✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง EP20 Prom day ✈
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✈ When love travel เมื่อรักเดินทาง EP20 Prom day ✈  (อ่าน 6380 ครั้ง)

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Re: When love travel เมื่อรักเดินทาง Updated Ep.9
«ตอบ #30 เมื่อ06-06-2020 04:02:22 »

5555 อาจารย์อาจจะสุ่มก็ได้นะครับ
ว่าแต่เป็นไงบ้างอ่านกันมาถึงตรงนี่แล้ว ชอบไหมเอ่ย

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
When love travel ความรักและขนมปริศนา
«ตอบ #31 เมื่อ06-06-2020 19:40:00 »

การเดินตามหาอะไรสักอย่างในชีวิตบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนเพราะในชีวิตจริงเราไม่มีป้ายบอกทางไว้คอยมองหา ไม่มีคนคอยชี้บอกทางว่าของอันนั้นอันนี้อยู่ที่ไหน หรือจริงๆ แล้วอาจจะเป็นเราเองนั้นละที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังมองหาอะไร หรือ เรากำลังมองหาใครอยู่
แต่ต้องไม่ใช่ที่นี้ และไม่ใช่ในซุปเปอร์มาเก็ต Woolworth แห่งนี้ เพราะ คนตัวเล็กของเรารู้ดีว่าเขาต้องเดินไปที่ชั้นวางขนมปัง ส่วนคนที่เขากำลังตามหานั้นก็คือหนุ่มตาฟ้าที่ก้าวเท้ายาวและไว จนคนขาค่อนข้างจะสั้นเกินกว่ามาตรฐานนิดหน่อยอย่างหนุ่มผิวแทน ซอยเท้าตามไม่ทันและเกิดอาการลนลานเพราะดันพลัดหลงเข้ากับคนหน้าคมเข้าเสียแล้ว
“หายไปไหนนะ เมื่อกี้ยังเห็นหลังไวๆอยู่เลย” หนุ่มตัวเล็กพยายามสอดส่ายสายตามองหาทั้งโซนจัดวางขนมปังและคนตัวสูงที่มีผมสีวอลนัท แต่เดินมาจนจะนาทีแล้วก็ยังไม่มีวี่แววของทั้งสองสิ่งที่เขากำลังตามหาเลย จนกระทั่งมีเสียงๆหนึ่งดังแว่วมาจากทางด้านหลังของเขา
“Hello, Do you need any help?” (สวัสดีครับมีอะไรให้ช่วยไหมเอ่ย)
เมื่อหันหลังไปตามเสียงเรียก ก็พบกับพนักงานหนุ่มผมแดงที่มีกระแดงตรงกลางระหว่างใบหน้าเป็นหย่อมๆกับใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมให้บริการอย่างเต็มที่ แต่ผู้รับบริการท่าทางจะยังงงงวยอยู่เล็กน้อย เพราะว่าหนุ่มผิวแทนยังหันซ้ายหันขวามองรอบๆตัวก่อนจะเอานิ้วชี้ ชี้ไปที่หน้าของเขาเหมือนกับจะเป็นการถามกลับไปว่า คุยกับเขาอยู่เหรอ ซึ่งดูจากสีหน้าหนุ่มผมแดงที่พยายามกลั้นขำน้อยๆ ก็ทำให้หนุ่มตัวเล็กรู้ตัวได้โดยอัตโนมัติว่า พนักงานหนุ่มกำลังคุยกับเขาอยู่ และท่าทีเด๋อด๋าที่เขาแสดงออกไปเมื่อครู่ก็ทำให้เขาเกิดอาการเขินจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีอยู่เหมือนกัน
“Ah… it will be nice if you could tell me where is Bakery Shelves” (เอ่อ...คือมันก็จะดีมากๆเลยละถ้าคุณช่วยบอกผมหน่อยว่าชั้นวางขนมปังอยู่ที่ไหนน่ะครับ) หนุ่มธันใช้เวลาเรียบเรียงประโยคสักครู่ก่อนที่จะพูดตอบหนุ่มผมแดงไป
“That easy just next aisle” (ง่ายมากเลยแค่ช่องถัดไปครับ) หนุ่มผมแดงตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบางๆ ซึ่งพอได้คำตอบหนุ่มผิวแทนก็ไม่รอช้าพูดขอบคุณและกำลังจะก้าวเดินไปยังช่องวางสินค้าข้างๆ ทันทีแต่ก่อนที่จะได้หันหลัง หนุ่มตัวสูงตรงหน้าก็ถามคำถามอะไรบางอย่างจนคนตัวเล็กต้องขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“Sorry but I would like to know what kind of perfume do you wear”(ขอโทษนะครับแต่จะเป็นไรไหมถ้าผมจะอยากรู้ว่าคุณใส่น้ำหอมอะไรมา) หนุ่มผมแดงถามประโยคดังกล่าวด้วยเสียงสั่นๆ ดูออกแนวประหม่าเล็กน้อย ซึ่งนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกแปลกใจ เพราะกะอีแค่ถามน้ำหอมทำไมถึงต้องมีความรู้สึกประหม่าด้วย
“Oh it my pleasure and it is Guer...” (ด้วยความยินดีครับ น้ำหอมที่ผมใส่มาคือ เกอ...) แม้จะงุนงงเล็กน้อยเพราะไม่บ่อยหนักที่เขาจะถูกถามด้วยคำถามนี้ แต่ด้วยความที่มันไม่ใช่คำถามที่ยากอะไร อีกทั้งเมื่อครู่พนักงานหนุ่มก็เพิ่งจะช่วยเหลือเขา ธันก็เลยคลี่ยิ้มมารยาทบางๆ ก่อนที่จะบอกหนุ่มผมแดงให้รู้ถึงน้ำหอมที่เขาใส่มาถ้าไม่มีคนมาขัดซะก่อน
“Hey!!!” (เฮ้ย!!!) เมื่อทั้งคู่หันไปตามเสียงเรียกก็พบกับหนุ่มตาฟ้าที่กำลังทำหน้าถมึงทึงมายังพวกเขาทั้งคู่
“Come here” (มานี่) หนุ่มตัวสูงออกคำสั่งด้วยเสียงที่ดูหงุดหงิดเหมือนพึ่งจะกินรังแตนมาสดๆ ร้อนๆ ซึ่งหนุ่มตัวเล็กก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการชักสีหน้าใส่เล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปหารูเบนตามที่เขาสั่ง
“Oh sorry, it’s Guerlain” หนุ่มธันเหมือนจะนึกได้ว่าเขายังตอบคำถามหนุ่มผมแดงไม่เสร็จเลยหันหน้ากลับไปหาพร้อมบอกถึงชื่อยี่ห้อน้ำหอมไป ซึ่งนั่นก็ทำให้หนุ่มหน้าคมถอนหายใจหอบใหญ่ออกมาก่อนจะเดินตรงไปที่จุดชำระเงินโดยไม่รอหนุ่มผิวแทน
ซึ่งเมื่อหนุ่มตัวเล็กเห็นดังนั้นก็ต้องวิ่งไล่ตามหนุ่มตาฟ้าไปด้วยเหตุที่ว่าถ้าเขาพลัดหลงกับรูเบนอีกเขาก็คงจะต้องเสียเวลามานั่งงมหาสถานที่ปิคนิคอีกเป็นชั่วโมงแน่
“Oh Great now I know the brand but I don’t know which model. By the way that tan boy is so cute.” (โอ้เยี่ยมเลยตอนนี้เราก็รู้ยี่ห้อแล้วแต่ไม่รู้ว่าเป็นรุ่นไหน ยังไงก็เหอะหนุ่มผิวแทนคนนั้นน่ารักชะมัด) หนุ่มหัวแดงยิ้มให้กับตัวเองก่อนที่จะถอนหายใจและเดินกลับไปทำงานของเขาต่อ
เมื่อมาถึงตัวหนุ่มรูเบนเขาก็ได้รับการมองแรงใส่อย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะพ่นคำบ่นออกมาอย่างรวดเร็วจนเขาแทบจะฟังไม่ทัน
“Don't talk to strangers, your mom never teach you about that?”(แม่ไม่สอนเหรอว่าอย่าคุยกับคนแปลกหน้าอะ) ซึ่งจริงๆแล้วคนตัวสูงพูดเยอะกว่านี้ แต่ทว่านี้เป็นประโยคเดียวที่คนตัวเล็กสามารถฟังทันและจับใจความได้
“Sorry, that guy is a staff and I think this one isn’t your business” (ขอโทษนะคนนั้นอ่ะเป็นพนักงานแล้วอีกอย่างฉันก็คิดว่าอันนี้มันก็ไม่ใช่ธุระของนายด้วย) หนุ่มตัวเล็กเถียงกลับไปและแม้มันจะดูเหมือนหนูสู้กับสิงโตแต่ถ้าเป็นเรื่องการปะทะฝีปากแล้ว คนตัวเล็กก็ไม่มีทางจะลงให้ใครง่ายๆ อยู่แล้ว
“Oh great, Have it your way” (โอ้ถ้างั้นก็แล้วแต่ละกัน) เหมือนธันจะเห็นอาการสั่นไหวน้อยๆ ในดวงตาสีฟ้าคู่นั้นแต่นั่นก็คงเป็นจะเป็นเพราะหนุ่มตัวสูงคงจะมีน้ำโหเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้รับจากหนุ่มตัวเล็ก
ซึ่งทันทีที่รูเบนพูดจบประโยคก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รูเบนจ่ายเงินค่าขนมปังเสร็จพอดี และนั่นก็ทำให้เขาไม่รีรอที่จะเดินจากไปโดยไม่รอคนตัวเล็ก
แต่ครั้งนี้คนตัวเล็กไม่พลาดเหมือนก่อนหน้านี้เพราะทันทีที่คนตัวสูงเริ่มออกก้าวเดินคนตัวเล็กก็เปลี่ยนจังหวะการเดินจากปกติเป็นการเดินเร็วแทนและนั่นก็ดูเหมือนว่าจะเพียงพอที่จะทำให้หนุ่มผิวแทนก้าวทันคนที่ขายาวกว่า 
ทั้งคู่เดินกันออกมาจนถึงถนนเส้นหลักก่อนที่จะมีลมแรงพัดเอาฝุ่นดินจากพื้นเข้าปะทะหน้าคนตัวเล็กอย่างจังจนเศษฝุ่นบางส่วนหลุดเข้าตา และนั่นก็ทำให้ธันต้องกระพริบตาถี่ๆอย่างอัตโนมัติเพื่อที่จะให้น้ำตาไหลออกมาไล่เศษฝุ่นนั้นให้ออกไป
เพียงครู่เดียวน้ำตาก็ไหลออกมาชะสิ่งสกปรกออกไป แต่เมื่อธันลืมตาได้ตามปกติแล้วพบว่าหนุ่มตาฟ้าที่ยืนรอข้ามถนนอยู่ข้างๆ ไม่ได้มีท่าทีจะสนใจหรือช่วยเหลืออะไรเขาเลย ซ้ำร้ายยังหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นอย่างไม่แยแสอีกหาก
แต่อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าคนผมสีวอลนัทจะไม่ได้ใจร้ายนักเพราะว่าก่อนที่เขาจะลืมตาได้เต็มตา เขาได้ยินเสียงสัญญาณไฟเขียวร้องขึ้นเพื่อให้คนที่รอข้ามถนนได้เดินข้ามไปยังอีกฝาก ในใจของคนตัวเล็กตอนนั้นก็คิดได้แต่เพียงว่าคงโดนทิ้งแล้วแน่ๆ แต่พอเอาเศษฝุ่นออกจากตาได้ก็พบว่าคนตัวสูงยังรออยู่ข้างๆ ไม่ได้หายไปไหน และนั่นก็ทำให้ธันมีความรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กๆ เหมือนกัน
เส้นทางระหว่างหน้าซุปเปอร์มาเก็ต กับสวนสาธารณะดูไกลยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อมีความเงียบเข้ามาเป็นตัวคั่นกลางระหว่างคนตัวเล็กและคนตัวสูง
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียวตั้งแต่เดินออกมาจาก Woolworth และหากไม่นับที่คนตัวเล็กพูดบ่นเรื่องอากาศร้อน เรื่องทางเดินลาดชัน และเศษขยะที่เห็นอยู่ตามพื้นอยู่ประปราย เสียงที่แวดล้อมทั้งคู่ก็คงจะมีแต่เสียงรถที่ขับผ่านและเสียงอีกาที่ร้องขู่อยู่บนต้นไม้เพราะคิดว่าสองคนนี้จะมาขโมยไข่ของมันเป็นแน่
“อะ นี่มัน White ibis นี่นา”หนุ่มตัวเล็กร้องทักขึ้นเมื่อเห็นนกท้องถิ่นของออสเตรเลียกำลังเดินกระหย่องกระแหย่งหาอาหารอยู่ ซึ่งนั่นก็เป็นสัญญาณว่าพวกเขาเดินมาใกล้ถึงจุดแคมปิ้งแล้ว เนื่องจากว่านกชนิดนี้ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ใกล้ๆ กับแหล่งที่อยู่ของมนุษย์หรือแหล่งที่มนุษย์มาชุมนุมกันทำกิจกรรมเกี่ยวกับอาหาร เพราะพวกมันรู้ดีว่าสามารถขโมยอาหารหรือหาเก็บกินเศษอาหารได้โดยง่าย
“อุ้ย ตัวนี้ยังตัวเล็กอยู่เลย สงสัยจะยังเป็นเด็กอยู่ มากินนี่มา”หนุ่มตัวเล็กหยิบขนมปังถุงที่อยู่ในมือเขามาบิออกเล็กน้อยก่อนที่จะโยนไปที่เจ้านกสีขาวตัวเล็กที่มองเขม็งมาที่เขาตั้งแต่เขาเริ่มแกะถุงพลาสติกแล้ว
“Hey don’t feed that ugly bird” (เฮ้ย อย่าให้อาหารเจ้านกน่าเกลียดนั่นนะ) หลังจากที่ไม่ได้พูดอะไรกันมาสักพัก ประโยคแรกที่รูเบนพ่นออกมาก็ทำให้หนุ่มผิวแทนคิดขึ้นมาในใจว่าสู้ไม่ต้องพูดกันจนถึงที่หมายยังจะดีซะกว่า แต่ก็เหมือนสัญชาติญาณ อัตโนมัติเมื่อได้ยินใครบางคนพูดอะไรที่ไม่เข้าหูมันก็อดรนทนไม่ได้ที่จะต้องโต้ตอบกลับไป
“Why even it ugly it could be hungry as we are or you would like to say you will only feed with something beautiful and let see something ugly starving and death? , You are narrow-minded” (ทำไมน่าเกลียดแล้วหิวไม่เป็นหรือไง หรือจะบอกว่าต้องสวย ต้องน่ารักเท่านั้นเหรอถึงจะได้กิน ถึงจะไม่อดตายน่ะ ใจแคบชะมัด) น้ำเสียงของคนตัวเล็กบอกถึงอาการไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่กระนั้นคนตัวสูงก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านกับคำพูดของคนตัวเล็กแม้แต่น้อย กลับพูดกลับตอบกลับไปด้วยโทนเสียงที่เย็นและราบเรียบ
“Don’t stupid, I don’t know what do you think and I don’t care but in this city, in this country, you will get the find if you feed the wind animal, Hey stop it!!!” (อย่าโง่ไปหน่อยเลย ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายจะคิดยังไงและจริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้สนด้วยแต่จะบอกอะไรให้เอาบุญนะ นายน่ะจะถูกปรับเอาถ้าเกิดมาให้อาหารสัตว์สุ่มสี่สุ่มห้าที่ประเทศนี้ นี่ฉันบอกให้หยุดไง) และแม้ตาของธันจะมองจ้องกับคู่สนทนาแต่ว่ามือของคนตัวเล็กก็ยังแอบบิขนมปังและโยนไปตรงจุดที่นกตัวเล็กยืนอยู่ จนคนตัวสูงได้แต่ถอนหายใจกับการกระทำนั้นก่อนที่จะเดินหนีไป ทิ้งไว้ให้คนตัวเล็กหัวเราะตามหลังอย่างชอบใจ
เพื่อนร่วมห้องส่งเสียงเฮกันยกใหญ่เมื่อเห็นทั้งคู่ถือขนมปังหอบใหญ่ เดินตรงมายังโต๊ะที่พวกเขากำลังง่วนอยู่กับการปิ้งย่างไส้กรอกและเนื้อสัตว์ แต่เมื่อลองพิจารณาดูดีๆก็ไม่ได้มีแค่นักเรียนจากห้องเรียนเขาอย่างเดียวแต่มีคนอีกหลายๆ คนที่เขาไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย ซึ่งพอมองไปตรงแบร์ก็เห็นอาจารย์อีกคนยืนอยู่ด้วย แต่อาจารย์คนนี้ธันรู้จักเป็นอย่างดีเพราะถึงแม้ว่าธันจะเคยไปเข้าคลาสของเธอเพียงแค่ครั้งสองครั้งแต่เอกลักษณ์ของเธอก็โดดเด่นเป็นอย่างมาก ใครที่ได้เห็นเธอเพียงแม้เพียงครั้งเดียวย่อมจำได้ไม่รู้ลืมเป็นแน่ ใช่ เรากำลังพูดถึงอาจารย์ วาเนซซ่าอยู่
บรรยากาศรอบๆ สวนสาธารณะที่ใช้เป็นจุดปิ้งย่างบาบีคิวนั้นดูงดงามและเรียบง่ายไปในคราวเดียวกัน ที่ว่างดงามเพราะพื้นที่โดยรอบสวนนั้นถูกตกแต่งเป็นอย่างดีจากธรรมชาติมีทั้งต้นอาคาเซีย ต้นตูเปโล ต้นแครปแอบเปิ้ล และต้นสน เติบโตสลับหว่างกันอย่างลงตัวรอบๆสวนและบริเวณหนองน้ำ
ซึ่งหนองน้ำที่อยู่ติดๆ กับเก้าอี้และม้านั่งก็มีความใสสะอาดในแบบธรรมชาติอยู่กล่าวคือไม่ได้ใสเหมือนกับสระว่ายน้ำที่ผ่านการดูแลใส่คลอรีนมาอย่างดีจนสามารถเห็นก้นสระได้ แต่ความใสในที่นี้คือดูแล้วสะอาดตาไม่มีขยะลอยเหมือนลำคลองที่บ้านเรา แต่กระนั้นก็ยังมีความเขียวของพืชน้ำปะปนอยู่จำพวกตะไคร่ และ พวกกอบัวเป็นต้น ส่วนคำว่าเรียบง่ายนั้นเกิดจากฝีมือของคนที่นี่ที่ไม่พยายามไปรบกวนธรรมชาติมาก ดังนั้นการจัดวางเก้าอี้ยาว โต๊ะ และเตาบาบีคิวก็จะไม่มีการตัดหรือโค่นต้นไม้เพื่อวางสิ่งเหล่านี้แทนที่เลย ดังนั้นเราก็จะเห็นว่า ในหนึ่งโต๊ะบางครั้งก็จะมีเก้าอี้ สองตัวบ้าง สามตัวบ้างหรือครบสี่ตัวบ้าง โดยพื้นที่ของเก้าอี้ที่แหว่งไปก็จะเป็นต้นไม้ขนาดย่อมๆมาทดแทน และทุกจุดที่มีเตาบาบีคิวก็จะมีถังขยะอยู่ใกล้ๆ เสมอ แม้จะไม่ได้ใกล้มากจนคนที่มาใช้บริการได้กลิ่นขยะแต่ก็ใกล้พอที่คนมาปิ้งย่างจะไม่ขี้เกียจเดินเอาไปทิ้ง
เมื่อหนุ่มตัวเล็กวางขนมปังบนโต๊ะกลางเสร็จ ก็หันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาคนตัวกลมว่านั่งอยู่ตรงไหนเพื่อที่เขาจะได้ไปนั่งแจมด้วย หลังจากมองหาเพียงครู่เขาก็เจอแบมบูนั่งอยู่ตรงโต๊ะใกล้ๆ กับเตาปิ้งบาร์บีคิว ซึ่งดูเหมือนว่าคนตัวกลมจะไม่ได้นั่งอยู่กับแค่ เดวิด และ ฮานะ แต่จะมีเพื่อนใหม่สองคนที่เขาไม่รู้จักนั่งอยู่ด้วย และเมื่อเขาเดินไปใกล้ๆ คนตัวกลมที่กำลังคุยอย่างออกรสออกชาติอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมาหาเขาก่อนจะกวักมือไหวๆ ให้เขาเข้าไปร่วมบทสนทนาในครั้งนี้ด้วย
“นี่ไงพี่คนที่อยู่กับแบมบู ชื่อพี่ธัน อันนี้ พี่ซีอิ้วนะ แล้ว นี้ก็ไอ้ตอง”แบมบูผายมือไปทีผู้หญิงที่นั่งอยู่ทางขวามือที่ใบหน้าออกไปทางหมวยอินเตอร์กับผิวที่ออกเหลืองๆ แทนๆ และผมตรงดำขลับประบ่า ดูแล้วน่าจะขายดีที่ตลาดต่างชาติแบบนี้เป็นแน่ และ ทางซ้ายมือก็มีผู้หญิงผิวค่อนข้างคล้ำกับแว่นตาทรงกลมใหญ่หนาที่กินพื้นที่ไปเกินกว่าครึ่งของใบหน้า ซึ่งทั้งทรงของแว่นตาและทรงผมที่หยิกฟูก็ดูไม่ค่อยจะรับกับใบหน้าเท่าไหร่เลย แต่ทว่าทั้งคู่มีรอยยิ้มที่ค่อนข้างจะสดใสและเป็นมิตรเป็นอย่างมาก ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ธันอุ่นใจและเปิดใจที่จะเข้าไปคุยด้วย
“นี่เป็นไงบ้างจ้ะ ไปเดทกับหนุ่มตาฟ้า สองต่อสองเป็นไงบ้าง ดีไหม” แบมบูเปิดประเด็นถามทันทีหลังจาก ธันพูดทักทาย เตย กับพี่ซีอิ้วเสร็จ
“ดีกับผีอะไร ออกจากซุปเปอร์ก็ไม่ได้คุยกันเลย สงสัยคุณเขาอมดอกพิกุลทองไว้มั้ง เพิ่งจะมาคุยกันก็ตอนเดินเข้าสวนมาเนี่ย แถมไม่ได้คุยดีด้วย ออกแนวด่าฉันซะมากกว่า” หนุ่มผิวแทนบ่นกระปอดกระแปดให้เพื่อนๆ ในกลุ่มฟัง ซึ่ง ฮานะ กับเดวิดก็มองตากันปริบๆ ตามระเบียบ
“จริงเหรอ เห็นจากท่าทางภายนอกก็ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนะ แลดูเป็นคนคุยสนุก อบอุ่นดีออก เห็นตอนเดินเข้ามาก็ยิ้มทักทายใครต่อใครไปทั่วอยู่เลย”เตยพูดขณะหยิบขนมกรุบกรอบที่อยู่ในจานแบ่งตรงหน้าเข้าปากกำใหญ่
“มันคือภาพลวงตา อย่าให้หน้าตาของเขาหลอกเธอได้”หนุ่มตัวเล็กเนียบหยิบขนมตรงหน้าของสาวแว่นหนาเข้าปากก่อนจะพูดประโยคดังกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“Oh, Sorry David, Hana. Have you eaten my chicken satay yet?”(โทษที เดวิด ฮานะ ว่าแต่พวกเธอได้ลองกินไก่สเต๊ะของฉันหรือยัง) หนุ่มตัวเล็กเกาหัวพร้อมยิ้มเจื่อนๆ ไปให้เพื่อนชาวต่างชาติทั้งสองที่เริ่มจะทำหน้าเซ็ง เพราะไม่เข้าใจบริบทที่พวกเขาพูดกันสักประโยค เมื่อคนไทยที่เหลือเห็นดังนั้น ก็น่าเจื่อนไปตามๆ กันก่อนจะเริ่มสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้ เดวิด และ ฮานะมีส่วนร่วมกับบทสนทนาด้วยได้
“No one eats yet because it has a lot of people around the BBQ station we will cock after they finish” (ยังไม่มีใครได้กินเลยจ้ะ พอดีว่าคนรอบๆเตาบาร์บีคิวค่อนข้างเยอะน่ะ ก็เลยว่าจะค่อยไปย่างหลังคนซาลงหน่อย) ฮานะที่เริ่มปรับสีหน้าได้บ้างแล้วเป็นคนตอบคำถามคนผิวแทนด้วยใบหน้ายิ้มๆ
“Oh, I think it’s time” (อืม ฉันคิดว่าตอนนี้น่าจะเหมาะแล้วแหละ) เดวิดผู้ที่จ้องมองเตาบาร์บีคิวอย่างใจจดใจจ่อ พูดขึ้นก่อนจะเอาเนื้อสเต็กที่เขาซื้อมาแพคใหญ่ออกจากถุงพลาสติกพร้อมกับเดินปรี่ตรงไปที่เตาทันที ส่วนคนที่เหลือบนโต๊ะก็มองตากันก่อนที่จะหัวเราะและส่ายหัวอย่างขำๆ กับท่าทางของหนุ่มตี๋
    เมื่อทั้งหมดเดินมาถึงเตาบาร์บีคิวก็จัดแจงเปลี่ยนกระดาษฟอยด์อันเก่าที่มีคราบเขม่าดำและรูแหว่งที่เกิดจากความร้อนและการขูดขีดของที่คีบออกก่อนจะค่อยๆวางกระดาษฟอยยด์แผ่นใหม่ลงบนหน้าเตาอย่างเบามือ ซึ่งดูเหมือนว่า แบร์จะเอากระดาษที่คุณภาพไม่ค่อยดีนักมาให้ใช้ เพราะว่าแค่พวกเขาจับเบาๆกระดาษก็ย่นยู่ยี่เหมือนจะขาดอยู่มะรอมมะร่อแล้ว
“No David, We have to spray oil first” (อย่าเพิ่งเดวิด เราต้องพ่นสเปย์น้ำมันก่อนนะ) พี่ซีอิ้ว พูดขัดจังหวะหนุ่มตี๋ที่กำลังจะเอาเนื้อชิ้นโตวางลงบนฟอยด์ทันทีหลังจากวางเสร็จ
“Ok that looks good enough” (เอาละ น่าจะย่างได้แล้วแหละ) หลังจากพี่ซีอิ๊วพ่นสเปย์น้ำมันลงบนกระดาษฟอยด์จนทั่วแล้ว ก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนลงมือย่างของที่ตัวเองเตรียมมาได้ และคนที่เข้าเส้นชัยก่อนเพื่อนก็ไม่พลิกโผ เป็นหนุ่มแว่นของเราตามคาด เมื่อพี่ซีอิ๊วพูดจบปุ๊ป เนื้อก็วางลงบนเตาปั๊บ จนเตยและแบมบูอดที่จะส่ายหัวอย่างเอ็นดูไม่ได้ 
“What that shit smell, it's too strong” (นั่นมันกลิ่นอะไรอะทำไมมันแรงอย่างนี้) สาวโคลัมเบียที่ยืนปิ้งอยู่เตาข้างๆ อุทานขึ้นมาก่อนจะมองไปบนเตาของพวกเขาด้วยสายตาขยะแขยง ก่อนจะเบือนหน้าหนีไป
“Look at that color it is yellow like a… ha ha ha” เพื่อนที่ยืนอยู่ข้างหลังคนที่อุทานก่อนหน้า สำทับขึ้นมาก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะที่ใครฟังก็ต้องหมั่นไส้จนอยากจะลากไปตบกลางสี่แยกให้รู้แล้วรู้รอด
“What the he…” (อ้าวทำไมพูดเหี...) แบมบูที่เป็นคนที่ยืนใกล้กลุ่มนั้นที่สุดหันไปตวาดแต่ก่อนที่จะได้บวก หนุ่มตัวเล็กที่ยืนข้างๆ ก็ได้หันไปแตะไหล่พร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ ซึ่งนั้นก็ทำให้แบมบูสงบลงเล็กน้อยแต่ก็ยังจ้องไปที่ กลุ่มคนเหล่านั้นอย่างไม่วางตา แต่สาวละตินก็ไม่ได้จะรู้สึกผิดแต่ประการใด แถมเธอยังทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้แถมหันมายิ้มมุมปากให้กับหนุ่มตัวกลมเป็นระยะอย่างท้าทาย
“จะห้ามน้องทำไม ดูดิมันสลดที่ไหนอะ น่าตบให้ดั้งยุบนะอีคนแบบนี้อ่ะ”แบมบูหันมาบ่นหนุ่มตัวเล็กที่เข้ามาห้ามทัพเขาไว้
“เออ หมากัดอย่ากัดตอบ อีกอย่างนะ ไปตบเขาอะไม่กลัวดั้งพังเหรอ ของเขาอ่ะของจริงของเราอ่ะ ของปลอมนะ”หนุ่มธันพูดขณะตาก็จ้องเนื้อบนเตาส่วนมือก็พลิกไม้ไก่ย่าง อย่างกับมืออาชีพมาลงมือทำเอง
“อ้าว ตบพี่แทนได้ไหมเนี่ย อันนี้ไม่ได้ของปลอมจ้ะ ของแท้ซิลิโคนแท้นำเข้ามาจากอเมริกาจ้ะ หมอการันตี เหมือนยิ่งกว่าจมูกแท้ๆ ซะอีก”แบมบูพูดพร้อมโชว์ บิดซ้ายบิดขวาจนน่าหวาดเสียวว่าซิลิโคนจะทะลุออกมาจากจมูก
“Oh can you do like that with your nose, I always thought it is plastic” (นี่เธอบิดจมูกแบบนั้นได้ด้วยเหรอฉันคิดมาตลอดเลยนะว่าจมูกของเธออะของปลอม) ฮานะเอามือทาบอกด้วยความตกใจก่อนจะพูดขึ้นอย่างซื่อๆ ซึ่งนั้นก็ทำให้คนในวงหัวเราะก๊าก ไม่เว้นแม้กระทั่งเดวิด เห็นจะมียกเว้นก็แต่คนตัวกลมที่มองไปที่สาวญี่ปุ่นด้วยตาที่เขียวปั้ด
“What? Did I say something wrong” (ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ) สาวฮานะที่ยังไม่รู้ตัวก็ได้ถามกลับไปเพราะเห็นคนตัวกลมทำหน้างอลๆเธอ
“No, you are right but you know what in my country there are saying logic is like the sword those who appeal to it shall perish by it” (ไม่เธอพูดถูกทุกอย่างแหละ แต่ในประเทศฉันมีคำกล่าวว่า ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายแต่คนพูดน่ะอาจตายได้นะ) แบมบูคีบเนื้อที่สุกแล้วขึ้นมาพร้อมกับค่อยๆบรรจงหั่นและยิ้มไปที่ฮานะอย่างเหี้ยมเกรี้ยม
ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอกลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก กลับกันกับเพื่อนที่เหลือ เพราะพอคนตัวกลมพูดจบประโยค คนในวงก็พากันหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจน สาวโคลัมเบียข้างๆ เบะปากใส่ด้วยความรำคาญ
หลังจากปิ้งย่างทุกอย่างเสร็จพวกเขาก็แบ่งทุกอย่างออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งวางไว้ที่โต๊ะกลางส่วนอีกส่วนก็ถือกลับไปยังโต๊ะที่พวกเขานั่ง โดยที่ไม่ลืมที่จะทำความสะอาดเตาและถือของกินอย่างละนิดอย่างละหน่อยติดมือมาจากโต๊ะกลางด้วย
“Um… Thun, I don’t want to say like this but your chicken has a strong smell it’s like an India food” (เอ่อ ธันฉันก็ไม่อยากพูดหรอกนะ แต่ว่าไก่ของเธอกลิ่นมันก็ค่อนข้างแรงจริงๆเหมือนกับอาหารอินเดียเลย) ฮานะหยิบไก่ขึ้นมาดมก่อนที่จะพูดด้วยสีหน้าเจื่อนๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนตัวเล็กโมโห หรืองอลเธอเลย เขากับตอบเธอกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มๆ และเสียงที่ดูเรียบเฉยว่า
“How about eat a little bit first and tell me how you feel” (ถ้าไงลองกินสักคำดูก่อนไหมแล้วค่อยบอกฉันอีกทีว่ามันเป็นยังไง) หนุ่มผิวแทนพยักหน้าเล็กๆให้ สาวตาขีดเหมือนกับจะบอกว่ามันไม่เป็นไร ส่วนฮานะก็ทำหน้าแหยงๆ ก่อนจะเอามือบีบจมูกพร้อมกับกัดไก่สะเต๊ะที่ถืออยู่ในมือคำน้อยๆ
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเคี้ยวเสร็จเธอก็ต้องทำตาโต จนตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า พร้อมทั้งเผลอ อุทานมาเป็นภาษาบ้านเกิดของเธอว่า “โอ อิ ชิ อุ๊บ” (อร่อยจัง) เธอรีบเอามือปิดปากเธอทันทีหลังจากเผลออุทานออกมาพร้อมมองซ้ายมองขวาว่าอาจารย์อยู่แถวนั้นหรือเปล่า ก่อนที่จะหันมาหาธันพร้อม กับพูดอย่าง ละล่ำละลัก
“Sorry Thun, to be honest, I thought the test should be terrible but this one is really good juicy softly and tasty” (ขอโทษนะธันตอนแรกฉันคิดว่ารสชาติมันต้องแย่แน่ๆเลย แต่พอลองดูแล้วมันกลับ อร่อยมากๆเลยทั้งชุ่มฉ่ำและนุ่มมากๆด้วย)
ซึ่งหนุ่มตัวเล็กก็ไม่ได้ตอบอะไรมากไปกว่ารอยยิ้ม และดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ฮานะคนเดียวที่ชอบไก่ของเขา เพราะคนอื่นๆในโต๊ะก็พูดชมเขาไม่หยุดปากและมันก็เริ่มที่จะลามไปยังโต๊ะข้างๆเหมือนไฟลามกอฟาง เสียงชื่นชมมาจากทุกสารทิศและดูเหมือนว่าผู้คนจะอยากรู้ว่าใครเป็นคนทำเมนูนี้ ซึ่งโฆษกประจำตัวของเขาก็ได้พูดแทนเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
   “Thun did it yes I know it delicious even it strong smell and yellow” (ธันทำ ใช่ฉันรู้ว่ามันอร่อย ถึงแม้ว่ามันจะสีเหลืองและกลิ่นแรงก็เถอะ) แบมบูตอบเอาจารย์และเพื่อนๆที่เดินเข้ามาถามว่าใครเป็นคนทำไก่สเต๊ะ ซึ่งเสียงตอนขึ้นต้นประโยคของเขาก็ดูเหมือนจะเป็นการตอบธรรมดา แต่ว่าเสียงตอนลงท้ายนั้นดูจะกระแทกไปยังใครบางคนที่นั่งอยู่ถัดจากพวกเขาสองโต๊ะเต็มๆ และนั่นก็ทำให้พวกเธอถึงกับสำลักไก่ที่กินอยู่ในปากเล็กน้อย
   กิจกรรมหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการพูดคุยกันระหว่างโต๊ะ และ นั่งฟังเสียงเพลงจากคนตาฟ้าที่ไม่รู้ไปหากีตาร์มาจากไหน ก่อนจะจบกิจกรรมด้วยการที่แบร์และวาเนซซ่าบรรยายว่าทำไมพวกเขาถึงต้องมาออกนอกสถานที่แบบนี้ ซึ่งหลักๆ ก็คือเพื่อให้พวกเขาได้ฝึกพูดและใช้คำศัพท์ในชีวิตประจำวันได้คล่องและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
ระหว่างเดินทางกลับจากสวนสาธารณะ ธันก็ไม่อาจจะห้ามใจโยนพวกเศษขนมปังและอาหารที่เขาแอบเก็บมาหลังจากที่ทุกคนกินกันอิ่มแล้วไปให้เหล่านกพิราบและลูกนกกุหลาขาว (White ibis) ที่เขาพบเจอตามทาง
เมื่อมาถึงใจกลางเมืองทุกๆคนก็ต่างแยกย้ายกลับที่พักของตน โดยธัน แบมบู และเตย เดินกลับทางเดียวกัน ส่วน เดวิด ฮานะ และพี่ซีอิ๊วก็อยู่ละแวกเดียวกันเช่นกัน
   เมื่อกลับมาถึงห้องก็พบกับความว่างเปล่า ท่าทางพี่อ้นจะออกไปทำงานแล้วแต่ว่าบนโต๊ะกินข้าวก็มี โน้ตสีเหลืองแปะไว้ว่า “ขอบคุณสำหรับไก่สะเต๊ะนะครับ แม้จะไม่มีน้ำจิ้มก็อร่อยสุดๆเลย ไว้วันหลังทำให้พี่กินอีกนะ” ธันหยิบขึ้นมาอ่านพร้อมกับเผลอยิ้มบาง ๆ
   “ไปเก็บของข้างบนก่อนนะ”แบมบูพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก่อนจะเดินขึ้นห้องไปอย่างเงียบๆ ธันเองก็คิดขึ้นมาได้ว่าตัวเขาเองก็ควรจะเอาของขึ้นไปเก็บด้วยเช่นกัน
แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็ควรที่จะเอาพวกน้ำอัดลม และ ขนมกรุบกรอบที่เขาและหนุ่มตัวกลมเก็บมาหลังจากจบงานปาร์ตี้ออกเสียก่อน คิดได้ดังนั้นเขาก็เริ่มทยอยหยิบขนมออกมาจากกระเป๋าทีละชิ้นๆแต่เมื่อหยิบชิ้นสุดท้ายออกมาเขาก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะเขาค่อนข้างแน่ใจว่าเขาไม่ได้เก็บขนมชิ้นนี้มาแน่ ซึ่งตัวขนมดังกล่าวเป็นขนมที่ยังไม่ได้แกะกินด้วยซ้ำและที่สำคัญคือมันเป็นแยมโรลขนมที่เขาชอบมากอีกด้วย
แต่มันก็ดูน่าสงสัยสุดๆ เช่นกัน เขาพลิกซ้ายพลิกขวาดูว่ามันมีร่องรอยการแกะหรือเปล่าเผื่อว่าบางคนจะแอบแกล้งเขา ซึ่งในระหว่างที่หยิบกล่องพลิกขึ้นดูก็มีกระดาษร่วงลงมาจากใต้กล่องและข้อความบนกระดาษก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะกระดาษถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า
“ผมจำได้ว่าคุณชอบกินขนมมากๆ ครั้งหน้าผมจะมอบของบางอย่างให้คุณและจะบอกชอบคุณต่อหน้าด้วย ขอให้ผมได้เตรียมตัวเตรียมใจอีกหน่อยนะครับ
ลงชื่อ คนที่แอบชอบคุณ”
    คิ้วของหนุ่มธันยิ่งขมวดเป็นปมหนาขึ้นไปอีกเมื่ออ่านข้อความในจดหมายจบ โดยอาจจะเป็นเพราะว่า กำลังสงสัยว่าใครกันเป็นคนแอบเอาขนมมาใส่พร้อมกับเขียนจดหมายแนบมาซะหวานหยดขนาดนี้ให้เขา สองคือตัวหนังสือนั้นก็ตัวเล็กมากๆ จนเขาต้องเพ่งแล้วเพ่งอีกกว่าจะอ่านออก
   “ใครกันนะ แอบเอาขนมมาใส่ให้ กินดีไหมเนี่ย เอาไปให้อ้วนลองกินก่อนดีกว่า เผื่อตาย” จบประโยคธันก็ถือขนมและกระเป๋าเดินตามหลังแบมบูขึ้นไปบนห้อง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-06-2020 11:02:17 โดย DaydreamIsland »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
“เฮ้อ” หนุ่มตัวเล็กทักทายเช้าวันใหม่ด้วยการถอนหายใจเบาๆ หลังจากกดมือถือเข้าเช็คยอดเงินของตน ผ่านแอปพลิเคชั่นของธนาคารในออสเตรเลียและแม้จะดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ยังไม่พบความผิดปกติของยอดเงินเข้าออกแม้แต่น้อย หากเราไม่นับว่าการใช้จ่ายเงินเกินตัวเป็นความผิดปกติละก็นะ
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ของทุกอย่างมันก็ดูล่อตาล่อใจธันซะเหลือเกิน ทั้งขนมรสชาติแปลกๆ เช่น ช็อคโกแลตที่สอดไส้ลูกอมเป๊าะแป๊ะ คิทแคทรสมินท์คุกกี้ หรือจะไอศครีม Viennetta ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นที่นิยมในอดีตและหาไม่ได้แล้วที่ไทยแต่ที่นี่กลับพบเห็นได้ทั่วไปตามซุปเปอร์มาเก็ต
แต่อันที่จริงแค่ของกินมันไม่ได้ทำให้เงินในบัญชีของธันร่อยหรอลงไปมากนักหรอก จริงๆ แล้วเงินของหนุ่มตัวเล็กนั้นหมดไปกับการซื้อเสื้อผ้า ครีมบำรุง อาหารเสริม และน้ำหอมมากกว่า หากคุณเคยไปเที่ยวฮ่องกงหรือสิงค์โปรแล้วคิดว่า น้ำหอม อาหารเสริม ครีมบำรุงที่นั้นถูกแล้ว เมื่อเจอราคาที่ออสเตรเลียแล้วคุณคงจะต้องเสียอาการหนักกว่านั้นเป็นแน่ เหมือนหนุ่มผิวแทนที่ซื้อของมาอย่างไม่บันยะบันยังจนต้องมานั่งเอามือก่ายหน้าผากอยู่ตอนนี้
“อืม ทำไมไม่เห็นจะมีที่ไหนติดต่อมาเลยนะ”หนุ่มธันพูดกับตัวเองพลางเอามือเขี่ยหน้าจอไปมา
“เอ้า เสร็จหรือยังจะสายแล้วนะ”หนุ่มตัวกลมที่เพิ่งจะทาแป้งทาปากในห้องน้ำเสร็จเดินออกมาพร้อมกับเอ็ดหนุ่มตัวเล็กที่ยังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง
“เออ เสร็จแล้วน่า หยิบกระเป่าเสร็จก็ออกไปได้แล้ว”หนุ่มผิวแทนค่อยๆยันตัวขึ้นจากที่นอนด้วยใบหน้ายู่ยี่ก่อนจะเอี้ยวตัวไปหยิบกระเป๋าพร้อมกับเดินออกจากห้องตามหลังแบมบูไป
“นี่ แกสรุปว่าเรื่องขนมที่ฉันได้เนี่ยแกว่าไงวะ” ระหว่างรอข้ามไฟแดงหนุ่มธันก็อดไม่ได้ที่จะถามเรื่องนี้กับหนุ่มตัวกลมที่ยืนอยู่ข้างๆ
“โอ้ย นี่พูดไปล้านรอบแล้วนะ น้องก็บอกแล้วไงว่ามันจะเป็นใครก็ได้ อ่านปาก ณัชชานะ จะเป็นใครก็ได้ เพราะว่าเธออ่ะ ชอบเอาขนมไปกินที่ห้องเรียน เพื่อนในห้องก็เห็น ไหนจะตอนกลางวันอีก กินข้าวเสร็จก็ต้องมีขนมตาม ต่อให้ฉันไม่รู้จักเธอก็ต้องดูออกปะ ว่าเธออ่ะ ชอบกินขนม”หนุ่มแบมบูถอนหายใจก่อนจะพูดอธิบายให้หนุ่มตัวเล็กที่ดูจะค่อนข้างจะเข้าใจอะไรยากฟังเป็นรอบที่สามของวัน
“มันก็ใช่ แต่ขนมมันก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมเขาถึงจงใจเอาขนมแยมโรลที่ฉันชอบที่สุดมาใส่ไว้ละ”หนุ่มผิวแทนยังไม่หยุดที่จะถามเซ้าซี้ต่อ
“อันนี้ก็บอกไปแล้วนะว่าขนมส่วนใหญ่ที่เธอกินก็คือแยมโรล ฉันเห็นเธอกินซ้ำมันทุกวัน ต่อให้ฉันไม่รู้จักเธอมาก่อน แต่แค่สังเกตุเธอติดต่อกันสองสามวันก็เดาได้แล้วปะ” รอบนี้นอกจากจะถอนหายใจแบมบูเริ่มมีอาหารตาเหลือกมองบนเพิ่มไปด้วย
“แต่ว่า...มัน”ยังไม่ทันที่หนุ่มธันจะพูดจบประโยคแบมบูก็พูดสวนขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน
“โอ้ย!!! ถ้ายังไม่เลิกสงสัยนี่จะรำกลางสี่แยกแล้วนะ มีคนชอบก็ดีแล้วไง นี่ถ้ารุ่นเดียวกันก็จะด่าแล้วนะ”หนุ่มแบมบูพูดพร้อมทำหน้าเอือม
“อะไหนลองสมมุติว่าเป็นรุ่นเดียวกันสิ”ธันพูดพร้อมกลั้นหัวเราะ
“อะ สมมุตินะ ถ้าเป็นรุ่นเดียวกันก็จะบอกว่า กินๆ เข้าไปเหอะอย่าสงสัยมาก นี่กินจนออกไปเป็นขี้แล้วยังไม่เลิกสงสัยอีก แหม่ก็คงเป็นเพราะแกสวยแหละเลยมีคนหมายปองเยอะ สวยมาก กอไก่ล้านตัว เลยอ่ะแก นี่มองข้างๆ นึกว่าดารานะเนี่ย เป็นไงดูปลอมปะ”คนตัวกลมจีบปากจีบคอพูดก่อนจะหันมาถามความเห็นของคนตัวเล็กที่ยืนกลั้นขำอยู่ข้างๆ
“ไม่ปลอมหรอกแกดูจริงใจมาก แต่ดีแล้วล่ะที่ไม่ใช่รุ่นเดียวกันอ่ะ” หนุ่มธันที่อดทนไม่ไหวถึงกลับปล่อยขำจนน้ำตาเล็ด แต่ก็ยังพยายามตอบแบมบูไปด้วยเสียงที่มีความสั่นระรัวเล็กน้อย หลังจากคนตัวเล็กพูดจบก็เป็นเวลาเดียวกันกับสัญญาณไฟเขียวดังขึ้นพอดี ทั้งคู่เลยหยุดบท สนทนาลงเพียงแค่นั้นก่อนจะเดินข้ามถนนไปพร้อมกัน
วันนี้ในขณะที่เรียนอยู่ คนตัวเล็กไม่ค่อยมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนเท่าใดนัก เพราะเขามีปัญหาเรื่องเงินที่ต้องคิดว่าจะเอาอย่างไรดี ที่จริงแล้วเขาจะส่งข้อความไปหาทางบ้านให้ช่วยเหลือก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะทีบ้านเขาก็เอ่ยปากมาตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยก็ให้รีบโทรหาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ แต่ทว่าตัวเขาปีนี้อายุก็ย่างยี่สิบเจ็ดปีเข้าไปแล้ว อีกทั้งตั้งแต่เรียนจบมามีงานทำเขาเองก็ไม่เคยขอเงินที่บ้านอีกเลย
ดังนั้นถ้าจะให้มาขอเอาตอนนี้มันก็ดูตะขิดตะขวงใจยังไงแปลกๆ เขาจึงตัดสินใจที่จะลองพยายามเองให้ถึงที่สุดก่อนโดยการลองหาสมัครงาน Part-time ในเว็บท้องถิ่นของออสเตรเลีย
แต่หลังจากลองยื่นไปหลายๆ ที่รวมถึงเอาใบ Resume ไปฝากที่ร้าน Grab and go ของเซเรน่าแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนติดต่อกลับมาเลย  ไหนจะเรื่องที่เขาไปนอนห้องใครตอนเมามาอีก ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แล้วเรื่องล่าสุดที่มีคนเอาขนมมาใส่ไว้ในกระเป๋าเขาอีกละ
อันที่จริงแล้วในใจลึกๆ ของเขาก็แอบคิดว่าทั้งสองคนนี้ต้องเป็นคนเดียวกันแน่ๆ และนั่นมันก็ทำให้เขาเกิดความกลัวขึ้นมาอยู่เหมือนกัน เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าใครคนนั้นจะทำแบบนี้ทำไม หรือเขาหวังอะไรในตัวเขากันแน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดยิ่งเครียดก็ยิ่งปวดหัวแต่ก่อนที่จะปวดหัวไปมากกว่านั้นก็มีม้วนหนังสือมาตีเข้าที่โต๊ะที่เข้านั่ง จนเขาต้องสะดุ้งโหย่งโชคยังดีที่ไม่เผลออุทานอะไรประหลาดๆ ออกไป
“Do you want to sit on this chair and study or do you want to sit on the Golden Penda outside because I saw you look outside for a while instant of my whiteboard” (เธอจะนั่งเรียนที่เก้าอี้ตัวนี้หรือว่าเธอจะไปนั่งบนต้น Golden Penda ข้างนอกนั่นเพราะว่าผมเห็นคุณนั่งมองมันมาสักพักแล้ว แทนที่คุณจะมองบนกระดานของผม) จะเป็นใครอื่นเป็นไม่ได้นอกจากแบร์อาจารย์ประจำห้องที่เป็นผู้ฟาดหนังสือลงมา และนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กยิ้มและเกาหัวแทนคำตอบซึ่งก็ทำให้อาจารย์ถอนหายใจก่อนจะเดินกลับไปที่กระดานของเขาต่อ
“Are you ok” (เป็นอะไรหรือเปล่า) ฮานะที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามขึ้นด้วยเสียงกระซิบ
“I am ok, don’t worry” (ไม่เป็นไรไม่ต้องห่วงนะ) หนุ่มธันตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มแกนๆ ซึ่งสาวญี่ปุ่นแม้จะยังมีสีหน้าเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่เธอก็จำเป็นต้องหันหน้ากลับไปทางกระดานเพราะตอนนี้ อาจารย์ประจำชั้นเปลี่ยนเป้าสายตามามองที่เธอแทนแล้ว
 แดดตอนกลางวันของออสเตรเลียนั้นไม่ต่างจากประเทศไทยสักเท่าไหร่นัก เผลอๆ ที่เมืองจิงโจ้นี้เราจะรู้สึกร้อนกว่าด้วยเพราะว่าอากาศที่นี่ร้อนและแห้ง และถึงแม้มันจะไม่มีเหงื่อออกมาเหนียวเหนอะหนะให้น่ารำคาญเหมือนบ้านเราแต่การที่เหงื่อคุณไม่ออกเมื่อเจอแดดนี่มันทำให้ผิวคุณแสบและลอกได้ง่ายกว่าเยอะ เหมือนกับกลุ่มของคนเอเชียกลุ่มนี้ที่นั่งโดนแดดจนผิวแสบเหมือนไก่โดนเอาเข้าไปย่างในตู้อบลมร้อนอย่างไรอย่างนั้น แต่มันก็ช่วยไม่ได้เพราะสมาชิกที่นั่งอยู่ในโต๊ะดันโดนอาจารย์ปล่อยช้ากันทุกคนแม้จะอยู่กันคนละห้องก็ตาม แถมวันนี้เป็นวันที่มีนักเรียนใหม่เข้ามาเพิ่มทำให้โต๊ะดีๆ ที่ไม่โดนแดดนั้นโดนเด็กใหม่แย่งไปจนหมดแล้ว อันที่จริงมีโต๊ะที่โดนแดดร้อนๆ ให้นั่งก็ยังดีกว่าต้องนั่งกินข้าวกันบนพื้นละนะ
“Hey, don’t take that from me” (เฮ้ อย่าเอาอันนั่นของฉันไป) เตยร้องโวยวายเมื่อโดนฮานะแย่งเอาลูกชิ้นจากก๋วยเตี๋ยวที่เธอห่อมากินเป็นมื้อกลางวันไป
“Haha, it too late” (ฮ่าฮ่า ช้าไปแล้ว) สาวญี่ปุ่นพูดขึ้นก่อนจะรีบเอาลูกชิ้นเข้าปากตัวเองไป เพราะสาวผมหยิกกำลังจะคว้าตะเกียบมาแย่งลูกชิ้นของเธอคืน
พอเห็นดังนั้น เธอก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการงอลตุ๊บป่อง จนฮานะต้องแบ่งเนื้อแซลม่อนของเธอคืนไป ใบเตยถึงหันกลับมาเป็นปกติได้
บนโต๊ะอาหารตอนนี้มีสีสันมากกว่าที่เคยเพราะว่าจำนวนสมาชิกบนโต๊ะเพิ่มจากสี่คนมาเป็นหกคนแล้ว และนั่นก็ทำให้มื้อกลางวันของพวกเขาดูครึกครื้นมากกว่าที่เคย จนในบางครั้ง มันก็ครึกครื้นเกินไปจนอาจารย์ที่อยู่ข้างในต้องออกมาเตือน
“เป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้แลดูเงียบๆ นะ” พี่ซีอิ๊ว ที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาถามหนุ่มตัวเล็กที่มองเหม่อไปยังต้นไม้ฝั่งตรงข้ามตึกเรียนมาสักพักแล้ว
   “ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอพี่” หนุ่มธันที่เพิ่งได้สติจากเสียงเรียกของสาวสวยข้างๆ หันมายิ้มแห้งๆ ก่อนจะถามกลับไปด้วยเสียงอ่อยๆ เล็กน้อย
“จะดูไม่ออกได้ไงก็ปกติพูดเป็นต่อยหอย แต่วันนี้คนบนโต๊ะเขาเล่นมุขขำกันจะตายแกยังเงียบไม่หือไม่อือเลย มีอะไรบอกได้นะ” พี่ซีอิ๊วตักผัดไทยตรงหน้าเข้าปากก่อนจะถามซ้ำอีกรอบ
“ก็เครียดๆ เรื่องเงินอะพี่ พอดีเดือนที่ผ่านมาใช้ไปเยอะ แล้วตอนนี้ก็กำลังหางานพิเศษทำแต่ก็ยังไม่มีที่ไหนเรียกเลย” หนุ่มตัวเล็กพูดพร้อมเขี่ยข้าวของตัวเองไปมา
“แกไปสมัครไว้ที่ไหนอะ ลองของ Thaiaussie หรือยัง ถ้าสมัครพวกเว็บท้องถิ่นของมันอ่ะยาก เพราะเขาก็ต้องเรียกคนท้องถิ่นของตัวเองก่อน จะให้มาเรียกคนเอเชียอย่างเราไปทำงานน่ะยากยิ่งกว่ายาก ไหนจะวีซ่านักเรียนที่ทำงานให้เขาได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยอีก เลิกหวังไปได้เลยแก”พี่อิ๊วพูดโดยใช้เสียงเรียบๆ แต่ชัดเจนและได้ใจความทุกประโยค
“อืม นั่นสินะ เขาก็ต้องเอาคนของเขาก่อนเป็นปกติอยู่แล้ว” ธันยังก้มหน้าก้มตาเขี่ยข้าวของเขาต่อไป
“Excuse me, Can we sit with you” (ขอโทษนะครับ ขอพวกเรานั่งด้วยคนได้ไหม) เสียงพูดอังกฤษสำเนียงเอเชียดังมาจากทางด้านหลังคนตัวเล็ก ซึ่งดูแล้วผู้พูดน่าจะหมายตาเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่อีกสองตัวเป็นแน่
แต่เมื่อน้ำเสียงนั้นสิ้นสุดลงทั้งโต๊ะก็เงียบไม่ยอมตอบจนคนผิวแทนต้องเงยหน้าขึ้นมามองซึ่งก็พบกับสายตาแปลกๆ ของทุกคนบนโต๊ะ จนธันต้องหันหลังไปมองว่าใครเป็นคนขอนั่งด้วย และเมื่อหันกลับไปก็เห็นคนข้างหน้าที่ยืนถือจานข้าวอยู่เป็นหนุ่มเกาหลีใส่แว่นทรงกลมคล้ายๆ กับแว่นของเตยแต่เล็กกว่ามาก ซึ่งมันก็เข้ากับทรงผมหน้าม้าเต่อของเขาอย่างพอดิบพอดี
แต่ไม่ว่าจะมองยังไงคนๆ นี้ก็ไม่ได้อยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำของเขาเลย ผิดกับคนข้างหลังเจ้าหนุ่มเกาหลีหน้ากลมนี่สิเป็นคนที่เขารู้จักดีเชียวแหละ หนุ่มตาฟ้ายืนถือถุงกระดาษ McDonald ด้วยมือข้างซ้ายแถมหน้าตาตอนนี้ก็ดูไม่ค่อยจะสบอารมณ์เหมือนโดนใครเหยียบเท้ามาก็ไม่ปาน
“Can we?” (ได้ไหมครับ) หนุ่มเกาหลีถามซ้ำอีกรอบ
   ซึ่ง ณ ตอนนี้ทุกสายตาบนโต๊ะหันมาจับจ้องคนตัวเล็กเพียงคนเดียวนั่นก็เป็นเพราะว่า หนุ่มผิวแทนเคยบอกกับคนในกลุ่มไปแล้วว่าเขาไม่ชอบหน้า ตารูเบนนี่ ส่วนสาเหตุก็เป็นเพราะคนตาฟ้าคนนี้มีอัธยาศัยที่แย่จนถึงขั้นติดลบในสายตาของเขา แต่ในเมื่อวันนี้เก้าอี้นั่งกินข้าวมันค่อนข้างจะมีจำกัดและหากเขาจะปฏิเสธสองคนนี้เนื่องจากไม่ค่อยชอบหน้า มันก็ดูจะเป็นเด็กไปหน่อยดังนั้นเขาจึงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการถอนหายใจหนึ่งเฮือกก่อนจะพูดตอบกลับไปด้วยเสียงเรียบๆ
   “Sure” (นั่งสิ) หนุ่มตัวเล็กตอบด้วยน้ำเสียงแกนๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกฝั่ง
   “Thank you so much” (ขอบคุณมากครับ) หนุ่มเกาหลีรีบขอบคุณก่อนจะย้ายก้นของตัวเองไปนั่งยังเก้าอี้ตัวที่อยู่ติดกับแบมบูทันที ส่วนคนผมสีวอลนัทก็ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากต้องนั่งเก้าอี้ตัวที่เหลือข้างๆ คนตัวเล็กไป
   “My name is June I am from Korea and this is Ruben. You might know him because my friend is quite hot.” (ผมชื่อจุนครับมาจากเกาหลี ส่วนนี่รูเบนบางทีพวกคุณอาจจะรู้จักเขาอยู่แล้ว เพราะเพื่อนผมคนนี้ค่อนข้างที่จะฮ็อตน่ะครับ) หนุ่มเกาหลีแนะนำตัวเองพร้อมรอยยิ้มก่อนจะผายมือไปยังเพื่อนหน้าคมที่นั่งเก็กอยู่ข้างๆ ซึ่งประโยคที่เขาพูดแนะนำตัวเองนั้นทั้งโต๊ะก็เพียงยิ้มบางๆ ตามมารยาทให้ไป แต่ว่าประโยคปิดท้ายที่พูดแนะนำเพื่อนนั้นได้รับเสียงตบมือจากสาวๆ กันยกใหญ่ ซึ่งผิดกับหนุ่มธันที่กำลังทำปากคว่ำอย่างสุดฤทธิ์
   “Is that a green curry” (อันนั้นคือแกงเขียวหวานหรือเปล่าครับ) หนุ่มเอเชียผู้มาใหม่ชี้ไปที่แกงเขียวหวานของธัน ที่ยังเหลืออยู่เกือบครึ่งค่อนถ้วยเนื่องจากเขาไม่ค่อยจะมีอารมณ์กินมันเท่าไหร่แล้ว และถึงแม้เพื่อนจะชื่นชอบในอาหารฝีมือของเขาแต่ทว่าทุกคนก็มีกับข้าวของตนเองที่ต้องรับผิดชอบอยู่ดังนั้นวันนี้อาหารของเขาน่าจะต้องเป็นม่ายแล้วแน่ๆ
   “Yes, it is. Do you want to try?” (ใช่ อยากลองหน่อยไหมล่ะ) หนุ่มธันยิ้มน้อยๆก่อนจะผลักถ้วยแกงเขียวหวานไปยังกึ่งกลางระหว่างคนตาฟ้าและจุน
   “I would like to know why it called green curry but the color is not too green” (ฉันอยากรู้จังทำไมมันถึงเรียกแกงเขียวหวานแต่สีมันดูไม่ค่อยเขียวเลย) หนุ่มเดวิดถามขึ้น
   Because the color comes from the main ingredient such as green bird's eye chili and bergamot skin that why we call green curry and the color comes from natural not factory that why it not green like a paint color” (สีเขียวที่เราพูดถึงมาจากส่วนผสมหลักก็คือพริกขี้หนูสีเขียวกับผิวมะกรูดดังนั้นเราจึงเรียกแกงนี้ว่าแกงเขียวหวาน อีกอย่างสีที่เราเห็นก็มาจากสีของธรรมชาติไม่ใช่สีทาบ้านจะได้เขียวสดขนาดนั้น) หนุ่มธันให้ความรู้กับหนุ่มเดวิด ไปซึ่งแม้เดวิดจะดูยังไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
   “Oh, sorry I forgot to tell you my curry is quite hot. (อุ้ย ขอโทษลืมบอกไป แกงมันค่อยข้างที่จะเผ็ดนะ) หนุ่มตัวเล็กแสร้งทำท่าตกใจพูดออกไป ที่บอกว่าแสร้งเป็นเพราะในใจเขาไม่ได้ลืมอะไรหรอกและที่เขาผลักสำหรับของเขาไปอยู่ตรงกลางระหว่างรูเบนและจุนนั่นก็เป็นเพราะ เขาแอบหวังว่าหนุ่มรูเบนจะลองตักกับข้าวของเขาแล้วเผ็ดจนน้ำตาไหลออกมาหยดสองหยด
ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะระหว่างที่เขาหันไปอธิบายให้ หนุ่มตาหยีฟัง รูเบนก็แอบตักแกงเขียวหวานเข้าปากและเมื่อน้ำแกงเข้าไปในปากยังไม่ทันจะถึงนาที น้ำตาใสๆ ก็ไหลมาอาบแก้มของหนุ่มรูเบนจนธันที่ชำเลืองมองก็ทั้งแอบสงสารและแอบขำอยู่ในใจ
   “แหม่พ่อคุณ ขนาดเผ็ดจนน้ำหูน้ำตาไหลก็ยังมีกะใจจะเก็กหน้าต่ออีกนะ” หนุ่มธันคิดในใจพร้อมทั้งยิ้มมุมปากเล็กๆ เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็น
“Hey, handsome man I heard from someone you are good at sing. Can you sing a little bit for me?” (ไงหนุ่มหล่อ ฉันได้ยินมาว่าเธอร้องเพลงเก่งนี่ ถ้าไงลองร้องให้ฉันฟังสักหน่อยได้ไหม) เสียงหวานๆดังลอยมาจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะและเมื่อกลุ่มของคนตัวเล็กหันไปมองทางต้นเสียงก็ต้องทำหน้าเหมือนเหม็นเบื่ออะไรสักอย่างขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะคนที่พูดออกมาเป็นสาวหน้าคมคนโคลัมเบียที่เคยวิจารณ์เรื่องสีและกลิ่นของไก่สเต๊ะ ของหนุ่มตัวเล็กเมื่อครั้งก่อน
เมื่อหันมามองทางด้านหนุ่มตาฟ้าที่ยังทำท่าทีไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำพูดหวานๆ ของสาวละตินนั้น หนุ่มตัวเล็กก็อดไม่ได้ที่จะแอบขำในใจ แต่ถึงแม้ผู้ชายจะดูไม่เล่นด้วย สาวหน้าคมก็ยังไม่ยอมแพ้เธอเดินเข้ามาประชิดตัวหนุ่มตัวสูงพร้อมโอบไหล่ก่อนจะใช้น้ำเสียงกระซิบกระซาบคุยกับเขา
“Don’t be shy I know, I am beautiful how about I sing first, and you follow me then.” (อย่าเขิลไปหน่อยเลย ฉันรู้ว่าฉันค่อยข้างที่จะสวยเอาแบบนี้เป็นไงเดี๋ยวฉันร้องก่อนแล้วเดี๋ยวเธอค่อยร้องตามเป็นไง) เธอเสนอตัวเป็นคนร้องนำและให้รูเบนร้องตาม อีกทั้งไม่รู้ว่าเธอไปหนาวมาจากไหน เพราะถึงแม้อากาศข้างนอกจะร้อนจนหนุ่มตัวเล็กแทบจะละลายลงไปกองอยู่กับพื้น แต่สาวลาตินก็ใช้เรือนร่างของเธอเบียดเข้าหาไออุ่นของหนุ่มผมสีวอลนัท จนตัวแทบจะเป็นร่างเดียวกันอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากเธอกระแอมไอเพื่อวอร์มเสียงชั่วครู่ เธอก็เริ่มเปล่งเสียงใสๆ ออกมา
“I love it when you call me Senorita I wish I could pretend I didn’t need you” เธอจบท่อนด้วยการจงใจพูดคำว่า “you” ลงไปที่ข้างหูของรูเบนและถึงหนุ่มผิวแทนจะไม่ค่อยชอบหน้าสาวคนนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอร้องเพลงได้ค่อนข้างดีทีเดียว แต่ถึงยังไงมันก็แลดูตลกอยู่ดีที่จะเข้าหาผู้ชายแบบนี้ ถึงธันจะไม่รู้ว่าสองคนนี้เคยมีอะไรกันมาก่อนหรือเปล่าแต่การที่เดินเข้ามาให้ผู้ชายร้องเพลงให้ต่อหน้าคนเยอะๆ มันก็ดูจะเวอร์และน่าอายไปหน่อยสำหรับความรู้สึกของคนตัวเล็ก
หนุ่มรูเบนยิ้มตอบสาวลาตินก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอต้องหุบยิ้มสวยๆ ของเธอลงทันที
“Nah I don't want to sing with you.” (ไม่อะฉันไม่อยากร้องกับเธอ) หนุ่มรูเบนหุบยิ้มลงทันทีเมื่อพูดจบและลุกขึ้นพรวดพลาดและเดินจากไป ทิ้งให้สาวโคลัมเบียที่ไม่ได้ตั้งตัวเซจนแทบจะตกเก้าอี้ และเมื่อเธอได้สติเธอก็ทำหน้าถมึงทึงใส่คนในโต๊ะที่หัวเราะใส่เธอก่อนที่จะเดินจากไปด้วยอาการเสียศูนย์และเสียหน้าพร้อมกัน
แม้จะเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้วแต่ความร้อนของพระอาทิตย์ที่แผดเผาก็ไม่ได้ลดลงเลย ยิ่งธันและเพื่อนมายืนคุยกันหน้าตึกที่เป็นกระจกก็ยิ่งแล้วใหญ่เพราะ เมื่อแสงแดดส่องโดนกระจกแล้วตกกระทบมาที่พวกเขามันก็ยิ่งร้อนเหมือนกันกับ มดดำที่โดนแสงแดดแผดเผาผ่านแว่นขยาย จนหนังกำพร้าของพวกเขาแทบจะมีควันขึ้นอยู่แล้ว
“เออ เป็นไงบ้างได้ลองดูงานในเว็ปที่พี่ให้ยัง” พี่ซีอิ๊วหันมาถามธันขณะยืนหลบแดดใต้ต้น Golden Penda กันอยู่
“ลองแล้วพี่แต่ยังไม่มีวี่แววเลย นี่ส่งข้อความไปหามาสี่ห้าร้านแล้วก็ยังไม่มีร้านไหนตอบกลับเลยครับ” หนุ่มธันที่กำลังเขี่ยหน้าจอโทรศัพท์ไปมาตอบโดยไม่หันหน้าขึ้นมามอง
“เออ เอาน่ามันก็คงไม่ได้เร็วขนาดนั้นหรอก พี่เองกว่าจะมีคนเรียกไปทำงานก็เป็นอาทิตย์อยู่เหมือนกัน” สาวหมวยอินเตอร์พูดขณะสอดส่ายสายตาดูรสบัสสายที่เธอจะต้องขึ้นเพื่อไปทำงานไปด้วย
“Hey, please say in English please, I want to know too” (นี่พูดเป็นภาษาอังกฤษกันสิ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันนะ) ฮานะจังที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้นมาด้วยหน้าตาอยากรู้อยากเห็น
“Ok ok, I said I would like to get a part-time job but I didn’t get it yet. Maybe I don’t have luck.” (ได้ คือฉันบอกว่าฉันอยากจะได้งานพิเศษทำแต่จนแล้วจนรอดฉันก็ยังหาไม่ได้เลย บางทีฉันคงจะไม่มีดวงละมั้ง) ธันเงยหน้าขึ้นมาอธิบายกับสาวหมวยด้วยรอยยิ้มแกนๆ
“Oh Thun, Don’t worry you might get it soon.” (โอ้ธัน ไม่ต้องห่วงนะฉันคิดว่าเธอน่าจะได้งานเร็วๆนี้แหละ) สาวญี่ปุ่นที่แลดูจะเป็นห่วงธันพูดขึ้นก่อนจะเอามือไปแตะที่ไหล่ของธันเบาๆซึ่งนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมาได้บ้าง
“Um… Thank you Han…” (ขอบใจนะฮาน...) เสียงได้ขาดห้วงหายเข้าไปในลำคอของเขา เพราะทันทีที่เขากำลังจะพูดขอบใจ ฮานะ ก็มีข้อความเด้งขึ้นมาในมือถือของเขาและเมื่อเขาเปิดดูก็พบว่าเป็นข้อความให้เขาเข้าไปลองทำงานดูโดยในข้อความเขียนไว้ว่า
“สวัสดีครับ พอดีพี่เพิ่งเห็นข้อความที่น้องส่งมาสมัครงานถ้ายังไงสนใจก็ให้ลองเข้ามาลองทำดู เสื้อไม่ต้องเตรียมมานะครับทางร้านมีให้ แต่อาจจะต้องเตรียมกางเกงขายาวสีดำ จะเป็นกางเกงสแล็ค หรือ กางเกงวอร์มก็ได้ ส่วนรองเท้าขอเป็นรองเท้าผ้าใบสีดำนะครับ ถ้าสะดวกก็เข้ามาวันนี้ได้เลย เดี๋ยวพี่ส่งโลเคชั่นของร้านให้”เมื่ออ่านจบเขาก็รู้สึกตื่นเต้นสุดๆ จนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ต้องหันไประบายออกกับเพื่อนๆโดยรอบ
“I got it, I got it Hana พี่ซีอิ๊วธันได้แล้ว ธันได้แล้ว” เขาหันไปจับไม้จับมือสาวไทยที่ยืนข้างๆเขาและกอดคอสาวญี่ปุ่นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเช่นกัน
“แบมบู แบมบู ไปเดินซื้อของเป็นเพื่อนหน่อยดิ แล้วก็วันนี้ฉันอาจจะกลับห้องดึกหน่อยนะ” ธันหันหลังไปพูดกับแบมบูที่ยืนจับกลุ่มคุยอยู่กับ เดวิดและจุนอย่างออกรสออกชาติ
“ทำไมอ่ะ ได้งานแล้วเหรอ” แบมบูละการสนทนาจากหนุ่มเกาหลีและหนุ่มไต้หวันก่อนจะหันมาถามหนุ่มตัวเล็กอย่างตื่นเต้นเช่นกัน
“ยังไม่แน่ใจอ่ะ แต่เขาให้ไปลองดูก่อน”หนุ่มผิวแทนที่แม้จะยังไม่รู้ว่าจะได้งานไหมแต่หัวใจของเขาตอนนี้ก็ได้พองโตขึ้นมาแล้วด้วยความหวังเล็กๆ
หลังจากได้กางเกงวอร์มสีดำจากร้าน Zara มาหนึ่งตัวเขากับแบมบูก็เดินมารอรถบัสที่ป้ายรถ โชคดีที่ร้านที่เขาจะไปทำงานกับห้องของเขานั้นสามารถมารอรถที่ป้ายรถเดียวกันได้ เขาจึงไม่ต้องยืนเหงาอยู่คนเดียว
“นี่แกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรวะ” หนุ่มธันที่สังเกตอาการหนุ่มตัวกลมมาสักพักพูดถามขึ้นมา
“ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอ”แบมบูเงยหน้าขึ้นมาจากจอโทรศัพท์ก่อนจะถามกลับไปด้วยเสียงเขิลๆเล็กน้อย
“เออดิ่ มีอะไรไม่เล่านะเดี๋ยวนี้” หนุ่มธันมองหน้าหนุ่มตัวกลมสลับกับมองไปยังท้องถนนเพราะกลัวว่ารถบัสที่เขารอจะขับผ่านไปโดยเขาไม่ทันได้ตั้งตัว
“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก น้องแค่คิดว่าตัวน้องกำลังตกหลุมรักใครบางคนอยู่” หนุ่มแบมบูพูดไปก็บิดตัวไปมาด้วยความเขิล
“ใครวะ ใช่คนที่เรามีประเด็นกันเมื่อวานปะ” หนุ่มธันพูดด้วยน้ำเสียงใคร่รู้
“ไม่บอก เดี๋ยวน้องจะลองรุกจีบดูก่อนถ้าเกิดได้เป็นแฟนแล้วจะค่อยมาเฉลยแล้วกันนะ” คำพูดของแบมบูดูทีเล่นทีจริงแต่นั่นก็ทำให้คนตัวเล็กยิ่งสงสัยอยากรู้เข้าไปใหญ่
“เออ เดี๋ยวนี้มีความลับกับพี่กับเชื้อนะ”หนุ่มตัวเล็กหรี่ตาเล็กไปมองคนตัวกลมจนแบมบูทนสายตาไม่ไหวต้องหันหน้าหนี แต่ก่อนที่หนุ่มผิวแทนจะได้ถามอะไรต่อรถบัสสายที่เขาจะต้องขึ้นก็มาช่วยชีวิตหนุ่มตัวกลมไว้พอดี
“เลิกทำตาแบบนั้นได้แล้ว ขึ้นรถไปเลยเดี๋ยวก็ไปสายหรอก”หนุ่มตัวกลมผลักหลังหนุ่มตัวเล็กเบาๆ เพื่อเป็นการเร่งให้เขารีบขึ้นรถไป แต่หนุ่มผิวแทนก็ยังไม่วายเอานิ้วสองนิ้วชี้ไปที่ตาตัวตัวเองก่อนจะชี้ไปที่หน้าของหนุ่มแบมบูอันเป็นสัญลักษณ์บอกว่าเขาจับตาดูอยู่นะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-06-2020 13:21:38 โดย DaydreamIsland »

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ใช้เวลานั่งรถเพียงไม่นานเขาก็มาลงที่ป้ายรถบัสเยื้องๆ กับสถานีรถไฟ Clayfield ตามพิกัดที่เจ้าของร้านส่งมา และเมื่อมองซ้ายมองขวาก็เห็นป้ายร้านอาหารไทยขนาดใหญ่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
หน้าร้านที่เขามาทดลองงานนั้นประดับไว้ด้วยน้ำตกเล็กๆ ที่มาจากอิฐบล็อกสีเทา โดยมีพื้นหลังน้ำตกเป็นรูปโขลงช้างกำลังเล่นน้ำกันอยู่ และด้วยว่าความยาวของบ่อน้ำตกกับความแรงของตัวน้ำตกอาจจะไม่สมดุลกันเพราะว่า น้ำที่ตกลงมานั้นไม่ได้อยู่แค่บริเวณบ่อแต่มันกับกระเซ็นไปทุกทิศทุกทางเหมือนพระสาดน้ำมนต์
ประตูหน้าร้านเป็นประตูกระจกขนาดใหญ่สองบานซึ่งสามารถเปิดได้จริง แค่บานเดียวเพราะเมื่อธันเอามือไปลองขยับอีกบานดูก็พบว่ามันโดนล็อคจากข้างในอยู่และดูเหมือนว่าเขาจะเขย่าประตูแรงไปหน่อยเพราะนั่นทำให้คนที่อยู่ในร้านต้องออกมาดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น
“Hi do you need some help?” (สวัสดีจ้ะมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าจ๊ะ) คุณป้าวัยกลางคนเดินออกมาสอบถามคนตัวเล็กด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“Oh hi, the owner calls me to come to the restaurant to try.” (สวัสดีครับพอดีเจ้าของร้านเขาโทรหาผมให้มาลองทำงานดูน่ะครับ) ธันยิ้มให้คุณป้าที่เดินออกมาต้อนรับคำพร้อมพูดตอบคำถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“อ้าว คนไทยเหรอจ๊ะ ป้าก็นึกว่าหนุ่มญี่ปุ่นซะอีก” คุณป้าพูดแซ่วพร้อมหัวเราะกลบเกลื่อน
“อ๋อ คนไทยครับ ชื่อธันครับ แล้วน้าชื่ออะไรครับ”ธันถามพร้อมกับส่งยิ้มเล็กๆไปให้ แต่คุณป้าก็ดันตอบกลับเขามาด้วยหน้าบูดบึ้งซึ่งเขาเองก็แอบงงอยู่เล็กน้อยว่าเขาพูดอะไรผิดหรือไม่เข้าหูเธอหรือเปล่าทำไมถึงทำหน้าแบบนั้น
“พี่จ้ะ พี่ชื่อพี่ดาวจ้ะ” กว่าจะถึงบางอ้อ คุณป้าท่านนี้คงไม่พอใจที่หนุ่มผิวแทนไปเรียกเธอน้าเลยออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง ยิ่งตอนเธอตอบกลับมาแล้วเน้นย้ำตรงคำว่าพี่ เขายิ่งรู้เลยว่าเธอไม่พอใจเขาเรื่องอะไร
“อ๋อครับพี่ดาว”หนุ่มธันทวนชื่อคุณป้าไปพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ให้ก่อนจะเกาหัวเล็กน้อย ซึ่งการเรียกเธอว่าพี่ก็เหมือนจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นมากะทันหัน เพราะเธอกลับมายิ้มแย้มเหมือนเดิมก่อนจะเรียกเขาให้เข้าไปในร้าน
บรรยากาศในร้านตกแต่งด้วยวัสดุพื้นบ้านของไทยเกือบทั้งหมด อย่างแรกที่เห็นเด่นชัดคือการแขวนตุงหลากสีสันของทางเหนือไว้ตามมุมต่างๆของร้าน ทั้งยังนำสุ่มไก่ขนาดเล็กมาครอบไฟทุกดวงในร้าน ไหนจะเอากระติ๊บข้าวเหนียวมาห้อยเป็นพวงไว้ตามขอบประตูและหน้าต่างอีก แต่ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็นการเอารูปปั้นช้างขนาดใหญ่มาตั้งไว้กลางร้านนี่แหละ ถ้าถามว่ารูปปั้นชิ้นนี้ใหญ่ขนาดไหนก็ให้จินตนาการถึงผู้ชายตัวใหญ่ๆ สองคนเอามือโอบแล้วยังไม่สามารถแตะมืออีกฝ่ายถึง
เก้าอี้และโต๊ะทั้งร้านนั้นทำมาจากไม้อย่างดี โดยด้านบนโต๊ะจะนำผ้าที่เป็นลายไทยสีออกเหลืองๆน้ำตาลๆ มาคลุมไว้ พร้อมกับจานชามลายไทยที่ดูเข้ากันกับผ้า มุมด้านในสุดก่อนจะถึงห้องครัวก็ยังอุตส่าห์มีน้ำตกประดับอีกแต่น้ำตกด้านในมีขนาดเล็กกว่าน้ำตกหน้าร้านเกือบเท่าตัว แต่ที่สำคัญที่สุดคือน้ำตกในร้านไม่มีน้ำกระเด็นออกมาให้กวนใจเหมือนน้ำตกด้านหน้าเลย
“มีน เชอรี่ นี่น้องธันจ้ะ ที่พี่สุทินให้มาเริ่มงานวันนี้วันแรกถ้ายังไงพี่ฝากด้วยนะ” คุณป้าเดินพาหนุ่มตัวเล็กมาที่ในครัวก่อนจะแนะนำเขาให้รู้จักกับคนด้านใน
ข้างนอกร้านว่าดูใหญ่แล้วแต่เมื่อหนุ่มธันเข้ามาในครัวกลับดูใหญ่ยิ่งกว่า เมื่อเดินเข้ามาก็จะเห็นฝั่งที่ทำเครื่องดื่มอยู่ข้างหน้าถัดไปหน่อยก็จะมีช่องที่มองลอดเข้าไปเห็นเตาแก็สขนาดใหญ่สองตัวที่มีกระทะใบบัวตั้งอยู่ข้างบนส่วนตรงหน้าช่องก็มีที่วางของยื่นออกมา น่าจะใช้เป็นที่วางอาหารหลังจากผัดเสร็จแล้วเพื่อที่จะให้พนักงานเสิร์ฟ ไม่ต้องเดินเข้าไปเอาอาหารถึงในครัว
ถัดจากตรงนั้นประมาณสี่ห้าก้าวก็จะเป็นเตาแก็สอีกเตาที่มีขนาดใหญ่กว่าตรงที่ใช้ผัดอาหาร โดยเป็นเตาแก็สสี่หัวที่แต่ละหัวก็จะมีหม้อแกงขนาดเล็กๆ วางอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าแผนกผัดกับแผนกต้มจะแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
“ได้ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะพี่ดาว” สาวที่อายุน่าจะห่างจากเขาไม่น่าเกินห้าปีขานรับขึ้น ก่อนจะเดินตรงมาหา
“ทำอะไรเป็นมั่งล่ะเราอ่ะ” คนที่กำลังง่วนอยู่กับการล้างกระทะในครัวหันมาถาม ก่อนที่จะกลับไปสนใจกับสิ่งที่ตัวเองทำค้างเอาไว้ต่อ
“อ๋อ พอดีธันเองก็พอทำอาหารง่ายๆได้บ้างครับ”หนุ่มตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงที่ติดๆขัดๆเล็กน้อย อารมณ์เหมือนตื่นเต้นกับงานวันแรก
“พูดอะไรให้มันดูมั่นใจในตัวเองหน่อย อยู่ร้านเนี้ยจะมาเงอะๆ งะๆ ไม่ได้นะ” เสียงดังขึ้นมาจากในครัวอีกระลอกและนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กหน้าเสียอยู่ไม่น้อย โชคยังดีที่พี่เชอรี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ สะกิดเขาให้เขาเดินตามเธอไปยังฝั่งการทำแกง
“ไม่ต้องคิดมากนะ ไอ้มีนมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ปากร้ายแต่ใจดี วันนี้เราก็มาช่วยพี่ลงแกงลงของว่างก่อนละกันนะ” เธอพูดพร้อมกับรอยยิ้ม และถึงแม้เธอจะมีสิวอักเสบกระจายอยู่ตามใบหน้าอยู่บ้างแต่ดูรวมๆแล้วพี่เชอรี่ก็เป็นคนสวยคนหนึ่งเลยทีเดียว
เย็นวันนั้นลูกค้าเข้าร้านกันอย่างแน่นขนัด จนทำให้ธันต้องวิ่งช่วยทั้งหน้าร้านและในครัวจนขาแทบจะพันกัน ในครัวเขาก็ต้องช่วยพี่เชอรี่ลงแกง ลงออเดิร์ฟ ส่วนข้างนอกก็ต้องช่วยป้าดาวเสิร์ฟเพราะแกเดินเสิร์ฟคนเดียวไม่ไหว อย่างไรเสียทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้จะเสิร์ฟถูกเสิร์ฟผิดบ้างเพราะไม่รู้ว่าโต๊ะไหนเป็นโต๊ะไหน แต่ด้วยความที่ลูกค้าดีไม่เหวี่ยงไม่วีนเมื่อเขาเสิร์ฟผิดโต๊ะก็ทำให้เขามีกำลังใจที่จะทำงานต่อไป
“เป็นไงบ้างไหวไหมน้องธัน” ป้าดาวถามขึ้นขณะกำลังเก็บกวาดร้าน
“โอเคครับ แค่นี้สบายมาก” หนุ่มธันที่กำลังเช็ดจานอยู่ตอบขึ้นด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่รู้สึกได้ถึงความเหนื่อย
“อืม ก็ดีแล้ว เมื่อกี้พี่ไปแอบถามในครัวมา ทั้งพี่มีนกับพี่เชอรี่ก็โอเคกับเราอยู่เหมือนกัน ถ้ายังไง เราก็เข้ามาทำหลังเลิกเรียนสักสามวันก่อนแล้วกัน เดี๋ยวยังไงพี่จะให้สุทินบอกอีกทีนะว่าวันไหน” สาววัยกลางคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ดูอบอุ่นซึ่งนั่นก็ทำให้ธันรู้สึกหายเหนื่อยลงไปได้บ้างและยิ่งดีใจที่เพื่อนร่วมงานทุกคนโอเคกับเขาซึ่งมันทำให้เขาได้งานและได้คลายความกังวลเรื่องเงินลงไปได้ด้วย
“ขอบคุณมากๆ ครับ ธันจะตั้งใจทำให้ดีที่สุดครับ” หนุ่มตัวเล็กพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ยิ้มได้กว้างกว่าครั้งแรกอยู่มาก
หลังจากเก็บร้านทุกอย่างเข้าที่ พี่เชอรี่ก็อาสาพาเขาเข้าไปส่งในเมืองเพราะเป็นทางผ่านไปที่บ้านเธออยู่แล้ว ซึ่งหนุ่มตัวเล็กก็รีบขึ้นรถไปด้วยความเต็มใจเนื่องจากว่าทางเดินไปขึ้นรถบัสมันค่อนข้างที่จะมืดและถึงแม้ออสเตรเลียจะขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยเขาเองก็ไม่อยากจะเสี่ยงอยู่ดี
ภายในรถมีแต่เสียงหัวเราะนั่นเป็นเพราะพี่เชอรี่เป็นคนคุยเก่ง แถมตลกอีกต่างหาก ซึ่งเขาเองก็เพิ่งจะรู้ว่าเธอนั้นจบถึงปริญญาโทและก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่นี่เธอก็เป็นถึงระดับผู้จัดการแบงค์อีกต่างหาก
“เนี่ยนะถ้าฉันรู้ว่ามาอยู่ที่นี่ฉันต้องมานั่งลงแกง ลงของทอดให้ลูกค้ากินนะ ฉันไม่เสียเวลาเรียนหรอก จบ ปอสี่ก็บินมาแล้ว นี่ลูกหลานแกคนไหนจะมานะไม่ต้องให้เรียนหนังสือเลยแก อัดพวกเครื่องดื่มชูกำลังเข้าไปตั้งแต่มันเด็กๆ เวลามาถึงมันจะได้มีแรงแบกไหแบกหม้อได้เลย” เชอรี่พูดด้วยน้ำเสียงติดตลก
“อ่ะ แกต้องลงตรงนี้นะ เพราะฉันจะต้องขับรถไปอีกทาง กลับถูกใช่ไหมเนี่ย” พี่เชอรี่ตีไฟเลี้ยวเข้าข้างทางก่อนจะหันมาถามหนุ่มตัวเล็ก
“โอเคอยู่พี่ เดี๋ยวผมเปิด Google map เอาไม่ต้องห่วง” หนุ่มธันเอี้ยวตัวหยิบกระเป๋าด้านหลังก่อนจะลงจากรถไปโดยไม่ลืมขอบคุณพี่เชอรี่ที่มาส่ง
หลังจากรถของพี่เชอรี่ลับตาไปแล้ว หนุ่มธันก็ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก่อนจะพบว่ามือถือของเขาแบตหมดไปเสียแล้ว
“เฮ้ย มาหมดอะไรตอนนี้วะ ตอนก่อนเข้าร้านก็ยังเห็นมีตั้งเกือบ สามสิบเปอร์เซ็นจะทำไงดี ไม่ได้เอาแบตสำรองมาซะด้วย” หนุ่มธันที่หันซ้ายหันขวาก็เจอแต่ความมืดและร้านรวงที่ปิดกันไปจนไม่เหลือแล้วสักร้าน

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

งานเข้าซะแระ  เด๋วคงมีพระเอกตาสีฟ้ามาช่วยแหละ

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
เดี๋ยวเอาไว้รอลุ้นตอนหน้านะครับ

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
   ยามค่ำคืนของเมืองบริสเบนช่างเหน็บหนาว แสงไฟตามร้านรวงก็ปิดมือสนิทเกือบหมด ผู้คนที่เคยเดินกันขวักไขว่ในช่วงเวลากลางวันตอนนี้ที่จะเห็นเหลือก็มีเพียงคนไร้บ้านที่นอนกันสะเปะสะปะอยู่ตามหัวมุมถนนและที่นั่งตรงป้ายรสบัส
อีกทั้งคืนนี้ก็เป็นคืนเดือนดับ แสงดาวที่เคยส่องสว่างสดใส ยามนี้ก็กลับมืดสนิท ทุกสิ่งทุกอย่างแลดูช่างเป็นใจให้คนตัวเล็กหลงทิศหลงทางและหวาดกลัวในเมืองใหญ่ มันอาจจะดูแล้วไร้เหตุผลและตลกเกินไปที่คนในวัยผู้ใหญ่จะมามีปัญหา หาทางกลับบ้านไม่ได้
แต่ในโลกนี้มันก็จะมีคนประเภทที่ว่า ออกจากบ้านก็จะใช้ Google map ตลอดเวลาและไม่เคยจะใช้สมองจดจำเส้นทางกลับบ้านเองเลย เวลาจะไปไหนก็จะให้เพื่อนนำทางตลอดส่วนตัวเองก็คอยเดินตามเพื่อนถ้าเพื่อนหลงก็หลงกับเพื่อนด้วย บางคนพอจะจำเส้นทางหลักได้แต่ถ้าเกิดเลี้ยวผิดแค่ซอยเดียวก็จะหาทางไปต่อไม่ได้แล้ว พูดโดยรวมก็คือคนที่พึ่งทุกอย่างรอบตัวโดยลืมการพึ่งตัวเองไป พอถึงเวลาคับขันแบบนี้มันก็จะลนลานไปหมด อย่าว่าแต่หาทางกลับห้องเลย หาทางไปสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดยังไม่รู้ทิศรู้ทางเลยว่าต้องเริ่มจากจุดไหน
   “ตึกนี้คุ้นๆเหมือนเดินผ่านมาแล้วนี่หว่า หงุดหงิดคนออกแบบผังเมืองจังเว้ย คิดยังไงสร้างตึกให้มันคล้ายๆ กันหมด ทีนี้จะจับจุดยังไงละเนี่ย” คนตัวเล็กเดินบ่นพึมพำกับตัวเองในดงของความมืดอันเงียบสงัด แม้อากาศข้างนอกจะค่อนข้างเย็นจนเมื่อหายใจออกมาก็จะมีกลุ่มควันขาวๆ ลอยออกมาด้วยแต่ว่าในใจของธันกลับร้อนรน เนื่องจากถ้าเขาหาทางกลับบ้านไม่ได้คืนนี้เขาต้องนอนค้างข้างถนนแน่ และนั่นคงไม่ใช่ความคิดที่ดีสักเท่าไหร่นัก
   “Hey Sweet” (ว่าไงจ๊ะน้องสาว) คนไร้บ้านที่นอนคุดคู้อยู่ที่ป้ายรถเมล์ ร้องทักขึ้นเมื่อเห็นธันเดินผ่าน และนั่นก็ทำให้ธันต้องเร่งฝีเท้ายิ่งขึ้นไปอีกด้วยความหวาดกลัว เพราะถึงแม้ออสเตรเลียจะเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่มันก็มักจะมีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับคนไร้บ้านหลุดออกมาอยู่เสมอ
ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าคนไร้บ้านที่นี้ ไม่ใช่คนที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าเลยต้องมาจบชีวิตลงที่ข้างถนนแบบนี้ ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีสวัสดิการค่อนข้างที่จะดีมาก หากคุณเป็นพลเมืองของเขาแล้ว แม้คุณจะไม่มีงานทำหรือไม่แม้จะพยายามหางานคุณก็ไม่มีวันอดตาย รัฐจะให้เงินคุณใช้ประมาณ 750 เหรียญออสเตรเลีย (1 เหรียญออสเตรเลียเท่ากับ 20.50 บาท โดยประมาณ) ต่อสองอาทิตย์ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะจ่ายค่าเช่าห้องและซื้ออาหารกิน แต่มันจะไม่พอแน่ๆ หากคุณเอาเงินหล่านั้นไปซื้อเหล้า เบียร์ บุหรี่ หรือ กัญชา ซึ่งกฎหมายของที่นี้คุณสามารถซื้อกัญชาได้อย่างเสรี โดยไม่มีกฎหมายควบคุม หากคุณเป็นผู้เสพไม่ใช่ผู้ขายน่ะนะ ดังนั้นคนที่มานอนสะเปะสะปะอยู่ข้างถนน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ป่วยที่สมองถูกทำลายจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติในสังคมแล้ว ดังนั้นเมื่อผนวกเรื่องนี้เข้ากับข่าวลือที่มีคนเอเชียโดนฆ่าบนสะพาน Southbank แล้วโยนศพลงจากมาจากบนสะพานโดยฝีมือคนไร้บ้าน มันก็ดูจะเป็นเรื่องที่สามารถที่จะเกิดขึ้นจริงได้ ที่สำคัญแม้เขาจะไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน แต่สะพาน Southbank ก็สามารถมองเห็นได้ลิบๆ จากจุดที่เขายืนอยู่
   “เฮือก” หนุ่มผิวแทนสะดุ้งเบาๆ เมื่อเดินผ่านร้านเสื้อผ้าที่หน้าร้านเป็นกระจกใส เนื่องจากว่าเขาดันเห็นภาพสะท้อนของเขาในตู้กระจกพร้อมกับคนตัวสูงๆ ใส่เสื้อคลุมผ้าร่มแบบมีฮูด ปกปิดหน้าเดินตามเขามาในระยะกระชั้นชิด เหงื่อของคนตัวเล็กเริ่มออกตามใบหน้าและง่ามนิ้วของเขาอย่างเห็นได้ชัด แต่คนตัวเล็กก็พยายามทำใจดีสู้เสือ บางทีเขาอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ อาจจะเป็นคนที่พักอาศัยอยู่แถวนี้แล้วมาเดินออกกำลังกายตอนดึกๆ หรือเปล่า    ธันคิดในใจ แต่ทว่าเมื่อเดินต่อไปอีกเล็กน้อยเขาก็ยังเห็นคนๆ นี้ในเงาของกระจกอยู่และที่น่าแปลกคือเมื่อเขาหยุดเดินคนๆ นี้ก็หยุดตามด้วย เป็นแบบนี้สองถึงสามรอบจนคนตัวเล็กแน่ใจแล้วว่าเขาโดนสะกดรอยตามแน่
   “โอ้ย บ้านก็หาทางกลับไม่ถูกยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีกเหรอวะเนี่ย” หนุ่มตัวเล็กพูดในใจพร้อมกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปในทิศทางที่เขาเองก็ไม่รู้จัก แต่สิ่งเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวตอนนี้คือต้องสลัดคนข้างหลังให้หลุดให้ได้เพราะเขาคงไม่อยากจะเป็นคนต่อไปที่จะต้องไปนอนอยู่ก้นทะเลสาบ Southbank แน่ๆ
   “ฮึก”หนุ่มผิวแทนตัวแข็งทื่อเหมือนโดนลูกดอกอาบยาชาปักเข้าที่ตรงคอ ขนเส้นเล็กเส้นน้อยตั้งชันขึ้นมาตั้งแต่ข้อเท้าจนมาสุดที่ท้ายทอยและแม้จะไม่เห็นกระจกตั้งอยู่ตรงหน้าแต่เขาก็รับรู้ได้เลยว่าหน้าของเขาตอนนี้ต้องซีดอยู่แน่ๆ เพราะว่าตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงมือใหญ่ๆ อุ่นๆ กำลังจับเข้าที่ไหล่ซ้ายของเขาอยู่
   “เอาจริงเหรอวะ”หนุ่มตัวเล็กกัดฟันกรอดจนกรามขึ้นมาเห็นเด่นชัด มือที่ทิ้งไว้ข้างลำตัวตอนนี้กลับกำหมัดแน่น และในบางครั้งคนเราถ้ากลัวมากๆ มันก็จะเปลี่ยนเป็นความกล้าได้เหมือนหมาที่กำลังจนตรอก
   “เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน เฮ้ย” หนุ่มตัวเล็กตัดสินใจพลิกตัวให้หลุดจากการเกาะกุมพร้อมกับเหวี่ยงหมัดเล็กๆใส่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาทันที แต่คงจะเป็นเพราะเขาเหวี่ยงหมัดๆทั้งๆที่หลับตามันเลยพลาดเป้า โชคยังดีที่คนเสื้อดำจับข้อมือเขาไว้ทันไม่งั้นเขาคงต้องลงไปนอนตรงพื้นถนนแน่
   “Oh great, Do you always do like this with someone who tries to help you?” (โอ้เยี่ยมเลย ปกตินายทำแบบนี้กับคนที่พยายามจะช่วยนายเหรอ) เสียงเย็นๆ ของคนใต้ผ้าคลุมถามขึ้น แต่เสียงของคนใต้ผ้าคลุมมันคุ้นมากจนเขานึกกลัว
   “Who are you, why you followed are” (นายเป็นใคร มาเดินตามฉันทำไม) คนตัวเล็กพูดด้วยเสียงติดๆ ขัดๆ เล็กน้อยเพราะเมื่อยืนประจันหน้ากันชัดๆ แล้วเขารู้ได้ทันทีเลยว่ากำลังของเขาสู้คนๆ นี้ไม่ได้แน่
   “Me? Let see by yourself” (ฉันเหรอ ดูเอาเองสิ) เมื่อเปิดป้าคลุมหัวออกพร้อมกับรูดซิบที่ยาวปิดขึ้นมาถึงครึ่งหน้าลง คนตัวเล็กก็ต้องอุทานออกมาเพราะคนตรงหน้าเขาคือหนุ่ม รูเบน
   “And I followed you because I have seen you walk in a circle and I think you might get a problem. Don’t you” (แล้วที่ตามมาเนี่ยก็เป็นเพราะว่าฉันเห็นว่านายอะ เดินเป็นวงกลมมาสักพักแล้วเลยคิดว่าน่าจะมีปัญหา แล้วสรุปว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า) ชายหนุ่มจ้องมองลงมาที่คนตัวเล็กพร้อมกับพูดต่อไปด้วยโทนเสียงที่ตรงข้ามกับสภาพอากาศโดยรอบ
   “It’s not your business Oops” (มันไม่ใช่เรื่องของนาย อุ๊บ) ด้วยความเคยชินหนุ่มตัวเล็ก เผลอหลุดปากพูดออกไปและนั่นก็ทำให้คนตัวโตค่อยๆ ปล่อยข้อมือของเขาพร้อมกับกำลังจะหันหลังเดินกลับไปในทิศทางที่เพิ่งเดินผ่านมา
   “Wait, I lost the way to my home. Can you help me?” (รอเดี๋ยว พอดีว่าฉันหลงทางหาทางกลับบ้านไม่เจอพอจะช่วยฉันหน่อยได้ไหม) หนุ่มตัวเล็กตะโกนออกไปสุดเสียงจนคนที่กำลังจะเอี้ยวตัวหันหลังต้องหันกลับมา พร้อมขมวดคิ้ว
   “Lost the way, you?” (หลงทางนายเนี่ยนะ?) หนุ่มตาฟ้าชี้ไปที่หน้าของคนตัวเล็กพร้อมกับทำหน้าแปลกๆที่สามารถอ่านได้ว่า “โตขนาดนี้แล้วยังหลงทาง จะบ้าหรือเปล่า”
   “Yes I know it looks stupid but can you help me I don’t want to sleep outside tonight.” (ใช่มันฟังดูโ.ง่ แต่ช่วยฉันหน่อยได้ไหม ฉันไม่อยากนอนตายข้างนอกคืนนี้) หนุ่มตัวเล็กพูดอธิบายอย่างอายๆแต่ด้วยความที่เขาไม่อยากนอนหนาวข้างนอก จะมาหน้าบางตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่อง
   “Please” (ได้โปรด) หนุ่มผมสีวอลนัด พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
   “Please?” (ได้โปรดเหรอ) หนุ่มตัวเล็กทวนคำ
   “Say please” (ขอร้องสิ) หนุ่มตัวสูงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวนพร้อมกับเอาหน้ามาใกล้ๆ ซึ่งถ้าเป็นยามปกติ หนุ่มตัวสูงต้องมีหน้าหันกันบ้างแต่ในสถาณการณ์แบบนี้ ธันมีทางเลือกไม่มากนัก ไม่สิเขาไม่มีตัวเลือกอะไรเลยต่างหาก ดังนั้นเขาจึงได้แต่ก้มหน้ากัดฟันกรอด พร้อมพูดในสิ่งที่คนตัวสูงอยากฟัง
   “Please Ruben” (ได้โปรด รูเบน) หนุ่มตัวเล็กพูดก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง
   สักครู่คนตัวสูงก็หยิบโทรศัพท์ของเขาออกมายื่นให้คนตัวเล็กพร้อมกับพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้คนตัวเล็กต้องแอบเบ้ปากเล็กน้อย
   (Put your address on my phone and I hope you are not too stupid to forgot your address right?) (อะ เอาโทรศัพท์ฉันไปใส่ที่อยู่สิ อ๋อแล้วฉันก็หวังว่านายจะไม่โง่เกินไปขนาดลืมชื่อที่อยู่ตัวเองหรอกนะ) หนุ่มตัวสูงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงออกแนวเยาะเย้ยเล็กๆ ซึ่งหนุ่มผิวแทนก็ทำอะไรไปไม่ได้มากไปกว่าการข่มอารมณ์ไว้ในใจก่อนที่จะเอามือยื่นไปหยิบโทรศัพท์ของคนตรงหน้าก่อนจะป้อนที่อยู่ของตัวเองลงไปก่อนที่จะส่งคืนให้หนุ่มตาฟ้า
   “Not too far, we can use the Lime to their” (ไม่ไกลมาก เราใช้ Lime ไปกันได้นะ) หนุ่มตัวสูงพูดขณะจ้องหน้าจอมือถือของเขา
   “Lime?” (Lime เหรอ) หนุ่มตัวเล็กทวนคำพร้อมทำหน้าฉงน
   “Seriously, that is Lime scooter. You haven’t used it before?” (ถามจริง อันนั้นไง Lime Scooter นายไม่เคยใช้มาก่อนเลยเหรอ) หนุ่มผมสีวอนัด ชี้ไปที่รถสกูตเตอร์สีเขียวสลับขาวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกับทำหน้าประหลาดใจแบบสุดๆ
   “But it has only one, so I can go by myself. Thank you” (แต่มันมีแค่คันดียงเองนี่ ยังงั้นเดี๋ยวฉันกลับเอง ขอบใจมาก) หนุ่มตัวเล็กคงจะอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนนแล้วถ้าคนตัวสูงไม่พูดอะไรขึ้นมาซะก่อน
   “Your phone is dead and that one needs the phone to connect before use but the main point is I don’t think you can remember the map by saw it only one time.” (โทรศัพท์นายก็แบตหมดไปแล้วส่วนสกูตเตอร์เนี่ยมันก็ต้องเชื่อมกับมือถือก่อนใช้นะ แต่ประเด็นสำคัญคือฉันไม่คิดว่านายจะจำทางกลับบ้านได้โดยการมองแผนที่เพียงแค่ครั้งเดียวหรอกนะ) หนุ่มตัวสูงเดินมาขนาบข้างเขาพร้อมกับเอามือล้วงกระเป๋า ก่อนจะเดินก้าวข้ามถนนไปพร้อมกับคนตัวเล็กไปยังสกูสเตอร์ที่ใหญ่พอจะขึ้นขี่ได้สองคน
   สายลมปะทะหน้าของคนตัวเล็กจนหน้าเริ่มจะชาหน่อยๆ แม้สกูตเตอร์จะทำความเร็วได้ไม่มากเท่ากับมอเตอร์ไซค์หรือกับรถยนต์แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ธันเจ็บหน้าได้
“อย่างน้อยก็ยังโชคดีนะที่ร้านมีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนตอนทำงาน แล้วตอนทำแกงก็มีหมวกคลุมอาบน้ำให้ใส่ไม่งั้นนะ ไอ้ฝรั่งนี้ต้องเอาเราไปพูดนินทากับจุนแน่ๆเลย ก็กลิ่นเครื่องแกงไทยมันเบาซะเมื่อไหร่ละ แล้วก็ต้องขอบคุณตัวเองด้วยที่เก็บ Zara น้ำหอมกันตายไว้ในกระเป๋าเผื่อ สถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้ หวังว่าไอ้บ้านี่คงจะไม่แพ้น้ำหอมกลิ่นวนิลลานะ ว่าแต่เขาบ้าหรือเปล่าขี่รถไปร้องเพลงไป รู้น่ะว่าร้องเพลงเก่งแต่ร้องใกล้ๆ แบบนี้หูจะแตก “คนตัวเล็กคิดในใจ
“I'm only one call away
I'll be there to save the day
Superman got nothing on me
I'm only one, I'm only one call away
I'll be there to save the day
Superman got nothing on me
I'm only one call away “

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
“Thank you” (ขอบใจนะ) หนุ่มตัวเล็กพูดขอบใจด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะลงจากสกู๊ตเตอร์ไปกะพริบตาถี่ๆ เพราะว่าลมมันเข้าตาเขาจนแสบตาไปหมดแล้วแต่เมื่อตาสามารถปรับสภาพได้เขาก็ไม่เห็นรูเบนแล้ว
“อะไรวะแปลกคนจริง” หนุ่มตัวเล็กพูดขึ้นพร้อมกับเดินเข้าตัวตึกไป
“Yes, he didn’t come back home yet.” (ใช้เขายังไม่กลับมาเลย) เมื่อก้าวเข้ามาในห้องนั่นคือประโยคแรกที่เขาได้ยิน และเขาก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยที่ชั้นล่างยังสว่างโล่ทั้งๆที่เวลาก็ล่วงเข้าไปถึงเที่ยงคืนแล้ว
“Oh, he arrived. I will tell you tomorrow what happened to him. Thank you guys and goodnights” (อะ เขากลับมาแล้วยังไงเดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังพรุ่งนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขอบใจนะทุกคนฝันดี) แบมบูวางสายที่คุยอยู่ก่อนจะเดินตรงมาทางคนตัวเล็กด้วยดวงตาที่เขียวปัด
“ไปไหนมา ทำไมโทรหาแล้วปิดเครื่อง” แบมบูถามด้วยเสียงและอารมณ์ที่แลดูฉุนเฉียว และแม้ตัวจะห่างกับคนผิวแทนเพียงแค่คืบแต่ระดับเสียงที่เขาใช้เหมือนกับว่าคนตัวเล็กอยู่ห่างเป็นวาจนต้องพูดด้วยการตะโกน
“อูย อยู่ใกล้แค่นี้จะตะโกนทำไมเนี่ย พอดีแบตหมด” คนตัวเล็กเอามือป้องหูก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงอ่อยๆ
“แบตหมดเหรอ แล้วเธอกลับมาได้ไง คนอย่างเธอเดินออกจากตึกไม่เกิน สิบก้าวก็หลงแล้วปะ” คนตัวกลมยังคาดคั้นต่อ เพราะเขารู้จักคนตัวเล็กดีว่าเป็นคนที่หลงทางง่ายแค่ไหน ถ้าเดินออกไปไหนโดยไม่มีคนหรือมือถือนำทางเขาไม่มีทางไปถึงจุดหมายแน่
“เออ ก็มีพี่ที่ทำงานมาส่งในเมือง แล้วก่อนลงรถเขาก็เสริ์ชแผนที่ให้ก็เลยมาถูก” หนุ่มตัวเล็กพูดไม่เต็มเสียงเพราะเขารู้ดีอยู่เต็มอกว่าที่เขาพูดน่ะคือความจริงแค่ครึ่งเดียว
“แล้วทำไมถึงกลับดึกขนาดนี้ ทำงานวันแรกเขาปล่อยดึกขนาดนี้เลยเหรอ” แบมบูยังพูดด้วยระดับเสียงที่เท่าเดิมจนคนตัวเล็กเริ่มจะขมวดคิ้ว แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มฟัดกัน พี่อ้นที่มองเหตุการณ์อยู่ตั้งแต่เริ่มแรกก็ได้มาคั่นทั้งคู่เอาไว้
“เอาน่า แบมบู ธันเขากลับมาได้ก็ดีแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้วพี่ว่าเราสองคนขึ้นไปนอนก่อนดีกว่าไหม พรุ่งนี้ก็มีเรียนเช้ากันไม่ใช่เหรอ” หนุ่มผมยาวเดินมายืนแทรกระหว่างทั้งคู่ก่อนจะแตะไหล่คนทั้งสองพร้อมกับมองหน้าทั้งคู่สลับกันไปมา ซ้ายทีขวาที
“ขอบคุณครับพี่อ้น งั้นธันขอตัวขึ้นห้องก่อนนะครับ” คนตัวเล็กหันไปยิ้มเล็กๆขอบคุณหนุ่มหน้าตี๋ก่อนจะเดินขึ้นห้องไปโดยไม่หันกลับมามองคนตัวกลมที่ยังยืนนิ่งอยู่ข้างล่าง
“เห้อ เกือบแย่แล้วไหมล่ะ วันนี้ โชคดีนะมาเจอนายนั่นก่อน” คนตัวเล็กพูดกับตัวเองในกระจกห้องน้ำก่อนจะเปิดประตูออกมาเจอคนตัวกลมนั่งอยู่บนเตียงพร้อมหรี่ตาเหมือน คนจ้องจะจับผิดใส่
“อะไรของแก”หนุ่มตัวเล็กเอาผ้าเช็ดผมตัวเองก่อนจะถามแบมบูด้วยเสียงหงุดหงิดเล็กๆ
“โชคดีนะมาเจอนายนั่นก่อนหมายความว่าไง สรุปเธอกลับมานี่ได้ยังไง”คนตัวกลมยังคงเซ้าซี้ถามไม่เลิก จนหนุ่มตัวเล็กขี้เกียจรำคาญจึงต้องปริปากเล่าให้ฟังไป
“โอ้ย บอกก็ได้พี่ที่ทำงานเขามาส่งในเมืองแล้วฉันก็เดินหลงไปหลงมาจนคิดว่าต้องนอนข้างทางซะแล้วจนมาเจอรูเบนโดยบังเอิญแล้วเขาก็เลยอาสามาส่งพอใจยัง เฮ้ย”เสียงอุทานสุดท้ายก่อนจะจบประโยคดังขึ้นเพราะว่าหนุ่มตัวเล็กตกใจกับเสียงปิดประตูดังปังจากฝั่งห้องตรงข้าม
แต่เขาก็ไม่มีเวลาตกใจได้นานเพราะทันทีที่คนตรงหน้าเขารู้ว่าคนตาฟ้ามาส่งเขาก็ซักรายละเอียดเขาซะยกใหญ่ กว่าจะได้นอนก็ล่วงเข้าไปเกือบจะสองยามเสียแล้ว
“Thun, wake up Bear is coming” (ธันตื่น แบร์กำลังเดินมาแล้วนะ) ฮานะที่นั่งอยู่ข้างๆ เอามือสะกิดคนตัวเล็กรัวๆให้ตื่นจากการหลับใหลแต่ทว่าเธออาจจะหนักมือไปหน่อยเพราะคนผิวแทนนั้นหัวโยกหัวคลอนตามจังหวะที่เธอผลักจนแทบจะตกเก้าอี้
“Ok, who doesn’t come today please put your hand up.” (โอเคใครที่ไม่ได้มาช่วยยกมือขึ้นด้วย) ครูตัวหนาเดินเข้ามาพร้อมยิงมุขใส่นักเรียนในห้องแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจ หรือไม่อยากจะเข้าใจก็ไม่รู้เพราะนอกจากจะไม่หัวเราะแล้วแต่ละคนยังเบือนหน้าหนีกันเป็นแถวบางคนที่หนักหน่อยก็ถึงกับก้มหัวลงไปสบถข้างล่างโต๊ะจนแบร์ต้องกระแอมไอแก้เขิล ก่อนจะเริ่มไล่ขานชื่อที่ละคน
“Ruben Ruben , is he come?” (รูเบน รูเบน เขามาไหมเนี่ย) หนุ่มธันหันไปมองรอบห้องแต่ก็ไม่เห็นหนุ่มตาฟ้าเลย หวังว่าคงจะกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยและขี้เกียจมาเรียนเฉยๆนะหนุ่มตัวเล็กคิดในใจ และไม่ทันถึงเสี้ยวนาทีคนผมสีวอนัทก็เปิดประตูเข้ามาก่อนจะเดินตรงไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างโดยไม่สนใจอาจารย์ที่ยืนอยู่ข้างหน้าแม้แต่น้อย
ซึ่งแบร์ก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากจะทำเครื่องหมายอะไรสักอย่างบนกระดาษเช็คชื่อก่อนจะถอนหายใจอย่างเอือมๆ และเริ่มลงมือสอนบทเรียนของวันนั้น
ระหว่างช่วงเบรกระหว่างเรียน หนุ่มผิวแทนก็ได้มาโผล่ที่ห้องน้ำเพียงลำพัง จริงๆ แล้วปกติแบมบูต้องเดินมาเป็นเพื่อนแต่ช่วงนี้หนุ่มตัวกลมติดซีรีย์เกาหลีเขาขั้นคลั่งดังนั้นเมื่อมีเวลาว่างแม้เพียง สิบนาทีเขาก็ต้องหยิบมือถือขึ้นมาดูโอปป้าของเขาต่อจนบางครั้งคนตัวเล็กก็นึกรำคาญเหมือนกัน
“ฮือ ตาดำจัง นี่ขนาดอดนอนแค่คืนเดียวนะเนี่ย” หนุ่มตัวเล็กครวญครางเมื่อเห็นเงาสะท้อนตรงหน้าของตัวเอง
แกร้ก เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกและตามนิสัยคนอยากรู้อยากเห็น ธันก็หันขวับไปทางประตูอย่างรวดเร็วและเมื่อเห็นว่าเป็นใครเดินเข้ามา หนุ่มผิวแทนก็ต้องรีบหันกลับไปทำท่าล้างมือทั้งๆ ที่ไม่มีน้ำไหลออกมาจากก๊อกสักหยดเลย
หนุ่มตาสีฟ้ามองเขาผ่านกระจกเงาด้วยแววตาสงสัยเล็กๆ ก่อนจะเดินผ่านไปทำธุระส่วนตัว คนตัวเล็กที่เหมือนจะเพิ่งได้สติว่ามือที่ตัวเองถูนั้นไม่ได้มีความรู้สึกเปียกสักนิดก็ได้แต่ยิ้มกับเงาตัวเองแก้เก้อ ก่อนจะเดินตรงไปที่ม้วนกระดาษทิชชู ที่แขวนอยู่ข้างซิงค์น้ำเพื่อเอามาเช็ดมือที่ยังแห้งสนิทอยู่ แต่ยังไม่ทันที่หนุ่มผิวแทนจะได้เดินออกจากม้วนทิชชู จู่ๆ ก็มีแขนยาวๆ สองแขนมาลอดผ่านใต้รักแร้ทั้งสองของเขาโดยไม่ทันจะได้ตั้งตัว ซึ่งเจ้าของแขนนั้นก็ขยับมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของเขาว่า
“Too slow” (ชักช้า) และแขนทั้งสองก็ได้ผละออกจากกันอย่างช้าๆ ก่อนที่เจ้าของๆมัน จะเปิดประตูห้องออกไป ทิ้งไว้ให้คนตัวเล็กที่อึ้งกับเหตุการณ์เมื่อครู่ยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่นานสองนาน
   “นี่เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงๆ ไปเข้าห้องน้ำหรือไปทำอะไรมา” หนุ่มตัวกลมทักขึ้นทันทีหลังจากเห็นรุ่นพี่เดินกลับมาพร้อมกับทำหน้าตาเหมือนวิญญาณลอยหลุดออกจากร่างไปแล้ว
“อ๋อ เออ เปล่าไม่มีอะไร” หนุม่ตัวเล็กตอนกลับไปอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย
“หล่อนแลดูมีพิรุธนะ” แบมบูทำสายตาหรี่มองเหมือนที่เขาชอบทำเวลาจะจ้องจับผิดใคร
“พิรุธอะไร ไม่มี้ ฉันไม่มีพิรุธอะไรทั้งนั้น” หนุ่มผิวแทนพยายามเลี่ยงการตอบโดยการทำตลกกลบเกลื่อนแต่มันกลับยิ่งแลดูน่าสงสัยไปกันใหญ่
“ถ้าฉันเป็นตำรวจฉันรวบเธอก่อนเลยคนแรก แลดูมีพิรุธสุดๆ” หนุ่มตัวกลมทำปากบี้พร้อมกับหันหน้าไปทางอื่น
“English please, I would like to know too” (พูดภาษาอังกฤษสิฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันนะ) หนุ่มเดวิด พูดเสียงยานคางไปยังคนทั้งสอง ตั้งแต่พวกเขาเริ่มสนิทกันมากขึ้นทั้งเดวิด ฮานะ และจุน ก็มักจะเอ่ยแบบนี้อยู่เสมอ แต่ก็อย่างว่าคนไทยเจอคนไทยอยู่กับคนไทยก็มักจะหลุดพูดภาษาไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่แย่มากๆ เพราะคุณอุตส่าห์ออกนอกประเทศมาเพื่อฝึกฝนภาษาอังกฤษแต่เหมือนคุณจะไม่ได้อะไรกลับไปสักเท่าไหร่เลย
“We just talk about last night” (เราแค่คุยกันถึงเรื่องเมื่อคืนนะ) หนุ่มตัวกลมพยายามช่วยคนตัวเล็กที่กำลังอ้ำๆ อึ้งๆเปลี่ยนเรื่อง
“Oh yes, We are really worried about you Thun but that ok because now you are saved but please keep Powerbank with you all the time I don’t want to see you sleep outside.” (ใช่ๆ เราเป็นห่วงเธอมากเลยนะ ธัน แต่ตอนนี้ก็ดีแล้วที่เห็นเธอปลอดภัย ยังไงก็ตามเธอต้องพกเพาเวอร์แบงค์ติดตัวนะรู้ไหมฉันไม่อยากเห็นเธอนอนอยู่ข้างถนนนะ) ฮานะที่นั่งอยู่ใกล้ๆทำหน้าจริงจังใส่หนุ่มตัวเล็กที่ต้องผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นสาวญี่ปุ่นทำหน้าจริงจังแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็ต้องส่งยิ้มกลับไปเพราะเขารู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงของเพื่อน
“Um I will, Thank you guys” (อืม ฉันจะเอามันติดตัวนะ ยังไงก็ขอบใจมากนะทุกคน) หนุ่มตัวเล็กยิ้มน้อยให้กับเพื่อนๆที่นั่งติดกันทีละคน และก็ต้องขอบคุณหนุ่มตัวกลมด้วยที่ยอมปกปิดเรื่องที่หนุ่มตาฟ้ามาส่งเขาถึงหน้าห้องโดยเปลี่ยนเรื่องเป็นเขาหาทางกลับมาได้เองโดยบังเอิญ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไงถ้ารู้ว่า หนุ่มตัวสูงมาส่งเขา ยิ่งฮานะที่ดูคลั่งหนุ่มผมสีวอนัทมากเขาก็ยิ่งไม่อยากให้เธอเปลี่ยนวิธีการที่เธอมองเขาจากเพื่อนไปเป็นอย่างอื่น
“Where were we? Oh, we talked about this weekend right? Thun do you have to work this weekend?” (ถึงไหนกันแล้วนะ อ๋อเราคุยกันถึงเรื่องวันหยุดสุดสัปดาห์ใช่ไหม ธันเธอต้องทำงานไหมอาทิตย์นี้) สาวญี่ปุ่นพูดต่อทันทีหลังจากหนุ่มตัวเล็กยอมรับปากเธอเสร็จเรียบร้อย
“Um, I think no but why?” (อืม ฉันคิดว่าไม่นะ ทำไมเหรอ) คนตัวเล็กทำท่าคิดถึงตารางงานที่พี่ดาวบอกเมื่อวานเล็กน้อยก่อนจะถามกลับอย่างสงสัย
“We would like to go to the zoo what do you think?” (เราว่าเราจะไปสวนสัตว์กันเธอคิดว่าไง) สาวฮานะยิ้มแป้นด้วยความตื่นเต้นก่อนจะถามต่อ
“Sorry but I don’t want to support the zoo, When I was young I love the zoo because I love animals but now I hate the zoo because I love animals. Do you know the animals lost their instinct when they live in the zoo. I want them to get freedom don’t stay in the case forever like this.” (ขอโทษนะแต่ฉันไม่อยากจะสนับสนุนสวนสัตว์เลย ตอนเด็กๆนะฉันชอบสวนสัตว์มากเลยเพราะฉันน่ะรักสัตว์แต่ตอนนี้ฉันเกลียดสวนสัตว์จริงๆเพราะฉันรักสัตว์ เธอรู้ไหมพวกสัตว์น่ะนะมันสุญเสียความเป็นตัวเองสูญเสียสัณชาตญาณของตัวเองเวลาที่มันอยู่ในสวนสัตว์ ฉันอยากเห็นพวกมันเป็นอิสระไม่ต้องมาอยู่ในกรงตลอดชีวิตแบบนี้) หนุ่มตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆพร้อมกับรอยยิ้มเศร้าๆ ให้ฮานะจัง
“Oh my baby” (โอ้ที่รัก) สาวฮานะยิ้มบางๆ ด้วยความเอ็นดูในหนุ่มตัวเล็ก แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกันต่อ อาจารย์ตัวหนาขนดกก็เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน ทำให้เรื่องนี้ต้องพับไปคุยกันตอนกลางวันแทน
“Ok, we have to change the place on this Sunday because Thun doesn’t want to support the zoo.” (ตกลงเราต้องเปลี่ยนสถานที่ๆ จะไปวันอาทิตย์นี้เพราะว่าธันไม่สนับสนุนสวนสัตว์อย่างนั้นเหรอ?) ใบตองถามขึ้นมาในขณะที่ทุกคนกำลังกินข้าวกลางวันกันอยู่ และเมื่อฟังดูจากน้ำเสียงก็สัมผัสได้ว่าเธอแลดูงุนงงเล็กน้อยแต่เมื่อคนตัวเล็กอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ต้องการจะสนับสนุนเธอเองก็จำยอมเข้าใจ
“Oh Thank god, you haven’t finished your lunch yet.”  (โอ้ขอบคุณพระเจ้า พวกเธอยังกินอาหารกลางวันกันยังไม่เสร็จใช่ไหม) หนุ่มจุนวิ่งอย่างกระหืดกระหอบมานั่งที่โต๊ะกินข้าวพร้อมกับกล่องอาหารกลางวันของเขา
“Yes, why are you late today?” (ใช่ พวกเรายังกินไม่เสร็จว่าแต่ทำไมมาสายล่ะ) หนุ่มเดวิดที่ตอนนี้เหมือนจะสนิทกับหนุ่มจุนที่สุดในกลุ่มถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเป็นห่วง
“I am ok. Thank you, buddy, but what did your guy talking about.” (เราไม่เป็นไรขอบใจนะเพื่อน ว่าแต่กำลังคุยกันเรื่องอะไรอยู่เหรอ) หนุ่มเกาหลีที่แม้จะยังมีอาการเหนื่อยเล็กน้อยจากการวิ่งมาจากไหนสักที่ ถามถึงสิ่งที่พวกเขากำลังคุยกันเมื่อครู่ด้วยสีหน้าและท่าทางอยากรู้อยากเห็นสุดๆ หลังจากคนตัวเล็กเล่าเรื่องที่ตนไม่อยากไปสวนสัตว์จนเพื่อนๆ ต้องเปลี่ยนสถานที่ให้หนุ่มแดนโสมฟัง ด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด แต่จริงๆ แล้วหนุ่มผิวแทนก็ได้บอกทุกคนไปแล้วว่าทุกคนสามารถไปสวนสัตว์ได้นะเพราะไหนๆ ก็อยากไปกันอยู่แล้ว สวนตัวเขาก็จะใช้เวลาวันหยุดไปกับการดูหนังและทำความสะอาดห้อง ทุกคนสามารถไปได้เลยไม่ต้องเป็นห่วง แต่ถึงจะพูดแบบนั้นสาวฮานะก็ยังยืนยันว่าจะหาสถานที่ๆ ทุกคนสามารถไปได้หมด
“How about go to lone pine koala sanctuary” (แล้วถ้าไป เขตอนุรักษ์พันธุ์โคอาล่า Lone pine ล่ะ) หนุ่มแดนกิมจิตักเนื้อเข้าปากแล้วพูดไปด้วยซึ่งแม้มันจะฟังไม่ค่อยชัดแต่ก็สามารถจับใจความได้
“Gotcha” (นั่นไง) หนุ่มเดวิดเอามือทุบโต๊ะพร้อมชี้ไปที่จุนเหมือนกับนั่นเป็นคำตอบที่ทุกคนตามหาอยู่
“Sanctuary?” (เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเหรอ?) หนุ่มตัวเล็กเอียงหัวเล็กน้อยเนื่องจากเขาไม่เคยได้ยินศัพท์คำนี้มาก่อน
“Ok, I will translate for him in Thai” (เดี๋ยวเราอธิบายให้ฟังเอง) แบมบูที่นั่งอยู่ติดๆหนุ่มผิวแทนเป็นผู้รับอาสาแปลแทนหนุ่มจุนที่กำลังจะอ้าปากอธิบาย
“ก็อย่างนี้นะคะคุณพี่ คำนี้มันแปลว่าศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า อะยังงงอยู่ เดี๋ยวน้องอธิบายต่อ ก็ถ้าเป็นสวนสัตว์น้องสัตว์มันก็ต้องอยู่ในกรงน่าสงสารใช่ม้า แต่ว่าถ้าเป็นศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์เนี่ยน้องๆก็จะสามารถเดินไปเดินมาได้อิสระแม้จะมีพื้นที่จำกัดก็เถอะ” หนุ่มตัวกลมอธิบายพร้อมทั้งทำไม้ทำมือประกอบ
“อ๋อ แล้วถ้าเป็นสัตว์ดุร้ายอย่างพวกสิงโตอ่ะก็ไม่ขังกรงเหรอ”หนุ่มผิวแทนขมวดคิ้วสงสัย
“ใช่ให้มันออกมางับหัวเธออ่ะ จะบ้าเหรอแบบนั้นมันก็ต้องแยกโซนไหม อีกอย่างนะ ที่เรากำลังจะไปคือศูนย์อนุรักษ์พันธุ์น้องโคอาล่าไง ไม่ใช่น้องเสือ สัตว์ที่อยู่ในนั้นส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นโคอาล่าไหมล่ะ คำถามแบบนี้ถ้าเป็นน้องน้องไม่ถามนะ” แบมบูจีบปากจีบคอพูดแต่ที่น่าหมั่นไส้ที่สุดก็เห็นจะเป็นตอนสุดท้ายช่วงจบประโยคที่เบ้ปากพร้อมกรอกตาขึ้นด้านบน
“เออ งั้นก็ตกลงตามนี้เจอกันกี่โมงดีแล้วเรื่องตั๋วละ เราจะไปซื้อกันที่ไหน” พี่ซีอิ๊วที่นั่งเงียบอยู่นานเป็นคนพูดสรุปขึ้นก่อนจะมองหน้าไปยังเพื่อนๆ ที่เหลือที่ทำหน้างงๆ
“Oop sorry, Thun ok to go there and I asked about the ticket” (อุ้ย ขอโทษที ธันตกลงจะไปศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์น่ะ ส่วนเราถามถึงเรื่องตั๋วน่ะว่าจะยังไงดี) หมวยอินเตอร์ปิดปากพร้อมหัวเราะเบาๆเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนที่เธอคุยด้วยไม่ใช่คนไทยทั้งหมด
“Don’t worry about that thing I have it for you all.” (เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงฉันมีตั๋วสำหรับทุกคนอยู่แล้ว) หนุ่มเกาหลียิ้มพร้อมกับควักกระเป๋าโชว์ตั๋วเข้าศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ที่แลดูยับนิดๆ คงจะเป็นเพราะเขาพับไว้ในกระเป๋าละมั้ง
“Wow thank you, we are so lucky.” (ว้าว ขอบใจนะ พวกเรานี่โชคดีจริงๆ เลยเนาะ) สาวฮานะหันหน้าไปขอบคุณหนุ่มหน้ากลม พร้อมกับหันไปยิ้มแป้นกับเพื่อนคนอื่นบนโต๊ะด้วยความรู้สึกโชคดี
“Yes we are so lucky, actually too lucky” (ใช่พวกเราโชคดีจริงๆ โชคดีเกินไปด้วยซ้ำ) หนุ่มตัวเล็กมองไปที่หนุ่มเกาหลีที่นั่งอยู่ติดๆกันด้วยสายตาไม่ไว้วางใจและเมื่อหนุ่มจุนรู้ตัวว่าตัวเองถูกมองก็หลบตาเบี่ยงหน้าไปทางอื่นซึ่งนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ แต่ยังไงก็ตามมันก็อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญก็ได้ หนุ่มตัวเล็กคิดอะไรวุ่นวายในหัวเต็มไปหมดแต่สุดท้ายก็จบด้วยการถอนหายใจก่อนจะรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนบนโต๊ะหายไป หลังจากหันไปรอบโต๊ะก็ไม่เห็นแม้เงาของหนุ่มตาฟ้า
“Where is your friend Jun” (เพื่อนนายไปไหนละจุน) ธันหันไปถามหนุ่มจุนที่ตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ก่อนจะตอบเขาทั้งๆ ที่เคี้ยวข้าวอยู่
“I don’t know he bought the ah… his food and then go to somewhere” (ฉันไม่รู้เขาซื้อ เอ่อ... อาหารแล้วก็ไปไหนสักที่หนึ่งน่ะ) หนุ่มเกาหลีเหมือนจะหลุดพูดอะไรบางอย่างแต่ก็แค่เหมือนจะเพราะพอสติมาเขาก็สามารถกลับมาตอบคำถามของหนุ่มตัวเล็กได้อย่างเป็นธรรมชาติที่ดูไม่ธรรมชาติเอาซะเลย
“Um…” (อืม) เป็นเสียงของหนุ่มตัวกลมและตัวเล็กพูดขึ้นเกือบจะพร้อมกัน ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งคู่หันมายิ้มและหัวเราะเหมือนกับเป็นการสื่อว่าทั้งคู่สงสัยอะไรบางอย่างเหมือนๆ กันก่อนที่หนุ่มตัวเล็กจะหันหน้าไปมองดอก Golden Penda ที่กำลังจะค่อยๆ ผลิจากใบและจะเปลี่ยนเป็นดอกไม้ที่หอนหวนในเร็ววันนี้

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตั๋วนั้นก็คงเป็นของอิตารูเบนหล่ะสิ

พอแก๊งนี้ไปศูนย์อนุรักษ์น้องโคอาล่า  ก็คงได้ป๊ะกะหนุ่มผมสีวอลนัทด้วยความบังเอิ๊ญบังเอิญอีกหล่ะ

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
เอ...จะเป็นแบบนั้นไหมน้า  :katai2-1:

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
   “งอกไวๆ นะเจ้าโหระพา เจ้าต้นหอมกับ เจ้าพริกด้วยนะ”หนุ่มหน้ามนคนตัวเล็กเอามือจับคราดอันจิ๋วก่อนจะค่อยๆ บรรจงใช้มันพรวนดินกับกระถางผักสวนครัวที่เขาอุตส่าห์ลงทุนดูแลปลูกไว้ตรงระเบียงด้านหลัง พูดถึงระเบียงห้องที่แสนสกปรกและรกระเกะระกะของพวกเขาตอนนี้มันได้เปลี่ยนเป็นสถานที่นั่งเล่นรับลมยามเย็นชั้นดี
   ธันลุกขึ้นบิดขี้เกียจเล็กน้อยหลังจากนั่งเปลี่ยนกระถาง พรวนดิน และถอนวัชพืชให้เหล่าต้นไม้ของเขาเป็นเวลานานเกือบชั่วโมง
   “เห้อ วันนี้อากาศดีจังเลยนะ ขอให้เป็นวันที่ดีด้วยเถอะ”ธันหันหน้าไปมองยังท้องฟ้าที่มีสีฟ้าสดใส เมฆก้อนใหญ่สีขาวเหมือนปุยนุ่นก็ลอยตัวต่ำ ชะรอยวันนี้แดดน่าจะไม่แรง ก็ดีจะได้ไม่ต้องเอาต้นเดหลีมาหลบมุม หนุ่มตัวเล็กคิดก่อนจะหันไปหยิบฟักบัวอันเล็กสีเขียวรูปเต่าตรงช่องชั้นวางของมาเตรียมจะรดน้ำ ถ้าหากว่าเสียงคนจากด้านหลังไม่ทักเขาเข้าซะก่อน
   “อ้าว ก็ว่าหายไปไหน มานั่งปลูกผักปลูกหญ้าอยู่ตรงนี้นี่เอง รีบใช้เหรอถ้ารีบใช้ทำไมไม่ไปซื้อเอาละ” หนุ่มตัวกลมที่วันนี้แลดูจะแต่งตัวดีเป็นพิเศษกว่าทุกวัน โดยเขาสวมเสื้อเชิ้ตที่แบ่งสีขาวกับดำกันอย่างละครึ่ง พร้อมกางเกงสแลคสีดำที่ตัดข้อให้เต่อขึ้นมาเล็กน้อย ไหนจะแว่นตากันแดดสีชาทรงเพชรกับหมวกปีกกว้างสีดำที่มีเชือกรั้งมาถึงคางอีก ดูแล้วเหมือนแบมบูจะไปเดินแฟชั่นมากกว่ากำลังจะไปศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเลย
   “ก็ไม่ได้รีบใช้หรอก แต่ว่าเราปลูกเองมันก็รู้สึกดีมากกว่าไปซื้อเขานะ เฝ้าดูมันเติบโตทีละน้อย ใช้เวลารดน้ำพรวนดิน บางทีก็อาจจะต้องมานั่งเป็นกังวลบ้างเวลามันเกิดโรคหรือเฉา แต่กว่าจะรู้ตัวอีกทีต้นไม้พวกนี้มันก็โตพอทีจะกินได้แล้ว”หนุ่มผิวแทนพูดจบก็ผิวปากพร้อมกับเอา บัวรดน้ำ มาให้น้ำกับต้นไม้ทีละต้น ทีละต้น
   “ค่ะ เป็นนางสาวรักโลกก็ต้องรู้จักรักษาเวลาด้วยนะ วันนี้นัดเพื่อนกี่โมงแล้วนี่มันกี่โมงแล้ว จะสวยแล้วสายก็ไม่ไหวนะ” หนุ่มแบมบูกอดอกพร้อมกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับรูมเมท
   “เออ นั้นดิลืมไปเลย ฝากรดน้ำต่อหน่อยดิ”หนุ่มตัวเล็กหน้าตาตื่นเล็กน้อยเมื่อแอบมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังซึ่งโชว์ว่าเขาเหลือเวลาแต่งตัวก่อนจะถึงเวลานัดเพียงแค่ 20 นาที โชคดีที่เขาอาบน้ำล้างหน้าทาครีมแล้ว เหลือแค่การเปลี่ยนเสื้อผ้าสวมเครื่องประดับเล็กน้อยและฉีดน้ำหอมอีกหน่อยก็พร้อมเดินทางแล้ว
   “วันนี้ ฉีด Jo malone เหรอเราไปอยู่ที่แดดร้อนๆ สักพักกลิ่นมันจะหายนะ” หนุ่มตัวเล็กทำจมูกฟุดฟิดสักแปปหลังเดินผ่านคนตัวกลมก่อนจะพูดประโยคดังกล่าวออกมา
   “จมูกดีจังนะ น้องแบ่งใส่ขวดเล็กมาฉีดระหว่างวันแล้วไม่ต้องห่วง ว่าแต่มีอะไรกินบ้างเนี่ยหิว” หนุ่มแบมบูวางบัวรดน้ำที่เพิ่งจะรดน้ำต้นไม้เสร็จไว้ตรงหน้าทีวี ก่อนจะเปิดตู้เย็นสอดส่ายสายตาหาของกิน
      “อ๋อ ฉันทำแซนด์วิชไว้ในตู้เย็นอะ กะจะเอาไปกินกับเธอแล้วก็เพื่อนเราตอนกลางวัน เพราะเห็นว่าที่ศูนย์อนุรักษ์เขาขายแต่อาหารท้องถิ่นกลัวจะกินกันไม่ได้ เอาไปกินรองท้องก่อนสิ”หนุ่มตัวเล็กตะโกนลงมาจากชั้นสองขณะกำลังใส่กำไลข้อมือเงินแท้ ที่มีจี้เป็นรูปสัตว์ สัญลักษณ์เมือง ตัวการ์ตูนและตัวละครจากหนังดังอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้ ก่อนที่จะฉีดน้ำหอม Dolce & Gabbana Light Blue Sun ที่คอ ข้อพับและหลังมือ
   “วันนี้น้องธันแต่งตัวน่ารักดีนะครับ” หนุ่มหน้าตี๋ที่กำลังนั่งกินแซนด์วิชกับหนุ่มตัวกลมเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินลงมาจากบันได
   “ขอบคุณครับ” หนุ่มตัวเล็กได้แต่ยิ้มแห้งๆ กลับไปเพราะเมื่อเขาสำรวจตัวเองก็พบว่ามันไม่ได้ดูดีอะไรเลยเมื่อเทียบกับหนุ่มตัวกลม เขาก็แค่ใส่เสื้อยืดสีขาวธรรมดากับกางเกงยีนส์ขายาวฟอกสีขาดๆ พร้อมกับพับปลายกางเกงขึ้นมาเหนือข้อเท้าประมาณสองถึงสามทบ ดูแล้วเหมือนเขาจะถูกหาเรื่องชมซะมากกว่า
   “เออ ฉันลืมบอกเมื่อวานตอนเธอไปทำงานน่ะ พี่อ้นกับเพื่อนเขาจะไปกับเราด้วยนะ เดี๋ยวพวกพี่เขาจะเอารถไป แล้วก็ฮานะเพิ่งจะโทรมาบอกว่าเดี๋ยวจุนจะขับรถมารับนาง พี่ซีอิ๊ว เดวิดแล้วก็เตย แล้วก็ให้ไปเจอกันที่นั่นเลยจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา” หนุ่มแบมบูพูดเสียงเรียบๆ พร้อมกับกลืนแซนด์วิชที่อยู่ในปากก่อนจะลุกขึ้นจัดแจงเอาแซนด์วิชที่เหลือแบ่งใส่กล่องสองกล่องโดยยื่นให้คนตัวเล็กถือกล่องหนึ่งและตนถือเองกล่องหนึ่ง
   “ทำอะไรอ่ะทำไมต้องแบ่งใส่กล่องสองกล่องด้วย”หนุ่มตัวเล็กรับกล่องมาถือในมือก่อนจะถามคนตัวกลมด้วยความงุนงง
   “ก็ถือคนเดียวมันก็หนักปะ ทำไมแค่นี้ช่วยกันถือหน่อยไม่ได้หรือไง”แบมบูที่ไม่รู้ว่ากินแซนด์วิชหรือรังแตนมา พูดอย่างมีน้ำโหนิดๆ จนคนตัวเล็กที่งงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่ง งงหนักเข้าไปอีก และหนุ่มตี๋คงสังเกตเห็นอาการเก้ๆ กังๆ ของหนุ่มตัวเล็กได้ จึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นว่า
   “ให้พี่ช่วยถือไหมครับ” ไม่พูดเปล่าคนตัวสูงยังเดินเข้ามาประชิดตัวตามสไตล์อีกต่างหาก และนั่นก็ดูเหมือนว่าจะทำให้คนตัวกลมมีอาการแปลกๆ มากขึ้นไปอีก
   “ไปกันได้ยังครับ ออกสายเดี๋ยวรถติด” คนตัวกลมพูดขณะที่ยืนอยู่หน้าประตู พร้อมบิดลูกบิดเต็มที่แล้วรอเพียงสัญญาณให้เปิดห้องเพียงแค่นั้น
   “อืม ไปสิ” หนุ่มตัวเล็กที่ปรับอารมณ์ตามไม่ทันพูดขึ้นอย่างห้วนๆ ก่อนที่หนุ่มตี๋ที่อยู่ด้านหลังจะช่วยจับบานประตูที่คนตัวกลมเหวี่ยงมาด้านหลังจนแทบจะโดนหน้าคนตัวเล็กอยู่รอมร่อแล้ว
   ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาออสเตรเลียเริ่มจะผลัดเปลี่ยนฤดูจากฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว แม้อากาศจะเริ่มมีอุณภูมิที่ต่ำลงและมีฝนประปรายในบางวัน แต่ส่วนใหญ่ทั่วทั้งเมืองก็ยังพอจะมีแสงอาทิตย์ลอดผ่านก้อนเมฆมาให้เห็นอยู่บ้าง ซึ่งหากเป็นตอนที่อยู่ที่ไทย เมื่อคนตัวเล็กเจอแดดก็มักจะวิ่งหามุมตึกหลบร้อนเพราะกลัวผิวจะเสีย แต่กลับกันเมื่อมาอยู่ที่นี่คนส่วนใหญ่รวมถึงคนผิวแทนเมื่อเจอแดด ต่างก็จะวิ่งเข้าใส่เพื่อที่จะได้คลายไอหนาวกัน
 เช้านี้ก็เช่นกันระหว่างที่พี่อ้นเดินไปเอารถ คนตัวเล็กและคนตัวกลมก็ยืนตากแดดรออยู่ริมถนนหน้าตึกโดยแบมบูเว้นระยะห่างจากคนตัวเล็กอย่างเห็นได้ชัดจนแม้ไม่สังเกตก็รู้ได้ว่ามันผิดสังเกต
   “นี่ เธอจะมีปัญหากับฉันเรื่องผู้ชายจริงๆ เหรอ” หนุ่มตัวเล็กพยายามที่จะพูดเสียงเรียบๆ ถึงแม้ในใจจะมีอารมณ์คุกรุ่นอยู่เต็มที่แล้ว
   “เปล่านี่ จะไปมีปัญหาได้ยังไง น้องไม่ได้เป็นอะไรกับเขาซะหน่อย” หนุ่มตัวกลมพูดลอยๆ โดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าคนข้างๆ
   “เธอจำที่เธอถามคืนนั้นได้ไหมว่าฉันรู้สึกอะไรกับพี่เขาหรือเปล่า ฉันก็ตอบเธอไปแล้วว่าไม่ได้รู้สึกแล้วเธอจะเอายังไงกับฉันอีก” หนุ่มตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะรื้อฟื้น เรื่องวันที่เขาได้รับขนมมาจากพี่อ้น และเมื่อแบมบูเห็นเข้าก็งอลเดินขึ้นห้องไป แถมตอนนอนก็ยังจะนอนหันหลังให้ไม่พูดไม่จา จนต้องสะกิดกันด้วยมือที่ใช้เดิน ถึงได้ปริปากบอกว่าเป็นอะไร ซึ่งหลังจากหนุ่มแบมบู คลานจากพื้นกลับขึ้นมาบนเตียงได้ก็ถามธันด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา อย่างคนที่กลัวคำตอบว่า ธันรู้สึกยังไงกับผู้เป็นเจ้าของห้องบ้าง ซึ่งธันก็ได้แต่ยิ้มละมุนตอบแบมบูกลับไป พร้อมกับพูดคำพูดที่คนตัวกลมต้องปล่อยโฮให้ในภายหลังว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่อ้นเลย แค่รู้สึกว่าเป็นพี่ที่ดีคนหนึ่งและต่อให้รู้สึกมากกว่านั้น ก็ไม่อยากจะมีปัญหาเรื่องผู้ชายกับหนุ่มตัวกลมแน่เพราะ เราสองคนสนิทกันมากเกินกว่าจะมาทะเลาะกัน ด้วยเรื่องอะไรแบบนี้ พอได้ฟังดังนั้น หนุ่มตัวกลมก็น้ำตาแตกต้องคอยลูบหน้าลูบหลังกันเกือบทั้งคืนกว่าน้ำตาจะแห้งไป
   “ก็จริง แต่ตัวผู้ชายเขาก็ยังอะไรๆ กับเธออยู่นี่” หนุ่มตัวกลมลดระดับเสียงการพูดลงเล็กน้อยแต่ก็ยังมีความแข็งกร้าวอยู่ภายใน ที่สำคัญหน้าเขาก็ยังคงมองไปที่ท้องถนนเหมือนเดิมเหมือนกับจะตอบคำถามคนที่ขับรถผ่านไปผ่านมาซะมากกว่าจะตอบคนข้างๆ
   “อ้าว แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไงล่ะ เมื่อกี้ตอนที่พี่เขาทักเธอก็เห็นว่าฉันก็ตอบแบบผ่านๆ ไปแล้ว” หนุ่มผิวแทนที่ทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายหันหน้าไปขึ้นเสียงใส่หนุ่มตัวกลมที่ยังทำลอยหน้าลอยตาอยู่ข้างๆ แต่ก่อนที่จะมีปากเสียง ลงไม้ลงมือกันเกิดขึ้นก็มีเสียงทุ้มๆ ดังขึ้นจากด้านหลังของทั้งคู่ซะก่อน
   “เอ่อ... ใช่น้องที่อยู่ห้องเดียวกับอ้นหรือเปล่าครับ”   เมื่อหนุ่มผิวแทนหันไปก็พบกับหนุ่มผิวคล้ำรูปร่างสูงใหญ่กับหนุ่มผิวขาวที่มีความสูงไล่เลี่ยกัน โดยคนผิวคล้ำจะมีใบหน้าและดวงตาที่ดูดุและกระดูกตรงสันกรามที่ดูชัดและมีมิติมากกว่าอีกคน แต่ถึงกระนั้นอีกคนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่หล่อแต่เพียงแค่ทุกอย่างมันดูค่อนข้างที่จะลงตัวมากเกินไป จนไม่มีเอกลักษณ์อะไรให้เห็นเด่นชัดนอกจากความขาวที่เมื่อต้องแสงก็ยิ่งขาวจนเกือบจะกลายเป็นโปร่งใสไปซะแล้ว และแม้ว่าสองคนนี้จะดูแตกต่างกันมากแต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในความทรงจำของธันคือพี่ทั้งสองคนนี้เป็นคนที่อยู่ในวง One Upon a dream เช่นเดียวกันกับพี่อ้น
อีกทั้งคนที่มีสีผิวค่อนข้างเข้มก็ยังเป็นพี่คนเดียวกับที่เขาเจอที่ห้องปริศนาในวันนั้น แม้โอกาสดีจะมาในช่วงอารมณ์ไม่ดี แต่ยังไงก็ต้องคว้าโอกาสนั้นไว้ วันนี้แหละเขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าของห้องนั้นเป็นใครกัน คนตัวเล็กรำพึงรำพันในใจ
   “ใช่ครับ ผมชื่อธันนะครับส่วนคนนี้ชื่อแบมบู แล้วพวกพี่ชื่ออะไรกันเหรอครับ”หนุ่มธันยิ้มน้อยๆ เป็นการทักทายคนทั้งสองซึ่งทั้งสองคนก็ยิ้มกลับตามมารยาทก่อนจะแนะนำตัวคืน
   “พี่ชื่อดัมป์นะครับ ส่วนคนนี้ชื่อเบสเล่นดนตรีอยู่วงเดียวกับไอ้อ้นน่ะ”พี่ดัมป์พูดแนะนำตัวเอง ก่อนจะชี้นิ้วไปที่คนผิวขาวที่ยังยืนยิ้มไม่หุบอยู่ข้างๆ
   “อ๋อ เนี่ยเหรอน้องธันฟังคนบางคนเล่ามาตั้งนาน เพิ่งจะได้เจอใกล้ๆ ก็วันนี้ วันที่พี่เล่นดนตรีมันค่อนข้างมืด พี่มองเห็นเราไม่ค่อยชัดน่ะ พออยู่ตรงที่สว่างๆ ก็ดูดีเหมือนกันนะเนี่ย” พี่เบสพูดพร้อมเอามือลูบคางที่มีหนวดขึ้นอยู่หรอมแหรมไปด้วย
   “โห จะบอกว่าวันนั้นผมดำจนมองไม่เห็นเลยเหรอพี่” หนุ่มตัวเล็กหันไปแกล้งค้อนก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา
   “พี่ไม่ได้พูดนะ เราเล่นตัวเอง เองนะ” คนผิวขาวพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะตามไปด้วย
   แต่ขณะที่ทั้งสามคนคุยกันอย่างออกรถออกชาติอยู่นั้นก็มีรถสปอร์ตสีแดงเปิดประทุนขับเข้ามาจอดเทียบท่าอันที่จริงน่าจะเรียกว่าเกือบจะชนท่าจะเหมาะกว่าเพราะว่าหากไม่มีฟุตบาตกั้น รถคันนี้คงจะขับพุ่งเข้ามาปะทะคนตัวเล็กจนกระเด็นไปแล้ว
    “เหวอ” คนตัวเล็กหลุดอุทานด้วยความตกใจกับวินาทีฉุกเฉินเมื่อครู่ ซึ่งจังหวะที่รถเข้ามาจะถึงตัว ปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติของร่างกายก็ได้สั่งให้เขากระเถิบถอยหลัง แต่ทว่าวันนี้อาจจะไม่ใช่วันของคนตัวเล็กเพราะทันทีที่เขาถอยหลังส้นเท้าเขาก็ได้ไปสัมผัสกับเศษหินและนั่นเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาล้มลงก้นจ้ำเบ้าจนหน้าเหยเก
   “เฮ้ย น้องเป็นไรหรือเปล่า” พี่ดัมป์ที่กระโดดถอยหลังมาในจุดที่หนุ่มตัวเล็กนั่งอยู่นั้นถามขึ้น และแม้จะกระโดดมาในเวลาไล่เลี่ยกัน และตำแหน่งใกล้เคียงกันแต่หนุ่มล่ำคงจะโชคดีกว่าเพราะว่าเขาไม่ได้เจออุปสรรคเป็นก้อนหินมาขวางเลยไม่ต้องมานอนแอ้งแม้งเหมือนคนตัวเล็กตอนนี้
   “Why do you drive like this, Are you Crazy?” (ทำไมขับรถแบบนี้วะ ประสาทดีหรือเปล่าเนี่ย) พี่เบสที่เหมือนจะเป็นคนที่มีสติที่สุดเดินเข้ามาฉุดธันขึ้นจากพื้นพร้อมทั้งตะโกนตรงไปยังรถที่จอดอยู่อย่างเอาเรื่อง
   “Get off the car and see what you did” (เฮ้ย ลงมาจากรถ มาดูดิว่าทำอะไรไว้อ่ะ) คนผิวขาวยังคงอารมณ์ขึ้นไม่หยุด เพราะขนาดตะโกนไปแล้วรอบแรก คนบนรถยังไม่มีท่าทีกระวีกระวาดเปิดประตูลงมาดู หนุ่มธันเลยซึ่งมันแลดูผิดปกติวิสัยของคนออสเตรเลียเป็นอย่างมาก ชะรอยจะเป็นเศรษฐีใหม่ชาวจีนหรือไม่ก็คนประเทศอินเดียเป็นแน่
   “พี่เบสใจเย็นพี่ ธันไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้พี่”หนุ่มธันพยายามจับแขนของคนตัวสูงไว้เพราะกลัวว่าคนผิวขาวจะสติหลุดแล้วไปกระชากคนบนรถลงมาต่อย ทีนี้ล่ะ จากการไปทัวร์ชมน้องโคอาล่าจะได้เปลี่ยนเป็นไปทัวร์ห้องกรงแทน
   “Sorry man I didn’t see that guy because he quite dark” (โทษทีพวก พอดีฉันมองคนนั้นไม่ค่อยเห็นน่ะเพราะเขาค่อนข้างที่จะคล้ำไปหน่อย) คนบนรถเปิดประตูออกมาพร้อมด้วยเสียงที่ยียวนแต่นั่นมันก็ยังยียวนน้อยกว่าประโยคที่เขาได้พ่นออกมา ซึ่งสถานการณ์ตอนนี้กลับตารปัตรไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะทันทีที่คนตัวเล็กได้ยินประโยคพาดพิงถึงเขา เขาก็ปล่อยแขนพี่เบสพร้อมกันนั้นก็ถกแขนเสื้อขึ้นตรงไปยังรถยี่ห่อม้าศึกสีแดงทันที แต่โชคยังดีที่พี่ดัมป์ขว้าแขนเขาไว้ทันซะก่อน ไม่งั้นคงต้องมีคนหมอบแน่ ซึ่งหากดูจากขนาดตัวคนที่หมอบก็น่าจะเป็นธัน เพราะคนที่ก้าวลงมาจากรถนั้นมีขนาดตัวที่สูงกว่าประมาณ 1 ฟุตเป็นอย่างน้อยและหน้าตาคนที่ลงมาก็คุ้นจนคนผิวแทน มือไม้สั่น อยากจะเอารองเท้าที่ใส่ปาไปให้โดนหน้านัก
   “Hey bro, I don’t know you going to go with us” (อ้าวเฮ้ย กูไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ามึงจะไปกับกูด้วย) พี่เบสที่เมื่อสักครู่ยังโกรธเป็นฝืนเป็นไฟ แต่ตอนนี้กลับขยับเข้าไปจับมือเอาไหล่กระแทกทักทายตามแบบที่เด็กฝรั่งฮิบฮอปชอบทำกัน เหมือนเมื่อสักครู่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยทั้งๆ ที่ในใจคนตัวเล็กตอนนี้ก่นด่าคนผมสีวอลนัทไปแล้ว ยี่สิบสามภาษา ทั้งๆ ที่ความจริงเขาพูดได้แค่สองภาษาและภาษาที่สองก็ยังงูๆ ปลาๆ ก็ตาม
   “That why we call surprise” (เขาถึงเรียกว่าเซอร์ไพรส์ไงพี่) หนุ่มตาฟ้าพูดพร้อมกับจับมือทักทายพี่ดัมป์ที่เดินเข้ามาสมทบ และยังไม่ลืมที่จะโบกมือทักทายแบมบูที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมรอยยิ้ม แต่ดูท่าเขาคงจะลืมขอโทษหรือทักทายคนตัวเล็กที่ยืนทำตาเขียว ปากเบ้ ทำท่าไม่พอใจอยู่ใกล้ๆ
   “ฮึ ฮึ่ม” คนตัวเล็กแกล้งกระแอมไอดังๆ ให้รูเบนรู้ตัว ซึ่งมันก็ยังคงได้ผลถึงจะช้าไปหน่อย เพราะเมื่อเขากระแอมไอไป พี่ดัมป์กับพี่เบสต้องหันมามองทางเขาสักพักใหญ่ๆ รูเบนถึงจะทันสังเหตุและค่อยๆ เอี้ยวตัวหันมาก่อนที่จะโบกมือทักทายพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้ ซึ่งต่อให้กดลิฟท์กลับไปชั้นด่านฟ้าแล้วชะโงกหน้ามองลงมาก็ยังดูรู้เลยว่าปลอม
   “Sorry to didn’t greet you maybe my eyes have a problem with something black.” (ขอโทษทีนะที่ไม่ได้ทักทายพอดีตาของฉันมันมีปัญหากับอะไรที่มันดำๆน่ะ) หนุ่มตาฟ้าเดินตรงเข้ามาประชิดตัวคนตัวเล็กก่อนจะเอี้ยวตัวลงมากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูคนตัวเล็กและผละออกอย่างเชื่องช้า พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ อย่างมีชัย ซึ่งมองจากมุมข้างๆ มันเหมือนกับการเอาจมูกมาหอมแก้มหนุ่มผิวแทนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ดังนั้นผู้เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งสามคนก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงโห่ฮา โดยเฉพาะหนุ่มตัวกลมที่น่าจะตกใจมากเพราะเขาถึงขนาดหวีดร้องออกมาพร้อมเอามือทาบไปที่อก ซึ่งแบมบูน่าจะหลงลืมอะไรบางอย่างไป อะไรบางอย่างประมาณว่าเขายังงอลคนตัวเล็กอยู่
   “I hope it is going to blind soon because either you don't know which one is black and which one is tan.” (ฉันหวังว่าตาของเธอจะบอดในเร็ววันนะเพราะเธอน่ะมันโง่จนแยกไม่ออกเลยว่าอะไรคือดำ อะไรคือผิวแทน) แม้ว่าคนตัวเล็กจะต้องลำบากเขย่งไปกระซิบที่ข้างหูแต่เขาก็ดูจะเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อเท้าของคนตัวเล็กกลับมาสัมผัสที่พื้น ปากและตาของเขาก็เผยรอยยิ้มอย่างมีชัย แต่ดูเหมือนว่าคนตัวโตจะดูไม่สะทกสะท้านกับคำพูดนั้นเท่าไหร่เพราะรอยยิ้มของเขายังคงปรากฏบนใบหน้า ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนจากรอยยิ้มที่ดูยียวนมาเป็นรอยยิ้มที่แฝงด้วยความประหลาดใจแทน
ผิดกับกองเชียร์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ที่ดูจะมีอาการคิดไปไกลอย่างหนัก เนื่องจากเสียงโห่ฮ่าดังขึ้นทันทีหลังจากที่ทั้งคู่ยืนจ้องตากัน โดยเฉพาะคนตัวกลมที่ยืนอยู่ด้านหลังสุด ท่าจะอาการหนักเพราะดูวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมจนต้องเอามือยันต้น Golden Penda เพื่อประคองตัวเองไม่ให้ล้มลง
   “So, who wants to go with me” (เอาล่ะใครจะไปกับผม) รูเบนตัดจบการวิวาทไปเสียดื้อๆ พร้อมกับเบี่ยงตัวหันไปถามคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
   “Why you have to ask when you already should?” (จะถามทำไมวะในเมื่อมึงเองก็เลือกแล้ว) พี่ดัมป์พูดพร้อมหันนิ้วชี้ตรงมาที่คนตัวเล็กที่ยังทำหน้าบอกบุญไม่รับ
   “What???” (ว่าไงนะ) เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนสามัคคีกันเพราะเมื่อคนกล้ามโตพูดจบ ทั้งรูเบนและธันต่างพากันร้องเสียงหลงอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน
   “ผมไม่ไปกับมันนะพี่ดูดิ ขนาดแค่ขับรถมันยังจะตรงเข้ามาชนผมเลย แล้วถ้านั่งไปด้วยมันไม่แกล้งผมหนักกว่านี้เหรอ” คนตัวเล็กพูดจาโหวกเหวกโวยวายพร้อมกับชี้นิ้วสลับไปมาระหว่างใบหน้าตัวเองและคนผมสีวอลนัท ซึ่งนอกจากที่เขาจะกลัวโดนแกล้งระหว่างทางแล้วอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาไม่อยากไปด้วยก็เพราะเขาต้องการจะถามเรื่องวันนั้นกับพี่ดัมป์ ซึ่งถ้านั่งรถแยกคันกันโอกาสที่จะได้คุยมันก็น้อยลงไปอีกน่ะสิ
   “ไม่หรอกน่าตัวมันเองต้องเป็นคนขับรถ จะเอาเวลาไหนมาแกล้งเรา ที่สำคัญรถของไอ้อ้นมันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรขนาดที่จะนั่งเบียดกันได้ห้าคนนะ แล้วดูดิ่พี่ เพื่อนพี่ เพื่อนน้องก็ตัวใหญ่ๆ กันทั้งนั้น จะให้ไปนั่งรถไอ้หรั่งก็ดูท่าจะอึดอัดน่าดู
เอาน่าแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้วอย่าคิดมาก” พี่ดัมป์พยายามโน้มน้าวสุดฤทธิ์จนดูไม่ออกว่าอยากสบายหรือมีอะไรแอบแฝง ซึ่งก็ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่หนุ่มผิวแทนและหนุ่มตาฟ้าเท่านั้นที่ดูจะไม่พอใจ หนุ่มแบมบูก็เหมือนจะไม่พอใจด้วยเหมือนกัน แต่จุดที่ทั้งสามคนไม่พอใจนั้นน่าจะต่างกันอยู่ คนตัวเล็กไม่พอใจเพราะว่าเขาไม่อยากจะนั่งรถคันเดียวกันกับคนอัธยาศัยแย่อย่างหนุ่มรูเบน ส่วนหนุ่มรูเบนเองก็คงจะไม่พอใจ เพราะว่าฟังภาษาที่เขาพูดกันไม่ออก แล้วคงพาลคิดว่าพวกเขาสองคนนินทาอะไรอยู่หรือเปล่า เพราะตลอดเวลาที่พูดคนตัวเล็กมองหน้าคนตาฟ้า สลับกับหน้าคนตัวล่ำไม่หยุด ส่วนแบมบูน่าจะไม่พอใจที่ถูกเหมารวมอยู่ในกลุ่มคนตัวใหญ่ด้วย
   “ไปเหอะ พี่รับรองมันไม่กล้าทำอะไรน้องหรอกเชื่อพี่ Can you take this guy to the Lone pine koala sanctuary, Driver” (รบกวนช่วยพาเด็กคนนี้ไปศูนย์อนุรักษ์ฯ โคอาล่าทีนะ คนขับ) พี่เบสที่เงียบอยู่นานพูดพร้อมกับส่งยิ้มเพิ่มความเชื่อมั่นให้คนตัวเล็กก่อนที่จะดันหลังเขากลับไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิมข้างๆ รูเบน
   “Fine/ก็ได้ครับ” ทั้งสองคนพูดขึ้นพร้อมกันอีกครั้งก่อนที่ธันจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมกับเดิมอ้อมไปเปิดประตูผู้โดยสารด้านข้างขึ้นนั่งซึ่งตาเจ้ากรรมก็ไม่วายหันไปเหลือบมองป้ายทะเบียน ที่ระบุไว้ว่า “QLD KITKAT” เท่านั้นแหละสมองก็พลันคิดไปไกลว่าทะเบียนนี้เป็นทะเบียนปลอมหรือเปล่าแล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นตำรวจจะตามสืบเจอไหม แล้วถ้าไอ่หนุ่มตาฟ้านี้พาเขาไปฆ่าหมกส้วมเพราะดันไปพูดจากวนส้นละเขาจะทำยังไง แต่ก่อนที่ความคิดจะทันได้เตลิดไปมากกว่านี้เสียงประตูรถฝั่งตรงข้ามก็ปิดลงดัง “ปัง” พร้อมกับคนผมสีวอลนัทที่หันมาทำตัวยียวนด้วยการทำจมูกย่นฟุดฟิดและเอาลิ้นดุนแก้มก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่คนตัวเล็กฟังไม่เข้าใจ
   “cette odeur est si agrable” (หืม กลิ่นดีไม่เบานี่นา) คนตัวสูงพูดขึ้นด้วยเสียงกระซิบ ก่อนที่จะหันไปกดสตาร์ทรถ และค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป แต่ก็นั้นแหละด้วยความที่ว่าระยะห่างของทั้งคู่มันไม่ถึงหนึ่งศอกดีอีกทั้งรถที่นั่งกันอยู่ก็ยังเป็นรถหรูราคาแพงที่ตัดเสียงภายนอกได้อย่างหมดจดแบบนี้ ต่อให้เสียงหายใจแผ่วเบาแค่ไหนก็คงไม่รอดหูของคนตัวเล็กที่รอหาเรื่องได้อย่างแน่นอน
   “What can you speak again?” (ว่าไงนะลองพูดใหม่ดิ) หนุ่มผิวแทนหันไปถามรูเบนด้วยสีหน้าเอาเรื่อง ซึ่งคนตัวโตก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไรใดๆ ซ้ำร้ายเขายังทำปากคว่ำพร้อมหยักไหล่อีกต่างหาก ซึ่งหนุ่มธันที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่เมื่อเจอการกระทำกวนโอ๊ยของหนุ่มหน้าคมเข้าแบบนี้    
   “ถ้าไม่ติดว่ารถวิ่งอยู่นะ ฉันลงไปแล้ว มองอะไรทีนายยังพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ได้เลยฉันก็จะพูดภาษาบ้านฉันบ้างไงละ จะทำไม”หนุ่มธันพูดขึ้นด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยก่อนจะตบท้ายด้วยการหันไปพูดใส่หน้ารูเบนที่ตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามอยู่เต็มหัวด้วยความสะใจ
   “What” (อะไร) เป็นคราวของหนุ่มตาฟ้าถามขึ้นบ้างซึ่งคนตัวเล็กก็ตอบกลับด้วยปฎิกิริยาเช่นเดียวกันกับหนุ่มผมสีวอลนัทอย่างกับแพะกับแกะ แต่ดูท่าทักษะการกวนอวัยวะเบื้องล่างของคนผิวแทนจะมีชั่วโมงบินสูงกว่าหน่อย เพราะนอกจากจะทำลอยหน้าลอยตาพร้อมหยักไหล่แล้วเขายังแถมการยกมือไม้ขึ้นมาโบกไปมาเหมือนจะสื่อว่าให้ขับรถต่อไป และนั่นก็ทำให้คนตัวโตเผลอหัวเราะในลำคอก่อนจะหันไปกดแผงควบคุมเพลงที่ติดตั้งอยู่ตรงปุ่มพวงมาลัย
   “What kind of music do you like?” (นายชอบฟังเพลงแนวไหนเหรอ) หนุ่มตาฟ้าพูดขึ้นด้วยโทนเสียงนุ่มๆ เหมือนที่เขาชอบใช้กับสาวๆ แต่กับคนตัวเล็กที่โดนแขวะมาตั้งแต่ก่อนขึ้นรถโทนเสียงไหนๆ ตอนนี้มันก็คงไม่มีผลอะไรนัก
   “Why” (ทำไมอ่ะ) ธันถามขึ้นพร้อมกับมองหน้ารูเบนด้วยความสงสัย
   “Because I will turn on the music or do you want me to sing for you” (เพราะว่าฉันจะเปิดเพลงน่ะสิหรือจะให้ฉันร้องเพลงให้นายฟังดี) คนหน้าคมพูดขึ้นยิ้มๆ ก่อนที่จะพ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ผ่านทางจมูกซึ่งนั่นทำให้คนตัวเล็กกลับมาหงุดหงิดขึ้นอีกครั้งเพราะมันดูเหมือนว่าคำถามของเขามันดูงี่เง่าจนไม่น่าถามขึ้นมา
   “This is your car, you can do whatever you want and I don’t care.” (นี้มันรถนาย นายจะทำอะไรมันก็เรื่องของนาย และฉันก็ไม่สนใจด้วย) หนุ่มตัวเล็กถอนหายใจคืนก่อนจะสะบัดหน้าออกไปนอกหน้าต่าง
   “Ok, cool I didn’t get the answer.” (เยี่ยมเลย สรุปฉันก็ไม่ได้คำตอบอะไรสินะ) เสียงของคนตัวใหญ่ดูราบเรียบจนไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้อารมณ์ของเขาจะเป็นเช่นไร แต่นั่นก็คงไม่มีผลอะไรกับธัน เพราะเขายังคงนิ่งเงียบและสนใจบรรยากาศด้านนอกที่รถเคลื่อนผ่านมากกว่าจะหันกลับมามองคนข้างใน
   “Fine” (ได้) คนผมสีวอลนัทถอนหายใจอย่างเอือมๆ ก่อนจะเริ่มเอานิ้วเคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะพร้อมกับค่อยๆ ปล่อยทวงทำนองนุ่มนวลชวนฝันออกมาผ่านบทเพลง

   I get a little bit nervous around you
Get a little bit stressed out when I think about you
Get a little excited
Baby, when I think about you, yeah
Talk a little too much around you
Get a little self-conscious when I think about you
Get a little excited
Baby, when I think about you, yeah
Yeah, when I think about you, babe

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
แม้คนตัวเล็กจะไม่ชอบคำพูดและการกระทำหลายๆ อย่างของคนตาฟ้าแต่เขาก็อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าคนๆ นี้มีสเน่ห์มากขนาดไหน ยิ่งเวลาร้องเพลงองศาความฮอตยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวจนคนตัวเล็กอดที่จะเคลิ้มจนเผลอยิ้มตามไม่ได้
   ระหว่างนั่งอยู่ในรถก็มีหลายทีเหมือนกันที่คนตัวเล็กเผลอเหลือบมองไปที่ฝั่งคนขับด้วยความตั้งใจบ้าง ไม่ตั้งใจบ้าง และตัวคนขับเองก็รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้างเช่นกัน เพราะแสงแดดยามเช้าของนครควีนแลนด์ มันช่างขับสีผมและสีตาของหนุ่มรูเบนออกมาให้เจิดจรัสยิ่งกว่ายามปกติอีกหลายเท่าตัว ผมสีน้ำตาลวอลนัทของหนุ่มหน้าคมนั้นเมื่อยามต้องแสงยิ่งส่องประกายแวววาวคงเป็นเพราะถูกดูแลมาอย่างดีเป็นแน่ อีกทั้งดวงตาสีฟ้ากลมคมโตที่พอคนตัวเล็กพินิจดูในระยะประชิดแบบนี้ก็เห็นได้ชัดว่า มันไม่ใช่ตาสีฟ้ามิติเดียวทั่วไป แต่มีเฉดของสีเขียวแทรกอยู่ด้วยยิ่งต้องกับแสงแดดแบบนี้ยิ่งดูงดงามและเจิดจ้าคล้ายกับน้ำทะเลต้องแสงยามเช้า อบอุ่นแต่ยังแฝงด้วยความลึกลับน่าค้นหา ไหนจะเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นพอดีตัวที่ถูกปลดกระดุมออกจนเผยให้เห็นกล้ามอกที่นูนขึ้นมาแสดงให้เห็นถึงการออกกำลังกายอย่างหนักและสม่ำเสมอ
      “Which part of my body do you want to take my eyes, my hairs or both of them” (อันไหนในร่างกายฉันเหรอที่เธออยากได้ ตาของฉัน ผมของฉัน หรือทั้งคู่) หนุ่มตาฟ้าพูดขึ้นในขณะที่ตาก็ยังจับจ้องการจราจรบนท้องถนนอยู่ ซึ่งแม้จะเป็นคำพูดเย็นๆ เรียบๆ แต่มันก็ทำให้คนตัวเล็กหน้าร้อนผ่าวได้ไม่ยากเพราะมันสื่อได้ค่อนข้างชัดเจน ว่าเขาจ้องมองคนข้างๆ นานเกินไปจนโดนจับได้ซะแล้ว
   “What are you talking about, I don’t understand” (นายพูดอะไรน่ะฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลย) คนตัวเล็กพูดด้วยเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้งเพื่อไม่ให้คนตัวโตจับสังเกตสีหน้าของเขาได้ แต่ในใจเขาก็แอบโล่งอกเพราะคนตาฟ้าเห็นแค่ตอนเขามองแค่ตาและผม ถ้าเกิดรูเบนจับได้ว่าเขาแอบมองหน้าอกด้วยคำพูดคงจะไม่ออกมาดีแบบนี้แน่ ซึ่งการที่เขาหันกลับไปมองด้านนอกก็ได้รับเสียงตอบรับกลับมาเป็นการหัวเราะในลำคอเบาๆ
   “จ้อกๆ” เสียงท้องร้องเบาๆ ของคนตัวเล็กดังประท้วงขึ้นมาให้คนผิวแทนขายขี้หน้า จะว่าไปตั้งแต่เช้าธันก็มีเรื่องยุ่งๆ จนลืมไปว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องได้ย่อยเลย แต่ถึงจะพูดแบบนั้นเขาก็เป็นแค่คนอาศัยติดรถมาด้วยเฉยๆ ถ้าเกิดเอาของกินออกมาแล้วเผลอทำมันตกลงบนเบาะที่มีราคาแพงระยับแบบนี้เขาไม่ต้องจ่ายค่าทำความสะอาดหูฉีกเลยเหรอ คิดได้ดังนั้นก็ได้แต่ทำหน้าหมาหงอยพร้อมกับเอามือลูบท้องตัวเองเบาๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้รูเบนจับสังเกตได้
   “Do you have anything to eat or do you would like to buy something at Pie-face cafe in one hundred meters.” (นายมีอะไรมากินหรือเปล่าหรือว่าอยากจะแวะซื้ออะไรที่ร้าน Pie-Face อีกร้อยเมตรข้างหน้าไหม) หนุ่มรูเบนหันมาถามพร้อมกันนั้นก็ยักคิ้วให้หนึ่งข้าง
        “Thank you, I have Sandwich but I don’t want to make your car dirty.” (ขอบใจนะ จริงๆแล้วฉันก็มีแซนด์วิชแหละแต่ฉันกลัวทำรถนายเปื้อนน่ะ) หนุ่มธันกระมิดกระเมี้ยนตอบด้วยความอาย เพราะในใจลึกๆ เขาก็อยากที่จะกินมันจนใจจะขาดอยู่แล้วติดอยู่ตรงกลัวเจ้าของรถจะว่าเอาก็เท่านั้น
          “Purrr, sorry but don’t be silly take it out and eat it.” (พรือออ โทษทีแต่นายอย่างี่เง่าไปหน่อยเลย เอามันออกมากินซะ) หนุ่มผมสีวอลนัทเป่าปากขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนคนตัวเล็กต้องหันไปมองค้อนเล็กๆ คนตาฟ้าถึงได้หยุดก่อนจะพูดประโยคถัดมาที่ทำให้หนุ่มธันเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาก่อนจะเอามือเข้าไปหยิบแซนด์วิชออกมาจากกระเป๋าอย่างสบายใจโดยที่ไม่ลืมจะเอาผ้าที่เตรียมมารองไว้บนตักกันเศษอาหารหล่นลงบนพื้นพรมใต้ที่นั่งรถ
          “อืม อร่อย” หลังจากคนตัวเล็กกัดแซนด์วิชหมูหยองน้ำสลัดไทยไปคำแรกก็รำพึงรำพันอย่างพอใจ อาจจะเป็นเพราะเขาเป็นคนทำเองทั้งน้ำซอสและหมูหยองดังนั้นเขาจึงสามารถใส่วัตถุดิบและเครื่องปรุงได้อย่างเต็มที่ ซึ่งซอสก็ไม่หวานเกินไปส่วนเนื้อหมูหยองเองก็ไม่แห้งเกินไปด้วยเหมือนกัน ซึ่งดูทีท่าแล้วทางด้านหนุ่มรูเบนเองก็คงจะไม่ได้กินข้าวเช้ามาด้วยเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อหนุ่มธันกำลังจะนำแซนด์วิชชิ้นที่สองเข้าปาก หนุ่มตาฟ้าก็หันมามองไม่วางตาก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอดังเอื๊อก จนหนุ่มตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะถาม
           “Er… Do you want some?” (เอ่อ... นายอยากกินสักชิ้นไหม) คนผิวแทนหันมาถามอย่างอ่ำๆ อึ้งๆ ซึ่งคำตอบของคนหน้าคมก็ทำให้คนตัวเล็กชะงักไปเล็กน้อย
            “Yes but Can you feed me?” (เอาสิแต่ว่านายป้อนฉันหน่อยได้ไหม) คนผมสีวอลนัทถามขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ อย่างไม่มีอะไรแอบแฝง แต่มันกลับทำให้คนฟังหัวใจกระตุกได้เล็กๆ
        “What? Why?” (อะไรนะ ทำไมเป็นงั้นล่ะ) คนตัวเล็กที่ตอนนี้คิ้วชนกันเรียบร้อยถามขึ้นอย่างสงสัย
         “Because I am driving and I use two hands for drive.if I have three hands I will do it by myself” (เพราะฉันขับรถ และตอนขับรถฉันก็ใช้มือฉันไปแล้วสองมือไง ถ้าฉันมีสามมือก็คงจะทำเองแล้ว) หนุ่มตาฟ้าถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะค่อยๆ พูดช้าๆ ชัดๆ โดยพูดเน้น ทีละประโยคโดยหวังให้คนตัวเล็กรู้สึกผิดและรีบป้อนแซนด์วิชให้เขากิน
        “Ok Ok I understand” (โอเคโอเค เข้าใจแล้ว) คนตัวเล็กพูดขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเอาแซนด์วิชไปจ่อตรงปากของรูเบน โดยรูเบนเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี รีบอ้าปากงับกินทีละคำๆ อย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน ซึ่งมันก็ดูไม่มีอะไรจนกระทั่งรูเบนกัดคำสุดท้ายนั่นแหละ คนตัวเล็กถึงกับต้องรีบชักมือออกและเบือนหน้าหนีออกไปมองหน้าต่างเพราะสีของใบหน้าเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นทีละน้อยแล้ว เหตุเพราะรูเบนไม่ได้กัดเอาแต่เนื้อขนมปังไปแต่เขายังเอาริมฝีปากดูดตรงข้อนิ้วของธันที่ใช้จับขนมปังไว้อีกด้วย
        “Um…Delicious Are you ok why your face is turning red? (อืม อร่อย นายโอเคหรือเปล่าทำไมหน้าแดงๆ) ” คนตาฟ้าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัยเหมือนคนที่ไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าได้ทำอะไรลงไป ผิดกับคนตัวเล็กที่คิดไปไกลจนหน้าแดงจนใกล้จะเป็นลูกตำลึงสุกอยู่แล้ว
         “Can I have one more” (ขออีกชิ้นได้ปะ) รูเบนที่น่าจะยังติดใจในรสชาติถามขึ้นอย่างรบเร้า
         “How about eat together with our friend” (ไว้รอไปกินพร้อมเพื่อนแล้วกัน) หนุ่มผิวแทนรีบบอกปัดไปเพราะกลัวจะโดนดูดนิ้วเหมือนเมื่อครู่อีก ซึ่งแค่โดนไปแค่ทีเดียวยังใจเต้นไม่เป็นจังหวะขนาดนี้ แล้วถ้าโดนอีกทีมีหวังเขาได้ช็อคตายแน่
    “Ok that fine” (อืม เอางั้นก็ได้) หนุ่มรูเบนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดหวังเล็กๆ แต่ก็นั้นแหละ ณ ตอนนี้คนตัวเล็กไม่ได้อยู่ในจุดที่จะมาสนใจคนตาฟ้า เพราะในหัวเขากำลังตีกันยกใหญ่ว่า หนุ่มหน้าเข้มทำไมทำแบบนี้ อาจจะเป็นอุบัติเหตุ หรือจริงๆ แล้วคนที่ประเทศรูเบนเขาแกล้งแหย่เพื่อนกันแบบนี้อยู่แล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวจนอยากจะเอาหัวไปโขกกระจกรถระบายความเครียด
 จากคำบอกเล่าของจุนแล้ว ศูนย์อนุรักษ์พันธ์ โคอาล่า Lone pine นั้นเป็นสถานที่ ที่ค่อนข้างกว้างขวาง สะดวกสบาย และเป็นที่นิยมในหมู่คนออสเตรเลียในการมาท่องเที่ยวดังนั้นกลุ่มของเราจึงจำเป็นที่จะต้องมาเช้าหน่อยเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปเดินเบียดเสียดกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
      แต่สิ่งแรกที่คนตัวเล็กสัมผัสได้ตั้งแต่ขับรถเข้ามาถึงนั้นก็พบกับความไม่สะดวกสบายเป็นอย่างแรกเพราะภาพในหัวเขา ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่านั้นน่าจะสามารถขับรถเข้าไปชมสัตว์ภายในได้โดยไม่ต้องลงจากรถหรือต่อให้ลงรถก็มีรถของทางศูนย์มารับเพื่อเข้าไปเที่ยวชมสัตว์ต่างๆ ภายในไม่ใช่ต้องมาจอดหน้าทางเข้าแบบนี้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนตัวเล็กอาจกำลังจะสับสนระหว่าง ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์กับสวนสัตว์เปิดก็เป็นได้
         หลังจากลงจากรถด้วยการต้องข่มความอิดออดไว้ในใจ ธันก็ตัดสินใจโทรหาพี่ซีอิ๊วแทนการโทรหาแบมบูที่มีเรื่องกันอยู่เมื่อเช้า
“ฮัลโหล พี่ซีอิ๊วอยู่ไหนแล้วครับ” หลังจากปลายสายรับ ธันก็เอ่ยปากสอบถามไปพร้อมทั้งมองซ้ายมองขวาเผื่อจะเจอกับหนึ่งในสมาชิกที่นัดกันมาในวันนี้
“ฮัลโหล ธันถึงแล้วเหรอ เดินเข้ามาข้างในเลยนะพวกพี่แล้วก็พวกแบมบูเข้ามาแล้ว อยู่กันตรงที่เขามีให้อุ้มน้องโคอาล่าถ่ายรูปเนี่ย” ปลายสายพูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นนิดๆสงสัยใกล้จะถึงคิวได้ถ่ายรูปแล้วละมั้ง
“โอเคครับพี่ เดี๋ยวธันตามเข้าไป” หนุ่มตัวเล็กตอบกลับไปก่อนจะกดวางสาย
“They are inside already” (พวกเขาอยู่ข้างในแล้ว) หนุ่มผิวแทนหันไปบอกคนข้างๆที่กำลังเอาเสื้อเช็ดแว่นกันแดดอยู่ โดยคนตาฟ้าก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากการพยักหน้าเป็นการรับรู้ก่อนจะเดินตามคนตัวเล็กเข้าไปในช่องทางเข้า
เมื่อเข้ามาถึงด้านในคนตัวเล็กก็มีอันต้องแปลกใจเล็กน้อยเพราะเมื่อมองจากด้านนอกศูนย์อนุรักษ์ฯ มันไม่มีทางที่จะกว้างขวางสุดลูกหูลูกตาแบบนี้ได้เลยเนื่องจากป้ายชื่อสีเขียวด้านนอกที่ตอนนี้สีซีดจนจะกลายเป็นสีขาวอยู่แล้ว
ส่วนรูปปั้นโคอาล่าแม่ลูกสองตัวที่เกาะอยู่กึ่งกลางด้านบนป้ายก็แตกลอกจนแอบเสียวสันหลังว่าจะเป็นผู้โชคดีได้ใกล้ชิดกับโคอาล่าแบบใกล้ๆ เวลาเดินลอดผ่านป้าย ดังนั้นความคิดแรกที่เข้ามาในหัวของหนุ่มผิวแทนคือข้างในมันต้องโทรมมากๆ ถึงขนาดที่อาจจะเห็นเศษขยะจากการคุ้ยเขี่ยหาเศษอาหารของสัตว์อยู่เต็มไปหมดแน่ๆ
แต่พอเอาเข้าจริงเมื่อลอดผ่านประตูไปธันกับเห็นทุ่งหญ้าและเนินเขาเล็กๆ เขียวชอุ่มอยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา ไหนจะต้นไม้น้อยใหญ่ที่ส่วนมากจะเป็นต้นสนขึ้นเรียงรายอยู่เป็นแผงเหมือนเป็นกำแพงกั้นระหว่างโลกภายนอกที่วุ่นวายและภายในที่ค่อนข้างเงียบสงบ แต่ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็นดอกแดนดิไลออนป่าสีเหลืองที่ขึ้นกระจายอยู่เป็นหย่อมๆ ทั่วศูนย์อนุรักษ์ฯ ยามลมพัดกลีบดอกจะกระจายปลิวว่อนไปตามลม บางกลีบก็ปลิวมาตกที่หัวของคนผิวแทนบ้าง ที่แขนเสื้อบ้าง แรกๆ คนตัวเล็กก็พยายามหยิบออกแต่เมื่อโดนบ่อยๆ เข้าก็เลยปล่อยเลยตามเลย
“ทางนี้ๆ” พี่ซีอิ๊วและเตยกวักมือเรียกให้ธันเดินเข้าไปหาตนที่กำลังยืนต่อคิวถ่ายรูปกับโคอาล่ากันอยู่
“มาถึงกันนานแล้วเหรอ Hi Hana” (ไงฮานะ) หนุ่มธันถามสาวหมวยอินเตอร์ทันทีเมื่อเดินเข้ามาถึงตัว ก่อนจะหันไปทักทาย ฮานะที่โบกไม้โบกมืออยู่ใกล้ๆ
“ไม่นานหรอก มาก่อนแกได้ประมาณสิบนาทีเนี่ย ไปต่อคิวถ่ายรูปดิจะได้ออกไปเดินพร้อมกัน” พี่ซีอิ๊วตอบคำถามก่อนจะพยักเพยิดให้หนุ่มธันไปต่อคิวด้านหลังเดวิดที่ยืนอยู่รั้งท้าย
“เอาเลยพี่เดี๋ยวผมไปเดินเล่นรอบๆก่อน พี่ถ่ายเสร็จแล้วก็โทรหาแล้วกัน”หนุ่มธันที่หันไปเห็นใบหน้าของเจ้าหน้าที่ๆ เป็นคนอุ้มโคอาล่าส่งให้นักท่องเที่ยวที่ตอนนี้มีสภาพเหนื่อยอ่อนคงเนื่องมาจากเธอต้องทำงานมาตั้งแต่เช้า ไหนจะโคอาล่าที่พลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาทำหน้าที่เป็นพร็อปให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปซึ่งมีสภพอิดโรยไม่แพ้กันเลย
“เออๆ เดี๋ยวไว้โทรหา ไปก่อนนะถึงคิวฉันแล้ว” พี่ซีอิ๊วพยักหน้าอย่างส่งๆก่อนจะเดินตรงไปหาเจ้าหน้าที่ๆ อุ้มโคอาล่าไว้ในมือ
“อ้าว ไปไหนอ่ะ”แบมบูถามทันที่เมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินพ้นหางคิวที่เดวิดกำลังยืนอยู่ไป
“อ้าว พูดดีๆ กับฉันได้แล้วเหรอ” คนตัวเล็กหันไปทำจมูกย่นใส่พร้อมกับเบะริมฝีปาก
“นี่ก็พูดดีๆ อยู่แล้วปะ ก็บอกตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” ใบหน้าของคนตัวกลมแลดูอิ่มเอิบใจและมีความสุขซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงไปเจอเรื่องอะไรดีๆ มา
“เมื่อเช้านี่หน้ายังกับตูดทีตอนนี้หน้าบานเป็นกระด้ง มีอะไรดีๆ ไหนบอกมาสิ ไม่งั้นฉันจะซื้อบัตรทุบหลังเธอนะ” คนตัวเล็กเผยอยิ้มน้อยๆ ก่อนจะแกล้งเงื้อมือขึ้นไปบนอากาศ
“โห วาดมือขนาดนั้นก็เอามีดมาแทงเลยเหอะ ก็ไม่มีอะไรมากแค่น้องได้นั่งหน้ามากับพี่อ้นตลอดทางแค่นั้นเอง” คนตัวกลมพูดด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยและทำท่าทางกระมิดกระเมี้ยนจนน่าหยิก
“เออหายบ้าก็ดีแล้ว เดี๋ยวฉันไปเดินเล่นก่อนนะ” พูดจบคนตัวเล็กก็หันมาพยักหน้าแล้วก็ยิ้มให้กับเพื่อนๆ ที่เหลือก่อนจะทันสังเกตุว่าพี่อ้นจ้องมอมาทางเขาอยู่ด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่จนเขาอดไม่ได้ที่จะแวะถาม
“เป็นไรหรือเปล่าพี่ทำไมทำหน้าแบบนั้น” คนตัวเล็กเดินเข้าไปถามหนุ่มตี๋ที่ยืนอยู่หลังพี่เบส
“สนใจด้วยเหรอครับ”คนตัวสูงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ โดยไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าคนตัวเล็กด้วยซ้ำ
“อ้าว ก็สนใจสิพี่ไม่งั้นจะเข้ามาถามทำไม”คนตัวเล็กขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความงุนงง ก่อนจะตอบกลับไป
“เมื่อเช้า ทำไมไม่รอไปพร้อมพี่ครับ” สิ้นคำพูดของพี่อ้น ธันก็ทำหน้าเลิ่กลั่กออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะด้วยน้ำเสียงและรูปประโยคเหมือนคนหน้าตี๋กำลังงอลเขาอยู่ ซึ่งถ้าแบมบูมาได้ยินเข้า ไม่แคล้วคนตัวเล็กกับคนตัวกลมได้มีเรื่องกันอีกแน่ๆ คิดได้ดังนั้นคนตัวเล็กจึงยิ้มแห้งๆ ก่อนจะตอบคนตรงหน้า แบบส่งๆ ไป
“ก็พอดีธันเห็นว่า รถพี่คนไปมันค่อนข้างเยอะแล้วนี่ครับ อีกอย่างรถรูเบนเองถามใครก็ไม่มีใครอยากนั่งเขาบอกว่ารถรูเบนมันเล็กเกินไปนั่งไม่พอดีตัว ธันก็เลยต้องเสียสละไปนั่งน่ะครับ ยังไงเดี๋ยวธันขอตัวไปเดินสำรวจรอบๆ ก่อนนะครับ” คนตัวเล็กรีบขอตัวเดินออกมาทันทีที่พูดจบโดยไม่สนใจหนุ่มผมยาวที่เหมือนกำลังจะพูดอะไรต่ออีกสักอย่าง
“Why you don’t queue up” (ทำไมนายถึงไม่ต่อคิว) เสียงที่มาจากด้านหลังทำให้คนตัวเล็กหยุดชะงักก่อนจะหันหลังกลับมามองหน้าผู้ถาม
“Why you follow me” (แล้วนายละตามฉันมาทำไม) คนตัวเล็กหันไปประจันหน้ากับคนตาฟ้าก่อนจะถามกลับไป
“I asked you first” (ฉันถามนายก่อน) คนผมสีวอลนัทจ้องหน้าคนตัวเล็กพร้อมกับยักคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“If I don’t take a photo with the Koala maybe the staff and Koala will take a break early a little bit” (ถ้าฉันไม่ถ่ายรูปกับโคอาล่า บางทีเจ้าหน้าที่กับโคอาล่าก็คงจะได้พักไวขึ้นหน่อย) คนตัวเล็กทำท่าคิดก่อนจะตอบและเผลอยิ้มเล็กๆ ให้กับความคิดของตัวเอง
“Yes but if everyone doesn’t take a photo maybe sanctuary doesn’t have money enough to buy the food to the animals.” (ใช่แต่ว่าถ้าทุกคนไม่ถ่ายรูป บางที ศูนย์อนุรักษ์ฯ อาจจะมีเงินไม่พอที่จะซื้ออาหารให้สัตว์ก็ได้นะ) คนตาฟ้ามองเข้าไปในดวงตาของคนตัวเล็กเหมือนกำลังจะดูอะไรบางอย่างจนคนเล็กต้องกลับหลังหันพูดโต้ตอบก่อนจะออกก้าวเดินต่อไป
“Yes but we can support them by something else such as buy a souvenir.” (ใช่แต่เราก็สามารถสนับสนุนพวกเขาโดยการซื้อของที่ระลึกก็ได้นี่นา) ซึ่งคำตอบของคนตัวเล็กก็น่าจะทำให้คนตาฟ้าถูกใจเพราะลับหลังคนผิวแทนเขาก็แอบยิ้มโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้ตัว
“How do you do, why the wallaby sits next to you.” (นายทำยังไงให้ตัววัลลาบีไปนั่งข้างนายอ่ะ) จุนและเพื่อนคนอื่นๆ ที่ตามมาสมทบหลังจากถ่ายรูปกับโคอาล่าเสร็จถามหนุ่มตัวเล็กทันทีเมื่อเห็นว่าเหล่าจิ้งโจ้ วัลลาบี และกวางแคระนั่งอยู่รายล้อมคนผิวแทน
“I do nothing” (ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย) คนตัวเล็กพูดพร้อมกับค่อยๆเอามือไปลูบหัวกวางที่ตอนนี้เอาหัวมาหนุนตักเขาอยู่
“What? We are friends right? Why you did not share the secret with us?” (อะไรกัน นี่เราเพื่อนกันไม่ใช่เหรอทำไมถึงไม่ยอมบอกเคล็ดลับกับเราบ้างล่ะ) หนุ่มเกาหลีพูดอย่างใส่อารมณ์นิดๆ เพราะเริ่มจะหัวเสียกับเรื่องที่พยายามยื่นอาหารให้แทบตาย สัตว์สักตัวก็ยังไม่สนใจมาเข้าใกล้เขาเลย พอเดินไปใกล้ๆ ก็กรูกันวิ่งหนี กระโดดหนีไปเสียหมด ซึ่งสมาชิกคนอื่นก็ดูจะไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน
“Hey calm down, I mean you have to be one with nature, do nothing and them will come to you.” (เฮ้ ใจเย็น ฉันหมายความว่านายต้องเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้วพวกเขาจะเข้ามาหานายเอง) คนตัวเล็กพูดพร้อมกับส่งอาหารชิ้นเล็กๆ ที่เขาซื้อมาจากทางศุนย์อนุรักษ์ฯ ให้ตัว วัลลาบีที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ
“Oh ok I will try” (โอ้ โอเคเดี๋ยวฉันจะลองดู) เมื่อได้รับคำตอบเพื่อนๆ คนอื่นก็ลองทำตามดูบ้างซึ่งบางคนก็ได้ผลบางคนก็ไม่ได้ผล ซึ่งจริงๆแล้วอาจเป็นเพราะน้ำหอม หรือกลิ่นตัวของใครบางคนอาจจะแรงเกินไปจนสัตว์ไม่กล้าเข้าใกล้ และบางทีคนบางคนก็อาจจะไม่นิ่งพอที่จะทำให้สัตว์เชื่อใจเข้าใกล้ก็ได้ แต่ท้ายที่สุดทุกคนก็ได้ภาพสมใจแม้บางคนถึงกับต้อง บังคับให้เจ้าจิงโจ้แคระมาถ่ายรูปกับตนก็เถอะ
ภายในศูนย์อนุรักษ์ฯ มีสถานที่จำหน่ายอาหารอยู่ด้านในบริเวณใกล้ๆ กับประตูทางออก ถึงอาหารจะมีรีวิวในแง่ลบเกี่ยวกับรสชาติและราคาแต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีน้ำเปล่าและน้ำอัดลมขายซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะนำมากินกับแซนด์วิชที่หนุ่มตัวเล็กเตรียมมาให้ทุกคน
“I think after this course you should open the restaurant” (ฉันคิดว่าหลังนายเรียนจบคอร์สนี้นายควรเปิดร้านอาหารนะ) เดวิดพูดพร้อมกับลำเลียงแซนด์วิชเข้าปากไม่หยุด
“I think so” (ฉันก็เห็นด้วยนะ) ฮานะที่กำลังหยิบแซนด์วิชเป็นชิ้นที่ ห้าเข้าปากพูดสนับสนุน
“Haha, that too much I love to cook but open the restaurant isn’t only cook', I have to know about management and do the accounting too and I am not good at it.” (ฮ่าๆ ฉันคิดว่ามันเกินไปหน่อยน่ะสิ ฉันชอบทำอาหารนะ แต่การเปิดร้านอาหารเนี่ยมันไม่ใช่การทำอาหารอย่างเดียว ฉันต้องรู้เกียวกับการจัดการและเรื่องการทำบัญชีด้วย ซึ่งเรื่องนั้นฉันไม่เก่งเลย) คนตัวเล็กเกาหัวพลางหัวเราะแกนๆ
“เออ แต่ถ้าเอ็งไม่อยากปวดหัว ทำหมูหยองมาขายพี่อย่างเดียวก็ได้ มันอร่อยจริงว่ะ” พี่ดัมป์ที่กินจนเหมือนว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้วพูดสมทบ
“พี่ก็ชอบนะขนาดปกติไม่ค่อยชอบกินหมูหยองเท่าไรนะเนี่ย”พี่เบสพูดขึ้นพร้อมกับแจกรอยยิ้มสดใสเหมือนเด็กได้กินขนมที่ถูกใจ
“เออ กูก็ชอบ ของฟรีอร่อยด้วย” เตยพูดเสริมขึ้นพร้อมกับถือแซนด์วิชไว้เต็มสองมือด้วยความกลัวว่ามันจะถูกแย่งกินจนหมดซะก่อน
“English please” (พูดภาษาอังกฤษด้วย) สาวญี่ปุ่นพูดยานคางขึ้นมาเป็นสัญญาณเตือนว่าทุกคนพูดภาษาที่เธอไม่รู้จักมากไปแล้ว
“OK Hana” (จ้า ฮานะ) เหล่าคนไทยประสานเสียงพูดขึ้นพร้อมกันจนสาวฮานะอดขำไม่ได้
 “I will go to buy some soft drink, your guy wants anything else” (ฉันจะไปซื้อน้ำอัดลมพวกนายเอาอะไรไหม) คนตัวเล็กลุกขึ้นพร้อมกับถามสมาชิกรอบโต๊ะ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีคนสนใจเนื่องจากทุกคนยังตั้งหน้าตั้งตากินอาหารกันอยู่ ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ ดันตัวเองออกจากเก้าอี้ที่นั่งเพื่อที่จะไปซื้อน้ำ
“I will go with you” (ฉันไปด้วย) ฮานะรีบลุกขึ้นพรวดพราดจนเตยที่นั่งอยู่ข้างๆ ตกใจจนเผลอร้องอุทานขึ้นมา
ระหว่างกำลังรอคนขายหยิบน้ำมาให้ สาวญี่ปุ่นก็มีท่าทีลุกลี้ลุกลนจนคนตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะถามว่าเธอเป็นอะไรหรือเปล่า
“Do you think Ruben has a girlfriend or not” (เธอคิดว่า รูเบนจะมีแฟนหรือยัง) หลังจากฮานะจังพูดจบหน้าของเธอก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงทีละนิด
“I don’t know why” (ฉันไม่รู้ ทำไมอ่ะ) หนุ่มตัวเล็กขมวดคิ้วอย่างสงสัยและคำตอบของเธอก็ทำให้หนุ่มผิวแทนมีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นในหัวใจ
“Ar… I think I fall in love with Ruben” (อ่า...ฉันคิดว่าฉันตกหลุมรักรูเบนเข้าให้แล้วล่ะ) ฮานะจังก้มหน้าลงกับพื้นก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันสั่นระริก ซึ่งหลังจากพูดจบเสียงสายลมที่พัดหอบเอากลีบดอกเลดีไลอ้อนยังจะดังกว่าเสียงหัวใจสองดวงที่ขณะนี้มันบางเบาจนเหมือนจะหยุดเต้นได้ทุกขณะเลย

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :hao3:
คลิกเม้นท์ตัวการ์ตูนไว้ก่อน เที่ยงคืนแล้วขอนอนก่อนนะ ถึงแม้อ่านแล้วแทบวางไม่ลงเลยละ
ชอบความจิกกัดกันเองระหว่างธันกับแบบบูนะ เป็นอะไรที่ทันกัน ชอบที่ว่าถ้าเป็นรุ่นเดียวกัน

ตอนแรกบรรยายพี่อ้นจนไม่มีชิ้นดีเลย น้ำไม่อาบ บ้านสกปรก กลิ่นตัวแรง แต่แบมบูชอบ
ชอบการบรรยายภาษาอังกฤษนะ ทำให้เพิ่มอรรถรส ในการอ่านยิ่งขึ้น เราอ่านแล้วก็พยายามแปล ด้วยสมองอันน้อยนิดก่อน
เป็นภาษาซึ่งไกลตัวอยู่แล้วไม่ได้ใช้เลย อ่านแล้วมาดูคำแปลเป็นภาษาไทยก็รู้สึกสละสลวยมากนะ เพราะเราแปลตรงตัว 555

บรรยากาศเหมือนไปเที่ยวออสเตรเลียด้วยเลย สถานที่ ต้นไม้ ดอกไม้ ที่ไม่รู้จักก็มารู้จักในนี้แหละ อ่านเจอ ก็ไปค้นกูเกิ้ล
อ้อ ... สถานที่นี้ ดอกไม้ชนิดนี้ ต้นไม้หน้าตาแบบนี้ แถมนกน่าเกลียดมันหน้าตาอย่างนี้นี่เอง ถ้าไม่ค้นรูปเราก็คงคิดว่านก
ที่กล่าวถึงรูปร่างคงเหมือนอีแร้งแน่นอน อิอิอิ

ชอบป้าเอ้ยพี่ที่ร้านอาหารไทยมาก ทำให้เรานึกถึงคนที่รู้จักคนหนึ่ง อายุหน้าตาเลยคุณป้าไปแล้ว แต่ก็ให้เรียกตัวเองว่าพี่ 

จะติดตามต่อไปนะ ขอบคุณคนเขียนที่มีเรื่องดีๆ มาให้อ่านนะ
 :3123: :3123: :3123:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2020 15:02:27 โดย k2blove »

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

อิตารูเบน  ไม่เนียนนะจ๊ะ  ไปฝึกมาใหม่

ส่วนนุ้งธัญ  ทำไมหนูดูไร้เดียงสาจัง   

คนอ่านนี่มองอิตารูเบนออกตั้งแต่ดาวอังคารแระ

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
 :mew5: ไม่มีใครโฟกัสไปที่ฮานะเลยเหรอเนี้ย น่าสงสารจัง

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
“ธัน แกมีแพลนจะไปไหนพรุ่งนี้ไหม” พี่เชอรี่ถามขึ้นในขณะที่คนตัวบางกำลังยืนเช็ดจานกองโตอยู่ด้านหน้าร้าน วันนี้ที่ร้านลูกค้าไม่ค่อยเยอะเหมือนที่เคยเป็นอาจจะเป็นเพราะพรุ่งนี้เป็นวัน Good Friday คนส่วนใหญ่จีงเก็บตัวกันอยู่ที่บ้านเพื่อรอที่จะไปแย่งชิงซื้อของลดราคาในวันรุ่งขึ้น ดังนั้นคนในครัวจึงมีเวลาออกมาช่วยป้าดาวหรือที่แกชอบให้เรียกว่าพี่ดาว ได้ค่อนข้างมาก ส่วนตัวคนที่ถูกอ้างถึงก็มีเวลาไปจิบชา เมาส์มอยกับร้านขายไก่ทอดสไตล์อินเดียข้างๆ ร้านเช่นกัน
“ก็ยังไม่มีนะพี่ พรุ่งนี้โรงเรียนก็หยุดด้วยจะให้มาเข้าแทนเหรอ”หนุ่มธันเงยหน้าขึ้นมาถามแต่มือก็ยังคงสาละวนเช็ดจานอยู่ไม่หยุด
“เปล่า จะชวนไปเป็นจิตอาสาอ่ะ สนใจไหม”คนในครัวถอดแว่นออกมาเช็ดก่อนจะถามคำถามด้วยน้ำเสียงค่อนข้างจริงจัง
“ที่ไหนอ่ะพี่ ต้องใช้เงินเยอะหรือเปล่า พอดีช่วงนี้อยากประหยัดตังค์อ่ะ” คนตัวเล็กวางจานใบสุดท้ายลงบนกองจานที่เช็ดเสร็จแล้วก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ
“แหม่ ทำงานได้เงินตั้งเยอะจะเอาเงินไปเก็บไว้ไหนจ๊ะ เปล่า ไปช่วยไม่ต้องใช้เงินใช้แค่แรงเฉยๆ มันจะมีมูลนิธิช่วยเหลือคนไร้บ้านอ่ะแก เราก็จะไปช่วยเขาทำอาหารแจกอาหาร พูดคุยกับเขา แล้วบางวันก็จะมีน้องๆ นักดนตรีมาร้องเพลงด้วย” พี่เชอรี่ถอนหายใจเบาๆ พร้อมกลั้นขำก่อนจะยิ้มบางๆ อย่างเอ็นดูมาให้คนตัวเล็กที่ตั้งใจฟังคำบอกเล่าของเธอด้วยใบหน้าซื่อๆ
“อ๋อ ถ้าไม่ต้องใช้เงิน ธันช่วยได้เต็มที่เลยครับ” ธันยิ้มตอบกลับอย่างร่าเริงพร้อมทั้งเบ่งกล้ามโชว์ให้ดูว่าถึงเขาจะตัวเล็กแต่ก็แข็งแรง ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วที่เบ่งออกมาจะเป็นกระดูกล้วนๆ ไม่มีมวลกล้ามเนื้อเลยก็เถอะ
“อ้าว คุยเก่งเมาส์เก่งจะกลับไหมจ้ะเนี่ยบ้านอ่ะ คุณเชอรี่ คุณธันรบกวนมาเก็บหม้อ เก็บไห เก็บกระทะด้วยค่ะ น้องมีนอยากกลับบ้านแล้ว” เสียงตะโกนดังออกมาจากข้างในครัว จนคนตัวเล็ก และ คนที่ใส่แว่นหนาต้องรีบกุลีกุจรวิ่งเข้าไปในครัวตามเสียงเรียก
“เออ พรุ่งนี้เจอกันที่สถานี Wooloowin นะประมาณแปดโมง ถ้าไงแกถึงแล้วโทรมาหาพี่ก็ได้”พี่เชอรี่พูดกำชับก่อนที่ธันจะเปิดประตูลงจากรถ ซึ่งหนุ่มผิวแทนก็รีบตอบกลับด้วยการพยักหน้ารัวๆ พร้อมกับรีบโบกมือบายๆ อย่างรวดเร็วเพราะมีรถคันหลังตามมาจี้ตูดรถพี่เชอรี่อยู่
“อ้าวกลับมาแล้วเหรอ” หนุ่มตัวกลมผละจากกองหนังสือตรงหน้าหันมาทักทายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
อาทิตย์ที่ผ่านมาคนตัวเล็กโดนอัดงานจากทางร้านมาให้ทุกวันกว่าจะเลิกงานถึงห้องก็เกือบจะสามทุ่มทำให้มีเวลาพูดคุยและพบเจอแบมบูค่อนข้างที่จะน้อยลง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนตัวกลมดูทุกข์ร้อนอะไรตรงกันข้ามคนตัวกลมกลับดูมีความสุขมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
อาจเป็นเพราะว่าเวลาดังกล่าวแบมบูได้ใช้ไปกับพี่อ้นอย่างเต็มที่ โดยไม่มีหนุ่มผิวแทนมาเป็นจุดดึงดูดวามสนใจจากหนุ่มตี๋ จะว่าไปแล้วหลังจากที่กลับมาจาก ศูนย์อนุรักษ์ฯ ธันและพี่อ้นก็แทบจะไม่ได้เจอหรือคุยกันเลย เพราะเวลาของทั้งคู่ก็คาบเกี่ยวกันตลอด และอีกเหตุผลหนึ่งก็คงเป็นเพราะว่า ตอนไปเที่ยวคนผิวแทนนั่งรถไปกลับ มากับคนตาฟ้าโดยไม่สนใจคำทัดท้านของพี่อ้นเลยสักนิด และถ้าคนตัวเล็กไม่ได้คิดไปเอง แววตาของพี่อ้นก็ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากวันนั้น
ไหนจะฮานะที่ตอนนี้พยายามลุกคืบเข้าหารูเบนอีกซึ่งแม้ตัวผู้ชายจะยังดูไม่มีท่าทีแสดงอาการอะไรเป็นพิเศษแต่ในใจลึกๆ ของคนตัวเล็กกลับมีความรู้สึกบางอย่างแปลกๆ ลุกคืบออกมาเช่นกัน ซึ่งเขาเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นความรู้สึกอะไร
และเรื่องสุดท้ายที่ทำให้เขาปวดหัวก็คงหนีไม่พ้น เรื่องที่ไม่สบโอกาสจะเข้าใกล้พี่ดัมป์เพื่อสอบถามถึงเรื่องใครคนนั้น พอมาคิดๆ ดูแล้วอาทิตย์ที่ผ่านมาช่างเป็นอาทิตย์ที่ไม่เป็นใจของคนตัวเล็กเอาซะเลย
“เออ กลับมาแล้ว กินอะไรหรือยังพอดีที่ร้านเขาให้ของกินมาด้วย”คนผิวแทนเอากับข้าวออกมาจากกระเป๋าก่อนจะหันหน้าไปถาม
“กินแล้ว แต่ถ้าเป็นของโปรดก็กินอีกได้” แบมบูพูดตอบโต้พร้อมทั้งพยายาม ชะเง้อคอที่มีอยู่น้อยนิดขึ้นมาส่องดูว่ากับข้าวเป็นอะไร
“ไม่ต้องลำบากนาดนั้นก็ได้ เขาให้พะแนงไก่ กับ ผัดกะเพราหมูมา พอดีพี่ที่ทำงานเขาจด ออเดอร์ลูกค้าผิด” คนตัวเล็กรีบบอกชื่ออาหารที่เขาถืออยู่ในมือเพราะกลัวว่าคนตัวกลมจะคอเคล็ดไปเสียก่อน
“อยากกินพะแนงอ่ะ” แบมบูพูดพร้อมทั้งทำท่ากลืนน้ำลายที่ดูเกินจริง
“แต่ว่าไม่มีข้าวนะ เธอหุงข้าวทิ้งไว้ไหมละหรือจะกินเปล่าๆ”คนตัวเล็กถามกลับพร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาหม้อหุงข้าว
“ไม่ได้หุงไว้อ่ะสิ เออ ไม่เป็นไรเก็บไว้กินพรุ่งนี้ก็ได้” คนตัวกลมพูดเสียงอ่อน ก่อนจะค่อยๆ ทยอยเก็บหนังสือที่อยู่ตรงหน้าลงกระเป๋านักเรียน
“งั้นก็ตามนั้น เออ เกือบลืมพรุ่งนี้พี่ที่ทำงานเขาชวนฉันไปทำบุญอ่ะ ไปได้วยกันไหม” คนผิวแทนจ้องหน้าคนตัวกลมเพื่อรอเอาคำตอบ
“กี่โมงล่ะ แล้วไปทำอะไรบ้าง” คนตัวกลมที่เก็บหนังสือเล่มสุดท้ายเสร็จพอดีหันมาตอบคำถามด้วยคำถามอีกที
“ต้องถึงที่นัดประมาณแปดโมงเช้า หมายความว่าต้องตื่นและออกจากบ้านก่อนเจ็ดโมง ส่วนเรื่องไปทำอะไรบ้างที่ฉันรู้มาคร่าวๆ ก็ประมาณว่า ไปทำอาหาร ไปพูดคุยกับคนไร้บ้านเพื่อให้เขาผ่อนคลาย แล้วเห็นพี่เขาว่าอาจจะมีวงดนตรีมาเล่นด้วยนะ” คนตัวเล็กคิดทบทวนสิ่งที่พี่เชอรี่พูดก่อนจะตอบคำถามคนตัวกลม
“ขอผ่านจ้า เช้าเกิน วันหยุดทั้งที่นี่ว่าจะตื่นสายหน่อยอ่ะ กิจกรรมเยอะมาทั้งอาทิตย์แล้ว”คนตัวกลมพูดเสียงยานคางเพื่อแสดงถึงความเหนื่อยอ่อนสะสมของตน
   “เออ ตามใจ ฉันไปอาบน้ำนอนก่อน แล้วแกก็รีบๆ ตามขึ้นมาล่ะ”เมื่อได้คำตอบจากคู่สนทนาแล้ว คนผิวแทนก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดไปอาบน้ำนอน เพื่อที่จะได้มีแรงไปช่วยเหลือพี่เชอรี่และคนอื่นๆ ในเช้าวันถัดไป
   “พี่เชอรี่ ธัน ถึงแล้วนะครับ” หลังจากลงสถานีรถไฟคนตัวเล็กก็รีบโทรหาพี่เชอรี่ด้วยเสียงที่ค่อนข้างจะเป็นกังวล ส่วนสาเหตุก็คงเป็นเพราะดูเหมือนว่าคนผิวแทนจะวิ่งมาขึ้นรถไม่ทันในเที่ยวแรกและเขาได้มาสายจากเวลาที่นัดกันไว้ไปแล้วประมาณห้านาที
   “แหม่ เสียงแลดูร้อนรนจังเลยนะไม่ต้องตกใจ ฉันก็ยังไม่ถึงเหมือนกัน พอดีรถติดแต่ว่าจริงๆ แล้วเวลาเริ่มมันแปดโมงครึ่ง ฉันนัดแกเผื่อไว้เฉยๆ ยังไงเดินเล่นในสถานีรถไฟไปก่อน เดี๋ยวไงฉันโทรหาอีกที”ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะยังไม่ตื่นดีและเมื่อลองตั้งใจฟังเสียงบรรยากาศโดยรอบมันก็ดูเงียบจนเหมือนกับอยู่ในห้องนอนมากกว่าจะเป็นในท้องถนนอีกด้วย
   “เอาดีๆ พี่ รถติดหรือว่ายังไม่ได้ออกจากบ้านกันแน่ ฮึ” คนตัวเล็กพูดเสียงสูงอย่างรู้ทัน
   “โอ้ย ไฟเขียวแล้วแค่นี้ก่อนนะแก ตืด ตืด ตืด”คนอีกฝั่งที่เหมือนกำลังจะถูกจับได้รีบชิงวางสายไปก่อนที่จะมีพิรุธโผล่ขึ้นมาเพิ่มเติมและคนตัวเล็กก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับส่ายหัว
   ด้วยความที่ว่าสถานี Wooloowin เป็นแค่สถานีทางผ่านดังนั้นนอกจากการถ่ายรูปกำแพงที่เด็กท้องถิ่นมือบอนมาฉีดพ่นสเปย์เป็นรูปกราฟฟิคต่างๆ ที่บางรูปก็ดูออกว่าเป็นอะไรแต่บางรูปก็ดูอาร์ตเกินกว่าที่มุนษย์ปกติจะเข้าใจแล้วนั้น ในสถานีนี้ก็ไม่มีอะไรจะให้ทำฆ่าเวลาได้ตามคำบอกของพี่สาวแว่นหนาเลย
   “เมื่อไรจะถึงนะ นี่อีกสิบนาทีก็จะแปดโมงครึ่งแล้วนะ หืม”หนุ่มตัวเล็กเริ่มจะนั่งไม่ติดที่แล้ว เพราะว่าเมื่อดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือมันก็จวนเจียนจะถึงเวลาที่พี่เชอรี่บอกเต็มทีแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนนัดเลย ในขณะที่ผุดลุกผุดนั่งอยู่นั้นตาก็เหลือบไปเห็นกับแผ่นหลังที่ดูคุ้นตาเดินผ่านไปยังทางเดินประตูทางออก ด้วยความสงสัยปนอยากรู้อยากเห็นว่าคนนั้นใช่คนที่ตนรู้จักหรือไม่คนตัวเล็กจึงตัดสินใจเดินตามไปและนั่นก็คงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเรื่องเดียวที่คนตัวเล็กจะได้มีในช่วงเวลานี้
   “หายไปไหนแล้ววะ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่แว้บๆเลย”คนตัวเล็กสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ชานชาลาแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตสักอย่างเลย ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ามีแต่แค่ม้านั่งเปล่าๆ และบรรยากาศที่ดูเงียบเหงาจนดูวังเวง หากจะมีอะไรน่ากลัวออกมาในช่วงเวลานี้ก็คงไม่น่าแปลกใจนัก
   “มองหาใครเหรอ” สิ้นความคิดเสียงกระซิบเย็นๆ แห้งๆ ก็ดังขึ้นใกล้หูจนธันเผลออุทานออกมาเสียงดังลั่น
   “แหก แหก แหก ครก กะละมัง ถัง หม้อ แหกหมดแล้ว” ด้วยความที่ว่าคนตัวเล็กตะโกนตกใจเสียงดังบวกกับท่าทางที่ดูตลกขบขัน คนที่มาแกล้งถึงกับหลุดหัวเราะออกมายกใหญ่จนต้องเอามือมาปาดน้ำตา
   “ฮ่า ฮ่า ฮ่า อะไรแหกนะ โอ้ย เกิดมาเพิ่งเคยเจอคนอะไรอุทานยาวขนาดนี้” เป็นพี่เชอรี่นี่เองที่แอบย่องมากระซิบข้างหูคนตัวเล็ก โชคดีเหลือเกินที่ธันไม่ได้เป็นคนบ้าจี้ไม่งั้นปานนี้อาจจะมีคนลงไปนอนกองที่พื้นแล้วแน่ ๆและคนนั้นก็คงไม่ใช่คนตัวเล็กด้วย
   “มาสายแล้วยังจะมาแกล้งน้องอีก นิสัยไม่ดี”คนตัวเล็กยืนกอดอกมองคนที่ยังเอามือกุมท้องขำด้วยความหงุดหงิด
   “โอ๋ๆ เดี๋ยวพี่พาไปเลี้ยงข้าว อย่าโกรธนะจ้ะน้องรัก ว่าแต่อุทานให้ฟังอีกทีดิ”พี่เชอรี่ที่ยังคงขำไม่เลิกพูดแซวคนตัวเล็ก
   “ไม่เอาแล้ว ว่าแต่ที่บอกจะเลี้ยงข้าวเนี่ย ใช้ข้าวฟรีของมูลนิธิเขาป่ะเนี่ย”คนตัวเล็กที่แม้จะงอลแต่ก็อยากกินข้าวฟรีถามขึ้นด้วยความสงสัย
   “เออ ตามมาเดี๋ยวก็รู้ รีบไปได้แล้วเดี๋ยวก็สายกันพอดี” คนสวมแว่นถอดแว่นมาเช็ดคราบน้ำตาที่เกาะอยู่ที่เลนส์ก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูทางออก
   “โห รอด้วยดิ่พี่” ธันเดินตามสาวแว่นไปติดๆ แต่ในใจก็แอบคิดไปถึงคนที่เขามองหาอยู่เมื่อครู่”อย่างนายนั่นจะมาทำอะไรที่สถานีรถไฟไกลปืนเที่ยงนี้ สงสัยจะนอนน้อยจนตาฝาดตาเบลอไปแล้วมั้ง” เสียงความคิดอันสับสนแอบดังขึ้นภายในใจคนตัวเล็ก
   หนุ่มผิวแทนและสาวแว่นหนาใช้เวลาเดินเท้าไม่ถึงห้านาทีจากสถานีรถไฟก็มาถึงอาคารทรงสี่เหลี่ยมสีออกขาวๆ เหลืองๆ อาจเป็นเพราะตึกนี้ผ่านกาลเวลามาค่อนข้างนานแล้วก็ได้สีขาวที่ทาไว้ในทีแรกจึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
   รอบๆ ตัวตึกมีการวาดภาพเป็นรูปอาหาร ขนม และผักผลไม้ ซึ่งดูจากลายเส้นแล้วน่าจะเป็นฝีมือการวาดโดยเด็กๆ เพราะวงกลมมันก็ยังดูไม่ค่อยกลม สี่เหลี่ยมก็ยังดูไม่ค่อยเหลี่ยม ส่วนเส้นตรงก็ดูคล้ายจะเป็นเส้นโค้งซะมากกว่า แต่ยังไงมันก็ดูน่ารัก สดใส และคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของความเยาว์วัย ถึงแม้สีที่ลงจะเริ่มลอกออกไปบ้างแล้วก็ตาม
   ข้างหน้าตัวตึกเป็นแปลงดอกทานตะวันเล็กๆ ที่กำลังผลิดอกชูช่อแข่งกันอวดสีเหลืองทองอร่ามตัดกับสีขาวหม่นๆ ของตัวตึกและสีฟ้าสดใสของท้องฟ้าในเช้านี้อย่างลงตัว และเมื่อยามลมหนาวพัดเอื่อยๆ ผ่านมาก็จะหอบเอากลิ่นหอมหวานละมุนของดอกไม้สีเหลืองติดมาด้วย
   “สวัสดีค่ะแม่” พอมาถึงมูลนิธิพี่เชอรี่ก็สวมเข้ากอดกับหญิงสาววัยกลางคนที่มายืนรอรับ โดยหญิงคนนี้มีรอยยิ้มที่ดูอิ่มเอิบและอ่อนโยน แม้ริ้วรอยแห่งวัยจะเริ่มปรากฏชัดตามใบหน้าและดวงตาซึ่งชี้ให้เห็นว่าเป็นคนที่ผ่านโลกมาค่อนข้างมากแล้ว แต่ดูโดยรวมเธอก็ยังคงไว้ซึ่งความสวยและสดใสสมวัย
   “ขอบใจที่มาช่วยนะลูก ว่าแต่นี่ใครกันละ”หลังจากผละออกจากอ้อมกอดหญิงสาวคนดังกล่าวก็หันมายิ้มให้กับธันด้วยสีหน้าและแววตาที่ดูอบอุ่นและเป็นมิตร
   “อ๋อ น้องที่ทำงานค่ะแม่ ชื่อธัน ธันนี่แม่อ้อยนะ เป็นเจ้าของมูลนิธิ”พี่เชอรี่พูดแนะนำคนตัวเล็กก่อน ก่อนจะย้อนกลับมาแนะนำคนสูงวัย
   “สวัสดีครับ วันนี้มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะครับ” ธันยิ้มก่อนจะพนมมือไหว้คนที่สูงวัยกว่า
   “ขอบใจที่มานะลูก เดี๋ยวยังไงเข้าไปหาอะไรกินข้างในครัวกันก่อนละกันเนาะ” แม่อ้อยพูดพร้อมกับจับมือพี่เชอรี่เข้าไปในครัวโดยมีธันเดินตามไม่ห่าง
   “จริงๆ แล้วป้าเองก็ไม่ได้อยากจะมาทำมูลนิธิอะไรนี้หรอก แต่มันดันเป็นความฝันของลุงเขาเนี่ยสิ เมื่อก่อนป้าก็เคยคิดนะว่าทำไมเราถึงต้องไปช่วยคนไร้บ้านด้วย รัฐก็ช่วยตั้งเยอะแล้วเผลอๆ เยอะกว่าคนทำงานแบบพวกหนูอีก ที่กินที่อยู่เขาก็จัดไว้ให้ก็ชอบหนีมานอนกันตามข้างถนน มือเท้าก็เท่ากันกลับมานอนหายใจทิ้งไปวันๆ ไม่ยอมทำประโยชน์อะไร ไม่เห็นน่าสงสารน่าช่วยเหลือสักนิด แต่ลุงเขาน่ะเป็นคนมองโลกในแง่ดีจนบางทีป้าก็อ่อนใจ”คนอายุมากที่สุดในโต๊ะ พูดอย่างเหม่อลอยเหมือนกับกำลังอธิบายและรำลึกถึงความหลังในเวลาเดียวกัน
   “ลุงเขาบอกว่า คนที่ประเทศเขาน่ะ ส่วนใหญ่จะต้องออกมาผจญโลกด้วยตัวเอง ตั้งแต่อายุสิบแปด หนูลองคิดดูสิ อายุเท่านั้นบางทีเรายังร้องไห้กับเรื่องไม่เป็นเรื่องจนแม่ยังต้องเข้ามาปลอบกันอยู่เลยนะ แต่นี้เขาต้องออกมารับผิดชอบชีวิตตัวเองตั้งแต่วัยเท่านั้นแล้ว ดังนั้นถ้าเผลอเลือกเส้นทางผิดก็อาจเปลี่ยนชีวิตไปทั้งชีวิตเลย
   แล้วช่วงเวลานั้นมันก็เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ช่วงกำลังคะนอง อยากรู้อยากลองไปหมด ถ้าเจอเพื่อนดีก็ดีไปถ้าเจอเพื่อนแย่พากันไปกินเหล้าเสพยาจนติด สุดท้ายก็จะมาจบชีวิตกันที่กลางถนนแบบนี้แหละ ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินนะ แต่สมองมันไม่รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร รู้อย่างเดียวอยากกินเหล้าอยากเสพยา ได้เงินมาก็เอาไปซื้อของพวกนั้นหมด ไม่ยอมเก็บไว้ซื้อข้าวปลา รัฐเขาจัดหาสถานที่พักสะดวกสบายไว้ให้ก็หนีกันออกมา บอกว่าไม่อิสระบ้างล่ะ จะมีคนมาทำร้ายบ้างล่ะ ลุงเขาก็เวทนาเลยทำ มูลนิธินี้ขึ้นหวังให้คนพวกนี้ไม่อดตายน่ะแหละ”ป้าพูดพร้อมกับถอนหายใจและส่ายหัวเบาๆ แต่ใบหน้าก็ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มอยู่
   “ดังนั้นเมื่อมันเป็นความฝันของลุง เป็นความปรารถนาของลุงเขา คนที่ตัดสินใจร่วมหัวจมท้ายมาอย่างป้าก็ต้องช่วยเต็มที่สิเนาะ แม้วันนี้ลุงเขาจะไม่อยู่แล้วแต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลุงเขาทำป้าก็อยากจะปกป้องและสานต่อ ก็คงจะทำจนกว่าป้าจะลุกไม่ไหวแล้วน่ะแหละ
   อุ้ย ขอโทษนะฟังป้าบ่นอะไรไร้สาระซะนานเลย ยังไงวันนี้ป้าก็ฝากด้วยนะ” ป้าอ้อยยิ้มส่งท้ายทั้งใบหน้าก่อนที่จะขอตัวลุกไปจัดวางอาหาร และทักทายผู้คนที่เริ่มทยอยเข้ามากันแล้ว
   “จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่คนท้องถิ่นนะที่แกช่วย ใครเดือดร้อนไม่มีเงินซื้อข้าวกิน เดินเข้ามาแกก็หาให้กินหมดน่ะแหละ อย่างตอนนั้นพี่มีปัญหากับแฟนเก่าทะเลาะกันจนมันไล่พี่ออกจากห้อง เงินก็มีอยู่ติดตัวไม่เท่าไหร่ ภาษาอังกฤษก็ยังใช้สื่อสารไม่ได้ จะไปที่สถานีตำรวจให้เขาช่วยติดต่อสถานทูตให้ก็พูดไม่เป็น นั่งร้องไห้อยู่ที่สถานีรถไฟตรงนี้น่ะแหละจนแม่อ้อยเขาเดินเข้ามาถามว่าเป็นอะไร พี่ก็ปล่อยโฮเลย ไม่คิดว่าจะเจอคนไทยที่นี้ ยิ่งแกเป็นธุระจัดหาที่กินที่อยู่ให้จนพี่ตั้งหลักได้ พี่นี่ตื้นตันจนไม่รู้จะตอบแทนแกยังไงเลย” พี่เชอรี่ที่พูดไปก็น้ำตาคลอเบ้าไปด้วยความปลื้มใจในน้ำใจของหญิงร่างท้วม ที่กำลังขะมักเขม้นปิ้งขนมปังและเบค่อนด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม
   “ธัน หนูมาช่วยป้าปิ้งของตรงนี้หน่อยได้ไหมลูก ถ้าเกิดมีคนมาเอาก็ให้ไส้กรอก ไข่ดาว เบคอนแล้วก็ขนมปังเขาอย่างละ สองชิ้นนะลูก เดี๋ยวป้ากับเชอรี่ไปไล่เก็บจานมาล้างก่อนเดี๋ยวจานจะไม่พอเอา” แม่อ้อยเรียกหาคนตัวเล็กมาเปลี่ยนหน้าที่กับเธอเพราะตอนนี้คนเริ่มผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสายจนภาชนะที่ใช้ใส่อาหารเริ่มจะไม่พอแล้ว
   “ได้ครับ เดี๋ยวผมทำให้” คนตัวเล็กที่กำลังหั่นผักสลัดอยู่ต้องรีบวางมือมาดูของบนเตาเพราะหลังจากเจ้าของมูลนิธิพูดเสร็จเธอก็ทิ้งเตาแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวไปไล่เก็บจานทันที

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
แม้ว่าคนตัวเล็กจะยังมีทักษะการฟังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ยังดีที่ว่าผู้คนที่มารับอาหารส่วนมากก็จะไม่ค่อยเรื่องมากกันอยู่แล้ว คำขอที่มันพิเศษจริงๆ ก็คงจะเป็นการขอให้ทอดเบคอนกรอบๆ หน่อย หรือไข่ดาวไม่ต้องสุกมากซึ่งเป็นคำศัพท์ที่ไม่อยากนัก คนผิวแทนยังพอจะเข้าใจได้อยู่
   “Can you make the bacon a little bit crispier please?” (หนูช่วยทำเบคอนให้กรอบกว่านี้อีกสักนิดได้ไหมจ๊ะ) คุณป้าที่มารับอาหารพูดเสียงช้าๆ เนิบๆ พร้อมกับยืนยิ้มโชว์ฟันหลอ
   “Of course and here you are” (ได้สิครับนี่ไง) คนตัวเล็กยิ้มตอบพร้อมกับคีบเบคอนชิ้นที่กรอบที่สุดบนเตาส่งให้
   “Can I have the bacon which one has the color as same as you. I mean the burnt bacon” (ฉันขอเบคอนอันที่สีมันใกล้เคียงกับสีผิวนายหน่อยสิ ฉันหมายถึงเบคอนไหม้น่ะ) เมื่อจบประโยคคนตัวเล็กที่กำลังก้มหน้าก้มตา สาละวนพลิกเบคอน และไส้กรอกอยู่บนเตา ก็ต้องรีบเงยหน้าขึ้นมามองทันทีเพราะอยากรู้ว่าเป็นใครกันถึงกล้าพูดจาเลวร้ายได้ขนาดนี้ และเมื่อได้เห็นภาพของคนตรงหน้า ธันก็ไม่แปลกใจเลยว่าประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากได้ยังไง
   “As you wish” (ได้เดี๋ยวจัดให้) หนุ่มธันยิ้มตอบคนตาฟ้าตรงหน้าก่อนจะหยิบพวกเบคอน ไข่ดาว ไส้กรอก และขนมปังที่ถูกคัดออกเพราะทำไหม้ส่งให้คนตรงหน้าพร้อมกับมอบอมยิ้มแบบคนสะใจสุดๆ ให้อีกด้วย
   แต่รูเบนกลับตอบกลับด้วยปฏิกิริยาที่ผิดคาดเพราะเขาไม่โวยวายอะไรเลยกลับแค่ยักไหล่และเดินตรงไปนั่งบนโต๊ะที่มันว่างอยู่ การเจอคนผมสีวอลนัทในสถานที่แบบนี้ก็ว่าแปลกแล้วแต่ปฏิกิริยาที่ไม่รู้สึกรู้สานั้นกลับแปลกยิ่งกว่าแต่อย่างน้อยมันก็เน้นชัดได้อย่างหนึ่งว่าเมื่อเช้าตาของเขาไม่ได้ฝาดไป
   “พี่ขอเอาแบบปกตินะไม่เอาพิเศษแบบเมื่อกี้” พี่ดัมป์ที่เป็นคิวต่อไปเข้ามายืนชิดที่โต๊ะพร้อมด้วยรอยยิ้มสดใสและเสียงหัวเราะร่วน
   “อ้าว มาหาข้าวฟรีกินเหมือนกันเหรอพี่” คนตัวเล็กพูดขึ้นพร้อมยิ้มขำๆ
   “โห ทักซะเสียเลย วงพี่มาเล่นดนตรีให้ที่มูลนิธินี้ แล้วเห็นเราปิ้งของกินอยู่เลยเข้ามาทัก” คนตัวใหญ่หุ่นล่ำเอามือเกาหัวแกรกๆ พร้อมกับยิ้มแห้งๆ ตอบไป
   “มาแดกฟรีก็คือมาแดกฟรี ไม่ต้องอ้างนู้นอ้างนี้ให้มันดูดีหรอก” เป็นพี่เบสที่เป็นคิวต่อไปพูดขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับถอนหายใจอย่างขำๆ
   “เออ ตักมาให้พี่เร็วๆ เลย พี่เริ่มอายแล้ว” คนตัวใหญ่พูดเร่งคนตัวเล็กพร้อมกับยื่นจานไปให้ตรงหน้า ทำให้ธันอดที่จะคีบไปขำไปไม่ได้
   “มาทำอะไรที่นี้เหรอครับ” คนหลังจากพี่เบสก็คือพี่อ้น ซึ่งคนผิวแทนเองก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร ในเมื่อคนตรงหน้าเป็นสมาชิกคนสุดท้ายในวง ถ้าเกิดว่าหนุ่มผมยาวไม่มาสิคนตัวเล็กจะรู้สึกประหลาดใจ
   “พี่ที่ทำงานชวนมาเป็นจิตอาสาครับ แล้วพี่ละมาหาข้าวกินฟรีหรือมาเล่นดนตรีครับ” คนตัวเล็กพูดขึ้นด้วยเสียงทีเล่นทีจริง
   “ป่าวครับ จริงๆ แล้วมาหาธันน่ะแหละ” คนตัวสูงพูดขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มละมุนมาให้ และมันก็ทำให้คนตัวเล็กเริ่มที่จะขำไม่ออกจนเริ่มมีสีหน้าเลิ่กลั่กแล้ว
   “Excuse me. How long you will talk with each other” (ขอโทษนะ จะคุยกันอีกนานไหมเนี่ย) คุณป้าผิวดำด้านหลังตะโกนขึ้นมาพร้อมกับชักสีหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจ อันเนื่องมาจากว่าเธอคงหิว และแม้ว่าคนทั้งคู่จะพูดภาษาที่เธอไม่รู้จัก แต่มันก็ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะคุยเล่นหยอกล้อกันมากเกินกว่าจะร้องขอให้ทอดเบคอนให้กรอบขึ้นอีกหน่อย
    ซึ่งด้วยเสียงตะโกนอันทรงพลังของเธอก็คงเพียงพอที่จะทำให้หนุ่มตึ๋หันไปยิ้มขอโทษเจื่อนๆ และล่าถอยไป ส่วนหนุ่มธันกลับยิ้มขอบคุณที่ผู้หญิงคนนี้แทน เพราะว่าคุณป้าเพิ่งจะทำให้เขารอดพ้นจากสถานการณ์กระอักกระอ่วนเมื่อครู่ และนอกจากรอยยิ้มขอบคุณแล้วคนตัวเล็กก็ยังแอบแถมเบคอนให้เธออีกหนึ่งชิ้น พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงกระซิบเบาๆ เหมือนจะจงใจให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า
   “For Apologize” (เพื่อเป็นการขอโทษนะครับ) เมื่อหนุ่มผิวแทนพูดจบเขาก็ขยิบตาให้เธอหนึ่งที ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะเธอเปลี่ยนจากมุมปากที่คว่ำอยู่เป็นมุมปากที่หงายขึ้นทันทีเมื่อเธอได้อาหารที่มากกว่าคนอื่นไป
   เมื่อคนที่มาใช้บริการเริ่มเยอะขึ้น พี่เชอรี่ที่มีประสบการณ์และความคล่องตัวมากกว่าจึงขอสลับหน้าที่กับคนตัวเล็กเพราะกลัวว่าธันจะโดนคุณลุงคุณป้าที่จิตไม่ปกติเท่าไหร่เอ็ดเอาหากพวกเขาหรือพวกเธอต้องยืนรอเป็นเวลานานๆ ดังนั้นหนุ่มผิวแทนก็เลยต้องหันมาเก็บถ้วยเก็บจานที่คนใช้แล้วแทน
   “เฮ้ย กินหมดเลยเหรอ” เมื่อคนผิวแทนเห็นจานที่มีคราบเขม่าดำเต็มไปหมดก็ถึงกับร้องอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ และถึงโต๊ะที่เขาจะเข้ามาเก็บจานจะไม่มีใครนั่งอยู่ก็ตามเขาก็รู้ดีว่าเจ้าของจานใบนี้เป็นใครเพราะนอกจากจานที่ใช้ทิ้งของที่ปิ้งไหม้แล้วก็มีจานใบนี้นั้นแหละที่มีคราบเขม่าใกล้เคียงกัน
   “ถ้าเป็นมะเร็งก็อย่ามาโทษกันนะ” คนตัวเล็กพูดในใจก่อนที่จะส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับเผลออมยิ้มมุมปากออกมา ก่อนจะเก็บจานขึ้นมาวางไว้บนถาดและเดินไปหาเก็บจานจากโต๊ะอื่นต่อไป
   “เหนื่อยไหมลูก” ป้าอ้อยที่กำลังล้างจานอยู่เงยหน้าขึ้นมาถามทันที เมื่อเธอเห็น ธันยกกระทะไฟฟ้ากลับเข้ามาในครัว
   “ไม่เหนื่อยเลยครับ ถึงจะร้อนหน้าไปนิดหน่อยแต่ถ้าแลกมากับรอยยิ้มและคำขอบคุณของคนที่มากินข้าวแค่นี้สบายมากครับ” ธันพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างแหบเล็กน้อยคงเนื่องมาจากตลอดเวลาที่เขายืนให้บริการอยู่นั้นเขาไม่ได้พักจิบน้ำเลย แต่ถึงแม้หน้าตาจะดูเหนื่อยล้าและลำตัวจะท่วมไปด้วยเหงื่อแต่ใบหน้าและหัวใจของเขาก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่อิ่มเอม
   “ไม่เหนื่อยเลย เสียงแหบขนาดนี้ เอ้ากินน้ำก่อน” พี่เชอรี่ที่เดินกลับเข้ามาจากการไปเก็บแก้วน้ำใช้แล้วในเวลาไล่เลี่ยกันพูดขึ้น พร้อมกับยื่นน้ำที่เหลือครึ่งแก้วในถาดมาให้เขา
   “เฮ้ยพี่ อันนี้เขากินแล้วหรือเปล่า” คนตัวเล็กพูดด้วยเสียงตกใจเพราะเมื่อหมุนดูรอบแก้วกลับพบคราบลิปสติกติดอยู่
   “อ้าวเขากินเหลือ แล้วกินต่อไม่ได้เหรอ โทษๆ” คนแว่นหนากลั้นขำไป พูดไป ดังนั้นเสียงที่ออกมาจึงออกจะฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องนัก
   “ไม่ได้สิพี่ นี่น้องไง น้องธันเอง” คนตัวเล็กดัดเสียงพูดเพื่อที่จะทำให้มันตลก และนั่นก็ได้ผลเพราะทั้ง ป้าอ้อย และ พี่เชอรี่ ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนน้ำหูน้ำตาไหลทั่วใบหน้าไปหมด
   “ก็อกๆ”เสียงเคาะประตูดังขึ้นหน้าครัวก่อนจะถูกเปิดออก เผยให้เห็นว่าใครเป็นผู้มาเคาะ
   “คุณป้าครับ เดี๋ยวพวกผมจะขึ้นเล่นแล้วนะครับ ถ้าว่างยังไงเรียนเชิญนะครับ พี่เชอรี่กับน้องธันด้วยนะ” คนผิวคล้ำตัวล่ำ ซึ่งดูเหมือนว่าจะถูกบังคับให้มาเป็นตัวแทนเชิญป้าพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างๆ
   “ได้เลยลูก เดี๋ยวป้าล้างจานเสร็จแล้ว ป้าออกไปนะ”ป้าอ้อยหันมาพูดกับพี่ดัมป์แต่มือก็ยังไม่หยุดล้างจานจนคนที่เหลือในครัวหวาดเสียวว่าจานในมือจะลื่นแล้วร่วงลงมาแตกแทน
   หลังจากมือกลองประจำวง One upon a dream ออกไป พี่เชอรี่ก็เข้ามาสะกิดแขนธันที่กำลังเช็ดจานอยู่
   “แกรู้จัก ดัมป์ด้วยเหรอ” สาวแว่นหนาพูดด้วยเสียงและแววตาที่อยากรู้อยากเห็นจนมันดันทะลุเลนส์ของเธอ ออกมาอย่างเห็นได้ชัด
   “รู้จักดิพี่ รู้จักทั้งวงแหละ ถามทำไมอะ” หนุ่มตัวเล็กหยุดเช็ดจานพร้อมกันหันมามองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยความสงสัย
   “ก็ป่าว ก็แค่ถามดู” พี่เชอรี่พูดพร้อมกับหลุบตาต่ำลงมองพื้นและม้วนปลายผมแห้งแตกปลายของเธอไปมา
   “ชอบคนไหนละ”หนุ่มธันหันกลับไปเช็ดจานต่อพร้อมกับพูดประโยคดังกล่าวขี้นมาลอยๆ
   “บ้า ชอบใคร ไม่มีอะ”สาวแว่นหนาพูดขึ้นพร้อมกับโบกมือปฎิเสธเป็นพัลวัน
   “ชอบใครก็รีบบอกนะลูก อายุมากแล้วเดี๋ยวจะมาเสียดายทีหลังนะ”แม่อ้อยที่แอบยืนฟังอยู่นานพูดแซวขึ้นพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
   “แม่อ่ะ ไม่พูดด้วยแล้ว ออกไปฟังเพลงกันดีกว่า ธันเสร็จยังออกไปพร้อมกันเลย” พี่เชอรี่ที่ตอนนี้หน้าเริ่มขึ้นสีใกล้เคียงกับชื่อ รีบเข้ามาจับมือหญิงชราแก้เขิลพร้อมกับชวนคนตัวเล็กที่เพิ่งจะเช็ดจานใบสุดท้ายเสร็จออกไปฟังเพลงด้านนอกด้วยกัน
   “OK for the last song we are going to play this one, Oh hang on we will change the singer. Please wait for a few minutes.” (เอาล่ะสำหรับบทเพลงสุดท้ายเราจะเล่นเพลงนี้กันนะครับ โอ๊ะ เดี๋ยวนะครับ เราขอทำการเปลี่ยนนักร้องสักครู่นะครับ) พี่เบสที่ตอนนี้ควบทั้งตำแหน่งมือเบสและร้องนำสะกิดไปที่ไหล่ของรูเบนที่ยืนอยู่ด้านขวามือเพื่อให้เปลี่ยนที่กับตน
   “อ้าว ทำไมอยู่ๆ เปลี่ยนที่กันละ” พี่เชอรี่ที่ยืนกอดอกอยู่ตรงกลางวงระหว่างธันและแม่อ้อยพูดโพล่งขึ้นมาทันทีเมื่อเธอเห็นว่าหนุ่มมือเบสและมือกีตาร์สลับที่กันอย่างมีเลศนัยหลังจากกลุ่มของเธอเดินออกมาชมดนตรีที่พวกเขาเล่น
   “ไม่มีอะไรหรอกมั้ง น้องเบสเขาคงลืมหรือเปล่าว่าเพลงนี้ต้องให้น้องอีกคนร้องน่ะ”แม่อ้อยผู้ซึ่งไม่รู้สึกถึงความผิดปกติพูดขึ้นมาแต่โดยดวงตายังคงจับจ้องอยู่บนเวทีไม่ห่าง ส่วนคนที่ถูกสะกิดแม้จะดูงงๆ ในตอนแรกแต่เมื่อหันลงมาสบตากับใครบางคนข้างล่างเวทีก็พยักหน้าอย่างเข้าใจพร้อมกับหันไปยิ้มเหมือนจะแสดงความขอบคุณกับหนุ่มมือเบส
   หลังจากคนตาฟ้าขึงสายกีตาร์ของตนสักครู่เขาก็เริ่มต้นเพลงด้วยการเคาะนิ้วลงบนตัวบอดี้กีตาร์ก่อนจะเริ่มขึ้นต้นเพลงด้วยคอร์ด G
   We could leave the Christmas lights up 'til January
This is our place, we make the rules
And there's a dazzling haze, a mysterious way about you, dear
Have I known you for twenty seconds or twenty years?
   เสียงของรูเบนยังคงนุ่มและมีเสน่ห์อย่างเช่นทุกครั้ง และแม้ประตูและหน้าต่างของมูลนิธิจะถูกเปิดไว้เพื่อหอบเอาลมหนาวเข้ามาหมุนเวียนถ่ายเทอากาศภายในจนคนที่เข้ามาชุมนุมกันในสถานที่นี้สั่นไหวทุกครั้งเมื่อสายลมพัดผ่านพวกเขาเหล่านั้นไป แต่เมื่อคนตาฟ้าเริ่มทำการแสดงของเขาก็เหมือนมีดวงอาทิตย์อีกดวงถูกจุดขึ้นภายในห้อง และแม้ความหนาวจะยังสัมผัสผิวกายอยู่ แต่ภายในใจกลับได้รับไออุ่นอย่างน่าประหลาด
   “ทำไมเขามองแล้วยิ้มตรงมาที่แกวะ ธัน”สาวแว่นเอียงคอไปกระซิบข้างๆ หูคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ ด้านซ้ายมือ
   “ยิ้มตรงมาที่ผมก็แย่แล้วพี่ ดูนู้น”คนตัวเล็กทำหน้าพยักเพยิดไปยังสาวสวยโครงหน้าละตินที่นั่งอยู่ตรงด้านหน้าจุดที่เขายืนอยู่
   “เหรอวะ แต่ตามันเหมือนไม่ได้โฟกัสด้านหน้านะเว้ย”พี่เชอรี่ที่ยังคงจับสังเกตสายตาของคนบนเวทีก่อนพูดย้ำกับคนตัวเล็ก
   “ไร้สาระพี่ ไอ้นั้นมันเกลียดผมจะตาย มันจะมายิ้มให้ผมทำไม” คนตัวเล็กพูดด้วยใบหน้าและเสียงที่นิ่งเฉยก่อนจะถอนหายใจทิ้งเบาๆ
   Can I go where you go?
Can we always be this close forever and ever?
And ah, take me out, and take me home (forever and ever)
You're my, my, my, my lover
   หลังจากเสียงกีตาร์และเสียงนักร้องหยุดลง ห้องทั้งห้องก็เงียบสนิทลงไปชั่วครู่ ก่อนที่เสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือด้วยความชื่นชมจะดังสนั่นก้องไปทั้งห้อง
   ไม่เว้นแม้แต่แม่อ้อยที่ทั้งตบมือและผิวปากอย่างลืมตัว ส่วนคนบนเวทีเกือบทั้งหมดก็ยิ้มตอบรับพร้อมกับก้มหัวเล็กๆ เพื่อเป็นการแสดงคำขอบคุณที่ชื่นชอบและชื่นชมบทเพลงที่พวกเขาหยิบมาเล่นหยิบมาร้อง ที่บอกว่าเกือบทั้งหมด เพราะว่าพี่อ้นนั้นหุนหันลงจากเวทีพร้อมกับกีตาร์คู่ใจทันทีหลังจากผู้ชมเริ่มตบมือและส่งเสียงกรี๊ด โดยสมาชิกคนอื่นๆ ในวงที่เหลืออยู่บนเวทีก็ออกอาการหน้าเสียจนคนตัวเล็กดูออก แต่ว่าด้วยความเป็นมืออาชีพ ทุกคนก็สามารถปรับสีหน้าให้เป็นปกติได้ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งนั่นก็ทำให้คนผิวแทนเกิดความรู้สึกเป็นกังวลแบบแปลกๆ ขึ้นมา
   “ทำไมเมื่อกี้พี่อ้นเขาถึงกระโดดลงจากเวทีทันที หลังเสร็จงานล่ะครับ”คนตัวเล็กเดินเข้ามาถาม พี่ดัมป์ที่กำลังยืนรอพี่เบสวนรถมารับอยู่ข้างหน้าแปลงดอกทานตะวัน
   “อันนี้พี่เองก็ไม่รู้นะ มันคงรีบไปไหนละมั้ง”คนหุ่นล่ำพูดอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก เพราะอันที่จริงเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมหนุ่มตี๋ถึงรีบร้อนลงจากเวทีนัก
   “เหรอครับ... เออ ธันว่าจะถามพี่หลายที่แล้ว คือว่า คือ”เสียงของคนผิวแทนขาดห้วงไปเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคำถาม คำถามที่ติดค้างในใจเขามาสักพักแล้ว
   “คือวันนั้นน่ะครับ ธันตื่นมาในห้องของใครก็ไม่รู้ เรื่องก่อนหน้านั้นก็จำไม่ได้เลย แต่ธันน่ะ... ธันน่ะ จำได้ว่าเห็นพี่อยู่ในอพาร์ทเม้นนั้นด้วย ขอร้องละครับช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าธันถูกใครพาไป แล้วเขาได้ทำอะไรธันหรือเปล่าครับ” อยู่ๆ หลังจากหนุ่มร่างบางเงียบไปชั่วครู่เขาก็ตะโกนคำพูดเหล่านี้ออกมาเสียงดังจนคนที่อยู่ตรงหน้าถึงกับผงะถอยหลังเล็กน้อยด้วยความตกใจ
   “โอ้ ใจเย็น น้อง คือเรื่องนั้นน่ะ เอ่อ... พี่ก็ไม่ได้อยากปิดบังเราหรอกนะแต่ว่าไอ้บ้านั่นมันดันขอร้องเอาไว้ว่าไม่ให้บอกใคร โดยเฉพาะกับน้องด้วยแล้ว มันบอกว่าเดี๋ยวถึงเวลามันจะเป็นคนมาบอกน้องเอง แต่น้องไม่ต้องคิดมากนะวันนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับน้องแน่นอน พี่รับรองได้เพราะวันนั้นพี่เองก็อยู่ด้วย มันอุ้มน้องไปวางไว้บนเตียงแล้วมันก็ออกมานอนหนาวบนโซฟาข้างนอกทั้งคืน มันกลับเข้าห้องไปอีกทีก็เช้าถัดมาน่ะแหละ แต่เข้าไปแป๊บเดียวน้องก็เดินสวนออกมาเลยนะ”พี่ดัมป์พูดด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่อ่อนโยนแม้เนื้อเสียงของเขาจะค่อนข้างกระด้างไปบ้างแต่ก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจภายในคำพูดเหล่านั้น      
   “แต่ผมเป็นคนเสียหายผมก็มีสิทธิ์รู้ไม่ใช่เหรอครับ”คนตัวเล็กยังตื้อเอาคำตอบไม่เลิก
   “มันก็ใช่แต่น้องอย่าทำให้พี่ต้องผิดคำพูดที่ให้ไว้กับมันเลยนะ อะ ไอ้เบสมาแล้วยังไงไว้ค่อยคุยกันนะน้อง” พี่ดัมป์รีบตัดบทจบพร้อมกับรีบวิ่งไปขึ้นรถของพี่เบสที่วนมารับอย่างได้จังหวะพอดิบพอดี
   “พี่ดัมป์เดี๋ยวดิ่พี่”หนุ่มธันพยายามวิ่งตามไปเอาคำตอบแต่ดูเหมือนว่าจะช้าไปหน่อยเพราะเมื่อเขากำลังจะถึงตัวรถ รถก็ได้ถูกขับออกไปเสียแล้ว
   “โถ่เว้ย”คนตัวเล็กถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนที่จะหันหน้าไปทางด้านหลังเพราะถูกสะกิด ไหล่ แต่ด้วยว่าอารมณ์จากเมื่อครู่ยังคงคุกรุ่นอยู่ ดังนั้นใบหน้าของเขาที่หันไปก็มีความทมึงทึงจนคนที่สะกิดมีสะดุ้งเบาๆ
   “What happened? Why do you have a long face?” (เกิดอะไรขึ้นทำไมนายหน้าเป็นแบบนั้นละ) หนุ่มตาฟ้าขมวดคิ้วพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
   “It’s not your business. Why you tapped my shoulder” (ไม่ต้องยุ่งว่าแต่นายมาสะกิดไหล่ฉันทำไม) คนตัวเล็กที่คิ้วยังไม่คายปมถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูยังหงุดหงิดอยู่
   “Oh ok, someone beg me to give this one for you” (โอเคถ้านายว่าแบบนั้น คือมีใครบ้างคนฝากฉันเอาไอ้นี้มาให้นาย) คนผมสีวอลนัทยื่นกล่องเล็กๆ สีขาวที่มีอะไรบางอย่างอยู่ภายในให้คนตัวเล็กก่อนที่จะหันหลังเดินกลับไปทางสถานีรถไฟ
   “Hey who gave this one for me? If I don’t know that guy I can’t take it” (เฮ้ยใครฝากมาให้อะ ถ้าฉันไม่รู้จักฉันไม่รับนะ) คนตัวเล็กตะโกนไล่ตามหลังคนตาฟ้าไป
   “My job is done. You can keep or throw away. I don’t care” (งานฉันเสร็จแล้วต่อจากนี้นายจะเก็บหรือนายจะทิ้ง ฉันก็ไม่สน) คนตัวสูงพูดโดยไม่หันหน้ามามองพร้อมกับโบกมือบายๆ อย่างกวนๆ
   “โอ้ย วันนี้มันวันอะไรวะเนี่ย จะไม่มีอะไรได้ดั่งใจเลยหรือไง อุตส่าห์อารมณ์ดีมาตั้งแต่เช้า มาเสียเอาตอนจะหมดวันซะได้”คนตัวเล็กทำหน้าและเสียงฟึดฟัดอย่างไม่พอใจ
   ใกล้จะได้คำตอบแล้วแต่คำตอบก็ดันหลุดลอยไปซะได้ แบบนี้เราต้องโทษใครนะ โทษพี่ดัมป์ที่ดันไปรับปากอะไรแบบนั้นกับไอ้เจ้าของห้องนั่น หรือต้องโทษตัวเองที่ดันกินเหล้าจนไม่รู้ลิมิตตัวเองถึงได้โดนเขาลากไปได้แบบนั้น สรุปแล้วนายเป็นใครกันแน่นะหนุ่มตัวเล็กถอนหายใจอย่างเหลืออด ก่อนจะหันไปสนใจดอกทานตะวันที่ตอนนี้ค่อยๆ หุบลงไปเพราะพระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าไปเสียแล้ว

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
Writer เองต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ นักอ่านทุกคนมากๆเลยนะครับ ที่ตามอ่านกันมาถึงตอนล่าสุดนี้ ตัวผมเองเป็นนักเขียนหน้าใหม่ ด้วยตัวภาษาที่ใช้และเนื้อเรื่องก็ไม่ได้สละสลวยเท่าที่ควร ยอมรับนะครับว่ามีหลายครั้งแรกที่นึกถอดใจอยู่เหมือนกัน ก็ได้คนอ่านที่มาเม้นท์นี่แหละ ที่ทำให้มีแรงเขียนต่อไป เพราะเชื่อว่ายังมีคนอีกส่วนหนึ่งกำลังรออ่านอยู่ ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :กอด1: :กอด1:
ก็รอมาอัพตลอดจ้าา เป็นเรื่องที่น่ารักดีนะ ได้ความรู้ด้านภาษา
คนรอบข้างก็น่ารัก จิตใจดี ถึงแม้ตอนนี้ไม่ได้ต่อปากต่อคำกับแบมบู แต่บรรยากาศได้อีกแบบ
พ่อตาสีฟ้า ทานขนมปังไหม้หมด นี่ตั้งใจ หรือว่าหิวกันแน่
พี่เชอรี่ สงสัย แอบชอบพี่เด็ปแน่นอน
พี่อ้น ต้องชอบธันแน่ๆ แต่ว่ารีบไปไหนกันนะ
ธัน ตอนนี้คุยกับใคร ก็มีอันต้องตัดฉับๆ ไม่ต้องเสียอารมณ์นะ ว่าแต่เปิดของขวัญจะเป็นอะไรเอ่ย
อยากรู้แล้วนะ
 :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
ขอบคุณมากครับ ฝากติดตามและให้กำลังใจน้องไปเรื่อยๆนะครับผม  :mew1:

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
รูเบนแน่ๆเลย ความรักของน้อง

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
   ถ้าเราได้นั่งชิงช้าไปกับใครสักคน แล้วรอจนมันหมุนขึ้นไปถึงจุดกึ่งกลางของชิงช้า ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจแต่ถ้าหากปากของคนทั้งสองสัมผัสกันในห้วงวินาทีนั้น ว่ากันว่าคนทั้งสองคนจะได้อยู่คู่กันตลอดไป
   กลิ่นน้ำหอม TOM FORD Tobacco Vanille ที่ส่งกลิ่นหวานๆ คล้ายกับกลิ่นของฝักวนิลาที่ผสมคละเคล้ากันกับกลิ่นอันร้อนแรงของเครื่องเทศและใบยาสูบอย่างลงตัวพอดิบพอดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าเจ้าของกลิ่นฉีดลงไปอย่างเบามือและเปิดหน้าต่างระบายกลิ่นออกไปบ้าง ไม่ให้มันลอยวนแบบไม่มีทางออกอยู่แบบนี้ เพราะตอนนี้กลิ่นหอมได้กระจายตลบอบอวลไปทั้งห้องจนผู้ที่เปิดประตูเข้ามาใหม่ต้องเอามือพัดให้กลิ่นดังกล่าวลอยออกไปด้านนอกบ้าง ก่อนจะรีบกลั้นหายใจเอามืดบีบจมูกแล้วเดินก้าวเข้ามาในห้อง
   “โอ้ย นี่พี่กะจะฆ่าน้องหรือเปล่าเนี่ย ทำไมฉีดน้ำหอมฟุ้งไปทั่วห้องแบบนี้”คนตัวกลมที่แม้จะหายใจยังลำบากแต่ก็ไม่วายที่จะใช้ลมหายใจที่เหลืออันน้อยนิดไปกับการบ่นว่าคนผิวแทนที่นั่งเหม่อจ้องมองของที่อยู่ตรงหน้าโดนไม่หือไม่อือ
   “อ้าวพูดแล้วยังทำเฉย แล้วหน้าต่างอ่ะเปิดบ้างนะเกรงใจเพื่อนร่วมห้องด้วยจ๊ะ”แบมบูไม่พูดเปล่า รีบสาวเท้ายาวๆ ไปเปิดหน้าต่างมุมห้องทั้งสองด้านก่อนจะเอาหัวของตนมุดออกไปยังด้านนอกหน้าต่างเพื่อสูดหายใจเอาอากาศเข้ามาเต็มปอด ก่อนจะหันกลับเข้ามามองคนตัวเล็กที่ยังคงนั่งนิ่งเป็นหินอยู่ที่เดิม
   “มันเป็นอะไร ไหนดูสิ เห็นหวงไม่ให้น้องดูมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”คนตัวกลมพูดอย่างมีน้ำโหเพราะไม่ได้รับความสนใจ ก่อนจะถือวิสาสะเอามือหยิบกล่องสีขาวที่คนตัวเล็กนั่งมองอย่างไม่วางตา ซึ่งนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ธันตกใจจนจนสติกลับมาและเริ่มที่จะยื้อแย่งของคืน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะช้ากว่าคนตัวกลมไปก้าวหนึ่งเพราะแบมบูได้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
   “น่ารักดีนี่ ใครให้มาอะ อ่ะ ขี้หวงชะมัด”ของที่อยู่ในกล่องสีขาวเป็นจี้ข้อมือรูปโคอาล่า แบรนด์เดียวกันกับที่คนตัวเล็กชอบใส่ไปไหนมาไหนอยู่ตลอด แต่แบมบูก็มองมันได้เพียงแค่แว้บเดียวเพราะคนตัวเล็กดึงมันกลับไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งทำหน้ายักษ์และคิ้วผูกโบว์อย่างไม่สบอารมณ์อีกด้วย
   “ไม่ได้ขี้หวง แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนให้ กลัวว่าเขาจะให้ผิดคนแล้วแกดันเผลอซุ่มซ่ามทำตก ฉันต้องซื้อใช้เขาอีก”คนตัวเล็กพูดก่อนจะปิดฝากล่องสีขาวลงและวางกลับไปบนโต๊ะไม้ตามเดิม
   “ถ้าอยากรู้ว่าใครเป็นคนให้ก็ไปตามนัดซะสิ”แบมบูนั่งกอดอกอยู่บนเตียงพร้อมกับลอบถอนหายใจอย่างปลงๆ กับความคิดที่ยุ่งยากและซับซ้อนของคนตัวเล็ก เพราะถึงแม้ว่าคนตัวกลมจะไม่รู้ว่าของในกล่องคืออะไร แต่รายละเอียดอย่างอื่นเช่นเจ้าของกล่องได้แนบจดหมายพร้อมกับตั๋วชิงช้าสวรรค์ The Wheel of Brisbane มาให้ด้วย โดยที่คนตัวกลมรู้ลึกถึงขนาดเนื้อความในจดหมายที่เขียนเอาไว้ว่า
   “วันนั้นผมแอบเห็นในแววตาของคุณดูเสียดายอยู่ไม่น้อยที่ไม่ได้อุ้ม เจ้าโคอาล่าถ่ายรูป ผมเลยซื้อจี้อันนี้มาให้โดยหวังจะบอกคุณว่า ไม่เป็นไรนะถึงคุณจะไม่มีรูปที่ถ่ายคู่กับโคอาล่า แต่อย่างน้อยจี้ของผมก็จะอยู่ข้างๆ คุณตลอดไปเหมือนเจ้าของ ของมันที่หวังจะได้ใกล้ชิดกับคุณในสักวันหนึ่ง ครั้งที่แล้วผมได้บอกกับคุณเอาไว้ว่าจะเอาของมาให้คุณต่อหน้าพร้อมบอกความในใจของผมที่มีต่อคุณด้วย ซึ่งผมเองก็กำลังพยายามคิดหาวิธีอยู่ จนเดินมาเจอชิงช้าสวรรค์ประจำเมืองเลยคิดว่ามันน่าจะดีนะครับ ถ้าเราได้มานั่งชมวิวสวยๆ ของเมืองด้วยกัน และตอนนั้นผมเองก็อาจจะมีความกล้ามากพอที่จะบอกอะไรบางอย่างกับคุณ ยังไงขอโอกาสให้คนขี้อายคนนี้หน่อยนะครับ
ป.ล. รอผมแถวๆ ชิงช้าสวรรค์ตอนเวลาประมาณห้าโมงเย็นนะครับ เดี๋ยวผมจะเดินเข้ามาหาคุณเอง”
ลายมือในกระดาษแม้จะดูเป็นไก่เขี่ยไปหน่อย แต่ก็ยังถือว่าเขียนได้ตัวใหญ่อ่านง่ายกว่าครั้งที่แล้ว ที่ตัวเล็กจิ๋วจนเกือบจะต้องเอาแว่นขยายมาส่องอยู่รอมร่อแล้ว
   “จะดีเหรอวะ”คนตัวเล็กทำหน้าเครียดหลังจากอ่านเนื้อความในจดหมายเป็นรอบที่สิบของวันแล้ว
   “ไปเถอะ เธอก็อยากรู้มาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าพ่อหนุ่มปริศนาคนนี้เป็นใคร อีกอย่างน้องว่าเธอเองก็ตัดสินใจไปแล้วนะ ไม่งั้นไม่ฉีดน้ำหอมฉุนขนาดนี้หรอก จริงไหม”คนตัวกลมยิ้มน้อยๆ ให้กับคนผิวแทน เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้
   “แกไม่ไปกับฉันจริงๆ เหรอวะ”คนผิวแทนหันมามองตาคนตัวกลมด้วยนัยน์ตาที่สับสน และสีหน้าที่วิงวอนแกมขอร้อง แต่นั่นก็คงใช้ไม่ได้ผลกับคนตัวกลมที่สั่นหัวและถอนหายใจออกมาแทบจะในทันที เมื่อสิ้นเสียงคนตัวเล็ก
   “ไม่เอาอ่ะ ไปก็เป็นตัว กขค. น่ะสิ อีกอย่างวันนี้น้อง นัดกับพี่ซีอิ๊ว  กับ ไอ้เตยไว้แล้วด้วยว่าจะไปซื้อของด้วยกันตอนเย็น ไปเหอะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็โทรหาน้องได้ เดี๋ยวน้องแจ้งตำรวจให้”คนตัวกลมพูดพร้อมกลั้นขำในลำคอ
   “อ้าว ไอ้นี้ เอองั้นเดี๋ยวฉันไปก่อนแล้วกันนะ กว่าจะเดินไปถึงก็คงเกือบ ห้าโมงพอดี” คนตัวเล็กพูดด้วยใบหน้าและน้ำเสียงผิดหวังเล็กน้อย เพราะเขานึกเอาไว้ว่า ถ้าคนที่มาเจอเขาไม่ใช่คนที่เขานึกเอาไว้ในใจอย่างน้อยก็ยังมีแบมบูเป็นไม้กันหมา
   “เดี๋ยวดิ ไหนๆ ก็ใส่กำไลข้อมือไปแล้ว ทำไมไม่ใส่จี้อันใหม่ไปด้วยล่ะ เขาจะได้ดีใจ” แบมบูหยิบกล่องสีขาวที่มีจี้อยู่ภายในส่งให้คนตัวเล็กที่กำลังจะเปิดประตูออกไปอยู่แล้ว ถ้าคนตัวกลมไม่ส่งเสียงเรียกขึ้นมาซะก่อน
   “เอางั้นเหรอ เออก็ได้ ใส่ให้หน่อยดิ” คนผิวแทนทำท่าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยื่นแขนข้างที่มีกำไลส่งให้แบมบู พร้อมกับเอ่ยปากขอร้องแกมบังคับให้คนตัวกลมสวมจี้อันใหม่ให้เขา
   “แหม่ ทีเมื่อกี้ล่ะหวง ทีตอนนี้มาให้น้องใส่ให้”แบมบูแกล้งถอนหายใจแรงๆ เป็นการประชดก่อนจะใส่จี้ตัวใหม่ลงไปยังกลางวงของกำไลให้คนตัวเล็ก
   “เออ ขอบใจเว้ยแก แล้วเดี๋ยวเจอกัน”คนตัวเล็กสวมกอดคนตัวกลมเพื่อเป็นการขอบใจและเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะผละออก พร้อมก้าวเดินออกจากห้องไป โดยไม่ได้หันกลับมามองแบมบูที่มีสีหน้าสลดลงทันทีเมื่อประตูปิดลงพร้อมกันนั้นเขาก็แอบพูดเบาๆ ด้วยเสียงกระซิบที่หวังจะให้ได้ยินแค่ตัวเขาเองว่า
   “ขอให้คนๆ นั้นไม่ใช่คนเดียวกันกับคนในหัวใจของเราด้วยเถอะ” คนตัวกลมเม้มปากล่างเพื่อเป็นการระบายความอัดอั้นและความรู้สึกจนน่ากลัวว่าจะห้อเลือด หากเขาไม่รีบถอนปากออกมาในเร็วๆ นี้
   “โอ้ย ทำไมตอนเดินออกมาไม่หนาวนะ” คนตัวเล็กถูฝ่ามือ ทั้งสองเข้าด้วยกัน ก่อนที่จะเอามือมาอังตรงบริเวณปากพร้อมทั้งเป่าลมอุ่นๆ ออกจากแก้มเพื่อระบายความหนาว ก็แน่ละ เขาจะไม่หนาวได้ยังไงเพราะตอนนี้อากาศบริเวณรอบๆ ชิงช้านั้นลดต่ำลงเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงหลักหน่วยอยู่ร่อมร่อ แล้วสิ่งที่คนตัวเล็กใส่ออกมาในวันนี้มันไม่ได้ทำให้เขาอุ่นได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะสิ่งที่เขาสวมมันเป็นเพียงแค่เสื้อยืดสีขาวบางๆ กับกางเกงยีนส์สีซีดตัวเก่งทีมีจุดฉีกขาดไปทั่ว โดยเฉพาะตรงหัวเข่าทั้งสอง ที่รอยขาดนั้นใหญ่จนสามารถเห็นเนื้อหัวเข่าได้อย่างเด่นชัด
The Wheel of Brisbane ตั้งอยู่ตรงริมแม่น้ำ Southbank และด้วยความที่รอบๆ ที่ตั้งชิงช้าเป็นสถานที่ๆ มีไว้เพื่อการปิคนิคและวิ่งเล่นออกกำลังกายของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ดังนั้นทางสภาเมืองจึงตั้งใจที่จะไม่สร้างสิ่งก่อสร้างใดๆ ที่เป็นการบดบังทัศนวิสัยและมีสิ่งกีดขวางอันเป็นอันตรายต่อการวิ่งเลย หากเราไม่นับตึกศูนย์ศิลปะและการแสดงที่ตั้งอยู่ถัดจากริมแม่น้ำและชิงช้า เราก็จะไม่เห็นตึกสูงอื่นใด ที่ตั้งอยู่ในบริเวณรอบๆ นี้เลย นั่นฟังดูดีและสวยงามทีเดียว หากในวันนี้ไม่มีลมหนาวพัดผ่านไปทั่วบริเวณแบบนี้ ยิ่งไม่มีสิ่งปลูกสร้างอะไรที่จะมาลดแรงปะทะระหว่างคนผิวแทนและลม ดังนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากการเปิดตู้เย็นช่องแช่แข็งแล้วเอาหน้าไปจ่อใกล้ๆ เลย
“หืม มีร้าน Noosa แถวนี้ด้วยเหรอ ไปหาซื้อช็อคโกแลตร้อน แล้วก็แอบเนียบหลบลมในร้านจนกว่าจะถึงเวลานัดดีกว่า” คนตัวเล็กตาโตทันทีเมื่อหันไปเจอร้านกาแฟและช็อคโกแลต Noosa chocolate factory ด้านใน ตึกศูนย์ศิลปะและการแสดง
เมื่อเห็นดังนั้นคนตัวเล็กจึงไม่รอช้ารีบสาวเท้าเข้าไปยังด้านในตัวตึก แม้แต่ละก้าวจะค่อนข้างร้าวรานเนื่องจากอาการเหน็บชาจากความหนาวที่ทะลุผ่านเนื้อไปยังด้านในกระดูก
“Can I have one hot chocolate please” (ขอช็อคโกแลตร้อนแก้วหนึ่งครับ) คนตัวเล็กสั่งเครื่องดื่มกับบาริสต้าหนุ่มวัยรุ่นผมทองที่ยืนอยู่ด้านในเคาเตอร์
“Ok, Can I have your name please” (ได้ครับ ขอชื่อลูกค้าด้วยครับ) หนุ่มตัวสูงยิ้มการค้าตอบกลับมาพร้อมกับสอบถามชื่อ
“It’s Thun” (ชื่อ ธันครับ) คนผิวแทนยิ้มตอบกลับพร้อมบอกชื่อตัวเอง แต่พนักงานหนุ่มกลับขมวดคิ้วพร้อมกับหรี่ตาเล็กลงเหมือนจะพยายามทำความเข้าใจว่าคนตัวเล็กพูดอะไร
“Thun”(ธัน) คนตัวเล็กพยายามพูดอีกครั้งช้าๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าพนักงานจะยังคงสับสนอยู่ดี แต่ในขณะที่เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ว่าจะใช้คำไหนที่มันใกล้เคียงชื่อเขาเพื่อให้พนักงานเข้าใจ และตัวเขาเองก็เดินมารับเครื่องดื่มได้อย่างถูกต้องด้วยเมื่อพนักงานขานชื่อ อยู่ๆ ก็มีเสียงนุ่มๆ ที่คุ้นเคยดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลังของเขา
 “Let write down my name, it’s Rumen” (เขียนชื่อผมแล้วกันครับ ชื่อรูเบน) คนตาฟ้าที่มาจากไหนก็ไม่รู้ พูดขึ้นมาโดยไม่สนใจเจ้าของเครื่องดื่มและพนักงานเองก็เหมือนจะเอาง่ายเข้าว่า เพราะเมื่อได้ยินสำเนียงที่ชัดกว่าและสะกดได้ง่ายกว่า ก็รีบเขียนชื่อคนตัวสูงลงไปในทันที โดยไม่สนใจคนตัวเล็กที่กำลังจะอ้าปากเอ่ยคัดค้าน
“Whatever he ordered, Could you make it for two” (ไม่ว่าเขาจะสั่งอะไร ทำมันสองแก้วเลยนะครับ) คนผมสีวอลนัทพูดขัดขึ้นในขณะที่คนตัวเล็กกำลังอ้าปากพะงาบๆ เพื่อที่จะให้แก้ชื่อบนแก้วของเขา แค่นั้นยังไม่พอเมื่อพนักงานส่งเครื่องรูดบัตรมาเพื่อที่จะทำการชาร์จเงิน รูเบนก็ยังแย่งจ่ายเงินโดยการจับมือคนตัวเล็กไม่ให้มีโอกาสหยิบการ์ดออกมา พร้อมกันนั้นก็เอาอีกมือของตัวเองที่ว่างอยู่หยิบการ์ดขึ้นมารูดโดยไม่ฟังเสียงโวยวายของคนตัวเล็กแม้แต่น้อย
“What are you doing?” (นายทำอะไรของนายอ่ะ) คนตัวเล็กหันมาประจันหน้าพร้อมกับใช้น้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนักกับคนตัวสูงทันที เมื่อมือเป็นอิสระจากการถูกเกาะกุม
“Because I have seen you try to speak your name but staff doesn’t understand right? I just make it easy” (ก็เพราะฉันเห็นว่านายพยายามจะพูดชื่อตัวเองไง แต่พนักงานเขาก็ไม่เข้าใจ ฉันก็แค่ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น) หนุ่มตาฟ้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เรียบเฉย เหมือนกับว่าเรื่องที่ตัวเองทำเป็นเรื่องปกติที่ใครๆ เขาก็ทำกัน
“But… Ruben please” (แต่ว่า... คุณรูเบนได้แล้วครับ) ขณะที่คนตัวเล็กกำลังจะหาทางเถียงกลับอยู่นั้น เสียงเรียกให้มาเอาเครื่องดื่มของพนักงานก็ดังขึ้น ทำให้คนตัวเล็กต้องหันกลับไปมองตามเสียงอันเป็นจังหวะเดียวกันกับคนตาฟ้าที่รีบเดินไปคว้าแก้วช็อคโกแลตร้อนตรงเคาเตอร์และรีบเดินหนีหายออกไปทางประตูหน้า โดยทิ้งคนตัวเล็กที่สมองยังประมวลผลไม่ทัน ยืนงงอยู่นานสองนานจนพนักงานคนเดิมต้องถือแก้วช็อคโกแลตมายื่นให้ สติเขาถึงได้กลับคืนมา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-07-2020 07:49:35 โดย DaydreamIsland »

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
“เอ๋ หรือว่าเรายืนผิดมุมนะ” คนตัวเล็กเริ่มจะมีสีหน้าวิตกกังวลเพราะเมื่อก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ก็พบว่าเวลามันล่วงเลยมาถึงห้าโมงห้านาทีแล้ว แต่ก็ยังไรวี่แววของบุรุษหนุ่มปริศนาที่นัดเขาออกมายังสถานที่แห่งนี้เลย แถมเมื่อยิ่งค่ำลงเท่าไหร่อุณภูมิก็ยิ่งค่อยๆ ลดต่ำลงเท่านั้น ลำพังแค่เสื้อยืดและกางเกงยีนส์ของคนตัวเล็กเริ่มจะต้านทานลมหนาวไม่ไหว จนทำให้เจ้าของชุดเริ่มสั่นเทาด้วยความหนาว ตั้งแต่ลำตัวจนไปถึงปากที่เริ่มจะสั่นกระทบกันแล้ว
หลังจากยืนหนาวสั่นอยู่สักพัก คนตัวเล็กก็เหลือบไปเห็นม้านั่งยาวสีเขียวที่ตั้งหลบมุมอยู่แถวๆ ริมแม่น้ำ แม้เขาจะรู้ดีว่าการไปนั่งที่เก้าอี้ไม้นั้น ไม่ได้ช่วยให้ความหนาวลดลงไปได้ แต่ทว่ามันก็ยังดีกว่าการยื่นตัวสั่นงันงกอยู่ตรงใจกลางสนาม ให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาขบขันปนสมเพจแบบนี้ คิดได้ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินอย่างอยากลำบากไปยังม้านั่ง โดยหมายใจว่า ถ้าเกิดคู่เดทของตนยังไม่มาภายในอีกสิบนาทีนี้ เขาเองก็คงจะกลับบ้านโดยไม่รอพบแล้ว เพราะว่าคนตัวเล็กยังไม่อยากที่จะลงข่าวหน้าหนึ่งของออสเตรเลีย ว่าถูกพบเป็นศพนอนแข็งตายอยู่หน้าแม่น้ำ Sounthbank เป็นแน่
“จนช็อคโกแลตร้อนเป็นช็อคโกแลตเย็นแล้วเนี่ย สงสัยจะไม่มาแล้วมั้ง”คนตัวเล็กที่คิดเอาไว้ว่าจะค่อยๆ ละเลียดจิบเครื่องดื่มในแก้วเพราะกลัวว่าหากเจอกับหนุ่มปริศนา แล้วจะเขิลอายจนไม่กล้าพูดอย่างน้อยก็ยังสามารถจิบเครื่องดื่มแก้เขิลได้ แต่ดูเหมือนว่าความคิดนั้นจะไม่จำเป็นเสียแล้ว เพราะว่าจนถึงตอนนี้แม้แต่เพียงเศษเสี้ยวเงาของใครคนนั้น หนุ่มผิวแทนก็ยังไม่เห็นเลย
“เฮ้อ กลับดีกว่า แล้วเดี๋ยวยังไงค่อยฝากไอ้บ้านั้นเอาบัตรไปคืนเขาแล้วกัน เอ๊ะ...”คนตัวเล็กที่นั่งคุดคู้ห่อตัวท่ามกลางสายลมแรงและไอเย็นที่หนาวเหน็บไม่ไหวอีกต่อไป ตัดสินใจที่จะลุกขึ้นเพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่เมื่อมองดูบัตรที่ได้รับมาในมือก็ต้องร้องเสียงหลง เพราะในบัตรดันเขียนระบุไว้ว่าสามารถใช้ได้ภายในวันที่กำหนดเท่านั้น และวันนั้นก็คือวันนี้ ดังนั้นหากเขาเอามันไปคืนคนตาฟ้าในวันรุ่งขึ้นเพื่อให้เขาเอาไปคืนเจ้าของ บัตรมันก็หมดอายุอยู่ดีและถ้าเป็นแบบนั้นมันก็แอบน่าเสียดายเพราะราคาที่ปรากฏอยู่หน้าบัตรมันก็แพงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
“จะทิ้งไปก็น่าเสียดาย นั่งชมวิวคนเดียวแก้เซ็งก็ไม่เป็นไรมั้ง” คนตัวเล็กคิดในใจพร้อมกับเม้มปากมองบัตรเจ้าปัญหาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งหงุดหงิดที่เสียเวลา แต่งตัวและมานั่งรอท่ามกลางอากาศเหน็บหนาว เจ็บใจเพราะคิดว่าเขาอาจะโดนกลั่นแกล้งโดยใครสักคนที่ไม่ชอบหน้าเขา หรือจริงๆ แล้วอาจจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีกับเขาคนนั้นเลย ทำให้ไม่สามารถมาตามนัดได้ก็ได้ แต่แม้ว่าในสมองจะตีกันอลม่านไปหมด แต่ขาทั้งสองข้างกลับสามัคคีกันเดินตรงดิ่งไปที่ชิงช้าสวรรค์ อาจจะเป็นเพราะอวัยวะส่วนนี้รับรู้ได้ว่าหากปล่อยเวลาผ่านเลยไปจนเย็นย่ำกว่านี้ อากาศโดยรอบคงจะรุนแรงเป็นทวีคูณจนมันน่าจะใช้การต่อไม่ได้เป็นแน่
   แม้จะบอกว่าบริเวณตรงกลางระหว่างหน้าชิงช้า ตึกศูนย์ศิลปะและการแสดงจะถูกห้ามไม่ให้มีสิ่งกีดขวางใดๆ เพื่อเป็นอุปสรรคต่อการวิ่งและออกกำลังกาย แต่บ่อยครั้งก็จะมีพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นแผงลอยเคลื่อนที่คอยฝ่าฝืน ชอบเดินเอาลูกโป่ง ของที่ระลึก และขนมมาเดินเร่ขายนักท่องเที่ยวและชาวบ้านท้องถิ่นอยู่บ่อยครั้ง จนภาพที่ตำรวจเทศกิจวิ่งไล่จับคนกลุ่มนี้นั้นเป็นภาพปกติที่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาในบริเวณนี้เห็นจนชินตา
   “Do you want some cotton candy?” (หนูอยากได้ขนมสายไหมสักหน่อยไหมจ๊ะ) คุณยายผิวสีรูปร่างท้วมถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นคนตัวเล็กเดินผ่านมาในระยะที่เธอสามารถสื่อสารได้
   “Ah…No thank you.” (เอ่อ... ไม่เป็นไรครับขอบคุณ) คนตัวเล็กพูดพร้อมกับยิ้มตอบกลับไป แต่ดูเหมือนว่ารอยยิ้มที่เคยเปื้อนหน้าของคุณยาย จะเป็นเพียงแค่ยิ้มการค้า เพราะทันทีที่ธันปฎิเสธเธอ รอยยิ้มนั้นก็หุบลงพร้อมเปลี่ยนเป็นสีหน้าบึ้งตึงและถอนหายใจอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินจากไปทิ้งธันให้ขมวดคิ้วยืนงงว่าเขาทำอะไรผิด และตลอดการเดินทางไปที่ The Wheel of Brisbane คนผิวแทนก็โดนยัดเยียดขายของตลอดเส้นทางซึ่งเมื่อปฏิเสธไปก็มักจะโดนมองกลับมาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร จนคนตัวเล็กเริ่มจะหงุดหงิด ยิ่งพอมาถึงตรงข้างหน้าชิงช้าแล้วพนักงานที่รับบัตรกลับบอกอะไรบางอย่าง บางอย่างที่คนตัวเล็กแทบจะร้องกรี๊ดออกมาด้วยความหัวเสีย
   “Sorry but the minimum for starting this wheel is two people but now we have only you. Maybe you have to come back tomorrow.” (ขอโทษด้วยค่ะ พอดีจำนวนคนขั้นต่ำที่ทางเรากำหนดอยู่ที่สองท่านนะคะ แต่ว่าตอนนี้ทางเรามีแค่น้องคนเดียวยังไงอาจจะต้องกลับมาใหม่พรุ่งนี้นะคะ) พนักงานสาวที่เหงื่อเริ่มตกแม้อากาศข้างนอกจะหนาวจนทำให้ฟันของคนตัวเล็กกระทบกันอย่างไม่เป็นจังหวะ หากจะถามหาสาเหตุก็อาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้ เมื่อคนตัวเล็กได้มาถึงและยื่นบัตรเพื่อจะนั่งชิงช้า เธอก็ได้ปฎิเสธไปแล้วรอบหนึ่งด้วยเหตุผลข้างต้น แล้วพอคนตัวเล็กบอกว่า ถ้าเธอไม่ให้เขานั่งวันนี้ก็ต้องเอาบัตรใหม่มาเปลี่ยนให้เพราะบัตรเขามันหมดอายุแล้ววันนี้ และเขาไม่ยอมเสียสิทธิไปฟรีๆ แน่ ซึ่งเธอเองก็เป็นพนักงานใหม่และไม่รู้ว่ามันทำได้หรือเปล่า ครั้นพอโทรไปหาหัวหน้าก็ยังไม่รับสาย ดังนั้นเธอจึงต้องมานั่งยืนยิ้มแห้งๆ ต่อหน้าคนตัวเล็กแบบนี้
   “But it not fair for me, right? If you can’t run this wheel you have to change the new ticket to me” (แต่มันไม่ยุติธรรมใช่ไหมล่ะ ถ้าเกิดคุณไม่สามารถเปิดเครื่องนี้ได้คุณก็ต้องเอาบัตรอันใหม่มาแลกกับผมสิ) คนตัวเล็กที่อยู่ๆ ก็เก่งภาษาอังกฤษขึ้นมากะทันหันเมื่อมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องเถียงกลับไป แต่ก่อนที่คนตัวเล็กจะได้พูดอะไรไปมากกว่านั้นก็มีมือหนาๆ มือหนึ่งยื่นบัตรอีกใบส่งข้ามหน้าธันไปให้พนักงานสาว
   “Let count me in” (ขอผมนั่งด้วยละกันครับ) และเมื่อไล่จากมือไปยังหน้าของเจ้าของบัตรคนตัวเล็กก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์เพราะมันไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่เพิ่งเลี้ยงช็อคโกแลตร้อนเขาไปเมื่อครู่นี้เอง
   “OK, but for let, you know you have to take the same gondola” (ได้เลยค่ะ แต่ต้องขอแจ้งให้ทราบก่อนว่าพวกคุณต้องนั่งกระเช้าเดียวกันนะคะ) พนักงานสาวรีบพูดชี้แจ้งก่อนจะเดินตรงไปเปิดประตูกระเช้าพร้อมกับผายมือให้ทั้งคู่เดินเข้าไป
   ซึ่งถึงแม้ว่าคนตัวเล็กจะมีอีกหลายร้อยคำถามอยู่ในหัว อย่างเช่นว่า ทำไมเขาถึงต้องมานั่งชิงช้าอันเดียวกันกับคนตัวสูงด้วย ทั้งๆ ที่กระเช้าอื่นก็ว่าง หรือ เธอสามารถโทรหาหัวหน้าเธออีกทีได้ไหมเรื่องการใช้สิทธิ์วันหลังหรือการคืนเงินเพราะอากาศตอนนี้มันเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยแล้ว
   “Can you move please because I want to see the view today.” (ช่วยขยับหน่อยได้ไหม เพราะฉันอยากจะดูวิววันนี้นะ) คนผมสีอัลมอนด์พูดเสียงเรียบๆ ไปยังคนผิวแทนซึ่งกำลังยื่นตัวแข็งหน้ามุ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์อยู่
   “Hurrr ok” (เฮ้อออ โอเค) คนตัวเล็กที่ตอนนี้โดนสถาณการณ์บังคับ ได้แต่ถอนหายใจพร้อมทำหน้าซังกะตาย ก่อนที่จะเข้าไปนั่งข้างในกระเช้าโดยมีคนตาฟ้าตามเข้ามานั่งยังฝั่งตรงข้าม
   The Wheel of Brisbane มีความสูงอยู่ในระดับตึกเกือบสิบชั้นและด้วยความที่มันถูกออกแบบมาให้เปิดโล่งเพื่อที่จะได้เห็นวิวได้ทุกจุด 360 องศาจนทำให้มองเห็นวิวเมืองและแม่น้ำได้อย่างชัดเจน ซึ่งธันเองก็คงจะมีภาพจำที่น่าประทับใจในการขึ้นมาดูวิวบนนี้อยู่บ้าง หากเขาไม่ใช้เวลาเกือบทั้งหมด ตั้งแต่ขึ้นมาในการถูมือเพื่อไล่ความหนาว เนื่องจากเขาใส่เสื้อผ้าที่มันค่อนข้างที่จะบางและต้านทานลมหนาวไม่ได้เลย อีกทั้งเมื่อกระเช้ามันเปิดโล่ง ก็แน่นอนที่ลมหนาวจากทั่วสารทิศจะสามารถโอบล้อม เข้ามาปะทะคนที่อยู่ข้างในได้โดยไม่มีอะไรมากั้นกลางไว้ จนทำธันเองต้องนั่งสั่นสะท้านอยู่แบบนี้
   “โอ้ย นะนะนะหนาว จะจะจะจจังเลย” หนุ่มผิวแทนที่ตอนนี้เริ่มจะรู้สึกได้ว่าคิดผิดที่เลือกจะขึ้นมานั่งบนชิงช้าสวรรค์ แทนที่จะยืนกรานขอเงินคืนหรือขอตั๋วใบใหม่กับพนักงาน เพราะตอนนี้ทั้งมือและหน้าของเขาก็เริ่มจะมีอาการชาจนแทบจะไร้ความรู้สึกแล้วนี่ยังไม่นับอาการที่ฟันกระทบกันจนฟันแทบจะแตกเป็นผุยผงแล้ว
   “ฟึ่บ” เสียงของเสื้อโค้ดหนาแหวกผ่านสายลมแรง ก่อนจะจบลงโดยการมาทาบทับกับร่างกายของคนตัวเล็กที่ตอนนี้เริ่มจะนั่งคุดคู้สู้กับความหนาวเย็นอยู่ ซึ่งเมื่อคนตัวเล็กได้รับเสื้อหนามาคลุมตัวก็ต้องแปลกใจจนเลิกคิ้วขึ้นเพราะเขาไม่คิดว่าคนตาสีฟ้าจะเสียสละยอมทนหนาวเพื่อเขาได้ แต่คำถามที่สำคัญกว่านั้นคือคนข้างๆ จะทนหนาวไปเพื่อเขาทำไม
   “What are you doing” (นายทำอะไรน่ะ) คนตัวเล็กถามออกไปด้วยเสียงที่ยังคนสั่นเล็กน้อยเพราะยังไม่หายหนาวดี
   “Maybe, I don’t want you to die” (บางทีฉันก็แค่ไม่อยากให้นายตายมั้ง) คนตาฟ้าพูดขณะหันหน้าไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกกระเช้า ที่ตอนนี้ฟ้าเริ่มจะเปลี่ยนเป็นสองสีแล้วซึ่งพอมาคิดๆ ดูแล้วนั่นก็เป็นปฏิสัมพันธ์แรกระหว่างคนตัวเล็กและคนตัวสูงเลย เพราะว่าตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในกระเช้านี้นอกจาก ที่รูเบนจะทำจมูกฟุดฟิดและพูดภาษาที่เขาไม่รู้จักมาหนึ่งประโยคถ้วนกับหยิบโทรศัพท์มาทำอะไรสักอย่าง นอกนั้นต่างคนก็ต่างอยู่ในโลกของตัวเองโดยคนผมสีวอลนัท ส่วนมากก็จะมองเหม่อดูวิวทิวทัศน์ที่ด้านนอกส่วนธันเองก็คิดหาวิธีที่จะทำยังไงไม่ให้แข็งตายอยู่ด้านบนนี้ 
   “Even you are foul-mouthed but thank you.” (แม้นายจะปากหมาแต่ก็ขอบใจนะ)” คนตัวเล็กพูดพร้อมกลั้นยิ้มขำๆ ก่อนจะจิบเครื่องดื่มของตนที่ยังเหลืออีกครึ่งแก้ว และเริ่มจะใช้สมาธิจดจ่อชมวิวทิวทัศน์ด้านนอกได้บ้างเพราะความหนาวเริ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว
   “So why you are here. I mean in the cafe and the wheel of Brisbane” (แล้วทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี้ล่ะ ฉันหมายถึงทั้งคาเฟ่แล้วก็ชิงช้าสวรรค์ของบริสเบน) คนผิวแทนที่เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจนต้องหันหน้ามาถามคนผิวขาวที่ยังคงหันหน้าออกไปด้านนอกอยู่
   “Easy because I like both of them and I don’t have anything to do today” (ง่ายมากก็เพราะฉันชอบมันทั้งคู่และวันนี้ฉันไม่มีอะไรทำยังไงละ) คนตาฟ้าพูดเสียงเรียบโดยตายังคงจดจ้องอยู่ที่วิว
   “Oh, Ok, and why you bought the hot chocolate for me?” (อืม แล้วทำไมนายถึงจ่ายค่าช็อคโกแลตร้อนให้ฉันละ) คนตัวเล็กที่ค่อยๆจิบช็อคโกแลตร้อนที่ไม่ค่อยร้อนเหมือนชื่อแล้วถามขึ้น
   “Because that staff wrote down my name on that cup. That why I paid nothing special” (เพราะว่าพนักงานเขียนชื่อฉันลงไปบนแก้วไงฉันถึงได้จ่ายน่ะ ไม่มีอะไรพิเศษหรอก) คนตาฟ้าที่เริ่มเอามือเกยคางและทำตาปรือๆ ด้วยว่าสายลมอาจจะพัดไปที่ตาเขาเข้าจนทำให้คนผมสีวอลนัทเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาก็เป็นได้
   “Um… And can I ask you something, who is the guy that gives charm and ticket to me?” (อืม... งั้นฉันถามหน่อยได้ไหมใครกันที่เป็นคนเอาจี้และตั๋วชิงช้าสวรรค์มาให้ฉันน่ะ) ถึงแม้คำตอบของคนตาฟ้าจะไม่ใช่สิ่งที่คนตัวเล็กอยากได้ยิน แต่อย่างน้อยเขาก็อาจจะได้คำตอบอย่างอื่นที่เขาตามหากับคนข้างๆ ก็ได้
   “I can’t tell you but you will know at soon” (ฉันบอกนายไม่ได้หรอก แต่เดี๋ยวนายก็จะรู้เร็วๆ นี้แหละ) คนตาฟ้าหันกลับมามองธันด้วยรอยยิ้มที่ดูแปลกๆ
พอมาคิดๆ ดูรูเบนเหมือนคนที่มีสองบุคลิกอยู่ในตัวอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ตอนพวกเขาเดินทางไปยังศูนย์พิทักษ์พันธ์สัตว์ป่าฯ รูเบนก็ดูจะสามารถเข้าถึงได้และถ้าหากคนตัวเล็กไม่ได้คิดไปเองก็ดูเหมือนคนข้างๆ จะรู้สึกอะไรบางอย่างกับเขาด้วย แต่มาวันนี้คนๆ นี้ กลับดูห่างไกลและเข้าถึงไม่ได้เลย ซึ่งบางทีให้มันเป็นแบบนี้ก็อาจจะดีแล้ว เพราะตัวเขาเองก็รู้อยู่เต็มอกว่า เพื่อนของเขาชอบรูเบนและมันคงไม่ดีแน่ที่จะต้องมาผิดใจกันในเรื่องแบบนี้ เขาก็แค่เป็นคนที่อยากจะทำให้ทุกคนมีความสุข แม้มันจะต้องแลกกับการเก็บซ่อนความรู้สึกอะไรบางอย่างของตัวเขาเองก็ตาม
   “กึกๆ กึกๆ กึกๆ แอ๊ดดดดด”เสียงเฟืองเหล็กกระทบกันอย่างไม่เป็นจังหวะดังขึ้นและสิ้นสุดลงด้วยเสียงที่คล้ายกับมีอะไรฝืดๆ ติดอยู่ตรงข้อต่อเหล็ก แต่เสียงนั้นก็ไม่น่าหวั่นใจเท่ากับตอนนี้ชิงช้าสวรรค์นั้นได้ค้างเติ่งอยู่ตรงกลางท้องฟ้าในจุดกึ่งกลางที่มีความสูงที่สุดพอดิบพอดี ซึ่งนั่นก็เกินพอที่จะทำให้คนตัวเล็กตาเหลือกและเริ่มกวาดตามองหาปุ่มช่วยเหลือที่อยู่ด้านในกระเช้าและมันน่าหวั่นใจเหลือเกินว่าจะไม่มีปุ่มนั้นอยู่ในนี้
   “Oh my god, Do you see any button or something it could help us.” (โอ้พระเจ้า นายเห็นปุ่มหรืออะไรที่จะสามารถช่วยเราได้บ้างไหม) ธันเริ่มจะสติกระเจิงและมันสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนบนสีหน้าและน้ำเสียงของเขา แต่กลับกันคนตาฟ้าดูใจเย็นมาก แม้ในสถานการณ์วิกฤติแบบนี้และนั่นก็ทำให้คนตัวเล็กเริ่มจะระเบิด
   “Hey, can you say something or find some help I don’t want to die here” (นายช่วยพูดหรือทำอะไรหน่อยได้ไหมฉันไม่อยากจะมาตายอยู่บนนี้นะ) คนผิวแทนพูดขึ้นอย่างมีอารมณ์เพราะตั้งแต่เขาร้องขอให้รูเบนลองมองหาสิ่งต่างๆ ที่จะสามารถช่วยพวกเขาได้แต่จนถึงตอนนี้คนตาฟ้าก็ยังไม่เห็นจะทำอะไรสักอย่างนอกจากกดมือถืออย่างใจเย็น
   “Can you calm down” (ช่วยใจเย็นหน่อยได้ไหม) คนตาฟ้าจ้องมองในตาของคนตัวเล็กอย่างไม่สะทกสะท้านจนธันเริ่มจะมีอารมณ์หนักขึ้นไปอีก ทั้งอารมณ์ที่เกิดจากความกลัวและความที่ไม่ได้ดั่งใจ
   “Come down what we are going to die and you oop” (ใจเย็นอะไรละ เรากำลังจะตายกันแล้วแล้วนายยัง อุ๊บ) อารมณ์โมโหและหวาดกลัวที่อยู่ในใจธันถูกพัดดับวูบลงด้วยริมฝีปากสีกุหลาบของชายนัยส์ตาสีฟ้า
เพราะในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรอีกสักอย่างด้วยความตื่นตกใจ มือหนาก็รั้งเอวสอบเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วจนเจ้าของเอวไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะรีบกดริมฝีปากนุ่มเข้ามาประกบกับริมฝีปากบางด้วยความนุ่มนวลและอบอุ่นเหมือนดวงตะวันยามเช้า จนความร้อนนั้นแผ่ซ่านจากหน้าลามไปทั่วตัวและแม้ลมหนาวภายนอกยังคงพัดมาอย่างไม่หยุดหย่อน แต่มันก็คงจะไม่มีผลอะไรกับคนตัวเล็กอีกต่อไป เมื่อร่างกายและหัวใจของคนตัวเล็กถูกโอบกอดไว้จากมือหนาที่ยังคงจับเอวบางอย่างอ้อยอิ่งและดูทีท่าว่าคงจะยังไม่ปล่อยในเร็วๆ นี้แน่
แม้สมองส่วนหนึ่งจะร้องตะโกนออกมาว่าให้เอามือผลักออกไปเพราะคนๆ นี้เป็นของฮานะ เป็นคนที่เพื่อนเขาชอบ แต่สมองส่วนที่เหลือกลับเหมือนค่ำคืนที่มีดอกไม้ไฟหลากสีถูกจุดอยู่เต็มท้องฟ้า มันช่างสวย เปล่งประกาย และงดงามจับใจจนยากจะลืมเลือน
    “I said calm down” (ฉันบอกว่าใจเย็นยังไงล่ะ) รูเบนพูดด้วยเสียงกระเส่าก่อนจะก้มลงจุตพิตอย่างแผ่วเบา บนริมฝีปากของธันอีกครั้งที่ตอนนี้มันขึ้นสีแดงระเรื่อจากการโดนกดจูบในครั้งก่อน และในวินาทีนี้คนตัวเล็กก็ไม่สามารถรับรู้ได้อีกต่อไปว่าคนผมสีวอลนัทพูดโดยใช้น้ำเสียงแบบไหนที่จริงแล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่เขามองตาอยู่พูดว่าอะไร
เพราะขนาดด้านล่างมีเทศกิจวิ่งไล่พ่อค้าแม่ค้าจนเสียงดังวุ่นวายและลูกโป่งถูกปล่อยหลุดมือลอยขึ้นมาเต็มท้องฟ้า ก็ไม่ยังไม่สามารถดึงความสนใจของคนตัวเล็กไปได้เลย เพราะในสมองของเขาตอนนี้มีเสียงเพลงเพลงหนึ่งดังก้องอยู่ในหัว ส่วนหัวใจก็ถูกพัดให้ลอยละลิ่วปลิวขึ้นมาด้วยความรู้สึกและอารมณ์อ่อนไหว เหมือนกับลูกโป่งหลากสีที่ลอยไปมาอย่างไม่รู้ทิศรู้ทางจากสายลมหนาวในฤดูใบไม้ผลินี้
   “This is our place, we make the rules
And there's a dazzling haze, a mysterious way about you, dear
Have I known you twenty seconds or twenty years?
Can I go where you go?
Can we always be this close forever and ever?
And ah, take me out, and take me home
You're my, my, my, my lover”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-07-2020 15:18:41 โดย DaydreamIsland »

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ธัน ความโกรธบังตาและไม่ชอบคนขี้เก็ก ถ้าใจเย็นสักนิดก็จะรู้ว่าใครเป็นคนนัดและให้ตั๋วมา
เมื่อเจอตัวกับเป็นห่วงความรู้สึกเพื่อนอีกว่า ฮานะชอบรูเบนเลยปิดกั้นความรู้สึกไปอีก
แต่ที่คิดไว้ว่าได้จูบคนที่อยู่บนชิงช้าสวรรค์จะได้อยู่คู่กันตลอดไป แม้ไม่ได้ตั้งใจ ก็สมหวังแล้วดิ
 :z2: :z2: :z2:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
คนเขียนแอบอยากถามนิดหนึ่ง ว่าฉาก NC มีผลต่อยอดอ่านมากน้อยขนาดไหนกันเหรอครับ
ป.ล. เป็นการอยากรู้ส่วนตัวเฉยๆ ไม่ได้มีผลอะไรกับเส้นเรื่องนะครับ

ออฟไลน์ DaydreamIsland

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 52
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
   วันนี้เรื่องราวมันเริ่มต้นขึ้นด้วยสายลมเย็นเอื่อยๆ แผ่วๆ แสงแดดรำไรยามเช้าและเงาเล็กๆ ใต้ต้นไม้สูงใหญ่ชื่อว่า Golden Penda
   “แล้วถ้าเป็นมึงอ่ะ มึงจะทำยังไง เขาเป็นคนที่เพื่อนมึงชอบนะเว้ย แถมเพื่อนมึงก็พูดออกตัวกับมึงมาตั้งนานแล้วด้วย” ธันถามคนปลายสายด้วยน้ำเสียงที่มีความสับสนและเอ่อล้นไปด้วยความกังว
   “ก่อนจะไปถึงว่าเพื่อนมึงชอบเขาอ่ะ กูขอถามมึงหน่อยว่าเขาชอบเพื่อนมึงหรือเปล่า”เสียงปลายสายที่ฟังยังไงก็ดูเป็นผู้หญิงแต่เจ้าตัวกลับบอกว่าเสียงแบบตน เป็นเสียงของผู้ชายหวานๆ ต่างหาก
   “อันนั้นกูก็ไม่รู้นะ แต่ตัวผู้หญิงเขาก็ดูพยายามเต็มทิอยู่นะ ไหนจะทำข้าวกลางวันมาฝากทุกวัน พยายามชวนไปไหนมาไหนด้วยทุกครั้งที่มีโอกาส เวลาลงรูปอะไรในไอจีหรือเฟสบุ๊คก็ชอบแท็กหาผู้ชายตลอด” คนตัวเล็กเล่าการกระทำพักหลังๆ ที่สาวญี่ปุ่นปฏิบัติต่อหนุ่มตาฟ้า
   “แล้วผู้ชายล่ะ เขาตอบโต้ยังไง”จ๊ะเอ๋ถามกลับทันควันหลังจากธันพูดยังไม่ทันจะจบประโยคดี
   “เอ่อ...ไม่รู้สิ หมอนั้นก็ดู ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นะ” ธันพูดอย่างไม่เต็มเสียงเท่าใดนัก เพราะเอาเข้าจริงแล้วในเวลาพักกลางวัน กับข้าวของฮานะที่ทำมาให้รูเบนกินก็มักจะเหลือทิ้งเป็นประจำ ไหนจะการปฎิเสธแบบไร้เยื่อใย ในทุกครั้งที่สาวเจ้าชวนไปไหนมาไหนอีก ส่วนเรื่องที่จะมาตอบหรือมาคอมเม้นท์อะไรคืนในโลกโซเชียลน่ะเหรอ แทบจะไม่ต้องพูดถึงก็คงเดาได้มั้ง
   “แล้วกับมึงล่ะ เขาปฏิบัติตัวยังไง”เสียงปลายสายพูดขึ้นมาอย่างเรียบๆ และเว้นช่วงไปหลายอึดใจเพื่อให้คนตัวเล็กได้ทบทวนและคบคิดสิ่งที่ตนได้รับมา
   “ก็ปกตินะก็ แต่เขาชอบแอบจิ้มกับข้าวในกล่องของกู เวลากูหันหน้าไปทางอื่น แล้วหลังจากได้เฟสกับไอจีกูไปก็ชอบมากดไลค์ให้บ่อยๆ แต่มันก็ดูธรรมดาปะวะ ก็แค่เพื่อนกัน”ธันนึกไปถึงทุกช่วงกลางวันที่เมื่อไม่มีใครจับตามองรูเบน เขาก็จะรีบใช้ความไวของมือแอบฉกฉวยอาหารจากจานของคนตัวเล็ก ซึ่งบ่อยครั้งที่เจ้าของอาหารหันมาพบแต่หัวขโมยก็จะทำเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าวันไหนคนผมสีวอลนัทไม่มีจังหวะได้หยิบฉวยกับข้าวจากคนผิวแทนแล้วละก็ หลังจากมื้อกลางวันก็จะได้เห็นคนบางคนทำหน้าเหมือนปวดท้องตลอดเวลา
   ส่วนเรื่องเฟสบุ๊คและไอจีนั้นคนตัวเล็กไม่ได้มองว่ามันพิเศษหรือผิดปกติอะไรเพราะว่าวันที่ รูเบนขอเฟสบุ๊คและไอจีคนผิวแทน เขาก็ไม่ได้ขอแค่กับคนผิวแทนคนเดียว แต่ว่าขอกับทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นโดยคนตาฟ้าบอกว่า เขาเพิ่งจะสมัครเฟสกับไอจี เลยอยากมีเพื่อนในโลกออนไลน์เยอะๆ แล้วจากมุมมองของคนตัวเล็กการที่คนที่เพิ่งเข้ามาเล่นโซเชียลมีเดียจะมากดไลค์ให้บ่อยๆ ก็อาจจะเป็นเพราะยังไม่รู้ละมั้ง ว่าควรจะกดไลค์กับสิ่งที่ตัวเองสนใจจริงๆ หรือบางทีตานี้อาจจะเป็นพวกกดไลค์ไปเรื่อยก็ได้
   “เหรอ แล้วมึงละมึงรู้สึกอะไรกับเขาบ้างไหม” คำถามของจ๊ะเอ๋เป็นคำถามที่เรียบง่ายมากแต่มันก็ทำให้ผู้ถูกถามรู้สึกสะอึกได้เช่นกัน เพราะพอลองค้นเข้าไปในหัวใจของธันแล้วนั้นมันช่างดูขมุกขมัว สับสนและยุ่งเหยิง บางครั้งมันก็รู้สึกพองโตยามที่รูเบนเข้ามาคุยดีๆ ด้วย ถึงส่วนใหญ่จะเข้ามาพูดจากวนอวัยวะเบื้องล่างมากกว่าก็เถอะ ไหนจะรอยยิ้มที่ดูงดงามและอบอุ่นที่คนตาฟ้าชอบแอบยิ้มมาทางเขาทุกครั้งที่สบโอกาสอีก แต่ก็อีกนั้นแหละ เพราะคนตัวเล็กนั่งตรงกลางระหว่างพี่ซีอิ๊ว และ เจ้าเตย ก็เลยบอกได้ไม่เต็มปากว่าหนุ่มผมสีวอลนัทมอบรอยยิ้มนี้ให้ใครกันแน่ แต่เรื่องที่มันเกาะกุมหัวใจคนตัวเล็กมาสักพักแล้วน่าจะเป็นเรื่องจูบวันนั้นที่บนชิงช้าสวรรค์มากกว่า
   เพราะหลังจากที่เครื่องกลับมาทำงานเป็นปกติและหมุนลงมาบรรจบตรงพื้นดินจนทั้งคู่สามารถก้าวออกมาจากกระเช้าได้แล้วนั้น ต่างฝ่ายต่างก็เงียบใส่กันเหมือนกลับจะปล่อยให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างบนนั้นเลือนหายไปกลับสายลมแรงของวันนั้น และถึงแม้คนตัวสูงจะเดินมาส่งคนตัวเล็กถึงหน้าที่พักแต่ระหว่างทางที่เดินมา ก็ไม่มีใครจะปริปากพูดอะไรต่อกันเลยแม้เพียงประโยคเดียว คงจะมีก็แต่เพียงสายตาที่มันดูสั่นไหวและรอยยิ้มที่ยังดูไม่มั่นคงจากคนผิวแทนที่มอบให้คนผิวขาว
แต่สิ่งที่น่าตลกก็คือรูเบนไม่เคยจะรู้เลยว่าตนได้รับสายตาและรอยยิ้มแบบนั้น เพราะว่าคนตัวเล็กมอบทั้งรอยยิ้มและแววตาของตนให้กับอีกฝ่าย เมื่อบานประตูด้านหน้าที่พักถูกปิดลงไปแล้ว ซึ่งตั้งแต่วินาทีนั้นจนถึงตอนนี้ทั้งคู่ก็ยังไม่ได้เปิดใจพูดถึงเรื่องเหตุการณ์ในวันนั้นต่อกันเลย
“ถ้าถามกูตอนนี้กูก็ยังตอบไม่ได้ว่ะมึง จริงๆแล้วมันก็อาจจะเร็วไปสำหรับกูด้วยหรือเปล่า ที่จะรู้สึกดีกับใครแบบนั้น กูกับพี่กราฟเลิกกันยังไม่ถึงห้าเดือนเลยนะเว้ย” คนตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นไหวจากแผลใจเมื่อครั้งอดีตที่ยังไม่หายจากอาการตกสะเก็ดดี
“มึง จากสิ่งที่มึงเล่าให้กูฟังมานะ กูว่าเขาไม่ได้ชอบเพื่อนมึงหรอกว่ะ”คนปลายสายพูดมาด้วยเสียงนิ่งๆ เหมือนกับผิวน้ำยามคลื่นลมสงบ มันดูใสและไร้ซึ่งอคติใดๆ
“ทำไมมึงถึงคิดอย่างนั้นวะ” ธันถามกลับไปด้วยความรู้สึก ปนๆ กัน ทั้งแอบดีใจนิดๆ ที่มีคนคิดเหมือนเขาว่าคนตาฟ้าไม่ได้ชอบฮานะ แต่ก็แอบรู้สึกแย่อยู่ในทีเพราะตนดันมามีความสุขบนความตั้งใจและความพยายามที่ดูเหมือนจะสูญเปล่าของเพื่อนแบบนี้
“มึง ถามความเป็นผู้ชายที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวมึงดูสิ ผู้ชายอ่ะนะ ถ้าลองได้ชอบใครแล้วมันพุ่งเข้าหาเต็มที่อยู่แล้ว ไม่มีถอยหรอก อาการที่แบบดูไม่ค่อยสนใจแบบนี้มันก็มีความหมายอยู่ในตัวอยู่แล้วป่ะ” จ๊ะเอ๋ที่แม้จะยังมีร่างกายบางส่วนเป็นผู้หญิงอยู่แต่ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณนั้นเป็นผู้ชายมานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะสามารถพูดความรู้สึกนึกคิดในมุมมองของผู้ชายได้โดยไม่มีผิดเพี้ยน
“แล้ว มึงว่า เอ่อ...มึงว่าเขาคิดยังไงกับกู”คนตัวเล็กช่างใจอยู่เสี้ยววินาทีหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยถามไปด้วยหัวใจที่ดูจะสั่นไหวเล็กน้อยเหมือนกัน
“อันนี้กูคิดว่าเขารู้สึกดีกับมึงอยู่นะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบเพื่อนหรือว่าจะพัฒนาต่อไปได้มากกว่านี้ เพราะข้อมูลที่มึงให้มามันน้อยมาก มึงไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นปิดบังกูใช่ไหม” ปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงคาดคั้นเหมือนกับคนสนิทที่จะรู้แกวกันและกันว่าอย่างไหนคือเล่าหมดแล้วและอย่างไหนคือยังกั๊กไว้
“อะไร ไม่มี กูเล่าไปหมดแล้วไง” อันที่จริงถ้าไม่นับเรื่องการถูกจูบบนชิงช้า ทั้งเหตุการณ์ที่คนตาฟ้ากินแซนด์วิชด้วยการป้อนของคนตัวเล็กบนรถ การขี่สกูตเตอร์ไปส่งถึงหน้าที่พักในค่ำคืนที่มืดมิดและเหน็บหนาว รวมถึงการที่กินอาหารที่ไหม้เกรียมจากการแกล้งของเขาจนหมด ทุกอย่างที่เขาได้พบเจอมาก็ถูกเล่าออกจากปากของคนผิวแทนสู่คนปลายสายด้วยความจริงล้วนๆ โดยไม่มีการใส่สี ใส่ไข่ใดๆ เพราะคนตัวเล็กก็ต้องการความเห็นที่เที่ยงตรงกันเช่นเดียวกัน
“ถ้างั้น กูก็ตอบได้เท่านี้แหละ เออ ยังไงดูแลตัวเองด้วยนะมึงกูต้องไปแล้ว พอดีต้องออกไปทำมาหากินอ่ะ ไม่ได้ว่างเหมือนใครบางคน”คนปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก ก่อนจะได้รับรางวัลเป็นการสบถคำบางคำกลับไปอย่างรวดเร็วก่อนจะทันได้กดวางสาย
“ฉันรู้สึกดีกับนาย ส่วนนายก็อาจจะรู้สึกดีกับฉันเหมือนกัน มันหมายความว่ายังไงกันนะ” คนตัวเล็กลุกขึ้นพร้อมกับยัดโทรศัพท์ที่เพิ่งจะกดวางสาย ลงไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่ง ก่อนจะเริ่มออกเดินกลับบ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปเล็กน้อย โดยทิ้งดอกเพนซีสีม่วงที่ร่วงหล่นลงจากม้านั่งสู่พื้นด้านล่างและตามทางที่เขาก้าวเดินไปด้วย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด