(incest) Lost Love: รักที่สูญหาย (ตอนที่ 22-23 15Jan22)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (incest) Lost Love: รักที่สูญหาย (ตอนที่ 22-23 15Jan22)  (อ่าน 7501 ครั้ง)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-01-2022 19:30:55 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: Lost Love: รักที่สูญหาย
«ตอบ #1 เมื่อ29-05-2020 21:20:38 »

นิยายเรื่องนี้ น่าจะยาวพอสมควร แต่คนแต่งไม่ค่อยมีเวลา คงนานๆ ได้เข้ามาอัปเดตที
หากอยากอ่านนิยายเก่าๆ ของผม ลองไปหาอ่านกันดูได้ เขียนลงเล้ามาเป็นสิบกว่าปีแล้ว
แต่ก็หายหัวไปจากเล้ามาร่วมสิบปีแล้วเช่นกัน

คำเตือน

เรื่องนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรักระหว่างพี่น้อง (incest) ใครที่รับไม่ได้ กรุณากดออก
เรื่องนี้ มีเนื้อหา เหตุการณ์ และบทสนทนาจริงที่เกิดขึ้นกับผู้เขียนอยู่ด้วย แต่กรุณาอย่าถามว่าตรงไหน
เรื่องนี้ มีบทพูดภาษาอังกฤษค่อนข้างเยอะ จะใช้ภาษาไทยนี่แหละ แต่เขียนตัวเอียงในการบอกว่าตรงไหนตัวละครสนทนากันเป็นภาษาอังกฤษ
เรื่องนี้ มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ศึ่งมาจากประสบการณ์จริงของผม
ที่สำคัญ เรื่องนี้มีกลิ่นอายและโยงกับเรื่องเก่าๆ ที่เคยเขียนอยู่บ้าง (Easter egg) หวังว่าจะทำให้หายคิดถึงกันไม่มากก็น้อย

กรุณาอ่านเพื่อความบันเทิง ความสุขใจ หรือความเศร้าใจในยามว่าง เท่านั้นพอ

หากรักหากชอบ ก็กดคอมเมนท์ไว้ได้ครับ ตามอ่านอยู่ตลอด

รักเสมอ
ไอ้ต้น

เรื่องอื่นๆ​ ทั้งหมดที่เคยเขียน​ จิ้มที่นี่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-08-2021 09:55:07 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
Re: Lost Love: รักที่สูญหาย
«ตอบ #2 เมื่อ29-05-2020 21:23:51 »

 :m3:
ดีใจ

จะได้กลิ่นเล้าดั้งเดิม
 :pig4:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
Re: Lost Love: รักที่สูญหาย
«ตอบ #3 เมื่อ29-05-2020 21:26:00 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2: back ทั่นนักเขียนในตำนานของเล้ายุคแรก ๆ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: Lost Love: รักที่สูญหาย
«ตอบ #4 เมื่อ29-05-2020 21:26:13 »

LOST LOVE


Nobody never loses anything.
Everybody once lost their lover.
Everybody once lost their love.
And again, everybody will.

ไม่เคยมีใครไม่รู้จักการสูญเสีย
ทุกคนเคยสูญเสียคนรัก
ทุกคนเคยมีรักที่สูญหาย
และทุกคนจะสูญเสียอีกครั้ง

.
.
.






ตอนที่ 1

ภูวาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของคนเมืองที่ฝนมักจะตกอยู่แค่สองช่วงเท่านั้น หนึ่งคือก่อนออกจากบ้านไปทำงาน และสองคือตอนกำลังจะเลิกงานพอดีเป๊ะ เขาเป็นพนักงานออฟฟิศ อายุ 27 ปี อาศัยอยู่ที่คอนโดใจกลางเมือง เขาพักอยู่กับน้องชายที่กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย พ่อของเขาเพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อไม่ถึงสองปีก่อน แม่ของเขาที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง จึงขายบ้านหลังที่พวกเขาเติบโตขึ้นมาและย้ายไปอยู่กับญาติพี่น้องที่เหลืออยู่ไม่กี่คนที่จังหวัดในภาคเหนือ แน่นอนล่ะว่าลำพังแค่เงินเดือนของเขาคงไม่มีปัญญาซื้อคอนโดห้องมุมขนาดสองห้องนอนในย่านสุขุมวิทแบบนี้ได้แน่ แต่สิ่งที่พ่อเหลือไว้ให้ก่อนจากไปกับเงินที่แม่ได้มาจากการขายบ้านทำเลดี ก็ทำให้เขากับน้องชายสามารถใช้ชีวิตต่อในเมืองหลวงอันแสนวุ่นวายนี้ได้แบบไม่ลำบากมากนัก

“อย่างน้อยมันก็คือการลงทุน ดีกว่าไปซื้อรถที่มีแต่จะราคาตกลงๆ อีกอย่าง แม่ก็อยากให้ภูวากับพายุอยู่ด้วยกัน ดูแลกัน” แม่ของเขาเคยพูดไว้

“พี่ภู ตื่นรึยัง เดี๋ยวสายนะเว้ย!” เสียงของพายุ น้องชายตัวดีตะโกนขึ้นหน้าห้องนอนของชายหนุ่ม “เดี๋ยวพายุจะออกไปละนะ พี่จะออกไปยังไงเนี่ย ฝนตกอีก”

ภูวาลุกออกจากเตียงไปเปิดประตูห้องนอนออก น้องชายของเขาอยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อยแล้ว “เออๆ แกรีบไปเหอะ เดี๋ยวพี่เรียกมอไซมารับอะ ว่าแต่นี่ไปพร้อมไอ้ต่อเหรอ”

พายุหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยพร้อมท่าทีหงุดหงิด “เออ แม่งไลน์มาบอกว่าจะมาถึงหน้าคอนโดแล้ว เดี๋ยวก็ไปรถไฟฟ้าพร้อมมันแหละ”

“ไม่ชวนมันขึ้นมาบนห้องก่อนอะ”

“ชวนบ้าไรล่ะ ไม่ต้องเลย อีกอย่างนี่จะเจ็ดโมงแล้ว ไม่ออกตอนนี้ก็สายแน่”

“เออ อะ เรื่องของแก งั้นก็รีบไป เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำแต่งตัวละ” ภูวาเดินตรงไปยังห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนของตัวเอง จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงประตูคอนโดเปิดออกและปิดลง

เขาใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นานก็ออกมานั่งดื่มกาแฟชาร์จพลังก่อนออกไปทำงาน เขาทำงานอยู่แผนกการตลาดกับให้กับบริษัทไอทีสตาร์ทอัพแห่งหนึ่ง ข้อดีของมันคือเขามีเวลาการทำงานที่ค่อนข้างยืดหยุ่น หัวหน้าที่เป็นชาวต่างชาติของเขาไม่ค่อยซีเรียสมากนักเรื่องการแต่งตัวหรือเวลาการเข้า-ออกงาน ขอแค่งานเสร็จสมบูรณ์ก็พอ ยกเว้นแค่ว่าถ้าวันไหนเขาต้องออกไปหาลูกค้า เขาต้องแต่งตัวเรียบร้อย สุภาพ และตรงต่อเวลาเสมอ ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับภูวาเลย

ภูวาอาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่หล่อหมดจดแบบเน็ตไอดอลหรือนักแสดง แต่เขาเป็นคนที่ใครๆ ก็มักชมว่าหน้าตาดี ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นและใจดี เขาสูง 170 เซนติเมตร หนัก 70  กิโลกรัม ภูวาเข้าฟิตเนสแทบจะทุกวัน ทำให้เขามีรูปร่างดี เวลาใส่เสื้อเชิ้ตจะเห็นได้ชัดว่าเขามีกล้ามอกและกล้ามแขนที่สมส่วน ส่วนน้องชายของเขา พายุ เป็นลูกหลงของบ้าน อายุห่างจากเขาถึง 11 ปี ตอนนี้เพิ่งขึ้นชั้นมัธยมปลายได้ไม่นาน พายุยังเป็นเด็กที่ร่างกายเพิ่งจะเริ่มโต เขาสูง 173 เซนติเมตร สูงกว่าภูวาแค่ไม่เท่าไหร่ หนัก 67 กิโลกรัม ค่อนข้างจะเจ้าเนื้อนิดๆ พายุที่เห็นร่างกายของพี่ชายตัวเองค่อยๆ พัฒนาจากคนหุ่นผอมๆ กลายมาเป็นมีมัดกล้ามเนื้อดูดีได้แบบทุกวันนี้จึงเกิดแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาเริ่มเข้าฟิตเนสออกกำลังกายบ้าง

ทั้งภูวาและพายุต่างก็หน้าตาดีทั้งคู่ และด้วยอายุที่ห่างกันค่อนข้างมาก ทำให้เพื่อนบ้านในคอนโดบางคนยังเคยแอบซุบซิบกันว่าภูวานั้นมีแฟนมีเป็นเด็กมัธยมด้วยซ้ำ

หลังจากดื่มกาแฟหมดแก้ว เขาก็คว้ากระเป๋าแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองกดดูเวลา เขาใช้แอปพลิเคชันเรียกรถมอเตอร์ไซค์แล้วเตรียมไปนั่งรอที่ล็อบบี้ของคอนโดข้างล่าง ในขณะที่กำลังปิดประตูคอนโดลงนั้น เขาก็ได้ยินเสียงลากรถเข็นสำหรับขนของดังก้องไปทั่วโถงทางเดิน เขาหันไปมองทางหัวมุมตึกแล้วก็เห็นชายหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังลากรถเข็นที่บรรทุกของใช้และกระเป๋าหลายใบเดินตรงมาทางเขา

ชายหนุ่มทั้งสองสบตากัน ภูวาพยักหน้าให้คนแปลกหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินสวนคนๆ นั้นไป จากที่เห็นเมื่อสักครู่แล้ว คงจะเป็นคนที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ล่ะมั้ง ภูวาคิด เขานึกสงสัยว่าเป็นห้องไหน จะเป็นห้องติดกับเขาเลยหรือเปล่า หรือห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กัน คอนโดของเขาไม่ใช่คอนโดใหม่ เขาจึงซื้อมาได้ในราคาไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับทำเล และลูกบ้านส่วนมากก็เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งเขารู้มาว่าหลายๆ คนก็เป็นคนต่างชาติที่ทำงานในไทยและเช่าอยู่ ภูวาหันกลับไปมองยังด้านหลังของตัวเองแล้วก็เห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นกำลังก้มๆ เงยๆ มองโทรศัพท์มือถือของตัวเองกับเลขห้องอยู่

ชายคนนั้นเหลือบขึ้นมาเห็นว่าภูวากำลังมองเขาอยู่ ทั้งสองคนสบตากันครู่สั้นๆ อีกครั้งก่อนที่ภูวาจะรีบเดินเลี้ยวตรงหัวมุมทางเดินหายไป

ในเวลาเดียวกันนั้น ณ โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง พายุกำลังนั่งหัวเราะอยู่กับกลุ่มเพื่อนเรื่องอาจารย์ที่ชอบปาชอล์คใส่นักเรียน

“แม่งพี้คเหี้ยๆ อะ วันนั้นเจ๊แกโมโหไอ้เชี่ยทิวที่แม่นั่งคุยอยู่กับไอ้โอ๊ต แกคว้าชอล์คขึ้นมาปุ๊บ ปาปั๊บ แล้วไอ้เชี่ยทิวแม่งนั่งหันข้างอยู่อะ นึกออกปะ แล้วแม่งมีสไปเดอร์เซนส์มั้ง ไอ้เหี้ย แม่งขยับหัวหลบ ฟุ่บ! หลบแบบแทบไม่ขยับตัวเลยนะเว้ย! แค่เบี่ยงหัวนิดเดียวอะ ทั้งห้องนี่แม่งเงียบกริ๊บ กูนี่นั่งอ้าปากค้าง จากนั้นพอเจ๊เพ็ญแกตั้งสติได้ แกหยิบชอล์คขึ้นมาอีกแท่งแล้วปาอีก คราวนี้ไอ้เหี้ยทิวแม่งยกมือขึ้นคว้าไว้ทันเฉยเลยว่ะ!”

พายุและเพื่อนๆ หัวเราะด้วยความชอบใจ

ปั้น คนที่กำลังเล่าเรื่องยืดตัวขึ้นและชูกำปั้นขึ้นในอากาศ ทำท่าทางเลียนแบบทิว จากนั้นเขาก็หันไปทางซ้ายของตัวเองช้าๆ “‘จารย์ครับ… ถ้าคิดจะเล่นผมทีเผลอแบบนี้ล่ะก็ ‘จารย์ยังต้องไปฝึกมาใหม่อีก 10 ปีครับ” เขาพูดเลียนแบบทิว จากนั้นเขาก็แบมือออก ทำท่าเหมือนปล่อยชอล์คให้ร่วงลงบนพื้น

“มังงะเหี้ยยเหี้ยยยยยย” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นท่ามกลางเสียงหัวเราะ
   
“คอมเมดี้สัตว์ๆ”

“แม่งคอมเมดี้กว่านั้นอีก ตรงที่เจ๊เพ็ญแกปรี๊ดแตก ตอนแรกแกทำท่าจะหยิบชอล์คมาปาอีก แต่เสียงออดแม่งดังขึ้นซะก่อน ไอ้ทิวเลยรีบกระโดดลุกจากเก้าอี้แล้ววิ่งออกจากห้องไปเลย เจ๊แกตะโกนเรียกชื่อไอ้ทิวเสียงปรี๊ดมาก ตอนนั้นแม่งไม่รู้เสียงออด เสียงเจ๊เพ็ญ กับเสียงหัวเราะพวกกูอะไรดังกว่ากัน ฮ่าๆๆๆ”

พายุและเพื่อนๆ หัวเราะจนท้องแข็ง และในหมู่เพื่อนเกือบ 10 คนที่นั่งล้อมวงกันอยู่ตรงนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นต่อ เพื่อนที่นั่งเรียนโต๊ะติดกับเขา กำลังนั่งจ้องหน้าเขาอยู่เขม็ง

‘แม่งนั่งจ้องหน้ากูแบบนี้อีกแล้ว’ พายุคิดในใจ เขารู้สึกตัวหน้าร้อนขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะขมุบขมิบปากถามต่อกลับไปว่า ‘มองเหี้ยไร’

ต่อหน้าแดง เขายิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วหันหลบไปทางอื่น

‘ไอ้เหี้ยนี่แม่งไม่ปกติละ แม่งต้องคิดไรกับกูจริงๆ แน่ๆ…’ พอคิดแบบนั้นขึ้นมา พายุก็ยิ่งรู้สึกหน้าร้อนกว่าเดิมเข้าไปใหญ่

“กูไปเยี่ยวแป๊บ” เขาพูดพร้อมกับยืนขึ้น

“เออ กูไปด้วย” ต่อพูดขึ้นบ้าง

“ขี้! กูไปขี้ พูดผิด....” พายุรีบลุกแล้วเดินออกจากกลุ่มไปโดยไม่รู้ตัวเลยว่าต่อเองก็เดินตามไปด้วย

“มึงไปขี้ห้องน้ำไหน ทำไมไปไกลจังวะ”

พายุสะดุ้งแล้วรีบหันกลับไปข้างหลังตัวเองทันที “มึงตามกูมาทำไมเนี่ย”

“ก็กูบอกแล้วไงว่ากูไปด้วย มึงจะขี้จะเยี่ยวก็เรื่องของมึงอะ กูไปเป็นบอดี้การ์ดให้มึง”

“การ์ดเหี้ยอะไร ใครมันจะมาทำอะไรกู ไอ้บ้า” พายุหน้าแดงแล้วรีบออกเดินต่อ แต่พอเดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว เขาก็ชะงักฝีเท้าลง จากนั้นก็หันไปเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มหน้าตาดีหัวสั้นเกรียน ดวงตาของเขากลมโตใสปิ๊งแม้จะมีตาชั้นเดียว “ทำไมมึงต้องไปไหนมาไหนกับกูตลอดเลยด้วยวะ ไอ้ต่อ” พายุถาม “ตั้งแต่เปิดเทอมมาก็นานละนะ ทำไมมึงวอแวเก่งจังวะ”

พายุนึกถึงวันแรกที่เขาเจอกับต่อ ต่อเป็นนักเรียนที่เพิ่งย้ายเข้ามาเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งต่างจากคนอื่นๆ ที่ส่วนมากจะเลื่อนชั้นขึ้นมาจาก ม. 3 ทำให้เขาเป็นที่ฮือฮาของบรรดาเพื่อนๆ ในห้องพอสมควร ยิ่งหน้าตาของเขาก็ยิ่งทำให้เขาเป็นจุดสนใจของบรรดานักเรียนหญิงหลายคนมากขึ้นไปอีก

“เฮ้ยนายชื่อไรวะ... เราชื่อต่อนะ” เขาเดินเข้ามาแนะนำตัวกับพายุที่เพิ่งเดินเข้าห้องเรียนมาแต่เช้าตรู่เพราะเป็นวันเปิดเทอมวันแรก

“เราพายุ นายเพิ่งย้ายมาใหม่ใช่ปะ”

“ใช่ นายนั่งตรงนี้ใช่มั้ย เราขอนั่งข้างๆ นายได้ปะ”

“เออ ก็เอาดิ” พายุตอบแบบไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะนั่งข้างเพื่อนคนไหนเป็นพิเศษเจาะจงอยู่แล้ว

“เยส” ต่อส่งเสียงดีใจออกมาเบาๆ ก่อนจะกระแอมในลำคอแล้วลุกเดินออกจากห้องไป

หลังจากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างรวดเร็ว โดยที่ต่อเองก็สามารถเข้ากับเพื่อนในกลุ่มของพายุได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรเลย ทั้งคู่บ้านอยู่ใกล้กัน ชอบอะไรคล้ายๆ กัน และที่สำคัญคือ ทั้งสองคนต่างก็มีสิ่งที่เกลียดหรือไม่ชอบเหมือนๆ กันอีกด้วย

“วอแวเหรอวะ กูวอแวมึงเหรอ ทำมึงลำบากใจรึไง” ต่อพูดขึ้น ดึงพายุกลับเข้ามาสู่ปัจจุบัน

“เปล่า… เอ่อ… คือมันก็ไม่ใช่แบบนั้น แต่กูไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรมากกว่าอะ” พายุเกาหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด “แต่เอาเป็นว่ามึงเก็ทกู ถูกมั้ยล่ะ มึงก็รู้ว่าเราไปไหนมาไหนด้วยกัน อยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลาเลยนะเว้ย”

“คนอื่นๆ ก็เหมือนกันนี่หว่า ก็เพื่อนกลุ่มเดียวกันอะ ไปไหนมาไหนด้วยกัน แปลกตรงไหน”
   
“แต่คนที่ไปรับกูที่บ้านทุกเช้า และรอกลับบ้านพร้อมกูแทบทุกเย็น มันมีมึงแค่คนเดียวไง”
   
ต่อเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงเหมือนใช้ความคิด จากนั้นเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นสบตากับพายุ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ “สรุปคือมึงรำคาญเหรอวะ”
   
พายุผงะไปเล็กน้อยทันที “เฮ้ย คือกูก็ไม่ได้พูดถึงขนาดนั้น กูไม่ได้รำคาญ กูแค่…”
   
ทั้งสองคนต่างก็เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่เสียงออดเรียกให้เข้าแถวจะดังขึ้น
   
“ไอ้ต่อ! ไอ้พายุ! กูเอากระเป๋าพวกมึงมาให้แล้ว!” เพื่อนในห้องเดียวกันของพวกเขาโบกไม้โบกมือตะโกนเรียกทั้งคู่
   
“เออ เอาเป็นว่ากูไม่ได้รำคาญมึงหรอก กูแค่อยากรู้…” พายุพึมพำเบาๆ ขณะที่ทั้งสองคนเดินเคียงคู่กัน
   
“อยากรู้ว่าอะไร”
   
“ว่าทำไมมึงถึงชอบมองกูด้วยสายตาแบบนั้นตลอดเวลา...”
   
“แบบไหนวะ”
   
พายุหันไปมองหน้าต่อ “แบบเนี้ยแหละ”
   
ต่อหน้าแดงอีกครั้งก่อนจะยิ้มน้อยๆ “แล้วถ้ากูบอกว่าเพราะกู ‘ช.. อ.. บ’ มึงอะ” เขาพูดคำๆ นั้นแบบไม่ออกเสียง
   
“กูก็จะบอกว่ามึงมันบ้าไง!” พายุเตะต้นขาต่ออย่างแรงก่อนจะออกวิ่งไป




ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: Lost Love: รักที่สูญหาย
«ตอบ #5 เมื่อ29-05-2020 21:35:50 »

ตอนที่ 2

เมื่อลูกค้าที่นัดไว้ช่วงบ่ายบอกยกเลิกประชุมกะทันหันและได้รับอนุญาตจากหัวหน้าแล้ว ภูวาก็ขึ้นรถไฟฟ้ากลับไปยังคอนโดแทนที่จะย้อนกลับไปออฟฟิศ เขารู้สึกหัวเสียนิดหน่อย แต่ก็คิดว่าโชคดีแล้วที่เขาได้กลับบ้าน และในเมื่อฝนหยุดตกแล้ว เขาจะได้เอาผ้าโยนเข้าเครื่องซักผ้าแล้วนั่งตอบอีเมลสบายๆ ใจจนกว่าจะถึงเวลาไปฟิตเนสตอนเย็น
   
เมื่อเขาเลี้ยวที่หัวมุมตึกเพื่อเดินตรงไปยังห้องของตัวเองที่อยู่สุดทางเดิน เขาก็ยังคงเห็นรถเข็นสำหรับขนของคันเดิมจอดอยู่เยื้องๆ ห้องของเขา ห้องฝั่งตรงข้ามของเขาเปิดประตูทิ้งเอาไว้อยู่และมีเสียงผู้ชายสองคนคุยโต้ตอบกันดังก้องออกมาจนเขายังได้ยิน
   
“คุณต้องพยายามปรับตัว เปิดใจให้ตัวเองหน่อย ถ้าตัวคุณเองไม่คิดจะเปลี่ยน มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น
   
“แล้วทำไมผมถึงต้องเปลี่ยนวะ”
   
“ตอบตัวเองได้มั้ยล่ะว่าตอนนี้มีความสุขหรือเปล่า ถ้าไม่มี แล้วทำไมจะไม่ลองเปลี่ยนสักนิด ผมไม่ได้ขออะไรมากมายเลย แค่ลองเอาคำพูดผมไปคิดดูแล้ว...”
   
“เปิดใจออกมาสักนิด” ชายคนที่สองพูดสวนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงรำคาญ “รู้แล้วๆ พูดแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำซากอยู่ได้...”

ภูวาเห็นคนที่เพิ่งพูดจบเดินออกมาจากในห้อง เขาคือคนที่ภูวาเห็นเมื่อเช้านั่นเอง ภูวาผงกหัวให้เบาๆ เป็นการทักทาย แต่ชายคนนั้นกลับแค่ยกกล่องใส่หนังสือขึ้นจากรถเข็นแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องทันที

ภูวาเดินไปหยุดที่หน้าประตูห้องตัวเองแล้วกดรหัสเข้าห้อง เขานึกสงสัยว่าสองคนนั้นเป็นอะไรกัน และคนไหนคือคนที่จะย้ายมาเป็นเพื่อนบ้านเขา เอ๊ะ หรือว่าพวกเขาจะย้ายเข้ามาทั้งคู่

“แฟนกันเหรอวะ... สงสัยจะทะเลาะกันมั้ง” ภูวาพูดเบาๆ กับตัวเองก่อนจะเหวี่ยงตัวนั่งลงบนโซฟา

หลังจากพักสักครู่หนึ่ง เขาก็จัดการเอาเสื้อผ้าในตะกร้าซักยัดใส่ลงในเครื่องซักผ้า ระหว่างที่รอ เขาก็หยิบแล็ปท็อปออกมาจากกระเป๋าเป้แล้วเริ่มตอบอีเมลลูกค้า เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมง เมื่อเครื่องซักผ้าหยุดทำงานลง เขาก็ลุกออกจากโต๊ะทำงาน หยิบผ้าออกไปตากที่ระเบียง แล้วจากนั้นก็กลับมานั่งทำงานต่อ จนเวลาประมาณสี่โมงครึ่ง เขาก็ได้รับข้อความจากน้องชายของตัวเอง

“พี่ภู ฝนตกว่ะ ยังกลับบ้านไม่ได้นะ นั่งเคลียร์รายงานด้วย เพราะงั้นวันนี้ไม่ไปยิมนะ”

“เอ้า ฝนตกเหรอวะ กูเพิ่งตากผ้าเอง” เมื่อพิมพ์กดส่งไปเสร็จ เขาก็หันไปมองที่ระเบียงแล้วเห็นว่าเมฆดำครึ้มเริ่มลอยมาจริงๆ เสียด้วย “แม่งงงงง” เขาสบถกับตัวเองเบาๆ

เขายกราวตากผ้าเข้ามาเก็บไว้ในห้อง จากนั้นก็เตรียมเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าสำหรับไปยิม

.
.
.

ไอ้หมอนี่มันนั่งจ้องหน้ากูแบบนี้อีกแล้ว… พายุคิดในใจ

ตอนนี้ในห้องเรียนเหลือแค่เพียงเขาสองคน พายุและต่อ เพื่อนๆ คนอื่นต่างก็ไปเดินเล่นรอฝนหยุดที่ห้างสรรพสินค้า หรือไม่ก็กลับบ้านไปกันหมดแล้ว อาจจะมีพวกหนอนหนังสือบ้างบางคนไปนั่งที่ห้องสมุดหรือทำการบ้านที่โรงอาหารเพื่อรอฝนหยุด เหลือก็แต่เขากับต่อสองคนที่ยังนั่งกันอยู่ในห้องเรียน ที่จริงมันควรจะเป็นแค่เขาคนเดียวด้วยซ้ำ เพราะเขาต้องนั่งแก้รายงานที่ทำผิดให้เสร็จภายในวันนี้ก่อนห้าโมงครึ่ง แต่ไอ้เจ้าต่อนี่สิ ทำไมมันไม่ยอมกลับบ้านสักที

“ทำไมมึงไม่กลับบ้านวะ” พายุเงยหน้าขึ้นจากสมุดรายงานแล้วถามออกไป

“ก็ฝนตกอะ”

“กูรู้ว่ามึงมีร่ม”

“แต่มึงไม่มี และมึงยังงานไม่เสร็จ เพราะงั้นกูรอได้”

“โอ๊ยยยย รอทำไม มึงกลับไปก่อนเหอะ มานั่งมองหน้ากูแบบนี้ กูทำตัวไม่ถูกเว้ย”

“ไม่ให้มองหน้าแล้วจะให้มอง… Kไรอะ”

พายุหน้าแดงทันที “ไอ้เหี้ย! นี่เอาจริงๆ นะ กูว่าถ้ามึงมีไรในใจนะ บอกกูมาเลยเหอะ พูดมาเลยชัดๆ”

คราวนี้เป็นคราวของต่อที่หน้าแดงขึ้นบ้างแล้ว “อะไรในใจอะไรวะ”

“อะไรก็แล้วแต่ที่มึงคิดเกี่ยวกับกูอะ” พายุพูดเองก็หน้าแดงเอง เขาแน่ใจแล้วหรือเปล่าว่าพร้อมจะฟัง เรื่องนั้นเขาเองก็ยังไม่แน่ใจตัวเอง

ต่ออึกอัก “แล้วมึงจะเตะกูอีกปะ”

“ม… ไม่เตะ”

“แล้วมึงจะเดินหนีกูอีกมั้ย”

“ไม่หนี”

“แล้วมึงจะ… รังเกียจกูมั้ยวะ”

พายุรู้สึกหน้าของตัวเองร้อนผ่าว “กูว่ากูก็พอรู้มาสักพักแล้ว เพราะงั้นกูไม่รังเกียจมึงหรอก มึง… มึงจะพูดสิ่งที่กูกำลังคิดอยู่จริงๆ เหรอวะ”

“ถ้ามึงบอกให้กูพูดตรงๆ ชัดๆ ไม่พูดเล่นอีกแล้ว กูก็จะพูด…”

“กูอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้”

“เข้าใจผิดว่าอะไร”

พายุหลบตาต่อ “กูเป็นฝ่ายถามมึงนะ ไม่ใช่ให้มึงถามกลับ”

“เออ ก็ได้…”

ทั้งสองคนเงียบลงไปครู่หนึ่ง เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่นาที แต่ยาวนานจนพายุอึดอัด

“ไอ้พายุ…”

พายุเงยหน้าขึ้นมามองหน้าต่อ

“กูชอบมึงว่ะ” ต่อ ผู้ที่ปกติมีสีหน้าและแววตาที่ดูมั่นใจในตนเอง กลับกลายเป็นคนต้องหลบสายตาของพายุไปด้วยใบหน้าที่แดงและร้อนผ่าว “กูชอบมึงตั้งแต่วันแรกที่กูเจอมึงแล้ว กูก็เลยอยากจะอยู่กับมึงบ่อยๆ อยากมองหน้ามึงนานๆ มึงจะให้กูทำไงอะวะ” เขายกแขนขึ้นปิดหน้า

พายุที่ไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อนเลยในชีวิตยังต้องรู้สึกเขินจนทำตัวไม่ถูกไปด้วย “ต… แต่กูไม่ได้ชอบผู้ชายนะเว้ย แล้วเราก็เพื่อนกัน เป็นผู้ชายทั้งคู่ จู่ๆ มึงจะมารู้สึกแบบนั้นกับกูได้ไง”

“มึงไม่รู้จักคำว่า ‘เกย์’ เหรอวะ”

คำๆ นั้นทำเอาพายุผงะไปเล็กน้อย “ไม่ใช่ไม่รู้ ไอ้เหี้ย แต่แบบ มึง… รู้ตัวเองแล้วเหรอ มึงแน่ใจแล้วเหรอวะ มึงเพิ่งอายุ 16 เองนะเว้ย”

“กูก็รู้ตัวเองมาตั้งนานแล้วนั่นแหละ มันก็เหมือนกับที่มึงหรือคนอื่นๆ รู้ตัวเองว่าชอบผู้หญิง ชอบผู้หญิงสวย ชอบมองหุ่นผู้หญิงเซ็กซี่นั่นแหละ...” ต่อตอบ “และกูก็รู้สึกแบบนั้นกับมึง ไม่ใช่กับผู้หญิงหรือกับคนอื่น”

“ก… กู…”

ทั้งสองคนเงียบไปอีกครั้ง

“เดี๋ยวนะ ที่มึงพูดมาเมื่อกี้... อย่าบอกกูนะว่ามึงยังไม่รู้ตัวเองเลยน่ะ”

พายุหน้าแดง “ไม่รู้ว่ะ กูแค่ไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนั้นเลยมั้ง”

“แล้วเวลาชักว่าวอะ มึงคิดถึงอะไร”

“ไม่คิดถึงอะไรเลย ก็แค่ชักจนน้ำแตกแล้วก็จบ...”

“แล้วตอนดูหนังโป๊ล่ะ มึงมีอารมณ์กับ…”

“กูก็ดูหนังโป๊ชายหญิงปกติอะ กูไม่เคยดูหนังชายชาย แล้วก็ไม่เคยอยากดูนะเว้ย แต่เวลาดูหนังโป๊ บางที…” พายุที่เพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังพูดอะไรออกไปอยู่หยุดตัวเองลง เขาเงยหน้าขึ้นมองต่อ และเห็นดวงตาเป็นกระกายคู่นั้นกำลังมองเขาอยู่ด้วยแววตาสงสัย ใบหน้าที่เคยขาวละเอียดของต่อตอนนี้กลายเป็นสีแดงแปร๊ดราวกับมะเขือเทศ “พอแล้ว ไอ้เหี้ย! มึงให้กูพูดอะไรเนี่ย!” เขากวาดสมุดหนังสือและเครื่องเขียนบนโต๊ะลงกระเป๋า จากนั้นก็รีบลุกออกจากเก้าที่ทันที

“ไหนมึงบอกจะไม่เดินหนีกูไปอีกไง” ต่อพูดขึ้น

พายุชะงักฝีเท้าลงทันที

“นี่แปลว่ามึงก็คงรังเกียจกูด้วยใช่มั้ย” ต่อลุกขึ้นและค่อยๆ เดินไปหาพายุ “มึงเข้าใจรึยัง ว่าทำไมกูถึงไม่อยากบอกมึง มึงเข้าใจรึยังว่าการเป็นเกย์แล้วแอบชอบใครสักคนอะ มันยากขนาดไหน”

ไม่หรอก เขาไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลยกับคำพูดพวกนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำเสียงของต่อที่พูดแต่ละคำออกมานั้นมันทำให้พายุรู้สึกราวกับหัวใจของเขาถูกกรีดด้วยมีดที่แสนคม แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้ใจของเขาเต้นแรงมากขึ้นด้วย

“ไอ้พายุ…” เสียงของต่อที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นห่างจากเขาแค่ไม่กี่คืนทำให้พายุต้องรีบหันตัวกลับไปด้วยความตกใจ และนั่นก็ทำให้เขาถูกต่อรวบตัวกอดเอาไว้ทันที “กูชอบมึง เข้าใจมั้ย กูชอบมึง”

.
.
.

เสียงเคาะประตูคอนโดดังขึ้น นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ภูวาย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ที่มีคนมาเคาะห้องแบบนี้ ด้วยความแปลกใจ เขาจึงส่องดูที่ตาแมวก่อนจะเปิดประตูออก

“ครับ” ภูวาทักทายชายหนุ่มร่างกำยำคนที่เขาเดินสวนเมื่อตอนบ่าย

“ขอโทษที่รบกวนครับ ยุ่งอยู่รึเปล่า” อีกฝ่ายตอบกลับมา ท่าทางเก้อๆ กังๆ

“เปล่าครับ ไม่ยุ่งอะไร” ภูวาตอบ สังเกตได้ถึงน้ำเสียงที่ดูต่างออกไปของคนๆ นี้ “พอดีตอนแรกผมว่าจะออกไปยิม แต่ฝนตกหนักก็เลยไม่ได้ไป”

“อ้อ คือ… พอดีผมเพิ่งย้ายเข้ามาวันนี้น่ะครับ แล้วเพิ่งจัดของเสร็จ ตอนแรกก็ว่าจะออกไปซื้อของเพิ่ม แต่ฝนตกเลยออกไปไม่ได้ ก็เลย… เอ่ออ… ก็เลยอยากจะรบกวนขอยืมของบางอย่างหน่อยได้มั้ยครับ”

“อ๋อ ได้สิครับ พี่จะเอาอะไรอะครับ”

“ไม่แน่ใจว่ามีเครื่องดูดฝุ่นกับไม้ม็อบให้ผมยืมหน่อยมั้ยครับ ขอใช้แป๊บนึงแล้วเดี๋ยวรีบเอามาคืน”

“อ๋อ มีครับ รอแป๊บนึงนะครับพี่… เอ่ออ… เข้ามารอในห้องก็ได้นะครับ” ภูวาเขยิบตัวให้ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้อง

“ขอบคุณมากครับ”

“เดี๋ยวผมไปหยิบมาให้ครับ” ภูวาเดินเข้าไปหยิบไม้ม็อบกับเครื่องดูดฝุ่นขนาดเล็กกลับมายื่นให้เพื่อนบ้านใหม่ของเขา “นี่ครับ เครื่องดูดฝุ่นผมมีแต่แบบนี้นะครับ ไม่รู้ใช้ได้มั้ย”

“ได้ครับ ขอบคุณมาก…”

“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ใช้ก่อนก็ได้นะครับ ผมไม่รีบ”

“เดี๋ยวคืนนี้ผมเอามาคืนครับ เอ่ออ… ผมชื่อเคนนะครับ”

“ผมภูวาครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” เคนพยักหน้าให้ภูวาเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

ภูวานึกสงสัยขึ้นมาว่าพี่คนนี้เขาก็ดูนิสัยดีนี่หว่า ดูไม่เหมือนคนที่เขาเห็นเมื่อตอนบ่ายสักนิดเลย คนที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่นัก หรืออาจจะเป็นเพราะหน้าตาของเขาบวกกับการที่เขากำลังหงุดหงิดอยู่ก็ได้ล่ะมั้ง

ที่จริงเคนก็อายุไม่ต่างกับภูวามาก แต่ว่าเขามีรูปร่างที่สูงใหญ่ ใบหน้าของเขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ อาจจะเพราะด้วยหนวดเคราที่เขาไม่ได้โกนมาหลายวัน โครงหน้าและกรามอันคมสันชัดเจน และที่สำคัญคือดวงตาที่ค่อนข้างดุดันคู่นั้น ที่ทำให้ภูวาคิดว่าเคนอายุมากกว่าและดูไม่เป็นมิตร ซึ่งจะว่าไป ภูวาก็ไม่ได้เข้าใจผิดเสียทีเดียว เพราะเคนไม่ใช่คนที่เข้าหาใครและผูกมิตรกับคนอื่นง่ายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

เคนเดินกลับไปยังห้องของตัวเองและถอนหายใจเบาๆ หลังจากปิดประตูลง

“ไง ก็ไม่ยากใช่ปะล่ะ” ชล ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นทักพร้อมรอยยิ้ม

“ไม่ต้องพูดมากเลย ดีนะที่น้องมันดูเป็นคนดีน่ะ ไม่งั้นเขาคงคิดว่าผมเป็นโรคจิตหรืออะไรแน่ๆ”

“คุณคิดมากเกินไปอีกแล้วววว แค่ไปขอยืมของใช้จากเพื่อนบ้าน มันจะเป็นโรคจิตได้ยังไงวะ” ชลลุกขึ้นยืน

“ไม่รู้เว้ย ปกติแล้วคนไทยเค้าทักทายกันง่ายๆ แบบนี้เหรอ เค้าจะไม่คิดว่าผมไปจีบเค้ารึไง”

“ก็แล้วไงล่ะ น้องเค้าก็น่ารักดีไม่ใช่รึไง”

เคนหรี่ตามองชลราวกับเสือที่พร้อมจะกระโจนเข้ากัดกระชากเหยื่อ “ไม่ตลกนะเว้ย”

ชลยักไหล่ “แต่ยังไงก็เถอะ คุณต้องเริ่มที่จะเปลี่ยน ที่นี่ไม่ใช่ที่บอสตัน ไม่ใช่อเมริกา แต่เป็นประเทศไทย บ้านหลังใหม่ของคุณ ที่ที่คุณต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ที่ที่คุณต้องเดินต่อ เพราะงั้นการหัดพูดคุยกับคนแปลกหน้า ทักทายคนอื่นที่น่าจะเจอหน้ากันบ่อยๆ บ้าง มันก็ไม่ควรเป็นเรื่องที่คุณจะพยายามหลีกเลี่ยง”

เคนรู้ว่าสิ่งที่ชลพูดนั้นถูกต้อง แต่อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นคนหัวดื้อ หรือเพราะใจของเขามันยังไม่พร้อมจะยอมรับก็ตาม เขายังทำใจเชื่อฟังในสิ่งที่เพิ่งได้ยินไม่ได้

“เสร็จธุระแล้วก็กลับไปได้แล้ว ผมอยากพักผ่อน”

“แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะมาหาอีกก็แล้วกัน” ชลพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินไปยังประตูคอนโด “วันนี้ก็พักผ่อนซะนะครับ”

“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป”

ชลหันกลับมามองเคนด้วยสีหน้าสงสัย

“ภูวาสะกดยังไง…” เคนถาม

ชลยิ้ม “เดี๋ยวพิมพ์ส่งไปให้ในว็อทสแอป” เมื่อพูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไป

เคนนั่งลงบนโซฟาแล้วรอสักพักก็ได้ข้อความจากชล ‘ภูวา’ เขารู้สึกสะกิดใจกับชื่อนี้มากเพราะเป็นชื่อที่เขาไม่เคยได้ยินและไม่คุ้นหูมาก่อน เขาลองกูเกิ้ลหาความหมายของชื่อแล้วก็ยิ้มให้ตัวเองน้อยๆ

ภูวา แปลว่าขุนเขาแห่งสายน้ำ

สายน้ำงั้นเหรอ… เขาคิด

เคน เป็นลูกครึ่งที่มีเชื้อสายทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น และอเมริกัน พ่อของเขาเป็นนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นอเมริกัน ส่วนแม่ของเขาเป็นคนไทยเชื้อสายจีน เขาใช้ชีวิตมาแล้วหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย แต่ไปโตและเรียนอยู่ที่อเมริกา จนกระทั่งเขาเลือกทางเดินอาชีพและชีวิตที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวเท่าไหร่นัก เขาจำต้องห่างบ้าน ห่างครอบครัว และเคยต้องไปอยู่ต่างประเทศที่ห่างไกลมาก่อน แต่ในตอนนั้นเขาต้องการการเปลี่ยนแปลง เขาต้องการหลีกหนีบางอย่าง หลีกหนีจากคนบางคนที่เขารักมากที่สุด แต่แล้วก็กลับกลายเป็นการตัดสินใจนั้นเองที่ทำให้เขาสูญเสียคนๆ นั้นและทุกอย่างไปในภายหลัง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจยอมกลับมาที่ประเทศไทย สถานที่ที่เขาเคยถูกเลี้ยงดูอยู่ช่วงหนึ่ง และเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของแม่ของเขาด้วย

ชลคือลูกพี่ลูกน้องทางฝั่งแม่ของเขาและเป็นเพื่อนของเขามาตั้งแต่เด็ก ชลเคยไปพักอยู่ที่บ้านของเคนที่บอสตันบ่อยๆ ในตอนนี้ชลที่อายุมากกว่าเขาเกือบ 5 ปี มีหน้าที่การงานเป็นนักกฎหมายและช่วยดูแลกิจการรีสอร์ทในเครือของครอบครัวทางฝั่งแม่ของเขา เคนรู้ดีว่าในสายตาญาติๆ ที่ประเทศไทย เขาคงไม่ต่างอะไรจากคนนอก แต่ชลก็ยังคงทำหน้าที่เป็นทั้งพี่ เพื่อน และผู้ดูแลที่ดีให้แก่เขามาโดยตลอด

เคนถอนหายใจก่อนจะเอนตัวลงบนโซฟาแล้วโยนโทรศัพท์มือถือลงข้างตัว

สายน้ำ… แม่น้ำ… ทะเล...

“Toru…” เขาพึมพำขึ้นเบาๆ  “อยากไปทะเลว่ะ


*Toru แปลว่า ทะเล

ออฟไลน์ piggyfree

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
Re: Lost Love: รักที่สูญหาย
«ตอบ #6 เมื่อ30-05-2020 07:09:35 »

คิดถึงเด้อ    เดี๋ยวแวะมาอ่านนะคะ

ออฟไลน์ คิณทรธ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
    • ทวิตเตอร์เด้อ
Re: Lost Love: รักที่สูญหาย
«ตอบ #7 เมื่อ30-05-2020 09:33:08 »

ดีใจที่มีโอกาสได้อ่านนิยายเรื่องใหม่ของพี่
ขอบคุณที่กลับมานะครับ
 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
Re: Lost Love: รักที่สูญหาย (ตอนที่ 2)
«ตอบ #8 เมื่อ01-06-2020 15:05:28 »

ยินดีต้อนรับการกลับมาครับ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: Lost Love: รักที่สูญหาย (ตอนที่ 2)
«ตอบ #9 เมื่อ03-06-2020 10:48:30 »

ขอบคุณที่ต้องรับการกลับมาครับ เล้าเปลี่ยนไปเยอะเลยเนาะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Lost Love: รักที่สูญหาย (ตอนที่ 2)
« ตอบ #9 เมื่อ: 03-06-2020 10:48:30 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: Lost Love: รักที่สูญหาย (ตอนที่ 2)
«ตอบ #10 เมื่อ03-06-2020 10:53:17 »


ตอนที่ 3

สองพี่น้องกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของคอนโดด้วยกัน เช่นเดียวกับคอนโดสองห้องนอนอีกหลายที่ในเมือง พื้นที่ส่วนห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว และครัว เป็นพื้นที่เปิดที่ทุกคนในครอบครัวสามารถใช้ได้ร่วมกัน ภูวากำลังนั่งตอบอีเมลพร้อมกับดื่มชาร้อนอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ส่วนพายุกำลังนั่งทำรายงานที่ยังทำไม่เสร็จอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่สายตาของเขากลับไม่ได้มองสมุดรายงานบนโต๊ะเลยสักนิดเดียว พายุกำลังเหม่อมองไปยังหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของพี่ชายของตัวเอง ส่วนในหัวก็เอาแต่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นนี้ในห้องเรียน

.
.
.

“เฮ้ย! มึงปล่อยกู! เดี๋ยวคนอื่นมาเห็น!” พายุพยายามดันตัวออกจากอ้อมแขนของต่อ

“ทีมึงยังเคยกอดกับเพื่อนคนอื่นเล่นได้เลย อย่างไอ้เอ หรือไอ้ทิวงี้”

“นั่นมันไม่เหมือนกันเว้ย”
   
“ต่างกันยังไง”

“ก็สองคนนั้นมันเพื่อนกู!”

“กูก็เพื่อนมึง”

“ต… แต่คนอื่นมันไม่ได้คิดกับกูเหมือนที่มึงคิด!”

ต่อยอมคลายวงแขนของตัวเองออก พายุอาศัยจังหวะนั้นสะบัดตัวเพื่อเป็นอิสระแล้วหันไปมองหน้าของอีกฝ่าย

“มึงอย่าทำแบบนั้นกับกูอีก!” เขาจ้องหน้าต่อเขม็ง

“มึงเกลียดกูใช่มั้ยวะ” ต่อหน้าเสีย

“กูบอกว่ากูไม่ได้เกลียดมึง… แต่...แต่…” พายุรู้สึกตัวเองอึดอัดทำตัวไม่ถูก เขาทั้งเขิน อาย โกรธและสับสนจนแทบจะเป็นบ้า “ไม่รู้เว้ย!! เอาเป็นว่ามึงอย่าทำแบบนั้นกับกูอีก เข้าใจรึเปล่า!” เมื่อพูดจบเขาก็ปึงปังออกจากห้องเรียนไปทันที

.
.
.

“เฮ้ย” เสียงของภูวาปลุกพายุให้ตื่นจากภวังค์ “เหม่อไรวะ ไม่ทำการบ้านรึไง”

“อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้วน่า” พายุพึมพำตอบกลับ

ภูวาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง เขามองน้องชายของตัวเองด้วยความสงสัย ทำไมมันต้องหน้าแดงด้วยวะ หรือว่ามันจะไม่สบาย แต่มันก็ไม่ได้บ่นไม่สบายอะไรนี่หว่า

เขายักไหล่เบาๆ ตัดสินใจไม่ถามเซ้าซี้ต่อเพราะคิดว่าถ้าน้องชายของเขาไม่สบาย เจ้าตัวมันก็คงบอกออกมาเองนั่นล่ะ

“ว่าแต่ข้าวเย็นวันนี้อยากกินไร จะได้โทรสั่ง”

เงียบ… พายุกำลังนั่งคิดถึงเรื่องอื่นอยู่เลยไม่ได้ยินสิ่งที่ภูวาถาม

“พายุ คืนนี้อยากกินอะไร”

ยังคงเงียบ ไม่มีเสียงตอบใดๆ ทั้งสิ้น

“เฮ้ย ไอ้พายุ...” ภูวาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยกแก้วชาอู่หลงของตัวเองขึ้นจิบ ‘มันเป็นเหี้ยอะไรของมันวะ’

“พี่ภู… เคยกอดผู้ชายปะ”

พรึ่ดดดด!! ภูวาสำลักชาที่กำลังดื่ม ทำเอาเขาไอโขลกอยู่ 3-4 ที ก่อนจะตั้งหลักได้

“ม… เมื่อกี้มึงถามว่าไงนะ ชิบหาย คอมกู ไอ้ห่าเอ๊ย” เขาพึมพำคำสุดท้ายพลางใช้ทิชชู่เช็ดหน้าจอแล็ปท็อป

“พายุถามว่าพี่ภูเคยกอดผู้ชายคนอื่นรึเปล่า เพื่อนไรงี้อะ”

“ทำไมจู่ๆ ถามเรื่องนี้วะ”

“ไม่ทำไมหรอกน่า ตอบๆ มาเหอะ อยากรู้”

ภูวาคิดครู่หนึ่ง “เคย ก็ปกติป่าววะ เพื่อนผู้ชายกันบางทีมันก็กอดรัดเล่นกัน เวลาดีใจก็เคยกอดกัน ตอนเสียใจอกหักก็เคยกอดปลอบกัน มันก็มีบ้างอะ”

“แล้วถ้า…” พายุหยุดตัวเองลงทันก่อนที่จะหลุดพูดอะไรน่าสงสัยไปมากกว่านั้น

“ถ้าอะไร… นี่มึงกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่วะ ไอ้พายุ วันนี้ที่โรงเรียนเกิดเรื่องอะไรขึ้น” พอพูดจบปุ๊บ ยังไม่ทันที่พายุจะได้ตอบ เสียงเคาะประตูคอนโดของพวกเขาก็ดังขึ้น

คราวนี้ภูวาลุกเดินไปเปิดประตูออกทันทีโดยไม่จำเป็นต้องส่องมองดูที่ตาแมวก่อน เพราะเขาพอจะเดาได้ว่าคนที่มาหาน่าจะเป็นใคร

“ผมเอาเครื่องดูดฝุ่นกับไม้ม็อบมาคืนครับ” เคนที่ยืนอยู่หน้าประตูพูดขึ้น

“ขอบคุณครับพี่ จริงๆ ไม่ต้องรีบคืนก็ได้นะครับ เอาไว้ใช้ก่อนก็ได้”

“ไม่เป็นไรครับ ผมใช้เสร็จแล้ว ขอบคุณมาก” เคนตอบกลับ เขายังคงทำตัวและเลือกใช้น้ำเสียงไม่ค่อยถูกอยู่ดี

ภูวามองดูไม้ม็อบที่ตัวเองรับมาถือเอาไว้ “ทำไมผ้ามันแห้งจังอะครับ”

“เอ่ออ…” เคนอึกอักทันที จะให้เขาตอบว่าเขาไม่ได้จำเป็นต้องใช้แต่โดนบังคับให้มาขอยืมเพื่อหาเรื่องคุยกับเพื่อนบ้านก็คงจะไม่ได้แน่ๆ “พอดีผม… ใช้แค่เครื่องดูดฝุ่นน่ะครับ มีผ้าที่ไม่ได้ใช้อยู่ผืนนึง ก็เลยใช้อันนั้นพอ”

“งั้น… พี่เอาไว้ใช้ก่อนก็ได้นะครับ มีน้ำยาถูพื้นรึเปล่า เอาของผมไปใช้ก่อนก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมก็ออกไปซื้อแล้ว”

พายุที่นั่งหันหลังให้ประตูห้องหันตัวกลับมามองดูและเงี่ยหูฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสอง เมื่อเขาสบตากับเคน เขาก็ยกมือขึ้นไหว้ตามนิสัยของเขา

เคนรับไหว้อย่างเก้ๆ กังๆ เขาไม่เคยรับไหว้ใครมาก่อนเลยในชีวิต

“อ้อ นั่นไอ้น้องชายผมเองครับ ชื่อพายุ ถ้าวันไหนพี่มีอะไรให้ผมช่วยแต่ผมไม่อยู่ ก็บอกมันหรือเรียกใช้มันได้เลยนะครับ” ภูวาแนะนำ

“ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ แล้วเจอกันครับ” เคนตอบกลับพลางยื่นมือขวาออกไปตามความเคยชิน แต่เมื่อเห็นว่าภูวามองมือของเขาด้วยสีหน้างงๆ แล้ว เขาก็รีบชักมือกลับแล้วเดินกลับห้องตัวเองไปทันที

“ใครอะ พี่ภู” พายุถามหลังจากปิดประตูห้องลง

“พี่เค้าชื่อเคน เพิ่งย้ายมาห้องตรงข้ามเราอะ”

“คนชาติไหนอะ​ รึลูกครึ่งปะ”

“เออว่ะ จะว่าไปก็สำเนียงแปร่งๆ นิดๆ เหมือนกันนะ ตอนแรกนึกว่าแค่ลิ้นไก่สั้น”

“แค่หน้าก็ไม่ค่อยไทยแล้วมั้ยอะ​ พี่ภู”

“อ้าวเหรอวะ ดูไม่ออกว่ะ”

“สรุป​ พี่ภูสั่งพิซซ่าเหอะ ถาดกลางสองถาด ถาดละสองหน้า หน้าไรก็ได้ที่ไม่มีสับปะรด ปีกไก่ 10 ชิ้น สปาเก็ตตี้ผัดฉ่ามาแบ่งกันคนละครึ่ง แค่นี้พอละ”

“นี่มึงแน่ใจนะว่าอยากจะฟิตหุ่นน่ะ”

“โอ๊ยยยย พายุเพิ่งอายุ 16 กำลังโต แถมมีเวลาฟิตอีกนาน ยังไม่แก่แบบพี่ภูสักหน่อย”

“ว่ากูแก่เหรอ จ่ายค่าพิซซ่าเองนะงั้นอะ”

“ฟ้องแม่นะ”

“โว้ยยย ไอ้ลูกแหง่ เอะอะฟ้องแม่ๆ”

ในขณะที่สองพี่น้องกำลังเม้งใส่กันอยู่นั้น มีคนๆ หนึ่งกำลังนอนเหม่ออยู่บนเตียงในห้องของตัวเอง ใบหน้าของเขาแดงก่ำ เขาหยิบหมอนข้างมากอดแล้วพลิกตัวไปมาอย่างงุ่นง่าน ต่อเองก็พอรู้แหละว่าพายุน่าจะรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรด้วย แต่เขาไม่เคยกล้าบอกออกไปเพราะกลัวจะเสียเพื่อน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ว่าพายุไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น และในเมื่อพายุเองก็น่าจะรู้ตัวอยู่แล้ว การบอกออกไปตรงๆ น่าจะดีที่สุด แต่แทนที่เขาจะรู้สึกโล่งใจหลังจากได้พูดออกไป ทำไมเขากลับยิ่งรู้สึกสับสนและกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก

มันก็ดีใจแหละ ดีใจมากด้วย โล่งใจด้วย แต่ใต้ความโล่งใจนั้นมันก็มีความกลัวแฝงซ่อนอยู่ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป พายุจะยังปฏิบัติกับเขาเหมือนเดิมหรือเปล่า เขาไม่ขออะไรมากหรอก ไม่ได้ขอให้พายุชอบเขากลับ เขายังไม่ต้องการคำตอบในตอนนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพายุชอบผู้ชายหรือไม่ แต่เขาขอแค่พายุไม่เลิกคุยกับเขา ไม่เลิกคบเขา… ไม่รังเกียจเขาที่ไปหลงรักเขาเข้า เท่านั้นก็พอแล้ว

“โอ๊ยยยยยยย ทำไมใจกูเต้นแรงแบบนี้วะ!” เขาพูดใส่หมอนข้างแล้วฟาดมันไปมาบนเตียง

“ไอ้ต่อ!” เสียงเคาะประตูห้องของเขาดังขึ้น “แม่เรียกให้ลงไปข้างล่าง”

“เออๆ แป๊บนึง!” เขาลุกออกจากเตียง

บ้านของต่อมีสมาชิกอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่คน พ่อ แม่ เขา และพี่ชายของเขาที่อยู่ชั้นมัธยม 6 โรงเรียนเดียวกัน พี่ชายของเขาเรียนที่นี่มาตั้งแต่มัธยม 1 แต่เขาเพิ่งย้ายมาที่นี่เมื่อตอนต้นเทอม เพราะพ่อกับแม่ของเขามองว่าโรงเรียนนี้ดีกว่าที่เก่าที่เขาเคยเรียนอยู่ อยากให้พี่กับน้องอยู่ด้วยกัน แล้วก็อีกเหตุผลหนึ่ง แต่ต่อก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่ได้เรียนที่เดียวกับพี่มาตั้งแต่แรก

“เป็นยังไงบ้างต่อ เรื่องเรียน” แม่ของเขาถาม

“ก็โอเคแหละครับ”

“แล้วเรื่องเพื่อนล่ะ”

“เรื่องเพื่อนก็โอเคครับ เปิดเทอมมานานแล้วนะแม่ ไม่ต้องห่วงแล้ว”

“แม่แกเค้าห่วงว่าแกจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ เพราะตอนแรกแกทำท่าไม่อยากย้ายโรงเรียนซะขนาดนั้น” พ่อของเขาพูดขึ้น

เรื่องนั้นมันก็ใช่ ตอนแรกที่พ่อกับแม่บอกว่าจะให้เขาย้ายโรงเรียน เขาต่อต้านหัวชนฝามาก แต่เมื่อได้เจอหน้าพายุในวันแรกที่ไปโรงเรียน ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

“แล้วทำไมตอนเช้าไม่ไปโรงเรียนพร้อมเจ้าตอง” ตองคือพี่ชายของเขา “เห็นตองมันบอกว่าปกติต่อไปหาเพื่อนก่อนแล้วค่อยไปพร้อมเพื่อนคนนั้นเหรอ”

ไอ้ตอง… ช่างฟ้องนักนะมึง

“ครับแม่ ก็บ้านเพื่อนอยู่ไม่ไกลอะ เพื่อนคนแรกของต่อด้วย ก็เลยไปพร้อมมัน แต่ไอ้ตองเองบางทีมันก็ไปพร้อมเพื่อนมันเหมือนกันนี่นา”

“แม่เค้ายังไม่ได้ว่าอะไรเลย แล้วก็ไม่ต้องตั้งป้อมใส่ไอ้ตองมัน” พ่อพูด ปกป้องพี่ชายของต่อเหมือนเคย

“แม่เห็นเรามีเพื่อนสนิทไปไหนมาไหนด้วยแม่ก็ดีใจแล้ว แล้วนี่ใกล้สอบรึยัง”

“ก็ใกล้แล้วล่ะมั้งครับ”

“งั้นก็ตั้งใจอ่านหนังสือนะลูก อย่าเอาแต่เที่ยวเล่นรึเล่นแต่กีฬามากไปอีกล่ะ”

“เรื่องตั้งแต่สมัย ม. 2 แม่จะอะไรอีกอ่าาาา”

ถ้าพูดถึงเรื่องการเรียน ต่อเป็นเด็กที่มีผลการเรียนกลางๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เขามีเป็นพรสววรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิดคือเรื่องความสามารถด้านกีฬา เขาไม่ใช่แค่เล่นกีฬาเก่ง แต่มีสายตาที่ยอดเยี่ยมและประสาทตอบรับที่ว่องไว สองสิ่งนี้ทำให้เขาได้เปรียบเด็กรุ่นเดียวกันหรือแม้แต่ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในแทบทุกชนิดกีฬาที่เขาเคยเล่นมา ไม่ว่าจะเป็นฟุตบอล บาสเก็ตบอล ปิงปอง เทนนิส หรือแม้แต่ศิลปะการต่อสู้อย่างเทควันโด ที่เขาฝึกฝนมาตั้งแต่ประถมต้น หลังจากเข้าเรียนมัธยมต้น ร่างกายของเขาเริ่มพัฒนาจากวัยเด็กสู่วัยรุ่น ความสามารถด้านกีฬาของเขาก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น ทำให้ช่วงหนึ่งเขา “ได้ใจ” มุ่งมั่นแต่กับการแข่งขันกีฬา การได้เอาชนะคนอื่นๆ และการเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ ที่ยอมรับในตัวของเขามากจนเกินไปจนทำให้เขาเริ่มเสียการเรียน แต่เขาใช้วิธีปลอมคะแนนและเกรดของตัวเองเพื่อปกปิดพ่อแม่มาตลอด จนกระทั่งความลับถูกเปิดเผย

อาจารย์ฝ่ายปกครองแจ้งพ่อกับแม่ของเขาว่าเขาปีนรั้วโรงเรียนเพื่อหนีออกไปเที่ยวและมีเรื่องชกต่อยกับเด็กโรงเรียนอื่น การเห็นแม่ร้องไห้เพราะเขาเป็นครั้งแรกทำให้หัวใจของเขาสลาย แต่สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่านั้นมาก คือการที่พ่อกับแม่สั่งเขาเลิกทำกิจกรรมและกีฬาทุกชนิดเป็นเวลาหนึ่งปี การที่พ่อกับแม่ไม่สามารถไว้ใจเขาได้เหมือนอย่างเดิม และการที่เขาถูกสั่งให้ย้ายโรงเรียน แม้พวกเขาจะบอกต่อว่าการย้ายโรงเรียนไม่ใช่เพราะเรื่องที่เคยเกิดขึ้นหรือเพราะไม่เชื่อใจให้เขาอยู่กับเพื่อนกลุ่มเดิม... แต่ต่อไม่คิดอย่างนั้น

นั่นคือเหตุผลที่ตอนแรกเขารู้สึกหัวเสียมากที่ต้องย้ายโรงเรียน มาเริ่มต้นใหม่กับสังคมใหม่ กับใครบ้างก็ไม่รู้ที่เขาไม่รู้จัก

นอกเหนือจากนั้น ช่วงนั้นยังเป็นช่วงที่เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย เขารู้มาตลอดว่าเขาแตกต่างจากเด็กผู้ชายคนอื่นทั่วไป เขาไม่รู้สึกชอบผู้หญิง แต่เขาชอบผู้ชาย และไม่ใช่ผู้ชายที่ตุ้งติ้งแบบผู้หญิงด้วย เขาชอบผู้ชายธรรมดาๆ ไม่ต้องหล่อมากมาย ขอแค่เขาเห็นแล้วชอบ ตาสวย และยิ้มสวย หุ่นกำลังดี ไม่จำเป็นต้องสูงเท่าเขาหรือมีกล้ามเนื้อแบบเขาด้วยซ้ำ ยิ่งเจ้าเนื้อนิดๆ เนี่ย นิ่งน่าฟัด!

พักหลังๆ เขาถึงยิ่งรู้สึกอึดอัดเข้าไปใหญ่เพราะเขาไม่เคยบอกเรื่องพวกนี้กับใคร เขาไม่กล้าให้เพื่อนๆ น้องๆ ที่ชื่นชมในตัวของเขารู้ และเขาก็ไม่อยากถูกคนอื่นล้อหรือมองเขาเปลี่ยนไป ความกลัวคืบคลานเข้ามาครอบคลุมและกัดกินในใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งเขาก็นึกเกลียดตัวเองที่ทำไมต้องแตกต่างจากเด็กผู้ชายคนอื่นๆ แต่ในขณะเดียวกัน ความอยากได้กอด ได้สัมผัส ได้ลองทำอะไรกับผู้ชายคนอื่นบ้างมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวของต่อเองไม่รู้หรอกว่ามันคือเรื่องของฮอร์โมน และเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กผู้ชายในวัยของเขา แต่การที่เขาพยายามเก็บมันเอาไว้ทำให้เขากลายเป็นคนมีอารมณ์ฉุนฉียวง่าย และเขาก็หาที่ลงที่ไหนไม่ได้ นอกจากการแสดงออกผ่านทางสีหน้าหรือทำตัว “ดื้อเงียบ” กับคนที่บ้าน คนแรกๆ ที่เป็นเป้าหมายของต่อก็คือตอง พี่ชายของเขานั่นเอง เพราะเขารู้สึกว่าตองคือคู่แข่งของเขาอยู่เสมอ เขามักรู้สึกว่าตองได้รับการปฏิบัติจากพ่อแม่ดีกว่าเขาเสมอ และนั่นก็ทำให้เขาไม่สบอารมณ์มาโดยตลอด

“เอาวะ คิดซะว่านี่เป็นโอกาสที่มึงจะได้ลองเปิดตัวเองมากขึ้นในสังคมใหม่นะเว้ย…” ต่อเคยบอกกับตัวเองแบบนั้นก่อนจะเปิดเทอม

แต่เขาเป็นคนแสดงออกอารมณ์ด้านที่เปราะบางของตัวเองไม่ค่อยเก่ง บุคลิกและความเป็นผู้นำในตัวทำให้เขาเป็นคนตรงไปตรงมาจนแทบจะขวานผ่าซากในหลายๆ หน เขาพยายามแสดงออกว่าเป็นคนมั่นใจในตัวเองเพื่อปกปิดความอ่อนไหวในตัวเอง เขาเลยกลายเป็นคนที่ไม่เก่งในเรื่องการแสดงออกด้านความรักและด้านอ่อนโยนของตัวเองให้ใครเห็นเสียเท่าไหร่

เช้าเปิดเทอมวันแรก เขาไปโรงเรียนใหม่พร้อมตองด้วยอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ทั้งรู้สึกตื่นเต้น อึดอัด กังวล และสับสน สับสนว่าเขาควรจะวางตัวอย่างไรดี จะแสดงออกอย่างไร เขาควรจะบอกเพื่อนใหม่ไปเลยไหมว่าเขาเป็นเกย์ แต่คนพวกนั้นนิสัยอย่างไร เป็นอย่างอย่างไรกันบ้างเขาก็ยังไม่รู้ และจะว่าไป ที่โรงเรียนนี้มีคนที่เป็นแบบเดียวกับเขาบ้างหรือเปล่า เพราะเขาไม่เคยรู้จักใครที่ชอบผู้ชายแต่ไม่แสดงออกตอนที่อยู่โรงเรียนเก่าเลย

ความคิด อารมณ์ ความรู้สึกหลายๆ อย่างในตัวของเขามันคุกรุ่นและปนเปจนยุ่งเหยิง และแน่นอนว่ามันแสดงออกมาผ่านทางสีหน้าของเขา เมื่อเขาก้าวเข้าไปในห้องเรียนที่มีนักเรียนจำนวนหนึ่งนั่งหรือยืนคุยกันอยู่บ้างแล้ว เขาก็เป็นจุดสนใจของนักเรียนหลายๆ คนทันที แต่เขาไม่ได้มองคนเหล่านั้น ต่อเดินก้มหน้าตรงไปยังโต๊ะตัวที่ว่างอยู่แถวหลังสุดแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ทันที จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแชทคุยกับเพื่อนเก่า เวลาผ่านไปไม่นาน เขาเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอเพราะได้ยินเสียงคนคุยทักทายกันใกล้ๆ และเห็นพายุกำลังส่งยิ้มและโบกมือให้เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในห้อง ทันทีที่เขาเห็นใบหน้าและรอยยิ้มนั่น หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นทันที กระบวนความคิดของเขาทำงานอย่างรวดเร็ว เขาจะทำอย่างไรดี จะปล่อยไปเฉยๆ ทำตัวเหมือนเดิมที่เป็นมาเหมือนเมื่อตอนอยู่โรงเรียนเก่า เก็บเงียบความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ หรือจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้วลองเข้าไปคุยกัยหมอนั่นตอนนี้เลย แต่อีกใจก็คิดว่าคุยทีหลังก็ได้นี่หว่า ค่อยๆ ทำความรู้จักกันไปเพราะยังไงพวกเขาก็เรียนอยู่ห้องเดียวกันอยู่แล้ว ไม่สิ ถ้าเขาเริ่มต้นจากค่อยๆ เป็นเพื่อนกัน เดี๋ยวเขาก็จะลงเอยแบบเดิมอีก เก็บความลับนี้เงียบเอาไว้คนเดียวอย่างทรมานใจแล้วก็คงไม่กล้าแสดงออกหรือทำอะไรอีกแน่ แต่ยังไงล่ะ จะให้จู่ๆ เดินเข้าไปหาเขาแล้วบอกว่า “เฮ้ย มึง กูเป็นเกย์นะ กูชอบหน้ามึงว่ะ” แบบนี้เหรอวะ มันก็เป็นไปไม่ได้สิโว้ย!

เมื่อเห็นพายุนั่งลงคนเดียวที่โต๊ะตัวที่อยู่แถวถัดจากเขาไปข้างหน้า 3-4 แถว ต่อก็รวบรวมความกล้าแล้วตัดสินใจคว้ากระเป๋านักเรียนขึ้น

“เฮ้ยนายชื่อไรวะ... เราชื่อต่อนะ” ต่อเดินเข้าไปคุยกับพายุ เขาพยายามควบคุมสีหน้าและน้ำเสียงของตัวเองให้เป็นปกติที่สุด

.
.
.

“ต่อ” เสียงทุ้มต่ำของพ่อปลุกต่อจากภวังค์ความคิด “เป็นอะไร จู่ๆ ก็หน้าแดง ไม่สบายรึเปล่า”

“ป… เปล่าครับ” ต่อรีบหันหน้าหลบ

“ช่วงนี้ฝนตกบ่อย ตากฝนจนไม่สบายมารึเปล่าเนี่ย” แม่ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“เปล่าครับ ไม่รู้เหมือนกัน เออ ต่อก็รู้สึกเพลียๆ แหละ ถ้าไงต่อไปนอนก่อนแล้วกันนะครับ พ่อกับแม่มีอะไจะคุยอีกรึเปล่า” เขาลุกขึ้นยืน

ผู้ใหญ่ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่พ่อจะเป็นฝ่ายพูดขึ้น “ไม่มีแล้วล่ะ ไปพักผ่อนเถอะ อ้อ อย่าลืมอ่านหนังสือเตรียมสอบด้วยล่ะ การบ้านก็อย่าให้ขาด เข้าใจไหม”

“คร้าบบบบ รู้แล้วล่ะน่า” ต่อตะโกนรับคำขณะวิ่งขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว

เช้าวันถัดมา พายุรู้สึกว่าตัวเองใจเต้นแรงกว่าปกติมาก การเดินเข้าห้องเรียนไม่เคยทำให้เขารู้สึกแบบนี้มาก่อน ถึงแม้เขาจะพอเดาได้ตั้งนานแล้วว่าต่อน่าจะคิดอะไรมากกว่าคำว่าเพื่อนกับเขา แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน และการได้ยินมันออกมาจากปากเขาตรงๆ ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกหลายๆ อย่างของพายุไปอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นมันเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร เขารู้สึกอย่างไร และมันจะทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับต่อเปลี่ยนไปหรือไม่ เขาใช้เวลาเกือบทั้งคืนคิดถึงเรื่องนี้จนได้นอนไปแค่ไม่ถึงสามชั่วโมงเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังไม่เข้าใจตัวเองอยู่ดี... ใช่ เขาไม่ได้รังเกียจต่อเลย เขาเองก็ชอบต่อ แต่ในฐานะเพื่อนเท่านั้น ตอนแรกที่เขาแค่สงสัยว่าต่อจะชอบเขา เขาก็ยังไม่เคยรู้สึกลำบากใจอะไร แต่พอมาตอนนี้ เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าควรทำตัวอย่างไร ถ้าเขายังทำตัวเป็นปกติเหมือนเดิม ต่อจะคิดว่าเขาเองก็ชอบต่อด้วยเหมือนกันไหม มันจะทำให้ต่อเข้าใจผิดหรือเปล่า เขาควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง หรือควรจะถอยห่างออกมาเลยดี แต่เขาก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้น ต่อเป็นคนดี เป็นเพื่อนที่ดี และเขาก็ไม่อยากเสียเพื่อนไป

“เป็นเหี้ยไรวะพายุ ทำหน้าเหมือนขี้ไม่ออก” พล เพื่อนที่นั่งถัดจากเขาถาม

“กูง่วง…”

“เงี่ยนเหรอ”

“ง่วง!”

“อ๋อ เงี่ยน” พลหัวเราะ

พายุชูนิ้วกลางให้เพื่อนของเขาก่อนจะฟุบลงบนโต๊ะ

“ไม่ได้มาพร้อมไอ้ต่อเหรอวะวันนี้”

“เปล่า…” เขาอู้อี้ตอบกลับไป

“อ้าว ทำไมวะ”

“ไม่รู้โว้ยยย กูตื่นไวก็เลยออกมาก่อน แค่นั้นแหละ!”

“เอ้า แล้วเหวี่ยงกูทำเหี้ยไรวะ ไอ้ห่านี่”

เออ นั่นสิ เขาจะหงุดหงิดใส่ไอ้พลมันทำไมวะ “ไม่ได้เหวี่ยงเว้ย กูแค่ง่วง โทษที…”

“ง่วงก็นอนพักไป กูไปหาไอ้ก้องก่อน”

เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของพลเดินออกไป จากนั้นจึงหันหน้าไปมองยังโต๊ะติดกันที่ว่างอยู่ข้างๆ ใจของเขาเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง เมื่อเช้าเขาออกจากคอนโดไวกว่าปกติ เขาไม่ได้รอต่อมารับเหมือนทุกวัน และก็ไม่ได้ไลน์ไปบอกต่อด้วยว่าเขาจะออกมาโรงเรียนก่อน อาจจะดูใจดำไปหน่อย แต่เขาก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องคอยรายงานต่อก่อนทุกครั้งว่าจะไปโรงเรียนตอนไหนนี่หว่า

เวลาผ่านไปจนเลยเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติก็แล้ว ต่อก็ยังไม่มาโรงเรียน… มันเป็นอะไรรึเปล่าวะ พายุชักเริ่มกังวลใจ อย่าบอกนะว่าเขาทำให้ต่อคิดมากจนต่อไม่อยากมาโรงเรียนเพราะไม่อยากเจอหน้าเขาอีก

“เฮ้ย ไอ้ยุพา ไอ้ต่อไม่มาเหรอวะวันนี้” นิค เพื่อนอีกคนถามเขาก่อนที่คาบเรียนแรกจะเริ่ม

“ยุพาแม่มึงสิ” พายุสวนกลับทันที “มึงเห็นมันปะล่ะ ถ้าไม่เห็นก็แปลว่ามันยังไม่มา หรือวันนี้อาจจะไม่มาเลยก็ได้ กูจะไปรู้ได้ไงวะ ไม่ใช่พ่อมันนี่”

“โว้ววว มาเป็นชุดเลยว่ะ วันนี้สงสัยนางสาวยุพาเป็นเมนส์เว้ย อารมณ์ร้ายยยย” นิคหัวเราะ

“ทำไมกูมีแต่เพื่อนแบบนี้ว้อยยยย ไปไกลๆ ตีนกูเลยไป!”

“อย่าไปแหย่มันสิวะ ไอ้เชี่ยนิค มึงไม่เห็นหน้าไอ้พายุมันเหรอว่าโทรมขนาดไหน” พลเดินมาดึงแขนนิค “สงสารมัน ไอ้เหี้ย แม่งขี้ไม่ออกมาตั้งหลายวัน หน้าแม่งจุกไปด้วยขี้หมดแล้วเนี่ย มึงดูไม่รู้เหรอ”

“ไอ้ควาย!! ไอ้พวกเหี้ย!!” พายุแหวใส่เพื่อนทั้งสองที่หัวเราะชอบใจกันอยู่

“อาจารย์มาแล้วโว้ยยย!!” เพื่อนคนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องพร้อมตะโกนบอก เป็นการส่งสัญญาณให้เพื่อนๆ ทั้งชายหญิงที่เพิ่งเดินกันไปมาและพูดคุยกันเสียงดังรีบวิ่งกลับนั่งที่ของตัวเองโดยไว

พายุมองเก้าอี้ข้างๆ ตัวเองที่ยังคงว่างอยู่ และเขาก็ยังไม่ได้ข้อความอะไรจากต่อเลยด้วย เขานึกลังเลว่าควรจะเป็นคนไลน์ไปหาต่อก่อนดีหรือไม่ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะปลดล็อกหน้าจอ อาจารย์ประจำวิชาฟิสิกส์จอมโหดก็เดินเข้าประตูห้องมาเสียก่อน เขาจึงรีบเก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋ากางเกงทันที

หลังจากที่อาจารย์เช็กชื่อนักเรียนทุกคนเสร็จแล้ว ที่ประตูหลังห้องก็ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งขึ้น ต่อชูนิ้วขึ้นจุ๊ปากไม่ให้เพื่อนๆ ของเขาส่งเสียงเพื่อที่ว่าอาจารย์ที่กำลังเขียนกระดานอยู่จะได้ไม่รู้ว่าเขามาสาย เขาย่อตัวลงต่ำแล้วค่อยๆ ย่องเข้ามาในห้องเรียน

พายุมองเพื่อนของเขาแล้วรู้สึกตัวเองหน้าแดงขึ้นทันที ทั้งสองคนสบตากันครู่สั้นๆ ก่อนที่...

“อาจารย์ครับ ต่อภพแอบเข้าห้องครับ!” จู่ๆ นิคก็ตะโกนขึ้น

“ไอ้เชี่ยนิค…!!” ต่อสะดุ้ง

“ต่อภพ!”

“ครับ!” ต่อดีดตัวขึ้นยืนตรงทันที

“ทำไมถึงเพิ่งมา!”

“ตื่นสายครับ!”

เพื่อนในห้องต่างหัวเราะกันครืน

“นั่นคือข้อแก้ตัวที่ดีที่สุดของเธอแล้วเหรอ”

“พายายแก่ๆ คนนึงข้ามถนนเลยมาสายครับ!”

“ผมเป็นเพื่อนเล่นคุณเหรอ!”

“ครับ! ไม่ใช่ครับ! เมื่อคืนนอนไม่หลับเลยตื่นสายครับ ขอโทษครับ ‘จารย์”

อาจารย์ส่ายหน้าแล้วชี้ไปที่ยังที่นั่งข้างๆ พายุ “ไปนั่งที่ แล้วหลังจบคาบมาช่วยผมทำความสะอาดกระดานกับถือสมุดการบ้านเพื่อนไปห้องพักครูด้วย วันนี้คุณได้การบ้านเยอะกว่าคนอื่นสองเท่านะ”

“ครับผม” ต่อรับคำก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆ พายุ เด็กหนุ่มทั้งสองต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรอยู่ช่วงหนึ่ง

“ไงมึง” พายุตัดสินใจเป็นฝ่ายทักเพื่อนของเขาก่อน “ตื่นสายเหรอวะ”

“เออ กูต้องขอโทษมึงด้วย”

“ขอโทษกูเรื่องอะไร”

“กูไม่ได้ไปรับมึงวันนี้อะ”

พายุนิ่วหน้า “จะขอโทษทำไมวะ ไม่ใช่หน้าที่มึงสักหน่อย และที่สำคัญคือกูมาโรงเรียนเองได้ กูไม่ได้ต้องให้ใครมาคอยรับส่งกู”

ต่อมองหน้าพายุ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ พายุถึงหัวเสียใส่เขาแบบนี้ “กูขอโทษ โอเคปะ กูไม่ได้มีเจตนาจะบอกว่ามึงมาโรงเรียนเองไม่เป็นสักหน่อย”

พายุผงะไปนิดหน่อย นี่เขากำลังเหวี่ยงใส่คนอื่นอีกแล้วเหรอเนี่ย นี่เขาเป็นอะไรของเขากันแน่

“กู… กูไม่ได้ตั้งใจจะเหวี่ยงมึง กูแค่คิดว่ามึงจะขอโทษกูเรื่องเมื่อวาน…”

“เรื่องเมื่อวานทำไมวะ ทำไมกูต้องขอโทษมึงเรื่องนั้นด้วย” คราวนี้เป็นฝ่ายต่อที่เริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย “กูพูดสิ่งที่กูคิด ทำตามที่มึงบอกให้กูทำ แล้วทำไมกูต้องเป็นฝ่ายขอโทษด้วยวะ”

ที่ต่อพูดก็ถูก แต่นั่นไม่ได้ทำให้พายุรู้สึกดีขึ้นเลย “มึงกำลังโบ้ยว่ากูเป็นคนผิดเหรอวะ ไอ้ต่อ”

“กูเปล่าสักหน่อย กูจะทำแบบนั้นทำไมวะ กูเพิ่งบอกมึงไปเมื่อวานว่ากูชอบมึง แล้วจู่ๆ กูจะมาโบ้ยอะไรมึงทำไม”

“ไอ้ต่อ!” พายุทำเสียงชู่ว เพราะกลัวว่าคนอื่นจะได้ยินที่เขาพูด

“นายพายุ! นายต่อภพ!” เสียงของอาจารย์ที่ดังขึ้นจากหน้าห้องทำให้ทั้งสองคนสะดุ้ง

“ครับ!” เด็กหนุ่มทั้งสองรับคำพร้อมหันขวับไปยังหน้าห้องอย่างพร้อมเพรียงกัน

“ถ้ายังคุยกันเจ๊าะแจ๊ะแบบนี้อีก เตรียมตัวไปห้องพักครูหลังเลิกเรียนได้เลย!”

“ขอโทษครับ” ทั้งคู่พูดพร้อมกันในขณะที่เพื่อนในห้องหัวเราะกันคิกคัก

หลังจากอาจารย์หันกลับไปเขียนกระดานและเริ่มสอนต่อ พายุกับต่อต่างก็ไม่ได้พูดอะไรกันออกมาอีกครู่ใหญ่ๆ จนสุดท้ายต่อก็เป็นฝ่ายทำลายความตึงเครียดระหว่างพวกเขาลงด้วยการเขียนบางอย่างใส่สมุดของเขาแล้วยื่นให้พายุอ่าน

“กูขอโทษ”

พายุอ่านข้อความสั้นๆ นั้นแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับต่อ

“กูไม่เคยอยากทะเลาะกับมึงเลยนะเว้ย ไอ้พายุ ถ้าสิ่งที่กูพูดไปวันนั้นมันทำให้มึงเกลียดกูแล้วก็ล่ะก็ กูขอโทษ กูขอถอนคำพูดทั้นมั้ย”

พายุกลืนน้ำลาย “กู… กูไม่ได้เกลียดมึง กูแค่อดนอนเลยอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กูต่างหากที่ต้องขอโทษมึง...” พายุก้มหน้าลง พยายามไม่ให้ต่อเห็นว่าเขากำลังหน้าแดงอยู่ “กูก็ขอโทษอะ…”

ต่อเหลือบไปมองหน้าของพายุแล้วก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เพราะพายุเป็นคนผิวขาวมาก เวลาเขาหน้าแดง มันเลยเห็นได้ชัดยิ่งกว่าคนอื่นๆ และไม่ใช่แค่เวลาเขายิ้มเท่านั้นที่ทำให้เขาน่ารัก เวลาเขาเขินแบบนี้ก็น่ารักมากเหมือนกัน


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 4

“ภู รีพอร์ตเล่มนั้นอะ ต้องแก้ว่ะ แล้วลูกค้าจะเอาพรุ่งนี้เช้าด้วย” หัวหน้าของภูเดินมาบอกเขาที่โต๊ะ

“แก้อีกแล้วเหรอพี่ โอยยยย” ภูวาโอดครวญ “หนนี้มีปัญหาอะไรอีกอะ”

“เค้าบอกตัวเลขมันไม่ครบน่ะ ลองเช็กใน Excel ให้พี่หน่อย แล้วเค้าอยากให้เพิ่มรูปที่ไปออกงานของปีก่อนด้วย”

ภูวาถอนหายใจ “โอเคพี่ มีอะไรอีกมั้ยอะครับ”

“ไม่มีแล้วล่ะ แต่พี่ว่าถ้าจะเอาให้ชัวร์นะ ใส่รูป ใส่ตัวเลขของงานปีที่แล้วลงไป ทำตารางสรุปเทียบทั้งสองปีเลย เอาไว้ให้เค้าดูสถิติเทียบกัน เผื่อไว้ก่อน ดีมั้ยวะ”

“ก็ได้พี่ แต่อาจจะได้ช้าหน่อยนะ เพราะงานของลูกค้าอีกรายก็จะเอาพรุ่งนี้ ผมยังไม่เสร็จเลย”

“ขอบใจมากภู เดี๋ยวไว้พี่พาไปเลี้ยงข้าว” หัวหน้าของเขาตบบ่าเขาเบาๆ ก่อนเดินออกไป

ภูวาเงยหน้าดูนาฬิกาแขวนผนังที่ออฟฟิศ มันบอกเวลาห้าโมงครึ่ง เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเปิดหน้าต่างไลน์บนแล็ปท็อปขึ้นมาแล้วพิมพ์หาพายุเพื่อบอกว่าวันนี้เขาอาจจะเลิกงานดึก และน่าจะกลับบ้านช้าหน่อย

กว่าเขาจะเคลียร์งานทุกอย่างเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม คนอื่นๆ กลับกันไปหมดแล้ว ปิดออฟฟิศและรีบขึ้นรถไฟฟ้าตรงกลับคอนโด รู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากกินอะไรเลย แต่ก็รู้ว่าเขาต้องแวะซื้ออะไรที่ปากซอยกลับเข้าไปกินด้วย เพราะไม่อยากนั้นโรคกระเพาะได้ถามหาเขาอีกแน่ๆ

ในขณะที่เขากำลังเลือกซื้อของกินในเซเว่น อีเลฟเว่นอยู่นั้น เขาก็หันไปเห็นเคนกำลังยืนอ่านกล่องอาหารแช่แข็งในมืออยู่หน้าตู้แช่แข็ง ภูวาอดสังกตไม่ได้ว่าตะกร้าของเคนนั้นเต็มไปด้วยอาหารแช่แข็งล้วนๆ

สงสัยจะโสด… เขาคิด

“พี่เคน สวัสดีครับ”

“อ้าว สวัสดีครับ” เคนหันไปหาภูวาด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

“ซื้อของกินไปตุนเหรอครับพี่ เยอะเลย”

เคนเหลือบมองดูอาหารแช่แข็งในตะกร้าของตัวเอง “ใช่ครับ”

พอภูวาเห็นเคนดูมีท่าทีกระอักกระอ่วน เขาเลยชักไม่แน่ใจว่าตัวเองเข้ามาวุ่นหรือรบกวนอะไรชายคนนี้เกินไปหรือเปล่า

“อ่า… ถ้างั้นผมไปหาซื้อของกินก่อน เอาไว้เจอกันนะครับ” ภูวาโค้งเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป

เคนมองตามหลังของภูวาแล้วตัดสินใจเรียกเขา “เดี๋ยวครับ”

ภูวาหันกลับไปมองเคนงงๆ “ครับ”

“เอ่อ… ปกติกลับเข้าคอนโดยังไงเหรอครับ” เคนถาม

“ถ้าไม่เดินก็ขึ้นวินอะครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกลับพร้อมพี่ก็ได้”

“เอ่ออ… ผมจะรบกวนพี่รึเปล่าครับเนี่ย”

“ไม่หรอกครับ” เคนยิ้มน้อยๆ

“งั้นก็โอเคครับ ขอผมซื้อของอีกแป๊บนึง เดี๋ยวผมตามพี่ออกไป ขอบคุณนะครับ”

เคนยิ้มรับก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์และออกไปยืนรอภูวาที่ข้างหน้าร้าน เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าในยามค่ำคืนแล้วปล่อยใจตัวเองให้คิดเรื่อยเปื่อยจนไม่ได้สังเกตว่าภูวาเดินเข้ามาหาเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

“เรียบร้อยแล้วครับพี่” ภูวาพูด “รถพี่คันไหนครับ”

เคนที่ตัวสูงกว่าหันมามองชายหนุ่มแล้วพยักหน้าให้เบาๆ ก่อนจะชี้ไปเบื้องหน้า แต่สิ่งที่เขาชี้ไปนั้นไม่ใช่รถยนต์ แต่เป็นรถมอเตอร์ไซค์ และรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นก็ไม่ใช้รถมอเตอร์ไซค์ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นดูคาติ สีเทาดำคันใหญ่ ภูวาไม่มีความรู้เรื่องรถบิ๊กไบค์ แต่เขาก็รู้จักรถยี่ห้อนี้แน่ๆ

“พี่ขี่ไอ้คันนี้ออกมาเซเว่นปากซอยเหรอครับ” ภูวาถามน้ำเสียงทึ่งๆ

“ใช่ครับ” เคนตอบ

นี่ไม่ใช่รถของเขาที่เขาเคยใช้สมัยอยู่ที่อเมริกา เขาขายทั้งมอเตอร์ไซค์คันนั้นและรถยนต์ที่พ่อของเขาเคยซื้อให้ตั้งแต่ตอนเพิ่งได้ใบขับขี่ใหม่ๆ ไปแล้ว ในตอนแรกเคนคิดว่าจะเอาเงินก้อนนั้นไปเที่ยวรอบโลก ไปสถานที่ใหม่ๆ ประเทศที่ไม่เคยไปเพื่อเป็นการทำใจ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ไปไหน แต่ใช้เวลาแต่ละวันหมกตัวอยู่ในห้องเป็นส่วนใหญ่ เขาพยายามออกไปยิมเพื่อออกกำลังอย่างที่เคยทำ แต่มันก็เหมือนเขาเป็นแค่หุ่นยนต์ที่ทำกิจวัตรแต่ละวันให้ผ่านๆ ไป แต่ไร้ซึ่งอารมณ์และแรงขับเคลื่อนให้มีชีวิตต่อ เขาไม่ออกไปเจอผู้คน และไม่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกนาน

ครึ่งปีผ่านไป เขายังคงหายใจอยู่ และกำลังยืนอยู่ที่นี่

ภูวายืนอึกอักอยู่ครู่หนึ่งจนเคนสังเกตเห็น

“มีอะไรรึเปล่าครับ”

“เปล่าครับพี่ แต่ผมไม่เคยซ้อนบิ๊กไบค์แบบนี้อะ แถมขาผมก็สั้นด้วย”

เคนยิ้มน้อยๆ เขายื่นถุงเซเว่นของตัวเองให้ภูวาช่วยถือ แล้วขึ้นคร่อมบนรถ จากนั้นเมื่อเขาถอยออกจากช่องจอดแล้ว ก็ส่งสัญญาณบอกให้ภูวาตามขึ้นมา “จับตัวพี่ไว้ตอนขึ้นก็ได้ครับ”

ภูวาทำตามที่เคนบอก ต้นแขนของเคนที่เขาสัมผัสโดนนั้นเต็มไปด้วยมัดกล้าม เขารู้สึกเขินๆ ชอบกล สายตาของคนแถวนั้นก็มองมายังเขาสองคนกันเป็นตาเดียว

“พร้อมนะครับ”

“ครับ”

เมื่อเคนสตาร์ทเครื่อง เสียงเครื่องยนต์หนักๆ ก็ดังกระหึ่มขึ้น และอีกไม่กี่นาทีถัดมาพวกเขาสองคนก็มาถึงลานจอดรถที่อยู่ใต้ดินของคอนโด ภูวาปีน หรือจะเรียกกว่ากระโดด ก็คงได้ ลงจากรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่อย่างทุกลักทุกเล และนั่นก็ทำให้เคนยิ้มออกมาอีกครั้ง

“ขอบคุณนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่ช่วยถือของให้” เคนตอบกลับ

ทั้งคู่ขึ้นลิฟต์มาด้วยกัน ภายในลิฟต์มีกระจกบานใหญ่อยู่ เมื่อภูวาเห็นความแตกต่างของความสูงระหว่างเขากับเคนแล้ว เขาเลยอดถามขึ้นมาไม่ได้

“พี่สูงเท่าไหร่น่ะครับ”

เคนคิดครู่หนึ่ง “น่าจะราวๆ 185 ครับ”

“ผมสูง 170 เอง ยืนกับพี่แล้วเหมือนคนแคระเลยอะ”

เคนเหลือบมองภูวา “แต่… อะแฮ่ม…” เขากระแอมเบาๆ “แต่ยูก็หุ่นดีนะครับ สมส่วนดี”

“โห ไม่หรอกครับ พี่หุ่นดีกว่าผมเยอะ ว่าแต่พี่อายุเท่าไหร่ครับ”

“29 ครับ น้องล่ะ”

“ผม 27 ครับ ส่วนน้องชายผมเพิ่งอายุ 16 เป็นลูกหลงของที่บ้าน” ภูวาบอก “ว่าแต่พี่เป็นลูกครึ่งใช่มั้ยครับ ฟังดูเหมือนพี่พูดไม่ค่อยชัดนิดนึง”

“ใช่ครับ มีเชื้อสายญี่ปุ่นกับอเมริกัน แต่โตและใช้ชีวิตที่อเมริกาเป็นส่วนใหญ่น่ะครับ”

“อ๋อ มิน่าล่ะ”

“ฟังออกเลยเหรอครับว่าพูดไม่ชัด” เคนถาม “พี่ว่าพี่พูดไทยชัดแล้วนะ แค่ยังอ่านไม่เก่งกับเขียนไม่ได้”

“ฮ่าๆ ไม่หรอก ตอนแรกผมยังไม่สังเกตเลยครับ แต่ไอ้พายุมันสังเกตแล้วถามผมน่ะ ว่าแต่นี่พี่กลับมาอยู่ไทยถาวรเหรอครับ”

“ยังไม่แน่ครับ”

“มาทำงานเหรอครับ”

“เปล่าครับ”

ภูวาสังเกตเห็นสีหน้าและแววตาของเคนเปลี่ยนไป ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถามรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่าย ดังนั้นจึงตัดสินใจไม่ถามอะไรต่อ บรรยากาศรอบตัวของเคนตอนนี้คล้ายกับเมื่อตอนที่ภูวาเจอเขาตอนกำลังขนของเข้าห้องเมื่อวันนั้นไม่มีผิด

เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นของพวกเขา ทั้งสองคนต่างก็เดินคู่กันไปเงียบๆ จนใกล้ถึงหน้าห้องของเคน

“แล้วเจอกันนะครับ” ภูวายิ้มให้กับเคน

เคนพยักหน้าเบาๆ เป็นการตอบรับ แล้วเปิดประตูเข้าห้องของตัวเองไปโดยไม่ได้ยิ้มหรือพูดอะไรออกไป สีหน้าของเขาทำให้ภูวาเกิดความกังวลว่าเขาได้พูดหรือทำอะไรไม่ดีออกไปหรือเปล่า

ภูวาเป็นคนอัธยาศัยดีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพื่อนของเขายังชอบบอกบ่อยๆ ว่าคนอื่นมักมาหลงชอบเขาหรือคิดว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้ก็เพราะความเป็นคนอัธยาศัยดีและเข้ากับคนง่ายนี่แหละ

คงเพราะด้วยความที่มีน้องชายอายุห่างกันมาก จึงทำให้เขาเป็นคนที่พึ่งพาได้และมีนิสัยชอบดูแลคนอื่น เมื่อตอนพายุยังเล็กมากๆ เขามีหน้าที่ช่วยแม่ดูแลน้องเป็นประจำเพราะพ่อของเขาไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านเนื่องจากงาน ส่วนแม่ที่เคยเป็นครูโรงเรียนมัธยมก็มักต้องหอบงานมาทำหรือรับสอนพิเศษอยู่บ่อยๆ แต่โชคดีที่พายุเป็นเด็กอารมณ์ดีและเลี้ยง่าย ไม่ค่อยงอแง พอพายุเริ่มเข้าประถม ภูวาก็เป็นวัยรุ่นแล้ว พายุรักพี่ชายของเขามากและกลายเป็นเด็กติดพี่ไปโดยปริยาย และไม่เหมือนกับครอบครัวอื่นหลายๆ ครอบครัว พี่น้องสองคนนี้แทบไม่เคยทะเลาะกันเลย เพราะภูวาเป็นเด็กมีน้ำใจและใจกว้างมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ส่วนพายุเองก็ไม่เคยมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ถึงแม้อายุจะห่างกันเยอะ แต่ทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องที่รักและสนิทสนมกันดี

เมื่อภูวาเปิดประตูห้อง เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าในห้องมืดสนิท เขาเอื้อมมือกดเปิดสวิตช์ไฟแล้วก็หันไปเห็นพายุกำลังนอนอยู่ที๋โซฟา

“เฮ้ย ไอ้พายุ เป็นอะไร ทำไมมานอนมืดๆ ตรงนี้”

“พี่ภู… กลับมาแล้วเหรอ”

ภูวารีบวางถุงเซเว่นลงบนเคาน์เตอร์ครัวแล้วเดินตรงเข้าไปหาน้องชายของเขาทันที “เป็นไรวะ ไม่สบายเหรอ”

“ป่าวว แค่รู้สึกแปลกๆ อะ…”

“แปลกยังไง เป็นไข้ ปวดท้อง เวียนหัว ปวดหัว หรืออะไร”

“เปล่าๆ แค่นอนคิดอะไรเล่นๆ อะ แล้วใจมันหวิวๆ ชอบกล”

“อะไรวะของแกวะ แล้วนี่กินอะไรรึยังเนี่ย”

“ยังอะ กินไม่ลง…”

หือ นี่แกไม่สบายแล้วมั้ง ไอ้พายุ”

“พี่ภู…”

“อะไร”

“พี่ภูเคย… จูบผู้ชายปะ”

“เฮ้ยยย ไม่เคย! จู่ๆ ถามอะไรวะเนี่ย”

“คือวันนี้อะ…” พายุชันตัวขึ้นนั่ง “ไอ้ต่อมันจูบพายุอะ”

“เฮ้ยยยยยย!!!”

.
.
.

“มึงทำอะไรลงไปนะ ไอ้ต่อ!” เปา เพื่อนเพียงคนเดียวของต่อที่รู้ว่าเขาเป็นเกย์แทบจะตะโกนใส่โทรศัพท์ด้วยความตกใจ

“มึงจะตะโกนทำเหี้ยไรเนี้ย ไอ้เปา หูกูจะแตก” ต่อตอบกลับไป “จะตกใจอะไรนักหนาวะ เรื่องแค่นี้เอง”

“ไอ้ควาย! เมื่อวานมึงเพิ่งบอกกูว่ามึงชอบผู้ชาย แล้วจู่ๆ วันนี้มึงก็บอกกูว่ามึงจูบคนที่มึงชอบไปแล้ว! กูคงไม่ตกใจมั้ง!”

“ไม่ได้จูบเว้ย แค่จุ๊บปากเฉยๆ...”

“นั่นแหละเค้าเรียกว่าจูบ!”

ที่จริงต่อเองก็รู้สึกเขินอยู่เหมือนกัน แต่เขาเป็นคนไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกไปให้ใครเห็น แม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเขาก็ตามที ตอนแรกที่ต้องย้ายโรงเรียน ต่อก็เสียใจที่จะต้องแยกกับเปา เพื่อนที่เขาสนิทด้วยมาตั้งแต่ประถม เขากลัวว่าพวกเขาจะได้เจอกันน้อยลง คุยกันน้อยลง แล้วกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปในที่สุด แต่โชคดีที่เปาไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น เปาเป็นคนช่างคุยและติดโทรศัพท์มือถือมาก ดังนั้นจึงไม่เคยมีสักวันเลยที่ต่อจะไม่ได้รับข้อความจากเปา

ในตอนแรกก่อนจะสารภาพ ต่อกังวลมากว่าเปาจะมีปฏิกิริยากับการที่เขาบอกว่าตัวเองเป็นเกย์อย่างไร แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเสียเวลากังวลเปล่า เพราะเปามองว่ามันเป็นเรื่องปกติมากๆ และไม่ได้รู้สึกอะไรต่อเขาเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว ต่ออดพูดออกไปไม่ได้ว่าเขาไม่น่าเสียเวลาทนอึดอัดอยู่ตั้งนานเลยถ้าหากรู้ว่าเปาจะรับเขาได้ง่ายแบบนี้

“ก็มึงมันชอบคิดมากเอง ไอ้ควาย” คือสิ่งที่เปาตอบกลับ “แต่ก็โทษมึงไม่ได้ว่ะ กูอะรับได้ แต่คนอื่นๆ จะยังไงกูก็ไม่รู้อะนะ”
ต่อเห็นด้วย

ในคืนนั้นทั้งสองคนคุยเรื่องของต่อและพายุกันจนดึก และหลังจากวางสายแล้วต่อก็นอนคิดเรื่องของพายุต่อคนเดียวอีกจนเกือบเช้า ทำให้เขาไปโรงเรียนสายในที่สุด

“เดี๋ยวนะๆๆ เมื่อคืนมึงบอกกูว่ามึงเพิ่งสารภาพกับไอ้คนที่ชื่อยุพาคนนี้ไป”

“พายุ!”

“วายุ”

“ยุพา!”

“พายุ! ไอ้สัตว์ นั่นบทกู!”

“จะได้คุยกันมั้ยวะ วันเนี้ย”

“มึงก็อย่าเล่นดิวะ ไอ้สัตว์ต่อ เออ พูดต่อ มึงสารภาพไปแต่มันไม่ได้ชอบมึง ถูกมะ มึงบอกว่ามันพูดว่ามันก็พอเดาๆ ได้อยู่ว่ามึงคิดยังไงกับมัน เลยอยากให้มึงพูดออกไปให้ชัดเจน แต่พอมึงพูดออกไปจริงๆ มันดันดูเหมือนจะรับไม่ได้…”

“ไม่ใช่รับไม่ได้ แต่เหมือนมันทำตัวไม่ถูกมากกว่า”

“เออๆ นั่นแหละ” เปาพูดแบบปัดรำคาญ “แล้วไปๆ มาๆ มึงไปจูบมันเข้าได้ไงวะ ไอ้เหี้ย… อย่าบอกนะว่ามึงตั้งใจจะปล…”

“ไม่ใช่โว้ย!” ต่อรีบพูดขัด “กูไม่ได้จะปล้ำมัน คือกูบอกมันว่ากูอยากหาที่เงียบๆ คุยกับมันหน่อย”

“ที่เงี่ยนๆ”

“เงียบๆ!”

“ผ่าม”

“ไอ้สัตว์!” ต่อทำเสียงจิ๊ปากแบบหงุดหงิด “เออ ตอนแรกมันก็จะไม่ไปหรอก แต่พอกูบอกว่าถ้ามันไม่ได้โกรธหรือเกลียดกู ก็อย่าหนีหน้ากูได้มั้ย มันก็เลยยอมมาเจอกูหลังเลิกเรียนที่หลังตึก ซึ่งแถวนั้นคนมันไม่เยอะไง แล้วกูกับมันก็คุยกัน...”

“แล้วคุยอะไรวะ” เปาถาม

“...”

“เงียบเหี้ยไร”

“มันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกว่ะ สิ่งที่กูคุยกับมันไม่ใช่ประเด็นนี่หว่า”

“ห๊ะ ไม่ใช่เหรอวะ เออๆ ช่างแม่ง มึงไม่อยากเล่าก็เรื่องของมึง งั้นพอมึงคุยกันแล้วไงต่อ อันนี้เล่าได้ใช่มะ”

“ได้ ก็คุยกันนิดหน่อย แล้วพอตอนท้าย จู่ๆ มันก็ถามกูว่ากูแค่กำลังอำมันเล่นอยู่รึเปล่า กูร่วมมือกับใคร จะแกล้งมันใช่มั้ย กูก็เลยโมโห มึงเข้าใจกูใช่ปะว่ะ คือกูชอบมันจริงๆ แล้วพอรู้ว่าแม่งคิดแบบนั้น คิดว่ากูแค่กำลังล้อเล่นกับมัน กูก็เลยโกรธอะ”

“เออ กูพอจะเข้าใจ แล้วยังไงวะ มึงโมโหแล้วมึงไปจูบมันเนี่ยนะ”

ต่อเงียบไปครู่หนึ่ง “....ก็กูอยากพิสูจน์ให้มันรู้ว่ากูจริงจัง กูไม่ได้ล้อเล่น ไม่ได้ร่วมมือกับใครแกล้งมันอะไรทั้งนั้น แต่กูคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยดึงตัวมันเข้ามาจูบปาก”

.
.
.

“พายุก็ตกใจดิ ไอ้เหี้ย จู่ๆ แม่งทำแบบนั้นอะ” พายุเล่าให้ภูวาฟัง “ก็เลยผลักตัวมันออก แต่คงผลักแรงไปหน่อยมั้ง…”

“ทำไม” ภูวาถามพายุ ที่จริงเขามีคำถามมากมายเต็มไปหมด ในหัวของเขาหวนนึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตบางอย่าง แต่เขาไม่อยากจะใจร้อนและถามอะไรน้องชายของเขามากเกินไปในตอนนี้

“มันเลยเซจนหัวไปกระแทกเข้ากับผนังตึกอะ…”

“เอ๊า แล้วไอ้ต่อมันเป็นอะไรมากมั้ย”

พายุส่ายหน้า “ไม่มั้ง คืออย่างน้อยก็เลือดไม่ออกอะนะ…”

ภูวาเงียบ รอให้น้องของเขาพูดต่อเอง ส่วนพายุก็ได้แต่นั่งก้มหน้า แต่พอเขาเห็นว่าพี่ชายของเขาไม่พูดหรือถามอะไรออกมาเลย เขาก็เริ่มรู้สึกใจไม่ค่อยดีขึ้น

“พี่ภูโกรธพายุป่าว…” เขาเงยหน้าขึ้นถามเสียงอ่อย

“ไม่โกรธ พี่จะโกรธทำไมวะ ไอ้หมาเอ๊ย”

“แล้วทำไมพี่ภูไม่พูดอะไรเลยอะ”

“พี่แค่อยากให้แกเป็นคนพูดออกมาเองมากกว่า ถ้าอยากเล่าอยากพูดอะไรก็จะฟัง แต่ถ้าเรื่องไหนไม่อยากพูดก็จะไม่เซ้าซี้” ภูวายกมือขึ้นขยี้ผมของพายุ “กูรักมึงนะเว้ย ไอ้ตูดหมึก รู้ใช่มั้ย”

“รู้ดิ” พายุตอบ “แล้วพี่ภูโกรธไอ้ต่อมันรึเปล่า”

ภูวานิ่วหน้า “ไม่โกรธ จะโกรธทำไมอะ โกรธที่มันขโมยจูบแรกน้องชายกูงี้เหรอ” เขาหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่แกนั่นแหละ โกรธมันรึเปล่า”

พายุหน้าแดง “ไม่รู้ว่ะ พี่ภู… ตอนแรกก็โกรธนะ มากด้วย แต่พอกลับมาบ้านแล้ว… ไม่รู้ดิ มันรู้สึกแปลกๆ อะ คือสีหน้าและแววตาของไอ้ต่อตลอดสองวันที่ผ่านมานี้มันติดตา มันฝังอยู่ในหัวพายุตลอด แล้วพอคิดว่ามันต้องรวบรวมความกล้าขนาดไหนถึงจะกล้าบอกผู้ชายคนอื่นว่า ‘ชอบ’ ออกมาได้ พายุก็… โกรธมันไม่ลงอะ”

นี่แหละน้องชายของเขา ภูวาคิด พายุเป็นเด็กที่มีจิตใจดีและเข้าอกเข้าใจคนอื่นมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว ตั้งแต่ยังเด็ก เขามักจะคอยปกป้องเพื่อนคนที่ถูกเกเร และเขาก็เข้าได้กับคนทุกประเภท เวลาภูวาไปรับพายุที่โรงเรียน เขามักจะเห็นน้องของเขาเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่กับเพื่อนทุกประเภท ไม่ว่าจะทั้งผู้หญิง ผู้ชาย รุ่นพี่ และรุ่นน้อง แม้แต่เด็กที่เพื่อนๆ คนอื่นไม่ค่อยเล่นด้วยเพราะมีนิสัยแปลกกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน พายุก็จะเข้าไปคุยกับพวกเขาและใช้เวลากับพวกเขาเสมอ มีครั้งหนึ่งตอนที่พายุอยู่ชั้น ป. 2 เขาเห็นพ่อกับแม่ของเพื่อนกำลังยืนทะเลาะกันอยู่ที่ลานจอดรถ โดยมีเพื่อนของเขากำลังยืนน้ำตาคลออยู่ใกล้ๆ พายุบีบมือของภูวาที่กำลังเดินอยู่ข้างๆ เขาแน่นจนภูวาต้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“พี่ภู ทำไมคุณลุงคุณป้าถึงทะเลาะกันอะครับ”

ตอนแรกภูวาก็ไม่รู้ว่าพายุพูดถึงอะไรอยู่ เขาจึงมองตามสายตาของพายุไปเห็นผู้ใหญ่สองคนกำลังยืนเถียงกันโดยมีเด็กคนหนึ่งยืนก้มหน้าอยู่ไม่ไกล

“อืมมม พี่ภูก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”

“พายุสงสารมอส พายุไม่อยากเห็นมอสเศร้าแบบนั้นเลย…” พายุพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ และสุดท้ายก็ร้องไห้ออกมา

ภูวาคุกเข่าลงและพยายามปลอบน้องชายของเขา พยายามอธิบายว่าแต่ละครอบครัวก็มีปัญหาแตกต่างกันไป เราเป็นเด็กไม่ควรยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่ แต่ดูเหมือนพายุจะยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจ หรือเขาอาจจะเข้าใจเท่าที่สมองอันเยาว์วัยของเขาจะพยายามเข้าใจได้ เขาขอภูวาเดินไปหาเพื่อนที่ชื่อมอสทั้งน้ำตา เมื่อไปถึงตรงนั้น เขาก็ดึงตัวของมอสเข้ามากอด พร้อมปลอบมอสด้วยคำพูดแทบจะแบบเดียวกับที่ภูวาเพิ่งบอกเขาออกไป นั่นทำให้มอสที่อดทนกลั้นน้ำตามาตลอดร้องไห้ออกมา และทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคนหยุดมีปากเสียงใส่กันในทันที

ภูวาจำภาพที่เขาเห็นในวันนั้นได้ติดตา และเหตุการณ์ที่ทำให้เขารู้ว่าน้องชายของเขาเป็นคนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากกว่าคนทั่วๆ ไปนั้นก็เกิดขึ้นอีกหลายครั้ง ซึ่งแม้มันจะเป็นข้อดีของพายุ แต่บางครั้งเขาก็แอบเป็นห่วงไม่ได้ว่ามันจะทำร้ายจิตใจของเด็กคนนี้เข้าสักวัน

เฉกเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวภูวาเองมาแล้ว

“พายุ…” ภูวาลูบหัวน้องชายของเขา “แกชอบผู้ชายรึเปล่าวะ”

พายุอ้าปากจะตอบ แต่ก็ถูกภูวาหยุดเอาไว้เสียก่อน

“แกรู้ใช่มั้ยว่าแกบอกพี่ได้ทุกเรื่องน่ะ สิ่งที่เราคุยกัน มันจะเป็นแค่เรื่องระหว่างเราสองคนเท่านั้น”

พายุนิ่งไปพักหนึ่ง ตอนแรกเขากำลังจะตอบว่าไม่ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว เขาก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก

“ไม่รู้ว่ะพี่ภู เพราะพายุไม่เคยชอบใครเลยอะ ไม่เคยรู้สึกพิเศษกับผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหน จริงๆ ไอ้ต่อมันก็ถามพายุแบบเดียวกัน และพายุก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองชอบผู้ชายนะ แต่… คือถ้าเป็นพี่ภูหรือคนอื่นอะ เวลามีผู้ชายมาบอกชอบ มาจูบ มันต้องรู้สึกแปลกๆ ปะ ต้องไม่ชอบ ต้องขยะแขยงมั้ยอะ ทำไมพายุไม่รู้สึกแบบนั้นเลยวะ แบบนี้มันแปลว่าจริงๆ แล้วพายุชอบผู้ชายรึเปล่า”

“ใครบอกแกว่าผู้ชายแท้ต้องขยะแขยงคนเป็นเกย์วะ”

“ไม่รู้อะ คือไม่ได้หมายความว่าต้องขยะแขยงคนเป็นเกย์นะ… แต่อย่างน้อยๆ ก็เวลาโดนจูบอะ เข้าใจป่าว พายุแค่คิดว่าถ้าเป็นเพื่อนผู้ชายคนอื่น มันคงต่อยหน้าไอ้ต่อ หรือคงรู้สึกขย… หมายถึงคงรู้สึกไม่โอเคมากๆ ไปแล้วปะ”

“แต่แกไม่รู้สึกแบบนั้น”

“ก็ไม่เชิงอะ… ตอนแรกก็รู้สึกช็อกแล้วก็โกรธแหละ เลยเผลอผลักมันแรงไปหน่อย แต่พอมานอนคิดดู ก็ถึงรู้สึกตัวและสงสัยเอาทีหลังว่าตอนนั้นทำไมพายุไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรืออะไรมันเลยวะ… จะพูดยังไงดี... คือไม่ได้รู้สึกผิดปกติกับการถูกมันทำแบบนั้นในฐานะที่มัน ‘ผู้ชาย’ เลยอะ แต่แค่ไม่ชอบใจที่มันทำแบบนั้นทั้งที่เราเป็น ‘เพื่อน’ กันมากกว่า… พายุคิดแบบนี้ พายุแปลกป่าววะ พี่ภู”

ภูวาดึงตัวของน้องชายเข้ามากอด “ไม่แปลกหรอก พายุ แกเป็นเด็กจิตใจดี เป็นคนอ่อนโยน แกไม่ใช่คนที่จะมีความรู้สึกเกลียดชังอะไรในใจได้ง่ายๆ ไง เพราะงั้นอย่าคิดมากเลย แกจะชอบผู้ชายหรือไม่ชอบผู้ชาย มันก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นคนแบบนั้นของแกเปลี่ยนไปหรือลดน้อยลง เข้าใจรึเปล่า ในตอนนี้สิ่งที่แกควรต้องรู้มีแค่อย่างเดียวคือ ถ้าแกไม่ชอบสิ่งที่ไอ้ต่อทำ ก็บอกมันไปตรงๆ บอกมันไปเลยว่าอย่าทำแบบนี้อีก กูไม่โกรธมึงแล้วนะ ไม่เกลียดมึงด้วย แต่กูขอให้เราสองคนเป็นแค่เพื่อนธรรมดาพอ อย่าล้ำเส้นอีก ประมาณนี้ เข้าใจไหม”

“หักอกมันอะเหรอ”

“จะพูดแบบนั้นก็ได้ ใช่”

“มันไม่น่าสงสารแย่เหรอวะ พี่ภู”

“เรื่องพวกนี้ ความเจ็บปวดแค่ครั้งเดียว มันดีกว่าการต้องทนอยู่ไปกับความทรมานระยะยาวนะ”

พายุไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่พี่ของเขาพูดเท่าไหร่นัก “ความทรมานอะไรอะ”

“ลองมองในมุมมองไอ้ต่อสิ ถ้าแกทำตัวไม่ชัดเจนกับมัน แล้วมันต้องทนอยู่กับการคิดไปเองว่าแกอาจจะมีใจ อาจจะชอบมัน หรือสักวันมันอาจจะมีโอกาส แล้วมันต้องรู้สึกแบบนั้นไปจนถึงเมื่อไหร่ไม่รู้ มันจะทรมานขนาดไหนวะ… บางทีเพราะแกยังไม่เคยชอบใคร เลยอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกนั้นแบบนั้น แต่เชื่อพี่เหอะ พายุ ความรู้สึกของการรักใครสักคนข้างเดียวอะ ถึงมันจะเรียกว่า ‘ความรัก’ เหมือนกัน แต่มันไม่สวยไม่หอมหวานนักหรอก มันเป็นความหวานขมที่ ‘โคตร’ ขมเลยนะ”

พายุคิดตาม “แล้วหลังจากนี้ไอ้ต่อมันจะมองหน้าพายุติดเหรอ พายุไม่อยากเสียเพื่อนว่ะ พี่ภู ไอ้ต่อมันเป็นเพื่อนที่ดีนะเว้ย มันนิสัยดี เราสนิทกัน มีอะไรก็คุยกันได้ทุกเรื่อง แล้วมันก็เทคแคร์พายุดีมาตลอด”

ภูวารู้สึกสะกิดใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่พูดออกไป “เราคิดแทนคนอื่นไม่ได้ เราหวังให้คนอื่นทำแบบที่เราคิดเสมอไปไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะทำตัวของเราเองได้ ถ้าแกไม่อยากเสียมันไป แกก็แสดงออกไปสิว่าแกเป็นเพื่อนกับมันได้ ทำตัวปกติ ทำอะไรให้ชัดเจนว่าแกยังมองมันในฐานะเพื่อนเหมือนเดิมนะ แต่ถ้าแกทำทุกอย่างแล้วไอ้ต่อมันทนเป็นเพื่อนกับแกไม่ไหวเพราะเฮิร์ทมาก แกก็ต้องปล่อยมือว่ะ พายุ แกต้องเรียนรู้ว่าหลายๆ อย่างบนโลกใบนี้ เราแคร์มากเกินไปไม่ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว เราไม่มีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ เพราะจิตใจของเขามันไม่ใช่ของเรา ยิ่งเราพยายามยื้อไว้เท่าไหร่ สุดท้ายคนที่เจ็บ ก็คือเรา ไม่ใช่คนที่เขาเลือกจะเดินจากเราไป”

.
.
.

“แล้วมึงจะเอายังไงต่อวะ ไอ้ต่อ” เปาถาม

“กูไม่รู้ว่ะ ไอ้เปา พูดจริงๆ คือกูไม่รู้อะไรเลย แค่กูเข้าไปคุยกับมันก่อน แค่สารภาพออกไป เท่านี้กูก็ใช้ความกล้าแทบจะหมดทั้งชีวิตของกูแล้ว หลังจากนี้กูก็ไม่รู้กูจะทำอะไรต่อได้อีกแล้วว่ะ ถ้าไอ้พายุมันยังไม่เชื่ออีกว่ากูชอบมันจริงๆ กูก็ไม่รู้ต้องทำยังไงแล้ว”

เปากระแอมในลำคอเบาๆ “ไอ้ห่าเอ๊ย เท่าที่กูฟังมึงมาตั้งแต่เมื่อวานเนี่ย กูดูไม่ออกเลยนะว่ามึงจะรู้สึกเขินอะไรกับสิ่งที่มึงทำลงไปแต่ละอย่างน่ะ”

“อ้าว ไอ้เหี้ย”

“ก็ที่ผ่านมามึงไม่เคยแสดงออกอะไรแบบนั้นเลยนี่หว่า ฮ่าๆๆ” เปาหัวเราะ “อีกอย่าง หน้ามึงก็ไม่ค่อยเหมือนคนประเภทที่จะรู้สึกเขินอายอะไรด้วย กูนึกไม่ออกเลยว่าเคยเห็นมึงทำอะไรที่ต้องใช้ความกล้า ต้องหน้าด้าน ต้องเขินต้องอายอะไรสักนิดแม้แต่หนเดียว”

“มึงมันไม่เคยสารภาพรักใคร มึงไม่เข้าใจหรอก ไอ้ควาย”

“เออออ ก็ใช่ แต่ที่กูถามว่ามึงจะเอาไงต่ออะ กูไม่ได้หมายถึงว่าถ้าไอ้พายุของมึงมันไม่เชื่อมึงแล้วมึงจะทำยังไงต่อ แต่กูหมายความว่าถ้าหลังจากนี้มันโกรธมึง ไม่อยากคุยกับมึงอีกแล้ว มึงจะทำยังไง คือถ้าเป็นกูอะ ไอ้เหี้ย แค่มีผู้ชายมาสารภาพรักก็คงทำตัวไม่ถูกคงไม่กล้าคุยไม่กล้ามองหน้าแม่งแล้ว ฟีลเข้าหน้าไม่ติดอะ นึกออกปะ แต่นี่แม่งเสือกจูบกูอีก กูไม่กระทืบแม่งก็บุญแล้ว จะให้ไปมองหน้ากันเหมือนเดิม ไม่มีทางอะ ไอ้สัตว์ เผลอๆ กูเอาไปบอกคนอื่นในห้องให้รู้กันหมดแน่”

สิ่งที่เปาพูดทำให้ต่อถึงกับหน้าเสียทันที “ไอ้พายุมันไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก”

“มึงรู้จักมันมากี่เดือนวะ ไอ้ต่อ มึงแน่ใจได้ไงว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้นอะ ที่สำคัญ กูว่าเรื่องพรรค์นี้นะ ต่อให้ปกติแม่งดูเป็นคนดีขนาดไหนก็ตาม แต่ไอ้อารมณ์เพื่อนรักเพื่อนอะ มันทำเสียความเป็นเพื่อนกันมาเท่าไหร่แล้ว มึงไม่เคยได้ยินเหรอวะ”

เรื่องนั้นเขารู้ดี และเขาก็เตรียมใจเอาไว้ก่อนแล้วด้วยส่วนหนึ่ง แต่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเย็นนี้มันทำให้ความกลัวเหล่านั้นกลับเข้ามาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง

“เปา กูขอถามอะไรอย่างได้ป่าววะ...”

“ว่า”

“ทำไมมึงแม่งนิสัยโคตรเหี้ยได้แบบนี้อะ”

“พรสวรรค์ว่ะ”


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
หลังวางสายจากเปา ต่อก็นอนลืมตามองเพดานห้องในความมืดมิดอยู่ครู่ใหญ่ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือมาดูเวลา ตีหนึ่งกว่าแล้ว… พายุมันจะนอนหรือยังวะ ปกติเขาไม่ใช่คนเล่นแชทบ่อย และก็ไม่เคยทักไลน์ไปหาพายุหลังเที่ยงคืนเพราะเขารู้เวลานอนของพายุดี แต่ในค่ำคืนที่จิตใจของเขาปั่นป่วนขนาดนี้ เขาอดคิดไม่ได้ว่าพายุก็จะกำลังนอนไม่หลับอยู่เหมือนกันหรือเปล่า และนับตั้งแต่เขากลับมาบ้าน เขาก็ยังไม่ได้ติดต่อพายุหรือแม้แต่พูดคำว่าขอโทษออกไปเลย

‘พายุ’ เขาพิมพ์ไปในไลน์และกดส่งออกไป

‘มึงนอนยังวะ’

‘กูอยากขอโทษ’

‘กูขอโทษนะ’

ต่อถือโทรศัพท์ไว้ในมือแล้วจ้องมองหน้าจอ รอคำว่า read เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปยาวนานราวชั่วโมง ใจของเขาเต้นแรงแทบไม่ต่างกับตอนที่เขาสารภาพกับพายุครั้งแรก แต่ก็คงจริงอย่างที่เปาบอก เขาเป็นคนไม่ค่อยแสดงออกทางสีหน้า บางทีคงเพราะแบบนั้น พายุจึงไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูด

แต่สิ่งที่เขาทำไปเมื่อเย็นนี้มันก็น่าจะชัดเจนแล้วสิ

ไม่ๆๆ เขาจะคิดแบบนั้นไม่ได้ สิ่งที่เขาทำลงไปมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เขาไม่ควรแสดงความจริงจังของเขาด้วยวิธีนั้น และไม่ควรคิดด้วยซ้ำว่ามันน่าจะช่วยให้พายุเข้าใจความรู้สึกของเขา

ห้านาทีผ่านไป… ต่อถอนหายใจและวางโทรศัพท์มือถือลงข้างตัว เขายกมือขึ้นก่ายหน้าผากพลางสบถด่าตัวเองเบาๆ และตอนนั้นเองที่โทรศัพท์ของเขาสั่นขึ้น เขารีบคว้ามันมากดดูทันที

‘ไม่เป็นไร’

‘กูไม่ได้โกรธมึงแล้ว’

‘กูขอโทษที่ผลักมึงแรงจนหัวมึงไปกระแทกอะ’

ต่อรู้สึกมือของตัวเองสั่นเล็กน้อย

‘ไม่เป็นไร กูไม่เจ็บหรอก’

พายุพิมพ์ตอบกลับ ‘กูจะนอนแล้วนะ ค่อยคุยกันพรุ่งนี้’

‘มึงจะยังคุยกับกูอยู่ใช่มั้ยวะ พายุ’ ต่อถามกลับ

ข้อความของเขาขึ้นว่า read แล้ว แต่พายุไม่พิมพ์ตอบกลับมาในทันที นั่นทำให้ใจของต่อปั่นป่วนอีกครั้ง

‘ถ้ามึงสัญญาว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก เราก็ยังคุยกันเหมือนเดิมได้’

‘กูสัญญา กูขอโทษ กูจะไม่ทำแบบนั้นกับมึงอีกแล้ว’ ต่อรีบพิมพ์ตอบกลับไปทันที

‘คำว่าเหมือนเดิมของกูคือเราหยุดอยู่แค่การเป็นเพื่อนกันนะ’

ข้อความที่พายุพิมพ์ตอบกลับมาเป็นเหมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจของต่อ เขาอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำอีก รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกข้างซ้ายแบบไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเคยอ่านเจอว่าอาการอกหักบางครั้งมันก็แสดงออกทางกายภาพจริงๆ ไม่ใช่แค่ทางความรู้สึกหรือการเปรียบเปรย เขาเพิ่งเข้าใจก็ตอนนี้เองว่ามันเป็นอย่างไร

‘ได้ ขอแค่มึงไม่เกลียดกูก็พอ กูจะไม่ทำให้มึงลำบากใจอีก’

ต่อพิมพ์ด้วยนิ้วมือที่สั่นเทาและหัวใจที่เต้นแรง

‘กูขอโทษ’

ข้อความของต่อขึ้นสถานะว่าอ่านแล้ว แต่พายุไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีก

นั่นคือข้อความสุดท้ายที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนคุยกันในค่ำคืนนั้น ต่อนอนโทษตัวเองตลอดทั้งคืนว่าเขาไม่น่ารีบบอกความในใจออกไปเลย เขาไม่น่าแสดงออกมากจนทำให้พายุสงสัยในตัวเขา และไม่น่าหลงรักคนๆ นี้เลย… ถ้าหากเขาเลือกที่จะเก็บความรู้สึกและการแสดงออกเอาไว้ให้น้อยที่สุดเหมือนเมื่อตอนสมัยอยู่โรงเรียนเก่า ตอนนี้เขาก็คงไม่ต้องมารู้สึกเจ็บปวดแบบนี้
แต่ถึงต่อจะกำลังรู้สึกเจ็บปวดมากแค่ไหนแต่เขาก็ไม่หลั่งน้ำตาสักหยดเดียว แต่ทว่าคนที่กำลังเสียน้ำตาอยู่ในตอนนั้นกลับกลายเป็นพายุ

“กูขอโทษว่ะ ไอ้ต่อ กูรู้ว่ามึงเจ็บ... แต่กูตอบรับความรู้สึกมึงไม่ได้จริงๆ” พายุพูดกับตัวเองเบาๆ พร้อมหยดน้ำตาหยดน้อยๆ ที่ไหลจากดวงตากลมโตของเขาลงมาบนแก้มและซึมหายไปบนปลอกหมอนสีขาว “แล้วกูร้องไห้ทำไมวะเนี่ย ไอ้บ้า!” พายุเช็ดน้ำตาแล้วบังคับตัวเองให้หยุดอ่อนไหวเสียที

ในขณะที่เด็กทั้งสองคนต่างก็กำลังรู้สึกวุ่นวายใจจนนอนไม่หลับนั้น ยังมีชายหนุ่มอีกสองคนที่กำลังประสบปัญหาคล้ายกัน คนหนึ่งคือภูวาที่พาลนอนไม่หลับไปด้วยเพราะคิดถึงคนๆ หนึ่งและเรื่องราวในอดีตของเขาที่ไม่เคยบอกใคร ส่วนคนอีกคนคือเพื่อนบ้านที่อยู่ห้องตรงข้ามพวกเขา

เป็นอีกคืนที่เคนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึกพร้อมเหงื่อเม็ดโตที่ผุดออกมาเต็มหน้า ทั้งหมอนและผ้าห่มของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขายกมือขึ้นปาดเหงื่อและปิดหูของตัวเอง ภาพที่เขาเพิ่งเห็นนั้นมันเหมือนจริงจนเขาไม่อยากเชื่อเลยว่ามันเป็นแค่ความฝัน เสียงปืนหลายนัดและเสียงตะโกนที่เขาได้ยินก็ดังราวกับมันเกิดขึ้นจริง… ไม่สิ ก็ถูกแล้วนี่ เขาบอกตัวเอง มันไม่ใช่ความฝัน สิ่งที่เขาเห็น สิ่งที่เขาได้ยิน ทั้งหมดนั้นมันไม่ใช่แค่ความฝัน แต่มันความทรงจำ มันคือความจริงที่เขาคงไม่มีวันหนีพ้นไม่ว่าเขาจะไปหลบอยู่มุมไหนของโลกก็ตาม

เขาเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์โคมไฟที่หัวเตียงแล้วก้มลงดูมือของตัวเอง เกือบจะคาดหวังว่าเขาต้องเห็นเลือดบนฝ่ามือทั้งสองข้างด้วยแน่ๆ

เขากำหมัดแน่น ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเลิกฝันร้ายแบบนั้นอีก

ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถหลีกหนีจากความทรงจำอันเจ็บปวดเหล่านั้นได้

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะลืม

อาจมีเพียงความตายเท่านั้นที่จะช่วยทำให้เขาหลุดพ้นจากความทรมานนี้และให้อภัยตัวเองได้เสียที



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 5

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปนับจากวันที่เกิดเหตุการณ์นั้นระหว่างต่อกับพายุ คืนหนึ่ง ภูวาลืมตาตื่นขึ้นกลางดึกพร้อมเสียงฟ้าร้อง เขาค่อยๆ ชันตัวขึ้นนั่งแล้วมองออกไปที่หน้าต่าง ห้องนอนของเขาใช้มู่ลี่ไม้แทนผ้าม่าน จึงทำให้แสงไฟจากด้านนอกลอดผ่านเข้ามาในห้องตามแนวซี่ไม้ได้ มันก็เคยน่ารำคาญสำหรับเขาอยู่เหมือนกัน  แรกๆ เขาก็เคยนอนไม่หลับเพราะแสงที่แยงตาบ้าง ตื่นขึ้นมาเพราะแสงจากฟ้าแลบที่ส่องเข้ามาในห้องบ้าง แต่พออยู่ไปสักพักเขาก็เริ่มชิน และคืนนี้ ที่จริงเขาก็ไม่ได้ตื่นเพราะแสงฟ้าแลบหรือเสียงฟ้าร้องหรอก เขาตื่นเพราะความฝันและคนที่เขาเพิ่งเห็นในฝันมากกว่า

ฝนที่ตกกระหน่ำข้างนอกทำให้เขายิ่งนึกถึงความฝันเมื่อสักครู่ ในความฝันเมื่อครูนั้นก็ฝนตกเหมือนกัน เขาเอนตัวกลับลงนอนและหันไปดึงหมอนข้างเข้ามากอดแน่น

เขาฝันถึงคนๆ นั้นอีกแล้ว คนที่เขาคงไม่มีวันได้พบเจออีกครั้งในชีวิตจริง แต่คอยตามมามอบความอบอุ่นใจให้เขาในความฝัน หากแต่สร้างความขมขื่นเกินบรรยายเมื่อเขาต้องตื่นมาพบว่ามันไม่ใช่ความเป็นจริง และในความจริง เขาจะไม่มีมีโอกาสได้สัมผัสความอบอุ่นเหล่านั้นเลย

ภูวากอดหมอนข้างแน่นขึ้นอีก ความหนาวเย็นและเจ็บปวดในใจนี้มันช่างตรงกันข้ามกับความรักและความอบอุ่นที่เขาเพิ่งรู้สึกในความฝันเมื่อกี้ราวสวรรค์กับนรก

เขาจะต้องทนอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ไปอีกถึงเมื่อไหร่… หรือมีเพียงความตายเท่านั้นที่จะทำให้เขาลืมคนๆ นั้นได้

ภูวานอนลืมตาคิดถึงเพื่อนสมัยมัธยมคนนั้นอยู่ครู่ใหญ่ คนที่ทำให้เขารู้จักความสวยงามของคำว่ารักเป็นครั้งแรก และก็เป็นคนที่ทำให้เขารู้จักความเจ็บปวดอันเป็นอีกด้านหนึ่งของความรักด้วยเช่นกัน

เขาลุกออกจากเตียงและเดินออกไปที่ครัวเพื่อดื่มน้ำ แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อเห็นพายุกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว

“อ้าว ไอ้พายุ ทำไมมานั่งตรงนี้มืดๆ วะ ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“นอนไม่หลับอะ”

“เป็นไรอีก ทะเลาะกับไอ้ต่ออีกเหรอ”

“ป่าวววว…” พายุรีบตอบ “แค่มีเรื่องที่ยิมนิดหน่อยอะ”

“เรื่องไอ้ต่อ”

“ป่าวววว...” พายุหันหน้าหลบสายตาพี่ชายของเขา ก่อนจะพึมพำอีกคำออกมาเบาๆ “มั้ง”

ปกติพายุกับต่อก็เล่นยิมที่เดียวกับภูวา แต่บางทีพอภูวาไปถึงที่ยิม เด็กสองคนนี้ก็มักจะเล่นเสร็จแล้วเสมอ เนื่องจากเขาเลิกงานช้า ในขณะที่โรงเรียนของสองคนนี้เลิกช่วงประมาณสี่โมงเย็นเท่านั้นเอง

นับจากเหตุการณ์ที่ต่อขโมยจูบพายุไปเมื่อตอนนั้น พายุก็เล่าให้เขาฟังว่าเขายื่นคำขาดกับต่อไปแล้วว่าขอให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแค่เพื่อนเหมือนเดิม แรกๆ ต่อก็ตีตัวออกห่างไปบ้าง แต่พายุพยายามทำตัวเป็นปกติและพยายามคุยกับต่อแบบเปิดอกกันให้มากที่สุดเพื่อให้ต่อเข้าใจและทำตัวเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ง่ายขนาดนั้น ซึ่งแน่นอนว่าภูวาเองก็เขาใจต่อดีว่ามันย่อมต้องไม่ง่ายขนาดนั้นแน่ๆ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่าแค่บอกให้พายุอดทนและให้เวลาต่อปรับตัวบ้างเท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือ เป็นเรื่องที่พายุต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง และเขาก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะไปก้าวก่ายอะไร

“มีเรื่องอะไรล่ะคราวนี้” ภูวาถามขณะนั่งลงข้างๆ​ พายุ

“เรื่องไม่เป็นเรื่องอะ…”

“แต่ถึงขนาดทำให้นอนไม่หลับเลยเนี่ยนะ”

พายุอ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เพราะเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่​ และไอ้ความไม่รู้นั่นเองที่ทำให้เขารู้สึกเครียดในตัวเองจนนอนไม่หลับแบบนี้

เรื่องของเรื่องคือเขาไปยิมพร้อมกับต่อ​ แต่ในขณะที่เขากำลังยกบาร์เบลโดยให้ต่อช่วยเซฟอยู่นั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายต่อ​ จากบทสนทนา​ ดูเหมือนพวกเขาจะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน​ แต่ก็ดูสนิทกันดี คนๆ​ นั้นดูน่าจะเป็นเด็กมหาวิทยาลัย​ แถมยังหน้าตาดีด้วย​ ทั้งคู่คุยกันอยู่สักพักโดยที่เหมือนจะไม่ได้สนใจพายุที่นั่งอยู่ตรงนั้นเลย แม้กระทั่งคนๆ​ นั้นขอตัวเดินออกไปแล้ว​ ต่อก็ยังคงไม่แนะนำหรือบอกเขาว่าคนที่คุยด้วยเมื่อกี้คือใคร​ มันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ​ เพราะปกติต่อไม่น่าจะทำแบบนี้​ และไอ้ความรู้สึกแปลกๆ​ นี่แหละที่ทำให้เขานอนไม่หลับ​ เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ​ ตัวเองถึงต้องมารู้สึกแบบนี้ด้วย​ ต่อมันจะคุยกับใคร​ รู้จักใคร​ ก็ไม่ใช่เรื่องของเขาสักหน่อย

ภูว่านั่งมองหน้าน้องชายของตัวเองโดยไม่พูดอะไรครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบไปดูนาฬิกาบนผนังห้อง

“ที่จริงพี่ก็นอนไม่หลับเหมือนกัน​ ฝันไม่ค่อยดีเท่าไหร่​ ตื่นมาแล้วโหวงๆ​ แต่ก็จะพยายามไปนอนต่อละ​ แกก็ไปนอนได้แล้วนะ​ พายุ​ ตีสามแล้วนะ”

“อืออออ” พายุตอบเสียงอ่อย

ภูวาลุกขึ้นยืน​ “ถ้างั้นไปนอนด้วยกันมั้ย​ เผื่อจะดีขึ้น”

พายุหันไปหาพี่ชายของเขาแล้วพยักหน้า​ “อื้อ...”

.
.
.

ในขณะเดียวกันนั้นเอง เคนก็เพิ่งจะฝันร้ายอีกแล้ว เขาตื่นขึ้นกลางดึกและมองไปรอบห้องอย่างหวาดผวา เขาใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าสมองจะเริ่มทำงานและคิดออกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน เมื่อสามวันก่อนเขาตัดสินใจขี่รถมอเตอร์ไซค์มาที่หัวหินคนเดียว พรุ่งนี้จะเป็นวันที่เขาต้องเช็กเอาท์และกลับไปกรุงเทพฯ เพื่อพบกับญาติคนอื่นๆ รวมทั้งชลอีกครั้ง ก่อนจะมาที่หัวหินนี้เขาเพิ่งไปพบจิตแพทย์มาตามคำแนะนำกึ่งบังคับของชล หมอบอกว่าเขาเป็นโรค PTSD ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะมันก็ตรงกับที่นักจิตวิทยาที่อเมริกาเคยบอกเขาเอาไว้ อีกอย่าง PTSD ยังถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติมากที่เกิดขึ้นกับคนที่เคยทำอาชีพแบบเขา เขาได้ยามาจำนวนหนึ่งพร้อมคำแนะนำการใช้ชีวิต และการนัดหมายให้พบกับนักจิตวิทยาเพื่อพูดคุยและบำบัดต่อไป แต่เขาไม่ต้องการแบบนั้น นั่นคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาหนีมาที่นี่ เขาหนีจากทั้ง PTSD และนักจิตวิทยาที่อเมริกามาถึงนี่แล้วรอบหนึ่ง แม้เขาจะรู้ว่าการหนีต่อไปเรื่อยๆ นั้นเป็นไปไม่ได้ แต่เขายังไม่พร้อมที่จะพูดคุยเรื่องนั้นกับใครหน้าไหนทั้งนั้น

เคนลุกออกไปที่เบียงแล้วนั่งลงบนเก้าอี้เอน เขามองไปยังบรรดากระป๋องเบียร์ที่วางอยู่เกลื่อนกลาดแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ เขารู้เขาไม่ควรมีพฤติกรรมแบบนี้ แต่ถ้าเขาไม่เมา บางทีภาพเหล่านั้นมันก็ตามมาหลอกหลอนแม้กระทั่งยามตื่น

“กินยาสิ กินยาแล้วมันจะดีขึ้น” ชลเคยบอกเขา “แล้วเลิกเหล้าเลิกบุหรี่ด้วย อย่ากลับไปสูบไปดื่มอีก โดยเฉพาะแอลกอฮอล์น่ะ มันส่งผลข้างเคียงเมื่อร่วมกับยานะ”

นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่อยากกินยาไง เพื่อที่แอลกอฮล์ที่เขาดื่มเข้าไปจะได้ไม่ทำให้ยาออกฤทธิ์ข้างเคียงอันตราย ถ้าให้เลือกระหว่างยากับแอลกอฮอล์ แน่นอนว่าเขาต้องเลือกที่จะดื่มแอลกอฮอล์แล้วไม่กินยามากกว่า

อีกอย่าง เมื่อตอนอยู่อเมริกาเขาก็เคยกินยาชื่อแวเลี่ยมมาแล้ว กินจนแทบจะเรียกว่าติด เมื่อไหร่ที่ฟุ้งซ่าน เขาจะคว้ามันมากินเสมอ แต่มันไม่ได้ช่วยให้บาดแผล ความหวาดกลัว และภาพเหตุการณ์ในใจเหล่านั้นหายไป มันแค่กดยับยั้งความเจ็บปวดของเขาเอาไว้มากกว่า มันทำให้เขารู้สึกชา ไร้ความรู้สึก ทั้งๆ ที่เขาแค่อยากจะร้องไห้ อยากจะเจ็บปวดให้สาสมกับสิ่งที่เขาสูญเสียไป

นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านไปจะครึ่งปีแล้ว… เดือนที่แล้วทุกคนที่อเมริกาตัดสินใจให้เคนกลับมาอยู่ไทย หลีกหนีจากบรรยากาศ สังคม และวัฒนธรรมเดิมๆ กลับมาสู่บ้านหลังที่สองของเขา เคนเคยคิดจะไปญี่ปุ่นเช่นกัน แต่มันก็คงทำให้เขาคิดถึงโทรุมากยิ่งกว่ากลับมาอยู่ไทยเสียอีก

พ่อของเคนเป็นนักธุรกิจที่เดินทางบ่อย เขาไต่เต้าขึ้นมาจากพนักงานตัวเล็กๆ ลบคำสบประมาทและคำครหาของหลายๆ คน จนกลายเป็นผู้บริหารระดับสูง เขาเคยต้องเดินทางไปอยู่ต่างประเทศทีละหลายๆ ปี นั่นทำให้เขาพบรักกับแม่ของเคนที่ประเทศไทย ทั้งคู่แต่งงานกันที่ไทย ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เคนไม่ใช่ลูกคนเดียว เขามีน้องชายฝาแฝดด้วยอีกคน ชื่อโทรุ หลังทั้งสองลืมตาออกมาดูโลกได้แค่ไม่กี่เดือน ครอบครัวของเขาก็ย้ายไปอยู่ที่ญี่ปุ่น ทั้งคู่โตอยู่ที่นั่นจนถึงอายุเจ็ดขวบ ก่อนจะกลับมาอยู่ที่ไทยจนอายุ 10 ขวบ และต้องย้ายกลับไปที่อเมริกาอีกครั้ง พ่อของเขายังต้องเดินทางอยู่บ้าง แต่ครอบครัวของเขาตัดสินใจลงหลักปักฐานกันที่บอสตัน สหรัฐอเมริกา

เขากับโทรุหน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง สิ่งที่แตกต่างกันมีเพียงแค่ไฝเม็ดเล็กๆ ในจุดที่คนอื่นไม่เห็น แต่แน่นอนว่าพ่อกับแม่ของเขาเห็นมันมาตั้งแต่พวกเขาเกิด และนั่นก็เป็นสิ่งที่ช่วยแยกเขาทั้งสองออกจากกันได้อยู่ช่วงใหญ่ๆ แต่เมื่อโตขึ้น นิสัยบางอย่างของเคนกับโทรุก็เริ่มแสดงความแตกต่างออกมาเด่นชัดขึ้น เคนจะเป็นคนที่มีความเป็นพี่สูงกว่า เป็นผู้นำมากกว่า และมีความถนัดในด้านการคิดการคำนวณมากกว่า ในขณะที่โทรุจะเป็นคนค่อนข้างใช้อารมณ์ ลางสังกรณ์ มากกว่าความคิด และมีความถนัดทางด้านศิลปะและดนตรีมากกว่าเคน แต่ถึงแม้ทั้งสองคนจะมีความสนใจและอุปนิสัยแตกต่างกันอย่างไร พวกเขาทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องที่สนิทกันมากและแทบไม่เคยทะเลาะกันเลย ทั้งคู่เล่นกีฬาด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกัน ออกกำลังกายด้วยกัน แม้จะมีเพื่อนสนิทคนละกลุ่ม แต่โทรุที่มีนิสัยเป็นมิตรและเข้ากับคนง่ายกว่า ก็มักไปเที่ยวกับเคนและกลุ่มเพื่อนของเคนด้วยเสมอๆ

โทรุมีแฟนคนแรกตอนอายุ 14 และนั่นก็ทำให้เคนกับโทรุทะเลาะกันใหญ่โตเป็นครั้งแรก คนนอกมองว่าเขาทะเลาะกันเพราะโทรุจีบผู้หญิงติดก่อนเคน และใช้เวลาอยู่กับแฟนสาวมากเกินไป แต่พวกเขาไม่เคยบอกใครว่าสาเหตุที่พวกเขาทะเลาะกันนั้นจริงๆ แล้วมันเกิดจากอะไรกันแน่

พวกเขาพูดไม่ได้หรอกว่าเคนรู้สึกหึงโทรุกับแฟนสาวของเขา

โทรุเลิกกับแฟนคนนั้นไปหลังจากคบกันได้ไม่กี่เดือน แต่หลังจากนั้นเขาก็มีเดทกับผู้หญิงคนอื่นเรื่อยๆ เคนไม่เคยมีความสุขกับเรื่องแฟนของน้องชาย แต่ก็เรียนรู้ที่จะเก็บมันเอาไว้ข้างในคนเดียวเพราะไม่อยากทะเลาะกับโทรุอีก

ความผูกพันของสองพี่น้องมีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา ยิ่งเมื่อเข้ามัธยมปลาย ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ซับซ้อนมากขึ้นอีก เคนที่มักคิดและตัดสินใจด้วยเหตุและผลมากกว่าการใช้อารมณ์ตกเป็นฝ่ายที่จมลงสู่วังวลของความคิดและความสับสนมากกว่าโทรุ จนกระทั่งเมื่อเรียนจบระดับชั้นมัธยม เขาก็ตัดสินใจที่จะเลือกเดินเส้นทางที่แตกต่างออกไป เขาเลือกที่จะเข้าร่วมกองทัพนาวิกโยธินของสหรัฐ การตัดสินใจของเขาทำให้แม่ของเขาร้องไห้ และทำให้พ่อของเขารู้สึกผิดหวัง ในขณะที่โทรุเองก็มีหัวใจที่แตกสลายไม่ต่างจากเคน แต่ในเมื่อเคนตัดสินใจแน่วแน่แล้วแบบนั้น โทรุจึงตัดสินใจว่าเขาก็จะต้องไม่แสดงออกจนทำให้เคนรู้สึกไม่สบายใจเด็ดขาด

ในช่วงสองปีแรกที่เคนไปฝึก เขาไม่ได้กลับบ้านเลย เขาต้องการที่จะหนีและเปลี่ยนแปลง อยากจะเข้มแข็งขึ้น และเขาใช้เวลาถึงสองปีในการทำให้พ่อยอมรับการตัดสินใจของเขา ในระหว่างที่เคนไปฝึกนั้น เขายังคุยกับโทรุเหมือนเดิม แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องช่องทางการสื่อสาร ส่วนมากพวกเขาจะเขียนจดหมายถึงกันมากกว่า โทรุเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้านศิลปศาสตร์ ซึ่งก็เหมาะกับเขาดี จากทั้งจดหมายและโทรศัพท์ เคนรู้ว่าโทรุเองกำลังมีความสุขและสนุกกับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งแค่นั้นก็ทำให้เขาสบายใจแล้ว

จนเมื่อถึงเวลาที่เขาคิดว่าควรกลับไปหาครอบครัว เมื่อเขาคิดว่าเขาพร้อม ในคืนก่อนวันคริสมาสต์ เขากลับไปที่บ้านโดยไม่ได้บอกคนอื่นไว้ก่อนเพื่อทำให้ทุกคนประหลาดใจ เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบพร้อมกับกระเป๋าสะพายบ่าแบบทหาร เขากดออดและยืนรออยู่หน้าประตู แม่ของเขาเป็นคนเปิดประตูออกและร้องไห้ทันทีที่เห็นหน้าเคน พ่อของเขาก็ลุกออกจากโซฟาในห้องนั่งเล่นแล้วเดินเข้ามากอดเขาแน่น หลังจากนั้นเคนก็หันไปหาโทรุที่ยืนอยู่ตรงโซฟา หัวใจของเขาเต้นแรงทันที เขาสองคนเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว เพียงแค่มองตากัน พวกเขาก็สามารถสื่อสารกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ ออกมา โทรุยิ้มและพยักหน้าให้เคน เคนเองก็พยักหน้าตอบ เขาเดินตรงเข้าไปหาน้องชายของเขาแล้วจากนั้นทั้งคู่ก็สวมกอดกันแน่น คืนนั้นเป็นคืนที่เคนมีความสุขมาก เขาแทบลืมไปแล้วว่าความรู้สึกของการได้กลับมาบ้านนั้นเป็นอย่างไร

หลังจากเคนเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้องและนั่งมองห้องนอนของตัวเองอยู่สักพัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

เข้ามาได้เลย” เคนพูด เขารู้ว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องนั้นคือใคร

ไงบ้าง” โทรุเดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูตามหลังลง “นายดูดีขึ้นเป็นกองเลยนะ” พวกเขาคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ

โดนฝึกขนาดนั้นก็คงเป็นธรรมดา แต่นายเองก็ดูแลตัวเองดีนี่ สรุปตอนนี้เลิกกับแฟนคนที่เคยเล่าให้ฟังไปรึยัง

เลิกแล้ว สามเดือนได้แล้วมั้ง” โทรุนั่งลงบนเตียงข้างๆ เคน “เฮ้อออ ทำไมฉันคบใครได้ไม่นานเลยวะ มีแฟนมาสามคน แต่ละคนคบไม่ถึงครึ่งปีเลย

นายมันเจ้าชู้น่ะสิ ฟันแล้วทิ้งล่ะไม่ว่า

เฮ้ย ไม่จริงนะเว้ย ช่วงนั้นที่เลิกกันใหม่ๆ ฉันเจ็บหนักเลยนะ ก็เลยหนีไปเที่ยวญี่ปุ่นมาอาทิตย์กว่าๆ

ญี่ปุ่นอีกแล้วเหรอ

ก็ชอบนี่หว่า ว่าแต่นายเถอะ ได้มีอารมณ์โรแมนซ์กับใครบ้างหรือเปล่า

จะไปมีได้ยังไงวะ ในนั้นก็มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น แถมส่วนมากก็มีแต่พวกบ้าพลังอีกต่างหาก” เคนหันไปมองหน้าโทรุ เหมือนเขากำลังส่องกระจกอยู่ไม่มีผิด สิ่งที่แตกต่างคือทรงผมของโทรุที่ยาวกว่า และประกายในแววตาคู่นั้นที่เคนไม่มี เคนแทบจะลืมไปแล้วว่าโทรุเคยมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

ก็ไม่ใช่เพราะในนั้นมีแต่ผู้ชายเหรอ ฉันถึงได้กังวลน่ะ” โทรุพูดเบาๆ

เคนเอะใจกับคำว่า ‘กังวล’ เมื่อสักครู่ เขาหันไปมองหน้าโทรุด้วยแววตาสงสัยปนเจ็บปวด พวกขาต่างคนต่างไม่พูดอะไรกันออกมาครู่หนึ่ง แต่เมื่อรู้ตัวอีกที ทั้งคู่ต่างก็โถมตัวเข้าหากันและจูบปากกันอย่างดูดดื่ม

มันคือการกระทำที่ผิด ผิดในสายตาของคนหลายๆ คน ผิดในแง่ศีลธรรม บรรทัดฐานทางสังคม ผิดในหลายๆ แง่มุม หรืออาจจะผิดในทุกๆ เลยด้วยซ้ำ แต่เด็กหนุ่มทั้งสองคนไม่แคร์เรื่องพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว พวกเขาเคยแคร์ เคยต่อสู้กับความคิดเหล่านั้นจนมันทำให้พวกเขาเจ็บปวดทรมาน และมันคือความเจ็บปวดที่คนอื่นไม่ได้มาร่วมแบ่งปันไปด้วย มันคือความเจ็บปวดที่เขาต้องทนแบกรับกันแค่สองคนมาหลายปี แต่ในตอนนั้น ที่นั่น ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่มีแค่พวกเขา โลกทั้งใบมีแค่เขาสองคน ความรักที่เอ่อท้นออกมาจากข้างในอกทำให้ทั้งเคนและโทรุต่างก็รู้ตัวว่าเวลาสองปีกว่าที่ผ่านมา พวกเขาไม่สามารถแสร้งทำเป็นลืม ไม่สามารถหักห้ามความรักและความรู้สึกที่มีต่อกันและกันได้เลย

เคนน้ำตาไหลออกมาเล็กน้อยทั้งที่กำลังหลับตาอยู่ เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาโหยหาสิ่งนี้มากขนาดไหน เขาไม่เคยแข็งแกร่งขึ้นเลย เขาไปเข้าร่วมกองทัพเพราะอยากจะหนีจากสิ่งๆ นี้ ความรู้สึกนี้ แต่กลับกลายเป็นว่ามันทำให้เขายิ่งรู้สึกต้องการมันมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว

ทั้งคู่ถอนปากออกจากกัน และเมื่อลืมตาขึ้น เคนจึงเห็นว่าโทรุเองก็กำลังร้องไห้อยู่เช่นกัน

ร้องไห้ทำไม” เคนถาม “อย่าร้องสิวะ ขอร้องล่ะ

โทรุจับมือเคนแล้วสะอื้นเบาๆ “ฉันคิดถึงนายว่ะ เคน คิดถึงมาก

ฉันก็เหมือนกัน” เคนดึงตัวของโทรุเข้ามากอด

ทำไมเราต้องเกิดมาเป็นพี่น้องกันด้วยวะ” โทรุพูดออกมาเบาๆ เคนเข้าใจความหมายของคำถามนั้นดี พวกเขาเคยถามคำถามนี้ทั้งกับตัวเองและกันและกันมาหลายครั้งมากแล้ว

แต่มันคือคำถามที่ไม่มีวันได้คำตอบ

เราสองคนแชร์จิตใจและวิญญาณดวงเดียวกันมาตั้งแต่เกิด แต่ทำไมเรากลับต้องห่างกันแบบนี้

เคนกลืนน้ำลาย “เมื่อสองปีก่อน มันก็มีบางครั้งที่ฉันคิดนะว่าการตัดสินใจไปเป็นนาวิกฯ มันคือการตัดสินใจด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผลหรือเปล่า แต่จริงๆ มันคือสิ่งที่ถูกต้องแล้วล่ะ ถ้าเรายังอยู่ด้วยกัน เราก็คงมีแต่ต้องเจ็บปวด ฉันคงจะทำได้แค่เหนี่ยวรั้งนายไว้ นายควรไปมีคนรัก ได้พบผู้หญิงดีๆ ได้แต่งงาน มีครอบครัว มีลูกชายตัวเล็กๆ คนนึง แล้วก็มีโกลเดน รีทรีฟเวอร์สักตัว…

โทรุหัวเราะเบาๆ “เอาเรื่องที่เคยคุยกันสมัยไหนมาพูดวะเนี่ย

แต่มันคือเส้นทางที่นายควรเดิน

แล้วเส้นทางของนายล่ะ

นี่ไง” เคยผายมือออก ทำท่าทางให้โทรุมองดูเครื่องแบบบนตัวของเขา “นี่คือเส้นทางที่ฉันเลือก

โทรุนิ่งไปพักหนึ่ง “รู้อะไรมั้ย ช่วงนี้ฉันกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่ว่ะ…

อะไรวะ

โทรุส่ายหน้า “เอาไว้เราค่อยคุยกันทีหลังดีกว่า นายกลับมาอยู่นี่ได้กี่วัน

สองสัปดาห์

งั้นสัญญาได้ไหม ว่าสองสัปดาห์นี้นายจะอยู่กับฉันตลอด ห้ามหนีหายไปไหนเด็ดขาด รวมถึงตอนนอนด้วย

ใจของเคนเต้นแรงขึ้นทันที และไม่ใช่แค่หัวใจของเขา แต่ยังรวมไปถึงไอ้น้องชายในกางเกงของเขาอีกด้วย

ฉันสัญญา

ถ้าหากว่าตอนแรกเคนเคยคิดว่าการกลับมาเจอโทรุอีกครั้งแบบนั้นจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ความคิดนั้นก็จางหายไปหมดแล้วในคืนนั้นเอง

เคนเพิ่งรู้สึกตัวว่าจู่ๆ เขาก็น้ำตาเริ่มไหลออกมาเอ่อที่ขอบตา เขากะพริบตาแล้วมองไปยังเบื้องหน้า ท้องทะเลที่มืดสนิท เสียงคลื่นที่ซัดอยู่ไม่ไกล และสายลมที่พัดปะทะใบหน้าย้ำเตือนว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ภาพความทรงจำในอดีตหายวับไปราวกับภาพในจอทีวีที่ถูกดึงปลั๊กออกและดับวูบลงไปเป็นมืดสนิท ช่วงหลังมานี้เขาเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยขึ้น นั่นคือการที่เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วเขาจะหลุดเข้าไปอยู่ในความทรงจำนั้นๆ แบบที่ไม่ได้สนใจสภาวะรอบตัวในตอนนั้นเลย และเมื่อเขารู้สึกตัวอีกที มันจะเหมือนเขาถูกกระชากกลับมาสู่ในโลกปัจจุบันอย่างกะทันหัน สมองของเขาต้องใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อปรับตัวให้รู้ว่าเหตุการณ์ไหนที่เป็นความจริงและเหตุการณ์ไหนที่เกิดขึ้นแค่ในหัวของเขา

เคนใช้หลังมือปาดน้ำตาแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง เขาทำได้ดีที่สุดแค่นี้แหละ แค่น้ำตาคลอ แต่ไม่มากไปกว่านั้น เขาไม่สามารถร้องไห้ฟูมฟาย เขาหยิบถุงยาออกมาจากกระเป๋า มองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกินยาไดอะซีแพมสองเม็ดแล้วเดินกลับไปนอนลงบนเตียงอีกครั้ง

คืนนี้เขาเห็นน้องชายของเขามามากพอแล้ว เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนฟ้าสาง หลังจากนี้เขาขอไม่คิดและไม่เห็นอะไรอีกเลยก็แล้วกัน


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เอาไปยาวๆ ห้าตอนติดๆ กันก่อนนะครับ หวังว่าจะทำให้ได้รู้จักนิสัยและพื้นหลังตัวละครทั้งสี่คนของเรามากขึ้น

เอาไว้เจอกันใหม่ครับ

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
หวังว่าดราม่าไม่หนักหน่วงนะครับ :)
หัวใจอ่อนแอ  :z1:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 6

เขาไม่รู้จะบอกใครอย่างไรเพราะเขาเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ แต่นับจากวันที่เขาเห็นต่อคุยกับผู้ชายคนนั้นด้วยท่าทางสนิทสนมแล้ว พายุก็รู้สึกแปลกๆ กับต่อมาตลอด เขาไม่ค่อยอยากคุยกับต่อเหมือนปกติ แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากต่อดูไม่สนใจเขาเหมือนที่เคย เขาก็จะรู้สึกหงุดหงิด และไอ้ท่าทีแปลกๆ ของเขาเหล่านี้เองที่ทำให้ต่อเป็นฝ่ายทนไม่ไหวขึ้นก่อน

พายุลุกออกจากห้องเรียนในช่วงเปลี่ยนคาบเพื่อไปเข้าห้องน้ำ หลังเสร็จธุระและหันตัวกลับเพื่อเดินไปยังอ่างหน้ามือ เขาก็เห็นต่อกำลังยืนมองเขาอยู่

“มึงเป็นอะไรของมึงวะ ไอ้พายุ”

“เป็นอะไรหมายความว่ายังไง กูไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

“เนี่ย มึงหลบหน้ากูอีกแล้ว” ต่อคว้าหัวไหล่ของพายุไว้ “มึงคิดว่ากูจะไม่สังเกตเหรอวะว่ามึงเปลี่ยนไป มึงหลบหน้ากู มึงไม่พอใจกูอะ ทำไมกูจะไม่รู้ ในเมื่อกูนั่งอยู่ข้างๆ มึงทุกวันนะเว้ย”

พายุไม่รู้จะตอบยังไง “กูขอโทษแล้วกัน”

ต่อชักเริ่มจะหงุดหงิด “มึงขอโทษเหรอ ขอโทษเรื่องอะไร คำขอโทษส่งๆ แบบนี้กูไม่ต้องการ”

พายุหันไปมองหน้าต่อ “เดี๋ยวเราค่อยคุยกันได้ปะวะ กลับเข้าห้องเรียนก่อนเหอะ”

“งั้นมึงจะคุยตอนไหน”

“เลิกเรียนแล้วกัน เดี๋ยวไปเจอกันที่เดิม วันนี้พอเสร็จคาบสุดท้ายแล้วกูต้องเอางานไปส่งให้อาจารย์อีก แล้วเดี๋ยวจะตามไป”

“โอเค” ต่อรับคำก่อนจะหันหลังให้พายุแล้วเดินออกจากห้องน้ำไป

บางทีพายุก็สงสัยนะว่าต่อจะยังคงรู้สึกชอบเขาเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า หรือที่จริงต่ออาจจะเกลียดหรือรำคาญเขาไปแล้วก็เป็นได้

เวลาที่เหลือของวันผ่านไปยังเชื่องช้า หลังคาบสุดท้ายต่อก็ต้องรีบช่วยเอารายงานของเพื่อนทุกคนในห้องไปส่งที่ห้องพักครูตามที่เคยได้รับมอบหมายไว้ เขาใช้เวลาครู่หนึ่งคุยกับอาจารย์ประจำวิชาของเขา จากนั้นก็เดินกลับไปที่ห้องเพื่อหยิบกระเป๋านักเรียน เพื่อนคนอื่นๆ ออกจากห้องกันไปเกือบหมดแล้ว รวมถึงต่อด้วยเช่นกัน พายุคิดว่าต่อคงจะไปรอเขาอยู่ที่นั่น จึงรีบเดินไปยังหลังตึกเรียน แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าต่อยังคงมาไม่ถึง เขาเลยถอนหายใจเซ็งๆ และนั่งรออยู่ตรงซุ้มใต้ต้นจามจุรีขนาดใหญ่
สักพักหนึ่งก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา

“น้องคะ”

“ครับ” พายุเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือมองไปยังที่มาของเสียง

“น้องชื่อพายุใช่ปะคะ”

“เอ่ออ ครับ” พายุมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขา จุดที่ปักลงบนเสื้อบอกว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ชั้นปีที่สูงกว่าเขาหนึ่งปี

“พี่ชื่อแป้งนะคะ สองคนนั้นเพื่อนพี่” แป้งชี้ไปยังผู้หญิงอีกสองคนที่ยืนอยู่ห่างๆ “คนซ้ายชื่อแนน ส่วนคนขวาชื่อมิว เพื่อนพี่ที่ชื่อมิวมันชอบน้องอะ พี่ขอไลน์น้องให้เพื่อนพี่หน่อยได้ไหมคะ”

“ฮะ… ครับ…” พายุตกใจและตอบกลับไปไม่ถูก

“เย้ แปลว่าตกลงนะคะ น้องยังไม่มีแฟนใช่มั้ย งั้นพี่ขอไลน์น้องเลยนะ” แป้งยื่นโทรศัพท์ของเธอมาให้พายุ ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกเพื่อนอีกสองคนให้เดินเข้ามาหา

พายุพูดคุยกับรุ่นพี่ทั้งสามคนสั้นๆ แบบงงๆ ในขณะที่ก็พิมพ์ไลน์ไอดีของตัวเองให้พวกเธอไปด้วย คนชื่อมิวที่แป้งบอกว่าชอบเขามีหน้าตาที่น่ารักดี ในช่วงไม่กี่นาทีที่รุ่นพี่ทั้งสามคนมารุมอยู่กับพายุนั้น มิวแทบจะไม่ได้พูดอะไรเองเลย แต่คอยหลบอยู่หลังเพื่อนอีกคนที่ชื่อแนนแทบตลอดเวลาด้วยท่าทีเขินอาย

พายุเพิ่งเคยเจอสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก เขาทั้งตกใจ ทั้งเขิน จนทำตัวไม่ถูก จนกระทั่งเขาเหลือบไปเห็นต่อที่กำลังยืนมองมาทางเขา เขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่าที่จริงแล้วเขามานั่งอยู่ตรงนี้เพราะอะไร

“พี่ๆ ครับ ขอโทษนะครับ พอดีเพื่อนผมมาแล้ว เดี๋ยวขอผมคุยกับมันก่อนนะครับ”

รุ่นพี่ทั้งสามทำหน้าเสียดายก่อนจะโบกมือลาให้พายุแล้วเดินจากไป

“นี่มันเรื่องอะไรกันวะ” ต่อถามขึ้นทันทีที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามพายุ

“พวกพี่เค้ามาขอไลน์กูอะ”

“ขอไปทำไม”

“พี่คนนึงในนั้นเค้าชอบกู”

“แล้วมึงให้ไปมั้ย”

“เอ่ออ… ก็ให้ไปอะ”

“แล้วมึงจะให้เค้าไปทำไมวะ!” ต่อหัวเสียขึ้นทันที “มึงชอบเค้าเหรอ”

“เฮ้ย ไม่ได้ชอบเว้ย บ้าเหรอวะ คนเพิ่งเจอหน้ากัน”

“แล้วให้ไปทำไม!”

“เอ้า ไอ้เหี้ย ก็เค้าขออะ จะให้กูบอกเค้าว่าไงอะวะ กูไม่อยากหักหน้าเค้า”

“ก็บอกเค้าไปสิว่ามึงมีแฟนแล้ว”

“มันไม่มีจังหวะให้พูดแบบนั้นโว้ยยย อีกอย่างกูไม่มีแฟน จะให้กูโกหกได้ไง เกิดเค้ารู้ทีหลังเค้าไม่เฟลแย่เหรอวะ”

“โวะ! มึงนี่เข้าอกเข้าใจเป็นห่วงความรู้สึกพี่เค้าเก่งเหลือเกินนะ แล้วทีกับกูเนี่ย ทำไมไม่เข้าใจกูบ้าง!”

“เข้าใจเหี้ยอะไรของมึง ว่าแต่กะอีแค่เค้ามาขอไลน์กูเนี่ย มึงจะโกรธอะไรนักวะ ไอ้ต่อ”

“กูหึง!” ต่อพูดใส่หน้าพายุ “กูหวงมึง เข้าใจปะ”

พายุหน้าแดงทันที เขาควรจะคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าต่อน่าจะตอบกลับแบบนี้ แต่ตอนแรกเขากลับคิดไม่ถึง “มึงจะหวงกูทำไม เราเป็นแค่เพื่อนกัน ไม่ได้เป็นแฟนกันสักหน่อย”

ต่อกระฟัดกระเฟียด “เออ กูรู้ว่ากูเป็นแค่เพื่อน กูมันไม่มีสิทธิ์หรอก ใช่ กูไม่มีสิทธิ์ห้ามมึงไปคุยกับคนอื่น แต่กูมีสิทธิ์ที่จะไม่ชอบใจใช่มั้ยวะ แค่ความคิดว่ามึงไปคุยจ๊ะจ๋ากับคนอื่นก็ทำกูหงุดหงิดแล้ว กูไม่ชอบ”

พายุนิ่วหน้า “จ๊ะจ๋าเหี้ยอะไร ไอ้ต่อ อย่าพูดจาพิลึกๆ แบบนั้น ไอ้เหี้ย ไม่ใช่นิสัยกูเลย”

“เออ กูรู้ว่ามึงไม่ได้ชอบกู กูรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ขอเวลากูหน่อยไม่ได้เหรอวะ อย่างน้อยๆ แค่ช่วงนี้ มึงก็อย่าคุยกับคนอื่น อย่าเพิ่งไปมีแฟน อย่าเพิ่งทำอะไรแบบนั้นให้กูเห็นเลย กูขอแค่นี้ได้มั้ยล่ะ”

“กูก็ไม่เคยมีความคิดที่อยากจะไปคุยกับใครเว้ยยย กูเคยบอกมึงแล้วไงว่ากูไม่สนใจเรื่องพวกนั้น”

“ถ้าไม่สนแล้วมึงให้ไลน์พวกพี่เค้าไปทำไม”

“นี่มึงจะวนกลับมาเรื่องนี้อีกสักกี่รอบวะ ไอ้ต่อ ก็กูให้ไปแล้วมันก็คือให้ไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว จบได้ยังวะ อีกอย่าง มึงจะมาห้ามกูไม่ให้คุยกับใครเลยหรือห้ามคนอื่นไม่ให้มาคุยกับกูอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะเว้ย ทีมึงเองก็ยังคุยกับคนนั้นคนนี้ที่ยิมเลย”

ต่อเลิกคิ้วขึ้นทันที “คนนั้นคนนี้ที่ยิมอะไรของมึงวะ”

พายุอ้าปากจะพูด แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ

ต่อมองหน้าพายุงงๆ ก่อนจะเพิ่งนึกได้ “อ้อออ มึงหมายถึงพี่โอเหรอ ที่เจอที่ยิมเมื่อสองวันก่อนน่ะนะ”

พายุไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป

“แปลว่าที่มึงตึงๆ กับกูมาตลอดสองวันมาเนี่ย เพราะที่กูไปคุยกับพี่โอเหรอวะ”

พายุอยากจะตอบกลับไปว่า ‘ไม่ใช่’ แต่ก็พูดไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วเขาก็ ‘ไม่รู้’ ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่

“มึง… หึงกูเหรอวะ ไอ้พายุ” ต่อพูดพลางยิ้มออกมาน้อยๆ

พายุหน้าแดง เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มกวนๆ แบบนั้นมานานแล้วเหมือนกันนะ “ไม่ใช่เว้ย! กูไม่ได้หึง ก.. กูแค่…”

“แค่อะไร แค่ไม่อยากให้กูไปคุยกับคนอื่นอะเหรอ”

“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง! กูแค่ไม่ชอบที่มึงคุยกันแล้วไม่สนใจกูเลยสักนิด ก... คือกูหมายถึงมึงไม่เห็นบอกกูเลยว่าเค้าเป็นใคร รู้จักกันได้… ไม่ใช่ดิ คือแบบ ทำไมมึงไม่แนะนำกูกับเค้าให้รู้จักกันบ้างวะ กูก็นั่งหัวเด่อยู่ตรงนั้นอะ กูว่ามันดูไม่โอเค มึงเข้าใจปะ” พายุรีบพูดออกไปเป็นชุด

“โอเคๆๆ กูยอมแล้ว กูเข้าใจ” ต่อยกมือทั้งสองข้างขึ้น

“กูกลับบ้านแล้วนะ” พายุลุกขึ้นยืนพร้อมคว้ากระเป๋าเป้ของตัวเอง

“เดี๋ยวกูไปส่ง”

“ไม่ต้องอะ กูกลับเองได้”

“กูรู้ว่ามึงกลับเองได้ แต่บ้านกูก็อยู่ทางเดียวกับมึง”

“วันนี้กูอยากกลับคนเดียว”

ต่อถอนหายใจเบาๆ เขาพยายามที่จะไม่ยิ้มออกมา “โอเคๆ งั้นพรุ่งนี้กูไปรับนะ”

“พรุ่งนี้วันเสาร์ มึงจะไปรับอะไรกู ไอ้บ้า”

“กูรู้ว่าพรุ่งนี้วันเสาร์ ไอ้ควาย กูจะรับมึงไปดูหนังต่างหาก”

.
.
.

เคนไม่ค่อยชอบการเจอญาติๆ เท่าไหร่เลย เขารักประเทศไทยนะ เขารู้สึกผูกพันกับที่นี่มากกว่าที่ญี่ปุ่นเสียอีก แต่อีกใจเขาก็รู้สึกดีใจมากที่แม่ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับพ่อที่อเมริกา เพราะเขาไม่ค่อยชอบญาติพี่น้องฝั่งแม่เท่าไหร่จริงๆ แค่การที่แม่ของเขาเป็นลูกสาวในตระกูลคนจีนก็เป็นข้อเสียใหญ่อย่างหนึ่งแล้ว นี่แม่ยังแต่งงานกับคนต่างชาติและย้ายที่อยู่ไปมาหลายที่อีก นั่นทำให้เคนไม่รู้สึกว่าตัวเองผูกพันเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวฝั่งนี้สักเท่าไหร่ และญาติพี่น้องคนอื่นๆ ก็ดูจะมองเคนด้วยสายตาเฉกเช่นเขาเป็นคนนอกเช่นเดียวกัน จะมีก็แต่ชลที่เขาสนิทด้วยตั้งแต่เด็กและยังคงติดต่อพูดคุยกันอยู่เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ คนที่เขาไว้ใจพอจะคุยและเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง และไว้ใจพอจะให้พาเขาเข้าไปพบ ‘อากง’ เพื่อคุยเรื่องทิศทางการทำงานและการใช้ชีวิตของเขาที่ไทย

เขาไม่ค่อยเคยชินกับการเรียกญาติๆ แบบจีนเลยให้ตายเถอะ

“ผมยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตที่นี่เลยสักหน่อย” เคนพูดกับชลขณะที่ชลกำลังขับรถไปส่งเขากลับคอนโด

“แต่จะยังไงคุณก็ต้องทำงาน คุณจะอยู่ด้วยเงินเก็บไปเรื่อยๆ แบบนี้ได้ถึงเมื่อไหร่ เป็นไปไม่ได้หรอก อากงเองแกก็เอ็นดูคุณนะ เคน ตั้งแต่สมัยคุณยังเด็กแล้ว แล้วนี่คุณเองก็จบปริญญาตรีมาตั้งแต่สมัยฝึกอยู่ในกองทัพ จะไม่เอาความรู้มาใช้เลยหรือไง”
เคนรู้สึกเบื่อคำพูดหว่านล้อมปนจิกกัดของชลเหลือเกิน

“คุณหน้าตาดีนะ บุคลิกก็ดี การงานก็ดี เสียอย่างเดียว ปากคุณนี่แหละ ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมป่านนี้ยังไม่มีแฟน”

ชลหัวเราะเบาๆ “คุณก็ไม่มี และไม่เคยมี”

เคนหันไปมองชลด้วยแววตาดุดัน

“อีกอย่าง ผมก็ไม่ได้อยากมีแฟน” ชลไม่สนใจสายตาของเคน “จู่ๆ จะหาเรื่องเอาโซ่มาคล้องคอตัวเองทำไม”

“ไอ้นิสัยเพลย์เยอร์แบบนั้นของคุณก็ด้วย…”

“เฮ้ย​ ผมไม่ใช่เพลย์เยอร์นะ​ และผมก็ไม่ใช่เพลย์บอยด้วย ผมแค่รู้สึกแฮปปี้กับชีวิตตัวเองตอนนี้ดีแล้ว แค่นั้นเอง”

“เรื่องของคุณ…”

“ว่าแต่นี่เราไม่ได้กำลังคุยเรื่องของผมกันอยู่นะ อย่าลืมสิ”

เคนเงียบไปพักหนึ่ง “ผมมีตัวเลือกอื่นอีกไหมล่ะ”

“ไม่มี”

“ขอเวลาหนึ่งเดือน แค่อีกหนึ่งเดือน แล้วจะให้คำตอบ”

“สองสัปดาห์พอ”

เคนเบื่อนิสัยช่างต่อรองของคนเป็นทนายแบบนี้ด้วยเช่นกัน เขารู้ว่าเถียงไปก็ไม่มีทางชนะ

“โอเค”

.
.
.


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ภูวาไม่สามารถสลัดความฝันเมื่อคืนออกไปจากหัวได้ เขาฝันเห็นคนๆ นั้นอีกแล้ว เขานึกแปลกใจว่าทำไมช่วงนี้เขาถึงเห็นไอ้หมอนั่นในฝันบ่อยนัก ภาพที่เขาเห็น ใบหน้าของเขาคนนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปจากสมัยที่พวกเขายังเรียนอยู่มัธยมเลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน กี่ปีผ่านไป เขาก็ยังเห็นหมอนั่นแบบที่เคยจำได้ตั้งแต่เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน เหมือนกับเวลาของเขาถูกหยุดที่ตอนนั้น ทุกอารมณ์ ความรู้สึก ความทรงจำ ทุกสิ่งถูกแช่แข็งไว้ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ไม่ว่าเวลาในความเป็นจริงจะผ่านไปกี่ปี แต่เข็มนาฬิกาในใจของเขามันไม่เคยเดินต่ออีกเลย…

“มึงไม่ได้คุยกับมันเลยเหรอวะ” บี เพื่อนของภูวาถามในขณะที่ทั้งคู่กำลังกินข้าวเย็นด้วยกัน

บีเป็นเพื่อนสนิทของภูวาตั้งแต่สมัยเรียนและรู้เรื่องของภูวาเกือบจะทุกเรื่อง… “เกือบ”

“ไม่อะ ว่ามึงเหอะ ได้คุยกับมันมั่งรึไง”

“ไม่เลย” บีหัวเราะ “เราไม่ค่อยรู้เรื่องกลุ่มเพื่อนผู้ชายว่ะ อีกอย่างไอ้บอลมันก็ไม่ค่อยเล่นเฟซหรืออะไรด้วย แต่นานๆ ทีก็จะเห็นมันไปกินเหล้ารึเตะบอลกับพวกไอ้วิทบ้างนะ”

“อืมมม…” ภูวายกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม

“มึงโกรธมันป่าววะที่มันลบเฟรนด์มึงไปอะ” บีถามด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ เหมือนกลัวภูวาจะ
รู้สึกเจ็บ

“ไม่เลย กูเคยบอกมึงแล้วไงว่ากูไม่เคยโกรธมันเลย กูแค่ไม่เข้าใจมากกว่าว่าทำไม อีกอย่างนั่นมันก็หลายปีมาแล้ว กูไม่คิดไรแล้วว่ะ”

“แต่เมื่อกี้มึงเป็นคนถามถึงมันขึ้นมาเองนะ มึงแน่ใจเหรอว่ามึงไม่คิดไรอะ แถมจู่ๆ วันนี้มึงก็ชวนกูออกมากินข้าวกะทันหันแบบนี้อีก ไหนจะสีหน้ามึงเวลาพูดถึงมันขึ้นมาเมื่อกี้อีก…”

“โวะ มึงนี่” ภูวาแทบไม่เคยโกหกหรือปิดบังอะไรบีได้เลย เพราะบีจะดูเขาออกและมักจะเดาความคิดเขาได้เสมอ “เลิกเป็นแอร์ฯ ไปเป็นแม่หมอมั้ย อีกอย่างกูเห็นมึงไม่มีบินเลยชวนมากินข้าวเฉยๆ งี้ไม่ได้เลยรึไง”

“ค่ะ มึงกะกูรู้จักกันมากี่ปีแล้วล่ะคะ เลิกตอแหลค่ะคุณชาย ให้จับตอแหลตรงไหนก่อนดีคะ อะ หนึ่งคนอย่างมึงน่ะเหรอจะชวนมากินข้าวเฉยๆ ปุบปับ ไม่ใช่นิสัยมึงเลยค่ะ สอง มึงกำลังกินเบียร์ ซึ่งปกติมึงไม่ชอบกิน สาม น้ำเสียงตอนมึงโทรหากูนี่ฟังดูก็รู้แล้วว่ามีเรื่องอึดอัดในใจ สี่ มึงเอ่ยถามถึงไอ้บอลขึ้นมา ซึ่งปกติมึงไม่เคยพูดถึงมันเลย ห้า…”

“โอเค พอๆๆ กูขอโทษ กูยอมรับก็ได้”

“ยอมรับว่า…”

“ว่ากูคิดถึงมันขึ้นมา เพราะช่วงนี้กูฝันถึงมันอะ สองคืนแล้วในเวลาไม่กี่วันเนี่ย ก็เลยอยากรู้มันเป็นไงบ้าง สบายดีมั้ย แค่นั้นแหละ”

แววตาของบีเปลี่ยนไปเป็นสงสารอีกครั้ง ให้ตายเถอะ เขาเกลียดเวลาที่บีมองเขาอย่างนั้นแทบทุกครั้งเวลาที่พวกเขาพูดถึงบอลขึ้นมาจริงๆ มันเหมือนยิ่งตอกย้ำเขาเข้าไปใหญ่ว่าเขาไม่มีวันลืมหมอนั่นได้ เหมือนบีจะไม่มีวันเชื่อว่าเขาไม่เป็นไรแล้วจริงๆ
และเขาเกลียดการที่ลึกๆ แล้วก็รู้ตัวว่าบีเข้าใจไม่ผิด เพราะถึงแม้เขาจะมั่นใจในตัวเองแค่ไหนว่าเขาทิ้งทุกอย่างที่ผ่านมาในอดีตไปได้หมดและออกเดินต่อได้อย่างปกติมานานแล้ว แต่ความเจ็บปวดหลังตื่นมาจากฝันดีเหล่านั้นทุกครั้งมันก็ยังคงตอกย้ำว่าเขาแค่กำลังพยายามโกหกตัวเองอยู่ในทุกๆ วันเท่านั้นเอง

“มึงรักมันมากอะ ภูวา…”

เขาไม่ปฏิเสธ

“นี่ขนาดมึงกับมันไม่ได้เป็นอะไรกันนะ”

เขาไม่พูดอะไร

“มึงไม่แอดเฟซไปหามันล่ะ”

“ให้กูแอดเฟรนด์คนที่จู่ๆ ก็ลบกูไปโดยไม่มีเหตุผลอะเหรอ”

“ไลน์ไปหามันก็ได้”

“ให้กูไลน์ไปหาคนที่จู่ๆ ก็ลบเฟซกูไปโดยไม่มีเหตุผลอะเหรอ”

“อีดื้อ! อีโก้เยอะ!”

ภูวาหัวเราะเบาๆ นั่นคือนิสัยเสียของเขาล่ะ “กูไม่ได้เป็นคนทำอะไรผิดอะบี มันเดินจากกูไปเอง แล้วจู่ๆ จะให้กูไปทำตัวเหมือนวิ่งตามมันอีกทำไม”

“กูไม่ได้ให้มึงวิ่งตามไปง้อมัน กูแค่อยากให้มึงลองกลับไปคุยกับมันดู ในเมื่อมึงก็คิดถึงมัน…”

“ก็เหมือนกันนั่นแหละ กูจะรู้ได้ไงว่าตอนนี้มันไม่ได้เกลียดกูและไม่อยากคุยกับกูวะ กูไม่อยากทำตัวน่ารำคาญกับคนที่เค้าเลือกจะเดินไปจากกูเองนะเว้ย มึงลองนึกว่าถ้าจู่ๆ คนที่มึงเกลียดรึไม่อยากคุยแอดเฟซมึงมารึทักมึงมาในไลน์ดิ”

“ไอ้บอลมันไม่ได้เกลียดมึง”

“ใครจะไปรู้…” ภูวากระดกแก้วดื่มเบียร์ที่เหลือจนหมด “อีกอย่าง กูไม่มีเบอร์หรือไลน์มันสักหน่อย ผ่านมาตั้งกี่ปีแล้ววะ มันคงไม่ได้ใช้เบอร์เก่าตั้งแต่สมัยเรียนอยู่หรอก”

“ถ้ามีแล้วจะโทรไหม”

“กูไม่มีเรื่องจะคุย”

“แล้วถ้ามันโทรหามึงล่ะ”

“มึงว่าเต่าบินได้ปะล่ะ” ภูวาหัวเราะ

“เนี่ย! ดื้อ!” บีชี้หน้าภูวาก่อนจะถอนหายใจและเปลี่ยนเรื่องคุย

ภูวาออกจากร้านอาหารตอนประมาณห้าทุ่ม เขาก็อยากนั่งคุยกับบีต่อ แต่เขาคิดว่าเขาเริ่มจะรู้สึกมึนๆ ขึ้นมาแล้ว และเขาก็อยากขึ้นบีทีเอสให้ทัน เพราะไม่อยากเสียอารมณ์กับการเรียกแท็กซี่ เขาส่งข้อความหาพายุบอกว่ากำลังจะกลับบ้าน วันนี้เป็นวันเสาร์และพายุก็ออกไปดูหนังกับต่อมา เขายังสงสัยอยู่ว่าตอนนี้สถานการณ์ของสองคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว แต่คิดว่าเดี๋ยวพายุก็คงจะเล่าเองนั่นแหละ

เขาออกจากสถานีรถไฟฟ้าตอนเกือบเที่ยงคืน รู้สึกว่าแอลกอฮอล์เริ่มออกฤทธิ์แรงขึ้นกว่าตอนเพิ่งออกจากร้านเสียอีก ปกติเขาไม่ใช่คนชอบดื่มเหล้า โดยเฉพาะเบียร์นี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยชอบเลย และมันก็ทำให้เขาเมาง่ายกว่าเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกฮอล์ชนิดอื่นเสียด้วยซ้ำ แต่คืนนี้เป็นกรณีพิเศษ อย่างน้อยเขาก็บอกตัวเองแบบนั้น

“ถ้าเหี้ยสุดคือกูฝันถึงมันอีก อย่างน้อยพรุ่งนี้กูก็อาจจะจำไม่ได้ หรือเอาเวลาไปปวดหัวมากกว่าปวดใจล่ะวะ”

ภูวาแวะซื้อของกินสำหรับมื้อเช้าที่เซเว่นหน้าปากซอยแล้วนั่งมอเตอร์ไซค์เข้าไปที่คอนโด คอนโดของเขาอยู่ไม่ไกลจากปากซอยมากนัก แต่ก็ห่างจากถนนใหญ่พอที่จะไม่ได้เสียงความวุ่นวายของถนนสุขุมวิท บางทีเขาก็จะเดินเข้าซอยบ้าง แต่สำหรับคืนนี้เขาไม่เดินดีกว่า

หลังออกจากลิฟต์ที่ชั้นของตัวเองและกำลังเดินไปยังห้องของตัวเอง ภูวาก็เห็นเคนกำลังเดินสวนมาพอดี

“อ้าว พี่เคน ไปไหนครับ” ภูวาทักพร้อมยิ้มให้

“ว่าจะไปนั่งที่สระว่ายน้ำสักหน่อยน่ะครับ”

“ตอนนี้ส่วนกลางปิดหมดแล้วนะครับพี่ ปิดสี่ทุ่มอะ”

“อ้าวเหรอครับ พี่ไม่รู้”

“ว่าแต่ทำไมจะออกไปนั่งที่สระดึกๆ แบบนี้ล่ะครับ”

“ยังไม่ง่วงน่ะครับ ว่าแต่นี่ไปเที่ยวมาเหรอครับ”

“ไปกินข้าวกับเพื่อนมาน่ะครับ ดื่มมานิดหน่อย” ภูวาหัวเราะแหะๆ

“เมามั้ยครับ”

“มึนๆ นิดนึงครับ ผมนานๆ ดื่มที”

เคนมองภูวาที่ยืนหน้าแดงอยู่ตรงหน้า ที่จริงภูวาก็น่ารักอย่างที่ชลเคยพูดไว้จริงๆ นั่นแหละ ใบหน้าขาวๆ ของเขาพอแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แล้วมันยิ่งเห็นชัดมากกว่าคนอื่นอีก

“ให้ช่วยพาเดินกลับห้องไหมครับ” เคนเสนอ

“โอ๊ยยย พี่ แค่นี้สบายย ฮ่าๆๆ” ภูวาตีแขนเคนเบาๆ “ว่าแต่พี่จะเอาไงต่ออะครับ กลับห้องไหม หรือจะออกไปข้างนอกอยู่ดี”

“กลับห้องดีกว่าครับ”

ชายหนุ่มทั้งสองคนเดินคู่กันไปยังห้องของตัวเองที่อยู่มุมตึก พวกเขาบอกลากันหน้าห้องของเคนที่ถึงก่อนห้องของภูวาเล็กน้อย เคนเข้าห้องและปิดประตูลง เขาถอนหายใจเบาๆ พอเห็นภูวาออกไปดื่มเหล้ามาแบบนั้นแล้วก็ทำให้เขาอยากดื่มเบียร์ขึ้นมาบ้างเหมือนกัน แต่เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ดื่มอีก และเขาก็อยากจะทำให้ได้ตามที่ตั้งใจไว้

“แต่กระป๋องเดียวคงไม่เป็นไรมั้ง…” เขาพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นออก

เคนทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา ที่จริงเขาก็อยากจะทำความรู้จักกับภูวามากกว่านี้ แต่เขาไม่ใช่คนคุยเก่งแบบโทรุ นี่ถ้าเป็นหมอหมอนั่น ป่านนี้โทรุกับภูวาคงเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้วก็เป็นได้

หลังดื่มเบียร์กระป๋องแรกหมดในเวลาอันรวดเร็ว จู่ๆ เคนก็รู้สึกสังหรณ์บางอย่าง จู่ๆ เขาก็รู้สึกอยากหันไปมองที่ประตูห้องของตัวเองแล้วคิดถึงภูวาขึ้นมา คงเป็นเพราะเขากำลังดื่มเบียร์และภูวาเองก็เพิ่งดื่มมาเหมือนกันล่ะมั้ง หรือจะเป็นเพราะสัญชาติญาณของเขาก็ไม่รู้ได้

เคนลุกเดินไปที่ประตู เขาจับลูกบิดประตู แต่แล้วก็นึกขึ้นว่าตัวเองกำลังทำอะไรงี่เง่าจังวะ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูออก เขาชะโงกหน้าออกไปที่โถงทางเดินแล้วก็ต้องแปลกใจที่เห็นภูวากำลังยืนมองโทรศัพท์ของตัวเองอยู่หน้าห้องของตัวเองด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

“อ้าว อ๋อ คือ…” ภูวาเกาหัวเบาๆ “ผมติดต่อน้องชายผมไม่ได้อะครับ เพิ่งสังเกตว่าไลน์ไปไม่อ่านตั้งแต่ยังไม่ห้าทุ่ม”

“แล้วทำไมไม่เข้าห้องล่ะครับ”

“แบตประตูหมดครับ” ภูวาพูดพลางแตะบัตรที่กลอนประตูให้เคนดู

ประตูของเขาเป็นกลอนแบบดิจิทัลที่คอนโดแถมมาให้ทุกห้อง กลอนประตูนี้สามารถเปิดได้โดยใช้คีย์การ์ดหรือกดรหัสเท่านั้น ถ้าแบตเตอรี่อ่อนก็จะมีไฟและร้องเตือน ภูวาสังเกตตั้งแต่ 2-3 วันก่อนแล้วว่ามีสัญญาณไฟเตือน เมื่อช่วงบ่ายเขาบอกให้พายุซื้อถ่านไฟฉายใหม่เข้ามาเปลี่ยนแล้วด้วย แถมเขายังย้ำไปอีกครั้งตอนก่อนจะออกไปกินข้าวกับบี แต่ดูเหมือนไอ้น้องชายตัวดีของเขาจะลืมจนได้

“แล้วโทรหาน้องมันก็ไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่ตอบ ไม่รู้หลับหรือตาย”

“ใจเย็นๆ ครับ… เอางี้ มานั่งรอในห้องผมก่อนไหม ติดต่อน้องได้ค่อยกลับ”

ภูวาส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับพี่ ผมเกรงใจ”

“ไม่ต้องเกรงใจเลย ภูวาบอกพี่เองว่าส่วนกลางปิดไปแล้ว ไม่งั้นจะไปอยู่ที่ไหน มาเถอะ” เคนกวักมือเรียก

ภูวามองไปที่เคนสลับกับประตูห้องของตัวเองอย่างลำบากใจ เขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินไปยังห้องของเคน “งั้นก็รบกวนหน่อยนะครับพี่”

เคนยิ้มให้ภูวา “ด้วยความยินดีครับ”

จู่ๆ ภูวาก็รู้สึกเขินขึ้นมาเสียเฉยๆ รอยยิ้มของเคนที่เขาไม่ค่อยได้เห็นทำให้เขาใจเขาเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย เขาบอกตัวเองว่าคงเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ และหวังว่าจะไม่เผลอทำอะไรน่าอายลงไปนะ

ห้องของเคนเป็นห้องขนาดหนึ่งห้องนอน เมื่อเปิดประตูเข้ามาจะเจอกับส่วนครัวก่อน และเดินเลยเข้าไปจะเป็นห้องนั่งเล่นที่ได้วิวจากระเบียงด้วย โดยบริเวณริมหน้าต่างบานใหญ่นั้นเป็นพื้นที่เล็กๆ สำหรับนั่งทำงานหรืออ่านหนังสือ ห้องนอนถูกกั้นออกจากห้องนั่งเล่นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนหลังโซฟาขนาดสามที่นั่งที่อยู่แทบจะกลางห้องพอดี ตอนนี้กระจกบานนั้นถูกเปิดเอาไว้จึงทำให้ห้องนอนและห้องนั่งเล่นเชื่อมต่อกันเป็นเหมือนห้องสตูดิโอขนาดใหญ่ เตียงนอนขนาดห้าฟุตของเคนมีหมอนสองใบและผ้าห่มที่ปูคลุมทับเตียงอย่างเรียบร้อย ภูวามองไปรอบๆ แล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าห้องของเคนดูเป็นระเบียบและเรียบร้อยมากกว่าที่เขาคิดเสียอีก เพราะตอนที่เขาเจอเคนกำลังซื้ออาหารแช่แข็งกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาตุนไว้ที่ห้องนั้นพาลทำให้เขาจิตนาการถึงชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตไม่ค่อยเป็นระเบียบ ไม่ค่อยดูแลตัวเองอะไรแบบนั้นไป

“ที่ติดตัวพี่มาจากอเมริกาก็มีแค่กระเป๋าสองใบ ที่เหลือก็ซื้อเพิ่มนิดหน่อยน่ะครับ อีกอย่างคอนโดนี้พี่ไม่ได้ซื้อด้วย เช่าลูกพี่ลูกน้องต่ออีกทีนึง ก็เลยไม่ค่อยมีข้าวของอะไรเยอะ” เคนพูดราวกับอ่านใจภูวาออก “นั่งที่โซฟาได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”

“แต่ถึงไงห้องพี่ก็ดูเป็นระเบียบมากเลยนะครับ สะอาดกว่าห้องผมอีก” ภูวานั่งลงตามคำเชิญ

“ถูกฝึกมาแบบนั้นน่ะครับ” เคนเดินไปเปิดตู้เย็น “เอาเบียร์หน่อยมั้ย นี่พี่เองก็เพิ่งเปิดเบียร์กระป๋องนึงพอดี กินเป็นเพื่อนพี่หน่อยแล้วกัน”

“โห ผมจะไม่ไหวแล้วนะพี่”

“อีกแค่กระป๋องเดียว ไม่เมาหรอก”

ภูวาหันหน้าหลบสายตาและรอยยิ้มของเคนทำเป็นมองไปรอบๆ ห้อง “ก็ได้ครับ แต่ผมขอน้ำเปล่าแก้วนึงด้วยได้มั้ยครับ”

“Sir, yes sir!” เคนตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นตามแบบนาวิกโยธิน เขาหยิบเบียร์ออกมาจากตู้เย็นอีกสองกระป๋องแล้วรินน้ำเปล่าให้ภูวาด้วยอีกแก้วหนึ่ง

เคนเดินมาที่โซฟา ยื่นแก้วน้ำให้ภูวาแล้ววางเบียร์ลงบนโต๊ะรับแขก จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ เขา เคนยกขาขึ้นพาดบนขอบโต๊ะรับแขกแล้วกระดกกระป๋องเบียร์ของตัวเองขึ้นดื่มอึกใหญ่

เขาผิดสัญญาที่ว่าจะดื่มแค่กระป๋องเดียวไปเสียแล้ว

ภูวายังคงกวาดสายตามองไปรอบห้อง เขาไปสะดุดอยู่ที่กรอบรูปอันหนึ่งที่วางอยู่ตรงชั้นวางหนังสือที่อยู่ข้างทีวี ซึ่งมันหันหน้าหลบเข้าไปด้านในแทนที่จะหันออกมาข้างนอกเพื่อโชว์รูป

“ทำไมกรอบรูปนั้นมันถึงหันหน้าเข้ามุมชั้นวางหนังสือแบบนั้นล่ะครับ” ภูวาชี้

เคนมองไปที่ชั้นวางหนังสือ แต่ไม่พูดอะไรออกมา ภูวาเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจได้ว่าการที่เคนไม่ตอบคำถามนั้นหมายถึงเขาได้ถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป เขาจึงก้มหน้าลงและพยายามกดโทรหาพายุอีกครั้งเป็นการแก้เก้อ

เคนมองตามภูวา ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเพราะแอลกอฮอล์หรืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คิ้วสองข้างที่ขมวดเข้าหากันอยู่นั้นมันทำให้เคนรู้สึกใจอ่อน

“พี่เคยเป็นนาวิกโยธินที่อเมริกาน่ะครับ” เคนพูดขึ้น

พายุเงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมามองหน้าเคนด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“พี่เคยเป็นทหารเหรอ”

“จะเรียกว่าแบบนั้นก็ได้ครับ”

“มิน่าล่ะ ลุคพี่ก็ดูได้อยู่นะ เหมือนในหนังฮอลลีวูดเลย”

เคนหัวเราะเบาๆ “ไม่ขนาดนั้นหรอก” เขามองกระป๋องเบียร์ในมือของตัวเอง “กรอบรูปนั้นเป็นรูปของคนสำคัญของพี่น่ะครับ แต่เขาไม่อยู่แล้ว…”

“ขอโทษนะครับพี่ ผมไม่น่าถามขึ้นมาเลย”

“ไม่เป็นไรครับ” เคนกระดกเบียร์ที่เหลือขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด จากนั้นก็วางกระป๋องเปล่าลงบนโต๊ะ และลุกไปหยิบกระป๋องใหม่ออกมาจากตู้เย็น

กระป๋องสุดท้ายแล้วกัน… เขาบอกตัวเอง

ภูวามองตามเคนจนกระทั่งเขาเดินกลับมานั่งลงที่เดิม

“เราสองคนสนิทกันมาก แต่เพราะการตัดสินใจไปเป็นนาวิกโยธินของพี่ เลยทำให้พี่เสียเขาไป”

“เอ่ออ พี่เคนไม่ต้องเล่าก็ได้นะครับ ถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัวมากไป ผมไม่อยากให้พี่นึกถึงเรื่องไม่ดีๆ” ภูวารีบออกตัว

เคนยิ้มน้อยๆ แต่แววตาของเขานั้นกลับแสดงความรู้สึกตรงกันข้าม “ครับ”

ทั้งสองคนเงียบลงไป ก่อนที่ภูวาจะตัดสินใจทำลายความเงียบนั้นลง “ว่าแต่พี่พูดไทยเก่งนะครับ ติดแค่สำเนียงนิดเดียวเอง​ ขนาดคำว่านาวิกโยธิน​ยังรู้จักเลยอะ”

เคนหัวเราะเบาๆ​ “บางคำที่ยากๆ​ พี่ก็ไม่รู้ตักหรอกครับ​ แม่พี่เป็นคนไทย ก็เลยจะพูดไทยกับแม่น่ะครับ แล้วพี่ก็มาเที่ยวไทยบ่อยด้วย”

“แล้วพอพี่เป็นคนอเมริกันเหรอครับ”

“ลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกันครับ” เคนตอบ “พ่อเกิดที่ญี่ปุ่น โตที่อเมริกา แล้วไปได้งานที่ญี่ปุ่น ส่วนพี่เกิดที่อเมริกา แต่โตที่ญี่ปุ่นแล้วก็ที่ไทย สมัยก่อนพ่อของพี่ต้องเดินทางบ่อยน่ะครับ แรกๆ เราก็ย้ายตามกันไปหมด แต่พอเข้าจูเนียร์ไฮ… มัธยมน่ะ พ่อก็เดินทางน้อยลงและไม่ต้องย้ายไปอยู่ที่ไหนเป็นปีๆ เท่าไหร่แล้ว เราก็เลยอยู่กับแม่ที่อเมริกามาตลอด แต่ก็บินไปญี่ปุ่นกับไทยเรื่อยๆ”

“โห งี้พี่ก็พูดภาษาญี่ปุ่นได้ด้วยปะครับ”

“นิดหน่อยครับ แต่ก็ลืมไปเยอะแล้ว ไม่เหมือนน้องชายพี่ ไอ้หมอนั่นมันชอบคัลเจอร์ของญี่ปุ่นมาก ก็เลยพูดเก่งกว่า”

“พี่มีน้องชายด้วยเหรอ แล้วตอนนี้เค้าอยู่ที่อเมริกาเหรอครับ”

“ครับ…” เคนตอบเบาๆ “จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เขาดื่มเบียร์อีกอึกใหญ่ เริ่มรู้สึกว่ากำลังพูดมากเกินไปเสียแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกสบายใจที่จะพูดเรื่องพวกนั้นกับภูวา คนที่แทบจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขาขนาดนี้

ทั้งสองคนเงียบลงไปอีกครั้ง ภูวาวางกระป๋องเบียร์ที่เหลืออยู่อีกนิดหน่อยลงบนโต๊ะรับแขก “ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ”
เคนพยักหน้า

ภูวาลุกจากโซฟาแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำ เขาพยายามเดินให้ตรงและเป็นปกติที่สุด แต่เมื่อปิดประตูห้องน้ำลงแล้ว เขาต้องใช้แขนยันผนังห้องน้ำเอาไว้ด้วยขณะกำลังยืนทำธุระเพื่อไม่ให้ตัวเองเซและลดอาการเวียนหัวลง

หลังจากเสร็จแล้วเขาก็เดินกลับมานั่งลงที่เดิม เขาพยายามกดโทรหาพายุอีกครั้งแต่ก็ไร้ผล แถมตอนนี้โทรศัพท์ของเขาก็แบตเตอรี่ใกล้จะหมดเต็มทีแล้วด้วย เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดน้องชายของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ

เคนเหลือบมองไปที่ภูวาด้วยหางตา แล้วยังไงต่อล่ะทีนี้ เขาชวนผู้ชายคนนี้มาที่ห้องเพราะเห็นว่าเขากำลังเดือดร้อนที่เข้าห้องไม่ได้ จะให้ปล่อยไปเฉยๆ ทั้งๆ ที่เห็นแบบนั้นก็ไม่ใช่นิสัยของเขา แต่คราวนี้จะยังไงต่อ นี่ก็ตีหนึ่งแล้ว เคนหันกลับไปมองที่เตียง แล้วกันมามองแขกของเขาอีกครั้ง คงไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ

“พายุคงหลับไปแล้วมั้งครับ คืนนี้นอนที่นี่ก็แล้วกัน”

ภูวาหันไปมองเคน แทบจะสร่างเมาไปชั่ววินาทีหนึ่ง “ม… ม... ไม่ดีมั้งครับ”

“ไม่มีตัวเลือกอื่นนี่นา ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ”

“ไอ้พายุ ไอ้น้องเวรรรรร” ภูวาคำรามใส่โทรศัพท์ในมือเบาๆ พลางกดโทรออกหาพายุอีกรอบ

“พี่มีแปรงสีฟันใหม่อยู่ เดี๋ยวหยิบผ้าเช็ดตัวให้อาบน้ำนะครับ” เคนพูดพลางลุกออกจากโซฟา

แบตเตอรี่ของภูวากะพริบเตือนว่าไฟเหลือต่ำกว่า 20% เขาถอนหายใจก่อนจะโยนโทรศัพท์ลงข้างตัว “พี่เคน พี่ใช้โทรศัพท์อะไรครับ”

“ไอโฟนครับ”

โทรศัพท์ของเขาคือซัมซุง

“อะ ไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน” เคนยื่นผ้าเช็ดตัวให้กับภูวา “เดี๋ยวพี่หาเสื้อกับกางเกงให้ใส่

ไม่มีทางเลือกแล้วนี่นะ… ภูวาถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับรับผ้าเช็ดตัวมาถือไว้ “ขอบคุณครับ งั้นรบกวนหน่อยนะครับ”

“ตามสบายเลย” เคนพยักหน้าไปทางห้องน้ำ เขาวางแปรงสีฟันใหม่ที่ยังไม่แกะห่อไว้ให้ภูวาแล้วที่อ่างล่างหน้า

ภูวาใช้เวลาอาบน้ำแปรงฟันแค่ไม่ถึง 10 นาที แต่ก็เพียงพอทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาก เมื่อออกจากห้องน้ำ เขาก็เห็นเสื้อกล้ามกับกางเกงบ็อกเซอร์วางเตรียมไว้ให้บนเตียง

“แต่งตัวได้เลยนะครับ พี่ขอไปแปรงฟันก่อน”

เคนเดินสวนภูวาเข้าห้องน้ำไป ภูวารีบใส่เสื้อผ้าที่ถูกเตรียมเอาไว้ให้และเอาผ้าเช็ดตัวออกไปแขวนทบนราวแขวนผ้าที่ระเบียง
เขาเพิ่งรู้จักเคนไม่กี่วัน เพิ่งเคยเจอกันแค่ไม่กี่หน แล้วจู่ๆ ก็ต้องมารบกวนขออาศัยซุกหัวนอนเพราะไอ้น้องชายตัวดีขังเขาไว้นอกห้องแบบนี้เสียแล้ว

ภูวาเดินกลับไปนั่งลงที่โซฟาแล้วรอจนกระทั่งเคนเดินออกมาจากห้องน้ำ “พี่เคน ผมขอแค่ผ้าห่มก็พอนะครับ เดี๋ยวใช้หมอนอิงนี่หนุนนอนก็ได้”

เคนนิ่วหน้า “พี่เพิ่งย้ายมาได้ไม่นานนะ ไม่มีผ้าห่มสำรองหรอก ถ้าจะนอนโซฟาก็ต้องนอนทั้งแบบนั้นไปนั่นแหละ”

ภูวาหน้าจ๋อยลงทันที “ครับ… งั้นพี่นอนเถอะ เดี๋ยวผมปิดไฟในห้องนั่งเล่นให้”

เคนส่ายหน้าเบาๆ แล้วเดินเข้ามาหาภูวาที่โซฟา สีหน้าของเขาดูเหมือนไม่พอใจ แต่ภูวาก็ไม่แน่ใจนักว่าเคนกำลังไม่พอใจอะไร นี่เขาทำอะไรผิด

“ตอนนี้มันดึกเกินกว่าจะมามัวพูดเล่นแล้วนะ” เคนพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษ

“ห… ห๊ะ” ภูวาฟังที่เคนพูดออก ภาษาอังกฤษของเขาไม่ได้แย่ แต่เขาแค่ไม่เข้าใจว่าเคนกำลังหมายถึงอะไร

เคนคว้าต้นแขนของภูวาแล้วดึงตัวเขาให้ลุกขึ้นยืน “ไปนอนที่เตียงครับ เร็ว”


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 7

ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย ต่อปั่นจักรยานมาถึงที่คอนโดของพายุตอนเวลา 11 โมงตรง ซึ่งเป็นเวลา 15 นาทีก่อนเวลานัด เขาบอกพายุไว้ว่าจะมารับไปกินข้าวเที่ยงและค่อยดูหนังในรอบบ่าย ต่อยอมรับว่าช่วงหลังมานี้ความสัมพันธ์ของเขากับพายุไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ทั้งที่พวกเขาไม่ได้ทะเลาะกัน และยังคงคุยกัน เจอกันทุกวัน นั่งเรียนอยู่ข้างกันทุกวันเหมือนที่ผ่านมา  แต่มันเหมือนมีช่องว่างระหว่างพวกเขาที่ทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งคู่กว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อเคยกลัวเหตุการณ์แบบนี้ แต่ก็เรียนรู้ที่จะยอมรับมันด้วยความขมขื่น แม้จะเจ็บ แต่ก็คิดเอาไว้แล้วว่านับจากวันที่เขาบอกความรู้สึกออกไป มันอาจจะลงเอยแบบนี้ แม้เขาจะดูออกว่าพายุพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พวกเขาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกในใจของต่อเองต่างหากที่ยังหาพื้นที่ที่ลงตัวเพื่อมีความสุขไม่ได้ พื้นที่แห่งความสุขนั้นเคยมีอยู่ตอนที่เขาไม่ได้บอกรักพายุออกไป แต่เมื่อคำพูดเหล่านั้นมันหลุดออกไปแล้ว หัวใจของเขามันกลับไม่รู้สึกเหมือนเดิม มันไม่อยู่นิ่งในที่ที่มันเคยมีความสุข แต่มันกลับวิ่งหนีไปจากที่แห่งนั้น บางครั้งก็ไปหลบซุกตัวอยู่ในมุมมืด และแอบมองพายุด้วยความหวาดหวั่น เขาพยายามลากมันกลับออกมาที่เดิม พยายามบอกหัวใจตัวเองให้มีความสุขกับสิ่งที่เป็น อย่าหลีกหนีไปจากสิ่งดีๆ ที่พายุกำลังพยายามมอบให้​ เขาเกือบทำได้สำเร็จ จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ที่ จู่ๆ พายุก็เปลี่ยนไป มันทำให้ต่อตั้งหลักไม่ทัน

แน่นอน พวกเขาไม่ได้ทะเลาะกัน พายยังคุยและยิ้มให้เขาเหมือนเคย แต่รอยยิ้มเหล่านั้นมันต่างไปจากเคย ทุกอย่างมันดูฝืนไปเสียหมด ดูเหมือนเขามีอะไรค้างคาใจ มีอะไรบางอย่างปิดบัง ซึ่งต่อไม่เข้าใจ และนั่นก็ทำให้เขาหงุดหงิดมาก

“สวัสดีครับ คุณต่อ!” พนักงานรักษาความปลอดภัยที่หน้าคอนโดตะเบ๊ะและทักทายต่ออย่างเป็นกันเอง

“สวัสดีครับ​พี่จันทร์”

“มาหาคุณพายุเหรอครับ รอสักครู่นะครับ”

“ครับพี่” นี่เขามาบ่อยจนกลายเป็นเพื่อนกับยามคอนโดไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย

ต่อนั่งคุยกับพี่ยามอยู่ไม่ถึงห้านาที พายุก็เดินออกมาจากคอนโด เขาใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้นสีขาว รองเท้าอาดิดาสสีขาว และสวมหมวกแก๊ปสีขาวตัดน้ำเงิน สิ่งที่ไม่ใช่สีขาวบนร่างกายของเขาคือนาฬิกาข้อมือจีช็อกสีดำ และสร้อยคอมือสีดำที่มีจี้หัวกะโหลกสีเงินอันเล็กๆ ห้อยอยู่

ต่อยิ้มทักทายเพื่อนของเขา “จะไปถือศีลวัดไหนวะ”

พายุชะงักฝีเท้าลงทันที “กูกลับขึ้นห้องละนะ บาย”

ต่อรีบพุ่งไปคว้าแขนของพายุที่กำลังหมุนตัวกลับเอาไว้ได้ทัน “เฮ้ยๆ ล้อเล่นๆๆ มึงแต่งแบบนี้ดูดีจะตาย”

“มึงไม่ต้องมาปากดีทำแกล้งชมกูเลย ไม่ดีใจหรอกนะเว้ย”

“กูไม่ได้แกล้ง…” ต่อพูดเบาๆ “กูชอบแบบนี้จริงๆ มันน่ารักเหมาะกับมึงดี แต่… ตอนแรกกูไม่กล้าพูดตรงๆ​ นี่หว่า” เขาหน้าแดง

ตอนแรกพายุก็คิดว่าต่อคงจะแกล้งอำเขาอีก แต่เมื่อเห็นสีหน้าแดงก่ำของต่อแล้ว เขาเลยอดที่จะรู้สึกเขินตามขึ้นมาไม่ได้

“นี่แหละ ปากดี!” พายุกระทุ้งศอกใส่ต่อ “จะอ้วกเว้ย!!”

ต่อจุกจนต้องทรุดตัวนั่งลงบนพื้น “ข… ข้าน้อยผิดไปแล้..ว”

“จะไปยัง กูหิว” พายุพูด

“ไปๆ” ต่อค่อยๆ​ ยืดตัวขึ้นพลางลูบท้องเบาๆ เขายังคงรู้สึกจุกอยู่

“เจ็บจริงปะเนี่ย” พายุถาม

“เออดิ” ต่อนิ่วหน้า

“กูขอโทษ…” พายุพึมพำเบาๆ

ความเป็นคนขี้ห่วงใยคนอื่นของเขายังคงไม่ได้เปลี่ยนไป และนั่นก็ทำให้ต่อยิ้มออกมาเล็กน้อย

ทั้งสองคนเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าที่ปากซอยเพื่อไปสยาม ตลอดทางพายุค่อนข้างเงียบกว่าปกติ แต่ต่อเองก็ยอมรับได้ เพราะถึงที่ผ่านมาเรื่องระหว่างพวกเขาจะยุ่งเหยิงมากแค่ไหนก็ตาม วันนี้พายุก็ยังยอมออกไปกินข้าวและดูหนังกับเขา นั่นจึงถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับต่อ

แล้วไหนจะเรื่องที่มีความเป็นไปได้ที่พายุจะหึงเขาอีกด้วย

“ยิ้มอะไรอยู่ได้คนเดียว มึงบ้าปะเนี่ย” พายุพูดขึ้น คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน

“ไม่ได้บ้า แค่มีความสุข” ต่อยิ้ม

พายุหน้าแดง “ประสาทอะมึง แค่ออกมาดูหนังกับเพื่อนผู้ชายด้วยกัน จะมีความสุขอะไรนักหนาวะ”

“ก็จริงของมึง...” ต่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง “พายุ เอาแบบนี้ได้มั้ยวะ วันนี้อะ แค่ครึ่งวันเนี่ย เราลองลืมทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นไป ลืมไปก่อนว่ากูเคยบอกว่าชอบมึง ลืมไปว่ามึงไม่พอใจกูเรื่องพี่ที่ยิมคนนั้น แล้วกูก็จะลืมว่ามึงให้ไลน์พี่คนนั้นเค้าไปด้วย เราเป็นเหมือนตอนเพิ่งรู้จักกันใหม่ๆ แล้วเพิ่งได้ออกมาเที่ยวด้วยกันสองคนแบบนี้เป็นครั้งแรก โอเคมั้ยวะ เราลองมาทำแบบนั้นดูได้มั้ย”

พายุมองหน้าต่องงๆ ทำไมมันพูดฟังดูง่ายจังวะ อีกอย่าง ถึงเขาจะแกล้งทำเป็นลืมว่าต่อเคยบอกรักเขา แต่เขาก็รู้ก่อนหน้านั้นมาสักพักแล้วว่าต่อคิดยังไง เพราะฉะนั้นแล้วมันจะต่างกันยังไง… แต่ที่ต่อเสนอมามันก็น่าคิดเหมือนกัน ถ้าหากว่าเขาลองทิ้งความไม่สบายใจหรือความขัดข้องใจทุกอย่างที่มี และได้ใช้เวลากับต่อแบบเพื่อนกันธรรมดาเหมือนที่ผ่านมา เขาจะรู้สึกอย่างไรนะ
ก็น่าจะดีกว่าทำตัวหงุดหงิดใส่ทั้งต่อและตัวเองอยู่แบบนี้แน่ๆ ละมั้ง

“โอเค… แบบนั้นก็ได้” พายุถอนหายใจ “ที่ผ่านมากูขอโทษมึงด้วยแล้วกัน”

“ขอโทษเรื่องอะไร กูลืมไปหมดแล้ว” ต่อยิ้มมุมปาก

พายุเองก็พลอยยิ้มไปด้วย “ไม่รู้ดิ กูก็ลืมเหมือนกัน”

ทั้งสองคนเดินเคียงข้างกันเงียบๆ ได้อึดใจหนึ่งก่อนต่อจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน

“ว่าแต่พี่เค้าได้ไลน์มาหามึงรึยัง คุยอะไรกันไปมั่งแล้ววะ”

พายุตบหัวต่อเบาๆ “ตกลงลืมหรือไม่ลืม”

ต่อแกล้งเบะปาก “ลืมๆ​ ลืมแล้วก็ได้วะ!”

ทั้งสองคนไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง จากนั้นก็ไปดูหนังรอบบ่ายโมงครึ่ง ต่อนึกอยากจับมือพายุใจจะขาด แต่ก็พยายามห้ามใจเอาไว้ หลังจากดูหนังจบ พายุดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาพูดถึงหนังที่เพิ่งดูมาไม่หยุด ต่อเองก็รู้สึกสนุกกับการได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังไปด้วย ต่อยังไม่อยากให้วันนี้จบลงเพียงแค่นี้ เขาจึงชวนพายุไปเดินสวนจตุจักรด้วยกัน ซึ่งพายุก็ตอบตกลง พวกเขาเดินดูของและได้เสื้อยืดกันมาคนละสองตัว จากนั้นต่อก็ชวนพายุไปที่สวนรถไฟ พวกเขาปั่นจักรยานเล่น และนั่งพักบนเสื่อที่เช่ามา วันนี้อากาศดีมาก ไม่ร้อนจนเกินไปและมีลมตลอดเวลา พายุแทบจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขาได้มาสวนสาธารณะแบบนี้คือเมื่อไหร่

“อะ” ต่อยื่นถุงใส่ลูกชิ้นปิ้งที่ซื้อมาตอนเช่าจักรยานกับเสื่อให้พายุ

พายุรับมาแล้วถือลูกชิ้นเอ็นหมูไว้ในมือไม้หนึ่ง เขามองไปรอบๆ แล้วเห็นครอบครัวที่พาลูกมาเล่น และคู่รักหลายๆ คู่กำลังนั่งอยู่ห่างๆ

คู่รัก…

‘ไอ้เหี้ย! นี่มันเหมือนกูกับไอ้ต่อมาเดทกันเลยนี่หว่า!’ พายุคิด และใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นตามไปด้วย

“เป็นไรวะ ร้อนเหรอ หน้ามึงแดงมากเลยอะ” ต่อหันไปถามพายุ

“เปล่าๆ สงสัยจะไม่สบายว่ะ ตะลอนๆ มากไปหน่อย” พายุกระแอมในลำคอเบาๆ

“ไหน ดูดิ๊” ต่อยกมือขึ้นแตะหน้าผากของพายุ

ทั้งสองคนสบตากันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ดวงตาของพายุยังคงเป็นประกายอย่างเคย แก้มของเขาแดงก่ำ สิ่งที่เห็นนั้นทำให้ต่อใจเต้นแรงขึ้นทันที เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงตกหลุมรักพายุตั้งแต่แรกพบ และถึงชอบแอบมองพายุอยู่ตลอดจนทำให้เจ้าตัวรู้ เพราะพอยิ่งได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาคู่นั้นใกล้ๆ แบบนี้ เขาก็ยิ่งแน่ใจเข้าไปใหญ่ว่าเขาหลงรักคนคนนี้มากแค่ไหน แถมนิสัยของพายุยังทำให้เขามีเสน่ห์ที่สะกดให้ต่อหลงจนหัวปักหัวปำมากขึ้นไปอีก

ให้ตายสิ… เขาตัดใจไม่ได้เลยจริงๆ

“ไอ้ต่อ…” จู่ๆ พายุก็ตาโตขึ้น

ต่อใจเต้นแรงมากขึ้นอีก เขากำลังจะโน้มตัวเข้าไปใกล้พายุมากขึ้น

“ไอ้ต่อ!” พายุดันตัวออกหนี “มีแมงมุมเกาะอยู่บนหัวมึง!”

“ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย!!!!” ต่อรีบยกมือขึ้นปัดพลางกระโดดไปมาทันที

พายุเองก็กระโดดลุกออกจากเสื่อด้วยเช่นกัน แมงมุมตัวใหญ่ถูกปัดออกจากหัวของต่อแล้วหล่นลงบนเสื่อตรงที่ที่พายุเพิ่งนั่งอยู่ดัง ตุบ เมื่อตั้งหลักได้ เจ้าแมงมุมตัวนั้นก็รีบวิ่งหนีไป แต่ต่อก็ยังคงใช้สองมือปัดหัวและกระโดดโหยงเหยงอยู่ดี

“ไปยังวะ! ไปรึยัง!!”

“พอแล้ว ไอ้เหี้ย มันไปแล้ว” พายุหัวเราะ

ต่อหน้าเสียเหมือนจะร้องไห้ “กูไม่ชอบแมงมุมอ่าาา ฮือออ”

“กูเชื่อแล้วว่ามึงไม่ชอบจริง”

ต่อตัวสั่น หน้าของเขาซีดเผือด เมื่อเห็นแบบนั้นแล้วพายุก็อดหัวเราะออกมาอีกครั้งไม่ได้

“ไม่ขำนะโว้ยยยย” ต่อนิ่วหน้า “มึงก็เกลียดแมงมุมเหมือนกันอะ กูรู้”

“เออ แต่ไม่เท่ามึงง่ะ” พายุหัวเราะ “โอ๋ๆๆ ไม่ร้องนะ” เขาวางมือลงบนหัวของต่อแล้วลูบเบาๆ จากนั้นก็ดึงแขนต่อให้นั่งลงเหมือนเดิม “มาๆๆ นั่งๆ”

“ไม่นั่งแล้ว ไปเหอะ”

“ถามจริง”

“จริง” ต่อพยักหน้า “นี่ก็มืดแล้วด้วยอะ แล้วเมื่อกี้มึงก็บอกว่าเหมือนจะไม่ค่อยสบายด้วยใช่มั้ยล่ะ งั้นเรากลับกันเหอะ”

“นี่มึงเป็นห่วงกูหรือเพราะกลัวแมงมุม” พายุเลิกคิ้วขึ้น

“กลัวแมงมุมนิดนึง” ต่อใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งทำท่าบอก

พายุหัวเราะก่อนจะช่วยต่อเก็บเสื่อขึ้น เขาเพิ่งรู้นี่แหละว่าต่อกลัวแมงมุมมากขนาดนี้​ เขาไม่เคยเห็นต่อมีท่าทีกลัวอะไรขนาดนั้นมาก่อนเลย​ และมั่นใจ​ว่า​เพื่อนคนอื่นก็คงไม่เคยเห็นต่อกระโดดโลดเต้นด้วยความกลัวแบบนั้นด้วยเช่นกัน ขณะกำลังปั่นจักรยานกลับ ต่อยังตะโกนบอกพายุเลยว่าห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเด็ดขาด

ระหว่างขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน จู่ๆ พายุก็รู้สึกหมดแรงขึ้นมาเสียดื้อๆ จะว่าไปวันนี้เขาก็ทำอะไรหลายอย่างเหมือนกัน เขาตื่นตั้งแต่เช้าเพื่อช่วยภูวาทำความสะอาดห้อง จากนั้นก็ออกไปกินข้าวกับต่อ ดูหนัง เดินสวนจตุจักรอีกร่วมสองชั่วโมง แล้วไปปั่นจักรยานที่สวนรถไฟอีก แต่ถึงจะเหนื่อย เขาก็มีความสุขดี แม้ว่าตอนแรกต่อจะขอให้เขาทำเป็นลืมเรื่องที่ผ่านมาไปสักวันหนึ่ง แต่พอตอนนี้ พายุถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาไม่ต้องแกล้งทำเป็นลืมอะไรเลย เพราะตลอดเวลาครึ่งค่อนวันที่เขาใช้เวลากับต่อ เขาก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่พวกเขาเคยผิดใจกันอีกเลย ที่จริงแม้กระทั่งในตอนนี้ ในตอนที่พวกเขากำลังนั่งเงียบๆ อยู่ด้วยกันบนรถไฟฟ้า เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ผ่านมาก็ไม่ทำให้พายุรู้สึกขุ่นเคืองใจอะไรอีกแล้ว

“พี่คนนั้นอะ เค้าคงชอบกูแหละ” จู่ๆ ต่อก็พูดขึ้น “ตอนแรกกูก็ไม่คิดแบบนั้นนะ คิดว่าเค้าแค่ชวนคุยทักทายกันเฉยๆ เพราะเล่นยิมที่เดียวกัน แต่พอกูเล่าให้เพื่อนที่โรงเรียน​เก่ากูฟัง มันก็บอกว่า เออ เค้าน่าจะชอบกูแหละเลยมาชวนคุย กูก็แค่คุยตามมารยาทอะ แต่ไม่เคยเข้าไปคุยอะไรกับเค้าก่อนเลยด้วยซ้ำ มากสุดก็แค่ยกมือไหว้เค้า​ เคยเจอเค้าตอนมึงไม่อยู่แค่สองรึสามหนเอง”

“แล้วจู่ๆ มึงมาบอกกูทำไม”

“แค่อยากเล่าให้ฟัง” ต่อตอบ พลางเหลือบมองหน้าพายุเล็กน้อย “แล้วก็อยากย้ำให้มึงจำไว้ด้วยว่าคนที่กูชอบมีแค่คนเดียว และคนๆ นั้นคือใคร”

พายุหน้าแดง “ไอ้ต่อ กู…”

ต่อกระซิบ “กูไม่ได้เรียกร้องขออะไรจากมึง ก็แค่บอกเฉยๆ”

“เออๆ เอาไว้… อะแฮ่ม เอาไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกทีแล้วกัน” พายุพูดเบาๆ ตอบกลับ กลัวคนอื่นจะได้ยิน

“โอเค…” ต่อเงียบไปพักหนึ่ง “ว่าแต่วันนี้มึงโอเคไหม”

“หมายความว่าไงวะ โอเคไหม”

ต่อเอนเข้าไปใกล้พายุ “หมายถึงมึงมีความสุขดีไหม เดทแรกของเราอะ”

พายุหน้าแดงจนเขารู้สึกหน้าร้อนไปหมด เขาถองข้อสอกใส่ต่อให้อีกฝ่ายเขยิบตัวออกไป “ไอ้เหี้ย!”

“ไว้วันหลังขอชวนออกมาดูหนังกันอีกนะ จะในฐานะอะไรก็ได้...”

พายุกลอกตา พยายามกลั้นหัวเราะและแสร้งทำเสียงรำคาญ “เออ ถ้าว่างนะ”

เมื่อมาถึงสถานี ต่อยืนกรานที่จะเดินไปส่งพายุที่คอนโด ทั้งคู่แวะเซเว่นเพื่อซื้อข้าวเย็นก่อนเดินเข้าซอย

“พี่ภูไม่อยู่เหรอวะ” ต่อถาม

“เห็นว่าออกไปกินข้าวกับเพื่อนนะ เมื่อตอนบ่ายๆ ไลน์มาบอกกูว่างั้น”

“จะว่าไป​ ปกติพี่มึงเค้าเที่ยวกลางคืนมั่งปะวะ”

“ไม่อะ คออ่อนจะตายห่า” พายุหัวเราะ “บ้างานด้วย ถ้าไม่ทำงานก็ไปยิม ไม่ไปยิมก็อยู่บ้านดูแลต้นไม้ที่ระเบียง ชีวิตมันก็มีแค่นี้แหละ”

“จะว่าไป พี่เค้าไม่มีแฟนเหรอวะ”

“เคยมี คบกันกี่ปีไม่รู้ กูจำไม่ได้ เลิกกันไปละ ผู้หญิงไปมีคนอื่นว่ะ แต่พี่กูแม่งก็ใจเย็นชิบหาย ขนาดจับได้แบบนั้นยังไม่…” พายุชะงักไป

“ไม่อะไรวะ”

“เปล่า ไม่มีไรอะ แค่จะบอกว่ามันก็ดูไม่ได้โกรธแฟนตัวเองเท่าไหร่เลย ถ้าเป็นกู กูคงโมโหตายห่าเลยอะ”

“ก็เพราะมึงขี้หึงอะดิ อย่างเรื่องพี่คนนั้นที่ยิม...”

พายุหันขวับไปหาต่อทันที “อย่าเริ่มนะมึง”

ต่อยกมือสองข้างขึ้นในท่ายอมแพ้ “โอเคครับ ไม่พูดละครับ”

“มึงจะแดกอะไร รีบๆ เลือก จะได้รีบกลับไปกินกัน กูอยากอาบน้ำแล้ว”

“มึงชวนกูขึ้นไปกินข้าวที่ห้องเหรอ”

“เออ ไหนๆ มึงก็อุตส่าห์ชวนกูออกมาอะ ไปนั่งเล่นห้องกูแป๊บนึงก่อนก็ได้” พายุตอบ “แต่ห้ามทำรกหรือกินอะไรเลอะเทอะนะเว้ย กูเพิ่งเก็บห้องไปเมื่อเช้า”

ต่อยิ้มกว้าง เขาเคยขึ้นไปบนห้องของพายุมาแล้วหนหนึ่ง แต่หลังจากที่เขาสารภาพกับพายุไปแบบนั้น เขาก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้กลับขึ้นไปอีก เขารู้สึกโชคดีจริงๆ ที่ชวนพายุออกไปเที่ยววันนี้

เด็กหนุ่มทั้งสองคนขึ้นห้องไปกินข้าวเย็นด้วยกัน หลังจากนั้นพายุก็ไปอาบน้ำโดยที่ต่อนั่งดูทีวีรอในห้องนั่งเล่น พายุนึกในใจขณะกำลังอาบน้ำว่าถ้าตัดเรื่องความรัก​ เรื่องไร้สาระอื่นๆ ออกไป ต่อก็คือคนที่เขาอยู่ด้วยแล้วมีความสุขมากคนหนึ่งจริงๆ เขาไม่อยากให้ความสัมพันธ์ที่มีนี้พังทลายลงไปเลย

สิ่งที่พายุไม่รู้คือต่อเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่ความรักที่เขามีให้พายุมันกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่า​เดิม​เสียอีก ความต้องการในตัวของพายุมันเพิ่มมากขึ้นจนต่อต้องพยายามห้ามใจตัวเอง บอกตัวเองว่าอย่าทำลายสิ่งดีๆ เหล่านี้จนพังลงไป

ทั้งสองคนนั่งดูซีรี่ส์ในเน็ตฟลิกซ์ด้วยกันครู่หนึ่งจนต่อเห็นว่าพายุมีอาการคัดจมูก และใบหน้าขาวๆ นั่นก็แดงก่ำมากขึ้นเรื่อยๆ

“เฮ้ย มึงโอเคป่าววะ” ต่อกระทุ้งศอกถามพายุ

“กูโอเค... แต่เริ่มเหมือนจะเป็นหวัดว่ะ ปวดหัวนิดๆ ด้วย”

“สงสัยแอร์ในโรงหนังมันเย็นแล้วเราไปเดินสวนกันต่ออีกมั้ง กูขอโทษว่ะ”

“ขอโทษทำไมวะไอ้บ้า” พายุเอนตัวนอนลงบนโซฟาโดยที่ชันเข่าขึ้นเพราะติดตัวของต่อที่นั่งอยู่ข้างๆ

“มานี่” ต่อจับขาของพายุยกขึ้นแล้วพาดลงบนตักของเขา

พายุไม่ได้ขัดขืนอะไร เพราะจริงๆ แค่นี้มันก็ไม่น่าใช่เรื่องแปลกอะไรนี่หว่า แค่เหยียดขาไปวางบนตักเพื่อนเอง

“กี่โมงแล้ววะ” พายุถาม

“สามทุ่มครึ่ง”

“เพิ่งแค่สามทุ่ม ทำไมกูง่วง…”

“เพราะมึงขี้เกียจอะ”

พายุถีบต่อเบาๆ “มึงควรจะตอบว่าเพราะกูป่วยดิวะ”

“เออๆ เพราะมึงป่วยอะ ไปนอนเลยมั้ยล่ะ เดี๋ยวกูกลับแล้วดีกว่า มึงจะได้พักผ่อน”

“อืออ เดี๋ยวกินยาแล้วนอนเลยก็คงดี”

ต่อเงียบไปพักหนึ่ง ที่จริงเขาก็ยังอยากจะนั่งอยู่แบบนี้ไปอีกนานๆ แต่ก็อย่างว่า รีบร้อนอะไรไปก็ไม่ดี เขาต้องใจเย็น ถ้าหากเขาอยากรักษาสิ่งดีๆ แบบนี้ไว้นานๆ เขาก็ห้ามทำอะไรหุนหันหรือเผลอพูดอะไรโง่ๆ ออกไปอีก

“ยาอยู่ไหนเดี๋ยวกูไปหยิบให้” ต่อยกขาของพายุออกแล้วลุกขึ้นยืน

“ตู้เก็บของตรงเคาน์เตอร์ครัวอะ มีกล่องใส่ยาอยู่ เอาพารากะยาแก้แพ้ให้กูก็พอ”

“จ้าาา ที่รัก”

“ที่รักแม่มึงสิ!” พายุหยิบหมอนอิงปาใส่ต่อ ส่วนต่อได้แต่หัวเราะ เขายังอดแหย่พายุไม่ได้จริงๆ

หลังจากพายุกินยาเรียบร้อยแล้ว ต่อก็เก็บข้าวของของตัวเองและเดินไปที่ประตู “ไม่ต้องไปส่งหรอก มึงนอนพักไปเหอะ”

“ส่งเหี้ยไร กูไม่ได้จะไปส่งมึงอยู่แล้ว” พายุโบกมือลาทั้งที่นอนอยู่บนโซฟา “กลับบ้านดีๆ เว้ย”

“เออออ ไอ้เหี้ย ใจดำ” ต่อเหลือบไปมองกลอนประตูดิจิทัลแล้วเห็นสัญญาณไฟสีแดงกะพริบอยู่ “เฮ้ย ไอ้พายุ ไอ้ไฟแดงๆ ตรงนี้มันคืออะไรวะ”

“อ๋อ ถ่านมันจะหมดอะดิ ดีละที่มึงเตือน เดี๋ยวกูเปลี่ยน”

“โอเค งั้นมึงรีบนอนนะเว้ย อย่ามัวแต่ชักว่าวจนดึกล่ะ”

“รีบไปเลยไอ้ควาย”

ต่อหัวเราะก่อนจะเดินออกจากห้องไป หลังจากที่ประตูห้องปิดลง ก็เหลือเพียงพายุคนเดียว เหตุการณ์เมื่อกลางวันเหมือนเป็นเพียงความฝัน เขาเพิ่งเคยไปไหนมาไหนกับต่อแค่สองคนนานๆ แบบนี้เป็นครั้งแรก และเขาก็มีความสุขมาก เขานึกสงสัยว่าถ้าหากเขาไปออกเดทกับผู้หญิงคนอื่น หรือหากเป็นพี่คนนั้นที่มาขอไลน์เขา เขาจะรู้สึกแบบเดียวกันนี้หรือเปล่านะ

พายุนอนเหม่ออยู่ได้พักหนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองสั่นจากที่ไหนสักแห่ง เขาปิดเสียงเอาไว้ตั้งแต่ตอนดูหนังแล้วก็ไม่ได้เปิดเสียงมันอีกเลย เขาลุกออกจากโซฟาแล้วเดินตามหาที่มาของเสียงสั่นๆ นั้นจนกระทั่งเจอโทรศัพท์วางอยู่บนเตียงใต้หมอน แม่ของเขานั่นเองที่กำลังโทรมา

“ครับ คุณแม่”

“พายุ เป็นไงมั่งลูกแม่ เงียบหายไปเลย”

“ไม่ได้หายไปไหนคร้าบบบ ช่วงนี้แค่วุ่นๆ นิดหน่อยอะครับ รายงานเยอะด้วย คุณแม่เป็นไงบ้าง สบายดีนะ”

“สบายดี แล้วเป็นไง ใกล้สอบแล้วรึยัง”

“ก็ใกล้แล้วล่ะครับ งานเลยเยอะอะ”

“ตั้งใจอ่านหนังสือด้วยนะลูก”

“คร้าบบบ อ่านทุกวันเลย หนังสือเรียนมั่ง หนังสือการ์ตูนมั่ง ไม่ต้องห่วง”

แม่ของเขาหัวเราะ “แล้วพี่ชายเราล่ะ เป็นไงบ้าง”

“ก็เหมือนเดิมแหละครับ คุณแม่ไม่ได้โทรหามันเหรอ”

“แม่โทรไปแล้วมันไม่รับ สงสัยทำงานมั้ง”

“คุณแม่โทรไปกี่โมง นี่วันเสาร์นะ มันไม่น่าทำงานอะ วันนี้พายุออกไปข้างนอกกับเพื่อนมาตั้งแต่ช่วงเที่ยง แต่เห็นพี่ภูมันบอกมันจะไปยิมแล้วไปกินข้าวกับเพื่อนอะนะ”

“อ๋อๆ งั้นก็ไม่เป็นไร แม่แค่คิดถึงเฉยๆ กำลังคิดอยู่ว่าเดือนหน้าจะลงไปหา”

“อ้าว ก็ดีสิครับ คิดถึงจะแย่แล้วเนี่ย มาให้กอดหน่อย”

“แหมมมม ปากหวานแบบนี้ จะเอากี่บาทก็บอกมา”

พายุหัวเราะเบาๆ “สักสามสี่พันก็น่าจะอยู่ได้สบายๆ ถึงสิ้นเดือน”

แม่ของเขาหัวเราะ พายุเดินกลับมานั่งๆ นอนๆ คุยกับแม่ที่โซฟาต่ออีกครู้ใหญ๋จนกระทั่งตาของเขาใกล้จะปิด เขาจึงบอกแม่ว่าเขารู้สึกไม่ค่อยสบายและกำลังจะเข้านอน หลังวางสาย เขาลุกไปปิดไฟในห้องนั่งเล่นทุกดวงแล้วเดินเข้าห้องนอนของตัวเอง จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าออกเหลือแค่บ็อกเซอร์ตัวเดียวแล้วคลานขึ้นเตียง ทันทีที่หัวถึงหมอนเขาก็แทบจะหลับไปในทันที

คงเพราะความเหนื่อยล้าและอาการป่วย ทำให้ก่อนที่จะล้มตัวลงนอน พายุลืมไปถึงสามสิ่งด้วยกัน อย่างที่หนึ่งคือเขาลืมเปิดเสียงโทรศัพท์ สอง เขาลืมวางโทรศัพท์ไว้ที่โซฟา และอย่างสุดท้าย เขาลืมเปลี่ยนถ่านไฟฉายของกลอนประดูดิจิทัล
ต่อไลน์หาพายุหลังจากที่กลับถึงบ้าน แต่แน่นอนว่าเขาไม่เห็น

และอีกไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง ภูวาก็จะไลน์หาเขาและโทรหาเขาอีกหลายสาย แต่แน่นอนว่าเขาไม่รู้เรื่องเลยจนกระทั่งรุ่งเช้าวันถัดมา


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 8
   
พายุพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงหลายครั้ง เขารู้สึกเจ็บคอจนแสบไปหมด พอกลืนน้ำลายทีก็ทรมานที เขาเกลียดการตื่นนอนแบบนี้ที่สุด

“โอยยยยย” พายุโอดครวญในลำคอเบาๆ ก่อนจะควานหาโทรศัพท์มือถือเพื่อดูเวลา เขางัวเงียกวาดมือไปมาบนเตียงและโต๊ะหัวเตียงครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกตัวว่าโทรศัพท์ไม่ได้อยู่ที่นี่

พายุผุดตัวลุกขึ้นนั่งทันที เขารื้อและสะบัดผ้าห่มกับพลิกดูใต้หมอนทุกใบแต่ก็ไม่เจอ เขานั่งนิ่งครู่หนึ่ง พยายามนึกว่าครั้งสุดท้ายที่เขาจับโทรศัพท์มือถือคือตอนไหน เมื่อนึกออกแล้วเขาก็เดินออกจากห้องนอนและตรงไปยังโซฟาที่เขานอนคุยกับแม่เมื่อคืน โทรศัพท์มือถือของเขาวางอยู่ตรงนั้นเอง

แต่หลังจากปลดล็อกหน้าจอแล้ว แทนที่จะได้ดูเวลา เขากลับต้องตกใจเมื่อพบว่ามีสายที่ไม่ได้รับจากภูวาถึง 9 สาย และยังมีสายจากในไลน์ที่เขาไม่ได้รับอีกเพียบ

“หือ มันโทรหากูทำไมเยอะแยะวะเนี่ย” พายุเดินไปห้องของภูวาแล้วลองบิดลูกบิดประตูดู ห้องไม่ได้ล็อก และภูวาก็ไม่ได้นอนอยู่ที่เตียง

พายุรีบกดโทรศัพท์โทรหาภูวาทันที

“ฮัลโหล…” ภูวารับสาย เสียงเหมือนยังไม่ตื่นนอนดี

“เฮ้ย! พี่ภูอยู่ไหนเนี่ย เมื่อคืนไม่ได้กลับมานอนห้องเหรอ”

“...”

“ฮัลโหล ได้ยินป่าว พี่ภู โหลๆๆ”

“...แป๊บนึง”

“เออๆ แล้วโทรมาตั้งหลายหน มีไรปะเนี่ย อย่าบอกนะว่าเกิดอุบัติเหตุหรือโดนฉุดไปข่มขืนอะ” พายุพูดจบแล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างทรมาน “โอยย เจ็บคอชิบหายเลยยย”

ภูวายังคงไม่พูดอะไร

“โหลลลล พี่ภู ได้ยินป่าวววว”

ภูวาที่ค่อยๆ ลุกออกจากเตียงของเคนและเดินออกจากห้องนอนไปยังประตูคอนโดหันกลับไปมองเจ้าของห้องที่ยังคงหลับอยู่บนเตียง เขาค่อยๆ เปิดประตูออกและใช้รองเท้าของเขาคั่นประตูเอาไว้

“ไอ้น้องเวร!!” ภูวาตะคอกใส่โทรศัพท์ “กูบอกให้เปลี่ยนถ่านที่ประตู ทำไมไม่เปลี่ยนวะ! มึงเปิดประตูห้องเดี๋ยวนี้เลย!”

“อ้าว! ลืม! แป๊บๆๆ” พายุรีบเปิดเก๊ะและหยิบถ่านไฟฉายออกมาแกะแล้วทำการเปลี่ยนถ่านไฟฉายของกลอนประตูเสร็จภายในเวลาไม่ถึงสิบวินาที เมื่อเขาเปิดประตูห้องออกก็เห็นภูวากำลังยืนปั้นหน้ายักษ์อยู่หน้าห้อง

“ไอ้…!!” ภูวาเขกหัวน้องชายของเขาอย่างแรง “กูไม่รู้จะด่ามึงยังไงดีแล้วเนี่ย!”

“โอ๊ยยยย! ขอโทษอะ พายุไม่สบาย เลยหลับไปแล้วลืมมือถือไว้ในห้องนั่งเล่นอ่า เลยไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย ว่าแต่นี่เอาเสื้อผ้าใครมาใส่เนี่ย แล้วไปนอนกับใครมา”

“ห้องพี่เคน แต่เรื่องมันยาวไว้ค่อยเล่า นี่โทรศัพท์กูก็แบตจะหมด เหลือแค่ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์แล้วเนี่ย” ภูวายกมือขึ้นนวดขมับของตัวเอง หัวของเขาปวดตุบๆ และในหูก็มีเสียงดังวิ้งๆ ก้องอยู่ตลอดเวลา

พายุมองหน้าพี่ชายของเขางงๆ “แล้วทำไมพี่ภูไม่เข้าห้องอะ ยืนอยู่ทำไร แล้ว… นี่รองเท้าไปไหน ทำไมเดินเท้าเปล่า”

“โอ๊ย ถามมากจังวะ ขอเวลาห้านาทีแล้วจะกลับมาเล่าให้ฟัง” ภูวาเดินกลับไปยังห้องของเคนโดยมีพายุมองตามไปจนกระทั่งเขาปิดประตูลง

เมื่อเขาเดินกลับเข้าไปในห้องของเคน เคนยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง ภูวาอยากจะปลุกเคนแล้วกลับไปนอนต่อที่ห้องของตัวเองแต่ก็ไม่กล้า อาการเมาค้างทำหัวของเขาปวดแทบระเบิดและคิดอะไรไม่ค่อยออก แต่เขารู้เพียงแค่ว่าถ้าหากจู่ๆ เขาหายตัวไป มันคงจะดูเสียมารยาทน่าดู

เขานั่งลงบนโซฟาแล้วคิดถึงเรื่องเมื่อคืน แม้ว่าเขาจะเมา แต่ก็ยังจำทุกอย่างได้ชัดเจน ทั้งเรื่องที่เขากับเคนคุยกันและเหตุการณ์หลังจากนั้น ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองคงจะต้องนอนบนโซฟาแบบไม่มีผ้าห่ม แต่แล้วเคนก็มาชวนให้ไปนอนบนเตียงด้วยกัน แน่นอนล่ะว่าเขารู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเขาคิดว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้น แต่เป็นสีหน้าและน้ำเสียงของเคนตอนที่เดินเข้ามาคว้าต้นแขนของภูวามากกว่า

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขากังวล สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือการที่เขาตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วเห็นเคนกำลังนอนพลิกตัวไปมา ท่าทางเหมือนคนกำลังฝันร้าย ภูวาชันตัวขึ้นนั่งแล้วมองเคนอย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี เขาลองแตะแขนของเคนแล้วเรียกชื่อเขาดู แต่เคนก็ยังไม่ตื่น เหงื่อของเขาเปียกชุ่มแม้อุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศจะตั้งไว้ที่เพียง 23 องศา ภูวาลุกออกจาเตียงไปหยิบเอาผ้าขนหนูผืนเล็กในห้องน้ำมาเช็ดเหงื่อให้กับเคน เมื่อเห็นเคนเริ่มสงบลงแล้ว เขาก็เอนตัวลงนอนต่อ และรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้าหลังได้ยินเสียงโทรศัพท์จากพายุ

ภูวาเหลือบไปเห็นกรอบรูปที่เขาพูดถึงกันเมื่อคืน ความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นวางหนังสือ เขายื่นมือออกไปหมายจะหันกรอบรูปออกมาดู แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงของเคนดังขึ้น

“โทรุ?”

ภูวาชักมือกลับและรีบหันตัวกลับไปมองที่ห้องนอนทันที เคนกำลังค่อยๆ ชันตัวขึ้นนั่งโดยใช้มือข้างหนึ่งขยี้ตาไปด้วย เขาหรี่ตามองมาที่ภูวาครู่หนึ่งก่อนจะหลับตาลงและส่ายหน้าเบาๆ ภูวามองท่าทีของเคนงงๆ และทำอะไรไม่ถูก

Good morning” เคนพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย

ภูวายิ้มออกมาและเดินตรงไปที่เตียง “มอร์นิ่งครับพี่”

“เมื่อคืนนอนโอเคมั้ยครับ”

“โอเคครับพี่ ว่าแต่พี่เถอะ อึดอัดไหมมีผมนอนด้วยอะ เห็นเมื่อคืนพี่บิดตัวไปมาเหมือนอึดอัดหรือฝันร้ายด้วย”

“อ้อ…” รอยยิ้มจางๆ เมื่อสักครู่ของเคนหายไปทันที เขาทั้งรู้สึกโกรธตัวเองและอายในขณะเดียวกัน “ใช่ เมื่อคืนพี่ฝันร้ายนิดหน่อยครับ ทำให้ภูวาตื่นเหรอ ขอโทษด้วยนะ”

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมเป็นคนตื่นง่ายอยู่แล้ว แต่ก็หลับต่อแทบจะทันทีนั่นแหละ” ภูวาหัวเราะ

เคนเหลือบไปเห็นผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กวางอยู่บนโต๊ะหัวนอน เขาจึงเอื้อมไปหยิบมันขึ้นมา

“อ๋อ นั่น…” ภูวาอึกอัก “พอดีผมเห็นพี่เหงื่อออกเยอะน่ะครับ เลยถือวิสาสะเอาผ้ามาเช็ดเหงื่อให้”

เคนมองภูวาด้วยสีหน้าประหลาดใจก่อนจะฟุบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองข้าง “Oh Gosh…” เขาพึมพำออกมาเบาๆ เพราะรู้สึกอายในตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมอีก

“เอ่ออ… พี่เคนครับ เมื่อกี้ไอ้พายุมันโทรหาผมแล้ว ตอนนี้ผมเข้าห้องได้แล้ว ยังไงเดี๋ยวผมขอตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับห้องก่อนแล้วกันนะครับ

เคนเงยหน้าขึ้นมองภูวาคว้าเสื้อผ้าของตัวเองขึ้นจากเก้าอี้ที่พาดไว้แล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ จู่ๆ เขาก็รู้สึกโหวงๆ ขึ้นในอกอย่างบอกไม่ถูก เมื่อครู่นี้เขามองเห็นภูวาเป็นโทรุไปชั่วขณะหนึ่ง เขาภาวนาให้มันเป็นแค่เพราะความงัวเงียหลังจากเพิ่งตื่นนอนเท่านั้น เพราะถ้าไม่อย่างนั้น มันหมายความว่าภาพหลอนเริ่มกลับมาเล่นงานเขาอีกแล้ว

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนภูวามานอนที่ห้องเองแท้ๆ แต่กลับทำตัวน่าอายและเป็นภาระให้เขาเสียอย่างนั้น

เคนถอดเสื้อกล้ามที่ตัวเองใส่อยู่ออกแล้วลุกจากเตียง เขาเดินไปที่ห้องนั่งเล่นและคว้าซองบุหรี่ที่อยู่บนชั้นวางทีวีขึ้น สายตาของเขาเหลือบไปเห็นกระป๋องเบียร์ที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขกแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นทันที ทำไมเขาถึงได้มีวินัยต่อตัวเองต่ำขนาดนี้วะ เขาขยำซองบุหรี่ในมือแน่นจากนั้นก็โยนมันลงไปในถังขยะพลางสบถเบาๆ

ภูวาเดินออกมาจากห้องน้ำและเห็นเคนกำลังยืนหัวเสียอยู่พอดี แต่สิ่งที่ทำให้เขาชะงักไปนั้นไม่ใช่สีหน้าของเคน หากแต่เป็นร่างกายของเคนต่างหาก เขาเคยเห็นคนหุ่นดีที่ยิมมาก็มาก แต่เคนคือตัวอย่างที่เหมาะที่สุดของคำว่า “สมบูรณ์แบบ” ในสายตาของเขาแล้ว ไม่มากเกินไปจนดูเหมือนพวกบ้ากล้าม แต่กำลังสมส่วนเหมาะกับส่วนสูงและหน้าตาของเขา

ทุกอย่างดูลงตัวเพอร์เฟ็กต์ไปเสียหมด

เคนเปิดตู้เย็นเพื่อริมน้ำเย็นลงแก้วสองใบ เขายื่นแก้วใบหนึ่งให้กับภูวาพลางบอกขอโทษ “ขอโทษทีนะครับพี่ทำให้นอนไม่เต็มอิ่ม”

ภูวารีบโบกมือปฏิเสธทันที “ไม่เลยครับพี่ ผมตื่นมาแค่แป๊บเดียวจริงๆ หลังจากนั้นก็นอนยาวยันเช้าเลย” เขารับแก้วน้ำมาดื่ม “ขอบคุณนะครับ”

“แฮงค์โอเวอร์?”

ภูวายอมรับเขินๆ “นิดหน่อยครับ ปวดหัวอยู่เหมือนกัน”

“กาแฟมั้ยครับ พี่กำลังจะชงพอดี”

“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับห้องดีกว่า เดี๋ยวพายุจะเป็นห่วง”

“ดื่มกาแฟก่อนแก้วนึงน้องคงไม่ว่าอะไรหรอกน่า”

“งั้นก็… โอเคครับ”

เอ้ออ กูก็ใจง่ายเหมือนกันแฮะ… ภูวาคิด

ภูวานั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าวและรอเคนเปิดเครื่องชงกาแฟ ไม่กี่นาทีถัดมาทั้งห้องก็หอมอบอวลไปด้วยกลิ่นกาแฟสดใหม่ๆ เคนเดินมานั่งลงตรงข้ามภูวา

“กาแฟดำนะครับ” เขายื่นถ้วยกาแฟสีขาวให้ภูวา

ภูวาพยักหน้า “ห้องพี่นี่ขนาดเท่าไหร่เหรอครับ”

เคนยักไหล่ “45 ตารางเมตรมั้งครับ”

“แล้ว… พี่บอกว่าก่อนนี้พี่เป็นทหาร แล้วตอนนี้ล่ะครับ พี่ปลดแล้วเหรอ”

“ปลด?”

“หมายถึงออกจากการเป็นทหารแล้วน่ะครับ”

“อ๋อ ใช่ครับ”

“แล้วพอมาไทยนี่พี่จะ…” ภูวาหยุดตัวเองได้ทันก่อนจะถามออกไป เพราะเขาเพิ่งคิดขึ้นได้ว่าหนก่อนเขาก็ถามคำถามคล้ายๆ กันนี้แล้วนั่นก็ทำให้เคนเหมือนจะไม่พอใจขึ้นมา

“ถ้าหมายถึงว่าจะทำงานอะไร พี่ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันครับ” เคนตอบ “ญาติที่นี่เสนองานให้ทำที่โรงงานที่เขาเป็นเจ้าของอยู่ แต่พี่ไม่ค่อยอยากทำ”

“ทำไมล่ะครับ”

“ไม่รู้สิ อยากหางานเอง ทำอะไรที่ไม่ต้องยุ่งกับพวกนั้นมากกว่า”

พายุสะดุดคำว่า ‘พวกนั้น’ นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดหรือแสดงออก “พี่หางานด้านไหนอะครับ เผื่อผมช่วยได้”

“พี่จบเอ็นจิเนียร์ด้านการสื่อสารมาครับ แล้วก็ได้เรียนเพิ่มเติมด้านไฟแนนซ์มาด้วย แต่ชล ลูกพี่ลูกน้องพี่บอกว่าที่ไทยหางานยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีประสบการณ์ทำงานตรงมาก่อนจะยิ่งยากเข้าไปอีก ก็อย่างว่า ใครมันจะจ้างอดีตนักฆ่าไปทำงาน”
ภูวาแทบสำลักกาแฟเพราะคำพูดสุดท้ายนั่น “อ… เอ่ออ… ตอนแรกพี่บอกว่าพี่เข้ากองทัพ แล้วพี่ก็จบวิศวะด้วย คือเรียนหลังปลดออกจากกองทัพเหรอครับ”

“ที่กองทัพสหรัฐฯ ทหารสามารถเรียนดีกรีพร้อมฝึกไปด้วยได้น่ะ หนักหน่อยแต่บางคนก็ทำกันแบบนี้”

“อ๋ออ แล้วพี่คิดจะลองทำงานแนวอื่นดูมั้ยอะครับ”

“เช่นอะไรครับ”

ภูวาก็ไม่รู้จะตอบยังไง จะให้บอกว่าแนวๆ ด้านทหารคงก็ไม่ใช่เรื่อง ที่จริงเขาก็ไม่รู้เลยเหมือนกันว่าเคนน่าจะทำงานอะไรได้บ้าง
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามันไม่เวิร์ค พี่ก็กลับไปอเมริกา พูดถึงเรื่องงาน ที่นั่นน่าจะมีโอกาสมากกว่าที่ไทยด้วยซ้ำ เพราะ…” เคนหยุดตัวเอง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเขาอาจจะพูดมากเกินไปเสียหน่อยแล้ว มันไม่ใช่ความลับและเคนก็ไม่ได้ตั้งใจอยากจะปิดบังภูวา เพราะภูวาก็ดูเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่เขาแค่ไม่อยากพูดถึงอดีตอันซับซ้อนและน่าจะนำไปสู่คำถามอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขากำลังหลีกหนีอยู่ในตอนนี้เพียงเท่านั้น

ภูวารอให้เคนพูดต่อ แต่เคนกลับหยุดอยู่แค่นั้น เขาจึงเป็นฝ่ายเปลี่ยนเรื่องขึ้น “ผมเดาว่าพี่ถือสองสัญชาติด้วย ใช่รึเปล่าครับ”

เคนทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจว่าภูวาหมายถึงอะไร “อ้อ สัญชาติ ใช่ครับ อเมริกันแล้วก็ไทย”

“ถ้าผมช่วยพี่หางานได้ก็จะช่วยนะพี่ แต่ระหว่างนี้พี่ก็ทำของญาติพี่ไปก่อนดีมั้ย มันอาจจะโอเคก็ได้นะ”

เคนไม่ตอบอะไร เขาแค่ยกถ้วยกาแฟของตัวเองขึ้นดื่ม

“เออ จริงด้วย พี่ลองเป็นนายแบบดูมั้ยอะ”

คราวนี้เคนเป็นฝ่ายที่สำลักกาแฟออกมาบ้างแล้ว

“แค่ก…!! ค่อกๆๆ!”

ภูวายิ้มกว้าง “เอ้าพี่ ผมพูดจริงนะ ถึงกับสำลักเลยเหรอ”

เคนมองหน้าภูวาพลางเช็ดมุมปาก จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆๆ พูดจริงเหรอเนี่ย”

ภูวายิ้มเขินๆ “ก็พี่ทั้งหน้าตาดีทั้งหุ่นดี ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

“ฮ่าๆๆ ไม่จริงหรอก พี่ก็แค่คนธรรมดา ภูวายังหน้าตาดีกว่าพี่ตั้งเยอะ”

“ไม่จริงหรอก พี่โกหกแล้ว” ภูวาส่ายหน้า

“สเป็กคนเรามันไม่เหมือนกันมั้งครับ แต่พี่ก็มองว่าภูวาน่ารักนะ” เคนบอก ก่อนจะมารู้สึกตัวทีหลังว่าเผลอพูดอะไรออกไป

ภูวาหน้าแดงจนถึงใบหู การที่เคนพูดแบบนั้นมันแปลว่าเขาชอบผู้ชายรึเปล่านะ เฮ้ย ไม่น่าจะใช่มั้ง พี่เขาดูไม่เหมือนแบบนั้นเลย แถมเขายังเคยเป็นทหารมาก่อนอีกด้วย ภูวาคิด

“ภูวามีแฟนรึเปล่าครับ” เคนถาม

“ม… ไม่มีครับ โสดมาสักพักใหญ่แล้ว”

“ทำไมไม่มีล่ะ”

“ทำแต่งานน่ะครับ ดูแลไอ้พายุด้วย ไม่มีเวลาไปดูแลคนอื่นหรอก” ภูวาหัวเราะเบาๆ

“ดูแลกันและกันก็ได้นี่นา ไม่เห็นต้องดูแลใครคนอื่นฝ่ายเดียวเลย”

ภูวายังคงหน้าแดงไม่หาย “ไม่รู้สิครับ ผมโดนแฟนเก่านอกใจด้วยน่ะครับ จับได้ว่าไปคบซ้อนกับเพื่อนผม เลยเสียทั้งเพื่อนเสียทั้งแฟน เสียความรู้สึก ตอนนี้ก็เลยยังเข็ดๆ”

“เสียใจด้วยนะครับ” เคนพูด

“ว่าแต่พี่เคนล่ะ ไม่มีแฟนใช่ไหม”

“ไม่เคยมีเลย”

“พูดเป็นเล่น!”

“พูดจริงๆ” เคนยิ้ม “พอจบไฮสคูลแล้วก็ไปสมัครเข้ากองทัพเลย และหลังฝึกเสร็จก็ถูกส่งไปอัฟกานิสถาน ได้กลับบ้านที่อเมริกาปีละหนหรือสองหนเท่านั้นเอง”

“โหหหห นี่พี่เคยไปอยู่อัฟกานิสถานมาด้วยเหรอเนี่ย ยังกับในหนังแน่ะ…”

“ชีวิตจริงของพวกพี่ก็ไม่ต่างจากในหนังบางเรื่องมากนักหรอกครับ” เคนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ความขัดแย้ง การเมือง เสียงปืนและระเบิด เลือด การสูญเสีย ทุกอย่างคือเรื่องจริง ต่างกับในหนังแค่มันไม่ เอ็นเตอร์เทนนิ่ง เลยสักนิดเดียว”

“ขอโทษครับพี่ ผมไม่ได้หมายถึงว่ามันเป็นเรื่องดีหรือน่าสนุกนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจ”

ทั้งสองคนเงียบลงไปครู่หนึ่ง

ภูวาตัดสินใจเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลงก่อน “ว่าแต่วันนี้พี่จะไปไหนหรือเปล่าครับ”

เคนยักไหล่ “อาจจะออกไปซื้อของตอนบ่ายๆ น่ะครับ ทำไมเหรอ”

“เปล่าครับ แค่ถามดู…” ภูวาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เย็นนี้พี่มากินข้าวห้องผมมั้ยครับ ถือว่าตอบแทนที่ช่วยดูแลผมเมื่อคืน เดี๋ยวผมทำกับข้าวเอง”

เคนเลิกคิ้วขึ้น “ทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอ”

“เก่งเลยแหละ” ภูวายักคิ้ว

เคนหัวเราะเบาๆ “โอเคครับ งั้นเดี๋ยวเย็นนี้ไปเคาะเรียก”

“พี่เอาเบอร์ผมไว้ด้วยสิครับ มีอะไรก็ติดต่อมาได้ แล้วผมขอเบอร์พี่ไว้ด้วยนะ ถ้าหากผมทำกับข้าวเสร็จแล้วจะโทรบอก น่าจะประมาณทุ่มนึงนะครับ โอเคไหม” ภูวาพูดอย่างกระตือรือร้น เขาไม่ได้ลงมือทำครัวด้วยตัวเองมานานพอสมควรแล้วทั้งๆ ที่เขาชอบทำกับข้าวมาก พอได้ลองคิดว่าจะทำอะไรให้แขกของเขากินดี เขาก็เลยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “เออ พี่กินเผ็ดได้รึเปล่าครับเนี่ย มีอะไรที่กินไม่ได้มั้ย”

“กินได้หมดครับ เผ็ดก็กินได้”

“โอเคครับ เยี่ยม” ภูวาชูนิ้วโป้งให้เคน “ถ้างั้นเดี๋ยวผมขอตัวกลับห้องก่อนนะครับ ไอ้พายุคงเป็นห่วงแล้ว”

“ได้ครับ” เคนลุกขึ้นยืนและเดินไปส่งแขกของเขาที่ประตูห้อง

“ขอบคุณอีกครั้งนะครับสำหรับที่ซุกหัวนอน” ภูวาพูดหลังจากเปิดประตูออก

“ด้วยความยินดีครับ”

“แล้วเจอกันอีกทีเย็นนี้นะครับ”

“แน่นอน” เคนยิ้ม

เวลาเคนยิ้มแล้วเขาดูหล่อมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีกว่ะ ภูวาคิด แต่ไม่กล้าพูดออกไป เขาแค่ผงกหัวเบาๆ ให้เคนเป็นการบอกลาก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง

“ไหนบอกห้านาทีไง นี่หายไปจะครึ่งชั่วโมง” พายุพูดขึ้นทันทีที่เห็นพี่ชายของเขาเดินเข้าประตูมา

“แกไม่ต้องมาทำปากดีเลย แล้วนี่ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น”

“เจ็บคออะ ไม่สบาย”

“ให้พาไปหาหมอมั้ย”

พายุส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวนอนพักหน่อยคงหายอะ มียาอมอยู่แล้วด้วย”

ภูวาหยิบยาแก้ปวดออกมาจากตู้เก็บของพร้อมน้ำหนึ่งขวดแล้วเดินมานั่งลงที่โซฟา เขายื่นยาเม็ดหนึ่งให้พายุส่วนอีกเม็ดหนึ่งเป็นของตัวเอง สองพี่น้องโยนยาเข้าปากพร้อมๆ กัน หลังจากภูวากระดกขวดน้ำขึ้นดื่มเสร็จ เขาก็ยื่นมันต่อให้พายุ

“เอาไว้เลยนะ ขวดนั้นอะ ไม่อยากติดหวัด”

“รู้แล้วล่ะน่า” พายุเอนตัวลงนอนบนโซฟาแล้วยกขาขึ้นพาดลงบนตักของพี่ชาย

‘อืมมมม… ความรู้สึกคุ้นๆ แฮะ’ เด็กหนุ่มคิดในใจ

“เมื่อคืนบังเอิญเจอพี่เคนเค้าที่หน้าห้องตอนกลับมาพอดี แล้วพอเค้าเห็นว่าพี่เข้าห้องไม่ได้ ก็เลยชวนไปนั่งรอแกในห้องของเค้าก่อน” ภูวาเริ่มเล่า “แต่สุดท้ายก็ติดต่อแกไม่ได้สักทีไง ไอ้เวร เค้าก็เลยชวนให้นอนด้วยไปเลย”

“อ๋อๆ เออ พี่เค้าก็ใจดีเนาะ ไม่เหมือนหน้าตาเลย”

ภูวาหัวเราะเบาๆ “แกว่าเค้าหน้าดุเหรอ”

“อือ”

“ไม่หล่อเหรอ”

“ไม่ได้บอกว่าไม่หล่อ ก็หล่อแหละ แต่ดูเค้านิ่งๆ ขรึมๆ เหมือนคนดุๆ อะ”

“ก็อาจจะจริง แต่พี่ว่าเค้านิสัยดีนะ แต่แค่ภายนอกดูแข็งๆ หน่อยแค่นั้นเอง เออ จะว่าไป พี่เคนเค้าเคยเป็นทหารที่อเมริกาด้วยแหละ เลยอาจจะมีลุคแบบนั้น”

“โหวววว โคตรเท่เลยอะ”

“เมื่อกี้ยังบอกดูดุอยู่เลย ตอนนี้บอกเท่แล้วเหรอ”

“ก็เท่ไง ดุๆ เท่ๆ อะ”

“แต่ท่าทางเค้าจะเคยเจอเรื่องร้ายๆ มาพอสมควรว่ะ บางทีเค้าก็จะดูเศร้าๆ เครียดๆ แต่ถ้าได้คุยกันแล้วเค้าก็โอเคนะ วันนี้พี่เลยชวนเค้ามากินข้าวเย็นที่ห้องเราอะ แกไม่ไปไหนกับไอ้ต่อใช่มั้ย”

“เปล่าอะ ป่วยขนาดนี้ อีกอย่าง ทำไมพี่ภูต้องคิดว่าพายุจะไปไหนกับไอ้ต่อด้วยวะ”

“แค่ถามเฉยๆ ก็เห็นเมื่อวานไปเที่ยวด้วยกันมา นึกว่าวันนี้จะออกไปไหนอีก”

“โอ๊ยยย วันเดียวก็เหนื่อยพอแล้ว แม่งกวนประสาท รำคาญ” พายุหันหน้าไปทางทีวี แต่ภูวาเห็นว่าใบหน้าของพายุแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ไอ้เด็กสองคนนี้มันยังไงวะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย… เขาคิดในใจ

“เออ เอาเถอะ นี่ก็เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง พี่ขอไปงีบสักหน่อยแล้วกัน จะชาร์จแบตโทรศัพท์ด้วย แล้วบ่ายเดี๋ยวเราออกไปซื้อของกัน อยากกินอะไรคิดไว้เลย”

“เย้” พายุชูแขนขึ้นพร้อมร้องออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง

“จะไหวเหรอวะ หรือจะไปโรงพยาบาล”

“ไหวๆ ไม่อยากไปโณงพยาบาล”

“โอเค งั้นแกก็ไปนอนพักเหอะ แล้วค่อยดูอีกที ถ้าบ่ายลุกไม่ไหวจะนอนอยู่บ้านก็ได้”

“ไม่ได้เป็นเยอะสักหน่อย แค่เจ็บคอเอง อยู่แต่ในห้องเบื่อตาย” พายุตอบ “พี่ภูไปนอนเหอะ พายุจะนอนดูทีวีตรงนี้แหละ” เขาหยิบรีโมทขึ้นเปิดทีวี

ภูวาเหวี่ยงขาของพายุลงจากตักแล้วลุกเดินตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง เขาล้มตัวลงบนเตียง เอื้อมมือหยิบสายชาร์จมาเสียบโทรศัพท์แล้ววางมันไว้ข้างหมอน เขานึกถึงสิ่งที่คุยกับเคนวนไปวนมาแล้วสักพักก็ผล็อยหลับไป

เขาสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงโทรศัพท์ที่วางไว้ข้างหมอนดังขึ้น

“02874.... เบอร์ใครวะ” ภูวาพึมพำเบาๆ ด้วยความงัวเงีย “ขึ้นต้นด้วย 02 เบอร์ขายประกันป่าววะ…” เขาชั่งใจว่าจะรับหรือไม่รับสายดี แต่สุดท้ายก็คิดว่าชีวิตในยุคนี้มันคงไม่บัดซบขนาดโทรมาขายประกันวันอาทิตย์หรอกมั้ง จึงตัดสินใจกดรับสาย

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ” ผู้ชายที่ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระฉับกระเฉง.... ดูกระฉับกระเฉงมากเกินไปสำหรับพวกเทเลเซลส์เสียด้วยซ้ำ “ขอสายคุณภูวาครับ”

“พูดอยู่ครับ” ภูวาตอบก่อนจะอ้าปากหาววอดใหญ่

“ไม่ทราบพอมีเวลาสักครู่มั้ยครับ พอดีมีสิ่งอยากนำเสนอ”

นั่นไง… ภูวานิ่วหน้า

“ถ้าไม่นานก็เชิญครับ”

ปกติเขาคงจะวางสายใส่หรือตอบกลับไปทันทีแล้วล่ะว่าเขาไม่สนใจ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาถึงได้ตอบกลับไปแบบนั้น เขาเองก็รู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกัน

ซึ่งอย่าว่าแต่ภูวาเองเลยที่แปลกใจ คนที่อยู่ปลายสายเองก็ดูจะแปลกใจไม่แพ้กัน

“เอ่อ อ่าาา… คือผมจะมาขายประกันครับ”

“ประกันอะไรครับ” ภูวาถามกลับ เดี๋ยวนี้คนขายประกันเค้าโทรมาบอกกันตรงๆ ว่าจะขายประกันแล้วเหรอวะ

“เออออ... เอ้า ชิบหายละ ยังไงต่อดีวะเนี่ยกู”

คำตอบของเขาทำให้ภูวาถึงกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจคูณสอง จริงๆ เขาจะคิดว่ามีคนโทรมาแกล้งเขาก็ได้ แต่ก็ดูไม่น่าใช่แบบนั้น บางอย่างมันดูผิดแปลกไป ถ้าแกล้งกันมันก็ไม่น่าจะดูกระอักอระอ่วนและดูมีความลังเลในน้ำเสียงอย่างนั้น นอกจากนั้นภูวาเองก็ยังเคยคุยกับคนขายประกันที่พูดจาดูห้วนๆ บ้านๆ หรือยังเป็นมือใหม่มาบ้างเหมือนกัน แต่ถึงคนพวกนั้นจะมีทักษะการขายแย่ขนาดไหน ก็ไม่เคยมีใครหลุดคำหยาบออกมาแบบเมื่อครู่นี้

“ช่างแม่งเว้ย! ไอ้ภู! นี่กูเอง จำได้ป่าววะ”

กูไหนวะ… พูดมาแค่นี้จะนึกออกไหม แถมเสียงไม่คุ้นอีก

แต่ยังไม่ทันที่ภูวาจะได้พูดอะไร คนจากปลายสายก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน “กูเอง บอล เรียนมัธยมที่เดียวกับมึงอะ จำได้ยัง”

“ไอ้บอลเหรอ” หัวใจของภูวากระตุกวูบทันที



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ยังเขียนเรื่องได้สนุกเหมือนเดิมเลยครับ
ชอบการเขียนแบบนี้
มาต่อเร็วๆนะครับ
❤️❤️❤️

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
แต่ละคนบทสรุปจะยังไง โคตรลุ้น :katai1: :katai1:

อยากให้คนเขียนแปะชื่อนิยายเรื่องอื่นๆ ที่เคยลงในเล้าให้ด้วยจังครับ :hao4:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
แปะรายชื่อนิยาย/เรื่องสั้นที่เคยเขียนทั้งหมดไว้ในเม้นแรกแล้วนะครับ

ขอบคุณครับ​

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 9

“เออกูเอง ไอ้บอล จำกูได้มั้ยเนี่ย”

ชื่อนั้นทำให้หัวใจของภูวากระตุกทันที แต่เขาก็ยังพยายามคุมน้ำเสียงตัวเองไว้ให้เป็นปกติที่สุด “เออ ก็ต้องจำได้ดิ ว่าไงวะ”

“มึงนี่ตามหาเบอร์ยากชิบหายเลย รู้ตัวปะ กว่าจะหามาได้” บอลหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่นี่ทำไรอยู่วะ ยังนอนอยู่เหรอ จะ 11 โมงแล้วนะเว้ย”

“กูตื่นไปแล้วรอบนึงตั้งแต่เช้า แต่เมาค้างนิดหน่อยเลยงีบต่อสักหน่อย จนมึงโทรมาขายประกันกูนี่แหละ”

“ฮ่าๆๆ เออ กูก็เล่นจนหมดมุกละ ไม่นึกว่ามึงจะยอมฟังจริงๆ”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมวันนี้ถึงคิดจะทนฟังขึ้นมา และเห็นเป็นเบอร์ 02 ด้วย นี่มึงใช้เบอร์บ้านโทรมาเหรอ”

“เบอร์บ้านเหี้ยไรล่ะ เบอร์มือถือกูนี่แหละ มึงเมาขี้ตาแล้ว ไอ้ภู”

“อ้าวเรอะ” ภูวาดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองอีกครั้ง “เออว่ะ 082 นี่หว่า…”

“เป็นไงมั่งวะ สบายดีมั้ยมึงอะ”

“ตอนนี้ก็ดีอะ แต่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ ป่วยบ่อยชิบหาย หาเงินมาแทบจะหาหมอหมด”

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ เป็นไรมั่งวะมึงนี่”

“ก่อนนี้ก็เจ็บชายโครง หาสาเหตุไม่ได้ เป็นอยู่ร่วมเดือนอะ พอหายแล้วก็เสือกมาเจ็บเอ็นไหล่อีก แม่งอะไรนักไม่รู้ พอหายอย่างก็มีเหตุให้เป็นอีกอย่าง…” ขณะที่พูด ในหัวของภูวาก็นึกถึงใบหน้าของเพื่อนคนนี้ไปด้วย

ตอนนี้มันจะหน้าตายังไงบ้างแล้วนะ จะไว้ผมทรงไหน มีหนวดเคราไหม อ้วนขึ้นไหม แต่งตัวยังไง ยังล่ำและมีรอยยิ้มกวนๆ แบบเดิมอยู่หรือเปล่า... ความทรงจำของภูวาที่มีเกียวกับบอลรวมถึงช่วงเวลาของเขาที่เคยใช้ด้วยกันทั้งหมด ถูกหยุดเอาไว้ตั้งแต่เจ็ดปีก่อนแล้ว

“เพราะอะไรวะ ทำไมมันดูเป็นเยอะแยะนัก”

“เพราะฟิตเนสด้วยล่ะมั้ง บวกกับนั่งทำงานออฟฟิศนาน”

“มึงเข้าฟิตเนสด้วยเหรอวะ” บอลมีน้ำเสียงแปลกใจ “แล้วว่าแต่มึงทำงานทำการไรอยู่วะเนี่ย”

“กูทำบริษัทสตาร์ทอัพด้านไอทีน่ะ งานเยอะหน่อยแต่ก็โอเค ว่าแต่แล้วมึงอะ เป็นไงมั่ง” ภูวาถามกลับ

เขาได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ และความอึกอักเล็กน้อย “ก็เรื่อยๆ ว่ะ พอไหว ไม่ได้แย่อะไร”

คำตอบนั้นทำให้ภูวาแปลกใจเล็กน้อย เพราะเขารู้ว่าที่บ้านของบอลมีธุรกิจส่วนตัว และด้วยนิสัยของเขาเท่าที่ภูวารู้… หรืออย่างน้อยๆ ก็เคยรู้จักและจำได้ คือเขาไม่ใช่คนที่จะตอบคำถามง่ายๆ แบบนี้ด้วยน้ำเสียงหรือคำตอบแบบนี้ ถ้าเป็นคนอื่นถาม บอลคงแค่ตอบส่งๆ ไปว่า “สบายดี” แต่กับภูวา เขาเคยบอกว่าเขากล้าที่จะพูดความรู้สึกจริงๆ ไม่ต้องเสแสร้งออกมาเสมอ

หรืออย่างน้อยๆ เขาก็เคยพูดและทำแบบนั้นอยู่พักใหญ่

“ไม่โอเคเหรอวะ” ภูวาถามกลับ

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็…” บอลยังคงตอบด้วยน้ำเสียงแบบเดิม

ภูวารอให้อีกฝ่ายพูดต่อ

“เดี๋ยวนะ!” จู่ๆ น้ำเสียงของบอลก็เปลี่ยนไป “นี่ตอนนี้มึงอยู่ไหน อยู่ที่ไทยรึเปล่าเนี่ย”

“เออ อยู่ไทยดิวะ นอนอยู่บนเตียงในห้องเนี่ย”

“ฮ่าๆๆ เออ ไอ้เหี้ย ตกใจหมด นึกว่ากูโทรไปต่างประเทศ ลุ้นแทบตายห่า ลุ้นยิ่งกว่าจะถามว่ามึงมีแฟนรึยังอีก”

คำพูดนั้นของบอลทำให้ภูวาถึงกับสะอึก ทำไมต้องลุ้นกว่าการถามว่าเขามีแฟนหรือยังด้วย แล้วทำไมถึงไม่ถามออกมาตรงๆ บอลกลัวที่จะได้ยินว่าเขามีแฟนเหรอ ภูวาได้แต่สงสัย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร บอลก็เริ่มพูดต่อ

“ว่าแต่มึงพักที่ไหนแล้วเนี่ยตอนนี้ ยังอยู่บ้านที่กูเคยไปอยู่ปะ”

“เปล่า หลังที่มึงเคยไปสมัยเรียนนั่นขายไปแล้ว ตอนนี้กูมาซื้อคอนโดอยู่แถวสุขุมวิท ไม่ไกลที่ทำงาน อยู่มาสองปีแล้ว”

“เฮ้ย จริงดิ! แถวไหนวะ”

ภูวาบอกสถานที่ตั้งคอนโดและที่ทำงานของเขาไป

“อ้าว งั้นก็ไม่ไกลจากออฟฟิศกูสิเนี่ย ไว้เดี๋ยวกูไปหา ไปกินข้าวกัน”

ภูวาสะอึกไปอีกครั้ง… บอลน่ะเหรอจะมาหา จะมากินข้าวกับเขา หลังจากที่ไม่ได้คุยกันมามากกว่า 5-6 ปี และไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบ 10 ปีเนี่ยนะ

“เออ มาดิ ไว้จะพาไปกินข้าวต้ม” ภูวาตอบ ยังคงพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด

“ข้าวต้ม! เจอกันทั้งทีชวนกูไปกินข้าวต้มเนี่ยนะ!”

“โวยวายเก่งจังวะ! ร้านดังเว้ย ร้านใหญ่ อร่อย อยู่ไม่ไกลคอนโดกูด้วย ไว้มึงมาให้ได้ก่อนเหอะ แล้วจะพาไปลองกิน เดี๋ยวจะติดใจ”

“อ้ะ ด้ายยย ไว้รถกูซ่อมเสร็จก่อนแล้วไว้จะไปหา มึงเลิกงานกี่โมง”

“ปกติก็ห้าโมง แต่กูไปยิมต่อ เสร็จก็ราวๆ ทุ่มกว่า”

“เออใช่ เมื่อกี้มึงก็บอกว่ามึงเข้าฟิตเนสด้วยนี่หว่า”

“เออ” ภูวาอดคิดไม่ได้ว่าบอลจะยังคงนึกว่าเขาเป็นเด็กหุ่นผอมขี้ก้างแบบเมื่อสมัยก่อนหรือเปล่า

“เออๆ ก็ดี เลิกไม่ดึกมาก กูไปได้แล้วจะโทรบอก แต่คงต้องรอได้รถก่อน ตอนนี้แม่งโคตรลำบากเลย จะเดินทางทีก็ต้องอาศัยรถพี่สาวบ้าง แท็กซี่บ้าง”

“ลำบากไม่เป็นเลยเหรอมึงอะ รถไฟฟ้านี่ขึ้นเป็นมั้ยเนี่ย”

“ขึ้นสิวะ ไอ้เหี้ย แต่ไปหาลูกค้าหรือไปโรงงานมันไม่มีรถไฟฟ้าไปถึงนี่หว่า”

“อ้อ อะ ยอมๆ”

“เออดิ บางทีกูก็เลยนอนที่ออฟฟิศแม่งเลย ไม่กลับบ้านแม่งละ”

“นอนออฟฟิศเลยเหรอวะ”

“เออ โฮมออฟฟิศอะ เพิ่งสร้างเสร็จไม่นานนี่เอง”

“อ๋อ แล้วพ่อกับแม่มึงยังอยู่ที่เดิมรึเปล่าวะ หมายถึงบ้านมึงอะ”

“ที่เดิ๊มมม ที่มึงเคยไปนั่นแหละ”

“อ้อ กูนึกว่าย้าย เพราะจำได้ว่ามึงเคยบอกว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น”

“เออ สรุปก็ไม่ได้ไปไหนอะ อยู่ที่ซอยเดิมนั่นแหละ” บอลเว้นช่วงไปอึดใจหนึ่ง “มึงนี่จำเก่งเหมือนกันนะ เรื่องนั้นก็ตั้งหลายปีมาแล้ว”

“โอ้ยยย เรื่องของมึงอะ กูไม่เคยลืมหรอก มึงเคยพูดเคยทำอะไรไว้ กูจำได้หมดแหละ” ภูวาหัวเราะเบาๆ

คราวนี้เป็นฝ่ายของบอลที่ต้องสะอึกไปบ้างแล้ว ถ้าภูวาไม่ได้คิดไปเอง เขาว่าบอลก็ต้องรู้สึกอะไรกับคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้เหมือนกันนั่นแหละ แต่หมอนี่เป็นคนท่ามากมาแต่ไหนแต่ไร เขาไม่ยอมแสดงความรู้สึกอะไรให้คนอื่นจับได้ง่ายๆ หรอก

“ว่าแต่มึงเอาเบอร์กูมาจากไหนวะ” ภูวาถาม

“ไม่บอก” บอลตอบด้วยน้ำเสียงที่ซ่อนความเจ้าเล่ห์และกวนโอ๊ยเอาไว้ ให้ตายเถอะ นั่นเป็นน้ำเสียงที่ภูวาไม่ได้ยินมานานเหลือเกิน

จากนั้นบอลก็เปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องอื่นอีกพักหนึ่ง ก่อนจะวางสาย พวกเขาคุยย้ำกันเรื่องที่รอรถของบอลซ่อมเสร็จแล้วจะมาหาภูวาที่คอนโดอีกครั้ง

ภูวาโยนโทรศัพท์กลับลงข้างๆ หมอน แล้วนอนลืมตามองเพดานอยู่ครู่หนึ่งด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น แต่ในขณะเดียวกันเขากลับรู้สึกสงบอย่างประหลาด เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งอยู่ในเรือไม้ลำเล็กๆ ที่ลอยอยู่เหนือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่และเงียบสงบ ได้ยินก็เพียงแต่เสียงลมหายใจของตัวเอง คลื่นที่ผิวน้ำสาดซัดกระแทกตัวเรือแค่เพียงแผ่วเบา แต่บนท้องฟ้าที่เขานอนมองอยู่นั้นกลับเต็มไปด้วยกลุ่มก้อนเมฆสีดำมืดที่ก่อตัวหนาแน่นและกำลังหมุนเวียนวนอย่างเกรี้ยวกราด แม้จะไม่มีลมกรรโชก แม้ท้องทะเลจะยังสงบนิ่ง และแม้จะไม่มีสรรพเสียงใดๆ แต่ความมืดมิดที่ปกคลุมบนน่านฟ้าและสายฟ้าที่แลบผ่านไปมาหระหว่างหลืบเมฆเหล่านั้นก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวและหวั่นใจ

ความรู้สึกของเขาตอนนี้มันช่างปั่นป่วนและสับสนสิ้นดี หัวใจของเขาเต้นแรง แต่จิตใจของเขากลับนิ่งสงบ เงียบงัน ว้าวุ่น และยุ่งเหยิงไปพร้อมๆ กันในคราวเดียว

ภูวาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาบี

“ไม่ไปค่ะ” บีพูดใส่โทรศัพท์ทันทีหลังกดรับสาย

“ห๊ะ อะไรของมึงวะ” ภูวานิ่วหน้างง

“ถ้ามึงจะชวนกูออกไปกินข้าวอีก ไม่ไปค่ะ พรุ่งนี้สแตนด์บายค่าาา”

“ไม่ใช่โว้ย มึงทำอะไรเอาไว้สารภาพมาซะดีๆ”

“ทำอะไรวะ”

“บี กูปวดหัว กูเมาค้าง ที่สำคัญตอนนี้กูรู้สึกไม่โอเค กูไม่ตลก มึงบอกกูมาว่ามึงคุยอะไรกับมันไปบ้าง เล่ามาให้หมด”

“เดี๋ยว ไอ้ภู มึงพูดอะไรวะ กูงง กูคุยอะไรกับใคร”

ภูวากำลังจะโต้กลับ แต่บางอย่างในน้ำเสียงของบีทำให้เขาชะงัก “เดี๋ยวนะ มึงไม่ได้คุยกับมันเหรอ”

“ก็แล้วคุยกับใครเล่า!”

“มึงไม่ได้เป็นคนเอาเบอร์กูให้มันไปเหรอ”

“คุณชายคะ! ตกลงมึงกำลังพูดถึ…” บีชะงักไป เพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนของเธอน่าจะกำลังพูดถึงใคร “ไอ้บอลเหรอ”

เขาไม่ตอบ

“มันโทรหามึงเหรอ ไอ้ภู”

“มึงให้เบอร์กูไปรึเปล่า ไม่ล้อเล่น ไม่โกหกนะ บี”

“เปล่า สาบาน กูไม่รู้เรื่องเลย ที่ไปกับมึงเมื่อคืนกูก็ไม่ได้บอกใครเลยด้วยซ้ำ”

“อ้อ โอเค…” ภูวาสงสัยว่าถ้าอย่างนั้นแล้วบอลเอาเบอร์ของเขามาจากใคร เพราะเขาเพิ่งเปลี่ยนเบอร์ได้แค่ประมาณปีเดียว และในยุคนี้ก็ไม่ค่อยมีใครติดต่อกันผ่านเบอร์โทรศัพท์อีกแล้ว เขาเลยแทบไม่ค่อยได้บอกเบอร์ใหม่นี้กับใคร

“สรุปไอ้บอลโทรหามึงจริงๆ ใช่มั้ยวะ แล้วเป็นไง มึงคุยไรกันไปบ้าง”

“เดี๋ยวเอาไว้ค่อยคุยกันนะบี กูไปดูไอ้พายุก่อน มันไม่สบาย” ภูวาพูดก่อนจะวางสายไป

ภูวาลุกออกจากเตียงและไปอาบน้ำ เขาพยายามอย่างมากที่จะไม่คิดถึงเรื่องของบอล แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก ภาพความทรงจำและช่วงเวลาเก่าๆ ที่พวกเขาเคยใช้ร่วมกัน ไหลวนกลับเข้ามาหาภูวาอีกครั้งอย่างแจ่มชัด

บอลกับภูวาเคยสนิทกันมาก… มากจนเกินกว่าคำว่าเพื่อนทั่วไป แต่สิ่งที่น่าตลกคือ พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกันมากไปกว่าคำว่าเพื่อนสนิท ตอนอยู่ ม. 4 ภูวาเคยไปนอนค้างที่บ้านของบอล และในคืนนั้นทั้งสองคนก็ใช้มือและปากให้แก่กันจนเสร็จ นั่นคือประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกของภูวา และเขามั่นใจว่าเป็นครั้งแรกของบอลด้วยเช่นกัน

ภูวาไม่เคยคุยหรือเล่าเรื่องนี้ให้กับใครฟังแม้แต่คนเดียว

แม้แต่กับบอล

หลังจากนั้นพวกเขาไม่ได้มองหน้ากันไม่ติด กลับกัน มันทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้นด้วยซ้ำ มันทำให้ภูวารู้สึกผูกพันกับบอลมากกว่าคำว่าเพื่อน และบอลเองก็น่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน การแสดงออกและคำพูดหลายๆ อย่างของเขาทำให้ภูวาเชื่อแบบนั้น แต่พวกเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน ไม่เคยพูดเรื่องคืนนั้นขึ้นมาอีก และเหตุการณ์แบบนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นซ้ำสอง ในตอนนั้นภูวาเคยสับสนมากว่าบอลคิดอะไรอยู่กันแน่ ทุกอย่างดูไม่ชัดเจนไปเสียหมด บางครั้งการแสดงออกของบอลทำให้ภูวาคิดว่าบอลเองก็รักเขามากกว่าคำว่าเพื่อน แต่ในอีกหลายๆ ครั้งการแสดงออกของเขากลับดูขัดแย้งไปเสียหมด ตอนนั้นภูวาคิดว่าคงเป็นเพราะบอลยังไม่แน่ใจในตัวเอง ให้ตายเถอะ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าชอบผู้ชายหรือเปล่า เพราะเขาไม่เคยรู้สึกแบบนั้นกับผู้ชายคนอื่น และเขาก็ยังชอบผู้หญิงอยู่ ดังนั้นบอลเองก็อาจจะเป็นแบบเดียวกันก็ได้ ภูวาไม่รู้ เขาไม่แน่ใจอะไรเลย แต่มีเพียงสิ่งที่เขารู้แน่ชัดและยังคงจำฝั่งใจได้ถึงทุกวันนี้ นั่นคือคนที่ทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหวได้มากที่สุดตลอดเวลาสามปีที่เรียนมัธยมปลายนั้นมีเพียงคนเดียว และคนๆ นั้นก็คือบอล

จนสุดท้าย สักช่วงเวลาหนึ่งก่อนจบมัธมยมปลาย ภูวาก็ทำใจได้ว่าเรื่องคืนนั้นคงเป็นผลจากความอยากรู้อยากลองของเด็กวัยรุ่นที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น และบอลก็คงไม่ได้คิดอะไรเป็นพิเศษต่อเขาเลย จนกระทั่งบอลพูดประโยคหนึ่งออกมาหลังจากที่พวกเขาแยกย้ายกันไปเรียนปีหนึ่งที่ต่างมหาวิทยาลัย

“มึงรู้ปะ ไอ้ภู ตัดมึงออกจากชีวิตอะ ตัดยากกว่าตัดเค้าอีก” บอลบอกภูวาทางโทรศัพท์ในคืนหนึ่ง หลังจากที่เขาเล่าว่าเขาจะตัดใจจากผู้หญิงคนที่ตามจีบมาปีกว่าโดยมีภูวาเป็นตัวกลางคอยช่วยสนับสนุนเสมอมา “เพราะงั้นมึงอย่าพูดว่ามึงไม่จำเป็นสำหรับกูแล้วสิวะ ไม่มีเค้าอะ กูคงอยู่ได้ว่ะ แต่ถ้าไม่มีมึง แม่งคงยากอะ”

ภูวาอึ้งไปเล็กน้อย บอลเองก็ดูอึกอักนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ

“มึงช่วยเหลือกูมาเยอะมาก มึงเชื่อในตัวกูแม้ในตอนที่กูยังไม่รู้ตัวเองจริงๆ เลยว่ากูเป็นคนยังไง มึงคอยให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ และดูแลกูมาตลอด ตลอดสามปีที่ผ่านมาอะ ไม่เคยมีใครเป็นห่วงกูเท่ามึงอีกแล้ว”

“ง… แหงดิวะ” ภูวาตอบกลับไปหลังจากตั้งหลักได้ “ก็กูรักมึงนี่หว่า”

ในตอนนั้นพวกเขาใช้คำว่า ‘รัก’ มอบให้แก่กันและกันจนเป็นเรื่องชินปาก การบอกว่า “เฮ้ย กูรักมึงนะเว้ย” เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ภูวาไม่รู้ว่าสำหรับบอลแล้วคำๆ นั้นมีความหมายมากแค่ไหน แต่สำหรับเขา ความหมายมันเกินกว่าคำว่า “รักเพื่อน” ไปไกลมานานมากแล้ว

ตอนนั้นภูวาเชื่อว่าเขากับบอลคงเป็นเพื่อนกันไปตลอดชีวิต แต่โลกแห่งความเป็นจริงนั้นมันไม่สวยงามอย่างที่วาดฝันไว้

ภูวาหลับตาลงและปิดก๊อกน้ำ เขากำหมัดแน่น จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดขึ้นชกผนังห้องน้ำอย่างแรง เสียงของกำปั้นที่ปะทะผนังกระเบื้องดังก้องในห้องน้ำอยู่เพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆ ความเจ็บปวดที่ร้าวขึ้นจากข้อนิ้วและเลือดที่ไหลซิบออกมานั้นทำให้เขาลืมความอึดอัดในใจออกไปได้ส่วนหนึ่ง แต่คำพูดของบอลยังคงไม่เลือนหายไปจากใจเขา “ลุ้นกว่าจะถามว่ามีแฟนหรือยังอีก” มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่

เขาเดินออกจากห้องน้ำและแต่งตัว ก่อนจะเดินออกไปห้องนั่งเล่นแล้วเห็นพายุนอนหลับอยู่บนโซฟา เขาเดินเข้าไปหาน้องชายแล้วแตะหลังมือลงบนหน้าผากของเด็กหนุ่ม ไม่มีไข้ และสีหน้าก็ดูดีขึ้นพอสมควรแล้ว

ภูวามองหน้าพายุแล้วนึกถึงเรื่องระหว่างเด็กสองคนนี้ขึ้นมา เขาไม่อยากให้เหตุการณ์แบบที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเขากับบอลเกิดขึ้นซ้ำสองกับพายุ แต่ดูจากรูปการณ์แล้ว คนที่สถานะคล้ายเขาเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้ดูน่าจะเป็นต่อมากกว่าน้องชายของเขาด้วยซ้ำ

“อืออออ” พายุบิดตัวแล้วลืมตาขึ้น “กี่โมงแล้วอ่าาา”

“จะเที่ยงแล้ว หิวยัง รู้สึกไงบ้างแล้ว”

“เจ็บคอนิดหน่อย แต่ไม่เท่าตอนเช้า เดี๋ยวไปซื้อยาแก้เจ็บคอหน่อยน่าจะดีกว่าอะ”

ภูวาเหลือบไปเห็นเป้ากางเกงบ็อกเซอร์ของพายุที่ถูกสิ่งที่อยู่ข้างในดันจนตุงเป็นลำแล้วหัวเราะเบาๆ “ถ้าเลือดลมยังดี จู๋ยังแข็งได้แบบนี้ ก็คงไม่เป็นอะไรมากล่ะมั้ง ไม่น่าห่วง”

พายุดีดตัวขึ้นนั่งแล้วเอามือกุมเป้ากางเกงไว้ทันที “ทะลึ่ง!”

“อายไรวะ ทำเหมือนพี่ไม่เคยเห็นไปได้ คืนก่อนที่นอนด้วยกันแกยังมานอนกอดแล้วเอาจู๋มาถูหลังพี่อยู่เลย”

พายุหน้าแดงก่อนจะลุกออกจากโซฟาและวิ่งเข้าห้องตัวเอง “ไอ้พี่บ้า!” เขาหันมาตะโกนใส่ภูวาก่อนจะปิดประตูลง

“เดี๋ยวชงน้ำผึ้งมะนาวอุ่นๆ ไว้ แกก็รีบอาบน้ำแล้วแต่งตัวซะ จะได้ไปกินข้าวกัน” ภูวาตะโกนบอกพายุ “อย่ามัวแต่เสียเวลาทำอย่างอื่นล่ะ”

“ไอ้บ้า! ทะลึ่ง!!” พายุตะโกนออกมาจากในห้องนอน

.
.
.


ในขณะเดียวกัน เคนก็เพิ่งปิดฝักบัวลง ไอน้ำคละคลุ้งไปทั่วห้องน้ำ เขาเดินมายืนอยู่หน้าอ่างล้างหน้าและส่องกระจกมองดูใบหน้าที่หมองคล้ำของตัวเอง ความรู้สึกแบบนั้นกลับมาอีกแล้ว ความรู้สึกไร้ค่า ความรู้สึกว่าเขาไม่มีใคร อยู่ตัวคนเดียวบนโลกที่ว่างเปล่าใบนี้ เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงต้องยังคงหายใจอยู่ โลกนี้ไม่จำเป็นต้องมีเขา และเขาก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับความมืดที่คอยกัดกินเขาอยู่ทุกวันนี้ด้วยซ้ำ เขาไม่เคยกลัวความตาย เขาเคยผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้นบางทีความตายอาจจะเป็นทางออกเดียวที่เหลืออยู่ของเขาก็ได้

เคนก้มหน้าลงและเห็นแปรงสีฟันที่ภูวาใช้วางอยู่บนขอบอ่างล้างหน้า จากนั้นก็นึกถึงนัดกินข้าวเย็นที่ห้องของเขาคืนนี้ขึ้นมา
เขายังตายไม่ได้สินะ… อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่วันนี้

เคนหันไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้แห้งแล้วจากนั้นก็เดินออกมาแต่งตัว เขาหยิบโทรศัพท์มาดูข้อความ แม่ของเขาส่งข้อความมาหาเขาในว็อทสแอป เขาส่งข้อความตอบกลับไปแม้จะรู้ว่ามันเป็นเวลากลางคืนที่อเมริกาและแม่ของเขาคงจะไม่เห็น แต่เขาเตือนตัวเองว่าเย็นนี้เขาจะโทรกลับไปหาพ่อและแม่เพื่อบอกว่าอย่างน้อยๆ ตอนนี้เขายังมีลมหายใจอยู่

โทรศัพท์มือถือของเคนดังขึ้น เมื่อเห็นชื่อคนที่โทรเข้ามาแล้วพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างไม่พอใจ

“ว่าไงครับ”

“ผมอยู่หน้าคอนโด มารับหน่อย”

เคนกดปุ่มวางสายลงแล้วเดินออกจากห้องเพื่อไปเปิดประตูรับชลเข้ามาในตึก ชลเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี เขาอายุ 32 ปีแล้ว และยังดูแลตัวเองอยู่เสมอ เคนมีลูกพี่ลูกน้องหลายคน แต่มีแค่ไม่กี่คนที่เขาได้เจออยู่บ่อยๆ ชลกับน้องของเขาที่ชื่อว่า ชาย คือคนที่เคนและโทรุเคยสนิทสนมด้วยตั้งแต่เด็ก​

ครอบครัวฝั่งแม่ของเขาเป็นตระกูลผสมไทย-จีน​ และมีวัฒนธรรมกับค่านิยม​แบบจีนที่ค่อนข้างเข้มงวดและหัวโบราณ จึงทำให้ชีวิตของแม่ที่เป็นลูกสาวคนเดียวไม่ง่ายเท่าไหร่นัก แม่ของเคนมีพี่ชายหนึ่งคน และน้องชายอีกสามคน ชลกับชายคือลูกชายของพี่ชายของแม่ หรือก็คือลุงของเคน พวกเขาอายุห่างกันไม่มาก และแม่ก็เคยเป็นคนที่ช่วยดูแลกิจการที่บ้านมาตลอดร่วมกับพี่ชายคนโต แม้จะย้ายไปอเมริกาแล้ว แต่สองครอบครัวนี้ก็ยังค่อนข้างแน่นแฟ้นกันมากกว่ากับครอบครัวของน้องชายแม่คนอื่นๆ นอกจากนั้น ชลกับชายยังเคยไปเรียนภาษาและไปเที่ยวที่อเมริกาบ่อยกว่าหลานคนอื่นๆ ในตระกูล จึงทำให้พวกเขาได้ติดต่อกันเรื่อยมา

“เป็นยังไงบ้าง วันนี้” ชลทักขึ้นหลังจากที่เคนเปิดประตูให้เขา

“ก็โอเค ว่าแต่วันนี้มาเรื่องอะไร ทำไมไม่เห็นบอกก่อนว่าจะมา”

“ก็ไลน์ไปบอกแล้วนี่”

“ผมไม่ค่อยใช้ไลน์”

“ใช้ซะ ที่ไทยเราใช้โปรแกรมนี้กัน ไม่ใช่ว็อทส์แอป”

“สรุปมีธุระอะไร”

“เดี๋ยวไปนั่งในห้องก่อนแล้วค่อยคุยกันก็ได้”

เคนไม่พูดอะไร แต่เดินนำชลไปยังห้องของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะจ่ายเงินค่าเช่ารายเดือนให้กับชล แต่เขากลับไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าห้องนี้เป็นของเขา แต่ปัญหาของเขาคือยังไม่รู้ว่าจะอยู่ที่ไทยนานขนาดไหน และจะทำงานอะไร ดังนั้นการเช่าห้องต่อจากลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่เขามีในตอนนี้

หลังจากปิดประตูห้องลง เคนก็หันไปหาชล

“เดี๋ยวบ่ายๆ จะออกไปซื้อของนะ บอกมาสักทีว่าที่มานี่ มีธุระอะไร”

“อ้าวเหรอ จะไปไหนล่ะ เดี๋ยวไปส่ง”

“ไม่ต้องหรอก”

“แน่ใจเหรอ” ชลเขยิบเข้าไปหาเคนจนทั้งคู่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ “ไม่เห็นต้องทำตัวเหินห่างขนาดนั้นเลย”

ชลวางมือลงบนเป้ากางเกงของเคนแล้วขยับมือขึ้นลงเบาๆ

เคนนิ่วหน้า “คุณรู้ใช่มั้ยว่าผมสามารถหักแขนคุณเป็นสองท่อนได้ง่ายๆ”

“และผมก็รู้ว่าคุณจะไม่ทำแบบนั้น” ชลยังคงลูบไล้กลางลำตัวของเคนอยู่ เขาขยับตัวเข้าไปเพื่อไซ้คอของเคน

“หยุดเลย” เคนผลักชลออก “ผมไม่มีอารมณ์”

“ไม่ได้แปลว่าไม่อยากทำกับผมสินะ” ชลยิ้ม

“ผมไม่อยากทำแบบนั้นกับคุณ” เคนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เมื่อก่อนเรายังเคยเล่นด้วยกันบ่อยๆ เลย ทั้งคุณแล้วก็โท…”

“หยุด!” เคนคว้าต้นแขนของชลแล้วบีบแน่น “ถ้าไม่อยากเจ็บตัว อย่าพูดถึงโทรุแบบนั้นอีก” เขาพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษด้วยน้ำเสียงดุดัน

ก็ได้ ก็ได้” ชลถอยกลับ “ผมแค่อยากช่วยให้คุณผ่อนคลายลงบ้างเท่านั้นเอง”

ชลเป็นไบเซ็กชวล และสมัยพวกเขาเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นใหม่ๆ พวกเขาก็เคยเล่น… เคยสำรวจความชอบทางเพศด้วยกัน และนั่นก็รวมไปถึงโทรุด้วย ครั้งแรกที่ทั้งสามคนเคยมีอะไรด้วยกันเป็นตอนพวกเขาอยู่ชั้นมัธยมต้น และครั้งสุดท้ายคือตอนเคนกับโทรุอยู่เกรด 11 เคนยังคงคิดว่ามันคือความผิดพลาดที่พวกเขาทำสมัยเด็กและนึกเสียใจที่ทำลงไปจนถึงทุกวันนี้ โทรุเองก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้นกับชลเช่นกัน ตอนนั้นเคนกับโทรุเพิ่งคืนดีกันได้ไม่ถึงปีหลังจากที่ทะเลาะกันครั้งใหญ่ เป็นช่วงที่เคนกับโทรุรู้สึกผูกพันลึกซึ้งต่อกันและกันมากแล้วและไม่ได้ต้องการให้ใครเข้ามาแบ่งปันช่วงเวลาสนิทสนมกันเช่นนั้นอีกต่อไป เว้นก็แต่ชลที่ดูจะไม่คิดเช่นนั้น เขาดูจะติดใจการได้เล่นสนุกกับฝาแฝดผู้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขามาก และยังคงพยายามจะทำเช่นนั้นอีกจนถึงปัจจุบัน

“ผมเคยบอกคุณแล้วไงว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก” เคนพูด “สิ่งที่เราเคยทำมันเป็นแค่เรื่องสมัยเด็กเท่านั้น เป็นเพราะฮอร์โมนและความอยากรู้อยากลอง ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น”

“นี่ก็ฮอร์โมน” ชลยื่นมือออกไปจะจับเป้ากางเกงของเคนอีกครั้ง แต่หนนี้เขาถูกปัดมือออกอย่างแรง

“สรุปที่มานี่แค่เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม”

ชลเดินไปที่โซฟาและนั่งลง “เปล่า แค่จะมาบอกข่าวเรื่องอากง”

“ตาน่ะเหรอ มีอะไร”

“เมื่อคืนอาการทรุดลงอีก ตอนนี้พวกผู้ใหญ่ก็เริ่มคุยกันแล้วว่าอาจจะต้องเริ่มทำใจ”

ตาของเขาป่วยเป็นโรคไตและรับการรักษามาหลายปี แต่ในช่วงไม่กี่เดือนให้หลังมานี้ สุขภาพของเขาเริ่มแย่ลงเยอะ เป็นเพราะด้วยอายุและร่างกายที่เริ่มรับการรักษาต่อไปไม่ไหวแล้ว

“แม่ผมรู้หรือยัง”

“เย็นนี้ป๊าผมน่าจะโทรไปบอก”

“โอเค…”

“ไม่นั่งเหรอ”

เคนส่ายหน้า “แล้วมีอะไรอีก”

ชลยักไหล่ “แค่นั้นแหละ”

“ถ้าแค่นั้นโทรมาก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องมาถึงที่นี่”

ชลเงยหน้าขึ้นมองเคน เขายิ้มออกมาน้อยๆ และมองเคนด้วยแววตาที่ต่างกับเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง “ผมรู้คุณไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่นัก แต่…”

เคนเห็นสีหน้าของชลแล้วชะงักไปเล็กน้อย

ชลลุกขึ้นยืน “ที่ผมมาที่นี่ก็เพราะผมเป็นห่วงคุณจริงๆ แต่ถ้ารบกวนคุณมากเกินไป ผมก็ขอโทษและขอตัวกลับก่อนแล้วกัน” ชลเดินไปใส่รองเท้าที่หน้าประตู

เคนหันกลับไปหาญาติผู้พี่ของเขา แต่ก็ไม่ได้หยุดชลเอาไว้ไม่ให้ออกจากห้องไป

ผมไม่ได้เกลียดคุณหรอกนะ” เคนพูดออกไปเป็นภาษาอังกฤษ

ชลหันหน้ากลับมายิ้มให้เคนอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูห้องออก “มีอะไรให้ช่วยก็โทรมาล่ะ แล้วเจอกัน”

เสียงประตูห้องปิดลงพร้อมความรู้สึกปั่นป่วนและหนักอึ้งในอกที่เพิ่มพูนขึ้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-11-2020 14:29:45 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
เรื่องเริ่มคลายปมมาเรื่อยๆ
มาต่อบ่อยๆนะครับ อย่าทิ้งกันไป
ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 10

เคนเพิ่งค้นเจอจากอินเทอร์เน็ตว่าสาเหตุที่วันนี้เขารู้สึกหดหู่มากกว่าปกติเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ทำปฏิกิริยากับยาจริงๆ เขาออกไปเดินเล่นที่พารากอนโดยใช้รถไฟฟ้าในการเดินทาง หวังว่าการกิจกรรมบางอย่างและได้อยู่ท่ามกลางผู้คนคงจะทำให้เขาลืมความฟุ้งซ่านในใจไปได้บ้าง ขณะเดินดูข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องซื้อเพิ่ม เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าคงจะต้องรื้อฟื้นทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยเสียใหม่ แน่ล่ะว่าเขาเคยอ่านและเขียนไทยได้ แต่นั่นมันตั้งแต่สมัยเขาอยู่ประถมเท่านั้น ความสามารถในการอ่านและเขียนภาษาไทยของเขาในตอนนี้จึงแทบไม่ต่างจากเด็กอายุ 10 ขวบ ยิ่งบวกกับการที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นหลักมานับสิบๆ ปี จึงทำให้เขาลืมการสะกดคำไปเยอะมาก จู่ๆ เมื่อคิดว่าอยากจะเรียนภาษาไทยใหม่อีกครั้ง เขาก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นและกระตือรือร้นขึ้นมา เคนถึงกับไปเลือกซื้อหนังสือพร้อมซีดีสำหรับฝึกภาษาไทยสำหรับชาวต่างชาติมาเล่มหนึ่งด้วยซ้ำ

น่าแปลกที่การมีเพียงเป้าหมายเล็กๆ อย่างการฝึกฝนภาษาไทย ก็เริ่มทำให้เคนรู้สึกอยากตายน้อยลงได้

หลังเสร็จจากร้านหนังสือ เขาเดินลงไปที่ชั้นใต้ดินเพื่อเลือกดูอาหารและขนมที่จะซื้อติดกลับไปห้องของภูวาในคืนนี้และได้ของติดมือมาเล็กน้อย

“เคน!”

เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน เคนหันไปมองว่าใครที่เรียกชื่อของเขา เพื่อนคนหนึ่งของเขาวิ่งเข้ามาหาเคนด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“เฮ้ย! มาอยู่ที่นี่ได้ไงวะเนี่ย มาไทยตั้งแต่เมื่อไหร่”

เคนกลับไทยมาได้เดือนกว่าแล้ว แต่เขาไม่ได้บอกเพื่อนที่ไทยเลยว่าเขากลับมาที่นี่ เหตุผลก็เพราะเขายังไม่ค่อยอยากพบเจอใครนั่นเอง

คนที่ทักเขาชื่อเจ น่าจะเป็นเพื่อนของเพื่อนของเขาอีกที หรือรู้จักกันผ่านชล หรือเคยเจอกันที่ปาร์ตี้แห่งหนึ่ง หรืออะไรสักอย่างนี่แหละ เขาเองก็จำไม่ได้ แต่ในยุคนี้ที่คุณสามารถมีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นได้ทุกวินาที และสามารถตามหาเพื่อนเก่าที่เคยห่างหายไปจากชีวิตนับสิบปีได้ภายในไม่กี่คลิก เคนก็เลิกจำไปแล้วว่าเขารู้จักใครจากไหนและเพราะอะไร เคนเคยเจอกับเจอยู่ 2-3 หน และแน่นอนว่าตอนนี้พวกเขาก็เป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คด้วย แต่เคนไม่ใช่คนชอบเล่นโซเชียลมีเดียนัก เขาไม่ได้อัปเดตหน้าโปร์ไฟล์ของเขามาหลายเดือนมากแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เขาโพสต์บางอย่างลงไปนั้นน่าจะเป็นตั้งแต่ตอนที่เขาโพสต์เรื่องงานศพของโทรุ แล้วหลังจากนั้นเขาก็หมดความสนใจในการติดต่อพูดคุยหรือรับความสงสารเห็นใจจากใครผ่านตัวหนังสือดิจิทัลบนโลกสังคมออนไลน์ไปเลยอย่างสิ้นเชิง

“ไง เจ” เคนยื่นมือออกไป

เจจับมือเคนเขย่าแรงๆ ก่อนจะดึงตัวของเขาเข้าไปกอดหนึ่งที “เฮ้ย เซอร์ไพรส์มากเลยเนี่ย เราไม่ได้คุยกันมานานมากเลยนะ สบายดีมั้ย นี่มาเที่ยวเหรอ”

“สบายดี จะว่ามาเที่ยวก็ได้แหละ คงอยู่ที่นี่สักพักนึง” ทุกประโยคที่เขาพูดออกไปล้วนมีแต่คำโกหกทั้งสิ้น

“เออ แนะนำก่อน นี่แฟนเรา หญิง” เจแนะนำผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา ตั้งแต่ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินตรงเข้ามาหาเคน เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าเธอมีหน้าท้องที่ใหญ่โตและท่าเดินที่ดูอุ้ยอ้าย

“สวัสดีค่ะ” หญิงยกมือขึ้นไหว้เคน ทำให้เคนที่กำลังยื่นมือออกไปต้องรีบชักมือกลับเปลี่ยนเป็นรับไหว้ทันที

“สวัสดีครับ สบายดีไหม”

“ดีค่ะ หนักพุงขึ้นทุกวัน แต่ก็สบายดี” หญิงหัวเราะ

เคนหันไปหาเจที่กำลังยิ้มอย่างภูมิใจ สีหน้าของเขาดูมีความสุขมาก “จะเจ็ดเดือนแล้ว แข็งแรงดีทั้งแม่ทั้งลูก”

“ยินดีด้วยนะครับ” เคนตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

“เอาไว้ไปกินข้าวด้วยกันนะ เคน ก่อนกลับเรานัดเจอเพื่อนๆ กันหน่อย ทุกคนคงตื่นเต้นน่าดูที่ได้เจอนายอีกที” เจพูด

ทุกคนนี่ใคร… แล้วทำไมต้องตื่นเต้น’ เคนคิดในใจ แต่ไม่ได้พูดออกไป สิ่งที่เขาพูดออกไปจริงๆ คือ “ได้สิ คงจะดีเหมือนกันที่ได้เจอเพื่อนๆ อีก”

โกหกอีกแล้ว

“เอาเบอร์ที่ไทยมาให้ไว้หน่อย มีเบอร์ไทยแล้วใช่ไหม ใช้ไลน์รึเปล่า นายแม่งตามตัวยากว่ะ ในเฟสบุ๊คก็ไม่ค่อยเห็นตัว ครั้งสุดท้ายที่เจอก็หลายเดือนก่อนแล้ว” เจยื่นมือไปรับโทรศัพท์มือถือของเคนมาจัดการเพิ่มรายชื่อเพื่อนและเบอร์ให้เสร็จสรรพ จากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์มือถือคืนแก่เจ้าของพร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไป รอยยิ้มของเขาหายไปแล้ว “เฮ้ย… เสียใจเรื่องของโทรุด้วยนะ”

โอ้ เขารู้ด้วยเหรอ ไม่สิ เขาก็จำได้ด้วยสินะ

“ขอบใจมาก” เคนตอบกลับ

“แล้วนี่ทำอะไรล่ะ ช็อปปิ้งเหรอ”

เคนพยักหน้า

“โอเค งั้นไม่กวนละ อย่าลืมไว้เรานัดเจอกันหน่อยนะ​ ดูแลตัวเองด้วย มีอะไรให้ช่วยก็เรียกมาได้เลย” เจตบบ่าเคน​ก่อนจะเดินจากไปพร้อมภรรยาของเขา

เคนมองทั้งคู่เดินหายลับไปในฝูงชน หลังถูกนักท่องเที่ยวคนหนึ่งเดินชนจากด้านหลัง เคนถึงได้รู้สึกตัวว่ากำลังยืนขวางทางอยู่ เขาเริ่มออกเดินต่อ ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความคิดต่างๆ มากมาย มือของเขาเริ่มสั่นเทา จู่ๆ ก็รู้สึกหนาวจนขนลุก แต่เหงื่อที่หลังของเขากลับซึมออกมาจนทำให้เสื้อยืดสีขาวเปียกเป็นวง เขาใช้มือข้างซ้ายที่ไม่ได้ถือถุงช็อปปิ้งกำต้นแขนขวาไว้แน่น แน่นจนเล็บจิกลงไปในเนื้อ แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย กลับกัน ร่างกายของเขากลับยิ่งสั่นเทามากขึ้นเรื่อยๆ เหงื่อเม็ดโตเริ่มผุดออกมาบนใบหน้า เขาพยายามสงบสติอารมณ์และสูดลมหายใจเข้าช้าๆ แต่ก็ไม่เป็นผล เขาเดินไปหยุดยืนอยู่ริมข้างทาง พยายามควบคุมสติตัวเองอีกครั้ง แต่มันกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกแย่ น้ำตาของเขากำลังจะไหล แต่เขารู้ว่าเขาร้องไห้ตอนนี้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาเคยอยากร้องไห้แทบใจจะขาดแต่ก็ไม่เคยมีน้ำตาออกมา ทว่าในตอนนี้ที่จู่ๆ น้ำตาของเขามันกำลังจะไหลออกมาเองโดยไม่ต้องพยายาม เขากลับต้องทนฝืนมันเอาไว้ เพราะเขารู้ว่าถ้าหากเขาไม่ยับยั้งตัวเองเอาไว้ล่ะก็ จิตใจของเขาต้องพังและแตกสลายลงเป็นเสี่ยงๆ ลงในตอนนี้และที่นี่ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้อย่างแน่นอน

ความเป็นจริงคือเคนกำลังเกิดแพนิกแอ็ทแท็ก ซึ่งเขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน และเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ความคิดนับร้อยสับสนปนเปอยู่ในหัว เขาทั้งรู้สึกเสียใจ หวาดกลัว โกรธ น้อยใจ ไร้ค่า รำคาญ เกลียดชัง และอื่นๆ อีกมากมายที่ล้วนเป็นความรู้สึกด้านลบ เขาไม่รู้จะบรรยายมันออกมาเป็นคำพูดอย่างไร ให้ตายเถอะ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่และทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ เขาคิดแค่ว่าเขาอยากตาย เขาไม่มีค่าเลย ไม่มีคนรัก ไม่มีใครห่วงใยเขา เขาคิดแค่เขาอยากตามไปอยู่กับโทรุ เขาไม่อยากต่อสู้ตามลำพังอีกต่อไปแล้ว เขาอยากร้องไห้ อยากร้องไห้จนหมดสติ อยากทำร้ายตัวเอง อยากเดินไปคว้ามีดของร้านอาหารที่อยู่แถวนั้นมาเสียบเข้าที่หน้าอกของตัวเองให้จบทีเดียวรู้แล้วรู้รอด แต่ส่วนเล็กๆ ในสัมปชัญญะของเขาก็กำลังต่อสู้อย่างเต็มที่ มันบอกให้เขาสู้ ให้เขาอดทน มันบอกเขาว่านี่เป็นผลจากการที่เขาดื่มแอลกอฮอลเมื่อคืน ไม่ได้เป็นความผิดของเขา แต่เสียงๆ นั้นก็ช่างแผ่วเบาเสียเหลือเกิน มันไม่สามารถทำให้เคนหยุดความคิดดำมืดเหล่านั้นได้ และไม่เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายของเขาหยุดสั่นเทา เขาพยายามต่อสู้ในสนามรบที่เขารู้ว่าจะไม่มีวันชนะ

เลือดเริ่มไหลซึมออกมาจากบริเวณที่เล็บของเขาจิกลงบนต้นแขน

เคนค่อยๆ เลื่อนตัวลงนั่งยองๆ และวางถุงชอปปิ้งลงบนพื้น เขาเหลือบไปเห็นกล่องใส่ขนมเค้กที่เพิ่งซื้อมา

เขาต้องกลับบ้าน เขาบอกตัวเอง เขาต้องรีบไปจากที่นี่ เขาต้องการยา

เคนคว้าถุงทุกใบขึ้นแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังบันไดเลื่อนและมุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าให้เร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ เขาคิดว่าการเรียกแท็กซี่จากพารากอนไปคอนโดน่าจะช้ากว่าการขึ้นรถไฟฟ้ามาก เขาพยายามอย่างมากในการควบคุมตัวเองไม่ให้ร้องไห้และพยายามแสดงสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด โชคดีที่คอนโดอยู่ห่างจากสยามแค่ไม่กี่สถานี หลังออกจากสถานี เขาก็รีบเดินตรงเข้าคอนโดทันที อาจจะเป็นโชคดีที่เขาไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ไปห้างแห่งนั้น เพราะเขาไม่แน่ใจจริงๆ ว่าตัวเองมีความสามารถพอจะขี่รถกลับได้

ทันทีที่กลับถึงห้อง เขาก็รีบพุ่งตัวไปที่เคาน์เตอร์หัวเตียงแล้วโยนยาทรานเมดสามเม็ดกับลอราซีแปมอีกสองเม็ดเข้าปากแล้วดื่มน้ำตามด้วยมือที่สั่นเทา จากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าอยู่ข้างเตียง เขากำลังกลัว แต่มันไม่ใช่ความกลัวแบบที่เขาเคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองสามารถรู้สึกแบบนี้ได้ หรือแม้กระทั่งว่ามันมีความรู้สึกหวาดกลัวแบบนี้อยู่ในโลกด้วย มันเลวร้ายยิ่งกว่าตอนที่เขาต้องออกรบในสงครมเสียอีก

ความกลัวที่ไม่รู้กระทั่งว่าตัวเองกลัวอะไร และความดำมืดในใจที่ปรากฎเป็นเมวลหมอกสีดำทะมึนจนเขาสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ประมาณ 10 นาทีผ่านไป จิตใจที่ยุ่งเหยิงของเขาก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ที่จริงต้องบอกว่าเขาเริ่มรู้สึกชามากกว่า เขาคลานขึ้นไปบนเตียง ปิดตาลง และค่อยๆ ซุกตัวลงใต้ผ้าห่ม เขาขดตัวและกอดผ่าห่มไว้แน่น หากใครมาเห็นเขาตอนนี้คงต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันแน่ว่าเขาดูเหมือนเด็กคนหนึ่งไม่มีผิด แต่คนพวกนั้นคงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าในใจของเด็กน้อยร่างใหญ่คนนี้มีบาดแผลและบอบช้ำมากแค่ไหน

.
.
.

พายุไม่ตอบไลน์ของเขาเลย นี่เขาทำอะไรผิดอีกหรือเปล่าเนี่ย ต่ออดคิดแบบนั้นไม่ได้ เขาไม่อยากกวนพายุตอนนอน เลยไม่ได้ไลน์ไปหาเมื่อคืน และเพราะรู้ว่าป่วยเลยอยากให้นอนพักเต็มที่ จึงไม่ได้ไลน์ไปหาตั้งแต่เช้าจนกระทั่งบ่าย แต่นี่มันจะห้าโมงแล้ว ทำไมพายุถึงยังไม่ยอมอ่านข้อความของเขาอีก ต่อกระวนกระวายจนทนไม่ไหว​​ เขาไม่อยากให้มันเป็นสิ่งที่เขากลัวเลย

“จะเป็นแบบไหนก็ไม่เอาทั้งนั้นนั่นแหละเว้ย!” เขาบ่นกับตัวเองก่อนจะแต่งตัวและรีบวิ่งลงบันไดบ้าน

“จะไปไหนน่ะ ต่อ” พ่อของเขาที่กำลังตัดแต่งต้นไม้อยู่ที่สวนหน้าบ้านถามขึ้น

“ไปหาเพื่อนครับ” ต่อตอบ

“กลับมาให้ทันกินข้าวเย็นด้วยล่ะ” พ่อของเขาตะโกนตามหลังลูกชายที่ปั่นจักรยานออกไป

เมื่อไปถึงที่คอนโดของพายุ เขาก็ยกมือขึ้นไหว้ทักทายจันทร์ พนักงานรักษาความปลอดภัยที่หน้าคอนโดตามปกติ

“สวัสดีครับคุณต่อ” จันทร์ทำท่าตะเบ๊ะตอบกลับ “มาหาคุณพายุเหรอครับ นัดไว้รึเปล่าครับ”

“เปล่าครับ แค่แวะมาเฉยๆ”

“อ๋อ ผมก็ว่าอยู่ เพราะผมว่าทั้งคุณพายุกับคุณภูวาน่าจะยังไม่กลับมาเลยนะครับ ผมยังไม่เห็นเลย”

“อ้าว ไอ้พายุไม่อยู่เหรอครับ”

“ไม่อยู่ครับ ออกไปเมื่อตอนเที่ยงๆ”

“อ้าว มันไปไหนล่ะเนี่ย ไม่สบายไม่ใช่เหรอวะ” ต่อพูดกับตัวเองเบาๆ

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ออกไปพร้อมคุณภูวานะครับ”

“อ๋อ ครับพี่ ไม่เป็นไร ว่าแต่... พี่จันทร์ ผมบอกพี่หลายหนแล้วนะครับว่าไม่ต้องเป็นทางการกับผมมากขนาดนั้นก็ได้ ไม่ต้องเรียกผมว่าคุณหรอก”

จันทร์ยิ้มตอบกลับ “แล้วนี่คุณต่อไม่ได้บอกคุณพายุไว้เหรอครับว่าจะมา ไม่ทราบเหรอครับว่าเค้าออกไปข้างนอก”

“ไม่รู้อะพี่ พอดีผมแค่เห็นมันไม่ตอบไลน์ เลยแวะมาเฉยๆ อืม…” ต่อลังเล “ถ้างั้นผมกลับบ้านก็ได้”

“ไม่นั่งรอก่อนเหรอครับ”

“เป็นไรครับพี่” ต่อเดินไปเตะขาตั้งจักรยานขึ้นจังหวะเดียวกับที่มีมอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าคอนโดพอดี

“โห น้องไม่มีเศษเลยเหรอ” เสียงของคนขับวินมอเตอร์ไซค์ถามขึ้น

“ไม่มีเลยพี่ มีแต่แบงค์ร้อยเนี่ย”

ต่อเงยหน้าขึ้นมองไปตรงหน้าแล้วยิ้ม ก่อนจะเดินตรงเข้าไปที่วินมอเตอร์ไซค์กับผู้โดยสารคนนั้น

“อะ นี่” เขาควักเศษเหรียญออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นให้พายุ

“เฮ้ย ไอ้ต่อ! มึงมาที่นี่ได้ไงเนี่ย”

“กูก็ขี่บิ๊กไบค์กูมาน่ะสิ” เขาชี้ไปทางจักรยานที่จอดอยู่ข้างป้อมยาม

“จากบ้านมึงเนี่ยนะ​ อันตรายนะเว้ย​ ทำไมไม่ขึ้นรถไฟฟ้า!”

“เป็นห่วงกูเหรอ” ต่อยิ้ม

“ไอ้ควาย​ เพ้อเจ้อ”

“จ่ายเงินพี่เค้าซะก่อน​ แล้วว่าแต่มึงนั่นแหละ ไปไหนมา ทำไมไม่ตอบไลน์กู ไหนว่าไม่สบายไง หายแล้วเหรอ​ เสียงยังฟังดูไม่ค่อยดีเลยนะ”

“มาเป็นชุดเลยนะมึง​ ค่อกๆ!” พายุหน้าแดงขึ้นทันทีหลังจากที่หลุดไอออกมา​ เขาหยิบเหรียญจากฝ่ามือของต่อยื่นให้คนขับมอเตอร์ไซค์ จากนั้นก็หันกลับไปหาเพื่อนของเขา “กูไปซื้อของกับพี่ภูมา ลืมมือถือไว้ที่ห้อง โอเคยัง… อะแฮ่ม​” เขาเคลียร์ลำคอเบาๆ เพราะเสมหะ

“ถ้ายังไม่หายป่วยทำไมไม่นอนพักอยู่ห้องวะ”

“ยุ่งจังวะ ว่าแต่มึงมาทำไรที่นี่เนี่ย”

“ก็เห็นไม่ตอบไลน์ เลยแวะมาดู”

“ดูอะไรวะ” พายุขมวดคิ้วสงสัย

ต่อหันไปมองจันทร์ก่อนจะดันตัวพายุให้เดินห่างออกจากจุดที่ยืนอยู่เล็กน้อย เพราะไม่อยากให้จันทร์ได้ยินสิ่งที่เขากำลังจะพูด

“กูกลัว โอเคปะ”

“กลัวอะไร” คิ้วของพายุยังคงขมวดเป็นปมอยู่

“กลัวมึงป่วยหนักจนตอบมือถือไม่ได้ กลัวว่ามึงเป็นหนักถึงขั้นต้องไปนอนโรงพยาบาลอะ”

สีหน้าของต่อบอกพายุว่าเขาไม่ได้กำลังล้อเล่น ทำให้เขาพูดอะไรไม่ถูกทันที

“โอ๊ย โอเวอร์จังวะมึงเนี่ย”

ต่อไม่ตอบ แม้ว่าคำพูดนั้นของพายุจะทำเขาเจ็บ แต่เขาก็ไม่อยากแสดงออก ทว่ากลับเป็นพายุเองที่รู้สึกผิดกับคำพูดของตัวเอง

“ต… แต่ถ้ามึงกลัวว่ากูป่วยหนักขนาดนั้น มาที่นี่แล้วมันจะช่วยอะไรได้วะ ถ้าสมมติกูป่วยหนักจริง พอมึงมาถึงกูก็ต้องแบกร่างลุกมาเปิดประตูให้มึงอยู่ดี​อะ หรือถ้ากูไปโรงพยาบาลจริงๆ ก็จะไม่มีคนออกมารับมึงเลยนะ”

“กูแค่คิดว่ามันดีกว่ากูไม่ทำอะไรเลย อีกอย่างพี่จันทร์เค้าอาจจะพอรู้ก็ได้ว่ามึงออกไปไหนหรือเปล่า”

“มึงรู้ชื่อพี่ยามด้วยเหรอเนี่ย”

“เออ พี่เค้าชื่อ ‘พระจันทร์’ เลยนะเว้ย เท่ปะ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น มันมีอย่างอื่นที่กูกลัวมากกว่าอีก”

“อะไรวะ”

ต่อลังเลครู่หนึ่งว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่​ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะบอกกออกไป​ “กูกลัวว่ากูทำอะไรไม่ดีลงไปแล้วทำให้มึงโกรธจนไม่อยากรับสายกู ไม่อยากคุยกับกูอีกอะ…” เขาพูดเบาๆ พร้อมใบหน้าที่แดงก่ำ

จนถึงตอนนี้พายุก็หน้าแดงแล้วด้วยเหมือนกัน

“เข้าใจยังว่ากูกลัว​ และจะเป็นแบบแรกหรือแบบหลัง​ กูก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นทั้งนั้น​แหละ”

พายุไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไร​ จึงเกิดความเงียบขึ้นระหว่างเด็กทั้งสอง

“อ้าวต่อ” เสียงของภูวาดังขึ้น

เด็กทั้งสองสะดุ้งและหันขวับไปมองยังภูวาที่กำลังเดินตรงเข้ามาทันที พวกเขาต่างก็ไม่ได้ยินเสียงของมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งเข้ามาส่งภูวาเลยสักนิด

“มาทำอะไรที่นี่ นัดไอ้พายุไว้เหรอ” ภูวาถาม

“ป… เปล่าครับ ก็ไม่เชิงอะครับ”

“ไม่เชิงห่าอะไรล่ะ ไม่ได้นัดเลยต่างหาก” พายุพูด

“ก็มึงไม่ตอบไลน์กูอะ…”

ภูวามองดูหน้าเด็กหนุ่มทั้งสองคนแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ “ไหนๆ ก็มาแล้ว ขึ้นห้องไปกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนสิ วันนี้พี่จะทำกับข้าวให้เพื่อนพี่อีกคนกินพอดี”

พายุตาโต “เฮ้ย ไม่ดีมั้งพี่ภู ไอ้ต่อมันต้องรีบกลับบ้าน แล้วเราซื้อของมาไม่พอกินสี่คนหรอกมั้ง”

“เพ้อเจ้ออะไรวะ ซื้อมาตั้งเยอะแยะ กินกันแค่สามคนไม่น่าหมดด้วยซ้ำ” ภูวาหันไปหาต่อ “ไปเถอะ ขึ้นห้องกัน ไปช่วยพี่ทำกับข้าวหน่อย”

ต่อชักเริ่มคิดแล้วว่าภูวาน่าจะรู้อะไรบางอย่าง ถึงได้มีรอยยิ้มแบบนั้นให้เขา เขารู้สึกเขินขึ้นมา เขินมากด้วย แต่ถ้าพี่ชายของคนที่เขารักฝ่ายเดียวอยู่ข้างเขาและคอยช่วยเหลือเขาแบบนี้แล้วล่ะก็ เขาจะไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ก็คงโง่น่าดู

“ปะ พี่ภู วันนี้ทำไรกินบ้างครับเนี่ย มีอะไรให้ต่อช่วยได้บ้าง”

“ที่จริงพี่เองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจแน่นอนเลยนะ ซื้อมาเผื่อๆ ไว้เพียบเลยเนี่ย” ภูวาออกเดินไปพร้อมกับต่อพลางบอกเขาไปด้วยว่าเขาซื้ออะไรมาบ้าง

“เฮ้ย รอด้วยดิ​! แค่กๆๆ! โอ๊ย! กูนี่ก็ไอจังวะ!” พายุรีบเดินตามทั้งสองคนเข้าไปในตึก

ในขณะที่พวกเขาสามคนเดินผ่านห้องของเคน ภูวาก็เหลือบมองที่ประตูห้องของเคนแล้วนึกสงสัยว่าเขาจะอยู่ห้องหรือเปล่า

“อะไรเหรอพี่ภู” ต่อถามขึ้น

“อ๋อ เปล่าหรอก” ภูวาหันกลับ “แค่นึกสงสัยว่าพี่เคนเขาอยู่ห้องรึเปล่าน่ะ”

“คนที่จะมากินข้าวคืนนี้นั่นแหละ” พายุบอกต่อ

“อ๋อ พี่เค้าเป็นเพื่อนบ้านเหรอ”

“ใช่ครับ” ภูวาพยักหน้า

.
.
.

เคนตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ เขาทั้งรู้สึกปวดหัวและมึนหัวเพราะฤทธิ์ของยาและการที่นอนไม่พอ เขาสะบัดผ้าห่มที่เปียกชุ่มด้วยเหงื่อของเขาออก และคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเบอร์คนที่โทรเข้ามา

“ฮัลโหล ครับแม่” เคนรับสาย

“ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น เคน ไม่สบายเหรอ” ผึ้ง แม่ของเขาถาม

“เปล่า เพิ่งตื่น” เคนตอบ

“อ๋อ ยังเจ็ทแล็กเหรอ”

“แม่ ผมมาอยู่นี่ได้เดือนนึงแล้วนะ ไม่เจ็ทแล็กแล้ว” เคนขยี้หัวตัวเอง

“เออ นั่นสินะ แม่คิดถึงเคนจังเลย เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้คุยกันตั้งเกือบอาทิตย์นึงแล้วนะ”

“ผมโอเค ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ว่าแต่แม่เป็นยังไงบ้าง ผมว่าจะโทรหาอยู่พอดี ชลบอกผมเรื่อง แกรนด์พา แล้วนะ”

“ไม่ต้องทำน้ำเสียงแบบนั้นหรอก แม่โอเค สบายมาก” น้ำเสียงของผึ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เดี๋ยวแม่คงต้องไปเยี่ยมตาที่ไทย และจะพาพ่อเราเค้าไปด้วยแหละ”

ปกติแม่ของเคนเป็นผู้หญิงที่มีพลังงานสูง เป็นคนขยัน ว่องไว และมีอารมณ์ดีเสมอ ไม่ว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับความเครียดและสถานการณ์ยากลำบากมากขนาดไหน เธอก็จะยังคงแสดงด้านที่เข้มแข็งของตัวเองออกมาพร้อมรอยยิ้มเสมอ สิ่งๆ นั้น และนิสัยอีกหลายๆ อย่าง คือสิ่งที่ทำให้พ่อของเคนตกหลุมรักเธอ

แต่ไม่ว่าผึ้งจะพยายามเข้มแข็งมากแค่ไหน เคนก็ยังคงจับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อสักครู่ได้

การเพิ่งสูญเสียลูกชายไปคนหนึ่งเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และตามมาด้วยการกำลังจะสูญเสียพ่อไปอีกคน มันดูโหดร้ายเกินไปจริงๆ
เคนนึกถึงตัวเองขึ้นมา เขาเข้มแข็งได้ไม่เท่าเศษเสี้ยวหนึ่งของแม่เลย มันทำให้เขารู้สึกละอายเหลือเกิน

“แม่ ผม…”

“หยุดเลยเคน” ผึ้งพูดขัดขึ้น “แม่ไม่อยากได้ยินคำๆ นั้นแล้ว เคนไม่ได้ทำอะไรผิด ต้องให้แม่บอกอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจ แม่รักเคนนะลูก แม่อยากเห็นเคนมีความสุข”

“แม่จะบินมาไทยใช่ไหม จะมาตอนไหนครับ” เคนเปลี่ยนเรื่อง

“ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็คงสัปดาห์หน้านั่นแหละ หรือไม่ก็ภายในสองสัปดาห์ พ่อเค้าก็จะลาพักร้อนไปด้วยกันเลย น่าจะอยู่ที่ไทยราวๆ 10 วันนะ”

“ผมคิดถึงแม่นะ”

“แม่ก็คิดถึงเคนเหมือนกัน อะนี่ คุยกับพ่อเค้าหน่อยนะ”

เคนถือสายรอสักพักก็ได้ยินเสียงของพ่อพูดมาเป็นภาษาอังกฤษ

เป็นไงบ้าง ลูกชาย สบายดีมั้ย

ปกติเขาคุยกับแม่เป็นภาษาไทย และใช้ภาษาอังกฤษกับพ่อ พ่อของเคนชื่อแพทริค ถ้าหากแม่ของเขาเติบโตมาในครอบครัวไทยเชื้อสายจีนโดยเป็นลูกผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ต้องต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมหลายๆ อย่างจนทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงเก่งและเข้มแข็ง แพทริคเองก็คงคล้ายๆ กัน ในสมัยก่อน การเป็นลูกครึ่งเอเชียที่เติบโตขึ้นในประเทศอย่างอเมริกาไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ชีวิตของพ่อของแพทริค หรือปู่ของเคนนั้นเต็มไปด้วยบททดสอบมากมาย เขาเป็นทหารอเมริกันที่ไปรบสงครามโลกที่สองที่ญี่ปุ่น พบรักกับสาวพื้นเมืองที่นั่น แต่แน่นอนว่าความรักของทั้งคู่เต็มไปด้วยอุปสรรคและบททดสอบมากมาย กว่าที่ย่าของเคนจะสามารถพาพ่อของเขาย้ายอยู่ที่อเมริกาได้ก็อีกหลายปีให้หลังจากสงคราม การต้องต่อสู้ ดิ้นรน ทั้งเรื่องภาษา วัฒนธรรม สังคม การเหยียดเชื้อชาติ และอื่นๆ ทำให้แพทริคเข้มแข็งและพิสูจน์ตัวเองด้วยการประสบความสำเร็จในสายงานอย่างรวดเร็วตั้งแต่อายุยังน้อย ความเป็นคนอดทน และซื่อสัตย์ต่อทั้งตัวเองและคนรักอันเป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้จากพ่อและแม่ของตัวเองนั้น คือข้อดีที่ทำให้ผึ้งตกหลุมรักแพทริค

ก็สบายดีเท่าที่เป็นได้แหละครับ พ่อล่ะ

ก็เรื่อยๆ นะ นี่ได้ตามข่าวสารการเมืองบ้างไหม รู้ไหมว่าไอ้บ้านั่นมันเพิ่งทำอะไรลงไปอีก” แพทริกหมายถึงประธานาธิบดีของสหรัญอเมริกาคนล่าสุดที่กำลังต่อสู้เพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเองเอาไว้ในช่วงสงครามการเลือกตั้งที่สหรัญอเมริกาในขณะนี้ แพทริคเป็นผู้สนับสนุนเดโมแครต และไม่เคยลังเลที่จะแสดงความคิดเห็นต่อต้านนโยบายของริพับลิกันอย่างสุดโต่ง

พ่อคงไม่ได้อยากคุยกับผมแค่เรื่องการเมืองหรอกใช่ไหม

ก็ใช่ แต่ทำไมล่ะ พ่อจะคุยกับลูกชายตัวเองเรื่องการเมืองหรือดินฟ้าอากาศไม่ได้เลยหรือไง ว่าแต่ที่ไทยเป็นไงบ้าง ร้อนมากไหม บางทีพ่อน่าจะเอาเสื้อกล้ามเบียร์สิงห์ติดไปด้วยนะ

เคนอดยิ้มออกมาไม่ได้ “พ่อมาซื้อที่นี่ก็ได้ เยอะแยะ

เมื่อวันก่อนแม่เค้าบังคับให้พ่อโหลด ‘ไลน์’ มาใช้ เอาไว้ส่งสติ๊กเกอร์คุยกันเวลาพ่อไปทำงาน แม่แกเค้าเสียงตังค์ซื้อสติ๊กเกอร์บ้าๆ บอๆ อะไรไม่รู้ไปตั้งหลายเหรียญแล้วเนี่ย

ไม่ได้ซื้อเยอะขนาดนั้นสักหน่อย! บอกแล้วไงว่าส่วนมากมันโหลดฟรีมาได้ ขี้งกแล้วยังขี้บ่นอีก!” เสียงของผึ้งลอดผ่านเข้ามาในโทรศัพท์

อย่าไปบอกเค้านะ แต่พ่อว่าแม่แกนั่นแหละ ขี้บ่น” แพทริกพูดด้วยเสียงกระซิบ

เคนหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเงียบลงไป พ่อของเขาเองก็ไม่พูดอะไรออกมาเช่นกัน

พ่อครับ… ผมขอโทษ

คิดอยู่แล้วเชียวว่าแกต้องพูดคำนั้น” แพทริกถอนหายใจ

แต่มันเป็นเพราะผม ถ้าผมไม่ตัดสินใจแบบนั้น โทรุก็คงไม่…

เคน

ผมหมายถึงก่อนหน้านั้นด้วย ผมรู้ว่าพ่ออยากให้พวกเรา หรือไม่ก็เราคนใดคนหนึ่งเรียนแบบเดียวกับพ่อ จะได้มาช่วยงานที่บริษัท แต่เป็นเพราะผมตัดสินใจไปเข้ากองทัพ เลยทำให้โทรุต้องทะเลาะกับพ่อเรื่องตอนเลือกสิ่งที่เขาอยากจะเรียน

เคน นั่นมันเรื่องสมัยไหนมาแล้ว ทำไมพูดขึ้นมาตอนนี้ มันมีประโยชน์อะไร” แพทริคตอบ

ผม… ผมก็ไม่รู้… จู่ๆ มันก็คิดถึงเรื่องนั้นและเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่องขึ้นมาเต็มไปหมด ผมเลยต้องกินยาแล้วหลับไปครู่หนึ่งเมื่อกี้” เคนยกมือขึ้นปิดหน้า ฝ่ามือของเขาสั่นเทา

เคน แกต้องปล่อยมือที่กำอยู่นั่นออกนะ” แพทริคพูด “เลิกโทษตัวเองได้แล้ว แกไม่ผิด ไม่มีใครผิดทั้งนั้น พ่อไม่เคยโทษแก และไม่เคยโทษโทรุ แกทั้งสองคนคือลูกชายที่พ่อภูมิใจ

พ่อ… ผมขอโทษจริงๆ” น้ำตาของเคนกำลังจะไหลออกมา

เคน หยุดเถอะ

ผมขอโทษ…

เคนสึกิ แพทริก สเปนเซอร์​ จูเนียร์” แพทริกเรียกชื่อเต็มของเคน “แกคิดว่าแม่กับพ่อโทรหาแกเพื่อฟังแกโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้น่ะเหรอ

เปล่าครับ…

ฟังนะ เคน พ่อรู้ว่ามันยาก แกสองคนเป็นฝาแฝดที่สนิทกันมาก แทบจะเรียกได้ว่ามีวิญญาณดวงเดียวกัน พ่อเสียลูกชายไปคนหนึ่ง แต่แกเสียวิญญาณไปครึ่งนึง และนั่นเป้ช็นสิ่งที่ทรมานมาก พ่อรู้ดี... แต่แกคิดว่าโทรุอยากเห็นพี่ชายของเขาเป็นแบบนี้เหรอ แกคิดว่าแกควรเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นเหรอ เคน

ไม่ครับ…

ถูกต้อง เคน แกจำได้ใช่ไหมว่าชื่อของแกในภาษาญี่ปุ่นมันแปลว่าอะไร

ตัวอักษรนึงแปลว่าแข็งแรง ส่วนอีกคำแปลว่าช่วยเหลือผู้อื่น

ถ้าอย่างนั้นก็ทำตัวให้สมกับชื่อทั้งสองความหมายนั้นซะ” แพทริกพูด “ถึงเวลาที่แกต้องช่วยเหลือตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งได้แล้ว ได้โปรดเถอะ… อย่างน้อยๆ ก็ทำเพื่อพ่อกับแม่ ย่าที่เป็นคนตั้งชื่อให้แก และเพื่อโทรุนะ...

แต่ย่ากับโทรุก็ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว…

แต่พวกเขาอยู่ในใจของเราเสมอ

เคนเงียบไปครู่หนึ่ง เขาอดคิดไม่ได้ว่าทำไมเขาต้องแบกรับความคาดหวังเหล่านี้ด้วย แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป กลับกัน เขาเลือกตอบสิ่งที่จะทำให้พ่อของเขาฟังแล้วสบายใจแทน

แล้วผมจะพยายาม

คำโกหกอีกหนี่งคำ...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2020 11:11:52 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
ขอบคุณที่มาขยายความเพิ่มนะครับ
รอตามตอนต่อไปอย่างจดจ่อครับ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 11


หลังวางสาย เคนดูเวลาแล้วตัดสินใจลุกไปอาบน้ำ เขาควรจะรู้สึกดีขึ้นที่ได้คุยกับพ่อและแม่ แต่ก็ไม่ เขาไม่รู้สึกดีขึ้นเลย เขาแทบไม่แคร์เสียด้วยซ้ำ ที่จริงเขาเกือบจะรู้สึกเบื่อกับการต้องพยายามลืมน้องชายของตัวเองและทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อเห็นแก่พ่อและแม่ด้วยซ้ำไป ก่อนการสูญเสีย เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความคิดแบบนี้ได้มาก่อนเลย แต่นับตั้งแต่โทรุจากไปและเขาจมดิ่งลงสู่ความมืดมิดมากขึ้น เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นแบบนี้มีแต่จะเป็นภาระสำหรับทุกๆ คน และยิ่งทำให้เขาอยากจบชีวิตตัวเองมากขึ้นตามไปด้วย

เขาพยายามสะบัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัวและบอกตัวเองว่าเขาคงต้องใช้เวลา

หลังอาบน้ำเสร็จ เขาก็ได้รับการแจ้งเตือนจากไลน์ ภูวาส่งข้อความมาบอกว่าอาหารใกล้เสร็จแล้ว เคนดูเวลา เกือบหนึ่งทุ่มตรงพอดี​ เขาคว้าขวดไวน์กับถุงขนมที่ซื้อมาติดออกไปด้วย

เขาหยุดยืนที่หน้าประตูห้องของภูวาแล้วยืนนิ่งอยู่แบบนั้นครู่หนึ่ง​ จู่ๆ​ เขาก็นึกไม่แน่ใจขึ้นมาว่าเขาพร้อมจะทำแบบนี้แล้วหรือเปล่า​ แต่เมื่อนึกถึงตอนที่บังเอิญเจอเจเมื่อตินกลางวันขึ้นมา​ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนเขาไม่เคยมีปัญหากับการเข้าสังคมหรือสังสรรค์​กับเพื่อนแบบนี้เลย​ เขาและโทรุเคยออกไปเที่ยว​กับเพื่อนๆ​ พบปะเจอผู้คนไม่รู้จักมากหน้าหลายตาแทบทุกวันหรือทุกคืนเวลาเขากลับมาที่กรุงเทพฯ​ แต่ตอนนี้แค่การกินข้าวกับเพื่อนบ้านยังทำเขาใจสั่นและลังเลได้ขนาดนี้เลยหรือ​ นี่เขากลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

ไม่สิ​ ที่จริงเคนก็รู้ตัวดีว่าตั้งแต่เมื่อไหร่​ แต่เขาแค่ไม่อยากยอมรับมันเท่านั้นเอง

เขาเคาะประตู อีกเพียงอึดใจหนึ่ง ประตูก็เปิดออก แต่คนที่เปิดประตูนั้นไม่ใช่ทั้งภูวาหรือพายุ แต่เป็นเด็กหนุ่มที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

“สวัสดีครับ” เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นยกมือขึ้นไหว้เคน “พี่เคนใช่ปะครับ เข้ามานั่งรอก่อนนะพี่”

“สวัสดีครับพี่เคน” เสียงของภูวาและพายุดังขึ้นพร้อมกัน ภูวายืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ครัว ส่วนพายุกำลังนั่งอยู่ที่โซฟา

“โห พี่เอาอะไรมาด้วยเนี่ย” ภูวาเดินเข้ามาหาเคน

“เอาไวน์มาฝากครับ แล้วก็ซื้อขนมมาให้นิดหน่อย” เคนยื่นของให้ภูวา

“ไม่น่าต้องลำบากเลย” ภูวาหันไปหาเด็กหนุ่มที่เปิดประตูให้เคน “ต่อ มาช่วยพี่เอาของไปวางหน่อยครับ”

“ได้เลยพี่ภู”

“พี่เคน นี่ต่อครับ เพื่อนของพายุ น้องมันบังเอิญมาที่นี่พอดี ผมเลยชวนกินข้าวเย็นด้วยกัน” ภูวาตอบ “พี่โอเคมั้ยครับ”

“แน่นอนครับ” เคนตอบ จากนั้นก็หันไปหาต่อ “ยินดีที่รู้จักนะครับ”

ต่อพยักหน้า “ครับพี่”

“พี่เคนนั่งรอที่โซฟากับพายุก่อนก็ได้ครับ”

“มีอะไรให้พี่ช่วยมั้ย” เคนถาม

“ไม่เป็นไรครับ จะเสร็จแล้วล่ะ พี่นั่งคุยกับไอ้พายุไปก่อนนะ ผมขออีกไม่เกิน 10 นาที”

เคนเดินไปนั่งลงบนโซฟาข้างๆ พายุ “แล้วทำไมเราไม่ไปช่วยพี่เค้าทำอาหารด้วยล่ะ”

“ไอ้พายุอะเหรอ ปอกเปลือกกระเทียมมันยังทำไม่เป็นเลยพี่” ต่อที่ยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัวพูดขึ้นพร้อมหัวเราะ

“น้องชายผมแค่ล้างแอ็ปเปิ้ลเป็นก็เก่งแล้วครับ” ภูวาพูดเสริม

“คร้าบบบบ เข้าขากันดีมาก รุมกูกันเข้าไป ระวังตัวไว้เถอะ โดยเฉพาะมึงน่ะ ไอ้ต่อ” พายุพูด หลังจากนั้นก็เหลือบมองมาที่เคน

พายุไม่เคยคุยกับเคนจริงจังมาก่อน เขายังนึกแปลกใจที่พี่ชายของเขาชวนคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานมากินข้าวที่ห้อง เพราะเขารู้ดีว่าภูวาไม่ใช่คนชอบสังสรรค์เท่าไหร่นัก แต่การที่ภูวาต้องไปนอนที่ห้องของเคนคงทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้นพอสมควร ที่จริงเคนก็เป็นคนหน้าตาดีและดูมีเสน่ห์คนหนึ่ง แต่มีบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาที่ทำให้พายุรู้สึกเกรงๆ อาจจะเป็นเพราะหน้าตาหรือบุคลิกที่ดูขรึม ดูลึกลับ หรืออาจจะเป็นอย่างอื่น ซึ่งพายุเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร

แต่เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เขาเพิ่งคิดว่าเคนมีเสน่ห์งั้นเหรอ ผู้ชายคิดแบบนี้กับผู้ชายคนอื่นมันเป็นเรื่องปกติหรือเปล่าวะ… เขานึกสงสัย

“ไงครับ สบายดีไหม” เคนหันไปถามเด็กหนุ่ม

ดูไปดูมา ถึงแม้จะอายุห่างกันเยอะ แต่พายุก็หน้าคล้ายภูวาอยู่เหมือนกันแฮะ สมกับที่เป็นพี่น้องกัน เขาคิดในใจ

“ก็โอเคครับพี่ ตอนแรกเหมือนจะเป็นหวัดนิดหน่อยแต่ดีขึ้นแล้วครับ” พายุตอบ เขามองหน้าเคนอยู่ครู่หนึ่ง “พี่ภูบอกผมว่าพี่เคยเป็นทหารที่เมกาเหรอครับ”

“ประมาณนั้นครับ เคยเป็น มารีน มาก่อน” เคนตอบ

พายุเอียงคอ “มารีนคืออะไรอะครับ ทะเลเหรอ”

เคนหัวเราะ “พี่ก็ไม่แน่ใจภาษาไทยเรียกอะไร แป๊บนึงนะครับ” เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดกูเกิ้ลหาคำแปลให้พายุ “เนี่ยครับ”

พายุชะโงกหน้าไปอ่าน “นาวิกโยธินเหรอครับ”

“อ้อ ใช่ครับ นาวิกโยธิน สะกดยากเหมือนกันแฮะ คำนี้” เขายิ้มให้เด็กหนุ่ม “ที่อเมริกา กองทัพหลักๆ จะมีอาร์มี มารีน นาวี แอร์ฟอร์ส สเปซฟอร์ส แล้วก็ โคสต์การ์ด ครับ ส่วนพี่เลือกเอ็นลิสต์เข้ามารีนหลังเรียนจบไฮสคูล” เคนตอบ แต่ดูจากสีหน้าของเด็กหนุ่มแล้วก็รู้เลยว่าเขาคงไม่ค่อยเข้าใจแน่ๆ

“แล้วพี่เคยไปรบที่ไหนปะครับ” ต่อที่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกันแล้วรู้สึกสนใจ เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ พายุแล้วถามขึ้น

“เคยครับ” เคนตอบ

เด็กหนุ่มทั้งสองตาโตขึ้นทันที พวกเขาดูสนใจและทำท่าอยากถามอย่างอื่นเพิ่ม

“พายุ ต่อ” ภูวาพูดขัดขึ้นเสียก่อน “อย่าถามอะไรเยอะเสียมารยาทกับพี่เคนครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงตักเตือน “พี่เค้าเคยไปออกรบที่ต่างประเทศ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเหมือนในหนังที่พวกเราเคยดูหรอกนะ คุยเรื่องอื่นดีกว่าครับ”

เคนหันไปมองภูวา ภูวาหันมามองเคนด้วยแววตาแสดงการขอโทษพร้อมยิ้มให้เขาน้อยๆ  นั่นคือสิ่งที่เขาเคยพูดกับภูวาไป แต่เขาไม่คิดว่าภูวาจะใส่ใจกับคำพูดของเขามากขนาดนี้ด้วยซ้ำ

“ไม่ได้พูดเพราะเห็นเป็นเรื่องสนุกสักหน่อย” พายุทำหน้าบึ้ง “แต่คิดว่ามันเท่ดีต่างหาก”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่ไม่ถือ เข้าใจว่าอยากรู้ เอาเป็นว่าพี่เล่าให้ฟังได้เท่าที่เล่าได้แล้วกัน”

“เอาไว้คุยกันตอนกินข้าวเถอะ พายุมาช่วยพี่จัดโต๊ะซิ พี่เคน เชิญนั่งที่โต๊ะกินข้าวได้เลยครับ อาหารเสร็จแล้วพอดี”

พายุกับเคนลุกเดินไปที่โต๊ะกินข้าวพร้อมต่อ เด็กหนุ่มทั้งสองช่วยภูวายกอาหารมาวางลงบนโต๊ะในขณะที่เคนนั่งมอง ภูวาทำอาหารทั้งหมดถึง 5 อย่างด้วยกัน แต่เคนไม่แน่ใจว่าแต่ละอย่างมันเรียกว่าอะไรบ้าง

“น่ากินทั้งนั้นเลยครับ มีอะไรบ้างเนี่ย” เคนถาม

“เอาจริงๆ ผมก็ไม่รู้มันน่าจะเรียกอะไรบ้างครับ เพราะเมนูส่วนมากก็คิดเอง” ภูวาหัวเราะ จากนั้นก็อธิบายอาหารแต่ละจาน “อันนี้เรียกน่องไก่อบสมุนไพรแล้วกัน แต่เป็นสูตรที่ผมมั่วขึ้นมาเอง ผมทอดน่องไก่แล้วอบพร้อมใบมะกรูด ตะไคร้ กระเทียม แล้วก็ข่า ส่วนจานนี้ผมเอาอกไก่มาผัดกับซูกินีแล้วก็ใส่ซอสทาบาสโก อันนี้เรียกกุ้งผัดพริกเกลือมั้ง แม่ผมเคยให้สูตรมา แต่ผมใส่กระเทียมสับเยอะหน่อยแล้วก็ใส่ใบโหระพาในซอสเพิ่มด้วย เวลากินอาจจะเลอะมือนิดนึงนะครับ อันนี้ยอดมะระผัดน้ำมันหอย หาทานได้ทั่วไป ส่วนอันนี้แกงจืดไข่น้ำธรรมด๊าธรรมดาครับ”

เคนไม่เคยรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับอาหารเย็นที่ทำกินกันเองในครอบครัวแบบนี้มานานกี่ปีแล้วนะ เขาหันไปมองภูวาด้วยสีหน้าชื่นชม “ภูวาทำอาหารเก่งมากกกก น่ากินมากๆ มีแต่ของที่พี่ไม่เคยกินทั้งนั้นเลยครับ”

“บ้า จริงเหรอพี่ พูดเล่นน่า อย่างแกงจืดนี่คงเคยกินแน่ๆ ล่ะ” ภูวานั่งลงข้างๆ เคน จากนั้นก็หันไปหาพายุ “พายุ ตักข้าวให้แขกหน่อย”

“ผมพูดจริงๆ นะ อย่างแกงจืดก็ไม่เคยกินแบบที่มีไข่เจียวลอยอยู่แบบนี้เลย”

“จริงดิ ฮ่าๆๆ ผมก็ไม่รู้อะ ผมเคยเห็นบางทีเค้าก็ตีใส่ไข่ลงไปเลยมั้ง แต่ผมชอบเอาไข่ไปเจียวกับหัวหอมใหญ่ก่อน แล้วเอามาหั่นใส่ลงในแกงจืดอะครับ ยังไงก็ลองกินดูก่อนนะ ถ้าอันไหนไม่ถูกปากก็ไม่ต้องฝืนกินนะพี่”

“พี่ว่าน่าอร่อยทุกอย่างเลย กินได้แน่นอนครับไม่ต้องห่วง” เคนตอบ จากนั้นก็หันไปบอกขอบคุณพายุที่ตักข้าวใส่จานให้เขา

“อ้ะ ของมึงตักเองนะ” พายุยื่นโถข้าวให้ต่อหลังจากที่ตักข้าวให้คนอื่นรวมถึงตัวเองเสร็จหมดแล้ว

“โห่ ไรวะ”

“มึงแดกเยอะ มึงตักเองเลย” พายุนั่งลงข้างๆ ต่อ

“เดี๋ยว ไอ้พายุ น้ำล่ะ” ภูาพูดขึ้น จากนั้นก็หันไปหาเคน “พี่เคนดื่มอะไรดีครับ มีน้ำเปล่า น้ำส้ม แล้วก็พวกน้ำอัดลม หรือจดื่มไวน์ที่พี่เอามา”

“ถ้ามีเป๊ปซี่ พี่ขอเป๊ปซี่ก็ได้ครับ”

“กูด้วยนะ ไอ้พายุ” ต่อพูด

“ภูวาจะดื่มไวน์ที่พี่เอามามั้ยล่ะครับ มีที่เปิดไวน์หรือเปล่า” เคนถาม

“เอ่ออ ไม่มีอะครับพี่ พี่จะดื่มมั้ยล่ะ เดี๋ยวผมไปซื้อที่เปิดขวดไวน์ที่เซเว่น” ภูวาตอบ

“เซเว่นมันจะมีเหรอวะ พี่ภู” พายุหัวเราะขณะรินน้ำเสิร์ฟทุกคน “อีกอย่างนะพี่เคน ผมว่าพี่ภูมันไม่ดื่มหรอก  ปกติกินแต่น้ำเปล่าไม่ก็กาแฟ อีกอย่างเมื่อเช้าก็แฮงค์มารอบแล้ว เพราะพี่ภู คอ อ่อน มากกกกก!!”

“จริงเหรอ” เคนเลิกคิ้วขึ้น “คออ่อนเหรอครับ”

ภูวาหน้าแดง “นิดหน่อยครับ ปกติไม่ค่อยดื่มแอลกอฮอล์น่ะ”

“จริงๆ ที่ห้องพี่มีที่เปิดขวดไวน์อยู่ แต่ถ้าไม่ดื่มก็ไม่เป็นไรครับ”

“พี่เคนดื่มได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ พี่อุตส่าห์เอามา”

“ไม่ดีกว่าครับ” เคนส่ายหน้าพร้อมยิ้มให้ภูวา “เอาไว้โอกาสหน้าเราค่อยหาเวลาดื่มกันทีหลังก็ได้”

ขณะกินข้าวเย็น เคนก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวของเขาแบบคร่าวๆ ให้ทั้งสามคนฟัง เขาเล่าว่าปู่ของเขาชื่อวิลเลียม เป็นทหารเหมือนกัน และได้ไปร่วมรบที่ญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปู่ตกหลุมรักสาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือย่าของเคน แน่นอนว่าอุปสรรคความรักของทั้งสองคนมีมากมาย ลูกชายของทั้งสองคนเกิดที่ญี่ปุ่น แต่วิลเลียมต้องกลับมาอยู่ที่อเมริกาก่อนสงครามจบได้ไม่นานเพราะอาการบาดเจ็บโดยทิ้งภรรยาและลูกชายไว้ที่ญี่ปุ่น กว่าเขาจะสามารถพาภรรยาและลูกชายที่ชื่อฮิโรชิมาอยู่ที่อเมริกาด้วยได้ก็อีกพักใหญ่ ฮิโรชิที่ยังเป็นเด็กน้อยต้องเรียนภาษาอังกฤษและปรับตัวอย่างมหาศาลในสังคมตะวันตกที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน ภายหลังเขาเปลี่ยนชื่อเป็นแพทริก ปู่ของเคนร่วมทำธุรกิจกับเพื่อนจนประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ แพทริกคือคนที่ช่วยดูแลกิจการสืบต่อมาโดยเริ่มจากตำแหน่งเล็กๆ ในองค์กร และมาพบรักกับแม่ที่ประเทศไทย แม่ของเขายกกิจการครอบครัวให้พี่น้องคนอื่นดูแลแทนแล้วไปแต่งงานกับพ่อของเขาที่อเมริกา เมื่อเเคนกับน้องชายของเขาโตขึ้น พวกเขาก็ถูกคาดหวังว่าจะมาช่วยพ่อดูแลธุรกิจต่อ แต่เคนไม่ต้องการทำเช่นนั้น เขาตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพแทน เช่นเดียวกับน้องชายของเขาที่ตัดสินใจเข้าเรียนมหาวิทยาลัยในคณะที่ตัวเองต้องการ ไม่ใช่คณะที่พ่อของเขาคาดหวัง

เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ความสนใจของทุกคนก็กลายไปตกอยู่ที่เรื่องเกี่ยวกับโทรุทันที เคนเลี่ยงที่จะพูดถึงน้องชายของเขา และเริ่มเล่าเรื่องประสบการณ์ของการฝึกทหารที่ค่ายและตอนถูกส่งตัวไปอัฟกานิสถานครั้งแรกแทน เด็กหนุ่มทั้งสองคนมองเคนด้วยแววตาเป็นประกายแสดงความชื่นชม แต่ในขณะเดียวกัน แม้ภูวาจะรู้สึกเช่นเดียวกับเด็กทั้งสอง แต่บางครั้งเขาก็อดมองเคนด้วยสายตาที่ซ่อนความสงสัยเอาไว้ไม่มิดไม่ได้

เขาดูออกว่าเคนกำลังพยายามปกปิดเรื่องของน้องชายอยู่ แต่เขาไม่รู้ว่าทำไม

เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าและอาหารตรงหน้าก็ถูกจัดการจนเกลี้ยงหมดแล้ว ในขณะนี้ภูวากำลังเอาเค้กและขนมอื่นๆ ที่เคนซื้อมาจัดใส่จานเพื่อเสิร์ฟ

“ขอโทษที่บางช่วงต้องใช้ภาษาอังกฤษนะครับ ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทย และไม่ค่อยได้คุยอะไรยาวๆ แบบนี้ บางทีก็ลืมๆ เหมือนกัน” เคนพูดขึ้น

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ดีซะอีก ให้เด็กสองคนนี้มันฝึกภาษาบ้าง” ภูวาบอก

“ฟังดูแล้วทหารที่เมกากับที่บ้านเราแม่งโคตรต่างกันเลยอะ” ต่อพูดขึ้น “มึงว่าปะ พายุ”

“ต่อ…” ภูวาทำเสียงเตือน

“ไม่ๆ พี่ภู ต่อหมายถึงเรื่องการดูแลจากรัฐบาล เรื่องเงิน เรื่องการฝึก ไรงี้อะ แบบที่พี่เคนบอกอะ เป็นทหารแล้วยังได้เรียนด้วย ได้เงินเดือนด้วย ของที่ไทยนี่ต้องผ่อนผันไปเรียน ไม่ก็เป็นทหารไปเป็นขี้ข้านาย เรียนก็ไม่ได้เรียน เงินเดือนก็ไม่กี่ตังค์ แถมโดนไถอีก ตดใส่ทีเดียวแบงค์ที่เหลือก็ปลิวหายไปหมดแล้ว จริงปะ”

เคนหัวเราะเพราะประโยคสุดท้าย

“เงินเดือนพี่มันก็ไม่ได้เยอะหรอกครับ แต่อยู่นู่นมันแทบไม่ได้ใช้เงินเลย แล้วพี่ก็ปฏิเสธไม่ได้ด้วยว่าพี่เก็บเงินมาตั้งแต่ยังเด็ก พ่อกับแม่พี่บังคับให้พี่ทำงานหาค่าขนมมาตั้งแต่เรียนประถมแล้ว” เคนบอก นั่นไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็เป็นความจริง

“แต่ถึงค่าเงินมันจะต่างกันเยอะ ถ้าพี่เก็บเงินขนาดซื้อบิ๊กไบค์ได้นี่ผมว่าไม่ธรรมดานา” ภูวาพูด

“พี่ขี่บิ๊กไบค์เหรอ” พายุตาโต “โคตรเท่เลย”

“มันไม่ใช่เงินจากงานที่เคยทำกับเงินเดือนอย่างเดียวหรอกครับ พี่ขายรถกับมอเตอร์ไซค์คันเก่าที่อเมริกาแล้วเอาเงินมาซื้อคันใหม่ที่นี่นี่แหละ ซึ่งมอเตอร์ไซค์คันนั้นก็เป็นคันที่พี่กับน้องชายหารเงินกันซื้อหลังจากที่พี่เป็นทหารได้สามปีแล้ว...” โอ๊ะ เขาเริ่มกลับไปพูดถึงโทรุอีกแล้ว “แต่ก็นั่นแหละครับ ตอนแรกว่าจะเอาเงินไปเที่ยวหลายๆ ประเทศ แต่สุดท้ายก็มาจบอยู่ที่ไทย แต่ตอนนี้เงินใกล้หมดแล้วล่ะ คิดว่าต้องรีบหางานแล้ว ไม่งั้นได้ชายมอเตอร์ไซค์ทิ้งแน่” เคนหัวเราะเบาๆ

“เป็นเทรนเนอร์มั้ยพี่ หุ่นแบบพี่ สบายแน่” ต่อเสนอ “แต่สอนผมฟรีนะ”

“ไอ้ควาย” พายุหันไปแหวใส่ต่อ จากนั้นก็หันไปหาเคน “ไปเป็นนายแบบพลางๆ มั้ยพี่ หน้าตาพี่ หุ่นพี่ ผมว่าขายได้”

“ทำไมจู่ๆ มึงพูดจาเหมือนแมงดาวะ” ต่อหันไปหาพายุ

“แมงดาพ่อง มึงสิแมงกะจั๊ว”

“กะจั๊วแม่งสิ มึงนั่นแหละไอ้กระเจี๊ยว”

“กระเจ…”

“พอ!” ภูวารีบตัดบท “ถ้ากัดกันอีกแค่คำเดียว พี่ให้เก็บล้างครัวนะ”

เด็กทั้งสองเงียบลงทันที

“ถ้าพี่เคนว่างๆ มาสอนหนังสือให้ไอ้พายุดีกว่า ภาษาอังกฤษก็ได้ พี่คิดชั่วโมงละเท่าไหร่บอกมาเลย” ภูวาเสนอ “เดี๋ยวผมขออนุญาตแม่เอง แต่รับรองว่าแม่แฮปปี้แน่”

“โหยยยย พี่ภู! แล้วพายุจะเอาเวลาที่ไหนไปยิมอะ!” พายุโวย

“ก็หลังยิมสิ แล้วก็ไม่ได้ต้องเรียนทุกวันสักหน่อย อีกอย่างพี่เคนอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามแค่นี้เอง สะดวกจะตาย”

“เดี๋ยวนะ ภูวา” เคนยกมือขึ้น “พี่สอนหนังสือไม่เป็นนะครับ”

“ถ้าพี่อยากลองดูก่อนผมก็โอเคนะครับ พี่ก็ไม่ต่างจากเนทีฟสปีกเกอร์อยู่แล้ว แถมพูดไทยได้ด้วย พี่สอนอังกฤษพายุ เน้นพวกคำศัพท์กับการพูดการฟังไรงี้ก็ได้ครับ ไม่เน้นแกรมม่าถ้าพี่สอนไม่เป็น ผมแค่อยากให้น้องได้ฝึกฟังฝึกพูดบ่อยๆ ส่วนพายุก็จะได้สอนภาษาไทยพี่เคนด้วยไง แต่ไม่เอาสอนเรื่องเหี้ยๆ ทะลึ่งๆ นะ” ภูวาหันไปมองพายุ

“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าภาษาไทยเรื่องเหี้ยๆ ทะลึ่งๆ ส่วนมากพี่ก็รู้จักหมดอยู่แล้ว” เคนหัวเราะ

ภูวาแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินคำหยาบออกมาจากปากของเคนเป็นครั้งแรก

“แต่ที่ว่าสอนภาษาไทยนี่ก็น่าสนใจนะ พี่เองก็กำลังอยากเรียนอ่านกับเขียนไทยใหม่อยู่พอดี”

“เอางี้ละกัน พี่เคนลองเอาไปคิดดูก่อน เอาตามที่พี่สะดวกนะครับ”

“อ้าว แล้วไม่เห็นภามพายุมั่งอะว่าสะดวกหรือเปล่า” พายุพูด

“มึงเพิ่งอายุ 16 ถ้ากูกับแม่บอกให้เรียนมึงก็ต้องเรียนครับ” ภูวายิ้มมุมปาก

“อยากเรียนพืเศษบ้างอะ กลับไปขอแม่บ้างดีกว่า…” ต่อพูดขึ้น

พายุหันขวับไปหาต่อทันที “ทำไมมึงยุ่งเก่งจังวะ”

“อ้าว มึงว่ากูไม่ได้นะ กูเป็นเด็กรักเรียนจะตาย”

เคนมองเพื่อนใหม่ของเขาทั้งสามคนแล้วยิ้มน้อยๆ ให้ตัวเอง ดูเหมือนชีวิตของเขาคงจะเริ่มมีสีสันขึ้นเล็กน้อย



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 12


สุดท้ายต่อกับพายุก็ต้องรับหน้าที่เก็บล้างและทำความสะอาดครัวอยู่ดี ต่อโทรบอกที่บ้านว่ากินข้าวเย็นที่คอนโดของพายุแล้ว เขาโดนดุเล็กน้อย แต่พอบอกว่าจะนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบต่อที่นี่ พ่อกับแม่ของเขาก็ไม่ว่าอะไร ภูวากับเคนปล่อยให้เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งติวหนังสือด้วยกันในห้อง โดยที่พวกเขาออกไปนั่งที่ระเบียงด้วยกัน

“เด็กสองคนนั้นเรียนอยู่เกรดไหนครับ” เคนถาม

“ม. 4 ครับ ต่อเพิ่งย้ายโรงเรียนมา แต่พายุเรียนที่โรงเรียนนี้มาตั้งแต่ ม. 1 แล้ว” ภูวาตอบ

“ยังเด็กกันอยู่เลย”

“ครับ โดยเฉพาะไอ้พายุน่ะนะ บางทีผมก็รู้สึกเหมือนเลี้ยงลูกเลย” ภูวาหัวเราะเบาๆ

“แต่ภูวากับพายุสนิทกันดีนะ พี่ว่าถ้าเป็นพี่น้องคู่อื่นที่อายุห่างกันมากๆ อาจจะไม่สนิทกันแบบนี้ด้วยซ้ำ”

“ก็อาจจะครับ ผมโชคดีด้วยที่พายุมันเป็นเด็กเลี้ยงง่ายแล้วก็ติดพี่ มันเลยไม่ดื้อ” ภูวาตอบ “ว่าแต่พี่เคนเองสนิทกับน้องชายมั้ยครับ”

เคนก้มลงมองแก้วน้ำในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเหม่อมองออกไปเบื้องหน้า “ครับ สนิทมาก”

ภูวาเห็นปฏิกิริยาของเคนแล้วก็รู้สึกแน่ใจแล้วว่าต้องเคยเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นระหว่างเขากับน้องชายแน่ๆ แต่เขาไม่อยากถาม จึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง

“ว่าแต่จากที่พี่เคนเล่าตอนกินข้าว นี่แปลว่าพี่เป็นหลานเจ้าของธุรกิจของทั้งฝั่งพ่อและฝั่งแม่เลยสิครับเนี่ย”

“ก็ไม่เชิงครับ เพราะแม่ก็ไม่ได้ดูแลไม่ได้ยุ่งกับธุรกิจอะไรของที่นี่แล้ว ส่วนของพ่อ… ปู่เค้าร่วมก่อตั้งธุรกิจมากับเพื่อนก็จริง แต่พอถึงช่วงรุ่นของพ่อพี่ ปู่เขาก็ขายธุรกิจนั้นไปแล้วรีไทร์ไวหน่อย พ่อพี่เค้าเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งเท่านั้นครับ ตอนที่เค้าได้เข้าทำงานตอนแรกก็เพราะความเป็นลูกของปู่ด้วยแหละ แรกๆ ก็เลยต้องพิสูจน์ตัวเองเยอะเหมือนกัน”

“แต่พี่กับน้องชายไม่อยากทำงานบริษัทที่พ่อพี่ทำตอนนี้ใช่มั้ยครับ”

“เรียกว่ามันไม่เคยอยู่ในความสนใจของเราสองคนเลยดีกว่า”

“ผมถามเยอะไปมั้ยครับเนี่ย บางทีผมก็รู้สึกผมถามมากเกินไป พี่อาจจะไม่อยากตอบหรือไม่ค่อยอยากคุย”

“ไม่หรอกครับ ถ้าเรื่องไหนไม่อยากคุย พี่ก็คงบอกเอง”

ไม่แน่เสมอไปหรอก… ภูวาคิดในใจ เพราะเท่าที่ผ่านมา ถ้ามีเรื่องไหนที่เคนไม่อยากพูดถึง เขาก็จะเงียบไป หรือไม่ก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่ควรถามต่อแล้วมากกว่าที่จะพูดออกมาตรงๆ ว่าไม่ต้องการคุยเรื่องนั้น

“ตอนแรกพี่ดูเป็นคนดุๆ นะครับ แต่จริงๆ ผมว่าพี่ใจดีนะ” ภูวาพูด

เคนหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าแปลกใจ “หือออ”

“ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วย ผมพูดจริงๆ” ภูวาหัวเราะ “ก็ตอนแรกผมเจอพี่ตอนพี่ขนของ สีหน้าพี่ แล้วก็ตอนพี่คุยกับเพื่อนอะ ดูดุมากกก แต่พอได้คุยกันแล้ว ผมว่าจริงๆ พี่เป็นคนใจดีแล้วก็เฟรนด์ลี่กว่าที่คิดเยอะเลย อย่างเมื่อคืนที่พี่ชวนผมนอนที่ห้อง หรือแม้แต่เรื่องสอนหนังสือน้องชายผม พี่ก็ตอบรับว่าจะไปลองคิดดูก่อน ไม่ปฏิเสธทันที หรืออย่างเวลาพี่มีเรื่องที่ไม่อยากพูด พี่ก็จะไม่พูดตรงๆ ให้ผมหรือเด็กๆ มันไม่สบายใจ แต่เลือกจะตอบเลี่ยงๆ มากกว่า ผมว่าอะไรพวกเนี้ย มันแสดงออกว่าพี่เป็นคนแคร์คนอื่นมากเลยนะ”

เคนมองภูวาด้วยสายตางงๆ ปนเขินอาย ปกติไม่เคยมีใครพูดกับเขาแบบนั้นมาก่อน คนสุดท้ายที่บอกว่าเขาเป็นคนใจดีน่าจะเป็นโทรุ ซึ่งก็เคยพูดไว้เมื่อนานมากมาแล้ว

“อ… เอ่ออ… ขอบคุณนะครับ”

“ยัวร์เวลคัม ครับ” ภูวาหัวเราะเบาๆ

“ขอโทษที พี่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” เคนพูดแล้วลุกออกจากเก้าอี้ไป

ภูวามองตามเคนเดินเข้าไปในห้องแล้วนึกขำขึ้นเล็กน้อย เขาคนนี้เวลาเขินแล้วเหมือนบอลเมื่อสมัยก่อนไม่มีผิด จะทำตัวไม่ถูกแล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูดหรือไม่ก็ลุกหนีไปเสียดื้อๆ

เมื่อนึกถึงบอลขึ้นมา จู่ๆ ภูวาก็เริ่มรู้สึกใจหายอีกครั้ง บอลบอกเขาว่าถ้าหากรถซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ เขาจะมากินข้าวกับภูวาแถวคอนโด แต่ถ้าหากบอลโทรมาตอนเขากำลังอยู่ที่ยิม หรือยังไม่เลิกงาน พวกเขาคงจะไม่ได้เจอกัน แล้วถ้าพลาดหนนี้ไปก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ภูวาคิดว่าถ้าแบบนั้นลองนัดวันที่ชัดเจนไปเลยคงจะดีกว่า หรืออย่างน้อยๆ ก็บอกไว้ให้ชัดเจนเลยว่าเขาว่างหลังสองทุ่มเป็นต้นไปทุกวัน

เออ เอาแบบนี้แล้วกัน

ภูวาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรไปหาบอล

ระหว่างที่รอสาย ใจของเขาเต้นแรงกว่าปกติ เขาพยายามนึกว่าจะใช้น้ำเสียงแบบไหนดีไม่ให้ฟังดูกระตือรือร้นหรือตื่นเต้นเกินไป ถ้าบอลเดินกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกหนนี้ ภูวาก็ไม่อยากเสียเขาไปอีก

เสียงรอสายดังอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ปลายสายจะกดตัดสายทิ้ง

ภูวากดล็อกหน้าจอโทรศัพท์แล้วเก็บมันกลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขาเหม่อมองออกไปตรงหน้า ภายในหัวของเขาว่างเปล่าไปหมด

เฉกเช่นเดียวกับภายในใจของเขา…


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด