ผมง่วงแล้ว คุณช่วยเล่นเพลงนั้นให้ผมฟังหน่อยได้ไหม ผมอยากให้มันกล่อมผมนอนสักหน่อย” ชายปราณบอกคนรักที่กำลังบรรเลงเพลงคลาสิกให้เขาฟังอยู่ อีกฝ่ายเอียงคอมองก่อนจะยิ้มให้อย่างรู้ใจกัน

“ได้ครับ”

“ขอบคุณครับ...คุณอนันต์”

เพลงจงรักยังคงเป็นเพลงที่คุณชายปราณชอบฟังที่สุด อนันต์เล่นโดยไม่ต้องเปิดดูโน้ตหรือก้มมองเปียโนเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาจำได้ขึ้นใจตอนที่พวกเขาทั้งคู่ได้นั่งเล่นเปียโนด้วยกัน สายตาอบอุ่นของชายหนุ่มมองคนที่หลับตาพริ้มอยู่บนเก้าอี้เอน สายตาที่มีแต่ความรักเปี่ยมล้นเต็มอกที่ไม่ว่าใครหากได้มองก็คงอิจฉาฝ่ายที่ถูกเจ้าตัวรักเป็นแน่ แต่น่าสงสารที่โชคชะตากลั่นแกล้งให้เจ้าของความรักบริสุทธิ์นี้ต้องพลัดพรากจากคนรักอยู่ร่ำไป

“ไอ้หาญ...”

ท่วงทำนองของเพลงยังดังก้องไปทั่วห้องจัดเลี้ยง ซึ่งเป็นสถานที่แรกที่ไอ้หาญได้เจอกับคุณปราณคนที่มันเฝ้าตามหา ลมพัดผ่านระเบียงเข้ามาจนม่านพลิ้วปลิวไปกับสายลม กลิ่นหอมของดอกพุดน้ำบุษย์อบอวลมาให้ชื่นใจ

“ไอ้หาญ... คุณปราณไปแล้ว”

ตัวโน้ตตัวสุดท้ายจบลงพร้อมกับคำพูดของเพื่อนรักที่ดังขึ้นข้างหู อนันต์หันไปมองหน้าไอ้มั่นก่อนจะหันมาที่คุณชายปราณที่ตอนนี้ยังคงนั่งหลับตาเช่นเดิม ความเงียบที่เกิดขึ้นไม่มีเสียงใดดังให้ได้ยิน ราวกับทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งพร้อมกับหัวใจที่โดนบีบรัดจนปวดหนึบ

อนันต์ลุกขึ้นเดินมาคุกเข่าข้างเก้าอี้เอน จับมือที่ซูบจนเห็นกระดูกขึ้นมาจุมพิตด้วยความรักทั้งหมดที่มี มือใหญ่ไล้ไปบนใบหน้าหวานก่อนจะจูบไปบนทุกส่วนของใบหน้าที่เห็นอยู่ทุกวัน จูบหน้าผาก จูบเปลือกตาที่ปิดอยู่และไม่เปิดขึ้นมาอีก จูบแก้มทั้งสองข้าง จูบปลายจมูกเล็ก จูบริมฝีปากที่มักมีรอยยิ้มแต่หลังจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว

อ้อมกอดอุ่นจากวงแขนที่เขามอบให้คุณชายปราณเสมอๆ โอบกอดอีกฝ่ายไว้พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้ม แม้จะเตรียมใจไว้แล้วว่าสักวันวันนี้ต้องมาถึง แต่มันก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี ริมฝีปากหยักสวยเม้มแน่นสนิทเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น แต่กระนั้นร่างกายที่สั่นไหวก็ไม่อาจซ่อนความอ่อนไหวและความเสียใจนี้ไว้ได้ ไอ้มั่นมองไอ้เกลอรักที่กอดคุณปราณร้องไห้แล้วก็ปวดใจ เป็นอีกครั้งที่ไอ้หาญต้องเจ็บปวดและดูเหมือนครั้งนี้จะหนักกว่าเก่า เพราะไอ้หาญมั่นใจมากว่ามันกับคุณปราณจะพ้นคำสาปในชาตินี้

เวลาของไอ้หาญกับคุณปราณในชาตินี้หมดลงแล้ว 1 ปีกับอีก 51 วันที่มันได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่มันรักสุดหัวใจ ที่ผ่านมามันมีแต่ความสุขไม่เคยมีทุกข์ให้ได้เคืองใจเลย แต่บัดนี้...เวลานี้...วันเวลาแห่งการรอคอยวนกลับมาอีกครั้ง

“ผมสัญญา.... ถ้าหากชาติหน้าเราได้มาเจอกัน ผมจะทำทุกอย่างเพื่อชดใช้สิ่งที่ผมก่อไว้ ผมจะทำให้เราได้รักกันและอยู่คู่กันไปจนนิรันดร์ ต่อให้โชคชะตาไม่เป็นใจแต่ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เคียงข้างคุณ”

คำสัญญาสุดท้ายที่คุณชายปราณฝากไว้ในวันนั้นที่ร้องขอให้อนันต์หยุดค้นหาวิธีรักษา คำสัญญาที่หนักแน่นแม้เจ้าตัวจะป่วยอยู่ก็ตาม

“ลาก่อนนะครับ หากชาติหน้าของคุณมาถึงโปรดลืมคำสัญญานี้ไป เพราะผมอยากให้คุณมีความสุขกับชีวิตของคุณเอง อย่าได้ต้องมาเจอหรือทนทุกข์กับคำสาปที่ไม่มีวันสลาย และอย่าได้เสียใจที่เราไม่ได้คู่กัน เพราะถึงอย่างไรคุณปราณก็คือยอดดวงใจของไอ้หาญตลอดไป”

คำพูดกระซิบข้างหูพร้อมกับจูบสุดท้ายบนแก้มตอบ มันขอฝากรักนี้ไว้กับสายลมที่พัดผ่านไปวันแล้ววันเล่า ฝากไปถึงแม้ใจที่ร้าวรานจะเจ็บปวดเจียนตายแล้วก็ตาม





โปรดติดตามตอนต่อไป

ตอนนี้ยาวมากเพราะอยากเก็บรายละเอียดให้หมด
หวังว่าคนอ่านจะชอบนะคะ

สวัสดีวันตรุษจีนค่ะ
 :mc4: :mc4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1
เศร้ามาก เฮ้อออออ

ขอให้ชาตินี้ได้หลุดพ้นคำสาปกันสักทีนะ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
กอดไอ้หาญแน่นๆ สู้อย่ายอมแพ้

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
เศร้ามาก สงสารทั้งคู่ โดยเฉพาะหาญที่ต้องทนดูความสูญเสียแบบนี้หลายครั้งหลายครา  :m15:

ออฟไลน์ :นางสาวผอบ:

  • ความเคลื่อนไหวในเงามืด
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +649/-4
บทที่ ๒๘ (ครึ่งแรก)


“ผม...เก็บตัวเงียบหลังคุณชายปราณจากไป คนรับใช้ในบ้านถูกเชิญให้ออกจนหมดเพื่อที่ผมจะได้ปิดวังปริพัตรอย่างถาวร เนื่องจากผู้สืบสกุลคนสุดท้ายของปริพัตรจากไปแล้ว จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะเปิดให้คนนอกเข้ามาอีก ผมไม่ต้องการให้ความทรงจำและความเป็นปริพัตรหายไปจึงได้ทำเรื่องขอซื้อวังและพื้นที่โดยรอบมาเป็นของตัวเอง ติดสินบนทุกทางเท่าที่จะทำได้เพื่อซื้อที่นี่ไว้” จีรัชญ์เล่าต่อไม่มีหยุดพัก อาจจะชะงักไปในบางจังหวะเพราะเมื่อคิดถึงวันเวลาเหล่านั้นก้อนความเสียใจก็แล่นมาจุกที่คอ

“ไอ้มั่นอยู่กับผมต่ออีกไม่นาน และผมก็รู้ในตอนนั้นว่าไอ้มั่นจะหายไปเมื่อคุณจากไปแล้ว และมันจะปรากฏตัวขึ้นใหม่หลังจากคุณจำทุกอย่างได้หมด ไอ้มั่นอยู่กับเราสองคนเสมอเพียงแต่เราจะมองไม่เห็นมันเท่านั้น”

ณิชได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วเข้าใจในทันทีว่าเพราะอะไรที่จีรัชญ์ถึงได้พยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขา ชาติก่อนไอ้หาญตามหาคุณปราณแทบพลิกโลกทั้งใบ แต่ชาตินี้กลับอยู่ในมุมของตนเองไม่คิดเสาะแสวงหา เพราะไอ้หาญเคยผิดหวังจนไม่หลงเหลือความหวังใดอีกแล้ว ถ้าหากเป็นเขาก็คงทำไม่ต่างกัน

ชีวิตของคุณปราณที่จากไปก่อนไอ้หาญใช่ว่าจะอยู่ดีมีสุขเสมอไป แม้ฐานะที่อยู่คนละชนชั้นต่างจากสามัญชนคนธรรมดา แต่เพราะเคราะห์กรรมที่สร้างไว้ตั้งแต่ชาติก่อนทำให้ชาติต่อมาต้องอยู่กับความสูญเสียครั้งใหญ่ และต้องมาเสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อย ได้ลิ้มรสความรักที่สุกงอมเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ต้องเก็บความรู้สึกผิดไว้ในใจที่ไม่สามารถอยู่กับคนรักไปจนถึงบั้นปลายชีวิตตอนแก่เฒ่าได้

ชาตินี้ณิชไม่ได้มีชีวิตสุขสบายอย่างเช่นชาติที่แล้วมา เป็นเพียงคนธรรมดาเดินดินที่ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงปากท้องตัวเอง แต่กระนั้นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดก็จากไปไม่อยู่เหลือให้ได้เป็นกำลังใจในวันที่ท้อถอย ซึ่งมันก็โดดเดี่ยวไม่ต่างจากจีรัชญ์เลย

“ผมอยู่คนเดียวอีกครั้ง เก็บตัวเงียบไม่พบกับใคร วังปริพัตรที่เคยมีชีวิตชีวาเงียบราวป่าช้า แต่ละวันผมใช้เวลาอยู่ในห้องนอนกับเตียงสี่เสา เปียโนหลังนั้นผมไม่คิดแตะต้องมันอีก ทำเพียงแค่นั่งมองมันแล้วคิดถึงคุณ” หยาดน้ำตาแห่งความคิดถึงไหลซึมผ่านหางตา ณิชปาดออกให้อย่างเบามือก่อนเขาจะกลืนก้อนสะอื้นเพราะตนก็ร้องไห้เช่นเดียวกัน

ความเจ็บปวดที่ใจของไอ้หาญที่เขาไม่มีวันรับรู้ได้หมด ความรู้สึกผิดจึงถาโถมเข้าเกาะกุมใจจนยากจะคิดเป็นอื่นได้ หากย้อนเวลากลับไปได้เขาจะไม่คิดแม้เศษเสี้ยวเลยว่าจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว จะไม่เอาความขี้ขลาดของตัวเองมาเป็นเกราะกำบังเพื่อพูดปดว่าโดนไอ้หาญล่อลวงไป

“ตอนนั้นไอ้หาญแทบไม่เหลือเค้าของหมออนันต์เลยขอรับ บ่าวไม่สามารถปรากฏกายได้อีกมันจึงเหมือนอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง แม้จะมีคนคอยช่วยเหลือแต่มันก็ไม่ได้ให้ความสนิทสนมเท่าไหร่นัก จิตใจของมันแย่จนถึงขนาดไปบวชพระที่วัดแห่งหนึ่ง คงกะว่าจะไม่สึกออกมาแล้ว” ไอ้มั่นพูดเสริม มันนั่งอยู่ข้างตู้หนังสือฟังเรื่องราวที่ไอ้หาญเล่าให้คุณปราณฟังไปด้วย พลางระลึกความหลังที่มันก็ยังจำได้ไม่เคยลืม

ณิชเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มตัวเองลวกๆ ตอนนี้เขาสะอึกสะอื้นเบาๆ เพราะรู้สึกสงสารจีรัชญ์จับใจ คนตัวใหญ่ลุกขึ้นนั่งก่อนจะกอดปลอบคนที่ร้องไห้อย่างกลั้นไว้ไม่อยู่

“ถึงแม้ว่าผมจะละทางโลกไปพึ่งทางธรรมอย่างไรก็ไม่ได้ผล เพราะท้ายสุดในหัวใจของผมก็มีแต่คุณปราณอยู่ดี คุณปราณที่ผมไม่รู้ว่าไปเกิดหรือยัง หรืออยู่ที่ใดของโลก สุขสบายดีหรือไม่ แข็งแรงและอยู่กับครอบครัวเช่นไร” จีรัชญ์ยิ้มอ่อน ตอนนั้นเขาคิดว่าตัวเองจะสงบจิตสงบใจลงได้ แต่เมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจจึงสึกออกมา เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องมีบาปมากไปกว่านี้ และสร้างรอยบาปแปดเปื้อนศาสนา

“ผมรู้จักสุทินตอนเจ้านั่นยังเป็นเด็ก ตอนแรกคิดว่าส่งเสียให้เรียนจนจบม.3 แต่เพราะเด็กมันรักเรียนมากผมจึงส่งต่อให้จนจบม.6 สุทินเป็นคนดี ไม่เคยคิดลืมบุญคุณผมจึงได้เขามาคอยช่วยดูแลเรื่องที่ดิน ผมซื้อที่ทางแถวนี้ไว้เยอะเพราะไม่อยากให้ใครสนใจวังปริพัตร ผมอยากให้พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ถูกลืม มากกว่าจะให้เป็นจุดสนใจของคนอื่น”

เพราะเหตุนี้วังปริพัตรจึงมีทางเข้าสวนและทางเข้าวังแยกกัน คนส่วนใหญ่มักลืมเลือนไปแล้วว่าวังนี้ยังอยู่ดีและไม่ได้ทรุดโทรมดังเช่นวันวาน ตอนนี้มันแทบจะเรียกได้ว่าถูกบูรณะใหม่จนน่าอยู่เหมือนเมื่อก่อน

“จนกระทั่งวันหนึ่งไม่รู้อะไรดลใจให้ผมอยากปรับปรุงห้องต่างๆ ในวังทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัว คุณแขไขเข้ามาในชีวิตและแนะนำผมให้รู้จักกับลูกน้องมากฝีมือคนหนึ่ง และคนคนนั้นก็คือคุณ” มือใหญ่โอบประคองใบหน้าคนที่ตาแดงก่ำ น้ำมูกน้ำตาเปรอะไปทั่วใบหน้า เพราะไม่ว่าเช็ดอย่างไรเจ้าของเหลวพวกนั้นก็ไหลออกมาไม่หยุดเสียที

“คุ...คุณเห็นผมครั้งแรก ฮึก...คุณรู้ไหมว่าเป็นผม”

“รู้ครับ รู้ตั้งแต่แรกเจอว่าคุณคือคุณปราณ ยอดดวงใจของไอ้หาญคนนี้”

ณิชยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเมื่อเขาได้รู้ความจริงจนหมดเปลือก ความจริงที่ว่าคนหนึ่งคนต้องทนทุกข์ทรมานกับการรอคอยอย่างแสนสาหัส คนหนึ่งคนที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวผูกมิตรกับใครมากไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคนคนนั้นอาจรู้จักตัวตนของตัวเองได้

“ผมจำคำสัญญาที่ให้ไว้กับคุณไม่ได้” ณิชพูดขึ้นอีกครั้ง

“ครับ คุณจำไม่ได้ แต่การกระทำคุณชัดเจนมาตั้งแต่ต้น” จีรัชญ์ยิ้มขำกับความดื้อรั้นของอีกฝ่ายที่พยายามเข้าหาเขาทุกทาง ถึงกับยอมเสี่ยงไปดื่มจนเมามายและโดนรถเฉี่ยวมานั่นแหละ

“คุณใจแข็งมาก ผมเอาตัวเข้าแลกคุณยังเฉยใส่ได้ แถมตอนแรกยังทำหน้าโหดดุที่ผมไปจับดอกพุดน้ำบุษย์ด้วย”

“เพราะผมรักคุณเกินกว่าที่จะทำใจได้หากต้องเสียคุณไปอีกครั้ง จึงคิดว่าต่างคนต่างอยู่คงจะดีเสียกว่า ผมพร้อมที่จะตัดใจ หยุดทุกอย่างไว้ดีกว่าต้องมาเสียคุณไปอีกครั้ง”

คำบอกรักที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวทำคนที่น้ำตาเพิ่งหยุดไหลไปหน้าแดง เขินอายจนต้องมองไปทางอื่น แต่ทางอื่นที่ว่าก็ยังเห็นไอ้มั่นนั่งลอบยิ้มอยู่ที่ข้างตู้หนังสือ ไอ้ทาสผู้ซื่อสัตย์ยอมหลบฉากออกไปเมื่อเรื่องทุกอย่างถูกเล่าไปจนหมดแล้ว มันให้เวลาคนทั้งสองได้พลอดรักกัน ส่วนตัวมันนั้นจะไปหาเจ้ามิ่งที่ตอนนี้ไม่รู้อยู่แห่งใดของวัง

“แล้วตอนนี้จะอยากต่างคนต่างอยู่อีกไหมครับ” ณิชเอียงคอถามพลางทำตาปริบๆ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ปลายจมูกแดงก่ำพร้อมแพขนตาที่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตาดูน่ามอง อาการที่สื่อว่าออดอ้อนแบบที่เจ้าตัวไม่เคยทำมาก่อนทำให้จีรัชญ์มันเขี้ยวจนต้องบีบแก้มอีกฝ่ายไปหนึ่งที

“โดนรุกหนักขนาดนี้ ผมจะไปทนยังไงไหว”

“อะไรที่ทำให้คุณยอมให้ผม”

“เพราะคำว่าเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำ อย่างน้อยๆ ถ้าหากชาตินี้ผมต้องอยู่อย่างทรมานเพื่อรอคุณอีก ผมก็จะได้มีความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับคุณไว้นึกถึงเพื่อรอคุณในชาติต่อไป”

คำตอบของจีรัชญ์ทำณิชน้ำตาเอ่อคลอ เขายืดตัวขึ้นแล้วใช้สองมือประคองศีรษะอีกฝ่ายให้โน้มเข้าหาตน ริมฝีปากนุ่มหยุ่นจูบประทับที่หน้าผากของจีรัชญ์ด้วยความทะนุถนอม ก่อนจะเลื่อนมาที่สองข้างแก้ม เปลือกตาของจีรัชญ์ปิดลงช้าๆ ก่อนจะรับรู้รสสัมผัสของจุมพิตที่ณิชจงใจมอบให้ ปลายจมูกโด่งก็ไม่เว้นว่าง ณิชจูบเบาๆ จากนั้นที่มาหยุดอยู่ที่ริมฝีปาก

ริมฝีปากคนทั้งคู่ประกบติด ณิชขยับดูดดึงกลีบปากล่างของจีรัชญ์เบาๆ สลับกับกลีบปากบน โดยที่จีรัชญ์แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ปล่อยให้ณิชได้ชักนำอารมณ์ความวาบหวามนี้ไป ปล่อยใจไปกับความสุขราวผีเสื้อนับร้อยตัวบินวนอยู่รอบกาย ทิ้งอดีตของความทรงจำไว้ตรงก้นบึ้งของความรู้สึก เพื่อรับรู้ความสุขของความทรงจำครั้งใหม่

“ถึงผมจะเพิ่งมาเจอคุณได้ไม่นาน แต่ผมก็รักคุณเกินกว่าจะปล่อยให้คุณหนีห่างได้ พันธนาการของคำสาปที่ผูกเราไว้ด้วยกัน ไม่มีทางสู้ความรักของเราได้หรอกครับ” ณิชกระซิบบอกก่อนจะกอดคนตัวใหญ่เต็มรัก จีรัชญ์ขยับร่างที่เล็กกว่าเขาให้มานั่งตัก เขาซุกหน้าเข้ากับซอกคอของณิช สูดดมความหอมจากกลิ่นกายของณิชเพื่อย้ำเตือนตัวเองว่าให้เขาคิดถึงแต่ตอนนี้ นาทีนี้ที่เขามีณิชอยู่ในอ้อมกอด

“จริงสิ...คุณยังคงเป็นไอ้หาญ ส่วนผมเป็นทั้งคุณปราณ คุณชายปราณ และณิช ผมถามจริงๆ นะ คุณชอบใครมากที่สุดในสามคนนี้” ณิชผละตัวออกเล็กน้อยหลังปล่อยให้จีรัชญ์ซุกซอกคอตนเองเล่นอยู่หลายนาที

จีรัชญ์มองคนที่กำลังจ้องหน้ารอคำตอบเขา เรียกได้ว่านี่เป็นคำถามที่ตรงเสียจนไม่มีมุมให้หักเลี้ยวตรงไหนเลย ณิชรอฟังคำตอบใจจดจ่อ เขามองสบดวงตาคมที่มองเขาตอบพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น พวกเขานั่งหันหน้าเข้าหากัน มือที่จับกันอยู่ไม่ห่างออกจากกันเลย จีรัชญ์พินิจมองณิชอย่างละเอียดก่อนจะตอบออกไป

“ผมชอบความเร่าร้อนของคุณปราณ ชอบความอ่อนหวานของคุณชายปราณ และชอบความดื้อรั้นของคุณ”

“ไม่สิครับ ต้องเลือกหนึ่งคน”

“แต่ทุกคนที่กล่าวมานั่นคือตัวคุณ”

“แต่ผมอยากให้คุณชอบผมแค่คนเดียว คนที่เป็นปัจจุบันของคุณน่ะ” ณิชบ่นงึมงำกับตัวเองเมื่อเห็นว่าจีรัชญ์ไม่ยอมเลือกสักที ถ้าหากอีกฝ่ายบอกว่าชอบใครเขาจะได้รู้สเป็กว่าจริงๆ แล้วจีรัชญ์ชอบคนแบบไหน

จีรัชญ์ถึงกับหัวเราะเพราะเขาได้ยินเสียงบ่นพึมพำนั้น มือใหญ่โยกหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ถึงณิชจะอายุใกล้เลข 3 แล้วแต่ความเป็นเด็กในตัวอีกฝ่ายก็ยังมีอยู่ อดเอ็นดูไม่ได้ที่ดูณิชจะจริงจังและอยากให้เขารักตัวเองแค่คนเดียว

“ก็ได้ครับ ผมรักคุณ ขอบคุณที่คุณพยายามเข้าหาผมตลอด และไม่คิดทิ้งผมไว้ให้โดดเดี่ยว” มือใหญ่ของจีรัชญ์ลูบผมณิชเบาๆ เขารั้งใบหน้าของณิชให้เข้ามาใกล้เพื่อจูบอีกฝ่ายยืนยันคำตอบ ยืนยันในความรักที่แสนยาวนานของเขาให้ณิชได้รับรู้อีกครั้ง

“อึก...อื้อ...” ณิชครางเบาๆ เมื่อกลีบปากตนโดนรังแกจนแทบจะบวมช้ำ จีรัชญ์ดูดดุนมันราวกับเป็นพุดดิ้งจนเขาต้องดันอกอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อสื่อว่าให้ปล่อยก่อน

“เจ็บเหรอครับ”

“นิดหน่อยครับ แต่กลัวปากบวม เดี๋ยวโดนมิ้งล้อ” ณิชบอกเสียงเบา รู้สึกเขินสายตาคนที่มองเขาในระยะประชิดแบบนี้จนต้องหลบสายตา ยิ่งนั่งอยู่บนตักความใกล้ชิดก็ยิ่งมีมากขึ้น

จีรัชญ์กอดกระชับร่างบางให้แน่นขึ้น จากนั้นก็หอมแก้มณิชทั้งซ้ายและขวา จนลามไปที่ลำคอขาวและไหล่ ไม่ลืมกระดูกไหปลาร้าที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตออกมาด้วย เขาทำซ้ำอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะพอใจถึงจะผละหน้าออก

“คุณอยากฟังเพลงไหม ผมจะเล่นเปียโนให้ฟัง” จีรัชญ์ถาม เพราะถ้าหากเขาสองคนยังอยู่ในห้องนี้ต่อ เชื่อเถอะว่าณิชคงโดนมิ้งล้อแน่ๆ แต่ไม่ได้ล้อแค่เรื่องปาก แต่เป็นเรื่องอย่างอื่นด้วย

“อยากครับ” ณิชพยักหน้าและตอบพลางยิ้มกว้าง

จีรัชญ์พาณิชมายังห้องจัดเลี้ยงที่ตกแต่งภายในใหม่เสร็จหมดแล้ว ความทันสมัยของมันและพื้นที่ที่เปิดโล่งดูสบายตา เพิ่มความมีชีวิตชีวาด้วยต้นไม้ที่ปลูกในกระถางขนาดกลาง ม่านผืนเก่าถูกเปลี่ยนเป็นสีสว่างอย่างสีครีม มีความบางเบาและพลิ้วไหวยามลมพัดจากภายนอกเข้ามา อีกทั้งเวลาแสงลอดเข้ามาห้องนี้จึงไม่มืดเกินไปนัก

เสียงบรรเลงเปียโนดังลอดออกไปจากห้องจัดเลี้ยง เป็นบทเพลงที่ไม่ได้ยินนานแล้วจนไอ้มั่นแทบลืมความสำคัญของเพลงนี้เสียสนิท มันยิ้มเมื่อได้ยินเพลงนี้จากที่ไกลๆ เพราะตอนนี้มันอยู่ตรงหลังตึกกับมิ้ง

“ไอ้หาญจับเปียโนในรอบกี่ปีวะเนี่ย หึหึ...โชว์ฝีมือเสียใหญ่โต” ไอ้มั่นอดแขวะเพื่อนตัวเองไม่ได้ นึกหมั่นไส้ในความอยากเอาใจคุณปราณในชาตินี้เสียเหลือเกิน

“คุณตรีดูเป็นคนโรแมนติกมากเลยนะพี่มั่น” มิ้งพูดพลางเคี้ยวขนมปุยฝ้ายที่ฝากหวีซื้อมาให้จากตลาดตุ้ยๆ เธอแอบมานั่งหลบแดดอยู่ด้านหลังตึกแต่ไม่ได้ออกไปที่สระบัวเพราะไอของแดดแทบทำเธอสุก ตรงนี้ร่มและลมพัดดีกว่าจึงปักหลักนอนเล่นแล็บท็อปตรงนี้แทน

“มันก็เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร หึ! ข้าละอิจฉา ตอนนั้นสาวในเรือนมองไอ้หาญตาเป็นมัน อยากได้ไอ้หาญเป็นผัวกันเป็นแถว แต่ก็โดนคุณปราณขวางเสียหมด”

“คุณปราณขี้หึงเนอะพี่” เท่าที่เธอฟังณิชเล่ามาคุณปราณนี่ก็ใช่ย่อย

“คุณเขารักของเขา”

มิ้งพยักหน้าเนิบๆ เธอกำลังแต่งนิยายบทใหม่อยู่ ตอนนี้มาถึงช่วงท้ายของเรื่องแล้ว ผลตอบรับจากนักอ่านถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม ต้องขอบคุณณิชกับจีรัชญ์ที่ให้เธอได้ยืมเรื่องราวมาแต่งนิยายแบบนี้

*

ตูม!!

เสียงกระโดดน้ำของมิ้งดังสะเทือนไปทั่วน้ำตกเพราะสาวเจ้าเล่นกระโดดลงมาจากชั้นบน วันนี้จีรัชญ์ใจดีพาแขกต่างเมืองมาเที่ยวน้ำตก ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองออกมาหลายสิบกิโล ผู้คนไม่พลุกพล่านอาจเพราะไม่ใช่วันหยุด การมาเที่ยวครั้งนี้ถือเป็นการฉลองที่งานของณิชและมิ้งเสร็จแล้ว งานนี้ป้าแจ่มจึงจัดอาหารมาให้พวกเขาได้ปิกนิกกันด้วย

“พี่ณิชๆ มากระโดดน้ำตรงนี้เลยพี่ น้ำเย็นมากกกก” มิ้งตะโกนเรียกรุ่นพี่ที่ยังนั่งอยู่บนฝั่งไม่ยอมลงน้ำสักที

“ไม่เอาอะ แกเล่นคนเดียวเถอะ” เขาอยากว่ายน้ำแต่เพราะกลัวว่าตัวเองจะเสี่ยงอันตรายจนทำให้ต้องพลัดพรากจากจีรัชญ์เลยต้องห้ามตัวเองไว้ เขาหันไปยิ้มให้จีรัชญ์ที่กำลังนั่งกินส้มอยู่ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้

“ผมอยากกินส้ม” ณิชบอกพร้อมกับอ้าปากรอ แต่จีรัชญ์กลับยื่นกล่องใส่ผลไม้ให้เจ้าตัวหยิบเองแทน

“ผมอ้าปากขนาดนี้แทนที่จะป้อน” ณิชบ่นกระเง้ากระงอดก่อนจะหยิบส้มเข้าปากเคี้ยวรับรู้รสชาติหวานอมเปรี้ยวของมัน

ณิชนั่งดูมิ้งเล่นน้ำคนเดียว มีผู้ชายกลุ่มหนึ่งประมาณ 3-4 คนเข้ามาทักมิ้งที่อยู่อีกฝั่งของน้ำตก สาวเจ้ายิ้มเขินจนณิชรู้สึกได้ มิ้งหน้าตาน่ารักน้อยเสียเมื่อไหร่ ตอนอยู่กรุงเทพฯ ก็มีคนมาขายขนมจีบบ้าง

‘ไอ้หนุ่มนั่นมาเกี้ยวเจ้ามิ่ง คุณปราณไม่ไปดูหน่อยหรือขอรับ’ ไอ้มั่นเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผู้ชายกลุ่มนั้นยังคงคุยกับมิ้งไม่เลิก

‘มิ้งไม่ใช่เด็กแล้วนะมั่น อีกอย่างตรงนี้คนอยู่เยอะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเราก็เห็น’

‘แต่บ่าวไม่ไว้ใจขอรับ’ ไอ้มั่นพูดจบก็หายวับไปโผล่อีกทีหลังผู้ชายกลุ่มนั้นทันที หน้าตาของมันบึ้งตึงที่เห็นการถึงเนื้อถึงตัวในบางจังหวะตอนที่มิ้งเล่นน้ำกับกลุ่มผู้ชาย

