✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง EP20 Prom day ✈
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง EP20 Prom day ✈  (อ่าน 6335 ครั้ง)

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
“Oop sorry” (อุ๊บส์ ขอโทษนะครับ) ธันที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ไม่สนใจทาง รีบเอ่ยขอโทษอย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกตัวได้ว่า ตนได้เดินไปเหยียบเท้าใครบางคนเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจซะแล้ว
“Don’t worry. I am used to understanding your clumsy things.”  (ไม่ต้องห่วงฉันเริ่มจะคุ้นเคยกับการกระทำซุ่มซ่ามของนายแล้วละ) เสียงทุ่มๆ นุ่มๆ ที่ฟังดูคุ้นเคยดังขึ้นตรงหน้า จนคนผิวแทนต้องรีบเงยหน้าขึ้นมามอง หลังจากที่ตอนแรกก้มหน้าก้มตามองพื้นด้วยความรู้สึกสำนึกผิดอยู่
“Why you are here” (ทำไมนายมาอยู่นี้ได้ล่ะ) คนผิวแทนผงะถอยหลังเล็กน้อย ก่อนที่จะอ้าปากพูดประโยคดังกล่าวด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“Why not this is a public park everyone can come” (ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ก็ที่นี้มันสวนสาธารณะ ใครจะมาก็ได้หรือเปล่า) คนตาฟ้าที่วันนี้มาในชุดออกกำลังกายของแบรนด์ใบไม้สามแฉกสีน้ำเงินทั้งท่อนบนและล่างบวกกับทรงผมที่ได้รับการจัดทรงมาอย่างดิบดี ช่างดูแตกต่างกับคนตัวเล็กที่เหมือนกับชุดที่ใส่อยู่บ้านพร้อมนอนและทรงผมที่ดูยุ่งเหยิง
“Oh ok, So... see you at school.” (อ๋อ เออ งั้นเจอกันที่โรงเรียนแล้วกันนะ) คนตัวเล็กเลือกจะตัดบทสนทนากับคนตัวโตลง เพราะไม่อยากจะมีอารมณ์ขุ่นมัวตั้งแต่เริ่มเช้าวันใหม่แบบนี้
แต่ก่อนที่คนผิวแทนจะได้เดินออกจากสวนสาธารณะไป ก็มีมือใหญ่ๆ มาเกาะกุมเข้าที่มือน้อยๆ โดยเจ้าของมืออันเล็กไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเผลอสะบัดมือไปโดนหน้าของคนที่ยื่นมือมาจับเข้าด้วยความไม่ได้ตั้งใจ
“เพี้ยะ อุ๊บ”เสียงหลังฝามือปะทะเข้าไปที่ใบหน้าคมๆ เข้าอย่างจังจนคนตาฟ้าหน้าสะบัดไปในทิศทางของมืออย่างควบคุมไม่ได้ แต่แม้กระนั้นก็ไม่ได้มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากคนผมสีวอลนัทเลยแม้แต่น้อย จะมีก็แต่คนตัวเล็กที่เอามือป้องปากด้วยอารามณ์ตกใจแต่ก็ยังมีเสียงดังเล็ดลอดออกมาอยู่
“I am sorry. I didn’t do that on purpose.” (ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ) คนตัวเล็กพูดออกมาด้วยเสียงระส่ำระส่าย พร้อมกับจ้องไปที่ใบหน้าของคนตาฟ้าที่ตอนนี้ขึ้นรอยมือมาอย่างชัดเจน
“Say sorry is nothing to me” (พูดขอโทษมันไม่ได้มีค่าอะไรกับฉันหรอกนะ) รูเบนใช้เสียงแข็งจนทำให้คนตัวเล็กทำหน้าถอดสีหนักยิ่งกว่าเดิม
“Um… what do you need me to do?”  (แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง) คนตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก ส่วนสายตาก็หลุบมองไปที่พื้นดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“You have to eat breakfast with me” (นายต้องไปกินข้าวเช้ากับฉัน) รูเบนพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงแต่ก็ยังติดกระด้างอยู่บ้างอาจจะเป็นเพราะอาการเจ็บที่เพิ่งได้รับมาเมื่อสักครู่ และทั้งประโยคที่พูดกับน้ำเสียงที่ใช้ก็ทำให้คนตัวเล็กต้องเงยหน้าขึ้นมาจ้องตากับคนหน้าคมก่อนจะต้องพยักหน้าเป็นเชิงว่าตกลงช้าๆ ด้วยความกึ่งเต็มใจและไม่เต็มใจ
“Great. Follow me” (ดีงั้นตามฉันมา) คนตัวสูงพูดจบก็เดินกลับเข้าไปยังใจกลางสวนสาธารณะ และถึงแม้ทิศทางที่รูเบนเดินไปนั้นจะทำให้คนตัวเล็กรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ธันเปลี่ยนใจไม่เดินตามไป ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าจุดหมายของของคนผมสีวอลนัทจะเป็นที่ใดก็ตาม
ผู้คนมากหน้าหลายตาหลากหลายเชื้อชาติเดินสวนกันอย่างขวักไขว่ ท่ามกลางร้านค้านับร้อยใจกลางสวนสาธารณะ Davies ที่ในวันธรรมดามันถูกใช้เป็นลานออกกำลังกายของคนท้องถิ่นในรัฐควีนแลนด์ แต่ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ในช่วงกลางวัน จะถูกใช้เป็นตลาดนัดที่ขายสินค้าท้องถิ่นราคาถูกให้นักท่องเที่ยวและชาวบ้านละแวกใกล้เคียงมาเดินจับจ่ายใช้สอยกัน ความสวยงามของตลาดนัดแห่งนี้นั้นนอกจากจะเป็นเรื่องของการจัดแยกประเภทร้านค้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและมีเจ้าหน้าที่มาเก็บกวาดขยะอยู่เนืองๆ แล้ว สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือลูกค้า เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าที่ตลาดแห่งนี้มีผู้คนหลากหลายมาจับจ่ายใช้สอยรวมถึงเหล่าคู่รักที่พากันมาเดทที่นี้ด้วย ซึ่งมีทั้งคู่รักแบบชายหญิง แบบชายชาย และ หญิงหญิง ซึ่งผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาและเหล่าบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งหมดจะไม่มีการมองคู่รักที่ไม่ใช่คู่รักชายหญิงแบบ แปลกๆ เลยซึ่งนับเป็นสิ่งน่าชื่นชมและพบเห็นได้ทั่วไปยังรัฐนี้ ซึ่งนั่นถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของ รัฐที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ กึ่งเก่ากึ่งใหม่ อย่างควีนแลนด์
“What do you want to eat” (นายอยากกินอะไร) คนตาฟ้าหันมาถามคนผิวแทนที่เดินขนาบข้างอยู่ด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่กลับมาเป็นปกติแล้ว
“Whatever but not Thai food, please.” (อะไรก็ได้ แต่ไม่เอาอาหารไทยนะ) คนตัวเล็กกวาดตามองไปที่ร้านอาหารที่ตั้งอยู่รายล้อมซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกอาหาร Grab and go อย่างพวกแซนด์วิช หรือไม่ก็ เบอร์เกอร์
แต่ก็ไม่วายที่จะเจอเต้นท์ที่ขายอาหารไทยตั้งแซมอยู่ ซึ่งถ้าเป็นร้านเล็กๆ เคลื่อนที่ได้แบบนี้ส่วนใหญ่ที่ธันเจอมาจะเป็นอาหารไทยประดิษฐ์ กล่าวคือจะปรับปรุงรสชาติและหน้าตาเอาใจคนท้องถิ่นจนไม่หลงเหลือความเป็นอาหารไทยแล้ว เช่น แกงเขียวหวานสีก็จะเขียวจนนึกว่าเป็นแกงใบเตยส่วนรสชาติก็หวานจนจะเป็นขนมไปแล้ว แต่แปลก ที่ร้านพวกนี้จะขายดิบขายดีกับคนท้องถิ่นอย่างคนออสเตรเลียสงสัย รสแบบนี้จะกินง่ายสำหรับพวกเขากระมัง
“Ok how about something easy such as steak” (อืม ถ้าเป็นอะไรง่ายๆอย่างเช่น สเต็กละ) รูเบนชี้ไปยังร้านสเต็กร้านใหญ่ทางด้านซ้ายมือ ที่กินพื้นที่ถึงสองเต้นท์ ดูแล้วน่าจะเป็นร้านที่ดังและขายดีน่าดู แต่อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่เขาเดินกันมาถึง ยังเป็นช่วงเวลาเช้าอยู่จึงมีผู้คนมากินยังไม่เยอะนัก ทำให้พวกเขาไม่ต้องถึงกับยืนรอคิวเพื่อกินกัน
“Good morning guy, do you know what do you want?” (สวัสดีหนุ่มๆ พวกเธอจะรับอะไรกันดีจ๊ะ) ถึงจะบอกว่าเป็นร้านที่ค่อนข้างใหญ่แต่ว่าพนักงานก็มีเพียงคุณลุงที่เป็นคนทำอาหารและคุณป้าที่เป็นพนักงานเสิร์ฟเท่านั้น และประโยคคำถามดังกล่าวก็มาจากคุณป้าผมแดงที่เข้ามาทักทายและสอบถาม ด้วยรอยยิ้ม เมื่อเธอเห็นทั้งคู่เดินเข้ามานั่งพลิกเมนูในร้านเธออยู่สักพัก
“Can I have Rib eye steak and make it medium rare please” (ผมขอสเต็กเนื้อริบอายด์ แล้วก็ขอสุกแบบปานกลางนะครับ) คนผมสีวอลนัทตอบกลับคำถามของคุณป้าด้วยรอยยิ้ม
“How about you” (แล้วหนูละจ๊ะ) คุณป้าหันมาถามคนตัวเล็กหลังจากจดออเดอร์ของรูเบนลงกระดาษเรียบร้อยแล้ว
“Do you have fish or pork because I don’t eat beef” (คุณป้ามีปลาหรือหมูไหมครับเพราะผมไม่กินเนื้อ) ธันถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ เพราะหลังจากเขาพลิกดูเมนูไปมาหลายตลบแล้วยังไม่เจอเมนูไหนที่เป็นเนื้ออย่างอื่นนอกจากเนื้อวัวเลย
“Um… I think we have chicken left. Can you?” (อืม... ฉันคิดว่าเรามีเนื้อไก่เหลืออยู่นะ จะรับไหมจ้ะ?) คุณป้าขมวดคิ้วคิดเล็กน้อย ก่อนจะถามคนผิวแทนด้วยเสียงหวานๆ
“That ok. Thank you” (กินได้ครับ ขอบคุณนะครับ) คนตัวเล็กตอบคำถามกลับคำแทบจะในทันที เพราะความหิวของเขาในตอนนี้นั้นสามารถที่จะกินเนื้ออะไรก็ได้ตราบใดที่มันไม่ใช่เนื้อคนและเนื้อวัว
“Why you don’t eat beef” (ทำไมนายไม่กินเนื้อละ) คนตาฟ้าหันมาถามคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะด้วยสีหน้าจริงจัง หลังจากคุณป้าเดินจากไปแล้ว
“Nothing special but when I was young I have seen the photo of them when they are in the slaughterhouse and that makes me feel bad when I try to eat beef” (ไม่มีอะไรพิเศษหรอกแค่เมื่อตอนฉันเป็นเด็กฉันเห็นรูปพวกมันอยู่ในโรงฆ่าสัตว์แล้วฉันก็จะมีความรู้สึกแย่ทุกครั้งเวลาฉันจะกินเนื้อน่ะ) คนตัวเล็กก้มหน้าหลุบตาต่ำในขณะที่พูดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาด้วยรอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าอยู่
“Oh ok I thought it about your religion” (อืม ฉันคิดว่ามันเกี่ยวกับศาสนาของนายซะอีก) คนตาฟ้ายิ้มให้คนตัวเล็กอย่างเอ็นดูก่อนที่ จะเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องสัพเพเหระ ดินฟ้าอากาศ ที่พอจะเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของคนผิวแทนคืนมาได้บ้าง
ขณะที่ทั้งคู่นั่งรออาหารอยู่ คนตัวเล็กก็จับสังเกตได้บ่อยครั้งว่าคนตาฟ้าชอบจ้องมาที่หน้าของเขาครั้งละนานๆ และเมื่อคนตัวเล็กรู้ตัวและหันหน้ากลับไปมอง รูเบนก็จะหลบสายตาโดยการเบนหน้ากลับไปที่โทรศัพท์ที่เขาถืออยู่ในมือ เป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้งจนคนตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมา ส่วนคนหน้าคมก็ทำเป็นทำหน้าเคร่งครึมและเกาหัวเพื่อแก้เก้อไป
“Why you don’t eat vegetables?” (ทำไมนายไม่กินผักละ) คนตัวเล็กมองผักที่เหลืออยู่เต็มจานของคนตาฟ้าสลับกับมองหน้าของเจ้าของจานที่ตอนนี้ทำหน้าเหมือนคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อหาทางรอดอยู่
“Because when I was young. I have seen the vegetable was harvested by the farmer and that make me pity of them. So, after that. I always feel bad when I have to eat them.” (เพราะว่าเมื่อตอนฉันเป็นเด็กฉันเห็นภาพที่ผักโดนเก็บเกี่ยวโดยชาวสวนแล้วฉันรู้สึกสงสารน่ะ หลังจากนั้นฉันก็จะรู้สึกแย่ทุกครั้งที่ฉันต้องกินพวกมัน) รูเบนพูดด้วยสีหน้าและท่าทีที่จริงจัง ซึ่งแม้แต่เด็กห้าขวบก็ดูรู้ว่าตานี้กำลังแถจนสีข้างถลอก แถมไม่แถป่าวยังใช้มุขที่ล้อมาจากคำพูดของคนตัวเล็กอีกต่างหาก
“That’s totally nonsense.  ” (มั่วแล้ว) คนตัวเล็กหัวเราะตัวโยนก่อนจะพูดประโยคดังกล่าวด้วยอาหารหอบ ซึ่งหันกลับมาที่คนตาฟ้าก็มีอาการหัวเราะคิกคักไม่ต่างกัน
หลังจากมื้ออาหารจบลงรูเบนก็แย่งจ่ายค่าอาหารอีกตามเคย ซึ่งนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กเกิดคำถามขึ้นในใจอีกแล้วว่าคนตัวสูงจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เพราะระหว่างเขาและรูเบนไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย ซึ่งเมื่อคนผิวแทนถามไปคำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างจากการที่เขาซื้อ         ช็อคโกแลตร้อนให้ในวันนั้น
เพราะคำตอบที่เขาได้รับคือเขาเป็นคนชวนมาเขาก็ต้องเป็นคนจ่ายให้สิ ไม่เห็นแปลก แต่ความไม่แปลกนี่แหละ ที่จะทำให้คนตัวเล็กได้ใจและเสียนิสัยในภายหลังหรือเปล่า ความคิดนี้ดังก้องในหัวตลอดเวลาที่คนตัวเล็กเดินเคียงคู่ไปกับคนตัวสูง
“Where are you going next” (นายจะไปไหนต่อเหรอ) รูเบนถามขึ้นขณะที่พวกเขาทั้งคู่กำลังเดินใกล้จะถึงประตูทางออกของสวนสาธารณะ
“I don’t know maybe go home” (ไม่รู้เหมือนกันนะ บางทีก็คงจะกลับบ้านละมั้ง) ธันที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดท้ายก่อนจะเดินพ้นออกจากสวนสาธารณะหันไปตอบกับรูเบนพร้อมกับฉายรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“Can I take you home” (ให้ฉันไปส่งที่บ้านได้ไหม) รูเบนพูดด้วยเสียงน้ำเสียงที่แฝงความเคอะเขินอยูในที
“Um…are you sure about tha… oh look at that man” (อืม...นายแน่ใจเหร... โอ้ดูลุงคนนั้นสิ) คนตัวเล็กก้มหน้ามองพื้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบรูเบนที่ยืนตัวแข็งอยู่ด้านข้างรอฟังคำตอบ แต่แล้วคำพูดของคนตัวเล็กก็ต้องขาดห้วงไปเมื่อเขาเห็นใครบางคนกำลังนั่งก้มหน้าอยู่ด้านหลังรูเบน
เมื่อคนผิวแทนเดินขยับเข้าไปใกล้ขึ้นก็พบว่าคุณลุงคนดังกล่าวน่าจะเป็นนักดนตรีพเนจร เพราะว่าคุณลุงมีเนื้อตัวที่มอมแมมเล็กน้อยบวกกับมีกีตาร์ตัวเก่งที่ดูเหมือนจะปะแล้วปะอีกวางอยู่บนตัก แต่ที่น่าสงสารก็คือถุงใส่กีตาร์ที่วางแบออกด้านหน้านั้นมีแต่เศษเงิน ซึ่งพอกะคร่าวๆ ด้วยสายตาก็พบว่าไม่น่าจะมีเกินห้าเหรียญออสเตรเลีย ซึ่งในประเทศนี้ ห้าเหรียญยังไม่พอที่จะซื้อข้าวได้ครึ่งจานด้วยซ้ำ
“Hello, do you need some help” (สวัสดีครับมีอะไรให้ช่วยไหมครับ) คนตัวเล็กลงไปนั่งยองๆ ก่อนที่จะเอ่ยถามคนด้านหน้าด้วยน้ำเสียงที่สดใส
“Oh boy, don’t come close to me because my smell is too bad. Ah… I don't want to make you feel uncomfortable but if you have some food or some money it will be good because I didn’t eat something for a while” (โอ้พ่อหนุ่ม อย่าเข้ามาใกล้ลุงเยอะ กลิ่นตัวลุงไม่ค่อยดีน่ะ เอ่อ...ก็ไม่อยากทำให้ลำบากใจหรอกนะแต่ถ้าหนูมีอาหารหรือเงินมันก็คงดีไม่น้อยเลยเพราะว่าลุงไม่ได้กินอะไรมาสักพักแล้ว) คุณลุงที่เหมือนจะใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้พูดขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบาและใบหน้าที่อิดโรย
“Ruben do you have some cash can I borrow it and I will pay you back later” (รูเบนนายพอจะมีเงินไหม ฉันขอยืมหน่อยสิเดี๋ยวยังไงฉันจะจ่ายคืนนายทีหลังนะ) คนตัวเล็กที่ค้นในกระเป๋าเงินดูแล้วกลับไม่พบเงินสักสักเหรียญเดียว หันไปคุยกับคนตัวสูงที่ยืนทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ด้านหลัง
“I don’t have too” (ฉันก็ไม่มีเหมือนกัน) คนตาฟ้าพูดขึ้นพร้อมกับโชว์ภายในกระเป๋าที่มีแต่บัตรให้ดู
“That ok don’t worry. I still ok” (ไม่เป็นไรพ่อหนุ่ม ลุงยังไหว) คุณลุงที่เห็นคนตัวเล็กมีสีหน้าสลดลงรีบโบกไม้โบกมือขึ้นมาเพื่อจะบอกกับคนผิวแทนว่าตนไม่เป็นไร แต่หลังจากโบกมือได้เพียงครู่เสียงท้องของคนที่นั่งอยู่กับพื้นก็ดังขึ้นมาโครกครากและนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กหันไปหาคนตัวสูงด้วยใบหน้าที่เศร้าลงไปอีก
“Hr… can I borrow your guitar please.” (เฮ้อ...ผมขอยืมกีตาร์หน่อยนะครับลุง) คนตัวสูงยื่นมือไปหาคุณลุงที่ขณะนี้กำลังนั่งกุมท้องด้วยความหิว
“What are you going to do” (นายจะทำอะไรน่ะ) ธันเดินเข้ามากระซิบถามรูเบนทันทีเมื่อเจ้าของกีตาร์ส่งสมบัติที่มีติดตัวอยู่เพียงชิ้นเดียวไปให้คนตาฟ้า ซึ่งในขณะนี้กำลังปรับสายกีตาร์ในมืออยู่อย่างขมักขะเม้น
“Let see by yourself” (ดูเอาเองสิ) รูเบนที่ปรับสายกีตาร์เสร็จพอดี หันมายิ้มพร้อมกับขยิบตาให้คนตัวเล็กหนึ่งทีก่อนจะเริ่มเคาะจังหวะที่เท้าและเริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงออกมา
“To be young and in love in Brisbane City
To not know who I am but still know that I'm good long as you're here with me
To be drunk and in love in Brisbane City
Midnight into morning coffee
Burning through the hours talking”
   และเหมือนเวลาในพื้นที่เล็กๆ นี้ได้หยุดลงเพราะเมื่อคนตาฟ้าเริ่มเปล่งเสียงร้องของเขาออกมา คนที่เดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่ได้สนใจพวกเขาทั้งสามคนในตอนแรกก็เริ่มจะหยุดชะงักและเริ่มจะล้อมวงเข้ามาฟังเจ้าของเสียงใกล้ๆ ยิ่งพอคนผมสีวอลนัทร้องท่อนต่อไป ผู้คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็เริ่มจะมีอาการโยกหัวไปตามจังหวะเพลงส่วนคนที่ไม่ได้โยกหัวก็เริ่มจะช่วยตบมือเข้าจังหวะกันเป็นทิวแถว
   “Damn, I like me better when I'm with you
I like me better when I'm with you
I knew from the first time, I'd stay for a long time 'cause
I like me better when
I like me better when I'm with you”
   ทุกอย่างไปได้สวยผู้คนเริ่มเข้ามาล้อมวงฟังกันมากยิ่งขึ้น และคนส่วนใหญ่ที่มาฟังก็เริ่มควักเงินทั้งแบงค์และเหรียญออกจากกระเป๋าโยนลงไปบนถุงกีตาร์ที่แบอยู่ อย่างไม่ขาดสาย จะติดนิดหนึ่งก็ตรงที่ว่า คนตาฟ้าเริ่มขยับเข้ามาร้องเพลงใกล้ๆ คนตัวเล็กและเริ่มจะใช้มือข้างที่ว่างจากการดีดกีตาร์ในบางท่อนมาจับมือของธันเต้นหมุนไปรอบๆ และนั่นก็ทำให้ธันหน้าแดงเป็นลูกตำลึงด้วยความเขิลอายทั้งเขิลอายกับรูเบนและคนดูที่มุงอยู่รอบๆ
แต่ดูเหมือนว่าผู้คนโดยรอบจะชอบการโชว์นี้ เพราะพวกเขาต่างพาเป่าปากและส่งเสียงเชียร์กันยกใหญ่ จนเมื่อเพลงแรกจบลงผู้คนต่างก็ยกไม้ยกมือมาป้องปากตะโกนว่าต้องการจะฟังเพลงจากนักดนตรีหนุ่มอีกสักเพลง ซึ่งดูเหมือนรูเบนก็เครื่องติดพอดีเพราะเขาก็เริ่มที่จะเคาะจังหวะขึ้นเพลงใหม่ภายในเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น
   “Two hundred ninety-night and three hundred. Thank you very much.” (สองร้อยเก้าสิบเก้า สามร้อย ขอบคุณมากๆ เลยนะพ่อหนุ่ม) คุณลุงนั่งนับเงินที่อยู่ในกระเป๋าด้วยรอยยิ้มที่ปลื้มปิติดีใจเพราะเงินจำนวนนี้มันก็มากพอที่เขาจะยังชีพไปได้อีกอย่างน้อย สาม ถึง สี่วัน
   “I don’t have anything to give you but I wish your love last forever” (ลุงไม่มีอะไรจะให้นอกจากคำอวยพร ขอให้ความรักของทั้งสองคนยั่งยืนนานตลอดไปนะ) คุณลุงพูดพร้อมส่งยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนแบกกระเป๋ากีตาร์เดินจากไป ทิ้งไว้ให้แต่คนตัวเล็กที่ตอนแรกยิ้มกว้างให้อย่างลืมตัวก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเพิ่งจะตั้งสติได้ว่าคุณลุงนั้นอวยพรอะไรมาให้และนั้นแหละถึงหันไปทำหน้ายักษ์ใส่คนด้านหลังที่หัวเราะอย่างเป็นบ้าเป็นหลังกับการกระทำตลกๆ ของเขา
   “Wait a few minutes. I will bring my boy to lift you home.” (รอแปปนะเดี๋ยวผมจะไปเอาไอ้หนูของผมไปส่งคุณที่บ้าน) คนตาฟ้าหันมาบอกธํนเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงตรงลานจอดรถของสวนสาธารณะ ซึ่งอันที่จริงคนตัวเล็กเองก็พยายามบ่ายเบี่ยงขอกลับเองอยู่หลายครั้งเพราะว่า จากสวนสาธารณะไปยังห้องของเขามันก็ไม่ได้ไกลอะไรเลย ใช้เวลาเดินเท้าเพียงแค่ สิบถึงสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว แต่ว่ารูเบนก็ให้เหตุผลมาว่า ในเมื่อเบาะของเขายังว่างแล้วทางห้องของธันกับทางห้องของเขามันก็เป็นทางเดียวกันแล้วจะเดินให้เหนื่อยทำไม ซึ่งพอคนผมสีวอลนัทพูดแบบนั้นคนตัวเล็กเองก็จนใจที่จะสรรหาคำอื่นใดมาพูดปฎิเสธจึงทำให้เขาต้องมายืนไถโทรศัพท์รอระหว่างที่รูเบนไปนำรถของเขาออกมา
   “กริ๊งๆ” เสียงกริ๊งจักรยานดังขึ้นตรงหน้าคนตัวเล็กที่กำลังก้มหน้าก้มตาจดจ่อกับโทรศัพท์อยู่ ดังนั้นเขาก็เลยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง แต่ก็ขยับหลบเข้าไปใกล้กับกำแพงด้านข้างประตูทางออกเพื่อเว้นช่องทางรถออกให้กว้างมากยิ่งขึ้น
   “กริ๊งๆ” เมื่อได้ยินเสียงกริ๊งจักรยานดังขึ้นอีกรอบ คนผิวแทนก็ขยับมากขึ้นไปอีกจนตอนนี้แขนทางฝั่งด้านขวาของเขานั้นแนบสนิทไปกับกำแพงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
   “กริ๊งๆ ๆ ๆ” แต่เจ้าของจักรยานก็ยังดูเหมือนไม่พอใจเพราะเขายังกดกริ๊งจักรายานรัวๆ จนทำให้คนตัวเล็กด่าในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะละสายตาจากโทรศัพท์มือถือและเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียง
   “What do you Kr…” (คุณต้องการอะ ครือออ) คำพูดที่ออกแนวกระชากเสียงในตอนแรก ถึงกับต้องกลืนลงคอไปพร้อมกับคอและปากที่สั่นกระเพื่อมเพราะพยายามที่จะกลั้นขำเอาไว้
 โดยสิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็กนั้นคือคนตาฟ้าที่นั่งคร่อมจักรยานคล้ายจักรยานจ่ายตลาด คันสีแดงสดพร้อมกับตะกร้าพ่วงข้างหน้าที่เอาไว้ให้แม่บ้านใส่ของตอนไปจ่ายตลาด
“What are you waiting for let jump in” (รออะไรละขึ้นมาสิ) คนตัวเล็กที่คิดไว้ในใจว่าวันนี้จะได้นั่งรถ เฟอรารี่กลับบ้านแต่กลับต้องมานั่งซ้อนเบาะจักรยานประเด็นสำคัญคือสารถีและเขาต้องใส่หมวกกันน็อคสีแดงแปร๊ดซึ่งเป็นสีเดียวกันกับตัวจักรยานเลย ซึ่งคนตัวเล็กก็ได้แต่คิดในใจว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่ประเทศนี้ไม่มีน้องควาย ไม่อย่างนั้นไม่ใครก็ใครระหว่างเขาและคนตัวสูงได้โดนขวิดกันไปข้างแน่ๆ
สายลมอันแผ่วเบาและความหอมของหมู่มวลดอกไม้ใบหญ้าในระหว่างทางที่ขับผ่านก็รังสรรค์ให้ยานเย็นในวันธรรมดาเป็นช่วงเวลาที่สุดแสนพิเศษได้ไม่ยาก หากเราไม่นับเรื่องที่เด็กตัวโตตาสีฟ้าแสร้งว่าถนนมีหลุมข้างหน้า จนต้องแกล้งเบรกบ่อยๆ เพื่อให้คนที่นั่งซ้อนท้ายอยู่ตัวไหลมากระทบกับแผ่นหลังกว้างละก็นะ
“Thank you very much Thun for today. Your smile and your laugh make my day better. Now I will do what my heart tells me. ” (ขอบคุณมากนะธันสำหรับวันนี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของนายทำให้วันธรรมดาของฉันเป็นวันที่น่าจดจำ และตอนนี้ฉันว่าฉันพร้อมแล้วที่จะทำตามเสียงเพรียกของหัวใจ) คนขี่จักรยานพูดด้วยเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังและเอ่อล้นไปด้วยความสุข แต่มันช่างน่าเสียดายเพราะว่าคำพูดทั้งหมดนั้นถูกพัดให้ปลิวหายไปด้วยกระแสลมแรงเสียก่อนที่จะได้เข้าไปในหูของคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง
“What” (นายว่าอะไรนะ) คนตัวเล็กที่จับข้อความของรูเบนไม่ได้สักประโยคตะโกนถามแข่งกับเสียงลมแรงที่พัดกรรโฉกอยู่โดยรอบ
“I said you are so heavy. You should exercise more” (ฉันว่านายตัวโคตรหนักเลย ออกกำลังซะบ้างนะ) คนผมสีวอลนัทพูดขึ้นพร้อมทำท่าออกแรงถีบจักรยานหนักให้กว่าเดิม
“Do you want to die” (นายอยากตายเหรอ) คนตัวเล็กพูดขึ้นด้วยเสียงที่แกล้งทำเป็นว่าโมโหก่อนจะทุบไปที่หลังของคนตัวโตข้างหน้าเบาๆ และนั่นก็ทำให้คนตาฟ้าแกล้งคืนโดยการขี่รถส่ายไปส่ายมาเหมือนจะแกล้งทำเป็นล้ม ซึ่งทำให้คนตัวเล็กผวาโน้มตัวมาข้างหน้าและกอดเอวของเขาแน่น ซึ่งนั่นก็ทำให้รูเบนหัวเราะชอบใจใหญ๋
แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะและความสุขของคนทั้งสองนั้น ไฉนเลยจะมีใครรู้บ้างว่าพายุกำลังถูกก่อตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ และช้าๆ ท่ามกลางเมืองอันแสนสวยงามและเงียบสงบที่มีชื่อว่า ควีนแลนด์ 

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
คนเขียนแอบอยากถามนิดหนึ่ง ว่าฉาก NC มีผลต่อยอดอ่านมากน้อยขนาดไหนกันเหรอครับ
ป.ล. เป็นการอยากรู้ส่วนตัวเฉยๆ ไม่ได้มีผลอะไรกับเส้นเรื่องนะครับ

ตอบอย่างไรดีละ เอาเป็นว่าตอบในความคิดของเราเองนะ ฉาก NC มันเหมือนด้านมืดที่อยู่ในจิตใจ เป็นความอยากรู้
เมื่ออ่านถึงตอนหนึ่ง ก็อยากทราบว่า พระเอกนายเอก จะมีบทอัศจรรย์ไหมนะ เป็นการลุ้นไปในตัวถึงแม้ว่ามีบทนี้แล้ว
เนื้อหาก็ไม่ต่างจากที่คิดไว้นัก แต่ก็ยังอยากจะรู้นะ พูดซะอ้อมโลกเลย สรุป ก็คือมีผลต่อยอดอ่านมากขึ้น

แต่ก็...แล้วแต่บทว่าจะไปทางไหนของเนื้อเรื่องนะ สำหรับเรื่องนี้ น่าจะมี NC แบบบางเบา ไม่ต้องเดือดเลือดพล่าน
เพราะเนื่องนี้ เนื้อเรื่องมาในแนวอบอุ่น ซึมซับบรรยกาศของสถานที่อยู่ ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่เราเองติดตาม
ทั้งนี้ ก็แล้วแต่ผู้อ่านแต่ละคนนะ  พูดแล้วสับสนตัวเองจังเลย
  :mew2: :mew3: :mew2: :mew3:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

พายุจริง หรือ พายุจากสาวญี่ปุ่นคนนั้น?

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
พายุชื่อฮานะหรือเปล่า

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ใช่หรือเปล่านะ ฮานะจัง ไม่น่ารักหรือเปล่านะ ???

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
   “เป๊าะ แป๊ะ เป๊าะ แป๊ะ เป๊าะ แป๊ะ” เสียงสายฝนแรกของฤดูใบไม้ผลิตกลงมากระทบกับพื้นถนนและหลังคาตรงตรอกแคบข้างๆ ร้านอาหารไทย ณ สยาม ซึ่งหากเราสังเกตดูให้ดี ก็จะเห็นเงาตะคุ่มๆ ของคนอยู่สองคนกำลังวิวาททุ่มเถียงกันอยู่
   “ทำไมมึงถึงทำแบบนี้วะ ก็กูบอกมึงไปตั้งแต่ครั้งแรกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าคนเนี้ยกูหวง คนเนี้ยกูจอง” เสียงของเงาทางด้านขวามือตะโกนใส่อีกเงาอีกดวง ด้วยเสียงตวาดจากความโกรธปนด้วยผิดหวัง
   “ผมเองก็พยายามอยู่ห่างเขา และพูดกับเขาน้อยที่สุดแล้วนะพี่เพราะผมรู้ว่าพี่ชอบ แต่ผมแม่งหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ว่ะพี่ สุดท้ายแล้วเรื่องของหัวใจยังไงมันก็ห้ามกันไม่ได้รึเปล่าวะ เหมือนที่พี่ก็พยายามตามติด ตามคุยกับเขาเต็มที่แล้วแต่เขาก็ไม่เคยมองมาเลยไม่ใช่รึไง” น้ำเสียงและแววตาอันมั่นคงและหนักแน่น ถูกพูดออกมาจากปากของอีกฝ่ายอย่างไม่มีทีท่าหวาดกลัวหรือสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
   “อ้าว ถ้าพูดเหี้ยๆ แบบนี้ก็คงจะได้กินกำปั้นสักหมัดสองหมัดล่ะวะ” ฝ่ายแรกพูดด้วยน้ำเสียงที่เหี้ยมเกรียมกว่าเดิมและเดินสาวเท้าเข้าใกล้คนที่เป็นฝ่ายตั้งรับด้วยท่าทีคุกคามอย่างยิ่งยวด
   “เอาเลยพี่ ผมเตรียมใจมาแล้ว และผมก็จะไม่ต่อยสวนพี่ด้วย เพราะเรื่องนี้ผมแม่งผิดเอง แต่ผมจะบอกอะไรให้อย่างนะ ต่อให้พี่จะกระทืบผมให้ตายผมก็จะไม่หนีความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว” คนที่ถูกประชิดตัวหลับตา พร้อมกับขบกรามแน่น โดยหวังว่าคนที่เดินเข้ามาจะไม่ต่อยเขาจนถึงตาย เพราะถึงยังไงทั้งสองคนก็มีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด แต่เมื่อทั้งคู่ดันเผลอหัวใจไปรักคนคนเดียวกันมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องมาแก้ปัญหาดังกล่าวกันด้วยการใช้กำลังในแบบที่ลูกผู้ชายเขาทำกัน
   “เปรี้ยง”เสียงหมัดกระแทกเข้ากับอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่กำลังกัดกรามอยู่ และเมื่อคนที่หลับตาค่อยๆ บรรจงเอามือจับที่ใบหน้าของตัวเองก็ค้นพบว่าไม่มีจุดไหนที่เจ็บหรือปวดเลย ซึ่งเมื่อลืมตาขึ้นมาดูก็พบว่าเสียงดังกล่าวนั้นเกิดจากหมัดของอีกฝ่ายที่จงใจ ชกเฉียดไปยังกำแพงที่ตั้งอยู่ด้านข้างแทนที่จะเป็นใบหน้าของเขา
   “เออ มึงเองก็พูดถูก เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ แล้วการที่กูจะต่อยหน้ามึงเพราะมึงเป็นศัตรูหัวใจของกูแม่งก็เด็กเกินไป อีกอย่างมันก็ไม่ได้ทำให้น้องเขาหันมาชอบกูมากขึ้นด้วย เผลอๆ ถ้าหน้ามึงแหกแล้วน้องเขารู้ว่าใครทำ เขาอาจจะหันมาเกลียดกูไปเลยก็ได้ ต่อจากนี้มึงจะเอายังไงก็เรื่องของมึงละกัน” คนพูดถอนหมัดออกมาจากกำแพงซึ่งพอหลังมือโดนเข้ากับหยาดฝนก็ทำให้เจ้าของมือต้องหันมาเป็นฝ่ายกัดฟันซะเองด้วยความเจ็บและแสบ
   “ขอบคุณนะพี่ที่เข้าใจผม” รอยยิ้มที่ดูโล่งอกถูกเผยให้เห็นเมื่อหมัดของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่บนหน้าของตัวเอง และมันแปรเปลี่ยนไปเป็นความสุขใจยิ่งขึ้นเมื่อเขาลองใช้สมองคิดทบทวนคำพูดของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนกับเป็นการพูดกลายๆ ว่าต่อจากนี้เขาสามารถเดินหน้าจีบคนในหัวใจโดยไม่ต้องเกรงใจใครอีกแล้ว
   “แต่กูเองก็จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ ต่อให้เขาจะไม่สนใจกูก็เหอะ ยังไงกูก็จะพยายาม ในแบบของกูเอง และถ้ากูพอมีวาสนาอยู่บ้างกูก็อาจจะได้ใจน้องเขามาครองก็ได้ มึงเองก็อย่าประมาทไปละ” เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังและก้าวเดินจากไป แต่ก่อนที่เท้าของเขาจะก้าวพ้นออกจากตรอกนั้นเสียงของอีกฝ่ายก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
   “ลองทำให้เต็มที่แล้วกันนะพี่ ผมเอาใจช่วย เพราะว่าทางฝั่งของผมเนี่ยดูแล้วท่าจะชนะ ใสๆ ว่ะ” เงาที่ยังหยุดนิ่งท่ามกลางสายฝนที่ยังเทลงมาอย่างไม่หยุดหย่อนตะโกนไล่หลังเงาที่กำลังจะเดินจากไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ซึ่งคนที่กำลังจะเดินจากไปก็ได้หยุดกึกเหมือนกับว่าเท้านั้นตกหล่ม ก่อนที่จะหันมาโชว์นิ้วกลางให้เจ้าของเสียงตะโกนและก้าวเดินต่อไป ทิ้งให้คนที่เพิ่งได้รับของขวัญ หัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างชอบใจแข่งกับเสียงของสายฝนที่ดูทีท่าแล้วไม่น่าจะหยุดตกในค่ำคืนนี้เป็นแน่
   “That Charms really cute, Thun” (จี้อันนี้ของเธอน่ารักจังเลยนนะ ธัน) เสียงของสาวญี่ปุ่นดังขึ้นด้านหลังคนตัวเล็ก ที่กำลังนั่งเอามือเกยคางพร้อมกับหมุนจี้ข้อมืออันล่าสุดที่ได้รับมาอย่างปริศนา ด้วยสีหน้ากึ่งมีความสุขและกึ่งสงสัยอยู่ในที
   “Oh, Hi Hanna what do you have for this morning” (อ้าว ไงฮาน่า เธอมีอะไรเป็นอาหารเช้าวันนี้ละ) ธันหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะโบกไม้โบกมือทักทายพร้อมกันนั้นก็ยิ้มให้สาวเจ้าจนตาหยี
   “Haha, it is a normal sandwich and where did you buy it. I mean your charm” (ฮ่าฮ่า ไม่มีอะไรพิเศษหรอกก็แค่แซนด์วิชปกติแหละ ว่าแต่เธอซื้อจี้อันนี้ที่ไหนเหรอ) ฮานะถามขึ้นขณะรีบยัดแซนด์วิชเข้าปากอย่างเร่งรีบ เหตุเพราะว่าเธอเหลือเวลาในการกินอีกแค่ สิบนาทีก่อนที่คลาสเรียนจะเริ่มขึ้น
   “I don’t know someone gave it to me” (ฉันไม่รู้ ใครบางคนให้ฉันมาน่ะ) คนตัวเล็กตอบคำถามพร้อมกับกวาดสายตาไปยังทางเดิน ซึ่งตอนนี้ที่ว่างตรงกำแพงเกือบทั้งหมดถูกแต่งแต้มด้วยโปสเตอร์สีฟ้าพาสเทล โดยมีเนื้อความกำกับบนกระดาษว่า
“Friday 27th September
Prom night
At The Sky and Lotus night club
234 Wickham St, Fortitude Valley
A Special party that you will remember for a long time
No Admission / Start at 9.00 pm”
   นั่นแอบทำให้คนตัวเล็กแอบกุมขมับเล็กน้อย เพราะว่าวันดังกล่าวเขาดันต้องไปทำงานพิเศษแล้วไหนจะต้องไปจัดหาชุดที่จะไปงานอีก ดูท่าแล้วงานนี้เขาคงจะต้องทุบกระปุกออมสินที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาแรมเดือนเพื่องานนี้เป็นแน่
   “Um… Who is that guy? I hope that man will be suited for you but I hope he isn’t the same man of me.” (อืม... คนคนนั้นจะเป็นใครกันนะ ฉันหวังว่าเขาคนนั้นจะเหมาะสมกับเธอ แต่ยังไงก็ขอให้เขาคนนั้นไม่ใช่คนคนเดียวกับผู้ชายของฉันละกันนะ) ฮานะพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อพร้อมกับจบท้ายด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ดูเชือดเฉือนอยู่ในทีเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามแม้รอยยิ้มและแววตาของเธอจะไม่ได้สื่อ อะไรมากไปกว่าการพูดแซวกันเล่นๆ ของเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน แต่ทว่าคนที่มีชนักปักหลังอย่างธัน แค่คำพูดแค่นั้นมันก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้เขามีความรู้สึกละอายใจขึ้นมาอย่างท่วมท้น เหตุเพราะว่าผู้ชายของฮานะนั้นเป็นผู้ชายคนที่มักจะมาช่วยเขาในยามที่เขาเจอเหตุการณ์ที่ยากลำบาก เป็นคนเดียวกันกับที่มาคอยแกล้งแหย่พร้อมทั้งกวนประสาทเขาเมื่อยามเขารู้สึกเหงา ที่สำคัญที่สุดชายคนนี้ยังเป็นคนมอบรสจูบที่แสนวาบหวามและแสนหวาน อันทำให้เขาต้องตราตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ความรู้สึกอันงดงามก็ต้องสะดุดลงเพราะสายตาที่เว้าวอนจ้องจะเอาคำตอบจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา
   “I am sure. He isn’t Ruben” (ฉันมั่นใจว่าใครคนนั้นไม่ใช่รูเบนแน่นอน) ธันตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่พยายามประดิษฐ์ให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด แต่ภายในหัวใจกลับรู้สึกเจ็บแปลบ ยังไงไม่รู้เหมือนกัน
   “I think everyone knows about this Friday already. I just want to remind you of two things. First, don’t bring the alcohol to this party” (ผมคิดว่าทุกคนคงจะรู้เรื่องงานวันศูกร์นี้แล้ว มีสองสิ่งที่ผมอยากจะย้ำเตือนพวกคุณ ข้อแรกคือห้ามเอาแอลกฮอล์เข้ามาภายในงาน) อาจารย์แบร์พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูจริงจัง ซึ่งนั่นทำให้เขาได้รับเสียงโห่กลับมา
   “Second in our party has a lot of alcohol if you cannot drink it all I am not allowed you to go home. Boohoos see you, tomorrow guy.” (ข้อสองในงานของเรามีแอลกฮอลล์โคตรเยอะ ถ้าพวกนายดื่มไม่หมดล่ะก็ ฉันไม่อนุญาตให้กลับบ้านนะ วู้ฮู้ เจอกันวันพรุ่งนี้นะพวก) เสียงโห่ร้องด้วยความไม่พอใจเมื่อสักครู่ถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะและปรบมืออย่างชอบใจด้วยความรวดเร็วและกึกก้อง เมื่ออาจารย์หุ่นหมี พูดจบประโยค และก่อนที่แบร์จะเดินออกจากห้องเขาก็ทำท่าเต้น the floss เพื่อเรียกเสียงฮาอีกหนึ่งยก พร้อมกับกึ่งเต้นกึ่งเดินออกไปทั้งแบบนั้น
   “เฮ้ย เป็นไรปะเนี่ย” คนตัวกลมถามขึ้นด้วยสีหน้าแสดงความห่วงใย พร้อมกับสะกิดแขนคนตัวเล็กที่นั่งมองเหม่อออกไปยังหน้าต่าง เพราะตั้งแต่ขึ้นรถไฟมา ธันก็ได้ปลีกวิเวกไปนั่งฟังเพลงอยู่ในโลกส่วนตัว คนเดียวเงียบๆ และแม้เพื่อนแต่ละคนจะพยายามแวะเวียนเดินเข้ามาทักทายหยอกล้อ ธันก็ได้แต่พูดจา เออ ออ แบบขอไปที รวมถึงการส่งยิ้มที่ดูแห้งแล้งเกินพอดี ให้เพื่อนทุกคนที่เข้ามาไถ่ถาม จนเพื่อนๆ ต่างพากลุ้มใจเมื่อได้เห็นสภาพของคนตัวเล็กในตอนนี้ จึงพากันเดินไปเรียกแบมบูที่นั่งปลีกวิเวกอยู่คนเดียวในอีกฟากเช่นกัน ให้ไปนั่งเป็นเพื่อนและสอบถามมาด้วยว่าคนผิวแทนนั้นเป็นอะไรหรือเปล่า
   ภาพตัดมายามตะวันคล้อยบ่ายก่อนที่ทั้งหมดจะขึ้นมาบนรถไฟ โดยที่ช่วงเวลานี้กลุ่มนักเรียนส่วนมาก ก็จะออกจากโรงเรียนกันจนหมดแล้ว แต่วันนี้มันแปลกออกไป เพราะดันมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งขลุกกันอยู่ในแคนทีนของโรงเรียน โดยจุดศูนย์กลางของคนในวงก็คือสาวหมวยอินเตอร์ ที่กำลังเปิด I-pad หาสถานที่ท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ตกใกล้ๆ เมืองอยู่
   “I think we should go to the beach because that is the best place to see the sunset” (ฉันคิดว่าเราควรไปที่ทะเลนะ เพราะว่าจุดนั้นน่าจะสวยที่สุดแล้วในการชมพระอาทิตย์ตก) เตยที่ยืนอยู่ข้างๆ คนตัวเล็กและจุนพูดขึ้น
   “Yes, that true but it too late for this time. I think when we arrived. We will see the moon and the star instant of the sunset.” (ใช่ อันนั้นก็จริงแต่ว่าตอนนี้มันก็สายไปหน่อยนะที่จะไปทะเลน่ะ ถ้าไปถึงฉันคิดว่าเราจะได้ดูพระจันทร์แล้วก็ดาวแทนพระอาทิตย์ตกน่ะสิ) เดวิดที่ยืนอยู่ริมสุดขยับแว่นเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและจริงจังจนเพื่อนๆ ต่างพากันเห็นด้วยและพยักหน้าตามกันเป็นทิวแถว
   “How about the mount Gravatt?” (แล้วถ้าเป็นภูเขา Gravatt ล่ะ) จุนที่ยืนเงียบมาพักใหญ่ เสนอขึ้น
   “That good idea because it has a good cafe on that mountain too.” (เป็นความคิดที่ดีนะ เพราะบนภูเขามีคาเฟ่ดีๆ ตั้งอยู่ด้วยล่ะ) พี่ซีอิ๊วที่เอามือปัดไปมาบนไอแพดพูดขึ้นก่อนจะพลิกหน้าจอให้ทุกคนเห็น คาเฟ่ที่เธอกล่าวถึง
   “Wow that so beautiful. I want to go there” (ว้าวมันสาวยจังเลย ฉันอยากไปที่นั้นจัง) ฮานะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพี่ซีอิ๊วเอามือทาบอกด้วยความตื่นเต้น พร้อมกันนั้นก็ใช้น้ำเสียงและแววตาที่ออดอ้อน ส่งไปยังเพื่อนคนอื่นในวง
   “Ok, who want to go to mount Gravatt please thump up” (เอาล่ะ ใครอยากไปภูเขา Gravatt ได้โปรดยกนิ้วหัวแม่โป้งขึ้นครับ) คนตัวกลมที่พยายามทำหน้าตาให้ดูเคร่งขรึมและใช้คำพูดที่ดูเป็นทางการที่สุดเท่าที่เคยทำมา จนสามารถสร้างบรรยากาศการโหวตครั้งนี้ให้ดูสำคัญและจริงจังราวกับจะเป็นการตัดสินชะตาชีวิตของใครสักคนก็ไม่ปาน
   ซึ่งทุกคนที่ยืนล้อมวงอยู่ก็พยายามเล่นด้วย โดยการทำสีหน้าเคร่งขรึมตามแบมบู พร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นมาทีละคน ทีละคน เว้นเสียแต่คนผิวแทนที่ขำจนตัวสั่นตัวงอกับการแสดงออกของคนตัวกลมและเพื่อนแต่ละคนจนจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องจับมือของคนตัวเล็กขึ้นมาพร้อมกับง้างนิ้วโป้งขึ้นเพื่อให้การโหวตครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์เสียที
   “Thun, Can I beg you something?” (ธันฉันขอร้องอะไรเธออย่างได้ไหม) ฮานะรั้งแขนของคนตัวเล็กไว้ก่อนที่เขาจะก้าวออกจากห้องไปขึ้นรถไฟพร้อมกับเพื่อนคนอื่น
   “Sure what is that?” (ได้สิอะไรละ) คนตัวเล็กยิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับสาวญี่ปุ่นด้วยน้ำเสียงที่สดใส โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ฮานะจะพูดต่อจากนี้จะทำให้รอยยิ้มของเขาหายวับไปได้อย่างรวดเร็ว
   “When we are on the train can I sit with Ruben?” (ตอนที่เราอยู่บนรถไฟ ฉันขอนั่งคู่กับรูเบนได้ไหม) สาวญี่ปุ่นพูดขึ้นพร้อมกับเอียงคอเล็กๆ และมอบรอยยิ้มน้อยๆ ที่ทำให้ธันต้องกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก ก่อนจะพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ไม่สั่นไหวและตอบฮานะ กลับไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ เฉกเช่นเดียวกันว่า
   “But I am not Ruben this question you have to ask him not me.” (แต่ฉันไม่ใช่รูเบนนะ คำถามนี้เธอต้องเป็นคนถามรูเบนสิไม่ใช่ฉัน) คนตัวเล็กพูดอย่างช้าๆ และชัดๆ โดยไม่ให้มันดูเป็นการตอบรับหรือปฏิเสธแต่ประการใด
   “You and Ruben are close now. I think he will sit next to you on the train By the way if he doesn’t. I will ask that guy to swipe the seat for me.” (ก็ช่วงนี้เธอกับรูเบนค่อนข้างที่จะสนิทกันนี่นา ฉันเลยคิดว่าเขาจะต้องขอนั่งข้างเธอบนรถไฟอยู่แล้ว แต่ถึงเขาจะไม่นั่งกับเธอฉันก็จะไปขอแลกที่กับคนที่เขานั่งด้วยอยู่ดี) ฮานะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นๆ พร้อมกับระบายยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากและถึงแม้ในใจของคนตัวเล็กอยากจะพูดเป็นอย่างอื่นแต่สิ่งที่คนตัวเล็กพูดออกมานั้น ก็คงจะมีได้แค่คำว่า
   “Ok, I will change the seat with you if he sits next to me.”  (ได้สิฉันจะแลกที่นั่งกับเธอถ้ารูเบนนั่งข้างฉัน) คนตัวเล็กพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อยๆ และรอยยิ้มที่ดูฝืนๆ แต่ถึงกระนั้นสาวญี่ปุ่นก็ดูเหมือนจะไม่รับรู้อาการเหล่านั้นเอาเสียเลย หรือที่จริงอาจจะพยายามไม่รับรู้ก็เป็นได้ เพราะหลังจากที่คนผิวแทนตอบตกลง เธอก็เพียงแค่พูดขอบคุณและเดินตามเพื่อนที่เหลือไปทิ้งให้คนตัวเล็กยืนเบลออยู่ในห้องนั้นสักพักใหญ่ จนแบมบูต้องโทรขึ้นมาตามถึงจะมีสติรู้ตัวเดินตามลงมาได้
   และมันก็เหมือนกับเธอสามารถอ่านกระดานหมากล้อมได้อย่างเฉียบขาด เพราะทันทีที่คณะเดินทางก้าวข้ามจากชานชาลาขึ้นมายังรถม้าเหล็ก คนตาฟ้าก็เดินเบียดแซงคนอื่นๆ ที่เดินอยู่ข้างหน้า จนสามารถเดินตีคู่ขึ้นมาหาคนตัวเล็กเพียงเพื่อว่าจะได้นั่งติดกัน

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
   “เป๊าะ แป๊ะ เป๊าะ แป๊ะ เป๊าะ แป๊ะ” เสียงสายฝนแรกของฤดูใบไม้ผลิตกลงมากระทบกับพื้นถนนและหลังคาตรงตรอกแคบข้างๆ ร้านอาหารไทย ณ สยาม ซึ่งหากเราสังเกตดูให้ดี ก็จะเห็นเงาตะคุ่มๆ ของคนอยู่สองคนกำลังวิวาททุ่มเถียงกันอยู่
   “ทำไมมึงถึงทำแบบนี้วะ ก็กูบอกมึงไปตั้งแต่ครั้งแรกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าคนเนี้ยกูหวง คนเนี้ยกูจอง” เสียงของเงาทางด้านขวามือตะโกนใส่อีกเงาอีกดวง ด้วยเสียงตวาดจากความโกรธปนด้วยผิดหวัง
   “ผมเองก็พยายามอยู่ห่างเขา และพูดกับเขาน้อยที่สุดแล้วนะพี่เพราะผมรู้ว่าพี่ชอบ แต่ผมแม่งหักห้ามใจตัวเองไม่ได้ว่ะพี่ สุดท้ายแล้วเรื่องของหัวใจยังไงมันก็ห้ามกันไม่ได้รึเปล่าวะ เหมือนที่พี่ก็พยายามตามติด ตามคุยกับเขาเต็มที่แล้วแต่เขาก็ไม่เคยมองมาเลยไม่ใช่รึไง” น้ำเสียงและแววตาอันมั่นคงและหนักแน่น ถูกพูดออกมาจากปากของอีกฝ่ายอย่างไม่มีทีท่าหวาดกลัวหรือสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
   “อ้าว ถ้าพูดเหี้ยๆ แบบนี้ก็คงจะได้กินกำปั้นสักหมัดสองหมัดล่ะวะ” ฝ่ายแรกพูดด้วยน้ำเสียงที่เหี้ยมเกรียมกว่าเดิมและเดินสาวเท้าเข้าใกล้คนที่เป็นฝ่ายตั้งรับด้วยท่าทีคุกคามอย่างยิ่งยวด
   “เอาเลยพี่ ผมเตรียมใจมาแล้ว และผมก็จะไม่ต่อยสวนพี่ด้วย เพราะเรื่องนี้ผมแม่งผิดเอง แต่ผมจะบอกอะไรให้อย่างนะ ต่อให้พี่จะกระทืบผมให้ตายผมก็จะไม่หนีความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว” คนที่ถูกประชิดตัวหลับตา พร้อมกับขบกรามแน่น โดยหวังว่าคนที่เดินเข้ามาจะไม่ต่อยเขาจนถึงตาย เพราะถึงยังไงทั้งสองคนก็มีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด แต่เมื่อทั้งคู่ดันเผลอหัวใจไปรักคนคนเดียวกันมันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องมาแก้ปัญหาดังกล่าวกันด้วยการใช้กำลังในแบบที่ลูกผู้ชายเขาทำกัน
   “เปรี้ยง”เสียงหมัดกระแทกเข้ากับอะไรสักอย่าง อะไรสักอย่างที่ไม่ใช่ใบหน้าของคนที่กำลังกัดกรามอยู่ และเมื่อคนที่หลับตาค่อยๆ บรรจงเอามือจับที่ใบหน้าของตัวเองก็ค้นพบว่าไม่มีจุดไหนที่เจ็บหรือปวดเลย ซึ่งเมื่อลืมตาขึ้นมาดูก็พบว่าเสียงดังกล่าวนั้นเกิดจากหมัดของอีกฝ่ายที่จงใจ ชกเฉียดไปยังกำแพงที่ตั้งอยู่ด้านข้างแทนที่จะเป็นใบหน้าของเขา
   “เออ มึงเองก็พูดถูก เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ แล้วการที่กูจะต่อยหน้ามึงเพราะมึงเป็นศัตรูหัวใจของกูแม่งก็เด็กเกินไป อีกอย่างมันก็ไม่ได้ทำให้น้องเขาหันมาชอบกูมากขึ้นด้วย เผลอๆ ถ้าหน้ามึงแหกแล้วน้องเขารู้ว่าใครทำ เขาอาจจะหันมาเกลียดกูไปเลยก็ได้ ต่อจากนี้มึงจะเอายังไงก็เรื่องของมึงละกัน” คนพูดถอนหมัดออกมาจากกำแพงซึ่งพอหลังมือโดนเข้ากับหยาดฝนก็ทำให้เจ้าของมือต้องหันมาเป็นฝ่ายกัดฟันซะเองด้วยความเจ็บและแสบ
   “ขอบคุณนะพี่ที่เข้าใจผม” รอยยิ้มที่ดูโล่งอกถูกเผยให้เห็นเมื่อหมัดของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่บนหน้าของตัวเอง และมันแปรเปลี่ยนไปเป็นความสุขใจยิ่งขึ้นเมื่อเขาลองใช้สมองคิดทบทวนคำพูดของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนกับเป็นการพูดกลายๆ ว่าต่อจากนี้เขาสามารถเดินหน้าจีบคนในหัวใจโดยไม่ต้องเกรงใจใครอีกแล้ว
   “แต่กูเองก็จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ ต่อให้เขาจะไม่สนใจกูก็เหอะ ยังไงกูก็จะพยายาม ในแบบของกูเอง และถ้ากูพอมีวาสนาอยู่บ้างกูก็อาจจะได้ใจน้องเขามาครองก็ได้ มึงเองก็อย่าประมาทไปละ” เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังและก้าวเดินจากไป แต่ก่อนที่เท้าของเขาจะก้าวพ้นออกจากตรอกนั้นเสียงของอีกฝ่ายก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
   “ลองทำให้เต็มที่แล้วกันนะพี่ ผมเอาใจช่วย เพราะว่าทางฝั่งของผมเนี่ยดูแล้วท่าจะชนะ ใสๆ ว่ะ” เงาที่ยังหยุดนิ่งท่ามกลางสายฝนที่ยังเทลงมาอย่างไม่หยุดหย่อนตะโกนไล่หลังเงาที่กำลังจะเดินจากไปด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ซึ่งคนที่กำลังจะเดินจากไปก็ได้หยุดกึกเหมือนกับว่าเท้านั้นตกหล่ม ก่อนที่จะหันมาโชว์นิ้วกลางให้เจ้าของเสียงตะโกนและก้าวเดินต่อไป ทิ้งให้คนที่เพิ่งได้รับของขวัญ หัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างชอบใจแข่งกับเสียงของสายฝนที่ดูทีท่าแล้วไม่น่าจะหยุดตกในค่ำคืนนี้เป็นแน่
   “That Charms really cute, Thun” (จี้อันนี้ของเธอน่ารักจังเลยนนะ ธัน) เสียงของสาวญี่ปุ่นดังขึ้นด้านหลังคนตัวเล็ก ที่กำลังนั่งเอามือเกยคางพร้อมกับหมุนจี้ข้อมืออันล่าสุดที่ได้รับมาอย่างปริศนา ด้วยสีหน้ากึ่งมีความสุขและกึ่งสงสัยอยู่ในที
   “Oh, Hi Hanna what do you have for this morning” (อ้าว ไงฮาน่า เธอมีอะไรเป็นอาหารเช้าวันนี้ละ) ธันหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะโบกไม้โบกมือทักทายพร้อมกันนั้นก็ยิ้มให้สาวเจ้าจนตาหยี
   “Haha, it is a normal sandwich and where did you buy it. I mean your charm” (ฮ่าฮ่า ไม่มีอะไรพิเศษหรอกก็แค่แซนด์วิชปกติแหละ ว่าแต่เธอซื้อจี้อันนี้ที่ไหนเหรอ) ฮานะถามขึ้นขณะรีบยัดแซนด์วิชเข้าปากอย่างเร่งรีบ เหตุเพราะว่าเธอเหลือเวลาในการกินอีกแค่ สิบนาทีก่อนที่คลาสเรียนจะเริ่มขึ้น
   “I don’t know someone gave it to me” (ฉันไม่รู้ ใครบางคนให้ฉันมาน่ะ) คนตัวเล็กตอบคำถามพร้อมกับกวาดสายตาไปยังทางเดิน ซึ่งตอนนี้ที่ว่างตรงกำแพงเกือบทั้งหมดถูกแต่งแต้มด้วยโปสเตอร์สีฟ้าพาสเทล โดยมีเนื้อความกำกับบนกระดาษว่า
“Friday 27th September
Prom night
At The Sky and Lotus night club
234 Wickham St, Fortitude Valley
A Special party that you will remember for a long time
No Admission / Start at 9.00 pm”
   นั่นแอบทำให้คนตัวเล็กแอบกุมขมับเล็กน้อย เพราะว่าวันดังกล่าวเขาดันต้องไปทำงานพิเศษแล้วไหนจะต้องไปจัดหาชุดที่จะไปงานอีก ดูท่าแล้วงานนี้เขาคงจะต้องทุบกระปุกออมสินที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาแรมเดือนเพื่องานนี้เป็นแน่
   “Um… Who is that guy? I hope that man will be suited for you but I hope he isn’t the same man of me.” (อืม... คนคนนั้นจะเป็นใครกันนะ ฉันหวังว่าเขาคนนั้นจะเหมาะสมกับเธอ แต่ยังไงก็ขอให้เขาคนนั้นไม่ใช่คนคนเดียวกับผู้ชายของฉันละกันนะ) ฮานะพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อพร้อมกับจบท้ายด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ดูเชือดเฉือนอยู่ในทีเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามแม้รอยยิ้มและแววตาของเธอจะไม่ได้สื่อ อะไรมากไปกว่าการพูดแซวกันเล่นๆ ของเพื่อนในกลุ่มที่สนิทกัน แต่ทว่าคนที่มีชนักปักหลังอย่างธัน แค่คำพูดแค่นั้นมันก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้เขามีความรู้สึกละอายใจขึ้นมาอย่างท่วมท้น เหตุเพราะว่าผู้ชายของฮานะนั้นเป็นผู้ชายคนที่มักจะมาช่วยเขาในยามที่เขาเจอเหตุการณ์ที่ยากลำบาก เป็นคนเดียวกันกับที่มาคอยแกล้งแหย่พร้อมทั้งกวนประสาทเขาเมื่อยามเขารู้สึกเหงา ที่สำคัญที่สุดชายคนนี้ยังเป็นคนมอบรสจูบที่แสนวาบหวามและแสนหวาน อันทำให้เขาต้องตราตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ความรู้สึกอันงดงามก็ต้องสะดุดลงเพราะสายตาที่เว้าวอนจ้องจะเอาคำตอบจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา
   “I am sure. He isn’t Ruben” (ฉันมั่นใจว่าใครคนนั้นไม่ใช่รูเบนแน่นอน) ธันตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่พยายามประดิษฐ์ให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด แต่ภายในหัวใจกลับรู้สึกเจ็บแปลบ ยังไงไม่รู้เหมือนกัน
   “I think everyone knows about this Friday already. I just want to remind you of two things. First, don’t bring the alcohol to this party” (ผมคิดว่าทุกคนคงจะรู้เรื่องงานวันศูกร์นี้แล้ว มีสองสิ่งที่ผมอยากจะย้ำเตือนพวกคุณ ข้อแรกคือห้ามเอาแอลกฮอล์เข้ามาภายในงาน) อาจารย์แบร์พูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูจริงจัง ซึ่งนั่นทำให้เขาได้รับเสียงโห่กลับมา
   “Second in our party has a lot of alcohol if you cannot drink it all I am not allowed you to go home. Boohoos see you, tomorrow guy.” (ข้อสองในงานของเรามีแอลกฮอลล์โคตรเยอะ ถ้าพวกนายดื่มไม่หมดล่ะก็ ฉันไม่อนุญาตให้กลับบ้านนะ วู้ฮู้ เจอกันวันพรุ่งนี้นะพวก) เสียงโห่ร้องด้วยความไม่พอใจเมื่อสักครู่ถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะและปรบมืออย่างชอบใจด้วยความรวดเร็วและกึกก้อง เมื่ออาจารย์หุ่นหมี พูดจบประโยค และก่อนที่แบร์จะเดินออกจากห้องเขาก็ทำท่าเต้น the floss เพื่อเรียกเสียงฮาอีกหนึ่งยก พร้อมกับกึ่งเต้นกึ่งเดินออกไปทั้งแบบนั้น
   “เฮ้ย เป็นไรปะเนี่ย” คนตัวกลมถามขึ้นด้วยสีหน้าแสดงความห่วงใย พร้อมกับสะกิดแขนคนตัวเล็กที่นั่งมองเหม่อออกไปยังหน้าต่าง เพราะตั้งแต่ขึ้นรถไฟมา ธันก็ได้ปลีกวิเวกไปนั่งฟังเพลงอยู่ในโลกส่วนตัว คนเดียวเงียบๆ และแม้เพื่อนแต่ละคนจะพยายามแวะเวียนเดินเข้ามาทักทายหยอกล้อ ธันก็ได้แต่พูดจา เออ ออ แบบขอไปที รวมถึงการส่งยิ้มที่ดูแห้งแล้งเกินพอดี ให้เพื่อนทุกคนที่เข้ามาไถ่ถาม จนเพื่อนๆ ต่างพากลุ้มใจเมื่อได้เห็นสภาพของคนตัวเล็กในตอนนี้ จึงพากันเดินไปเรียกแบมบูที่นั่งปลีกวิเวกอยู่คนเดียวในอีกฟากเช่นกัน ให้ไปนั่งเป็นเพื่อนและสอบถามมาด้วยว่าคนผิวแทนนั้นเป็นอะไรหรือเปล่า
   ภาพตัดมายามตะวันคล้อยบ่ายก่อนที่ทั้งหมดจะขึ้นมาบนรถไฟ โดยที่ช่วงเวลานี้กลุ่มนักเรียนส่วนมาก ก็จะออกจากโรงเรียนกันจนหมดแล้ว แต่วันนี้มันแปลกออกไป เพราะดันมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่นั่งขลุกกันอยู่ในแคนทีนของโรงเรียน โดยจุดศูนย์กลางของคนในวงก็คือสาวหมวยอินเตอร์ ที่กำลังเปิด I-pad หาสถานที่ท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ตกใกล้ๆ เมืองอยู่
   “I think we should go to the beach because that is the best place to see the sunset” (ฉันคิดว่าเราควรไปที่ทะเลนะ เพราะว่าจุดนั้นน่าจะสวยที่สุดแล้วในการชมพระอาทิตย์ตก) เตยที่ยืนอยู่ข้างๆ คนตัวเล็กและจุนพูดขึ้น
   “Yes, that true but it too late for this time. I think when we arrived. We will see the moon and the star instant of the sunset.” (ใช่ อันนั้นก็จริงแต่ว่าตอนนี้มันก็สายไปหน่อยนะที่จะไปทะเลน่ะ ถ้าไปถึงฉันคิดว่าเราจะได้ดูพระจันทร์แล้วก็ดาวแทนพระอาทิตย์ตกน่ะสิ) เดวิดที่ยืนอยู่ริมสุดขยับแว่นเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและจริงจังจนเพื่อนๆ ต่างพากันเห็นด้วยและพยักหน้าตามกันเป็นทิวแถว
   “How about the mount Gravatt?” (แล้วถ้าเป็นภูเขา Gravatt ล่ะ) จุนที่ยืนเงียบมาพักใหญ่ เสนอขึ้น
   “That good idea because it has a good cafe on that mountain too.” (เป็นความคิดที่ดีนะ เพราะบนภูเขามีคาเฟ่ดีๆ ตั้งอยู่ด้วยล่ะ) พี่ซีอิ๊วที่เอามือปัดไปมาบนไอแพดพูดขึ้นก่อนจะพลิกหน้าจอให้ทุกคนเห็น คาเฟ่ที่เธอกล่าวถึง
   “Wow that so beautiful. I want to go there” (ว้าวมันสาวยจังเลย ฉันอยากไปที่นั้นจัง) ฮานะที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพี่ซีอิ๊วเอามือทาบอกด้วยความตื่นเต้น พร้อมกันนั้นก็ใช้น้ำเสียงและแววตาที่ออดอ้อน ส่งไปยังเพื่อนคนอื่นในวง
   “Ok, who want to go to mount Gravatt please thump up” (เอาล่ะ ใครอยากไปภูเขา Gravatt ได้โปรดยกนิ้วหัวแม่โป้งขึ้นครับ) คนตัวกลมที่พยายามทำหน้าตาให้ดูเคร่งขรึมและใช้คำพูดที่ดูเป็นทางการที่สุดเท่าที่เคยทำมา จนสามารถสร้างบรรยากาศการโหวตครั้งนี้ให้ดูสำคัญและจริงจังราวกับจะเป็นการตัดสินชะตาชีวิตของใครสักคนก็ไม่ปาน
   ซึ่งทุกคนที่ยืนล้อมวงอยู่ก็พยายามเล่นด้วย โดยการทำสีหน้าเคร่งขรึมตามแบมบู พร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นมาทีละคน ทีละคน เว้นเสียแต่คนผิวแทนที่ขำจนตัวสั่นตัวงอกับการแสดงออกของคนตัวกลมและเพื่อนแต่ละคนจนจุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องจับมือของคนตัวเล็กขึ้นมาพร้อมกับง้างนิ้วโป้งขึ้นเพื่อให้การโหวตครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์เสียที
   “Thun, Can I beg you something?” (ธันฉันขอร้องอะไรเธออย่างได้ไหม) ฮานะรั้งแขนของคนตัวเล็กไว้ก่อนที่เขาจะก้าวออกจากห้องไปขึ้นรถไฟพร้อมกับเพื่อนคนอื่น
   “Sure what is that?” (ได้สิอะไรละ) คนตัวเล็กยิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับสาวญี่ปุ่นด้วยน้ำเสียงที่สดใส โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ฮานะจะพูดต่อจากนี้จะทำให้รอยยิ้มของเขาหายวับไปได้อย่างรวดเร็ว
   “When we are on the train can I sit with Ruben?” (ตอนที่เราอยู่บนรถไฟ ฉันขอนั่งคู่กับรูเบนได้ไหม) สาวญี่ปุ่นพูดขึ้นพร้อมกับเอียงคอเล็กๆ และมอบรอยยิ้มน้อยๆ ที่ทำให้ธันต้องกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก ก่อนจะพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ไม่สั่นไหวและตอบฮานะ กลับไปด้วยรอยยิ้มเล็กๆ เฉกเช่นเดียวกันว่า
   “But I am not Ruben this question you have to ask him not me.” (แต่ฉันไม่ใช่รูเบนนะ คำถามนี้เธอต้องเป็นคนถามรูเบนสิไม่ใช่ฉัน) คนตัวเล็กพูดอย่างช้าๆ และชัดๆ โดยไม่ให้มันดูเป็นการตอบรับหรือปฏิเสธแต่ประการใด
   “You and Ruben are close now. I think he will sit next to you on the train By the way if he doesn’t. I will ask that guy to swipe the seat for me.” (ก็ช่วงนี้เธอกับรูเบนค่อนข้างที่จะสนิทกันนี่นา ฉันเลยคิดว่าเขาจะต้องขอนั่งข้างเธอบนรถไฟอยู่แล้ว แต่ถึงเขาจะไม่นั่งกับเธอฉันก็จะไปขอแลกที่กับคนที่เขานั่งด้วยอยู่ดี) ฮานะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นๆ พร้อมกับระบายยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากและถึงแม้ในใจของคนตัวเล็กอยากจะพูดเป็นอย่างอื่นแต่สิ่งที่คนตัวเล็กพูดออกมานั้น ก็คงจะมีได้แค่คำว่า
   “Ok, I will change the seat with you if he sits next to me.”  (ได้สิฉันจะแลกที่นั่งกับเธอถ้ารูเบนนั่งข้างฉัน) คนตัวเล็กพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อยๆ และรอยยิ้มที่ดูฝืนๆ แต่ถึงกระนั้นสาวญี่ปุ่นก็ดูเหมือนจะไม่รับรู้อาการเหล่านั้นเอาเสียเลย หรือที่จริงอาจจะพยายามไม่รับรู้ก็เป็นได้ เพราะหลังจากที่คนผิวแทนตอบตกลง เธอก็เพียงแค่พูดขอบคุณและเดินตามเพื่อนที่เหลือไปทิ้งให้คนตัวเล็กยืนเบลออยู่ในห้องนั้นสักพักใหญ่ จนแบมบูต้องโทรขึ้นมาตามถึงจะมีสติรู้ตัวเดินตามลงมาได้
   และมันก็เหมือนกับเธอสามารถอ่านกระดานหมากล้อมได้อย่างเฉียบขาด เพราะทันทีที่คณะเดินทางก้าวข้ามจากชานชาลาขึ้นมายังรถม้าเหล็ก คนตาฟ้าก็เดินเบียดแซงคนอื่นๆ ที่เดินอยู่ข้างหน้า จนสามารถเดินตีคู่ขึ้นมาหาคนตัวเล็กเพียงเพื่อว่าจะได้นั่งติดกัน
   “Hi” รูเบนพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มและน้ำเสียงที่นุ่มนวลดั่งเช่นทุกที และ นั่นก็ทำให้คนตัวเล็กเผลอยิ้มตอบและตอบกลับเขาไปด้วยน้ำเสียงที่สดใสและอมยิ้มเล็กๆที่มุมปากเช่นกัน
   “Hi” คนตัวเล็กพูดพร้อมกับก้มหน้าหลบสายตาของรูเบนที่ตอนนี้ ดูซุกซนเหมือนกันกับลิงไม่มีผิด เพราะเขาเอาแต่มองจ้องหน้าคนตัวเล็กไม่หยุด และแม้คนตัวเล็กจะหันหน้าหนีไปทางอื่น เขาก็ยังไล่ต้อนตามไปจนคนตัวเล็กหน้าเริ่มขึ้นสีทีละเล็กทีละน้อย
   “Thun” (ธัน) เสียงเล็กๆ หวานๆ ดังแว่วขึ้นมาระหว่างทางเดินตรงช่วงปลายที่นั่งของทั้งสองคน และแถบไม่ต้องหันไปมองคนตัวเล็กก็สามารถเดาได้ไม่ยากว่ามันเป็นเสียงของผู้ใด ใช่ เสียงของคนๆ นี้เป็นคนเดียวกันกับที่ครั้งหนึ่ง คนผิวแทนชอบที่จะฟังเพราะมันเป็นเสียงที่ น่ารัก และสดใส บวกกับบุคลิกของเจ้าของเสียงที่ดูเข้าถึงง่ายและอ่อนโยน มันก็คงไม่แปลกที่เธอคนนี้จะมีเพื่อนสนิทหลากหลายคนคอยโอบอุ้ม และรายล้อมอยู่รอบตัวเธอเสมอ ซึ่งหนึ่งในเพื่อนสนิทที่ดันไปรับปากกับสิ่งที่ขัดกันกับใจตัวเองอย่างถึงที่สุดก็คงหนีไม่พ้น เป็นคนผิวแทนที่กำลังนั่งทำหน้าลำบากใจอยู่ในตอนนี้
   “Hana. Why you don’t take any seat? The train going to leave soon.” (ฮาน่า ทำไมเธอยังไม่ไปหาที่นั่งอีกละรถไฟกำลังจะออกในไม่ช้านี้แล้วนะ) หลังจากสิ้นเสียงของคนที่กำลังยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในตอนนี้ ก็เห็นจะมีแต่เพียงความเงียบและความกระอักกระอ่วกใจ ที่ลอยวนอยู่เหนือหัวของคนทั้งสาม จนสุดท้ายก็ต้องเป็นคนตาฟ้าที่เอ่ยปากไถ่ถามเพื่อทำลายก้อนเมฆอันน่าอึดอันใจนี้ออกไป
   “Don’t worry Ruben, I have chosen my seat before we are here. Is that right? Thun” (ไม่ต้องห่วงหรอกรูเบน ฉันเลือกที่นั่งเอาไว้ก่อนที่เราจะถึงที่นี่ซะอีก ใช่ไหมธัน?) ฮานะหันไปตอบคนผมสีวอลนัทก่อนจะเอียงหน้าที่ยังฉาบไปด้วยรอยยิ้ม กลับมาทางธัน
   “Yes it is and this is your seat” (ใช่แล้วและนี่ก็คือที่นั่งของเธอไง) คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับสวมหน้ากากแห่งรอยยิ้มที่ดูจะฝืนใจอยู่ไม่น้อย พร้อมกันนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเดินเบี่ยงตัวออกจากฮานะก่อนที่จะเดินหายเข้าไปยังทางเชื่อมโบกี้รถไฟขบวนข้างๆ โดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ส่วนทางด้านคนตัวสูง ก็พยายามตะโกนเรียกชื่อของคนตัวเล็กออกมาอย่างสุดเสียงซึ่งในขณะที่คนตาฟ้าพยายามจะเดินตามไปเขาก็ถูกมือของเล็กๆ ของฮานะจับเอาไว้พร้อมกับส่งสายตาวิงวอนกลับมาซะก่อน
   “ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่มึง” คนตัวเล็กตอบคนตัวกลมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยขณะที่สายตาก็ยังจับจ้องวิวทิวทัศน์ที่ค่อยๆ เปลี่ยนผ่านไปเรื่อยๆ ทางด้านนอกของตัวรถไฟ
   “ไม่ได้เป็นอะไรแล้วทำไมไม่กลับไปนั่งกับเพื่อนๆ ละ คนอื่นเขาเป็นห่วงเธออยู่นะรู้ไหม” คนตัวกลมที่เริ่มจะวางสายตาไว้ทางด้านนอกขบวนรถไฟ ตามคนตัวเล็กบ้าง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คล้ายคนกำลังจะหมดแรงไม่แตกต่างอะไรจากคนผิวแทนเลย
   “คนที่ขึ้นมาก็ปลีกวิเวกไปนั่งคนเดียว ไม่น่าจะมีสิทธิ์มาพูดกับฉันแบบนี้นะพูดถึง” ธันถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะหันกลับเข้ามายังขบวนรถและยิ้มให้กับแบมบูที่จ้องมองและยิ้มกลับมาให้ธันอยู่เช่นเดียวกัน
   “ของพี่น่ะมันก็ยังแลดูมีความหวังอยู่ไม่ใช่เหรอ ดูผู้ชายเขาก็มีใจให้เธอเยอะอยู่นี่ แต่ของน้องนี่สิมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยนะ” คนตัวกลมพูดอย่างปลงๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
   “ใครว่าล่ะ ฉันเองก็ไม่มีหวังเหมือนกันแหละ ต่อให้ผู้ชายเขาจะคิดกับฉันเหมือนที่เธอพูด แต่ฉันก็ไม่อยากจะทำลายสายสัมพันธ์ของกลุ่มเราลงไปเพราะผู้ชายแค่คนเดียวหรอกนะ” ธันก้มหน้ามองพื้นพร้อมกับยิ้มปลอบใจให้ตัวเอง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความรู้สึกที่ดูหลากหลาย แต่ส่วนผสมหลักของความรู้สึกนั้นน่าจะเป็นความไม่สบายใจและอึดอัดใจ
   “แล้วตัวเธอเองล่ะ ความรู้สึกของเธอมันบอกว่ายังไง เธอจะหยุดสายสัมพันธ์ที่เธอมีต่อเขา เพียงเพราะเพื่อนเธอชอบเขา แบบนี้มันถูกแล้วเหรอ” แบมบูยังไม่หยุดเอ่ยถาม แม้เขาเองจะเห็นสีหน้าและแววตาเศร้าหมองของคนตัวเล็ก ที่ไม่พร้อมจะตอบคำถามก็ตาม ทว่าคนตัวกลมอยากให้คนตัวเล็กรู้หัวใจตัวเองให้ได้ แม้มันจะทำให้คนผิวแทนรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นก็ตาม
   “แล้วฉันจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้เหรอ ในเมื่อฮานะเป็นคนพูดออกมาอย่างชัดเจนกับฉันมาสักพักแล้ว ว่าเธอชอบรูเบนน่ะ ยังไงฉันก็ต้องให้เธอได้ลองพิสูจน์ตัวเองให้ถึงที่สุดก่อนล่ะนะ” คนตัวเล็กตอบก่อนจะหันกลับไปมองยังด้านนอกหน้าต่างเพื่อเป็นการสื่อกับคู่สนทนาว่าเขาไม่พร้อมจะรับฟังอะไรอีกแล้ว
   “เออ ก็ตามใจแล้วกัน น้องก็คงพูดอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ” คนตัวกลมทิ้งท้ายด้วยการถอนหายใจออกมา ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตนที่อีกฝากหนึ่งของโบกี้รถไฟ
   “มันก็คงดีที่สุดสำหรับทุกคนแล้วละมั้ง” คนตัวเล็กมองไปยังเงาสะท้อนของตัวเองผ่านกระจกรถไฟ พร้อมกับส่งยิ้มที่ดูแสนเศร้าอย่างสุดแสน กลับไปยังเงาสะท้อนนั้น
   The Lovewell Project cafes เป็นร้านกาแฟที่ตั้งอยู่บนภูเขา Gravatt ซึ่งความพิเศษของตัวร้านที่ทำให้ผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างคอยแวะเวียนเข้ามา ชิมกาแฟและเบเกอรี่กันอย่างไม่ขาดสาย นอกจากจะเป็นเรื่องของ ความสดใหม่ ความอร่อย และความหลากหลายของสินค้าแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลก็คือเรื่องของวิวทิวทัศน์อันงดงามที่ทางร้านได้มอบให้ เพราะถึงแม้ว่าร้านจะตกแต่งแบบธรรมดา ไม่ได้มีอะไรพิเศษหวือหวา แต่ทว่าด้านหลังของตัวร้านนั้น มีส่วนที่ยื่นออกจากภูเขาไปเกือบครึ่ง ซึ่งคนสร้างและคนออกแบบใช้หลักการด้านวิศวกรรมและฟิสิกส์อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้ตัวร้านนั้นตั้งอยู่ได้อย่างมั่นคงแข็งแรง และไม่ถล่มลงมาแม้วันที่มีพายุโหมกระหน่ำหรือวันที่มีลูกค้ามายืนออกันแน่นขนัดเพื่อรอชมภาพพระอาทิตย์ลับของฟ้า เฉกเช่นวันนี้
   “อร่อยอยู่นะ ช็อคโกแลตมินต์ปั่นเนี่ย” เตยที่แอบเนียนกินน้ำในแก้วของคนตัวเล็กพูดขึ้นก่อนจะส่งยิ้มที่มีเศษช็อคโกแลตสีดำติดตามซอกฟัน ให้คนตัวเล็กที่กำลังพยายามกลั้นขำอย่างสุดกำลังอยู่
   เมื่อลงจากรถไฟ คนตัวเล็กก็พยายามข่มอารมณ์สับสนและขุ่นมัวของตนเอาไว้ข้างใน ก่อนจะเดินเข้าไปสมทบกับเพื่อนๆ ที่ยืนรออยู่ด้านล่าง ทุกอย่างดูกลับไปสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว หากไม่นับการที่คนผิวแทนพยายามหลบสายตาของคนตัวสูงที่พยายามจ้องมองมาทางเขา โดยไม่สนใจสาวญี่ปุ่นที่เดินขนาบข้างตนอยู่แม้แต่น้อย จนถึงการเลือกที่นั่ง ธันเองก็พยายามเลือกที่นั่งให้ห่างจากทั้งคู่ให้ได้มากที่สุด ยิ่งโต๊ะเป็นโต๊ะแบบบาร์ยาวนั่งเรียงหนึ่งด้วยแล้ว ระยะห่างระหว่างคนตัวเล็กและคนตัวสูงจึงกลายเป็นหัวโต๊ะและหางโต๊ะไปโดยปริยาย
   “Ew… That so disgusting. Can you stop it?” (แหวะ น่าขยะแขยงชะมัด หยุดทำได้ไหมเนี่ย) เดวิดที่นั่งอยู่ข้างๆ เตยทำหน้าขยะแขยงคล้ายจะอาเจียน กับการเล่นมุขตลกสกปรกของคนแว่นใหญ่หัวฟู และนั่นก็ทำให้เตยเปลี่ยนเป้าหมายใหม่โดยการไปแย่งขนมเค้กชาเขียว ในจานของหนุ่มไต้หวันกินแทนทั้งๆ ที่ตนก็มีทั้งลาเต้เย็นและมูสช็อคโกแลตเค้กอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ
   “อย่าแกล้งเพื่อนสิแก” เป็นพี่ซีอิ๊วที่อยู่ที่นั่งถัดไป ต้องพูดปรามสาวหัวฟู และเมื่อเธอได้ยินดังนั้นแล้วจึงหยุดแกล้งหนุ่มแว่นลงได้
   “Guys look at the sunset.” (พวกเราดูพระอาทิตย์ตกสิ) จุนชี้ไปที่พระอาทิตย์ที่กำลังเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ จนสีเหลืองที่เคยส่องสว่างเมื่อยามกลางวันค่อยๆ ถูกยามราตรีกลืนจนเป็นสีส้มและค่อยๆ กลายเป็นสีดำตามลำดับ
   “สวยจังนะ / that is beautiful” ธันและรูเบนพูดอุทานขึ้นมาแทบจะในนาทีเดียวกันและนั่นก็ทำให้ทั้งคู่ หันไปหาเจ้าของเสียงอีกคนแทบจะในทันที และเมื่อนัยส์ตาของทั้งคู่ประสานกันเวลารอบข้างก็ดูเหมือนจะถูกหยุดลงไปในห้วงวินาทีนั้น สายตาของคนผมสีวอลนัทที่ส่งไปยังคนผิวแทนนั้นเต็มไปด้วยคำถามและการตัดพ้ออย่างยิ่งยวด จนคนตัวเล็กต้องเป็นฝ่ายที่ค่อยๆ หลบสายตาออกมาอย่างช้าๆ
   ซึ่งตอนนี้คำถามที่คนตัวเล็กมีขึ้นมาในหัวช่วงพักหลังๆ ก็ได้รับคำตอบเสียที คำถามนั้นเป็นคำถามที่ว่า กำแพงเล็กๆ ระหว่างคนตัวเล็กและคนตาฟ้านั้นคืออะไร และถึงแม้ว่าธันจะไม่รู้ว่ากำแพงในส่วนของรูเบนจะเป็นอะไร หรือเป็นใคร แต่ในส่วนของธันนั้นแน่ชัดแล้วว่ากำแพงใสของเขานั้นคือมิตรภาพ ระหว่างเขาและฮานะ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
บอกก่อนแล้วไง สุดท้ายใครเป็นคนเลือก

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

สรุปว่า...อิตารูเบน  พูดไทยได้ปร๋อเลยสินะ   เห็นทะเลาะกับอิพี่อ้นเป็นภาษาไทยชนิดน้ำไหลไฟดับ

แหม่.....แล้วทำเป็นเก๊กไม่พูดไทยกับนุ้งธันบนเครื่องบิน  ชิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
:pig4: :pig4: :pig4: เอ เงานั้นจะใช้รูเบนไหมน้า?

สรุปว่า...อิตารูเบน  พูดไทยได้ปร๋อเลยสินะ   เห็นทะเลาะกับอิพี่อ้นเป็นภาษาไทยชนิดน้ำไหลไฟดับ

แหม่.....แล้วทำเป็นเก๊กไม่พูดไทยกับนุ้งธันบนเครื่องบิน  ชิ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
รูเบน นี่เนื้อหอมจริงนะ อย่างนะคนหล่อเลือกได้
ฮานะ ไม่ผิดหรอกที่จะชอบรูเบน เธอเป็นคนมั่นใจและมีความมุ่งมั่น
ธัน ของเราพอนึกออกไม่ว่าจะเป็นตอนเดือดร้อน มักจะมีรูเบนมาอยู่ข้างๆ เสมอ
ทั้งนี้ อยู่ที่คนกลางละนะ ว่าหัวใจตัวเองอยู่ที่ไหน
 :man1: :man1: :man1:

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
“ฮิกันบานะแดง
ออกดอกงดงามอยู่ริมรั้ว
เร้นพิษซ่อนไว้ใน”
   “เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย ปิดแก็สเร็วไหม้หมดแล้ว” เสียงดังตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ของคนตัวกลม ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกตัวและหลุดออกจากภวังค์แห่งความคิด ก่อนที่จะรีบยกเอากระทะที่อยู่บนเตาไปวางไว้บนซิงค์ล้างจานและรีบเปิดน้ำจากก็อกใส่ เพราะว่าตอนนี้ควันและกลิ่นไหม้เริ่มจะลอยโชยขึ้นมาจากอาหารที่อยู่บนกระทะแล้ว
   “เป็นอะไรหรือเปล่า ฉันเห็นว่าเธอมีอาการแบบนี้ตั้งแต่กลับมาจากร้านกาแฟวันนั้นแล้วนะ” แบมบูพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เป็นกังวล เพราะว่าหลังจากวันนั้นที่ร้านกาแฟ คนตัวเล็กก็มีอาการเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลา อันที่จริงคนตัวกลมก็พอจะรู้สาเหตุนั่นแหละว่าคนผิวแทนเป็นเช่นนี้เพราะอะไร ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นเพราะใครน่าจะเหมาะสมกว่า
เพราะคนตัวเล็กจะมีอาการเหม่อลอยจนสังเกตได้ชัดทุกครั้ง ยามที่เขาเห็น ฮานะอยู่ด้วยกันกับรูเบน แถมอาการจะยิ่งหนักเข้าไปอีกถ้าสาวญี่ปุ่นเข้าไปเล่นแบบถึงเนื้อถึงตัวกับหนุ่มตาฟ้า
อันที่จริงแล้วฮานะก็พยายามทอดสะพานให้คนผมสีวอลนัททุกครั้งที่มีโอกาสนั่นแหละ อันนี้ไม่ใช่เฉพาะธันที่สังเกตเห็น แต่เป็นสิ่งที่เพื่อนในกลุ่มทุกคนรับรู้กันอยู่แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ในมุมมองของคนตัวกลมก็ไม่เห็นคนผิวแทนจะแสดงอาการอะไรแบบนี้ออกมาเลย แต่ทว่าหลังจากสลับที่นั่งกับสาวญี่ปุ่นในวันนั้น คนตัวเล็กก็มีอาการอย่างที่เห็น ซึ่งที่จริงแล้วถ้าเกิดว่าไม่อยากจะสลับที่นั่งกับฮานะก็น่าจะบอกเธอไปตรงๆ ไม่ใช่หรือไง แล้วตัวเขาเองในตอนนั้นก็ดันไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดซะด้วยเลยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกมึง ก็แค่ช่วงนี้ทำงานหนักนิดหน่อยอ่ะ เลยเบลอๆ ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วงนะยังมีแรงกัดกับแกอีกนาน” ธันเคลียร์อาหารที่ไหม้เป็นตอตะโกลงถังขยะก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่แสร้งทำเป็นว่ายังสบายดี
“อืม ถ้าเธอว่างั้นก็นะ จะเอาอะไรไหมเดี๋ยวน้องเดินไปซื้อน้ำผลไม้ร้านคุณลุงข้างล่างหน่อย” คนตัวกลมหันมาถามก่อนที่จะเดินไปหยิบกระเป๋าตังค์และคีย์การ์ดของตนที่วางอยู่ยนโต๊ะกินข้าว
“เออ เอาอะไรมาก็ได้ เดี๋ยวยังไงฉันรีบทำข้าวเช้าให้ใหม่นะแก ขึ้นมาจะได้รีบกินรีบไปโรงเรียนกัน” ธันพูดขึ้นพร้อมกับตั้งหน้าตั้งตารีบลงมือหั่นพริกหั่นกระเทียมขึ้นมาใหม่เพราะกลัวว่าจะไปโรงเรียนสาย
“ไม่ต้องรีบมากก็ได้นะ น้องอยากกินกะเพราหมูไม่ได้อยากกินกะเพรานิ้ว เอ่อ...เดี๋ยวยังไงจะรีบขึ้นมานะ” คนตัวกลมมีอาการหน้าเสียเล็กน้อยจึงต้องพูดอะไรบางอย่างเป็นการแก้เก้อ เพราะในขณะที่เขาพยายามจะเล่นมุขให้คนตัวเล็กผ่อนคลายสิ่งที่กังวลอยู่ในใจไปได้บ้าง แต่กระนั้นสิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือความเงียบและความว่างเปล่าที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อนเลยจากคนที่ทั้งสดใสและร่าเริงอย่างคนตัวเล็ก
“ครับ !!!” คนตัวเล็กสะดุ้งสุดตัวก่อนจะขานรับออกมาด้วยใบหน้าที่ตกใจและน้ำเสียงที่ดูสั่นไหวเล็กน้อย เช้านี้ทั้งเช้า หัวใจและสติของเขาไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเลย มันช่างบางเบาและเปราะบางเหมือนกับกลีบของดอกยิปโซที่หลุดออกจากตัวขั้วดอก ล่องลอยอย่างไร้ซึ่งจุดหมายและทิศทาง ซึ่งเขาก็คงจะเหม่อลอยไปได้อีกสักพักใหญ่ๆ หากไม่มีเสียงของใครคนหนึ่งมาร้องเรียกเขาให้หลุดออกมาจากภวังค์ลึกของตนซะก่อน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตกใจอะไรขนาดนั้นครับเนี่ย พี่แค่ทักทายยามเช้าแค่นั้นเอง ตกใจอย่างกับเห็นผีไปได้” เจ้าของห้องหน้าตี๋ขำเบาๆ กับท่าทีน่าเอ็นดูของคนตัวเล็ก ก่อนจะถือวิสาสะ เอามืออีกข้างที่ว่างจากการถือถ้วยกาแฟมาลูบหัวของเขาอย่างอ่อนโยนและแผ่วเบา
   แต่ทว่าสัมผัสจากคนตรงหน้าจะไม่ใช่สิ่งที่คนตัวเล็กต้องการในเวลานี้ เพราะหลังจากปล่อยให้พี่อ้น ลูบหัวเขาไปได้เพียงครู่ ธันก็เหมือนจะได้สติคืนมาและนั่นก็ทำให้เขาส่งยิ้มที่ดูเหือดแห้ง ตอบแทนสัมผัสที่แสนจะอบอุ่นนั้นไป และยกมือที่อยู่บนหัวของเขาออกอย่างช้าๆ เพื่อที่จะได้ไม่ดูเป็นการปฏิเสธความรู้สึกอันดีที่ได้รับจนน่าเกลียดเกินไป แต่ถึงกระนั้นเจ้าของมือก็ยังมีใบหน้าที่คงไว้ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่แม้จะถูกกระทำด้วยท่าทีแบบนั้นก็ตาม
   “เช้านี้ทำอะไรกินล่ะครับ แล้วแบมบูไปไหนซะล่ะ” พี่อ้นมองเข้าไปในกล่องข้าวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าของตน ก่อนจะหันซ้ายหันขวารอบตัวเพื่อมองหาผู้เช่าห้องอีกรายแต่จนแล้วจนรอดก็มองหาไม่เจอ เลยต้องเอ่ยปากถามคนผิวแทนที่กำลังเตรียมหยิบ ช้อนซ้อมและกล่องข้าวใส่ในถุงผ้าอยู่
   “อ๋อ มันลงไปซื้อขนมข้างล่างน่ะครับ ลงไปสักพักแล้วยังไม่เห็นกลับขึ้นมาสักที ยังไงเดี๋ยวธันลงไปดูมันแล้วก็เลยไปโรงเรียนเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา ขอตัวนะครับ” หลังจากคนตัวเล็กตอบเสร็จก็จัดแจงหยิบกระเป๋าเป้ของตนขึ้นสะพายหลัง ก่อนที่จะถือถุงอาหารกลางวันและกระเป๋าของรูมเมทตัวกลมอย่างละมือ พร้อมกับเดินตรงดิ่งไปที่ประตูทางออก
   “ว้า ไปซะแล้วเหรอ พี่ว่าจะขอชิมกับข้าวสักหน่อย” หนุ่มตี๋พูดแซวๆ ก่อนจะยกกาแฟในมือขึ้นดื่ม
   “ผมทำเผื่อไว้แล้วครับอยู่ในตู้เย็น เป็นข้าวผัดกะเพราหมูสับเหมือนกันนี่แหละครับ อย่าลืมกินนะครับเดี๋ยวจะเสีย” คนตัวเล็กพูดก่อนจะก้าวออกจากประตูไป โดยไม่ได้หันกลับมามองใบหน้าของผู้ถามที่มีรอยยิ้มพราวผุดขึ้นมาจนเก็บไว้ไม่มิด
   “ก็ใจดีแบบนี้ แล้วจะไม่ให้พี่ชอบได้ยังไงครับ” หนุ่มตึ๋พูดพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเปิดประตูตู้เย็น แล้วสอดส่ายสายตามองหาข้าวเช้าแสนอร่อยฝีมือคนตัวเล็ก
   การจราจรในวันพฤหัสบดียามเช้าที่แน่นขนัดไปด้วยรถยนต์สี่ล้อและรถบัส ที่กระจายอยู่ทั่วท้องถนน มันช่างดูสับสนวุ่นวาย ไม่ต่างอะไรจากหัวใจและหัวสมองของคนตัวเล็กในตอนนี้เลย และแม้ตลอดทั้งทางเดินจะมีคนตัวกลมคอยหาเรื่องมาพูดคุยและหามุกมาหยอกล้อ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนตัวเล็กมีอาการสดชื่นแต่อย่างใด ในท้ายที่สุดแบมบูก็อดรนทนไม่ไหวต้องพูดเตือนสติคนตัวเล็ก ก่อนจะเดินข้ามไฟแดงเข้าไปยังตึกเรียนอันเป็นจุดหมายในทุกตอนเช้าของเขาทั้งคู่โดยไม่หันกลับมามองว่า
   “นี่พี่ธัน ถ้าพี่บอกว่าพี่ไม่เป็นไร ก็ช่วยแสดงอาการให้ดูเหมือนไม่เป็นไรจริงๆ ได้ป่ะวะ พี่รู้ตัวหรือเปล่าว่าอาการที่พี่แสดงออกมาน่ะมันไม่ต่างอะไรจากอาการของคนอกหักเลยว่ะ” แบมบูพูดด้วยเสียงที่กึ่งตะโกนเล็กน้อยเพราะเขาต้องพูดแข่งกับเสียงของรถที่ขับผ่านไปมาบนท้องถนนรวมถึงเสียงของสัญญาณไฟเขียวไฟแดงที่ร้อง ติ้ก ติ้ก ติ้ก อยู่ตลอดเวลา
   “แกพูดอะไรของแกวะ ฉันจะอกหักได้ไง ฉันยังไม่มีแฟนสักหน่อย” คนตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบอย่างกับคนที่หมดแล้วซึ่งความรู้สึก ก่อนที่จะออกก้าวเดินตามคนตัวกลมไปยังอีกฝากของถนน
   “ถ้าฉันเป็นเธอนะ ฉันไม่ยอมเสียสละเพื่อคนอื่นจนตัวเองเป็นทุกข์ขนาดนี้หรอก จะทำไปเพื่ออะไรวะ หลบหน้าเขาไม่ยอมคุยกับเขาแล้วมันยังไง แล้วเขาจะหันไปชอบฮานะเหรอ มองจากมุมฉัน ฉันก็ว่าไม่นะ” คนตัวกลมที่ยืนขนาบข้างคนตัวเล็กในลิฟท์ พูดประโยคดังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความหงุดหงิดอยู่เล็กน้อยแต่แฝงความเป็นห่วงอยู่เอย่างต็มเปี่ยม
   “ฉันว่าเราพูดเรื่องนี้กันหลายทีแล้วนะ ฉันแค่อยากเปิดโอกาสให้ฮานะเขาก่อน ส่วนเรื่องจะสำเร็จหรือไม่มันก็เป็นเรื่องของเขาสองคน ฉันว่ามันก็ดีซะอีกนะจะได้รู้กันไปเลยว่าที่ผ่านมา การกระทำของผู้ชายที่เขาทำกับฉันมันเป็นเรื่องจริงหรือว่าฉันแค่คิดไปเองกันแน่” เสียงของคนตัวเล็กหยุดลงเมื่อสัญญาณเตือนของลิฟท์ดังขึ้นเพื่อบอกว่าได้มายังชั้นจุดหมานแล้ว แต่ก่อนที่คนผิวแทนจะเดินออกจากลิฟท์เขาก็ได้หันมายิ้มให้กับคนตัวกลมที่กำลังจะก้าวเดินตามออกไปด้วยเช่นกัน แต่ถึงแม้จะเรียกว่ารอยยิ้มแต่แฝงไปด้วยความไม่แน่ใจและความเศร้าอยู่ไม่น้อย จนคนที่มองดูอดที่จะขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้ มันดูราวกับแบมบูกำลังมองเห็นคนตัวเล็กกำลังค่อยๆ จมดิ่งลงสู่ห้วงนทีแห่งความขมขื่น ทีละเล็กทีละน้อย แล้วความน่าเศร้าสลดของเหตุการณ์นี้ก็คือ แม้ว่าคนตัวกลมและเหล่าเพื่อนในกลุ่มจะพยายามยื้อแย่งก้อนหินหนักหลายร้อยกิโล ที่คนตัวเล็กพยายามโอบอุ้มไว้อย่างเหนียวแน่นอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาจมดิ่งลง ยังก้นบึ้งของมหาสมุทร แต่ทว่า พวกเขากลับถูกมือเล็กๆ นั้นผลักไสออกมาอย่างไม่ใยดี ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนจะทำได้นับจากนี้ไปก็ คงจะมีเพียงการมองดูอย่างห่างๆ และภาวนาในใจว่า ขอให้คนตัวเล็กได้สติและปล่อยมือออกจากก้อนหิน ที่ชื่อว่ามิตรภาพ ก้อนหินที่ชื่อว่าฮานะ ก้อนนี้โดยเร็ว ก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป
   “Hey Thun, Did you hear me?”(เฮ้ย ธัน นายได้ฟังที่ฉันพูดหรือเปล่าเนี่ย) เป็นจุนหนุ่มเกาหลีของเราที่เอามือขาวๆ มาสะกิดที่ไหล่ของธันเพื่อเรียกคืนสติของคนตัวเล็กที่กำลังล่องลอยไปถึงไหนต่อไหน ซึ่งนั่นก็ทำให้ธันต้องกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะค่อยๆ หันมามองเพื่อนคนอื่นที่นั่งกันเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะและหันมองจ้องมาที่ธันเป็นตาเดียว
   “Yes of course. I heard you” (แน่นอนสิ ฉันต้องได้ยินอยู่แล้ว) คนตัวเล็กตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มแกนๆ ส่งกลับไปหาเพื่อนทุกคน พร้อมกับอธิฐานเบาๆ ในใจว่าขออย่าให้มีใครสักคนในโต๊ะถามอะไรต่อเลย เพราะในความเป็นจริงเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับบทสนทนามาตั้งแต่เริ่มแล้ว เอาเข้าจริงเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามานั่งอยู่ที่โต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่ และมานั่งอยู่ได้อย่างไร
   “Really? Ok what we are talking about” (จริงเหรอ งั้นเรากำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ล่ะ) เดวิดที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ พูดขึ้นมาก่อนจะยิ้มอ่อนๆ ส่งไปให้คนผิวแทนที่ตอนนี้กำลังก่นด่าคนบนฟ้า เพราะว่าคำอธิษฐานที่เขาเพิ่งจะอธิษฐานไปมันไม่สัมฤทธิ์ผล แถมคำถามที่เขาถูกถามก็ดันเป็นคำถามปลายเปิดที่ไม่สามารถมั่วได้เลย อะไรมันดลใจให้ไอ้หนุ่มตาชั้นเดียวมันถามเขาแบบนี้กันนะ
   ธันพยายามมองไปที่คนตัวกลมเพื่อขอความช่วยเหลือซึ่งแบมบูเองก็เหมือนจะรู้งานเพราะเขาพยายามขยับปากใบ้สุดฤทธิ์ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะคนตัวกลมนั่งอยู่ไกลเกินไปจนคนตัวเล็กไม่สามารถมองเห็นรูปปากได้อย่างชัดเจน หรือเป็นเพราะเรื่องที่เพื่อนๆ พูดมันยากเกินไปจนเขาไม่สามารถเดาได้จากเพียงการขยับปากของแบมบูกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คนทั้งวงต่างกำลังหรี่ตามามองเขาเป็นตาเดียว และก่อนที่คนตัวเล็กจะได้พูดอะไรออกไป ก็มีเสียงของคนๆ หนึ่งพูดขึ้น เสียงที่ทำให้เขาผ่านพ้นความกดดันอันน่าอึดอัดนี้ไปได้
   “I thought we should go now because the train is coming in 10 minutes” (ฉันคิดว่าเราควรไปได้แล้วนะเพราะรถไฟกำลังจะมาในอีกสิบนาทีนี้แล้ว) รูเบนเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบและแผ่วเบา แต่นั้นก็ดังเพียงพอแล้วที่จะทำให้เพื่อนๆ ในวงกระวีกระวาด เก็บสัมภาระของตนลงกระเป๋าด้วยความรวดเร็วก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังสถานีรถไฟ Central อันเป็นสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดในบริเวณนี้
   “แก แก เรากำลังจะไปไหนวะ” คนตัวเล็กแอบกระซิบถามคนตัวกลมที่นั่งอยู่ข้างๆ โดยพยายามใช้เสียงให้เบาที่สุดเพราะกลัวว่า พี่ซีอิ๊วและเตยที่นั่งอยู่เบาะถัดไปจะได้ยินเข้า
   “ไปดูพระอาทิตย์ตกที่หาดนัดจีไง แสดงว่าเธอไม่ได้ฟังตั้งแต่แรกเลยใช่ไหมเนี่ย” แบมบูใช้ความดังของเสียงในระดับที่เท่ากันกับคนตัวเล็กพูดกลับไป
   “อะไรนะ ไปดูพระอาทิตย์ตกอีกแล้ว กลุ่มเรามันเป็นอะไรกับการดูพระอาทิตย์มากป่าววะ เราไม่ใช่ชมรมคนรักพระอาทิตย์ตกนะเว้ย” คนตัวเล็กอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบลดระดับเสียงลงมาจนเกือบจะเป็นเสียงกระซิบเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆ รวมถึงผู้โดยสารคนอื่นหันมามองยังต้นเสียงด้วยสายตาที่กึ่งขำและกึ่งตำหนิ
   “ก็ไอ้รูปพวกนี้เวลาอัพลงโซเชียล มันมีคนมากดไลค์เยอะนี่ อีกอย่างเธอจะมาพูดโวยวายเอาตอนนี้ก็ไม่ถูกนะเพราะเขาถามกันแล้วว่าอยากไปไหน เธอก็ดันไม่เสนอเองมัวแต่นั่งเหม่อลอย” คนตัวกลมพูดจบก็หันกลับไปสนใจมือถือต่อ ทิ้งให้คนตัวเล็กอ๊องอยู่คนเดียว จะบ่นก็บ่นไม่ได้เพราะที่แบมบูพูดออกมาก็ถูกทุกอย่างแต่อีกใจเขาก็อยากจะไปทำอย่างอื่นบ้าง ไม่ใช่ไปดูแต่พระอาทิตย์ตก นี่เขามาต่างประเทศเพื่อที่จะได้ทำกิจกรรมที่มันหลากหลายนะ ไม่ใช่จองทัวร์มาดูอาทิตย์อัสดงทุกวันแบบนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ
   สายลมและกลิ่นไอทะเลพัดเบาๆ เข้ามากระทบหน้าของคนผิวแทน หลังจากอิดออดในหัวใจมาพักใหญ่ๆ ตั้งแต่รู้ว่าจะต้องมาชมภาพพระอาทิตย์ตกอีกครั้ง แต่หลังจากที่เดินลงมาจากรถไฟและเดินเข้ามายังบริเวณหน้าหาด ความหงุดหงิดใจที่มีมาตลอดการเดินทางก็ค่อยๆ มลายหายไปกับสายลมและเกลียวคลื่น อาจจะรวมถึงความเศร้าและความสับสนของเขาด้วยเหมือนกัน
เมื่อหาดนัดจีไม่ใช่ชายหาดหลักของควีนแลนด์จึงทำให้ผู้คนมายังที่แห่งนี้ไม่มากนัก ประจวบกับวันที่พวกเขาเดินทางมาเป็นวันที่มีอากาศค่อนข้างหนาว ดังนั้นนอกจากกลุ่มของคนผิวแทนแล้วก็ไม่เห็นจะใครอื่นเลยในบริเวณโดยรอบนี้
“เป็นกลิ่นที่สดชื่นดีจัง” คนตัวเล็กพูดขึ้นพร้อมกับสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนจะนั่งลงกับพื้นทรายโดยไม่กลัวว่ากางเกงตัวโปรดจะเปื้อนก่อนจะค่อยๆ หลับตาและนั่งในอิริยาบถที่สบายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“I think your smile is better than this view” (ฉันคิดว่ารอยยิ้มของนายสวยกว่าวิวตอนนี้เยอะเลยนะ) คนตัวเล็กที่เผลอยิ้มออกมาเพราะได้รับความอบอุ่นจากไรแดด และกลิ่นไอสดชื่นของทะเลต้องสะดุ้งตัวขึ้นเล็กน้อยเพราะโดนเสียงนุ่มๆ ทักขึ้นจากด้านข้างก่อนจะลืมตาขึ้นมาดูแล้วพบว่าเจ้าของเสียงนุ่มนั่งอยู่ข้างๆ เขาแล้วตอนนี้
“Hey, Why you do like this if you mad at me in something tell me but don’t do like this. Please” (เฮ้ ถ้านายโกรธอะไรฉันก็บอกกับฉันได้นะแต่อย่าทำแบบนี้ได้ไหม ขอร้องละ) คนตาฟ้ารีบพูดอย่างรวดเร็วจนคนตัวเล็กแทบจะจับใจความไม่ทัน แต่เมื่อดูจากบริบทตอนนี้แล้วนั้นมันก็ดูเหมือนว่าคนตาฟ้าไม่อยากให้คนตัวเล็กลุกจากไปไหน เพราะทันทีที่คนตัวเล็กรู้ตัวว่าเป็นคนตาฟ้าที่มานั่งเคียงข้าง เขาก็รีบยันตัวเพื่อที่จะลุกขึ้นไปนั่งที่อื่น แต่ทว่าคนผมสีวอลนัทนั้นมีจังหวะความไวที่เหนือกว่า เพราะทันทีที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืนนั้น รูเบนก็รีบเอื้อมมือคว้าข้อมือเล็กเข้าไว้ไม่ให้ลุกหนีไปไหนได้
“I don’t want to do like this but I have my reason” (ฉันก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้เหมือนกันแต่ฉันมีเหตุผลของฉันนะ) คนตัวเล็กทรุดตัวลงนั่งตามเดิมพร้อมกับหลบสายตาของคนข้างๆ และพูดประโยคดังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มีความไม่มั่นใจและสั่นเครือ แฝงอยู่ในที
“What that reason can you tell me?” (เหตุผลอะไร บอกฉันได้ไหม) คนตาฟ้าที่พยายามก้มหน้าของตัวเองให้ไปอยู่ในระดับสายตาเดียวกันกับคนตัวเล็ก ก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยเสียงกระซิบอันอบอุ่น แสนหวาน และแผ่วเบาจนคนตัวเล็กถึงกับใจหวิวไปเล็กน้อยก่อนที่จะพยายามสูดหายใจและกำลังจะตอบกลับถึงเหตุผลของเขาออกไป ถ้าไม่มีคนมาขัดจังหวะเข้าเสียก่อน
“Sorry to disturb but Ruben can you come with me for a second” (ขอโทษที่มาขัดจังหวะนะทั้งคู่ แต่รูเบนเธอช่วยมากับฉันเดียวหนึ่งได้ไหม) ฮานะที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน เดินเข้ามานั่งยองๆ ตรงหน้าเขาทั้งคู่ก่อนจะพูดกับรูเบนด้วยน้ำเสียงที่อ้อดอ้อนเกินจริงจนแม้แต่คนผิวแทนที่ยังตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความทุกข์และสับสนยังอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้
อันที่จริงหากเป็นคนปกติลองมองดูสถานการณ์ตรงหน้าแม้เพียงผ่านๆ ก็คงไม่กล้าที่จะเข้ามาขัดจังหวะคนผิวขาวและคนผิวแทนเป็นแน่ เพราะแม้เพียงมองด้วยตาอย่างผิวเผินก็ดูได้ไม่ยากว่าคนสองคนกำลังเคลียร์ปัญหาอะไรกันบางอย่างอยู่ แต่ด้วยว่าสาวญี่ปุ่นอาจจะไม่ได้รับรู้ถึงหมอกควันแห่งปัญหานั้นๆ หรือจริงๆ แล้วเธออาจจะรู้แต่ไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาของเธอก็ได้
“But I have something… Ok please come here.” (แต่ฉันมีอะไรบางอย่าง... อืม มาตรงนี้สิ) คนตาฟ้าจะพูดปัดฮานะจังอยู่แล้ว ถ้าธันไม่จับไปที่ข้อมือเขาก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงบอกว่าให้เขาลองทำตามคำขอของสาวญี่ปุ่นดูก่อน ซึ่งจากการกระทำของคนตัวเล็กก็ทำให้รูเบนถึงกับต้องหลับตาและถอนหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้งก่อนจะบอกให้ฮานะเดินตามตนไปที่สะพานสีขาวเก่าๆ ตรงท้ายหาดที่มีบางส่วนยื่นออกไปยังทะเล
   “Thun, I don’t know how you feel and you might think I am a selfish  person but if you think I am your friend could you pray for me because I am going to do something a little bit stupid but if I don’t do that I might be feeling regret for all of my life.” (ธัน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเธอจะรู้สึกยังไงอยู่ตอนนี้ บางทีเธออาจจะคิดว่าฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวก็ได้นะ แต่ถ้าเธอยังเห็นว่าเราเป็นเพื่อนกันอยู่ ยังไงเป็นกำลังใจและสวดภาวนาให้ฉันด้วยนะ เพราะฉันกำลังจะทำบางอย่างที่มันดูโง่มากๆ เลย แต่ถ้าฉันไม่ทำมันฉันคงจะรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ๆ) ฮานะจังมองตามแผ่นหลังกว้างของรูเบน ก่อนจะหันมายิ้มและพูดกับคนตัวเล็กเพื่อเรียกความมั่นใจให้กับตน โดยไม่ได้สนเลยว่าอีกฝ่ายจะมีสีหน้าหรือหยาดน้ำใสในดวงตาผุดขึ้นมาหรือเปล่า พอเธอพูดจบเธอก็ยันตัวลุกขึ้นจากผืนทรายสีทอง ก่อนที่จะเดินตามคนตาสีฟ้าไป พร้อมกันนั้นเธอก็ฮัมเพลงภาษาบ้านเกิดของเธอเพื่อลดความประหม่าที่มีอยู่ในตัวให้น้อยลง และถึงแม้ว่าคนตัวเล็กจะไม่เข้าใจประโยคที่เธอร้องสักประโยคเดียว แต่ธันกลับรับรู้สึกถึงอารมณ์ของเพลงที่เธอสื่อออกมาได้อย่างน่าประหลาด
ฟังฟังดูแล้วเพลงของเธอมันดูคล้ายกับการเล่าเรื่องการเปลี่ยนผันของฤดูกาลและความน่าเสียดายหากไม่ลองทำตามหัวใจของตัวเองเมื่อมีโอกาส พูดโดยรวมก็คือเรื่องของความกล้าน่ะแหละ ความกล้าที่คนตัวเล็กไม่มีอยู่ในตัวเองเลยในยามนี้

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
kimi no toriko ni natte shimaeba kitto
kono natsu wa juujitsu suru no motto
mou modorenakutatte wasurenaide

nannen tattemo ienai koukai shitatte kamawanai
demo kotoba wa koko made dete'ru no nee sama-taimu
kaigan-doori wo arukitai doraibu datte shite mitai
tada shisen wo awasete hoshii no nee sama-taimu
 
“เหม่อเลย เป็นไรป่าววะ นางมาพูดอะไรกับเธอเหรอ” แบมบูเดินเข้ามาหาธันที่ยังคงนั่งมองตาม สาวญี่ปุ่นและหนุ่มฝรั่งเศส ณ ที่นั่งจุดเดิมโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แม้ว่าน้ำทะเลจะเริ่มขึ้นมาจนเรี่ยเท้าของคนตัวเล็กแล้ว
“แก ฮานะจะสารภาพรักกับรูเบนว่ะ ฉันกลัวว่ะแก ฉันกลัวเขาจะตอบตกลงคบกัน” คนตัวเล็กละสายตาจากคู่หนุ่มสาวหันมามองคนตัวกลมด้วยสายตาและน้ำเสียงที่ไม่ต่างอะไรกับเกลียวคลื่นที่พัดเข้าหาชายฝั่งในเวลานี้ ที่มันหอบเอาทั้งกลิ่นอายของความไม่แน่ใจและความหวังมาพร้อมๆ กัน
พื้นทะเลที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนในตอนแรกก็เริ่มจะขุ่นมัวและมองลงไปยังท้องน้ำได้ยากขึ้น อาจจะเป็นเพราะเกลียวคลื่นพัดพาเอาทั้งทรายและตะกอนจากที่ห่างไกลเข้ามาทำให้สีของน้ำเปลี่ยนแปลงไป แล้วใจของคนละหากมีบางอย่างมากระทบมันจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้จริงๆ หรือ
“เฮ้ย อย่าร้องไห้นะ น้องยิ่งปลอบคนไม่เป็นอยู่” แบมบูจับลงไปยังไหล่ของคนตัวเล็กที่ตอนนี้มันเริ่มจะสั่นไหวน้อยๆ อาจด้วยเพราะแรงจากลมภายนอกที่เริ่มจะพัดพาเอาความเย็นเข้ามาหาคนบนชายฝั่ง ซึ่งเพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่ในน้ำก็เริ่มทยอยกันขึ้นมาบนฝั่งเพราะต้านทานแรงลมกันไม่ไหวเสียแล้ว แต่เมื่อหันกลับมาดูที่คนตัวเล็กแรงสั่นขนาดนี้มันไม่น่าจะเป็นเพราะว่าลมทะเลเพียงอย่างเดียวเสียแล้ว มันอาจจะรวมถึงลมหนาวในใจที่กำลังหมุนวนอยู่รอบเทียนแห่งความหวังในหัวใจเขาด้วยกระมัง
“เธอ ฉันไม่แน่ใจนะว่าเธอจะคิดยังไง แต่ฉันมั่นใจว่ายังไงผู้ชายเขาก็ชอบเธอ ไม่เป็นไรนะ ถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่เหมือนอย่างที่ฉันพูด เธอก็แค่ไปเมากับฉันก็แค่นั้นเอง ในวันที่เธอไม่มีใครเธอยังมีฉันนะเว้ย” แบมบูลูบไปที่ไหล่ขวาของคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบาพร้อมกับพูดด้วยเสียงที่ชัดถ้อยชัดคำแต่ก็แฝงความอ่อนโยนและความเป็นห่วงอยู่อย่างเอ่อล้น
ในขณะที่แบมบู และคนผิวแทนกำลังพูดให้กำลังใจกันอยู่นั้น ฉับพลันตาเจ้ากรรมของคนตัวเล็กก็ดันหันไปมองยังรูเบนและฮานะพอดีและนั่นก็ทำให้ประกายแห่งความหวังของเขาวูบดับลงไปในฉับพลัน เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าคือสาวญี่ปุ่นกำลังกอดเอวของหนุ่มผมสีวอลนัทอย่างหลวมๆ และในขณะเดียวกันคนตัวสูงก็ลูบหัวคนในวงแขนอย่างแผ่วเบาซึ่งนั่นก็ทำให้น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ของคนตัวเล็กหลุดล่วงลงมายังพื้นทรายเบื้องล่างแทบจะทันที
“เฮ้ย มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะเว้ย ลองไปถามเขากันดูก่อน”คนตัวกลมที่ตอนนี้ก็งงไม่ต่างกันพูดอย่างละล่ำละลั่ก และมีอาการนั่งไม่ติดกับที่แล้วต่างกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่บางคนก็ส่งเสียงเชียร์และบางคนก็ส่งเสียงปรบมือให้กับหนุ่มสาวที่ยืนอยู่บนสะพานซึ่งมันก็คงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะว่าฮานะเองก็เป็นที่รักของเพื่อนทุกคนอยู่แล้วนี่นา การที่จะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะด้วยความยินดีในวันที่เพื่อนมีความสุขมันก็เป็นหน้าที่ของเพื่อนที่ดีไม่ใช่เหรอ
   ดังนั้นแม้ข้างในของคนตัวเล็กจะร้องไห้ไปแล้วแต่หน้ากากภายนอกก็ยังฝืนยิ้มทั้งน้ำตาและแม้คนตัวกลมที่นั่งข้างๆ จะสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนว่ามันเป็นการเค้นรอยยิ้มที่เศร้าและน่าสงสารที่สุดจากคนที่มีแต่ความสุขและสดใส แต่ทว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดอะไรได้มาก สิ่งเดียวที่คนที่อยู่ร่วมห้องเดียวกันจะสามารถทำได้ก็คือการบีบมือเบาๆ และมองเหตุการณ์ข้างหน้าไปด้วยกัน
   “มึง มึงไปกินเหล้าเป็นเพื่อนกูหน่อยได้ไหม วะ วะ ว่ะ” คนตัวเล็กพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่สั่นเทาหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับลุกขึ้นอย่างช้าๆ และปัดทรายที่ติดอยู่ทั่วกางเกงออก ก่อนจะเดินอย่างมึนๆ เหมือนปลาที่ช็อคน้ำ ไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟ ซึ่งคนที่ร่วมเดินทางมาด้วย คนอื่นก็หันมาถามกันเป็นเสียงเดียวว่าคนผิวแทนจะเดินไปไหน ก็เลยเป็นหน้าที่จำเป็นของคนตัวกลมที่ต้องหันมารับหน้าให้โดยพูดไปในทำนองว่าคนตัวเล็กมีธุระด่วนต้องรีบกลับห้อง เมื่อพูดจบก็รีบเดินตามคนผิวแทนไป โดยที่ไม่เว้นจังหวะให้เพื่อนคนอื่นตั้งสติได้และถามคำถามที่สองต่อ
   “แกจะฝากหยิบอะไรไหม เดี๋ยวฉันจะได้หยิบลงมาทีเดียว” คนตัวเล็กหันมาถามคนตัวกลมในขณะที่เขาทั้งคู่ยืนอยู่หน้าอาคารที่พักเหตุเพราะว่าเขาต้องขึ้นไปหยิบหนังสือเดินทาง แต่เมื่อเดินมาถึงข้างหน้าที่พักอยู่ๆ คนตัวกลมที่พูดซะดิบดีว่าจะตามไปด้วยทุกที่ ก็ขอใช้สิทธิ์คนอ้วน ไม่ยอมขึ้นไปบนห้องด้วยซะอย่างนั้น โดยอ้างว่าวันนี้เหนื่อยมาทั้งวันแล้วขอยืนรออยู่ข้างหน้าเฉยๆ ละกัน เพราะเดี๋ยวก็ต้องไปเต้นต่อที่ร้านเหล้าอีก แต่ก็ยังดีที่เขาไม่ได้ฝากหยิบอะไรที่ทำให้คนตัวเล็กที่ยังมีอาการเบลอๆ มึนๆ ไม่หายเหมือนคนที่เพิ่งถูกค้อนอันใหญ่ทุบมาหมาดหมาด ต้องมานั่งเสียเวลารื้อหาอีก
   “แอด....แอดดดด” เสียงประตูไม้ที่ร้างราจากการหยอดน้ำมันมานานดังขึ้น แต่เสียงนี้เป็นเสียงนี้เป็นเสียงที่เกิดขึ้นบ่อยๆ จนกลายเป็นเสียงที่คุ้นชินของผู้พักอาศัยไปเสียแล้ว แต่สิ่งที่ไม่คุ้นชินดูเหมือนว่าจะเป็นการเปิดไฟในครัวไว้เพียงแค่ดวงเดียวซะมากกว่า
   “สงสัย พี่อ้นจะออกไปข้างนอกหรือเปล่านะทำไม่เปิดไฟไว้แค่นี้” คนตัวเล็กรำพึงรำพันออกมาเบาๆ แต่เขาก็ไม่ได้มีคำถามอะไรมากนักอาจจะเป็นเพราะสมองและหัวใจของเขาเพิ่งจะโดนเรื่องอะไรที่หนักหนาสาหัสถาโถมเข้ามาอย่างสดๆ ร้อนๆ
   หลังจากวิ่งขึ้นไปหยิบหนังสือเดินทางบนห้องและยัดใส่กระเป๋าเป็นที่เรียบร้อยเขาก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อจะลงไปหาคนตัวกลมที่ยืนรอคนเดียวอยู่ด้านล่าง และคนผิวแทนก็คงจะลงไปเจอแบมบูแล้วหากไม่โดนขัดจังหวะโดยใครบางคนเข้าซะก่อน
   “อ้าวน้องธัน จะรีบไปไหนเหรอครับ” หนุ่มตี๋ที่ยืนอยู่กลางห้องร้องทักขึ้นเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินลงบันไดมา
   “อ้าวพี่อ้น ไปแอบหลบอยู่ตรงไหนครับเนี่ย เดินเข้ามาไม่เห็นเลย พอดีธันกำลังจะไปกินเหล้าร้านพี่น่ะแหละครับ” คนตัวเล็กพูดตอบด้วยเสียงที่ยังเจื่อไปด้วยอารมณ์เศร้าเล็กๆ พร้อมกับยิ้มบางๆ กลับไปให้
   “อ๋อพอดีพี่ไปยืนคิดอะไรนิดหน่อยอยู่ตรงระเบียงน่ะครับ ว่าแต่เราเป็นอะไรหรือเปล่าครับ แลดูเหนื่อยๆ นะ มีอะไรไม่สบายใจไหม เล่าให้พี่ฟังได้นะ” เจ้าของห้องพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงพร้อมกันนั้นก็เดินสาวเท้าเข้าไปใกล้คนตัวเล็กเพื่อที่จะได้มองหน้าคนตัวเล็กได้ชัดเจนขึ้น
   “ไม่เป็นไรครับ พอดีธันแค่เหนื่อยเดินทางนิดหน่อย พอดีวันนี้ไปทะเลกับเพื่อนมาน่ะครับ ยังไงเดี๋ยวธันขอตัวก่อนนะครับ พอดีแบมบูมันรออยู่ข้างล่างครับพี่” จังหวะที่ธันรู้สึกว่าคนหน้าตี๋เริ่มจะเดินมาประชิดตัวเขามากจนเกินไป คนตัวเล็กจึงพยายามที่จะเดินเหลี่ยงออกมาโดนไวเพราะ หากคนตัวกลมที่ยืนข้างล่างรู้ว่าเขาอยู่กันสองต่อสองกับเจ้าของห้อง ชะรอยจะสร้างปัญหาใหม่ให้กับคนตัวเล็กอีกแน่
   “ธันครับ พี่ก็ไม่รู้เหตุผลหรอกนะครับว่าทำไมธันถึงพยายามหลบหน้าพี่หรือหลีกเลี่ยงที่จะคุยกับพี่ทุกครั้งแบบนี้ แต่พี่อยากจะบอกความในใจของพี่ให้ธันได้รู้ไว้นะครับ แม้พี่จะรู้ตัวดีว่าพี่อาจจะไม่มีโอกาสก็ตาม คำคำนั้นคือ พี่ ชอบ ธัน นะครับ” และเพื่อให้แน่ใจว่าคนตัวเล็กจะไม่เดินออกจากห้องไปเสียก่อนพี่อ้นจึงถือวิสาสะ จับมือของคนตัวเล็กให้มายืนเผชิญหน้ากับเขาแบบชนิดที่ว่าใกล้จนลมหายใจแทบจะรดกันอยู่แล้ว
   “ธัน ว่ายังไงครับ ลองให้โอกาสพี่ได้ดูแลเราได้ไหม” หลังจากที่คนตัวเล็กยืนแข็งจากคำถามของคนข้างหน้าได้สักพัก คนหน้าตี๋ก็พูดขึ้นมาอีกระลอกเพื่อทวงถามถึงคำตอบ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้คนผิวแทนอึกอักขึ้นไปอีก
   และมันก็ยิ่งตอกย้ำอย่างชัดเจนว่าวันนี้ไม่ใช่วันของคนตัวเล็กเอาเสียเลย เพราะอะไรอะไรมันก็ดูไม่เข้าที่เข้าทางไปเสียหมด มันเหมือนกับว่าคนบนฟ้ากำลังเล่นตลกและทดสอบอะไรบางอย่างกับคนตัวเล็กอยู่ อะไรบางอย่างที่เมื่อผ่านไปแล้วและมองย้อนกลับมาจะไม่มีวันลืมเลือนไปได้เลย

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ไม่ชอบฮานะแฮะ ใจกล้า ตื้อ
ที่จริงนางฉลาดรู้ว่ารูเบนชอบใคร
แล้วก็รู้วิธีใช้มิตรภาพ ความเป็นเพื่อน กับธันวาคนขี้เกรงใจ
หรือว่าผู้หญิงเดี๋ยวนี้ต้องเป็นแบบนี้ ไม่งั้นแพ้ผู้ชายหมด

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ตอนนี้เม้นอะไรไม่ออกเลย รู้แต่ว่าสงสารธันเป็นที่สุด
 :mew6: :mew6: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
เสียงเพลงในร้าน ณ สยาม ในราตรีนี้ช่างแลดูเงียบเหงาไม่และหดหู่ไม่เหมือนเฉกเช่นทุกวัน แม้ว่าท่วงทำนองของดนตรีจะปลุกเร้าและสนุกสนานเพียงใด หรือถึงแม้ผู้คนที่ต่างตบเท้ามากันมาอย่างคราคร่ำจนแทบจะล้นออกไปนอกร้าน จะเต้นกันอย่างสนุกสุดเหวี่ยงสักเพียงไหน แต่ทว่าในใจของคนตัวเล็กตอนนี้นั้นกลับเหนื่อยล้าและสับสน จากสองเหตุการณ์ในชีวิตที่ใหญ่พอกันจนเกินกว่าที่คนตัวเล็กๆ อย่างเขาจะรับมือคนเดียวไหวอีกต่อไป
สายลมพัดผ่านเข้ามาจากประตูระเบียงโดยหอบเอากลิ่นหอมของดอกคาเนชั่นสีเหลืองและกลีบดอกของมันที่หลุดร่วงเข้ามาในห้องด้วยบางส่วน
โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่แล้ว ที่คนสองคนในห้องจ้องตากันโดยไม่มีเสียงใด หลุดลอดออกมาจากปากของคนทั้งคู่ ดังนั้นเสียงที่พอจะได้ยินในขณะนี้ก็เห็นจะมีเพียงแต่ลมหายใจที่แผ่วเบาของทั้งคู่เท่านั้น
   นัยน์ตาของคนตัวเล็กนั้นฉายแววตื่นตระหนกและสับสนออกมาอย่างเด่นชัด ผิดกับคนตัวสูงที่มีความปรารถนาและความหวังอันแรงกล้าที่ถูกส่งผ่านออกมาจากดวงตาสีเข้ม
   อันที่จริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้คนตัวเล็กเท่าไหร่นัก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาหากมีจังหวะและโอกาสที่ดี พี่อ้นก็มักจะเข้ามาทำดีและพูดคุยกับเขาเสมอๆ จนเขารู้สึกได้มาสักพักใหญ่แล้วว่ามันเกินกว่าที่เจ้าของห้องที่ดีหรือพี่ชายที่ดีจะพึงกระทำกัน
อย่างเช่น กลางดึกคืนหนึ่งหลังจากคนผิวแทนกลับมาจากทำงานด้วยความเหนื่อยล้าและอิดโรย แต่แทนที่เขาจะตรงดิ่งขึ้นไปยังห้องเพื่ออาบน้ำและเข้านอน คนตัวเล็กกลับตัดสินใจเดินตรงไปที่โซฟาตัวเก่ากลางห้องรับแขก โดยหมายที่จะนั่งพักเหนื่อยเพียงสักห้าถึงสิบนาที แต่ทว่าเขาคงจะเหนื่อยจากการโหมงานหนักจนเกินไป เพราะหลังจากห้านาทีเลยผ่านเจ้าของร่างที่คิดว่าจะพักสักประเดี๋ยวกลับผล็อยหลับบนโซฟาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดคือตอนตื่นจากห้วงฝัน ตัวเขากลับตื่นขึ้นมาบนที่นอนของใครก็ไม่รู้ แต่เมื่อหันไปทางซ้ายก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มอันน้อย เพราะเขาดันหันไปเจอโน้ตแผ่นเล็กๆ โดยมีข้อความภาษาไทยกำกับไว้ว่า
“ไม่ต้องตกใจนะครับ พอดีพี่เห็นเรานอนขดอยู่บนโซฟา
พี่เลยอุ้มเราขึ้นมานอนบนเตียงพี่ แล้วก็ไม่ต้องรังเกียจนะครับ
เพราะพี่เปลี่ยนผ้าปูปลอกหมอนแล้วก็ผ้าห่มให้ใหม่
ก่อนจะเอาเรามาวางบนเตียงแล้ว
                                                           จากพี่อ้น”
        สิ่งที่น่าตลกของเรื่องนี้ก็คือผู้ชายที่ดูดิบ เถื่อน เซอร์ และมีอารมณ์ศิลปินอย่างเต็มเปี่ยมแบบคนหน้าตี๋นี้ ดูไม่น่าจะมีความละเอียดอ่อนถึงขนาดเปลี่ยนชุดเครื่องนอนให้เขาเลย ดังนั้นแม้ในใจลึกๆ จะสั่งให้เขารีบเดินออกจากห้องให้เร็วที่สุด เพราะกลัวว่าคนที่นอนอยู่ในห้องฝั่งตรงข้ามจะตื่นขึ้นมาพบเข้าแล้วเดี๋ยวจะต้องมาเสียเวลาอธิบายกันอีกยกใหญ่ แต่เขาก็เลือกที่จะหยิบปากกาที่วางอยู่แถวนั้นมาเขียนคำขอบคุณตัวใหญ่พร้อมกับรูปรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนที่จะเก็บที่นอนให้เป็นระเบียบและเดินลงมายังชั้นล่างเพื่อที่จะหยิบกระเป๋าที่วางไว้บนโต๊ะกินข้าวเมื่อคืน
   แต่เมื่อลงมาถึงชั้นล่างเขาก็ต้องยิ้มและส่ายหัวด้วยความเอ็นดู เพราะภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือภาพของคนตัวยาวทีนอนเหยียดยืดจนมีอวัยวะบางส่วนของช่วงเท้าเลยออกมานอกโซฟาดูแล้วก็อดเมื่อยแทนไม่ได้ เห็นดังนั้นเขาจึงต้องกลั้นขำก่อนจะเข้าไปปลุกให้เจ้าตัวกลับขึ้นไปนอนบนห้องของเขาตามเดิม
   หรือจะเป็นในช่วงแรกๆ ที่เขาเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ในห้องและยังไม่ได้งานที่ร้านอาหาร ซึ่งในตอนนั้นแบมบูก็มักจะออกไปสังสรรค์กับ พวกฮานะ และ เดวิดในยามค่ำคืนอยู่เสมอ โดยคนตัวเล็กเลือกที่จะอยู่ห้องมากกว่าการออกไปข้างนออกเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย โดยส่วนใหญ่เขาจะใช้ข้ออ้างกับคนตัวกลมว่าอยากรีบนอนเพราะเวียนหัวกับบทเรียนที่เพิ่งได้เรียนมาวันนี้ เพื่อไม่ให้คนตัวกลมรู้สึกผิดมากนักที่ทิ้งเขาไว้ที่ห้องคนเดียว แต่เมื่อประตูห้องพักถูกปิดลง ความเงียบเหงาก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาโอบล้อมรอบตัวเขา จนเขาอดไม่ได้ที่จะเอาอ้อมแขนทั้งสองข้างเข้ามากอดปลอบตัวเองอยู่บ่อยครั้ง จนวันหนึ่งพี่อ้นเลิกงานเร็วและเปิดประตูเข้ามาเจอเขานั่งกอดตัวเองอยู่ จึงได้เข้ามาพูดคุยถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คนตัวเล็กก็เลือกที่จะปิดบังบางส่วนเอาไว้กับตัวเองไม่เล่าออกมาให้คนหน้าตี๋ได้ฟังทั้งหมด ถึงจะเป็นแบบนั้นพี่อ้นก็ไม่ได้ว่ากล่าวหรือเซาซี้แต่อย่างใด กลับเลือกที่จะเล่าเรื่องตลกให้เขาฟังบ้าง หรือเล่าประสบการณ์ต่างๆ ที่เขาได้พบเจอมาในแต่ละวัน และในบางครั้งถ้าหนุ่มเซอร์ไม่เหนื่อยจากการทำงานมากนัก เขาก็จะเอากีตาร์คู่ใจมาดีดให้คนผิวแทนฟังพร้อมกับขับกล่อมบทเพลงที่ถูกแปลงเนื้อ จนบางทีก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพลงต้นฉบับเป็นอย่างไรเพราะเพลงที่พี่อ้นร้องนั้น เละเทะจนไม่มีชิ้นดีเลย
   แต่ใครมันจะไปสนใจเพลงต้นฉบับกันล่ะ หากว่าเพลงที่ถูกแปลงเนื้อออกมาจะสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้คนตรงหน้าได้ แค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ นี่คือสิ่งที่คนตัวสูงมักจะคิดอยู่เสมอ
   หลังจากนั้นมาพี่อ้นก็มักจะกลับมาที่ห้องไวขึ้นโดยที่คนตัวเล็กไม่ได้ร้องขอแต่อย่างใด ซึ่งมันก็สร้างความรู้สึกบางอย่างให้คนตัวเล็กได้ไม่น้อยอยู่เหมือนกัน แต่ความรู้สึกนั้นมันเหมือนกับความรู้สึกที่น้องเล็กมีกับพี่ชายคนโตมากเกินกว่าจะเป็นอย่างอื่น มันเหมือนความรู้สึกที่มีต่อหลุมหลบภัยเวลามีพายุมืดกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาคือมันอบอุ่นและปลอดภัย แต่ทว่าหลุมหลบภัยมันก็ไม่ใช่สถานที่ที่เราจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ข้างในได้ทุกวัน มันเป็นความรู้สึกที่ดีแต่มันก็ไม่ได้ดีพอที่จะสามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นบ้านได้   
แล้วยิ่งได้มารับรู้ความรู้สึกของแบมบูที่เปรียบเหมือนน้องแท้ๆ ของเขา ว่ามีความรู้สึกกับพี่อ้นอย่างไร คนผิวแทนก็แทบจะตัดสินใจได้โดยไม่ต้องลังเลเลยว่าจะต้องจัดการความรู้สึกที่มีต่อพี่อ้นในรูปแบบใดกัน
“พี่อ้นครับ ธันเองก็เคยคิดเอาไว้เหมือนกันนะครับ ว่าถ้าวันหนึ่งพี่อ้นมาพูดอะไรแบบนี้กับธัน ธันควรจะตอบพี่ไปแบบไหน แล้วคำตอบของธันในทุกครั้งที่คำถามนี้มันขึ้นมาในหัวก็คือคำว่า...” คนตัวเล็กเว้นช่วงหายใจพร้อมกับใช้มือน้อยๆ อีกข้างของตนที่ไม่ได้ถูกเกาะกุมเอาไว้มาบีบมือของคนตัวใหญ่ที่ยืนมองด้วยสายตาที่เริ่มมีความประหม่าอยู่ในแววบ้างแล้ว
“คำตอบของธันก็คือ คำตอบของธันก็คือ... ธันคิดกับพี่เกินกว่าพี่ชายไม่ได้จริงๆ ครับ” คนตัวเล็กพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองไม่ให้หยดออกมา เพราะวันนี้เขาสูญเสียน้ำตามามากจนเกินพอแล้ว แต่ถึงจะสามารถกลั้นหยดน้ำใสเอาไว้ได้ แต่ความรู้สึกแย่ที่ต้องบอกปฎิเสธคนที่แสนดีตรงหน้ามันก็สะท้อนออกมาในน้ำเสียงที่มีความสั่นเครืออยู่ดี
   “ทำไมล่ะครับ เป็นเพราะว่าแบมบูชอบพี่เหรอ เราถึงเลือกที่จะปฎิเสธพี่แบบนี้” คนตัวขาวกระชับมือเล็กที่อยู่ในกำมือของเขาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเอ่ยคำพูดที่แสดงถึงความเสียใจและตัดพ้ออยู่ในน้ำเสียงอย่างท่วมท้น
“พี่อ้นรู้เหรอครับ” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมาจ้องตากับคนตรงหน้า ก่อนจะเผยแววตาที่แสดงออกถึงความตื่นตระหนกและประหลาดใจไปพร้อมๆ กัน
“รู้สิครับ อย่างที่พี่เคยบอกว่าผนังเรามันบางนะ พูดอะไรกันพี่ก็ได้ยินหมดแหละครับ” คนตัวสูงพูดอย่างแผ่วเบาพร้อมกับส่งยิ้มละมุนบางๆ ลงมายังคนตัวเล็ก
“ครับ แบมบูมันชอบพี่ แต่ความจริงแล้วต่อให้เรื่องนี้ไม่มีแบมบูมาเกี่ยว คำตอบของธันมันก็ไม่น่าจะเปลี่ยนจากนี้หรอกครับ ธัน ธัน ธันต้องขอโทษพี่ด้วยนะครับ ที่ไม่สามารถรับเอาความรู้สึกดีๆ ของพี่เอาไว้ได้” คนตัวเล็กพูดอย่างละล่ำละลักพร้อมกับหลุบตาต่ำลงไปมองพื้นอย่างช่วยไม่ได้ เพราะในตอนนี้ความรู้สึกผิดได้เกาะกุมเข้าไปทั้งหัวใจจนไม่สามารถมองหน้าพี่อ้นได้ตรงๆ อีกแล้ว
ไร้เสียงพูดใดๆ ตอบกลับมาจากคนตัวสูงตรงหน้ามีแต่เพียงอาการสั่นสะท้านไปทั่วร่างที่คนตัวเล็กรู้สึกได้ผ่านมืออันใหญ่ที่เกาะกุมเขาไว้ และนั่นก็สามารถแทนคำพูดได้นับล้านคำพูดแล้ว 
อาการที่พี่อ้นแสดงออกมาต่อหน้าคนตัวเล็กนั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกแย่ยิ่งขึ้นไปอีกจนริมฝีปากล่างของคนผิวแทนเริ่มที่จะบิดเบี้ยวขึ้นทีละน้อยพร้อมกับเขื่อนน้ำตา ที่ใกล้จะทะลักอยู่รอมล่อแล้ว
ฝ่ามือที่สั่นไหวของหนุ่มตี๋ค่อยๆ ลูบมาที่หัวของคนผิวแทนอย่างช้าๆ และแผ่วเบา พร้อมกับคำพูดที่มีเสียงสั่นเครืออยู่ในน้ำเสียงว่า
“เป็นพี่ไม่ได้จริงๆ เหรอครับ” ผู้ชายตัวใหญ่ที่มักจะส่งรอยยิ้มมายังคนผิวแทนตลอดเวลาที่พบเจอ แต่ ณ ตอนนี้คนคนนี้กลับต้องมีอาการสั่นไหวเหมือนคนที่กำลังเหน็บหนาวจากการที่เกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ ที่เรียกว่าความผิดหวัง กำลังคืบคลานเข้าไปยังหัวใจและส่งผลให้ก้อนเนื้อก้อนนี้กำลังตายลงไปช้าๆ บวกกับน้ำเสียงที่แสดงถึงอาการโศกเศร้าเหมือนของสำคัญได้บุบสลาย หายไปต่อหน้าต่อตา มันยิ่งทำให้หัวใจของคนตัวเล็กกำลังจะพังลงไปไม่ต่างกัน
แต่ถึงกระนั้น คนตัวเล็กก็เลือกที่จะส่ายหัวไปมาอย่างช้าๆ ด้วยว่าไม่อยากจะหลอกทั้งตัวเองและพี่อ้นไปพร้อมๆกัน ดังนั้นเขาจึงจำใจต้องกัดฟันพูดคำบางคำที่แสนยากออกมา แม้มันจะมาพร้อมกับการต้องเว้นจังหวะหายใจเป็นห้วง และหยาดน้ำตาเป็นสายที่หยดไหลออกมาตามจังหวะการเคลื่อนไหวของใบหน้าเขาก็ตาม
“ธัน ธัน ธัน ขอโทษครับ ธัน ขอโทษ มะ ไม่ใช่ว่าพี่ ไม่ดีนะ ครับ แต่ธัน แค่ ธัน แค่ ฮึก ฮึก ฮึก” แม้จะพยายามสะกดกลั้นอารมณ์อย่างมากมาย เพื่อที่จะพูดอธิบายให้คนตัวสูงได้เข้าใจ ถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรับรักไม่ได้ แต่เขาก็ทำได้เพียงการพูดซ้ำไปซ้ำมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นและการสูดน้ำมูกที่มันกำลังจะหยดตามน้ำตาออกมาเต็มทีแล้ว
การสั่นไหวของพี่อ้นหยุดลงอย่างช้าๆ พร้อมกับมือที่ค่อยๆ ผละออกจากมือของคนตัวเล็กด้วยเหมือนกัน ซึ่งคนตัวเล็กก็ไม่ได้มีอาการปฎิเสธหรือแข็งขืนไขว่คว้าใดๆ เพื่อให้ได้มือใหญ่นั้นกลับคืนมา และเพียงแค่ชั่วอึดใจที่ธันยกหลังมือขึ้นมาปาดน้ำตา พี่อ้นก็อันตรธานหายออกไปจากห้องแล้ว
หลังจากคนตัวเล็กเดินไปล้างคราบน้ำตาที่ซิงค์ในครัว แล้วกลับมาหยิบโทรศัพท์ก็ต้องขมวดคิ้วเพราะ มีข้อความจากแบมบูเข้ามาในมือถือเขา พอกดเข้าไปอ่านก็ต้องรีบกดโทรหาปลายสายอย่างเร่งร้อน เพราะในข้อความนั้นถูกเขียนมาว่า
“ไม่ว่างไปด้วยแล้วนะ พอดีมีธุระด่วน แล้วก็ไม่ต้องตามนะ เดี๋ยวยังไงค่อยเจอกันตอนเช้าทีเดียว” แต่ทว่าแม้จะพยายามกดโทรหาไปมากกว่าสิบครั้ง ก็ไม่มีครั้งไหนที่คนตัวกลมจะกดรับเลย ซ้ำร้ายพอจะขึ้นทีที่สิบเอ็ด สิ่งที่ปลายสายทำก็เปลี่ยนจากการปฎิเสธการรับสายเป็นการปิดเครื่องใส่แทน ซึ่งทำให้คนตัวเล็กงุนงง ยิ่งกว่าไก่ที่โดนตีจนตาแตกว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับแบมบูกันแน่
แต่ถึงคนร่วมทางจะขอแยกทางออกไป มันก็ไม่ได้ทำให้เป้าหมายของคนตัวเล็กสั่นคลอน เพราะตอนนี้การเดินทางของเขาก็จบลงด้วยการมานั่งเหงาคนเดียวที่หน้าบาร์น้ำ ของร้าน ณ สยามแล้ว
“วันนี้มันเป็นวันอะไรกันวะ ทำไมถึงมีแต่เรื่องแย่ๆ” คนผิวแทนเอาปลายนิ้วเรียววนรอบๆ ปากแก้วคอกเทล พร้อมกับทำสีหน้าที่สับสน ด้วยภายในใจของเขานั้น มันมีทั้งความผิดหวัง ความรู้สึกผิด ความเสียใจ และการอกหัก ปะปนกัน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เข้าใกล้คำว่าความรักเลยแม้แต่น้อย ซึ่งอารมณ์เหล่านี้มันถูกแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างเด่นชัด ก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ เพราะว่า วันนี้คนตัวเล็กเจอความกดดันหลายอย่างเข้ามาพร้อมๆ กัน
“Hello Chocolate. Why do you sit here alone?” (สวัสดีช็อคโกแลต ทำไมนายถึงมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะ) เสียงทุ้มนุ่มลึกของใครบางคน ถูกกระซิบขึ้นที่ข้างหูคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา แต่ถึงกระนั้นเสียงนั้นยังคลับคล้ายคลับคลาในความทรงจำ อย่างไรก็ดีเมื่อเสียงมันมาดังในระยะประชิดโดยไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนล่วงหน้า มันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้คนตัวเล็กผวาจนเผลอปัดแก้วค็อกเทลร่วงลงพื้น โชคยังดีที่แก้วค็อกเทลที่ร้านอาหารใช้มีความหนาค่อนข้างมาก ดังนั้นเมื่อมันร่วงลงมาจากที่สูง ก็มีเพียงแค่ของเหลวในแก้วเท่านั้นที่กระเด็นออกมา
ถึงแก้วจะไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด และรอเพียงแค่ไม่ถึงสามนาทีพนักงานก็เข้ามาจัดการเก็บแก้วและเช็ดน้ำที่หกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแถมยังไม่ได้เซ้าซี้ถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้คนตัวเล็กต้องรำคาญใจ แต่ถึงกระนั้นคนตัวเล็กที่ยังอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัวสุดๆ ก็หันไปหาคนต้นเรื่องที่ทำให้เครื่องดื่มของเขาร่วงอย่างทันที ด้วยหมายใจจะต่อว่าซะให้เข็ด นาทีนี้ไม่ว่าจะเป็นใครใหญ่มาจากไหน เขาก็สามารถมองช้างเป็นหมูได้ไม่ยาก
“What the heck? Who are you and why you not come in front of me and look what did you make me do?” (นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย คุณเป็นใคร แล้วทำไมถึงไม่เดินเข้ามาข้างหน้า แล้วดูสิว่าคุณทำให้ผมทำอะไรลงไป) คนตัวเล็กหันมาพูดด้วยอารมณ์โมโหใส่คนที่เข้ามากระซิบใส่เขาทันที หลังจากพนักงานเดินจากไป ซึ่งเมื่อเห็นชัดๆ จากแสงไฟในร้านว่าคนๆ นั้นเป็นผู้ใดเขาก็ยิ่งมีอารมณ์โมโหเพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก
“Oh if I know this is you I would take the glasses back from the staff and throw it to your face” (โอ้ ถ้าฉันรู้ว่าเป็นนายฉันจะเอาแก้วคืนมาจากพนักงานแล้วปาใส่หน้านายไปแล้ว) คนตัวเล็กที่อารมณ์ขึ้นอย่างต่อเนื่องพูดใส่รูเบนที่ตอนนี้หน้าหด เหลือไม่ถึงสองนิ้วแล้ว เพราะหนุ่มตาฟ้าไม่คิดว่าคนตัวเล็กจะโมโหที่เขาเข้ามาทักทายถึงขนาดนี้ จริงอยู่ที่ว่าเขาทำให้คนผิวแทนอดกินค็อลเทลที่เขาเพิ่งสั่งมา แต่จริงๆ แล้วคนอย่างเขาสามารถสั่งเครื่องดื่มให้คนผิวแทนได้ใหม่อยู่แล้ว ซึ่งข้อนี้คนตัวเล็กเองก็น่าจะรู้ดี ดังนั้นมันทำให้เขาอดที่จะคิดไม่ได้ว่า ธันไม่น่าจะโมโหเขาแค่เรื่องเครื่องดื่มอย่างเดียวเสียแล้ว
“Another thing, I have to ask you why are you here not you ask me.” (อีกอย่างนะ ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถามนายว่าทำไมถึงมาอยู่นี่ได้ ไม่ใช่นายเป็นคนถามฉัน) คนตัวเล็กพูดประโยคดังกล่าวด้วยเสียงตวาดจนคนที่นั่งบริเวณรอบๆ เริ่มทยอยหันมามองที่เขาทีละคนทีละคน
“Hey, what happened to you and why I shouldn’t be here?” (เฮ้ย เกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่เนี่ย แล้วทำไมฉันถึงไม่ควรจะมาอยู่ที่นี่กันล่ะ?) หนุ่มตาฟ้าเอามือใหญ่ของเขาเข้าไปเกาะกุมมือน้อยๆ ของคนตัวเล็กพร้อมกับบีบเบาๆ โดยหวังว่าไออุ่นจากมือของเขาจะสามารถทำให้คนตัวเล็กสงบลงได้บ้าง ก่อนจะถามคำถามด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่นและอ่อนโยน โดยไม่มีอารมณ์หงุดหงิดหรือโมโหเจือปน ถึงแม้เขาจะโดนคนตัวเล็กพูดไม่ดีใส่ขนาดไหนก็ตาม
“Think by yourself and let go of my hand” (คิดเอาเองสิ แล้วก็ปล่อยมือฉันด้วยนะ) คนตัวเล็กไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามของหนุ่มผมสีวอลนัทแต่อย่างใด แถมเขายังพยายามจะแกะมือที่ถูกเกาะกุมอยู่ด้วยการเอามืออีกข้างที่เป็นอิสระ ทั้งทุบทั้งตีไปที่ไหล่หนาอีกด้วย
“No I don’t let go of your hand until you tell me what wrong with you and if you don’t stop hit me I will kiss you now” (ฉันไม่มีทางปล่อยมือนายหรอก จนกว่าฉันจะรู้ว่านายเป็นอะไรกันแน่ แล้วก็นะถ้านายยังไม่หยุดตีฉัน ฉันจะจูบนายเดี๋ยวนี้แหละ) รูเบนพูดทุกคำช้าๆ อย่างใจเย็นและโน้มตัวเข้าไปกระซิบที่ข้างหูตรงคำว่าจูบ ด้วยเสียงกระเส่า แถมไม่พูดเปล่าเขายังพ่นลมอุ่นๆ ไปที่ข้างหูของคนตัวเล็กอย่างแผ่วเบาอีกด้วย โดยคนตาฟ้าหวังใจให้คนตัวเล็กหน้าขึ้นสีจากการกระทำของเขาด้วยความเขิลอาย แล้วจะได้หยุดตีเขาเสียที เพราะถึงมือของธันจะเล็กและดูบอบบาง แต่ความจริงข้อหนึ่งที่คนตาฟ้าลืมคิดไปคือคนตัวเล็กนั้นยังมีความเป็นผู้ชายอยู่ และแรงของผู้ชายเวลาตีหรือทุบมานั้นก็เจ็บเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
ซึ่งดูเหมือนว่าผลลัพธ์ที่คนผมสีวอลนัทคาดหวังเอาไว้จะได้ผลครึ่งหนึ่งและไม่ได้ผลอีกครึ่งหนึ่ง เพราะธันหน้าแดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดหลังจากโดนรูเบนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน และการเป่าลมอุ่นๆ เข้ามาที่ใบหู แต่ว่าทว่าการทุบตีของเขานั้นไม่ได้หยุดลงไปด้วย ซ้ำร้ายกลายเป็นว่าสิ่งที่คนตาฟ้าทำ มันกลับทำให้สติของคนตัวเล็กแตกกระเจิงเข้าไปอีก ดังนั้นการทุบตีที่เหมือนจะออมแรงไว้บางส่วนก็กลายเป็นการตีอย่างเต็มเหนี่ยวแทน
“สวัสดีค่ะทุกคน คือน้องไหมจะแจ้งว่าคืนนี้เราไม่มีดนตรีสดนะคะ เพราะว่านักร้องนำของวงที่จะขึ้นคืนนี้ท้องเสียกะทันหัน” พี่สาวเสิร์ฟหน้าคมคนใต้ ขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับประกาศผ่านไมค์ด้วยเสียงที่ประดิษฐ์ให้หวานและนุ่มที่สุด และไม่ต้องให้เดาก็น่าจะรู้ได้ไม่ยากว่าการออกมาเป็นตัวแทนของร้านในการรับบาทาหลายคู่จากลูกค้าที่มานั่งรอฟังดนตรีสดนั้น ในใจจะกรีดร้องหนักซะแค่ไหน เพราะไม่ทันจะสิ้นเสียงของเธอดี ก็มีเสียงโห่จากลูกค้าคนไทยมาทั่วสารทิศ และเมื่อลูกค้าชาวต่างชาติที่ทำหน้างงในตอนแรก ได้รับการแปลภาษาจากเพื่อนคนไทยที่นั่งร่วมโต๊ะบ้าง หรือลูกค้าที่นั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะบ้าง ก็เริ่มจะทยอยโห่ตามกันมาเป็นแถว
“ใจเย็นค่ะ ทุกคน น้องไหมจะแจ้งว่าถึงคืนนี้เราจะไม่มีดนตรีสดแต่เราได้จัดคาราโอเกะไว้ให้ทุกคนได้มาแสดงศักยภาพนะคะ แล้วก็ใครก็ตามที่ขึ้นมาร้องแล้วเสียงเข้าตากรรรมการมากที่สุด ก็จะมีรางวัลให้ด้วย เป็น Gift voucher จากห้าง Myer โดยมีมูลค่าถึง 500 เหรียญเลยนะคะ เอาละค่ะ เอาละใครอยากจะขึ้นมาร้องเป็นคนแรกดีคะ” เสียงโห่ที่ดังขึ้นในตอนแรกเริ่มจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนเมื่อถึงคำพูดที่ว่ามีของรางวัลให้ด้วยเสียงโห่ก็เปลี่ยนเป็นเสียงตบมือและเสียงกรีดด้วยความดีใจแทน แต่เมื่อพี่ไหมปล่อยไมค์และเดินลงมาจากเวทีคนข้างล่างก็เริ่มมีการเกี่ยงกันทันทีว่าใครกันจะเป็นคนประเดิมเปิดไมค์เป็นคนแรก
“Wow Gift voucher 500 Dollar that so nice” (ว้าว บัตรของขวัญมูลค่าห้าร้อยเหรียญเลยเหรอ มันดีมากเลยนะนั่นอะ) คนตัวพูดขึ้นพร้อมนัยน์ตาที่แวววาวเปล่งประกายอย่างเห็นได้ชัด
จนคนตาฟ้าได้แต่นึกขำในใจโดยไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะออกมาเพราะกลัวว่าจะโดนคนตัวเล็กทุบเข้าให้อีกระลอก ถึงกระนั้นเขาก็ยังเนียนไม่ยอมปล่อยมือที่เกาะกุมไว้ออกแต่อย่างใด แม้มือของเขาจะขึ้นรอยแดงและช้ำจากแรงทุบของคนตัวเล็กแล้วก็ตาม
เสียงปรบมือดังขึ้นมาอีกระลอก เมื่อมีใครคนหนึ่งกำลังเดินผ่านฝูงชนที่นั่งเบียดเสียดกันอยู่ในร้าน เดินตรงขึ้นไปบนเวทีเพื่อเป็นผู้กล้าในการประเดิมร้องเพลงเป็นคนแรก ซึ่งหน้าตาของผู้กล้าของเราก็ดูคุ้นเหลือเกินเพราะดูเหมือนว่าเขาคนนี้ จะเป็นคนเดียวกันกับคนที่มีประเด็นกับคนตัวเล็กไปเมื่อช่วงหัวค่ำ จนทำให้คนผิวแทนต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งและมาจบลงด้วยการกินเหล้าอยู่คนเดียวแบบนี้
“ฮัลโหลเทส 1 2 3 ครับผม ผมชื่ออ้นนะครับ ถ้าใครเคยมาที่ร้านนี้ก็คงจะเคยพบเห็นผมอยู่บ้าง วันนี้ผมมาร้องเพลงในใจของผมให้คนคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในร้านนี้นะครับ ก็ขอให้เขาคนนั้นลองฟังดูหน่อยแล้วกันครับ” พี่อ้นพูดด้วยน้ำเสียงช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆ บางๆ ส่งตรงลงมาจากบนเวทีโดยสายตานั้นก็จ้องตรงลงมายังคนตัวเล็กที่นั่งอยู่เยื้องๆ เวทีจนคนตัวเล็กนั้นเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแทบไม่ทัน เพราะสายตาของแขกคนอื่นในร้านก็เริ่มมองตามสายตาของพี่อ้นมาที่เขาด้วยเหมือนกัน
หลังจากหนุ่มตี๋หันไปบอกเพลงที่เขาจะร้องกับพี่ที่คุมคอมพิวเตอร์แล้ว เขาก็เริ่มขับขานเพลงที่อยู่ในใจของเขาออกมาด้วยเสียงและเทคนิคการร้องที่ดีจนผู้คนที่นั่งอยู่ต้องอ้าปากค้างไปเป็นแถบๆ
เผยความจริงให้เธอได้มองเห็น
เห็นในใจใครบางคนที่รอ
ให้เธอหันมอง
หัวใจเราให้ไปสักแค่ไหน
ก็ไม่ทำให้เธอหัน มามอง
เห็นรักในใจ
ให้เท่าไรไม่พอใจเธอไยช่างเป็นสีดำ
พยายามเท่าไรก็ไม่มีหวัง
ทำได้เพียงแค่นั้น ทำได้เพียงแค่ฝัน
ไม่มีทางที่มันเป็นจริงขึ้นมาได้
เธอไม่เคยจะเห็น เธอไม่เคยจะหัน
เธอไม่เคยจะปันหัวใจให้ฉันเลย
ไม่ว่าจะเปิดเผยจะกี่คำเฉลย
เธอก็ยังจะเฉยเฉยชาไม่สนใจ
เธอได้ยินบ้างไหมว่าใคร
ให้รักไปเพียงข้างเดียว

   มาถึงตรงนี้ผู้หญิงที่นั่งอยู่ในร้านก็เริ่มหยิบทิชชู่มาซับน้ำตากันเป็นแถว รวมถึงคนตัวเล็กที่หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาของเขาด้วยเช่นกันแต่ผ้าที่ว่านั้นดันเป็นชายเสื้อของรูเบนที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่วนคนตัวโตก็ยังเนียนไม่หยุดเปลี่ยนจากการลูบมือมาลูบหัวคนตัวเล็กเบาๆ แทน

ฉันคงทำได้เพียงแค่เท่านี้
คิดถึงเธอในทุกวินาที
แม้ไม่มีทาง
ให้เท่าไรไม่พอใจเธอไยช่างเป็นสีดำ
พยายามเท่าไรก็ไม่มีหวัง
ทำได้เพียงแค่นั้น ทำได้เพียงแค่ฝัน
ไม่มีทางที่มันเป็นจริงขึ้นมาได้
เธอไม่เคยจะเห็น เธอไม่เคยจะหัน
เธอไม่เคยจะปันหัวใจให้ฉันเลย
ไม่ว่าจะเปิดเผยจะกี่คำเฉลย
เธอก็ยังจะเฉยเฉยชาไม่สนใจ
เธอได้ยินบ้างไหมว่าใคร
ให้รักไปเพียงข้างเดียว...
   เสียงเพลงจบลงไป พร้อมกับหัวใจของผู้ชม ที่ต่างมีคราบน้ำตาเปื้อนเต็มไปทั่วใบหน้า หนุ่มตี๋เก็บไมค์กลับที่เดิมก่อนจะเดินลงมาจากเวทีอย่างช้าๆ และไม่ว่าเขาจะเดินไปทางใดก็จะมีเสียงของคนในโต๊ะที่เดินผ่าน พูดคำให้กำลังใจพร้อมกับแตะไปที่ไหล่บ้าง ไปที่มือบ้าง ซึ่งหนุ่มตี๋ก็ได้แต่พยักหน้าและยิ้มขอบคุณกลับไป
  เมื่อก้าวสุดท้ายของหนุ่มเซอร์มาหยุดลงที่หน้าคนตัวเล็กและหนุ่มตาฟ้า เขาทั้งคู่ก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับพี่อ้น แต่แววตาของทั้งคู่นั้นกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง   
   คนตัวเล็กมองไปที่พี่อ้นด้วยตาที่มีอาการบวมเล็กน้อยจากการร้องไห้แล้วร้องไห้อีกมาทั้งวัน พร้อมกับปากที่สั่นระริกด้วยความเสียใจและรู้สึกผิดที่ยังเกาะกุมในใจยังไม่คลาย
   ส่วนคนผมสีอัลมอลด์นั้นมองมาด้วยความหวาดระแวง อันที่จริงถ้าใช้คำว่าคอยมองเพื่อกันท่าน่าจะถูกต้องกว่าเพราะตลอดเวลาไม่ว่าคนผิวแทนจะพูดอะไรหรือหนุ่มตี๋จะทำอะไรเขาก็คอยมองตามตลอดโดยไม่วางตา
    “พี่อ้น ธัน ขอโทษจริงๆ นะครับ ธันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ แต่ธัน...” พูดยังไม่ทันที่จะจบประโยคคนตัวเล็กก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอีกระลอก แต่คราวนี้เขาไม่ได้ใช้เสื้อของรูเบนมาเช็ดน้ำตาเหมือนเก่า แต่กลับพุ่งเข้าไปกอดเอวของหนุ่มตี๋พร้อมกับเอาหน้าที่เต็มไปด้วยหยดหยาดน้ำตาซุกลงไปบนเสื้อสีขาวของพี่อ้นแทน
   ซึ่งนั่นก็สร้างความตกใจให้ทั้งพี่อ้นและรูเบนอยู่ไม่น้อย แต่จังหวะนั้นก็ไม่มีใครที่อยากจะขัดอารมณ์ของคนตัวเล็กให้มันเสียบรรยากาศ ดังนั้นสิ่งที่ทั้งสองคนทำก็คือการเอามือพลัดกันลูบหัวและไหล่ของคนตัวเล็กที่เริ่มจะมีการสั่นไหวด้วยความเสียใจที่มันล้นเอ่อท่วมท้นออกมาทั่วร่าง
    “ไม่เป็นไรนะครับ ไม่เป็นไร พี่ได้บอกความรู้สึกของพี่ออกมาหมดแล้ว ตอนนี้พี่ก็โอเคขึ้นแล้วด้วย พี่ต้องขอโทษเราด้วยนะครับ ที่ทำให้เราร้องไห้เยอะเลยวันนี้ แต่ไม่ต้องร้องแล้วนะ ไม่ต้องรู้สึกผิดกับพี่แล้วนะครับคนเก่ง พี่เข้าใจเรานะ” พี่อ้นลดระดับของตัวเองจากการยืนเหนือหัวลงมาเหลือเป็นการย่อลงมาระดับเดียวกับตัวเล็ก พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความสั่นเครืออยู่เล็กน้อย เพราะสงสารคนตัวเล็กจับใจที่ต้องมาเสียน้ำตาให้เขาซ้ำไปซ้ำมา และนั่นก็บีบหัวใจของเขาเองอยู่ไม่น้อย
   ทางด้านรูเบนที่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างดีก็เลยไม่คิดจะเอ่ยอะไรมาขัดกับคนทั้งคู่ ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะมองไปทางอื่นเสียเพื่อไม่ให้ภาพตรงหน้านั้นมันบาดลึกเข้าไปภายในใจเขา
   “ธันขอบคุณมากนะ นะ ครับ ไม่ใช่ว่าพี่อ้นไม่ดีแต่ ธัน ฮึก ฮึก” ธันพูดด้วยเสียงที่สั่นเครืออย่างควบคุมตัวเองไม่ได้อีกครั้งพร้อมกับอาการสะอึกที่มาเป็นระลอกๆ
  “ครับ ครับ ไม่ต้องพูดแล้วพี่เข้าใจแล้วครับคนเก่ง” พี่อ้นยิ้มแฉ่งออกมาอย่างเสแสร้ง แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งเดียวในเวลานี้ที่น่าจะช่วยให้คนตัวเล็กหยุดร้องไห้ได้ ดังนั้นถึงมันจะเป็นการฝืนความรู้สึกสักแค่ไหน เขาก็จำเป็นที่จะต้องทำเพราะเขาเองอยากที่จะเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้ามากกว่าจะเป็นเสียงสะอื้นร่ำไห้แบบนี้
   “If you make him cry I will find the way to take him back. Do you understand?” (ถ้านายทำคนๆ นี้ร้องไห้ ฉันจะทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้เขาคืนมานะ นายเข้าใจไหม) พี่อ้นป้องปากกระซิบไปที่รูเบนที่ขณะนี้ยังคงหันหน้าไปอีกทาง แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่กระซิบมานั้นเขาก็ต้องหันไปหาต้นเสียงอย่างทันควัน พร้อมกับยิ้มมุมปากให้เล็กน้อยเพื่อแสดงถึงการรับรู้และการขอบคุณไปพร้อมๆ กัน

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
   “เอาละค่ะ อย่าปล่อยให้ไมค์ว่างนานนะคะ เพราะไม่งั้นน้องคนเมื่อสักครู่จะเป็นผู้ได้รางวัลไปนะ ใครอยากจะร้องเป็นคนต่อไปดีคะ” สาวใต้ของเราเดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับกระตุ้นผ่านไมค์เมื่อเห็นว่าสมาชิกด้านล่าง มีอาการนิ่งเงียบไม่ยอมขึ้นมาบนเวที แต่เพียงอึดใจเดียวก็มีผู้กล้าอีกคนพยายามเดินแหวกฝูงชนจากโต๊ะด้านในสุดหน้าห้องน้ำมายังหน้าเวที ซึ่งเมื่อเพ่งพินิจดูให้ดีก็ทำให้ ธันถึงกับแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
     “สวัสดีคะ คุณน้องชื่ออะไรคะ” พี่ไหมยื่นไมค์ไปจ่อปากคนตัวกลมที่เดินขึ้นมายังเวทีด้วยอาการกรึ่มๆ เล็กน้อย ซึ่งคำถามของเธอก็ทำให้แบมบูถึงกับมองตาขวาง เพราะตัวเขาเองก็มาร้านนี้ออกจะบ่อย ทั้งมากับคนตัวเล็ก มากับพวกฮานะ รวมถึงมาคนเดียวด้วย ซึ่งแม้จริงๆ แล้วคำถามดังกล่าวจะเป็นคำถามง่ายๆ เพื่อเป็นการเปิดไมค์ให้ แต่ถึงกระนั้นคนตัวกลมที่อยู่ในอารมณ์เมามายเล็กน้อยก็เลือกที่จะดึงไมค์ออกจากมือของเธอและเลือกที่จะพูดชื่อของเขาผ่านไมค์ในมือของเขาเอง
   ซึ่งสาวเสิร์ฟคนใต้ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการตบมือให้ตามหน้าที่ พร้อมกับเดินลงมาจากเวทีอย่างรวดเร็วที่สุดเพื่อไม่ทำให้งานกร่อยลงไป รวมถึงไม่ทำให้อารมณ์อยากตบเด็กของเธอปะทุขึ้นมาด้วย
   "ชื่อ แบมบูครับ วันนี้ไม่ได้อยากจะมาแข่งชิงรางวัลอะไรกับใครหรอกนะครับ เพราะรู้ตัวดีว่าสู้ใครเขาไม่เคยได้เลย เพราะถ้าเปรียบเธอเป็นทานตะวัน เขาก็คงเป็นพระอาทิตย์ ส่วนฉันก็คงเป็นได้แค่พระจันทร์ที่เธอไม่เคยจะหันมามองเลย ฮ่าฮ่าฮ่า พูดอะไรเนี่ยไร้สาระชะมัด อย่าเสียเวลาเลยมาฟังเพลงจากคนขี้แพ้คนนี้ดีกว่า” คนตัวกลมพูดด้วยน้ำเสียงที่ขื่นข่มแถมด้วยการหัวเราะแห้งๆ ที่ยิ่งดูแล้วก็ยิ่งน่าเศร้าและน่าเห็นใจ ดังนั้นจากตอนแรกที่ธันมีอารมณ์หงุดหงิดอยู่เล็กน้อยที่เห็นคนตัวกลมมาโผล่ในร้านนี้ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกเข้าใจและเอาใจช่วยให้แบมบูร้องเพลงไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง ซึ่งก็คงไม่ต่างอะไรจากลูกค้าคนอื่นๆ ที่ตบมือและส่งเสียงตะโกนให้กำลังใจขึ้นไปบนเวที
   ฉันอยากขอให้เธอมองมาอย่างที่มองเขา ฉันอยากขอฟังคำเดียวกันที่เธอบอกเขา
แต่ฉันคงทำได้แค่ฝัน คงไม่มีวันเป็นเรื่องของเรา ในเมื่อเธอไม่เคยให้ความสำคัญ

              ไม่เคยอยู่ในสายตาเธอสักครั้งใช่ไหม และทุกครั้งก็เห็นว่าเธอได้มองผ่านไป
ข้ามฉันไปที่เขา เหมือนหัวใจถูกดึงหายไป ฉันต้องทำยังไง อีกนานแค่ไหน ถึงจะอยู่ในสายตา

   ต้องยอมรับว่าเทคนิคและจังหวะการร้องของแบมบูนั้นยังห่างจากพี่อ้นอยู่หลายขุม แต่ถ้าหากเราจะเทียบเรื่องอารมณ์นักร้องและอารมณ์เพลงคนตัวกลมนั้นกินขาดอย่างไม่ต้องเขาข้างเลย เพราะแต่ละประโยคที่เปล่งออกมานั้นมันช่างบาดลึกเข้าไปตัดยังขั้วหัวใจ จนคนฟังด้านล่างแม้จะเป็นผู้ชายอกสามศอกก็ยังมีอาการน้ำตาร่วงหยดลงแหมะๆ ไปที่พื้นอย่างควบคุมตัวเองกันไม่ได้เลย
 ฉันอยากขอไปเดินจูงมือกับเธอแทนเขา
ฉันอยากขอเป็นคนที่เธออยากเจอตอนเหงา
ได้แค่คิดไปเพียงเท่านั้น แต่ก็ไม่มีทางเปลี่ยนเรื่องราว
เป็นแค่คนที่เธอจะมองข้ามไป

ไม่เคยอยู่ในสายตาเธอสักครั้งใช่ไหม
และทุกครั้งก็เห็นว่าเธอได้มองผ่านไป
ข้ามฉันไปที่เขา เหมือนหัวใจถูกดึงหายไป
ฉันต้องทำยังไง อีกนานแค่ไหน ถึงจะอยู่ในสายตา

ประโยคจบลงพร้อมกับเสียงตบมือของคนข้างล่างที่ตบกันเกรียวกราว พร้อมกับตะโกนขึ้นไปชื่นชมคนตัวกลมข้างบนเวทีอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งนั้นก็ทำให้แบมบูมีรอยยิ้มที่สดใสขึ้นมาได้บ้าง ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ส่งยิ้มที่แสดงถึงความเมามายอย่างหนักตรงไปยังหน้าบาร์น้ำ ที่มีคนตัวเล็ก หนุ่มหน้าตี๋และคนตาฟ้า ยืนโบกมือให้กำลังใจอยู่แต่คนที่ดูจะออกหน้าออกตามากที่สุดเห็นจะไม่ใช่ใครอื่น นอกจากคนตัวเล็กที่ทั้งพยายามผิวปากแม้จะทำให้มีเสียงออกมาไม่ได้ ไหนจะการส่งมินิฮาร์ทรัวๆ นั่นอีก มองดูแล้วก็น่าเอ็นดูไม่ต่างจากคนตัวกลมที่ยังยืนยิ้มค้างอยู่บนเวที
แต่สิ่งที่ต้องทำให้กลุ่มของธันเหวอ รวมถึงลูกค้าในร้านท่านอื่นๆ ด้วยเหมือนกันก็คือประโยคที่คนตัวกลมพูดผ่านไมค์หลังจากส่งยิ้มหวานไปทั่วร้านแล้ว ส่วนประโยคที่ว่านั่นก็คือ
“เห็นชัดๆ ว่าเขาไม่รักก็พยายามตามจีบเขาอยู่ได้ เมื่อไหร่จะเลิกเป็นควายซะทีวะ ไอ้บ้าเอ้ย” หลังจากตะโกนลั่นร้านด้วยประโยคดังกล่าวจบ แบมบูก็ค่อยๆ ปล่อยไมค์ร่วงลงพื้นอย่างหมดแรง พร้อมกับทิ้งตัวให้ทรุดร่วงลงไปกอดที่ขาไมค์ด้วยความเมามายอันเกินจะต้านไหวแล้ว
เดือดร้อนพนักงานต้องรีบขึ้นไปช่วยกันหามลงมาปฐมพยาบาลด้านล่าง ซึ่งกลุ่มคนตัวเล็กเมื่อเห็นดังนั้นก็ไม่รอช้า พยายามเข้าไปถึงตัวคนตัวกลมให้ได้มากที่สุด พร้อมกับออกปากไล่ไทยและฝรั่งมุงที่ยืนรายล้อมแบมบูให้ถอยออกไปก่อน เพื่อที่จะได้เปิดทางให้อากาศนั้นเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อมองดูรอบๆ ตัวแล้วผู้คนก็ไม่ได้เขยิบออกไปได้มากเท่าไหร่ เพราะว่าขนาดของร้านที่ไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวางขนาดที่จะเว้นระยะห่างให้มีอากาศไหลเวียนถ่ายเท บวกกับเป็นคืนวันพฤหัสบดี ที่ผู้คนมักจะมาออกมาเที่ยวกันแล้วด้วย ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการช่วยกันหามคนตัวกลมออกไปจากร้านตรงกลับไปที่ห้อง ถึงแม้ว่ามันจะลำบากและทุลักทุเลเมื่อมีคนแบกแค่สามคนก็ตาม
“เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวัน ก่อนงานพรอมโรงเรียนจะเริ่มขึ้น”

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

เง้อ...อิรุงตุงนัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เรื่องนี้น่าจะชื่อ แม่งูเอ๋ย อิอิอิ (แซวเล่นจ๊ะ) อีกอย่างอ้างถึงเฉยๆ ไม่ใช่รุ่นเราน้าาาา
อย่างว่าแหละเรื่องของหัวใจนะ บางทีคนข้างๆ ทำดีแทบตาย แต่หัวใจเขาไปอยู่ที่อื่น
สู้ๆ ๆ นะทู๊กคนนนน
 :a2: :a2: :a2:

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
 :mew1: เพราะว่าความรักในชีวิตจริงมันซับซ้อน รออ่านตอนต่อไปยิ่งซับซ้อนกว่านี้อีกตั้งสติดีๆนะครัย

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
   “แอบหลงรักเขา เหมือนที่เขาเองก็แอบหลงรักคนอื่นอยู่เหมือนกัน”
“เราไม่ได้คิดเหมือนกันกับแกว่ะ ต้องขอโทษด้วยนะเว้ย ที่ทำให้เข้าใจผิดไปได้ขนาดนั้น” ชายหนุ่มหน้าตี๋ตัวสูงพูดขึ้นอย่างห้วนๆ และกระชับคำพูดด้วยความรวดเร็วที่สุดเท่าที่มนุษย์หนึ่งคนจะทำได้ ก่อนจะหันหลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัยด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่าคำพูดที่ตนได้พูดทิ้งไว้อย่างไม่ใยดี เมื่อสักครู่เสียอีก
   สายลมทะเลอันบางเบาช่วยโอบกอดร่างของคนตัวกลมที่สั่นสะท้านจากความรู้สึกผิดหวังอันเอ่อล้นได้อย่างดี ส่วนแสงแดดเองก็ช่วยทำให้หยาดน้ำตาที่รินไหลจากตามาที่สองแก้มนั้นเหือดแห้งลงอย่างช้าๆ เฉกเช่นเดียวกัน
กี่ครั้งแล้วนะที่แบมบูถูกปฎิเสธอย่างไรเยื่อใยเช่นนี้ ยิ่งเขาเข้าใกล้คำว่าความรักมากเท่าไหร่ ยิ่งพยายามเอื้อมมือไขว่คว้ามากแค่ไหน มันก็ยิ่งห่างไกลออกไปมากขึ้นเท่านั้น
เหมือนกันกับครั้งนี้ที่เขาคิดว่าเพื่อนผู้ชายคนที่คอยมอบรอยยิ้มสดใสให้เขาทุกครั้งในยามเช้าที่พบเจอ คอยเช็คชื่อแทนทุกครั้งในคาบเมื่อเขาดูซีรีย์เกาหลีจนดึกจนดื่นแล้วตื่นมาเรียนไม่ไหว ไหนจะชวนเขาไปกินข้าวด้วยกันทุกครั้งหลังเลิกคลาสอีก ที่สำคัญเวลามีเพื่อนในคณะแซวว่าตัวติดกันตลอดอย่างกับคนเป็นแฟนกัน มันก็ไม่ยอมปฎิสธแถมยังตามน้ำโอบเอวโอบไหล่คนตัวกลมอีก แล้วแบบนี้จะไม่ให้คนตัวกลมคิดไปไกลได้อย่างไรกัน
“เสียเพื่อนดีๆ ไปอีกคนแล้วสินะ ต่อจากนี้จะมองหน้ามันยังไงวะเนี่ยเรา ไม่น่าเลยแบมบูเอ้ย ไม่น่าต้องการความชัดเจนเลย” คนตัวกลมรำพึงรำพันกับตัวเองขณะกำลังนั่งหงอยเหงากอดเข่าอยู่ตรงบันไดทางขึ้น ศาลศักดิ์สิทธิ์ ที่เด็กในมหาวิทยาลัยนี้ส่วนใหญ่จะมาบนบานศาลกล่าวให้ตัวเองรอดพ้นการติด F โดยแลกกับการวิ่งเป็นการแก้บน ซึ่งดูเหมือนคนตัวกลมจะนั่งอยู่ผิดจุดไปหน่อยเพราะหลังจากนั่งหน้าเศร้าเป็นนางเอกเอ็มวีได้ยังไม่ถึงสิบนาทีดี ก็ถูกลุงยามเดินเข้ามาไล่ที่ให้ไปทำเศร้าตรงอื่นเพราะมีพลเมืองดีที่เห็นเขานั่งนั่งตาไหลน้ำตาหยด จนกลัวว่าจะเกิดเหตุสลดในมหาวิทยาลัยหรือเปล่า เพราะใกล้ๆ ศาลพระภูมิก็ดันมีบ่อน้ำขนาดใหญ่อยู่ติดกันซะด้วย ชะรอยหากคนตัวกลมหาทางออกให้ชีวิตไม่ได้ก็อาจมีแนวโน้มจะกระโดดลงไปเป็นอาหารปลาเป็นแน่ ดังนั้นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงต้องรีบมาเชิญแบมบูออกไปเป็นการด่วน อารมณ์ประมาณว่าถ้าอยากจบชีวิตก็คงไม่มีใครรั้งแต่ช่วยไปทำอัตวิบากกรรมที่อื่น เพราะลุงอยากจะหลับยามโดยไม่ต้องมาระแวงว่าจะมีใครมา สะกิดให้ลุงขวัญผวาในยามค่ำคืน
“แม้แต่จะเศร้าก็ยังเศร้าไม่ได้เลยเหรอเนี่ย คนอย่างฉันมันจะโดนสาปให้พบแต่ความผิดหวังและอุปสรรคอย่างเดียวเลยหรือยังไงกันนะ” คนตัวกลมถอนหายใจพร้อมกับเดินเตะก้อนหินเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างทางเดินกลับหออย่างอ่อนใจ พร้อมกับเงยหน้าขึ้นฟ้าเพื่อแหงนมองก้อนปุยนุ่นที่ลอยกันกระจัดกระจายอย่างไร้ทิศทาง เหมือนกันกับหัวใจของเขาที่มันช่างสับสนและเหว่ว้าเสียเหลือเกิน เขาไม่ขออะไรมากไปกว่าการหวังเพียงจะมีใครสักคนที่เข้ามาเติมเต็ม สิ่งที่ขาดหาย เข้าใจ และยอมรับเขาได้ในแบบที่เขาเป็นในเร็ววันนี้
“ตริ๊ง ตร้อง ตริ้ง ตร้อง” เสียงระฆังทองเหลืองที่ติดไว้เหนือผนังร้านด้านนอกดังขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่ามีแขกรายใหม่ เดินก้าวเข้ามาในร้านอาหารไทยที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน
“แบมบูเอ้ย เข้าไปรับออเดอร์ให้แม่หน่อยสิลูก” เสียงดังของหญิงวัยกลางคนตะโกนออกมาจากในครัว เพื่อกระตุ้นให้ลูกชายที่ยืนล้างแก้วอยู่ตรงบาร์น้ำฝั่งตรงข้ามหยุดมือที่กำลังขะมักเขม้นกับการขัดรอยลิปสติกสีแดงที่ติดอยู่รอบปากแก้วก่อน แล้วเดินเข้าไปถามไถ่ลูกค้าว่าต้องการจะรับอะไรดี
“จ้าแม่” คนตัวกลมขานรับอย่างแข็งขันก่อนจะเช็ดมือที่เปียกปอน ของเขาลงกับผ้ากันเปื้อนและเอื้อมไปหยิบดินสอและกระดาษโน้ต พร้อมกับก้าวเดินอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ตรงไปยังโต๊ะของลูกค้าที่เพิ่งจะเข้ามาใหม่
“Hello Sir, Welcome to the Authentic Thai. Do you know what would you like to order?” (สวัสดีครับคุณลูกค้า ขอต้อนรับสู่ร้าน Authentic Thai ไม่ทราบว่าลูกค้าจะสั่งอะไรดีครับ)
“เอาเป็น เซ็ตแกงเขียวหวานไก่แล้วกันครับ” ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยตอบพร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรกลับมาให้
“อ้าว คนไทยเหรอครับเนี่ย?” ด้วยความที่เสียงตอบกลับมาเป็นภาษาที่คุ้นเคย จึงทำให้คนตัวกลมอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามอง ยิ่งน้ำเสียงที่เขาได้ยินผ่านโสตประสาทเป็นน้ำเสียงที่สุขุมนุ่มลึกอย่างที่เขาชอบแล้วด้วยเขายิ่งต้องไม่พลาดเข้าไปใหญ่
หนุ่มไทยที่มีเชื้อจีนอยู่เกือบค่อนมองตอบกลับมายังดวงตากลมโตสีน้ำตาลของเขาอย่างไม่กระพริบ และเพียงเสี้ยววินาทีที่ทั้งสองได้มองตากันหัวใจของหนุ่มตัวกลมก็เต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้ แต่เสียงของแม่ที่ดังขึ้นด้านหลังก็ทำให้เขาได้สติรับรู้กลับคืนมา
“อ้าว น้องทอม สวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันพักใหญ่เลยนะคะ เอาเหมือนเดิมไหมเอ่ย” เสียงอันอ่อนหวานดังขึ้นข้างๆ ที่คนตัวกลมยืนเพราะตอนนี้ แม่ของเขาที่เห็นว่าแบมบูหายไปนานจนผิดสังเกตเลยเดินมาตาม และพบเข้ากับลูกค้าประจำที่ชอบแวะมาทานอาหารที่ร้านเธอบ่อยๆ เลยอดไม่ได้ที่จะเข้ามาทักทายพูดคุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตามมารยาทที่เจ้าของร้านพึงมี
“ครับ เอาเหมือนเดิมครับคุณน้า ว่าแต่นี่ใครครับเนี่ย” ชายหนุ่มยิ้มตอบกลับไปพร้อมกลับหันมามองยังหนุ่มตัวกลม ที่เริ่มยืนไม่เป็นสุข เมื่อรับรู้ว่าคนที่นั่งอยู่เริ่มสอบถามผู้เป็นแม่ถึงชื่อเขา
“อ๋อ นี่ลูกน้าเองชื่อแบมบู พอดีช่วงนี้ที่ร้านน้าลูกน้องดันลางานกลับบ้านกันหมด เลยให้เขามาช่วยน้าก่อนจนกว่าลูกน้องเขาจะกลับมาน่ะจ้ะ เดี๋ยวยังไงน้ากับลูกขอตัวไปทำอาหารมาให้ก่อนนะ ยังไงน้องทอมรอแปปหนึ่งนะลูก” คนเป็นแม่พูดด้วยจังหวะการพูดที่เนิ่บนาบพร้อมด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร ก่อนจะขอตัวแม่ลูกเดินเข้าครัวไปช่วยกันจัดเตรียมอาหารที่เพิ่งได้รับออเดอร์มา
“แม่แม่ พี่เขาเป็นใครอ่ะ” ทันทีที่เดินพ้นประตูครัวมา คนตัวกลมก็รีบสะกิดแขนแม่ยิกๆ พร้อมกับสอบถามคนที่กำลังหยิบหม้อขึ้นมาตั้งบนเตา ด้วยน้ำเสียงเร่งเร้า
“อะไรกันไอ้ลูกคนนี้ ช่วยแม่ไปหยิบของในตู้เย็นออกมาก่อนเดี๋ยวแม่บอก”หญิงวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนใจก่อนจะหยิบปืนจุดเตาแก็สที่วางอยู่ข้างเตามาใช้จุดไฟ
“อ่ะ ได้แล้วแม่ สรุปพี่เขาชื่ออะไร แล้วเขาเป็นใครอ่ะแม่” แบมบูหอบเอาวัตถุดิบที่ต้องใช้ทำแกงเขียวหวานมาวางไว้ข้างเตาด้วยความรวดเร็ว จนคนเป็นแม่ถึงกับส่ายหัวและถอนหายใจ เพราะหากเธอใช้ในยามปกติที่ไม่มีข้อต่อรองอะไรแบบนี้ เธอต้องคอยบอกแล้วบอกอีกกว่าที่ลูกชายตัวดีจะหยิบเอาของที่เธอต้องการมาได้ถูกต้องและครบถ้วน
“พี่เขาชื่อทอม กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ที่ มหาวิทยาลัยในเมืองใกล้ๆ ร้านเรานี่แหละ แต่ก่อนเขาชอบมากินข้าวร้านเราแต่เดือนสองเดือนมานี้ไม่เห็นหน้าเลย เพิ่งจะกลับมากินก็วันนี้แหละ” คนเป็นแม่พูดไปพร้อมกับคนพริกแกงที่อยู่ในหม้อไปด้วย
“เหรอแม่เหรอ บังเอิญจังเลยเนาะ ดันเป็นวันที่หนูอยู่ด้วยพอดีเลย หรือว่ามันเป็นพรหมลิขิตกันแน่นะ” คนตัวกลมหลับตาพริ้มพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงวาบหวาม แต่ก่อนที่แบมบูจะเคลิ้มไปมากกว่านี้เสียงเตาแก็สก็ถูกปิดลงพร้อมกับเสียงคนเป็นแม่ที่สั่งให้เขารีบไปตักข้าวและเอาแกงไปเสิร์ฟได้แล้ว อย่ามัวแต่ฝันกลางวันอยู่
“แกงได้แล้วครับ” คนตัวกลมพยายามปั้นยิ้มให้หวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะเดินออกไปเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้า และ เมื่อเดินมาถึงโต๊ะเขาก็ได้ใช้น้ำเสียงที่สามสิบห้าในการเปล่งออกมาพูดคุยกับลูกค้า
“ขอบคุณครับ น้องแบมบู อาหารของแม่น้องยังน่ากินอยู่เหมือนเคยเลยนะครับ” พี่ทอมพูดขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มจนตาหยี
“พี่ทอมชอบกินแกงเขียวหวานเหรอครับ” คนตัวกลมที่แม้จะมีงานล้างถ้วย ล้างแก้ว ล้างชามรออยู่ล้นมือ แต่เขาก็เลือกที่จะหยุดคุยกับคนหน้าตี๋ที่อยู่ตรงหน้าก่อน
“อ๋อครับ อันที่จริงพอมาอยู่นี่พี่ก็ชอบอาหารไทยเกือบทุกอย่าง แต่ต้องปรุงโดยคนไทยนะ” พี่ทอมยิ้มน้อยๆ ก่อนที่จะเอาช้อนวนเบาๆ บนถ้วยแกง
“หมายความว่าไงครับ ที่ว่าพอมาอยู่ที่นี้ก็ชอบกินอาหารไทยเกือบทุกอย่างแล้วต้องปรุงโดยคนไทย” คนตัวกลมถามขึ้นด้วยความสงสัย ใคร่รู้
“ก็ตอนที่พี่อยู่ไทย พี่ไม่เคยมองอาหารไทยเลยนะ เพราะคิดว่ามันหากินง่ายแล้วรสชาติมันก็คล้ายๆ กันหมด แต่พอย้ายมาเรียนที่นี้ ร้านอาหารไทยก็ได้หายากมาก อันที่จริงเกือบทุกถนน จะมีร้านอาหารไทยอยู่อย่างน้อยหนึ่งร้าน แต่ว่านะคนปรุงหรือเจ้าของบางทีก็ไม่ใช่คนไทย แค่อาศัย อาหารไทยมาดึงดูดลูกค้าเฉยๆ แล้วรสชาติก็อิงเอาที่ฝรั่งชอบกิน พี่เผลอหลงไปอยู่สามสี่ร้าน กินไม่ได้เลยครับ ทั้งเค็มทั้งหวาน ทั้งอะไรก็ไม่รู้ ตักได้คำเดียวต้องรีบเดินไปจ่ายเงินเลย” คนหน้าตี๋เล่าไปก็หัวเราะคลอไปกับความโชคร้ายของตัวเองที่ดันไปเจอร้านอาหารไทยปลอมเข้า
“อันนั้น ผมเองก็เคยได้ยินมาบ้างนะครับ แต่ไม่เคยไปลองสักที แต่ก็นั้นแหละครับ คงไม่มีโอกาสได้ไปลองร้านอื่นหรอก เพราะว่าถ้าแม่จับได้คงโดนดึงหูยานแน่ โทษฐานที่กินอาหารไทยร้านอื่น นอกจากร้านแม่ตัวเอง ว่าแต่วีซ่าพี่ทอมเหลืออีกนานเท่าไหร่เหรอครับ” คนตัวกลมเริ่มจะสอบถามลงรายละเอียดซึ่งในหัวและในใจของเขา ณ เวลานั้นไม่ได้คิดอะไรมากเกินกว่าการตีสนิทเผื่อว่าบางที คนหน้าตี๋อาจจะชอบคนพูดมากอย่างเขาและความสัมพันธ์อาจจะเจริญงอกงามได้โดยเร็วก็เป็นได้
“อ๋อ จริงๆ แล้ววีซ่าของพี่ก็ใกล้หมดแล้วละเหลืออีกประมาณสามเดือนน่ะ แล้วแบมบูละมาวีซ่าอะไร แล้วระยะเวลาวีซ่าเหลือนานเท่าไหร่เหรอ” พี่ทอมถามกลับก่อนจะตักข้าวเข้าปากคำโต
“อ๋อตอนนี้ผมถือบิจจิ้งอยู่นะครับ (วีซ่าชั่วคราวถือไว้เพื่อรอฟังผลวี่ซ่าตัวจริงว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน) พอดีแม่กำลังยื่นเรื่องให้เป็นวีซ่าลูกติดตามแม่อยู่ ถ้าผ่านก็อาจมีสิทธิได้เป็นพลเมืองที่นี้” แบมบูตอบกลับพร้อมรอยยิ้มหวานไป แต่ก่อนที่จะได้พุดคุยกันให้มากยิ่งขึ้น ก็มีเสียงดังมาจากข้างในครัวเพื่อเรียกให้คนตัวกลมรีบกลับเข้ามาล้างถ้วย ล้างชาม เพราะมันใกล้ได้เวลาปิดร้านแล้ว ทำให้แบมบูต้องเอ่ยขอตัวกับคนหน้าตี๋ทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจเท่าใดนัก
เช้าวันใหม่ที่ไม่มีแสงแดดยามเช้าลอดผ่านก้อนเมฆออกมาให้เห็นแม้แต่เพียงสายเดียว เพราะว่าเช้ามืดวันนี้ที่ลอนดอนมีพายุฝนฟ้าคะนองเข้ามาเทียบท่า และแม้พายุจะพัดผ่านตัวเมืองไปหลังจากนั้นประมาณสองชั่วโมง แต่ทว่ามันก็ได้ทิ้งเอาสายฝนที่ตกหยุมหยิมไว้เบื้องหลังเพื่อให้ชาวเมืองได้รู้สึกรำคาญใจตลอดทั้งวัน
เช้านี้ แบมบูใส่เสื้อสเวตเตอร์โค้ดไหมพรมสีฟ้าตัวใหญ่เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้ตัวเองไว้ดานใน และใส่เสื้อกันฝนสีเหลืองสดใสไว้ด้านนอกเพื่อป้องกันการเป็นหวัดจากละอองฝน
“เอาอะไรเพิ่มเติมอีกไหมแม่”แบมบูตะโกนขึ้นไปถามแม่ของตนที่อยู่บริเวณชั้นสองของบ้าน 
“ไม่เอาแล้ว แล้วถ้าเธอจะกินอะไรเธอก็ซื้อเข้ามาเลยนะ เช้านี้แม่ขี้เกียจทำกับข้าว” คนเป็นแม่ตะโกนตอบกลับมาด้วยเสียงที่มีอาการงัวเงียเล็กน้อย
“จ้า” คนตัวกลมตอบรับคำสั่งสั้นๆ ก่อนจะบิดลูกบิดออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปซื้ออาหารสดเข้าบ้านตามกระดาษโน๊ตของผู้เป็นแม่ที่เขียนทิ้งไว้
“เอ๋ ไข่ไก่อยู่ตรงไหนกันน้า” คนตัวกลมเดินหันซ้ายหันขวาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า เชลวางแผงไข่ไก่จำนวนมากมายหลากหลายแบรนด์ แต่แบรนด์เจ้ากรรมที่ผู้เป็นแม่ของเขาเขียนกำกับไว้บนกระดาษนั้นกลับอยู่สูงเกินกว่าที่คนตัวกลมจะเอื้อมได้ ถึงแม้ว่าความสูงของเขาจะอยู่ที่ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นต์แล้วก็ตาม
“พนักงานไปไหนกันหมดนะ” แบมบูถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มชายตาหาพนักงานที่อยู่บริเวณใกล้เคียง เพราะหลังจากเขาลองพยายามเขย่งตัวอยู่พักใหญ่ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่สามารถที่จะหบิบไข่ไก่แผงนั้นถึง ซ้ำร้ายเขายังเกือบจะทำไข่ไก่แผงอื่นๆ ตกลงพื้นอีกต่างหากแต่ก่อนที่เขาจะทันได้เรียกพนักงานที่นั่งจัดเรียงสินค้าอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็มีมือมาหยิบแผงไข่ไก้บนชั้นที่เขาต้องการอยู่ ก่อนที่จะสะกิดไปที่แขนของคนตัวกลมและยื่นแผงไข่ไก้นั้นให้
ซึ่งพอคนตัวกลมมองไล่จากมือขึ้นไปตรงหน้าของบุรุษปริศนา หน้าของเขาก็มีอันต้องขึ้นสีแดงเพราะความเขิน เพราะเจ้าของมือนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นพี่ทอม ที่เขาเพิ่งได้พบเจอเมื่อคืนงานนี้เอง
“ขอบคุณครับ” คนตัวกลมรับแผงไข่ไก่มาไว้ในมือก่อนที่จะยิ้มตอบกลับไปด้วยความเขิลอายที่ปิดเอาไว้ไม่มิด
“ปกติน้องแบมบู มาซื้อของที่ร้านนี้บ่อยเหรอครับ” พี่ทอมถามขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินไปจ่ายเงินที่เคาเตอร์ด้วยกัน
“อ๋อ ครับเพราะว่ามันใกล้บ้านน่ะครับ แล้วพี่ทอมละครับปกติมาซื้อของที่นี้บ่อยเหรอครับ” แบมบูถามกลับไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ เพราะว่าถ้ามันเป็นอย่างนั้นเขาก็จะทำเป็นแกล้งเผอิญเดินผ่านมาได้บ่อยๆ แม้จะไม่มีธุระต้องซื้อของก็ตาม
“อ๋อ ใช่ครับเผอิญว่ามันใกล้ที่พักพี่เหมือนกัน บังเอิญจังเลยเนาะ” เหมือนกับคนตัวสูงรู้ความนึกคิดของแบมบูเพราะว่าเขาพูดประโยคเดียวกันกับที่คนตัวกลมคิดอยู่ลึกๆ ในใจ นอกจากนั้นเขายังสงยิ้มอบอุ่นเข้ามาหลอมละลายบางสิ่งบางอย่างที่มันฝั่งรากลึกในใจคนตัวกลมอีกด้วย
“งั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ” แบมบูพูดขึ้นหลังจากที่ทั้งคู่เดินกันออกมานอก ซุปเปอร์มาเก็ตแล้ว ใจจริงคนตัวกลมก็อยากจะอยู่ต่ออีกหน่อย แต่ถึงแบบนั้นเขาเองก็ใสซื่อเกินกว่าจะหาเหตุผลอะไรมาอ้างเพื่อยื้อเวลาให้เขาและพี่ทอมได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันต่อ
“เอ่อ... น้องแบมบูชอบกินไอศกรีมไหมครับ” เป็นคนหน้าตี๋ที่เป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยก่อน
“ชอบสิครับ ผมชอบกินขนมหวานทุกชนิดแหละ แต่มันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่มั้ง ถ้าดูจากรูปร่างของผมละก็นะ แหะๆ ว่าแต่พี่ทอมถามทำไมเหรอครับ”คนตัวกลมพูดขึ้นพร้อมกับลูบหัวตัวเองแก้เขิลเบาๆ เพราะตอนแรกที่พี่ทอมถามเขาว่าเขาชอบกินอะไร ใจของเขามันก็อดไม่ได้ที่พองฟู แต่อีกส่วนของหัวใจก็ต้องถูกหักห้ามลงไป เพราะว่าเขาเองก็รู้ตัวดีว่าทั้งรูปร่างและหน้าตาของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากพอที่จะทำให้คนที่หล่อขนาดพี่ทอมมาสนใจได้
“รูปร่างอย่างเราพี่ก็ว่าน่ารักดีออกครับ แล้วก็ที่พี่ถามก็เพราะว่า ใกล้ๆ นี้มีร้านไอศกรีมร้านอร่อยอยู่ร้านหนึ่ง ถ้าเกิดเราไม่ได้รีบมากพี่ว่าจะชวนเราไปกินด้วยกัน สนใจไหมครับ” พี่ทอมยิ้มบางๆ ทั้งปากและแววตาก่อนจะเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อให้คนที่สูงน้อยกว่าตรงหน้าได้คิด
“ไปสิครับ ไป ไป ไป” คนตัวกลมที่ปิดบังความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่รีบตอบรับรัวๆ จนพี่ทอม อดไม่ได้ที่จะขำ ก่อนที่จะเดินนำหน้าไปยังร้านไอศกรีมที่ตนบอก
“เอารสอะไรดีครับ” พี่ทอมถามขึ้นก่อนที่จะส่งยิ้มพิมพ์ใจให้แบมบูอีกรอบหนึ่ง แต่ตอนนี้รอยยิ้มนั้นทำอะไรคนตัวกลมไม่ได้มากนัก เพราะเขากำลังเพ่งพินิจพิจารณา ไอศกรีมหลากหลายรสที่อยู่ตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
“เอารส Chocolate Brownie แล้วกันครับ” คนตัวกลมพูดพร้อมกับลูบท้องตัวเองปอยๆ
“Can I have Chocolate Brownie for two please” พี่ทอมสั่งไอศกรีมรสชาติที่แบมบูเลือกสองที่กับพนักงานสาวทันที ที่แบมบูเลือกเสร็จ
“บังเอิญอีกแล้วนะครับ พี่เองก็ชอบรสนี้เหมือนกัน” พี่ทอมส่งยิ้มมาให้แบมบูอีกระลอกและมันก็อดที่จะทำให้แบมบูอ่อนระทวยเล็กๆ จากภายใน
“ครับ บังเอิญจังเลย” คนตัวกลมอมยิ้มก่อนที่จะรับไอศกรีมมาถือไว้ในมือ พร้อมกับหยิบกระเป๋าเงินมาเพื่อที่จะทำการจ่ายเงิน
“ไม่ต้องเลยครับ เดี๋ยวรอบนี้พี่เลี้ยงเอง” พี่ทอมหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาอย่างรวดเร็วหลังจากที่เขาได้รับไอศกรีมแล้ว และชิงจ่ายเงินก่อน ท่ามกลางการคัดค้านของแบมบู
“ไม่เป็นไรครับพี่ ต่างคนต่างจ่ายดีกว่าครับ” แต่ก่อนที่คนตัวกลมจะได้พูดอะไรกับพนักงาน พี่ทอมก็ชิงพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาที่ทำให้แบมบูต้องยอมรับเงื่อนไขนั้นด้วยความเต็มใจ
“งั้นเอาแบบนี้ดีไหมครับ ครั้งนี้พี่เลี้ยงเราแล้วครั้งหน้าเราค่อยเลี้ยงพี่คืน” หลังจากพี่ทอมพูดจบแบมบูก็ได้แต่พยักหน้าเบาๆ พร้อมกับเลียไอศกรีมที่อยู่ตรงหน้าของตนอย่างเงียบๆโดยไม่ลืมที่จะซ่อนรอยยิ้มที่เขิลอายไว้ด้านในใจ
หลังจากการกินไอศกรีมครั้งแรกทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไปได้ดีทีเดียว เพราะพี่ทอมก็จะพยายามชักชวนให้คนตัวกลมไปตามที่ต่างๆ ที่เป็นไฮไลท์ของเมืองด้วยกันทุกครั้งหากทั้งคู่มีเวลาว่างตรงกัน หรือวันไหนที่ตรงกับวันทำงานของคนตัวกลมพี่ทอมก็จะอาศัยเข้ามาสั่งอาหารที่ร้านของแม่แบมบู และพยายามนั่งแช่นานๆ หากไม่มีลูกค้ารายอื่นต่อคิวรอกินอยู่ด้านนอก
“พรุ่งนี้แบมบูว่างไหมครับ” พี่ทอมถามขึ้นขณะที่แบมบูเดินเข้ามาเก็บจาน ที่กินเสร็จแล้วของเขา
“พรุ่งนี้แบมบูต้องไปเดินซื้อของเข้าร้านกับแม่น่ะครับ พี่ทอมจะชวนไปไหนเหรอครับ” คนตัวกลมถามขึ้นหลังจากหยิบจานใบสุดท้ายขึ้นมาวางบนถาด
“อ๋อ พอดีพี่จะชวนไปเที่ยวที่สวนสาธารณ น่ะครับ แต่ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร ไว้ครั้งหน้าก็ได้ ยังไงเดี๋ยวพี่ส่งข้อความหาอีกนะครับ” พี่ทอมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูผิดหวัง แต่แบมบูก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการยิ้มเล็กๆ ส่งไปให้ เพราะถึงจะอยากไปยังไง แต่หน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบก็ต้องมาก่อนสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว
“คิดดีแล้วเหรอลูก” คนเป็นแม่พูดขึ้นมาด้วยเสียงเรียบๆ ในขณะที่แบมบูกำลังยืนล้างจานอยู่หน้าซิงค์
“อะไรเหรอจ๊ะแม่” คนตัวกลมเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัยก่อนที่จะชะงักการล้างจานตรงหน้าลงพร้อมกับหันคอมาไปในทิศทางที่แม่ของตนยืนอยู่
“ก็เรื่องของเรากับพี่ทอมน่ะ คิดดีแล้วเหรอ” คนเป็นแม่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันมาสบตาผู้เป็นลูก
“ก็ไม่มีอะไรนี่แม่ แค่พี่น้องกัน” คนตัวกลมหันกลับไปล้างจานต่อ พร้อมกับพูดตอบโต้คำถามของแม่ไปน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะมั่นใจนัก
“เออ ถ้าคิดแค่พี่น้องแม่ก็จะไม่พูดอะไรต่อแล้ว แต่ถ้าคิดมากกว่านั้นแม่อยากให้ยับยั้งช่างใจบ้าง เพราะถึงยังไงพี่เขาก็มีวีซ่าเหลืออีกไม่นานแล้ว ห่างกันไปมันจะไปได้สักกี่น้ำ”คนเป็นแม่พูดขึ้นด้วยเสียงที่ไร้ซึ่งอคติใดๆ มาเจือปน มีเพียงความหวังดีและความเป็นจริงของโลกนี้เท่านั้น แม้คนตัวกลมจะไม่ได้พูดอะไรโต้กลับไป แต่ในใจนั้นกลับเต็มไปด้วยข้อความที่ไม่เห็นตรงด้วยมากมายผุดขึ้นมา อย่างเช่นว่า โลกตอนนี้มันไปถึงไหนแล้วถ้าคิดถึงกันก็ Face Time หากันก็ได้ หรือถ้าคิดถึงกันมาก ก็นั่งเครื่องบินไปหากันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น แต่ความคิดที่ร้ายกาจที่สุดที่คิดขึ้นมาได้คือคำว่า อย่าเอาชีวิตรักของตัวเองมาเป็นบรรทัดฐานของเขากับพี่ทอมได้ไหม เพราะการที่พ่อกับแม่ต้องแยกทางกันด้วยเรื่องระยะทางมันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาและพี่ทอมจะต้องจบความสัมพันธ์ลงแบบเดียวกันกับพ่อกับแม่ซะหน่อยการที่จะมาเหมารวมว่าความรักมันต้องจบลงด้วยการผิดหวังตลอดไปมันก็ไม่น่าจะใช่หรือเปล่า และถึงแม้เขาจะเพิ่งผิดหวังกับเพื่อนสนิทที่มหาวิทยาลัยมา แต่ครั้งนี้มันก็ดูท่าจะไปได้ดีไม่มีอุปสรรคอะไรให้ต้องกังวลนี่นา ก็ต้องลองดูกันต่อไปละนะว่าปลายทางครั้งนี้มันจะสิ้นสุดแบบไหนกัน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

"ปม" ของแบมบู  ช่างหนักหนาสาหัสยิ่งนัก

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :call: :call: :call:


หายเงียบไร้ข่าวคราวไปหนึ่งเดือน

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ตายแล้วๆ
ช่วงนี้ธันทำโปรเจ็คจบอยู่นะครับเดี๋ยวว่างจะรีบเอามางงเลยขอโทษจริงๆนะครับ :mew6:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
รับทราบ

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
“เรากลับมาถึงบ้านได้ยังไงกันนะ” ความคิดในหัวผุดขึ้นทันทีหลังร่างบางมองขึ้นไปบนเพดานสีขาวขุ่นอันคุ้นตา และหยากไย่จากน้องแมงมุมที่พันกันอย่างยุ่งเหยิงตรงพัดลมเพดานบนหัว
คนตัวเล็กเอามือก่ายหน้าผากพยายามคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แต่ถึงจะพยายามคิดทบทวนจนหัวสมองแทบจะระเบิดเป็นเสี่ยง ภาพสุดท้ายในหัวก่อนที่จะตัดไปก็คือเขาและเพื่อนอีกสองสามคนที่พยายามแบกคนอ้วนอย่างทุลักทุเลขึ้นไปบนรถ Uber หลังจากยัดคนอ้วนไปที่เบาะหลังและเอาตัวเองแทรกเข้าไปนั่งข้างๆ ได้ สติเขาก็หลุดลอยออกไปยังนอกหน้าต่างรถเต่า Volkswagen สีขาวที่ตัดกันดีกับค่ำคืนที่ฟ้าไร้ดาวในย่าน Fortitude valley
ผ้าปูที่นอนสีขาวที่ถูกดึงไว้จนเรียบตึง เริ่มขึ้นรอยย่นไปเกือบจะทั่วทั้งผืนผ้า อันเนื่องมาจากแขนขาที่วาดไปวาดมา อีกทั้งคนที่นอนบนเตียงก็ยังขยับตัวดิ้นไปมาไม่ยอมหยุด แต่ถึงผ้าจะถูกขมวดเป็นปมหนักยับย่นมากเพียงใด ก็คงยังดูเรียบกว่าคิ้วของคนตัวเล็กที่ตอนนี้ขมวดเป็นปมยุ่งเหยิงจนแทบจะเป็นชิ้นเดียวกันอยู่แล้ว
กลิ่นหอมจากชั้นล่างค่อยๆ ลอยขึ้นมาตามขั้นบันไดเหล็กสนิมเขรอะทีละขั้น จนสุดท้ายกลิ่นหอมตลบอบอวลจากขนมแพนเค้กและกลิ่นนมจากเนยสีทองแสนชุ่มฉ่ำที่ได้ตอนนี้ได้รับไออุ่นจากตัวแพนเค้กก็ได้เปิดแง้มประตูเข้ามาทักทาย คนผิวแทนที่ยังนอนอ้อยอิ่งอยู่บนเตียงแม้จะรู้อยู่ว่าวันนี้เขาต้องไปเรียนแต่ด้วยหัวอันหนักอึ้งจากฤทธิ์แอลกอฮอล์และความสับสนอลหม่านจากเรื่องที่ยังคิดไม่ตก มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาตัดสินใจ โดดเรียนในคาบเรียนเช้าชั่วโมงแรก ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่ามันจะมีผลกับคะแนนเข้าห้องของเขาก็ตาม
“สงสัยเด็กอ้วนจะทำแพนเค้กกินแหะ เช้านี้ รีบล้างหน้าแปรงพันลงไปแย่งกินดีกว่าเดี๋ยวจะหมดซะก่อน” คิดได้ดังนั้นเขาจึงโยนเจ้าก้อนความคิดที่ยังสับสน วุ่นวาย ไว้ที่ข้างเตียงก่อนจะรวบรวมแรงทั้งหมดที่เหลือกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าห้องน้ำไป โดยหมายใจว่าจะรีบอาบน้ำให้ไวที่สุด ก่อนที่ข้าวเช้าของเขาจะเหลือแค่เศษแพนเค้กและน้ำไซรัปเมเปิ้ลที่เหลือทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าตามง่ามช้อนส้อม
ในขณะที่ ธัน เดินลงบันไดมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กบนหัว ก็ต้องรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่บริเวณชั้นล่างไม่มีแม้แต่เงาของแบมบู จะมีก็แต่เพียงจานสีขาวที่มีกองแพนเค้กตั้งใหญ่ ซึ่งด้านบนถูกตกแต่งด้วย เนยชิ้นใหญ่ ฉ่ำวาว บวกด้วยน้ำสีเหลืองก่ำดั่งทองจากน้ำหวานของเมเปิ้ลที่ถูกบีบวนเทท่วมทั่วตัวแพนเค้ก จนแทบจะเลยล้นออกมานอกจานอยู่รอมร่อ นี่ยังไม่นับ ผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่างๆที่ถูกสอดแทรกด้วยความประณีตชั้นต่อชั้น จนคนตัวเล็กเผลอเลียมุมป่ากไม่ต่างอะไรกับเด็กอ้วนที่เดินผ่านร้านลูกชิ้นทอดหน้าโรงเรียนเลย
แต่ก่อนที่จะได้ลงมือกิน ตาเจ้ากรรมก็ได้เหลือบไปสะดุดเห็นโน้ต Post-it สีส้มที่วางอยู่ติดๆกับจาน หลังจากพยามยามแกะลายมือภาษาไทยไก่เขี่ยอยู่นานสองนานก็พอจะสรุปได้ว่า
“ทำแพนเค้กทิ้งไว้ให้นะครับ แล้วก็เอาเสื้อผ้าที่คิดเอาเองว่าน่าจะเหมาะกับงานเลี้ยงคืนนี้ทิ้งไว้ตรงโซฟานะครับ ถ้าเกิดใส่มาผมจะดีใจมากเลย แล้วเจอกันนะครับ ”
พออ่านจบคนผิวแทนก็ได้แต่ขมวดคิ้ว เพราะนอกจากจะต้องแกะลายมืออยู่นานสองนานแล้วรูปประโยคที่ใช้ก็ห่างไกลกับที่สิ่งที่แบมบูน่าจะเขียนอยู่มากโข
“ใครวะ” คนตัวเล็กขมวดคิ้วเรียวเข้าด้วยกันอักครั้งเป็นรอบที่สองของวันแต่ครั้งนี้นั้นหนักจนถึงขั้นเห็นร่องระหว่างคิ้วอย่างชัดเจน
ดั่งวันที่มักจะเริ่มต้นด้วยเช้าอันสดใสและจบลงด้วยพายุฝนฟ้าคะนอง วันอันยุ่งยากและแสนทรมาน ก็มักจะเริ่มต้นด้วยขึ้นด้วย เช้าอันแสนธรรมดาที่มีกลิ่นหอมของไซรัป น้ำผึ้งบนภูเขาแพนเค้กกองโต และกลิ่นเสื้อใหม่ที่ถูกพับอย่างดีอยู่ในถุง
หลังจากรีบจัดการมื้อเช้าอย่างเร่งรีบ คนตัวเล็กก็รีบยัดหนังสือลงไปในเป้ พร้อมกับกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปใส่รองเท้า Converse สีขาวคู่โปรดก่อนจะหยิบกุญแจห้องที่แขวนอยู่ตรงมุมซ้ายข้างประตูและรีบเดินลงบันไดเพื่อมุ่งตรงไปยังโรงเรียน
การเดินอย่างเร่งรีบไม่ใช่สิ่งที่น่าทำเท่าไหร่นักในชั่วโมงอันเร่งด่วน เพราะนอกจากที่คุณจะไปไม่ถึงจุดหมายอย่างรวดเร็วขึ้นแล้วนั้น คุณยังเสี่ยงที่จะไปชนกับผู้คนที่เดินอยู่ตรงหน้าของคุณอีกด้วย และแน่ละเช้าวันแรกของการทำงานผู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะถือถ้วยกาแฟอยู่ในมือ ดังนั้นถ้าคุณเผลอไปชนเข้า นอกจากที่คุณอาจจะมีรอยด่างสีน้ำตาลติดเสื้อผ้าไปทั้งวันแล้ว คุณยังอาจจะต้องเสียเงินค่ากาแฟที่คุณไม่ได้กินมันอีกด้วย
“Oh sorry!!!” คนผิวแทนอุทานอย่างตกใจหลังจากเดินชนคนข้างหน้าที่หยุดเดินอย่างกะทันหัน แต่ความโชคดียังเป็นของธันอยู่บ้างที่มันเป็นช่วงเวลาอันเร่งรีบเกินกว่าที่คนโดนชนจะมีเวลาหันมาต่อว่าเขาและด้วยความที่ขนาดของคนชนและคนโดนชนต่างกันเกินไป ดังนั้นแทนที่คนโดนชนจะเซกลับเป็นคนชนซะเองที่กระเด็นจนแทบจะหงายหลัง และการเซเพียงเล็กน้อยของคนตัวเล็กก็ทำให้เขาต้องเสียเวลาอีกเป็นนาทีเพราะก้าวข้ามสี่แยกไม่ทันสัญญาณไฟแดง
“อ้าว มีร้านกาแฟมาเปิดใหม่ตรงนี้ด้วยเหรอเนี่ย ไม่ยักรู้เลยแหะ” คนผิวแทนพูดขึ้นในใจเพราะสายตาดันเหลือบไปเห็น ร้านกาแฟสีเขียวมินต์ ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหัวมุมถนน แต่ร้านกาแฟเปิดใหม่มันก็คงไม่สามารถดึงดูดความสนใจของคนๆ หนึ่งถึงขนาดที่จะลืมข้ามถนนไปได้ หากไม่บังเอิญว่าคนข้างในร้านกาแฟดันเป็นคนที่เรารู้จัก และอีกคนก็ดันเป็นคนที่เรามีความรู้สึกอะไรบางอย่างด้วย
ภาพที่เห็นตรงหน้าคือภาพของสาวสวยสะดุดตาคนหนึ่งที่กำลังยืนพูดคุย หยอกล้อและหัวเราะกับชายหนุ่มที่มีขนาดความสูงๆกว่าเธออยู่มากอย่างเห็นได้ชัด ผมหยักศกสีน้ำตาลอัลมอลด์ที่เมื่อโดนแสงแดดจับต้องแล้วสีละม้ายคล้ายกับสีของกาแฟลาเต้ยามเช้า
ทว่ารสชาติของกาแฟลาเต้ มันยังมีความหวานละมุนของนม แต่กลับกัน รสสัมผัสที่เขาได้รับตรงหน้ามันขมขื่นเจ็บปวดจนเขาแทบจะหยุดหายใจ และถึงแม้จะเห็นเพียงข้างหลังแต่ด้วยลักษณะอันคุ้นเคย รูปร่าง สีผม และความสูงโปร่งโดดเด่นที่ผิดมนุษย์มนา ทุกสิ่งทุกอย่างจึงดูชัดเจนและถูกต้องทั้งหมด เว้นเสียแต่ว่าตำแหน่งที่พี่ซีอิ๊วยืน มันควรจะเป็นเขาคนนี้ไม่ใช่เหรอ? และรอยยิ้มของสาวหมวยที่ยิ้มจนเห็นฟันสวยเรียงกันเกือบครบทุกซี่ มันก็สมควรที่จะเป็นรอยยิ้มมุมปากอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาไม่ใช่หรือไง? แล้วที่ผ่านมาละสิ่งที่เขาได้รับจากคนตาฟ้ามาตลอดมันคืออะไรกัน?
 “Please pay attention to me Mr.Thun” (ช่วยสนใจกันหน่อยนะ คุณธัน) เสียงหนังสือแบบฝึกหัดกระทบเข้ากับโต๊ะพลาสติกดังก้องทั่วห้องเพื่อเรียกความสนใจจากเจ้าของที่นั่ง ซึ่งมันก็ได้ผลค่อนข้างที่จะดีทีเดียวเพราะคนตัวเล็กถึงกับสะดุ้งเฮือก และเผลอปล่อยปากการ่วงลงจากมือ กระเด็นกระดอนไปด้านหลังเก้าอี้ที่เขานั่ง
“I know you think about your costume for tonight but please study first. Ok next paragraph show us about… ” (ผมรู้นะว่าคุณกำลังคิดถึงชุดที่จะใส่ไปคืนนี้อยู่แต่ยังไงก็เหอะ ช่วยเรียนก่อนนะ ย่อหน้าถัดไปพูดถึงเรื่อง...) อาจารย์ขนดกพูดจบแล้วก็เดินไปข้างหน้าห้องโดยที่ไม่แม้แต่จะก้มลงเก็บปากกาที่ตกให้เขาด้วยซ้ำ และอันที่จริงคนผิวแทนก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องชุดที่จะใส่ไปงานในคืนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่มันวนเวียนซ้ำๆอยู่ในหัวของเขาก็คือภาพของ ชายหญิงที่ดูเหมาะสมกันเหลือเกิน แต่ก็นั้นแหละมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้เพราะทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันจะไปหากาแฟกินกันมันก็คงไม่แปลกอะไร แต่สิ่งสำคัญที่รบกวนจิตใจคนตัวเล็กอย่างมหาศาลคือเรื่องของคนตัวสูงที่เขาจับสังเกต ด้วยตัวเองมาสักพักหนึ่งแล้วว่ามีท่าทีพิเศษบางอย่างกับเขาแต่บางทีเขาอาจจะมองอะไรพลาดไป หรือบางทีสิ่งที่เขารู้สึกมาตลอดมันอาจจะเป็นความรู้สึกจากเขาฝั่งเดียวก็ได้
“แป๊ก แป๊ก” เสียงโลหะบางอย่างกระทบกับเก้าอี้ไม้ตัวที่ธันนั่งอยู่ และถึงแม้เสียงจะไม่ได้ดังมากนักแต่แรงสั่นสะเทือนเล็กๆ ก็ทำให้คนตัวเล็กสามารถว่ายขึ้นมาพ้นจากภวังค์ที่ตัวเขาเป็นคนสร้างขึ้นมาได้
“Your pen” (ปากกานาย) หนุ่มผมสีอัลมอนล์ พูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนพร้อมกับ คลี่ยิ้มบางๆ และยื่นปากกาที่เขาเก็บขึ้นมาจากบนพื้นส่งคืนให้กับคนตัวเล็ก   
“Um… Thank you” (อืม... ขอบใจนะ) หนุ่มผิวแทนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงอาการยินดีสักเท่าไหร่นัก พร้อมกับรีบรับปากกา และหันตัวกลับไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
“Are you…” (นายเป็น...) เสียงเบาๆ ลอยเข้ามาในหูของธันจากตำแหน่งด้านหลังที่คนคิ้วเข้มนั่งอยู่ ก็แน่ละท่าทีเขาดูลุกลี้ลุกลนจนถึงแม้ไม่สังเกตก็สามารถมองออกได้ไม่ยาก แต่ก่อนที่บทสนทนาอันน่าลำบากใจสำหรับคนตัวเล็กจะเริ่มขึ้น เสียงกระแอมไอของอาจารย์ขนดกก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะคนบางคน และ ช่วยชีวิตคนบางคนเอาไว้ ซึ่งเสียงต่อมาที่คนผิวแทนได้ยินก็คงหนีไม่พ้นเสียงพลิกหน้ากระดาษไปมาและเสียงถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นเจ้าของเสียงเหล่านั้น
“Ok , Shall we meet each other again at ballroom in 3 hours?” (‘งั้นเดี๋ยวเรามาเจอกันอีกทีที่ห้องบอลรูม หลังจากนี้สักสามชั่วโมงนะ) คนตัวกลมพูดก่อนที่จะเก็บกระเป๋าและเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
คนตัวเล็กได้แต่ถอนหายใจและพยายามเดินตามไปติดๆ แต่ก็ช้าไปเพียงหนึ่งก้าวเพราะประตูลิฟท์ตรงกลางระหว่างโถงทางเดินก็ปิดฉับเข้าต่อหน้าเขาเพียงเสี้ยววินาที จนเขาต้องสบถเบาๆ อย่างอารมณ์เสีย
“วันนี้มันวันอะไรกันวะ เนี่ย” คนผิวแทนพูดไปก็เอามือยีหัวตัวเองอย่างหงุดหงิดและหัวเสียแต่ก็ทำได้เพียงแค่แปปเดียว เพราะว่านักเรียนในคลาสเริ่มทยอยกันออกมาจากห้องแล้ว และ ณ ขณะนี้คนตัวเล็กก็ยังไม่พร้อมที่จะเจอโจทก์ตาฟ้า ดังนั้นตัวเขาเลยต้องรีบกดลิฟต์ถี่ๆ เพื่อที่จะได้หลบออกไปจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ แต่ยิ่งรีบก็เหมือนยิ่งช้า และจังหวะที่คนตัวสูงเดินพ้นออกมาจากห้องก็เป็นจังหวะที่ลิฟต์เจ้ากรรมไปค้างอยู่ที่ชั้นห้าซึ่งยังห่างจากชั้นที่เขากดลิฟต์อยู่อีกประมาณสามชั้น ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจชิ่งหนีวิ่งลงบันไดหนีไฟไปก่อนที่คนผมสีอัลมอนล์จะเดินเข้ามาถึงตัวเขา และ ณ ตอนนี้คนที่ต้องมายืนยีหัวตัวเองก็สลับกลับมาเป็นรูเบนแทน
ห้องนอนสี่เหลี่ยมผืนผ้าห้องเล็กๆ ดูกว้างไปถนัดตาเมื่อเหลือเพียงคนตัวเล็กยืนหันซ้ายหันขวาอยู่หน้ากระจกในห้องเพียงคนเดียว หลังจากกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดหนีไฟตามคนตัวกลมลงมาถึงชั้นล่างจนหอบแฮ่ก แต่คนหน้าสวยก็ต้องแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้พบว่าลิฟต์ตัวที่แบมบูโดยสารลงมานั้นเปิดออกนานจนกลับขึ้นไปรับผู้โดยสารคนอื่นอีกรอบแล้ว แต่คนผิวแทนก็ต้องข่มความรู้สึกนั้นไว้ในใจก่อนที่จะจะต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากตัวตึกทั้งๆ ที่ยังไม่หายเหนื่อยดีเพราะลิฟต์ตัวที่มาจากชั้นที่เขาเรียนกำลังจะลงมาถึงชั้นที่เขายืนอยู่รอมร่อแล้ว
“ไปไหนของเขานะ ทำไมต้องหลบหน้ากันด้วย” ธันพูดพร้อมกับกลัดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายก่อนจะหมุนดูความเรียบร้อยของตัวเองอีกหนึ่งรอบ
เสื้อเชิ๊ตสีขาวคอจีนอันมีกระดุมระหว่างสาปเสื้อเป็นรูปมุดสีครีม เข้ากันได้ดีกับกางเกง สแลค ขาเต่อ สีฟ้าพาสเทลเนื้อผ้าวูล ยิ่งได้สวมทับเข้าไปบนคนตัวเล็กแล้วนั้นหากไม่บอก ใครๆต่างก็ต้องพากันนึกว่าทั้งเสื้อและกางเกงต้องถูกสั่งตัดมาเฉพาะให้กับผู้ที่สวมใส่อยู่ตอนนี้เป็นแน่ เพราะทั้งขนาดและความกว้างความยาวมันช่างพอเหมาะพอเจาะ เกินกว่าที่จะเป็นเสื้อโหลตามห้องเสื้อทั่วไปเป็นแน่ ไหนจะสร้อยคอสีโรสโกลด์ที่มีจี้เป็นรูปห่วงโดยด้านในห่วงถูกลงยาไว้เป็นสีขาว ส่วนด้านนอกมีตัวอักษรสลักไว้เป็นคำว่า “Bvlgari.Bvlgari” ล้อมรอบติดกัน ซึ่งประเมินด้วยสายตาแล้วน่าจะแพงระยับแน่นอน
มาถึงตรงนี้สมองของคนผิวแทนก็ตระหนักได้แล้วว่าต่อให้เขาและแบมบูจะสนิทกันมากเพียงใดแต่ก็ไม่น่าจะรักกันถึงขนาดจะซื้อของพวกนี้เตรียมไว้ให้เขาหรอก ไม่มีทางเลย
พอคิดถึงคนตัวกลม ธันก็จำต้องถอนหายใจขึ้นมาอีกรอบด้วยความหนักใจ อันที่จริงคนผิวแทนก็รู้สึกได้อยู่ลึกๆว่าที่คนตัวกลมหลบหน้าเขาตลอดทั้งวันสาเหตุมันก็คงหนีไม่พ้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นแน่ เพราะถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเขาบ้าง เขาเองก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าจะรับมันไหว แต่จะให้เขาจัดการเรื่องนี้อย่างไรกันล่ะ เพราะถ้ามองกันตามความจริงแบบไม่ได้เข้าข้างตัวเองเลยแม้แต่นิด เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยไม่ใช่เหรอ เขาพยายามที่จะไม่ยุ่งและแอบเชียร์ แบมบูให้พี่อ้นทุกครั้งที่เขามีโอกาส
แต่ก็นั่นแหละในเมื่อหัวใจเขาไม่สามารถชอบพี่อ้นได้ฉันใด หัวใจพี่อ้นก็ไม่สามารถถูกชักจูงด้วยคำพูดหว่านล้อมของเขาได้ฉันนั้น และตั้งแต่เมื่อวานเขาก็ไม่มีเวลาได้ปรับความเข้าใจกับคนตัวกลมเลยแม้แต่คำพูดเดียว เช่นเดียวกับที่ไม่มีคำพูดใดออกจากปากของเขาไปหาคนตัวสูงเลยตั้งแต่เขาได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าที่ร้านกาแฟสีมินท์
“แอดดดดด“เสียงเนื้อไม้เบียดเสียดกัน อันเป็นเสียงประจำที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเปิดประตูห้องที่เนื้อไม้อับชื้นและค่อนข้างบวม ตอนแรกที่ย้ายเข้ามามันก็เป็นเสียงที่ชวนหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยเนื่องจากเสียงนี้ไม่ได้ดังขึ้นมาแค่ประตูทางเข้าห้อง แต่เสียงนี้มันดังขึ้นทุกห้อง จะต่างกันที่ความหนักเบาเพียงแค่นั้น ช่วงกลางวันเสียงนี้มันก็ไม่ได้กระทบอะไรกับการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยสักเท่าไหร่หรอก แต่พอตกกลางคืนเท่านั้นแหละความหายนะก็มาเยือนคนตัวเล็กทันที เนื่องจากธรรมดาคนผิวแทนก็เป็นคนตื่นง่ายอยู่แล้ว แค่เสียงแบมบูขึ้นลงเตียงหรือเสียงหยิบจับอะไรก็อกแก็กกลางดึกของพี่อ้น ก็ทำให้เขาผวาตื่นได้ไม่ยาก ยิ่งเสียงเปิดปิดประตูดังแบบนี้ไม่ต้องพูดถึง แต่ก็นั่นแหละ อยู่ไปนานๆเข้ามันก็ชิน ก็คงคล้ายกับความรู้สึกกับคนตัวสูงนี่แหละมั้ง ที่พอนึกย้อนๆดูแล้ว มันก็เหมือนจะเป็นเขาฝ่ายเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกชินกับการที่มีเขาอยู่ข้างๆ จะเป็นเขาฝ่ายเดียวหรือเปล่าที่รู้สึกดีกับการได้เฝ้าดู เฝ้ามองดูดวงตาอันแสนอบอุ่นคู่นั้น และจะเป็นเขาฝ่ายเดียวไหมนะที่คิดเกินเลยไปไกลกว่าคำว่าเพื่อน
เมฆหมอกแห่งความฟุ้งซ่านของธันได้อันตรธานหายไปพร้อมกับร่างอันคุ้นตาได้เดินก้าวเข้ามาในห้อง แบมบู สบตากันคนตัวเล็กอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเป็นคนตัวกลมที่ต้องยอมละสายตาหันหนีไปทางประตูตู้เสื้อผ้าก่อนที่จะเอือมมือไปคว้าเอาราวจับประตูให้เปิดออกและลงมือค้นหาอะไรสักอย่าง อย่างรีบร้อน
“มึงคือเรื่อง พี่อ้..” คนตัวเล็กพยายามประคองสติให้ได้มากที่สุดในขณะที่พูด เพราะเสียงของเขาที่เปล่งออกมามันช่าง สับสนและสั่นเครืออยู่ในทีเดียวกัน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องเมื่อคืนหรอกที่ทำให้เขาปวดไปทั้งหัวตอนนี้แต่ไหนจะเป็นเรื่องตอนเช้าที่ สายตามันดันไปเห็นภาพอะไรต่อมิอะไรที่ไม่ควรเห็น ไหนจะตลอดทั้งคาบที่คนตัวกลมทำทีหมางเมินไม่สนใจเขาอีก แต่คำพูดสุดท้ายก็ต้องกลืนเข้าไปในลำคอเมื่อคนตัวกลมพูดโต้ตอบกลับมาด้วยเสียงอันราบเรียบจนอ่านไม่ออกว่าเขารู้สึกอะไรอยู่กันแน่
“เรื่องนั้นเราค่อยว่ากันหลังงานเลี้ยงดีไหม ตอนนี้ฉันรีบต้องไปช่วยเพื่อนคนอื่นแต่งตัวอีก” พูดจบแบมบูก็ปิดตู้เสื้อผ้าเสียงดังโครม!!! ก่อนที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองหน้าของคนผิวแทนเลยด้วยซ้ำ
ธันนิ่งลงไปชั่วขณะเหมือนคนเอาค้อนปอนด์ใหญ่ๆ มาฟาดลงที่หัวเขาซ้ำไป ซ้ำมา มันมึน มันอึ้ง และมันก็รู้สึกหน่วงๆอยู่ข้างใน
“ต้องรีบไปช่วยคนอื่นแต่งตัว... อย่างนั้นเหรอ แล้วกับฉันนี่แกไม่สังเกตเห็นเลยเหรอว่าฉันพับแขนเสื้อสั้นข้างยาวข้างเนี่ย”คนตัวเล็กได้แต่ถอนหายใจและยิ้มให้ตัวเองในกระจกอย่างแห้งๆ ก่อนที่จะปลดแขนเสื้อข้างที่สั้นกว่าอีกฝั่งลงและเริ่มพับขึ้นไปใหม่อีกที
Uber car ได้จอดเทียบตรงหน้าโรงเรียนของคนตัวเล็กพอดิบพอดี ก่อนที่ร่างของธันจะค่อยๆก้าวลงมาอย่างระมัดระวัง เนื่องด้วยว่าฝนห่าใหญ่ได้ตกลงต่อหน้าต่อตาก่อนที่จะก้าวพ้นธรณีประตูของอพาท์เม้นท์ ดังนั้นแทนที่จะได้ประหยัดเงินด้วยการเดินจากบ้านไปที่งานเลี้ยงก็จำต้องเรียก Uber ให้มารับจากหน้าบ้านไปยังสถานที่จัดงานแทน ทั้งที่ความจริงแล้วหากเดินก็ใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-01-2022 21:01:02 โดย DaydreamIsland »

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0

“ตึ้ง ตึ่ง” เสียงประตูลิฟท์เปิดออกในชั้นและบรรยากาศที่ไม่คุ้นตา แม้ตึกจะเป็นตึกเดียวกันแต่การจัดผังชั้นและทุกอย่างกลับดูแตกต่างราวกับคนละตึก ห้อง Ball room อยู่บนชั้นสูงสุดของตึกเรียนและ ถึงแม้ว่าห้องนี้จะไม่ค่อยได้ถูกใช้งานบ่อยนักแต่ก็ต้องยอมรับว่าคนที่ดูแลรักษาห้องนี้นั้น ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมเพราะตั้งแต่เปิดประตูลิฟท์ออกมา คนตัวเล็กก็ไม่ได้สัมผัสถึงกลิ่นอับเลยแม้แต่น้อย
ห้องโถงใหญ่สีขาวสไตล์กรีก โรมัน อันถูกรายล้อมไปด้วยเสาสีขาวมุกที่ถูกแกะสลักเป็นรูปเกลียวคลื่นเข้ากันได้ดีกับตัวและหัวเสาที่ถูกแกะสลักเป็นรูปละม้ายคล้ายกับทานตะวันที่กำลังเบ่งบานชูช่อ อีกทั้งคนจัดงานยังได้แอบเอาหลอดไฟหลอดเล็กๆ มาพันรอบเสาแต่ละต้นเมื่อมองดูผ่านๆ ราวกับคนตัวเล็กกำลังอยู่ในป่าสน ซึ่งมีเหล่าหิ่งห้อยตัวน้อยนับพันออกมาเที่ยวหาคู่ในคืนเดือนหนาว
 ตัวพื้นแม้จะดูด้วยตาเปล่าก็รู้ว่าผ่านการใช้งานมานานหลายทศวรรษ แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังแวววาวและเงามันหยอกล้อสะท้อนแสงไฟนับพันที่ถูกประดับประดาในคืนนี้ได้เป็นอย่างดี และถึงแม้ตอนนี้ผิวหน้าของมันจะถูกบดบังด้วยเศษซากของกระดาษ Paper shoot หลากสีแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความมันวาวของมันลดน้อยถอยลงไปเลย
ธงสีรุ้งที่มักจะถูกใช้ตามงานเทศกาลรื่นเริง ถูกพันเชื่อมโยงระหว่างหัวเสาหนึ่งไปสู่หัวเสาหนึ่ง และถึงแม้ว่าบรรยากาศโดยรอบในขณะนี้จะดูมากด้วยสีสันอยู่สักหน่อย แต่ด้วยความที่สถานที่มันดูงดงามมากราวกับเดินอยู่ในสรวงสวรรค์ ดังนั้นต่อให้จะเอาถุงขยะมาวางซ้อนกันเป็นภูเขามันก็ไม่สามารถที่จะลดทอนความงามของสถานที่นี้ได้เลย มันงดงามมาก มากเสียจนหากผู้ร่วมงามคนใดคนหนึ่งจะร้องไห้ด้วยความปิติ ที่ได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ก็คงไม่แปลก ยิ่งคนตัวเล็กเดินเขยิบเข้าไปในตัวตึกก็ยิ่งต้องเบิกตากว้างขึ้นไปกว่าเดิมอีกเท่าตัว เพราะแม้ว่าลานตรงกลางจะขวักไขว้ไปด้วยผู้คนที่เบียดเสียดกันจนแทบจะสิงเข้าไปเป็นคนๆเดียวกันอยู่แล้ว แต่หากเรามองขึ้นไปด้านบนของห้องจะพบกับดวงดาวรายล้อมมากมาย เนื่องจากด้านบนของห้องเป็นกระจกใสที่สามารถมองออกไปด้านนอกได้อย่างชัดเจน และด้วยความที่ก่อนหน้านี้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก เมื่อฝนหยุดลง ก้อนเมฆใหญ่ที่เคยรายล้อมเมืองก็ได้มลายหายไปพร้อมกับหยาดสายฝน ท้องฟ้าจึงเปิดให้คนข้างล่างได้เห็นความงดงามของธรรมชาติด้วยดาวสีทองนับร้อยพันที่กำลังค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาโอบกอดราตรีนี้อย่างช้าๆ
“Oh see, who this handsome boy is” (โอโห ไอ้หล่อนี่มันเป็นใครกันเนี่ย) เดวิดยิ้มจนตาหยีก่อนที่จะเดินเข้ามาทักทายคนตัวเล็กพร้อมกับกอดคอ อย่างที่เพื่อนสนิททักกัน
“Ha ha ha, thank you David. How long have you been here?” (ฮ่า ฮ่า ฮ่า , ขอบใจเดวิด นายมาถึงนานหรือยัง?) คนตัวเล็กเอ่ยถามก่อนจะพยายามดันตัวออกมาจากออมกอดของเพื่อนตาขีดที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะรัดเขาแน่นจนเกินไปเสียแล้ว
“Just a minute, have you eaten something yet?” (สักพักอะ นายกินอะไรมาหรือยัง?) เดวิดถามขึ้นก่อนที่คนธันจะส่ายหัวน้อยๆ แทนคำตอบ แต่ใช่ว่าเพื่อนตาขีดจะไปหาอะไรให้เขากินหรอกนะ เพราะพอถามจบประตูลิฟท์ก็ค่อยๆ เปิดออกและผู้มาใหม่ก็ค่อยๆ ทยอยเดินกันออกมา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีพี่ซีอิ๊วและรูเบนกำลังเยื้องย่างออกมาพร้อมๆกัน โดยต้องยอมรับว่าสองคนนี้หากเป็นคู่กันจริงๆ ก็ดูเหมาะสมกันราวกับต้นสนคริสมาสต์และดาวสีทองที่ถูกประดับตรงยอดเสา สาวหมวยวันนี้มาในชุดเดรสสีทองแดงปาดไหล่ตรงช่วงเอวมีริบบิ้นสีเดียวกับตัวเดรสผูกเป็นโบว์อยู่ด้านหลัง ใบหน้าถูกบรรจงแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างประณีต และถึงแม้ว่าผิวของเธอจะเป็นผิวสีแทนแต่ก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าลิปสติกสีแดงที่เธอได้ทามามันก็ช่างเข้ากับชุด รูปหน้า และดวงตาของเธอจนอดคิดไม่ได้ว่าหากในงานมีประกวด Prom Queen แล้วละก็ตำแหน่งคงไม่พ้นพี่ซีอิ๊วเป็นแน่ ส่วนคนข้างเธอก็คงจะไม่พ้นได้ตำแหน่ง Prom King แต่ไม่ใช่เพราะเขาได้ควงสาวที่สวยที่สุดในงานมาหรอกนะ แต่เป็นเพราะเขาเองก็หล่อจนรูปปั้นเดวิดที่ยืนขนาบข้างอยู่ตรงลิฟท์ยังหมอง เสื้อเชิ๊ตสีขาวคอปกที่ดูเหมือนจะเล็กไปสักหน่อยสำหรับรูเบนเพราะช่วงหน้าอกนั้นท่าทางกระดุมท่าจะหลุดหายไปเพราะตาคนผมสีอัลมอลด์เลือกที่จะปลดอวดเนื้อเนินอกที่เป็นมัดกล้ามขาวอย่างชัดเจน ส่วนตัวกางเกงก็ดูคล้ายของคนตัวเล็กทั้งสีและทรงจะต่างกันอยู่หน่อยก็ตรงที่ช่วงขาของคนตัวสูงนั้นยาวกว่าคนตัวเล็กอยู่มากจนหากมายืนข้างๆกัน ที่ควรจะเป็นเหมือนกางเกงแฝดก็คงจะดูเหมือนกางเกงพ่อกับกางเกงลูกมากกว่า ทรงผมที่ปกติถูกปล่อยละหน้าละตาตอนนี้ถูกเซ็ตให้กลายเป็นทรงผมคอมม่าเหมือนกับไอดอลเกาหลี และถึงแม้หน้าตาของเขาจะไม่มีเอเชียผสมปนอยู่แม้แต่นิดเดียวแต่ทรงผมจากแดนกิมจินี้ก็เข้ากันได้ดีกับรูปหน้าของเขาจนออร่าที่มีอยู่มากอยู่แล้วกลับมากขึ้นไปอีกจนแทบจะกลบรัศมีของทุกคนในงานไปเลย
และถึงแม้คนตัวเล็กจะเจ็บอยู่ในใจ แต่เขาเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้วซึ่งเขาก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่าตัวเขาที่เป็นแค่ลูกบอลประดับจะไปเทียบกับพี่ซีอิ๊วที่เป็นดาวบนยอดเสาได้อย่างไร ต้นคริสมาสต์ไม่มีลูกบอลประดับก็ยังเป็นต้นคริสมาสต์ได้อยู่ แต่ต้นคริสต์มาสหากไร้ซึ่งดาวบนยอดแล้วมันก็เป็นได้เพียงแค่ต้นสนไม่ใช่หรือ คนเรามันก็ต้องเลือกสิ่งที่ดีและคู่ควรที่สุดให้ตัวเองสิ แต่ก่อนหน้าที่จะคิดไปมากกว่านั้นเดวิดที่ยืนข้างเขาเมื่อครู่ ก็กุลีกุจอเข้าไปกล่าวทักทายบุคคลที่มาใหม่ปล่อยให้คนตัวเล็กยืนเคว้งคว้างอยู่คนเดียว
คนผิวแทนได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจเบาๆ อย่างเอือมๆ ก่อนที่จะเดินไปยังซุ้มอาหารที่อยู่ไม่ไกลนักจาก ลานเต้นรำ แต่คนตัวเล็กก็ต้องทำหน้าเบ้ขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเขาค้นพบว่าอาหารที่อยู่ในงานไม่ใช่อาหารที่หรูหราหรืออาหารที่จะทำให้เขาผ่านค่ำคืนอันหิวโหยไปได้โดยง่าย อาหารที่อยู่ตรงหน้าออกจะเป็นอาหารตามงานปาร์ตี้ง่ายๆ เช่นพวกขนมแผ่นขนมกรุบกรอบ ของทอด แล้วก็อ่างน้ำพันซ์ และ น้ำอัดลมต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าคนจัดงานจะเอาเวลาไปทุ่มเทกับสถานที่มากกว่าจะเตรียมการเรื่องอาหาร เพราะผู้คนนับร้อยที่อยู่ในงานตอนนี้ไม่มีทางเลยที่จะกินอาหารตรงหน้ากันได้อย่างพอเพียงและทั่วถึง
“I like your shirt” (เสื้อสวยดีนะ)
เสียงทุ้มๆอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังคนตัวเล็ก หากไม่มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า คนผิวแทนก็คงแทบจะวางอาหารและรีบกลับหลังหันไปคุยด้วยความรวดเร็วแล้ว แต่พอตอนนี้ ณ ขณะนี้ หัวใจมันช่างสับสนเหลือเกิน การเลือกที่จะหลบหน้ามันอาจจะดีกว่าการเผชิญหน้ากันตรงๆ
“Are you ok? Did I make something bad to you?” (นายเป็นอะไรไหม ฉันได้ทำอะไรไม่ดีกับนายหรือเปล่า) แต่ทว่าความเงียบก็คงไม่ใช่คำตอบที่ดีนัก เพราะว่ายิ่งคนตัวเล็กทำทีท่าไม่สนใจและเฉไฉด้วยการมองไปที่อาหารที ขนมที รูเบนก็ยิ่งเดินเข้ามาประชิดตัวธันมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก่อนที่แขนยาวเรียวจะได้สัมผัสไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของคนผิวแทน เสียงจากบนเวทีก็ดังขึ้นมาเรียกความสนใจของคนในงานซะก่อนรวมถึง คนผิวขาวและผิวแทนด้วย
“Ok guys, before we going to have a mini concert from our school band I need some volunteer to sing a song for open this party night.” (เอาละครับก่อนที่เราจะไปรับชมมินิคอนเสิท จากวงโรงเรียนของเรา ผมอยากได้อาสาสมัครมาร้องเพลงเพื่อเป็นการเปิดงานในค่ำคืนนี้ของเราครับ) เสียงโห่ร้อง ผิวปาก ดังขึ้นทั่วงาน พร้อมกับดันเพื่อนตัวเองออกไปข้างหน้าเพื่อขึ้นไปร้องเพลงเกิดขึ้นทั่วทุกที่ในงาน แต่ก่อนที่จะเกิดความโกลาหนไปมากกว่านี้ ผู้คนตรงกลางลานก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกทีละนิดเพื่อให้ใครคนหนึ่งเดินไปหน้าเวทีได้อย่างสะดวก และเมื่อคนๆนั้นหลุดออกมาจากฝูงชนแสงไฟและแสงดาวก็เผยให้เห็นใบหน้านวลอย่างชัดเจน
“Oh Thank you, Thun let jump on here” (ขอบคุณมากธัน ขึ้นมาเลย) พิธีกรในงานพูดด้วยเสียงตื่นเต้น เพราะเขาไม่คิดว่าจะมีใครกล้าเสนอตัวขึ้นมาร้องเพลงในงานที่มีสายตาเป็นร้อยจับจ้องแบบนี้ แต่งานของเขากลับง่ายกว่าที่คิด เพราะพอเขาพูดยังไม่ทันจะจบดีกลับพบว่ามีอาสาสมัครเดินขึ้นมาข้างหน้าเวทีเพื่อให้เขาเรียกขึ้นมาแล้ว
คนตัวเล็กเพิ่งจะได้สติหลังจากโดนเรียกชื่อ ผ่านลำโพงเสียงดังไปทั่วงาน ถึงมือจะชา ขาสั่นก้าวไม่ค่อยจะออก เพราะด้วยความที่เขาร้องเพลงเพี้ยนเป็นทุนเดิมบวกกับอาการที่ไม่ค่อยจะชินกับการพูดหรือทำอะไรต่อหน้าที่สาธารณะยิ่งทำให้อาการสั่นโหมนั้นเป็นหนักจนแทบจะหายใจไม่ออกแล้วในตอนนี้ แต่ถึงแบบนั้น “The show ก็ต้อง must go on “ กันแล้วละ จะมาโบกไม้โบกมือว่าพูดเล่นหรืออะไรทำนองนั้นก็คงไม่ทันแล้ว จากการที่จะหาทางรอดจากหนุ่มตาฟ้า กลับกลายเป็นว่าเขาต้องกลับมาตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิมซะอีก และถึงแม้ในหัวจะมีแต่คำว่า “ซวยแล้วอยู่เต็มไปหมด” แต่เสียงกลองที่เริ่มเคาะขึ้นจังหวะ เสียงกีตาร์ที่เริ่มขึ้น อินโท เพลง เขาเองจึงจำเป็นจะต้องจ่อไมค์ไว้ที่ปากแล้วเริ่มร้องเพลงที่เขารีเควสไปตอนไหนกับใครเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ เขาต้องรีบร้องมันออกมาให้ได้ก่อนที่จังหวะจะแซงหน้าเสียงร้องของเขาไป
“Rose girls in glass vases
Perfect bodies, perfect faces
They all belong in magazines
Those girls the boys are chasing
Winning all the games they're playing
They're always in a different league
Stretching toward the sky like I don't care
Wishing you could see me standing there
But I'm a sunflower, a little funny
If I was a rose, maybe you'd want me
If I could, I'd change overnight
And turn into something you'd like
But I'm a sunflower, a little funny
If I was a rose, maybe you'd pick me
But I know you don't have a clue
This sunflower's waiting for you
Waiting for you”
จบเพลงกันไปอย่างสะบักสะบ่อมทั้งคนร้องและคนเล่นดนตรี และถึงแม้เสียงเขาจะผิดคีย์เกือบทั้งหมด ส่วนวงดนตรีด้านหลังที่จะต้องทำงานหนักกว่าเดิมเป็นสองเท่าเดิมเพื่อทำให้เพลงมันรอดไปให้ได้ แต่เมื่อเสียงสุดท้ายถูกส่งผ่านออกมาจากคนผิวแทน เสียงตบมือก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งห้อง แม้จะไม่รู้ว่าเสียงนี้เกิดขึ้นเพราะชอบเพลงหรือว่าเกิดขึ้นเพราะดีใจที่เพลงนี้จบลงได้สักทีก็เถอะนะ
“Thank you Thun that was amazing, Ok next I want to invite Ruben who is the most handsome and the best singer in Brisbane, Woohoo” (ขอบใจมากๆเลย ธัน เมื่อกี้มันช่างงดงามมากๆเลยนะ เอาละเพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลาผมอยากจะขอเชิญรูเบนไอ้หนุ่มที่หล่อที่สุดในงานและยังเป็นนักร้องที่ดีที่สุดในเมืองเราอีกต่างหาก ขึ้นมาเลยเพื่อนอยาก วู้!!!) คนตัวเล็กวางไมค์คืนบนขาตั้งก่อนที่จะรีบเดินลงจากเวทีอย่างรวดเร็ว ประการแรกที่คนตัวเล็กต้องรีบร้อนจนแทบจะกระโดดลงจากเวทีก็คือประโยคที่พิธีกรพูดแม้จะไม่ได้ดูมีจุดไหนที่เป็นการเยาะเย้ยหรือถากถางเขาเรื่องเสียงเลยแม้แต่น้อย
แต่ด้วยน้ำเสียงช่วงต้นที่เปล่งออกมานั้นมันช่างดูราบเรียบไร้ความรู้สึกราวกับกระดาษขาวที่ไม่มีการแต่งแต้มอะไรเลยกลับกันกับประโยคช่วงหลังที่ดูตื่นเต้นเร่งเร้าจนคนผิวแทนรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่อยู่ยังไงก็ไม่รู้
ส่วนประการที่สองก็ไอ้คนที่กำลังจะขึ้นมาเนี่ยก็เป็นคนที่เขาหลบหน้ามาตลอดทั้งวันเลยไม่ใช่หรือไง แต่คนตัวเล็กก็ต้องหยุดชะงักเมื่อตอนจังหวะที่จะเดินสวนกับคนตัวสูงตรงบันไดเวที รูเบนก็ได้จับข้อมือเขาไว้แน่นจนจำเป็นต้องเดินตามคนผมสีอัลมอนด์กลับขึ้นมาบนเวทีอีกรอบแม้จะไม่ได้มาเพราะความเต็มใจนัก
เมื่อเดินมาถึงตรงกลางเวทีที่พิธีกรยืนอยู่ คนตัวสูงก็ไม่รีรอที่จะยื่นมือไปขอไมค์จากพิธีกรและดูเหมือนว่าพิธีกรจะรู้คิวมาก่อนล่วงหน้าแล้วดังนั้นเมื่อรูเบนมาถึงเขาจึงรีบยื่นไมค์ใส่มือให้คนตาฟ้าโดยทันที โดยไม่นึกจะเอ่ยถามถึงสาเหตุในการฉุดกระชากลากถูคนตัวเล็กขึ้นมาบนเวทีแม้แต่น้อย

“Thank you Mike, Ok guy I want to start our night with something different some guys might know my first song and some don’t but I believe not everyone will be understand because it isn’t English song” (ขอบใจมากไมค์ เอาละครับทุกคน คืนนี้ผมก็จะมาทำอะไรให้มันแตกต่างจากปกติอยู่สักหน่อยแล้วกันนะครับเพลงแรกของคืนนี้บางคนอาจจะรู้จักแต่บางคนอาจจะไม่ แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่าหลายคนในที่นี้อาจจะฟังไม่ออกเพราะมันจะไม่ใช่เพลงภาษาอังกฤษนะครับ) พูดจบเขาก็ขยิบตาใส่คนข้างล่างเวทีและก็พยักหน้าให้สัญญาณวงดนตรีด้านหลัง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นพี่เบส กับ พี่ดัมป์ที่ยืนรอจังหวะอยู่แล้ว ส่วนคนผิวแทนข้างๆก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายืนก้มหน้าด้วยความตื่นตระหนกและเขิลอายเพราะไม่รู้เลยว่างานเลี้ยงต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“อยากขยับเข้าไปใกล้เธอ
อยากรู้จักตั้งแต่ได้เจอ
ใจฉันสั่นเมื่อได้ยินเสียงเธอ
ตั้งแต่วันแรกเจอ
ก็เผลอเอาไปคิดละเมอ
พอรู้จักก็อยากจะทักทาย
แต่พอไม่เจอแล้วใจก็วุ่นวาย
เธอหายไปก็ห่วงเธอแทบตาย
จะเป็นเช่นไร
ตรงนั้นมีใครดูแลอยู่หรือไม่ก็ไม่รู้
เกือบลืมหายใจเมื่อเธอเข้ามาใกล้ใกล้
แค่เธอยิ้มมา ก็สั่นไปทั้งหัวใจ
อยากจะบอกเธอให้ได้รับรู้ความในใจ
แต่บอกตอนนี้ไม่รู้จะเร็วไปหรือไม่
ก็ยังไม่รู้ว่าเธอคิดเช่นไร
ถ้าบอกคำนั้นแล้วเธอตอบมาว่าไม่ใช่
ถ้าเป็นแบบนี้เธอคงจะเดินหนีไป
ดีพอแล้วที่ได้มีเธออยู่ใกล้ใกล้
ได้ยินเสียงได้คอยดูแลอยู่ไม่ไกล
จะซ่อนความลับเอาไว้ในหัวใจ
มากเพียงไหนฉันจะไม่ยอมพูดไป
อยากจะบอกให้เธอได้รู้ใจ
ที่จริงก็อยากจะบอกคำนั้นไป
แต่กลัวเหลือเกินว่าจะต้องเสียใจ
หากเธอรับไม่ได้
เธอคงไม่ยอมให้อภัยกับคำนั้น
อึดอัดเหลือเกิน ต้องเก็บเอาไว้ข้างใน
อึดอัดหัวใจ แต่ก็กลัวว่าถ้าพูดไป
กลัวว่าจะต้องเสียใจ
แต่บอกตอนนี้ไม่รู้จะเร็วไปหรือไม่
ก็ยังไม่รู้ว่าเธอคิดเช่นไร
ถ้าบอกคำนั้นแล้วเธอตอบมาว่าไม่ใช่
ถ้าเป็นแบบนี้เธอคงจะเดินหนีไป
ดีพอแล้วที่ได้มีเธออยู่ใกล้ใกล้
ได้ยินเสียงได้คอยดูแลอยู่ไม่ไกล
จะซ่อนความลับเอาไว้ในหัวใจ
มากเพียงไหนฉันจะไม่ยอมพูดไป
มองกันให้ดีเธอก็คงรู้
ในความห่วงใยฉันมีอะไรซ่อนอยู่
ที่ยังไม่รู้คือเธอนั้นคิดอย่างไร
มองกันให้ดีเธอก็คงจะเห็น
ความจริงที่เป็นว่าฉันคิดอะไร
หนึ่งคำนั้นที่ยังไม่ได้พูดไป
จะเก็บเอาไว้ในวันที่จะเผยใจ
รอวันนั้น วันที่ฉันแน่ใจ
ว่าวันนี้เธอคิดว่าฉันนั่นใช่
และเธอพร้อมจะฟังความข้างใน
จะบอกว่ารักให้เธอได้ยินใกล้ใกล้
บอกว่ารักเธอได้ยินหรือไม่
ถ้ายังไม่ชัดฟังอีกครั้งก็ได้
ได้ยินไหมว่ารักเธอทั้งหัวใจ”
เสียงเฮจากข้างล่างดังสนั่นเมื่อเสียงนักร้องจบลง บางคนเฮเพราะเข้าใจว่ารูเบนร้องอะไรแต่บางคนก็แค่เฮเพราะเสียงและเสน่ห์ของคนตัวสูงที่มีออร่ามากขึ้นไปอีกเมื่อยามอยู่บนเวที ทั้งๆที่คนเหล่านั้นจะไม่เข้าใจว่าคนตาฟ้าร้องอะไรสักประโยคก็ตาม ส่วนคนผิวแทนตอนนี้
เหวอรับประทานไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องด้วยภาษาที่คนตัวสูงร้องมันเป็นภาษาไทย ร้อยเปอร์เซนต์ ซึ่งตอนแรกที่คนตัวสูงพูดก่อนร้องเขาก็เข้าใจว่ารูเบนจะร้องเพลงภาษาฝรั่งเศส ซึ่งประโยคแรกที่เขาร้องเขาก็ยังไม่เอะใจอะไร แต่พอเข้าท่อนที่สองที่สามหน้าของคนตัวเล็กก็เปลี่ยนสีชัดขึ้นเรื่อยๆ เพราะพอฟังดูดีๆ มันเป็นเพลงไทยนี่หว่า แล้วสำเนียงที่เขาร้องเนี่ยก็ไม่มีทางเลยที่จะฝึกกันได้ภายในเวลาวันสองวัน เพราะมันชัดมาก ส่วนมือที่คนตัวสูงบีบมาที่มือเขาเนี่ยมันก็ทำให้เขาเหงื่อแตกและสับสนว่าเขากำลังจะทำหรือจะกำลังจะเล่นอะไรอยู่กันแน่
แต่ทุกครั้งที่คนตัวเล็กเผลอเงยหน้าขึ้นไปสบตาคนตาฟ้า มันก็มีความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นมาทุกครั้งมันเป็นความรู้สึกเหมือนว่าเวลาเราชอบใครและเขาคนนั้นก็ชอบเราเช่นกัน มันถูกส่งผ่านมาทั้งหมดจากสายตาและรอยยิ้ม แต่เขาจะมั่นใจได้ยังไงว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง ฉับพลันเหมือนความคิดของเขานั้นเขามีเสียงดังออกมาเพราะ รูเบนเหมือนจะสัมผัสอะไรได้บางอย่างจากแววตาของคนตัวเล็ก เขาก็เลยทำในสิ่งที่ธันไม่คาดฝันว่าจะได้และคนในห้องก็คาดฝันว่าจะเห็นเช่นกัน เพราะจังหวะที่ทุกคนกำลัง งง ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเพราะหลังจากจบเพลงแรกก็เกิดความเงียบงันขึ้นทั่วห้องเป็นเวลาเกินกว่า 10 วินาทีแล้ว แต่เมื่อวินาทีที่ 11 ได้เริ่มต้นขึ้น เสียงกรี๊ดและเสียงเฮก็ดังขึ้นไปทั่วห้อง เนื่องด้วยว่ารูเบนได้ก้มลงจูบคนตัวเล็กต่อหน้าพยานนับร้อยคนในห้อง
ปากสวยได้รูปของคนตัวสูงเข้าประชิดเข้าไปเบียดชิดเข้ากับปากเล็กนุ่มนิ่มของคนผิวแทนแต่มันไม่ได้จบกันแค่ริมฝีปากชนกันแต่มันเริ่มที่จะแนบแน่นยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อลิ้นของคนตาฟ้าเริ่มที่จะซุกซนลามเลียไปทั่วขอบปากล่างของคนผิวแทนจนทำให้ธันจำยอมต้องอ้าปากออกเล็กน้อยเพราะทนต่อการเรียกร้องของอีกฝ่ายไม่ไหว ลิ้นร้อนค่อยๆสำรวจโพรงปากของคนตัวเล็กอย่างอ้อยอิ่งจากข้างหนึ่งสู่อีกข้างหนึ่งและจบลงด้วยการเกี้ยวกวัดลิ้นของคนตัวเล็กให้ออกมาจากจุดที่มันอยู่ ซึ่งคนผิวแทนก็ให้ความร่วมมือในการประสานจูบครั้งนี้เป็นอย่างดีจนน่าจะเผลอลืมไปว่าเขาไม่ได้อยู่กันแค่สองต่อสองในห้อง
รสจูบยุติลงด้วยแรงตีเล็กน้อยจากมือของคนตัวเล็กที่สัมผัสไปที่อกของคนตัวสูงเนื่องจากว่าเขาเริ่มจะขาดอาการหายใจแล้ว และถึงแม้รูเบนจะไม่อยากถอนปากออกจากอีกฝ่ายเพราะรสหวานที่เขาเพิ่งจะได้สำรวจนั้นมันช่างซาบซ่าและยั่วยวนจนเขายังอยากจะดูดกลืนต่ออีกสักหน่อย
แต่เขาก็ไม่อยากจะถูกคนตัวเล็กเมินเฉยหรือโกรธเขาเหมือนเมื่อเช้าอีก ดังนั้นเขาจึงต้องจำยอมถอนปากออกไปแต่ก็มิวายที่จะขบกัดริมฝีปากเล็กๆอย่างหมั่นเขี้ยวและพาทั้งตัวเขาและคนผิวแทนกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงตรงหน้าเสียที
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีระลอกแรกเพิ่งจะหยุดไป แต่เสียงโห่ร้องจากผู้ชายและเสียงกรี๊ดร้องจากผู้หญิงก็ดังสนั่นขึ้นอีกครั้งด้วยความดังมากกว่าเดิม เพราะคนตาฟ้าตัดสินใจพูดผ่านไมค์ด้วยประโยคที่แสนเรียบง่ายและธรรมดาแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย คำๆนั้นที่เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแน่วแน่แต่ก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยนที่ส่งผ่านมาจากตาสีฟ้าก็คือคำว่า
“Will you be my boyfriend, Thun ?”

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด