ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามโพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0----------------------------------------------------------
ตอนที่ 1
ผมมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ ในอังกฤษ
เรียนภาษาที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่นี่มีคนไทยแค่ 4 คน
เป็นผู้หญิง 1 คน ชื่อ หนิง
แต่คนที่ผมสนิทที่สุดคือ นนท์ เพราะอยู่บ้าน (host family) ใกล้กัน
แต่ขอบอกว่าไกลจากโรงเรียนมากกกกกก ต้องเดินประมาณ 20-30 นาที
ส่วน กาย บ้านอยู่ใกล้กับโรงเรียนและใกล้กับบ้านของหนิง
พวกเรา 4 คนค่อนข้างสนิทกันพอสมควรเพราะเมืองนี้ก็มีคนไทยอยู่แค่นี้
วันแรกที่ไปถึงเป็นวันอาทิตย์ พวกเรานัดกันว่าจะไปกินข้าวร้านอาหารไทยที่มีอยู่แห่งเดียวในเมือง
ก็อุตส่าห์ถ่อสังขารเดินไปถึงอีกด้านหนึ่งของเมืองปรากฏว่า ......
.... ร้านปิด .....
คนที่นี่ไม่ค่อยทำงานกันวันอาทิตย์ เพราะเมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ
ไม่ใช่ลอนดอนที่เปิดตลอด ซึ่งก็จะคล้ายกับเมืองไทย
สุดท้ายก็ต้องกินแมคโดนัล
“มาอังกฤษแต่ต้องมากินอาหารเมกัน” ผมบ่นออกมาดัง ๆ ก็ผมไม่ค่อยชอบอาหารจั๊งฟูดซักเท่าไหร่
ราคาก็แพงแถมคลอเรสเตอรอลก็สูง
“เมิงแปลกกว่าอีก ... มาถึงอังกฤษวันแรก เรียกร้องจะกินอาหารไทย” กายด่าผม แต่ยิ้ม ๆ ผมว่ามันคงแกล้งด่าผมมากกว่า กายเป็นผู้ชายรูปร่างไม่ค่อยสูงมากเท่าไหร่ ก็สูงพอ ๆ กับผมเนี่ยแหละ
หลังจากกินอาหารเย็นเรียบร้อยพวกเราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน กายกับหนิงไปทางเดียวกัน
ส่วนผมกับนนท์ก็กลับบ้านทางเดียวกัน บ้านของนนท์อยู่เลยบ้านของผมไปอีกค่อนข้างไกล
ก็ต้องเดินประมาณ 15 นาที นนท์มาส่งผมที่หน้าบ้าน
“พรุ่งนี้จะเดินมารับตอน 8 โมง” นนท์พูดแล้วก็เดินกลับบ้าน ผมพยักหน้าแล้วเดินเข้าบ้าน
เช้าวันจันทร์ แปดโมงตรง เสียงกริ่งดังที่หน้าบ้าน
ผมรีบบอกลาโฮสมาเตอร์
ผมลืมบอกไปว่าบ้านที่ผมอยู่ มีโฮสมาเตอร์อยู่กับลูกสาว
โฮสมาเตอร์ ชื่อ แคธี่ และลูกสาวชื่อแคทรีน่า อายุ 14
พอผมลาแคธี่แล้ว ผมก็รีบคว้าผลไม้ที่แคธี่เตรียมไว้ให้แล้ววิ่งออกมาหานนท์
เห็นมันยืนยิ้มรออยู่ แต่ปากมันก็เร่งผมว่าให้เร็ว ๆ เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย
การเดินไปโรงเรียนวันแรกมันแสนทรมาน
ก็คนไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้ อีกอย่างลมแรงมาก เพราะเมืองที่เราอยู่มีทะเล
แถมอากาศก็เย็นมาก พระอาทิตย์ก็ยังไม่ขึ้นดีเลย คงเพราะเป็นหน้าหนาว
พระอาทิตย์ขึ้นช้าตกเร็ว
มืดมากกว่าสว่าง
นนท์ตัวสูงมาก สูง 185 ขามันก็เลยยาวกว่าผมเยอะ ผม 2 ก้าวมันก้าวเดียวเองก็เลยเดินนำผมไปไกล
“รอด้วยดิวะ”
“ก็เดินเร็ว ๆ สิ ก้าวให้มันยาว ๆ ” มันหันมามองหน้าผมแว๊บนึง แล้วก็ยังก้าวยาว ๆ ต่อไป
กว่าจะไปถึงโรงเรียนเล่นเอาหอบ ผมเห็นนนท์นั่งคุยกับหนิงและกายแล้วอยู่ที่สนามหน้าโรงเรียนแล้ว
“ไม่รอเลยนะเมิง” ผมด่านนท์ มันก็เอาแต่หัวเราะ
“เมิงอะ ขาสั้น”
“ไม่สั้นโว๊ย ... สมส่วน” ผมโวยวาย ก็นนท์สูงกว่าผมตั้งเกือบ 20 เซนต์จะให้ขายาวเท่ามัน
ก็ไม่สมประกอบกันพอดี แต่ถึงจะไม่สูงมากแต่ก็มั่นใจในรูปร่างหน้าตาพอสมควร ถึงบางคนจะบอกว่า
ถ้าผมเป็นผู้หญิงจะจีบ เพราะคงจะน่ารัก แต่ผมก็เชื่อว่าถึงผมเป็นผู้ชาย ก็เป็นผู้ชายที่น่าตาน่ารักเหมือนกันนะ
หลังจากคุยกันนิดหน่อย พวกเราก็เข้าสอบจัดระดับ ผมได้เรียนคลาสขั้นสูง
ส่วนนนท์กับหนิงเรียนขั้นกลาง และกายเรียนขั้นต้น หลังจากที่พวกเราได้รับตารางเรียนของวันพรุ่งนี้แล้ว
ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน นนท์บอกผมว่าให้กลับเอง เพราะมันต้องไปเป็นเพื่อนเบรานีส
เพื่อนผู้หญิงที่อยู่บ้านเดียวกันกับมัน เป็นคนฝรั่งเศสก็สวยดี พูดภาษาอังกฤษเก่งมาก
ไปหาเพื่อนที่ถนนอะไรก็ไม่รู้ผมไม่ได้สนใจจะฟัง ผมก็บอกมันว่า
“ไม่เป็นไร ... กูกลับเองได้” ผมบอกมันไปอย่างงั้น เพราะมั่นใจว่าจำทางได้
แต่ก่อนกลับนนท์ก็ส่งแผนที่เมืองให้ผม แล้วชี้ทางบอกว่าให้เดินไปทางไหน
ผมก็มั่นใจแหละนะว่าพอจะจำทางได้ อยู่เมืองไทยก็ไม่เคยหลง จำทางแม่น มั่นใจมาก
ผมเดินทางกลับบ้านด้วยความมั่นใจ แต่หลังจาก 45 นาทีแล้วยังเดินไม่ถึงบ้าน บวกกับมันมืดมาก
แม้จะเป็นเวลาแค่ 5 โมงเย็นก็ตาม ทำให้จำทิศทางไม่ได้ ผมก็เริ่มปอด (แหก) ทำไงดีวะ
ใจเสียสิครับ “นี่กูหลงทางเหรอ ไม่อยากจะเชื่อ”
ตอนนั้น ... อยากบอกว่ากลัวมาก คงไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง
ผมเริ่มหาทางไปแมคโดนัล ร้านที่เมื่อวานเพิ่งไปกินกัน
ถ้าเจอแมคฯ ผมก็มั่นใจว่าผมต้องกลับบ้านได้แน่ ...
หลังจากเดินหาทางอยู่อีก 20 นาที
ฝนก็เริ่มตกปรอย ๆ หนาวก็หนาว มืดก็มืด กลัวก็กลัว
ถึงผมจะเป็นผู้ชายก็ใช่ว่าผมจะไม่กลัว เพราะมันก็อยู่ต่างบ้านต่างเมือง
ผมจะโดนปล้นมั๊ยเนี่ย ก็คิดไปต่างๆ แหละครับ
สุดท้ายก็เห็นป้ายชี้ทางบอกทางไปแมคฯ
ผมใจชื้นขึ้นเยอะ พอเห็นแมคฯ ผมก็รีบเดินขึ้นเขาเพื่อกลับบ้าน (บ้านผมต้องเดินขึ้นเขาไปเล็กน้อย)
สุดท้ายก็ใช้เวลาเดินทางกลับบ้าน 1 ชั่วโมงครึ่ง
กลับมาถึงบ้าน แคธี่ทักว่าทำไมหน้าแดงจังเลย ก็แหงแหละหนาวขนาดนั้น หน้าแดง
หูแดงไปหมดเลย เย็นจนเหมือนกับว่าหูจะหลุดซะให้ได้ มันชาไปหมด แต่ในบ้านอุ่นมาก
... พอทานอาหารเย็นเสร็จผมก็นอนหลับเป็นตายเลย เหนื่อยจากการผจญภัย
บางคนอาจบอกว่าแค่นี้ก็เรียกว่าผจญภัยแล้วเหรอ
ก็ที่บ้านผมที่เมืองไทยน่ะ ผมไม่เคยต้องทำอะไรเลย
ไม่เคยต้องกลัวอะไร เพราะพ่อกับแม่จะคอยปกป้องทุกอย่าง
และที่สำคัญไม่เคยต้องเดินไกลขนาดนี้
มีรถคอยรับส่งตลอด
จะว่าไปการมาอยู่ที่นี่ก็ดีตรงที่ว่าเราจะได้ทำอะไรเองบ้างก็ดีเหมือนกัน อย่างวันนี้ …
หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เคยต้องเดินกลับบ้านคนเดียวอีก
เพราะนนท์กลับพร้อมผมตลอด ...
นอกจากเดินกลับบ้านพร้อมกัน นนท์ยังเดินมารับผมที่บ้านทุกเช้าด้วย
ผมก็ไม่เคยเล่าให้มันฟังหรอกนะว่าวันนั้นผมหลงทางน่ะ เสียฟอร์ม
ตอนเย็นก่อนกลับบ้าน พวกเรา 4 คนมักจะแวะไปมั่วสุมกันที่บ้านของกาย
ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีหรอก ... เรามาเล่นเกม Play Station กันน่ะ ...
นอกจากพวกเราคนไทย 4 คนแล้ว ยังมีเพื่อนชาวเกาหลีและญี่ปุ่นอีกหลายคน
มาเล่นเกมแข่งกัน ก็พวกเกมต่อสู้ชิงความเป็นยอดฝีมือ ชาติไหนเก่งที่สุด
กายกับนนท์เล่นเก่งมาก ส่วนพวกเกาหลีกับญี่ปุ่นก็เป็นยอดฝีมืออยู่แล้ว
เพราะที่เกาหลีกับญี่ปุ่นนี่มีการแข่งขันชิงแชมป์กันเลยทีเดียว
ผมรู้แล้วก็ทึ่ง ... ในความบ้าเกมของคนพวกนี้มาก
เกิดมาผมก็ไม่เคยเล่นมาก่อน ... เลยได้แต่ดูอย่างเดียว แต่แค่ดูก็สนุกมาก
พอเล่นเกมเสร็จได้เวลาต้องกลับบ้าน
คนบ้าเกมอย่างนนท์กลับเป็นคนชวนผมกลับบ้าน
ได้เวลาไปกินข้าวเย็นแล้ว เดี๋ยวแคธี่รอ ... นนท์ต้องเป็นคนเตือนผมทุกที
ทุกวันที่กลับบ้านพร้อมกัน นนท์ก็จะแวะเข้ามาที่บ้านผมทุกครั้ง
ทำความรู้จักกับแคธี่และแคททรีน่า
แคธี่จะชอบมันมาก เพราะนนท์เป็นคนคุยเก่ง เอาใจผู้ใหญ่เก่ง ชอบเสนอตัวช่วยโน่น ช่วยนี่ ซ่อมถังขยะ แบกของ สารพัด แคธี่มักจะพูดกับผมเสมอว่า “นนท์เป็น คนมีน้ำใจมาก ... ชั้นชอบเค้ามาก” ผมก็ได้แต่ค้านในใจ เพราะผมก็ไม่เคยเห็นมันทำอะไรให้ผมเห็นว่ามันมีน้ำใจซักที
อยู่มาวันหนึ่ง ... เราสองคนไปห้องสมุดของเมือง (public library) ขณะที่กำลังคุยกับบรรณารักษ์
ผมก็เห็นคนตาบอดเดินผ่านหน้าผมไปกำลังจะเดินไปที่ประตูเพื่อออกจากห้องสมุด
ผมแค่คิดในใจว่าน่าจะมีคนเปิดประตูให้คนตาบอดนะ ...
แต่ที่เร็วกว่าความคิดของผมก็คือ ไอ้นนท์ ... วิ่งไปเปิดประตูให้คนตาบอดเรียบร้อยแล้ว
บรรณารักษ์ยิ้มให้มันแล้วหันมาพูดกับผมว่า “He’s very sweet - เค้าน่ารักมาเลยนะ”
ตอนนั้นผมก็ได้แต่ยืนอึ้ง .. ก็ทึ่งนิด ๆ แหละ พอนนท์เดินกลับมาผมก็บอกว่า
“บรรณารักษ์ชมเมิงด้วย ... ”
“กูทำชื่อเสียงให้ประเทศชาติเลยนะเนี่ย” นนท์อวดเสียงภูมิใจ แล้วก็ตบหัวผม
“ไม่เหมือนเมิง .. อย่างว่าขาเมิงสั้นก็ต้องใช้เวลาวิ่งนานกว่าจะถึงประตู ... กูแค่ 3 ก้าวก็ถึงแล้ว”
มันหัวเราะเยาะผมเสียงดัง นี่มาว่าผมเตี้ยอีกแระ แถมเดี๋ยวนี้พูดคำตบหัวคำ มันเจ็บนะ
เกิดมาไม่เคยโดนใครตบหัว มีมันเนี่ยแหละ
ส่วนแคทรีน่าลูกสาวของแคธี่ก็ท่าทางชอบนท์มาก เพราะแคทรีน่าบอกว่า
“He’s so cute - เค้าหล่อจัง”
และชอบมาถามผมว่านนท์มีแฟนรึยัง
ผมก็ไม่รู้ว่า ... ผู้ชายเอเชียตัวสูง ๆ หน้าตี๋ ๆ ตาเล็ก ๆ ยิ้มกว้าง ๆ นี่เป็นสเปคของฝรั่งด้วยเหรอ
เพราะเวลาเดินไปไหนมักจะมีฝรั่งผู้หญิง (ส่วนมากจะวัยรุ่น) มองแล้วยิ้มให้มันเสมอ
บางคนก็ถึงกับทักทาย บางคนขอเบอร์เลยก็มี
ส่วนผมเหรอไม่อยากจะคุย ..
ไม่เลย ไม่เคยเลย ไม่เคยมีใครมามองเลย
บางทีผมก็อิจฉามันนะ บางทีก็แอบหมั่นไส้มันเหมือนกัน
บางวันที่เรียนแค่ครึ่งวัน พวกเราก็มักมานั่งทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารจีน
อาหารจีนร้านนี้อร่อยมาก ชื่อร้าน เปี๋ยจิง
ขายไม่แพง เฉพาะมื้อกลางวันขายให้กับนักเรียน ... จานละ 3.5 ปอนด์
อาหารก็จะเป็น Egg Fried Rice with Chicken in Black Bean Sauce
(ข้าวผัดไข่กับไก่ผัดซ้อสถั่วดำ) หรือ sweet and sour sauce (ผัดเปรี้ยวหวาน) หรือ
Chicken Fried Noodle (ก๋วยเตี๋ยวผัดใส่ไก่ – เส้นก่วยเตี๋ยวจะเป็นแบบจีนเส้นกลม ๆ หนาๆ )
ทุกเมนูอร่อยมาก ... และจานใหญ่มาก ขนาดเท่ากับจานเปลที่เมืองไทย วันแรก ๆ ผมกินไม่หมดหรอก
เหลือกว่าครึ่ง ก็แบ่งให้นนท์แหละ ก็ตัวมันใหญ่ กินเยอะ
“แล้วเมื่อไหร่เมิงจะโต ...” นนท์พูด พลางตบหัว (อีกแระ) แต่ก็ตักกินจากจานของผม
เวลาผ่านไปประมาณ 1 เดือน
นนท์ ชวนหนิง กาย และผมไปลอนดอน
มันบอกว่าเพื่อนมาจากเยอรมันเป็นผู้หญิง ผมกับกายก็กระตือรือร้นอยากไปเจอหน้าเพื่อนของนนท์
เพราะนนท์บอกว่าไม่สวยหรอก แค่น่ารัก …
ทริปนี้หนิงไม่ไปเพราะจะต้องไปรอรับญาติที่มาจากเมืองไทย
เพื่อนของนนท์ชื่อ บี เรียนวิศวะอยู่ที่เยอรมัน บีมาเยี่ยมเพื่อนที่ลอนดอนก็เลยขอนัดเจอกับนนท์
บีเป็นผู้หญิง น่าตาน่ารัก ตัวเล็ก ตา-กลมโต ผมยาวประบ่า มีลักยิ้มเวลายิ้มเห็นฟันเรียงสวย
บีพาพวกเราไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารอิตาเลียนแห่งหนึ่งในลอนดอน อาหารอิตาเลียนอร่อยดี
ผมชอบ แต่กายทำหน้าไม่อร่อย เบ้หน้าบอกว่า “เลี่ยนสมชื่อ”
พอทานเสร็จ เชพชาวอิตาเลียนเดินมาถามว่า
“อาหารอร่อยมั๊ย”
“Very nice – อร่อยมาก” บีตอบพลางส่งยิ้มหวานให้เชพ ส่วนผมแอบเห็นกายทำหน้าเซ็ง
บี เป็นคนคุยเก่ง แต่คุยกับนนท์คนเดียวเท่านั้น และเดินกับนนท์ตลอด
ไม่ค่อยหันมาคุยกับผมกับกายเท่าไหร่
ส่วนผมก็เดินเกาะติดอยู่กับกายไม่ค่อยได้คุยกับนนท์
แต่บางทีก็รู้สึกเซ็ง ๆ เหมือนกัน ไม่รู้เป็นอะไร ...
เกือบ 1 ทุ่ม พวกเราเดินมาหยุดที่หน้าโรงละครที่คืนนี้จะมีการแสดงเรื่อง “มิสไซง่อน”
“อยากดูเรื่องนี้จังเลย” พูดพลางเอียงคอเกาะแขนนนท์ ทำหน้าเว้าวอน นนท์หันมามองพวกผม
“พวกเมิงอะ อยากดูเปล่า” นนท์ส่งซิกบอกว่าให้พวกผมปฏิเสธ
“กูอยากดู ... แต่มันต้องจองล่วงหน้าไม่ใช่เหรอ” ผมไม่สนใจที่นนท์หันมามองตาขวาง
ประโยคหลังหันมาถามบี ส่วนกายหัวเราะเสียงดัง คงจะขำที่ผมทำเป็นไม่สนใจซิกที่นนท์ส่งมาให้
“ยังไงก็ได้ ... ถ้าดูพวกเราก็ต้องค้างที่นี่ รถไฟจะหมดแล้ว” กายตอบพลางเอามือมาเกาะไหล่ผม
“เออ .. ดูก็ได้” ประโยคนี้นนท์หันไปพูดกับบี
บียิ้มดีใจ หันไปมองที่คนต่อแถวกันหน้าโรง “ต่อแถวหน้าโรงก็ได้ ไม่ต้องจองหรอก ... เราน่ะอยากให้นนท์ดูมากรู้มั้ย มาถึงลอนดอนก็ต้องดูเพล” ประโยคแรกพูดกับผม แต่ประโยคหลังหันไปพูดกับนนท์ (เพล – play คือ ละครเวที)
ระหว่างที่นนท์กับบีกำลังต่อแถวรอเพื่อซื้อตั๋ว ผมกับกายก็นั่งริมฟุตบาทคุยกัน
“เมิงว่าบีชอบไอ้นนท์ปะ” กายถาม
“ไม่รู้” ผมตอบ
“กูว่าชอบชัวร์ ไม่งั้นคงไม่วางแผนพาไปโน่นไปนี่หรอก” กายยังยืนยันความคิดตัวเอง
“กูไม่รู้ ... แต่บีก็น่าจะรู้ว่านนท์มันมีแฟนแล้ว” ผมตอบ
“แต่แฟนมันอยู่เมืองไทยนะเว้ย”
ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ... นนท์เดินมาเรียกพวกผมบอกว่าตั๋วขายหมดแล้ว ต้องมาดูพรุ่งนี้แทน
“ดึกแล้วไปหาที่พักกันเถอะ ...”
หลังจากส่งบีที่หอพักของเพื่อนบีที่อยู่แถว ๆ South Kensington
พวกเราสามคนก็นั่ง underground มาเชคอินที่ BB (คือ Bed and Breakfast ก็คือ เตียงกับอาหารเช้า เหมือนโรงแรมแต่ไม่ใช่โรงแรม เพราะราคาถูกว่า) อยู่แถวย่าน Earl’s Court ราคาไม่แพงห้องสามคน ตกคนละ 15 ปอนด์เท่านั้น แถมอาหารเช้าด้วย
“พรุ่งนี้เมิงจะดูเหรอ ... กูขอกลับบ้านนะ วันจันทร์มีเรียนเช้า” กายถามนนท์ พลางรื้อของออกจากเป้
“กูคงบอกบีว่า ... พวกเราคงดูกันไม่ได้ เพราะวันจันทร์มีเรียน” นนท์ตอบ
“... บีคงเสียใจแย่ ... เห็นเค้าอยากพาเมิงไปดูเพล” ผมบอกนนท์
“ถ้าเมิงอยากดูนะ ... เมิงไปเลย” นนท์ด่า พร้อมเดินมาตบหัวผม
“ไมเมิงชอบตบหัวกูจังวะ ... ไมไม่ตบหัวไอ้กายบ้าง”
“ก็เมิงตัวเล็กดี ... น่าแกล้ง” นนท์พูดยิ้ม ๆ แล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
“ไอ้กายก็ตัวพอ ๆ กับกู ... วันนี้กูแอบดีใจที่ทั้งวันเมิงไม่ตบหัวกูเลย …” ผมบ่นพร้อมลูบหัว
ผมไม่ชอบให้ใครมาตบหัว นอกจากมันเจ็บแล้ว ผมว่า ... มันยังแสดงออกถึงความไม่มีมารยาทเลย ... แต่...........ผมรู้สึกแปลก ๆ ที่วันนี้ตอนที่นนท์อยู่กับบี ผมอยากให้มันเล่นตบหัวเหมือนเดิม
“... พรุ่งนี้กูคงไม่ไปเจอเค้าแระ กลับบ้านดีกว่า ... เดี๋ยวกูจะโทรไปบอกเค้า” นนท์ตะโกนออกมาจากห้องน้ำ พูดไม่ทันขาดคำเสียงโทรศัพท์มือถือของนนท์ก็ดังขึ้น
“ใครก็ได้รับโทรศัพท์ให้ที”
“บี ... แค่โทรมาถามว่าเมิงถึงโรงแรมเรียบร้อยปลอดภัยดีแล้วใช่มั๊ย ... แล้วเค้าจะโทรมาใหม่พรุ่งนี้” กายซึ่งเป็นคนรับโทรศัพท์ ... เดินไปบอกนนท์หน้าห้องน้ำ
“บี ... นี่เค้าใส่ใจเมิงเกินไปเปล่า ...” กายถามคำถามที่คาใจมาตั้งแต่อยู่หน้าโรงละคร
“เฮ้ย เพื่อนกัน ... เพื่อนกันตั้งแต่ประถม ... ไม่มีไร”
หลังจากวันนั้นพวกผมก็เรียน ๆ เล่น ๆ เหมือนเดิม ... ผ่านไปอีก 1 เดือน พวกเราวางแผนว่าจะไปสก็อตแลนด์กัน ... งานนี้มีคนไทย 4 คน และเพื่อนของหนิงที่เป็นคนญี่ปุ่นอีกคนชื่อเคียวโกะ ... ตอนขาไปก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอกครับ ... เรื่องราวมันเกิดขึ้นตอนขากลับนี่แหละ ...
... วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะอยู่ที่สก็อตแลนด์ และจะเดินทางกลับพรุ่งนี้ ... เราแวะเดินเล่นกันที่ห้างแห่งหนึ่ง ...
ผมเดินไปกับเคียวโกะ ... ผมเห็นกระป๋าเป้ไปหนึ่งเท่ห์มากเป็นหนาม ๆ เหมือนขนเม่น .... ปกติผมดูเป็นคนเรียบร้อย ไม่ค่อยหวือหวาเท่าไหร่ ไม่น่าที่จะอยากได้ของแบบนี้ ... เคียวโกะยุให้ผมซื้อ บอกว่าดู rock ดูบ้าดี อารมณ์นั้นผมก็อยากหลุดโลก อยากจะมัน ๆ อยากจะบ้า ๆ ... ไม่รู้อะไรเข้าสิง ยอมจ่ายเงิน 150 ปอนด์ซื้อกระเป๋าเป้ที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะใช้ ... เพราะปกติผมเป็นคนค่อนข้างเนี๊ยบ นิดนึง ... ในใจตื่นเต้นมากอยากเอาไปอวดเพื่อน ก็เลยรีบซื้อ เพราะกลัวเพื่อนมาเห้นก่อนจะไม่เซอร์ไพร ... ผมรีบจ่ายตังค์ แล้วเอามาแบกเดินไปเดินมา อารมณ์นั้นขอบอกว่าภูมิใจมาก เท่ห์โคตร ...
พอเดินมาเจอกับเพื่อน ๆ ก็ได้รับการทักทาย โห่ ฮา กันอย่างที่คาดคิดไว้แหละครับ ... เกือบทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“So cool !”
ยกเว้นคนเดียว ... ไอ้นนท์ ... มันไม่แม้แต่จะมองหน้าผมเลย ... ผมรู้ว่ามันกำลังโกรธ แต่ไม่เข้าใจว่าโกรธอะไร ... ผมรีบเดินไปหามัน ... แต่มันเดินหนีผม ...
“เป้กูไม่เท่ห์เหรอ ไม่เห็นชม” ผมเดินไปข้าง ๆ มัน แต่มันเหมือนไม่เห็น
“กลับโรงแรมเหอะ ... เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย” มันหันไปบอกทุกคน แล้วเดินลิ่วไปเลย ผมงง ไม่เข้าใจว่านนท์โกรธอะไร ... ทำไมไม่บอก เพื่อนทุกคนต่างก็อึ้ง ... แต่ก็ได้แต่เดินตามมันไป ....
“เมิงโกรธไรกูเปล่า” ผมถามนนท์หลังจากกลับถึงโรงแรมแล้ว
“เปล่า ... กูจะโกรธไร”
“ทำไมกูจะไม่รู้ว่าเมิงโกรธ ... สองเดือนมานี่กูอยู่กับเมิงวันละ 20 ชั่วโมง เจอกันทุกวัน ไมกูจะไม่รู้ว่าเมิงเป็นไร ... ถ้าทำไรผิดก็ขอโทษด้วยละกัน” ผมถามนนท์ไม่ตอบ ... ผมก็เลยห่มผ้านอน ไม่สนใจแระ ... ผมได้ยินเสียงปิดประตูห้อง ปัง ...
“มันเป็นไรวะ ... กูว่า ... เมิงไปเคลียร์กับมันดีกว่า” กายพูด
“ไม่ได้ทำไรผิดนี่หว่า ... ช่างมันเดี๋ยวก็หาย … ถ้ามันไม่อยากคุยก็ช่าง … ง่วงแระ” พูดจบผมก็หลับตาทำท่าจะหลับ ... แต่คืนนั้นทั้งคืนผมนอนไม่หลับ ... คิดแต่ผมทำอะไรให้นนท์โกรธขนาดนั้นเลยหรือ ...
[/color]