มิ้งยิ้มค้างเมื่อเห็นวิญญาณผู้พิทักษ์ของรุ่นพี่มายืนหน้าถมึงทึงมองเธออยู่ ไม่ว่าจะว่ายน้ำไปทางไหนหรือเดินไปทางใดก็จะเห็นมั่นมองอยู่ตลอดจนอึดอัด กลุ่มผู้ชายที่เข้ามาทักเมื่อเห็นหน้าหญิงสาวเริ่มไม่สนุกกับพวกตนจึงขอแยกตัวลงไปที่น้ำตกชั้นต่อไป

“พี่ณิช!” มิ้งว่ายน้ำกลับมาหารุ่นพี่คนสนิท ก่อนจะปีนขึ้นฝั่งเดินมาหาณิชที่นั่งสวีตหวานโรแมนติกกับเจ้าของหัวใจ

“อ่าว ไม่เล่นน้ำต่อแล้วเหรอ”

“จะให้เล่นต่อได้ยังไง ก็...” หญิงสาวตวัดสายตามองไอ้มั่นที่ยืนกอดอกคิ้วขมวดมองอยู่ข้างๆ กัน

‘เจ้าหารู้ไม่ว่าไอ้พวกนั้นมันหวังจะลวนลามเจ้า’ ไอ้มั่นพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นสายตาตำหนิของมิ้งที่ตวัดมองมาที่มัน

‘เขาไม่ได้จะลวนลามสักหน่อย ก็แค่เข้ามาคุยกันเฉยๆ’

‘อย่าคิดว่าข้าไม่เห็นมือของมันอยู่ใต้น้ำ มันกำลังโอบกอดเจ้า’

‘แค่นิดๆ หน่อยๆ แถมยังไม่ได้กอดเต็มๆ ด้วยซ้ำพี่จะเครียดทำไม’

‘เป็นผู้หญิงก็ต้องรักนวลสงวนตัว หากเจ้าเป็นน้องเป็นนุ่งข้ารึจะตีให้ก้นลาย!’

‘ถ้าหนูมีพี่ชายแบบพี่หนูก็จะบ่นให้หูชาว่าหัวโบราณ!’


ณิชมองหนึ่งคนหนึ่งวิญญาณเถียงกันในใจโดยไม่ออกเสียง แต่เขากับจีรัชญ์ได้ยินทุกคำจนต้องหลุดขำ มั่นหัวโบราณเพราะเป็นคนสมัยก่อนจริงๆ ส่วนมิ้งก็เป็นสาวสมัยใหม่ที่ไม่เข้าใจในความห่วงใยนี้นัก เถียงกันหน้าดำหน้าแดงจนเขาต้องห้ามทัพ

“มิ้ง... ใจเย็น หิวรึเปล่า กินขนมหน่อยไหม”

“จิ๊! หมดอารมณ์” มิ้งว่าก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างณิช ตัวที่เปียกโชกและเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่แนบทุกสัดส่วนของหญิงสาวไม่ได้ทำให้ณิชหรือจีรัชญ์เป็นกังวล เห็นจะมีแต่มั่นที่หันไปบอกเพื่อนรักว่าให้เอาผ้าขนหนูผืนใหญ่ห่มตัวมิ้งเสียหน่อย

‘มึงชอบมิ้งหรือ’ จีรัชญ์ถือโอกาสถามเมื่อเห็นว่าณิชกับมิ้งไม่ได้สนใจพวกเขาแล้ว

‘หึ! หาใช่อย่างนั้นไม่ กูแค่เอ็นดูเจ้าเด็กนั่น มึงก็รู้ว่ากูปักใจรักใครมิได้ดอก’

‘จะเอ็นดูยังไงก็ระวังด้วย เดี๋ยวจะอึดอัดใจกันเสียเปล่าๆ’


‘เจ้ามิ่งมันน่าเอ็นดู แม้ตอนแรกจะกลัวกูอยู่บ้างแต่ก็จุดธูปเอาข้าวเอาน้ำให้กูกินเสมอ เห็นแบบนี้ก็อดห่วงไม่ได้ กูห่วงว่าหากได้ออกเรือนไปใครคนนั้นจะดูแลมันได้ดีเหมือนที่มันดูแลกูหรือไม่’


จีรัชญ์เข้าใจในความรู้สึกของเพื่อนรักดี แม้เขา มั่นและณิชต้องผูกพันกันด้วยคำสัตย์สาบานต่างๆ แต่กับมิ้งไม่เหมือนกัน รายนั้นรับรู้เรื่องราวชีวิตพวกเขาผ่านณิชมาตั้งแต่ต้น จึงทำให้ผูกพันกันไปโดยปริยาย ไอ้มั่นจึงเอ็นดูและห่วงใยเหมือนน้องสาวตามประสาคนที่สนิทกัน

‘กูเคยคิดนะว่าหากวันหนึ่งมึงกับคุณปราณหลุดพ้นคำสาปแล้วกูจะเป็นเช่นไร คงได้ไปผุดไปเกิดอย่างเช่นวิญญาณดวงอื่นเสียที ในตอนนั้นเจ้ามิ่งก็คงเหงาที่ไม่มีกูอยู่เล่นด้วยแล้ว’

คิดมาถึงตรงนี้ไอ้มั่นก็เศร้าไปถนัดตา มันไม่ได้พบเพื่อนใหม่มานานตั้งแต่ตายเมื่อชาติโน้น เพราะจิตผูกกับคุณปราณและไอ้เกลอรักไว้เลยทำให้ต้องอยู่กับคนทั้งสอง ไอ้หาญยังได้รู้จักคนอื่นอยู่บ้าง แต่มันมีเพียงไอ้หาญและคุณปราณเท่านั้นที่มองเห็น มาในชาตินี้นี่แหละที่มิ้งเห็นมันและได้พูดคุยกัน ทำให้ชีวิตของไอ้ทาสคนนี้มีสีสันขึ้นมาไม่น้อย

‘มึงอย่าเพิ่งคิดถึงขั้นนั้นเลย เพราะกูเองก็ยังไม่รู้ว่าในวันข้างหน้ามันจะเป็นเช่นไร บางทีมึงอาจจะต้องอยู่กับกูไปอีกนานก็ได้ใครจะไปรู้’ พูดจบจีรัชญ์ก็ลุกเดินไปหาณิชที่ปีนโขดหินตามมิ้งไปชั้นบน เพราะมิ้งบอกว่าน้ำชั้นบนสีฟ้าสวยมาก ส่วนไอ้มั่นได้แค่ถอนหายใจที่ลึกๆ ที่ความคิดเพื่อนมันก็ยังคงเตรียมพร้อมรับความเจ็บปวดในชาตินี้







โปรดติดตามส่วนต่อไป


ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
รู้เรื่องราวมาเยอะแล้ว ผ่านเหตุการณ์มาหลายภพหลายชาติ ชาตินี้ก็น่าจะมีทางหลุดพ้นซักทีนะ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
ชอบมั่นมาก อยากให้ทั้งไอ้หาญ คุณปราณและไอ้มั่นหลุดพ้นจะได้มีความสุขจริงๆกับเขาสักที

ออฟไลน์ blove

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-0
ไปแก้คำสาปเถ๊อะ แก้ยังไงนะเออ คนสาปอยู่ไกนละเนี้ย :hao4: อยากให้หลุดพ้น

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12

ออฟไลน์ แก่ เหี่ยว เคี้ยวยาก

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 174
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
น้ำตาไหลพรากแล้วจ้า ความสุขเริ่มมาแล้ว
ก็ขอให้จากนี้ มีสุขตลอดไปนะคะ

สงสารทั้งสามคนเลย จิตผูกกันมากี่ภพชาติ ชาตินี้จะหลุดพ้น
และมั่นจะกลับมาเกิดกลับใครที่มีฐานะ แล้วมาเจอกันอีก

ออฟไลน์ anterosz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-1

ออฟไลน์ :นางสาวผอบ:

  • ความเคลื่อนไหวในเงามืด
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +649/-4
บทที่ ๒๘ (ครึ่งหลัง)


“เออ สวยจริงด้วยว่ะ” ณิชพูดพลางตาโต

“กระโดดไหมพี่ ตรงนี้ไม่สูงเท่าไหร่ โดดลงไปยังไงก็ไม่จมมิดหัวหรอก”

“คือ...” ณิชอึกอัก เขาไม่ได้กลัวว่ามันสูงหรือว่ากระโดดลงไปแล้วมันจะจม แต่เขากลัวว่าถ้าเกิดมีอุบัติเหตุเกี่ยวกับน้ำขึ้นมาอาจทำให้เขากับจีรัชญ์ต้องแยกจากกันในชาตินี้ก็ได้

“งั้นหนูไปก่อนนะ” พูดจบมิ้งก็กระโดดลงน้ำไปทันที น้ำใสสีออกฟ้าสวยกระจายตัวเป็นวงกว้าง ใต้ผืนน้ำเป็นทรายนุ่มละเอียดทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ความสูงของน้ำแค่ใต้คางบ่งบอกว่ายืนยังไงก็ไม่จม หญิงสาวหัวเราะร่ากับความกล้าของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมากวักมือเรียกณิช “มาเร็วพี่ณิช”

“อยากเล่นน้ำเหรอครับ เอาสิ” จีรัชญ์ไต่ขึ้นเนินมาจนถึงที่ณิชยืนอยู่ ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ของณิชทำให้เขาแตะแผ่นหลังบางเบาๆ

“แต่ผมกลัว”

“กลัว?”

“ถ้าเกิดผมกระโดดลงไปแล้วหัวฟาดโขดหิน หรือขาหักแล้วกระดูกเสียบทะลุออกมา หรือผมสำลักน้ำตายคุณก็ต้องอยู่คนเดียวสิ” จีรัชญ์ยิ้มขำเมื่อได้ฟังเหตุผลของคนที่ไม่กล้าลงเล่นน้ำ ถึงแม้ว่าบรรยากาศที่นี่จะน่ากระโดดลงน้ำแช่ตัวให้เย็นสบายมากแค่ไหน แต่ณิชก็ยังคงทำตัวติดกับเขาไม่ห่างกาย

“คุณคิดมากเกินไปแล้ว”

“ต้องคิดสิ ผมไม่อยากทิ้งคุณไว้คนเดียว”

“งั้นกระโดดพร้อมกัน”

“แต่คุณไม่ได้...เห้ย!!”

ตูม!!!

เสียงกระโดดน้ำของคนทั้งสองดังขึ้นพร้อมกับน้ำที่กระจายตัวออก ณิชโดนจีรัชญ์โอบเอวไว้แล้วทิ้งตัวลงน้ำแบบไม่ทันตั้งตัว หนุ่มเมืองกรุงจึงสำลักน้ำไปหลายอึก จนเมื่อยืนบนผืนทรายนุ่มใต้เท้าแล้วณิชจึงทุบคนที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง

“คุณจะบ้ารึไง ตกใจจนหัวใจจะวายตาย” ณิชบ่นอุบ แสบจมูกไม่น้อยเพราะกลั้นหายใจไม่ทัน ส่วนคนที่ชวนเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ กลับหัวเราะ โดยที่แขนสองข้างยังโอบกอดเอวณิชที่อยู่ใต้น้ำไว้ไม่ปล่อย

“คุณอยากให้ผมมีความสุข แต่คุณกลับเอาแต่กลัวโน่นกลัวนี่จนแทบไม่ได้ทำอะไรสนุกๆ เลย แบบนี้ผมก็รู้สึกไม่ดีสิครับ” จีรัชญ์บอกให้อีกฝ่ายได้สบายใจ

“งั้นผมขอกระโดดอีกรอบ” พูดจบณิชก็ปีนขึ้นไปบนโขดหินใหญ่อีกครั้ง คราวนี้เขากับมิ้งจึงกระโดดน้ำเล่นแทบทุกชั้น ไต่ขึ้นไปถึงชั้นบนก่อนจะไล่ระดับลงมาเรื่อยๆ โดยมีจีรัชญ์คอยดูอยู่ไม่ห่าง

รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของณิชทำให้จีรัชญ์ไม่อาจละสายตาได้ เขาเผลอยิ้มตามอีกฝ่ายหลายครั้งจนไม่อาจกลบรอยยิ้มแห่งความสุขที่เปื้อนบนหน้าตัวเองได้หมด เขาจึงโดนมั่นและมิ้งล้อทำเอาเขินไม่น้อย

“มีผู้หญิงมองพี่ณิชด้วย คนนั้นๆ ส่งสายตามาหวานเชียว สวยด้วยนะ สวยมากๆ” มิ้งบอกรุ่นพี่ของตนพลางกัดแอปเปิลกิน ณิชหันไปมองแต่กลับมีร่างสูงของหนุ่มอมตะนั่งบดบังเสียแล้ว พอเอนตัวจะมองจีรัชญ์ก็เอนตามก่อนจะมองณิชดุๆ

“จะมองทำไมครับ” จีรัชญ์เอ่ยถาม เขาไม่ได้หันไปมองหญิงสาวคนนั้นที่มิ้งว่า แต่มองคนที่เป็นเจ้าของหัวใจของตัวเองมาตลอดชีวิตนี้แทน

“แค่อยากรู้ว่าสวยจริงไหม”

“ผมไม่ให้มอง”

“หึงเหรอครับ” ณิชเอนตัวเข้าหาแล้วกระซิบถาม แววตาซุกซนนั้นทำจีรัชญ์อยากจะจับอีกฝ่ายตีก้นเสียจริงๆ

“ครับ” จีรัชญ์ตอบตามความจริงทำเอาคนถูกถามหัวเราะถูกใจ

ตกเย็นคนทั้งสามก็ออกจากน้ำตก จีรัชญ์ไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยนด้วยจึงต้องซื้อเสื้อฮาวายกับกางเกงผ้าขาสั้นใส่เปลี่ยนตอนกลับ มิ้งเริ่มบ่นว่าหิวพวกเขาจึงแวะร้านอาหารที่เดินทางออกมาจากน้ำตกไม่ไกลนัก อีกทั้งยังเป็นร้านที่อยู่ติดลำธาร ซึ่งเจ้าของร้านบอกว่าน้ำสายนี้ก็มาจากน้ำตกบนเขานั่นแหละ

“เอาปีกไก่ทอดจานนึงค่ะ ตำไทยใส่ปู ตำซั่ว หมึกยำมะนาว แหนมทอด พี่ณิชเอาอะไรไหม” มิ้งเงยหน้าขึ้นจากเมนูแล้วถามณิช ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ใกล้กันถึงกับส่ายหน้า

“ที่แกสั่งมาถ้ากินไม่หมดมื้อนี้ต้องจ่ายเองนะเว้ย”

“หมดน่ะพี่ เร็วๆ เอาอะไร คุณตรีจะสั่งอะไรเพิ่มไหมคะ”

“ให้คุณณิชสั่งแทนผมได้เลยครับ เดี๋ยวผมมา” จีรัชญ์บอกก่อนจะชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือซึ่งมีสายโทรเข้ามาเขาจึงแยกตัวออกไปรับสาย ส่วนณิชก็หันมาสั่งข้าวผัดหมูจานขนาดกลางกับต้มแซ่บกระดูกอ่อนเพิ่มไปแค่สองอย่างเท่านั้น

“แล้วนี่พี่จะอยู่ที่นี่ต่อหรือว่ายังไง” มิ้งถามระหว่างนั่งรออาหารมาเสิร์ฟ

“ไม่รู้ว่ะ ถ้าถามความรู้สึกจริงๆ คือไม่อยากกลับ แต่งานก็ต้องมีทำ จะให้มาเกาะคุณจีรัชญ์กินก็เกินไป”

“แหม อย่างคุณตรีน่ะเลี้ยงพี่ได้สบายเลย นี่ไม่รู้เอาเงินซ่อนไว้ในไหฝังไว้ตรงไหนบ้าง”

ณิชหัวเราะกับคำพูดแซวของรุ่นน้อง ดีที่มั่นไม่อยู่ด้วยไม่งั้นคงได้เถียงกันอีก

“มิ้ง...ถ้าเกิดพี่ลาออกจากบริษัทจะดีไหมวะ” เขาถามหลังจากคิดไตร่ตรองเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว

“มันอยู่ที่พี่แล้วพี่ณิช ลาออกจากที่กรุงเทพฯ ย้ายมาอยู่ที่นี่ หางานทำที่นี่ก็ได้นี่ พี่ไม่ต้องเครียดไปหรอกน่ะ”

“ไม่เครียดได้ไงวะ ลูกค้าที่คุณแขรอให้พี่ไปรับงานต่อก็ยังมี”

“เออว่ะ หนูลืมไปเลยนะเนี่ย แล้วนี่ต้องเริ่มงานเมื่อไหร่ พี่โอ๋ส่งรายละเอียดให้พี่รึยัง”

“ส่งมาแล้ว จะเริ่มงานอีกสองอาทิตย์”

“ก็ยังพอมีเวลาเหลือ นี่เราเสร็จงานก่อนกำหนดตั้งหลายวัน เนียนๆ ไปว่างานยังไม่เสร็จเพื่อที่พี่จะได้อยู่กับคุณตรีต่ออีกหน่อย จากนั้นพอพี่กลับหนูเชื่อว่าคุณตรีเขาต้องตามขึ้นไปอยู่แล้วแหละ เอาน่ะพี่ณิช ชาตินี้พี่กับคุณตรีไม่จากกันหรอก เชื่อหนู”

ณิชพยักหน้ารับแต่ความคิดก็ยังสับสนอยู่ดี ประจวบเหมาะกับอาหารทยอยมาเสิร์ฟและจีรัชญ์กลับมาที่โต๊ะ พวกเขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุยกันเป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไปเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศ

กว่าคนทั้งสามกับหนึ่งดวงวิญญาณจะเดินทางกลับถึงวังปริพัตรก็ค่ำแล้ว เมื่อจอดรถเสร็จมิ้งกับณิชก็ช่วยกันขนของที่เอาไปด้วยลงจากรถ แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าตัวตึกก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเสียงดังลั่น

“ไอ้ณิช! ไอ้มิ้ง!”

เสียงที่คุ้นเคยทำให้คนทั้งสองหันขวับไปมองอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ก่อนจะเห็นหัวหน้าอย่างพี่โอ๋ยืนยิ้มอยู่ที่บันไดข้างๆ กันมีบอยยืนอยู่ด้วย

“พี่โอ๋!! ไอ้บอย!” ณิชเรียกคนทั้งสองเสียงดังไม่แพ้กัน เขาวิ่งเข้าไปหาหัวหน้าตัวเองทันทีพร้อมกับโดนสวมกอดจากโอ๋แน่นๆ มิ้งก็ทำตามเหมือนกันด้วยความคิดถึง

“กูมาเซอร์ไพรส์มึงเลยนะเนี่ย เป็นไงบ้างวะ ไอ้มิ้งเป็นไงบ้าง เห็นป้าแม่บ้านเขาบอกว่าพวกมึงไปเที่ยวน้ำตกมา แหม...อยู่ที่นี่จนลืมชีวิตคนเมืองไปแล้วรึเปล่า”

“โห่พี่โอ๋! พวกหนูเพิ่งได้ไปเที่ยวจริงๆ ก็วันนี้แหละ วันๆ ทำแต่งานอยู่ที่วังไม่ได้ออกไปไหนเลย แล้วนี่พี่กับไอ้บอยมาได้ยังไง”

“คุณแขพามา”

คำตอบของโอ๋ทำณิชเงียบไป เขาลืมไปเลยว่าเจ้านายเขามีความสัมพันธ์กับจีรัชญ์ ลืมไปเสียสนิทเพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องคำสาปของพวกเขาเอง จนกระทั่งแขไขเดินออกมารับจีรัชญ์ รอยยิ้มหวานของเจ้านายที่ส่งให้ชายคนรักของเขาช่างเสียดแทงใจ

เพราะหากให้พูดจริงๆ แล้ว ในสายตาคนนอกหรือคนที่บริษัท เขาคือลูกจ้าง ส่วนจีรัชญ์คือผู้ว่าจ้าง และคุณแขไขคือคนที่มีความสัมพันธ์กับจีรัชญ์ ถึงแม้ความสัมพันธ์ที่ว่าป้าแจ่มจะบอกว่าแค่เพื่อน ไม่ใช่คู่หมั้นคู่หมายอย่างที่พวกเขาคิดไปตอนแรกก็ตาม แต่ใครบ้างจะรู้ลึกแบบพวกเขา ท้ายสุดเมื่อมองจากภายนอกแขไขก็คือคนที่ดูเหมือนจะคบหากับจีรัชญ์อยู่ดี

“ไปเที่ยวน้ำตกสนุกไหมคะ” แขไขถามอย่างคนที่รู้อยู่แล้วว่าจีรัชญ์ไปไหนมา เพราะก่อนหน้านี้ได้เธอได้โทรคุยกับจีรัชญ์แล้ว ตอนแรกที่มาคิดว่าจะมาเซอร์ไพรส์จีรัชญ์ แต่กลับโดนเซอร์ไพรส์เสียเองเพราะจีรัชญ์ไม่อยู่ แต่พาพนักงานของบริษัทเธอไปเที่ยวเสียอย่างนั้น

“สนุกดีครับ คุณทานอะไรแล้วรึยังครับ”

“เรียบร้อยแล้วค่ะ”

“เอ่อ...สวัสดีค่ะคุณแข ไม่เจอกันนานเลยลืมหนูแล้วรึเปล่าเนี่ย” มิ้งเอ่ยทักเจ้านายที่แทบไม่หันมามองพวกเธอเลย ทั้งที่ไม่ได้เจอกันนานหลายเดือนแต่เจ้านายกลับไม่ชายตาแลสักนิด เธอจึงต้องเสียมารยาทเอ่ยทักขัดจังหวะบทสนทนาของแขไขกับจีรัชญ์

“จ้ะมิ้ง ใครจะไปลืมได้ โอ๋บ่นทุกวันว่าทีมขาดคนจนฉันเบื่อ นี่พวกคุณสบายดีใช่ไหม คุณตรีเขาเลี้ยงดีรึเปล่า”

“ยิ่งกว่าดีอีกครับคุณแข ไอ้มิ้งเล่าให้ผมฟังประจำว่ามาทำงานที่นี่เหมือนมาพักร้อนมากกว่ามาทำงาน” บอยพูดแทรกด้วยความอิจฉา

ตอนแรกที่บอยมาถึงที่นี่ถึงกับต้องอ้าปากค้างกับคำว่า ‘วัง’ ที่ตัวเองได้เห็นเป็นบุญตาจริงๆ ก็วันนี้ แม้ตัวตึกจะไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่าราวคฤหาสน์หรูมูลค่าเป็นพันล้านอย่างในกรุงเทพฯ แต่เพราะความสวยและความเก่าแก่แต่ดูดีของมันทำให้เขาหลงใหลได้ไม่ยาก ยิ่งรู้ว่าอายุของวังแห่งนี้มีมานับร้อยปียิ่งขนลุก เครื่องใช้เครื่องเรือนต่างๆ ดูน่าเก็บสะสมและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา

พวกเขาทั้งหมดเดินเข้าข้างใน แขไขดึงตัวจีรัชญ์ออกไปคุยด้วยทันที ทิ้งให้ลูกน้องของตัวเองได้อยู่คุยเล่นกันไป ป้าแจ่มบอกให้แม่บ้านจัดห้องไว้ให้แขกที่มาโดยไม่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว โดยโอ๋จะนอนห้องเดียวกับบอย ส่วนแขไขจะเป็นห้องแยกที่เธอมักได้พักหากได้มาที่แห่งนี้

ณิชเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่เขาจะแต่งตัวเสร็จ ได้ยินเสียงของบอยกับมิ้งอยู่หน้าประตูห้องเขาจึงเปิดให้คนทั้งสองเข้ามา

“ว่าไง” เขาถามพลางสวมเสื้อยืดที่ใส่นอนตัวโคร่งทางหัว

“ไอ้บอยมันอยากมาดูห้องพี่ณิช” มิ้งตอบ

“โห ที่นี่เขาประหยัดไฟเหรอวะพี่ ทำไมไม่ติดแอร์เลย” บอยเอ่ยทักเมื่อเห็นสภาพห้องของณิชไม่ต่างจากมิ้งเท่าไหร่นัก

ณิชยิ้มขำกับคำถามของรุ่นน้องทีมเดียวกัน อยากบอกเหลือเกินว่าไม่ใช่เพราะประหยัด แต่เพราะเจ้าของวังคุ้นชินกับอากาศปกติ และปกติห้องเหล่านี้ที่พวกเขาใช้ก็ไม่ได้เปิดให้มีคนเข้ามานอนแบบนี้ เพราะจีรัชญ์ไม่ให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับวังปริพัตรเลย ฝ่ายนั้นจึงไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้องติดเครื่องปรับอากาศแต่อย่างใด

“เปิดพัดลมก็คลายร้อนได้เหมือนกัน อีกอย่างอากาศที่นี่ตอนกลางคืนเย็นสบาย”

“จริง อันนี้คอนเฟิร์ม ตอนมาคืนแรกกะว่าจะไม่ห่มผ้า แต่พอตีสองต้องตื่นมาหาผ้าห่มแหละ นอนตัวสั่นฟันกระทบดังกึกๆ เลยเพราะอากาศมันเย็นๆ ชื้นๆ” มิ้งเสริมอีกแรง

“อืม ก็จริง อยู่กลางป่าขนาดนี้ไม่เย็นก็ให้มันรู้ไป นี่พี่ณิช ผมสงสัยจริงๆ นะ ทำไมคุณตรีเขาไม่เปิดบางส่วนของวังเป็นพิพิธภัณฑ์วะ หรือไม่ก็เปิดคาเฟต์ให้คนมาถ่ายรูป เก็บค่าเข้าชมไรงี้ นี่ทำเป็นโรงแรมยังได้เลยนะ” บอยมาถึงก็รับบทนักวิจารณ์ในทันที ปากที่คันยิบๆ เพราะอยากพูดตั้งแต่ครั้งแรกที่เหยียบที่นี่ พอได้ออกความเห็นก็โล่งขึ้นมาบ้าง แต่ณิชกลับหน้านิ่งแทน

“คุณตรีเขาไม่อยากให้ใครมายุ่งกับที่ของเขา” ณิชตอบแต่ใจจริงอยากจะบอกว่าจีรัชญ์ไม่อยากให้ใครมายุ่งกับ ‘ที่ของเรา’ เสียมากกว่า ที่แห่งนี้ที่มีความทรงจำของอนันต์และคุณชายปราณ และเขาก็ไม่อยากให้ใครมาทำลายบรรยากาศของเขาสองคนเช่นเดียวกัน

“อ่า...ก็เข้าใจได้ แต่ขนาดยอมตกแต่งภายในใหม่เพื่อทำเป็นเรือนหอ เขาก็คงรักคุณแขมากเลยแหละเนอะ” บอยพูดต่อ เขาเดินไปชะโงกหน้าดูที่หน้าต่าง มองออกไปเห็นต้นไม้เป็นเงาทะมึนๆ อยู่เต็มไปหมด มองไม่ออกว่าเป็นต้นอะไรบ้าง แต่เขาสัญญากับตัวเองว่าพรุ่งนี้จะต้องเดินสำรวจดูรอบๆ นี้ให้ได้ และจะขอเก็บภาพสวยๆ สัก 2-3 รูปสักหน่อย

“ใครบอกว่าคุณตรีรักคุณแข” มิ้งโพล่งขึ้นเพราะเห็นหน้ารุ่นพี่ที่สนิทของตัวเองหน้าเริ่มเครียด

“เอ้า! ก็เห็นๆ กันอยู่”

“เขาแค่เพื่อนกันก็ได้ปะวะ”

“อะไรของมึง ก็เราพูดกันตั้งแต่แรกว่าเขาอาจจะเป็นแฟนกัน นี่ที่ให้พี่ณิชมาทำงานนี้ก็เพราะพี่ณิชมีฝีมือสุดในบริษัท แถมยังจะทำเป็นเรือนหอด้วยไม่ใช่เหรอวะ”

“คนพูดคือริสารึเปล่าไอ้บอย กูยังไม่ได้พูดสักคำ ริสามันก็พูดมั่วไปเรื่อย ขอแค่มีเรื่องให้เม้ามันก็เดามั่วหมด”

“แต่มึงก็เห็นด้วย กูจำได้”

“ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกันสิวะ”

“ไม่เหมือนยังไง กูก็เห็นว่าคุณแขกับคุณตรีเขาสวีตกัน เนี่ย...เมื่อกี๊มึงก็เห็นว่าคุณแขเขาเข้าห้องไปกับคุณตรี” มิ้งเงียบไปเพราะเถียงบอยไม่ได้ ความสงสัยของเธอเกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะมาเคาะห้องของณิช เพราะเธอกับบอยเห็นว่าคุณแขเข้าห้องคุณตรีไปจริงๆ

ณิชไม่ได้ใส่ใจจะฟังเรื่องที่รุ่นน้องเขาเถียงกัน เพราะเขาเชื่อมั่นในตัวของไอ้หาญที่มีหัวใจซื่อตรงต่อคุณปราณเพียงผู้เดียว เพียงแต่เขาอยากรู้ว่าจีรัชญ์จะจัดการเรื่องพวกนี้อย่างไร เพราะเขาคงไม่ออกหน้าว่าไปแย่งคนรักของเจ้านายแน่ๆ งานนี้คงต้องรอดูกันเลย







โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกความเห็นค่ะ




ออฟไลน์ :นางสาวผอบ:

  • ความเคลื่อนไหวในเงามืด
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +649/-4
บทที่ ๒๙ (ครึ่งแรก)




การมาเยือนวังปริพัตรของแขไขในครั้งนี้ทำให้ในวังเกิดบรรยากาศอึมครึมไม่น้อย มิ้งรู้สึกได้ว่ามื้ออาหารของวันนี้ไม่อร่อยเท่าทุกวันที่เคยกินมา ณิชเงียบจนแทบไม่พูดอะไรเลย จีรัชญ์ก็ส่งสายตาหาณิชบ่อยๆ แต่ฝ่ายถูกมองกลับไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตา เพราะมัวแต่นั่งเขี่ยข้าวในจาน เธอเห็นจะมีแต่แขกที่มาเยือนทั้งสามคนที่ดูจะเจริญอาหารไม่น้อย

“ตรีทานนี่สิคะ ของชอบไม่ใช่เหรอ”

แกงสายบัวต้มกะทิปลาทูถูกหญิงสาวสวยตักใส่จานข้าวของจีรัชญ์ มื้อเช้าที่ค่อนไปทางสายสักหน่อยในวันนี้มีกับข้าวหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือของโปรดของจีรัชญ์ที่แขไขจำได้ขึ้นใจ

จึกๆ

แรงสะกิดเท้าจากใต้โต๊ะทำให้ณิชหันไปมองคนที่นั่งข้างกัน มิ้งกำลังใช้เท้าสะกิดเขายิกๆ พลางบุ้ยใบ้ให้เขาตักทอดมันปลากรายให้จีรัชญ์

“ออกตัวบ้างสิพี่ อย่าปล่อยให้คุณแขทำคะแนนคนเดียว” มิ้งกระซิบบอกรุ่นพี่ที่สนิท ถึงแม้คนทั้งคู่จะรักกัน แต่เธอก็อยากให้ณิชแสดงอาการออกมาสักหน่อย ว่าระหว่างณิชกับจีรัชญ์ไม่ใช่แค่คนรู้จักกันเพียงผิวเผิน

ณิชส่ายหน้าเบาๆ เพื่อไม่ให้คนอื่นบนโต๊ะอาหารผิดสังเกต เขาปรามรุ่นน้องที่เชียร์เขาจนออกนอกหน้า ก่อนจะหันกลับมาเมื่อรู้สึกว่าอาหารถูกตักใส่จานโดยไม่ได้ร้องขอ

“จะกินแค่ปลาทูกับข้าวเปล่าอย่างเดียวเหรอครับ กินคู่กับน้ำพริกกะปิด้วยสิ คุณชอบไม่ใช่เหรอ” จีรัชญ์ตักน้ำพริกให้ณิชเล็กน้อย ไม่ลืมแกะปลาทูใส่จานให้ด้วย อีกทั้งผักแนมอย่างพวกแตงกวาก็ถูกจัดมาใส่จานให้พร้อมกิน

“ขอบคุณครับ” ณิชเอ่ยขอบคุณเบาๆ เขากลั้นยิ้มไว้แทบไม่อยู่เพราะไม่คิดว่าจีรัชญ์จะทำแบบนี้ ฝั่งไอ้มั่นที่เห็นเพื่อนรักทำแบบนั้นก็ตบเข่าฉาด

‘เอ็งจะกลัวไปไยเจ้ามิ่ง ถึงอย่างไรไอ้หาญก็เลือกคุณปราณอยู่วันยังค่ำ’

‘ก็หนูกลัวพี่หนูจะไม่สมหวังนี่’ มิ้งตอบกลับในใจ

‘เอ็งรอดูไปเถิด ข้าว่างานนี้มีคนเสียน้ำตาแน่นอน’

‘ใครเสียน้ำตาก็ได้แต่ต้องไม่ใช่พี่ณิชนะ เพราะตั้งแต่มานี่พี่ณิชเสียน้ำตาตลอดเลย’

‘บ๊ะ! เจ้านี่ห่วงคุณปราณยิ่งกว่าข้าอีก ถ้าไม่ตลกเกินไปข้าจะคิดว่าเจ้าคือยายอาบกลับชาติมาเกิด’
ไอ้มั่นอดคิดถึงยายอาบที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับมันในอดีต รายนั้นก็รักก็ห่วงคุณปราณพอๆ กับมันเพราะเลี้ยงดูกันมาตั้งแต่เกิด หากโชคชะตาจะบันดาลให้มิ้งเป็นยายอาบกลับชาติมาเกิดมันก็คงเชื่อหมดใจ

“ตรีกับณิชดูสนิทกันนะคะ แต่อย่างว่าแหละ ลูกน้องแขมาอยู่กับตรีซะนานนี่เนอะ นี่ถ้าไม่ใช่ว่าแขต้องทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ แขคงมาคุมงานด้วยตัวเองแล้ว จะได้ไม่ต้องรบกวนณิชกับมิ้งให้หอบข้าวของมาทำงานถึงนี่”

“สถาปนิกมาดูงานเองก็ดีแล้วครับ เวลาต้องปรับต้องแก้จะได้คุยกันเลย แบบนี้ทำงานง่ายกว่า” จีรัชญ์ตอบเสียงเรียบ ก่อนจะตักกับข้าวคืนให้หญิงสาวที่ตักแกงให้เขาก่อนหน้านี้

“นั่นสิคะ นี่ณิช...มาอยู่ที่นี่คุณตรีได้ทำอะไรคุณรึเปล่า เขาดุคุณไหม ผู้ชายคนนี้หน้าตาดุก็จริง แต่นิสัยนั้นดุกว่าหน้าเสียอีก ทุกอย่างเนี้ยบไปหมดจนบางทีฉันยังเกร็งเลย” แขไขชวนคุย เธอรู้สึกได้ว่าสายตาของจีรัชญ์ลอบมองลูกน้องเธอบ่อยๆ ไม่รู้ว่าตลอดเวลาหลายเดือนที่ณิชกับมิ้งมาอยู่ที่นี่จะเป็นอย่างไรบ้าง

“โหย ผมว่าคุณตรีคงดูแลดีมากกว่าครับ เข้าโรงพยาบาลกี่ครั้งแล้วล่ะก็ได้คุณตรีดูแล นี่ยังไม่นับเรื่องกินอยู่ที่ดูไอ้มิ้งจะสมบูรณ์ขึ้นตั้งเยอะ” โอ๋พูดบ้างพร้อมกับหันไปพยักหน้ากับบอยที่บอกเขาว่าเห็นด้วย

“ณิชเข้าโรงพยาบาลด้วยเหรอ ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”

“เอ่อ...ตอนนั้นคุณแขน่าจะไม่อยู่ไทยครับ แต่ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกครับ” ณิชรีบพูดเพื่อไม่ให้เจ้านายเป็นห่วง และเขาก็ไม่อยากให้หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็นบนโต๊ะอาหาร เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ที่ไม่ว่าใครก็คงไม่เชื่อหากต้องเล่าให้ฟัง

“มีคนซนจนตกบันไดหัวฟาดพื้นน่ะครับ” จีรัชญ์พูดก่อนจะยกน้ำขึ้นจิบ ‘คนซน’ ที่ว่าหันไปถลึงตาใส่คนพูด ตอนนั้นเขาไม่ได้ซนสักหน่อย ก็เพราะตามหาความจริงเรื่องไอ้หาญนั่นแหละถึงได้วูบไปแบบนั้น

“อ้าว! ร้ายแรงนะนั่น” แขไขตกใจไม่น้อยที่ได้ยินเรื่องนี้ ตอนนั้นเธอไปทำงานต่างประเทศ ฝากงานไว้กับเลขาฯ และพวกหัวหน้าทีม รับรู้ความคืบหน้าของงานเท่านั้นแต่ไม่ได้ถามไถ่ชีวิตความเป็นอยู่ของลูกน้องเลย

“ใช่ค่ะ แต่ได้พยาบาลดีก็เลยไม่เป็นอะไร แถมยังแข็งแรงทั้งตัวทั้งหัวใจด้วย”

ได้ทีมิ้งยิ่งเสริมเข้าไปใหญ่ ทำเอาแขไขถึงกับทำหน้าฉงน เธอหันไปมองณิชราวจะขอคำตอบที่ขยายความให้เธอได้ แต่ลูกน้องมือดีก็ดันเลี่ยงเป็นยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ ส่วนจีรัชญ์ที่เคยเป็นเสือยิ้มยากกลับมีรอยยิ้มแต้มที่มุมปาก สายตาคมดุที่ไม่เคยแสดงความรู้สึกอื่นใดให้เธอเลยดูมีความนัยเมื่อมองไปที่ณิช

มิ้งลอบยิ้มกับไอ้มั่นในขณะที่ทุกคนไม่ได้สังเกต ดูท่างานนี้จีรัชญ์จะออกหน้าไม่น้อยว่าตัวเองมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรุ่นพี่เธอ สมกับที่ฟันฝ่าอุปสรรคด้วยกันมามากจริงๆ คงจะมีแต่ณิชนี่แหละที่ยังทำตัวนิ่งเงียบ ยังไม่ค่อยกล้าแสดงตัวเท่าไหร่นักว่าตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่มัณฑนากร แต่เป็นเจ้าของหัวใจของเจ้าของวังปริพัตรคนปัจจุบันแล้ว

หลังมื้อเช้าผ่านไปแขไขก็เริ่มเดินสำรวจห้องต่างๆ ที่ถูกปรับปรุงใหม่ โดยมีจีรัชญ์ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีพาเดินชม ฝั่งพี่โอ๋กับบอยก็เกาะติดณิชกับมิ้ง สองหนุ่มขอไปนั่งที่ศาลากลางสระบัว เอ่ยชมธรรมชาติภายในอาณาบริเวณรั้ววังปริพัตรไม่ขาดปากว่าสวยงามมาก

“กูเชื่อแล้วว่าทำไมมึงถึงติดใจที่นี่ สวยฉิบหาย สวยเหี้ยๆ ถ้าเปิดเป็นโรงแรมย่อมๆ ต่อให้เสียคืนละหมื่นกูก็ยอม” พี่โอ๋ยังพูดไม่หยุดปาก เพราะไม่ว่าจะเดินไปมุมไหน สถานที่แห่งนี้ก็ดูสวยงามราวกับมีเรื่องราวในตัวมันเอง

“แล้วตกลงพี่ณิชกับคุณตรีนี่ยังไงวะ” บอยที่เก็บความสงสัยมานานถามขึ้น ใช่ว่าเขาจะไม่เห็นสักหน่อยว่าสายตาของจีรัชญ์มองรุ่นพี่เขาอย่างไร

“อะไรของมึง” ณิชหันไปทำหน้างงใส่

“อย่าคิดว่าผมไม่เห็นนะ สายตาคุณตรีเขามองพี่แปลกๆ ว่ะ หรือพวกพี่มีไรปิดบังพวกผม”

“มึงคิดไปเองรึเปล่า” ณิชถามกลับ บ่ายเบี่ยงที่จะตอบไปตรงๆ เพราะเขาไม่อยากออกตัวมากเกินไปว่ามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับจีรัชญ์ คงรอให้จีรัชญ์เคลียร์กับทางคุณแขก่อน

“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะพี่ ไม่ใช่อะไรหรอกนะแต่ผมเป็นห่วง ผมไม่อยากให้พี่ได้ชื่อว่าแย่งแฟนเจ้านา-”

ตูม!!

ยังไม่ทันที่บอยจะพูดจบ เขาก็รู้สึกถึงลมวูบหนึ่งที่พัดใส่จนหงายหลังตกลงไปในสระบัวทันที ณิชกับมิ้งยืนมองด้วยความตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าไอ้มั่นจะยกเท้าขึ้นถีบบอยจนตกน้ำ ฝ่ายโอ๋ที่เห็นลูกน้องตกน้ำตัวเปียกก็รีบไปช่วย

‘กล้าดีเยี่ยงไรมาว่านายกูไปแย่งคนรักของคนอื่น!’ ดวงวิญญาณที่เปรียบดั่งผู้พิทักษ์ของณิชโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะได้ยินไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่กล่าวหาว่าคุณปราณไปแย่งไอ้หาญมาจากหญิงสาวคนนั้น

‘คุณปราณจะให้บ่าวจัดการมันเช่นไรขอรับ สั่งบ่าวมาได้เลยขอรับ’ ไอ้มั่นถามเสียงเหี้ยม

‘ไม่ต้องหรอกมั่น บอยมันก็พูดไปงั้นตามประสาคนไม่รู้ ไม่ต้องไปโกรธเขาหรอก’

‘หึ! ไม่ให้โกรธหรือขอรับ! มันกล่าววาจาได้หาตีนเยี่ยงนั้น หากบ่าวมีกายหยาบคงได้วางมวยกับมันเป็นแน่’ ไอ้มั่นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บใจ ลองให้มันมีร่างกายดั่งคนเป็นสิ ไอ้หนุ่มเมืองกรุงนี้ไม่ปากแตกก็อย่าเรียกมันว่าไอ้มั่นเลย

“อ้าว! บอยตกน้ำเหรอ หรือลงไปว่ายน้ำเก็บดอกบัวล่ะนั่น” แขไขเดินออกมาที่สวนด้านหลังพอดีพูดขึ้น แต่จีรัชญ์ที่เห็นดังนั้นรีบเดินตรงดิ่งมาทันที

“พลี!! พาเขาขึ้นจะสระ!” จีรัชญ์สั่งคนงานของตัวเองที่อยู่แถวนั้นพอดีเสียงดัง นายพลีรีบวิ่งมาช่วยโอ๋ดึงบอยขึ้นจากสระบัวอีกแรง ท่าทางดุดันที่ดูโกรธจัดของจีรัชญ์ทำให้แขไขสะดุ้ง เธอรู้ดีว่าสระบัวแห่งนี้เป็นพื้นที่หวงห้ามของวังปริพัตร จีรัชญ์ไม่ชอบให้ใครมายุ่งสระบัวแห่งนี้เลย

‘ไอ้หาญ กูถีบมันตกน้ำเอง มันกล่าววาจาว่าร้ายคุณปราณว่านายกูแย่งมึงมาจากนายของมัน’ ไอ้มั่นได้ทีรีบฟ้องเพื่อนเกลอทันใด แม้คำบอกเล่าจะผิดเพี้ยนไปจากความจริงสักหน่อยก็ตาม

จีรัชญ์ตวัดสายตาหันไปมองชายหนุ่มที่เปียกโชกไปทั้งตัวเต็มๆ ตา ก่อนจะหันไปมองณิชที่ยืนอึ้งอยู่บนศาลา ฝ่ายนั้นเม้มปากมองเขาก่อนจะเลื่อนสายตามาจับจ้องที่แขน ซึ่งมีมือของแขไขจับแขนเขาอยู่

“ผมหวังว่าจะไม่มีลูกน้องคุณแขคนไหนตกลงไปในสระบัวอีกนะครับ เพราะไม่บ่อยนักที่ผมจะอนุญาตให้คนอื่นได้เข้ามาที่นี่ ผมไม่อยากให้สถานที่ที่ผมรักษาไว้เสียหาย” จีรัชญ์พูดอย่างตรงไปตรงมา บอยรีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพยเจ้าของวังปริพัตรยกใหญ่ พร้อมกับโอ๋ที่กล่าวขอโทษแทนลูกน้องตัวเองที่พลาดตกน้ำ คงจะมีแต่มิ้งที่ลอบยิ้มและแอบยกนิ้วโป้งให้กับไอ้มั่นอยู่เงียบๆ

ลูกน้องของแขไขตกสระบัวถึงสองคน แต่มันคนละความรู้สึกกัน ตอนณิชมาที่นี่ครั้งแรกและตกสระนั่นเพราะไอ้มั่นมันพยายามช่วยให้เขาสนใจอีกฝ่าย แต่กับบอยไม่ใช่ ยิ่งได้รู้ว่าอีกฝ่ายคิดว่าณิชแย่งเขาไปจากแขไขก็ยิ่งไม่สบอารมณ์

หลังจากเหตุการณ์ที่สระบัวผ่านไป แขไขก็ดูเหมือนอยากสร้างบรรยากาศส่วนตัวกับจีรัชญ์กันสองคน พี่โอ๋เห็นว่าเจ้านายอยากสวีตกับชายหนุ่ม เขาจึงรีบลากลูกน้องในทีมทั้งณิชและมิ้งให้ออกจากศาลา เพื่อจะได้ไม่รบกวนคนทั้งสอง

ณิชกลับขึ้นมาบนห้องก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องจีรัชญ์แล้วเข้าไปอยู่ในนั้นแทน แม้ใจจะบอกว่าไว้ใจจีรัชญ์ แต่ท้ายสุดเขาก็มายืนดมกลิ่นหมอนหนุน ผ้าปูที่นอน รวมไปถึงสำรวจห้องน้ำทุกซอกทุกมุมว่ามีอะไรผิดปกติ หรือกลิ่นอื่นที่เขาไม่คุ้นเคยหรือไม่

“ดมยังไงก็ไม่เจอกลิ่นคนอื่นหรอกครับ เพราะมันไม่มีตั้งแต่แรก”

ณิชสะดุ้งเมื่อตัวเขาโดนรั้งมากอดจากทางด้านหลัง เสียงกระซิบบอกพร้อมกับหอมฟอดใหญ่ที่กกหูทำให้เขาย่นคอด้วยความจั๊กจี้

“คิดว่าคุณจะอยู่กับคุณแขที่สระบัวเสียอีก”

“เห็นหน้าหงอยๆ ของใครบางคนแล้วใครจะทนได้ ผมขอตัวขึ้นมาทำงานและปล่อยให้แขเขาอยู่ไปคนเดียว” จีรัชญ์ตอบ เขาโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อดูว่าคนในอ้อมกอดนั้นมีสีหน้าเช่นไร ก่อนจะได้เห็นว่าณิชแอบยิ้มอยู่ แต่เจ้าตัวก็หุบยิ้มทันทีเมื่อโดนเขาจับได้

“เมื่อคืนมีคนเห็นคุณแขเข้าห้องคุณ” ณิชเบี่ยงตัวออกก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย เขามองจีรัชญ์เพื่อรอฟังคำตอบใจจดจ่อ อยากรู้ว่าจีรัชญ์จะยอมรับหรือโกหกเขา

“ไม่ได้เข้าครับ แค่จะเข้าแต่ผมก็ชวนออกไปคุยกันที่ริมระเบียงข้างนอกแทน”

“คุยอะไร”

“เรื่องทั่วไปครับ แขเขาเล่าเรื่องไปดูงานที่ต่างประเทศมา รวมไปถึงลูกค้าที่เขาต้องการตัวคุณไปทำงานให้เขามากๆ”

“อ่า...เรื่องลูกค้านั่น เอาจริงๆ ผมก็เครียดเรื่องนี้อยู่ ผมไม่อยากกลับกรุงเทพฯ เลย ขอผมอยู่ที่นี่ต่อได้ไหม” ณิชทำท่าอ้อน เขายอมรับว่าตอนนี้ตัวเองงอแงไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่ แต่ถ้ามีเวลาให้เขาได้อยู่กับจีรัชญ์ต่ออีกสักหน่อยเขาก็อยากจะทำ

“ไม่ได้ครับ คุณต้องกลับไป” จีรัชญ์จับแก้มอีกฝ่ายแล้วลูบเบาๆ ก่อนจะดึงมือให้ณิชเดินตามมานั่งบนเตียง

“แต่ผมอยากอยู่กับคุณ” หนุ่มเมืองกรุงเงยหน้าขึ้นบอกตามใจคิด จีรัชญ์ลูบหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ชาตินี้คุณปราณจะทำใจไอ้หาญพองฟูไปถึงไหน

“ผมรู้ แต่คุณต้องกลับไป คุณมีหน้าที่ของคุณ”

“นี่คุณรักผมจริงปะเนี่ย ทำไมถึงดูอยากให้ผมกลับไปกรุงเทพฯ จัง” ณิชเริ่มหงุดหงิดเมื่อจีรัชญ์ไม่รั้งเขาไว้อย่างที่คิด ไหนบอกจะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน แต่ดูตอนนี้สิ แม้แต่คำว่าขอให้อยู่อีกฝ่ายยังไม่พูดเลย

“ฮึฮึ อย่าเพิ่งโกรธครับ ผมยังพูดไม่จบ” จีรัชญ์หัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นหน้าตาที่เริ่มดูไม่ดีตามอารมณ์ที่กำลังขุ่นมัว “ผมอยากให้คุณกลับไปรับงานนั่นและทำให้เสร็จ เพราะงานคือสิ่งที่คุณรัก คุณมีความสุขเวลาได้ทำมัน และหลังจากนั้นถ้าคุณตัดสินใจจะออกจากงานและมาอยู่ด้วยกันที่นี่ผมก็ยินดี หรือถ้าไม่เราก็ค่อยหาทางอีกทีว่าจะทำยังไง เพราะผมพูดเรื่องคุณกับคุณแขไปแล้ว ผมบอกคุณแขไปแล้วว่าผมตกหลุมรักคุณ”

คำตอบประโยคสุดท้ายของจีรัชญ์ทำเอาณิชตัวชาวาบ ก่อนที่หัวใจจะเต้นถี่รัวจนแทบไม่เป็นจังหวะ




โปรดติดตามส่วนต่อไป

ขอโทษที่หายไปนานค่ะ
พอดีช่วงเวลาไม่ลงตัวเลยไม่ได้อัป ขอโทษที่ทำให้รอนะคะ

 :m15:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด