(incest) Lost Love: รักที่สูญหาย (ตอนที่ 22-23 15Jan22)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (incest) Lost Love: รักที่สูญหาย (ตอนที่ 22-23 15Jan22)  (อ่าน 7514 ครั้ง)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 13


ในขณะเดียวกัน เคนที่ยืนส่องกระจกอยู่ในห้องน้ำก็กำลังพยายามบอกตัวเองให้ใจเย็นลง เขารู้สึกปั่นป่วนในอกชอบกล เขาจำไม่ได้แล้วว่านอกจากโทรุ เคยมีคนพูดกับเขาแบบนั้นครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ คนที่พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ ไม่ได้ต้องการร่างกายหรือหัวใจของเขาตอบแทน

เขาบอกไม่ได้ว่าตัวเองเป็นอะไร เขารู้สึกตัวเองใจสั่น แต่มันไม่เหมือนกับเมื่อตอนกลางวัน มันไม่ใช่ความรู้สึกที่รุนแรงทางกายภาพแบบนั้น แต่เขาแค่รู้สึก… แปลก

เคนล้างมือและล้างหน้าก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ เขาเดินออกมาที่ระเบียงและเห็นภูวากำลังนั่งเหม่อมองออกไปเบื้องหน้าอยู่ ดูจะไม่ได้รู้ตัวว่าเขากำลังนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เลยด้วยซ้ำ เคนฉวยโอกาสนี้มองดูชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขา ถึงทั้งคู่จะอายุต่างกันแค่ไม่กี่ปี แต่ภูวากลับดูเด็กกว่าอายุและดูเด็กกว่าเขามาก ส่วนหนึ่งคงเพราะเขาหน้าแก่เอง แต่ภูวาก็มีโครงหน้าสมส่วน ผิวที่ขาวละเอียด ดูเรียบเนียบ แขนของเขาแทบไม่มีขนเลยสักเส้น และ…

“มือไปโดนอะไรมาน่ะครับ”

ภุวาสะดุ้งเบาๆ ก่อนจะหันไปหาเคน เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเคนเดินกลับมาเมื่อไหร่ เขาใช้มืออีกข้างปิดรอยช้ำที่เกิดจากตอนที่เขาชกกำแพงห้องน้ำทันที

“อ๋อ เอ่อ น่าจะตอนเล่นยิมมั้งครับ”

เคนไม่เชื่อ เพราะเมื่อคืนเขาไม่เห็นรอยแผลนั้น แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ

Everybody hurts…” เคนพึมพำออกมากับตัวเอง

ภูวาหันไปหาเคนพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “พี่พูดว่าอะไรนะครับ”

“ไม่มีอะไรครับ”

แต่ภูวาคิดว่าเขาได้ยิน

“พี่ภู จะห้าทุ่มแล้วอะ ไล่ไอ้ต่อกลับบ้านหน่อยดิ” ภูวาเปิดประตูกระจกแล้วชะโงกหน้าออกมาที่ระเบียง

“ใจร้ายจังวะ!” เสียงของต่อดังลอดออกมาจากในห้องนั่งเล่น

“เดี๋ยวผมมานะครับ” ภูวายืนขึ้น ที่จริงมันก็ดึกแล้วจริงๆ นั่นแหละ พายุเองก็ไม่ค่อยสบาย ส่วนต่อเองก็ต้องกลับบ้าน ถ้าดึกกว่านี้ก็คงจะทำให้ครอบครัวของเขาเป็นห่วงเปล่าๆ เขาเองก็ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย การได้นั่งคุยกับเคนทำให้เขาลืมเวลาไปเสียสนิท

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ก็กลับด้วยเลยดีกว่า” เคนเองก็ยืนขึ้นเช่นกัน

ภูวาหันไปพยักหน้าให้แขกของเขาเบาๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขามองหน้าต่อแล้วก็ยิ้มเล็กน้อย “เอ จริงๆ จะนอนที่นี่ก็ได้นะต่อ”

“พี่ภู!” พายุโวยขึ้นทันที ส่วนต่อก็มีสีหน้าตกใจขึ้นด้วยเช่นกัน

“ไม่ได้หมายถึงวันนี้ แต่คราวหลังถ้าอยากมาเล่นที่นี่ มานอนค้างก็มาได้นะ พี่ต้อนรับเสมอ” ภูวาขยิบตาให้ต่อ

ต่อเขินจนต้องก้มหน้าลง “ขอบคุณครับพี่ แต่ก็เนอะ วันนี้ผมกลับก่อนเลยก็ดีครับ ดึกแล้ว”

“กูไม่ไปส่งนะ กลับออกไปเองได้นะมึงอะ” พายุพูดขึ้น

“ไปส่งเพื่อนหน่อย พายุ” ภูวาพูดเสียงดุ

“พายุเหนื่อยยยย อยากอาบน้ำนอนแล้ว นี่ยังเจ็บคออยู่เลยเนี่ย แค่กๆๆ”

“เดี๋ยวพี่ไปส่งก็ได้ครับ” เคนอาสา จากนั้นก็หันไปหาเด็กหนุ่ม “ไปเลยมั้ยครับ ต่อ”

หลังจากต่อเดินออกจากห้องของพายุไปพร้อมกับเคน พายุก็หันไปหาพี่ชายของตัวเองทันที แต่ภูวาทำเป็นไม่เห็น และแกล้งทำเป็นง่วนอยู่กับการเก็บแก้วน้ำจากที่ระเบียงมาล้างที่อ่างล้างจาน

“ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว และอย่าลืมกินยาด้วยล่ะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนอีก”

แต่พายุไม่ขยับตัว เขายืนกอดอกมองพี่ขายตัวเองตาเขม็ง ที่จริงเขารู้สึกภายในลำคอร้อนไปหมด คงจะอักเสบไปเรียบร้อยแล้ว แถมยังรู้สึกไข้ขึ้นนิดๆ อีกด้วย แต่เขาไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แน่นอน

“อะไร” ภูวาคว่ำแก้วลงแล้วหันไปหาน้องชาย

“พี่ภูนั่นแหละ อะไร” พายุตอบ “ตั้งใจจะทำอะไร พายุไม่ได้ชอบไอ้ต่อนะเว้ย ไม่ต้องพยายามทำเป็นพ่อสื่อเลย”

“กูไม่ได้จะทำตัวเป็นพ่อสื่ออออออ” ภูวากลอกตา จากนั้นก็เดินเข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้างของพายุ “แต่กูอยากให้มึงลองได้ใกล้ชิด ได้รู้จักมันมากขึ้นกว่านี้ อยากให้มึงสองคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่ต้องทำเย็นชาใส่มันมาก แค่เนี้ยมันยากเหรอวะ ปกติมึงก็ไม่ใช่คนแบบนี้สักหน่อย”

พายุอึกอัก “ปกติทุกวันนี้ก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วนี่ไง”

“ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่น มึงจะไล่มันแบบที่ไล่ไอ้ต่อปะวะ จะพูดจากับเพื่อนคนนั้นแบบที่พูดกับไอ้ต่อมั้ย กูขอถามหน่อย” คราวนี้เป็นทีของภูวาที่ยืนกอดอกบ้างแล้ว

“พ… มะ… อะ...” พายุอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี

“เห็นมะ” ภูวาส่ายหน้าเบาๆ เขาเดินเข้าไปกอดน้องชาย เขารู้ดีว่าพายุเป็นเด็กดีและมีจิตใจที่อ่อนโยนกว่าใครๆ และเขาก็เข้าใจความขัดแย้งในใจที่พายุน่าจะกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้ดีด้วย เขาเคยผ่านมันมาแล้ว เขารู้ดีว่าความรักที่มาพร้อมความสับสนแบบนี้มันน่าหงุดหงิดเพียงใด และมันทำให้คนๆ นึงเปลี่ยนไปได้ขนาดไหน แต่เขาไม่ต้องการให้น้องชายของเขาเปลี่ยนไป เขาไม่ได้ต้องการให้น้องชายของเขาเป็นเกย์ และไม่ได้อยากให้ตัดสินใจคบกับต่อ แต่เขาอยากให้พายุผ่านเรื่องนี้ไปได้โดยเจ็บปวดน้อยที่สุด ซึ่งเขาจะทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อให้น้องชายที่เขารักมากได้เติบโต เรียนรู้ และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร พายุจะชอบต่อหรือไม่ จะชอบผู้ชายหรือผู้หญิง เขาก็จะยังรักและเอ็นดูน้องของเขาเสมอไป

พายุยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกแขนทั้งสองข้างขึ้นสวมกอดพี่ชายของเขาเช่นกัน เขาไม่อยากทำตัวเป็นเหมือนลูกแหง่หรือน้องติดพี่หรอก แต่เขารักพี่ชายของเขามากจริงๆ เขามองว่าภูวาไม่ใช่เป็นแค่พี่ชายคนหนึ่ง แต่เป็นพี่ชายเพียงคนเดียวที่เขามี เป็นทั้งเพื่อนสนิท และเป็นเหมือนพ่อของเขาด้วย

ภูวาดันตัวพายุออกแล้วยีหัวของเขาเบาๆ “เฮ้ยพายุ แกตัวร้อนว่ะ ไปอาบน้ำกินยาแล้วนอนเถอะไป”

“อือออ”

“ปะ ปิดไฟแล้วนอนกันเถอะ”

“พี่ภู”

“หือ”

“คืนนี้ขอนอนด้วยได้ปะ”

ภูวายิ้มน้อยๆ แล้วโอบไหล่พายุ “ไปกินยาอาบน้ำอะไรให้เรียบร้อยก่อนไป แล้วอย่าลืมเช็ดหัวเช็ดตัวให้แห้งๆ ด้วยล่ะ”

.
.
.


หลังจากที่ได้กินข้าวเย็นกับภูวา เคนก็เริ่มสนิทกับทั้งสองพี่น้องและต่อมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นพวกเขาได้ร้วมกินข้าวเย็นด้วยกันอีก 2-3 ครั้ง และเคนก็มีโอกาสได้ไปยิมกับพายุและต่อด้วย เด็กหนุ่มทั้งสองคนดูจะชื่นชมและติดเคนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เคนช่วยสอนพวกเขาออกกำลังกาย หรือเล่าให้พวกเขาฟังเรื่องการเป็นทหารที่อเมริกา พวกเขาก็จะมองเคนด้วยแววตาชื่นชมเสมอ เคนเองก็ตอบสนองความมีน้ำใจของภูวาและมิตรภาพที่พวกเขามีให้ด้วยการช่วยสอนการบ้านภาษาอังกฤษให้กับพายุในบางวันหลังเลิกเรียนด้วย แต่การสอนหนังสือคนอื่นนี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง

“ตกลงพี่เคนคิดได้ยังครับว่าอยากทำอะไร” พายุถามขึ้นหลังจากที่เขาทำการบ้านเสร็จ

“ยังเลยครับ”

“เอาจริงนะพี่ ลองไปสมัครเป็นเทรนเนอร์ดูดีมั้ย ที่ฟิตเนสหรือเป็นฟรีแลนซ์ก็ได้ หรือไม่ก็เป็นนายแบบ ไอด้อลทางอินสตาแกรมไรเงี้ย ผมว่าพี่ขายดีแน่ๆ”

“ข้อเสนอที่จะให้เป็นติวเตอร์ให้พายุจริงๆ ก็ยังอยู่นะครับ” ภูวายิ้ม “ไม่เอาแบบสอนหนังสือฟรีๆ แบบนี้แล้วนะ”

เคนบอกขอบคุณทั้งสองคนแต่ก็ยังไม่ได้รับปากอะไร พวกเขาชวนเคนอยู่กินข้าวเย็นด้วยกัน แต่เคนปฏิเสธ เพราะเขาเพิ่งออกไปกินข้าวเที่ยงเมื่อตอนบ่ายจัดๆ กับเพื่อนกลุ่มหนึ่งมา เขาจึงขอตัวกลับห้องของตัวเองเพื่ออาบน้ำและพักผ่อน

หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ เคนก็เดินตัวเปล่าออกมาจากห้องน้ำ โดยมีเพียงผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดหัวอยู่เท่านั้น ก่อนแต่งตัว เขาหยุดอยู่หน้ากระจกและนึกถึงสิ่งที่พายุพูดกับเขาเมื่อครู่นี้ เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะทำงานเป็นนายแบบ เขาไม่ค่อยชอบการเป็นจุดสนใจของใคร ที่จริงตอนเขาอายุพอๆ กับต่อและพายุ เคนเองก็เคยชอบการเป็นศูนย์กลางของเพื่อนๆ มาก่อน แต่เมื่อโตขึ้น ความรู้สึกเหล่านั้นมันเปลี่ยนไปหมดแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เสียโทรุไป เคนก็กลายเป็นคนเก็บตัวไปอย่างสิ้นเชิง
เคนส่องกระจกมองดูร่างกายของตัวเอง แน่นอน เขารู้ว่าเขาหน้าตาดีและหุ่นดี แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของเคนที่เขาไม่เคยรู้ตัวเลยคือเขาไม่ใช่คนหลงตัวเอง เขามองแค่ความเป็นจริง ไม่มากและไม่น้อยไปกว่านั้น เขารู้ว่าตัวเองหน้าตาดี แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะดูดีกว่าใครๆ มากมาย และไม่คิดว่าทุกคนจะชอบคนหน้าตาแบบเขา เขารู้ว่าเขาหุ่นดี ซึ่งมันคือผลมาจากการออกกำลังกายตั้งแต่ยังวัยรุ่นและการเข้าร่วมกองทัพ แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะเก่งมากพอที่จะไปเป็นเทรนเนอร์สอนใคร เช่นเดียวกับเรื่องภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาที่หนึ่งของเขา แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเขาคิดว่าตัวเองจะเก่งพอไปเป็นครูสอนภาษาได้

เคนถอนหายใจเบาๆ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่าและไร้ความสามารถมากขึ้นทุกวันๆ

เมื่อเช็ดหัวและเช็ดตัวจนแห้งแล้ว เขาก็หยิบกางเกงบ็อกเซอร์มาสวม แล้วจากนั้นก็ล้มตัวลงบนเตียง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูข้อความที่ได้รับจากเพื่อนๆ ที่ไทยมากมาย ข่าวที่เขากลับมาไทยแล้วแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนดูกระตือรือร้นและอยากจะเจอเขา แต่แค่การออกไปเจอเพื่อนสามคนวันนี้เมื่อบ่ายก็ทำเคนแทบหมดพลังงานแล้ว เคนเลือกตอบข้อความกลับไปแค่ไม่กี่คน ในขณะที่เพิกเฉยข้อความที่เหลือและคิดว่าพรุ่งนี้จะค่อยทยอยตอบอีกครั้ง

เขาวางโทรศัพท์มือถือลงข้างเตียงและนึกไปถึงภูวา พวกเขาสองคนสนิทกันไวมาก มากกว่าที่เคนคิดว่าจะเป็นไปได้ และเขาก็รู้สึกสบายใจที่ได้อยู่กับภูวามากกว่าอยู่กับเพื่อนที่รู้จักมานานแล้วเสียอีก เคนเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน และไม่ใช่แค่กับภูวา แม้แต่กับพายุ หรือกับต่อ เขาก็รู้สึกรักเด็กสองคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน แต่คนที่เขานึกถึงเป็นประจำมากที่สุดคือภูวา และถ้าหากเขาไม่ได้คิดไปเอง เขาว่าภูวาเองก็คงมีความรู้สึกดีๆ ให้เขาอยู่เหมือนกัน อาจจะแค่ในฐานะเพื่อนใหม่ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น และเขาเองก็ไม่เคยต้องการเรื่องพวกนั้นในตอนนี้อยู่แล้ว ที่สำคัญแม้ว่าภูวาจะเป็นคนจิตใจดี เปิดเผย และเป็นกันเองกับเคนมาก แต่สัญชาติญาณของเคนก็บอกเขาอยู่ตลอดว่าภูวาเองก็คงมีความลับอะไรบางอย่างเก็บซ่อนไว้อยู่เช่นเดียวกันกับเขา

เคนพยายามดูซีรีส์ในเน็ตฟลิกซ์ไปได้ไม่กี่ตอน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจปิดทีวีลง เขานอนลืมตามองความว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจดีดตัวลุกออกจากเตียงไปใส่เสื้อผ้าแล้วหยุดอยู่ที่ชั้นหนังสือ เขาหยิบกรอบรูปของเขากับโทรุขึ้นมาดู บางอย่างในรูปนั้นทำให้เขารู้สึกสะดุดใจ บางสิ่งที่เขาไม่คิดว่าเป็นไปได้

เขาส่ายหน้าแล้ววางกรอบรูปนั้นลงที่เดิม เคนหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเองขึ้นจากโต๊ะรับแขกแล้วเดินออกจากห้องไป
เขาไม่รู้หรอกว่าเขาจะไปที่ไหนในเวลาป่านนี้ และเขาก็ไม่ได้รู้จักถนนหนทางในกรุงเทพมากนักด้วย ตอนแรกเขาก็คิดจะขี่รถไปแถวเยาวราชหรือย่านท่องเที่ยวต่างๆ แต่คิดไปคิดมา เขาไม่ได้ต้องการไปในที่ที่คนพลุกพล่าน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะลองขี่รถออกไปนอกเมืองดู

หลังจากที่ขี่รถออกไปได้ราวครึ่งชั่วโมง เคนก็หยุดจอดที่ร้านข้าวต้มข้างทาง เขาเปิดกูเกิ้ลแม็พดูถึงรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่แถวบางนา เขานึกลังเลว่าเขาจะขี่รถยาวไปจนถึงพัทยาเลยดีไหม แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจแค่แวะกินข้าวต้มอย่างเดียวแล้วค่อยกลับบ้านดีกว่า

ร้านข้าวต้มที่เขาเข้าไปนั่งเป็นร้านค่อนข้างใหญ่ กินพื้นที่ถึงสามคูหา มีลูกค้านั่งอยู่เกือบเต็มทุกโต๊ะ ลูกจ้างจำนวนหลายคนต่างก็ง่วนอยู่กับการเสิร์ฟอาหารและรับออเดอร์ เคนสังเกตว่าลูกค้าหลายๆ คนดูจะไม่ได้มาที่นี่แค่เพื่อกินข้าวต้มรอบดึกอย่างเดียว แต่ดูเหมือนมาเพื่มดื่มสังสรรค์กันด้วยมากกว่า บางโต๊ะก็มีลูกค้านั่งเป็นกลุ่มใหญ่ถึง 10 กว่าคน ในขณะที่บางโต๊ะก็เป็นครอบครัวหรือคู่รัก เขาเดินผ่านชายสองคนที่หน้าตาดีและแต่งตัวดีจนดูไม่เข้ากับร้านไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างอยู่ด้านในและหยิบเมนูขึ้นดู เขาพยายามอ่านเมนูภาษาไทย แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกและตัดสินใจเลือกอาหารจากรูปภาพแทน

ระหว่างที่รออาหารมาเสิร์ฟ เขาก็ส่งข้อความคุยในว็อทสแอปกับแม่ของเขาเรื่อง Trust fund ที่ปู่ของเขาตั้งไว้ให้ตั้งแต่เขาเกิด และเรื่องเงินส่วนแบ่งจากบริษัทรักษาความปลอดภัยที่เขากับเพื่อนคนหนึ่งของเขาก่อตั้งขึ้นเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว ก่อนที่เขาจะลาออกและทิ้งทุกสิ่งอย่างมาที่ไทย ชีวิตของเขาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเป็นเหมือนรถไฟเหาะ มีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตของเขามากมายเหลือเกิน มีทั้งช่วงที่ดีและแย่ที่สุด เขาประสบความสำเร็จในเรื่องงาน แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าเขาไม่มีอะไรเลยด้วยเช่นกัน เคนไม่เคยสนใจเงินจำนวนมากมายที่เขามีในบัญชีหรือแม้แต่เงินที่เขาควรจะได้รับอย่างชอบธรรม เขาเติบโตมาในครอบครัวที่มีฐานะ และได้รับโอกาสที่ดีหลังจากที่เขาปลดประจำการ แต่นั่นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงของเขา

“PJ ฝากความคิดถึงมาให้นะ เคน” ข้อความจากแม่ของเขาบอก

“บอกเขาว่าผมจะติดต่อกลับเขาไปเร็วๆ นี้ครับ”

PJ หรือชื่อเต็มคือ Peter John Lockwoods คือเศรษฐีหนุ่มที่เคนบังเอิญช่วยชีวิตเอาไว้ จากนั้นด้วยความถูกคอ เขาเสนอให้เคนเป็นหัวหน้าผู้ดูแลความปลอดภัยประจำครอบครัวของเขา และจากนั้นก็เป็นคนที่สนับสนุนเขา ผลักดันเขา และร่วมก่อตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยที่ใช้เทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกและมีเส้นสายกับบริษัท หน่วยงานของรัฐหลายแห่งของสหรัฐอเมริกา โดยที่ PJ ถือหุ้นอยู่ทั้งสิ้น 60% ในขณะที่เคนถืออีก 40% ที่เหลือ

Peter หรือชื่อที่คนเรียกกันคือ PJ คือมหาเศรษฐีคนหนึ่งของโลก และได้กลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเคนด้วยเช่นกัน
แต่สุดท้ายเคนก็ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้แล้วเดินทางข้ามโลกมานั่งอยู่ที่ประเทศไทยแห่งนี้ ที่ที่แม้แต่ PJ ผู้มั่งคั่งและเดินทางมาแล้วรอบโลกยังไม่เคยมา

เคนยิ้มให้กับความคิดนั้นแล้วพิมพ์กลับไปหาแม่ของเขา

“หรือบอกให้หมอนั่นมันบินมาที่นี่ก็ได้นะครับ บอกไปว่าผมจะพามันไปขี่ช้าง”

เคนนึกภาพแม่กำลังนั่งหัวเราะแล้วก็ยิ้มออกมาคนเดียว เขาไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจดจ้องใบหน้าหล่อเหลาของเขาอยู่ และรอยยิ้มนั่นก็ทำให้หัวใจของหลายๆ คนในร้านเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว

มีช่วงเวลาสั้นๆ ครู่หนึ่ง ก่อนที่ข้อความจากแม่ของเขาจะถูกส่งกลับมาอีกครั้ง

“วันนี้ลิซมาหาที่บ้าน และถามหาโทรุ”

รอยยิ้มบนหน้าของเคนจางหายไปอย่างรวดเร็วทันที “ว็อทเดอะ…!!” เขาสบถออกมาเบาๆ

“หลังจากตอนนั้นโทรุคงไม่ได้ติดต่อไปหาลิซอีกเลย เค้าก็เลยไม่รู้เรื่องว่า…”

เคนวางมือถือลงบนโต๊ะอย่างหัวเสีย เขาไม่สามารถอ่านประโยคที่แม่เพิ่งพิมพ์มาจนจบได้ และเขาก็ไม่พร้อมจะรับรู้อะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นตอนนี้ด้วย เขายกมือขึ้นถูใบหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังหน้าร้าน เคนสังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่งหยุดยืนล้อมรอบรถมอเตอร์ไซค์ ดูคาติ ดิอาเวล ของเขา และเขาคงจะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าเด็กวัยรุ่นพวกนั้นไม่อุตริขึ้นไปซ้อนรถของเขาแล้วโหวกเหวกเสียงดังอย่างคึกคะนอง

เคนลุกขึ้นยืนแแล้วรีบเดินออกไปหน้าร้านทันที

“เฮ้ย! อย่ายุ่งกับรถของฉัน!

ปกติเขาไม่ชอบเสียงดังหรือทำตัวเป็นจุดเด่น แต่ในตอนนี้เขาก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาทำตัวเป็นสุภาพบุรุษผู้ใจเย็น

เคนเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเพิ่งตะโกนออกไปเป็นภาษาอังกฤษ และนั่นก็ทำให้วัยรุ่นทั้งห้าคนหันมามองเขาด้วยแววตาสงสัย จากนั้นเด็กหนุ่มก็พาก็หัวเราะและกลับไปพูดคุยเล่นกันเหมือนเคนไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น คนที่ขึ้นนั่งอยู่บนรถของเคนยิ่งได้ใจ ทำท่าทางบิดรถพร้อมหมอบตัวลงเหมือนกำลังซิ่งรถอยู่ เรียกเสียงหัวเราะจากกลุ่มเพื่อน

ความอดทนของเคนหมดลงในตอนที่อีกคนกำลังทำท่าจะปีนซ้อนท้ายโดยไม่สนใจเจ้าของรถอย่างเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้น

“กูบอกให้หยุด!” เคนคำรามพร้อมพุ่งตัวไปคว้าข้อมือของคนที่กำลังจะคร่อมซ้อนท้าย

นั่นทำให้คนอื่นๆ ที่เหลือหันมาสนใจเคนและมุ่งเป้ามาที่เขาทันที เมื่อถูกยืนล้อมรอบด้วยกลุ่มคนเหล่านี้ ทั้งดวงตาของคนพวกนั้นและกลิ่นที่ลอยมาเตะจมูก เคนก็รู้ได้ทันทีเลยว่าพวกเขาไม่ใช่แค่เมาเหล้าแน่นอน

“เฮ้ย อะไรวะ! แค่ขอจับขอดูรถเล่นหน่อยแค่นี้ทำหวงเหรอ!”

“มึงคิดว่ามึงเป็นใครวะ”

“คนไทยรึป่าววว มีน้ำใจหน่อยดิเว้ยยย”

และอีกสารพัดประโยคที่ถูกพ่นออกมาจนเคนแทบจับใจความไม่ได้ เขาไม่อยากเสียเวลากับนักเลงสวะข้างถนนแบบนี้เลยจริงๆ

“ลงมาจากรถ แล้วเดินออกจากตรงนี้ไปดีๆ จะได้ไม่ต้องมีเรื่องราวกัน” เคนพูดขึ้น

แต่นั่นกลับยิ่งเป็นการยั่วยุแก๊งวัยรุ่นกลุ่มนี้มากขึ้นไปอีก คำหยาบคายและคำขู่จะทำร้ายร่างกายอีกสารพัดถูกพ่นออกมา แต่เคนก็ยังไม่ปล่อยมือออกจากข้อมือของชายหนุ่มเสื้อดำคนที่ขี่รถของเขาอยู่

“ลงมา” เคนออกแรงลากเด็กหนุ่มคนนั้นที่น่าจะอายุไม่เกิน 20 ต้นๆ จนเซถลาลงจากรถ

ฝ่ายตรงข้ามพยายามขัดขืนแต่ไม่เป็นผล แน่นอนล่ะว่าเขาจะเอาอะไรไปสู้กับคนที่สูงกว่าเขาเกือบฟุต และหนักกว่าเขาเกือบ 20 กิโลได้ แต่ความกล้าหาญและศักดิ์ศรีปลอมๆ ของเขาจึงทำให้เขาที่ถูกลากลงมาทรุดนั่งอยู่บนฟุตบาธลุกขึ้นประจันหน้ากับเคนพร้อมกับผลักเข้าที่อกของฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง

แต่เคนไม่สะทกสะท้าน และไม่แม้แต่จะเสียหลักจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่แม้แต่เพียงมิลมิเมตรเดียว

หลังจากที่มีคนแรกเริ่ม คนอื่นๆ ก็ถือว่านั่นคือสัญญาณของการทำตัวสิ้นคิดอย่างที่สุด หนึ่งในนั้นเริ่มเหวี่ยงหมัดใส่เคนพร้อมตะโกนถ้อยคำด่าทอยั่วยุโทสะเท่าที่สมองอันน้อยนิดอันขาดการอบรมอย่างสมควรจะคิดออก

เคนมองเห็นหมัดแรกที่เหวี่ยงเข้ามาหาตัวเองและเบี่ยงตัวหลบ ส่งผลให้คนที่ออกหมัดเซไปล้มทับเพื่อนของตัวเอง เขามองดูเหล่าเด็กหนุ่มตรงหน้าแล้วก็ส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจเบาๆ ตอนนั้นเองที่เคนมองเห็นด้วยหางตาว่าคนในร้านบางคนเริ่มหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปหรือวิดีโอ

ให้ตายสิเว้ย! เขาคิดในใจ เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลยจริงๆ

แต่เสียงแหลมปรี๊ดของผู้หญิงคนหนึ่งคือสิ่งที่ทำให้เคนหันกลับมาสนใจเหตุการณ์ตรงหน้า

“มันมีมีดด้วย!”

เคนหันกลับมามองเห็นมีดพกอันไม่ถึงฝ่ามือกำลังถูกเหวี่ยงเข้ามาหาเขา ด้วยสัญชาติญาณ เคนใช้มือข้างหนึ่งปัดมันออก และหมุนตัวไปใช้มืออีกข้างเสยเข้าที่คางของฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้อีกฝ่ายฟุบลงบนพื้นฟุตบาททันที

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น คนอื่นๆ อีกสี่คนที่เหลือมองเพื่อนของตัวเองล้มลงและไม่มีใครขยับตัวอีก เคนคิดว่าทุกอย่างคงจะจบแล้ว เขาหวังว่าเด็กพวกนี้คงจะกลัวจนตัวแข็งหรือตัดสินใจวิ่งหนีไป แต่ให้ตายสิ คนโง่กับคนบ้านี่บางทีมันก็แยกออกจากกันยากเหลือเกิน

วัยรุ่นที่เหลือต่างก็พุ่งโถมเข้าใส่เคนพร้อมๆ กัน เคนใช้เวลาแค่ไม่ถึงสามนาทีในการน็อกพวกเขาทั้งหมดจนหมดสติหรือไม่ก็ล้มลงไปนอนกองร้องโอดโอยบนพื้น เคนยืนมองดูร่างทั้งห้าที่กองบนพื้นก่อนจะหันกลับไปหาพนักงานเสิร์ฟของร้าน

“ช่วยตามตำรวจหรือรถพยาบาลมาทีครับ”

เคนก้าวเดินเข้าไปในร้าน แต่พนักงานผู้หญิงสองคนที่อยู่ใกล้ตัวเขาที่สุดกลับวิ่งหนีเขาไปพร้อมเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจ เคนเลิกคิ้วขึ้นและคิดในใจว่าเขาคงดูน่ากลัวมากสินะ และในตอนนั้นเองที่เขารู้สึกความเจ็บแปล๊บที่แล่นขึ้นมาจากช่วงเอวด้านหลัง เขาเคยเจ็บแบบนี้มาก่อนและเขาก็จำความรู้สึกนี้ได้ดี

เขาเอี้ยวหันไปมองสีข้างของตัวเองแล้วก็เห็นมีดพกที่เขาเคยปัดมันทิ้งไปปักอยู่ที่เอวของเขา เสื้อสีขาวของเขาโชกชุ่มไปด้วยเลือด คนที่แทงเขายืนหน้าซีดและมือสั่นเทา เคนหันไปมองคนที่ก่อเหตุและกำลังจะก้าวขาเดินเข้าไปคว้าตัวของหมอนั่นเอาไว้ แต่ในที่สุดหมอนั่นก็ตัดสินใจทำสิ่งที่ฉลาดที่สุดในค่ำคืนนี้ นั่นคือ วิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

คนในร้านหลายคนตะโกนบอกให้เรียกตำรวจและรถพยาบาล บางคนก็ตะโกนให้วิ่งไปไล่ตามจับคนที่แทง

“ปล่อยไปเถอะ” เคนพูดขึ้นเสียงดัง ทำให้ทุกคนในร้านหันมาหาเขาเป็นตาเดียวกัน “เดี๋ยวตำรวจก็จับมันได้เองแหละ” เขาพยักเพยิดไปทางผู้หญิงคนหนึ่ง “คุณถ่ายวิดีโอเอาไว้ใช่ไหม แล้วก็คุณ คุณ กับคุณคนนี้ด้วย” เคนชี้ไปยังแขกในร้านอีกสามคน ผลของการฝึกฝนและอาชีพของเขา ทำให้เขาสังเกตรายละเอียดทุกอย่างรอบตัวและจำมันไว้ได้อย่างดี

แต่ก็อย่างว่า เขาดันกลับเลินเล่อ มัวแต่คิดว่าพวกนี้มันก็แค่กุ๊ยสวะข้างถนน ไม่ได้คิดใส่ใจจะกำจัดอาวุธก่อนแบบที่เขาทำเป็นปกติทุกครั้ง

เคนนึกแล้วก็หัวเราะให้กับตัวเองเบาๆ

“ผมขอผ้ามาปิดปากแผลหน่อยได้ไหม” เคนพูดกับคนที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของร้าน “แล้วก็ขอโทษด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจ่ายค่าเสียหายและค่าทำความสะอาดให้”

เฮียเจ้าของร้านออกคำสั่งให้ลูกน้องรีบไปหยิบผ้าขนหนูมาทันที จากนั้นก็หันมาพูดกับเคนว่าไม่ต้องห่วงเรื่องเงินหรือเรื่องอื่นๆ เขากำลังตามรถพยาบาลมาให้แล้ว แต่เคนไม่ได้สนใจฟัง เขาดึงมีดที่ปักคาที่เอวอยู่ออก ส่งผลให้เลือดพุ่งทะลัก ทำเอาคนที่ยืนมุงอยู่บางคนถึงกับร้องกรี๊ดออกมา แต่เคนไม่สนใจ เขาถอดเสื้อยืดของตัวเองออกและกดมันลงที่ปากแผล ทุกครั้งที่ขยับตัว ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่งทั้งร่างกายยันปลายนิ้ว แต่เขาก็ยังพอทนไหว เขาเคยเจอแย่กว่านี้มาเยอะ และเคนรู้ดีว่ามีดอันเล็กแค่นี้ไม่น่าเป็นแผลใหญ่อยู่แล้ว

“นี่ยูไม่ใช่คนไทยใช่มั้ย เป็นคนเหล็กเทอร์มิเนเตอร์เหรอ” เสียงของเฮียเจ้าของร้านดังขึ้นใกล้ๆ เขา

ประโยคนั้นทำให้เคนเผลอยิ้มออกมาทันที

“รอก่อนนะ ลูกน้องเฮียโทรเรียกตำรวจแล้ว อีกเดี๋ยวรถพยาบาลคงจะมา”

เคนไม่แน่ใจนักว่าตำรวจหรือรถพยาบาลที่ประเทศไทยทำงานกันอย่างไร แต่เขาไม่อยากให้มีชื่อหรือหน้าของเขาปรากฎอยู่บนสื่อไหนเลยสักแห่ง ยังจะพอมีหนทางทำอะไรสักอย่างได้อยู่ไหมนะ

เคนพยายามขยับตัวเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แต่นั่นกลับทำให้เขายิ่งเจ็บและเลือดออกมากกว่าเดิมเสียอีก

“เฮ้ย! ยูอยู่เฉยๆ สิ จะขยับตัวทำไม เลือดมันยิ่งไหลไม่หยุดเข้าไปใหญ่เนี่ย” เฮียเจ้าของร้านพูดพลางใช้ผ้ากดเข้าที่แผลของเคนอย่างกล้าๆ กลัวๆ

เคนเริ่มรู้สึกตัวเองหายใจถี่ขึ้น และเหงื่อของเขาก็ออกมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน เขาพยายามล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ได้สำเร็จ และนึกเตือนตัวเองในใจว่าหลังจากนี้จะไม่ใส่กางเกงยีนส์ที่พอดีตัวจนเกินไปแบบนี้อีกแล้ว เขาปลดล็อกโทรศัพท์และคิดว่าจะกดโทรออกไปหาใคร จู่ๆ สมองของเขาก็ไม่สั่งการอย่างที่ควรจะเป็น เขาก้มลงมองที่แผลของตัวเองแล้วเห็นปริมาณเลือดที่ไหลนองอยู่บนพื้น

นับตั้งแต่ตอนที่เขาถูกแทงจนถึงตอนนี้ มันผ่านมากี่นาทีแล้วนะ

เขาเริ่มรู้สึกตัวเองหายหอบและเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น เขาเคยทั้งถูกแทงและถูกยิง แผลใหญ่กว่านี้ตั้งเยอะแต่ก็ยังผ่านมันมาได้ แต่ทำไมกะไอ้แค่ถูกแทงด้วยมีดยาวไม่ถึงคืบแค่นี้กลับทำให้เขาเสียเลือดมากขนาดนี้

เขาเริ่มหวลกลับไปคิดถึงโทรุและเลือดอุ่นๆ บนฝ่ามือของเขา เขาค่อยๆ หลับตาลง ทุกอย่างเริ่มมืดลงทีละน้อยๆ เสียงต่างๆ เริ่มค่อยๆ จางหายไป...

สิ่งสุดท้ายที่เคนรู้สึกคือมีคนเดินเข้ามาหาเขา และเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินคือ

“ผมเป็นหมอครับ ให้ผมปฐมพยาบาลเขาก่อน และเดี๋ยวผมพาเขาไปโรงพยาบาลเอง”


ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ขอบคุณที่มาต่อนะครับ
หายไปนานเลย

ออฟไลน์ คิณทรธ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • ทวิตเตอร์เด้อ
 :hao5:

ปมในใจแต่ละคนคือ หนักมาก ตัวแปรเยอะด้วย
เอาใจช่วยกันไม่ถูกเลยทีเดียว


ออฟไลน์ piggyfree

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
เผลอแป๊บเดียว ไปหลายบทแล้ว  เดี๋ยวค่อยกลับมาไล่อ่านเนาะ  มัวแต่ไปมัวเมา Mr.Queen อยู่
น้องต้นสบายดีนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-04-2021 16:07:07 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เผลอแป๊บเดียว ไปหลายบทแล้ว  เดี๋ยวค่อยกลับมาไล่อ่านเนาะ  มัวแต่ไปมัวเมา Mr.Queen อยู่
น้องต้นสบายดีนะคะ

ขอบคุณครับที่ยังนึกถึงกันนน ช่วงนี้พอดียุ่งๆ มรสุมนิดหน่อยเลยมาช้าไปหน่อยต้องขอโทษนะครับ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 14


ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแต่งกายภูมิฐานกำลังนั่งพิมพ์บนโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เขานั่งรอจนคนเดินผ่านเขาไปเกือบหมดแล้ว จึงลุกออกจากที่นั่งของตัวเองและเดินตรงไปยังประตูเครื่อง พนักงานต้อนรับของสายการบินยกมือไหว้และบอกขอบคุณเขาที่ใช้บริการโดยมีน้ำเสียงและรอยยิ้มสำเร็จรูปที่แทบไม่ต่างจากหุ่นยนต์ ซึ่งเขาก็ไม่โทษพวกเธอหรอก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องไม่สนใจพวกเธอหรือเพิกเฉยต่อน้ำใจและการบริการที่เขาได้รับตลอดการเดินทาง ชายหนุ่มหันไปหาพนักงานต้อนรับสาวทั้งสองคนและพูดขอบคุณพร้อมส่งยิ้มประจำตัวของเขาให้ รอยยิ้มที่เขามั่นใจว่าทำให้ไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นต่างก็ต้องละลาย และเขาก็มั่นใจด้วยว่าพนักงานต้อนรับคนหนึ่งที่สบตากับเขาหน้าแดงขึ้นและรีบหลบสายตาแทบจะในทันทีที่พวกเขาสบตากัน

วินยิ้มให้กับตัวเองอย่างภูมิใจในขณะที่เดินไปตามทางเพื่อรับกระเป๋า เสน่ห์ของเขายังไม่เคยลดจากเมื่อตอนเขายังเป็นหนุ่มอยู่เลยสักนิด

หากคนอื่นมองมาที่วิน ก็คงมีน้อยคนนักที่จะทายอายุของเขาถูก วินที่ในตอนนี้อายุ 45 ปีแล้ว ยังคงมีใบหน้าหล่อเหลาและรูปร่างที่ได้รับการดูแลอย่างดีอย่างสม่ำเสมอ คงไม่แปลกถ้าคนจะคิดว่าเขาเพิ่งอายุเพียง 30 ต้นๆ เท่านั้น เขาใช้เวลานับสิบปีในการสร้างชื่อเสียงของตัวเองในวงการธุรกิจที่ได้รับสืบทอดมาจากพ่อและแม่ที่จากไปแล้ว ต่อยอดทำให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นจนได้อย่างทุกวันนี้ และใช้เวลาอีกร่วมสิบปีเช่นกัน ในการสร้างชื่อเสียงของตัวเองในอีกโลกอีกกลุ่มหนึ่งที่แคบกว่าวงการธุรกิจที่เขาดูแลอยู่ แม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่รู้กันในวงของคนหมู่น้อยเท่านั้น แต่ก็ทำให้วินประสบความสำเร็จได้อย่างมั่นคงและน่าเกรงขามอย่างเช่นทุกวันนี้ได้

หลังจากรับกระเป๋าของตัวเองจากสายพาน เขาก็เดินตรงไปยังทางออกของขาเข้า กรณ์ ผุ้ที่เป้นทั้งรุ่นน้อง ผู้ช่วย และเพื่อนเพียงคนเดียวที่เขาไว้ใจยืนรอรับเขาอยู่ตรงนั้น กรณ์ยื่นมือมาหาวินเพื่อจะช่วยเขาลากกระเป๋าเดินทาง แต่วินโบกมือ

“ไฟลท์เป็นไงบ้างครับ” กรณ์ถามขณะเดินเคียงข้างเขา

“ก็ดี แอร์บนเครื่องก็น่ารักดี” วินยิ้มมุมปาก

กรณ์หัวเราะในลำคอพลางส่ายหน้าเบาๆ “ผมยังไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ถึงไม่นั่งบิสซิเนสคลาสนะ”

วินยักไหล่ “แค่ไฟลท์จากกัวลาลัมเปอร์ ไม่เห็นจำเป็นต้องเสียเงินเยอะแยะเลย”

“เอาเถอะ...” กรณ์กลอกตาเมื่อได้ยินวินพูดเรื่องเงิน “แล้วเรื่องงานเป็นไงบ้างครับ”

“เค้าก็ดูอยากให้พี่ลงทุนด้วยนะ แต่อาจจะต้องดึงเกมต่ออีกหน่อย โครงการนี้มูลค่าตั้งพันล้าน ถ้ามองระยะยาวก็น่าสนใจดี”

“แล้วเค้าจะเอาเท่าไหร่”

วินยิ้มแล้วหันไปชูสามนิ้วให้กรณ์

กรณ์ผิวปากเบาๆ “แล้วอย่าลืมเรื่องโรงแรมของเราที่ภูเก็ตด้วยล่ะครับ ไอ้หมอนั่นทำไว้ซะเละเลย นี่ผมไปคุ้ยดูถึงได้รู้ว่ามันโกงบัญชีเราไปหลายล้านอยู่เหมือนกัน เห็นว่ามีปัญหาเรื่อง...”

“ติดการพนัน” วินพูดขึ้น “แล้วก็มีปัญหากับมาเฟียที่นู่น ใช่มั้ย”

กรณ์พยักหน้า “พี่จะให้ผมทำยังไงกับหมอนั่นต่อครับ”

วินถอนหายใจเบาๆ “ไม่ใช่แค่หมอนั่นคนเดียวหรอก”

กรณ์พยักหน้าเบาๆ

โรงแรมของเขาที่ภูเก็ตกำลังประสบปัญหาเนื่องจากผู้จัดการที่นั่นฉ้อโกงและปรับแต่งบัญชีตบตาเขาอยู่หลายปี แต่ปัญหามันไม่ใช่แค่นั้น เพราะการที่คนๆ เดียวจะฉ้อโกงและตบตาวินได้เป็นปีๆ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย ถึงแม้เขาจะมีธุรกิจอยู่ในมือหลายอย่าง แต่เขาก็ดูแลทุกอย่างอย่างทั่วถึงมาโดยตลอด แต่ที่เรื่องนี้มันหลุดรอดสายตาของเขาไปได้ก็เพราะมีคนสมรู้ร่วมคิดมากกว่าแค่หนึ่งคนแน่นอน และวินก็ต้องจัดการแก้ไขทุกอย่างให้หมดตั้งแต่ต้นตอ ทั้งภายในองค์กรของเขาและทั้งคนที่อยู่นอกองค์กรด้วย

“มันไม่ใช่แค่เรื่องที่โรงแรมของเราอย่างเดียวที่ขาดทุน แต่ปัญหามันลามไปถึงพนักงานคนอื่นๆ ของเราด้วย พวกเค้าอยู่กันอย่างไม่มีความสุข และไหนจะถูกไอ้รัสเซียพวกนั้นคุกคามอีก” กรณ์พูดในขณะที่พวกเขาเดินมาถึงที่รถ

“เราคงต้องหาคนมาบริหารโรงแรมแทนให้ไวที่สุด” วินพูดขณะนั่งลงบนเบาะหน้า เขาไม่เคยนั่งเบาะหลังในขณะที่กรณ์ขับรถ เพราะกรณ์ไม่ใช่คนขับรถของเขา แต่เป็นเพื่อนของเขาคนหนึ่ง “หรือกรณ์อยากจะไปที่นู่แล้วช่วยพี่ดูแลไปก่อน”

“โห พี่วิน ผมก็ไม่อยากพูดแบบนี้นะ แต่ช่วงหลังมานี้ผมก็เต็มมืออยู่เหมือนกันนะครับ”

วินพยักหน้า เขาเองก็รู้เรื่องนี้ดี “และพี่ก็ต้องขอบใจกรณ์มากที่ช่วยพี่อย่างดีมาตลอด”

“เดี๋ยวผมจะลองดูให้แล้วกันว่ามีคนของโรงแรมอื่นที่ไหนของเรายินดีจะย้ายไปรับช่วงต่อที่นั่นบ้าง แต่ผมพูดตรงๆ ว่ามันค่อนข้างเละเทะพอสมควรเลยนะ คงหาคนอยากไปยาก”

วินเองก็รู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน แต่สิ่งที่เขาไม่เห็นด้วยกับกรณ์คือ การหาคนไปทำงานน่ะไม่ยากหรอก แต่การจะหาคนที่เก่งและเขาไว้ใจได้ต่างหากที่ยาก

“แล้วเรื่องมาเฟียที่นู่น…” กรณ์เปรยขึ้นเบาๆ

“เรื่องนั้นพี่จัดการเอง” วินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กรณ์เอารายละเอียดมาให้พี่ก็แล้วกัน”

กรณ์พยักหน้าเบาๆ แม้พวกเขาจะรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน และแม้ว่ากรณ์จะรู้จักวินและ ‘งานอดิเรก’ ของวินดี ไม่สิ อย่าว่าแต่รู้จักเลย เพราะเขาเองก็คือคนที่คอยช่วยเหลือจัดการเก็บกวาดตามหลังวินมาหลายต่อหลายครั้งแล้วด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังอดรู้สึกเย็นวาบขึ้นทุกครั้งไม่ได้เวลาที่เขาได้ยินวินพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้น

วิน หรือนายภาสกรณ์ ตัณจริยรัตน์ เป็นนักธุรกิจหนุ่มที่เริ่มดูแลกิจการของครอบครัวตั้งแต่เรียนจบ และต่อยอดสิ่งที่มีให้เพิ่มพูลขึ้นหลายเท่าตัวภายในระยะเวลาอันสั้น เขาเติบโตมาจากครอบครัวที่มั่งคั่ง แต่กลับไม่เคยได้รับความรักอย่างที่เด็กคนหนึ่งควรได้ แม่ของเขาเสียไปตั้งแต่ยังเด็ก พ่อของเขาแต่งงานใหม่ แต่เขาก็ยังไม่เคยได้สัมผัสถึงความรักแบบที่เขาควรจะได้จากแม่คนใหม่อยู่ดี โดยเฉพาะหลังจากที่แม่เลี้ยงของเขาตั้งท้อง ทั้งพ่อและแม่ของเขาก็หันไปมอบความรักทั้งหมดให้กับน้องชายของเขาแทน แน่นอนว่าเขายังได้รับการเลี้ยงดูและการสนับสนุนทั้งการเงินและทุกๆ อย่างตามที่เขาต้องการ แต่มันไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในใจของเขาได้เลย เขาโตมาแบบไม่มีเพื่อน และไม่เคยเชื่อใจใคร จนกระทั่งได้รู้จักกับกรณ์ บางครั้งกรณ์เองก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมวินถึงเลือกเขา ทำไมวิน คนที่สันโดษและแทบไม่ไว้วางใจใครจึงได้มอบความเชื่อใจนั้นให้กับเขา เขาเคยถามวินครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่ได้รับคำตอบ และเขาก็ไม่เคยถามออกไปอีก เพราะมันไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกภูมิใจได้ที่ได้รู้จักวินและได้มายืนอยู่ข้างๆ ชายคนนี้อย่างเช่นทุกวันนี้

วินเป็นคนที่เรียกได้ว่าเติบโตมาพร้อมแทบทุกอย่าง ทั้งฐานะทางสังคม การเงิน หน้าตา หัวสมอง และศักยภาพทางร่างกาย วินเริ่มสนใจในอาวุธปืนตั้งแต่ยังเด็ก เพราะของสะสมของพ่อของเขา เขาเริ่มไปสนามยิงปืนตั้งแต่อยู่ชั้นประถม จุดเริ่มต้นจากการเรียนรู้การใช้ปืน ก็เริ่มขยายไปถึงอาวุธชนิดอื่นๆ วินเริ่มเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวหลายอย่างตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น จนกระทั่งพอเขาเริ่มโตขึ้น เขาก็รู้สึกว่าการเรียนรู้แค่ในห้องสี่เหลี่ยมกับอาจารย์ผู้สอนและเพื่อนในชั้นคนอื่นๆ มันไม่เพียงพออีกต่อไป เขารู้สึกถึงบางอย่างที่ขาดหาย บางอย่างที่เขาต้องการโหยหามาโดยตลอด

หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยที่ประเทศไทย วินก็ไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้เริ่มใช้ทักษะทุกอย่างที่เขาสั่งสมมาหลายปีตามท้องถนนในยามค่ำคืนของเมืองนิวยอร์ค เหตุการณ์แรกที่ทำให้วินมีงานอดิเรกแบบนั้น เกิดมาจากการที่เขาช่วยชายคนหนึ่งเอาไว้ได้จากการถูกนักเลงผิวสีที่เมาเหล้ารุมทำร้ายเพื่อชิงทรัพย์ วินเสพติดอะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาและความรู้สึกตื่นเต้นในช่วงแห่งการประเชิญหน้า วินรู้ได้ทันทีว่าความรู้สึกนี้เองคือสิ่งที่เขาต้องการ

หลังจากกลับมาที่ไทยได้ไม่กี่ปี พ่อและแม่เลี้ยงของวินก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่นั่นไม่ใช่อุบัติเหตุที่แท้จริง แต่เป็นการจัดฉากวางแผนฆาตกรรมของหุ้นส่วนของพ่อที่หวังจะยึดครองผลประโยชน์ทั้งหมด หลังจากที่วินรู้เรื่องนี้ เขาก็หายไปจากบ้านหลายวัน และหลังจากที่เขากลับมา คนๆ นั้นก็ไปมอบตัวกับตำรวจและสารภาพความผิดของตัวเอง ในขณะที่น้องชายต่างแม่ของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการแบกรับช่วงต่อธุรกิจใดๆ ตราบเท่าที่เขายังได้รับเงินใช้จุนเจือครอบครัวของเขาจากวิน ซึ่งวินก็ยินดีทำทุกอย่างตามที่น้องของเขาต้องการ

ในช่วงแรกที่วินต้องเริ่มต้นแบกรับการบริหารธุรกิจของที่บ้าน เขาต้องเผชิญกับความเครียดและแรงกดดันมากมายจากรอบข้าง และเขาก็หาวิธีในการระบายความเครียดในแบบฉบับของตัวเอง กรณ์รู้ว่าวินทำอะไร แต่เขาไม่เคยพูดออกไป และยังคงทำตัวเป็นปกติทุกอย่าง เขาเชื่อใจในตัวของวิน และตราบเท่าที่วินไม่ผันตัวไปทำธุรกิจผิดกฎหมาย เขาก็คิดว่าจะพยายามปิดตาทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อไปได้

จนกระทั่งวันหนึ่ง ธุรกิจอสังหาฯ ที่พวกเขาทำเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนกับนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่ง หลังจากการประุชมเพื่อหาข้อตกลงกับฝ่ายตรงข้ามอันดุเดือดเพียงและไม่สามารถหาข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจได้เพียงไม่กี่วัน แม่ของกรณ์ก็ประสบอุบัติเหตุทำให้ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหลายวัน และในระหว่างนั้นเขาก็ได้รับดอกไม้เยี่ยมไข้จากนักการเมืองคนนั้นแม้ว่ากรณ์จะไม่เคยบอกฝ่ายนั้นออกไปเลยว่าแม่ของเขาประสบอุบัติเหตุหรืออยู่โรงพยาบาลอะไร มีบางอย่างผิดปกติมากๆ และเมื่อกรณ์เล่าให้วินฟัง จู่ๆ เขาก็หายตัวออกไปจากบ้านโดยไม่บอกกรณ์ก่อน กรณ์ติดต่อเขาไม่ได้ตลอดสามวัน และในวันที่สี่เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากวินบอกว่าเขาจัดการทำเรื่องย้ายแม่ของวินไปยังโรงพยาบาลที่ดีกว่านี้ให้แล้ว และเขาจะเป็นคนจัดการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง ตกดึกในคืนนั้นมีสกู๊ปข่าวทางทีวีพูดถึงเรื่องหลักฐานการคอร์รัปชั่นและการพัวพันกับยาเสพติดของนักการเมืองคนนั้นที่คนวงในหลุดออกมา และจะเกิดการสอบสวนขึ้น

เช้าวันถัดมากรณ์ไปหาวินที่บ้าน วินที่กำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โต๊ะกินข้าวเงยหน้าขึ้นมองเขา

“พี่ทำอะไรลงไป” กรณ์ถาม

วินยิ้ม “เรื่องอะไรล่ะ”

“พี่ก็รู้ผมหมายถึงเรื่องอะไร” กรณ์จ้องหน้าวิน “ผมไม่เคยพูดเรื่องที่ผ่านๆ มากับพี่มาก่อน แต่ผมว่าวันนี้ผมควรต้องรู้ความจริงจากปากพี่บ้างได้แล้วนะ ถ้าพี่ไว้ใจผมจริง พี่ต้องตอบผม”

วินยิ้ม “พี่ก็แค่ทำสิ่งที่ควรทำ”

กรณ์ไม่คิดว่านั่นคือคำตอบที่เขาอยากได้และมันก็ไม่สามารถอธิบายอะไรให้เขาเข้าใจได้เลย แต่เขารู้ว่าเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ถึงอย่างไรวินก็คงไม่มีทางเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังแน่ๆ

“งั้นผมถามใหม่ก็แล้วกัน” กรณ์เปลี่ยนกลยุทธ์ “พี่กำลังหาเรื่องอันตรายมาให้ตัวเองและพวกเราทุกคนรึเปล่า”

“ตรงกันข้าม” วินวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ “พี่ทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้พวกเราและครอบครัวของกรณ์มีอันตรายต่างหาก”

กรณ์ยังไม่อยากเชื่อคำพูดนั้นเท่าไหร่นัก ไม่สิ ที่จริงเขาไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจความหมายของวินเท่าไหร่ต่างหาก

“ถ้ากรณ์สงสัยว่าพี่ทำอะไร และยืนกรานอยากจะรู้ความจริงทุกอย่าง พี่จะบอกให้กรณ์รู้ก็ได้ ตราบเท่าที่มันจะไม่ก่อให้เกิดผลเสียอะไรตามมา” วินพยักเพยิดไปยังเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขา

แต่กรณ์ยังคงยืนอยู่กับที่ “พี่ทำสิ่งที่ผิดกฎหมายรึเปล่า”

“ถ้ากรณ์หมายถึงว่าพี่เคยฆ่าคนรึเปล่า คำตอบคือไม่” วินมองหน้ากรณ์ด้วยแววตาแหลมคม “และถ้ากรณ์หมายถึงธุรกิจที่พวกเราทำ กรณ์ก็รู้ดีว่ามันไม่มีอะไรผิดกฎหมาย และจะไม่มีวันที่พี่จะทำแบบนั้นเด็ดขาด” วินเว้นช่วงก่อนจะหัวเราะออกมาน้อยๆ “นอกจากบางเรื่องมันอาจจะต้องเทาๆ บ้างตามธรรมเนียมของบ้านเราน่ะนะ”

“ผมเชื่อพี่ได้ใช่ไหม”

“พี่เคยโกหกเหรอ”

กรณ์รู้สึกผิดทันทีที่ถามออกไปแบบนั้น วินไม่เคยพูดโกหก อย่างน้อยๆ ก็ไม่เคยโกหกเขาเลยสักครั้ง มันไม่ควรมีอะไรที่ทำให้เขาต้องสงสัยในคำพูดของวิน

กรณ์ลากเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง “แม่ผมดีขึ้นมากแล้ว หมอบอกว่าอีกไม่กี่วันก็คงเริ่มทำกายภาพบำบัดได้”

“ดีแล้ว” วินยิ้มกว้าง

“ผมไม่อยากให้พี่ต้อง… เรื่องอันตรายแบบนั้นมัน…” กรณ์นิ่วหน้า เขาไม่รู้ว่าควรพูดออกไปอย่างไรดี

“พี่ไม่อยากใช้ชีวิตแบบน่าเบื่อนะ” วินพูดสั้นๆ เป็นการตัดบท และหลังจากนั้นทั้งสองคนต่างก็นั่งเงียบไปครู่หนึ่ง

“พี่ไม่ได้ตัวคนเดียวบนโลกนี้หรอกนะ พี่วิน”

“แน่นอน เพราะพี่มีกรณ์คอยระวังหลังให้พี่ไง”

หลังจากนั้นวินก็เริ่มบอกกรณ์มากขึ้นเวลาที่เขาเข้าไปพัวพันกับเรื่องไม่เป็นเรื่องบางอย่าง กรณ์ค่อยๆ ใช้เวลาเรียนรู้สิ่งที่วินทำและสาเหตุที่วินทำเช่นนั้นอยู่นาน 2-3 ปีผ่านไป กรณ์ถึงเพิ่งรู้ว่าวินมีญาติห่างๆ อยู่ครอบครัวหนึ่งที่เขายอมรับกับกรณ์ว่าเขารักและผูกพันกับครอบครัวนี้มากกว่าพ่อ แม่เลี้ยง และน้องชายของเขาเสียอีก น้าสาวของเขา หรือน้องสาวของแม่แท้ๆ ของวิน แต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งที่วินมองว่าเป็นคนดีและน่านับถือมาก ทั้งคู่มีลูกชายหนึ่งคน และวินก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องดูแลน้องชายคนนี้อย่างดีที่สุด ในตอนที่น้องชายคนนี้เกิดปัญหาถูกคนรังควานและปองร้าย วินก็เป็นคนเข้าไปช่วยจัดการเรื่องยุ่งเหยิงนั้นให้ตามแบบของเขาโดยมีกรณ์เป็นผู้ที่ช่วยดูแลและจัดการเก็บกวาดตามหลังให้ พวกเขาสองคนผ่านเรื่องดีและร้ายด้วยกันมามาก นับตั้งแต่วันที่เขาเริ่มรู้จักกันจนมาจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปมากกว่า 30 ปีแล้ว ทั้งคู่เป็นมากกว่าแค่เพื่อนและหัวหน้ากับลูกน้อง แต่สำหรับวินแล้ว กรณ์คือคู่หูชีวิตและคู่หูทางธุรกิจที่เขาขาดไม่ได้

ในตอนนี้ที่ธุรกิจของวินเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ กรณ์เองก็เริ่มงานล้นมือเพราะวินได้ยกกิจการบางอย่างทั้งหมดให้กรณ์ดูแล และกรณ์เองก็ได้มีชื่อจดทะเบียนเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจของเขาแบบเต็มตัวในหลายๆ บริษัทเช่นกัน

“ที่จริงพี่มองหาผู้ช่วยแบบกรณ์อีกคนอยู่นะ” วินพูดขึ้นในขณะที่กรณ์กำลังขับรถออกจากลานจอดรถที่สนามบิน
กรณ์เลิกคิ้วขึ้นทันที “แบบผมเลยเหรอ”

“แน่นอน คงไม่ใช่คนที่พี่จะไว้ใจได้เท่ากรณ์หรอก” วินหัวเราะเบาๆ “แต่คิดว่าคงอยากให้มาเป็นลูกมือกรณ์อีกคนน่ะ คนที่ไว้ใจได้…”

“ที่จริงตอนนี้ผมก็กำลังคิดแบบนั้นเหมือนกันครับ บางทีเวลาพี่ต้องไปต่างประเทศ ผมก็ติดงานเลยไปด้วยไม่ได้ หรือเวลาพี่ต้องการคนช่วยจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตามหลังให้ ผมก็อาจจะไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน และอีกเรื่องคือผมว่าเราต้องเพิ่มความปลอดภัยให้กับพี่ให้มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีปัญหาเรื่องโรงแรมที่ภูเก็ตนั่นน่ะ ใครจะไปรู้ว่าไอ้พวกมาเฟียพวกนั้นจะทำอะไรอีกบ้าง เท่าที่ผมรู้มา มันเคยกระทั่งส่งคนเข้ามาคุกคามพนักงานของเราถึงในบ้านและในโรงแรมเราเลยนะ ระบบรักษาความปลอดภัยที่นั่นแย่มากๆ เอ้อ พูดถึงเรื่องนี้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมว่าผมอยากได้คนมาช่วยจัดการอัปเกรดระบบรักษาความปลอดภัยตึกทุกตึก โรงแรมทุกแห่ง แล้วก็บ้านทุกหลังของพี่ที่พี่มีทั้งหมดเลยด้วย”

“เฮ้ย พี่ให้เรามาเป็นผู้ช่วยพี่นะ ไม่ใช่เป็นสมองของพี่ คิดแทนพี่ซะหมดขนาดนี้แล้วพี่จะเหลืออะไรทำบ้างล่ะเนี่ย” วินหัวเราะเบาๆ

“พี่เอาหัวสมองพี่ไปห่วงเรื่องธุรกิจพันล้านของพี่เถอะ เรื่องเล็กๆ แบบนี้ปล่อยผมจัดการได้ครับ”

“เรื่องความปลอดภัยมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หรอกนะ”

“แล้วพี่คิดไว้ว่าอยากได้คนแบบไหน”

“เอาแบบเพอร์เฟ็กต์เลยนะ ต้องฉลาด มีไหวพริบ แน่นอนว่าต้องพูดภาษาอังกฤษได้ และจะดีมากถ้าสามารถช่วยพี่เรื่องอย่างว่าได้อย่างพี่กรณ์เคยช่วยพี่มาตลอด แต่แน่นอนว่าถ้าจะไปถึงตรงนั้นได้ พี่ต้องไว้ใจเค้าได้มากพอ”

กรณ์หัวเราะออกมา “สรุปคือพี่อยากได้คนที่ทั้งบริหารงานเป็น ฉลาด ต้องเคยชินกับการที่มือเปื้อนเลือด และต้องทำให้พี่เชื่อใจได้พอจะเปิดเผยงานอดิเรกของพี่ให้เค้ารู้โดยที่เค้าไม่วิ่งหนีหรือวิ่งไปแจ้งตำรวจด้วยน่ะเหรอ พี่ว่าผมจะเสกคนแบบนั้นให้พี่ได้จากไหนครับ”

“เฮ้ยๆ พี่ถึงได้บอกไงว่าถ้าได้แบบนั้นก็เพอร์เฟ็กต์เลย แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก อย่างน้อยๆ ก็คนที่กรณ์มองว่าโอเค กรณ์เชื่อใจใครพี่ก็เชื่อใจคนนั้นแหละ”

กรณ์ยังคงหัวเราะเบาๆ อยู่ “กูจะเขียน Job Description ยังไงดีวะเนี่ย” เขาพูดกับตัวเองเบาๆ

วินที่ได้ยินประโยคนั้นอดหัวเราะออกมาด้วยไม่ได้

“ว่าแต่พี่หิวมั้ยเนี่ย ผมรู้ว่าพี่ไม่ชอบกินอาหารบนเครื่อง เราแวะกินข้าวต้มร้านเดิมที่เราเคยกินกันดีมั้ย พอกลับถึงบ้านพี่ก็จะได้พักผ่อนเลยยาวๆ เพราะนี่ก็ดึกแล้ว”

วินพยักหน้า เขานึกในใจว่าปกติเขาเป็นคนไม่ค่อยเชื่อในเรื่องดวงหรือโชคชะตาเท่าไหร่ ทุกๆ อย่างในชีวิตของเขาที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เขากำหนดหรือสร้างขึ้นมาเอง ยกเว้นก็แต่การได้โคจรมาพบกับคนอื่นที่เขาไม่สามารถเลือกได้ว่าใครจะเดินเข้ามาในชีวิตของเขาบ้าง และในตอนนี้เขาก็กำลังรู้สึกอยากได้คนมาช่วยแบ่งเบาภาระของเขาและของกรณ์ลงไปบ้างสักเล็กน้อย
ถ้าหากสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตามีจริง เขาก็อยากรู้ว่ามันจะพาคนแบบที่เขาต้องการมาเจอเขาได้จริงหรือเปล่า หรือถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็อาจจะต้องประกาศรับสมัครงานผ่านเว็บไซต์ JobsDB อย่างที่กรณ์พูดเสียล่ะมั้ง

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 15


เคนลืมตาขึ้น แต่เมื่อขยับตัว เขากลับรู้สึกเจ็บจนต้องหยุดชะงัก เขาเอื้อมมือคลำสีข้างบริเวณที่เขารู้สึกเจ็บ จึงรู้สึกถึงผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบเอว เขาก้มมองดูร่างกายของตัวเองจึงเห็นว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เขาค่อยๆ นึกถึงสิ่งที่เขาจำได้ล่าสุด เขาขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปข้างนอกตอนดึก แวะร้านอาหารข้างทาง มีเรื่องกับเด็กวัยรุ่นแถวนั้น ถูกแทง จากนั้นก็มีคนบอกว่าเรียกรถพยาบาลให้แล้ว และหลังจากนั้น… เขาก็จำอะไรไม่ได้อีก

เคนคำรามในลำคอเบาๆ ด้วยความโมโหและหงุดหงิดตัวเอง เขาค่อยๆ ดันตัวขึ้นนั่งแล้วเริ่มหันมองไปรอบๆ ห้อง อย่างน้อยก็เผื่อจะรู้ว่าเขาอยู่ที่โรงพยาบาลอะไร แต่แล้วสิ่งที่ได้เห็นกลับทำให้เขาต้องประหลาดใจ

“ภูวา?”

บนโซฟา ใกล้กับประตูบานเลื่อนออกไปยังระเบียง มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนอนหลับอยู่ และคนๆ นั้นก็คือภูวา เพื่อนบ้านและเพื่อนใหม่ของเขา

เคนไม่เข้าใจเลยว่าภูวามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ใครเป็นคนติดต่อเขา และทำไมเขาถึงจะมานอนเฝ้าเคนอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนี้
ในขณะที่เขากำลังหลงอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น จากนั้นพยาบาลในชุดขาวก็เดินเข้ามาหาพร้อมทักทายอย่างเป็นมิตร

“อ้าว คนไข้ตื่นแล้วเหรอคะ” นางพยาบาลพูดพร้อมเปิดสวิตช์ไฟที่หัวเตียง

ภูวาดีดตัวขึ้นนั่งทันที “พี่เคน เป็นยังไงมั่งครับ” เขารีบเดินเข้ามาหาเคนที่ข้างเตียง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยและตื่นตระหนก

“ภูวา ยูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ” เคนถาม

“คุณเคนคะ” นางพยาบาลพูดขัดขึ้น “อีกสักพักคุณหมอจะเข้ามาตรวจดูอีกครั้งนะคะ ส่วนโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ถูกเก็บอยู่ในลิ้นชักที่โต๊ะหัวเตียง” พยาบาลชี้ไปที่โต๊ะทางด้านขวามือของเคน “ส่วนเสื้อผ้าที่ใส่เมื่อคืนนั้นเราทำความสะอาดให้แล้ว อยู่ในถุงในตู้เสื้อผ้านะคะ เดี๋ยวขอพยาบาลตรวจสัญญาณชีพหน่อยนะคะ”

“ขอบคุณครับ ว่าแต่ ผมมาที่นี่ได้ยังไง และที่นี่คือที่ไหนครับเนี่ย”

“พี่เคนจำไม่ได้ใช่มั้ยครับ” ภูวาถามในขณะที่พยาบาลกำลังวัดความดันให้เคน

เคนส่ายหน้า “จำได้ถึงแค่หลังถูกแทง แต่จากนั้นก็…”

“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังเอง”

นางพยาบาลยิ้มให้ทั้งสองคนก่อนจะเดินออกไป แต่ก่อนที่เธอจะทันได้ปิดประตูลง ผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งก็เดินเข้ามา หลังจากที่เขาปิดประตูห้องลง เขาก็เดินตรงเข้ามาหาเคนและภูวาที่เตียง

“สวัสดีครับ คุณเคน รู้สึกยังไงบ้างครับ”

“คุณคือใคร” เคนมองผู้มาใหม่ด้วยความสงสัย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ผมชื่อกรณ์ครับ เป็นคนที่พาคุณมาที่โรงพยาบาลเมื่อคืนนี้… ที่จริงต้องบอกว่า ผมและหัวหน้าของผม พาคุณมาเมื่อคืนนี้”

เคนมองหน้าชายตรงหน้า เขารู้สึกขอบคุณที่คนๆ นี้ช่วยเหลือเขาก็จริง แต่อะไรบางอย่างบอกเขาว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ อยู่ บางอย่างที่เขาไม่เข้าใจและเขาก็บอกตัวเองให้สบายใจไม่ได้เลย

กรณ์ยิ้ม เขาพูดต่อเหมือนจะอ่านใจเคนออก “เมื่อคืนผมและหัวหน้าของผมก็อยู่ที่ร้านนั้นด้วยครับ เราเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แต่รถพยาบาลมาช้ากว่าที่คาดและคุณเองก็เสียเลือดมาก เราก็เลยต้องเข้ามาช่วยห้ามเลือดและเป็นคนรีบพาคุณมาส่งที่โรงพยาบาลแทน”

เคนนิ่วหน้า จากนั้นก็หันไปหาภูวา

“พี่โทรหาผมครับ น่าจะเป็นตอนก่อนที่พี่จะหมดสติไป ผมได้ยินแต่เสียงคนจอแจกัน ตอนแรกก็คิดว่าพี่คงจะบังเอิญเผลอกดมาโดนแล้วโทรหาผมโดยไม่ได้ตั้งใจ จนผมได้ยินเสียงคนพูดว่าเขาเป็นหมอและจะมาช่วยห้ามเลือดให้ก่อน”

“ผมเอง” กรณ์พูด

“คุณเป็นหมอเหรอ” เคนถาม

กรณ์ยิ้มและส่ายหน้า “เปล่าหรอกครับ แต่แค่มีความรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง เลยพูดออกไปแบบนั้นจะได้ให้คนอื่นวางใจ”

“ตอนนั้นผมก็เริ่มกังวลแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็มีคนมาคุยกับผมผ่านโทรศัพท์ของพี่ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังคร่าวๆ แล้วก็บอกว่ากำลังจะพาพี่ไปโรงพยาบาลไหนแล้วให้เบอร์ติดต่อผมไว้ด้วย” ภูวาพูด

“เดี๋ยวนะๆ เดี๋ยวนะครับ...” เคนยกมือขึ้นทำท่าให้ภูวาหยุดพูด ก่อนจะใช้มืออีกข้างบีบหัวคิ้วตัวเอง “ว่าแต่ตอนนี้กี่โมงแล้วเนี่ย แล้วทำไมภูวาถึงต้องมาที่นี่ด้วย แล้วเด็กพวกนั้นเป็นยังไงบ้าง แล้วเรื่องตำรวจล่ะ”

กรณ์ดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ ผมมีนัดประชุมต่อ ยังไงฝากให้น้องภูวาเล่าเรื่องที่เหลือต่อแล้วกันนะครับ” กรณ์ส่งยิ้มให้เคนกับภูวาก่อนจะเดินตรงไปยังประตูห้อง แต่ก่อนที่จะเดินออกไป เขาก็หันกลับมาหาเคนอีกครั้ง “อ้อ ไม่ต้องห่วงเรื่องตำรวจนะครับ บอสผมเค้าจัดการให้หมดแล้ว”

เคนเลิกคิ้วขึ้นแล้วพูดออกไปเป็นภาษาอังกฤษ “ทำไม

เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนแปลกหน้าถึงต้องทำอะไรถึงขนาดนั้นด้วย

กรณ์อ่านใจของเขาออก “ถือว่าเป็นการช่วยเหลือกันครับ และอีกอย่าง หัวหน้าผมอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากคุณในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยเหมือนกัน” กรณ์ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นก็พูดต่อเป็นภาษาไทย “เดี๋ยวพรุ่งนี้บอสของผมจะเข้ามาเยี่ยมและคุยรายละเอียดด้วย ยังไงก็ลองฟังเค้าดูก่อนแล้วกันนะครับ”

เสียงประตูห้องปิดลงพร้อมกับคำถามอีกมากมายในหัวของเคน

“พี่โอเคมั้ยครับ สีหน้าพี่ดูไม่ค่อยดีเลย” ภูวาพูดขึ้น “พักผ่อนก่อนดีมั้ย เอาไว้ดีขึ้นแล้วเราค่อยคุยกัน”

“พี่แค่ไม่เข้าใจครับ… ไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น คนๆ นั้นคือใครและเขาต้องการอะไรจากพี่”

“ผม… ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่ที่แน่ๆ ก่อนอื่นพี่ต้องพักผ่อนให้มากๆ ก่อนเลย อย่าเพิ่งขยับตัวเยอะ” ภูวาพูดพลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวของเคน “ดีนะที่พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่หมอบอกว่าพี่น่าจะพักผ่อนน้อย ร่างกายพี่ก็เลยต้องการการพักฟื้น พี่ถึงได้หลับยาวขนาดนี้”

“ยาวขนาดไหนครับ ตอนนี้กี่โมงแล้วเนี่ย”

“ห้าโมงกว่าครับ”

“ห้าโมงเย็นของวัน…”

“วันถัดมาจากที่เกิดเรื่องนั่นแหละครับ พี่หลับไปสิบกว่าชั่วโมงเลย”

เคนหลับตาลง “เข้าใจละครับ ถ้างั้นรบกวนเปิดผ้าม่านให้พี่หน่อยได้มั้ยครับ แล้วก็เปิดไฟในห้องทุกดวงด้วย มันมืดจนพี่สับสนวันเวลาไปหมดแล้ว”

ภูวาเดินไปเปิดม่านและเปิดไฟในห้องตามที่เคนบอก เขาเป็นคนปิดไฟในห้องไว้เองเพราะอยากให้เคนได้พักผ่อนเต็มที่

“แล้วภูวามาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“ตั้งแต่พี่มาถึงได้สักพัก… ก็สักประมาณตีสี่ได้มั้งครับ”

“แล้วภูวาอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ แล้วงานล่ะ ไม่ได้ไปทำงานเหรอ”

“ครับ”

ทำไมครับ” เคนถามเป็นภาษาอังกฤษ

ภูวาอึกอักเล็กน้อย “ก็ไม่ทำไมหรอกครับพี่ คือ… พอรู้ว่าเกิดเรื่องแบบนั้นแล้ว ผมจะปล่อยพี่ไว้คนเดียวได้ยังไงล่ะครับ”

“แล้วงานล่ะ”

“ลาวันนึงไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วง พี่สำคัญกว่างานเยอะ...” หลังพูดจบ ภูวาก็ตาโตขึ้นเล็กน้อยทันที เขาหน้าแดงและรีบก้มหน้าหลบดวงตาของเคน

เคนมองภูวา ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในอกของเขา บางอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกกับใครคนอื่นมาก่อนนอกจาก…

เคนเอื้อมมือไปจับมือของภูวาเอาไว้

ภูวาสะดุ้งเบาๆ และเงยหน้าขึ้นสบตากับเคน เวลารอบตัวทั้งสองคนดูเหมือนจะหยุดลงทันที ช่วงเวลาแค่เสี้ยววินาทีนั้นยาวนานเหมือนชั่วโมง ภูวาอยากจะพูดบางอย่างออกไป แต่สมองของเขากลับหยุดทำงานไปชั่วขณะ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง และมันเป็นเหมือนกระแสไฟฟ้าที่ช็อตให้มือของทั้งคู่เด้งออกจากกันอย่างรวดเร็ว

“สวัสดีครับ คนป่วย เป็นยังไงบ้าง” คราวนี้เป็นคุณหมอวัยกลางคนในชุดขาวเดินเข้ามาในห้อง ตามหลังมาด้วยพยาบาลอีกคน “เอ๊ะ เรียกคนป่วยไม่ได้สิ ไม่ได้ป่วยนี่นา แค่โดนแทงเท่านั้นเอง” เขาหัวเราะเบาๆ “ยังเจ็บแผลอยู่สินะ ช่วงนี้ก็อย่าเพิ่งขยับตัวเยอะนะ พักผ่อนเยอะๆ ช่วงหลังมานี้พักผ่อนน้อยใช่รึเปล่า”

“อ่าา… ครับ”

“ว่าแล้วเชียว ถึงภายนอกจะดูบึกบึนแค่ไหน แต่ถ้าร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ข้างในมันก็ทนไม่ไหว รู้มั้ย”

“ครับ” เคนพยักหน้า เหลือบตามองไปยังภูวาที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างเตียง

“ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ครับเนี่ย”

“ยังไม่ได้ทำงานครับ เพิ่งกลับมาไทยได้ไม่นาน”

“อ้อ แล้วก่อนหน้านี้ล่ะครับ”

“เป็น… ทหารครับ”

“ที่ต่างประเทศเหรอ” หมอถามด้วยความสงสัย

“อเมริกาครับ”

“มิน่าล่ะถึงได้หุ่นบึ้กขนาดนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคย… ใช่มั้ย” หมอชี้นิ้วไปที่สีข้าง

เคนส่ายหน้า

“ผมเห็นแผลเป็นอยู่” หมอพยักหน้า เขาตรวจร่างกายเคนอีกครู่สั้นๆ ก่อนจะกำชับให้พักผ่อนมากๆ เขาบอกจะสั่งยาแก้ปวดให้ แล้วก็เดินออกจากห้องไป

“เคยอะไรเหรอครับ” ภูวาถามขึ้นด้วยความสงสัย

ดวงตากลมโตเป็นกระกายของภูวาทำให้เคนยิ้มออกมาเล็กน้อย สีหน้าเวลาสงสัยของเขาเหมือนเด็กๆ ไม่มีผิด “เคยได้รับบาดแผลพวกนี้มาก่อนน่ะครับ พี่เคยเจอมาหมดแล้ว ทั้งมีด ทั้งกระสุนปืน ทั้งระเบิด… อย่าลืมสิ พี่เคยเป็น มารีน อยู่หลายปีนะ”

“ไม่ลืมหรอกครับ” สีหน้าของภูวาเปลี่ยนเป็นความกังวลทันที “แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะรู้ว่าพี่เคยเจอเรื่องแบบนั้นด้วยนี่”

“มันเป็นอดีตไปแล้วล่ะครับ”

“ครับ”

ทั้งสองคนเงียบกันลงไปครู่หนึ่ง

“ขอโทษนะครับที่ไม่เคยบอก” เคนเป็นฝ่ายพูดขึ้น “ตอนที่กินข้าวด้วยกันก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง”

ทั้งๆ ที่เขาก็เพิ่งจะนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันเมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เคนถึงรู้สึกเหมือนมันผ่านมายาวนานแล้ว
“เปล่าๆ ผมไม่ได้โทษพี่ครับ ผมแค่… ช็อกๆ น่ะครับ ที่ได้ยินว่าพี่เคยเจอเรื่องพวกนั้น เคยบาดเจ็บขนาดนั้นมาก่อนด้วย” ภูวาตอบ เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องรู้สึกแปลกๆ แบบนี้

เมื่อคืนเขาตกใจมากที่จู่ๆ ก็รู้ว่าเคนถูกแทงและหมดสติไป ในชีวิตของเขา เขาไม่เคยประสบกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย ไม่ว่าจะตัวเขาเอง ครอบครัว หรือเพื่อนของเขา ในตอนแรกภูวาก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่เป็นพายุ น้องชายของเขาที่บอกให้เขารู้

“อะไรวะ พี่ภู!” พายุที่นอนอยู่ข้างๆ ภูวาสะดุ้งตื่นขึ้นหลังจากที่ภูวากระโดดลุกออกจากเตียง

พายุหยีตามองดูพี่ชายของตัวเองเดินไปมาทั้งที่ยังคุยกับบางคนอยู่ในโทรศัพท์ เขาลุกขึ้นไปเปิดไฟแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของภูวา

“ครับ… ขอบคุณครับ… ครับ” ภูวาวางสาย

“อะไรอะพี่ภู ใครโทรมา”

“ไม่รู้” ภูวาตอบ

“ห๊ะ” พายุนิ่วหน้า “ไม่รู้แล้วคุยกับใคร”

“ไม่รู้... เดี๋ยวนะ เค้าบอกเค้าชื่อวิน แต่… แต่ว่าตอนนี้พี่เคนได้รับบาดเจ็บมาก เค้าเพิ่งถูกแทง แล้วกำลังจะไปโรงพยาบาล เห็นว่าหมดสติไปเพราะ… เพราะเสียเลือดมาก กูจะทำไงดีวะ พายุ” ภูวาพูดออกมาเป็นชุด

“เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้พี่บอกว่าไงนะ พี่เคนถูกแทงเหรอ” พายุตาโต

ภูวาพยักหน้า เขายังคงไม่รู้ว่าควรต้องทำยังไงหรือแม้แต่คิดอะไร เขาได้ยินพายุถามคำถามมาอีกหลายอย่างแต่มันวิ่งผ่านหูของเขาไปหมด ไม่ได้เข้าสมองของเขาเลย

“แล้วตอนนี้เค้ากำลังไปโรงพยาบาลไหน… พี่ภู!”

“ห๊ะ”

“พายุถามว่าตอนนี้พี่เค้ากำลังถูกพาไปโรงพยาบาลไหน”

“ไม่รู้ว่ะ… เหมือนเค้าจะบอกนะ แต่จำไม่ได้”

“สติ พี่ภู สติ!” พายุตีแก้มภูวาเบาๆ “แล้วพี่ภูจะทำยังไงต่อ พรุ่งนี้จะไปเยี่ยมเค้ามั้ย”

“พายุ พี่เคนเค้าตัวคนเดียวนะเว้ย แล้วเค้าจะเป็นอะไรมากมั้ยวะ ถ้าเค้าเป็นอะไรไป จ… จะทำยังไงอะ”

“ใครทำอะไรยังไง”

“กูเนี่ย จะทำยังไง!” ภูวาพูดเสียงดัง จากนั้นเขาก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเพิ่งพูดอะไรออกไป

“ถ้างั้นก็รีบไปหาเค้าเลย” พายุกระโดดออกจากเตียง “โทรกลับหาคนที่โทรมาแล้วถามว่าโรงพยาบาลไหน ถามรายละเอียดอื่นๆ มาด้วย แล้วเราไปด้วยกัน เดี๋ยวพายุไปแต่งตัวก่อน”

“ไม่ต้อง” ภูวาตอบ “มึงไปนอนที่ห้องตัวเองแล้วตอนเช้าก็ไปโรงเรียนเถอะ เดี๋ยวกูไปหาเค้าเอง แล้วจะคอยอัปเดตให้ฟัง”

“แน่ใจนะว่าพี่ภูโอเคอะ”

ภูวาพยักหน้า

หลังจากนั้นภูวาก็โทรกลับไปหาคนที่ชื่อวิน คราวนี้ภูวาตั้งสติและสอบถามรายละเอียดมากขึ้น แล้วก็ได้คุยกับกรณ์ คนที่วินแนะนำว่าเป็นผู้ช่วยของเขาด้วย กรณ์คือคนที่รอเจอภูวาที่โรงพยาบาล ทำให้ภูวายังไม่มีโอกาสได้เจอกับวิน แต่กรณ์เล่าให้เขาฟังว่าคนที่ตัดสินใจให้กรณ์เค้ามายื่นมือช่วยเหลือก็คือวิน หัวหน้าของเขาเอง เพราะฉะนั้นคนที่ภูวาและเคนควรขอบคุณคือวิน ไม่ใช่เขา

หลังจากมาถึงที่โรงพยาบาล กรณ์ก็ขอตัวกลับก่อนโดยบอกว่ามีธุระที่ต้องไปจัดการ ภูวารู้สึกว่ามีความจำเป็นที่เขาต้องอยู่ข้างๆ เคน ใบหน้าของเคนดูซีดเผือดราวกับไร้เลือดไปหล่อเลี้ยง สิ่งที่เห็นนั้นทำให้เขารู้สึกใจหาย แม้จะได้ยินจากปากของหมอและพยาบาลแล้วว่าบาดแผลของเคนไม่ได้ร้ายแรง แต่เขายังคงรู้สึกกลัวแบบไม่เคยมาก่อน ความคิดในแว้บแรกว่าเคนอาจจะจากเขาไปทำให้ใจของเขาสั่น ทั้งที่เขาก็ไม่ได้รู้จักเคนมานานหรือสนิทสนมกับเขามากขนาดนั้น แต่ภูวากลับรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่กับเคน ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขามีความสุขมาก เคนเป็นคนอบอุ่น เป็นคนที่น่าค้นหา เคนทำให้ภูวาลืมเรื่องที่อยากลืม และทำให้ภูวาหายเหนื่อยได้ทุกครั้งที่ได้เจอและคุยกัน และเขาก็ไม่พร้อมที่จะเสียสิ่งเหล่านั้นไป…

ภูวานึกถึงสัมผัสของเคนบนมือของเขาเมื่อครู่

หรือว่า...

“ภูวา” เสียงของเคนทำให้ภูวาตื่นจากภวังค์

“ค… ครับ”

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำไมดูเหม่อๆ ไป เหนื่อยรึเปล่า พี่โอเคแล้ว จะกลับบ้านไปพักผ่อนก็ได้นะ ขอโทษนะครับที่ทำให้ยูต้องเป็นห่วง”

ภูวาส่ายหน้า “พี่ ผมขอถามอะไรพี่อย่างนึงดิครับ”

เคนเลิกคิ้วขึ้น

“ทำไมพี่ถึงโทรหาผมครับ ทำไมไม่โทรหาเพื่อนคนอื่น หรือพี่แค่บังเอิญกดไปโดนจริงๆ”
เคนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พี่สารภาพนะครับว่าพี่จำไม่ได้จริงๆ ว่าพี่กดโทรไปหาภูวา” เขาเว้นช่วง พยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน “ตอนนั้นพี่คิดแค่ว่าต้องโทรบอกใครสักคน และ… ไม่รู้สิ พี่ไม่ได้รู้จักคนที่นี่เยอะครับ เรียกว่าไม่มีเพื่อนที่นี่เลยก็ว่าได้ ภูวาเป็นเพียงคนเดียวที่พี่นึกออก แต่ตอนนั้นหัวพี่มันก็เบลอมากแล้ว พี่… ขอโทษนะครับ ที่รบกวนและทำให้ต้องเป็นห่วง”

“ขอโทษอะไรกัน พี่” ภูวานิ่วหน้า “จำไว้เลยนะพี่ หลังจากนี้ไม่ว่าจะมีอะไรพี่โทรหาผมได้ตลอดเลย ไม่ต้องลังเล ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น ผมจะเป็นเพื่อนที่พี่สามารถวางใจและพึ่งพาได้ให้พี่เอง”

เคนมองหน้าภูวาอย่างประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าภูวาจะพูดแบบนั้นออกมา

ภูวายิ้ม “แปลกตรงไหนอะ ถ้าผมพึ่งพาไม่ได้ ผมจะเลี้ยงไอ้ลิงยักษ์นั่นจนมันโตมาได้ขนาดนี้เหรอ”

เคนกำลังจะถามว่าเขาหมายถึงใคร แต่แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออกพอดี

“ฮัลโหลๆ สวัสดีคร้าบ” พายุยื่นหน้าเข้ามาในห้อง และเมื่อเห็นเคนกำลังนั่งคุยกับภูวาอยู่ เขาก็รีบพุ่งตรงมาที่เตียงทันที “พี่เคนเป็นไงบ้าง โอเคมั้ยพี่ ยังเจ็บอยู่มั้ย”

เคนยิ้มน้อยๆ เขารู้แล้วว่าภูวาหมายถึงใคร “สบายมากครับ หมอเพิ่งมาตรวจแล้วบอกพี่ว่าทุกอย่างโอเค”

“แล้วไอ้เวรพวกนั้นสรุปถูกจับมั้ยอะพี่ หรือยังไง”

นั่นน่ะสิ… เคนหันไปหาภูวา

“เห็นพี่กรณ์บอกว่าโดนรวบตัวไปหมดแล้วนะ แต่ดูเหมือนว่าพี่เขาจะจัดการให้เรื่องมันเงียบ ไม่ตกเป็นข่าวได้จริงๆ” ภูวาตอบ

“แล้วคลิปวิดีโอล่ะ” เคนถาม

“คลิปอะไรครับ” ภูวาถามกลับด้วยสีหน้าสงสัย

“ไม่มีอะไรครับ ช่างมันเถอะ” เคนส่ายหน้า

“เออใช่ อะนี่ พี่ภู ข้าวกล่องที่สั่ง ยังไม่ได้อุ่นมานะ” พายุหยิบถุงเซเว่นออกมาจากกระเป๋านักเรียนแล้วเดินไปวางไว้ที่โต๊ะกินข้าว
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก พยาบาลพร้อมกับเจ้าหน้าที่เข็นอาหารเย็นเข้ามาในห้อง นางพยาบาลฉีดยาแก้ปวดให้กับเคนแล้วบอกเขาว่ายาจะทำให้เขาง่วง ดังนั้นเขาตึงควรรีบกินข้าวเสียก่อน และถ้าต้องการให้พยาบาลเช็ดตัวให้ก็สามารถแจ้งได้เลย เคนปฏิเสธเรื่องเช็ดตัวไปอย่างสุภาพ แต่รับปากว่าจะกินข้าวเย็นแล้วรีบพักผ่อนตามที่ถูกแนะนำ

“หรือจะให้ญาติเช็ดตัวให้ก็ได้นะคะ แต่แค่ระวังตรงแผล ช่วงลำตัวก็เว้นไปแค่นั้นเอง ถ้าจะเช็ดก็บอกนะคะเดี๋ยวพี่เอาผ้ามาให้” นางพยาบาลพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

เคนกับภูวามองหน้ากันและกันแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลบตาหันไปทางอื่น ส่วนพายุก็นั่งมองผู้ใหญ่ทั้งสองคนด้วยแววตางงๆ

โครกกก...ก..ก เสียงท้องร้องดังขึ้นทำลายความเงียบลง เคนหันกลับไปมองภูวาที่ยืนกุมท้องตัวเองพร้อมใบหน้าที่แดงก่ำ

“ฮ่าๆๆๆ” เคนหัวเราะ

“อย่าขำดิ ผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้านี่หว่า” ภูวานิ่วหน้า แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงแดงก่ำเหมือนเดิม

“ขอโทษๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะ แต่มันน่ารักดี” เคนกวักมือเรียกภูวากับพายุ “นมานั่งกินข้าวพร้อมๆ กันเลยละกันครับ พายุได้ซื้อข้าวมารึเปล่า”

“ไม่ได้ซื้ออะครับ ยังไม่หิว”

โครกกก...ก..ก เสียงท้องร้องดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ดังมาจากพายุแทน

เคนหัวเราะจนเจ็บแผล

“หิวแล้วทำไมไม่ซื้อของกินมากินวะ ไอ้อ้วน” ภูวาหันไปพูดกับน้องชายของตัวเอง

“ตังค์หมดอะ…” พายุยิ้มแหยๆ

“เอ้า อะไรวะ อะๆ เอาตังค์ไปแล้วลงไปซื้ออะไรกินซะ” ภูวาหยิบเงินออกจากกระเป๋าสตาง์แล้วส่งให้พายุ “จะให้รอกินด้วยกันมั้ย หรือยังไง”

พายุรับเงินแล้ววิ่งไปที่ประตูทันที “ไม่ต้องรอ พี่ภูกินก่อนเลย เดี๋ยวมาาา...า..า”

เคนมองพายุวิ่งหายไปแล้วหันกลับมาหาภูวา “น้องมันน่ารักดีนะครับ ตังค์ไม่มี แต่ก็ยังอุตส่าห์ซื้อของกินมาให้พี่ชายโดยที่ตัวเองยอมอด”

ภูวาเลิกคิ้วขึ้น เออแฮะ เขาไม่ได้คิดแบบนั้นเลย

เคนยิ้ม “กินข้าวกันเถอะครับ”

.
.
.

ต่อเดินเข้าบ้านแล้วตรงเข้าห้องนอน ที่จริงเขาตั้งใจว่าจะชวนพายุไปกินข้าวแล้วเดินเล่นด้วยกันหลังเลิกเรียน แต่พายุบอกว่าเขามีธุระต้องไปแล้วรีบกลับบ้านทันที ต่อถามว่าธุระอะไรเขาก็ไม่ยอมบอก นั่นทำให้ต่อรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขานอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงสักพักแล้วก็เผลอหลับไป

เขาตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงคนคุยกันเสียงดังจากชั้นล่าง เขาลุกออกจากเตียงและกำลังจะเดินออกจากห้องนอน แต่แล้วเขาถึงได้รู้ว่าเสียงที่ได้ยินไม่ใช่แค่เสียงคนคุยกันเสียงดัง แต่เป็นเสียงคนทะเลาะกัน และคนพวกนั้นก็คือ พ่อและแม่ของเขาเอง

ต่อค่อยๆ เปิดประตูห้องนอนออก เขาไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันมาก่อนเลย ใจของเขาเต้นแรงและเขารู้สึกกลัวสิ่งที่ตัวเองกำลังจะได้ยิน แต่ความสงสัยและความอยากรู้อยากเห็นก็ทำให้เขาเดินตรงไปที่บันได เขาเริ่มจับใจความได้ว่าพ่อของเขากำลังพูดอะไร ต่อรู้สึกว่าน้ำเสียงของพ่อไม่ใช่ความโกรธ แต่เป็นความอัดอั้นและความหงุดหงิดมากกว่า

“คุณไม่เข้าใจรึไง! ผมกำลังพยายาม พยายามทุกอย่างนี้ก็เพื่อครอบครัวของเรา!”

“พยายามเหรอ? เพื่อครอบครัวของเรางั้นเหรอ? คุณกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงในเมื่อคุณไม่ได้มีความรักต่อฉันมานานขนาดไหนแล้ว!”

“เจน ที่คุณพูดแบบนั้นก็เพราะคุณไม่เห็นแก่ครอบครัวของเราเหมือนอย่างผม และอยากจะไปจากที่นี่เต็มแก่แล้วน่ะสิ”

“คุณกล้าดียังไงถึงพูดแบบนั้นออกมา!” แม่ของต่อขึ้นเสียง “แล้วที้คุณไปคั่วกับนังเด็กที่ทำงานนั่นเรียกว่าอะไร! คิดเหรอว่าฉันไม่รู้”

“ก็ผมบอกแล้วไงว่าเรื่องนั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว!”

“คุณมันเห็นแก่ตัว! ภัทร! เลิกพูดเถอะว่าคุณเห็นแก่ครอบครัว คุณมันก็แค่ห่วงหน้าตาของตัวเอง ห่วงฐานะทั้งสังคม กลัวจะเป็นขี้ปากคนอื่น ทุกอย่างมันก็มีแต่เพื่อตัวคุณเองทั้งนั้น! ถ้าคุณคิดถึงฉันกับลูกๆ จริง คุณจะไม่ทำแบบนั้นตั้งแต่แรกหรอก!”

“คุณหยุดใช้อารมณ์ก่อนได้ไหม ผมกำลังพยายามบอกอยู่นี่ไงว่าผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวของเราสมบูรณ์ที่สุด”

“ด้วยการเสแสร้งทำเป็นรักกัน โกหกทุกคน โกหกกระทั่งลูกในไส้ ทำเหมือนเราเป็นครอบครัวแสนสุขแบบทุกวันนี้น่ะเหรอ!”

“คุณรู้อะไรมั้ย ก็เพราะแบบนี้ไงผมถึงได้เบื่อ! เมียก็น่าเบื่อ! ลูกก็ไม่เคยทำให้ภูมิใจ!”

ต่อรู้สึกเหมือนเขาถูกสายฟ้าฟาดเข้าที่กลางอกอย่างจัง หน้าของเขาชาเหมือนเพิ่งถูกตบอย่างแรง และมือของเขาก็เย็นเฉียบ ผู้ใหญ่ทั้งสองคนยืนเถียงกันอยู่อีกสักพัก แต่เขาทนฟังไม่ได้อีกต่อไป เขาวิ่งกลับเข้าไปในห้องของตัวเองและปิดประตูลง เสียงของประตูห้องทำให้เจนกับภัทรสะดุ้งโหยง เพราะบ้านทั้งหลังมืดสนิท พวกเขาจึงไม่คิดว่าลูกอยู่บ้านและไม่คิดว่าใครจะได้ยินบทสนทนาเมื่อสักครู่ ผู้ใหญ่ทั้งสองคนมองหน้ากันและรีบเดินขึ้นไปชั้นสองทันที

“ต่อ ตอง อยู่บ้านเหรอลูก”

แม่ของเขาเรียก แต่ต่อไม่ตอบ เขาได้ยินเสียงประตูห้องพี่ชายของเขาถูกเปิดออก จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงลูกบิดประตูห้องของเขา

“ต่อ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก เปิดประตูให้แม่หน่อย”

“ต่อ เปิดประตู” ภัทรเคาะประตูเสียงดัง

แต่ต่อยังไม่ยอมเปิดประตู และนั่นก็ทำให้ภัทรเริ่มหมดความอดทน

“ต่อ! พ่อบอกให้เปิดประตู!” เขาทุบกำปั้นลงบนประตูหลายที

“คุณทำอะไรของคุณน่ะ!” เจนผลักออกสามีของตัวเอง “ก็เพราะคุณเป็นแบบนี้ไง ฉันถึงได้…”

ประตูห้องของต่อเปิดออกก่อนที่เจนจะทันได้พูดจบ ต่อยืนมองหน้าพ่อและแม่ของตัวเองด้วยแววตาโกรธขึ้ง เขาสะพายกระเป๋าเป้และผลักผู้ใหญ่ทั้งสองคนออกให้พ้นทางก่อนจะพุ่งตรงไปที่บันได

“ต่อ! จะไปไหนน่ะ!” ภัทรคว้าข้อมือของต่อเอาไว้

ต่อสะบัดแขนออก “ไม่ต้องมายุ่ง!”

“ต่อ!”

“ต่อบอกว่าไม่ต้องมายุ่งไง!” เด็กหนุ่มหันกลับไปเผชิญหน้ากับพ่อและแม่ของตัวเอง “พ่อกับแม่ไม่ต้องคิดจะอธิบายอะไรทั้งนั้นแหละ เพราะต่อได้ยินทั้งหมดและไม่อยากได้ยินคำโกหกอะไรอีกต่อไปแล้ว! ถ้าพ่อกับแม่เกลียดกันมากก็หย่าๆ กันไปให้มันจบๆ! แล้วไม่ต้องมายุ่งกับต่ออีก!”

ต่อวิ่งออกจากบ้าน เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองกำลังสั่นเทา เขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน เขาแค่ปล่อยให้ขาของเขาพาไป ต่อรู้สึกถึงความโกรธที่พวยพุ่งออกมาจากข้างใน ชีวิตของเขาคือเรื่องโกหก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยรู้จักคือคำโกหกคำโต ส่วนเขาก็ไม่ใช่อะไร แต่เป็นแค่กลุ่มก้อนของความล้มเหลวที่คอยแต่สร้างความผิดหวังให้กับพ่อและแม่ของเขาเท่านั้นเอง

“ไอ้เหี้ยเอ๊ย!!” ต่อหยุดวิ่งแล้วสบถออกมา เขาหอบเสียงดังพลางใช้มือข้างหนึ่งปาดเหงื่อบนหน้าออก เขาเหวี่ยงเท้าขึ้นเตะกำแพงเต็มแรง แต่แล้วก็ต้องสบถออกมาอีกครั้งพลางนั่งยองๆ กุมข้อเท้าของตัวเองด้วยความเจ็บปวด

เมื่ออาการเจ็บเริ่มทุเลาลงแล้วเขาก็ออกเดินต่อ ในหัวของเขาสับสนและเต็มไปด้วยหมอกสีเทาที่คละคลุ้งจนเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังคิดอะไรหรือแม้แต่กำลังจะเดินไปทางไหน

“สวัสดีครับคุณต่อ” เสียงของชายคนหนึ่งที่เขาคุ้นเคยดังขึ้น

ต่อหยุดเดินและหันไปมองที่มาของเสียง เขาเห็นพี่จันทร์กำลังยืนยิ้มให้เขาอยู่ เขามองไปรอบๆ แล้วจึงรู้ตัวว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าคอนโดของพายุ

โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงนักเรียนของต่อสั่น เขาหยิบออกมาดูแล้วจึงเห็นว่าเป็นตอง พี่ชายของเขาที่โทรมา

“เออ” เขากดรับสาย

“ไอ้ต่อ มึงอยู่ไหน พ่อเค้าบอกมึงโวยวายอะไรไม่รู้แล้ววิ่งออกจากบ้านไป แล้วมึงก็ไม่ยอมรับสายเค้าอีก มึงเป็นเหี้ยอะไรวะ”

ต่อเลือดขึ้นหน้าทันที “กูเหรอ! กูเหรอโวยวาย! กูเหรอที่เหี้ย! อ้อ ความผิดกูอีกสินะ ทุกอย่างคือกูเป็นคนผิดหมดนั่นแหละ!” ต่อตะโกนใส่โทรศัพท์ “ถ้ามึงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมึงลองไปถามไอ้เหี้ยนั่นดูเองแล้วกัน! แล้วช่วยบอกมันด้วยนะว่าเลิกใส่หน้ากากทำตัวเป็นพ่อที่แสนดี เป็นผัวที่น่ารัก แล้วช่วยพูดความจริงกับมึงเหมือนที่กูได้ยินมันพูดกับเมียมันด้วย!”

ต่อกดวางสาย ทิ้งให้ตองยืนงงกับสิ่งที่ได้ยิน เขารู้ว่าน้องชายของเขาเป็นคนหัวร้อน แต่เขาไม่เคยเห็นต่อเป็นแบบนี้มาก่อน และก็ไม่เข้าใจด้วยว่าสิ่งที่ต่อพูดหมายถึงอะไร

ต่อเห็นรายชื่อเบอร์ที่ไม่ได้รับสายทั้งหมด 10 กว่าสายล้วนมาจากพ่อและแม่ของเขาทั้งสิ้น เขาโทรหาพายุ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่รับสาย ต่อจึงตัดสินใจปิดโทรศัพท์ลงและเดินตรงเข้าไปหาจันทร์ที่กำลังมองเขาอยู่ด้วยแววตาเป็นกังวล


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 16

หลังจากพายุเดินออกมาจากห้องน้ำ ภูวาก็บอกเขาว่าเมื่อสักครู่มีคนโทรมา พายุดูชื่อของสายที่ไม่ได้รับแล้วนึกแปลกใจว่าทำไมต่อถึงโทรมา ทั้งๆ ที่ปกติเขาจะแค่ส่งข้อความมาในไลน์เฉยๆ

พายุโทรกลับไปหาต่อ แต่กลับพบว่าต่อปิดเครื่อง

แปลกๆ แฮะ… เขาคิด

“พายุ เรากลับบ้านกันเลยมั้ย พี่เคนจะได้พักผ่อนด้วย” ภูวามองดูนาฬิกา

“นั่นสิ ยูสองคนกลับก่อนเถอะครับ พี่เองก็เริ่มง่วงแล้ว อีกเดี๋ยวคงจะหลับ” เคนพูดเสริม “ภูวาต้องกลับไปพักผ่อนเยอะๆ นะครับ เมื่อคืนก็อุตส่าห์มาอยู่กับพี่แล้วทั้งคืน”

“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่ พี่นั่นแหละ ถ้ามีอะไรให้ไลน์หรือโทรบอกผมทันทีนะครับ”

“โอเคครับ” เคนอ้าปากหาว

ภูวาและพายุเรียกแท็กซี่ออกจากโรงพยาบาลแล้วตรงกลับไปยังคอนโด ระหว่างทางพายุก็ไลน์ไปหาต่อแต่ต่อไม่อ่านข้อความของเขาเลย เขาลองโทรกลับไปอีกครั้งแต่โทรศัพท์ของต่อก็ยังคงติดต่อไม่ได้อยู่ดี

เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นเล็กน้อยแล้ว

เมื่อรถแท็กซี่มาจอดอยู่ที่หน้าคอนโดของพวกเขา พายุก็หันไปเห็นต่อกำลังนั่งฟุบอยู่บนพื้นในป้อมยาม

“เฮ้ย!” เขาอุทานเบาๆ ก่อนจะรีบเปิดประตูแล้วเดินออกจากรถ “ไอ้ต่อ มึงมานั่งทำอะไรตรงนี้วะ มึงเป็นอะไร”

ต่อค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองพายุ เขาพยายามอย่างมากที่จะส่งยิ้มออกไป แต่ทันทีที่เขาเห็นหน้าของคนที่เขารัก เขาก็ไม่สามารถอดทนอีกต่อไปได้แล้วจริงๆ เขารีบฟุบหน้ากลับลงไปเพื่อไม่ให้พายุเห็นน้ำตาของเขา

“ไอ้ต่อ เกิดอะไรขึ้นวะมึง มึงเป็นอะไร!” พายุนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าต่อ เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่ๆ คือเขาไม่เคยเห็นต่อเป็นแบบนี้มาก่อนเลย

“พายุ” เสียงของภูวาดังขึ้นที่หน้าป้อมยาม “พี่จันทร์ น้องเค้ามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“ประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนได้มั้งครับ ผมถามแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาไม่ยอมบอก เอาแต่นั่งอยู่แบบนั้นตลอดเลย”

ภูวาเดินตรงเข้าไปหาเด็กหนุ่มทั้งสองคน จากนั้นก็วางมือลงบนบ่าข้างหนึ่งของต่อเบาๆ “ขึ้นข้างบนกันก่อนเถอะต่อ แล้วเดี๋ยวมีอะไรเราค่อยๆ คุยกัน”

ต่อพยายามหยุดน้ำตาของตัวเองแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดหน้า เขาลุกขึ้นยืนแต่ก็ยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น เขาไม่อยากให้พายุเห็นเขาในสภาพนี้เลย ภูวากับพายุเดินขนาบข้างเขาแล้วพาเขาตรงขึ้นไปบนคอนโด เมื่อพวกเขาปิดประตูห้องลงแล้ว ภูวาก็บอกให้พายุเอากระเป๋าของต่อไปเก็บแล้วเตรียมหาเสื้อผ้าให้ต่อเปลี่ยน

“ไหวมั้ย ต่อ” ภูวาถาม

ต่อพยักหน้า

“ไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวพี่สั่งอะไรมาให้กิน”

ต่อส่ายหน้า

“หือ ไม่อยากอาบน้ำเหรอ หรือไม่อยากกินข้าว”

“...ผมยังไม่หิว”

“แต่พี่หิว” ภูวาโกหก เขายิ้มให้เด็กหนุ่มพร้อมลูบหัวเขาเบาๆ “ไปเถอะ ไปอาบน้ำ แล้วอย่างอื่นเราค่อยว่ากัน”

ต่อทำตามที่ภูวาบอก ไม่รู้ทำไม แต่เขารู้สึกสบายใจเวลาที่ได้อยู่กับภูวามากๆ ต่างกับพี่ชายแท้ๆ ของเขาสุดๆ ภูวาเป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่นและทำให้ต่อรู้สึกปลอดภัยเมื่อได้อยู่ด้วย ตอนแรกเขาไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าเขาพร้อมจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น แต่หลังจากที่ภูวาลูบหัวเขาเมื่อครู่ เขากลับรู้สึกพร้อมจะแตกลงเป็นเสี่ยงๆ แล้วเกือบร้องไห้ออกมาอีกได้ทุกเวลา

ต่อบอกขอบคุณแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป เขาเปิดน้ำเย็นแรงสุดหวังว่ามันจะช่วยให้เขาสดชื่นขึ้น ขณะที่เขากำลังฟอกสบู่อยู่นั้น เสียงเคาะประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น

“ไอ้ต่อ กูเอาผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้ามาให้”

“แป๊บนึง”

ต่อล้างฟองสบู่ออกแล้วเดินไปเปิดประตู

พายุยื่นผ้าเช็ดตัวและเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้นให้ต่อ พยายามไม่มองร่างกายเปลือยเปล่าของเพื่อนของเขา “ม… มึงแค่เปิดประตูแง้มๆ มาหยิบผ้าไปก็ได้ปะวะ”

“ทำไมอะ”

“เออๆ ไม่มีอะไร กูไปรอที่ห้องนั่งเล่นนะ” พายุเดินออกไป

หลังจากต่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินออกไปหาภูวาและพายุที่ห้องนั่งเล่น ภูวาลุกออกจากโซฟาแล้วเดินตรงเข้าไปหาต่อ จากนั้นก็ดึงตัวของเขาเข้าไปกอด

“ถ้ายังไม่พร้อมจะพูดอะไรก็ไม่จำเป็นต้องพูดนะ ต่อ พี่เข้าใจ”

ต่อพึมพำคำว่าขอบคุณออกมาเบาๆ

“คืนนี้นอนนี่ไหม”

ต่อพยักหน้า

ภูวาหันไปหาพายุ “แกโอเคใช่ไหม พายุ”

พายุยักไหล่

“ถ้างั้นก็ตกลงตามนี้” ภูวาเดินกอดคอพาต่อมานั่งลงระหว่างเขากับพายุบนโซฟา “โทรบอกพ่อกับแม่ก่อนไหมว่าจะนอนที่นี่”

ต่อชักสีหน้าทันที “ไม่ต้องหรอกครับ เค้าไม่สนใจหรอกว่าผมจะอยู่ที่ไหนน่ะ”

ภูวาเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็หันไปมองหน้าของพายุที่ส่ายหัวตอบกลับมางงๆ

“โอเค งั้นคืนนี้คืนเดียวคงไม่เป็นไร เมื่อกี้พี่สั่งพิซซ่าไปแล้วนะ อีกเดี๋ยวก็คงมาถึง พี่ขอเช็กดูก่อน” ภูวาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้น จากนั้นก็กดส่งข้อความหาพายุในไลน์

‘แกมีเบอร์พ่อแม่ต่อไหม พี่ชายมันก็ได้’

‘ไม่มีอะ จะมีได้ไงวะ’

‘สงสัยทะเลาะกับที่บ้านแน่ๆ’

‘ดูๆ แล้วก็คงงั้นอะ’

‘คืนนี้ก็ลองคุยกับมันดูหน่อยแล้วกัน คุยให้มันมันสบายใจขึ้น บอกให้มันใจเย็นๆ แล้วคุยกับที่บ้านดีๆ อย่างน้อยๆ พ่อกับแม่มันก็ต้องรู้นะว่าลูกเค้าอยู่ไหน พี่ไม่อยากให้พวกเค้าต้องเป็นห่วง’

‘อือ จะพยายามอะ’

‘เกิดเค้าไปแจ้งตำรวจว่าลูกเค้าหายออกจากบ้านนี่เหี้ยเลยนะเว้ย’

ภูวาเหลือบเห็นพายุอ่านที่เพิ่งข้อความของตาโต เขาเลยอดขำออกมาไม่ได้

หลังจากพิซซ่ามาถึง ภูวากินไปได้หนึ่งชิ้น ต่อกินไปสองชิ้น ส่วนที่เหลือพายุเป็นคนจัดการจนหมด แม้ว่าเขาจะเพิ่งกินข้าวเย็นที่โรงพยาบาลมาก็ตาม ภูวาที่เหนื่อยมาทั้งวันขอตัวเด็กๆ ไปอาบน้ำและเตรียมเข้านอน ส่วนพายุก็ชวนต่อเข้าไปนั่งเล่นในห้องนอนของเขา ต่อนั่งเงียบมาตลอดทั้งเย็น ยังไม่ยอมเล่าอะไรให้พวกเขาฟังเลย ไม่ว่าภูวาจะถามตรงๆ หรือหลอกถามก็ตามที พายุเองก็ไม่คิดว่าเขาเองจะทำให้ต่อเปิดปากพูดอะไรที่เขาไม่อยากพูดได้ ถ้าขนาดภูวายังทำไม่สำเร็จ เขาก็คงไม่มีหวังแน่ๆ

หลังจากพายุอาบน้ำเสร็จ เขาก็พบว่าต่อนอนหลับอยู่บนเตียงของเขาเสียแล้ว เขากำลังจะเดินเข้าไปปลุกต่อให้ไปแปรงฟันก่อนนอน แต่คราบน้ำตาบนหน้าของต่อทำให้เขาต้องชะงัก

พายุนั่งลงข้างๆ เตียงแล้วมองใบหน้ายามหลับของต่ออยู่ครู่หนึ่ง ต่อเป็นคนหน้าตาดี แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษกับต่อเพราะรูปร่างหน้าตาแบบที่ต่อรู้สึกกับเขาเลย พายุยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองดี แม้ว่าเขาจะไม่ได้ชอบต่อที่หน้าตาหรือรูปร่าง แต่เขายอมรับว่าเขารู้สึกดีเวลาที่ได้ใช้เวลาอยู่กับต่อตามลำพัง เวลาที่เขาไปเที่ยวเล่น ดูหนัง หรือทำอะไรด้วยกัน ความใกล้ชิด ความผูกพัน มันค่อยๆ ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พายุก็ยังไม่คิดว่านั่นคือความรักแบบที่ต่อมีให้กับเขาหรือแบบที่ภูวาเคยพูดให้เขาฟัง

แต่สิ่งหนึ่งที่เขากำลังรู้สึกแน่ๆ ในตอนนี้คือเขารู้สึกเจ็บปวดมากที่เห็นต่อเป็นแบบนี้โดยที่เขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย
เขาเกลียดการเห็นคนที่เขาห่วงใยต้องเจ็บปวด

พายุใช้นิ้วโป้งเช็ดครางน้ำตาออกจากแก้มของต่อเบาๆ

ต่อสะดุ้งตื่นขึ้น

พายุรีบคว้ามือของต่อเอาไว้ทันที “ไอ้ต่อๆ นี่กูเอง ไม่ต้องตกใจ”

“ไอ้พายุ…”

“เออ กูเอง ขอโทษที่กูปลุกมึง มึงคงเหนื่อย แต่มึงไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนดีกว่า แล้วเดี๋ยวเรานอนกัน”

ต่อชันตัวขึ้นนั่ง เขามองไปที่มือของตัวเอง พายุรีบชักมือกลับแล้วยืนขึ้นทันที

“อ… อ่าาา… กูวางแปรงสีฟันอันใหม่เอาไว้ให้มึงแล้วตรงอ่างล้างหน้านะ ใช้อันนั้นได้เลย”

ต่อพยักหน้าแล้วลุกออกจากเตียง พายุมองเขาเดินออกจากห้องนอนไปล้วถอนหายใจเบาๆ เขากระโดดขึ้นเตียงแล้วนอนลงข้างๆ ที่ที่ต่อเพิ่งลุกออกไปเมื่อสักครู่ คอนโดของเขามีสองห้องนอน ห้องนอนใหญ่เป็นของภูวา ซึ่งมีห้องน้ำในตัว ส่วนห้องนอนของเขาเป็นห้องนอนเล็กและต้องใช้ห้องน้ำที่อยู่ข้างนอก แต่ปกติภูวาก็จะใช้ห้องน้ำในห้องนอนใหญ่อยู่แล้ว คนที่ใช้ห้องน้ำข้างนอกจึงมีแค่เขาคนเดียว อีกอย่าง พวกเขาไม่ได้มีแขกมาที่ห้องบ่อยนัก และนี่ก็เป็นครั้งแรกของพายุเลยที่มีเพื่อนมานอนค้างกับเขา

ไม่ถึงห้านาทีต่อก็เดินกลับเข้ามาในห้องนอน เมื่อเขาเห็นพายุนอนอยู่บนเตียงแล้ว เขาจึงกดปิดสวิตช์ไฟลง จากนั้นก็เดินไปที่เตียงแล้วซุกตัวลงใต้ผ้าห่มข้างๆ พายุ เขายังคงไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี เขารู้ว่าเขาควรจะเล่าให้พายุฟังว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร

“วันนี้…” ต่อพูดขึ้น

พายุขยับตัวหันไปทางต่อที่นอนหันหลังให้เขาอยู่

“วันนี้มึงไปไหนมาวะ”

พายุชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าจะบอกต่อดีไหม เพราะตอนแรกภูวาเป็นคนกำชับเขาเองว่าไม่ให้บอกใคร และคำว่าใครในที่นี้ก็คงหมายถึงต่อนั่นแหละ เพราะคนที่รู้จักเคนก็มีแค่ต่อคนเดียว

“กูไปโรงพยาบาลมา”

ต่อหันไปหาพายุทันที

“กูไม่ได้เป็นอะไร ไอ้ตูดหมึก แต่… กูไปเยี่ยมพี่เคนมา”

ต่อเลิกคิ้วขึ้น “พี่เคนเป็นไรอะ”

“เอ่อ… เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยอะ แต่ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว”

“เหตุอะไรวะ”

“คือ… ถูกแทงอะ”

“ห๊ะ!”

“ใจเย็นๆ มึง พี่เค้าไม่เป็นอะไรแล้ว ตอนแรกกูถึงไม่ได้บอกมึงอะ เพราะไม่อยากให้เป็นห่วง…” พายุเงียบไปอึดใจหนึ่ง “กูขอโทษนะเว้ย ถ้าเกิดกูบอกมึงว่ากูไปโรงพยาบาลไหนหรือจะกลับมากี่โมง หรือรับสายมึง มึงก็คงไม่ต้องนั่งรอกูที่ป้อมยามแบบนั้น”

ต่อพลิกตัวหันกลับไปหันหลังให้พายุเหมือนเดิม เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เขาอดคิดไม่ได้เลยว่าชีวิตของเขามันพังไปหมดแล้วทุกอย่าง ครอบครัวที่เขาเคยรู้จักกลับเป็นความหลอกลวง ผู้คนที่เขาควรจะรักและรักเขามากที่สุด ไม่เคยรักเขาเลย เขาคือลูกที่ไม่เคยทำให้พ่อภูมิใจ พ่อของเขาไม่เคยรักแม่ และทุกสิ่งที่เขาเคยเห็นและรู้สึก กลับเป็นเพียงละครฉากใหญ่ที่มีเขาและพี่ชายเป็นคนดูแถวหน้า ทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว… ไม่มีวัน

พายุรู้สึกได้ว่าตัวของต่อกำลังสั่นเล็กน้อย เขาจึงทำแบบที่ภูวาทำกับเขาเสมอเวลาที่เขาเสียใจ

เขาใช้แขนข้างหนึ่งดึงตัวของต่อเข้ามากอด ส่วนอีกข้างสอดไปในช่องว่างระหว่างหมอนกับคอของต่อแล้วขยับตัวให้ต่อเขยิบขึ้นหนุนบนแขนของเขา พายุใช้มือข้างนั้นลูบหัวของต่อเบาๆ ในขณะที่มือข้างที่ใช้โอบตัวของต่ออยู่ก็จับมือของเขาเอาไว้ด้วย
พายุไม่รู้ว่าการทำแบบนี้กับผู้ชายคนอื่นมันแปลกหรือไม่ แต่เวลาที่ภูวาทำแบบนี้กับเขา เขารู้สึกว่าเขาถูกรัก รู้สึกปลอดภัย และทำให้เขาสบายใจขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่พายุคิดว่าต่อกำลังต้องการในขณะนี้

“ถ้ามึงไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไรนะเว้ย แต่กูอยู่ตรงนี้และพร้อมจะรับฟังมึงเสมอ กูไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้เลย ไอ้ต่อ กูขอโทษ กูอยากช่วยอะไรมึงได้มากกว่านี้ว่ะ…” พายุพูดเบาๆ

ต่อชันตัวขึ้นนั่ง พายุเองก็ทำแบบเดียวกัน จากนั้นต่อก็หันมาหาพายุ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา และนั่นทำให้หัวใจของพายุแตกเป็นเสี่ยงๆ

“ชีวิตของกูมันคือการหลอกลวงทั้งหมดเลย ไอ้พายุ… ทั้งหมดเลย!”

.
.
.

ภูวานั่งอยู่หน้าแล็ปท็อป เขาเพิ่งตอบอีเมลฉบับล่าสุดเสร็จและกำลังจะเตรียมตัวเข้านอน ที่จริงเขาก็ยังเป็นห่วงเคนและอยากจะไปอยู่เป็นเพื่อนเคนที่โรงพยาบาลอีกสักคืน แต่ดูจากปริมาณงานแล้ว เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้แน่ๆ

ภูวาปิดฝาแล็ปท็อปลงและบิดขี้เกียจ วันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานจริงๆ นอกจากเรื่องของเคนแล้วก็ยังมีเรื่องของต่ออีก เขาหวังว่าพายุจะทำให้ต่อยอมพูดออกมาได้นะว่าเขามีปัญหาอะไร เพราะถ้าเขาไม่ยอมพูด ภูวาก็จนปัญญาที่จะช่วยจริงๆ แค่การที่ต่อมานอนที่คอนโดของเขาโดยที่พ่อกับแม่ของต่อไม่รู้เรื่องก็ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าลำบากใจมากพอแล้ว แน่นอนว่าเขายินดีต้อนรับต่อเสมอ แต่เขาก็อยากทำให้แน่ใจว่าผู้ปกครองของต่อรู้ว่าลูกของพวกเขาอยู่ที่ไหนและปลอดภัยดี

เขาลุกออกจากโต๊ะทำงานและไปอาบน้ำ ระหว่างนั้นก็นึกถึงต่อกับพายุไปด้วย ต่อให้ต่อไม่ยอมบอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เขาก็หวังว่าอย่างน้อยน้องชายของเขาคงจะช่วยให้ต่อสบายใจขึ้นได้เล็กน้อยก็ยังดี จากนั้นเขาก็นึกไปถึงเคน เขาถามตัวเองว่าทำไมเมื่อคืนตอนได้รับข่าว เขาถึงได้รู้สึกตกใจกลัวขนาดนั้น ทำไมเขาถึงเป็นห่วงเคนมากถึงเพียงนั้น แต่ภูวาก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้

ไม่ใช่ มันไม่ใช่ความรักความหลงอะไรทั้งสิ้น เขาไม่ได้รู้สึกกับเคนมากไปกว่าแค่เพื่อนหรือคนรู้จักเลย แต่… แต่มันมีอะไรบางอย่างลึกๆ ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขาอยากจะรู้จักเคนให้มากกว่านี้ และอยากจะเป็นเพื่อนคนสำคัญให้กับเคน ไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านหรือคนรู้จักกันผิวเผิน

สัญชาติญาณของภูวาบอกว่าเคนมีอดีต มีความลับที่เขายังไม่ได้เล่าให้ภูวาฟัง และมันก็เต็มไปด้วยความเศร้าและความโดดเดี่ยว เขาอยากจะเป็นคนที่ทำให้เคนลืมเรื่องเหล่านั้นไปได้ และทำให้เคนมีความสุขมากขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี เพราะเขารู้ดีว่าการมีอดีตที่ลืมไม่ได้ และความเหงาของการต้องทนอยู่กับอดีตเหล่านั้นตามลำพังเป็นอย่างไร

เอ๊ะ… ตกลงนี่มันคือความรู้สึกชอบหรือเปล่าวะ ภูวานึกสงสัยตัวเอง หรือว่าเขาแค่เป็นคนขี้เป็นห่วงคนอื่นแบบนี้อยู่แล้ว เขาเองก็ชักไม่แน่ใจ บางที บีอาจจะให้คำปรึกษากับเขาได้ ถ้าจะมีใครที่รู้จักเขาดีมากยิ่งกว่าตัวเขาเองล่ะก็ คนๆ นั้นก็คงจะเป็นบีนี่แหละ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ภูวาก็แต่งตัวแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่มีไฟกระพริบแจ้งเตือนขึ้นมาดู มีหนึ่งสายไม่ได้รับ เขาปลดล็อกหน้าจอและพบว่าคนที่โทรมาตอนที่เขาอาบน้ำอยู่ก็คือบอล

ภูวายืนมองโทรศัพท์ในมืออยู่ครู่หนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเขาควรโทรกลับไปดีรึเปล่า

ภูวาโทรหาบอลครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่บอลตัดสายทิ้ง และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดมาก เพราะเขาคิดว่าบอลคงไม่อยากคุยกับเขาอีก ไอ้เรื่องที่ว่าอยากนัดเจอนัดคุยกันนั่นก็คงเป็นแค่คำโกหกอีกคำ หรือไม่เขาก็แค่โผล่กลับเข้ามาในชีวิตของภูวาปุบปับแล้วก็เดินจากไปเหมือนอย่างที่เคยทำอีกนั่นแหละ

ภูวาคิดมาโดยตลอดว่าสำหรับบอลแล้ว เขาอาจจไม่ได้มีค่าหรือมีความหมายใดๆ มากกว่าไปคนเคยเป็นเพื่อนเก่าเลย
แต่พอวันนี้เมื่อเห็นว่าบอลโทรกลับมา หัวใจของภูวาก็พองโตขึ้นอีกทันที เขาดีใจ แต่ก็รู้สึกกังวลใจด้วยในขณะเดียวกัน เพราะเขาไม่รู้ว่าบอลโทรมาทำไม ถ้าโทรกลับไป ภูวาก็ไม่รู้ว่าเขาควรคุยเรื่องอะไรอยู่ดี หรือถ้าเขาไม่โทรกลับ มันจะทำให้เขากับบอลห่างกันออกไปจริงๆ อีกหรือเปล่า

ความคิดนั้นมันน่ากลัวยิ่งกว่าการไม่รู้จะคุยอะไรเสียอีก ภูวาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกแล้ว ถ้าหากหนนี้บอลเป็นคนพยายามตามหาเขาเพื่อกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นคราวนี้เขาก็จะเป็นฝ่ายเริ่มเดินเข้าไปหาบอลเองบ้าง
ภูวานึกถึงคำพูดของบีว่าเขาเป็นคนอีโก้สูง

เขาถอนหายใจแล้วกดกดปุ่มโทรกลับไปหาบอล


ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 17


เช้าวันถัดมา พายุตื่นขึ้นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือ เขาเอื้อมมือไปกด Snooze แล้วจากนั้นก็พลิกตัวหันกลับมากอดคนที่นอนยู่ข้างๆ ต่อ

เดี๋ยวนะ…

พายุใช้มือลูบ จับ และคลำร่างกายของคนที่นอนหันหลังให้เขาอยู่ จากนั้นถึงได้รู้สึกตัวว่าคนๆ นั้นไม่ใช่ภูวาอย่างที่เขาคิดในตอนแรก

เขาสะดุ้งแล้วดีดตัวขึ้นนั่ง แต่ต่อก็ยังคงกำลังนอนหลับสนิทอยู่ พายุเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต่อมานอนกับเขาเมื่อคืน ก่อนนอนต่อเล่าเรื่องที่เขาได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกันให้พายุฟัง ทั้งคู่คุยกันอยู่นาน ต่อร้องไห้ และพายุก็ร้องไห้ไปกับเขาด้วย พายุอยากจะปลอบและให้กำลังใจต่อ แต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเขาควรจะพูดอะไรออกไปในสถานการณ์อย่างนี้

“แต่ยังไงมึงก็ต้องคุยกับพวกเค้านะเว้ย” พายุบอกต่อ

“แต่กูไม่อยากคุย… อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้ กูไม่อยากได้ยินอะไรจากปากพวกเค้าอีกต่อไปแล้ว”

“กูรู้ และกูก็ไม่ได้หมายถึงตอนนี้หรือวันพรุ่งนี้ เมื่อไหร่ที่มึงพร้อมมึงก็ค่อยคุย มึงจะวิ่งหนีไปตลอดไม่ได้อยู่แล้ว จริงปะวะ”

ต่อไม่ตอบ แต่เงยหน้าขึ้นมองพายุ “มึงร้องไห้ทำไมวะ พายุ กูขอโทษนะเว้ย กูไม่น่าทำให้มึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เลย”
พายุใช้หลังมือเช็ดน้ำตา “เฮ้ย ไม่ใช่ความผิดมึงสักหน่อย กูขี้แงเองอะ” เขาหัวเราะเบาๆ “ไม่รู้ดิ… พอกูเห็นมึงเป็นแบบนี้แล้วกูก็เสียใจอะ น้ำตามันก็เลยไหลออกมาเอง”

ต่อหันกลับไปนั่งก้มหน้าเหมือนเดิม “กูไม่รู้ว่ากูควรต้องทำหรือคิดยังไงต่อเลย ไอ้พายุ”

“ถ้าตอนนี้มึงยังไม่รู้จะทำยังไง ก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้ายังไม่รู้ว่าควรคิดอะไร ก็ยังไม่ต้องคิด” พายุวางมือลงบนบ่าของต่อ “กูอยู่ข้างๆ มึงเสมอนะเว้ย”

ต่อพึมพำคำว่า ‘ขอบใจ’ ออกมาเบาๆ

“แต่…”

ต่อหันกลับมามองพายุ

“มึงต้องบอกที่บ้านว่ามึงมาอยู่กับกูที่นี่ มึงจะหายไปเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้”

ต่อถอนหายใจ “เอาไว้พรุ่งนี้กูค่อยบอกแล้วกัน”

“ไม่ได้ ถ้าเค้าไปแจ้งตำรวจว่าลูกชายหายออกจากบ้านไปจะทำยังไงวะ”

ต่ออึกอัก

“แล้วถ้าเค้ามาตามมึงถึงที่นี่หรือคิดว่าพี่ภูลักพาตัวมึงไป จะทำไงวะ”

ต่อไม่คิดว่าเรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาไม่อยากสร้างปัญหาให้สองพี่น้องคู่นี้ไปมากกว่าที่เขาทำอยู่ตอนนี้เลย

“ก่อนหน้านี้มึงรับปากกูแล้วนะว่าจะพยายาม” พายุพูดต่อ

ต่อยังคงนั่งนิ่ง

“ถ้ามึงไม่อยากคุยกับพ่อแม่ อย่างน้อยบอกพี่ตองก็ยังดี ถือซะว่ากูขอร้อง ทำเพื่อกูหน่อยเหอะนะ”

ต่อเป็นคนดื้อ และเขาก็รู้ตัวว่าเขาเป็นคนดื้อ เคยเกเรเอาแต่ใจมากๆ มาก่อนด้วยซ้ำ แต่เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะเปลี่ยนตัวเอง เขาเคยเห็นน้ำตาของแม่มาแล้ว และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกผิดมาก แต่ในตอนนี้ ด้วยสีหน้า น้ำเสียง แววตา และหยดน้ำตาของพายุ ก็ทำให้เขารู้สึกว่า คนที่เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงและทำดีให้มากที่สุดเพื่อให้คนๆ นั้นภูมิใจ ไม่ใช่แม่ของเขาอีกแล้ว แต่เป็นพายุ

“โอเคๆ ก็ได้วะ... เพื่อมึงนะ” ต่อยอมตอบตกลง

พายุยิ้มกว้าง “พูดดีมาก เดี๋ยวกูอนุญาตให้กอดหนึ่งคืน”

ต่ออดยิ้มออกมาน้อยๆ ไม่ได้

หลังจากที่ต่อเปิดโทรศัพท์มือถือและโทรไปคุยกับพี่ชายของเขาสั้นๆ แล้ว เขาก็วางสายลง และซุกตัวลงนอนข้างๆ พายุ เด็กหนุ่มทั้งสองนอนคุยกันจนถึงตีสองกว่า จนกระทั่งทั้งคู่เหนื่อยจนผล็อยหลับลงไป

ต่อเริ่มขยับตัว ทำให้พายุตื่นจากภวังค์ความคิด เขาซุกตัวลงกลับไปใต้ผ้าห่มอีกครั้ง เขากะว่าจะนอนต่ออีกสักงีบสั้นๆ แต่แล้วต่อกลับพลิกตัวมาหาเขาและคว้าตัวของเขาเข้าไปกอด

“มอนิ่ง” ต่อพูดงัวเงียทั้งที่่ยังคงไม่ได้ลืมตา

“มึงตื่นตั้งแต่ตอนไหนวะ”

“เมื่อกี้นี่แหละ…”

“งั้นมึงลุกไปอาบน้ำก่อนไป” พายุทำท่าจะดันตัวขึ้น แต่กลับถูกต่อดึงตัวให้ล้มลงไปนอนลงเหมือนเดิม จากนั้นต่อก็ใช้แขนและขารัดตัวพายุเอาไว้ “เฮ้ย! ปล่อยกู ไอ้ต่อ!”

“ไม่” ต่อรัดแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม “ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวน่ะ ขอกูเติมกำลังใจให้ตัวเองอีกสักนิดนะ… กู… กูไม่อยากไปโรงเรียนเลยว่ะ”

พายุตัวอ่อนลงทันที “แต่มึงต้องไป”

“รู้น่าาาา” ต่อลืมตาขึ้น “ขอบใจนะ ไอ้พายุ”

“เออ ไม่เป็นไร…”

ทั้งสองคนต่างไม่มีใครขยับตัวอยู่ครู่หนึ่ง

“กูบอกให้ลุกไปอาบน้ำไง” พายุบอก “เดี๋ยวกูจะไปปลุกพี่ภู”

“กูก็อยากลุก แต่…” ต่อหน้าแดง “มึงหันไปทางอื่นก่อนได้ปะล่ะ”

“ทำไมวะ” พายุทำหน้างง

“เจี๊ยวกูแข็ง มึงอยากเห็นน้องกูตอนแข็งเหรอ”

คราวนี้เป็นฝ่ายพายุหน้าแดงขึ้นมาบ้างแล้ว ที่จริงเขาก็กำลังแข็งตัวอยู่เหมือนกันนั่นแหละ มันเป็นเรื่องปกติในตอนเช้าทุกๆ วันอยู่แล้ว แต่พอต่อมานอนค้างด้วย เขาก็เลยใส่กางเกงในนอน จึงรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นและไม่ต้องอายที่ต่ออาจจะเห็นน้องชายของเขาตอนแข็งตัว

“ไอ้เหี้ย นึกว่าอะไร เออๆ มึงรีบลุกไปจัดการตัวเองเลย กูหมายถึง รีบไปล้างหน้าล้างตาแปรงฟันอาบน้ำเลย” พายุลุกแล้วหันหลังให้ต่อ “อย่ามัวเสียเวลาชักว่าวล่ะ ถ้าไปโรงเรียนสายกูจะโทษมึง”

ต่อพยายามห้ามใจตัวเองไม่ให้ลุกขึ้นสวมกอดพายุจากทางด้านหลัง เขาคว้าผ้าเช็ดตัวจากราวแขวนเสื้อแล้วเดินออกจากห้องน้ำไป พายุรอจนกระทั่งได้ยินเสียงประตูห้องน้ำปิดลงแล้วก็เดินออกจากห้องนอนของตัวเองไปเคาะประตูห้องของภูวา

“พายุเหรอ” ภูวาตะโกนตอบออกมาจากในห้องนอน

“ตื่นแล้วเหรอ พี่ภู”

“เออ เพิ่งอาบน้ำเสร็จ”

“เข้าไปได้ปะ” หลังจากพูดจบพายุก็เปิดประตูห้องของภูวาแล้วเดินเข้าไปโดยไม่รอคำตอบ

ภูวาที่นุ่งกางเกงในตัวเดียวหันไปหาน้องชายของเขาแล้วส่ายหน้าเบาๆ “แล้วจะขออนุญาตทำมะเขืออะไรวะ นี่ถ้ากูแก้ผ้าอยู่ทำไง”

“แล้วไงอะ ใช่ว่าไม่เคยเห็นสักหน่อย”

“กูหมายถึงถ้าไอ้ต่อเห็นจะว่ายังไง มึงไม่เหลือพื้นที่ให้พี่มึงอายเพื่อนมึงเลยเหรอ ไอ้น้องเวร”

พายุปิดประตูตามหลังลง “ไอ้ต่อมันบอกไม่อยากไปโรงเรียนอะ”

“แล้วไง”

พายุรู้ดีว่าภูวาไม่มีทางยอมให้ต่อหยุดเรียนแน่นอน

“แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ”

“แล้วมีอะไรจะเล่าให้ฟังอีกมั้ย”

“เมื่อคืนไอ้ต่อมันโทรคุยกับพี่ชายมันแล้วนะ ส่วนเรื่องอื่นเอาไว้เราค่อยคุยกันเย็นนี้แล้วกัน”

ภูวาพยักหน้า “มันรู้สึกโอเคขึ้นมั่งรึยัง”

“ก็น่าจะมั้ง… ว่าแต่พี่ภูเถอะ ได้พักผ่อนมั่งรึยัง แล้ววันนี้จะไปหาพี่เคนรึเปล่า”

ภูวาหันกลับไปหยิบกางเกงที่พากอยู่บนเตียงขึ้นมาสวม จากนั้นก็เดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวออกมาจากตู้เสื้อผ้า “ไม่ไปอะ วันนี้มีนัด น่าจะกลับดึกหน่อย”

“อ้าวเหรอ ไปไหนอะ กับพี่บีเหรอ”

“เปล่า… กับเพื่อนสมัยเรียน”

น้ำเสียงของภูวาบอกบางอย่างกับพายุ และนั่นก็ทำให้เขาตัดสินใจหยุดถามคำถามและปล่อยเรื่องนี้ไป บางทีพี่ชายของเขาอาจจะมีเดทที่ไม่อยากให้เขารู้ล่ะมั้ง

“งั้นคืนนี้พายุสั่งแกร็บมากินกับไอ้ต่อนะ”

“ต่อจะนอนนี่อีกคืนเหรอ”

“ไม่ได้เหรอ”

“ถ้าแกโอเค พี่ก็โอเค แค่อยากแน่ใจว่าแกโอเคและพ่อแม่ไอ้ต่อเค้ารับรู้ เท่านั้นเอง”

“ถ้าพี่ภูโอเค… ต่อมันอาจจะมาอยู่ที่นี่สักพักอะ”

“พี่โอเค ถ้าแกโอเค”

“พายุโอเค ถ้า...”

“พอๆ” ภูวายกมือขึ้น “กูยอมละ สงสัยแค่อย่างเดียวจริงๆ… มันเอ่ยปากขอเองหรือแกเป็นคนชวนมัน”

พายุอึกอักนิดหน่อย “คือตอนคุยกันเมื่อคืน มันก็พูดว่ามันไม่อยากกลับบ้านเลย ซึ่งพายุก็เข้าใจมันอะนะ ก็เลยถามมันไปว่า จะมาถามพี่ภูให้ว่าโอเคไหมถ้ามันจะมานอนที่นี่สักพัก… แต่ข้อแม้คือมันต้องพยายามคุยกับที่บ้านให้รู้เรื่องด้วย ไม่ใช่จะเอาแต่วิ่งหนีอย่างเดียว”

บางทีภูวาก็รู้สึกทึ่งในตัวน้องชายของเขาอยู่เหมือนกัน เขายังคงมองเห็นภูวาเป็นเด็กอยู่เสมอ แต่ในบางที เขากลับต้องแปลกใจเมื่อได้เห็นความคิดที่เป็นผู้ใหญ่เกินวัยของน้องชายอย่างเมื่อสักครู่

“แกตัดสินใจได้เลย มีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกแล้วกัน” ภูวาเดินไปลูบหัวพายุ “ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวจะไปโรงเรียนสาย”

.
.
.

เคนรู้สึกอยากกลับบ้านเต็มแก่แล้ว เขาตัดสินใจบอกพยาบาลว่าจะขอกลับบ้านโดยไม่สนคำคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น เขารู้จักร่างกายของตัวเองดีที่สุด แค่แผลถูกแทงแค่นี้ เขาไม่จำเป็นต้องนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเฉยๆ แบบนี้หลายวันเลย ในช่วงเที่ยง เขาแก้เบื่อด้วยการออกไปเดินเล่นในพื้นที่ของโรงพยาบาล และกลับมาที่ห้องของตัวเอง และพบกับกรณ์และผู้ชายหน้าตาดีอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โซฟา

“เคน เป็นยังไงบ้างครับ ออกไปเดินเล่นได้แล้วเหรอ” กรณ์ลุกขึ้นและทักทายเขาพร้อมรอยยิ้ม

“ครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยววันนี้ผมก็จะกลับแล้ว”

“เคน นี่พี่วินครับ คนที่อยู่กับผมคืนนั้นและช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ให้”

คนชื่อวินลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาหาเคนพร้อมกับยื่นมือให้เขาจับ

เคนจับมือของวินเพื่อเชคแฮนด์ มือของวินใหญ่และด้านกว่าที่เขาคิด นอกจากนั้นวินยังกำมือของเคนแน่นและแข็งแรงกว่าที่เคนคิดอีกเช่นกัน เคนไม่คิดว่าคนไทยจะจับมือทักทายได้หนักแน่นอย่างคนอเมริกัน แถมบุคลิกหน้าตาของวินที่ดูเหมือนคนค่อนข้างสำอางค์ ก็ไม่ทำให้เคนคิดว่าเขาจะทักทายเคนได้แบบชายอเมริกันแท้ๆ ขนาดนี้

ในวัฒนธรรมของการจับมือเชคแฮนด์เพื่อทักทาย การที่ผู้ชายสองคนจับมือกันเขย่านั้นเป็นมากกว่าแค่การบอกว่าสวัสดี ยินดีที่ได้พบ หรือการแสดงออกถึงการได้พบกันเฉยๆ แต่ยังเป็นการแสดงออกถึงความเป็นชาย ความแข็งแรง ความเป็นผู้นำที่เหนือกว่าอีกฝ่ายอีกด้วย ยิ่งจับมือแน่นและแข็งแรงมากเท่าใด ก็ยิ่งแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเอง และความเหนือกว่าอีกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องของการบีบมือ จำนวนครั้งที่เขย่า ระยะเวลาที่จับมือ การสบตา และอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถบอกเป็นนัยได้หลายอย่าง

เคนบีบมือของวินตอบกลับไปด้วยน้ำหนักเท่าๆ กัน โดยไม่ละสายตาออกจากอีกฝ่ายเลย

วินยิ้มและปล่อยมือออก

“สวัสดีครับ ผมเข้าใจว่าคุณเคยอยู่ที่อเมริกามานาน เลยคิดว่าจับมือทักทายน่าจะคุ้นเคยมากกว่า หวังว่าคงไม่ถือนะครับ”

“ไม่ครับ ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือผมเอาไว้ ถ้ามีอะไรให้ผมตอบแทนได้ บอกผมได้เลยครับ ผมยินดี”

“กรณ์บอกว่าคุณเคยเป็นทหารมาก่อน”

“ครับ ก็ประมาณนั้น”

“สนใจจะมาทำงานกับผมมั้ยครับ” วินถาม

เคนผงะไปเล็กน้อย ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้ยินข้อเสนอแบบนั้นออกมา

“ทำงานกับคุณเหรอ… คุณคือใครผมยังไม่รู้เลย อีกอย่าง ทำไมคุณถึงช่วยผมเอาไว้ และยังช่วยจัดการเรื่องตำรวจและสื่อต่างๆ ให้อีก ทำไมถึงต้องทำไปถึงขนาดนั้นด้วย ช่วยอธิบายให้ผมฟังก่อนได้ไหม”

วินยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า “ที่จริงไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกครับ การที่เราได้เจอกันที่ร้านอาหารนั้นมันคือความบังเอิญล้วนๆ แต่ผมสนใจในตัวของคุณ ผมเห็นตอนคุณรับมือกับวัยรุ่นกลุ่มนั้นแล้วก็แค่รู้สึกถูกชะตา อยากจะได้มาเป็นพาร์ทเนอร์ทำงานด้วย ก็เท่านั้นเอง”

“งานอะไรครับ และคุณคือใครกันแน่ คุณยังไม่ได้ตอบคำถามอะไรผมสักอย่างเลยนะ”

วินผายมือไปที่โซฟา “เรานั่งคุยกันก่อนดีมั้ยครับ”

เคนนิ่วหน้า ท่าทางของหมอนี่ดูไม่ค่อยเหมือนคนไทยแบบที่เขารู้จักเลย แต่ดูเหมือนผู้ดีจากหนังฮอลลีวูดที่เขาคุ้นเคยมากกว่า
เคนเดินไปนั่งลงบนโซฟาข้างๆ กรณ์ ในขณะที่วินนั่งฝั่งตรงข้าม

“พี่วินเป็นนักธุรกิจ เป็นเจ้าของกิจการแล้วก็เจ้าของตึกหลายๆ แห่งในกรุงเทพฯ ครับ” กรณ์เป็นคนเริ่มพูดขึ้นก่อน “ตอนนี้พี่วินเป็นทายาทคนเดียวของนามสกุลตัณจริยรัตน์ คุณเคนอาจจะไม่รู้จัก แต่ในภายหลังสามารถเอาชื่อและนามสกุลพี่วินกับของผมไปค้นในอินเทอร์เน็ตดูก็ได้ครับ” กรณ์ยื่นนามบัตรสองใบให้กับเคน “ก่อนหน้านี้พี่วินเคยไปเรียนมหาวิทยาลัยที่อเมริกามาเหมือนกัน พอกลับมาไทยก็มาดูแลกิจการครอบครัวต่อ ทำธุรกิจหลายๆ อย่าง และผมก็เป็นผู้ช่วยของพี่วินมาโดยตลอด แต่เนื่องจากพี่วินต้องเดินทางเยอะ และผมก็มีอะไรต้องดูแลจัดการเยอะเหมือนกัน เราเลยเคยคิดกันอยู่ว่าอยากได้คนมาช่วยดูแลพี่วินด้วยอีกคน อาจจะเวลาเดินทางไปไหนที่ผมไม่ได้ไปด้วย”

“ดูแลเรื่องอะไรครับ” เคนถาม

“หลักๆ ก็เรื่องความปลอดภัยต่างๆ อาจจะมีการจัดการตารางงานของพี่วินบ้าง แต่ส่วนมากผมคงดูแลเรื่องนั้นให้อยู่แล้ว และที่จริงพี่วินเองก็ชอบทำอะไรด้วยตัวเองตลอด ดังนั้นก็ ใช่ครับ คงแค่เป็นเหมือนเพื่อนเดินทางและคอยดูแลเรื่องความปลอดภัย ช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ เท่าที่จำเป็น”

“ฟังดูเหมือนอยากให้ผมเป็นบอดี้การ์ดเลยนะ”

“จริงๆ ไม่อยากให้ใช้คำนั้นเลย” วินพูด “เพราะผมไม่จำเป็นต้องมีบอดี้การ์ดเลยสักนิด”

“แต่ด้วยงานของพี่วิน บางทีมันก็ทำให้พี่เขาตกเป็นเป้าหมายของคนบางกลุ่มอยู่บ้างจริงๆ นั่นแหละ”

เคนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ฟังดูเหมือนคุณไม่ได้ทำธุรกิจถูกกฎหมายเท่าไหร่นะครับ”

วินหัวเราะ “ไม่ครับ ผมไม่เคยทำธุรกิจใต้ดิน ไม่ทำสิ่งผิดกฎหมาย หรือเกี่ยวข้องกับเงินสกปรกใดๆ ทั้งสิ้น คุณวางใจได้เลย”

“แต่บางทีพี่วินก็มักจะถูกคนมาเกาะแกะเรื่องเงิน มีคนจ้องจะปองร้ายเพื่อหวังเอาเงินจากพี่วิน ขโมยซึ่งๆ หน้าก็มี หรือแม้แต่คู่แข่งทางธุรกิจบางคนก็เคยทำเรื่องไม่น่าทำเหมือนกันครับ” กรณ์บอก

ที่จริงมันก็ฟังดูคล้ายพวกเศรษฐีหรือดาราที่เคยเป็นลูกค้าบริษัทเก่าของเคนเหมือนกัน

“สิ่งที่เรากำลังมองหากันอยู่คือเราอยากได้ผู้ช่วยพี่วินแบบผมอีกคน แต่จะเน้นช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยของพี่วิน ที่บ้าน และคนสนิทของพี่วินอีกไม่กี่คนน่ะครับ และอาจจะเดินทางไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศกับพี่วินด้วย เวลาที่ผมไม่สะดวก” กรณ์พูดต่อ

“แล้วคุณไว้ใจผมให้รับหน้าที่ขนาดนั้นเลยเหรอ” เคนถาม

กรณ์หยิบแท็บเล็ตออกมาจากกระเป๋า “ผมถือวิสาสะเช็กดูประวัติของคุณเคนแล้ว ผมประทับใจนะ อดีตเคยเป็นนาวิกฯ สหรัฐ และเคยเป็นเจ้าของบริษัทรักษาความปลอดภัยร่วมกับปีเตอร์ จอห์น ล็อกวูดส์ด้วย”

เคนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจทันที “คุณสืบประวัติผมเหรอ”

“ก็แค่แบ็คกราวด์เช็ก เหมือนบริษัทสัมภาษณ์งานทั่วไปนั่นแหละครับ”

“ถ้าผมทำให้ไม่พอใจก็ต้องขอโทษด้วย” วินพูดขึ้นบ้าง “แต่ผมถือวิสาสะโทรหาหุ้นส่วนเก่าของคุณมาแล้วด้วย เขาชื่นชมคุณมากเลยนะ”

เคนตกใจอีกครั้ง “คุณโทรหา PJ ด้วยเหรอ คุณไปเอาเบอร์ติดต่อหมอนั่นมาจากไหน”

“ถ้าคนที่ทำงานด้านอสังหาฯ หรือโรงแรม ก็ต้องเคยได้ยินชื่อนี้บ้างแหละครับ” วินตอบ รอยยิ้มของเขาไม่เคยจางหายไปจากใบหน้าหล่อคมนั่นเลย “แต่ว่านี่ก็คงเป็นโชคชะตาอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ เพราะผมก็รู้จัก PJ อยู่แล้วเป็นการส่วนตัวด้วยเหมือนกัน”
“ว่าไงนะ” เคนแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

“อย่างที่ผมบอกว่าพี่วินเคยเรียนที่อเมริกามาก่อน และทุกวันนี้พี่วินก็มีหุ้นส่วนธุรกิจที่นั่นด้วยครับ ปีเตอร์เป็นพาร์ทเนอร์คนหนึ่งของพี่วินมาหลายปีแล้ว น่าตกใจใช่ไหม ผมเองยังตกใจเลย” กรณ์หัวเราะ

“แต่ขนาด PJ เองยังไม่เคยมาที่ไทยเลยนะ” เคนพูด

“ใช่ แต่ผมบินไปอเมริกาและยุโรปบ่อยๆ และผมเองก็มีคอนเน็กชั่นอยู่มากมาย... โอเค ก่อนที่คุณจะเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับผมผิด ใช่ ผมมีเงินจริง มีมากกว่านักธุรกิจชื่อดังในประเทศนี้หลายๆ คนด้วยซ้ำ ผมจะไม่โหกหรอก แต่ผมยังไม่ได้ร่ำรวยเทียบขนาด PJ ได้หรอกนะ ผมก็เป็นแค่หุ้นส่วนเล็กๆ คนหนึ่งของธุรกิจระดับพันล้านดอลล่าร์ของตระกูลล็อควูดส์เท่านั้น และเพื่อให้คุณมั่นใจว่าสิ่งที่ผมพูดไปทุกอย่างเป็นความจริง” วินหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาแล้วกดหน้าจอ 3-4 ครั้ง “เรามาคุยกับเจ้าตัวไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า”

.
.
.

ในเวลาเดียวกัน ที่โรงเรียนของพายุ ต่อเงียบลงจนแทบดูเป็นคนละคน ปกติเขาไม่ได้ตัวติดกับพายุมากขนาดนี้ แต่วันนี้เขาและพายุแทบไม่ห่างจากกันเลย ถ้าเป็นวันอื่นๆ ต่อคงจะรู้สึกดีที่ได้ใกล้ชิดกับพายุแบบนี้ แต่ในใจของเขาวันนี้นั้นเต็มไปด้วยหมอกควันที่คละคลุ้งจนเขาคิดอะไรไม่ออก เขารู้สึกเศร้าและโกรธครอบครัวของตัวเอง รอยยิ้มที่ปกติจะฉาบบนใบหน้าของเขาหายไป เพื่อนๆ ทุกคนต่างก็สังเกตเห็นได้ แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา พายุจึงเป็นด่านแรกที่คอยบอกทุกคนว่าต่อกำลังมีปัญหาที่ต้องหาทางแก้ไขและขอให้ทุกคนให้เวลาเขาหน่อย

“ไงวะมึง” พายุเดินเข้าไปหาต่อที่นั่งอยู่ใต้ต้นก้ามปูใหญ่ข้างโรงอาหารคนเดียว ช่วงพักกลางวัน เด็กนักเรียนต่างก็จับกลุ่มพูดคุยหรือวิ่งเล่นกันอยู่รอบโรงอาหาร แต่บริเวณรอบใต้ต้นก้ามปูที่ต่อนั่งอยู่นั้นกลับไม่ค่อยมีใครเดินผ่านเข้ามา จึงให้ความรู้สึกเงียบสงบอย่างน่าประหลาด

“กูไม่รู้ควรทำยังไงต่อจริงๆ ว่ะ พายุ”

“กูก็บอกมึงไปแล้วไงว่าถ้ายังไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ก็ยังไม่ต้องคิดจะทำอะไรทั้งนั้นแหละน่า” พายุนั่งลงข้างๆ ต่อ จากนั้นก็ยื่นโค้กกระป๋องให้เพื่อนของเขา “อะ กูเลี้ยง”

ต่อมองหน้าพายุแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ เขายื่นมือออกไปรับมัน “เกรงใจจัง ไปอาศัยอยู่ที่บ้านแล้วยังต้องให้เลี้ยงน้ำกระป๋องอีก”

“กวนตีน” พายุหัวเราะพลางใช้ข้อศอกดันหัวของต่อ

เด็กหนุ่มทั้งสองเงียบลงไปพักหนึ่ง

“มึง…” พายุพูดขึ้น “กูขอโทษนะเว้ยที่ช่วยอะไรมึงไม่ได้เลย”

ต่อไม่พูดอะไร เพราะรู้ว่าพายุยังพูดไม่จบ

“และกูขอโทษด้วยที่ยังคิดกับมึงแบบที่มึงรู้สึกกับกูไม่ได้ แต่…” พายุกลืนน้ำลาย เขารู้สึกว่าใบหน้าตัวเองร้อนผ่าว “แต่กูก็ไม่ได้รังเกียจมึงอะนะ… กูแคร์มึงนะเว้ย กูไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบเลยนี้อะ”

ต่อรู้สึกจุกขึ้นในอกทันที เขาเกือบจะร้องไห้ออกมาแต่ก็ต้องฝืนเอาไว้ ในวันที่เขาไม่รู้สึกเหลือใคร ไม่คิดว่าแม้แต่คนในครอบครัวของเขาจะยังรักและแคร์ความรู้สึกของเขา แต่พายุ เพื่อนที่เขาเพิ่งรู้จักได้ไม่กี่เดือนกลับบอกว่าแคร์เขา และเขาก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่คำโกหกแบบที่พ่อกับแม่ของเขาแสดงละครมาหลายปี

ต่อนั่งก้มหน้า เขากำลังจะอ้าปากพูดบางอย่างออกไป

“ไอ้ต่อ!”

เด็กหนุ่มทั้งสองคนหันไปมองยังเสียงทุ้มต่ำที่เรียกชื่อต่อทันที

“ไอ้ตอง” ต่อกัดริมฝีปากเบาๆ และทำท่าจะลุกขึ้นหนี

“มึงจะหนีไปไม่ได้ตลอดหรอกนะเว้ย ไอ้ต่อ” ตองรีบเดินมาคว้าแขนน้องชายของเขาเอาไว้ “มึงลืมไปรึเปล่าว่ากูเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันไม่ต่างจากมึง”

พายุเคยเจอตองอยู่ไม่กี่ครั้งและเคยคุยกับเขาจริงๆ จังๆ แค่เพียงครั้งเดียว ตองอายุมากกว่าพวกเขาสองปี เป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง และพายุยังเคยได้ยินมาว่ามีผู้หญิงมาชอบเขาอยู่หลายคนเหมือนกัน แต่สิ่งที่ตองแตกต่างจากต่อคือ เขาเป็นทั้งเด็กเรียนและนักกีฬาฝีมือดี ไม่เหมือนต่อที่เก่งกีฬาแต่การเรียนแค่ระดับกลางๆ นอกจากนั้น แม้ว่าตองจะมีแฟนที่คบกันมาสองปีแล้ว แต่การเรียนของเขาก็ไม่เคยเสีย และ… อ้างอิงจากคำพูดของต่อคือ “ไม่เคยทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ” เลยสักครั้ง พูดง่ายๆ คือเขาดูจะเป็นทั้งลูกชาย พี่ชาย และนักเรียนที่ดีสมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่ง

และนั่นน่าจะเป็นบาดแผลที่ทำให้ต่อรู้สึกตัวเองด้อยกว่าพี่ชายและมักถูกเปรียบเทียบอยู่เรื่อยไป

“กลับบ้านเถอะ เราสองคนกลับไปคุยกับพ่อแม่ด้วยกัน” ตองพูด

“กูไม่อยากกลับ” ต่อเสียงแข็ง

“แล้วมึงจะทำตัวดื้อแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนวะ สุดท้ายแล้ว…”

“จะอีกนานขนาดไหนมันก็เรื่องของกู!” ต่อสะบัดแขนออก “มึงไม่ใช่คนที่ได้ยินทุกอย่างเหมือนที่กูได้ยิน มึงก็พูดได้นี่! มึงมันลูกรักของพวกเค้าอยู่แล้ว ถ้ามึงอยากจะไปคุยอะไรกับเค้าก็ไปคุยเองเลยไป!” ต่อตะคอกใส่ตองก่อนจะวิ่งหนีไป

“ไอ้ต่อ!” พายุลุกขึ้นยืน เขารีบหันไปมองตองที่มีสีหน้าเจ็บปวด

“ไปเถอะ พี่ฝากน้องชายพี่ด้วยแล้วกัน”

พายุล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองแล้วหยิบเอาใบเสร็จที่เขาขยำไว้ตั้งแต่เช้ากับปากกาออกมา โชคดีที่เขายังไม่ได้ทิ้งเศษกระดาษนั้นและพกปากกาไปไหนมาไหนด้วยตลอด

เขาจดบางอย่างลงในเศษกระดาษนั้นไวๆ

“นี่เบอร์ผมนะพี่ แอดไลน์มาก็ได้” เขายัดเศษกระดาษนั้นลงในมือของตองจากนั้นก็รีบออกวิ่งตามต่อไปทันที แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันไปพูดทิ้งท้ายกับตอง “ผมขอโทษแทนไอ้ต่อมันด้วยนะพี่ตอง! ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลมันเอง!”

พายุวิ่งตามต่อไปจนถึงริมรั้วหลังโรงเรียน ต่อทิ้งตัวลงนั่งบนริมขอบฟุตบาทพลางหอบหายใจ เขาชันเข่าขึ้น ใช้แขนสองข้างกอดเข่าเอาไว้ แล้วซุกหน้าลง พายุไม่รู้ว่าเขาร้องไห้อยู่รึเปล่า แต่ก็ไม่คิดที่จะเซ้าซี้ เขาจึงแค่นั่งลงข้างๆ ต่อและไม่พูดอะไรออกมาอยู่ครู่หนึ่ง

เสียงออดเรียกเข้าเรียนดังขึ้น แต่เด็กหนุ่มทั้งสองก็ยังไม่ขยับตัว

“ไอ้ต่อ…”

“มึงกลับขึ้นห้องเรียนไปเหอะ”

พายุถอนหายใจ “ทำไมเมื่อกี้มึงถึงพูดแบบนั้นกับพี่มึงวะ”

ต่อไม่ตอบ

“พี่ตองเค้าก็ดูเสียใจนะเว้ย”

ต่อยังคงเงียบ

“เอาเถอะ มึงไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร...” พายุแหงนหน้ามองท้องฟ้า ท้องฟ้าสีคราม พระอาทิตย์ที่ควรจะส่องแสงแรงกล้าในยามบ่ายถูกก้อนเมฆก้อนใหญ่บดบังความร้อนแรงของมันเอาไว้ แม้แต่พระอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่ยังไม่สามารถเอาชนะก้อนเมฆสีขาวบริสุทธิ์อันอ่อนโยนและไม่มีรูปร่างที่แน่นอนได้เลย

ก้อนเมฆขาวปกคลุมโอบอ้อมพระอาทิตย์เอาไว้ ราวกับกำลังปลอบโยนให้อารมณ์อันร้อนแรงและแผดเผานั้นผ่อนเบาลง
พายุหันกลับมาหาต่อแล้วยกมือขึ้นลูบหัวต่อเบาๆ “มึงยังมีกูอยู่เสมอนะเว้ย ไอ้ต่อ”

ต่อค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองพายุ

“กูจะอยู่กับมึงเสมอ จะคอยปกป้องดูแลมึง เหมือนที่ก้อนเมฆคอยลอยอยู่เคียงข้างพระอาทิตย์เลย ดีมะ” พายุชึ้ขึ้นไปบนฟ้าพร้อมยิ้มเขินๆ “เวลาที่มึงเดือดร้อนใจ เวลาที่มึงโกรธ กูจะคอยอยู่ข้างๆ บดบังความร้อนนั้นไว้ เผื่อจะทำให้มึงเย็นลงได้บ้าง แบบที่กูนั่งอยู่ข้างๆ มึงตอนนี้ไง”

ต่อน้ำตาไหลออกมาและโผเข้ากอดพายุ “มึงจะไม่ทิ้งกูไปจริงๆ เหรอ ไอ้พายุ มึงจะไม่หักหลังกูแล้วทิ้งกูไปแบบพ่อแม่กูใช่ไหม!”

ตอนแรกพายุก็ตกใจและทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาก็โอบต่อเอาไว้แล้วลูบหัวต่อเบาๆ “กูสัญญา ไอ้ต่อ... กูจะไม่มีวันทิ้งมึงไปไหนแน่นอน”


ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ขอบคุณนะครับที่ยังไม่ลืมกันและกลับมาต่อเรื่อง
เนื้อเรื่องยังสนุกน่าสนใจเช่นเดิม
รอตอนต่อไปนะครับ

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 18


เคนนอนลืมตาอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล เขายังไม่อยากเชื่อเลยว่าคนแปลกหน้าที่เขาเพิ่งเจอด้วยเหตุการณ์ไม่ปกติเมื่อคืนนั้น จะเป็นคนรู้จักกับเพื่อนและผู้มีพระคุณของเขาที่อยู่คนละฟากโลกได้

ความบังเอิญนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ

เคนเสิร์ชดูชื่อของวินและธุรกิจของเขาแล้วก็ไม่พบอะไรที่แปลกหรือผิดสังเกต เขาหยิบนามบัตรของกรณ์กับวินมาพลิกดูแล้วนึกถึงข้อเสนอที่ได้รับ ที่จริงมันก็น่าสนใจอยู่เหมือนกัน เมื่อเทียบกับการที่เขาไม่จำเป็นต้องทำธุรกิจของครอบครัวฝ่ายแม่ที่เขาไม่รู้สึกผูกพันด้วยเลยสักนิดเดียว

เคนนอนคิดอยู่ในภวังค์ของตัวเองครู่หนึ่งแล้วต้องสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น

เขายิ้มออกมาเมื่อเห็นชื่อคนที่โทรเข้า “สวัสดีครับ ภูวา”

เอ๊ะ ทำไมเขาถึงยิ้มออกมานะ

“สวัสดีครับพี่เคน เป็นไงบ้าง ขยับตัวได้มากขึ้นรึยัง”

“พี่บอกแล้วไง ให้พี่ออกจากโรงพยาบาลตอนนี้เลยก็ยังได้”

“เก่งจริงๆ แล้วหมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ครับ”

“เค้ายังไม่ได้บอกเลยครับ”

“โอเค แล้วเป็นไง เบื่อไหมเนี่ยครับ”

“นิดหน่อยครับ ถึงได้อยากออกจากโรงพยาบาลไวๆ ไง”

“ทนอีกนิดน่า เดี๋ยวไว้ผมไปรับกลับบ้าน” หลังจากพูดออกไป ภูวาถึงได้รู้สึกตัวว่าคำพูดเขามันฟังดูแปลกๆ “เอ่ออ ผมหมายถึง ไว้ไปรับกลับคอนโดพี่น่ะครับ”

เคนนึกถึงสีหน้าเขินๆ ของภูวาแล้วก็ยิ้มออกมาน้อยๆ “ขอบคุณนะครับ”

“เอ่อ… พี่เคนครับ เย็นนี้ผมคงไม่ได้ไปหานะครับ ขอโทษทีนะพี่”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ งานเยอะเหรอ”

“เอ่ออ… เปล่าหรอกครับ พอดีมีธุระนิดหน่อยน่ะครับ ต้องไปเจอเพื่อน”

“อ้อ ได้ครับ ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์โทรมาบอก”

“ครับๆ ถ้าไงผมขอตัวก่อนนะครับ รีบเคลียร์งานก่อน อย่าลืมกินข้าวกินยานะครับพี่ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็ไลน์มาบอกนะครับ”

“ครับ สวัสดีครับ”

หลังวางสายลง ภูวาก็นั่งมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนต่างชาติเกือบเต็มตัวและอายุเยอะกว่าเขา แต่เคนก็สุภาพกับเขาเสมอ และในความสุภาพนั้นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าพวกเขาห่างไกลกันเหมือนคนแปลกหน้าแต่อย่างใด ก็จริงที่ภูวายังคงรู้สึกถึงช่องว่างหรือระยะห่างที่เคนพยายามกั้นเอาไว้ระหว่างเขาอยู่บ้าง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกได้ด้วยว่าเคนนั้นจริงใจกับเขามาก ไม่ใช่การสร้างภาพหรือความเกรงใจใดๆ ภูวาเชื่อมั่นในตัวเองเรื่องความสามารถในการมองคนออกมาก เขามักจะดูคนไม่ผิดและเดาได้เสมอว่าใครเป็นคนอย่างไร คิดยังไง ใครกำลังโกหก หรือมีอะไรแอบซ่อนเอาไว้ จะบอกว่าเป็นพรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของเขาก็คงได้ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว ภูวายังเป็นคนจับสังเกตคนเก่งอีกด้วย ไม่ว่าจะสีหน้า น้ำเสียง อากัปกิริยาเล็กน้อยต่างๆ ที่คนเรามักแสดงออกโดยไม่รู้ตัว คงเพราะเขาเป็นคนที่แคร์คนอื่นมากนั่นแหละ เขาถึงได้เรียนรู้ที่จะคอยสังเกตท่าทีของคนอื่นไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนจนติดเป็นนิสัย

ที่ผ่านมา ในชีวิตของภูวา คงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่แม้เขาจะมั่นใจว่าเขารู้จักอีกฝ่ายดีจนพอเดาความคิดความอ่านได้ แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าคนๆ นั้นกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ เคนคือหนึ่งในนั้น และคนอีกคนก็คือคนที่เขากำลังจะไปพบคืนนี้… บอล

ภูวากดโทรไปหาบอลเพื่อคอนเฟิร์มนัดในเย็นนี้ แต่บอลกลับตัดสายเขาทิ้งอีกครั้ง นั่นทำให้ภูวาหัวเสียนิดหน่อย แต่หนนี้เขาพยายามคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะแค่ไม่สะดวกคุยเท่านั้น เขาจะไม่ตีโพยตีพายหรือคิดมากไปเองอีกแล้ว

อีกไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็ได้รับข้อความยืนยันสิ่งที่เขาคิด

“ไม่สะดวกคุยว่ะ เดี๋ยวกูโทรกลับ”

ภูวาอ่านข้อความเสร็จแล้วก็วางโทรศัพท์ลง เขารีบเคลียร์งานต่อ เขาค่อนข้างแน่ใจว่าบอลคงไม่โทรกลับหาเขาหรอก แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อคืนนี้พวกเขาตกลงสถานที่และเวลากันเอาไว้แล้ว วันนี้ตอนหนึ่งทุ่มที่ร้านอิซากายะแห้งหนึ่งย่านทองหล่อ พวกเขาจะเจอกันที่นั่นเพื่อดื่มเบียร์และนั่งคุยกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาร่วม 10 ปี

เวลาที่เหลืองของช่วงบ่าย ภูวาจดจ่ออยู่กับงานจนมารู้สึกตัวว่าเลยเวลาเลิกงานแล้วก็ตอนที่น้องในทีมของเขาเดินมาสวัสดีและกำลังจะกลับบ้าน เขาดูนาฬิกาข้อมือแล้วตกใจเพราะถ้าเขาไม่รีบออกตอนนี้ เขาต้องไปสายแน่ๆ เขาจึงรีบเก็บของใส่กระเป๋าจากนั้นก็ออกจากออฟฟิศ เขารู้สึกตื่นเต้นปนกังวลเล็กน้อยที่จะได้พบบอลอีกครั้ง บอลคือคนๆ เดียวที่ทำให้ใจของเขาเต้นผิดจังหวะได้แบบนี้ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ และไม่ว่าจะด้วยเพราะเรื่องดีหรือร้ายก็ตาม

บอลคือคนๆ เดียวที่เขาอยากจะลืม แต่กลับโผล่มาวนเวียนในความฝันของเขาอยู่บ่อยครั้ง

บอลคือคนๆ เดียวที่เขาเคยรักหมดหัวใจ แต่ไม่ได้อะไรกลับมานอกจากความว่างเปล่าราวกับสายลมเย็นๆ ในฤดูร้อนที่พัดผ่านมาวูบหนึ่งแล้วก็จากไป

พอออกมานอกตึก ภูวาจึงเห็นว่าฝนทำท่าจะตก เขารีบเรียกรถแท็กซี่ไปยังร้านที่นัดหมาย และในขณะที่นั่งอยู่ในรถนั้นเอง เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อไลน์ไปหาพายุ แต่เพิ่งสังเกตว่าแบตโทรศัพท์ของเขาใกล้จะหมด และด้วยความที่รีบออกมา เขาจึงลืมทั้งสายชาร์จและพาวเวอร์ืเนแบงค์เอาไว้ที่ออฟฟิศ ตัวเลขบนมุมขวาของจอบอกว่าเขาเหลือพลังงานแค่ 10% ภูวาจึงจำใจปิดอินเทอร์เน็ตและเก็บโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉินเท่านั้น

คนขับแท็กซี่บ่นอุบเรื่องการจราจารในย่านเมืองหลวงหลังเลิกงานและตอนฝนใกล้ตกแบบนี้เหมือนจะบอกกลายๆ ว่าไม่อยากไปส่งภูวาที่หมายเท่าไหร่ แต่เขาไม่สนใจ จนกระทั่งเมื่อรถมาจอดที่หน้าร้าน ฝนก็เริ่มโปรยเม็ดลงมาพอดี เขามาถึงก่อนเวลานัดเพียงห้านาที และไม่แน่ใจว่าบอลจองโต๊ะไว้แล้วหรือยัง ที่หน้าร้านมีทั้งคนทั้งยืนและนั่งรอคิวอยู่ เขาเดินฝ่ากลุ่มคนไปที่เคาน์เตอร์แล้วลองเสี่ยงดู

“ขอโทษนะครับ มีคนชื่อบอลจองไว้มั้ยครับ สองที่ครับ”

พนักงานหญิงในชุดยูนิฟอร์มญี่ปุ่นไล่นิ้วไปตามรายชื่อบนกระดาษในมือ “ไม่มีค่ะ”

“แล้วชื่อสัจจกรณ์ล่ะครับ มีมั้ย หรือว่าชื่อภูวา”

ไล่นิ้วดูอีกครั้ง “ไม่มีค่ะ”

“ขอบคุณครับ งั้นผมจองคิวสองที่ครับ”

“ค่ะ คุณอะไรคะ”

“ภูวาครับ”

“กรุณารอสักครู่ค่ะ ถึงคิวแล้วจะเรียก”

ภูวาเดินถอยออกจากหน้าประตู เม็ดฝนกระเด็นสาดมาใส่เขา เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรออกไปหาบอล

เสียงรอสายดังอยู่ห้าครั้งก่อนที่จะตัดไป หน้าจอโทรศัพท์ของเขาดับสนิท

ภูวามองไปยังเก้าอี้ที่ทางร้านจัดไว้ให้คนรอคิว แต่ไม่มีตัวไหนว่างเลย เขาจึงทำได้แค่พยายามยืนหลบฝนที่สาดเข้ามาให้มากที่สุดเท่านั้น

ห้านาทีผ่านไป… 10 นาทีผ่านไป… 15 นาทีผ่านไป ภูวาคอยชะเง้อมองดูรถยนต์และผู้คนที่วิ่งผ่านไปมาอย่างมีความหวังที่จะเห็นใบหน้าที่เขาคุ้นเคยในความทรงจำ บอลจะเปลี่ยนไปมากน้อยขนาดไหนนะ จะยังไว้ผมสั้นเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า จะยังหุ่นหนาไหล่กว้างเหมือนเดิมมั้ย หรือจะอ้วนมีพุงหัวล้านแบบเพื่อนคนอื่นๆ ที่แต่งงานกันไปแล้ว เขานึกยิ้มในใจ ถ้าหากบอลเป็นแบบนั้นจริงก็คงตลกน่าดู เพราะตัวเขาเองหุ่นดีขึ้น และเขาก็มั่นใจด้วยว่าตัวเองหล่อขึ้นกว่าเมื่อหลายปีก่อนมาก บอลจะแปลกใจที่เห็นเขาในตอนนี้ไหมนะ เขาจะทำหน้าอย่างไร ภูวานึกไปต่างๆ นานา จนกระทั่งชื่อของเขาถูกเรียกขึ้น

เขาหันไปมองรอบตัวอีกครั้งแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของใบหน้าที่เฝ้ารอ

หลังจากนั่งลงที่โต๊ะ ภูวาก็วางเมนูที่พนักงานยื่นให้ลงบนโต๊ะ “เอาชาร้อนมาอย่างเดียวก่อนแล้วกันครับ ผมขอรอเพื่อนมาถึงก่อนแล้วค่อยสั่งอาหารแล้วกัน”

อีกไม่กี่นาทีถัดมาพนักงานคนเดิมก็กลับมาพร้อมชาร้อน ผ้าเย็น และผ้าขนหนูผืนเล็กผืนหนึ่ง

“ใช้เช็ดตัวได้นะคะ จะได้ไม่เป็นหวัด”

“ขอบคุณครับ…” ภูวายิ้มตอบกลับ เขาว่าเขาเห็นพนักงานหน้าแดงด้วยล่ะ “อ้อ ขอโทษทีครับ พอดีผมรอเพื่อนอยู่ แต่มือถือผมแบตหมด ถ้ามีคนมาถามหาชื่อภูวา หรือภู ฝากพามาที่โต๊ะนี้นะครับ อ้อ หรือถ้ามีคนไหนมาบอกว่าชื่อ สัจจกรณ์ หรือชื่อบอล ก็คือโต๊ะนี้นะครับ รบกวนด้วยนะครับ”

“ค่ะ ได้ค่ะ จะบอกน้องหน้าร้านไว้ให้นะคะ”

โชคดีที่ภูวาได้นั่งอยู่ใกล้หน้าต่างร้าน เขาจึงคอยมองดูผู้คนที่เดินผ่านไปมาท่ามกลางสายฝนรวมถึงลูกค้าที่มารอคิวอยู่ได้ตลอด
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ความกลัวที่เขาพยายามฝังมันไว้ส่วนลึกในใจเริ่มค่อยๆ เผยตัวขึ้นมาสู่โลกแห่งความจริง แต่เขาก็ยังคงพยายามบอกตัวเองว่ามันจะต้องไม่เป็นอย่างนั้น บอลจะต้องมาอย่างแน่นอน

จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปจากครึ่งชั่วโมงกลายเป็นหนึ่งชั่วโมง แต่ยังไร้วี่แว่วของคนที่เอ่ยปากนัดเขาเมื่อคืน ภูวาก็เริ่มยอมรับความจริง

เขานั่งมองถ้วยชาด้วยอารมณ์ที่หม่นหมอง เขาไม่เศร้า เขาไม่โกรธ และก็ไม่ผิดหวังด้วย แต่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกในตอนนี้มันคืออะไร

“ลูกค้าจะสั่งอาหารเลยมั้ยคะ” พนักงานเดินเข้ามาถามเขาเป็นครั้งที่สี่

“ได้ครับ ขอโทษที เอาชุดปลาซาบะย่างเกลือมาที่นึงแล้วกันครับ” ภูวายิ้มให้พนักงานเสิร์ฟ

“ได้ค่ะ”

แม้ว่าอาหารจะมาเสิร์ฟแล้ว แต่บอลก็ยังไม่มา

แม้ว่าภูวาจะนั่งเขี่ยอาหารไปมาอีกกว่าครึ่งชั่วโมง แต่บอลก็ยังไม่มา

เขาเรียกเช็กบิลกับพนักงาน

ภูวาเหม่อมมองออกไปภายนอกร้าน สายฝนยังคงโหมกระหน่ำ เม็ดฝนรวงหล่นลงมาราวกับน้ำตาของท้องฟ้าที่มืดมิด ในขณะเดียวกันนั้นเอง ที่คอนโดของเขา ต่อที่นั่งอยู่ที่ระเบียงก็กำลังมองดูท้องฟ้าที่เคยสดใสในยามกลางวัน แต่กลับกลายเป็นความมืดดำ หม่นหมอง และมีสายลมพัดโหม ไม่ต่างกับความรู้สึกของเขาในตอนนี้ พายุนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นและมองดูแผ่นหลังของต่อด้วยความเป็นกังวล เขาพยายามบอกต่อให้เข้ามาหลบฝนในห้องแล้ว แต่ต่อไม่ยอมฟัง ท้องฟ้าที่มืดมิดจู่ๆ ก็สาดแสงวาบพร้อมกับเสียงของสายลมพัดกรรโชกผ่านช่องตึกดังโหยหวน อีกไม่กี่อึดใจถัดมาก็ตามมาด้วยเสียงฟ้าคำรามดังครืน เคนที่นั่งอยู่บนโซฟาหันออกไปมองยังนอกหน้าต่างแล้ววางโทรศัพท์ลง เขาใช้มือลูบบนผ้าพันแผนเหนือปากแผลของเขาเบาๆ มือของเขาสั่นเทาเพราะอาการแพนิกแอ็ทแท็กที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้น เขามองดูสายฝนและพยายามโฟกัสไปที่เสียงของสายลม เม็ดฝนที่กระทบหน้าต่าง และเสียงฟ้าร้อง หวังว่ามันจะช่วยทุเลาความวิตกกังวลลงไปได้บ้าง

สี่ชีวิต สี่ความคิดที่แตกต่างกัน

คนหนึ่ง นึกสงสัยว่าชีวิตของเขาจะดำเนินต่อไปอย่างไร ในเมื่อทุกอย่างที่เคยรู้มาคือคำโกหกคำโต
คนหนึ่ง ยังคงหาคำตอบไม่ได้ว่าเขาควรจะฝืนทนหายใจต่อไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายของชีวิต หรือจะหยุดลงเพียงเท่านี้
คนหนึ่ง เริ่มรู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเพื่อนสนิท แต่ก็ไม่รู้จะหาคำตอบให้ตัวเองอย่างไร
และอีกคนหนึ่ง นึกชังนาฬิกาบอกเวลาของตัวเองที่หยุดเอาไว้อยู่ที่คนๆ หนึ่ง และไม่เคยเดินต่ออีกเลย

ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ขอโทษที่มาต่อช้านะครับ แต่จะพยายามมาบ่อยให้มากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนมากอารมณ์แต่งจะมาตอนดีเพรสทุกที

ส่วนเรื่องนี้ก็ตามอ่านกันไปยาวๆ นะครับ ดูท่าทางแล้วน่าจะมีแตะร้อยตอน
เรื่องที่อยากเขียน เนื้อหาหลัก ตอนจบอยู่ในหัวหมดแล้ว และที่สำคัญผมหลงรักตัวละครพวกนี้ไปแล้วด้วย
บางทีไม่ได้เขียนต่อในหัวก็ยังนึกถึงพวกเขาอยู่บ่อยๆ

กลับมารอบนี้คงคงไม่ได้ตามอ่านเยอะเหมือนเมื่อก่อน และเนื้อเรื่องก็ดำเนินค่อนข้างช้าด้วย ก็เข้าใจได้ครับ
แต่ไม่เป็นไร เขียนเพราะอยากเขียน เพราะรักตัวละครพวกนี้ไปแล้ว อยากให้เค้ามีชีวิตในจินตนาการให้นานที่สุด

สำหรับคนที่ยังอ่านอยู่ก็ขอบคุณมากๆ นะครับ ยังไงอดทนใจเย็นกับผมนิดนึงนะ

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ขอบคุณนะครับที่เข้ามาส่งข่าว
ชอบเรื่องสไตล์นี้ครับ  ผมว่ามันเป็นการบอกกล่าวเรื่องราวต่างๆแบบคนที่เติบโตแล้ว
จะติดตามต่อไปครับ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 19


เคนจำเป็นต้องกดออดเรียกพยาบาลเพื่อขอยาอย่างไวที่สุด มือของเขาสั่นเทาและเหงื่อก็ไหลออกปริมาณมากแม้ว่าเขาจะรู้สึกหนาวจนตัวสั่นก็ตาม เขานั่งขดตัวอยู่บนพื้นข้างเตียงและกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เขาพยายามฝืนกลั้นความอยากจะร้องตะโกนออกมาเอาไว้ เขาลองหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ แต่อาการสั่นเทาก็ยังไม่หายไป เขาอยากจะหาอะไรมากรีดลงไปบนหน้าอกของตัวเอง หวังว่าความเจ็บปวดทางกายจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในใจออกไปบ้าง

“โทรุ… โทรุ… ฉันขอโทษ คนที่ตายควรจะเป็นฉัน ไม่ใช่นาย… โทรุ…” เคนคร่ำครวญเบาๆ กับตัวเอง

“นายต้องเลิกทำร้ายตัวเองแบบนี้ได้แล้วนะ เคน” ชายคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนเขาไม่มีผิดคุกเข่าลงตรงหน้าของเขา

เคนเงยหน้าขึ้นมองคนๆ นั้นอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง “โทรุ… โทรุ… นายกลับมาแล้ว!

ฉันไม่เคยไปไหนนะ

“โทรุ ฉันเหงาเหลือเกิน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะรู้สึกเหงาและเจ็บปวดได้มากขนาดนี้...” เคนก้มหน้าลง

“เคน เงยหน้าขึ้นแล้วฟังฉัน” โทรุวางมือลงบนแก้มของเคน “ฉันอยากให้นายมีความสุขนะ”

“ฉันจะมีความสุขได้ยังไง ในเมื่อความสุขของฉันมันตายไปจากฉันแล้ว พร้อมกับ…” ความจริงที่เจ็บปวดวิ่งชนเคนเข้าอย่างจังราวกับรถบรรทุก “ ไม่ นายไม่ได้อยู่ที่นี่ นายไม่อยู่แล้ว ฉันเห็นนายหมดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตาของฉัน มันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันทำให้นายต้องตาย…” ร่างกายของเคนสั่นอย่างรุนแรงพร้อมกับอาการสะอื้นที่ควบคุมไม่ได้ น้ำตาที่เขาเคยกลั้นเอาไว้ น้ำตาที่เขาเคยอยากจะร้องไห้ออกมาหลายต่อหลายครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จ จู่ๆ ก็พรั่งพรูออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ความเจ็บปวดในใจของเขามันมากเกินกว่าคำใดๆ จะสามารถอธิบาย แต่สิ่งที่ทรมานยิ่งกว่าความเจ็บปวดนั้นกลับเป็นความว่างเปล่าอันหนักอึ้งจนเขาหายใจไม่ออก

เคนรู้สึกเหมือนหัวใจของเขามันหายไป และถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่าอันมืดมิดที่กว้างใหญ่ วังเวง และดำมืดยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลกทั้งหมด มันทั้งอ้างว้างและบีบรัดเขาจากทุกๆ ด้าน ความหนักหน่วงที่เขารู้สึกทำให้เขาห่อตัวลงและกอดตัวเองแน่น มือที่โอบกอดตัวเองอยู่นั้นจิกลงบนหัวไหล่ทั้งสองข้างจนเลือดไหลซิบ แต่เคนกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดบนผิวหนังเลยแม้แต่น้อย

เคน ฉันยังอยู่กับนายเสมอ” โทรุโอบกอดเคนเอาไว้

เคนคิดว่าอ้อมกอดนั้นมันคงจะต้องรู้สึกว่างเปล่าเหมือนอย่างที่เคย เพราะโทรุไม่ได้อยู่ตรงหน้าเขาจริง เขาจะไม่มีวันได้สัมผัสถึงความอบอุ่นของโทรุอีกแล้ว วันที่โทรุจากไป ก็เหมือนส่วนหนึ่งของหัวใจและวิญญาณของเขาได้หายไปด้วย

แต่ทว่าเคนกลับรู้สึกได้ถึงผิวหนัง สัมผัสที่แนบแน่น และ… ความเปียกชื้นบนร่างกายของเขา

เขาลืมตาขึ้น พยายามโฟกัสสายตาไปยังคนตรงหน้า

“พี่เคน! อยู่กับผมก่อนนะ ใจเย็นๆ ครับ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว”

“โทรุ…?”

ภูวาดึงตัวของเคนกลับเข้าไปกอดอีกครั้ง เขากอดเคนไว้แน่นที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ “ผมขอโทษ… ไม่เป็นไรนะครับพี่ ผมขอโทษ…” เขาพูดแบบเดิมซ้ำๆ จนกระทั่งพยาบาลเปิดประตูเข้ามา

ภูวาถูกจับแยกตัวออกจากเคน แต่ในขณะที่พยาบาลฉีดยากล่อมประสาทให้เคนนั้น เขาก็ไม่ยอมปล่อยมือของเคนเลยแม้แต่วินาทีเดียว หลังจากที่พยาบาลฉีดยาเสร็จแล้ว เขาก็เป็นคนอาสาพยุงเคนที่นั่งทรุดอยู่บนพื้นห้องกลับขึ้นบนเตียงด้วยตัวเอง
ก่อนออกจากห้องไป พยาบาลอธิบายเรื่องฤทธิ์ของยาและไม่ลืมที่จะแนะนำให้ภูวาไปอาบน้ำก่อน แต่เขายังไม่อยากละสายตาออกจากเคนเลยแม้แต่น้อย เคนยังคงร้องไห้และร่างกายของเขาก็ยังคงสั่นเทา แต่ยังดีที่ดูเหมือนว่าเขาจะค่อยๆ รู้สึกตัวมากขึ้นแล้ว

“ภูวา…”

“ครับพี่เคน...”

“ยูมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

ภูวาไม่ตอบ แต่ขยับเข้าไปหาเคนมากขึ้น “พี่ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะอยู่กับพี่เอง เดี๋ยวพอยาออกฤทธิ์พี่ก็จะรู้สึกดีขึ้นแล้วคงจะหลับไป ไม่ต้องคิดมากนะครับ ไม่มีอะไรแล้ว”

“พี่ขอโทษ…”

“ไม่สิพี่ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ…” จู่ๆ น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลออกจากดวงตาของเขา                     

เคนใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาออกจากแก้มของภูวา “คุณคล้ายเขามากเลย…

“โทรุน่ะเหรอครับ”

เคนหลับตาลงและบีบมือของภูวาแน่น

“พักผ่อนนะครับ พี่เคน” ภูวาดึงมือออก จากนั้นก็จัดแจงห่มผ้าให้เคน เขาทำท่าจะเดินไปยังโซฟา แต่เคนหยุดเขาเอาไว้ก่อน

“ภูวา”

ภูวาหันกลับมาหาเคนอีกครั้ง

“ขึ้นมานอนบนเตียงกับพี่ได้ไหม… พลีส

ภูวาเดินกลับไปที่เตียงอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนเตียงผู้ป่วยแล้วนอนลงข้างๆ เคน เคนดึงตัวของภูวาเข้ามากอดเอาไว้ ภูวาขดตัวซุกลงข้างๆ ชายหนุ่มร่างใหญ่ หลังจากนั้นไม่กี่นาที ทั้งสองคนก็หลับลงไป

ภูวาตื่นขึ้นกลางดึก เขาใช้เวลา 2-3 วินาทีถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาอยู่ที่โรงพยาบาล และกำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยกับเคน แต่เขากลับรู้สึกว่าพื้นที่ข้างตัวนั้นว่างเปล่า เคนไม่ได้กำลังนอนอยู่ข้างๆ เขา เขารีบชันตัวขึ้นและหันไปมองรอบห้อง เงาดำสูงใหญ่ยืนหันหลังให้เขาอยู่ที่ริมหน้าต่าง แสงจากฟ้าแลบที่วิ่งผ่านเข้ามาทางม่านที่เปิดอยู่นิดหน่อยเผยให้เห็นโครงร่างและใบหน้าของเคนชั่วเสี้ยววินาที ภูวาลุกออกจากเตียงพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังครืน ท้องฟ้าข้างนอกยังมืดมิดและฝนยังคงตกอยู่เช่นเดิม เขาจึงเดาเอาว่าตัวเองน่าจะเพิ่งเผลอหลับไปได้ไม่นาน

เขาเดินตรงเข้าไปหาเคน แล้วจู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าลงหลังจากนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นและเขายอมคลานขึ้นเตียงไปนอนกอดเคนอย่างง่ายดายขนาดไหน

“ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะครับ” เคนพูดขึ้นโดยไม่ได้หันกลับมามองเขา

“ไม่หรอกครับ ผมตื่นขึ้นมาเอง ว่าแต่พี่เถอะ ทำไมไม่นอน ยาน่าจะทำให้พี่หลับได้ถึงเช้าเลยนี่นา เพราะผมนอนเบียดพี่ใช่มั้ย”

เคนไม่ตอบ เขาปิดม่านลง ทำให้ทั่วทั้งห้องมืดสนิท จากนั้นก็หันมาหาภูวา

“อาจจะฟังดูแปลกๆ นะครับ แต่…” เคนพูดขึ้น “ขอผมกอดคุณอีกสักครั้งได้มั้ยครับ” เคนถามเบาๆ เป็นภาษาอังกฤษ

หัวใจของภูวากระตุกทันที เขารู้ตัวว่าตอนนี้เขาคงกำลังเขินจนหน้าร้อนผ่าวแน่ๆ เขาไม่ได้เขินเพราะการกอด แต่เพราะการถูกขอแบบนั้นต่างหาก

เขาพยักหน้าเบาๆ แต่นึกขึ้นได้ว่าเคนน่าจะมองไม่เห็น

“ด… ได้สิครับ…” เขากระซิบตอบ

เคนค่อยๆ ดึงตัวของภูวาเข้าไปกอดอย่างอ่อนโยน ส่วนสูงที่แตกต่างกันทำให้หน้าของภูวาอิงอยู่บริเวณหน้าอกของเคนพอดี เขาต้องรู้สึกแปลกใจที่กล้ามอกของเคนนั้นนุ่มกว่าที่คิดและอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนอนกอดเมื่อสักครู่เขาไม่ได้สังเกตเลย

“ขอบคุณนะครับ...” เคนพูดใส่หูของภูวาเบาๆ เขาไม่ได้หมายถึงแค่การที่ภูวายอมให้เขากอด แต่หมายถึงเรื่องเมื่อคืน ไปจนถึงทุกๆ อย่างตั้งแต่เขาสองคนได้รู้จักกันด้วย แต่แน่นอนว่าเคนไม่ได้พูดออกไป และภูวาก็คงไม่รู้ความหมายของเขา

ตอนแรกภูวาก็ยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจยกแขนขึ้นกอดเคนตอบกลับไป

“ภูวาชอบผู้ชายรึเปล่าครับ” จู่ๆ เคนก็ถามขึ้น

ภูวาสะดุ้งและพยายามดันตัวเองออก แต่เคนไม่ยอม

“พี่ชอบผู้ชายนะ… รังเกียจพี่มั้ยครับ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ภูวาก็ยิ่งรู้สึกตกใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าผู้ชายแมนๆ อย่างเคนจะชอบผู้ชายด้วยกันจริงๆ

“ไม่สิ ไม่รังเกียจหรอกครับ ผมจะคิดแบบนั้นกับพี่ได้ยังไง”

เคนกำชับวงแขนให้แน่นขึ้น “ไม่ต้องห่วงนะ พี่ไม่คิดจะทำอะไรภูวาหรอก แต่พี่แค่อยากรู้… พี่คิดว่าปกติผู้ชายทั่วไปคงไม่จับมือหรือกอดพี่แบบเมื่อคืนนี้หรอก พี่เลยสงสัยว่ายูอาจจะ…  แต่ถ้าพี่เข้าใจผิดไปเอง พี่ก็ต้องขอโทษจริงๆ”

ภูวาซุกหน้าลงบนหน้าอกของเคน เขานึกถึงเรื่องของบอลแล้วน้ำตาก็ไหลออกมา “ผม… ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมเคยมีแฟนผู้หญิงนะ แต่คนที่ผมรักมาก รักแต่ไม่เคยได้ครอบครอง เพราะผมกับเขาเป็นอะไรกันไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน ผมก็ยังไม่เคยลืมความรู้สึกเก่าๆ เหล่านั้นได้เลย… และคนนั้นเค้าเป็นผู้ชาย”

เคนดันตัวของภูวาออกแล้วใช้นิ้วปาดน้ำตาออกจากแก้มของชายหนุ่ม

“แบบนี้แปลว่าผมเป็นเกย์ใช่ไหม” ภูวาถาม

“พี่ไม่ได้ถามว่ายูเป็นเกย์รึเปล่านะ แต่พี่ถามว่าชอบผู้ชายรึเปล่า มันไม่เหมือนกันนะครับ”

“ไม่เหมือนเหรอ” ภูวานิ่วหน้าสงสัย

“อย่างน้อยสำหรับพี่ มันก็ไม่เหมือนกัน…” เคนลูบหัวภูวาเบาๆ “พี่เองก็เคย… ไม่สิ พี่เองก็รักผู้ชายคนหนึ่งมาก มากจนไม่มีคำพูดใดมาบรรยายได้ แต่เราไม่ใช่คนรักกัน เราเป็นคนรักกันไม่ได้ แต่เขาคือครึ่งหนึ่งของชีวิตและจิตวิญญาณของพี่ ในวันที่เขาจากไป พี่รู้สึกเหมือนส่วนหนึ่งของพี่ตายไปกับเขาด้วย ชีวิตของพี่ตอนนี้เป็นแค่ร่างกายที่มีเพียงลมหายใจ แต่ไร้หัวใจและจุดประสงค์ในการใช้ชีวิตอยู่…” เคนกลืนน้ำลาย

ภูวายกมือขึ้นแตะลงบนแก้มของเคนเบาๆ “คนๆ นั้นคือโทรุใช่มั้ยครับ”

เคนนิ่งไปพักหนึ่ง เขาตกใจเล็กน้อยที่ภูวารู้ และความรู้สึกถัดมาคือความกลัว กลัวว่าภูวาจะมองเขาไม่ดี มองว่าเป็นคนวิตถาร และกลัวว่าเขาจะถูกรังเกียจ

เขาพยักหน้าเบาๆ

“ซึ่งเขาคือน้องชายฝาแฝดของพี่”

น้ำตาไหลออกจากดวงตาของเคนช้าๆ เขาพยักหน้าอีกครั้ง เขาไม่เคยพูดหรือยอมรับเรื่องนี้กับใครมาก่อนเลย มันคือความลับระหว่างเขากับโทรุ มันคือสิ่งที่เขาเก็บไว้คนเดียวในใจมานานหลายปี มันน่ารังเกียจในสายตาคนอื่น มันผิดปกติ ผิดธรรมชาติ และเขาไม่คิดว่า…

“ไม่ต้องห่วงนะครับ” ภูวาสวมกอดเคนอย่างแนบแน่น “ผมคงพูดไม่ได้ว่าผมเข้าใจความรู้สึกของพี่ แต่ผมก็มีไอ้พายุและผมก็รักมันมาก อาจจะไม่เหมือนความรักของพี่กับโทรุ แต่ผมไม่มองว่ามันคือสิ่งที่ผิดนะ”

เคนเริ่มตัวสั่นขึ้นเล็กน้อย

“ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ…”

เคนพยักหน้า

“โทรุเขาก็รักพี่แบบเดียวกับที่พี่รักเขาด้วยรึเปล่า”

เคนพยักหน้าอีกครั้ง ร่างกายของเขาสั่นเทามากขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้างั้นพี่ก็โชคดีแล้วล่ะ พี่เคน ยังไงความรักมันก็คือสิ่งสวยงามเสมอครับ ผมเชื่อแบบนั้น ยิ่งถ้าโทรุรู้ว่าพี่รักเขามากขนาดนี้ และเขาก็รักพี่ตอบด้วยเหมือนกัน นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นได้แล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นความรักรูปแบบไหน ผมเชื่อว่าพี่สองคนสมควรได้รับมันและเก็บรักษามันไว้ในใจอย่างดีที่สุด... พี่ไม่ต้องห่วงนะครับ พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ผมไม่มีวันรังเกียจพี่หรอก”

คำพูดสุดท้ายทำให้เคนร้องไห้ออกมาจนตัวโยน เขาทรุดนั่งลงกับพื้นโดยมีภูวาคอยกอดและปลอบโยนเขาเอาไว้จนกระทั่งเขาหลับไปทั้งอย่างนั้น


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
สวัสดีครับ

ขอบคุณทุกคนที่ยังอ่านแล้วคนที่คอมเมนต์นะครับ

จริงๆ จุดประสงค์หลักของการที่ผมเขียนเรื่องนี้ก็เพราะอยากสื่อสารเรื่องโรคซึมเศร้าและอาการทางจิตเวชอื่นๆ ออกไปด้วย
ส่วนหนึ่งหลักๆ ก็คือมาจากอาการของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าอาการแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ความคิด ความรู้สึก ความทรมานต่างๆ ของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน แต่ผมจะพยายามถ่ายทอดมาให้เห็นภาพที่สุด เผื่อคนที่อ่านแล้วมีใครใกล้ตัวเป็นโรคซึมเศร้า ผมก็หวังว่านิยายเรื่องนี้จะพอช่วยให้เข้าใจความคิดและอาการของพวกเขาบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ

เจอกันสัปดาห์หน้าครับ
ต้น

ปล. ส่วนอดีตของภูวาก็มีพื้นฐานมาจากเรื่องจริงของผมอีกเช่นกัน

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
สนุกมาก อารมณ์หน่วงๆ พายุสดใส ร่าเริง

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 20


“เพื่อนผมมันไม่ได้มาตามนัดครับ...” ภูวาเล่าให้เคนฟังในขณะที่ทั้งสองคนนั่งคุยกันบนโซฟาในตอนเช้า “ไอ้บอล คนที่เป็นฝ่ายนัดผมเอง แต่ดันไม่มาตามนัด แต่จริงๆ ผมคงผิดเองด้วยแหละ เพราะโทรศัพท์ผมแบตหมด มันอาจจะโทรหาผมเพื่อจะยกเลิกนัดแต่โทรไม่ติดก็ได้”

“ถ้าเปิดเครื่องแล้วมันก็น่าจะมีเมสเสจแจ้งเตือนมาไม่ใช่เหรอว่ามีคนโทรเข้ามาระหว่างที่เราปิดเครื่องอยู่รึเปล่า”

ภูวาอึกอัก “จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้ชาร์จแบตเลยครับ เมื่อคืนพอออกจากร้าน ผมเรียกแท็กซี่ได้ก็ตรงมาที่นี่เลย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีสายชาร์จ”

“ลงไปซื้อที่เซเว่นข้างล่างมั้ยครับ น่าจะมีนะ”

ภูวาก้มหน้า “บางที… ผมอาจจะไม่อยากเปิดเครื่องเพราะกลัวว่าจะไม่มีข้อความใดๆอย่างที่พี่บอกเลยก็ได้…”

เคนวางมือลงบนตักของภูวา “แต่ถึงยังไงก็ต้องบอกที่ทำงานนะครับ ไหนจะเรื่องพายุอีก น้องคงเป็นห่วงยูน่าดู”

ภูวาถอนหายใจแล้วลุกขึ้นไปหยิบคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปออกมาจากกระเป๋า เขาเปิดเครื่อง เสียบ WiFi USB ของออฟฟิศ แล้วพิมพ์บางอย่างลงบนหน้าจออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปิดฝาแล็ปท็อปลงแล้วเดินกลับมาหาเคน

“เรียบร้อยครับ ผมไลน์บอกพายุแล้ว แต่วันนี้วันหยุดราชการครับ ผมไม่ต้องไปทำงานนะ” ภูวายิ้ม

“อ้าวเหรอ” เคนเกาหัวเบาๆ “แล้วมีข้อความมาจากบอลมั้ย”

“ผมไม่มีไลน์ของมัน…”

เคนนึกสงสัยเล็กน้อย เพราะเขาคิดว่าไลน์น่าจะผูกอยู่กับเบอร์โทรศัพท์คล้ายว็อทส์แอป แต่ก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้ เขาแค่พยักหน้า จากนั้นก็อ้าปากหาววอด “พี่ว่าพี่ไปอาบน้ำก่อนดีกว่า”

พายุมองตามเคนที่ลุกออกจากโซฟา “พี่อาบน้ำได้เหรอครับ”

“แค่เช็ดตัวล้างหน้าแปรงฟันเฉยๆ ครับ” เคนเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้น เปิดเพลงจากสป็อตติฟาย แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป เพลงที่ดังขึ้นเป็นเพลงที่ภูวาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เสียงของนักร้องนำนั้นเขาจำได้เป็นอย่างดี

“นี่มันเสียงของเชสเตอร์ เบนนิงตัน นักร้องวง ลินคิน พาร์ค นี่ครับ”

“ใช่ครับ” เคนตอบกลับออกมาจากในห้องน้ำ

“แต่นี่ไม่ใช่เพลงของลินคิน พาร์ค ถูกมั้ยครับ ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน”

“อันนี้เพลง ‘อินทู ยู’ วง ‘เด้ด บาย ซันไรส์’ ครับ เชสเตอร์เป็นนักร้องนำของวงนี้ด้วย”

เมโลดี้และท่วงทำนองของเพลงประทับใจภูวาเข้าอย่างจังตั้งแต่แรก เขานั่งฟังซึมซับเนื้อเพลงและเสียงร้องของนักร้องโปรดของเขาที่จากโลกนี้ไปแล้ว ในวันที่เขารู้ว่าเชสเตอร์ฆ่าตัวตาย เขารู้สึกเจ็บปวดไปพร้อมๆ กับแฟนเพลงนับแสนนับล้านคนทั่วโลก เนื้อเพลงของเชสเตอร์ฝังใจอยู่ในความทรงจำของภูวามากมาย และเขารู้เลยว่าเพลงนี้กำลังจะกลายเป็นอีกเพลงโปรดของเขาแน่นอน

I'm a man whose tragedies
Have been replaced
With memories
Tattooed upon my soul


ภูวาหลับตาลง ซึบซาบเนื้อเพลงเข้าไปในใจของเขา

You know not everything's your fault
But in a way
Our mistakes have brought us here today
You say just look how far you've come
Despite all those things you've done
You'll always be the one to catch me
When I fall Into you
   
And I fade away…

หลังจากเพลงจบลง เพลงถัดไปที่ดังขึ้นก็ยังคงเป็นเพลงเดิม ดูเหมือนว่าเคนจะเปิดเพลงนี้ให้วบลูปอยู่เพียงเดียว แต่ภูวาไม่มีปัญหาอะไรเลย เขากลับรู้สึกขอบคุณด้วยซ้ำ เพราะเขารู้สึกหลงรักเพลงนี้เข้าอย่างจังเสียแล้ว

ฉันเป็นคนหนึ่งที่โศกนาฏกรรมถูกแทนที่ด้วยความทรงจำ ถูกสลักลงบนจิตวิญญาณ… ความผิดพลาดในอดีตของเรา พาให้เราได้มาเจอกันในวันนี้ และ…

“เพลงดีใช่มั้ย” เสียงของเคนดังขึ้น

ภูวาสะดุ้งและรีบปาดน้ำตาออกจากแก้มของเขา สุดท้ายเขาก็ห้ามน้ำตาไว้ไม่ได้จริงๆ

“ค… ครับ”

“เพลงโปรดของพี่เพลงนึงเลยล่ะครับ”

“ผมก็ชอบเหมือนกันครับ ชอบทั้งท่อนฮุคและความหมายมากเลย โดยเฉพาะท่อนแยกอะครับ โคตรชอบเลย”

เคนที่ใส่แค่เพียงกางเกงของโรงพยาบาลตัวเดียวเดินตรงเข้ามาหาภูวา

“ยังเจ็บอยู่มั้ยครับ” ภูวายื่นมือไปแตะลงบนผ้าปิดแผลตรงช่วงเอวของเคนอย่างเบามือ

“แค่แสบๆ คันๆ นิดหน่อยครับ...” เคนจับมือของภูวา

ทั้งสองคนมองหน้ากัน แล้วจากนั้นเคนก็ดึงตัวของภูวาขึ้น มือของเขายังคงจับมือของภูวาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
ภูวาหน้าแดงทันที

จากนั้นเคนก็พูดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ “ผมเป็นชายคนหนึ่งที่แตกสลายและพังแบบไม่มีชิ้นดี ผมเคยคิดว่าผมไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่เมื่อผมเห็นว่าคุณเองก็ไม่ต่างจากผม เราต่างก็มีอดีตที่เจ็บปวด มีชิ้นส่วนที่หายไปจากชีวิต คุณทำให้ผมรู้สึกว่าผมอยากเข้มแข็งขึ้น ขอบคุณนะครับ ที่เข้ามาในชีวิตของผม หลังจากนี้ ผม… ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะรู้สึกแบบนี้มาก่อนนะ แต่ผมอยากจะสำรวจหัวใจของตัวเองและลองก้าวเดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง... ไปพร้อมๆ กับคุณ

ภูวาตาโต มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อย

“พ… พี่เคน… ผม… ผมไม่…”

เคนหน้าเสียทันที เขาปล่อยมือของภูวาออก “ขอโทษทีครับ ผมคงแทนที่เขาไม่ได้ ผมคงไม่เหมาะสมที่จะเดินไปข้างๆ ยู ถือซะว่าผมไม่ได้พูดอะไรออกไปแล้วกัน”

เคนทำท่าจะเดินออกไปแต่ภูวารีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้เสียก่อน ภูวาบีบมือเขาแน่นจนทำให้เคนนิ่วหน้า สีหน้าของภูวาโกรธขึ้งจนทำให้เคนยังต้องแปลกใจ

“พี่จะบ้าเหรอครับ!” ภูวาขึ้นเสียงเล็กน้อย “พี่จะมาแทนที่ไอ้บอลได้ยังไง! ผมกับมันไม่ได้เป็นอะไรกัน และที่สำคัญ ไม่มีใครจะมาแทนที่มันได้หรอก ชาตินี้ผมคงไม่มีวันลืมมันได้ พี่ก็คือพี่ มันก็คือมัน ไม่ว่าจะใครก็แทนที่ใครไม่ได้ทั้งนั้น เหมือนกับที่ผมหรือใครคนอื่นในโลกก็จะไปแทนที่โทรุไม่ได้นั่นแหละครับ”

คำพูดของภูวาทำให้เคนถึงกับผงะ “เอ่อออ… พี่ไม่…”

“พี่เคน ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยอยากคิดด้วยซ้ำว่าผมชอบผู้ชาย หรือผมเป็นเกย์ หรืออะไรก็ตาม ผมพยายามผลักความคิดเหล่านั้นออกไปจากหัวมาโดยตลอด ผมทุ่มเทให้กับงาน กับน้องชายของผม พยายามไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ จนกระทั่ง…” ภูวาปล่อยมือของเคนออกแล้วหลบตาลงต่ำ “ผมไม่ได้… ผมไม่ได้อยากจะแทนที่ใคร และผมก็ไม่คิดว่าผมต้องการใครมาช่วยเยียวยาบาดแผลอะไรในใจผม แต่… แต่ผมอยากจะเป็นกำลังใจให้พี่ อยากเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้พี่อยากมีชีวิตยาวนานขึ้นอีกสักนิดก็ยังดี เพราะงั้น… ถ้าพี่ไม่ว่าอะไร… เราลอง เอ่ออ… พี่ลองให้ผมเป็นน้องชายคนนึงของพี่ ให้ผมช่วยดูแลพี่มากขึ้นกว่านี้จะได้มั้ยครับ”

เคนรู้สึกหัวใจของตัวเองเต้นแรงขึ้นแบบที่ไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว ช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาเขาเป็นเหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้หัวใจ ไร้อารมณ์ ไร้ความรัก คนที่พยายามเข้าหาเขาก็มีแค่คนที่ต้องการความใกล้ชิดทางกาย ต้องการเพียงแค่เซ็กส์และร่างกายของเขา มันทำให้เขาเบื่อจนสะอิดสะเอียน แต่เขาไม่รู้สึกแบบนั้นกับภูวา เขารู้สึก… เหมือนเริ่มมีชีวิตขึ้นใหม่อีกครั้ง

เคนดึงตัวของภูวาเข้ามากอด “และนั่นก็คือสิ่งที่ผมต้องการ ผมยังไม่ได้ขอให้คุณมาเป็นแฟนของผม แต่ผมอยากจะสำรวจหัวใจของผมให้มากวก่านี้ และผมอยากจะทำแบบนั้นไปพร้อมๆ กับคุณ ภูวา

“ถ้าวันไหนพี่เหนื่อย วันไหนพี่ท้อ หรือวันไหนเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนขึ้นอีก ผมจะอยู่ข้างๆ พี่เอง อย่าลืมนะครับว่าพี่ยังมีผมอีกคน”

จู่ๆ เคนก็รู้สึกขัดแย้งในใจขึ้น และดูเหมือนว่าภูวาจะรู้สึกได้

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“พี่… พี่มีอดีตหลายอย่างมากที่ไม่ได้บอกใคร ที่ภูวายังไม่เคยรู้ พี่มีอาการป่วยที่ยังคงรักษาอยู่ สักวันนึงพี่อาจจะทำให้ภูวาต้องเจ็บปวดหรือเสียโดยไม่ได้ตั้งใจ บางทีพี่คงไม่เหมาะที่จะ…”

“พี่เป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอครับว่าพี่อยากจะเริ่มสำรวจหัวใจของตัวเอง” ภูวาขัดขึ้น จากนั้นเขาก็ยิ้มให้เคน “พี่ไม่ต้องคิดมากหรอก เราไม่ได้… เอ่ออ… ยังไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย ถูกมั้ย ผมเองก็ไม่ได้อยากบังคับความรู้สึกอะไรของพี่ พี่เองก็คงไม่ได้อยากคาดคั้นอะไรจากผม เราต่างมีเรื่องที่เรายังไม่พร้อมจะพูด ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องไอ้บอลให้พี่ฟัง พี่ยังไม่ได้เล่าเรื่องโทรุ เราต่างก็ต้องการเวลาจนกว่าเราจะสบายใจที่จะพูด ดังนั้นระหว่างนี้เราก็ค่อยๆ เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ดีมั้ยล่ะครับ”

เคนไม่คิดเลยว่าด้วยบุคลิกดูเป็นคนสุภาพ และดูเป็นเด็กหนุ่มใสๆ ของภูวา เขาจะมีความเป็นผู้นำและความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวแบบนี้อยู่ด้วย

“เห็นแบบนี้ ผมน่ะ หัวดื้อนะ ใครจะมาบังคับให้ผมทำอะไรที่ผมไม่อยากทำ หรือบังคับให้ผมฝืนความรู้สึกตัวเองอะ เป็นไปไม่ได้หรอก” ภูวาพูดขึ้นเหมือนกับจะอ่านใจของเคนออก “และผมว่าพี่เองก็คงเป็นเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ ไม่งั้นพี่คงไม่หนีมาอยู่ที่ไทยคนเดียวแบบนี้แน่ๆ”

“แล้วถ้าแบบนี้ ยูรู้สึกว่าฝืนมั้ยครับ” เคนดึงตัวของภูวาเข้าไปหอมแก้ม

ภูวาตัวเกร็ง แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด

“ไม่ฝืนครับ แต่… เขินมาก”

“แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ…” เคนโน้มตัวลงมาจุ๊บปากของภูวาเบาๆ

ริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกันแผ่วเบาเป็นเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงกระแสไฟที่วิ่งไปทั่วทั้งร่าง

“ขออนุญาตค่า” เสียงของพยาบาลดังขึ้นพร้อมเสียงเคาะประตู ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองผละออกจากกันทันที “เช็ดตัวตอนเช้านะคะ เดี๋ยวสักพักจะมีอาหารเช้ามาให้ค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมทำความสะอาดตัวเองแล้วเรียบร้อย” เคนกระแอมในลำคอแล้วตอบกลับไป “เอ้อ ผมต้องการเช็กเอาท์ออกวันนี้เลยครับ ช่วยจัดการให้ด้วยนะครับ”

“เอ คุณหมอน่าจะให้อยู่ดูอาการอีก 2-3 วันนะคะ”

“ผมต้องการออกวันนี้แล้วครับ ผมหายดีแล้ว อีกอย่าง…” เคนเหลือบมาทางภูวา “ผมมีคนช่วยดูแลอยู่ที่บ้านด้วย”

คำพูดนั้นทำให้ภูวาที่หน้าแดงอยู่แล้วรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงมากยิ่งขึ้นไปอีก ที่จริงเขาไม่ได้พักอยู่ด้วยกัน แถมในตอนกลางวันเขาก็ต้องไปทำงาน ภูวาจึงรู้ว่าเคนพูดแบบนั้นแค่เพราะอยากจะให้โรงพยาบาลปล่อยตัวเขากลับบ้าน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การที่ได้ยินแบบนั้นก็ยังทำให้เขารู้สึกเขินอยู่ดี

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวให้อาจารย์มาดูก่อนนะคะ ถ้าอาจารย์อนุญาตก็กลับได้ค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ทั้งภูวาและเคนพูดพร้อมกัน

.
.
.

“พี่ภูอยู่กับพี่เคนที่โรงพยาบาลว่ะ แล้วแบตหมดแต่ไม่มีที่ชาร์จ เลยไม่ได้ติดต่อมา” พายุพูดอย่างหัวเสีย “เมื่อคืนกูก็เป็นห่วงแม่งแทบตาย โว้ยยยยย”

“แล้วนี่มึงรู้ได้ไง” ต่อถาม

“พี่ภูเค้าเพิ่งเปิดคอมแล้วไลน์มาหากูเมื่อกี้”

“มึงสองคนสนิทกันดีเนาะ น่าอิจฉาว่ะ”

พายุหันไปมองหน้าเพื่อนของเขา “มึงไม่สนิทกับพี่ตองเหรอ”

ต่อเบะปากแล้วยักไหล่

“แต่พี่เค้าก็ดูเป็นห่วงมึงนะเว้ย”

“ก็อาจจะ แต่กูรู้จักสันดานมันดี คนอย่างมันอะ สุดท้ายก็ห่วงแต่ตัวเองมากกว่าใครนั่นแหละ ทำไมกูจะไม่รู้ มันรอวันที่จะได้เรียนจบ ออกไปอยู่หอกับเมียมันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และกูก็รู้ด้วยว่ามันใช้ความเหี้ยของกูสมัยก่อนเป็นตัวเปรียบเทียบให้มันดูดีในสายตาของพ่อกับแม่เสมอ มันฉวยโอกาสที่กูผลการเรียนไม่ดี เหยียบใช้กูเป็นฐานเพื่อทำให้ตัวเองดูดีขึ้น เพราะงั้นพวกเค้าก็เลยรักและเข้าข้างมันตลอด ไอ้ตองทำเหี้ยอะไรก็ถูกก็ดีไปซะหมดนั่นแหละ”

“ความเหี้ยของมึงสมัยก่อนอะไรวะ ไอ้ต่อ”

ต่อที่นอนเล่นมือถืออยู่บนเตียงชะงักไปและหันหน้าหนีไปทางอื่น

พายุหันเก้าอี้ไปหาต่อ “ความเหี้ยอะไร”

“กูไม่อยากพูดถึงมัน”

“เพราะอะไร เพราะกลัวกูรับไม่ได้เหรอ”

ต่อสะอึก ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

“มึง… เคยทำผู้หญิงท้องเหรอ”

“เฮ้ย! จะบ้าเหรอวะ!”

“หรือมึงเคยเล่นยา”

“เฮ้ย ไม่เคย!”

“ดูดบุหรี่”

ต่อชะงักไปอีกครั้ง เขาพยักหน้าเบาๆ

พายุยอมรับว่ามันทำให้เขารู้สึกใจเสียเล็กน้อย เขาไม่ชอบบุหรี่ ไม่ชอบการทำอะไรที่ผิดกฎหรือไม่สมควรทำ แต่มันก็ไม่ถึงขนาดเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้เสียทีเดียว เพื่อนๆ คนอื่นของเขาบางคนก็เริ่มสูบบุหรี่กันบ้างแล้วเหมือนกัน

“ยังมีอีกใช่มั้ย”

ต่ออึกอัก “กูเคยหนีเรียน เคยเกเร ไปมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่น กูเคยปลอมเกรดตัวเอง ทำให้พ่อแม่เสียใจ เค้าก็เลยไม่ไว้ใจกูอีกและจับกูย้ายโรงเรียนมาที่นี่ไง”

พายุลุกออกจากเก้าอี้คอมแล้วเดินไปนั่งที่เตียง เขายกมือขึ้นข้างหนึ่งแล้วจากนั้นก็เขกหัวของต่ออย่างแรง

“โอ๊ย!!!”

“มึงคิดว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้กูเกลียดมึงเหรอวะ”

ต่อลูบหัวของตัวเองพลางมองหน้าพายุด้วยแววตาเหมือนกับลูกสุนัข พายุไม่แน่ใจ แต่เขาเหมือนจะเห็นน้ำตาคลออยู่ที่เบ้าตาของต่อด้วย

“ตอนนี้มึงยังดูดบุหรี่อยู่รึเปล่า” พายุถาม “ตอบกูมาตามจริงนะ”

“บางทีก็มีบ้างตอนเครียดๆ…”

“แล้วกินเหล้าล่ะ”

“นานๆ ทีเวลาไปเจอเพื่อนที่โรงเรียนเก่าแล้วมันชวน”

“มึงยังหนีเรียน ยังมีเรื่องชกต่อย ยังโกหกพ่อแม่อยู่ไหม”

ต่อส่ายหน้า

“งั้นมึงรับปากกูเดี๋ยวนี้เลยว่าหลังจากนี้มึงจะไม่ดูดบุหรี่อีก มึงจะไม่ไปกินเหล้ากับเพื่อนพวกนั้นหรือใครอีกเด็ดขาด นอกจากจะบอกให้กูรู้ก่อนหรือไปกับกู และมึงจะไม่ทำตัวเหลวไหลนอกสายตากูอีกด้วย กูไม่ชอบ”

“ทำไมมึงต้อง…”

“เพราะกูแคร์มึงไง” พายุพูดขัด “กูแคร์มึงมาก เหตุผลแค่นี้ไม่พอเหรอวะ”

ต่อหน้าแดง ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาย้ายโรงเรียนมาใหม่ๆ เขาอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อพ่อกับแม่ แต่หลังจากได้รู้จักพายุ เขาก็เริ่มคิดว่าอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อให้คนๆ นี้สนใจในตัวเขา มันเคยเป็นแค่ความคิดฉาบฉวย แต่ในตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่า สิ่งนั้นคืออนาคตที่เขาอยากจะเป็นและอยากจะทำจริงๆ เขาอยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นเพื่อพายุไปตลอดชีวิต เขาจะต้องเป็นคนดีเพื่อจะได้คู่ควรกับพายุให้ได้

“แคร์… แค่ในฐานะเพื่อนเหรอวะ” ต่อถามเสียงค่อย

“ในฐานะเพื่อน” พายุตอบ

“สักวัน… มึงจะมีโอกาสรักกูบ้างไหมวะ ไอ้พายุ”

พายุอึกอัก “ถ้าทุกวันนี้กูก็รักมึงมากอยู่แล้ว มันก็คงไม่มีวันที่กูจะรักไปมากกว่านี้ได้แล้วปะวะ”

“แต่ไม่ใช่ความรักแบบ…”

“ไม่ใช่ความรักแบบนั้น” พายุพูด

ต่อหลับตาลง เขารู้สึกมีความสุขที่ได้ยินแบบนั้นนะ รู้สึกมีความสุขมากที่รู้ว่าพายุรักและห่วงใยเขามาก แต่ทำไม… ทำไมเขาถึงรู้สึกเจ็บขนาดนี้วะ

“กูไปเข้าห้องน้ำนะ” ต่อซ่อนสีหน้าของตัวเองแล้วรีบลุกออกจากเตียงทันที

พายุได้แต่มองตามต่อเดินออกจากห้องไป แต่เขาไม่สามารถพูดหรือทำอะไรได้เลย

ต่อเดินเข้าห้องน้ำแล้วนั่งชันเข่าลงบนพื้น เขารู้สึกเจ็บจนอยากจะร้องไห้ แต่น้ำตามันไม่ไหลออกมา ทำไมความรักมันถึงทั้งสวยงามและเจ็บปวดขนาดนี้ เขาจะทนอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ได้อีกนานขนาดไหน เขาควรจะรักและรอพายุ ผู้ชายแท้ๆ ให้เปลี่ยนใจมารักเขาจริงๆ หรือ มันดูเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ เกินไปไหม หรือว่าเขาควรจะยอมรับความเป็นจริงแล้วหยุดรักคนๆ นี้สักที

“ถ้ามึงยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ก็ยังไม่ต้องคิดจะทำอะไรทั้งนั้นแหละ”

คำพูดของพายุลอยเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้ง

“มึงจะอยู่กับกูไปตลอดจริงๆ เหรอวะ พายุ…” ต่อพึมพำเบาๆ “ถ้ามึงเป็นสายลมที่พัดโหมเหมือนชื่อของมึง วันนี้มึงพัดผ่านเข้ามาในชีวิตของกู แต่สักวันมึงก็ต้องพัดผ่านออกไป ไปมีชีวิตของมึง ไปมีแฟนผู้หญิง แล้วกูล่ะ… กูจะอยู่ตรงไหนในชีวิตของมึง ตอนนั้นกูจะรู้สึกยังไงวะ” เขาก้มหน้า “ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย!!”


ออฟไลน์ Nattie69

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
หนูพายุ น่ารักที่สู้ด

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ช่วงเวลาของการเรียนรู้ตนเอง
เข้าใจความรู้สึกของทุกคนครับ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 21


หลังจากใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำครู่หนึ่ง ต่อก็ล้างหน้าล้างตาแล้วจัดการปรับอารมณ์ความคิดของตัวเองเสียใหม่ เขาไม่อยากให้อารมณ์ขุ่นมัวของเขาส่งผลกับพายุไปด้วย และเขาก็อยากจะใช้เวลาที่มีอยู่กับพายุอย่างมีความสุขที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้

“เฮ้ยมึง ไปดูหนังกันมะ” ต่อพูดกับพายุอย่างร่าเริง

พายุดูงงๆ เล็กน้อยกับต่อที่ดูอารมณ์เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน “เออ ก็ได้แหละ แต่ต้องรอพี่ภูกลับมาก่อนนะ”

“งั้นมึงเลือกเลยว่าอยากดูเรื่องอะไร”

“อ้าว มึงอยากดูทำไมไม่เลือกอะ”

“กูดูเรื่องเหี้ยอะไรก็ได้แหละ แค่อยากไปเที่ยวกับมึงเฉยๆ” ต่อเดินมาที่เตียงแล้วเอนตัวนอนลงบนตักของพายุ

“ไอ้เหี้ย ทำอะไรของมึง ลุก!”

“ทำไมวะ มึงไม่เคยนอนตักเพื่อนคนอื่นเลยรึไง”

“ก… ก็เคย แต่…”

“แต่เพราะเป็นกู เพราะกูชอบมึง มึงเลยรังเกียจเหรอวะ”

“ไม่ใช่! กูบอกแล้วไงกูไม่ได้รังเกียจมึงและกูจะไม่มีวันรังเกียจมึง!”

“งั้นทำไมอะ หรือว่า…” ต่อแสยะยิ้ม “มึงเขิน”

พายุหยิบหมอนขึ้นมากดลงบนหน้าของต่อ “เงียบบบบบบ!!”

ทั้งสองคนหยอกล้อกันราวกับเหตุการณ์ที่ต่อเพิ่งเศร้าเสียใจเมื่อวันก่อนไม่ได้เกิดขึ้น จากนั้นโทรศัพท์ของพายุก็ดังขึ้น

“เสียงเรียกเข้านั่นมันพี่ภูนี่หว่า ไอ้ต่อ เขยิบ!” เขารีบเอี้ยวตัวไปคว้าโทรศัพท์มือถือมากดรับสายทันที “ฮัลโหลพี่ภู ชาร์จแบตได้แล้วเหรอ เป็นยังไงมั่งแล้วเนี่ย แล้วพี่เคนล่ะเป็นยังไงบ้าง”

“ใจเย็นๆ ทีละคำถาม” ภูวาหัวเราะเบาๆ “เออ นี่กูมาขอยืมที่ชาร์จแบตพี่พยาบาลที่เคาน์เตอร์ใช้ วันนี้เดี๋ยวพี่เคนน่าจะกลับบ้านได้แล้วนะ ช่วงเที่ยงๆ บ่ายๆ น่าจะถึงบ้าน แกสองคนกินอะไรกันรึยัง ไอ้ต่อเป็นยังไงบ้าง”

“ยังไม่ได้กินอะ ส่วน…” พายุเหลือบมองต่อที่นอนอยู่บนตักเขา “ไอ้เห็บหมานี่ก็สบายดีแหละ ไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก ว่าแต่ถ้างั้นข้าวเที่ยงจะเอาไงอะ ให้พายุโทรสั่งไว้เลยป่าว พี่เคนเค้ากินได้ปกติใช่ปะ”

“เออ สั่งไว้เลยก็ได้ แล้วกินกันไปก่อนเลย ถ้าเงินไม่พอก็หยิบเอาในกล่องใส่เงินในลิ้นชักนะ”

“ได้เล้ยยยย”

“...”

“ฮัลโหลๆ พี่ภู”

“เฮ้ย พายุ… ถ้า…”

พายุเอียงคอ “ถ้าอะไร”

“ไม่มีอะไร เอาไว้ค่อยคุยกันที่บ้านแล้วกัน แค่นี้ก่อนนะ” เมื่อพูดจบ ภูวาก็ตัดสายไปทันที

“อะไรของมันวะ” พายุพึมพำเบาๆ

“ทำไมอะ พี่ภูว่าไงบ้าง”

“เค้าบอกว่าเดี๋ยววันนี้บ่ายพี่เคนก็กลับมาบ้านได้แล้ว”

“เออ จะว่าไปมึงยังไม่ได้เล่าเรื่องที่พี่เคนโดนแทงให้กูฟังเลยอะ ไหนเล่ามาหน่อยซิวะว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง พี่เค้าเป็นอะไรมากมั้ยวะ”


.
.
.

หลังวางสายจากพายุ ภูวาก็ยืนมองโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ไม่มีข้อความบอกว่าบอลติดต่อเข้ามาหาเขาในตอนที่แบตของเขาหมด

บอลตัดสายของเขาทิ้งตอนที่เขาโทรไป และไม่ไปตามนัดโดยที่ไม่ได้โทรบอกก่อนใดๆ ทั้งสิ้น

เขายังจะต้องใส่ใจคนแบบนี้อยู่จริงๆ น่ะหรือ

“แต่สมัยก่อนมันไม่ใช่คนแบบนี้เลยนะ…” ภูวาพูดคนเดียวเบาๆ

“คะ” พยาบาลที่เคาน์เตอร์ถามขึ้น

ภูวาสะดุ้ง “อ๋อ เปล่าครับ โทษทีครับ ผมแค่บ่นอะไรคนเดียวเฉยๆ อ่าา งั้นผมขอชาร์จโทรศัพท์แค่นี้พอก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ” เขาดึงสายออกแล้วจากนั้นก็โค้งแสดงความขอบคุณให้กับพยาบาลแล้วเดินกลับไปยังห้องของเคน

ทันทีที่ภูวาเปิดประตูเข้าไป เขาก็พบว่าเคนกำลังคุยโทรศัพท์มือถืออยู่ เขาพูดภาษาไทยบ้างอังกฤษบ้าง ถึงแม้เขาจะไม่ได้กำลังตะคอก แต่น้ำเสียงและสีหน้าของเขาก็บอกได้ชัดเจนว่าเขากำลังหัวเสีย

ผมบอกว่าผมไม่เป็นไรไง เลิกเซ้าซี้สักที” เขาพ่นลมหายใจออกทางจมูกแรงๆ “เยส… เยส… เดี๋ยววันนี้ก็กลับ... โน ไม่ต้องมา! ก็บอกว่าไม่ต้อง ขอผมพักผ่อนคนเดียวเงียบๆ ไม่ได้รึไง!

เมื่อเคนหันมาเห็นภูวากำลังเดินเข้ามาในห้อง เขาจึงลดเสียงลง

“แค่นี้นะครับ รู้แล้วว่าเป็นห่วง แต่ผมโอเค ถ้าอยากให้มาเมื่อไหร่จะบอกเอง โอเคนะ” เขาวางสาย

“เอ่ออ… พี่โอเคมั้ยครับ ให้ผมออกไปรอข้างนอกก่อนมั้ย”

“ไม่ต้องครับ ขอโทษที”

“คุยกับใครเหรอครับ ทำไมดูหงุดหงิดจัง”

“ผมแค่ไม่ชอบคนเซ้าซี้วุ่นวายกับผมมากน่ะ แต่หมอนั่นมันชอบยุ่งกับชีวิตผมเรื่อย” เคนนิ่วหน้า

ภูวานึกสงสัยว่าเคนหมายถึงใคร ฟังดูเหมือนเขากำลังหมายถึงแฟน แต่ก็ไม่น่าใช่

“ญาติผมน่ะครับ” เคนพูดขึ้นราวกับอ่านใจภูวาออก “เจ้าของห้องที่ผมเช่าอยู่นั่นแหละ”

“อ๋อครับ”

เคนนั่งลงบนโซฟาแล้วพยักหน้าเบาๆ ภูวาจึงเดินไปนั่งลงข้างๆ เขา แต่คราวนี้ความเงียบกลับเข้ามาปกคลุมทั้งสองคนทันที เหตุการณ์เมื่อคืนและสิ่งที่พวกเขาคุยกันเมื่อเช้าดูราวกับเป็นความฝันไป

เคนนั่งประสานมือแล้วขยับนิ้วโป้งไปมา ในขณะที่ภูวาก็นั่งพลิกและหมุนโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือ

“ภูวารู้จัก PTSD มั้ยครับ” เคนเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

ภูวาหันไปมองเคนงงๆ แล้วส่ายหน้า

“แล้ว MDD ล่ะ”

ภูว่าส่ายหน้าอีกครั้ง

เคนก้มหัวลงแล้วใช้มือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหน้าตัวเอง เขานั่งอยู่ท่านั้นครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปหาภูวา เขาเริ่มอธิบายว่า Post-Traumatic Stress Disorder และ Major Depressive Disorder คืออะไร และสาเหตุที่เขาเป็นแบบนั้นเมื่อคืนก็มาจากสองอาการนี้

“ผมรู้จักดีเพรสชันครับ ที่ไทยเราเรียกกันว่าโรคซึมเศร้า เพื่อนผมก็มีคนเป็นอยู่บ้าง” ภูวาบอก

เคนถอนหายใจ “มันไม่ง่ายหรอกนะครับ”

“ผมเข้าใจครับพี่ เป็นอะไรแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก แต่…”

“พี่หมายถึงสำหรับภูวา” เคนพูดขัดขึ้น “ไม่ใช่สำหรับผม

“ห๊ะ” ภูวางง

“มันอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีก็ได้” เคนถอนหายใจ “การใกล้ชิดคลุกคลีกับคนที่เป็นโรคพวกนี้น่ะ มันเหนื่อยนะครับ”

ภูวานิ่วหน้า “แล้วไงอะครับ พี่จะบอกว่าเพราะพี่เป็นแบบนี้ ผมกับพี่เลยจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้เหรอ”

“พี่ไม่อยากให้ เนกาทีฟวิตี้ ของพี่ไปส่งผลต่อคนที่พี่แคร์ นั่นคือเหตุผลนึงที่พี่หนีมาอยู่ตัวคนเดียวที่นี่และพยายามไม่ข้องแวะกับใคร…”

“แล้วมันช่วยให้อาการของพี่หรือสภาพจิตใจของพี่ดีขึ้นเหรอครับ”

เคนไม่ตอบ

“พี่ต้องใช้ยา เรื่องนี้ผมรู้ และที่สำคัญ พี่ต้องใช้เวลาด้วย ผมไม่รู้นะครับว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับพี่บ้าง แต่ผมมั่นใจว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องที่พี่จะลืมมันได้ง่ายๆ พี่ต้องการยาและเวลาในการรักษาบาดแผล และ…”

เคนหันไปมองภูวา รอให้เขาพูดต่อ

ภูวาหน้าแดงและก้มหน้าลงมองพื้นห้อง “ผมอยากเป็นส่วนนึงที่ช่วยรักษาแผลในใจพี่ได้บ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นเคนก็ยิ้มออกมา เขายื่นออกมาไปจับมือของภูวา

“ขอบคุณนะครับ”

ภูวาหันไปมองเคนด้วยสีหน้าแดงก่ำ ทั้งสองคนมองตากันโดยไม่มีใครพูดอะไร แต่ถ้อยคำนับร้อยถูกสื่อผ่านออกไปผ่านทางแววตาของพวกเขา เคนค่อยๆ โน้มตัวเข้าไปหาภูวา ริมฝีปากของพวกเขากำลังจะสัมผัสกัน ภูวารู้ดีว่าหนนี้มันจะไม่ใช่แค่การจุ๊บปากเบาๆ เหมือนก่อนหน้านี้แน่ เขากำลังจะเผยอริมฝีปากขึ้นเพื่อรับริมฝีปากเรียวบางของเคน

แต่แล้วโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น ด้วยความตกใจและความเขินอาย ภูวาจึงรีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นรับสายโดยไม่ทันได้ดูว่าใครที่เป็นคนโทรเข้ามา

“ฮัลโหลครับ”

“เฮ้ย ไอ้ภู ทำไรอยู่วะ”

“ไอ้บอล…”

เมื่อได้ยินชื่อนั้น เคนก็นิ่วหน้าด้วยความไม่พอใจทันที เขาลุกขึ้นยืนและเดินออกจากโซฟาไปเพื่อให้ภูวาได้คุยแบบส่วนตัว

“เมื่อวานมึงไปรอที่ร้านมาป่าววะ”

“เกิดอะไรขึ้นวะ”

“เออ พอดีเมื่อวานมีเรื่องนิดหน่อย กูเลยไม่ค่อยสะดวก แล้วมัวแต่วุ่นๆ กัน เลยไม่ได้โทรกลับหามึงเลย แต่เห็นมึงไม่ได้โทรมาตามก็เลยคิดว่ามึงคงไม่ได้ไปเหมือนกัน”

“เออ ไม่ต้องคิดมากหรอก กูเห็นมึงไม่ได้คอนเฟิร์มมา ก็เลยไม่ได้ไปที่ร้านมาเหมือนกัน” เขารู้สึกเจ็บในหัวใจจนอยากจะยกมือขึ้นบีบที่หน้าอก

“เออดีแล้วๆ”

“แล้วมีปัญหาอะไรมากมั้ยวะ มึงโอเคมั้ย” ภูวาถาม

บอลถอนหายใจ “ก็เรื่องเดิมๆ ว่ะ เรื่องครอบครัว แต่บ้านไหนก็คงมีปัญหากันทั้งนั้นอะนะ” เขาพยายามหัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อน
บอลคือลูกชายคนเดียวของบ้าน เขามีพี่สาวสองคน แม้ว่าความเป็นลูกชายคนเล็กจะทำให้เขาถูกสปอยล์มาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียวนั่นแหละ ที่ทำให้เขาต้องแบกรับความรับผิดชอบหลายๆ อย่างมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน

“มึงรู้ใช่มั้ยว่ามึงคุยกับกูได้ทุกเมื่อ แม้ว่าเราจะไม่ได้คุยกันมานานขนาดไหน แต่กูก็ยังเหมือนเดิมกับมึงตลอดนะ...” ภูวาบอก

“เออ กูรู้ ขอบใจมึงมาก ไอ้ภู แต่ตอนนี้กูกำลังจะกินข้าวเลยว่ะ ไว้กูกินเสร็จแล้วเดี๋ยวกูโทรกลับไปนะ”

“เออๆ ไปเถอะ” ภูวาวางสายแล้วคิดในใจ ‘ไม่อะ มึงไม่โทรกลับมาหรอก ไอ้บอล…

ความรู้สึกว่างเปล่า เงียบสงบ แต่ก็ปั่นป่วนวุ่นวายแบบเดิมกลับมาอีกครั้ง เขาคิดว่าเขารู้จักนิสัยของบอลดีที่สุด อย่างเช่นครั้งนี้เขารู้ดีเลยว่าบอลคงไม่โทรกลับมาอีกหรอก และเขาก็คงจะไม่ได้ยินเสียงหรือไม่ได้รับสายจากบอลไปอีกหลายเดือนหรือหลายปี ใช่ เขาคิดว่าเขารู้จักบอลดีไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยรู้ และมันก็เป็นสิ่งที่คาใจเขามาโดยตลอด นั่นคือเขาไม่เคยรู้เลยว่าบอลคิดอย่างไรกับเขา และทำไมบอลถึงทำเหมือนเขาเป็นของเล่นที่ไม่มีค่าแบบนี้

ความผูกพันคือสิ่งเดียวที่ยังรั้งภูวาเอาไว้ไม่ให้เดินออกมาจากความทรงจำในอดีตได้ นาฬิกาและเวลาของเขาหยุดตายอยู่ช่วงเวลาที่เขาเคยมีกันและกัน และความผูกพันนั้นก็คงเป็นสิ่งที่ทำให้ภูวายังคงฝันถึงบอลอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานขนาดไหนก็ตาม

หลายๆ ครั้ง ในความฝัน เขาเห็นว่าเขาสองคนได้รักกัน ได้แสดงออกถึงความรักและความห่วงใยที่มีให้กันอย่างชัดเจน… แม้ว่าในความเป็นจริงมันไม่จะมีทางเกิดขึ้นได้เลย



ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด