คุนคุน ชาแนล #คุนแฟง| EP. 46| 04.07.2020 ❤️❤️ (End)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คุนคุน ชาแนล #คุนแฟง| EP. 46| 04.07.2020 ❤️❤️ (End)  (อ่าน 12626 ครั้ง)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ mylittleY

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :mew1: :mew2:

รออยู่นะคะ
รีบมาต่อน้าาาา

ออฟไลน์ Yarkrak

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
“ อัพทุกวันคะ “

หรือ “ อัพทุกวันนะคะ “

หรือ “ อัพทุกวันค่ะ “

ออฟไลน์ Ppeachmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
---ตอนที่ 41---

แฟง's part

ปัง!

ประตูห้องนอนถูกกระแทกเข้ากับกรอบประตูเสียงดังจากอารมณ์ของคนตัวเล็กที่ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกออกจากโซฟาเดินดุ่มๆเข้าห้องไม่หันกลับมามองผมอีกเลย

โอเค

โกรธชัวร์!

ตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่อีกคนจะปิดประตูใส่หน้าผมเหมือนกับครั้งนี้มาก่อน ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าไม่เคยทะเลาะกันเลยจะดีกว่า อย่างมากก็แค่งอนกันไม่ถึงสิบนาที ไม่ผมแกล้งคุน คุนก็แกล้งผม แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ ฟังจากเสียงกระแทกประตูห้องนอนก็พอเดาสถานการณ์ออกแล้ว

มึงนี่ปากไม่ดีจริงๆเลยนะไอ้แฟง! ต้องโกรธเบอร์ไหนวะถึงได้ล๊อคห้องนอนแล้วไม่ออกมาจากในนั้นอีกเลย

โอ้ยยยยย!

คงจะโกรธจริงจัง เพราะดูจากสายตาอีกคนก่อนลุกออกจากโซฟาก็รู้ ผมไม่เคยเห็นสายตาแบบนั้นของอีกคนมาก่อน มันไม่ได้มีแค่ความโกรธอย่างเดียว มันทั้งผิดหวัง ทั้งเศร้าปนอยู่ในนั้น นี่ผมทำอะไรไปวะเนี่ย

ตั้งแต่ประตูบานนั้นปิดลงผมเดินไปเคาะประตูห้องนอนเกือบสามสิบรอบเห็นจะได้ แต่อีกคนก็ไม่เปิดประตูออกมาเลยสักครั้ง พอโกรธแล้วใจแข็งชิบหายเลยเมียกู!

"คุน พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น"

"คุนคุน"

"คุนครับ เปิดประตูให้พี่หน่อย"

"ที่รัก"

"น้องคุน"

"พี่รู้ว่าพี่มันแย่พูดจาอะไรไม่เข้าท่า พี่ให้คุนตีพี่เลย มาเร็วออกมาตี"

"คุน อย่าโกรธพี่แบบนี้ พี่ไม่อยากนอนข้างนอกคนเดียว นะ คุนคุน"


โอเค

เมียโคตรโกรธ

พูดเลย.....

ถ้าขอพรจากฟ้าได้ตอนนี้ผมขอย้อนเวลาไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วได้มั้ยครับ ถ้าย้อนไปได้ผมจะไม่พูดประโยคบ้าๆนั้นออกมาเลย ไอ้ประโยคบ้าๆนั้นที่ทำคนที่ผมรักเสียใจแบบนี้

ผมยืนเคาะประตูห้องนอนอยู่เกือบสองชั่วโมง แต่คนด้านในก็ไม่ยอมเปิดมันออกมา ร้อยคำขอโทษที่ถูกเอื้อนเอ่ยออกไป ร้อยคำอ้อนวอนที่ถูกสรรหามา สารพัดวิธีสำนึกผิดที่ได้จากเพื่อนเลิฟอย่างนาที กับเพื่อนห่างเหินอย่างธันวาล้วนถูกนำมาใช้หลายต่อหลายวิธีแต่ดูเหมือนไอ้เด็กตัวนุ่มนิ่มที่อยู่อีกฝั่งของประตูจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับวิธีไหนเลยสักนิด

ผมนั่งลงเอาหลังพิงประตูห้องนอนอยู่นานเพราะยืนเคาะประตูอยู่เกือบสองชั่วโมงนั้นเล่นเอาขาแทบทรุด

ไลน์~~

Minute: ไง ง้อเมียสำเร็จรึเปล่า
fAnG: ห่างไกลคำว่าสำเร็จหลายขุม ไอ้เหี้ย ใจแข็งชิบหาย
Minute: กูขอร้องสมน้ำหน้าดังๆหน่อยเหอะ มึงใช้สมองหรือส้นตีนคิดวะ พูดอะไรแบบนั้นออกไปได้ไง
fAnG: เออกูโง่เองแหละ สงสัยทุกวันนี้ใช้ส้นตีนนำทางชีวิตอยู่ ซ้ำเติมเหลือเกิน นี่เพื่อนนะนาที
Minute: เลิกเป็นเพื่อนกันคนโง่วะ ส่วนน้องแม่งก็ใจแข็งชิบหาย เห็นอะไรๆก็คร้าบบบๆๆตลอด โกรธทีนี่เอาเรื่องนะแฟงนะ
fAnG: เออใจแข็งยิ่งกว่าเพชรอีกมึง นี่ขนาดกูบอกว่าจะเอาอันอันไปปล่อย คุนมันยังไม่ออกมาจากห้องเลยคิดดู
Minute: เชี่ยย คดีแรกยังไม่หลุด ก่อคดีสองอีกหรอมึง
fAnG: ก็ล้อเล่นเฉยๆ เผื่อฟลุ๊ค คิดว่ากูทำจริงไรงี้
Minute: เล่นเป็นเด็กเลยนะมึง เปลี่ยนไปเยอะรู้ตัวมั้ย
fAnG: ?
Minute: มึงเคยสนใจใครที่ไหน คนก่อนๆของมึงกูก็ไม่เห็นมึงเคยไปง้อเค้า อยากไปไหนก็ไป อยากโกรธก็โกรธ โนสนโนแคร์ ขนาดมาร้องไห้หน้าคณะมึงยังไม่ลงมาดูเลย
fAnG: อืมจริง คนนี้กูรักมากมั้ง
Minute: หมดกันพ่อนักตกมือทอง แคร์เค้าขนาดนั้นแล้วบอกให้เค้าไปทำไม ไอ้ควาย ขอด่าอีกสักรอบ คันปาก
fAnG: ไม่ได้อยากให้ไป ก็แค่ถามเฉยๆ
Minute: มึงจะเอาเรื่องของไอ้จูกับฟาร์มาอ้างอิงไม่ได้ ความสัมพันธ์ใครความสัมพันธ์มัน
fAnG: เดี๋ยวก็กูไม่มีเวลา มึงก็รู้
Minute: กูรู้ แต่ไม่ใช่ทุกคู่จะเลิกกันด้วยเหตุผลนี้ป่าววะ บางคนมีเวลาให้กันก็ยังเลิกกันเลย เหตุผลในการเลิกกันมีเป็นหมื่นอย่าง
fAnG: กูก็ไม่ได้อยากเลิก แค่บอกคุนมันไปเฉยๆว่าต่อไปมันจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ถ้ามันไม่โอเค กูก็ไม่อยากรั้งไว้ น้องมันยังเด็ก
Minute: ถ้าคิดแบบนั้น แล้วเข้าหาเค้าแต่แรกทำไม
.
.
.
Minute: อ้าว เงียบ ไอ้สัส หลับหรือจุกกับคำถามกู?
fAnG: อย่างหลังวะ
Minute: โตแล้ว ทำอะไรรับผิดชอบด้วย ทั้งความรู้สึกตัวเอง และความรู้สึกคนอื่น ถ้าอยากปล่อยไปก็ทำให้ได้ตามนั้น แต่ถ้าไม่อยากปล่อยมือเค้า ก็จับไว้ให้แน่น จำไว้ คุนคุน มีคนเดียวในโลก เหมือนกับที่กมายเวย์ก็มีคนเดียวใรโลกเหมือนกัน มึงอยู่กับกูตอนที่กูอ่อนแอที่สุด มึงเป็นคนพูดประโยคนี้เองจำได้รึเปล่า
fAnG: พึ่งจะจำได้ ขอบใจมาก
Minute: อือ รีบตาสว่างสักที ไม่อยากมีเพื่อนโง่วะ เอาจริงๆ
.
.
.
.
.

แกร๊ก!

ผมตัดสินใจหยิบกุญแจห้องนอนที่วางอยู่ในลิ้นชักหน้าห้องออกมาไขประตูห้องเข้าไป ใจจริงไม่อยากทำแบบนี้ แต่ไม่อยากให้เรื่องมันคาราคาซังไปถึงวันพรุ่งนี้

กึก!

"คุน มานั่งตรงประตูทำไม" ผมเอ่ยขึ้นเมื่อประตูที่ผลักเข้าไปนั้นมันไปชนกันคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ที่พื้น คุนคงจะนั่งพิงประตูเหมือนที่ผมทำอยู่เมื่อครู่ โชคดีที่ผมไม่ไดเผลักประตูเข้าไปแรง ไม่งั้นอีกฝ่ายคงได้กระเด็นไปอยู่ปลายเตียงแล้วแน่ๆ

"ขอพี่เข้าไปหน่อยนะครับ" ผมเอ่ยขึ้นเมื่ออีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะขยับออกจากประตูทำให้ไม่สามารถเปิดประตูเข้าไปได้ ทำได้เพียงแค่แง้มให้มันเปิดออกได้เพียงเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ขยับตามที่ร้องขอผมจึงนั่งลงที่พื้นเอาหบังพิงประตูบานเดียวกันอยู่แบบนั้นสักพัก เสียงสะอื้นจากด้านในห้องดังออกมาเป็นระยะๆกระทบประสาทการรับฟังอยู่หลายนาที อยากจะเข้าไปกอดแต่ก็ทพไม่ได้ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมขยับตัวออกจากประตู ผมเองก็ไม่อยากจะผลักมะนเข้าไปให้อีกฝ่ายเจ็บตัว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือนั่งฟังเสียงสะอื้นที่ลอดผ่านประตูห้องนอนที่มือสนิทออกมาเพียงเท่านั้น

เชี่ย คุนร้องไห้ แต่ทำไมใจผมมันเจ็บวะ

"คุน ไม่ร้องได้มั้ย ถ้าโกรธก็ออกมาตีพี่แทนเถอะ ร้องแบบนี้พี่เจ็บจนจะตายแล้วนะ" นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บในหน้าอกเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนร้องไห้

ฮือๆๆๆ

"พี่ขอโทษ" อีกฝ่ายหยุดเสียงสะอื้นไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับมา ผมจึงตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาทั้งหมด อย่างน้อยก็ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ว่าผมคิดอะไร ถ้าเขาเลือกจะไปจริงๆ ก็อยากให้เขารู้เหตุผลของการเริ่มต้นเรื่องนี้

"พี่ไม่ได้อยากให้คุนไปไหน ไม่ได้อยากเลิก ไอ้ความคิดเห็นแบบนั้นไม่เคยอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ ที่ถามออกไปคือพี่ไม่อยากเป็นคนเห็นแก่ตัวไงคุนเข้าใจพี่มั้ย เป็นแฟนพี่ต่อไปคุนอาจจะต้องเหนื่อยกับการรอพี่มากินข้าวด้วย รอพี่กลับบ้าน อาทิตย์หนึ่งอาจจะเจอกันไม่ถึงสองครั้งด้วยซ้ำ ต่อไปพี่คงไม่มีเวลามาดูแลเอาใจใส่คุนเหมือนตอนนี้ พี่แค่อยากให้โอกาสคุนได้ลองคิดทบทวนดู ถ้าคุนไม่โอเคกับอนาคตแบบนี้ พี่ก็ไม่อยากรั้งคุนไว้ อยากให้คุณได้มีโอกาสไปเจอคนดีๆ พี่แค่..." ผมหยุดประโยคไว้แค่นั้นเมื่อรู้สึกถึงแขนเล็กที่เอื้อมมาโอบรอบคอผมไว้ พร้อมกับกลิ่นหอมที่คุนเคยที่ซบลงบนบ่าผม

"คุนไม่เลิก ฮือๆๆๆ ไม่เอา ไม่เลิก ฮือๆๆ"

คนตัวเล็กร้องไห้สะอื้นส่งเสียงสั่นเครือเบาๆออกมา จนผมต้องดึงเจ้าตัวมานั่งคุกเข่าที่ด้านหน้าผม แล้วสอดแขนหนาของตัวเองโอบรอบเอวของของอีกคนไว้แทน

"พี่แฟง จะ ใจร้าย ฮือๆๆ" เสียงหวานตัดพ้อผมแถมยังเอากำปั้นทุบลงไปบนแผ่นอกกว้างของผมอย่างแรงอีกหลายที โอเค มันเจ็บ แต่คงไม่เจ็บเท่าใจของอีกคนที่ผมได้ทำลายไปในตอนนี้

"ไม่ได้ใจร้าย"

"อย่าร้องนะ หยุดร้องก่อน เนี่ยตาบวมหมดแล้ว หมดหล่อแล้วเนี่ย" คนที่ห่วงหล่ออย่าคุนคุนพอได้ยินคำนี้ก็รีบยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกจากแก้มทันที ผมมองการกระทำนั้นอย่างเอ็นดู

"พี่ไม่ได้ใจร้าย"

"ฮือๆ ใจร้ายมาก"

"โอ๋ๆๆ ไม่ร้องแล้วนะ" คนตัวเล็กเอื้อมมือมาโอบรอบคอผมไว้ทั้งที่น้ำใสๆยังไหลออกมาจากหางตาไม่หยุด ตาบวมแดง จมูกที่มักจะรั้นๆตอนเถียงผมเรื่องขอกินขนมก่อนนอนแดงเถือกเหมือนโดนน้ำร้อนลวก ส่วนปากเป็นกระจับจิ้มลิ้มนั้นก็บวมแดงเถือกอย่างเห็นได้ชัด ผมเอื้อมนิ้วมือไปปาดน้ำตาออกจากพวงแก้มยุ้ยทั้งสองข้างก่อนเลื่อนจมูกโด่งเป็นสันของตัวเองเข้าไปจรดลงบนหน้าผากขาวสองสามที สูดกลิ่นคุ้นเคยจากหน้าผากหอมที่ผมยอมรับว่าขาดกลิ่นนี้ไม่ได้เลยแม้แต่วันเดียว

"พี่ขอโทษ ....ที่ทำให้ร้องไห้"

ผมดึงคนตัวเล็กเข้ามาซบบนบ่าก่อนตบหลังอีกคนที่เริ่มสะอื้นอีกครั้งเบาๆ เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก อีกคนกอดเอวผมแน่นรวมกับกลัวว่าผมจะหายไป ผมเองก็เช่นกัน การมีตัวตนของอีกคนมันเติมเต็มชีวิตธรรมดาๆของผมมาหลายเดือนแล้ว คิดไม่ออกเลยว่าถ้าขาดอีกคนไป ชีวิตของผมจะเป็นยังไง

"พี่แฟง"

"ครับน้องคุน"

"อย่าพูดเพราะเกินคุนไม่ชิน"

"เดี๋ยวก็ชิน อยากพูดเพราะกับเมีย"

"อย่าพูดเมีย ห้าม!"

"เคๆ ไม่เมียก็ไม่เมีย" ผมหัวเราะในลำคอ เมื่ออีกฝ่ายเหวใส่เวลาที่ผมเรียกแทนสถานะว่าเมีย คุนไม่ค่อยชอบคำนี้เท่าไหร่ ยอกว่าถ้าคนได้ยินเดี๋ยวจะเสียลุคคนแมนๆได้ ไม่รู้ไปเอาความคิดคนแมนๆแยยนั้นมาจากไหน มองยังไงก็ไม่เคยเห็นอะไอ้ความหล่อที่อีกคนน้ำนักย้ำหนาว่ามี ตีลังกามองกลับมามีแต่ความน่ารักเท่านั้นที่ปรากฏบนใบหน้าจิ้มลิ้มนี้

"คุนไม่เลิก"

"รู้แล้ว พี่ก็ไม่เลิก ไม่มีวันเลิก คุนเลือกแล้วนะ ต่อไปพี่จะขังคุนไว้เลย ต่อให้ขอร้องอ้อนวอนจะไปพี่ก็ไม่มีทางให้ไป ต้องอยู่กับพี่ไปตลอดชีวิตเลย"

"โหด"

"อือ ยอมรับ"

"..."

"อดทนหน่อยนะ อีกสามปีเอง เรียนจบแล้วพี่ก็มีเวลาให้คุนแล้ว"

"นาน คุนไม่มีความอดทนขนาดหรอก"

"อ้าว"

"พี่แฟงไม่มีเวลา แต่คุนมีเวลาเหลือเฟือ"

"ยังไง"

"ก็ถ้าพี่แฟงไม่มีเวลามาหาคุน คุณก็จะไปหาพี่แฟงเอง ไปกินข้าวกับพี่แฟง ไปรับพี่แฟง ไปส่งพี่แฟง จะอดทนไม่ต้องเจอหน้ากันทำไมจริงมั้ยครับ คุนไปเฝ้าพี่แฟงที่โรงพยาบาลก็ยังได้ สบ๊ายยย"

"..."

"อ้าว เงียบทำไมครับ ไม่ดีหรอแบบนี้"

"คุน" คนตัวเล็กเงียบไปเพราะผมนิ่งกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไป ผมดันอีกคนที่แนบอยู่กับอกผมออก เราสองคนมองตากัน มันทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่อีกคนพูดนั้นมันหมายความตามนั้นจริงๆ ทั้งแววตาทั้งท่าทางที่แสดงออกมันทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำแบบที่พูดได้แน่ๆ แม้น้ำเสียงจะติดขี้เล่นตามฉบับไอ้แก้มยุ้ย

"..."

"ขอบคุณนะ พี่โคตรรักคุนเลยรู้ตัวมั้ย"

"ไม่เชื่อ"

"เชื่อเถอะ"

"ถ้ารักแล้วทำคุนร้องไห้ทำไม"

"ขอโทษครั้งที่ล้าน ขอโทษจริงๆ ได้ยินเสียงคุนร้องไห้พี่ก็เจ็บในใจไม่แพ้กันเชื่อเถอะนะคนดีของพี่ คุนไม่พูดกับพี่เมื่อสองชั่วโมงที่แล้วพี่เหมือนใจจะขาดเลยวะ เนี่ยจับดูหัวใจเต้นช้ามากเลย จะตายแล้ว" ผมกุมมือเล็กขึ้นมาวางทาบอก

"อือ"

"รักจนไม่รู้จะรักยังไงแล้ว"

"รักเหมือนกัน แล้วถ้าคุนไปจริงๆ พี่จะทำไง"

"คงนอนเฉาตายในห้องนี่แหละ รอให้นิรันดร์มาเก็บศพ"

"อยากเห็นคนเฉาตายจัง อิอิ"

"ร้ายนักนะตัวแค่นี้ หัวเราะเหมือนนางมารในหนังจีนไปได้" ผมเอื้อมมือไปบิดแก้มยุ้ยๆที่แดงเถือกและเปรอะไปด้วยคราบน้ำตาของคนตัวเล็กเบาๆด้วยความหมั่นเขี้ยว

ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ชายดิบๆเถื่อนๆอย่างนายลภัสคนนี้จะมาตกม้าตายให้กับเด็กนุ่มนิ่มแก้มย้วยคนนี้จนกู่ไม่กลับแบบนี้ แค่เห็นอีกคนเสียใจกับสิ่งที่ผมเอ่ยออกไป แค่ได้ยินเสียงร้องไห้ของอีกฝ่าย ใจผมก็เหมือนแตกสลาย แต่พออีกฝ่ายยิ้มน้อยๆแล้วก็หัวเราะเบาๆออกมาเท่านั้นแหละ เล่นเอาใจผมพองโตตามไปด้วยเลยทีเดียว เชื่อเหอะนี่แหละสาเหตุของการเป็นไบโพล่าร์ดีๆนี่เอง

ผมไม่เคยคิดเลยว่าคนที่อายุน้อยกว่าผมถึงสามปีจะมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่กว่าผมได้ขนาดนี้ ผมรู้ว่าเขาจะต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนในอีกหลายปีข้างหน้า แต่ผมเชื่อว่าเราจะผ่านมันไปได้ด้วยกัน เพราะแค่มีเขาอยู่ข้างๆ ผมก็สามารถทำอะไรทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ทั้งนั้นแหละบอกไว้ตรงนี้เลย แค่ตื่นมาได้เห็นรอยยิ้มที่สดใสเหมือนพระอาทิตย์แบบนี้ทุกวันมันก็เหมือนเป็นการเติมพลังให้ผมในทุกๆเช้าได้แล้ว
.
.
.
.

"ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิต"

"ขอบคุณที่เลือกอยู่ด้วยกัน"

ผมกระซิบข้างหูคนตัวเล็กที่กำลังสลึมสลือในอ้อมกอดผมบนเตียงกว้างก่อนที่อีกฝ่ายจะผลอยหลับไปหลังจากนั้นไม่กี่นาที


#คุนแฟง

by ppeachmm


Note: อีกไม่กี่ตอนจะจบละนะค่ะ ขอโทษที่หายไปหลายวันเลย พอดีติดธุระด่วนค่ะ กลับมาแล้วเด้อ

ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ นางฟ้าน้อย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกไม่อยากให้จบเลย :z3:

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 975
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
มาต่ออีกนะครับ อย่าพึ่งรีบจบสิ

ออฟไลน์ Ppeachmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
---ตอนที่ 42---


"งานวิจัยตัวนี้ อาจารย์ขอให้พรีเซ็นต์อีกสองอาทิตย์นะคะนักศึกษา งั้นวันนี้พอแค่นี้ แยกย้ายได้คะ ส่วนคลาสบรรยายวันจันทร์หน้ารบกวนมาให้ตรงเวลาด้วยนะคะ" อาจารย์หญิงวัยกลางคนที่ถูกเชิญมาเป็นอาจารย์พิเศศกล่าวเสร็จก็เดินออกไปจากห้องบรรยาย ทิ้งนักศึกษาปี 4 คณะแพทย์กว่าห้าสิบคนให้บ่นพึมพำกันเองต่อในห้อง บางครั้งอาจารย์ก็สั่งงานเหมือนเราเป็นซุปเปอร์แมนวะ  คิดว่าพวกเราเหล่านักศึกษาแพทย์มีเวลากันวันละ 30 ชั่วโมงรึไงวะ ราวด์วอร์ดเช้าบ่าย เข้าเวร เข้าเรียน ทำวิจัย เชี่ยยย เวลาหลับนอนกับเวลาแดกข้าวนี่แทบไม่เหลือ โหดร้ายทารุณกรรมกันจริงๆ นี่บางทีก็คิดว่ากูเรียนหมอหรือฝึกรบวะ แม่ง แทบไม่ต่างเลย อีกนิดจะพร้อมออกไปกู้ระเบิดละ

นายลภัส วิสุทธิ์รังสรรค์ หน่วยอรินทราชรุ่นที่ 21! พร้อมรบ! ผ่าม!!!!

"หิว" นาทีบ่นอุบเมื่อเราสองคนเตรียมจะเดินออกมาจากห้องบรรยายบนชั้นสามของโรงพยาบาลประจำมหาวิทยาลัย

"เหมือนกัน" ผมตอบกลับคนที่เอาแขนมาพาดบ่าผมทันที พรางก้มลงเก็บไอแพดกับโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ

"ง่วงด้วย จะแดกข้าวหรือยัดกาแฟดีวะ มีเวลาแค่ยี่สิบนาที เวลาโคตรเป็นเงินเป็นทอง" นาทียกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาก่อนจะเริ่มขมวดคิ้ว เพราะเราสองคนมีเวลาเพียงแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้นก่อนจะต้องไปเข้าเวรที่ห้องฉุกเฉินต่อ คือทุกวันนี้ทำอะไรแทบจะต้องดูเวลาทุกครั้ง เวลาจะทำอะไรก็ดูจะจำกัดไปหมด รู้สึกเหมือนตัวเองมีเวลาไม่เท่ามนุษย์คนอื่นวะ ขนาดกินข้าวยังต้องรีบยัดเลยคิดดู

"เออจริง อยากซื้อเวลาเพิ่มชิบหาย" ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่นาทีเพิ่งพูดไป อยากซื้อมาก อยากได้เวลาเพิ่มจริงๆตอนนี้

"เห็นด้วย แล้วแดกไรดีเพื่อนรัก"

"มึงเลือกเอาเหอะ" ผมเอ่ย ก่อนจะตบบ่ามันแล้วเดินลงบันไดไป นาทีไม่รอช้ารีบสาวเท้าเดินตามผมลงบันไดมาทันที

"แล้วมึงอะ กาแฟมั้ย ร้านข้าง รพ. เจ้าประจำ พักนี้มึงไม่ค่อยได้ไปน้องหมวยสุดสวยถามถึงมึงทุกวันจนกูเบื่อจะตอบ"

"ไม่อะ ไม่ไป กาแฟคุนอร่อยกว่าตั้งเยอะ"

"จ้าา พ่อคนมีเมียประเสริฐ ส่งข้าวส่งน้ำเช้าเย็น ขนาดกาแฟยังเอามาส่ง แล้วตอนนี้ยังไงไม่ไปหาไรแดกรึไง ไม่หิว!?"

"หิว แต่ไม่แดกอะไรของโรงบาลทั้งนั้น"

"ไรวะ อ้อออออออ"

"สัส! จะหวีดทำพ่องงง เสียงแหลมยังกะนกแก้ว กูว่ามึงเลิกยุ่งกับเชี่ยธันเหอะ ชักจะเหมือนมันเข้าไปทุกวันละ" ผมบ่นอุบ พักหลังมานี้นาทีมันออกไปเอาท์ติ้งน้ำเมากับธันวาบ่อยเหลือเกิน สนิทกันพอดู แถมยังติดนิสัยหวีดเสียงแหลมมาจากไอ้ธันวาอีกด้วย รำคาญชิบหายบอกเลย ผมหันไปทำหน้าเบื่อหน่ายมันก่อนจะเดินไปหาใครบางคนที่นั่งรอที่เก้าอี้หน้าโรงพยาบาล ไม่ได้หันไปดูว่ามันยืนอยู่ที่เดิมหรือเดินไปหาอะไรกินตามที่มันบอก คือเมียมาไม่สนใครทั้งนั้นแล้วตอนนี้ รีบสาวท้าวก้าวไปหาอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเหมือนทุกครั้งที่เจอกัน รอยยิ้มเดิมที่เห็นทีไรก็หายเหนื่อยทุกที นี่มันรอยยอมชาร์จพลังชัดๆ อยากจับมายัดใส่กระเป๋าจะได้พกไปไหนมาไหนได้ทุกที่ทุกเวลา ฮะ? อะไรนะ? ทำไม่ได้หรอ?  เคๆเข้าใจ

"พี่แฟง" คุนคุนยิ้มเมื่อเห็นผมเดินมา พร้อมกับยกมือขึ้นโบกไปมาเหมือนกลัวว่าผมจะมองไม่เห็นเจ้าตัว คือบอกตามตรงเลยนะ แม้เขาจะยืนอยู่ท่ามกลางฝูนชนเป็นพันคน ผมก็หาเขาเจอบอกเลย ก็เล่นขาวออร่าซะขนาดนั้น ยืนอยู่ตรงไหนก็วิ้งๆๆๆๆ ตลอดเวลา ไม่ใช่ขาวอย่างเดียวนะ ผิวเนียนด้วยขอบอก จับลูบคลำตรงไหนนี่โคตรลื่นอะ ลื่นจนอยากจับทั้งวันทั้งคืน

"หิว"

"มาๆ มานี่เลยครับ วันนี้คุนมีสเต็กหมูคุโรบูตะ กับน้ำผลไม้มาด้วยครับผม" มือบางคว้าข้อมือผมให้นั่งลงส่งเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะจัดแจงกล่องแกะปิ่นโตลายแมวมารีออกเป็นชั้นๆ กลิ่นอาหารหอมโชยออกมาเตะจมูกในทันที ผมมองดูคนด้านหน้าเคลื่อนตัวไปมาจัดแจงของบนโต๊ะหินอ่อนด้านข้างโรงพยาบาลอย่างคล่องแคล่ว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โต๊ะนี้กลายเป็นโต๊ะทานอาหารประจำของเราสองคนไปเสียแล้ว

"คิดถึง อยากหอม" ผมเอามือท้าวคางมองคนตัวเล็กจัดแจงอาหารตรงหน้าก่อนจะเอ่ยออกมา ตั้งแต่วันนั้นที่เราทะเลาะกัน คุนก็ทำตามที่พูดไว้ทุกอย่าง มาทานข้าวกับผมที่โรงอาหารของโรงพยาบาลแทบทุกเที่ยง วันไหนมีเรียนบ้านก็จะทำอาหารจากที่คอนโดมาส่งให้ ส่วนมื้อเย็นไม่ต้องพูดถึง เขาลงมือทำอาหารมาให้ผมทานที่โรงพยาบาลทุกวัน ถ้าวันไหนผมเข้าเวรแล้วต้องค้างคืนที่โรงพยาบาลอีกคนจะแวะเอาอาหารเช้ามาให้ก่อนไปเรียนทุกครั้ง ไม่รู้อีกฝ่ายเหนื่อยรึเปล่า แต่เห็นหน้าทีไรก็ยิ้มกว้างทุกที เอาอาหารมาส่งผมวันละหลายๆมื้อขนาดนี้ จากคนที่ขับรถไม่แข็งกลายเป็นคุนคุนตีนผีไปแล้ว ขับแซงซ้ายทีขวาที อีกนิดก็จะดริฟท์ได้แล้วเนี่ยไอ้ตัวเล็กของผมเนี่ย

"ตรงนี้ได้หรอครับ" คุนจับช้อนกับมีดใส่ในมือผมก่อนจะเอ่ยถามเบาๆ เหมือนไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมขอนั้นมันสามารถทำได้ในที่แบบนี้ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆก่อาจะเอ่ยออกมาเสียงเบา น่ารักไม่มีใครเกินละคนนี้ คำว่าน่ารักเท่าจักรวาลที่เคยบอกยังดูน้อยไปเลยเถอะ

"ไม่ได้ไง ถึงต้องบอกว่าอยากหอม เพราะถ้าอยู่ที่ห้องนี่คือหอมไปแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาพูดหรอก ยังอุ่นอยู่เลย อร่อย" ผมเอ่ยชมอีกคนเมื่อลิ้นสัมผัสรสชาติกลมกล่อมจากหมูที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปาก

"ทานให้หมดนะครับ คุนได้สูตรมาจากหม่าม๊า หมูนิ่มมมมาก หมักไว้ตั้งนานแหนะ" เชฟใหญ่ได้ทีก็เริ่มสาธยายสูตรอาหารให้ผมฟัง ตั้งแต่เริ่มขั้นตอนจนถึงขั้นตักใส่ปิ่นโต ฟังแล้วก็เหนื่อนแทนเอาจริงๆ

"วันหลังทำอะไรง่ายๆก็ได้ เหนื่อยเปล่าๆ" ผมเอ่ยบอกไป

"ไม่เหนื่อยๆ คุนชอบทำ สนุกดี" ส่วนอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาในทันที เห็นสายตาที่ส่งมาก็ดูออกว่าอีกฝ่ายตั้งใจและอยากทำให้แค่ไหน คุนคุนเป็นคนชอบทำอาหาร และที่สำคัญที่สุดคือเขาชอบทำให้ผมกิน เพราะเขาบอกว่าเห็นผมกินอร่อยแล้วเจ้าตัวก็มีความสุขไปด้วย
.
.
.
.

"แล้วพรุ่งนี้ป๊ากับม๊าเครื่องแลนด์กี่โมง"

"บ่ายสามครับผม พี่แฟงเหนื่อยรึเปล่า ถ้าเหนื่อยคุนไปคนเดียวได้นะครับ"

"ไม่ๆ คืนนี้ออกเวรเที่ยงคืนก็จบแล้ว แลกเวรแล้วด้วย พรุ่งนี้ว่างทั้งวัน ให้เฮียเกอร์เอารถคันใหญ่มาให้แล้วด้วย" ผมบอกไปตามจริงเพราะสองวันที่ผ่านมาเข้าเวรแทนเพื่อนไปแล้ว แพลนไว้ว่าจะหยุดวันพรุ่งนี้เพื่อจะไปรับป๊ากับม๊าของคนตัวเล็กที่สนามบินด้วยกัน แถมยังให้เฮียเกอร์เอารถคันใหญ่สำหรับนั่งได้หลายคนมาให้ด้วย เพราะคันที่ขับอยู่ประจำนั้นนั่งได้แค่สองคนคงจะไม่สะดวกเท่าไหร่ นิรันดร์เอารถมาจอดไว้ที่คอนโดเฮียเกอร์หลายคันพอสมควร เพื่อจะได้สะดวกเวลาที่ตัวเองลงมากรุงเทพจะได้มีรถขับ ผมเลยขอยืมมาใช้สักคัน

"เฮียเกอร์จะมาหรอครับ" อีกคนทำตาโตขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อพี่ชายคนโตที่เจ้าตัวไม่เคยเจอหน้าค่าตามาก่อน

"ใช่ มาตอนเที่ยงๆ เอารถมาให้ใช้ จะตื่นเต้นทำไม รีบกินซะ" ผมยืนมือไปดีดหน้าผากอีกคนที่ทำสีหน้าท่าทางตื่นเต้นเกินหน้าเกินตาทันที ก่อนจะยื่นมือไปหั่นหมูส่วนของคุนคุนขึ้นมาจ่อไว้ที่ปากบางของคนตัวเล็ก ก่อนจะสะบักส้อมไปมาให้อีกคนอ้าปากรับมันเข้าไปอย่างว่าง่าย

"ก็นิวเยียร์บอกว่าเฮียไทเกอร์หล่อมาก" เจ้าตัวเล็กเคี้ยวสเต็กหมูแก้มตุ้ยก่อนเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม นี่คงแอบไปคุยอะไรกับนิวเยียร์มาเยอะละสิ ถึงได้ทำสายตาอยากเจอเฮียเกอร์ขนาดนั้น กลับไปต้องตัดการยัยนิวเยียร์ตัวแสบเสียหน่อย มีอย่างที่ไหนชักชูงให้เจ้าตัวเล็กเมียพี่ชายคนกลางให้ปราบปลื้มพี่ชายคนโตของตัวเอง

"หล่อน้อยกว่าคนนี้เยอะ รีบกินซะ อย่าไปเชื่อนิวเยียร์มาก เพ้อเจ้อ" ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองก่อนจะจิ้มมะเขือเทศในส่วนของตัวเองให้อีกคน แล้วบ่นอีกฝ่ายที่ไม่สนใจทานอาหารมัวแต่สนใจพี่ชายคนโตผมอยู่นั่นแหละ เฮียเกอร์มันก็ใช่ว่าจะหน้าตาดีเกินเบอร์ผมมากมายอะไร แค่ดูอบอุ่นกว่า ดูสุภาพกว่า ดูใจดีกว่า อืม....ก็แค่นั้นป่าววะ

"โอเครครับผม พี่แฟงดื่มน้ำผลไม้ครับ คุนสกัดเองกับมือ นี่คุนเลือกสูตรช่วยบำรุงผิวพรรณแล้วก็ชะลอวัยมาให้พี่แฟงโดนเฉพาะเลยนะ"

"เดี๋ยวจะโดน ยังไม่แก่ซะหน่อย ไม่ต้องชะลอวัยอะไรทั้งนั้น"

"อือฮึ ยังไม่แก่..แต่.."

"แต่อะไร" ผมเงยหน้าขึ้นมามองอีกคนที่ส่งยิ้มกรุ้มกริ่มกลับมา ทำท่าแบบนี้มันน่านัก....ถ้าอยู่ในคอนโดละก้อ.....

"แต่... แก่มากแล้วต่างหาก"

"หึเดี๋ยวจะโดน ถึงจะแก่แต่ก็ทำใครบางคนร้องครางทั้งคืนได้ก็แล้วกัน"

"พี่แฟง!"
.
.
.
.
.

บรรยากาศโคตรเครียด

โคตรอึดอัด

และที่สำคัญ
.
.
.
โคตรหิว!

จะไม่ให้หิวได้ยังไงครับก็ตัั้งแต่รับป๊ากับม๊าของไอ้เจ้าตัวเล็กมาจากสนามบินจนกลับมาถึงคอนโดของคุน ป๊าคุนคุนก็ทำเหมือนผมเป็นอากาศธาตุ แถมตอนนี้ยังจ้องหน้าผมไม่ละสายตาอีก อยากจะขยับมือไปตักปูผัดผงกะหรี่ที่อยู่ในจานด้านหน้ามาใส่จานตัวเองยังไม่กล้ากระดิกนิ้วเลยครับผม ไหนไอ้ตัวเล็กบอกว่าป๊าใจดีไงวะ ไหงจ้องผมราวกับจะเหยียบย่ำผมให้จมลงไปในดินแบบงี้วะ แล้วไอ้ประโยึปลอบใจต่างๆนานาจากไอ้สองแฝดนั่นอีก มันยังคงตราตรึงในหัวผมทุกวันนี้

'ไอ้พี่ ไม่ต้องกลัวเว้ย อย่าคิดมาก ป๊าไอ้น้องคุนแม่งโคตรใจดี บอกได้เลยว่าทางพี่สะด๊วกกกก พ่อตาเปิดไฟเขียวแน่ๆ'

'ยืนยันอีกเสียง ป๊าคุนใจดีจริงๆพี่ ดูโกรธใครไม่เป็น เหมือนคุนคุนมันนั่นแหละ'


ทางสะดวกพ่องงงงง! ไฟเขียวพ่องงงง!!!

"เฉิงอวี้คะ เลิกจ้องแฟงได้แล้วมั้งคะ ทานข้าวเถอะคะ แฟงคะทานข้าวลูกไม่ต้องเกร็ง" หม่าม๊าคุนคุนที่นั่งอยู่ข้างผู้ชายวัยกลางคน ดูทรงแล้วน่าจะอายุใกล้เคียงกับนิรันดร์ แต่เพราะอีกฝากเป็นคนจีนโดยกำเนิดผิวพรรณจึงได้ขาวผ่องตามฉบับคนแถวนั้น รูปร่างสูงโปร่ง เรื่องหน้าตาไม่ต้องบอกก็รู้ เพราะลูกชายของเขานั้นถอดแบบมาอย่างกับแกะ ผิดกันที่ฝ่ายลูกนั้นมองกี่ทีก็ดูน่ารักจิ้มลิ้ม ส่วนผู้เป็นพ่อนั้นหน้าตาติดไปทางหล่อเสียมากกว่า หากจะถามว่าต่างกันตรงไหน คงตอบได้ว่าสายตา เพราะผู้ชายคนนี้เล่นนั่นจ้องผมเขม็งตั้งแต่ผมหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ทานอาหารตั้งแต่เมื่อสิบห้านาทีที่แล้วจนป่านนี้ยังนั่งกอดอกจ้องผมไม่ละสายตาเลย แสงเลเซอร์ที่ส่องออกมาจากสายตานี่คือเจาะร่างผมแทบพรุนแล้วเหอะ

ส่วนหม่าม๊านั้นก็ใจดีสมคำล่ำลือแถมยังสาวยังสวยอีกด้วย รอยยิ้มนั้นถ่ายถอดมาสู่ลูกชายตัวเล็กอย่างไม่ต้องสงสัยพิมพ์เดียวกันอย่างกับแกะ เธอวิ่งเข้ามากอดผมตั้งแต่เดินออกมาจากเกทในสนามบินแล้ว ทำราวกับว่ารู้จักกันมาแต่ชาติปางก่อน นี่ก็เฟรนลี่เกินเบอร์ไม่แปลกใจเลยที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนั้นเข้ากับใครก็ง่ายไปซะหมด

"ได้กันรึยัง" เสียงทุ้มแหบต่ำสำเนียงไทยชัดแจ๋วแหววของปาป๊าคุนคุนที่นั่งเงียบอยู่นานดังขึ้นทำลายความเงียบของห้อง คำถามนั้นเล่นเอาผมตาเบิกกว้าง แทบสำลักน้ำลายตัวเองเลยทีเดียว ด้วยไม่คิดว่าประโยคแรกที่ได้ยินจากปากป๊าของไอ้เด็กแก้มยุ้ยที่นั่งข้างกันนั้นจะตรงชนิดขวานผ่าซากตัดฉับฉับขนาดนี้ ผมหันไปมองหน้าเจ้าแก้มยุ้ยที่นั่งดูดชานมไข่มุกอย่างสบายใจอยู่ด้านข้าง เห็นรอยยิ้มแหยๆส่งมาให้กำลังใจเป็นเนืองๆ ที่ไม่ปฏิเสธคือจะให้ตอบตามความจริงใช่มั้ยเนี่ย ส่วนหมาม๊าของคุณนั้นก็ไม่ได้ดูมีท่าทีโวยวายหรือตกใจกับคำถามนั้นของสามีเธอเลย แถมยังมองผมพรางเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามอีกด้วย

"ได้แล้วครับ" ทำให้ผมต้องเอ่ยคำตอบที่อาจทำให้ชีวิตผมจบสิ้นในห้องคอนโดหรูใจกลางเมืองชั้น 15 นี้ได้ง่ายๆ แต่ไม่ว่าตอนจบมันจะเป็นอย่างไง นี่คือความจริง ความจริงที่ว่าผมกับคุณเราเป็นของกันและกันแล้ว และผมเองจะพยายามสุดความสามารถที่จะรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้แม้จะถูกขัดขวางจากใครก็ตาม แม้นั่นหมายถึงผมจะต้องจบชีวิตลงภายใต้ฝ่ามือฝ่าเท้าของผู้ชายวัยกลางคนที่เพิ่งเคยเห็นหน้ากันไม่ถึงสองชั่วโมงคนนี้ก็ตาม แต่ก็แล้วไงวะ นั่นพ่อเมีย เขาจะทำอะไรกับเราก็ได้มั้ย ก็เล่นได้ลูกเค้ามาหลายท่าหลายทีขนาดนี้

นิรันดร์สอนกรอกหูผมมาแต่เด็ก เกิดเป็นลูกผู้ชายกล้าทำกล้ารับ ทำผิดก็ยอมรับ ทำผิดก็ขอโทษอย่าโกหกเพื่อเอาตัวรอด มันเสียศักดิ์ศรีความเป็นผู้ชาย

ดูเหมือนอีกคนจะไม่ยินดียินร้ายกับคำตอบผม ซึ่งนั่นผิดคาดพอดู ผมคาดไว้ว่าอาจจะได้บาทาฟาดมาที่ต้นคอสักป๊าบสองป๊าบหลังจากที่ตอบไปด้วยความหนักแน่น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือหน้านิ่งๆไร้อารมณ์ของปาป๊าคุนคุนเหมือนเดิมเพอ่มเติมคือรอยยกยิ้มมุมปากที่เบาบางจนแทบจะมองไม่เห็นถ้าไม่ทันสังเกตุดีๆ ส่วนหม่าม๊าคุนคุนก็เอามือสองปิดปากไว้สักพักพร้อมกับทำตาโต ก่อนจะปล่อยมือสองข้างออกจากปากแล้วยกขึ้นมาชูนิ้วโป้งให้ผมทั้งสองข้าง เออดี...อย่างน้อยแม่เมียก็มีอารมณ์ร่วมแหละวะ ส่วนเมียที่นั่งข้างๆก็ดูดชานมไข่มุกต่อไปไม่สนใจใดๆทั้งสิ้น ทำเหมือนนั่งดูหนังอยู่ยังไงยังงั้น อือ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ ดูดจังไอ้ชานมเนี่ยดูดจนได้ยินเสียงกรอดๆของคนที่พยายามดูดหยดสุดท้ายจากก้นแก้ว พอมีพ่อแม่มาให้ท้ายหน่อยก็แดกจนหมดแก้ว อยู่กับผมนี่คือสั่งห้ามเลยนะครับ ห้ามแตะเลย ของต้องห้ามเบอร์หนึ่งชวยตัดขาเบาหวานถามหาเลยก็ว่าได้ นีี่ไม่รู้เหมือนกันจะแดกทำไมรู้ทั้งรู้ว่าไม่ดีต่อสุขภาพยังอยากจะร้องกินทุกวัน

"กี่ครั้ง" พอได้ยินคำถามนั้น ความเคืองเรื่องชานมไข่มุกก็มลายหายไปเหมือนปลิดทิ้ง นี่ผมต้องตอบจริงๆหรือวะเนี่ยว่ากี่ครั้ง แม่ง เอาไงดีวะ คือผมไม่ได้นับมั้ยละ

"โห ป๊าครับ เกินไปน้องคุนว่า" เจ้าตัวเล็กวางแก้วชานมที่ไร้ซึ่งน้ำสีชาลงบนโต๊ะก่อนเอ่ยออกมาแช้วถอนหายใจดังเฮือก

จริง อันนี้เห็นด้วย ป๊าไอ้ตัวเล็กนี่เล่นสัมภาษณ์ลูกเขยบทแรกแม่งมีแต่เรื่องติดเรท โอ้ย ป๊าครับ ต่อยผมเลยเหอะ หรือเอาฝ่าเท้าทาบหน้าผมเลยก็ได้ แต่อย่าถามอีกเลยไอ้คำถามพวกนี้เนี่ย ส่วนตัวไปนิด

"น้องคุนครับ หนูอยู่เฉยๆ นะจ้ะ ผู้ใหญ่เค้าจะคุยกันห้ามแทรกเข้าใจมั้ยคนดีของป๊า ป๊ารักหนูนะจ้ะ"

อีหยังวะ! พูดกับลูกนี่จ๊ะจ๋า ช่องเสียงเปลี่ยนไปอยู่เสียงสองทันที ส่งยิ้มเอ็นดูให้ไอ้ตัวเล็กแถมยังยื่นมือมาลูบหัวคุนคุนเอ็นดูอีก ทำไมอารมณ์มันเปลี่ยนกันง่ายแบบนี่ละครับคุณพ่อตา! ส่วนไอ้คนถูกลูบหัวก็พยักหน้าหงึกๆสองสามทีก่อนจะนั่งเงียบชายตามองแก้วชานมว่างเปล่าบนโต๊ะ ร่องรอยความหนักใจบรใบหน้าหายไปราวปลิดทิ้งทันทีที่ถูกลูบหัว ส่วนสายตาก็ยังอาลัยอาวรณ์แก้วชานมอยู่

หึ! อยากแดกอีกอะดิอีแก้มยุ้ย!

"ตอบ" ช่องเสียงเปลี่ยนเชียวนะครับคุณพ่อตา ผ่านไปไม่ถึงนาทีเสียงกลับมาดุดันน่าเกรงขามอีกแล้ว คือถ้าอยากรู้จริงผมก็จะตอบให้ เมื่ออีกฝากเล่นถามด้วยเสียงหนักแน่นคาดคั้นแบบนั้น

"สอง สามครั้งครับ"

ควับ!

ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ ไอ้ตัวเล็กข้างๆนี่แหละที่หันควับมามองหน้าผมอย่างเอาเรื่อง เบะปากเหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าผมโกหก ส่วนปาป๊าคุนก็เริ่มขมวดคิ้วนิดๆ มองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองสลับไปมากับหน้าผม เหมือนจะคาดคั้นให้ผมสารภาพออกมาตามความจริง

เห้ย! นี่ผมไม่ได้โกหกจริงๆ แค่ยังพูดไม่จบเท่านั้น

"เอ่อ ผมหมายถึงวันละสองสามครั้งครับ"

"ว้ายตายแล้ว!/พี่แฟง!" พอพูดความจริงก็โวยวายเลยสิครับทีนี้ทั้งเมียทั้งแม่เมีย


#คุนแฟง

by ppeachmm

----++++-----

วันละสองสามครั้ง ว้ายตายยยยยยย อกอีแป้นจะแตกเด้อคะเด้อ


ออฟไลน์ psychological

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ไงล่ะน้องคุน
ตอบความจริง มีหวีดเลยนะ

ออฟไลน์ Ppeachmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
---ตอนที่ 43---


แฟง's part

ดูเหมือนหม่าม๊าของเจ้าแก้มย้อยจะตกใจจนเบลอไปแล้ว ส่วนไอ้แก้มย้อยที่นั่งข้างกันก็แบะปากบ่นพึมพำอะไรสักอย่างจับใจความไม่ได้ แต่ดูจากสีหน้าก็พอเดาได้ว่าคงทั้งเขินทั้งอาย อ้าว! ก็เห็นเหมือนอยากให้พูดความจริง ก็เลยบอกป๊าไปตามความจริงไง ผมผิดตรงไหนวะ?! นายลภัสงงนะ ก็บอกไปตามความจริงป่าว ฮึ่มฮั่มกันแต่ละทีก็ไม่เคยจบที่รอบเดียวมั้ย พูดความจริงก็ผิดหรอวะกู

นั่น! หันหน้ามามองผมแล้วก็สะบัดหน้าหนี งอนไรวะ

"ขนาดนั้นเลยหรอลูกคุน" ป๊าคนที่ไม่ได้มีท่าทีตกใจเหมือนคนอื่นๆในห้องเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของลูกชายตัวเองที่ทำหน้างองุ้มยิ่งกว่าปลาทูแม่กลองเสียอีก

"ปะ ป่าว ใช่ที่ไหนละครับป๊า พี่แฟงก็พูดเกินจริง บอกป๊าไปสิครับว่าหยอกๆ แหะๆๆ" ไอ้ตัวเล็กติดอ่างขึ้นมาทันที แถมยังยื่นมือมาดึงแขนเสื้อเชิ้ตผมสองสามที พร้อมกับถลึงตากลมๆโตๆส่งมาให้

"ไม่อะ ไม่อยากโกหกผู้ใหญ่"

"พี่แฟง!!" มือที่จับชายเสื้อเชิ้ตอยู่เปลี่ยนเป็นแรงฟาดที่ต้นแขนอย่างแรง เชี่ย! เจ็บสัส คงจะโกรธมาก ดูจากระดับความแรงในการฟาดแล้ว ผมได้แต่หัวเราะในใจกับท่าทางอยากจะปฏิเสธของคนตัวเล็ก แต่ผู้ใหญ่ถามมาผมก็ตามไปตามจริง ด้วยท่าทางจริงจังของป๊าคุนคุนที่ถามออกมาแล้วด้วย อีกฝ่ายไม่ได้ดูถามเล่นๆขอไปทีเลยสักนิด แต่มันดูจริงจังมากต่างหาก ทั้งน้ำเสียงทั้งแววตา มองอย่างไงก็ป๊าก็ต้องการจะรู้ว่าระดับความสัมพันธ์ของผมกับลูกชายตัวเองไปถึงขั้นไหนแล้ว

"นี่คือ...ทุกวัน วันละหลายรอบด้วยหรอ" เสียงติดทุ้มเอ่ยถามเสียงเรียบอีกครั้ง คนพูดยังคงท่าทางเรียบเฉยอยู่ ไม่มีความโกรธหรือความสงสัยอยู่ในแววตาคู่นั้น

"ใช่ที่ไหนละป๊า น้องคุนไม่ได้ทำแบบนั้นทุกวันซะหน่อย" ส่วนเจ้าตัวเล็กที่ปกติก็ไม่ค่อยพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอยู่แล้ว ก็ยิ่งม้วนอายเข้าไปใหญ่ แล้วประโยคหลังที่เอ่ยออกมาก็เบาเสียแทบจะไม่ได้ยินถ้าไม่ได้ตั้งใจฟังจริงๆ ผมเอื้อมมือหนาไปกุมมือเล็กของอีกคนที่กำแขนเสื้อผมแน่น ก่อนจะจับมือเล็กนั้นมากุมไปหลวมๆ

"เอาไง เห็นอยู่ว่าลูกผมเสียหาย จะรับผิดชอบรึเปล่า ได้กันขนาดนี้ผมเอาลูกไปใส่ตะกร้าล้างน้ำสิบแม่น้ำก็ไม่มีใครเอาแล้วมั้ง ลูกผมเสียหายมากนะแบบนี้"

"ป๊า!!"

"ผมรับผิดชอบแน่ๆครับ"

"แล้วไหนจะเรื่องที่ถูกยิงคราวก่อนอีก"

"อันนั้นมันเป็นอุบัติเหตุ แล้วผมก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น ถ้าผมอยู่ผมไม่มีทางให้ใครหน้าไหนมาทำอะไรคุนได้"

"พูดง่ายจังนะ"

"ใช่ครับ พูดง่าย แต่ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ ผมก็สามารภตายแทนลูกชายป๊าได้"

"ทำให้ได้เหมือนที่พูดไว้ละกัน แล้วนี่ยังไง ยังเรียนกันอยู่เลย ย้ายเข้ามาอยู่ห้องลูกชายผมแบบนี้ได้ไง มันไม่เกินไปหน่อยหรอ"

"ผมขอโทษครับ ยอมรับว่าตอนนั้นคิดน้อยไปหน่อย แค่รู้สึกว่าอยากอยู่กับคุนคุนทุกวันตลอดเวลาก็เท่านั้น ผมรักลูกชายป๊าครับ อยากอยู่ด้วยทุกวันไปแบบนี้นานๆ ผมยินดีรับผิดชอบทุกการกระทำที่เหมือนไม่ให้เกียรติลูกชายป๊า"

"นักศึกษาอย่างคุณจะรับผิดชอบชีวิตใครตอนนี้ได้หรอ"

"งั้นแต่งเลยได้มั้ยครับ ผมพร้อม"

"หือ ยังไงนะ" เหมือนป๊าจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินจากปากผมเมื่อครู่ เขาเอ่ยถามอีกครั้ง คิ้วหนาสองข้างของคนถามขมวดเข้าหากันอย่างเห็นได้ชัด

"ให้คุนแต่งกับผมเลยได้มั้ยละครับ เดี๋ยวผมโทรบอกพ่อผมให้มาจัดการให้วันนี้เลย ผู้ใหญ่ฝ่ายผมรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่าง ผมไม่ได้ปิดบัง ผมรักคุนคุน อยากแต่งงานกับคุน ป๊าเรียกสินสอดมาได้ตามสมควรเลยครับ ผมโอเค เท่าไหร่ผมก็จะหามา" ผมพรั่งพรูสิ่งที่คิดไว้ในใจออกมาจนหมด ก็ในเมื่อบุพการีของอีกฝ่ายรู้แล้วว่าเราสองคนไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน แล้วผมเองก็ไม่อยากให้คนตัวเล็กต้องเสื่อมเสียเหมือนที่ป๊าบอก ถ้าการแต่งงานของเราสองคนมันจะทำให้ป๊าวางใจผมก็ยินดี ไม่ใช่ไม่อยากแต่งนะ บอกเลยว่าไม่เคยคิดไปถึงขั้นนั้น แต่แค่รู้สึกว่ามีคนอย่างคุนคุนอยู่ข้างกันทุกวันมันคือดีมาก ดีจนไม่รู้จะดียังไงมากกว่านี้แล้ว และก็อยากมีเขาแบบนี้ในทุกๆวันอีกเรื่อยๆไปจนแก่ แล้วจู่ๆคำว่าแต่งงานมันก็วิ่งเข้ามาในหัว ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองจะรู้จักกับคำคำนี้ในตอนนี้ มันเหมือจะเร็วไปสำหรับผมและคุนคุน แต่พอคิดไปอีกที ถ้าไม่ใช่คุน ผมก็ไม่อยากแต่งงานกับใครแล้วละ จะแต่งอีกสิบปีข้างหน้า หรือแต่งวันนี้ ผลลัพธ์ที่ได้มันก็เหมือนกันมั้ย เพราะนั่นหมายถึงผมจะมีอีกคนมาอยู่เคียงข้างตลอดไปในทุกๆวัน ผมกุมมือเล็กในมือไว้แน่นเมื่อป๊าคุนนิ่งเงียบกับสิ่งที่ผมกล่าวออกไป คนตัวเล็กมองผมเหมือนไม่เชืื่อว่าจะได้ยินในสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไปเช่นเดียวกับหม่าม๊าคุนที่หยิบยาดมออกมาสูดตั้งแต่เมื่อหลายนาทีก่อนแล้ว

"มันได้วะไอ้ลูกเขยคนนี้ มันคนจริงเว้ย ไอ้ลูกแมว ป๊าชอบคนนี้ ฮ่าๆๆๆๆ ป๊าชอบ" ป๊าคุนหัวเราะออกมาเสียงดังทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นเป็นเดดแอร์อยู่หลายนาทีหลังจากที่ผมพูดแบบนั้นออกไป ผมกับคุนหันมามองหน้ากันด้วยยังตั้งตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตรงหน้าที่ป๊าคุณหัวเราะชอบใจอย่างเอาเป็นเอาตาย

อิหยังวะ!

.
.
.
.
.

คุน's part

"ป๊าแกล้งน้องคุน"

ผมลากป๊าออกมาคุยกันที่ระเบียงหลังจากที่เราทานอาหารมื้อค่ำกันเสร็จ ส่วนพี่แฟงก็ช่วยหม่าม๊าล้างจานอยู่ในครัว ดูสองคนนั้นจะเข้ากันได้ดีเกินคาด คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าคนอย่างพี่แฟงจะมีมุมอ่อนน้อมเอาอกเอาใจแม่ผมได้ถึงเพียงนี้ เล่นปากหวานชมโน่นชมนี่จนหม่าม๊าหลงแล้วหลงอีก น้องคุนคงตกกระป๋องในเร็ววันนี้แน่ๆ

"ป๊าไม่ได้แกล้งไอ้แมวน้อย ป๊าแค่ลองใจผู้ชายของลูกรักเฉยๆ"

"ผู้ชายของลูกอะไรเล่าป๊า พูดไรก็ไม่รู้"

"ป๊าชอบ คนนี้ป๊าชอบ"

"ชอบไม่ได้นะป๊า"

"ทำไมละครับลูก ไม่อยากให้ป๊าชอบแฟนของลูกหรอจ้ะ"

"ชอบไม่ได้ พี่แฟงของน้องคุน น้องคุนชอบได้คนเดียว"

"โอเค ป๊าไม่ยุ่งกับพี่แฟงของลูกก็ได้ แต่ป๊าให้ผ่านนะคนนี้ ถึงแม้จะแอบฮึ่มฮ่ำลูกป๊าก่อนมาขอป๊าก็ตาม"

"ป๊าเลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว!" ป๊าอะ อะไรก็ไม่รู้ชอบโยงเข้าประเด็นเรื่องฮึ่มฮ่ำตลอดเลย น้องคุนไม่คุนด้วยแล้ว เข้าก้องไปหาพี่แฟงดีกว่า ไปขอกอดพี่แฟงก่อนพี่แฟงกลับห้องตัวเองเสียหน่อย

ได้ยินไม่ผิดหรอกครับ วันนี้พี่แฟงต้องกลับไปนอนห้องตัวเองเพราะป๊าไล่ ถามว่าคนอย่างนายลภัสจะยอมง่ายๆอย่างนั้นหรอ ตอบเลยว่าไม่ พอเถียงสู้ป๊าไม่ได้ก็หันมางอแงกับผมแทน ขอนอนโซฟาแล้วป๊าก็ไม่ให้ผมเข้าใจนะคนมันนอนเตียงเดียวกันแทบทุกคืน จู่ๆจะให้แยกไปนอนที่อื่น มันเลยเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป ผมต้องปลอบอยู่นานแสนนานกว่าอีกฝ่ายจะยอมกลับห้องคอนโดตัวเองไปแต่โดยดี

"นี่ไอ้ลูกแมวน้อย จะมานอนได้ยัง แชตอยู่นั่นแหละ" ป๊าที่นั่งพิงหลังกับหัวเตียงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมเอาแต่แชตกับคนข้างห้องอยู่ที่โซฟาปลายเตียง วันนี้เราสามคนนอนเตียงเดียวกันครับ ไม่ต้องแปลกใจหรอก ผมชอบไปแทรกกลางบนเตียงป๊าม๊าประจำ นอนกอดกันสามคนอบอุ่นจะตาย แต่ไอ้ความอบอุ่นที่คุ้นเคยนั้นตอนนี้มันมีคนอื่นเข้ามาแทนที่ซะแล้วสิ ถ้าป๊าม๊ารู้จะน้อยใจรึเปล่าน้าาาาา

"ไปแล้วๆๆๆ ครับ" ผมรีบเซย์กู๊ดไนท์เด็กโข่งขี้งอแงข้างห้องทันทีก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนโซฟาแล้วคลานขึ้นเตียงไป

"เมื่อกี้ก็ร่ำรากันหน้าห้องแล้ว ยังจะคุยอะไรกันอีกนักหนา"

"ม๊ารู้ได้ไงว่าน้องคุนคุยกับใคร"

"แหมๆๆ ไอ้ตัวเล็กเอ้ย มองจากดาวอังคารก็รู้มั้ย พิมพ์ไปยิ้มไป"

"ป๊าอะล้อคุนตลอด"

"จะอะไรกันนักหนา ก่อนแยกกันก็ล้วงแล้วล้วงอีก"

"ล้วงอะไรป๊า!"

"อย่าคิดว่าป๊าไม่เห็นนะว่าลูกเอามือล้วงเข้าไปในเสื้อเจ้าแฟงมันนะ นี่ป๊าพึ่งรู้นะเนี่ยว่าไอ้ตัวจุดชนวดเพลิงนี่มันไอ้ตัวดีของป๊านี่เอง"

"ป๊า!"
.
.
.
.
.

แฟง's part

ตืด ตืด ตืด

(ไงมึง โทรมาดึกดื่น หัดเกรงใจคนอื่นบ้าง)

"จะเกรงใจทำไมโทรหาพ่อตัวเอง"

(เป็นลูกก็ต้องรู้จักเกรงใจพ่อบ้างดิวะ นี่กูพ่อมึง ไม่ใช่เพื่อนเล่นที่ไหน ดึกดื่น จะนอนเว้ย เรื่องไร้สาระใช่มั้ยที่โทรมา งั้นจะวางละนะ)

"เฮ้ยๆ นี่มีธุระอย่าวางนะ"

(ไหนมีไร รีบพูดคนจะนอน ถ้าไม่มีสาระนะกูด่าพ่อให้จริงๆด้วย)

"ด่าพ่อผมก็เท่ากับด่าตัวเองเหอะ"

(เรื่องของกู ยังไง จะพูดไม่พูด ง่วงแล้ว)

"เชื่อตายละ สี่ทุ่มครึ่งเนี่ยนะนิรันดร์จะนอน"

(ทำไม คนอย่างกูจะเข้านอนตอนสี่ทุ่มไม่ได้รึไง วันนี้กูต้องการนอนอย่างมีประสิทธิภาพ และนั่นหมายถึงต้องนอนไม่เกินสี่ทุ่ม และตอนนี้มึงกำลังขัดขวางการนอนที่มีประสิทธิภาพของกู)

"เก็บการนอนอย่างมีประสิทธิภาพบ้าบออะไรนั่นไปทำวันอื่นเหอะนิรันดร์ วันนี้มีเรื่องจะคุย"

(เออ ไหนมีไร แถลงไขมา กูให้สามนาที หมดเวลาปุ๊บตัดสายปั๊บบอกเลย)

"ขอเงินสิบล้าน"

(มึงจะบ้าหรอ เอาไปทำไรมากมาย แล้วมึงขอกูก็ต้องไห้งี้?)

"อะไรวะ แค่สิบล้าน ขนหน้าแข้งนิรันดร์ไม่ร่วงหรอกน่า ถ้าไม่ให้งั้นก็ขอยืมก่อนเดี๋ยวคืนให้"

(สิบล้านมึงก็มี จะเอาไปทำไร แล้วจะมาเอาที่กูอีกทำไม)

"ผมนะมีแต่มันไม่พอไง มันขาดสิบล้านเลยต้องมาเอาจากนิรันทร์เนี่ย"

(แฟง มึงจะเอาเงินไปทำไรเยอะแยะ นี่กูเริ่มซีเรียสละนะ ไม่นงไม่นอนมันละ นอนอย่างมีประสิทธิภาพบ้าบออะไรช่างแม่ง ไหนมึงเล่ามาซิ เรื่องมันเป็นมายังไง มึงไม่ได้ไปทำอะไรผิดกฎหมายมาใช่มั้ยเนี่ย กูเริ่มเครียดแล้วนะเว้ย ไอ้ลูกเวร)

"ด่าเป็นชุดเลยนะนิรันดร์ ไม่มีไรหรอก จะเอาไปแต่งเมีย"

(ฮ๊ะ? แต่งเมีย มึงไปทำใครท้องมาใช่มั้ยเค้าถึงเรียกโหดขนาดนี้ แล้วคุนลูกรักกูละ ไอ้ลูกเ*ย มึงนอกใจลูกรักกูหรอ ฮ๊ะ!? ตอบ!)

"ใจเย็นนิรันดร์"

(ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว มึงพูดมาเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ตอบกูขับรถไปฟันคอมึงตอนนี้เลยยังได้)

"พูดเหมือนตัวเองอยู่กรุงเทพอย่างนั้นแหละ"

(ก็ใช่ไง)

"อ้าว มากรุงเทพทำไมไม่เห็นบอก"

(นั่นมันเรื่องของกู มึงอย่ามาชวนนอกเรื่อง เล่ามาให้หมด ถ้าไม่ดีนะก็พร้อมต่อยอะบอกเลย นี่หยิบกุญแจรถแล้วด้วยนะ)

"เฮ้ยใจเย็นนิรันดร์ ไม่ได้ทำใครท้อง จะเอาไปสู่ขอคุน ป๊าม๊าคุนมา เจอกัน คุยกัน แล้วผู้ใหญ่ฝ่ายโน้นก็รู้ว่าผมไปฮึ่มฮ่ำลูกชายคนเดียวของเค้าแล้วไง ผมเลยบอกจะรับผิดชอบทั้งหมด จะให้พ่อมาสู่ขอ"

(เออ ค่อยยังชั่ว แล้วฝ่ายโน้นเรียกเท่าไหร่)

"20 ล้าน"

(แล้วมึงมีแล้วสิบล้าน เลยมาขอกูเพิ่มอีกสิบล้านว่างั้น)

"ใช่ ถ้าไม่ให้เลยงั้นขอยืมก็ได้ เดี๋ยวทำงานใช้คืนให้"

(มึงอย่ามาสะเออะคิดแทนกูอีกแล้ว นั่นมันเรื่องของผู้ใหญ่ มึงเก็บเงินมึงไว้เถอะ บอกฝ่ายโน้นไปว่ากูให้สามสิบล้านเลย กูพอใจลูกสะใภ้คนนี้ แล้วมึงก็ไม่ต้องออกสักบาท เดี๋ยวกูจัดการเอง นัดฝ่ายโน้นมาคุยกับกูเลยพรุ่งนี้เดี๋ยวกูเคลียคิวให้)

"ซึ้งวะ"

(ซึ้งเรื่องไรของมึง)

"ซึ้งที่พ่อจะไปขอเมียให้วะ"

(ไม่ต้องมาซึ้ง กูจะขอคุนมาเป็นของกู ไอ้ตัวน่ารักแก้มยุ้ย คิดละหมั่นเขี้ยว ในที่สุดเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันเสียทีนะคุนคุน)

"พูดแบบนี้ สายสัมพันธ์พ่อลูกนี่ตัดขาดฉับๆเลยนะ"

(แม่ง มันได้วะ ลูกกูโตแล้วจริงๆนะเนี่ย หวงเมีย จะมีเมียแล้วโว้ย เชี่ย กูลูกจะเป็นฝั่งเป็นฝา โอ้ยน้ำตาจะแตก)

"เพ้อเจ้อเหอะนิรันดร์ เค้าให้หมั้นไว้ก่อนเรียนจบแล้วค่อยแต่ง"

(ไรวะ ไม่แต่งไปให้จบๆ กูอยากอุ้มหลาน)

"เพ้อเจ้ออีกละ คุนมันก็ผู้ชายจะมาท้องได้ไง แล้วอีกอย่างผมก็ยังเรียนไม่จบ คุนก็ด้วย หมั้นไว้ก็โอเค"

(มึงแน่ใจหรอว่าพอใจแค่หมั้น หมั้นได้ก็ถอนได้นะเว้ย อะไรก็ไม่แน่นอน คุนมันน่ารักจะตาย ใครเห็นใครก็ชอบนะเว้ย)

"แม่ง น่าคิด งั้นไม่หมั้นละจับแต่งเลยจะได้หนีไปไหนไม่รอดดีมั้ยวะนิรันดร์"

(ดีสิวะ เดี๋ยวพรุ่งนี้กูจัดการให้รวบหัวรวบหางแม่งเลย เรื่องเจรจาขอให้บอก นิรันดร์ถนัดนักแล ข้ามขั้นไปเลย จะมงจะหมั้นอะไรเสียเวลา แต่งไปให้จบๆ เดี๋ยวเอาพริ้งไปด้วย)

"ผมเพิ่งเห็นความดีของนิรันดร์ก็วันนี้แหละ เชี่ย รักนิรันดร์วะ"

(ไอ้ลูกเ*ย มึงชมหรือมึงด่ากูชักเริ่มไม่แน่ใจ)

"ชมๆๆ แล้วเรื่องแม่นี่ผมต้องโทรบอกเองหรือนิรันดร์จะบอกให้"

(มึงไม่ต้องโทร เดี๋ยวกูบอกเอง อยู่ด้วยกันกับพริ้งนี่แหละ)

"อะไรยังไงวะนิรันดร์ ไหนบอกกำลังจะนอน แล้วทำไมมาอยู่กับแม่ได้ กลิ่นตุๆนะเนี่ยเรา"

(เออน่า เรื่องของผู้ใหญ่เด็กอย่างมึงอย่ายุ่ง จัดการเรื่องของตัวเองไป กลับไปนอนกอดว่าที่เมียมึงโน่น)

"เอาอะไรมากอดเล่า ถูกไล่กลับมานอนห้องตัวเองเนี่ย"

(อ้าว งั้นก็นอนเหงาๆบนเตียงกว้างไปละกันนะมึง กูไปนอนก่อนละ เฮ้อ เตียงก็นุ่ม แถมยังมีคนให้กอดอีก ใครเหงาๆก็กอดหมอนข้างไปละกันนะ กู๊ดไนท์)

ตูดๆๆๆๆ

"นิรันดร์ ไรวะ! วางเฉย"


#คุนแฟง

by ppeachmm



ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 975
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
พ่อแม่จะได้เจอกันแล้ว หุย 30ล้านขาดตัว

ออฟไลน์ นางฟ้าน้อย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบๆๆ

ออฟไลน์ Ppeachmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
---ตอนที่ 44---

แฟง's part

ไลน์กลุ่มพี่น้องตระกูลพิสุทธิ์รังสรรค์

TiGeRR: บางคนมีเรื่องดีๆ แล้วเก็บเงียบ
????N*Y????: บางคนกำลังมีความสุขแล้วเมินเราคะเฮียเกอร์
TiGeRR: ใช่สิ
????N*Y????: คำว่าพี่น้องมันสั้น!
TiGeRR: เรามันคนไม่สำคัญเนอะเยียร์เนอะ
????N*Y????: น้องน้อยใจ น้องท้อคะเฮียเกอร์
TiGeRR: มันยังไงคะน้องเยียร์ที่รักของเฮีย
????N*Y????: พี่ชายคนกลางไม่รักน้องแล้ว เค้าไม่สนใจเราคะเฮียเกอร์
TiGeRR: นั่นสิเนอะ คำว่าพี่น้องมันสั้นจริงๆด้วย
????N*Y????: สั้นมากๆเลยคะ
FanG: ....
FanG: เอะอะ อะไรกันแต่เช้า
TiGeRR: มาแล้วเหรอ สิบโมงนี่ไม่เช้าแล้วนะแฟง
FanG: ก็เพิ่งได้นอนมั้ยละเฮีย
????N*Y????: อุ้ย ทำไรอะ เพิ่งได้นอน
FanG: ทะลึ่งนะนิวเยียร์ เป็นเด็กเป็นเล็ก
TiGeRR: อย่าดุน้อง แล้วนี่ทำไรมาถึงเพิ่งตื่น
????N*Y????: รักเฮียเกอร์ที่สุด
FanG: อย่าคิดไปไกลกัน
FanG: เพิ่งออกเวรมาเมื่อเช้า
TiGeRR: อ้อ
????N*Y????: อ้อออออ
FanG: ยาวไปมั้ย แล้วนี่โวยวายอะไรกันเยอะแยะแต่เช้า ยาวเหยียดเลย
????N*Y????: ต้องกลับขึ้นไปอ่านคะพี่แฟง
FanG: ไม่อะ ขี้เกียจ จะนอนต่อง่วง ไปละ
????N*Y????: อย่างพึ่งงงงงงง พี่ชายยยย อย่าพึ่งปายยยยย
TiGeRR: เดี๋ยวนี้เค้าไม่ค่อยแคร์เราเลยเนอะเยียร์
????N*Y????: +1
FanG: อะไรกันอีก ดราม่าสุดๆ
FanG: แล้วสรุปมีเรื่องไร พูดมาเลย
????N*Y????: ให้น้องพูดหรือเฮียจะเริ่มคะ
TiGeRR: เยียร์เปิดเลย
????N*Y????: แงงงง จะดีอ่อ
FanG: ไว้ตกลงกันได้ค่อยทักมานะ ขอนอนก่อน
????N*Y????: ม่ายยยย พี่แฟงอย่าปายยยย
????N*Y????: คือ เค้ากับเฮียอะ
????N*Y????: แค่จะมา แบบว่า....
????N*Y????: แบบว่า....
????N*Y????: เขินอะ ทำไงดี
TiGeRR: ได้ยินข่าวว่านิรันดร์หอบเงินสามสิบล้านไปขอสาวให้หรอ
????N*Y????: ขอบคุณมาเลยคะเฮียเก้อออ น้องเขินอะพูดไม่ออก
TiGeRR: :)
????N*Y????: ข่าวลือ หรือ ข่าวมีมูลคะพี่ชายคนกลางงงง
FanG: ใครบอกละ
????N*Y????: พี่รัน
TiGeRR: นิรันดร์
FanG: งั้นก็คงจริง
????N*Y????: กรี๊ดดดดดดด น้องจะกรี๊ดดดดดด
FanG: กรี๊ดไปแล้วมั้ย
TiGeRR: เงียบเลยนะ ลืมหัวเฮียคนนี้ไปเลยนะ
FanG: ไม่ใช่อย่างงั้น กำลังจะบอกพอดี
TiGeRR: กำลังนี่คือเมื่อไหร่
FanG: วันนี้แหละ ว่าจะเล่าให้ฟังตอนเย็นไง เดี๋ยวก็เจอกันแล้วมั้ย ค่อยเล่าตอนนั้น
????N*Y????: โนเวย์ เล่ามาตอนนี้คะพี่ชาย อย่าลีลา น้องอยากรู้จะแย่
????N*Y????: เร็วๆๆๆๆ
????N*Y????: อยากรู้มากมายยย
TiGeRR: +1
FanG: ก็ไม่ไง แค่ให้นิรันดร์ไปขอคุนคุนให้ แต่ฝ่ายโน้นเค้าให้หมั้นไว้ก่อน ปิดเทอมค่อยแต่ง ส่วนเรื่องสินสอดฝ่านโน้นเรียกมายี่สิบ แต่นิรันดร์บอกจะให้สามสิบ คุยไปคุยมาป๊าคุนบอกว่าแค่หยอกเล่นไม่ได้จะเอาอะไร แต่คือนิรันดร์เตรียมไปแล้วไง เลยไม่เอาคืน
????N*Y????: OMG?!!!
TiGeRR: คุนคุนนี่ของจริงวะ ทำนายหยุดได้เนี่ย
FanG: ไม่เถียง
TiGeRR: แล้วคือนิรันดร์ถูกใจคนนี้ด้วยอ่อ? ถึงยอมถอนขนสามสิบล้าน
FanG: อือ
????N*Y????: ไม่ใช่แค่พี่รันนะคะเฮียเกอร์ คุณแม่ก็ปลื้มคะคนนี้ นิวเยียร์ก็ปลื้มด้วยเหมือนกัน คุนน่าร้ากกกกก เพื่อนกานนน
TiGeRR: อยากเจอซะแล้ว เย็นนี้พามาด้วยสิ
FanG: กะว่าจะพาไปอยู่แล้ว แต่คงไปถึงช้าหน่อยนะ คุนเลิกเรียนหกโมง
TiGeRR: มาเหอะ กี่โมงก็มา จะรอเจอว่าที่น้องสะใภ้เสียหน่อย
FanG: ได้ ถ้าไม่มีไรแล้วขอไปนอนต่อนะ ง่วงมาก เพิ่งนอนไปไม่กี่ชั่วโมงเอง
TiGeRR: K เจอกันคืนนี้
????N*Y????: เคคร้าบบบบผม

.
.
.
.
.

คุน's part

"โอ้ย กว่าจะจบคลาส ตาจะปิดอยู่แล้ว" ขุนพลยืนขึ้นบิดตัวก่อนจะอ้าปากหาวฟอดๆ หน้าตายังดูงัวเงียตามแบบฉบับของคนพึ่งตื่น

"ตาจะปิดอะไร เห็นปิดสนิทกว่าครึ่งคาบ" กองทัพที่กำลังเก็บชีทเรียนใส่กระเป๋าสะพายถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้น้องชายฝาแฝดเอ่ยขึ้น จริงอย่างที่ทัพพูดนั่นแหละครับ ขุนพลเล่นหลับตั้งแต่ครึ่งหลัง หลับไปชั่วโมงกว่าๆเลยนะนั่นนะ หลักฐานการนอนหลับยังแปะอยู่บนแก้มอยู่เลย ก็เจ้าตัวเล่นนอนหน้าฟุบลงบนโต๊ะจนหน้าเป็นรอยโทรศัพท์ที่ตัวเองนอนเอาแก้มทับชั่วโมงกว่า ตลกดี ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้ตัวรึเปล่าเนี่ยว่าหน้าตัวเองเป็นรอยกดทัพยาวเหยียด ผมเกือบจะหัวเราะออกไปแต่ถูกกองทัพห้ามไว้เสียก่อน ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มหน้ามากระซิบข้างหูผมที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในคลาสเรียน

"อย่าไปบอกมัน ให้มันออกไปแบบนี้แหละ" ผมพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยกับไอเดียนี้ พยายามหุบยิ้มอย่างสุดความสามารถไม่ให้คนที่กำลังบิดขี้เกียจรู้ตัว

เราใช้เวลาไม่นานในการเก็บของ ไม่ถึงห้านาทีเราทั้งสามคนก็มายืนอยู่ที่ใต้ตึกคณะ คนที่เดินผ่านไปผ่านมามองรอยบนแก้มขุนพลก็หัวเราะกันคิกคัก แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกผิดสังเกตใดๆทั้งสิ้น คงคิดว่าสาวๆแอบมองแล้วเขินความหล่อของตัวเองเหมือนทุกครั้ง

"อยากกินชาบู" ขุนพลที่ตอนนี้สลัดอาการงัวเงียทิ้งไปแล้วเอ่ยขึ้น

"เออไปดิ คุนคุนไปป่าว"

"ไม่อะ"

"แล้วเอารถมาป่าววันนี้" กองทัพถามขึ้นเพราะเมื่อก่อนสองแฝดจะไปรับไปส่งผมตลอดเพราะนอกจากเราจะอยู่คอนโดเดียวกันแลเวเราสามคนยังลงเรียนวิชาเดียวกันทุกตัวอีกต่างหาก แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ส่วนมากผมจะขับรถพี่แฟงมา แต่ถ้าวันไหนพี่แฟงไม่เข้าเวรดึกก็จะมารับส่งผมตามปกติ ทำให้ช่วงหลังมานี้ผมไม่ได้ใช้เซอร์วิสของแฝดบ่อยนัก หรือจะบอกว่าตั้งแต่เปิดเทอมมานี้ผมแทบจะไม่เคยใช้เลยน่าจะใกล้เคียงความจริงมากกว่า

"เราไม่ได้เอามา พี่แฟงมาส่งตอนเช้า" เอ่ยบอกไปตามความจริง เมื่อเช้าผมมีเรียนตั้งแต่แปดโมง เวลาเดียวกันกับที่พี่แฟงราวด์วอร์ดเช้า วันนี้เลยไม่ต้องขับรถมาเองเพราะพี่แฟงแวะมาส่งผมก่อนไปราวด์วอร์ดที่โรงพยาบาลด้านหลังมหาวิทยาลัย

"งั้นเดี๋ยวทัพไปส่งที่คอนโดก่อนละกัน ค่อยเลยไปกินชาบู" กองทัพเอาแขนพาดบ่าผมก่อนจะพาผมเดินออกมาจากใต้ตึกคณะ ช่วงนี้เป็นเวลาที่คนพลุกพล่านมาก เพราะนักศึกษาส่วนมาจะเลิกเรียนกันตอนหกโมง ทำให้คนเดินไปมาขวักไขว่ใต้ตึกเต็มไปหมด แถมตึกคณะเรายังมีเด็กคณะอื่นมาเรียนเยอะด้วยเนื่องจากชั้นบนของอาคารนี้เป็นชั้นเรียนบรรยายห้องใหญ่

"มึงไม่ต้องไปส่งมันหรอก โน่นคนขับรถมันเดินกระดิกหางมาโน่นแล้ว" ขุนพลที่เดินไปกดโทรศัพท์ไปด้วยเอ่ยขึ้นก่อนจะใช้ปากชี้ไปทางลานจอดรถหน้าอาคาร ผมมองไปตามทิศทางที่ขุนพลบอกก่อสายตาจะไปปะให้กับร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคย วันนี้อีกคนมาในชุดกาวน์สีขาวที่สวมทับชุดนักศึกษา ผมไม่ค่อยเห็นพี่แฟงในลุคนี้นอกโรงพยาบาลหรอกครับ เจอข้างนอกทีไรก็ถอดเสื้อกาวน์ออกก่อนตลอด ยกเว้นตอนที่ไปหาอีกคนที่โรงพยาบาล ว่าแต่พี่แฟงในชุดกาวน์สีขาวเดินออกมาจากรถนี่ทำไมมันดูน่ามองอะ ปกติตอนอยู่ในโรงพยาบาลมันดูธรรมดาอะเพราะใครๆก็ใส่กัน แต่พอพี่แฟงมาอยู่จรงนี้คนเดียวในชุดสีขาวตัวยาวแบบนี้มันดูน่ามองจัง แล้วยิ่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ๆ ฝ่าฝูงชนท่ามกลางชุดนักศึกษามาแบบนี้ ทำไมเค้าดูเท่กว่าทุกวันอย่างไงไม่รู้ วันนี้แฟนผมหล่อมากๆเลยนะเนี่ยขอบอก

"เชี่ยยย กระดิกหางเลยหรอวะ"

"เออดิ มึงคอยดู คุนพูดไรไอ้พี่มันแม่งเออออคล้อยตาม คร้าบบๆๆ น้องคุนงั้นงี้ มึงคอยดู"นายขุนพลคนนี้ก็แบบนี้ตลอด ชอบแหย่พี่แฟงให้พี่แฟงว่าเอา ชอบให้พี่แฟงจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบให้ตลอด ไม่รู้อะไรนักหนา สงสัยเสพติดความกระโชกโฮกฮากของแฟนน้องคุน

"มึงก็พูดไป" กองทัพเอ่ยตอบเหมือนไม่เชื่อ

"นินทาไรกูไอ้แฝดนรก" ว่าที่คุณหมอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเราสามคน ก่อนจะเอ่ยทักทายสองแฝดที่ยืนอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แต่คำทักทายของว่าทีาคุณหมอดูจะรุนแรงไปสักหน่อยนะน้องคุนว่า

"พี่แฟงอะอย่าว่าเพื่อนคุนสิครับ พูดไม่เพราะด้วยเนี่ย" เลยโดนผมเอ็ดไปเล็กน้อย

"โอ๋ๆ ไม่ว่าก็ไม่ว่าครับน้องคุน งั้นพี่เปลี่ยนคำพูดใหม่ละกัน หวัดดีไอ้เพื่อนน้องคุน เป็นไงแบบนี้ดีมั้ยครับ " ดูเหมือนว่าที่คุณหมอจะสำนึกผิดเล็กๆ ยื่นมือมาขยี้หัวผมเล่นสองสามที ก่อนจะเอ่ยคำทักทายที่สุภาพกว่าประโยคก่อนหน้านั้น อืม ต้องแบบนี้สิพี่แฟงของน้องคุน น่ารักขึ้นทุกวันอะคนนี้เนี่ย อดไม่ได้ที่จะยื่นมือสองข้างไปบิดแก้มคนตัวโตอยู่เกือบนาที

"เป็นไงมึงกูบอกแล้ว หมาตัวโต"

"อือ หมาจริงๆด้วยวะ ฮ่าๆๆๆ"

"ไง มึงเห็นหางหมากระดิกป่าววะ"

"เห็นวะ"

"หัวเราะเ*ยไรกัน จะไปไหนก็ไรไปเลยพวกมึง รำคาญ" ดูเหมือนหมาตัวโตของสองแฝดจะได้ยินที่สองพี่น้องกระซิบกระซาบกัน จนถูกชี้หน้าคาดโทษรายตัวเลยก็ว่าได้

"อ้าวไรวะ ยืนเฉยๆก็ผิดอ่อ" ขุนพลพูดออกมาก่อนจะทำหน้าเมือนคนไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมรับว่าตัวเองเพิ่งว่าอีกฝ่ายว่าเป็นหมาตัวโต ยกคิ้วสูงส่งรอยยิ้มกวนๆกลับมาให้ว่าที่คุณหมอของผม เหมือนคนอยากถูกด่ายังไงยังไง

"อย่าว่าแต่ยืนเฉยๆเลย แค่เห็นเงามึงโผล่มาดูก็รำคาญละ" นั่นไง คุณหมอเค้ายอมซะที่ไหน

"อุ้ยตาย ว้ายกรี๊ดดด ไอ้พี่อย่ารำคาญเค้านะตัวเอง" ขุนพลยกมือขึ้นสองข้างก่อนวิ่งเอาหน้ามาถูแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของพี่แฟง นี่ก็อะไรไม่รู้ เล่นเป็นเด็กอีกแล้ว คนเดินผ่านไปมามองแล้วก็ไม่อายรึไง

"หวีดอะไรของมึง ทุเรศ ตัวยังกะควาย มาเค้ากะตัวเองอะไร คิดว่าน่ารักนักรึไง แล้วหน้ามึงไปโดนตีนใครมา รอยโคตรชัด"

"รอยไรพี่ บ้าน่า ผมเพิ่งเลิกเรียน รอยตงรอยตีนไร มั่ว" ผมกับกองทัพมองหน้ากันแล้วก็แอบอมยิ้ม ส่วนคนที่มีรอยบนหน้าก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งหน้าตัวเองทันที

"เชี่ยยยย นี่กูหลับทับโทรศัพท์จนเป็นรอยแบบนี้เลยหรอวะ แล้วทำไมมึงสองคนไม่บอกกู ปล่อยให้กูเดินรอบตึกเลยนะ มิน่าละคนมองกูจัง"

ขุนพลเห็นรอยบนหน้าตัวเองก็โวยวายคาดโทษเราสองคนยกใหญ่ จนผมเองอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับกองทัพที่เหมือนจะเก็บอาการไว้มานาน ขุนพลดูเหมือนจะไม่พอใจพอสมควรจับแขนผมบิดไปมาอยู่สักพัก

"คุนคุน ไปกันเหอะ ไอ้สองคนนี่มันไร้สาระอยู่ไปก็บั่นทอนอารมณ์เปล่าๆ" ว่าที่คุณหมอแกะมือหนาของขุนพลออกจากแขนผม ก่อนจะเอาเอื้อมแขนตัวเองมาโอบเอวผมแล้วดึงออกไปจากตรงนั้น

"คืนนี้อย่าลืมโทรหาเค้านะตัวเอง" ยังเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ขุนพลก็ตะโกนตามมา ก่อนคนข้างๆผมจะชูนิ้วกลางให้เป็นรางวัล ผมเห็นแล้วก็ขำ สองคนนี้เป็นแบบนี้ตลอด

.
.
.
.
.

"ไหนบอกว่าไปหาเฮียเกอร์ไม่ใช่หรอครับ" ผมถามขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อรถหรูของคนข้างๆเลื่อนเข้ามาจอดในบ้านย่านฝั่งธนที่ผมคุ้นเคย พี่แฟงบอกไว้เมื่อวานว่าวันนี้จะพามาทานอาหารกับพี่ชายคนโตของตระกูลพิสุทธิ์รังสรรค์คนที่ผมเคยได้ยินแค่ชื่อ แต่ยังไม่มีโอกาสได้เห็นตัวเป็นๆเลยสักครั้ง และก็จำได้ด้วยว่าเมื่อคืนพี่แฟงบอกว่าจะไปทานอาหารที่ร้านแถวคอนโดพี่ชายตัวเอง แต่ทำไมตอนนี้ถึงเคลื่อนรถเข้ามาจอดในบ้านของคุณแม่พริ้งได้เนี่ย

"ก็ใช่ แต่แม่กลับมาพอดี เลยเรียกให้มาทานที่บ้านเลย นิวเยียร์ก็อยู่"

"อยู่กันครบเลยหรอครับเนี่ย"

"ใช่ ยกเว้นนิรันดร์ รายนั้นกลับเชียงใหม่ไปคืนเดียวกันกับป๊าม๊าคุนนั่นแหละ"

"อ้อ"

เครื่องยนต์รถคันหรูถูกดับลง ผมปลดสายเข็มขัดออกก่อนจะเลื่อนมือไปเปิดประตู แต่มือหนาของคนข้างๆกันนั้นดันดึงมือผมมากำไว้เสียก่อน ผมรีบมองตามอย่างไม่เข้าใจ ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวก็รู้สึกเหมือนมีอะไรเย็นๆตรงนิ้วนางข้างขวาเลยชายตาลงไปมอง

"พี่แฟง"

"ชอบรึเปล่า"

"..."

"อ้าวเงียบ"

"..."

"ไม่ชอบหรอ ไม่ชอบงั้นเดี๋ยวพี่เอาไปเปลี่ยนให้"

ที่เงียบไปไม่ใช่ว่าไม่ชอบวัตถุสีเงินทรงกลมที่ถูกสวมอยู่ในนิ้วของผม แต่ผมแค่กำลังตกใจและทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนใจกำลังพองฟู ฟู จนจะระเบิดออกมาให้ได้

"คุน อย่าร้องไห้สิ นี่ไม่ชอบจนร้องไห้เลยเหรอ" พี่แฟงมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด แถมหน้าที่ปกติจะมีเลือดฝาดตามแบบฉบับของคนออกกำลังกายนั้นก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด มือหนาละออกจากมือผมก่อนจะเคลื่อนมันมาปาดน้ำใสๆตรงแก้มทั้งสองข้างของผมออกให้อย่างเบามือ

"ปะ เปล่า"

"แล้วเป็นอะไร ร้องไห้แบบนี้พี่ใจไม่ดีรู้มั้ย" คนตัวหน้าขมวดคิ้วเข้าหากันบ่งบอกให้รู้ว่าคงเป็นกังวลมากพอสมควรที่จู่ๆผมก็ร้องไห้ออกมา

"คุน แค่ดีใจ"

"..."

"แล้วแหวนนี่คุนก็ชอบมาก ชอบมากที่สุดในจักรวาลเลยด้วยซ้ำ" ผมยกมือขวาขึ้นมาดูแหวนวงสวยบนนิ้วนาฃของตัวเองไปมา

คนตัวหนาไม่ปล่อยผมไว้เขาดึงร่างผมเข้าไปในอ้อมกอดในทันที ก่อนจะกดจมูกโด่งของเขาลงบนหน้าผากผมอย่างอ่อนโยน

"ร้องไห้ขนาดนั้น พี่ก็นึกว่าไม่ชอบ ใจหายหมดเลย"

"ชอบสิครับ บอกแล้วไงว่าชอบมาก ที่ร้องไห้คือดีใจ แล้วก็ตกใจนิดหน่อย"

"โอ๋ ขวัญเอ๋ยขวัญมา ตกใจเลยหรอเรา"

"อื้อ ก็ใครจะไปคิดเล่าว่าจู่ๆจะมีคนมาสวมแหวนให้แบบนี้ เราก็คิดว่าจะมีคนมาคุกเข่าสวมแหวนให้บนยอดตึกวิวสวยพร้อมดอกไม้ช่อโตซะอีก"

"หือ อยากได้แบบนั้นหรอ แต่โทษที พี่ไม่โรแมนติกขนาดนั้นวะ ได้แค่นี้แหละ"

"หยอกเล่นน่า ไม่ได้หวังแบบนั้นซะหน่อย ขนาดแบบนี้คุนยังไม่หวังเลย แค่นี้ก็โรแมนติกมากพอแล้วที่เห็นคุณลภัสทำแบบนี้เนี่ย" รู้ครับว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนโรแมนติก อย่าหวังจะได้ดอกไม้จากว่าที่คุณหมอเลย ไม่มีทางซะหรอก แต่ผมเองก็ไม่ใช่พวกชอบดอกไม่อยู่แล้วเลยไม่ได้รู้สึกอะไร ผมไม่ได้ชอบเขาที่สิ่งของเสียหน่อย ชอบความตรงไปตรงมาของอีกฝ่ายต่างหาก ชอบเขาก็บอกว่าชอบ รักเขาก็บอกว่ารัก เขาอยากบอกรักผมตรงไหนเขาก็ทำแม้จะมีสักขีพยานนับร้อยเขาก็ไม่สนใจ ผู้ชายที่ชื่อลภัสไม่เคยอายที่จะแสดงความรักกับผมและเขาไม่เคยปิดบังการมีตัวตนของผมเลยสักครั้ง และนั่นทำให้ผมรักเขามากมายขนาดนี้

"เดี๋ยวเหอะ ไอ้ตัวเล็กนี่ มันก็ต้องมีบ้าง ความโรแมนติกที่ฝังอยู่ในผู้ชายดิบเถื่อนแบบผมคนนี้เนี่ย"

"อือฮึ"

"..."

"แหวนสวย คุนชอบ"

"ชอบก็ดีแล้ว ใส่ให้แล้วห้ามถอดด้วย ไม่งั้นโดนดี"

"แน่นอน พี่เองก็ห้ามขอคืนด้วยนะ คุนไม่คืนให้เด็ดขาด อ้าว มีอีกวงหรอครับ" ผมเหลือบไปเห็นแหวนสีเงินลักษณะคล้ายกันกับวงที่อยู่บนนิ้วผมที่วางอยู่ในกล่องกำมะหยี่

"ใช่ ของพี่ สวมให้พี่บ้างสิคับที่รัก" คุณเคยเห็นหมาตัวโตอ้อนมั้ยครับ นั่นแหละ ท่าทางของพี่แฟงเป็นแบบนั้นเปี๊ยบเลย พี่แฟงผละผมออกจากอ้อมกอด ก่อนที่ผมเอื้อมมือไปดึงแหวนวางที่ใหญ่กว่าของผมขึ้นมาจากกล่อง

"ทำไมซื้อให้ตัวเองละครับ ของพี่แฟงคุนต้องซื้อให้สิถึงจะถูก"

"ใครซื้อก็เหมือนกันแหละ เพราะตอนสุดท้ายมันก็เป็นแหวนของเราอยู่ดี"

ผมยิ้มกว้างให้กับคำว่า แหวนของเรา

มันไม่ใช่คำที่แต่งแต้มให้พิเศษเลิศเลอ เป็นเพียงแค่คำธรรมดา ที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรง ผมยิ้มให้ตัวเอง ก่อนจะหันไปยิ้มให้ว่าที่คุณหมอ

"ขอมือหน่อยครับ" ว่าที่คุณหมอยื่นมือหนาๆของตัวเองมาให้ผม ก่อนที่ผมจะบรรจงสวมแหวนสีเงินเกลี้ยงลงบนนิ้วนางข้างขวาของอีกคนบ้าง

"คุนใส่ให้แล้ว พี่แฟงก็ห้ามถอดเข้าใจมั้ยครับ"

"ใครจะไปถอด ถึงอยากได้คืนพี่ก็ไม่ให้ ถ้าอยากได้คืนก็ต้องตัดนิ้วพี่ไปแล้วละ"

"เวอร์"

"รักคุนแบบเวอร์ๆด้วยเหมือนกัน อื้อออ" ยังไม่ทันที่ผมจะตอบรับรักอีกคนกลับไปริมฝีปากหนาก็เคลื่อนมาประกบริมฝีปากของผมเสียแล้ว แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้รุกล้ำเข้ามาด้านในเหมือนทุกครั้ง มีเพียงรสสัมผัสนุ่มๆด้านนอกที่มันช่างอ่อนโยนเหลือเกิน อ่อนโยนจนผมรู้สึกว่าตัวเองล่องลอยอยู่ในอวกาศ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

"จะเข้ามั้ยบ้าน จอดรถนานละนะไอ้น้องชาย!"

"จะสวีทกันเกินไปมั้ยเนี่ยพี่!"

เราสองคนผละออกจากกันก่อนจะมองออกไปตามเสียงเคาะกระจกรถฝั่งคนขับ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ ก็น้องสาวว่าที่คุณหมอนั่นแหละ ที่ยืนกอดอกทำหน้าล้อเลียนเราสองคนอยู่ แต่นิวเยียร์ไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว ข้างเธอมีผู้ชายร่างสูงใหญ่อีกคนยืนอยู่ข้างกัน ถ้าให้เดา คงเป็นเฮียเกอร์ ลูกชายคนโตของบ้านพิสุทธิ์รังสรรค์


#คุนแฟง

by ppeachmm
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-06-2020 23:38:46 โดย Ppeachmm »

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ตอนนี้สั้นไปนะ

ออฟไลน์ Ppeachmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
มาแก้ไขให้แล้วคะ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ข้อความถูกตัดไปเกือบหมด แงงงๆๆๆ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
หวานซะ

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 975
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
อ้าย เขิลอะ งือ

ออฟไลน์ Ppeachmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
---ตอนที่ 45---


คุน's part

คิกๆ คิกๆ

แกร๊ก

ผมที่นอนหัวเราะคิกๆอยู่บนเตียงหันไปมองเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก ก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวสีเทาปกปิดช่วงล่างไว้ หยดน้ำบางส่วนยังคงเกาะบนร่างกายของอีกคนประปราย เส้นผมสีดำสนิทที่เริ่มจะยาวจนจะมุดได้อีกครั้งแล้วเปียกชุ่มไปด้วยน้ำแถมด้วยกลิ่นแชมพูหอมฟุ้งไปทั่วห้องนอนเพียงแค่อีกฝ่ายเดินเอ้อระเหยไปมาในห้องนอนราวกับหาอะไรบางอย่างอยู่ ผมมองตามร่างหนากับผมยาวถึงต้นคอที่ทำให้อีกคนเริ่มบ่นรำคาญอยู่เนืองๆอยู่เป็นอาทิตย์แล้วแต่ก็ยังไม่มีเวลาไปเยี่ยมเยียนร้านตัดผมสักที สงสัยวันอาทิตย์นี้คงต้องพาไปตัดผมเสียหน่อย เดี๋ยวว่าที่คุณหมอจะไม่หล่อดูไม่ดีเท่าไหร่

"หัวเราะอะไรเสียงดังเข้าไปในห้องน้ำ" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับแรงยวบบนเตียงหนาบ่งบอกให้รู้ว่าอีกคนขึ้นมาอยู่บนเตียงเดียวกันแล้ว แถมด้วยหน้าหล่อๆที่ยื่นเข้ามาใกล้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอาคางวางแหมะไว้บนไหล่ผมที่นอนคว่ำหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่ ผมไม่ได้ตอบอะไร ยังคงตั้งใจพิมพ์ข้อความตอบกลับไปในแชตกลุ่มที่นิวเยียร์ตั้งขึ้นมา และคนบนเตียงเดียวกันกับผมก็ยังเป็นสมาชิกในกลุ่มแชตนี้ด้วยซ้ำ ถ้าตั้งใจฟังดีๆ ก็จะได้ยินเสียงร้องเตือนเบาๆที่ดังออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเจ้าตัวที่แขวนอยู่บนราวหน้าห้องน้ำ แชตกลุ่มนี้เพิ่งก่อตั้งมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วสมาชิกมีทั้งหมดห้าคน สมาชิกหลักคือสามพี่น้องตระกูลพิสุทธิ์รังสรรค์ อีกคนคือตัวผม ส่วนสมาชิกคนสุดท้ายคือแฟนที่หน้าตาหน้าร้ากกกของพี่ชายคนโตของตระกูลพิสุทธิ์รังสรรค์ที่ผมเพิ่งเคยเจอ หน้าตาดีสมคำร่ำลือที่นิวเยียร์คอยโฆษณา ดีจนผมคิดไม่ถึงว่าจะเป็นพี่ชายของคุณลภัส เพราะอีกฝ่ายนั้นดูต่างกันกับพี่แฟงราวเทวดา....กับ....ซาตาน คงไม่ต้องบอกว่าใครเปรียบเสมือนอะไร ผมขอไม่พูดต่อ ไปคิดกันเอาเองนะเออ แต่ที่พูดนี่ไม่ได้หมายความว่าคนของผมนั้นไม่หล่อนะครับ พี่แฟงก็หล่อ หล่อมากด้วน แต่แค่หล่อกันคนละฟีลกับพี่ไทเกอร์เท่านั้นเอง

ผมตั้งใจตอบแชตของนิวเยียร์อย่างตั้งใจ หัวข้อในสนทนาก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย เพราะตอนนี้เรื่องที่เป็นที่น่าจับตามองของตระกูลพิสุทธิ์รังสรรค์ก็เห็นจะเป็นแหวนสีเงินวงเกลี้ยงที่มีเม็ดเล็กสามเม็ดประดับอยู่รอบวงบนนิ้วนางข้างขวาของผม แม้เรื่องนี้จะกลายเป็นหัวข้อสนทนามื้อค่ำที่บ้านคุณแม่พริ้งเมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว แต่ความฮ๊อตของมันก็ไม่ได้มีวี่แววจะซาลงเลย นิวเยียร์กับเฮียเกอร์ยังลากเรื่องนี้มาจุดชนวนเพิ่มในไลน์กลุ่ม แต่ด้วยคนคุยในตอนนี้เป็นนิวเยียร์มันเลยทำให้คำถามนั้นดูตลกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ด้วยเพราะน้องสาวคนเล็กของบ้านนี้เป็นคนตลกเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ถามตอบอะไรเลยเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดเวลา

คิ้ก คิ้ก

"หัวเราะไรนักหนา หืม?" มัวแต่สนใจโทรศัพท์ในมือจนลืมสังเกตไปว่าเจ้าของแหวนบนนิ้วผมขึ้นมาบนเตียงโดยมีผ้าเช็ดตัวผืนเดียวห่อหุ้มร่างกายไว้ มิน่าละ ถึงรู้สึกว่ามีอะไรเย็นๆ ทาบอยู่ที่หลัง ที่แท้ก็หน้าอกเปียกๆ ของอีกคนนั่นเอง ป่านนี้เสื้อผมคงเป็นรอยน้ำเป็นดวงๆแล้วแหงๆ แต่ก็ได้แค่คิดแค่นั้นผมเองก็ไม่ได้ขยับตัวออกไปไหนปล่อยให้อีกคนทาบทับมาเหมือนทุกครั้ง รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ลงน้ำหนักมาจนหมด ไม่งั้นผมคงได้แบนราบติดเตียงไปแล้ว

"นิวเยียร์ครับ"

"คุยไรกัน" คนด้านหลังแนบหน้าเข้ามาชิดแก้มผม ก่อนจะโอบกอดจากทางด้านหลังรับรู้ถึงไออุ่นจากอกอีกคนที่ถ่ายทอดผ่านเสื้อเชิ้ตนักศึกษาตัวบางมายังแผ่นหลัง ความอบอุ่นที่คุ้นเคยที่ผมมักได้รับจากอ้อมกอดของอีกคนเสมอๆ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ ในวันนี้ทีี่มีอีกคนอยู่เคียงข้างแบบนี้ พร้อมกับคำมั่นสัญญาเป็นแหวนสีเงินบนนิ้วนางข้างขวาของเราสองคน

"ก็ทั่วไปครับผม"

"อะไรคือทั่วไป หืม" เสียงทุ้มของพี่แฟงที่ดังขึ้นข้างหูมันฟังดูทุ้มต่ำกว่าปกติ ส่วนมือหนาที่เคยวางพาดเอวผมอยู่ก็ดูเหมือนจะซุกซนจนเกินไป มันเลื้อยลงต่ำไปยังที่ๆไม่ควรในเวลานี้

"ก็ถามเรื่องแหวน เรื่องของเรา อะไรประมาณนี้ อื้ออ"

"อือฮึ แล้วไรอีก" ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายถามเอาคำตอบจริงๆ หรือแค่ถามไปเพราะอยากจะดึงความสนใจกันแน่

"อื้ออ ก็แค่นั้นครับ อื้ออ" ผมหดคอลงอย่างรวดเร็วเมื่อจมูกโด่งกดฝังลงข้างใบหูก่อนจะซุกไซร้ใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายลงไปตรงซอกคอของผมอย่างเนิบนาบ ความเสียวซ่านถาโถมเข้ามาเมื่อสัมผัสอีกหลายอย่างเกิดขึ้นตามส่วนต่างๆของร่างกายพร้อมๆกัน เคยสงสัยเหมือนกันว่าอีกฝ่ายไปฝึกทำเรื่องแบบนี้มาจากไหนถึงได้เชี่ยวชาญไหลลื่นขนาดนี้จนต้องถามออกไป แล้วก็ได้คำตอบจากหน้านิ่งๆของอีกคนเหมือนผมถามคำถามเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป ตอบกลับมาว่าก็ลองมาเยอะแล้วแต่ก็ยังไม่เคยถูกใจเลยสักคน อีกฝ่ายเลยไม่คิดสานต่อกับใครจนมาติดใจที่น้องคุนคนนี้ ขอยืมคำว่าติดใจของอีกคนมาใช้นะครับ ไม่ได้พูดเอง ตอนนั้นที่ฟังก็รู้สึกโหวงๆในใจเหมือนกันที่รับรู้ว่าอีกฝ่ายเคยทำเรื่องแบบนี้กับใครคนอื่นมาแล้ว ก็ยังดีที่พี่แฟงไม่ได้คิดโกหกกัน ซึ่งนั่นก็เป็นอีกข้อดีหนึ่งที่ผมค้นพบในผู้ชายคนนี้ เขาไม่เคยโกหกผมถึงแม้บางเรื่องถ้าเขาโกหกไปมันจะทำให้ผมสบายใจมากกว่าคำตอบที่เป็นความจริงเสียอีก เขาบอกว่าพูดโกหกไปให้สบายใจแล้วมันจะดีอย่างไงในเมื่อมันทำให้อีกฝ่ายเลือกที่จะโกหก เพราะถ้าโกหกครั้งหนึ่งแล้วมันก็จะต้องมีครั้งต่อไปตามมา แล้วถ้าผมรู้ความจริงนั้นจากปากคนอื่นผมเองนั่นแหละที่จะไม่สบายใจและเสียความรู้สึกเอง ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยนะ ส่วนเรื่องที่ิีอีกฝ่ายเคยมีใครมาก่อนนั้นมันก็เป็นเรื่องในอดีตผมไม่ได้ติดใจอะไร ทุกคนล้วนผ่านเรื่องราวชีวิตของตัวเองมาทั้งนั้นและเราไม่ควรจะตัดสินใครที่อดีต ตราบใดที่ปัจจุบันอีกฝ่ายไม่ได้นอกกายหรือนอกใจผมไปมีอะไรกับคนอื่นผมก็ไม่คิดจะถือสา และก็ไม่ควรจะถือสาด้วย เพราะอดีตก็คืออดีตวันยังค่ำ ไม่มีใครชุบชีวิตอดีตให้กลายมาเป็นปัจจุบันหรืออนาคตได้ มันผ่านไปแล้วก็คือผ่านไป ถ้ายังเก็บมันมาทำร้ายซึ่งกันและกันมันจะบั่นทอนความรู้สึกดีๆในปัจจุบันที่เรามีให้กันไปเสียมากกว่า และผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะในอนาคตไม่มีใครหยั่งรู้ได้ อาจจะมีอะไรหลายอย่างเข้ามาทดสอบความสัมพันธ์ของเราสองคน และนั่นก็ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต ไม่ควรเอาอดีตเข้ามาสร้างความวุ่นวายกับปัจจุบัน

เคยสงสัยเหมือนกันว่าทำไมคนคนนั้นของเขาต้องเป็นผม อีกฝ่ายไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ เหมือนกับผมเองที่ก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงเป็นพี่แฟง ผมรู้แค่ว่ามีเขาแล้วมันดี เหมือนกับที่เขาพร่ำบอกผมเสมอว่าไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นผม รู้แค่ว่าอยู่กับผมแล้วมันดี ก็แค่นั้น เมื่อเหตุผลมันไม่ได้สละสำคัญอะไร ก็ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความรักจองเราสองคนไป ไม่มีใครรู้ว่ามันจะยาวนานเป็นเดือนเป็นปีหรือตะแค่ไม่กี่วัน รู้เพียงว่าตอนนี้ผมมีความสุขที่มีเค้าในทุกวันก็พอ

"พี่แฟงงงง อื้อออ"

"ครับ เรียกพี่ทำไมหืม" ผมเอื้อมมือไปจับฝ่ามือหนาที่กำลังบีบคลึงก้อนเนื้อสองก้อนที่บั้นท้ายของผมอย่างมันมือ ขืนปล่อยผ่สน รับรองต้องเลยเถิดไปไกลแน่ๆ

"จะทำอะไรครับ ไม่เอา อื้อ" ผมรีบตอบปัดไปเพราะรู้ว่าอีกคนกำลังปลุกปั่นอะไร สัญชาติญานภายใต้เสื้อผ้าที่ถูกปลุกปั่นกำลังจะตื่นตัว แต่ผมเพิ่งกลับมาจากข้างนอก น้ำยังไม่ได้อาบน้ำเลย แถมวันนี้ยังเรียนตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ เสร็จจากเรียนก็ยังต้องไปทานมื้อค่ำที่บ้านคัณแม่พริ้งกว่าจะได้กลับมาถึงคอนโดก็เกือบสี่ทุ่ม เนื้อตัวทั้งเหนียวทั้งเหม็น จะให้มาทำอะไรแบบนี้ผมไม่ไหวหรอก พอดีเป็นคนชอบอาบน้ำก่อนทำกิจกรรมฮึ่มฮ่ำเสียด้วย แล้วคนเริ่มปลุกอารมณ์เองก็รู้ดียิ่งกว่าใคร

"โอเค ไม่เอาก็ไม่เอา" ปากพูดอย่าง แต่จมูกก็ยังซุกไซร้ลำคอผมไม่ห่างออกไปไหน มือหนาที่ผมจับไว้ก็ผละออกเลื่อนมาขยำติ่งสีสวยกลางหน้าอกผมแทน นี่เข้าใจที่ผมพูดบ้างมั้ยเนี่ย

"ก็หยุดสิครับ"

"อื้อออ อีกนิด" เสียงทุ้มกดต่ำลงกว่าเดิมเพิ่มเติมมาด้วยเสียงกระเส่าที่แหบพร่า อีกนิดอะไรเล่า อีกนิดก็เสื้อผ้าหลุดรุ่ยแล้วเหอะ อย่านึกว่ารู้ไม่ทันนะ

คิดในใจได้ไม่ถึงนาที มือหนาก็ดึงโทรศัพท์ในมือผมออกแล้วจะโยนมันไปไว้ที่โซฟาปลายเตียง ก่อนจะดึงผมที่นอนคว่ำหน้าอยู่ให้เอาหลังไปสัมผัสเตียงแทน เราเผชิญหน้ากัน หยดน้ำจากผมที่ยังเปียกหมาดๆของอีกคนหยดลงมากระทบใบหน้าและลำคอของผม แต่คนด้านบนก็ไม่มีท่าทีจะขยับไปไหน จนรู้สึกได้ว่าเสื้อนักศึกษาสีขาวของตัวเองเริ่มเปียกเฉะ มือสองข้างถูกอีกฝ่ายรวบไว้เหนือหัว ก่อนดวงตาคมจะจ้องเข้ามาในดวงตาของผม มันดูแข็งกร้าวเหมือนชื่อเล่นของเขา ดวงตาเขามันเหมือนเขี้ยว ที่พร้อมจะตะปบผมได้ทุกเมื่อ และเชื่อเถอะว่าถ้าเขาอยากจะตะปบฝังเขี้ยวลงบนส่วนไหนของร่างกายผม ผมไม่มีทางขัดขืนได้เลย นายแฟงที่แปลว่าเขี้ยวคนนี้นั้นแผดเผา เร่าร้อน และบางครั้งผมก็ทรมานจนเหมือนจะขาดใจตายถ้าอีกฝ่ายกลั่นแกล้งกัน แต่ก็แค่นั้น เพราะในตอนจบเขี้ยวอันนี้ก็พาผมข้ามแม่น้ำแห่งความสุขไปได้แทบทุกครั้งไป

"อะ อาบน้ำก่อน" ผมตัดสินใจเอ่ยออกไปเสียงเบา แม้จะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่ดุดันอยู่ตรงส่วนล่าง ถึงไม่ได้หันไปมองก็พอเดาได้ว่ามันคืออะไร

"ก็ไปอาบสิ ไม่ได้ว่า" อีกฝ่ายตอบกลับมาพร้อมกับยกยิ้มขึ้น รอยยิ้มที่ผมเห็นที่ไรต้องขยาดเพราะนั่นหมายถึงว่าผมกำลังจะถูกเสือตัวนี้ฝังเขี้ยวลงไปตามจุดต่างๆของร่างกายในไม่ช้า

"งั้นก็ปล่อยคุนสิครับ" ผมขยับตัว พยายามส่ายข้อมือไปมาให้หลุดจากการรัดกุมของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ประโยชน์ ยิ่งขยับ อีกฝ่ายก็ยิ่งออกแรงรัดมากขึ้น ยิ่งอ้าปากประท้วงก็ยิ่งถูกปิดปากด้วยริมฝีปากหนาที่บดคลึงรุกล้ำและหลอมละลาย และที่แย่ไปกว่านั้น ยิ่งขยับช่วงล่าง ก็ยิ่งรู้สึกว่าอะไรบางยังมันขยับขยายเพิ่มขนาดขึ้นไปอีก

อ่าาาา..แย่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้จะได้ไปอาบน้ำตอนไหน

อีกฝ่ายผละออกก่อนยกยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัยเมื่อผมไม่สามารถขัดขืนแรงอีกคนได้ ผ่านมากว่าหลายนาทีข้อมือผมก็ยังถูกกอบกุมอยู่เหนือศรีษะเหมือนเดิม

"ที่รักครับ น้องคุนอยากอาบน้ำ" ดูเหมือนคำอ้อนของผลจะยังคงใช้ได้ผลอยู่เสมอ มือหนาที่กอบกุมข้อมือผมคลายลงจนผมสามารถดึงแขนของตัวเองออกมาได้ ดวงตาเรียวคู่นั้นดูววูบไหวกับคำสรรพนามนี้ทุกครั้งที่ถูกนำมาใช้ เรี่ยวแรงมหาศาลที่เคยมีดูเหมือนจะเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะลุกออกจากเตียงได้ทั้งๆที่อีกฝ่ายทาบทับผมอยู่

"ขอพี่ก่อนรอบนึงสิ แล้วค่อยอาบ" อีกฝ่ายเลื่อนหน้าลงมาประชิดหน้าผม เราห่างกันไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือด้วยซ้ำ จนหยดน้ำหยดใหญ่จากเส้นผมหนาหยดลงมากระทบรมฝีปากผม ก่อนที่ผมจะได้ยกมือตัวเองขึ้นมาเช็ดมันก็ถูกเช็ดด้วยริมฝีปากหนาของคนบนร่างเรียบร้อยแล้ว

"แต่คุนยังไม่ได้อาบน้ำ" เป็นอันรู้กันว่าถ้าไม่อาบน้ำผมไม่ทำ แล้วอีกฝ่ายก็รู้ดี เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว และมันก็จบลงด้วยการที่อักฝ่ายยอมให้ผมเข้าไปอาบร้ำแต่โดยดี คนบนตัวผมถอยออกไปจากตัว ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายที่ยอมทำตามอย่างว่าง่าย แต่ผมก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ใช่อย่างที่คิดรอนยิ้มเมื่อครู่รีบหุบลงแทบไม่ทันเมื่อคนที่คุกเข่าที่ตรงหว่างขาผมดึงผ้าเช็ดตัวผืนสีเทาออกไปทิ้งไวเบนพื้นอย่างรวดเร็ว ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามทันที ว่านี่มันอะไร?

"คุนยังไม่อาบ พี่ก็ไม่ทำไรคุน"

"แต่...." ดูรูปประโยคแล้วเหมือนอีกฝ่ายจะยอมปล่อยผมไปอาบน้ำแต่โดยดี แต่ทว่าการกระทำนั้นมันดูสวนทางอย่างสิ้นเชิง นอกจากจะโยนเครื่องห่มหุ้มร่างกายของตัวเองทิ้งไปแล้ว อีกฝ่ายยังดึงผมขึ้นมานอนทับบนตัวตัวเองอีก

"แต่คุนต้องใช้ไอ้นี่ ทำ ให้พี่สักรอบก่อน นะครับ แล้วพี่จะปล่อยคุนไปอาบน้ำแต่โดยดี"

พอได้ฟังสิ่งที่อีกคนต้องการ ก็ได้แต่ร้องอ้ออออออในใจ แล้วไอ้นี่ที่อีกฝ่ายพูดถึงก็ไม่ใช่อะไร ไม่ค้องเดาอะไรให้ยากเลย เพราะอีกฝ่ายยื่นนิ้วชี้มาแตะลงบนริมฝีปากของผมแล้วขยี้มันเบาเหมือนทุกครั้งที่เขาต้องการให้ผมทำอะไรแบบนี้

ผมก้มลงมองส่วนที่เคยดันหน้าขาผมเมื่อครู่ก็ยกยิ้มขึ้นมาก่อนจะก้มหน้าลงไปทักทายลูกชายฝาแฝดของพี่แฟงอยู่หลายนาที จนอีกฝ่ายร้องคำรามในคอแล้วเอามือหนากดขยับหัวผมให้เป็นไปตามจังหวะที่อีกคนพอใจเมื่ออารมณ์ของเจ้าตัวถูกปลุกปั่นขึ้นมาถึงขีดที่ควบคุมไว้แทบไม่ได้ ผมเองก็ไม่อยู่เฉยยื่นมมือไปควบคุมจังหวะมือบางสาวขึ้นลงไปด้วยพร้อมๆกัน รู้ดีว่าจุดไหนที่อีกฝ่ายชื่นชอบ รู้ดีว่าความเร็วระดับไหนที่อีกฝ่ายพอใจ แล้วก็ใช้นิ้วเน้นย้ำตรงจุดนั้นซ้ำๆให้อีกฝ่ายครางออกมาไม่เป็นภาษา ใช้เวลาไม่นานเสียงครางทุ้มต่ำของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นพร้อมกับสายน้ำที่พรั่งพรูออกมาเลอะขอบปากของผม กลิ่นเฉพาะตัวของอีกฝ่ายคลุ้งเตะจมูกผมเช็ดของเหลวออกจากปากก่อนจะลุกเดินเข้าห้องน้ำไป ทิ้งอีกคนให้นอนหอบอยู่บนเตียงกว้าง

ทิ้งช่วงไม่นานอีกฝ่ายก็เดินตามเข้ามาพร้อมกับมือหนาที่สอดมาโอบเอวผมจากด้านหลังในตอนที่ไม่มีเสื้อผ้าปกปิดร่างกายผมไว้แล้ว

"เดี๋ยวพี่ช่วยอาบ"

"ไม่เอา"

"ทำไม"

"เดี๋ยวไม่ได้อาบกันพอดีครับ"

"อืม คิดถูกแล้ว"

แล้วก็เป็นอย่างที่คิด อีกฝ่ายจัดการเริ่มจังหวะรักทันทีที่อาบน้ำชำระล้างร่างกายให้ผมเสร็จ อาบให้เองกับมือ แล้วก็ทำให้เลอะเองกับมือเขาด้วยนั่นแหละ จากที่เคยอาบน้ำไม่ถึงครึ่งชั่วโมง คืนนั้นกว่าจะได้กลับมานอนบนเตียงก็เกือบขึ้นวันใหม่ แล้วขอบอกเลยว่าผมไม่ได้เดินมานอนบนเตียงด้วยตัวเองด้วยซ้ำ เพราะสลึมสลือจากความเหนื่อยหอบอันเป็นผลจากกิจกรรมฮึ่มฮ่ำที่เจ้าของแหวนบนนิ้วผมมอบให้ ผมถูกอุ้มกลับมานอนที่เตียงได้ยังไงยังไม่รู้เลย รู้ตัวอีกที่ก็ตอนที่อีกฝ่ายลุกขึ้นไปปิดไฟในห้องนอนแล้วแทรกตัวเข้ามาในผ้าห่มก่อนจะดึงตัวผมเจ้าไปซุกอกแกร่งเหมือนทุกคืนที่อีกฝ่ายทำเป็นประจำทุกวัน

"พี่รักคุนนะ"

"รักพี่แฟงเหมือนกันครับ"

"นอนซะเด็กดี"

"อื้อ"

"หลับฝันดี ฝันถึงพี่ด้วย"

"คุนก็ฝันถึงพี่อยู่ทุกคืน"

"ขอบคุณที่เดินเข้ามาหาพี่ในวันนั้น"

"หือออ วันไหนหรอครับ"

อีกฝ่ายตอบอะไรสักอย่างกลับมา คำตอบของพี่แฟงสั่นเครืออยู่ในโสตประสาท แต่เพราะตอนนี้ผมเหนื่อยเหลือเกินจึงจับใจความประโยคนั้นไม่ได้ ภาพด้านหน้าก็ดูเหมือนจะดับวูบไปได้ทุกเมื่อ ไม่เป็นไรไว้พรุ่งนี้ค่อยถามใหม่แล้วกัน


#คุนแฟง

by ppeachmm

-------+++++------

จะจบแล้วน้าาาา ตอนหน้าตอนสุดท้ายแล้วนะคะ
มาส่งน้องคุนกับพี่แฟงไปถึงฝั่งพร้อมกันนะคะ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2020 23:37:28 โดย Ppeachmm »

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ OoniceoO

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 975
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
อิจฉาคนมีความรัก หุวๆ

ออฟไลน์ mylittleY

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เข้าใจการกระทำของทุกตัวละครในเรื่องนี้นะคะ และใจจริงไม่คิดเลยว่าหมอแฟงจะมาโรแมนติกได้ในตอนท้าย ชอบความรักที่ต่างฝ่ายต่างให้ ต่างฝ่ายต่างเข้าใจแบบนี้ มันดีคะ ไม่อยากให้จบเลย แต่ก็รออ่านตอนจบอยู่นะคะ

ออฟไลน์ Ppeachmm

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
---ตอนที่ 46(จบ)---

(ยาวนิดนึงนะคะ)
.
.
.

5 ปีที่แล้ว

แฟง's part

ผมชื่อแฟงครับ แฟง ที่ออกเสียงเหมือน แฟงค์ เป็นภาษาอังกฤษมีความหมายว่าเขี้ยว นิรันดร์ตั้งชื่อนี้ให้ผมเพราะหลังจากที่คลอดออกมาได้สักอาทิตย์ผมก็ชอบงับนิ้วนิรันดร์ประจำ นิรันดร์บอกผมดุดันแต่เด็กแล้วก็ยังเกรี้ยวกราดอีก อยากตั้งชื่อว่าเสือ แต่ก็จะไปซ้ำกับชื่อลูกชายคนโตของบ้านพิสุทธิ์รังสรรค์ที่ชื่อว่า ไทเกอร์ เลยได้ชื่อเล่นเด็ดดวงเป็นภาษาอังกฤษมาว่า แฟง
ไม่ใช่แค่ชื่อที่แสดงถึงความเกรี้ยวกราดอย่างเดียว นิสัยก็เกรี้ยวกรสดไม่แพ้ชื่อเลย มีเรื่องชกต่อยที่โรงเรียนประจำจนถูกเรียกผู้ปกครองเป็นว่าเล่น ผมไม่ใช่คนชอบหาเรื่องนะครับอย่าเข้าใจผิด ผมแค่เป็นคนชอบความถูกต้องเท่านั้น มีเรื่องชกต่อยแต่ละครั้งก็ล้วนแล้วแต่เข้าไปช่วยเพื่อนที่โดนรังแก แต่พักหลังนั้นกลับกลายเป็นโดนไอ้พวกเหล่านั้นมาหาเรื่องผมที่โรงเรียนบ่อยๆ ก็มีคนมาหาเรื่องจะให้ผมยืนเฉยๆรึไงกันครับ ก็สวนกลับดิคร้าบบบบ
เกเรแหละ พูดได้เต็มปากว่าเกเรเ*ยๆๆ เกเรจนตอนจบ ม.3 นิรันดร์ทนไม่ไหวต้องส่งผมไปสำนึกผิดที่ปักกิ่งถึงหนึ่งเดือน หนึ่งเดือนที่ห่างไกลบ้านเป็นครั้งแรก หนึ่งเดือนที่ไม่มีความสะดวกสบายใดๆที่เคยได้รับเหมือนตอนอยู่บ้านพูดเลยว่าไม่ต้องทำอะไร บ้านไม่ต้องทำความสะอาด อาหารไม่ต้องทำ กินเสร็จไม่เคยต้องล้างจาน ผ้าไม่เคยซัก ที่บ้านมีแม่บ้านทำให้หมด ตื่นขึ้นอาบน้ำ กินมื้อเช้า แบมือขอเงินนิรันดร์แล้วก็ไปโรงเรียน ชีวิตช่างสุขสยายจนหลงลืมหน้าที่ของลูกคนหนึ่งที่พึงกระทำไป คือ การตั้งใจเรียนและเชื่อฟังพ่อแม่
ช่วงม.3 ชีวิตผมดิ่งมาก ใช้ชีวิตได้ห่าเหวสุดๆ โดดเรียนเป็นว่าเล่น ถูกเรียกพบผู้ปกครองเกือบทุกอาทิตย์ ผลการเรียนตกต่ำ เข้าออกโรงพยาบาลเกือบทุกเดือน ชีวิตโคตรลงเหวอะช่วงนั้น ช่วงวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตแล้วผมก็ใช้ชีวิตช่วงนั้นสุดตีนมาก
จนนิรันดร์สายหัวคงเอือมระอากับลูกนิสัยเสียอย่างผมเต็มที พราะวันสุดท้ายของการเรียนจบม.3 นิรันดร์ยื่นตั๋วเครื่องบินใบนึงให้ผม แล้วก็ขัยรถไปส่งผมที่สนามบิน พร้อมกับพูดกับผมว่า "ถ้ามึงยังไม่เลิกทำตัวเ*้ยก็ไม่ต้องกลับมาให้กูเห็นหน้าอีก" เป็นไงล่ะครับเจ็บจี๊ดสิครับ พ่อบังเกิดเกล้าถีบหัวส่งให้ไปอยู่ในที่แสนไกลที่ไม่รู้จักใครเลยสักคน

ในซองตั๋วเครื่องบินมีเงินอยู่ในนั้น 1 ก้อนที่พอจะประทังชีวิตในต่างแดนได้ไม่ถึงเดือน แล้วผมต้องทำยังไงหรอครับ ผมก็ไม่รู้ไงว่าต้องทำยังไงไง ความสำนึกผิดมีอยู่น้อยนิดเลือนลางแทบจะมองไม่เห็น อาทิตย์แรกนี่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายโดยใช้เงินไปเกือบครึ่งของเงินทั้งก้อนที่มีอยู่ แล้วก็ยกหูโทรศัพท์ต่อสายกลับมาหานิรันดร์ขอเงินเพิ่ม แต่ได้คำตอบกลับมาว่า

'อยากได้เงินมึงก็หาเอาเอง แต่ถ้าอยากกลับบ้านก็หาเงินซื้อตั๋วเครื่องบินกลับมาเอง'

 เป็นไงล่ะครับตาสว่างเลยทีนี้ นิรันดร์เป็นคนพูดจริงทำจริงเสมอ ถ้าบอกว่าไม่ให้ก็คือไม่ให้ จากที่กินเที่ยวเล่นกับเพื่อนไปวันๆ ต้องหยุดลงทันที โชคดีที่เพื่อนผมมีญาติที่นี่จึงฝากงานให้ผมที่ร้านไอศครีมแห่งหนึ่ง แล้วก็โชคดีไปกว่านั้นคือผมพูดภาษาจีนได้เพราะนิรันดร์เคี่ยวเข็ญให้ไปเรียนภาษาจีนตั้งแต่เด็กก็ตั้งใจเรียนแบบเด็กนั่งหลังห้องอะครับ ไอ้ที่ว่าพูดได้ไม่ใช่พูดคล่องนะครับก็แค่แบบพอไปวัดไปวาได้ ก็จะเอาชีวิตรอดในต่างแดนได้ก็แล้วกัน

"สวัสดีครับ" ผมที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ที่ก้มเก็บไปส่งของที่หล่นอยู่ที่พื้นเอ่ยกล่าวต้อนรับลูกค้าได้เข้ามาในร้านทันทีเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น เสียงฝีเท้าของใครคนหนึ่งเดินมาอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ก่อนที่ผมจะยืนขึ้นมาเต็มความสูง

"ครับ" เด็กชายตัวขาวโปร่งบางแก้มยุ้ยส่งยิ้มให้ผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองเมนูที่แปะไว้ด้านหลังผม

"วันนี้กินอะไรดีน้า" เด็กน้อยบ่นพึมพำกับตัวเอง เอนคอมองดูเมนูไอศกรีมด้านบนพร้อมขมวดคิ้วเหมือนคิดไม่ตก ท่าทางไร้เดียงสาจนลมละสายตาไม่ได้ ปากแดงระเรื่อขมุบขมิบไปมาเมื่ออ่านชื่อเมนูบนผนัง

"ชอบกินรสอะไรละ" ผมเอ่ยถามขึ้นเมื่ออีกคนตัดสินใจเลือกไม่ได้สักที ดีหน่อยที่ตอนนี้เป็นช่วงบ่ายคล้อย ไม่ค่อยมีลูกค้า ไม่งั้นเจ้าเด็กนี่คงไม่มีเวลามายืนงงเลือกรสชาติไอศกรีมอยู่แบบนี้หรอก

"หวานฮะ" เด็กน้อยมองหน้าผมอย่างงงๆก่อนเอ่ยตอบ

"กล้วยอัลมอลมั้ย" ผมเสนอเมนูที่คิดว่าอีกคนน่าจะชอบให้

"ไม่เอาฮะ ผมแพ้ถั่ว" อีกคนตอบกลับมาหน้าเศร้า

"แพ้ก็เอารสอื่น จะทำหน้าเศร้าทำไม"

"ก็อยากลองกินถั่วดูบ้างนี่ฮะ อยากรู้ว่ารสชาติเป็นยังไง"

"ก็เหม็นๆ มันๆ กรุปๆ"

"ฟังดูไม่น่าทานเลยนะฮะ"

"ก็ใช่ไง ถั่วนะไม่อร่อยหรอก กินไม่ได้นะดีแล้วแม่จะได้ไม่ต้องบังคับให้กินไง"

"จริงด้วยแฮะ ฟังพี่พูดแบบนี้แล้วผมค่อยสบายใจหน่อย แอบเสียใจอยู่ตั้งนานที่กินไม่ได้"

"เออ รู้แบบนี้แล้วก็เลิกเสียใจซะ มีของกินอีกตั้งเยอะแยะที่กินได้"

"จริงด้วย พี่ใจดีจัง"

"หล่อด้วย ใจดีด้วย"

"ใจดีอย่างเดียว ไม่หล่อฮะ"

"ใครๆก็ว่าหล่อ"

"ก็บนหน้าพี่มีแมส ผมไม่รู้หรอกว่าหล่อรึเปล่า"

"เออน่า บอกว่าหล่อก็หล่อ"

"เชื่อได้หรอฮะ"

"เออ แล้วสรุปจะกินอะไร ลอง cotton candy ดูมั้ย"

"อันไหนหรอฮะ"

"อันที่สีเหมือนสายรุ้งนะ"

"โหหน้าตาหวานมากเลยนะฮะ"

"ไม่เอา?"

"เอาสิฮะ ผมสายหวานนนน"

"ฮ่าๆๆ ตลกนะเรา"

"ตลกที่ไหนละฮะ น่ารักต่างหาก"

"แปลกคนนะ ชมตัวเองก็ได้ด้วย"

"ใช่ฮะ ชอบชมตัวเอง"

ผมหัวเราะในลำคอก่อนจะเดินไปตักไอศครีมสีสายรุ้งใส่โคนแล้วยื่นให้เด็กน้อยหน้าตาน่ารัก เจ้าตัวแก้มยุ้ยจ่ายเงินแล้วก็เดินถือไอศกรีมโคนออกไปด้วยร้อยยิ้มที่กว้างที่สุดที่ผมเคยเห็นใครยิ้มในโลกใบนี้

"พี่ฮะ" เสียงเล็กหวานดังขึ้นที่หน้าตู้ไอศครีมเหมือนทุกวัน ตั้งแต่วันนั้นเด็กตัวขาวแก้มยุ้ยก็มาซื้อไอศครีมที่นี่ทุกวันเป็นเวลาสองอาทิตย์แล้ว แปลกที่เราสนิทกันทั้งๆที่สันๆหนึ่งคุยกันไม่กี่ประโยค

"ว่าไง"

"วันนี้ไม่อยากกิน cotton candy แล้วฮะ"

"เออ ก็สมควรอยู่หรอก กินอยู่ได้ทุกวันไม่เบื่อรึไง"

"ตอนนี้เบื่อแล้ว พี่เลือกรสใหม่ให้ผมหน่อยฮะ"

"งั้นลองแมชแมโล่กล้วยดูมั้ย"

"อันไหนฮะ"

"อันนั้นอะที่สีเหลืองแล้วก็มีสีฟ้าแทรกอยู่ด้านในอะ"

"อ้ออออ น่ากินจัง งั้นน้องคุนเอาอันนี้ฮะ"

"กี่ก้อน"

"สามฮะ"

"เกินไป กินมากเดี๋ยวอ้วน เอาไปสองก้อนก็พอ"

"แต่คุนอยากกินสามก้อน"

"ไม่ขาย จะขายแค่สอง กินเยอะอ้วน แก้มนี่จะลากพื้นอยู่แล้ว"

"พี่ชายก็พูดเกินไป สองก้อนก็สองก้อนฮะ เท่าไหร่ฮะ"

"ฟรี"

"อ้าว ทำไมฟรีละฮะ"

"พี่เลี้ยง"

"ใจดีจัง ทำไมเลี้ยงอะ หรือเห็นว่าน้องคุนมาเป็นลูกค้าประจำใช่มั้ย"

"ก็ใช่ แต่พรุ่งนี้พี่จะกลับบ้านแล้ว"

"อ้าว กลับไปไหนอะ"

"เมืองไทย รู้จักมั้ย"

"รู้ๆ คุนรู้ หม่าม๊าก็เป็นคนไทย คุนพูดภาษาไทยได้ด้วยนะครับ"

แล้วเจ้าเด็กแก้มยุ้ยที่กำลังเลียไอศกรีมอยู่ก็พูดภาษาไทยใส่ผมฉอดๆ ผมฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ก็มันเล่นพูดภาษาไทยสำเนียงจีนแถมยังสลับคำในประโยคมั่วซั่วไปหมด ฟังไปขำไป ขอร้องให้ผมเล่าเรื่องเกี่ยวกับเมืองไทยให้ฟังต่างๆนานาๆ ดูท่าจะชื่นชอบเมืองไทยมาก พอผมเล่าเรื่องโน่นเรื่องนี่ให้ฟังอีกคนก็ดูตื่นเต้นจนออกนอกหน้า เราคุยกันได้เหลายชั่วโมงอยู่ ก่อนที่จะเจ้าตัวเล็กจะขอตัวกลับบ้านเพราะมืดค่ำแล้ว

"พี่ชาย" ผมที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่เงยหน้าขึ้นมามองเด็กน้อยที่อำลากันไปเมื่อสิบนาทีที่แล้วด้วยความไม่เข้าใจ ไหนบอกจะกลับบ้านแล้วนี่เข้ามาในร้านทำไมอีก

"อะไร"

"คุนให้" มือเล็กยื่นถุงกระดาษใบสีขาวเล็กๆมาให้ผม ผมยื่นมือออกไปรับก่อนจะเปิดดูว่าในนั้นมีอะไร

"ชอบมั้ยฮะ" เจ้าแก้มยุ้ยยอ้มกว้างก่อนเอ่ยถามออกมาเมื่อผมหยิบของด้านในออกมา

"ให้ทำไม"

"เพื่อนกัน พี่เอาไว้ดูต่างหน้าไงครับ จะได้คิดถึงน้องคุนตอนกลับบ้านไปแล้ว"

ผมหัวเราะในลำคอก่อนจะเก็บของชิ้นนั้นใส่กระเป๋าเสื้อคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายพอรู้ว่าจะจากกันก็ถึงกลับไปซื้อของฝากมาให้ผม มันน่ารักเกินไปแล้วไอ้เด็กแก้มยุ้ย รู้สึกเสียดายเหมือนกันที่ต้องจากกัน แต่ชีวิตคนเรามันก็แบบนี้ พบแล้วก็ต้องจาก มันเป็นเรื่องธรรมดา

"ขอบใจ"

"คุนไปแล้วนะ อย่าลืมคิดถึงน้องคุนด้วยเข้าใจมั้ยครับ"

"รู้แล้วน่า"

คำพูดประโยคสุดท้ายที่เราร่ำลากันก่อนเด็กแก้มยุ้ยจะวิ่งออกไปขึ้นรถราคาแพงที่จอดรออยู่หน้าร้านเหมือนทุกวัน
.
.
.
.

หลังจากใช้ชีวิตในปักกิ่งตัวคนเดียวได้เดือนกว่าก็มีเงินซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้าน ทั้งๆที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะอยู่แค่เดือนเดียวแต่เอาไปเอามาผมอยู่ที่โน่นตั้งสี่สิบกว่าวัน ไม่ได้อยากอยู่หรอกนะครับ แต่ยังเก็บเงินซื้อตั๋วไม่ได้ต่างหากละ

พอกลับมาถึงแม่ก็บ่นนิรันดร์ใหญ่ว่าให้ลูกไปลำบากแบบนั้นได้ยังไง บ่นว่าผมผอมลงบ้างละ คล้ำขึ้นบ้างละ ต่างๆนาๆคำบ่นถูกสาดใส่นิรันดร์ไม่ยั้ง ส่วนนิรันดร์ก็เงียบฟังเมียตัวเองบ่นวนไป

หลังจากประสบการณ์ชีวิตที่ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้สอนอะไรผมต่างๆนาๆ พอขึ้นม.ปลายผมก็เปลี่ยนเป็นคนละคน เอาการเอางานตั้งใจเรียนมากขึ้นจนสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ได้ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพ วงศ์ตระกูลก็หน้าบานไปสิครับ ไม่มีใครคิดหรอกว่าเด็กเกเรในวันนั้นจะกลายมาเป็นนิสิตคณะแพทยศาสตร์ได้ในวันนี้

"สรุปมึงจะเอายังไงแฟง นี่กูขับรถวนพามึงดูคอนโดมาจะสิบที่ละนะ เลือกมาสักที่เถอะวะ" นิรันดร์ที่นั่งอยู่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผมบ่นอุบเมื่อผมเลือกไม่ได้สักทีว่าจะย้ายมาอยู่คอนโดไหน เพราะต้องย้ายมาเรียนที่กรุงเทพฯนิรันดร์เลยให้อยู่กับแม่ที่บ้านแต่ด้วยช่วงหลังนั้นผมเรียนหนักขึ้นทำให้มีปัญหาด้านการเดินทางพอสมควร เพราะถ้าไปกลับบ้านแม่กับมหาวิทยาลับแบบต่อไปคงเหนื่อยน่าดูเพราะอยู่คนละฝั่งของเมืองเลย วันนี้นิรันดร์เลยลงมาจากเชียงใหม่ พาขับรถดูคอนโดในระแวกมหาวิทยาลัยตั้งแต่ช่วงสายของวันแล้ว

"ยังไม่ถูกใจ" ผมตักผัดกระเพราปลาหมึกในจานอาหารของตัวเองเข้าปากก่อนมองออกไปนอกร้าน เนื่องจากวนดูคอนโดมาตั้งแต่เช้าทำให้กระเพราะร้องหาพลังงานเพิ่มเติม นิรันดร์เลยจอดรถตรงร้านอาหารไทยข้างทางที่ตกแต่งสวยงามราคาเทียบเท่าร้านที่ขายในห้าง งงเหมือนกันว่าร้านริมถนนทำไมต้องขายแพงแบบนี้ แต่ก็ต้องเข้าใจแหละว่านี่มันกรุงเทพไม่ใช่เชียงใหม่ ข้าวกระเพราะปลาหมึกจานละ 150 ที่ขายในร้านกึ่งคาเฟ่แบบนี้ก็ถือว่าราคาปกติแหละ

สมองคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อย ส่วนสายตาที่สอดส่ายไปด้านนอกร้านก็ไปหยุดอยู่ที่ใครคนหนึ่งที่กำลังเดินออกมาจากคอนโดฝั่งหรูฝั่งตรงข้ามร้านที่ผมนั่งอยู่ ถ้าเป็นเวลาปกติสายตาผมคงเลื่อนไปมองที่อื่นแล้วถ้าหากคนที่เดินออกมาจากคอนโดนั้นไม่ใช่เด็กน้อยคนที่ชอบมาซื้อไอศกรีมรสชาติหวานๆในร้านที่ผมเคยทำงานอยู่ในปักกิ่งเมื่อห้าปีก่อน ผมหัวเราะให้กับโชคชะตาที่นำพาคนสองคนที่คิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกมาพบกันอีกจนได้ เมื่ออีกคนข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้ผมได้ทำความรู้จักถึงที่นี่ ตอนแยกกันเราไม่ได้แลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกันเลย ตอนนั้นในใจก็นึกเสียดายอยู่เหมือนกันที่จะไม่ได้เจอหน้าเด็กน้อยแก้มยุ้ยคนที่ยิ้มกว้างเท่าจักรวาลคนนั้นแล้ว

เด็กน้อยในวันนั้นตอนนี้โตขึ้นและสวมใส่ชุดนักศึกษาสถาบันเดียวกันกับผม

โชคชะตานำพาโดยแท้

"นิรันดร์ ผมจะอยู่คอนโดนี้"

"ยังไงนะ"

"ผมจะเอาคอนโดนี้"

"ไหนมึงบอกว่าห้องมันเล็ก"

"ก็ถ้าเทียบกับราคาขนาดห้องมันกูดูเล็กไปแหละ แต่ตอนนี้มันไม่เล็กแล้วไง จะเอาที่นี่แหละ จะย้ายเข้าพรุ่งนี้เลยด้วย"

"เจริญ นึกจะเอาก็เอา นึกอยากจะย้ายก็ย้าย เอาแต่ใจเหมือนใครวะ"

"เหมือนพ่อ"

"ใครกันวะพ่อมึง กูอยากเห็นหน้าจริงๆ"

ก็ตัวเองนั่นแหละพ่อบังเกิดเกล้าของผม!
.
.
.
.
.

ผมย้ายเข้ามาอยู่ในคอนโดนี้หลายเดือนแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่จะพบเจอเด็กตัวขาวแก้มยุ้ยที่เป็นสาเหตุให้ผมตัดสินใจย้ายเข้ามาอยู่ในตึกสูงระฟ้านี้เลยสักครั้ง ถอดใจไปแล้วว่าอีกคนอาจจะไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ วันนั้นที่บังเอิญเจออาจะมาหาใครสักคนที่นี่ แล้วด้วยตารางเรียนของผมค่อนข้างแน่นจึงไม่ค่อยมีเวลาไปตามหาอีกฝ่าย ประจวบกันหลังจากนั้นไม่นานเกิด COVID19 ระบาด มหาวิทยาลัยจัดให้มีการเรียนออนไลน์แล้วผมก็ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนอีก ไปไกลสุดก็ซุปเปอร์มาเก็ตด้านล่างคอนโด วันนี้ผมนัดเพื่อนในกลุ่มมาทำรายงานกันที่ห้องและในระหว่างที่เรากำลังประชุมหารืองานกันอยู่นั้นก็มีเสียงเคาะประตูที่หน้าห้อง

"ใครวะ" ผมเอ่ยขึ้นทันที

"กูจะไปรู้หรอ นี่ห้องมึง มึงนัดใครไว้ละ" นาทีเพื่อนสมัยเด็กของผมเอ่ยขึ้น จริงของมัน แล้ววันนี้ผมก็ไม่ได้นัดใครไว้อีก แล้วใครมาเคาะประตูห้องวะ

ปึก!

"โอ้ย เชี่ย ใครเอาหนังสือมากองไว้ตรงนี้วะแม่ง" ผมร้องออกมาเสียงดังเมื่อหลังเท้าเตะเข้ากับกองหนังสือมหึมาที่ไม่รู้มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงเข้าอย่างจังจนหน้าเท้าแดงเถือกชัดเจน

"กูวางเองแหละ" แล้วไอ้ตัวต้นเหตุอย่างไอ้นาทีก็พูดขึ้น มันเงยหน้าขึ้นมาจากแมคบุ๊คมาดูว่าผมเป็นอะไรมากรึเปล่า พอเห็นผมไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมันก็ก้มหน้าลงไปมองแมคบุ๊คต่อ เจริญจริงๆ...เอาหนังสือมาวางแกะกะในห้องกูแล้วเสือกไม่ขอโทษอีก เพื่อนเวรเอ้ย

ก๊อกๆๆ ส่วนไอ้คนที่เคาะประตูหน้าห้องก็เคาะซะรัวจนผมนึกว่ามันสแครสแผ่นอยู่

"รอเดี๋ยว มึงจะเคาะทำพ่องงง"

"โอ้ยเชี่ย อะไรอีกวะเนี่ย" ผมมองดูวัตถุอะไรบางที่กลิ้งกระเด็นไปโดนกำแพง ลูกบาส...ไอ้เ*ยนาที มึงเอามาทำมายยยยย ถ้าคว้าลูกบิดประตูไว้ไม่ทันป่านนี้หน้าผมทิ่มคะมำลงพื้นแล้วเนี่ย

ช่างเป็นวันที่โชคไม่ดีจริงๆ เจ็บตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ใครจะรู้ว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่เสมอ ผมเปิดประตูออกไปเพื่อพบกันเด็กผู้ชายตัวขาวแก้มยุ้ยทีี่ผมเฝ้ามองหามาหลายเดือนที่มาพร้อมกล่องถั่วงอกหลายกล่องในมือ ที่อีกฝ่ายยื่นมาให้บอกว่าเอามาต้อนรับเพื่อนบ้าน ช่างเป็นของต้อนรับที่เข้ากับคนให้จริงๆ

...น่ารัก....

อืมมมม

หาอยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็อยู่ห้องติดกันนี่เอง

เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ

"ยิ้มเ*ยไร เป็นบ้าหรอ" นาทีที่ขมักเขม้นทำรายงานอยู่ที่โซฟาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผมยืนยิ้มให้กล่องถั่วงอกในมืออยู่หน้าประตูคอนโด พรางนึกไปว่าจะเอามาทำอะไรกิน ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะซื้อถั่วงอกเข้าคอนโดเลยสักครั้ง

"ยุ่ง ทำงานของมึงไป"

"ได้ข่าวว่างานกลุ่ม ใจคอมึงจะเอาเปรียบกูจริงๆใช่มั้ย สัสแฟง"

"...." เสียงนาทีบ่นพึมพำอะไรเพิ่มเติมอีกมากมายดังมาจากโซฟาแต่ผมไม่ได้หันไปโต้ตอบ ปล่อยมันบ่นไปเรื่อย เดี๋ยวมันเหนื่อยก็หยุดเอง ปล่อยคนบ่นๆไปไม่ต้องสนใจมัน ส่วนผมก็ก้มลงจ้องกล่องถั่วงอกในมือไม่ละสายตา เห็นกล่องแล้วก็คิดถึงหน้าคนให้....

"โอเค เพื่อนกูบ้า ยืนยิ้มให้กล่องถั่วงอก"

"..."

"มึงจะยืนให้มันงอกออกมาเป็นต้นเลยมั้ย หรือยืนไว้อาลัยให้ตัวเอง"

"พูดมาก รำคาญหู"

"แล้วนั่นถั่วงอกมาจากไหนเยอะแยะ"

"เด็กแก้มยุ้ยเอามาให้"

"เด็กที่ไหนวะ เด็กแก้มยุ้ย เชี่ยยย"

"..."

"อย่าบอกนะว่า เป็นคนที่มึงตามหานะ"

"อืม อยู่ข้างห้องนี่เอง"

"เชี่ย พรหมลิขิตชัดๆ"

"ใช่มั้ย กูก็ว่างั้น"

"ช่างหัวพรหมลิขิตก่อนเหอะ ถ้าอีกชั่วโมงงานไม่เสร็จ ชีวิตกูกับมึงสู่ขิตเพราะเจ๊จูแน่ๆ"

"เออๆ"

แล้วความดีใจก็ต้องถูกพับเก็บไปเพราะไฟลนตูดนั่งเผางานส่งอาจารย์จุไรรัตน์เพื่อนสนิทนิรันดร์ที่ชอบจับผิดผมทุกกระเบียดนิ้ว

หลายคนคงคิดว่าโชคชะตานั้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ แต่สำหรับผม ผมว่า ไอ้โชคชะตามันกวนตีน! ผมใช้เวลาหาเด็กแก้มย้อยมานานหลายเดือนไม่เคยเจอ แต่หลังจากวันนั้นที่เจ้าตัวเอาถั่วงอกมาให้ผม ผมก็เจอเจ้าตัวเล็กเกือบแทบทุกวัน และวันนี้ผมก็เจอเด็กน้อยที่ถือถุงอาหารที่คาดว่าคงจะลงมารับจากไลน์แมนเมื่อครู่ เรายืนรอลิฟท์อยู่ที่ด้านล่างคอนโด ทำไมผมถึงต้องบอกว่าโชคชะตากวนตีนนะหรอก ก็เพราะตอนนี้ผมกำลังใส่หูฟังบลูทูธในหูฟังอาจารย์บรรยายผ่าน e-learning อยู่ อยากจะชวนคนตัวขาวที่ยืนอยู่อีกมุมในลิฟท์คุยเรื่องสรรพเพเหระก็ทำไม่ได้เพราะกำลังตั้งใจฟังอาจารย์บรรยายอยู่ แต่ดูเหมือนความอัธยาศัยดีของอีกคนจะยังมีเหมือนเดิม พยายามชวนผมคุยโน่นนี่แต่ผมเองก็ตอบกลับไปเพียงคำห้วนๆสั้นๆเพียงไม่กี่คำเพราะสมองจดจ่อยู่กับเนื้อหาในหู ประโยคชวนคุยที่แสนน่ารักเริ่มต้นด้วย

"สวัสดีครับคุณข้างห้อง" พร้อมกับอากับกิริยาที่อีกคนเอียงคอตาหยีภายใต้แมสนั้นผมคิดว่าอีกฝ่ายคงจะยิ้มกว้างเหมือนเคย

"ผมเองครับ จำได้มั้ย" และนี่คือประโยคถัดมาที่ผมอยากจะตอบกลับไปเป็นคำถามเหลือเกินว่าน้องคุนเถอะจำพี่ได้รึเปล่า แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ถาม วันนั้นจบลงที่อีกฝ่ายเดินมาส่งที่ห้องแล้วก็ดื้อดึงถามเอาชื่อผมให้ได้ ก่อนจะยิ้มดีใจวิ่งกลับห้องไปเมื่อได้สิ่งที่เต้าตัวต้องการ พูดได้คำเดียวว่าน่ารักเหมือนเดิม

สิ่งที่สนับสนุนความคิดผมที่บอกว่าโชคชะตากวนตีนนั้นคือ กองทัพกับขุนพล ใครนะหรอครับ ก็ไอ้เด็กแฝดปีหนึ่งต่างคณะที่สนิทกันเพราะร้านเหล้าแต่ดันจับพลัดจับผลูมาอยู่คอนโดเดียวกันจนกลายเป็นเพื่อนเล่นฟิตเนสของผมกับนาทีไปแล้ว แล้ววันหนึ่งผมก็ได้รู้ว่ามันสองตัวเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าแก้มยุ้ยข้างห้อง คนใกล้ตัวอยู่ใกล้แค่ปลายจมูกนี่เองแต่กลับหาไม่เจอสักที เห็นด้วยรึยังว่า

โชคชะตานะ..กวนตีนกับนายลภัสเหลือเกิน

.
.
.
แต่ก็ช่างแม่งโชคชะตาเถอะ

ผมขอลิขิตชีวิตตัวเองโดยมัดมือชกคนตัวเล็กเข้ามาอาศัยอยู่ในคอนโดของอีกคนด้วยเหตุผลที่โคตรจะจอมปลอม

ไม่มีเงินจ่ายค่าคอนโด เลยจะต้องย้ายออก

เหตุผล...ดู ไม่น่าเชื่อ แต่อีกคนกลับเชื่อจับใจ เห็นแววตาสงสารในดวงตาตี่คู่สวยแล้วก็นึกสึกผิดขึ้นมาในใจ
แต่มันถลำลึกไปแล้ว เริ่มเดินหมากไปแล้ว มันหยุดไม่ได้หรอกครับ คนเราจะทำอะไรก็ทำให้สุดแรง ผมไม่ใช่พวกทำอะไรขอไปที จะจีบเด็กน้อยไร้เดียงสาก็ต้องลงทุนลงแรงหน่อย


จากวันนั้นจนมาถึงวันนี้ก็ผ่านมา 9 เดือนแล้ว มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นทำให้เราได้เรียนรู้และรู้จักกันและกันมากขึ้น คุนคุนก็ยังเป็นคุนคุนคนเดิมกับที่ผมเคยเจอเมื่อห้าปีก่อน ต่างไปตรงที่อีกฝ่ายโตขึ้น และที่สำคัญ....น่ารักมากขึ้น และที่สำคัญคือตอนนี้อีกคนกลางมาเป็นแฟนของนายลถัสคนนี้ไปเสียแล้ว

"คุน" ผมเอ่ยเรียกอีกคนที่นอนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่ในอ้อมกอดผม ช่วงนี้หยุดยาวคนตัวเล็กเลยร้องงอแงอยากมาเที่ยวเชียงใหม่ ส่วนผมผู้ไม่ตามใจแฟนก็รียเก็บของจองตัวทันที ทำให้ตอนนี้เรานอนดูดาวด้วยกันที่รีสอร์ทท่ามกลางไร่ชาของนิรันดร์

"ครับ" เสียงหวานใสตอบกลับมาในความมืด มือบางรั้งเอวผมไว้ก่อนจะขยับตัวเข้ามาชิดเมื่อลมเย็นๆเริ่มพัดผ่าน

"จำวันที่เราเจอกันวันแรกได้มั้ย"

"จำได้ครับ คุนเอาถั่วงอกไปให้พี่แฟง"

"ไม่ใช่"

"หือ?"

"เราเคยเจอกันก่อนหน้านั้นอีก"

"ที่ไหนหรอครับ"

"ปักกิ่ง"

"ไม่น่าใช่นะคุนว่า คุนไม่เคยเจอพี่แฟงที่ปักกิ่งสักหน่อย"

"เคยสิ ให้โอกาสคิดอีกรอย"

"อือออ คุนคิดไม่ออกอะ"

"คุนให้ไอ้นี่พี่ไว้จำได้มั้ย" ผมล้วงพวงกุญแจรูปไอศกรีมออกมาจากกระเป๋ากางเกง เก็บมันไว้มาร่วมห้าปี เป็นของดูเล่นต่างหน้าที่เด็กแก้มยุ้ยให้ผมในวันสุดท้ายที่เราเจอกัน

"พวงกุญแจไอศกรีมเรนโบว์"

"ใช่"

"ไม่จริงอะ"

"อะไรคือไม่จริง"

"พี่เป็นพี่ชายที่ร้านไอติมหรอ"

"อะฮะ"

"บ้าน่า"

"อย่าบอกว่าจำกันไม่ได้ นี่พี่จำคุนได้ตั้งแต่มาเคาะหน้าห้องเลยนะ"

"ก็ตอนอยู่ร้านไอติมพี่แฟงใส่แมสตลอดเวลา ใครจะไปจำได้ละครับ"

"แล้วตอนนี้จำได้ยัง"

"คุนไม่เชื่อ ตอบคำถามมาก่อน"

"ถามอะไร"

"คำถามยืนยันตัวตนไง ตอบผิดถูกลงโทษ"

"ลงโทษแบบไหน"

"ไม่รู้ยังไม่ได้คิด เอาไว้ให้คนชนะคิดเองละกัน"

"แบบนี้ก็มีด้วย"

"มีสิครับ งั้นน้องคุนถาม"

"ว่ามา"

"ตอนนั้นน้องคุนชอบกินไอติมรสอะไร"

"ทุกรสที่เป็นรสหวาน อย่าง Cotton candy, marshmallow banana"

"เฮ้ยยย สตอร์กเกอร์ชัดๆ"

"เพ้อเจอ"

"พี่ว่ามันเป็นพรหมลิขิตหรือโชคชะตามั้ยอะ"

"ไม่อะ ชีวิตนี้พี่ลิขิตเองทั้งนั้น"

"หลงตัวเอง"

"แล้วตามจีบคุนเนี่ย ชอบตั้งแต่ตอนเจอที่ปักกิ่งอ่ออออ"

"บ้าน่า ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไร"

"ชิ"

"คิดแค่ว่าไอ้เด็กนี่มันน่ารัก แล้วก็....."

"แล้วก็อะไรครับ"

"น่ากดให้จมเตียงชะมัด"

"คนลามก! นั่นน้องคุณอยู่ ม.1เองนะ"

"ถึงได้ไม่ทำอะไรไง กลัวตำรวจจับ กลับไทยไม่ได้"

"จริงจัง?"

"มาก"

"คุณลภัสนี่เป็นคนแบบนี้เสมอต้นเสมอปลายจริงๆ"

"แล้วก็รักคุนคุน ที่แปลว่าแผ่นดินคนนี้เสมอต้นเสมอปลายเหมือนกัน พี่รักคุนนะ รักมากขึ้นในทุกๆวันด้วย คิดไม่ออกเลยว่าถ้าวันหนึ่งพี่ไม่มีคุนอยู่ในชีวิต วันนั้นมันจะเป็นแบบไหน ถ้าตอนนี้พี่อธิษฐานขออะไรได้หนึ่งอย่าง พี่ก็อยากขอให้พี่มีคุนอยู่ในชีวิตพี่แบบนี้ตลอดไป รักกันแบบนี้ตลอดไปจนวันสุดท้ายของชีวิต ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่จะพยายามทำให้ปัจจุบันเป็นวันที่ดีที่สุดของคุนในทุกๆวัน สัญญาจากผู้ชายที่ชื่อลภัส พิสุทธิ์รังสรรค์"

"งั้นคุนก็ไม่ขออะไรมาก ขอแค่ให้คำอธิษฐานของพี่แฟงเป็นจริงทุกประการเลยครับ"

ขอให้คำอธิษฐานของเราสองคนเป็นจริง


.
.
.
.
.
.

#คุนแฟง

by ppeachmm

ขอบคุณนักอ่านที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนจบของการเดินทางในครั้งนี้นะคะ ความรักของสองคนนี้อาจจะดูเรียบง่าย อุปสรรคน้อย เรื่อยเปื่อย แต่อยากให้ทุกคนมองที่การกระทำของทั้งสองคนคะ แม้สิ่งที่หมอแฟงทำให้น้องคุน หรือสิ่งที่น้องคุนทำให้หมอแฟงมันจะไม่ได้มีอะไรที่ดูพิเศษตลอดเวลา แต่เรื่องเล็กน้อยที่อีกฝ่ายทำให้กันมันช่วยหล่อหลอมความสัมพันธ์ของทั้งคู่นะคะ ความรักบางทีไม่ต้องหวือหวา แต่แค่เสมอต้นเสมอปลายก็เพียงพอแล้วคะ

ตั้งใจไว้ว่าจะมีสเปต่อให้อีกสามสี่บท
จะมาทยอยอัพให้นะคะ แต่อาจจะเว้นช่วงสักนี้ เพราะตอนนี้เวลาหายากกกกกก

ขอให้ทุกคนมีวันที่ดีค่ะ!

จาก ppeachmm











ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ p_phai

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2302
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +154/-6

ออฟไลน์ Kunjirawaracom

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เป็นนิยายที่น่ารักมากน้องคุนก็น่ารักเหลือเกิน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด