(incest) Lost Love: รักที่สูญหาย (ตอนที่ 22-23 15Jan22)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (incest) Lost Love: รักที่สูญหาย (ตอนที่ 22-23 15Jan22)  (อ่าน 7487 ครั้ง)

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
เคน น้อยใจแย้ววว

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 22


ภูวาพยายามทำให้แน่ใจว่าเขาไม่เดินเร็วเกินไปและคอยใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสหลังของเคนเบาๆ เอาไว้ตลอดเผื่อเขาจะเสียหลัก

“พี่เคน!!” เด็กหนุ่มทั้งสองคนตะโกนขึ้นและรีบวิ่งมาที่ประตูทันทีหลังจากที่ภูวาเปิดประตู

เคนประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่เคยมีน้องชายหรือเพื่อนที่อายุห่างกันเยอะขนาดนี้มาก่อน การถูกเด็กๆ วิ่งออกมาต้อนรับกลับบ้านแบบนี้จึงเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขา

“มาช่วยพี่เอาของไปวางก่อน อย่าเพิ่งวอแวพี่เคนเขามาก” ภูวาบอกเด็กๆ จากนั้นก็หันไปหาเคน “พี่นั่งพักที่นี่ก่อนแล้วกันนะครับ แล้วบ่ายๆ ค่อยกลับไปห้องตัวเอง”

เคนพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟา ต่อและพายุเดินตามไปนั่งลงขนาบข้างๆ เคนแล้วเริ่มยิงคำถามถึงเรื่องคืนวันเกิดเหตุใส่เขาทันที

ภูวายิ้มพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ นี่ขนาดบอกแล้วนะว่าอย่าเพิ่งวอแวกับเคนมาก เขาเดินเข้าห้องนอนของตัวเองและชาร์จโทรศัพท์ไว้ที่หัวเตียง เขานั่งมองโทรศัพท์มือถืออยู่ครู่หนึ่ง นึกในใจว่าจะโทรไปคุยกับบีดีไหม สองวันที่ผ่านมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน บางทีเขาก็รู้สึกว่าเขาไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างได้หมดอย่างที่ตัวเองคิด

“มึงไม่โทรกลับมาหรอก…” ภูวาพูดใส่โทรศัพท์ก่อนจะลุกเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ

หลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาก็เดินออกไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อพบว่าเคนกำลังอยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนโดยมีเด็กๆ ทั้งสองกำลังสำรวจปากแผลของเขาอยู่

“เฮ้ย! ทำอะไรกันเนี่ย!” ภูวาดินตรงเข้าไปที่โซฟาทันที

“น้องๆ เค้าบอกอยากเห็นแผลน่ะครับ” เคนตอบหน้าตาเฉย

“แล้วพี่ก็เปิดแผลให้มันดูเฉยๆ เลยเนี่ยนะ จะบ้าเหรอ! แล้วพวกมึงสองคนอีก อยากรู้อยากเห็นอะไรไม่เข้าท่าเข้าทางเลย!”

“น่าๆ ใจเย็นๆ ครับ เมื่อเช้านี้พี่ก็ไม่ได้ล้างแผลก่อนออกจากโรงพยาบาลมา ตอนพยาบาลบอกจะทำความสะอาดให้แล้วพี่ปฏิเสธไปไง จำได้มั้ย แล้วเมื่อกี้พายุก็บอกว่าเดี๋ยวจะช่วยทำแผลให้ พี่ก็เลยเพิ่งแกะผ้าพันแผลออกเมื่อกี้เอง”

“ไอ้พายุเนี่ยนะจะทำแผล” ภูวาหันไปมองน้องชายของตัวเอง

พายุชูชุดอุปกรณ์ทำแผลในมือขึ้นแล้วยิ้มกว้างโชว์ภูวา

ภูวาเดินไปคว้ามันออกมาจากมือของเขา “ไม่ต้องเลย มึงยังเด็กเกินที่จะมาทำเก่งเรื่องพวกนี้มาก ไปเตรียมอุ่นข้าวเที่ยงให้กูกับพี่เคนแทนซะ ส่วนพี่เคน พี่ลุกตามผมเข้ามาในห้องนอนเลยครับ เดี๋ยวผมทำแผลให้เอง”

เคนหันไปยิ้มให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนที่นั่งหน้ามุ่ย เขายกมือขึ้นลูบหัวพวกเขาเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินตามภูวาเข้าไปในห้องนอน

“พี่นั่งลงที่ขอบเตียงเลยครับ”

เคนทำตามคำสั่งของภูวาอย่างว่าง่าย ภูวานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของเคน จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแผลนี้ของเคนเหมือนกัน มันดู… น่ากลัวกว่าที่เขาคิดมาก ทั้งรอยเย็บ รอยช้ำเลือด สีของบาดแผล เขานึกไม่ออกเลยว่าเคนรู้สึกอย่างไรบ้างตอนเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น

“มันน่ากลัวมั้ยครับ… ตอนหลังจากรู้ตัวว่าถูกแทงน่ะ” ภูวาถามขึ้นขณะใช้ปลายนิ้วแตะลงบนปากแผลอย่างเบามือที่สุด

เคนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “...น่าผิดหวังมากกว่ามั้งครับ”

ภูวานิ่วหน้า “ผิดหวังอะไรครับ”

“เพราะพี่ไม่เคยกลัวความตาย พี่มองหาโอกาสที่มันจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่พอตอนที่มีเรื่องกันอยู่นั้นและมีโอกาสที่พี่ตายได้จริงๆ พี่กลับไม่ได้จงใจปล่อยให้ตัวเองถูกฆ่าซะที่นั้นตอนนั้น ทั้งๆ ที่นั่นคือโอกาสที่ดีที่พี่จะได้ไปอยู่กับโทรุ แต่พี่กลับปกป้องตัวเอง นั่นคือสิ่งแรกที่พี่ผิดหวังในตัวเอง และเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองถูกแทง แต่แผลไม่ถึงแก่ชีวิต พี่ก็รู้สึกผิดหวังอีกเป็นครั้งที่สอง… เหมือนตัวเองทำอะไรโง่ๆ ลงไปเพื่อแค่จะได้เจ็บตัวฟรีแบบนี้”

ภูวาบีบต้นขาของเคน “อย่าทำแบบนี้อีกเด็ดขาดนะครับ” เขาพูดโดยไม่ได้มองหน้าเคน “ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจว่าทำไมพี่ถึงมีความคิดแบบนั้น แต่ความจริงคือผมไม่อยากเข้าใจ มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น และผมก็ไม่อยากให้พี่ทำอะไรอันตรายแบบนั้นอีก...”

เขานึกถึงตอนที่เขาได้รับโทรศัพท์จากวิน นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาเลยที่เขารู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกขนาดนั้น

“พ่อของพวกผมเพิ่งเสียไปเมื่อประมาณสองปีกว่า ตอนนั้นผมหลงมาก มันโหวงไปหมด แม้แต่ในตอนนี้ผมยังอธิบายไม่ถูกเลยว่าตอนที่รู้ว่าพ่อจากไปแล้วผมรู้สึกยังไง” ภูวาพูดพลางเริ่มทำความสะอาดปากแผลของเคน “เราก็เตรียมใจกันไว้บ้างแล้วแหละ แต่พอมันเกิดขึ้น มันก็ยังทั้งช็อก ทั้งเจ็บปวด ทั้งเสียใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกชาไปหมด ไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึก... ผมรู้แต่ว่าผมไม่อยากเห็นแม่กับน้องชายเสียใจร้องไห้ เวลาเห็นพวกเขาเสียใจ ผมก็เสียใจตามไปด้วย ผมใช้เวลาอยู่หลายวันเหมือนกันนะ กว่าที่จะยอมรับความจริงได้ว่าพ่อไม่อยู่กับผมแล้ว และผมจะไม่ได้เจอพ่ออีก…” ภูวาเว้นช่วง เขาถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “ความตายมันไม่ได้ทำให้ใครมีความสุขหรอกครับ คนที่จากไปแล้วจะไม่มีวันได้รับรู้เลยว่าคนที่ยังอยู่ คนที่ยังรักและคิดถึงเขาทุกลมหายใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ บอกออกไปก็ไม่ได้ โทรไปหาไม่ได้ ไลน์ไปหาก็ไม่ได้ ต้องรู้สึกเจ็บปวดขนาดไหน”

เคนเห็นว่ามือของภูวาสั่นเทาเล็กน้อย

“แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้องทำใจและเดินต่อไปอยู่ดี” เคนพูด

“แต่การทำใจนั้นมันไม่ได้ง่ายนะครับ พี่เองก็น่าจะรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะเดินต่อไป” ภูวาตอบ

คำพูดนั้นทำให้เคนถึงกับอึ้ง เขาเคยคิดแค่ว่าถ้าหากเขาตายไปทุกอย่างก็คงงจะจบ ต่อให้พ่อ แม่ และคนอื่นเสียใจ แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็จะทำใจได้และใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป แต่เขาไม่เคยคิดแบบที่ภูวาเพิ่งพูดออกมาเมื่อครู่เลยสักนิด

เขาควรจะเป็นคนที่เข้าใจดีที่สุดว่าการพยายามทำใจและออกเดินต่อไปโดยไม่มีคนที่รักอยู่ข้างกายนั้นมันยากเย็นและทรมานขนาดไหน แต่เขาไม่เคยนึกถึงมันเลย เขาแค่คิดอย่างคนเห็นแก่ตัวว่าเขาอยากตายให้มันจบๆ ส่วนคนที่ยังอยู่ข้างหลังนั้นก็ต้องรับมือกับความเศร้ากันต่อไปด้วยตัวเอง

ที่จริงเขาคิดด้วยซ้ำว่าทุกคนคงจะเศร้ากันแค่ไม่นานและก็ลืมเขาไป เพราะเขาไม่ได้มีคุณค่าและความสำคัญสำหรับใครขนาดนั้น… ความตาย คือสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญไม่หนทางใดก็หนทางหนึ่ง เขาก็แค่เคยคิดว่าความตายของเขาจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้เท่านั้นเอง

ภูวานั่งทำแผลให้เคนเงียบๆ ต่ออีกครู่หนึ่งก็เสร็จ

“อ้ะ เสร็จแล้วครับ” ภูวาลุกขึ้นยืน “ไหนยืนขึ้นซิ ขอผมดูหน่อย”

เคนทำตามที่เขาบอก “ขอบคุณครับ”

“ขยับตัวได้ไม่เจ็บใช่มั้ยครับ”

เคนส่ายหน้า “แบบนี้พี่ไม่ต้องไปให่หมอที่โรงพยาบาลหรือคลินิกทำแผลให้ก็ได้แล้วมั้ง”

“ถ้าผมช่วยอะไรได้ก็ยินดีครับ” ภูวายิ้ม “ไปกินข้าวกันเถอะครับ พี่คงหิวแล้ว”

“เดี๋ยวครับ...” เคนคว้าข้อมือของภูวาเอาไว้ เขาลังเลนิดหน่อยว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูดออกไป “พี่เคยออกรบมาก่อนนะครับ พี่ไม่กลัวความตาย พี่ไม่ได้พูดแบบนั้นเพราะว่าพี่อยากตายหรือเพราะอาการดีเพรสชัน แต่พี่ไม่เคยกลัวความตายจริงๆ ทุกคนล้วนต้องตาย และความเสียใจมันก็มาคู่กัน มันเป็นเรื่องปกติเหมือนพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกนั่นแหละ”

“ผมรู้ครับ...” ภูวาถอนหายใจ “แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าคนที่รักและห่วงใยพี่ จะอยากพบกับความเศร้าเสียใจก่อนเวลาอันสมควร ถูกมั้ยครับ และพวกเค้าก็ไม่มีใครอยากได้ยินพี่พูดเหมือนว่าพี่พร้อมจะตาย พร้อมจะทิ้งพวกเขาไปได้ทุกเมื่อเช่นกัน” เขาอยากจะยกตัวอย่างเรื่องของโทรุกับเคนขึ้นมาแต่ก็ห้ามตัวเองเอาไว้

เคนปล่อยมือออก เขาคิดว่าเขาเข้าใจ แต่อีกส่วนหนึ่งในใจของเขาก็ยังไม่อยากยอมรับสิ่งที่ภูวาพูด “อดทนไปกับพี่หน่อยนะครับ ขอเวลาพี่หน่อย…”

ภูวายิ้มและพยักหน้า “ผมบอกแล้วไงว่าผมหัวดื้อ ถ้าผมตัดสินใจอะไรแล้ว ผมไม่เปลี่ยนใจง่ายๆ หรอก และผมตัดสินใจไปแล้วว่าจะเป็นกำลังใจให้พี่มีชีวิตต่ออย่างมีความสุขมากขึ้นสักนิดก็ยังดีไง จำได้มั้ย”

เคนอยากจะดึงตัวของภูวาเข้ามากอด แต่ก็พยายามห้ามใจเอาไว้

“ไปกินข้าวกันครับ” ภูวาบอก “เด็กๆ มันน่าจะอุ่นอาหารไว้ให้เราเสร็จแล้ว”

เคนเคยถูกยิงและเคยถูกแทงมาก่อน เขาเคยผ่านเหตุการณ์อันตราย การต่อสู้ บาดแผลต่างๆ มามากมาย แต่พอมาคิดดูดีๆ แล้ว สาเหตุที่ทำให้เขาเจอเรื่องแบบนั้นทั้งหมดก็ล้วนมาจากการที่เขาอยากจะหนีจากบางอย่างไปทั้งนั้น เขาตัดสินใจสมัครเข้ากองทัพ ก็เพราะหนีจากโทรุ เขามาอยู่ที่ไทย ก็เพื่อหนีจากทุกคนและชีวิตของตัวเอง เขาไปเจอเข้ากับนักเลงข้างถนนกลุ่มนั้น ก็เพราะต้องการหนีออกจากบรรยากาศหนักอึ้งในห้องและความอัดอั้นในใจ

เขารู้จักแต่การวิ่งหนีมาทั้งชีวิต

แต่ในตอนนี้ เขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่มีอนาคต และไม่มีอดีตให้หลบหนี มีแต่ความเจ็บปวดที่เขาไม่อยากรับมือกับมัน… เขาไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับใคร และก็คงจะไม่ได้พูดมันออกมาบ่อยๆ แต่เขารู้สึกอยู่เสมอว่าเขาไม่ใช่คนสมประกอบ เขาพังไปหมดแล้ว พังมากด้วย และเขาก็ไม่แน่ใจเลยว่าเขาจะกลับมาเป็นคนปกติเหมือนคนอื่นได้อีกหรือไม่

แต่ในตอนนี้เขาก็เริ่มอยากจะลองพยายามดูสักครั้ง

“พี่ภู ไอ้ต่อชวนพายุออกไปดูหนังนะ” พายุพูดขึ้นในขณะที่พวกเขากำลังนั่งกินข้าว “ไปได้ปะ”

“ก็ไปสิ จะไปดูอะไรกันล่ะ”

พายุหันไปหาต่อ

“ยังไม่รู้เลยครับ” ต่อตอบ “แต่ผมอยากดูหนังผีอะ ไม่รู้ช่วงนี้มีอะไรดูบ้าง”

“หึ โชคดีแล้วกันนะ” ภูวากลั้นหัวเราะ

“ทำไมอะ” ต่อทำหน้างง และเมื่อหันไปหาพายุก็เห็นว่าเขากำลังหน้าแดงอยู่

“ไอ้พายุมันกลัวผีจะตายห่า จะให้มันดูหนังสยองขวัญเหรอ ฝันไปเหอะ” ภูวาหัวเราะเบาๆ

“ห๊ะ มึงกลัวผีด้วยเหรอ” ต่อยิ้มกว้าง

“เออ! มีปัญหาเหรอ! แต่กูแค่ไม่ชอบหนังที่มันตุ้งแช่เฉยๆ ต่างหาก ไม่ได้กลัวผีอะไรหรอก...”

“เหรอวะ แล้วคนไม่กลัวผีทำไมแต่ก่อนถึงไม่กล้านอนคนเดียว” ภูวายิ้ม

“โอ๊ยยยยย น่าร้ากกกกกกกก” ต่อโถมตัวเข้าไปกอดพายุ

“ไอ้เหี้ย! ปล่อยกู!!” พายุพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนของต่อ

“ภูวา ‘ตุ๊งแฉ่’ คืออะไรครับ” เคนหันไปถามภูวาเบาๆ

ภูวาหลุดหัวเราะเพราะสำเนียงของเคนออกมาจนแทบสำลักข้าว “ฮ่าๆๆๆ!!” ‘โอ๊ยยย ไอ้คนนี้ก็น่ารักจังวะ’ เขาคิดในใจ “คนไทยเรียกหนังผีตุ้งแช่ คือหนังผีแบบที่เน้นทำให้คนตกใจน่ะครับ แบบหนังฮอลลีวูดชอบทำน่ะ ที่จู่ๆ ผีก็โผล่มาทำให้สะดุ้งอะ”
“อ๋อ จั๊มพ์ สแกร์ดฺ ใช่มั้ยครับ”

“ใช่ๆๆ”

“ว่าแต่พี่เคนกลัวผีป่าว” พายุถาม

เคนแสร้งทำท่านึก “อืมมม… ถ้าผีไทยก็ไม่น่าจะกลัวนะครับ เพราะคงแกล้งคุยไม่รู้เรื่องได้”

เด็กๆ หัวเราะกับคำตอบของเคน แล้วจากนั้นก็เริ่มคุยกันว่าจะดูหนังเรื่องอะไรดี ดูเหมือนว่าจะมีหนังสยองขวัญกำลังฉายอยู่สองเรื่องพอดี ต่อเลยพยายามชวนและโน้มน้าวพายุเต็มที่

เขาชอบน้องชายของคุณใช่มั้ย” เคนกระซิบถามภูวาเป็นภาษาอังกฤษ แม้ว่าเขาจะดูออกอยู่แล้วก็ตาม

ภูวาพยักหน้า

เคนยิ้มก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

“แต่ไอ้พายุมันยังไม่…” ภูวาพยักเพยิดไปทางต่อ

เคนพยักหน้าเข้าใจ

ผู้ใหญ่ทั้งสองเห็นต่อหันไปกระซิบบางอย่างใส่หูของพายุ จากนั้นพายุก็หน้าแดงแล้วใช้ขาถีบต่อหลายที

“นี่ ขอโทษที่รบกวนนะ เด็ก” ภูวาพูดขึ้นพลางเดินตรงไปหาต่อกับพายุ “พี่ไม่อยากเล่นบทตัวร้ายนะ แต่ในฐานะผู้ใหญ่และผู้ปกครอง พี่คิดว่าพี่ต้องพูดเรื่องนี้”

เด็กทั้งสองนั่งขัดสมาธิบนพื้นห้องรอฟังภูวา

“ต่อ… พี่ดีใจนะที่มีต่อมาอยู่กับพี่ มาช่วยพี่ดูแลพายุอีกแรง แต่พี่ว่าถึงเวลาแล้วนะที่เราจะต้องกลับบ้านไปเคลียร์ว่าจะเอายังไงต่อ”

ต่อชักสีหน้าทันที เขาไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่งเขาแบบนี้

“กลับไปคุยกับที่บ้านซะ ไปฟังพ่อกับแม่สักหน่อย แล้วถ้ายังรู้สึกไม่อยากอยู่ที่นั่น จะขนเสื้อผ้ามาอยู่ที่นี่กับพายุอีกสักพักใหญ่ๆ เลยก็ได้ พี่ไม่ว่าอะไร พี่ยินดี”

พายุทำท่าจะแย้ง แต่โดนภูวาหันไปมองด้วยสีหน้าดุเป็นเชิงปราม เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรต่อ

“ไม่ต้องวันนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ค่อยไป และถ้าจะให้พี่ไปเป็นเพื่อนด้วยก็บอก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่ก็เป็นพี่ชายเราอีกคน พร้อมจะช่วยเหลือเราอยู่เสมอ เข้าใจนะ” ภูวาวางมือลงบนหัวของต่อ

ต่อเริ่มรู้สึกใจอ่อนลงเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่เขารู้สึกกับภูวาเหมือนภูวาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขามากกว่าตองเสียอีก

“ครับ…” เขาตอบ

“ดีมาก วันนี้ไปเดทกับไอ้พายุให้สบายใจก่อน แล้วมีอะไรเราค่อยคุยกัน ดีมะ”

พายุหน้าแดง “ไม่ใช่เดทททททททท!!”

ภูวาหัวเราะ “ไม่ใช่สำหรับแก แต่พี่ว่าสำหรับต่อ มันใช่นะ”

ต่อยิ้มเขินๆ เขาคงไม่จำเป็นต้องปิดบังหรือสารภาพอะไรกับภูวาแล้วสินะ

“โอ๊ยยย ทำไมพี่ภูอยากให้น้องชายตัวเองเป็นเกย์เหรอ”

ภูวาสะอึกไปเล็กน้อย เขามองหน้าพายุด้วยแววตาจริงจัง “ไม่ได้อยากให้เป็น แต่มันไม่สำคัญไม่ใช่เหรอวะ ความรักก็คือความรัก จะเพศไหนมันก็ไม่เกี่ยว ต่อให้แกชอบมันจริงๆ พี่ก็ยังรักแกเหมือนเดิม หรือต่อให้แกไม่ได้คิดอะไรกับไอ้ต่อ แกสองคนก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นี่ ความรักแบบเพื่อนมันไม่ใช่เรื่องผิดสักหน่อย หรือแกจะบอกว่าที่จริงแล้วแกเกลียดมัน”

พายุหน้าแดงก่ำ เขาก้มหน้า “ก็… ก็ไม่ได้เกลียด…”

“เป็นเพื่อนกันไปแบบนี้นั่นแหละดีแล้ว ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เริ่มต้นช้าๆ สำรวจความรู้สึกตัวเองกันดีๆ พี่รักน้องทั้งสองคนเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่พี่มีกฎแค่สองข้อเท่านั้นที่ทั้งคู่ต้องทำตาม ไม่มีการปฏิเสธ ไม่มีการต่อรอง และไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น”

ทั้งพายุและต่อเงยหน้าขึ้นมองหน้าภูวาด้วยแววตาสงสัย

“ข้อหนึ่ง เวลามีอะไร ให้เปิดอกคุยกันเสมอ อย่าโกหก อย่าปิดบังความรู้สึกตัวเองที่มีต่อกัน ถ้าไม่กล้าบอกกันและกัน ก็ให้มาปรึกษาพี่หรือพี่เคน และข้อสอง... คือห้ามมีอะไรกันก่อนเวลาสมควรเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”

“พี่ภู!!!” พายุตะโกนขึ้น “จะบ้าเหรอ!!! โอ๊ยยยยยย!! พี่เคนก็นั่งอยู่ตรงนี้!!!”

ขอโทษครับ ผมไม่เข้าใจภาษาไทย” เคนพูดขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ “โพ้ม พู้ด ทาย ม่าย ด๊าย”

ต่อและภูวาหัวเราะออกมาทันที ส่วนพายุยังคงหน้าแดงก่ำ

“คำว่าเวลาที่สมควรของพี่ หมายถึงจนกว่าทั้งคู่จะแน่ใจจริงๆ ว่ามันถึงเวลา จนกว่าจะแน่ใจความรู้สึกของตัวเองจริงๆ ไม่ใช่เรื่องของอายุ เข้าใจมั้ย” ภูวาพูดต่อ

พายุลุกขึ้นและรีบเดินไปทางห้องของตัวเอง “จะไปอาบน้ำแล้ว! ไอ้ต่อ มึงเก็บล้างให้พี่ๆ เค้าด้วย!”

หลังจากพายุปิดประตูห้องลง ภูวาก็ชะโงกหน้าเขาไปกระซิบบางอย่างที่หูของต่อ ต่อตาโตและหันไปมองหน้าภูวาแบบไม่อยากเชื่อ ภูวายิ้มและพยักหน้าก่อนจะพูดอะไรอีกนิดหน่อย เด็กหนุ่มหน้าแดงและหลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินตามพายุเข้าไปในห้องนอนเช่นกัน

รันอะเวย์ บอย?” เคนถามขึ้นหลังจากที่ภูวาเดินกลับมาที่โต๊ะกินข้าว

“ต่อน่ะเหรอ ก็ประมาณนั้นครับ” ภูวาหัวเราะเบาๆ

“พี่จับใจความได้ว่าทะเลาะกับที่บ้านเหรอครับ”

“ใช่ครับ”

“แล้วเมื่อกี้ยูกระซิบบอกอะไรน้องไปเหรอ”

“ความลับ”

เคนมองหน้าภูวาพลางเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

ทั้งสองคนนั่งเงียบๆ กันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เคนจะพูดขึ้นอีก

“เมื่อกี้ยู… เมื่อกี้ภูวาเอ่ยชื่อพี่ขึ้นมาด้วย”

“ห๊ะ ยังไงนะครับ”

“ตอนที่บอกน้องๆ ว่ามีอะไรให้ปรึกษายูหรือพี่เคนก็ได้”

“อ้อ เออ ผมพูดไปไม่ทันได้คิด ขอโทษนะครับ เดี๋ยวเอาไว้ผมไปบอกเด็กๆ มันอีกทีว่าไม่ต้องไปกวนพี่จะดีกว่า”

“ไม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น พี่แค่จะบอกว่า… ขอบคุณนะครับ ที่เห็นพี่เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของครอบครัว”

“ไม่ใช่ ‘เหมือน’ ครับ พี่ ‘คือ’ สมาชิกครอบครัวของเรา” ภูวาบอก “และอีกอย่างก็นะ… จู่ๆ ผมก็มีน้องชายเพิ่มมาอีกคน ถ้าได้พี่ใหญ่อีกคนมาช่วยดูแล มันก็ดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”

เคนยิ้ม “แล้วเรื่องที่บ้านของต่อนี่เกิดอะไรขึ้นครับ”

“อ้อ พี่ยังไม่รู้นี่เนอะ…” ภูวาเล่าเรื่องของต่อให้เคนฟังคร่าวๆ

“ยูรู้จักวงที่ชื่อ R.E.M. มั้ยครับ” เคนถามหลังจากที่ภูวาเล่าจบ

“ก็เคยได้ยินนะครับ แต่ไม่ได้ตาม ทำไมเหรอ”

“มีเพลงนึง ชื่อ Everybody hurts ช่วงนี้พี่รู้สึกว่าตัวเองนึกถึงเพลงนี้ขึ้นมาบ่อยๆ เนื้อหาของเพลงเกี่ยวกับการบอกให้เราต้องสู้ อย่าท้อแท้ เพราะทุกคนล้วนต้องเจ็บปวดเสียใจกันทั้งสิ้น แต่เมื่อไหร่ที่รู้สึกเสียใจ ให้หันเข้าหาเพื่อนและ… เค้าเรียกว่ายังไงนะ ไปพึ่งพาเพื่อน ให้เพื่อนช่วยปลอบโยน เพราะทุกคนต่างก็เจ็บปวดกันทั้งนั้น เราจึงเข้าใจกันและกัน ประมาณนี้มั้งครับ”
ภูวาพยักหน้า

“พี่แค่รู้สึกว่าเพลงนี้มันเหมาะกับเราทุกคนดีนะ ไม่ใช่แค่เราที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ แต่มันเป็นเพลงที่ทุกคนควรฟังจริงๆ”


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 23


ต่อกับพายุตัดสินใจเลือกดูหนังสยองขวัญที่ต่ออ่านรีวิวมาแล้วว่าสนุก จริงๆ จะบอกว่าต่อกับพายุตัดสินใจก็ไม่ถูก เพราะคนตัดสินใจเลือกหนังเรื่องนี้จริงๆ คือต่อคนเดียว นอกจากไม่มีหนังเรื่องอื่นที่น่าสนใจแล้ว พายุก็อยากเอาใจต่อเพื่อให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นด้วย เขาเลยจำเป็นต้องเลยตามเลยยอมดูหนังผีที่ต่ออยากดู แม้ว่าเขาจะไม่อยากเลยก็ตาม

“อย่าทำหน้าแบบนั้นน่าาาา กูบอกแล้วไง ถ้ามึงมาดูกับกู กูยอมให้มึงสั่งให้กูทำอะไรก็ได้หนึ่งอย่างเลยอะ” ต่อพูดในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะเข้าโรง

“อย่าลืมคำพูดตัวเองก็แล้วกัน”

“ห้ามสั่งอะไรทะลึ่งๆ ก็พอ พี่มึงสั่งห้ามแล้วนะ”

“ไอ้ควาย!!” พายุชกลงบนไหล่ของต่อ

หลังจากที่เข้าโรงและหนังเริ่มฉาย พายุพยายามบอกตัวเองให้ไม่กลัว เขาพยายามหายใจลึกๆ แต่บางทีก็กลั้นหายใจบ้าง บางทีก็หลับตาบ้าง ปิดหูบ้าง แต่หลายๆ ทีสุดท้ายเขาก็ต้องเผลอสะดุ้งหรือส่งเสียงร้องอุทานออกมาเบาๆ ด้วยความตกใจอยู่ดี ต่อเหลือบมองเพื่อนของเขาอยู่ตลอดด้วยความเอ็นดู ใจหนึ่งเขาก็รู้สึกผิด แต่อีกใจก็รู้สึกสนุกมากกว่าที่เห็นพายุแบบนี้

“ตัวสั่นขนาดนี้ กลัวหรือหนาววะ” ต่อหันไปกระซิบถามพายุหลังจากหนังผ่านไปได้ราวครึ่งเรื่อง

“หนาว ไอ้สัตว์ มึงไม่หนาวเหรอ”

“ก็หนาวนิดหน่อยเหมือนกัน”

ต่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถ้าถูกปฏิเสธ เขาคงจะรู้สึกผิดหวังน่าดู แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ วะ

เขายื่นมือออกไป “จับมือกูมั้ย”

พายุหันไปมองหน้าต่อสลับกับมือที่ต่อวางอยู่บนพนักพิงแขน “...ไม่เอาอะ”

ต่อหน้าเสีย เขาชักมือกลับไปกอดอกไว้เหมือนเดิม พยายามบอกตัวเองไม่ให้คิดมาก ถ้าเขาหวังอะไรมากไปเองคนเดียว มันก็สมควรแล้วที่จะต้องผิดหวัง

บ้าบอ ไอ้ควายเอ๊ย‘ เขานึกด่าตัวเอง

อีกราวๆ ห้านาทีถัดมา พายุก็สะกิดแขนของต่อ ต่อหันไปมองและเห็นว่าพายุกำลังแบมือวางอยู่บนพนักพิงแขน

ต่อยิ้มกว้างด้วยหัวใจพองโต เขาประสานมือกับพายุและบีบมือแน่นด้วยความดีใจทันที พายุดึงแขนของต่อเข้าหาตัวเพื่อให้ต่อโน้มตัวเข้ามาหาเขา

“แค่เพราะกูหนาวและเห็นมึงหนาวเหมือนกันหรอกนะ” เขากระซิบที่หูของต่อ

ต่อถือโอกาสซบลงบนไหล่ของพายุ แต่ถูกพายุสะบัดตัวออก

ในขณะที่เด็กหนุ่มทั้งสองกำลังดูหนังอยู่นั้น ภูวาที่ออกมากับพวกเขาด้วยก็กำลังเดินเล่นรออยู่ในห้าง

ก่อนหน้านี้ หลังจากที่กินข้าวเที่ยงเสร็จ เขาก็เดินไปส่งเคนที่ห้อง จากนั้นก็พาเด็กๆ ออกมาที่สยามพารากอน เขาแวะซื้อเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ไปเดินเล่นรออยู่ที่ร้านหนังสือคิโนะคุนิยะอันเป็นสถานที่โปรดของเขา ที่จริงภูวาชอบอ่านหนังสือมาก แต่หลังจากที่พ่อของเขาเสีย เขาก็ทุ่มเทเวลาของตัวเองหมดไปกับการดูแลพายุ การทำงาน และการออกกำลังกายที่ยิม ทำให้เขาไม่ค่อยมีเวลาว่างเหมือนอย่างเคย และแม้ว่าเข้าจะออกกำลังกายเป็นประจำ แต่สุขภาพของเขาก็ไม่ค่อยดีเหมือนแต่ก่อน เขาเพิ่งมารู้สึกตัวช่วงหลังนี้เองว่าการที่เขาพยายามทำตัวให้ยุ่งตลอดเวลา เป็นเพราะเขาจิตใต้สำนึกของเขามันไม่อยากให้เขาอยู่เฉยๆ การได้ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน การพยายามทำตัวเองให้ยุ่งกับหลายๆ สิ่ง การทุ่มเทความรักและเวลาที่เหลืออยู่แต่ละวันให้กับพายุ มันคงเป็นกลไกที่ทำให้เขาไม่ต้องมีเวลาว่างมาคิดถึงตัวเองจนทำให้ต้องฟุ้งซ่านหรือเป็นบ้าไป

แต่นั่นมันดีกับทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเขาจริงๆ แล้วน่ะหรือ

เขาเดินไปหยุดอยู่ที่มุมหนังสือจิตวิทยาแล้วเลือกหาหนังสือที่เขาอยากเริ่มลองอ่านดู


.
.
.


ในขณะที่เคนกำลังนอนพักอยู่บนเตียงของตัวเองนั้น เสียงเคาะประตูห้องของเขาก็ดังขึ้น ตอนแรกเขาก็คิดว่าเป็นภูวา แต่ก็ไม่น่าใช่ เพราะเขาบอกเคนเองว่าจะออกไปพารากอนพร้อมกับเด็กๆ

เคนลุกออกไปเปิดประตู เขาพบชลกับผู้ชายอีกคนที่หน้าตาคล้ายชลมากยืนอยู่หน้าประตู

“ชล ชาย” เคนทักทาย

“เป็นไงมั่งเคน ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้เจอกันเลยนะ เห็นชลมันบอกว่ายูไปเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นอีก เลยมาเยี่ยมน่ะ” ชาย น้องของชลทักทายเคนอย่างเป็นมิตร

“เข้ามาก่อนสิ” เคนเปิดทางให้ทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้องแล้วจากนั้นเขาก็ปิดประตูลง

เคนจำไม่ได้ว่าชายอายุน้อยกว่าชลกี่ปี แต่เขาจำได้ว่าเมื่อสมัยยังเด็ก ชาย ชล เขา และโทรุ ค่อนข้างสนิทกัน เวลาที่เจอกันพวกเขาสี่คนจะวิ่งเล่นหรือทำกิจกรรมด้วยกันตลอด แม้ว่าชลจะยังโสด แต่ชายแต่งงานไปแล้วและตอนนี้ก็มีลูกสาวแล้วสองคน

พวกเขาสามคนนั่งคุยกันเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและความหลังสมัยพวกเขายังเด็กกันอยู่ครู่ใหญ่ แต่เคนก็ยังคงรู้สึกตึงเครียดอยู่พอสมควร เขาอาจจะอคติกับชลไปเอง เขารู้ว่าเขาไม่ได้เกลียดชล และเขายิ่งไม่มีปัญหากับชายเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถผ่อนคลายตัวเองลงได้เหมือนเวลาเขาอยู่กับภูวาและเด็กๆ สองคนนั้น

“เอาไว้ไปเที่ยวที่บ้านผมมั่งมั้ย ไปนั่งกินข้าวเย็นกัน เจอหลานๆ บ้าง” ชายเสนอ

“รอไว้หายก่อนแล้วจะคิดดูแล้วกันครับ” เคนตอบ

ชายวางมือลงบนตักของเคน “ผมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณบ้างในช่วงหลายปีที่เราไม่ได้เจอไม่ได้คุยกัน แต่อย่าลืมว่ายังไงเราก็เป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนกันนะ เคน คุณไม่ได้ตัวคนเดียวนะ”

เคนมองมือของเขาแล้วเงยหน้ากลับขึ้นมามองหน้าของชายและชล เขาพยักหน้าตอบกลับเบาๆ

หลังจากที่ทั้งสองคนบอกลาเคนและเดินออกจากคอนโดตรงไปยังรถของชล ชายก็ถอนหายใจแล้วหันไปพูดกับพี่ชายของตัวเอง

“เป็นอย่างที่มึงบอกจริงๆ ด้วยว่ะ มันเปลี่ยนไปมาก ดูปิดตายตัวเองไปเลย”

“ใช่ กูก็อยากช่วยมันนะ แต่ถ้ามันไม่เปิดใจให้ใครเข้าไปช่วยเหลือ ใครหน้าไหนก็คงก็ทำอะไรไม่ได้ว่ะ”

“ก็จริง แต่ที่จริงเราก็โตๆ กันแล้วอะนะ บางทีให้เวลามันหน่อย มันอาจจะดีขึ้นก็ได้ หรือใครจะไปรู้ อีกไม่นานมันอาจจะบินกลับไปบ้านที่อเมริกาเหมือนเดิมก็ได้” ชายเปิดประตูรถแล้วนั่งลงที่นั่งข้างคนขับ

ชลไม่ตอบ เขาสตาร์ทเครื่องและมองตรงไปข้างหน้า จมอยู่ในความคิดตัวเอง

“อย่าบอกนะ… ไอ้ชล” ชายพูดขึ้น “ว่ามึงยังมีใจให้มันอยู่น่ะ”

ชลเงียบไปครู่หนึ่ง “กูก็ไม่รู้ว่ะ”

“อะไรของมึงว้าาา ไอ้ชล กูเห็นที่ผ่านมา มึงก็เล่นกับคนนั้นคนนี้ไปทั่ว จะกับผู้ชายหรือผู้หญิงก็เหอะ แต่ทำไมมึงถึงได้ยึดติดกับไอ้เคนมันนักวะ หรือว่ามึงเผลอไปรักมันเข้าแล้วจริงๆ”

“ช่างกูเหอะน่ะ กูแค่อยากให้มันมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มันแปลกนักหรือไงวะ”

ชายยักไหล่แล้วไม่เซ้าซี้อะไรต่อ

ชลเหยียบคันเร่งแล้วขับรถออกจากคอนโด คำพูดของชายฝังอยู่ในหัวของเขา แต่เขาเองก็ไม่สามารถหาคำตอบได้จริงๆ
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความรักอย่างนั้นเหรอ


.
.
.


“ภู” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งเรียกชื่อของภูวา

ภูวาหันกลับไปมองยังด้านหลังของตัวเอง

“ใช่ภูจริงๆ ด้วย เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอกันนานเลย”

“หนามเตย” ภูวาทักทายอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม

“ทำไรอยู่อะ มาคนเดียวเหรอ”

“มากับน้องชายน่ะ เจ้าพายุ จำได้ใช่มั้ย แต่ตอนนี้มันกับเพื่อนไปดูหนังกันอยู่ ภูเลยมาเดินเล่นรอ”

“จำได้สิ ยังเป็นพี่ชายที่แสนดีไม่เปลี่ยนเลยนะ” หนามเตยหยิกต้นแขนของภูวาเบาๆ “โห นี่ล่ำขึ้นอีกรึเปล่าเนี่ย เราไม่ได้เจอกันมาแค่ปีกว่าเองไม่ใช่เหรอ”

“ไม่รู้สิ อ้วนขึ้นมากกว่ามั้ง” ภูวาหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่มาคนเดียวเหรอ นึกว่ามากับ…”

“อ้าว ไอ้ภู” เสียงของผู้ชายอีกคนดังขึ้นข้างหลังหนามเตย

“ไอ้อู๋” รอยยิ้มของภูวาจางหายไปทันที เขาไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากรอยยิ้มปลอมๆ อีกต่อไป ในเมื่ออีกฝ่ายเองก็แสดงสีหน้าออกมาชัดเจนขนาดนี้เช่นกัน

“เตย เราไปรอนอกร้านนะ รีบๆ ออกมาล่ะ” อู๋พูดก่อนจะเดินจากไปทันที

“เดี๋ยวสิ อู๋” หนามเตยพยายามจะห้ามแฟนของตัวเอง แต่ก็ไม่สำเร็จ เธอจึงหันหลับมาหาภูวา “งั้นเตยไปก่อนนะ ไว้วันหลังเรานัดไปกินข้าวกันเนอะ”

“หึ จะดีเหรอ” ภูวาอดที่ยิ้มมุมปากประชดไม่ได้

“ก็นัดกันไปหลายๆ คนไง หรือถ้าอู๋มันเรื่องมากนักก็อย่าให้มันรู้ไปเลย จบ” หนายเตยยิ้ม “ไว้ไลน์มานะ ภู บายยย”

ภูวายกมือขึ้นโบกมือลาแฟนเก่าของเขา แต่เขารู้ตัวดีว่าเขาคงไม่มีวันไลน์ไปหาเธอหรือนัดเธอไปกินข้าวอย่างที่คุยกันแน่ๆ และเขาก็ค่อนข้างแน่ใจว่าหนามเตยเองก็คงคิดเหมือนกัน

มันเป็นเรื่องปกติของคนเราเหรอ ที่จะพูดอะไรออกมาก็ได้แต่ไม่ทำอย่างที่รับปากไว้

ภูวาส่ายหัวให้กับตัวเองเบาๆ จากนั้นเขาก็เดินไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ หลังจากนั้นก็ไปเดินเล่นต่อคนเดียว เขานึกสงสัยว่าเคนจะทำอย่างไรกับข้าวเย็น ตอนแรกเขาก็ว่าจะชวนเด็กทั้งสองคนกินข้าวเย็นก่อนกลับบ้านเลยทีเดียว แต่เมื่อนึกถึงเคนขึ้นมา เขาจึงตัดสินใจลองไลน์ไปถามเคนดู เพราะบางทีเคนอาจจะอยากให้เขาซื้ออะไรกลับไปฝากหรืออยากกินข้าวพร้อมพวกเขาก็ได้
หลังจากที่เคนตอบกลับมาว่าเขาตั้งใจจะสั่งอาหารให้มาส่ง ภูวาเลยตัดสินใจบอกเขาไปว่าเขาจะซื้อข้าวเย็นกลับไปให้เอง
ภูวาดูเวลาแล้วก็เห็นว่าอีกไม่นานต่อกับพายุน่าจะดูหนังจบ เขาเลยไปนั่งที่ร้านกาแฟรอเด็กๆ และย้อนไปนึกถึงเรื่องของเขากับหนามเตย

ที่จริงมันก็คงเป็นความผิดของเขาเองนั่นแหละ…

ภูวารู้จักหนามเตยตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่ทั้งคู่เพิ่งได้มาคบกันเป็นแฟนตอนพวกเขาอยู่ปีสาม อู๋เองก็เป็นเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งของพวกเขา หนามเตยเป็นแฟนคนแรกและคนเดียวของภูวา เขาเคยคิดว่าหนามเตยจะเป็นคนที่เหมาะสมกับเขาที่สุด และเขาน่าจะมีอนาคตกับเธอได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว เขาคงอ่อนต่อโลกเกินไปมาก หลังจากคบกันมาหลายปี ท่าทีของหนามเตยก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พ่อของภูวาเสียไม่นาน เขาก็จับได้ว่าหนามเตยกำลังคบซ้อนอยู่กับอู๋ เหตุผลที่เขาได้รับในตอนนั้นคือเขา “น่าเบื่อ” เกินไป ชีวิตของเขามีแต่งานกับน้องชาย เขาไม่มีเวลามากพอให้หนามเตย ไม่ตื่นเต้นมากพอ ตอนนั้นเขาก็ไม่รู้หรอกว่าความหมายของคำว่า “ตื่นเต้น” นั้นหมายถึงเรื่องเซ็กส์ด้วย เขาคิดว่าเขาเองก็ทำดีที่สุดแล้วในทุกๆ อย่าง แต่สุดท้ายจึงได้มารู้ทีหลังว่าหนามเตยไม่ได้มีความสุขเวลาอยู่กับเขามาหลายปีแล้ว การที่เขาสองคนอยู่ด้วยกันมันคือความเคยชินและชินชา ไม่ใช่ความรักอีกต่อไป

หลังจากเหตุการณ์นั้น ภูวาถึงกับนึกสงสัยว่าแท้จริงแล้ว คำว่า “ความรัก” มันควรจะเป็นอย่างไรกันแน่

เขานึกย้อนไปถึงบอล… ใช่ เขาคิดว่าเขารักบอล รักมากด้วย แต่ความรักที่เขามีให้บอลกับหนามเตยมันแตกต่างกัน ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่ามันแตกต่างกันอย่างไร สำหรับบอล เขาไม่เคยต้องการจะครอบครอง เพราะเขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ให้ตายเถอะ ลึกๆ แล้วเขาว่าเขาก็รู้ด้วยซ้ำว่าต่อให้พวกเขาได้เป็นแฟนกัน มันก็คงไปกันไม่รอด แต่กับหนามเตย ภูวารู้สึกว่ารักและอยากจะปกป้อง อยากจะดูแลเธอให้ดีที่สุด พยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดให้หนามเตยมาโดยตลอด เขารู้สึกสบายใจที่ได้อยู่กับผู้หญิงคนนี้ แต่ลึกๆ แล้วเขาก็รู้สึกอีกเหมือนกันว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไป แต่เขาไม่เคยตอบตัวเองได้เลยว่าสิ่งๆ นั้นมันคืออะไร

เขายังอ่อนหัดและไร้ประสบการณ์กับสิ่งที่เรียกว่าความรักเหลือเกิน

ภูวาถอนหายใจ จากนั้นก็หยิบถุงหนังสือที่ตัวเองเพิ่งซื้อขึ้นมา เขาซื้อหนังสือมาทั้งหมดสี่เล่ม เป็นภาษาไทยสองเล่ม และภาษาอังกฤษอีกสองเล่ม ที่จริงเขาก็พูดภาษาอังกฤษได้ดีและเก่งภาษาพอสมควร แต่การอ่านหนังสือยากๆ ที่มีแต่ภาษาอังกฤษล้วนๆ ก็ทำให้เขาปวดหัวอยู่เหมือนกัน เขาเลยเลือกหยิบหนังสือภาษาไทยขึ้นมาเปิดอ่านฆ่าเวลาไปก่อน

เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เขาก็ได้รับข้อความจากพายุว่าพวกเขาดูหนังจบแล้ว เขาบอกน้องชายไปว่าเขานั่งอยู่ที่ร้านไหน และจากนั้นอีกไม่กี่นาที เด็กหนุ่มทั้งสองคนก็เดินตรงเข้ามาหาที่โต๊ะ

“ซื้อหนังสือไรมาอ่านอะ หนังสือโป๊ป่าว ไหนมาดูดิ๊” พายุคว้าถุงหนังสือไปจากโต๊ะ “อะไรวะเนี่ย… ‘สามวันดี สี่วันเศร้า’ ส่วนนี่ก็ ‘โลกซึมเศร้า’ ทำไมมันมีแต่หนังสือแบบนี้อะ”

“ไม่ต้องยุ่งน่า เอามานี่” ภูวาดึงหนังสือออกจากมือของพายุแล้วเก็บมันลงไปในถุง

“พี่ภูโอเคปะเนี่ย อย่าบอกนะว่าเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าอะ” พายุพูดด้วยน้ำเสียงกังวล

“เปล่า ไม่ใช่พี่เว้ย แกไม่ต้องคิดมากหรอกน่ะ ว่าแต่หนังเป็นไงบ้าง สนุกมั้ย”

“สนุกบ้าไรล่ะ/สนุกดีครับ” ต่อกับพายุพูดพร้อมกัน

ภูวาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นทั้งสองคนมองหน้ากันเหมือนจะเริ่มทะเลาะกันอีกแล้ว “พอๆ อย่าเพิ่งกัดกัน จะกินชา กาแฟอะไรมั้ย เอาเงินไปแล้วไปสั่งมาได้เลย หรือเราจะไปกินข้าวกันดี พี่ว่าจะซื้ออะไรกลับไปให้พี่เคนเค้าด้วย”

“พายุกินเป๊ปซี่จนท้องจะแตกแล้วอะ ถ้างั้นเราก็ซื้อข้าวเย็นกลับไปกินที่บ้านดีมั้ย พี่เค้าจะได้ไม่ต้องนั่งกินคนเดียว” พายุเสนอ
ภูวายิ้ม น้องชายของเขามักคิดถึงคนอื่นแบบนี้เสนอ “ก็ดีเหมือนกัน ต่อโอเคมั้ย”

“ได้ครับพี่ ตามนั้นเลย”

พวกเขาสามคนลุกออกจากร้านกาแฟแล้วไปเดินเลือกดูร้านอาหารที่จะซื้อข่าวเย็นกลับไปกินกันที่บ้าน เมื่อได้ทุกอย่างที่ต้องการครบแล้ว พวกเขาก็เรียกรถแท็กซี่กลับไปยังคอนโด

เมื่อเคนที่กำลังนั่งอยู่หน้าแล็ปท็อปได้ยินเสียงเคาะประตูอีกครั้ง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นภูวาแน่ๆ

“พี่เคน!” เสียงของพายุดังขึ้นที่อีกฝั่งของประตู

เคนเปิดประตูออกและเห็นพายุยืนยิ้มให้เขาอยู่หน้าห้อง ในมือของเขามีถุงกระดาษอยู่ใบหนึ่ง นั่นคงเป็นอาหารเย็นของเขาที่ภูวาซื้อมาฝากแน่ๆ

“ข้าวเย็นครับ” พายุยื่นถุงกระดาษให้เขา “พี่เคนจะไปกินด้วยกันกับพวกผมมั้ย พี่ภูบอกให้ลองมาถามดูก่อน ตอนนี้พี่ภูกับไอ้ต่อกำลังจัดโต๊ะอยู่”

ถ้าเป็นปกติ เคนคงจะปฏิเสธออกไปทันทีแล้ว แต่หนนี้เขากลับยั้งตัวเองไว้ทัน

“ก็ดีนะครับ งั้นพี่ฝากพายุเอาอาหารไปใส่จานรอไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพี่เดินตามไป”

“ค้าบบบ งั้นเดี๋ยวผมเอารองเท้าขัดประตูไว้นะ พี่จะได้เปิดเข้ามาได้เลย ไม่ต้องเคาะเรียก”

“ได้เลยครับ”

พายุชะโงกหน้ามองผ่านตัวเคนเข้าไปในห้องของเขา

เคนเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็เบี่ยงตัวหลบ “เข้ามานั่งเล่นก่อนมั้ย”

“ผมอยากเห็นอะ ห้องพี่เป็นยังไง ขอเข้าไปดูหน่อยนะครับ” พายุเดินผ่านตัวเคนเข้าไปแล้วมองสำรวจรอบๆ ห้องด้วยความสนใจ
“โห ห้องพี่โคตรเป็นระเบียบเลยอะ”

“ขอบคุณครับ”

“พี่ภูเคยมานอนที่นี่แล้วนี่นา”

“ใช่ครับ วันที่พายุล็อกประตูพี่เค้าเข้าบ้านไม่ได้นั่นแหละ”

“เฮ้ยยย ผมไม่ได้ล็อกนะ ประตูมันออโต้ล็อก แต่… แค่ลืมเปลี่ยนแบตประตูต่างหาก” สายตาของพายุไปหยุดอยู่ที่ซองบุหรี่บนชั้นวางทีวี “พี่เคนสูบบุหรี่ด้วยเหรอ”

“ก็มีบ้างครับ” เคนเห็นสีหน้าของพายุเจื่อนลงเล็กน้อย “ทำไมเหรอครับ”

“เปล่าครับ ผมแค่ไม่ค่อยชอบบุหรี่อะ…”

เคนเพิ่งรู้ตัวว่าเขาอาจจะทำให้พายุผิดหวังในตัวเขาไป เขาไม่รู้ว่าเด็กในวัยนี้กำลังมองเห็นผู้ใหญ่คนที่เขาชื่นชมเป็นแบบอย่าง โดยเฉพาะพายุที่แม้จะเพิ่งรู้จักเคนได้ไม่นาน แต่ก็มองเคนอย่างชื่นชมไม่ต่างกับที่เขามองภูวา พี่แท้ๆ ของตัวเองเลย

“ไอ้ต่อก็สูบบุหรี่เหมือนกัน…” พายุพูดน้ำเสียงเซ็งๆ “สำหรับพี่เคนอะ ผมว่าไม่แปลกหรอกเพราะพี่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ไอ้ต่อแม่งสูบบุหรี่มาตั้งแต่ ม. ต้นอะ ผมว่าไม่โอเคเลย ทำไมมันต้องหาเรื่องทำร้ายตัวเองตั้งแต่เด็กด้วยวะ ไหนบอกว่าตัวเองเป็นนักกีฬาไง ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ นะว่าไอ้บุหรี่นี่มันมีข้อดีอะไรบ้าง ไม่รู้จะสูบไปทำไม ถ้าแค่สูบเพื่อให้อารมณ์ดีแค่ชั่วครู่ชั่วคราว แม่งก็เหมือนหนีปัญหาประเดี๋ยวประด๋าวปะ พี่ว่าจริงปะ” เด็กหนุ่มพูดระบายออกมาเสียยาว “แทนที่จะแก้ปัญหาหรือหาอย่างอื่นทำให้คลายเครียด ไอ้ที่บอกดูดบุหรี่คลายเครียดนี่ผมว่าโคตรไม่เมกเซนส์เลย ถ้าบอกแค่ว่าเพราะเพลินหรืออร่อย มันคุ้มกับที่ต้องให้ปอดตัวเองพังเหรอวะ ผมว่าแม่งแค่อยากเท่แหละ ไอ้ต่ออะ เลยทำเป็นหัดดูดบุหรี่ จะได้ดูเก๋าในสายตาเพื่อนๆ ปัญญาอ่อน”

เคนเลิกคิ้วขึ้นและยิ้มออกมาน้อยๆ เขาเดินเข้าไปหาพายุแล้ววางมือลงบนบ่าของเขา “ดูเราจะแคร์ต่อมากเลยนะครับเนี่ย”

พายุหน้าแดงขึ้นทันที “พายุก็แคร์เพื่อนทุกคนแหละ พี่เคน”

“ดีแล้วแหละครับ เป็นเด็กน่ารักแบบนี้ไปตลอดนะ”

“โอ๊ยยย น่าร้งน่ารักอะไร! พายุรู้ตัวอยู่แล้วแหละ ไม่ต้องมาแกล้งชมหรอก” พายุทำพูดเล่นแก้เขิน “ว่าแต่เราไปกินข้าวกันเลยมั้ยพี่ เดี๋ยวไอ้สองคนนั้นจะรอนาน”

“ไปสิ แต่พี่ว่าพี่จะเปลี่ยนชุดนิดนึงก่อนแล้วค่อยไป”

“เปลี่ยนชุดอะไรอะ ที่พี่ใส่อยู่นี่ก็โอเคนี่นา…” พายุมองไปที่เคน เคนอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวพอดีตัว โชว์ให้เห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แต่เมื่อเขามองดูท่อนล่าง ก็รู้ได้ทันทีว่าเคนหมายถึงอะไร เพราะเขากำลังใส่แค่กางเกงบอกเซอร์ตัวเดียว และมันก็ตัวเล็กและบางมากจนแทบไม่เหลืออะไรให้จินตนาการเลย

พายุรีบหันหน้าหลบทันที

“งั้นรอพี่ก่อนก็ได้ครับ พี่ขอไปหยิบกางเกงมาสวมทับแล้วเราไปพร้อมกันเลยก็ได้”

“ครับ” พายุใจเต้นแรง นอกจากภูวา เขาก็ไม่เคยเห็นร่างกายของผู้ชายคนอื่นอย่างชัดเจนแบบนี้มาก่อน

เคนเดินไปหยิบกางเกงขาสั้นออกมาจากตู้เสื้อผ้าและสวมมันอย่างช้าๆ เขายังขยับตัว ก้มๆ เงยๆ ลำบากอยู่พอสมควร

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ก็เป็นหน้าที่ของเด็กๆ ที่ต้องเก็บล้าง เคนกับภูวาออกไปนั่งคุยกันอยู่ที่ระเบียง เคนเล่าสิ่งที่พายุพูดกับเขาเรื่องบุหรี่ให้ภูวาฟัง ภูวาเลยเล่าให้เคนฟังว่าพ่อของพวกเขาเสียไปเพราะโรคมะเร็งปอด นั่นอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พายุเป็นแบบนี้ เคนจึงคิดในใจว่าเขาน่าจะลองเลิกบุหรี่ให้ได้อย่างที่ตั้งใจไว้จริงๆ สักที

“พี่ภู พี่เคน พายุกับไอ้ต่อล้างจานเสร็จแล้ว เดี๋ยวจะไปนั่งเล่นเกมกันในห้องนะ” พายุชะโงกหน้าออกมาจากประตูเลื่อน

“ทำการบ้านเสร็จกันหมดรึยัง” ภูวาถาม

“โอ๊ยยยยย เสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้ววว!” พายุปิดประตูเลื่อนลงแล้วเดินหายเข้าไปในห้อง

ภูวากับเคนหัวเราะเบาๆ

“บางทีผมก็รู้สึกเหมือนมันยังไม่โตสักทีนะครับเนี่ย” ภูวาพูด “บางทีก็ยังชอบทำตัวเป็นเด็กๆ บางทียังชอบอ้อนผมอยู่เลย”

“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ พอเค้าโตเป็นแล้ว เดี๋ยวเค้าก็จะ… เอ่ออ… เค้าเรียกว่าอะไรนะ อินดะเพนเดนท์ มากขึ้น พอถึงวันนั้นภูวาอาจจะรู้สึกเหงาก็ได้นะ”

“ก็อาจจะจริงครับ ใจนึงผมก็อยากให้มันเป็นผู้ใหญ่กว่านี้นะ แต่อีกใจก็ยังเห็นมันเป็นเด็กเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนอยู่ตลอด บางทีคนเป็นพ่อแม่ก็คงรู้สึกแบบนี้กับลูกทุกคนมั้งครับ”

“ภูวาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เห็นเยอะเลยนะ”

ภูวาหัวเราะ “เพราะความคิดของผมดูเหมือนคนแก่ใช่มั้ยล่ะ”

“เรียกว่ามีความคิดเป็นผู้ใหญ่จะดีกว่า” เคนเหม่อมองไปบนท้องฟ้า “สมัยตอนพี่กับโทรุอยู่ช่วงจูเนียร์ไฮและเริ่มขึ้นไฮสคูล พวกเราสองคนก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเยอะเหมือนกัน ทั้งร่างกายและจิตใจ ตอนนั้นน่าจะอายุราวๆ พายุกับต่อนี่แหละ โทรุเริ่มมีแฟนคนแรก และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเริ่มห่างเหินกันไป”

นี่เป็นครั้งแรกที่เคนเริ่มพูดถึงอดีตของเขากับโทรุให้ภูวาฟังขึ้นก่อน แต่ภูวากลับรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจว่าควรจะทำตัวอย่างไรดี เขาควรจะชวนคุยเรื่องนี้ ควรปล่อยให้เคนพูดต่อ หรือหยุดเคนไว้แค่นี้ดี

“แฟนผู้หญิงนะครับ ไม่ใช่ผู้ชาย” เคนพูดต่อ

“อ้อ ครับ…” ภูวายิ้มมุมปาก “คล้ายไอ้บอลเลย ไอ้นั่นก็ไปมีแฟนผู้หญิงเหมือนกัน”

เคนเงียบไปครู่หนึ่ง “ตอนนั้นภูวายังไม่รู้ตัวว่าชอบผู้ชายรึเปล่าใช่ไหม”

“ครับ… คงงั้นมั้ง... ไม่รู้สิ…” ภูวาลังเล “เพราะผมไม่เคยคิดอะไรแบบนั้นกับผู้ชายคนอื่นเลยนอกจากไอ้บอล ผมก็เลยไม่แน่ใจตัวเองเท่าไหร่ จนกระทั่งนานเข้าผมก็รู้แหละว่าผมคิดกับมันเกินเพื่อน แต่ก็กับมันแค่คนเดียว และพอเข้ามหาลัยผมก็ไปมีแฟนผู้หญิงที่คบกันหลายปีเหมือนกัน”

“แปลว่าภูวาไม่เคยมีเซ็กส์กับผู้ชายใช่ไหม”

ภูวาหน้าแดง “เคยแค่ภายนอกกันกับไอ้บอลหนเดียวครับ” เมื่อพูดจบเขาก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแก้เก้อ

“ภายนอก… หมายถึงเอาท์ดอร์เซ็กส์เหรอ”

พรู่ดดดดดดดดดดด!! ภูวาสำลักและพ่นน้ำในปากออกมา “แค่กกๆๆ!!”

“เอ้า พี่พูดอะไรผิดเหรอครับ” เคนหยิบทิชชู่บนโต๊ะมาเช็ดน้ำที่มุมปากและคอของภูวา

“ฮ่าๆๆๆๆ โอ๊ยยยย ตายๆๆ ฮ่าๆๆๆ” ภูวาหัวเราะ ในขณะที่เคนมองเขางงๆ “ขอโทษทีครับพี่ ไม่ได้เจตนาจะหัวเราะพี่นะ คือภายนอกหมายถึง เราแค่ใช้ปากกับมือให้กันน่ะครับ ไม่ใช่ไปมีอะไรกันเอาท์ดอร์”

“อ้อ” เคนพยักหน้า แล้วยิ้มออกมา “นึกว่าชอบแนวนั้นตั้งแต่ยังเด็ก”

“ฮ่าๆๆ ไม่ใช่ครับ” ภูวาซับน้ำที่เลอะแขนตัวเอง “แต่ก็แค่หนเดียวนะ และน่าจะเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นและความเงี่… เอ่ออ เป็นเพราะมีอารมณ์ในตอนนั้นเฉยๆ มากกว่า”

“แล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายคนอื่นอีกเลยเหรอ”

ภูวาส่ายหน้า “ไม่เคยครับ”

“แล้วเคยจูบไหม”

“กับผู้ชาย… ถ้านอกจากกับไอ้บอลหนหนั้นก็ไม่เคยครับ” ภูวาหน้าแดงเมื่อคิดถึงบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ่อ… ไม่สิ จะว่าไปก็เคยหนนึง…”

“ใครเหรอครับ ถามได้ไหม”

ภูวาหันไปหาเคนพร้อมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “ก็กับพี่ไง!”

เคนตกใจ “อ้อ เออ ใช่ เมื่อเช้าน่ะเหรอ”

“พี่ลืมเหรอ!”

“เปล่าๆ ไม่ได้ลืม” เคนหน้าแดงเล็กน้อย เขายกมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง พยายามที่จะไม่หัวเราะออกมา “แต่สำหรับพี่มันไม่เรียกว่าการจูบเลยน่ะ”

“แล้วต้องแบบไหนถึงจะเรียกว่าจูบล่ะ ปากจูบปากยังไม่เรียกว่าจูบอีกเหรอ” ภูวานิ่วหน้าทั้งๆ ที่ยังหน้าแดงอยู่

เคนเขยิบตัวเข้าไปหาภูวา เขาใช้มือข้างหนึ่งจับคางของภูวาเบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆ โน้มตัวเข้าไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ

“พี่รู้ว่าพี่พูดว่าเราจะเริ่มกันแบบพี่น้อง แต่… นี่ต่างหากที่เรียกการจูบ” เคนถามเบาๆ “เรียล คิส…

ภูวาหยุดหายใจ แต่ไม่สามารถขยับตัวหนีได้ “จ… จะดีเหรอพี่”

“ถ้าภูวาเซย์โน พี่ก็จะหยุดครับ”

ภูวาไม่ตอบ

“พี่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับใครมานานมากแล้ว” เคนวางมือลงบนแก้มของภูวา “พี่เองก็สับสนเหมือนกันนะครับ แต่คิดว่า หลังจากจูบนี้ พี่น่าจะ…”

ภูวาไม่เข้าใจสิ่งที่เคนพูด แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายค่อยๆ โน้มตัวเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็หลับตาลง ทันทีที่ริมฝีปากของพวกเขาสัมผัสกัน ภูวาก็เผยอปากออกรับจูบของเคนอย่างเต็มใจ

จูบหนนี้แตกต่างจากการจูบที่ริมฝีปากแบบแผ่วเบาเมื่อเช้ามากจริงๆ ภูวาใช้มือข้างหนึ่งวางลงบนแก้มของเคน ริมฝีปากของเคนอ่อนนุ่มมากกว่าที่เขาคิด ลมหายใจของเคนที่รดลงบนหน้าของเขาก็ทำให้เขาตัวสั่นเล็กน้อย เคนจูบเขาอย่างอ่อนโยนแต่ก็แฝงไปด้วยอารมณ์ที่ร้อนแรง ทั้งสองคนไม่ได้ใช้ลิ้น และไม่ได้มีเจตนาให้จูบนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ตัณหา แต่มันเป็นจูบที่ทั้งคู่ถ่ายทอดความรู้สึกที่มีต่อกันออกมาอย่างแท้จริง


.
.
.

ต่อที่กำลังนอนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่บนเตียงไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอเลยสักนิด เขาคิดถึงเรื่องที่ต้องกลับไปบ้านพรุ่งนี้แล้วรู้สึกกระวนกระวายใจ เขาอยากจะคุยกับภูวาเรื่องนี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดี บางทีเขาควรจะปรึกษาพายุดูก่อน แต่พายุก็ดันออกไปเข้าห้องน้ำแล้วยังไม่กลับมาสักที

ขณะที่กำลังวุ่นวายใจอยู่นั้น ประตูห้องนอนก็เปิดออก พายุเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลง จากนั้นก็ยืนพิงประตูด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เขายืนก้มหน้านิ่งอยู่แบบนั้นครู่หนึ่งจนต่อประหลาดใจ

“เป็นอะไรวะ ไอ้พายุ”

พายุทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าเอาไว้ เมื่อเห็นแบบนั้น ต่อก็รีบกระโดดลุกออกจากเตียงแล้วพุ่งไปหาพายุทันที

“เฮ้ย จู่ๆ มึงเป็นอะไรไปวะเนี่ย”

พายุไม่ตอบ เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แต่ที่แน่ๆ น้ำตากำลังไหลออกมาจากดวงตาของเขาหยดหนึ่ง…



ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
พายุ น่ารัก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด