--------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๒ เงาพระจันทร์ (บรรณ ๑) UP: ๒๘/ธ.ค/๖๓
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๒ เงาพระจันทร์ (บรรณ ๑) UP: ๒๘/ธ.ค/๖๓  (อ่าน 5125 ครั้ง)

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-12-2020 10:28:20 โดย Killian »

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา


นวนิยายเรื่องนี้เขียนถึงเจ้าชาย... ผู้ที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้... เพียงประโยคเดียว

รจนาในนามปากกา: ทัดจันทร์

ฟอนไฟแห่งมหานาวีสํคฺรามฤๅเปลวเพลิงแห่งรัก ประการใดจะโชติช่วงกว่ากัน



                                     
คระครืน... สุรเสียง...กำปนาท
อัสนีบาตร... ผ่านพาด... จากเวหน
ประกายฟ้า... ฟาดห้วง...วารีวน
วัชระ...ยังมิพ้น... เงื้อมมือมาร



"จงจารคำข้าไว้จอมสลัด... ผู้พิทักษ์ทวาทศนครามีสอง เป็นสองมาช้านาน
เงาพระกาฬจะถามหาเจ้าผู้อหังการ์ ล่วงล้ำอำนาจมหิทธาแห่งจันทราแลสุริยัน!"

 "รักเป็นรักอยู่ถ่ายเดียวมิเป็นอื่น รักฤๅรอญ
เรียม...รักเจ้า"

นวนิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากการค้นคว้าชุดข้อมูลทางประวัติศาสตร์ผสมกับการตีความและจินตนาการของผู้เขียน ทั้งนี้ มีการกล่าวถึงบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ หากมิได้มีเจตนาลบหลู่ จาบจ้วง หรือแสดงการล่วงเกินบุคคลใด จุดมุ่งหมายของนวนิยายเรื่องนี้นอกจากให้ผู้อ่านได้รับความเพลิดเพลินแล้ว ยังแฝงสาระ เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์ และลึก ๆ ผู้เขียนแต่งขึ้นเพื่อ เทิดทูนบรรพชนทุกท่าน ผู้ที่แผ้วถางทางมาก่อน เดินนำเรามาจนถึงปัจจุบัน และเพื่อเป็นเกียรติแก่องค์บูรพมหากษัตราธิราชแห่งทวาทศนคราทุกพระองค์

ค่าที่ชนรุ่นก่อนได้ก่อร่างสร้าง "ราก" ให้เราได้มีปัจจุบันเช่นวันนี้ ... ธรฺมรฏฺฐคีตาทุกอักษรจึงเขียนขึ้นแด่ชาวทวาทศนคราทุกผู้ทุกนามในกาลก่อน แทนคำขอบคุณจากเรา คนรุ่นหลัง

ด้วยรัก

ทัดจันทร์



ธรฺมรฏฺฐคีตา อ่านว่า ธัม-มะ-รัต-ถะ-คี-ตา
แปลว่า บทเพลงแห่งนคราอันเรืองธรรม

เข้ามาพูดคุยกันได้ที่ twitter: @tadchandra
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-04-2020 11:33:51 โดย Killian »

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
สารบัญ



สรรคะ ๑ มหานวดารา : บรรณ ๑                    หน้า๑
                               บรรณ ๒                    หน้า๑
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-01-2020 12:55:16 โดย Killian »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
รอติดตามนะ

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
รอติดตามค่ะ

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๑  มหานวดารา

รจนา: ทัดจันทร์




บรรณ ๑


สนธยาสาดแสงสุดท้าย สีส้มอ่อนแกมทองของพระอาทิตย์เพิ่งหายลับไปหลังขุนเขา ผืนฟ้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นผ้าไหมสีดำ ขณะนี้แม้จันทร์เสี้ยวจะทอประกายเหนือเหลี่ยมผา หากยังไม่ถึงเวลาหลับใหล คีตาแห่งสรรพชีวิตยังคงบรรเลงต่อไป ภายใต้ทะเลดาวพราวระยับ


“ไทเกอร์ อยู่ไหนลูก มากินข้าวเร็ว”


 อีกครั้งที่เธอร้องเรียก พลางก้มลงเทอาหารใส่ไว้เกือบเต็มถาด ทุกเย็นแมวเบงกอลตัวดีจะอ้อนขอกินข้าว ป่านนี้ไม่รู้ไปซนอยู่ที่ไหน หญิงวัยกลางคนยันกายลุกขึ้น ชะเง้อหา


 “เหมียว ๆ ไทเกอร์ หายไปไหนนะ”


 “ปิดบ้านก่อนเถอะแม่”


พูดจบ ผู้เป็นสามีก็ละสายตาใต้แว่นกรอบหนากลับมาสนใจหนังสือพิมพ์ที่กางอยู่ในมือ ข่าวผู้ร้ายหลบหนีน่าหนักใจอยู่ไม่น้อย


ภรรยาถอนใจ ไทเกอร์คงติดแมวสาวบ้านใกล้เข้าอีกกระมัง รุ่งสางเจ้าตัวซนถึงจะกลับ คิดดังนั้น สตรีร่างท้วมจึงเลื่อนประตูเหล็กยืดให้ปิดเข้าหากัน มองลอดช่องว่างระหว่างซี่เหล็กของประตูชั้นล่างที่เปิดเป็นร้านขายของชำ ถนนด้านหน้ามีรถลาดตระเวนขับผ่าน รถทหารกลับค่าย เป็นภาพที่เห็นจนชินตา


ถ้าไม่เป็นการกล่าวเกินจริงนัก ผู้คนแถบนี้มักปิดบ้านเงียบตั้งแต่นกเริ่มโผกลับรัง บ่อยครั้งที่อันตรายเดินทางมากับความมืดยามค่ำคืน ประสบการณ์จึงสอนให้พวกเขารู้จักระวังตัว ไม่มีใครเตร็ดเตร่นอกบ้านในยามวิกาลหากไม่มีเหตุจำเป็น ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย ประตูหน้าต่างทุกบานจึงต้องลงกลอนแน่นหนา ปิดหับเสียก่อนตะวันจะกล่าวคำอำลา


การเข้ามาดูแลของทางการสร้างความอุ่นใจให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล หมู่บ้านขนาดเล็กแห่งนี้จึงสุขสงบ เหมือนลำน้ำจากภูเขาที่ทอดกายพาดผ่าน ชลธารสายนั้นไหลเอื่อยเรื่อยเย็น


*************



เป็นอีกคืนที่แตรนอนขับขาน...


เสียงดนตรีกล่อมความสงัดเงียบของค่ำคืน คล้ายฝ่ามืออุ่นปลอบประโลม คลายความเหนื่อยล้าจากภาระหน้าที่ที่แบกไว้บนบ่า ท่วงทำนองแตรเดี่ยวเนิบช้า พัดพลิ้วเร้นมากับสายลมเอื่อย ทว่าเพลงบรรเลงแห่งนิทรากาลกลับไม่สามารถคลี่ปมระหว่างคิ้วของร้อยเอกหนุ่มออกได้เลย


แม้เข็มนาฬิกาจะหมุนล่วงมาถึงสามทุ่ม หากร่างสูงยังคงพิงพนักเก้าอี้ห้องทำงาน ผินหน้าเข้าหาหน้าต่างที่เปิดรับลม มือขวาคีบบุหรี่ ปล่อยให้ควันนิโคตินสีขาวลอยคว้างไต่ระดับขึ้นไปในอากาศ แทบลืมเสียสนิทว่าจุดบุหรี่มวนนี้ขึ้นมาทำไม สายตาเขาจับจ้องม่านดำของผืนฟ้าอย่างไร้จุดหมาย คิ้วเข้มขมวดปมครุ่นคิด เปิดโอกาสให้ความหงุดหงิดกางกรงเล็บกรีดข่วนจิตใจ


ลงพื้นที่ออกลาดตระเวนทั้งวัน เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่กลับไม่พบความผิดปกติ ทั้งที่หน่วยข่าวกรองยืนยันชัดเจน พวกมันจะลงมือ ต่อให้ไม่พึ่งการข่าว สัญชาตญาณของเขารู้ดี ต้องมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นแน่ หากที่ไหน เมื่อไหร่ เขาเฝ้าถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เงาของคำตอบกลับสลัวยิ่งกว่าด้านมืดของพระจันทร์


‘ปัง!’


กระสุนแหวกผ่านอากาศ ตามด้วยเสียงเศษแก้วกระจัดกระจาย เขารู้สึกได้ว่านัยน์ตาที่เคยมองเหม่อเวลานี้เบิกโพลง กระแสเลือดในกายสูบฉีดรุ่มร้อนเร็วแรง และก่อนพายุกระสุนจะโหมซ้ำกระหน่ำ ร้อยเอกหนุ่มผู้ประดับหน้าอกด้วยเครื่องหมายพยัคฆ์คาบดาบรีบหมอบลงทันควัน ลูกกระสุนปลิวว่อน เศษกระจกคมแตกกระจายไปทั่ว ปลายแหลมของมันบาดแขนขาลึกจนเลือดแดงฉานไหลริน คาวคลุ้ง


ท่ามกลางสรรพสำเนียงอลหม่านแห่งม่านกระสุน วูบหนึ่ง เขาละม้ายได้ยินเสียงแหบแห้งของอีกากรีดร้องมาจากสถานที่ที่ไกลแสนไกล


“ปัง ปัง ปัง”


“ผู้กองครับ เกิดเรื่องแล้วครับ!”


เพราะร้อนใจ จึงทำให้ลูกน้องเก็บความเกรงใจที่มีต่อผู้บังคับบัญชาวัยฉกรรจ์เอาไว้ ด้วยถือว่าหน้าที่สำคัญเหนือสิ่งใด หากไม่มีเหตุด่วนคงไม่มารบกวนผู้กองถึงบ้านพักในยามวิกาลเช่นนี้


เสียงทุบประตูทำให้ร่างสูงที่เผลอหลับคาโต๊ะทำงานด้วยความเหนื่อยอ่อนสะดุ้งจากภวังค์ฝัน เหยียดตัวปาดเหงื่อออกจากใบหน้าซีดเผือดราวไร้ชีวิต ฝันร้ายของเขาชัดเจนเช่นเดียวกับจังหวะโครมครามของหัวใจ ถึงกระนั้นสองขาของผู้กองยังคงก้าวมั่นคงไปที่ประตู เพียงเพื่อจะพบกับเรื่องที่คาดไม่ถึง


“มีอะไรครับจ่า”


“พวกมันเคลื่อนไหวแล้วครับ”


“ที่ไหน ยังไง บอกผมมาเดี๋ยวนี้”


“มีการลอบวางเพลิงร้านขายของชำบริเวณทางเข้าหมู่บ้านริมเชิงเขา สองสามีภรรยายังคงติดอยู่บนชั้นสองของตัวบ้านครับ”


สถานการณ์ที่รายงานทำเอาสายตาผู้กองฉายแววเยียบเย็น หากแฝงเร้นไว้ซึ่งความเดือดดาลปานคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัว คิดแล้วไม่มีผิด กลุ่มก่อความไม่สงบต้องชิงลงมือในทีเผลอ วิถีโจรอย่างไรก็ไม่เคยตรงไปตรงมาเฉกเช่นวิถีของทหาร


“ทางเข้าหมู่บ้านล่ะจ่า นอกจากถนนสายหลัก มีทางอื่นอีกไหม”


“ไม่มีเลยครับผู้กอง”


“พวกมันจะล่อให้เราติดกับแล้วซุ่มยิงกลางทาง”


ชายหนุ่มประเมินสถานการณ์ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทว่าหมัดที่กำจนเห็นริ้วเส้นเอ็นกับกรามที่กัดแน่นจนเป็นสัน ช่างสวนทางกับความราบเรียบของน้ำเสียงราวสวรรค์กับเพลิงกาฬแห่งนรกอเวจี


************
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-01-2020 12:32:37 โดย Killian »

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๑  มหานวดารา

รจนา: ทัดจันทร์


บรรณ ๒


ดาวสีแดงแกมขาวพราวระยับในคืนจันทร์เสี้ยว ดาวดวงนั้นโชติช่วงท่ามกลางกลุ่มดาวราศีพิจิก เป็นดาวแดงที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวแมงป่อง และสกาวที่สุดในฟากฟ้าคืนนี้ ผู้กองหนุ่มละสายตาจากดาวสีเพลิง ณ ตำแหน่งหัวใจอสรพิษ ก่อนส่งสัญญาณมือแตะคนข้างหน้าและหลัง เป็นคำสั่งออกลาดตระเวนตามยุทธวิธีในเวลากลางคืน


ในเมื่อพวกโจรตั้งใจใช้ความมืดซุ่มยิง เขาก็จะใช้ความมืดตลบหลังพวกมัน


รถลาดตระเวนสี่ล้อที่มีพลขับโดยสารแต่เพียงผู้เดียวแล่นไปบนถนนสายที่ทอดตรงไปยังหมู่บ้านริมเชิงเขา ส่วนทีมทหารพรานในชุดเกราะสีดำ พรางใบหน้าสีเดียวกับรัตติกาล กระจายตัวแฝงความมืดของป่าละเมาะสองข้างทางเข้าสำรวจพื้นที่ ฝีก้าวของทหารทุกนายเงียบเชียบแสดงถึงการฝึกฝนมาอย่างดี เพราะเสียงเหยียบกิ่งไม้แค่เปาะเดียวย่อมหมายถึงชีวิต สายตาทุกคู่ต้องคมและคุ้นชินกับความมืด ประสาทสัมผัสต้องไวและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ด้วยกำลังพลทุกนายตระหนักดี ณ สมรภูมิรบ หากความประมาทเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นหนทางไปสู่ถนนสายมรณา


กลิ่นควันตลบคลุ้งเมื่อชุดลาดตระเวนเข้าใกล้สถานที่เกิดเหตุ ฟอนไฟร้อนระอุแผดเผาโครงสร้างที่เป็นไม้ ข้าวของเครื่องใช้และสินค้าต่าง ๆ ที่วางเรียงรายในชั้นล่างของตัวบ้านเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ขับให้เปลวเพลิงลุกโหมถึงชั้นสองของบ้านอย่างรวดเร็ว หญิงวัยกลางคนผู้นั้นร้องไห้โฮในอ้อมกอดของผู้เป็นสามี ทั้งคู่ติดอยู่บนระเบียงที่ประกายไฟกำลังเริ่มแผดเผาลามเลีย


“ช่วยด้วย ช่วยพวกเราด้วย”


คอแห้งผากของชายเจ้าของบ้านตะโกนขอความช่วยเหลือจนแทบสิ้นเสียง ชาวบ้านละแวกนั้นทำได้เพียงตักน้ำใส่ถังช่วยดับไฟ หากน้ำเพียงน้อยนิดไหนเลยจะดับเปลวอัคคีร้อนแรงลงได้


"ทนหน่อยนะแม่ แข็งใจไว้"


ภรรยาสำลักควันจนหายใจติดขัด ทรุดตัวลงกับพื้นระเบียง


“แม่จะไม่ไหวแล้วพ่อ”


สองร่างกอดกันท่ามกลางสะเก็ดไฟที่ปะทุ ประกายสีทองของมันงดงามจับตาราวดอกไม้ไฟ หากเป็นความงามที่อันตรายถึงที่สุด เพราะคร่าได้แม้กระทั่งลมหายใจและชีวิต


ความตึงเครียดเข้าเกาะกุมกำลังพลทุกนาย ป่าสองข้างทางเบื้องหน้ายังคงทอดไกลออกไป ขณะเดียวกันพลเรือนผู้ประสบภัยก็ต้องการความช่วยเหลือโดยเร่งด่วน หากสถานการณ์กลับบังคับทำให้ผลีผลามไม่ได้


วินาทีนั้นเอง รถของกองทัพที่ขับเรื่อยมาบนถนนจนเกือบเข้าใกล้สถานที่เกิดเหตุกลับเหยียบเบรกลงกะทันหัน ชุดลาดตระเวนที่กระจายกำลังเดินเท้าตามมา แม้สงสัยกระวนกระวายใจเพียงใด ย่อมทำได้เพียงค่อย ๆ ย่ำไปในความมืด ระวังให้ทุกฝีก้าวเงียบกริบราวไร้ตัวตน อาศัยเงาราตรีเป็นเครื่องอำพรางตัว พยามเคลื่อนพลไปให้ถึงจุดเกิดเหตุโดยรัดกุมที่สุด ภายใต้สถานการณ์บีบคั้นเช่นนี้ สองมือทำได้เพียงกระชับด้ามปืน พร้อมเปิดฉากปะทะหากมีศัตรูเข้ามาในคลองสายตา


เมื่อเคลื่อนพลเข้าใกล้บริเวณที่รถจอดอยู่ ป่าละเมาะสองฟากฝั่งมีเพียงความเงียบและเงามืดของค่ำคืนคลี่คลุม ไร้วี่แววของโจรร้ายคอยดักซุ่มยิง ขอบถนนคอนกรีตไม่มีหลุมหรือกับระเบิด ไม่มีแม้แต่ตารางเมตรเดียวที่พบความผิดปกติ หากมีสิ่งหนึ่งที่สะดุดทุกสายตา


ท่ามกลางแสงนีออนสองข้างทางและไฟหน้ารถ กล่องของขวัญสีดำห่อด้วยริบบิ้นผ้าสีงานศพวางนิ่งบนเส้นขาวกลางถนน ห่างจากสถานที่ลอบวางเพลิงเพียงไม่กี่สิบเมตร


ทหารพรานชุดหนึ่งเร่งเคลื่อนพลขึ้นบนถนน แล้วผู้บังคับบัญชาวัยหนุ่มจึงส่งสัญญาณมือ ออกคำสั่งให้ชุดลาดตระเวนอีกชุดรุดหน้าต่อไปเพื่อช่วยสยบเพลิงไหม้และช่วยพลเรือนให้รอดชีวิต


“เตรียมล้อยางและอุปกรณ์กู้ระเบิด”


คำสั่งของเขาเฉียบขาด วัตถุต้องสงสัยจะเป็นระเบิดหรือไม่ย่อมมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น หากเพื่อความไม่ประมาท คำสั่งการณ์ของเขาจึงต้องรอบคอบรัดกุม ทหารพรานทุกนายล้วนผ่านการฝึกที่หนักหน่วงสมเป็นมืออาชีพ ล้อยางและการเตรียมกอบกู้วัตถุระเบิดจึงกระทำรวดเร็วทันควัน


หาก...


“ผู้กองครับ กล่องนี่มัน…”


ผิดคาด


“จงใจหยามกันชัด ๆ” ผู้กองสบถ


โทษะของเขาบัลดาลใส่ล้อยางไร้ชีวิต


ซากแมวเบงกอลลายเสือถูกมีดปักอยู่กลางอก นอนขดในกล่องกระดาษสีดำ ผู้มีเครื่องหมายเสือคาบดาบประดับแผงอกเดือดแค้น สัญลักษณ์แห่งหลักสูตรจู่โจมของกองทัพบก หลักสูตรหฤโหดของชายชาติทหาร ถูกพวกโจรก่อความไม่สงบเหยียดหยาม


พวกมันตั้งใจส่งข้อความถึงเขา


นับตั้งแต่วินาทีที่ย้ายมาประจำการ ณ พื้นที่สีแดงแห่งนี้ เขาทำหน้าที่เป็นผู้ล่ามาโดยตลอด โจรร้ายถูกนายร้อยไฟแรงตามจับไล่ล่า หากมาวันนี้ พวกมันส่งสาสน์ท้ารบ จงใจประกาศสงครามกับเขา ถึงเวลาที่พยัคฆาจะถูกล่า ดาบที่เคยคาบกลับกลายเป็นศาสตราทิ่มแทงสังหาร


สงสารก็แต่เจ้าไทเกอร์... ไม่ได้กลับไปในยามรุ่งสาง... ไม่ได้กลับไปตลอดกาล


************


เหล่าทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ รถน้ำดับเพลิงกับกองกำลังเสริมที่ประวิงรอบริเวณเชิงสะพานหลายกิโลเมตรก่อนถึงหมู่บ้าน รีบรุดมายังสถานที่เกิดเหตุ เวลาผันผ่านจนเสี้ยวจันทร์ลอยเด่นเหนือศีรษะ เพลิงไหม้จึงมอดดับ เหลือเพียงซากดำของเถ้าถ่าน ควันสีเทายังคงโขมงคลุ้งในบางจุด ย้อมให้บรรยากาศของคืนนี้มัวหม่นเศร้าหมอง


ผ้าขาวคลี่คลุมศพของสตรีร่างท่วม สามีของเธอนั่งใกล้ไม่ยอมจาก พยายามตระกองกอดร่างร้างลมหายใจนั้นด้วยความรัก เสียงสะอื้นไห้ของชายผู้นั้นเศร้าจับใจ หยาดน้ำตาของชายผมสีดอกเลาที่ไม่เคยหลั่งให้ใครเห็น บัดนี้ทำนบพังครืน หลั่งรินให้แก่ภรรยาผู้เป็นคู่ชีวิต ที่จากเขาไปแล้วโดยไม่มีวันหวนกลับ


“แม่ตื่นเถอะ พ่อไม่เหลือใครแล้ว อย่าทิ้งกันไปเลย”


“คุณลุงครับ…”


ชายหนุ่มแตะบ่าของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายแผ่วเบา ริมฝีปากหยักสวยอยากเอ่ยปลอบ หากไม่รู้จะกล่าวเช่นไร ก้อนบางอย่างตีบตันอยู่ในลำคอ ก่อนเขาจะข่มมันลงไป ภาพวัยเด็กของเขาย้อนกลับมาฉายซ้ำในความทรงจำ ภาพสีจืดจางของวันนั้นคล้ายซ้อนทับกันกับภาพที่เห็นในวันนี้


“ลุงไม่เหลือใคร ชีวิตไม่เหลืออะไรแล้วผู้กอง”


“เหลือสิครับ”


“อะไร”


“ความรักไงครับ ความรักและความทรงจำที่ดีของลุงกับป้าไม่ได้วอดลงไปกับกองเพลิง ไม่ใช่เพราะความรักและความทรงจำเหรอครับ ที่ทำให้เราอยากมีวันพรุ่งนี้ และวันต่อ ๆ ไป เพื่อใช้ระลึกถึงความสวยงามของมัน”


************


หยาดน้ำค้างที่เกาะพราวอยู่บนดอกไผ่ กลิ้งพรูลงบนพื้นหญ้าเมื่อรถลาดตระเวนขับผ่าน ลมเย็นที่เกิดจากรถแล่นฉิวสัมผัสพฤกษ์พรรณรายทางให้ไหวลู่ พลิ้วเอนไปตามกัน


ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเข้าครอบงำทุกอณูเรือนกายของบรรดาทหารหาญ ใบหน้าคมสันรับคิ้วหนาแหงนมองแสงทับทิมจรัสจ้าผ่านหน้าต่างรถที่กำลังขับเคลื่อนไปเบื้องหน้า ดาวหัวใจแมงป่องโชตนาเหนือดาราใด มองแล้วยิ่งทำให้ความทรงจำในวัยเด็กฉายชัดขึ้นมากลางใจ


‘ทำไมพ่อตั้งชื่อผมแบบนี้ละครับ’


‘โดนเพื่อนล้อมาอีกละสิ’


‘เปล่าซะหน่อย’


‘โกหกไม่เก่งนะเราน่ะ’


‘พ่อครับ’


‘คือตอนเราเกิด พ่อมีภารกิจซุ่มจับพวกค้าอาวุธเถื่อน ต่อให้เป็นห่วงแม่กับลูกแค่ไหน แต่หน้าที่เพื่อชาติบ้านเมืองต้องมาก่อน คืนนั้นดาวสีแดงกลางหัวใจแมงป่องสว่างที่สุดบนท้องฟ้า พ่อเลยได้แต่ภาวนากับดาวให้ลูกของพ่อปลอดภัย แล้วลูกก็คลอดออกมาปลอดภัยยังไงล่ะ’


‘แต่แม่…’


‘แม่อยู่กับพวกเราเสมอแหละ เค้าคงเฝ้ามองลงมาจากบนนั้น ต่อไปพ่อก็ด้วย’


‘พ่อก็! ไม่เอาหรอก’


เด็กชายที่เอาแต่ใจและไม่เข้าใจการลาจากในวันนั้น เติบโตมาเป็นเขาในวันนี้ ชายหนุ่มเดินตามรอยของพ่อผู้เป็นแรงบันดาลใจและทุกสิ่งในชีวิต พ่อผู้ที่เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเขา ในวันที่ผืนธงชาติคลุมร่างไร้ลมหายใจของบิดา ความรู้สึกของเขาไม่ต่างอะไรกับคุณลุงผู้โชคร้ายคนนั้นเลย หากประสบการณ์แห่งการจากลาได้ฝากบทเรียนชีวิต...

    
ไม่มีราตรีใดเป็นนิรันดร์


สุขหรือทุกข์ก็เช่นกัน


ค่ำคืนไม่ว่าจะยาวนานสักแค่ไหน สุดท้าย เช้าวันใหม่ก็จะมาถึงอยู่ดี




ใกล้ยามฟ้าสาง บุรุษผู้กล้าเดินทางกลับ ยามนั้นสายตาของตะวันและจันทราจะมองสบกันจากคนละฟากของท้องฟ้า มหาดาราจะจรกลับมาพบกันอีกครั้ง... บนนภาผืนเดียวกัน


“ปัง ปัง ปัง!”


ปืนกลมือเจาะเกราะยิงรัวจากริมป่าไผ่ข้างทาง อาวุธสงครามที่มีอำนาจทำลายล้างของฝนกระสุนเก้าร้อยนัดต่อนาที เจาะยิงรถลาดตระเวนจนเสียหลัก พุ่งชนเสาคอนกรีตเชิงสะพาน


“ปัง ปัง ปัง”


เสียงที่เกิดจากไกปืนรัวสนั่นราวดนตรีเฉลิมฉลองแห่งทูตมรณะ เกลียวกระสุนทะลุทะลวงทุกสรรพสิ่งในวิถี ฝนตะกั่วสาดกระหน่ำ แดงฉาน คาวคลุ้งเช่นความฝัน หากไม่มีทีท่าว่าพายุร้ายจะอ่อนกำลัง แพกระสุนปิดน่านฟ้า มืดมัว ยิ่งกว่าฝูงกาดำออกโบยบิน


ดอกไผ่ร่วงพรูจากต้น…


ดอกไผ่นั้นเบ่งบานยามเมื่อมันจะตาย


คืนนี้หัวใจแมงป่องสาดแสงสีเพลิงโชติช่วงชวาลา รู้หรือไม่ ดอกไม้สวรรค์ดอกนี้ใกล้เวลามอดดับ แสงที่เปล่งเริงโรจน์จนขีดสุดคือความงามสุดท้ายที่จะถ่ายทิ้งไว้ประดับฟากฟ้า ก่อนดาวฤกษ์แดงจะระเบิดกลายเป็นมหานวดารา


ซุปเปอร์โนวา… จุดแตกดับของดาริกาอันเลอโฉม


“บึ้ม!”


ระเบิดแสวงเครื่องหนักกว่าสิบห้ากิโลกรัมที่ติดอยู่ใต้สะพานทำงานทันทีที่ฝนกระสุนหยุดกระหน่ำ เพลิงกาฬเบ่งบานแย้มกลีบ เปลวอัคคีแผดเผาให้สรรพสิ่งในเงื้อมหัตถ์มัจจุราชกลายเป็นจุล


เพลงแตรเดี่ยวกล่อมแล้ว…


ทำนองเนิบช้าจับขั้วหัวใจ พลิ้วไหวเหมือนผืนธงผ้ายามลดกายาลงจากยอดเสา


หากฟังให้ดี จะได้ยินเสียงของหยาดเหงื่อ ความเหนื่อยล้า สำเนียงของความโดดเดี่ยวเหว่ว้าจะขับขาน ยิ่งกว่านั้น เสียงแตรสะอื้น... ซับคราบน้ำตา ดนตรีเชื่องช้ามอบจุมพิตสัมผัสดวงใจ แห้งเหี่ยว... โหยหาย...


ทำนองแตรแรกขานขับ ตอนขึ้นหอนอนคืนแรกในรั้วค่าย 


ทำนองแตรขับกล่อมครั้งสุดท้าย ยามสิ้นลมหายใจ


หาก…


ปรารถนาแห่งมนุษย์แรงกล้า ทรงฤทธาเหนือนวดาราใด


กาลนั้น ปรารถนาสุดท้ายยามใกล้จะตาย... จิตสุดท้ายแห่งมนุษย์อันทรงพลังมหาศาล กำลังสำแดงอำนาจ ที่แม้นแต่ผู้กองเองก็ยังมิอาจนึกฝัน



************

Writer's Talk,

สรรคะ ๑ จบลงด้วยเพลิงระเบิดสว่างไสว ราวมหานวดารายามอุบัติ

อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัย สรรคะคืออะไร สรรคะ เป็นคำภาษา สํสฺกฤต ดังที่เราคุ้นกันดีคือคำ saga ที่แปลว่า episode นั่นเอง แต่ด้วยความยาวของสรรคะที่มากกว่าบท ผู้เขียนเลยตั้งใจแบ่งสรรคะออกเป็น บรรณ (เล่ม) ย่อย ๆ ทำไมต้องย่อยเป็นบรรณ? ทั้งนี้ก็เพื่อให้ง่ายต่อผู้อ่านในการย่อยข้อมูลในแต่ละสรรคะ ค่อยซึมซับและทำความเข้าใจไปกับเนื้อเรื่อง...

ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนมา การเข้ามาอ่านของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนอย่างมาก ทั้งนี้กว่าจะได้เนื้อหามาแต่ละตอน ไม่ง่ายเลย ผู้เขียนต้องค้น ต้องอ่าน ต้องตีความ สร้างจินตนาการ และใช้เวลาในการขัดเกลา

นวนิยายเรื่องนี้ก่อร่างสร้างเค้าขึ้นมาในความคิดของผู้เขียนเป็นเวลากว่าสามปี ขุดค้นข้อมูลอีกเป็นเวลาสองปี เขียนทิ้งและลบและเขียนใหม่เกือบสามรอบ กว่าจะได้ตามพล็อตที่ต้องการ หวังว่าผลพวงทั้งหมดของความตั้งใจและเวลาที่ได้ทุ่มเทลงไปจะทำให้ผู้อ่านเพลิดเพลิน สนุก พบสาระความรู้ที่แทรกไปบ้างไม่มากก็น้อย เหนือสิ่งอื่นใด เพียงคุณได้อะไรจะนวนิยายเรื่องนี้ จะรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความรู้ หรือคราบน้ำตา... เพียงเท่านี้ ผู้เขียนก็มีความสุขแล้ว


ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามา แล้วเจอกันสรรคะต่อไปครับ

ด้วยรัก,

ทัดจันทร์

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เปิดมาก็ตายหมดเลย แม้แต่แมว แงงงงงง
จากภาษาที่ใช้ก็น่าจะใช้เวลาเขียนนานน่าดู เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ภาษาเหนือทมยันตี ก็ไรท์นี่แหละ 555  แต่เราชอบนะ สอดแทรกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย  ได้พอดี

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๒ มยุรารำแพน

รจนา: ทัดจันทร์



บรรณ ๑



สีเหยสีโต... ทำราโพราพา
ปากน้ำเมืองโกลา... มีบรรพตาชายวารี
ข้างซ้ายเกาะหล้า... ข้างขวาเกาะสาหมี
ศักดิ์สิทธิ์ฤทธี... ย่านวารีอยู่หว่างเขา
เรือพายเรือแจว... ไปตามแถวลำเนา
ตรงกลางหว่างเขา... มีลำเนาสายสินธุ์
ตรงกลางหว่างวาริน... ยังมีหินล้อมวง
ทำเป็นชั้นเป็นช่อง... ดูเป็นห้องเหมหงส์
ทางขึ้นทางลง... ทางลงสรงสาคร

ปากน้ำเมืองตักโกลา (ตะกั่วป่า) กลอนโนราห์บทคำพรัด เพลงแตระของโบราณ


นางนวลที่เกาะอยู่บนกระโดงเรือพากันสยายปีกโบยบินเมื่อใบเรือถูกกางออก นกสีขาวฝูงนี้ส่งเสียงร้องระงมท่า ราวต้องการกล่าวคำอำลาแด่เรือสินค้าที่กำลังถอนสมอ


เวลาล่วงมานับแรมเดือนหลังจากเรือเหล่านี้จอดเทียบท่า และแล้วปลายเดือนอัสสยุชมาส(๑)ก็มาถึงอีกคำรบ เป็นที่รู้กันดีในบรรดาชนพื้นถิ่น นักเดินเรือ และพ่อค้าวาณิชว่า ช่วงเวลานี้วิถีแห่งมรสุมจะเปลี่ยนผัน วายุจะพัดจากทิศอีสานสู่ทิศหรดี มรสุมลมตะเภาจะนำสินค้าจากบูรพทิศไปยังอินเดีย ลังกา เปอร์เซีย มัวร์ อาหรับ หลายแว่นแคว้นยังดินแดนเบื้องประจิม และลมจะพานักผจญโชคกลับบ้าน...


เส้นทางสายไหมข้ามมหาสมุทรทะเลหลวง เริ่มต้น ณ เมืองท่าแห่งนี้


สายลมหอบเอากรุ่นไอทะเลให้อวลอยู่ในอณูอากาศ ทั้งยังทำให้ใบเรือลู่โค้ง พัดพาให้ลำเรือลอยล่องไปตามทิศที่กระแสลมจรผ่าน ในเดือนมรสุมเช่นนี้ วาตะจะพรายพลิ้ว กระหน่ำแรงในยามเช้าจนลดกำลังลงในยามเย็น จวนค่ำกระแสลมจึงจะสงบ เรือสลุบเรือกำปั่นในยามหมดฤดูการค้าส่วนมากจึงถอนสมอ กางใบออกจากท่าในเวลายามสาย อันเป็นช่วงเวลาที่แดดนายและลมจัดเช่นขณะนี้


เด็กชายวัยแรกหนุ่มสามคนบนหลังม้า ต่างจับจ้องไปยังเภตราวาณิชที่กำลังแล่นใบเคลื่อนออกจากการท่า แผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขาเหยียดตรง นิ่งสงบ หากมีเพียงเส้นผมยาวระบ่าที่ปล่อยสยายหยอกล้อไปกับลมทะเล


“เรือสลุบสิ้นฤดูกาลครานี้จอดเทียบท่ามากกว่าที่แล้วมา สินค้าก็มากพะเรอไปตามกัน”


พยับแดดยามสายสาดรัศมีลงบนหาดทรายเม็ดละเอียด ประกายแห่งพระสุริยาทิตย์จำรัสจ้าเหนือผืนทรายขาวโอบทะเลสีครามสดใส ไร้ซึ่งร่มเงาแห่งแมกไม้มาคอยบดบังดวงหน้าผุดผ่องของผู้เอ่ยวจี รอยยิ้มนั้นยิ่งแต้มให้เครื่องหน้าคมเข้มชวนมอง


“ยามเช้าข้าได้ปิ่นหยกจากย่านตลาดพ่อค้ากรุงจีนมาอันหนึ่ง หมายใจจะกำนัลถวายให้องค์หญิง”


ครั้นจบประโยค สหายคนสนิทต้องรีบละสายตาจากเภตราลำใหญ่โล้ใบเหนือกระแสสินธุ์ระลอกกว้าง ลอยล่องไปตามวารีสีครามที่แทรกกลางระหว่างบรรพตตระหง่านสองลูกเพื่อออกสู่ทะเลหลวง(๒)  เรือวาณิชและนาวาแห่งนักเผชิญโชคใช้ชลมารคสายนี้เป็นเส้นทางลัดทะเล ออกสู่ห้วงมหรรณพอ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย อันจะนำไปสู่ลังกา อินเดีย ดินแดนอาหรับ มัวร์ เปอร์เซียร์ และแว่นแคว้นน้อยใหญ่แห่งโลกทิศประจิม


“ไม่เกรงเชษฐานางฤๅ เขาว่าหวงหนักหนา”


“อย่าให้รู้เสียก็สิ้นเรื่อง” เจ้าของเรือนผมประบ่ายิ้มกริ่ม “วานนี้ข้ายังฝากกำไลมาศวงงามถึงนางได้ นับประสาอะไรกับปิ่นปักเกศา”


“เจ้าทำเยี่ยงไร”


“ลืมไปแล้วกระมัง พี่สาวข้าเป็นนางข้าหลวง รับใช้ใกล้ชิดเจ้านางเมือง กำไลทองวงน้อยคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักดอก”


“เห็นทีสหายข้าจะได้รั้งตำแหน่งพระชามาดา ราชบุตรเขยแห่งตักโกลาก็ครานี้”


“เถอะ ขอให้คำเจ้าเป็นจริง”


เกลียวคลื่นสาดกระเซ็นซ่า เคล้าคลอไปกับเสียงหัวเราะของชายหนุ่มแรกรุ่นทั้งสาม ผู้เพิ่งหัดร่ำสุรา เกี้ยวพานารี ยามแรกรัก รักแรก… เพิ่งผลิกลีบแย้มบาน แม้แต่ประกายแดดจัดจ้า ห้วงนทีสีคราม กระทั่งอาชาที่ควบให้เดินทอดน่องไปตามหาดทราย ล้วนสดใส เปี่ยมสุข สวยงามไปเสียสิ้น


วูบหนึ่ง รัศมีเรืองระยับแห่งเปลวสุริยันคล้ายถูกเงื้อมเงาแห่งพระอสุรินทราหูบดบัง เสียงแหลมของสกุณานักล่าพลันกลบสำเนียงหัวเราะร่าของสามสหาย เพียงปีกขนาดใหญ่สีน้ำตาลทองที่กรีดกางราวโอบผืนฟ้าไว้คู่นั้น สะบัดสายลมใต้แววขน โฉบลงทันควัน กรงเล็บคมโค้งของผู้ล่ามุ่งหมายไปยังลูกตาของสัตว์สี่เท้า อาชาที่ควบเรื่อยมาถึงกับร้องตกใจ สองขาหน้าดีดจากผืนทรายนุ่ม จนเจ้าของเรือนผมคลุมบ่าพลาดตกจากอานม้า กระแทกก้นลงบนหาดทรายเปียกชื้นด้วยเกลียวคลื่นจากทะเล


“โอ๊ย ไอ้นกบ้า”


ปูลมตัวเล็กใช้ก้ามคุ้ยทรายหาอาหาร พากันวิ่งหนีตายจ้าละหวั่น หลบร่างเด็กหนุ่มที่หล่นลงมาปานฟ้าถล่มกระนั้น


เสียงผิวปากดังขึ้น หวีดยาว ก่อนสิ้นสุดลงเมื่อนกที่โฉบลงมาตัวนั้นขานรับ และกระพือปีกบินกลับไป


“ขุนทอง เขาว่าเข้าเป็นนกบ้ากระนั้นฤๅ”


“แคว๊ก” สัตว์ปีกสีน้ำตาลแกมทองเอียงคอขานรับ


“ฮ่า ๆ ใครกล้าใส่ความนกน้อยแสนซื่อได้ลงคอ…”


ผู้มาใหม่หยอกล้อเจ้านกตัวเขื่องที่ใช้กรงเล็บเกาะอยู่บนปลอกแขนเย็บจากหนังสัตว์ ก่อนผินพักตร์มายังผู้นั่งปั้นหน้าบึ้งอยู่บนหาดทราย


“อ้าวบุตรขุนคลัง จับปูลมเล่นฤๅนั่น ท่าทางสนุกเชียว”


เมื่อเงยหน้า แสงจ้าจากพยับแดดทำให้แววตาพร่าพราย หากร่างโปร่งบนหลังอัศวะสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ก้าวเข้ามาทาบทับประกายสว่างเรื่อแห่งราชรถพระสุริยาทิตย์ ตะวันจึงสาดรัศมีอยู่เบื้องปฤษฎางค์ ขับให้ผู้ที่เพิ่งปรากฏกาย เรืองรองราวดาราประดับฟากฟ้าราตรี ครั้นความพร่าเลือนปลาสนาการไปสิ้น พิศเห็นบุรุษ…


    พื้นดรุณรุ่นหนุ่มน้อยน้อย    รูปร่างแช่มช้อยเฉิดฉัน


เนตรคมดำขลับใต้แพขนตาหนางอนงาม ทอดลงมาจากหลังอัสดรพ่วงพี แรงลมอ่อนริมห้วงมหรรณพพัดให้ปอยผมงามเงาคลุมแผ่นหลังสีน้ำผึ้งนวลเนียน สยายพลิ้วไปในอากาศ หอบเอากลิ่นรัญจวนของน้ำมันจันทน์อย่างดีที่เคลือบผมและผิวให้รำเพยมา เส้นเกศาตรงเฉดรัตติกาลเดือนแรมยาวระอานม้า ส่วนหนึ่งมุ่นเกลียวไว้เหนือศีรษะแล้วคาดทับด้วยรัดเกล้าทองคำฝังอัญมณีนพเก้า หากที่สะดุดสายตากลับเป็นแววหางมยุรา ทัดประดับมวยผมราวยูงรำแพน


“องค์ชายมยุ”


“อย่างไรเล่าบุตรขุนคลัง จะชวนข้าจับปูลม? เห็นทีต้องปฏิเสธ ข้าไม่ชอบเล่นเหมือนเด็ก ๆ”


“กระหม่อมไม่ใช่เด็ก!”


“ไยจะไม่ใช่!”


หัตถ์เรียวขว้างถุงกำมะหยี่สีแดงสดลงบนพื้นทราย


“สัตบุรุษที่เจริญแล้วไม่ทิ้งของไว้เรี่ยราด มีแต่เด็กอมมือไม่ประสาเท่านั้นที่ทำกัน”


“นี่มัน…”


ด้วยแรงกระแทกพื้น ทำให้เชือกที่มัดถุงกำมะหยี่ไว้อย่างหละหลวมคลายออก เผยให้เห็นกำไลมาศฉลุลายเถาเครือเกี่ยวกระหวัดชดช้อยอยู่ภายใน


“เห็นแล้วก็เก็บคืนไปซะ ตำหนักในมีวลัยทองกรอยู่อักโข ไม่ต้องการของของเจ้า แล้วอย่าทำสิ่งใดตกไว้อีกล่ะ ข้าคร้านจะเอามาคืน”


“แต่…” กำไลมาศวงน้อย เขาหมายใจกำนัลให้พระองค์หญิง ดรุณีน้อยแสนน่ารักผู้ที่หัวใจแรกหนุ่มจารจำ


“ห๊ะ อะไรนะ เจ้าหิวอีกแล้วฤๅขุนทอง” ดรุณหนุ่มน้อยผินพักตร์พาทีกับสกุนากรงเล็บแหลมคมที่เกาะอยู่บนปลอกแขน


“แคว๊ก”


เจ้าขุนทอง… พญาอินทรีย์ทองตัวเต็มวัย ฉกาจฉกรรจ์ ขานรับ จะงอยปากคมงุ้มกัดอากาศเสียงดังฉับ พาลพาให้คนมองหวาดเสียว


“อ๋อ อยากจิกลูกตาคน เจ้าเป็นนกบ้าอย่างที่ครหาจริง ๆ ด้วย โอย… ปวดหัว ข้าไม่อยากเลี้ยงเจ้าให้เป็นภาระอีกต่อไปแล้ว จะไปฉกลูกตาใครก็ไปให้พ้นหน้าข้า”


สิ้นคำ อินทรีย์ทองกางปีกผงาดง้ำ ละคมเล็บออกจากพาหาผู้เป็นนาย บินทะยานขึ้นไปในอากาศด้วยท่วงท่าสง่างามสมเป็นเจ้าเวหา หากเปรียบกับเจ้าป่า เสียงแหลมเล็กแสบแก้วหูดังกังวานนั้น คงเสมือนราชสีห์แยกเขี้ยวคำราม ข่มขวัญ พญาอินทรีย์ตัวโตเต็มวัยพลิ้วกายกลางนภากาศแล้วดิ่งลงมายังพสุธาเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว


“แคว๊ก”


“ยะ อย่านะ ออกไปไอ้นกบ้า”


“แคว๊ก”


“ช่วยด้วย ไอ้นกผีมันจะควักลูกตาข้า”


นักล่าแห่งเวหาไล่จิกบุตรขุนคลังเมืองตักโกลาที่แหกปากร้องเอ็ดตะโร วิ่งว่อนไปทั่วหาด มีเพียงยุวกษัตริย์ผู้ทัดแววหางมยุราเป็นปิ่นปักเกล้าเท่านั้นที่รู้สึกขบขันต่อเหตุการณ์ตรงหน้า


หากขุนทองจะควักนัยน์ตาเจ้าจริง คงไม่ปล่อยให้ร้องลั่นอยู่อย่างนี้


สุขใดจะปานเสียงสรวลของเจ้าชายมยุที่เคล้าไปกับสำเนียงระลอกคลื่นสาดซัด กลางปราณลมยามมรสุมฤดู





************



เชิงอรรถ

(๑)   อัสสยุชมาส (ป.) ชื่อเดือนตามปฎิทินจันทรคติอินเดีย ประมานเดือนกันยายน-ตุลาคม ตรงกับเดือนสิบเอ็ดของปฏิทินไทย
(๒)   ทะเลหลวง คำพื้นถิ่นภาษาใต้โบราณ แปลว่ามหาสมุทร

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-02-2020 17:09:50 โดย Killian »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
องค์ชายน้อยแซมผมด้วยขนหางนกยูง
นึกถึง กฤษณะกุมารเลย

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
องค์ชายน้อยแซมผมด้วยขนหางนกยูง
นึกถึง กฤษณะกุมารเลย

ยังไม่เคยอ่าน มหาภารตะยุทธ เลยครับ อยากอ่านเหมือนกัน อยากอ่านมาก ๆ แต่หายากทั้งหนังสือและเวลา 555

ตอนเขียนถึงมยุ ภาพที่เห็นชัดคือเด็กชายวัยรุ่นหน้าสวย ผมดำตรงสลวยถึงบั้นเอว สง่า เห็นชัดว่าฉลององค์ด้วยพัตราภรณ์และเครื่องประดับสีมรกต แล้วจู่ๆ ไม่รู้อะไรดลใจ ใช่ กิมมิคของเขาต้องทัดเกล้าด้วยแววหางมยุรา แล้วชื่อมยุก็ผุดขึ้นมา บังเอิญ ดันไปพ้องกับชื่อพี่น้องของเขาที่เรามีไว้ในใจ มันลงตัวของมันเอง 555

กฤษณะกุมาร น่ารักจัง ทัดหางนกยูงเสียด้วย

การทัดแววหางนกยูงของคนสมัยโบราณ ใช่ใครก็ทัดได้ หางนกยูงบอกความเป็นขัตติยะ จะเห็นว่ารูปวาดกษัตริย์อินเดียโบราณหลายพระองค์จะทัดหางนกยูงประดับเพชร

เกล็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ บางทีคุณอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ 555


ปล. ตักโกลา นามเมืองนี้ปรากฏในคัมภีร์มหานิเทศ ที่แต่งขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๗ เป็นเมืองท่าที่มีชื่อเสียงด้านฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรแหลมมลายู ที่ตั้งปัจจุบันคือบริเวณเมืองตะกั่วป่า พังงา

ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่แวะเวียนมานะครับ ไว้เจอกัน บรรณต่อ ๆ ไปนะ

ด้วยรัก,
ทัดจันทร์

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๒ มยุรารำแพน

รจนา: ทัดจันทร์





บรรณ





“หลบไปให้พ้นทาง”



วลัยทองสวมติดพาหาและข้อบาทกระทบกันเกิดเสียงตามจังหวะเร่งรีบของการดำเนิน บาทที่ย่ำไปบนพื้นไม้สักขัดเงาลาดด้วยพรมขนสัตว์ ยังเร็วไม่เท่าหทัยที่ร้อนรน ทว่าพักตราคมเข้มโสภายังคงวางทีเรียบเฉย ไม่แสดงกริยาใด ยุวกษัตริย์วรองค์สูงโปร่งหยุดอยู่หน้าบานพระทวารสลักลายดอกไม้ บนกลีบมาลาผกามาศลงรักทาทองคำงามวิจิตร



หัตถ์เรียวทรงธำมรงค์ฝังอัญมณีผลักบานพระทวารเปิดผางออก ดรุณหนุ่มทรงภูษาสีปีกแมลงทับ ดิ้นด้วยเส้นทองคำที่รีดจนบางเท่าเส้นไหม จับจีบคล้ายนุ่งหน้านาง ปล่อยชายข้างหนึ่งยาวระข้อพระบาท คาดด้วยเข็มขัดทองคำฝังไพลินเม็ดโต อุระสีน้ำผึ้งนวลเนียนเปลือยเปล่า หากประดับด้วยสร้อยพระศอประจำองค์ที่เป็นจี้มรกตน้ำหนึ่ง สะท้อนแสงจากตะเกียงน้ำมัน วาบวับ



เนตรใสใต้ขนงหนากวาดมองรอบห้อง แล้วจึงย่ำบาทเข้าสู่ภายใน ห้องกว้างแห่งนี้ลาดด้วยพรมขนสัตว์ปักทอลายบุปผาละเอียดละออ พื้นบางส่วนปูด้วยเสื่อผืนเล็กถักจากหญ้าหอม ส่งกรุ่นกลิ่นกำจาย ยุวขัตติยาพาพระองค์ผ่านบังตาไม้หอมประดับมุก ปรากฎวรองค์หน้าพระแท่นทรงจีนขนาดใหญ่



“เปิดหน้าต่างออกให้หมด”



“มยุ…” สตรีที่ประทับยืนเคียงพระแท่นเอ่ยเสียงอ่อน “น้องไม่สบาย”



“ไม่ได้ยินที่สั่งฤๅ เราบอกให้เปิดหน้าต่าง”



เมื่อเห็นว่าขัดไม่ได้ นางกำนัลตำหนักในที่นั่งพับเพียบหมอบกระแตอยู่ข้างสตรีเลอโฉมจึงต้องกระวีกระวาดเปิดบานพระบัญชร สายลมอ่อนจึงระรินพัดผ่าน นำกลิ่นมะลิในสวนให้รำเพยเข้ามา



“มยุ หมอบอกไม่ให้น้องโดนลม จะป่วยอีก”



“แล้วแม่จะปล่อยให้น้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องทั้งวันได้อย่างไร”



“ก็รอให้หายก่อน”



“อยู่อย่างนี้ รักษาทั้งปีก็ไม่หาย”



“ลูกคนนี้ ดูพูดเข้า”



เจ้าชายหนุ่มไม่ถอดหทัยต่อคำทัดทาน หัตถ์ที่ยังทรงปลอกหนังสัตว์แหวกวิสูตรไหมสีชมพูอ่อน เกี่ยวไว้กับเสามุกสองข้างของแท่นบรรทม ดรุณแรกรุ่นผู้ทัดเกล้าด้วยหางนกยูง ทิ้งองค์ประทับนั่งบนปลายยี่ภูสีหวาน มยุทอดถอนปัสสาสะต่อสิ่งที่ทอดพระเนตรเห็น



ภายใต้ผ้าห่มหนาห่อร่างแบบบางจนมิดชิด มีเพียงใบหน้าซีดเซียว เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มนลาฏเท่านั้นที่โผล่มา ผู้บรรทมนิ่งไม่กระดุกกระดิกใต้ผ้าผืนหนาส่งยิ้มบาง ๆ มาให้



“ดาริ”



เชษฐาลูบหัวกนิษฐ์สุดท้องด้วยความอ่อนโยนรักใคร่



“ลุกเถอะ พี่จะพาไปขี่ม้าเล่น”



“ยุ” เสียงแผ่วของสาวน้อยติดจะออดอ้อน “เดี๋ยวแม่ว่า”



“จะฟังแม่หรือฟังพี่ เลือกเอา”



หลังรับฟังคำขาดของภารดา สาวน้อยผิวขาวซีดจึงค่อย ๆ แหวกผ้าห่ม ยันกายลุกขึ้น ริมโอษฐ์บางลอบยิ้มดีใจ อยู่ในห้องไม่เห็นเดือนเห็นตะวันหลายทิวากาล เธอเองก็ชักเบื่อ แต่ใครเล่าจะกล้าท้วงทักพระมารดา เจ้าหญิงน้อยจึงได้แต่เก็บองค์บรรทมอยู่ในตำหนักเช่นนี้



“ดี ไปกันเถอะ”



มยุคว้าข้อแขนเล็ก เสด็จนำออกจากห้อง



“อย่าพากันไปไกลนัก แล้วระวังอย่าให้น้องโดนแดด มยุยินคำแม่ไหม”



“อย่าห่วงเลยแม่ อยู่กับลูก ดาริปลอดภัยกว่าอยู่กับแม่เสียอีก”



สตรีเลอลักษณ์ส่ายเศียร พระนางคร้านจะปรามโอรสาพระองค์รองผู้เอาแต่หทัย แถมยังดื้อที่สุดในบรรดาประสูติกาลทั้งสาม หากก็จริงดังคำลูกว่า มยุดูแลน้องได้ และเข้าใจเจ้าหญิงน้อยดีกว่าใคร ๆ



************





ม้าศึกลักษณะดีกำลังเล็มหญ้าอยู่ไม่ห่าง สองพี่น้องขัตติยราชนั่งสนธนากันใต้ร่มใบของพิกุลทองต้นใหญ่ในวนอุทยาน กิ่งก้านสาขาของพิกุลแผ่กว้างเขียวขจี ยามวายุผ่านพัด ใบไม้เสียดสีคล้ายร่วมกระซิบกระซาบกับสองยุวกษัตริย์



“เมื่อไหร่จะมาเรียนขี่ม้า ยิงธนู กับพี่”



“ยุ ท่านแม่ว่าต้องให้น้องหายดีก่อน”



“นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นเมื่อไหร่จะหาย ออกกำลังสิถึงจะหายขาด”



“น้องขัดแม่ได้ที่ไหน” ดรุณีก้มหน้าตอบ ไม่กล้าสบพระเนตรของภารดา



“ดื้อเสียบ้างเถอะดาริ”



ดวงหน้าซีดเซียวของเจ้าหญิงน้อยอมยิ้ม



“เหมือนพี่น่ะหรือ”



“หลอกว่าพี่ฤๅ”



พักตราคมสันโสภาของเจ้าชายหนุ่มปั้นบึ้ง ความเงียบทิ้งตัวลงมา ทำให้บรรยากาศหยุดชะงักไปเสี้ยววินาที แต่แล้วทั้งสองพี่น้องพลันหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน



“ฮ่าๆ นั่นแหละ ดื้อเหมือนพี่ ลางทีน้องอาจชอบ”



“ท่านแม่บ่น ยุชอบชวนน้องประดาบ จับธนู เหมือนผู้ชาย”



“แต่น้องก็ไม่เคยมาเล่นกับพี่สักครั้ง ป่วยตลอด”



“ต้องรอให้หายก่อน”



“เห้อ อย่างนี้ทั้งปี”



ขุนทองส่งเสียงร้อง กระพือปีกมาแต่ไกล มยุกางแขนรับ พญาอินทรีย์ตัวหนาหนักโผเกาะพาหาผู้เป็นนาย เจ้าเวหาเชิดหัวเย่อหยิ่ง ปลายตาคมน่าเกรงขามเล็งเห็นสาวน้องผ่องผุด สกุนานักล่าเอียงคอ ร้องทัก



“ขุนทองคงคิดถึงน้องนะดาริ”



เจ้าหญิงน้อยยกหัตถ์บอบบางลูบหัวนกอินทรีย์ ขนนิ่มลื่นของมันไล้ไปกับฝ่ามือราวแพรพรรณชั้นดี



“ตัวโตขึ้นมาก เป็นหนุ่มแล้วฤๅขุนทอง”



“นั่นสิ อีกหน่อยคงจะมีขุนทองน้อยอีกหลายตัวเชียวล่ะ แก่แดดนัก ริออกเรือนก่อนข้า”



พระพายพัดวูบจนใบไม้เสียดสีคล้ายระฆังแก้วกังวาลใส ขั้วดอกพิกุลทองผลิหลุดจากช่อ ร่วงหล่นพรูพรายราวสายวรุณโปรยพร่ำ บุษบาหอมดารดาษเหนือผืนหญ้าสด อวลกลิ่นหอมหวาน กำซาบนาสา



“ยุ”



มยุเลิกขนง ผันดวงหน้าเปื้อนยิ้มละไมไปทางกนิษฐา



ก่อนพายุจะมา คลื่นลมมักสงบ หากเมื่อมรสุมโหมกระหน่ำแล้ว ย่อมยากที่จะมีสิ่งใดทัดทานได้ เช่นเดียวกับเพลิงอารมณ์ของมยุ เจ้าขุนทองร้องตกใจสุรเสียงเจือโทษะของเจ้านาย อินทรีย์ยักษ์รีบกรีดปีกบินหนีไปยามถ้อยอุทานของเจ้าชายหนุ่มสะท้อนก้องไปทั่วอุทยาน



“ท่านแม่ว่าปีนี้น้องต้องเสกฯ”



“อะไรนะ! แต่งงาน?!”



******ธรฺมรฏฺฐคีตา******



สรรคะสองถือเป็นการเปิดตัวความเป็นกลิ่นไอของธรฺมรฏฺฐคีตาอย่างแท้จริง เปิดฉากในตอนต้นด้วยนครการท่าอันเลื่องชื่อ ตักโกลามหานคร... ตักโกลา นามเมืองนี้ปรากฏในคัมภีร์มหานิเทศ ที่แต่งขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๗ เป็นเมืองท่าที่มีชื่อเสียงด้านฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรแหลมมลายู ที่ตั้งปัจจุบันคือบริเวณเมืองตะกั่วป่า พังงา

มยุเป็นหนึ่งในตัวละครที่เรารักและเห็นเขาชัดเจนที่สุด ยามหลับตาจะเห็นแววหางนกยูงทัดมวยผมพลิ้วไหวในสายลม เด็นดรุณรูปงามสง่าฉลองภูษาสีมรกตอยู่เป็นนิตย์ เขาเป็นตัวละครที่มีชีวิตชีวามากในความคิดเรา และหวังว่าผู้อ่านจะรักและอยากทำความรู็จักกับเจ้าชายมยุให้มากขึ้น

อยากให้คุณรักและรู้สึกว่ามยุเป็นตัวละครที่จริง และรู้สึกแบบนี้กับทุกตัวละคร

จะพยายามเขียนและรังสรรค์นวนิยายเรื่องนี้ให้ออกมาอย่างดีที่สุดครับ เพราะผมรักทุกตัวละครในทุกบทบาท รักเนื้อเรื่อง และพวกเขามีตัวตนอยู่จริงๆ อย่างน้อยก็ในใจผม

ด้วยรักและขอบพระคุณ

ทัดจันทร์

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
พาร์ทนี้เราขอชมว่าบรรยายสถานที่ได้ดีเลย เล่นคำได้ดี ชอบๆ รอติดตามนะจ๊ะ :katai2-1:

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๓ แสงดาวเลือน


รจนา: ทัดจันทร์




“แต่งงาน…”


พจีเล็ดลอดผ่านริมโอษฐ์บางเป็นกระจับ แผ่วเบาราวเสียงกระซิบ ตามด้วยการถอดถอนปัสสาสะให้กับก้อนความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ในอุระ


เจ้าของหัตถ์บางเกาะขอบบัญชรฉลุลวดลายพรรณพฤกษชาติ ประทับนิ่งภายใต้ความเงียบเพียงลำพัง สาวน้อยนั่งมองโลกกว้างภายนอกที่ตัวเองไม่เคยได้ออกไปทำความรู้จัก ผ่านกรอบหน้าต่างแคบในห้องบรรทม สายพระเนตรว่างเปล่าเหม่อออกไป ไกลแสนไกล ไกลเกินกว่าเส้นขอบฟ้าที่คลองจักษุนี้เล็งแลเห็น


เสมอมา… เจ้าหญิงชะเง้อหา… อิสรภาพสถิตอยู่หนใดหนอ… และอาจต้องเฝ้าปฤจฉา ตั้งคำถามกับตัวเองเช่นนี้ เสมอไป


เธอนึกอิจฉาหมู่ภมรคอยหาน้ำหวานจากดอกไม้ชูช่อ ปีกสีขาวมนโค้งแต้มด้วยจุดเล็กสีดำของผีเสื้อขาวแคระ สยายบินอย่างเสรีไปทั่วอุทยาน หากเธอจะติดปีกโบยบินได้สักครั้ง คงออกตามหาอิสรภาพที่เฝ้าฝัน อาจเป็นห้วงมหาสมุทรลึกล้ำ หรือท้องทะเลแห่งดวงดาวที่ขวางคั่นอิสระภาพเอาไว้ เพราะมันช่างห่างไกล เกินหัตถาเรียวเล็กนี้จะไขว่คว้า สำหรับดรุณีน้อย เสรีภาพจึงเปรียบเสมือนผีเสื้อ พอเอื้อมมือคว้าไขว่ ปีกบางก็โบกสะบัดบินหนีไป สัมผัสได้เพียงสายลมใต้ปีกกระทบนิ้ว แผ่วเบา แล้วจางหาย


“คิดอะไรอยู่หรือ”


เจ้านางเมืองเสด็จประทับนั่งเหนือพระแท่นริมพระบัญชร สายพระเนตรที่ผ่านฝนกรำแดดมาหลายขวบปี พิจารณายุวนารีผู้สืบทอดสายโลหิตกษัตริยาธิราชแห่งไศเลนทร์วงษ์มาจากตน


“แม่จ๋า”


สุรเสียงสั่นเครือ น้ำคำร่ำหาเหมือนครั้งยังเยาว์ เป็นเพียงเด็กไม่ประสา พร่ำหาพระชนนียามหกล้ม เจ้าหญิงน้อยโผเข้าอ้อมอุระพระมารดา สองแขนแม่ตระกองกอดลูกน้อยผู้หลับตาพริ้ม เจ้าหญิงพระองค์เล็กพยายามจารจำสัมผัสนี้ไว้ นานเท่านาน


“ลูกจะกอดแม่ได้อีกนานเท่าใดหนอ ไม่ช้าก็ต้องแต่งออกไป”


“สิบห้าแล้ว ไยยังขี้แยเหมือนเด็ก”


สตรีทรงโฉม ทรงศักดิ์ ลูบหัตถ์อุ่นบนเส้นเกศาดำขลับของขัตติยนารีในอุทร ไออุ่นจากกายแม่ส่งต่อ ถ่ายถอนใยรักแห่งมารดา เพื่อปลอบประโลมลูกน้อยที่กำลังกังวลสับสน


“แต่ก่อนแม่เคยกอดยายเช่นนี้ วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อมีลูกสาว ลูกก็จะกอดธิดาของลูกอย่างนี้ นิ่งเสียเถิดลูกรัก”


เมื่อหกล้ม จะทรงรับสั่งให้หยุดร้อง เจ้านางเมืองทอดพระเนตรดูบุตรีตัวน้อยยันพื้น ลุกขึ้นด้วยสองขาของตัวเอง โดยไม่ยื่นพระหัตถ์เข้าหา พระพี่เลี้ยงนางกำนัลในคนใดอย่าได้ช่วยอุ้ม จะถูกดุเข้าให้ ครั้นหยุดร้องและยืนได้ด้วยตัวเองแล้ว อ้อมกอดแม่จึงจะอ้าออก กอดอุ่นเป็นรางวัลแด่ขัตติยะนารีผู้เข้มแข็ง


อัสสุชลหยุดหยาดริน อันตรธานไปพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ วรองค์แน่งน้อยหยัดตรง กริยาสงบนิ่ง รำงับ


“ปทุมวงศ์จะดูแล ยกย่องให้ลูกเป็นนางพญาเมือง เป็นมหารานีควรคู่แก่มหาธรฺมราชา นี่คือมรรคาที่ลูกต้องเดิน ขัตติยะนารีมิอาจทอดทิ้งหน้าที่แห่งตน ทั้งหน้าที่ต่อวงศ์พงศา ต่อผืนแผ่นดิน และต่อหัวใจตัวเอง”


“หน้าที่ต่อหัวใจ? ทำตามใจน่ะหรือเพคะ”


“เปล่าเลย หากเป็นหน้าที่ต่อจิตใจที่ลูกต้องตั้งมั่นอยู่ในความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ไม่หวาดไหวต่อสรรพสิ่งใด ๆ ไม่ว่าดีฤๅร้าย ประคองสติให้ครองอยู่ในจิตตลอดเวลา อีกหน้าที่ของหัวใจคือความรัก… ภายหน้าลูกจะเรียนรู้หัวใจรักของสตรีต่อบุรุษ และรักของมารดาต่อบุตรธิดาแห่งตน”


“กาย ใจ กระทั่งชีวิตนี้ ลูกมิเคยเสียดายหากทำเพื่อบ้านเมืองและเชื้อวงศ์ หากแต่… ลูกยังไม่อยากจากแม่ พ่อ และพี่ พลัดบ้านพลัดถิ่น ร้างไปไกลเช่นนี้”


“โถ เรื่องเล็กนิดเดียวเอง คิดถึงก็ให้คนแต่งขบวนเรือ ล่องแม่น้ำหลวงมาหาแม่ อีกอย่าง ทุกเดือนมาฆมาส ยามพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์แม่เดินทางไปทำบุญที่นั่นโดยปกติอยู่แล้ว จะกังวลคิดถึงกันไปไย”


พระนางมอบรอยยิ้มอ่อนโยนให้ดรุณีน้อย ผู้เป็นกังวลว่าจะคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว หากต้องนิราศลาไกล เรียวแขนแม่โอบกอดเรือนร่างแบบบางนั้นเอาไว้แทนคำพูด แทนคำมั่นสัญญา


ยามคิดถึง… จะไปหา


ผีเสื้อปีกขาวบริสุทธิ์บินผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องบรรทมกว้าง หอมอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ปักประดับแจกันกระเบื้องเคลือบวาดลายมัจฉาใต้กลีบนิโลบล ท่วงท่าโบยบินของมันนิ่มนวล พริ้วไหว คล้ายผีเสื้อน้อยกำลังเริงระบำ ถ่ายทอดความงามแห่งตนทิ้งไว้ ฝากประดับโลกก่อนวงจรชีวิตแสนสั้นของมันจะหมดลง


************




ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
กุมารีน้อยผู้น่าสงสาร

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian

ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๓ แสงดาวเลือน



รจนา: ทัดจันทร์





เวทิต บุตรชายขุนคลัง เข้าเป็นลูกค้าโรงสุราตั้งแต่เด็กรับใช้ในหอคณิกายังไม่ตื่นนอน เปลวสุริยันหรือฤทธิ์สุราชั้นเลิศยังร้อนไม่เท่ากองเพลิงที่สุมอยู่กลางทรวงของเด็กหนุ่มรุ่นกระทง ความชอกช้ำกัดกินจิกทึ้งจิตใจเหมือนแร้งเหยี่ยว จงอยปากคมกริบของความริษยา ฉกลงมาอย่างไม่ปราณีต่อหัวใจอันเหี่ยวแห้งร้างแรง บุรุษผู้เพิ่งแตกเนื้อหนุ่มบอกไม่ได้ว่าความรู้สึกร้อนผ่าว แผดเผาอยู่ในอกนี้คืออะไร รู้เพียง ร้อน ทรมานเหลือเกิน


เวทิตยไม่ประสา ไม่รู้จักแม้เพียงความหึง


เมรัยราคาแพงหมักจากน้ำผึ้งป่าอย่างดี หลากรินดังสายอุทกธาราผ่านลูกกระเดือกเข้าไปดับเพลิงกาฬที่กำลังคุกรุ่น ผลาญเผาแผงอกแตกพานให้ตรอมตรม ความผิดหวัง น้อยเนื้อต่ำใจในรัก เจ็บแสบดังสายโลหิตทะลักล้นจากบาดแผลฉกาจฉกรรจ์


“ทำอย่างไร ตอบข้าที ต้องทำอย่างไรถึงจะได้นางมาครอง”


“ทำอะไรไม่ได้หรอก หักห้ามใจเสียเถิดเวทิต”


สหายคนสนิทรวบเรือนผมยาวด้วยรัดเกล้านาก แม้ไม่ร่วมร่ำสุราไปกับเพื่อนผู้ช้ำรัก แต่กลับมีสีหน้าทุกข์ร้อน เศร้าใจไม่ต่างกัน


“ลำพังเพียงภารดานางกีดกัด ข้าก็แย่แล้ว ยังมีเจ้าชายแห่งปทุมวงศ์เข้ามาอีก จะสู้อย่างไรไหว เออ ใช่สิ ข้ามันเพียงบุตรขุนนางสนองพระเดชพระคุณ ห่างชั้นกับฟ้านัก


ชั่ววูบหนึ่งในห้วงคำนึงของเวทิต ดวงหน้าผุดผาดของเจ้าหญิงน้อยแห่งตักโกลาผินพักตราแย้มมองมาทางตน มาณพหนุ่มเทิดทูนยกย่องเจ้าหญิง สูงส่งสุดหัวใจ อย่างที่ชายผู้หนึ่งจะพึงมีต่อสตรีที่หมายรัก พอกับที่มันน้อยเนื้อต่ำใจในความต้อยต่ำของตัวเอง


เวทิตรักเจ้าหญิงน้อยมากเสียจนหัวใจทั้งดวงเอ่อล้นด้วยความรัก ความใสซื่อแห่งดรุณปรารถนา ไม่เหลือที่ว่างสำหรับการเผื่อใจเจ็บเอาไว้เลย...


จอกเปล่ากระแทกลงบนโต๊ะ


“รินเหล้าให้ข้าอีกสักจอกเถิด เผื่อจะดับไฟในใจลงได้บ้าง”


“จงดื่มให้หมด เมาความชอกช้ำเสียให้สิ้นในวันนี้ เมื่อสร่างเจ้าจะตัดใจได้”


สิ้นคำเพื่อน เวทิตยกภาชนะทองเหลืองดุนลายบรรจุสุราสีขาวขุ่นเกือบเต็มจอก ดื่มพรวดเดียว น้ำเมารสขมร้อน เจือความหวานติดปลายลิ้น สาดลงบนกองเพลิงในหัวใจ จอกแล้วจอกเล่า แต่เหมือนสุราจะเป็นเชื้อไฟอย่างดี ยิ่งดื่มดับทุกข์ลงไปเท่าไร เพลิงแห่งความผิดหวังในหัวอกยิ่งโหมกระหน่ำซ้ำขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวี


ปุรุษาในวัยกลัดมันยิ้มเยาะให้แก่บทรักแห่งชีวิตและความคิดอันแสนโง่เขลา เมาแล้วจะลืมกระนั้นหรือ หากหัวใจดวงนี้ลืมนางได้ นางต้องตายจากความทรงจำไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน เวทิตรู้จักสันดานและหัวใจตัวเองดี เขาไม่มีวันลืมดอกรักเสียบก้านนาฬิเกช่อแรกที่นางให้ เขายังคงปักมันไว้ในแจกันห้องนอน และทัดไว้ในน้ำเนื้อของหัวใจ เร้นอยู่ในซอกลึกเช่นนั้น ไม่มีวันถ่ายถอน


‘ใครกัน เขามาถึงฝ่ายในได้อย่างไร’


‘เราหลง... เราตามบิดามาเข้าเฝ้าท่านเจ้า แต่วังหลวงใหญ่เกินไป เราคลาดกับท่านบิดาเสียแล้ว ว่าแต่เจ้าเป็นใคร นั่งทำกระไรอยู่คนเดียว’


‘เราหัดกรองดอกไม้ ดูนี่สิ มาลาเสียบนาฬิเก สวยไหม’


‘ก็สวย’


‘คือ... ก้านนาฬิเกของเราหมดแล้ว มีอีกเยอะที่ท้ายอุทยานแต่เราปีนไม่ถึง...’


‘ให้ช่วยปีนไหมเล่า’


‘ช่วยหน่อยนะ นี่ ๆ ดอกรักกรองนาฬิเกก้านแรกที่หัดทำ เราให้... เป็นเพื่อนกันนะ เล่นกันสักครู่ แล้วจะพาหนีคุณโขลนออกไปชั้นกลาง เจ้าจะได้ไปคอยบิดาที่นั่น’



************



เรือนกายที่เริ่มปรากฏมัดกล้ามแห่งวัยหนุ่มโงนเงนออกจากโรงสุราเพียงลำพังเมื่อตะวันจวนแตะยอดไม้ กายแกร่งสมวัยหอบเอาหัวใจชอกช้ำ เดินเซไปบนถนนที่ผู้คนสวนทางกันขวักไขว่ บนเส้นทางสัญจรแห่งทะเลผู้คนคลาคล่ำ ฤทธิ์สุราทำให้เวทิตซวนไปชนเข้ากับบุรุษสูงใหญ่ แต่งกายเยี่ยงนักเดินทางต่างถิ่น หนุ่มแรกรุ่นยกมือเป็นเชิงขอโทษ เขารู้สึก โลกกำลังหมุนคว้างเหมือนลูกข่างก็มิปาน ภาพที่ปรากฎแก่คลองสายตาเป็นภาพซ้อนทับของบรรยากาศโดยรอบ เวทิตขยี้ตา พยายามสลัดภาพชวนเวียนหัว ไม่ทันหันมองคู่กรณี


หางคิ้วซ้ายสลักรอยแผลเป็นของชายผู้นั้นเลิกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจต่อเด็กแรกรุ่นหัดเมา ชายต่างถิ่นทอดน่องต่อไปราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปโรงสุราของเขา


ทำไมเหนื่อยนัก เหมือนเดินเท่าไรก็ไม่ถึงปลายทางสักที เพราะถนนสายนี้ทอดยาวเกินไป หรือเพราะหัวใจเขาเองที่แบกเอาก้อนความโศกหนักอึ้ง ครองมงกุฎหนามแห่งรักอันไร้หวังไว้ราวศิราภรณ์ล้ำค่า หวงแหนแม้กระทั่งความเจ็บปวดในทุกครั้งที่คิดถึงนวลหน้าเจ้าหญิงน้อยผู้งดงาม สองขาที่ย่ำเดินบนเส้นทางมืดมนอนธการ หาทางออกให้กับรักที่ไม่มีทางเป็นไปได้ จึงอ่อนล้าหมดกำลัง


ซวนเซ และล้มลง


เขาชนคนเข้าอีกแล้ว


ในตรอกเปลี่ยว แคบ ที่ใช้เป็นทางลัดสู่ชมชนพ่อค้าชาวสิงหล ย่านตลาดขายเครื่องเทศสมุนไพร ดรุณหนุ่มชนชายชราผมและเคราสีดอกเลา บ่งบอกฤดูกาลแห่งชีวิต ทว่าวัยที่โรยร่วงไม่ได้ทำให้ตาเฒ่าร่วงโรย กองลงกับพื้น ต่างจากเด็กหนุ่มที่เพิ่งผันผ่านเข้าสู่ฤดูร้อนของชีวิต อาบกลิ่นเมรัยต่างกลิ่นน้ำมันจันทน์โลมไล้เนื้อหนั่นหนาแน่น ล้มลงเพราะหัวใจแหลกสลายของตัวเอง ร่างนั้นสิโรราบลงกับผืนธรณี ไหล่กว้างสั่นสะท้อนวูบไหว


“ฮ่าๆ”


เวทิตหัวเราะขื่นขม พรายน้ำตารื้นคลอเบ้า พยายามเก็บเศษกระจัดกระจายของเสี้ยวหัวใจ กดกลั้นความเศร้าไม่ให้พรั่งพรูออกมา เขาได้แต่ถากถาง สมเพชความมัวเมาของตัวเอง


ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก        สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน


เหมือนมีกริชล่องหน คมกริบ ปักลงกลางอกแล้วคว้านลึก เฉือนเชือดหัวใจ เจ็บจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ มือข้างหนึ่งกระแทกกำปั้นใส่แผงอก เหมือนต้องการหักห้ามความเจ็บปวด หยาดน้ำใสรินอาบสองแก้ม หยดลงบนพื้นดินราวฝนปรอยเม็ด เวทิตก้มหน้านิ่งอยู่เช่นนั้น เงียบงัน ไร้เสียงสะอื้น


“เมาสุรา นอนเสียก็หาย เมาน้ำตา… ทำอย่างไรจึงจะสร่างซา”


เสียงแหบแห้งเจือสำเนียงแปลกหูของชายชรา ดึงให้ผู้ที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความหม่นเศร้ากลับสู่ปัจจุบันกาล ใบหน้าปราศจากคราบน้ำตาเงยขึ้น ผันไปทางบุรุษผมขาวสวมผ้าคลุมเดินทางสีครามหม่น เวทิตยืนขึ้นเต็มความสูง


“ไม่ใช่น้ำตา แต่เป็นความริษยาและความรักที่ทำให้ข้ามัวเมา” เด็กหนุ่มปัดฝุ่นออกจากเรือนกาย


ชายชราพยักหน้าเชื่องช้าราวจมอยู่ในห้วงคิด ก่อนซุ่มเสียงแห้งแหบจะเอ่ยออกมา แผ่วเบา ทว่าชัดเจนทุกถ้อยคำ


“ความเมาแห่งรัก ย่อมถ่ายถอนด้วยความรัก”


“รักที่ข้าไม่อาจครอบครอง... ความเมานี้จึงไม่มีวันสร่างถอน”


“พ่อหนุ่ม เส้นผมบังสายตาเจ้าอยู่ฤๅ ไยมองไม่เห็นหนทาง”


“ท่านพูดถึงอะไรตาเฒ่า”


“คำตอบต่อปัญหารักของเจ้า”


“จู่ ๆ จะมาช่วยข้าไขปริศนารัก ท่านต้องการสิ่งใด?”


“กษาปณ์ทองของเจ้าเพียงเหรียญเดียว แลกกับคำตอบของข้า”


...ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป


ในตรอกเปลี่ยว แคบ ร้างไร้ผู้คน ชายชรายัดของบางอย่างใส่มือเวทิต ถ้อยคำที่ตาแก่กระซิบข้างหูทำให้แววตาที่เคยซึมเศร้าของเด็กหนุ่ม เบิกโพลง ความหวังฉายรัศมีริบหรี่ ณ ปลายอุโมงค์มืด เสี้ยวนาทีนั้นคล้ายว่าฤทธิ์สุราจะสร่างซาลงทันใด


แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน…


“ในเมื่อข้าครองนางไม่ได้ ใครหน้าไหนก็อย่าหวัง”


พวงแก้มแดงเรื่อจากเมรัยร้อนแรงก้มลงมองวัตถุที่ให้สัมผัสเย็นเยียบ แหวนเงินวงน้อยฝังหินกลมเกลี้ยงสีเลือดวิหก วางนิ่งอยู่ในฝ่ามือของชายหนุ่ม คำรักที่พร่ำพรรณาอยู่เมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมน่าใจหาย ความรักเปลี่ยนแปรเป็นความลุ่มหลง ความลุ่มหลงกลายเป็นความริษยาเกินถ่ายถอน ด้วยประการฉะนี้



************


ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian

ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๓ แสงดาวเลือน



รจนา: ทัดจันทร์







มหาดาราโคจรมาบรรจบภายใต้นภาผืนเดียวกัน พระจันทร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ ทอประกายสีเงินยวงอยู่บนปลายฟ้าด้านบูรพาทิศ ขณะที่ดวงสุริยากำลังเริงโรจน์เหนือขอบอัมพรทิศประจิม กษณะนี้นภดลมณฑลอาบไล้ด้วยรัศมีเฉดชมพูอ่อนแกมส้มแห่งสายัณห์กาล ผืนฟ้าสีกลีบยี่สุ่นแย้มบานจึงเสมือนนิวาสสถานที่ดวงตะวันใช้รอพบสบพักตรานวลจันทร์เจ้า ในยามทิวาและราตรียื่นหัตถาสัมผัสกัน



“เสด็จกลับเถอะเพคะ”



“สักครู่พิชชา เราไม่เคยเห็นการแต่งเรือพระใกล้ขนาดนี้”



เจ้าหญิงน้อยทอดพระเนตรธงผ้าสีเหลืองโบกพลิ้วเหนือบุษบกไม้สลักเสลา ประดิษฐานบนเรือพายขนาดกลางที่เพิ่งต่อเสร็จ ช่างผู้ชายหลายคนช่วยกันติดไม้กระดานแผ่นยาว ตัดเป็นส่วนเว้าโค้ง วาดเป็นรูปพญานาคตระกูลวิรูปักษ์ ผู้สืบเชื้อสายจากนาคาธิบดีแห่งชั้นจาตุมหาราชิกาสวรรค์ จึงดูคล้ายเทวนาคาสีทองเลื้อยขนดไปบนกาบเรือทั้งสองข้าง ชูเศียร อ้าโอษฐ์ แผ่พังพาน เฝ้าพิทักษ์บุษบกแห่งพระตถาคตเจ้ายามถูกชักกลับพุทธสีมาในวันมหาปวารณา



เดือนอัสสยุชมาสเป็นหน้ามรสุมลมแรง ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำคูคลองเพิ่มขึ้น น้ำใสในสระท้ายวังอันต่อกับคลองใหญ่ด้านนอกจึงเอ่อสูง สายลมลูบหัตถาไล้เหนือผิวธาราเกิดระลอกพริ้ว ชโลธรชโลมแสงยามใกล้อัสดงเป็นสีทองระยิบ คล้ายพระสุริยาทิตย์โปรยผงทองคำเหนือผืนน้ำ ปลุกอาโปที่สะท้อนเงาจันทร์ดุจกระจก ให้มีชีวิต คลื่นนทีสีทองพริ้วระยับดั่งลมหายใจของกระแสสินธุ์ในฤดูน้ำหลาก



มยุคุมบรรดาช่างหลวงให้ช่วยกันตบแต่งเรือพระจนงามวิจิตร งานใกล้ลุล่วงเต็มที ยุวขัตติยาผู้ครองรูปโฉมดังองค์อัมรินทร์ และทหารกล้าหลายนายช่วยกันนำเรือสุวรรณนาคาลงแตะผืนน้ำ เตรียมลากไปรอที่พระอารามหลวง



ราชบุตรพระองค์รองกาลนี้นุ่งหยักรั้ง กายเปล่าปราศจากแก้วแหวนเครื่องประดับใด มีเพียงภูษาสีมรกตพาดอังสากว้างผึงผายใช้ซับเสโท มัดกล้ามแห่งวัยดรุณวาวลื่นไปด้วยหยาดเหงื่อจากการกรำงานหนัก ไม่ต่างอันใดกับเหล่าช่างและทหารผู้ช่วย เรือนกายงามครองพระฉวีสีน้ำผึ้งนวลพาองค์มาหยุดอยู่บนบันไดท่าน้ำ ขนหางนกยูงที่ปักเกศาเกล้ามวยไว้อย่างไม่เอาฤทัยใส่ ปล่อยชายไป่ปลิว ถูกวายุแผ่วพัด แววหางมยุรารำแพนล้อลม ยิ่งขับให้เจ้าชายวรองค์โปร่ง หนั่นแน่น คล้ายรูปจำแลงแห่งเทพเทวาก็มิปาน



ควรจะนับว่าชายโฉมยง… เอวองค์สารพัดไม่ขัดตา



ดวงพักตร์งามนั้นผินยิ้มมาทางกนิษฐา



“ดาริ ไปวัดด้วยกันฤๅไม่”



“คงไม่ น้องแค่มาดูว่าแต่งเรือกันอย่างไร”



“เช่นนั้นกลับเถอะ ค่ำน้ำค้างจะลง”



นาวาน้อยสองลำผูกเชือกแน่นหนาเข้ากับเรือพระประดับบุษบกพายมารอที่ตีนท่า ทหารวัยหนุ่มและช่างชายฝีมือดีต่างพร้อมอยู่แล้วในขบวนเรือพาย มยุผันวรองค์เยื้องย่างลงเรือ หากปรายตามองเห็นเจ้าหญิงน้อยยังคงประทับยืนที่เดิม



“มัวยั้งอยู่ไย หรือจะไปด้วย”



“ยุ… พี่ไม่ไปได้ไหม ไม่รู้สิ… น้องแค่ไม่อยากให้พี่ไป”



“แล้วกัน” มยุลูบหัวน้องน้อยอย่างเอ็นดูรักใคร่“เอาเป็นว่า พี่จะรีบไปรีบกลับ”



แม้ภารดาจะรับสั่งเช่นนั้น ดวงพักตร์ของเจ้าหญิงน้อยยังคงหมองเศร้า



เรือพายสองลำลากเรือบุษบกให้ลอยล่องไปบนสายนทีสีทองระยับ รุ่งเช้าพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรจะถูกนำประดิษฐานเหนือบุษบกแก้วจำลองที่เจ้าชายพายนำไป ฝีพายหนุ่มหัวเราะร่วน อิ่มใจที่งานแล้วเสร็จ ท่ามกลางตะวันและพระจันทร์ยามเย็น ชายหนุ่มเหล่านั้นเห่ร้องเพลงเรือ



ขึ้นข้อต่อกล่าว                   ถึงสาวทุกวัน
แต่งตัวกวดขัน                ในวันประชุม
ตุ้มหูพู่ห้อย                      สาวน้อยหนุ่มหนุ่ม
สองเต้าเต่งตุม                เหมือนพุ่มมาลา
ถ้าได้พี่ชาย                     จะจูบซ้ายจูบขวา
สาวน้อยงามสรรพ           ดับกายไว้ท่า
ถึงวันออกษา                  พี่จะพาเจ้าไป



พรุ่ง... ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑



วันออกพรรษา พระตถาคตเจ้าทรงเสด็จกลับจากเทวโลก



เจ้าหญิงน้อยทอดพระเนตรจนเรือบุษบกลาลับไกล พักตราสง่าแหงนสู่นภา บนนั้น… สุริยันและจันทิรามองหากันจากคนละฟากเวหา แสงจันทร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ เริ่มฉายชัดขณะมหาดาราอีกฝั่งฟากใกล้จรจากไป



ขัตติยะนารีรู้สึกวูบโหวงในหทัยอย่างบอกไม่ถูก



“รีบมานะยุ น้องคอย...”



น้ำคำแผ่วเบาฝากสายลมโชยไปถึงภารดา



เจ้าหญิงเสด็จกลับตำหนักยามทิวาและราตรีเอื้อมหัตถ์แตะถึงกัน กษณะนั้นหิ่งห้อยตามโคมแข่งกับแสงดาวเลือนบนฟากฟ้าสีเทาเข้มเกือบดำ ราตรีกาลย่ำบาทเยื้องย่างใกล้เข้ามาเต็มที



ราษตรีแห่งความมืดมน... ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยคราบน้ำตา!



******ธรฺมรฏฺฐคีตา******



ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian

ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๔  กระจกธารา


รจนา: ทัดจันทร์





หริสสาเสด็จนำขบวนโขลนเข้าสู่ตำหนักใน พวกหล่อนกระวีกระวาดช่วยกันขนหีบไม้หอมบรรจุแพรพรรณภูษาและกำปั่นอาภรณ์เครื่องประดับ เก็บเรียงไว้ในห้องบรรทมของเจ้าหญิงพระองค์เล็กแห่งนครตักโกลา สินทรัพย์มากมายเหล่านี้ลำเลียงขึ้นจากเภตราลำใหญ่ซึ่งเทียบท่าเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมา นางสนองพระโอษฐ์กระซิบกระซาบไถ่ถามกัน ได้ความว่า เป็นของกำนัลเนื่องในพิธีเสกสมรสจากหน่อเนื้อปทุมวงศ์ ‘ทูลหม่อมชายใหญ่’ จึงคุมโขลนวังลำเลียงด้วยองค์เอง


“สิบเอ็ด อีกหีบหายไปไหน”


ยุพราชรูปร่างสูงใหญ่เฉกเช่นนักรบ ตรวจนับหีบห่อของกำนัล ขนงหนาแทบจะพาดเข้าหากันเมื่อพบว่าจำนวนกำปั่นที่วางรายเรียงไม่เท่ากับตอนขนขึ้นมาจากเรือ แววเนตรขุ่นขึ้งตวัดมองนางโขลนผู้ติดตาม หามีใครกล้าปริปากหรือสบสายพระเนตรราชบุตรพระองค์โตไม่ ทูลหม่อมชายใหญ่ท่านขึ้นชื่อว่าดุนัก หาไม่ ท่านจะเป็นพระยุพราชผู้สืบสันตติวงศ์และทรงรั้งตำแหน่งขุนต้นศึก องค์แม่ทัพ คุมรี้พลทวยหารได้อย่างไร


“อยู่นี่เพคะ”


พิชชา นางสองพระโอษฐ์คนใกล้ชิดแห่งเจ้าหญิงน้อยผู้กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ เดินนำเจ้าพนักงานโขลนสองนางที่ยกกำปั่นสีทองใบสุดท้ายเข้ามา หล่อนให้เหตุผลกับทูลกระหม่อมชายใหญ่


“กำปั่นพระภูษาและอาภรณ์ที่จะทรงในงานพิธี ต้องระมัดระวัง ขนย้ายไม่ให้เสียหายเพคะ”


โขลนสตรีรูปร่างสันทัดวางกำปั่นสีทองอร่ามสลักลายเถาเครือมาลีวัลย์เกี่ยวกระหวัดงามชดช้อยอย่างเบามือ ถนอมหีบโลหะนั้นราวเครื่องแก้วเจียระไนเปราะบาง แล้งจึงถอยร่นไปรวมกับโขลนวังที่เหลือ


พิชชาประสานมือเหนือหน้าตัก หลังมือขวาปิดทับมือซ้ายจนแทบมองไม่เห็นเรียวนิ้ว เธอยอบตัวลงถวายคำนับต่อองค์ราชบุตรด้วยกริยานบนอบ สำรวม สมเป็นกุลสตรีฝ่ายในแห่งราชสำนักตักโกลา นางสนองพระโอษฐ์ในพระธิดาพระองค์น้อยผู้นั้น หันไปดูแลเครื่องสุพรรณภาชน์ และจัดพระสุธารสถวายเจ้าหญิงที่กำลังผินดวงพักตร์เมินเครื่องกำนัลบรรณาการในงานพิธีวิวาห์แห่งตน


“ดาริน้อย”


รอยแย้มพระสรวลที่หาได้ยากยิ่งแห่งองค์ยุพราช คลี่บานเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นกนิษฐาน้องยาเธอ ผู้เปรียบดังแก้วตาดวงใจของภารดาทั้งสอง เมินผ้าผ่อนแพรพรรณที่เคยชมชอบเสียอย่างนั้น ด้วยพระชันษาที่ห่างกับน้องน้อยถึงสิบปี เจ้าชายวัยเบญจเพศจึงเอ็นดู ประคบประหงม ขนิษฐาพระองค์เดียวเป็นพิเศษ ฝ่าพระหัตถ์หนากร้านเพราะทรงศาสตราวุธอยู่เป็นนิตย์ ลูบเกศาดำขลับของน้องแล้วจึงรับสั่งด้วยสุรเสียงอ่อนโยน


“ดูน้องจะหมองฤทัยเหลือเกินกับทรัพย์ศฤงคารเหล่านี้”


“ดูท่านพี่จะปลื้มหทัยเหลือเกินกับสมบัตินอกกายพวกนี้”


“ใช่ พี่พอใจมากเทียว ของหมั้นสมพระเกียรติแก่กนิษฐาในพระยุพราชตักโกลา ปทุมวงศ์ให้เกียรติกันถึงเพียงนี้ เห็นดังนั้นจึงวางใจให้เขาดูแลน้องแทนพ่อและพี่”


ร่างระหงส์ยืดอังสาหยัดตรง พักตรานิ่งไม่แสดงออกซึ่งอารมณ์แลความรู้สึกใด หากแววพระเนตรสะท้อนแสงไฟจากตะเกียงน้ำมันและเทียนหอมที่จุดสว่างทั่วห้อง วูบหนึ่ง ฉาบประกายแกร่งกล้าแห่งความเด็ดเดี่ยว เจ้าหญิงน้อยสบพระพักตร์ เอื้อนพจีต่อเชษฐาพระองค์โต


“ท่านพี่วางฤทัยดังนั้น น้องเองก็จะวางใจในดำริของพี่และพระบิดา”


“ดีแล้วดาริ การวิวาห์จะยังประโยชน์ให้ตักโกลายิ่งแน่นแฟ้นกับปทุมวงศ์ นคราผู้ถือครองตรานักษัตรที่สิบเอ็ดแห่งเราจะสงบร่มเย็น ภายใต้เศวตฉัตรแห่งปาฎลีบุตร ที่มีน้องเคียงข้างเป็นนางพญาเมือง”


“น้องรู้ แท้จริงกำปั่นเหล่านี้ไม่ใช่ของหมั้น หากเป็นคำประกาศ สองนครจะเชื่อมโลก ผสานเส้นทางการค้าข้ามทะเลหลวง ให้ประจิมจรดบูรพา เปิดน่านน้ำวาณิชย์แห่งผืนแผ่นดินทอง เพื่อเป็นใหญ่ในสุวรรณทวีปและอาณาจักรท้องทะเล ท่านพี่โปรดประจักษ์แจ้งเถิด หน้าที่และมรรคานี้น้องจะเดินเพื่อเรา”


ฝ่ามืออุ่นของหริสสาชะงักอยู่ตรงปลายปอยผมดำเงา ดวงหน้าเปื้อนยิ้มของเจ้าชายผู้เฉลิมพระยศพระยุพราชอันตรธานไป คงไว้เพียงสีหน้านิ่งเรียบของผู้เป็นพี่ชาย สายตาคู่นั้นทอดมองน้องสาวด้วยประกายแห่งความอ่อนโยนลึกล้ำ หัตถ์กร้านดึงน้องเข้ามากอดแนบอุระผึงผาย


“เจ้าหญิงน้อยของพี่โตแล้วสินะ”


“ยุบอกว่าน้องยังไม่โต และห้ามออกเรือไม่ว่าจะกับใคร”


“ฮ่า ๆ” เจ้าชายพระองค์โตหลุดหัวเราะ “มยุหวงน้องเกินเหตุ หากเพราะรู้ว่าพิธีเสกครานี้มีความหมายมากกว่าการให้น้องออกเรือนเป็นฝั่งเป็นฝา เจ้าตัวดีจึงไม่แผลงฤทธิ์อย่างที่ทำกับเวทิตอย่างไรล่ะ”


“ยุทำอันใดกับเวทิต น้องไม่รู้เรื่องเลย”


“ถามเจ้าขุนทองเอาเถิด พูดได้มันคงบอกน้องเองแหละ เอ… ฤๅจะเหมือนนายมัน กระทั่งชื่อก็ยังไม่ยอมปริปากเรียก ขานแต่คำ ‘บุตรขุนคลัง’ อยู่นั่นเอง เห็นทีมยุคงไม่พอใจเอามาก ๆ เมื่อรู้ว่าเวทิตคิดเช่นไรกับน้อง”


“เวทิตเป็นเพียงเพื่อน”


“พี่รู้ แต่มยุคงไม่ยอมรับรู้ แลเวทิตอาจไม่คิดเช่นเดียวกับน้อง เถอะ เรื่องนี้ช่างเขา ส่วนเรามาตรวจดูกันดีกว่าว่าในหีบห่อเหล่านี้ คำมั่นของปทุมวงศ์จะหนักแน่นเพียงไหน”




************

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๔ กระจกธารา

รจนา: ทัดจันทร์






กะหลี่…


ดอกกัญชาตัวเมีย นำมามวนทำยาสูบ รสอารมณ์ที่ลิ้มผ่านควันขาวจางของมัน ทำให้เคลิบเคลิ้มประหนึ่งโอบไล้เรือนร่างคอดเว้าของสิ่งที่คล้ายกับความสุข มากมายแห่งบุรุษที่ได้ลิ้มลอง คลึงเคล้าไปกับรสควันลอยคว้างยั่วเย้านั้น เป็นอันต้องศิโรราบให้แก่ความคึกคะนองร้อนเร่าเสียทุกราย


มนุษย์เพศผู้มากล้น เสพติดรสราคของดอกกะหลี่ตัวเมีย จนโงหัวไม่ขึ้น


“นายท่านจะรับสุรายาสูบเพิ่มฤๅไม่เจ้าคะ”


“ตอนนี้ข้าอยากดื่ม…และ…สูบ… ความสวยความสาวของเจ้ามากกว่าเหล้ายาเหล่านี้เสียเต็มประดา”


เสียงกระซิบข้างใบหูของบุรุษผู้นั้นแหบพร่า มันเป็นสัทท์สำเนียงของความหิวกระหาย ปานพยัคฆ์ครวญครางโหยหาลำคออันโอชะของกวางทองขนตางอน ชายผู้นั้นไล้ลูบเรียวนิ้วไปบนจอกสุรา แช่มช้า สายตาอ้อยอิ่งมองสำรวจนางคณิกาตรงหน้าอย่างละเมียดละไม


เพลิงปรารถนาลุกโชนอยู่ในแววตาคู่นั้น


เจ้าหล่อนเป็นหญิงงามเมืองที่แขกเหรื่อเรียกหามากที่สุดในหอคณิกาแห่งนี้ แม้ผ่านจำนวนชายมามากจนเลิกนับ กริยาเอียงอาย ชะม้ายหางตาหลบ ไม่กล้าสบมองโดยตรงเช่นนั้น แทบทำให้เชื่อเสียสนิทว่าสตรีตรงหน้าเลอค่า ไร้ราคีคาว จนบุรุษเผลอกระหยิ่มในใจ ครานี้ข้าจะชำเราดอกฟ้าให้หล่นมาเปื้อนดิน!


“เช่นนั้นเชิญทางนี้เจ้าค่ะ”


บุรุษผู้มีรอยคมศาสตรากรีดบากหางคิ้วซ้าย กระดกน้ำเมาพรวดเดียว รับรู้ได้ถึงฤทธิ์สุรารุนแรงที่ผ่านการบ่มกลั่นมาอย่างพิถีพิถันจนได้เมรัยร้อนรสราวไฟประลัยวาต ร่างบึกบึนหนาหนั่นของนักเดินทางต่างถิ่นลุกขึ้นเต็มความสูง หมายเดินตามนางคณิกาเลื่องชื่อ หากมิวายหันกลับมายังผู้นั่งร่วมโต๊ะ


เด็กหนุ่มวัยกำดัดพ่นควันผ่านริมฝีปากสีสดอย่างใจเย็น


“มาเถอะ” เสียงแหบกระหายนั้นเชิญชวน


สองชายหนึ่งสตรีในหอคณิกาเมืองท่า นอกจากพวกเขาสามคน คงไม่มีชีวิตใดจะล่วงรู้ได้ว่าภายในห้องรโหฐาน เร้นซ่อนจากสายตาแห่งนั้น รุ่มร้อน แรงเร่า เพียงใด



************



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๔ กระจกธารา

รจนา: ทัดจันทร์






น้ำค้างหยดแรกหยาดโปรยต้อนรับรัตติกาล


ณ ปลายฟ้าฝั่งปรัศจิมทิศ แสงแดงเรื่อแกมส้มคล้ายผลตำลึงสุกของพระอาทิตย์แทบเลือนลับ จมหายไปในห้วงสมุทรทะเลหลวง ตะวันริบหรี่เต็มทน คล้ายมือที่เกาะรั้งขอบโลกไว้อ่อนล้า จวนสิ้นแรง


“สุธารสมาลีกุพชกะเพคะ ชาวอารยันดื่มเป็นยา แก้ปวด แก้เลือดลม”


พิชชารินน้ำดอกไม้กลิ่นหอมใส่จอกทองคำเกลี้ยง กรุ่นมาลีโชยชายจนผู้ที่ชื่นชอบเครื่องหอมจำต้องยกขึ้นมาจิบ รอยแย้มน้อยนิดริมพระโอษฐ์บางบ่งบอกถึงความพอใจ เจ้าหญิงน้อยเพลิดเพลินกับน้ำดอกไม้จากต่างแดน ไม่ทันสดับถ้อยพระมารดาที่เข้ามาช่วยตรวจตราของกำนัลหมายหมั้นจากเจ้าชายเมืองไกล


“ว่าอย่างไรดาริ”


“เพคะ?”


“แม่ว่าลองสวมพัตรา ถนิมพิมพาภรณ์เหล่านี้เสียหน่อย วันพิธีจะได้หยิบจับแต่งตัวถูก”


“ดาริน้อยลองเถอะ พี่อยากเห็น” หริสสาเห็นด้วยกับน้ำคำมารดา


เจ้าหญิงน้อยจึงต้องวางจอกเปล่า แล้วเสด็จหลังบังตาไม้จันทน์หอมประดับมุก เหล่านางข้าหลวงยกกำปั่นโลหะสีทองดุนลายเถาบุปผาเกี่ยวกระหวัดใบงามตามไป


ภายใต้แสงจากตะเกียงน้ำมันและเทียนหอมปักในเชิงทองเหลืองลายวิจิตร ที่จุดจนสว่างเรืองทั่วห้องบรรทม เส้นทองคำบริเวณท้องผ้ายกดอกลายเกร็ดพิมเสน เห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดขนาดเล็ก คล้ายผลึกเพชรเจียระไน สะท้อนกับแสงไฟทันทีที่เปิดกำปั่นออก ลวดลายกรวยเชิงละเอียดอ่อนช้อยบนริมผ้า ทอสลับสีพื้นด้วยมัดหมี่สีแดงสดและสีปีกแมลงทับ อวดความละเมียดละไมในฝีมือปราณีตของช่างทอประจำราชสำนัก ลายกรวยเชิงทองคำทอซ้อนหลายชั้นปรากฏบนผืนผ้ายก บ่งบอกถึงศักติและพระยศฐานันดรอันสูงส่งของผู้ที่จะทรงภูษางามผืนนี้


ปทุมวงศ์ยกย่องและให้เกียรติเจ้าหญิงตักโกลาจริงดังคำเชษฐาว่า


กลิ่นหอมประหลาดจำจายคลุ้งเมื่อเหล่านางกำนัลในคลี่พระภูษาทับทาบวงองค์แน่งน้อย หากไม่มีใครใส่ใจกลิ่นหอมฉุนนั้นยามได้ยลความวิจิตรตระการแห่งพัตราภรณ์เต็มผืน อีกเครื่องพิมพาภรณ์ทองคำลงยาฝังเพชรซีกและอัญมณีหลากสี ล้วนส่องประกายน้ำหนึ่ง วิบวับล้อแสงไฟ เข้าชุดกับภูษายกเส้นทองคำ


อีกด้านของบังตาประดับมุก ปฤษฎางค์ใหญ่กว้าง อุดมไปด้วยกล้ามพระมังสาขององค์ยุพราชผู้ทรงสังวาลย์นิลกาฬ หยัดตรง ประทับนิ่งอยู่ริมบานพระบัญชร เจ้าชายหริสสาทอดพระเนตรแสงริบหรี่ของหมู่ดาวบนนภา ประกายดาวแดงกระพริบบนเวหาสีเทาจัดแห่งกาลเปลี่ยนผ่านระหว่างทิวาและราตรี คล้ายแสงทับทิมวาววับดึงดูดสายตาจากห้วงอวกาศไกลลิบ ตรึงให้แม่ทัพหนุ่มจมในภวังค์


หากเลือกได้ ผู้เป็นพี่อยากให้น้องน้อยอยู่เคียงกาย รอให้โตกว่านี้อีกหน่อยค่อยหาคู่ครองที่เหมาสมให้ด้วยตัวเอง ทว่าวิถีแห่งชีวิตมนุษย์ไม่เป็นดังหวังทุกประการเสมอไป คู่ครองที่เหมาะสมเข้ามาในวันและเวลาที่ไม่ทันตั้งตัว แม้รู้สึกใจหาย แต่ก็ยินดีพอกัน


“ดาริคงสวยเหมือนดาราแดงกลางกลุ่มดาวพิจิกบนฟ้า”


“อย่าสวยนักเลย แม่สงสารขุนทอง มยุคงใช้ให้ไปจิกไล่ใครต่อใครจนเหนื่อย”


“นั่นสิท่านแม่ เอ… แล้วเจ้าตัวดีไปไหน”


“องค์ชายมยุเสด็จนำขบวนเรือพระไปประดิษฐานยังพระอารามหลวงเพคะ”


พิชชาที่อยู่ใกล้เจ้านางเมืองทูลต่อองค์ยุพราช ขณะเก็บเครื่องพระสุพรรณภาชน์และกุณโฑสุธารสกุพชกะมาลี


“จริงสินะ พรุ่งก็วันมหาปวรณาแล้วนี่”


“เพคะ”


พิชชาก้มกราบเจ้านายทั้งสอง แล้วจึงถอยร่นออกมาพร้อมเครื่องภาชนะทองคำและน้ำกลีบมาลีสีสวย ร่างระหงส์ของนางสนองพระโอษฐ์ผู้ดูแลใกล้ชิดเจ้าหญิงน้อย ก้าวผ่านบานพระทวารลงรักปิกทองสลักเสลา วูบหนึ่งในประกายแสงจากไฟตะเกียงน้ำมัน ศิลากลมเกลี้ยงสีเลือดวิหกบนเรือนแหวนเนื้อเงินบริสุทธิ์สวมติดนิ้วชี้ข้างซ้าย กระทบแสงสว่างเรืองในพระตำหนัก สาดแววระยับ พอกับนัยน์ตาระริกคู่นั้น


ใครเล่าจะล่วงรู้ หัวแหวนสีโลหิตแดงฉานนั้นมีสลักเปิดออกได้ ข้างในบรรจุผงยาบดละเอียด ไร้สีไร้กลิ่นยามสัมผัสกับน้ำ


รัศมีดาวแดง ฤๅจะร้อนสู้ประกายจรัสจ้าจากศิลาหัวแหวนสีโลหิตชาดฉาน



************

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๔ กระจกธารา


รจนา: ทัดจันทร์





   นามของเขาคือศิขรินทร์ ช่างไม่เข้ากับตัวเอาเสียเลย พนมพนัศลูกไหนจะใช้ชีวิตรอนแรมเผชิญโชคอยู่กลางทะเลเช่นบุรุษตรงหน้าผู้นี้ อาจเป็นเพียงนามปลอมที่กล่าวขึ้นลอย ๆ เพราะต่างพบเจอกันในโรงสุรา คุยถูกคอ ฝ่ายนักเดินทางต่างถิ่นจึงชวนมาทำความรู้จักกันต่อในหอนางโลม นามจริงฤๅไม่ เด็กหนุ่มไม่สน ความหฤหรรศ์ตรงหน้าต่างหากคือของจริง เพียงคิดว่าจะได้ลิ้มลองเพศรสครั้งแรกในรอบสิบเจ็ดปีแห่งชีวิตวัยหนุ่ม แค่คำ ‘ครั้งแรก’ ก็ปลุกเพลิงอารมณ์ ให้ใจโลดโผนกระโจนเร่าอยู่กลางอก



   เปลวเทียนในห้องสลัวราง หากสว่างพอให้เห็นเรือนร่างสูงใหญ่มัดกล้ามอุดมของนักผจญโชคจากต่างแดน เรือนผมดำปลายหยักงอนกรอบให้โครงหน้าเข้มคมของศิขรินทร์เด่นชัด รอยแผลเป็นเหนือหางคิ้วซ้ายเลิกขึ้นอย่างพึงใจ เมื่อแพรพรรณที่เคยห่อหุ้มปกปิดเรือนกายคอดเว้าและเนินเนื้อตูมเต่งแห่งวัยสาวของนางคณิกาฦๅนาม ปราศนาการไปสิ้นด้วยเรียวนิ้วของเด็กหนุ่มคะนองรัก



   ไม่แน่ใจว่ากลิ่นกระแจะจันทน์ที่เจ้าหล่อนชะโลมลูบสรรพางค์ หรือกรุ่นกำยานชนิดพิเศษบดจากตัวยาเพิ่มความกำดัด ซ่านซาบกำจายไปทุกอณูอากาศ ปลุกเร้าเพลิงราคะของบุรุษเพศให้ลุกโชนร้อนรุ่มอยู่ระหว่างมัดกล้ามขาทั้งสอง



   สองแขนเรียวของเจ้าหล่อนคลี่สยายปอยผม สางแล้วรวบมวยขึ้นสูง เผยผิวเรียบลื่นยวนเย้าบนลำคอระหงส์ ศิขรินทร์ซุกไซร้โตรกซอกนั้น ขบเม้มไปบนเส้นคอดโค้งของเรียวคอและลาดไหล่ ขณะเด็กหนุ่มดอมดมกลิ่นเนื้อสาวข้างกกหู ฝ่ามือร้อนผ่าวพอกับเพลิงปรารถนาที่ผลาญเผาอยู่ในเรือนกาย บีบสัมผัสเคล้นคลึงเต้าปทุมถันที่เคยหลบเร้นภายใต้ผ้าแพรจีนผืนบาง ความยืดหยุ่น นวลนิ่ม และเต่งตึงของนวลเนื้อสาวสัมผัสกับไอร้อนจากฝ่ามือที่บีบเน้นไปมาโดยไร้แพรพรรณคั่นขวาง



   ผิวเนื้อแนบนวลเนื้อ



   ทั้งสามคายความร้อนรุ่มใส่กันอย่างไม่ลดละ ยิ่งโลมไล้ ยิ่งกระตุ้นความกระหายอยากในเพศรสของกันและกัน


   หลังจากเด็กหนุ่มเคล้าคลึง ดอมดม จนหนำใจแล้ว นาทีนั้นริมฝีปากสีสดแห่งวัยกำดัดก็หันมาทำความรู้จักกับยอดปทุมถันกลีบสีชมพูที่ขมวดแข็งเป็นไต ตื่นพร้อมสำหรับความชุ่มชื้นและร้อนร่าของเรียวลิ้นซุกซนแห่งดรุณผู้ร้อนรัก นางคณิกาส่งเสียงครางเครือในลำคอ บ่งถึงความสุขสมและเปลวอารมณ์ที่กำลังระอุเริงโรจน์ เสียงจาบจ้วงจากเรียวลิ้นของดรุณหล่อเหลาคลอเคล้าไปกับเสียงระงมสุขซ่านของเจ้าหล่อน ไร้ซึ่งความเหนียมอายขวยเขิน



   ศิขรินทร์คล้ายพยัคฆาขย้ำเนื้อทรายอันโอชะ บุรุษจูบเม้มไปทั่วลำคอ ใบหู พร่างพรมกริยาแห่งตัณหาราคะลงบนเรือนร่างเปลือยเปล่าของสตรีผู้เป็นนางโลมเลื่องชื่อ ท่วงท่านั้นดุดัน หื่นกระหาย หากเร่าร้อนปานเพลิงสุริยัน



   สองบุรุษยืนขนาบเบียดเสียดกัน โดยมีเพียงเรือนร่างแบบบางของโฉมงามคั่นกลาง ระหว่างผิวกายรุ่มร้อนของคนทั้งสาม ไร้ปราการสกัดกั้นซึ่งเพลิงอารมณ์ แม้แต่ผ้าผ่อนภูษาก็ปราศนาการออกจากกาย ราวโดนไฟราคะแผดเผาจนสลายเป็นจุณ หลุดลุ่ยไปจากสรรพางค์เสี้ยวนาทีใดสุดจะรู้ สองชายระลึกได้ถึงความเปลือยเปล่าของตนยามเจ้าหล่อนสัมผัสความแข็งขืนตื่นตัวของพวกเขา มือนิ่มสองข้างกอบกุมชายทั้งสองเอาไว้ในเวลาเดียวกัน



   เหล็กกล้า… ต้องตีตอนร้อน


   หล่อนรู้… เปลวปรารถนาแห่งมนุษย์ จุดให้เริงแรงถึงขีดสุด ตอนร้อนรุ่มเช่นกัน


   นางคณิกาคุกเข่าลงระหว่างก้อนความร้อนเร่าทั้งสอง ฝ่ามือของหล่อนกอบกุมความเป็นชายไว้ราวสมบัติเลอค่า ฝ่ามือนั้นเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่ายั่วเย้า เคล้นคลึง ปรนนิบัติ เอาอกเอาใจในทุกสัมผัสที่ผิวเนื้อไล้ผ่าน เด็กหนุ่มเริ่มส่งเสียงแหบห้าวในลำคอ ทำนองปรีเปรมสมใจ ศิขรินทร์เลิกคิ้ว มองด้วยรอยยิ้ม


   เสียงนั้นปานน้ำมันราดลงบนกองเพลิง



   แม้นแสงจากปลายเทียนในห้องจะสลัวราง กระนั้นพวงแก้มเนียนเรียบของดรุณหนุ่มก็ยังแดงระเรื่อจนมองเห็น นัยน์ตาของศิขรินทร์สะท้อนประกายไฟ คล้ายนิลกาฬล้อแสงสูรย์วาบวาว



   มวนยาสูบถูกจุด นักผจญโชคจรดมันกับริมฝีปากได้รูป เขาสูดควันเข้าปอดอย่างใจเย็น สายตาไม่ละไปจากดวงหน้าของเด็กหนุ่ม ควันสีขาวพ่นออกมาสัมผัสกับกายเปลือยของวัยแตกพาน ยามควันขาวลอยจางและผ้าม่านผืนบางบนเตียงสี่เสาทรงจีนสะบัดพริ้วไหว นัยน์ตาเฉดราตรีลึกลับของทั้งสองสบต้องกัน ศิขรินทร์ยื่นมวนยาสูบให้เด็กหนุ่ม ดรุณน้อยจรดริมฝีปากสีสดลงบนมวนยา พ่นให้ควันขาวโลมไล้กล้ามอกและลอนหน้าท้องของชายต่างแดนรูปงาม



   นัยน์ตาทั้งคู่ไม่ละออกจากกันแม้แต่เสี้ยวนาที



   รอยเหยียดยิ้มแฝงความนัยปรากฏขึ้นบนมุมปากของบุรุษทั้งสอง คงมีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ถ่องแท้ ถึงเสียงกระซิบจากก้นบึ้งห้วงสมุทรลึกแห่งน้ำเนื้อน้ำใจของจิตวิญญาณทั้งสองที่สื่อถึงกัน



   “อื้ม…”



   เรียวลิ้นและริมฝีปากอุ่นร้อนของนางคณิกาครอบครองก้อนมังสาที่แข็งขืน ปลุกเปลวอัคคีแห่งความอยากกระหายให้ลุกโชน โหมกระหน่ำ ด้วยความชุ่มชื้นและสัมผัสบีบเค้นที่ริมฝีปากลากไล้ผ่านแก่นกลางกาย พวงแก้มนั้นยิ่งสุกปลั่งแดงระเรื่อยามต้องสัมผัสอันเปียกชื้น ทว่ารุนแรงรุ่มเร้า



   ศิขรินทร์เอื้อมมือเกลี่ยปลายนิ้วลูบแก้มเนียนเย้ายวนสายตาอย่างเผลอไผล



   ทันใดนั้น… เส้นแห่งความอดทนขาดผึง



   มือหนาคว้าคอของดรุณรุ่น กระชากเข้ามาชิดกาย พลันชายนักเผชิญโชคแนบริมฝีปากและเรียวลิ้นจรดปากอิ่มของอีกฝ่าย จุมพิตครั้งแรกในชีวิตวัยหนุ่ม เร่าร้อน โหมแรง เยี่ยงมรสุมพายุกลางเกลียวสมุทรคลั่ง กระแสอารมณ์ถาโถมรุนแรง ระลอกแล้วระลอกเล่า ก็มิสามารถคลายความร้อนรุ่มลงแม้แต่องคุลี




************

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๔ กระจกธารา



รจนา: ทัดจันทร์





ขบวนเรือพายลัดเข้าสู่ชลมารคท้ายวัง ทหารยืนยามบนป้อมเหนือปราการกำแพงส่งสัญญานด้วยคบไฟให้กำลังพลด้านล่างที่อยู่เวรใกล้กับประตูน้ำ เปิดทางนทีเข้าออกระหว่างเขตพระราชฐานกับสายน้ำด้านนอก ทวารเหล็กกล้าหนาหนัก เชื่อมตีเป็นซี่ตะแกรงเพื่อให้กระแสชลชำแรกไหลผ่าน สูงตระหง่านตั้งแต่ขอบพระกำแพงด้านบนจรดพื้นธรณีก้นสระเบื้องบาดาล ประตูเหล็กอย่างหนาที่สามารถต้านกระแสเชี่ยวกรากในฤดูมรสุม ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นเหนือผืนชลธารด้วยการชักรอกจากนายทหารทวารบารผู้พิทักษ์ทางเข้าออกชลทีจากด้านในเขตพระกำแพง


ปลาตัวน้อยกระดิกดิ้นเป็นเฮือกสุดท้าย โลหิตแดงชะโลมสังเวยอาบบานทวารเหล็กที่หาได้เรียบเฉกผิวโลหะทั่วไปไม่ ทุกพื้นที่เหนือผิวโลหะแกร่งตีเป็นคมหนามแหลมยาว ภาพหนามเหล็กเสียบทะลุท้องปลาจึงเป็นภาพที่เห็นจนชินตายามเปิดชลมารคท้ายวัง


หามีชีวิตใดสามารถลอบปีนป่าย ว่ายผ่าน บานพระทวารหนามคมนี้ไปได้


เรือพายลำน้อยล่องผ่านคมหนามเหล็กแหลมที่ชักรอกขึ้นเบื้องบน ใบพายจ้วงแหวกผิวน้ำเรียบนิ่งดุจกระจก เกิดระลอกริ้ว มยุขมวดขนง อังสาผึงผายเหยียดเกร็ง นับแต่ทรงล่องเรือกลับจากพระอารามหลวง เจ้าชายผู้ซุกซนแจ่มใสอยู่เป็นนิตย์ ไร้ถ้อยวัจนาพาทีกับผู้ใดมาพักใหญ่แล้ว สายพระเนตรไร้แววสราญสนานเฉกปกติวิสัย นิลเนตรลึกล้ำยิ่งมหาสมุทรยามราตรีเอาแต่ทอดมองผิวน้ำ งันเงียบอยู่อย่างนั้น
ชลธารนิ่งเรียบดุจกระจก!


อุระเจ้าชายหนุ่มชาวาบ หฤทัยหล่นวูบลงทันใด


“เร่งฝีพาย!”


มยุแทบนั่งไม่ติดที่ กลางทรวงร้อนเร่าราวถูกเพลิงเผา หากทหารหนุ่มและนายช่างผู้ตามเสด็จต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความสงสัย ทูลกระหม่อมรองท่านทรงกริ้วด้วยเหตุอันใด


“เร่งพาย ก่อนข้าจะกุดหัวพวกเจ้าทุกคน!”


สิ้นสุรเสียงกังวาลปานฟ้าพิโรธ น้ำคำเดือดดาลพาลให้ผู้ที่สดับรับถ้อยพจีเสียวต้นคอ ขนลุกกรูกราว ด้วยองค์ชายรองไม่เคยตรัสเล่นยามโมโห ทหารกล้าและช่างหนุ่มต่างจ้วงไม้พาย จนเรือลำน้อยแล่นฉิว จอดเทียบตีนท่าโดยพลัน


มยุพลุดลุกจนเรือคลอน ดรุณทรงโฉมปัดปลายภูษาสีปีกแมงทับอย่างร้อนหทัย หยาดเสโทผุดพรายเหนือนลาฏยามอุระหนักอึ้งไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงเหลือคณา ตลอดรายทางที่ล่องเรือกลับ มยุรู้สึกสังหรใจพิกล คล้ายว่าโลกพลันหม่นลงทันใด ความเศร้าระทมอาดูรกดทับไปทั่วบรรยากาศ เจ้าชายกอดอุระมองผืนน้ำ รู้สึกใจหายวูบโหวงอย่างประหลาด ปัสสาสะติดขัดราวฤทัยจะขาดอยู่รอน ๆ


วินาทีที่เรือลอดผ่านประตูหนามเหล็กกั้นนทีท้ายวัง มยุรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ บรรยากาศหลังพระกำแพงเงียบนิ่ง วังเวงราวทุกสรรพสิ่งชะงักหยุดเคลื่อนไหว ไร้สำเนียงเสียงร้องที่เคยเซ็งแซ่ของสกุนาโผกลับรวงรัง แม้แต่วายุยังนิ่งงันไม่พายพัดจนผิวน้ำใสเรียบเป็นกระจก อณูอากาศเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ บรรยากาศรายรอบพระราชวังไร้ความเคลื่อนไหว งันเงียบ ชาวาบ เหมือนความตาย


สัญชาตญาณกรีดร้อง จนใจแห้งหายโหยหา


ฝ่าพระบาทขององค์ชายที่สาวยาว ๆ ไปบนบาทวิถีปูด้วยศิลาทรงจตุรัสแผ่นใหญ่ พลันวิ่งยามทรงดำริกับองค์เองได้ว่า หากมัวเดินคงช้าไป


ดาริ… คอยก่อน คอยพี่ประเดี๋ยว




******ธรฺมรฏฺฐคีตา******

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๕ ดาริกา

รจนา: ทัดจันทร์


เปลวปลายเทียนสว่างนิ่งไม่วูบไหว



สภาวการณ์หลังบังตาไม้จันทน์หอมประดับมุกดำเนินไปภายใต้ความเงียบสงัด



นางสนองพระโอษฐ์ช่วยกันจับจีบพระภูษาทอลายเกล็ดพิมเสน จนเรียบร้อยระเบียบงาม ผ้ายกเส้นทองคำสะท้อนแสงจากเชิงเทียนแข่งกับวลัยทองกร เครื่องพิมพาภรณ์ประดับอัญมณี ธำมรงค์วงสุดท้ายทรงสวมติดอนามิกาซ้ายเป็นไพลินเม็ดโตสีเข้มจัด ล้อมด้วยเพชรน้ำหนึ่งสีชมพูอ่อนหวาน อัญมณีประดับเรือนกายเรืองรัศมีพอกับสตรีในชุดวิวาห์สีโกเมนแซมทอง



นารีงามสง่า นิ่งงันอยู่หน้ากระจกบานยาว



กรอบคันฉ่องฉลุรูปหงส์เหิน กรีดปีกงามสยายโบยบิน ขอบมุมทั้งสี่มีลวดลายบุบผาชูช่อ แย้มกลีบบานล่อภุมริน กระจกบานนั้นเป็นแผ่นโลหะสำริดบริสุทธิ์ ขัดจนมันเรียบส่องสะท้อน เงาของสตรีทรงศักติทรงโฉมในบานกระจก จ้องกลับมายังเจ้าหญิงด้วยด้วยนัยน์ตาโศก



เธอผู้นั้นผิดแผกไปจากเงาที่เจ้าหญิงส่องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เกศาดำรวบมวยสูงด้วยรัดเกล้า ศิราภรณ์ทองคำฝังทับทิมเลอค่า ปล่อยชายผมเส้นละเอียดราวด้ายไหมสีราตรีระบั้นพระองค์แน่งน้อย เผยดวงพักตร์ผุดผาดอ่อนเยาว์ เวลานี้ปรางนวลเนียนและเรียวโอษฐ์บางกระจับแต้มแต่งด้วยสีกุหลาบเรื่อ พระฉวีงามยิ่งละออนวลด้วยแป้งหอมเนื้อละเอียด พิศมองอย่างไร เงายุวนารีที่ฉายสะท้อนในเนื้อสำริดพิสุทธิ์ก็แตกต่างกับเจ้าหญิงผู้เก็บตัว ขี้โรค เธอดูสาวสะพรั่ง งามราวภาพเขียนอันรังสรรค์โดยจิตรกรยอดฝีมือ ทว่าในความแตกต่าง แววตาเหงา เศร้าโศก คู่นั้น เหมือนกันมิมีเพี้ยนผิด



วายุนิ่งงันมิพายพัด หากละไอเย็นจับขั้วหัวใจกำจายไปทั่วทุกอณูอากาศ



ความเยียบเย็นนั้น หนาวเหน็บ เฉกความเหงาเหนือคณานับ



‘ฮื่อ ๆ’ เจ้าหญิงน้อยชันษาห้าขวบ เคยปาดอัสสุชลเดียวดาย



‘ดาริร้องไห้ไย ใครทำอันใด บอกพี่’ เชษฐาผู้เจริญชันษามากกว่าเพียงสองปีดำเนินผ่านมา



‘ยุ ยามใดน้องจะหาย ป่วยแล้วไม่มีใครเล่นด้วยสักคน’



‘ไม่ต้องรอหาย พรุ่งพี่จะมาเล่นด้วย จะมาทุกวัน’



ตาโตเปื้อนหยาดน้ำใส ช้อนมองเชษฐาด้วยประกายแห่งความหวัง



‘สัญญานะ’



‘สัญญาสิ’



หัตถ์อุ่นของภารดาวางแหมะลงบนเกศานุ่มของกนิษฐา จนสายอัสสุธาราแห้งเหือดไปจากนัยน์เนตรกลมสุกใส




ยามทรงพระครรภ์พระประสูติกาลที่สาม เจ้านางเมืองแห่งนครตักโกลาทรงแพ้ท้องอย่างหนัก เป็นที่กลัดกลุ้มหทัยของเจ้าพญาเมืองยิ่งนัก เสวยได้แต่เพียงผลไม้บางชนิด หาไม่จะทรงอาเจียนออกจนหมด ยามประสูติกาล ธิดาน้อยก็คลอดออกมาก่อนอายุครรภ์พระมารดาจะครบเก้าเดือน ทารกหญิงตัวบาง เล็กเท่าฝ่ามือ ส่งเสียงร้องแผ่วเบา ยังดีที่ตั้งแต่นั้นมาสุรเสียงร่ำไห้ของเจ้าหญิงน้อย ค่อย ๆ กังวาลขึ้นทีละน้อย แม้พลานมัยจะไม่แข็งแรงเช่นเด็กคนอื่น หากเจ้าหญิงน้อยจะทรงพระชนมายุ เป็นยาใจแก่บิดรมารดาและภารดาทั้งสอง



‘นี่แหละดาริ เจ้าขุนทองล่ะ’ เจ้าชายมยุอวดลูกนกในกรง



‘สงสารจัง ปีกมันหัก’



‘พี่เก็บได้ตอนตามพี่ใหญ่ไปล่าสัตว์ จะหัดให้มันพูด เวลาพี่เรียนอักษรหรือฝึกดาบ ดาริจะได้มีเพื่อนคุย’



เพราะตระหนักรู้อยู่เต็มทรวงว่าพระมารดาทรงรักและห่วงใยมากเพียงใด เจ้าหญิงน้อยจึงไม่เคยขัดพระราชเสาวนีย์เลยแม้แต่ครั้ง ยุวนารีเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนัก เฝ้ามองโลกภายนอกผ่านหน้าต่างอย่างเดียวดาย แม้กาลเวลาจะผันผ่านไปเช่นไร ทุกคราคราวที่อากาศเปลี่ยนฤดู เจ้าหญิงน้อยก็มักเจ็บป่วยดังเดิม ห้องบรรทมจึงเป็นโลกทั้งใบของเธอ โลกเงียบเหงา ที่มีเพียงพี่ชายเข้ามาเป็นเสียงหัวเราะ



‘ฮ่า ๆ เจ้าขุนทองกลายเป็นเจ้าอินทรีย์ซะอย่างนั้น’ มยุแย้มสรวลเสียงดัง



‘พี่ใหญ่บอกแล้ว ยุก็ไม่เชื่อ แล้วต่อไปจะเลี้ยงพญาอินทรีย์อย่างไร มันพูดไม่ได้นะยุ’



‘เก๊าะจะเลี้ยงไว้ล่าสัตว์ ราชทูตที่พระบิดาเคยส่งร่วมปทุมวงศ์เข้าถวายบรรณาการแด่พระเจ้ากรุงจีนเล่าว่า ดินแดนแถบเหนือแผ่นดินซ้อง มีชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงอินทรีย์ทองไว้ล่าเหยื่อ พี่จะฝึกเจ้าขุนทองให้เป็นนักล่าที่เก่งกาจ เป็นองค์รักษ์ที่น่ากลัวเหนือใคร’



‘แคว๊ก’ ลูกนกอินทรีย์ตัวน้อยในกรง ขานรับไม่มีปี่มีขลุ่ย มันงับจงอยปากงุ้มและตวัดดวงตาคมดุดัน จ้องมาทางเจ้าชายเยาว์วัยผู้มีเกศายาวสลวย ทำเอามยุสะดุ้ง ตกใจ



‘หึ ๆ ยุตลก ยังไม่ทันฝึกกลัวซะแล้วหรือ’



‘ใครกลัว ไม่มี๊’




แสงสุดท้ายแห่งสนธยากำลังเลือนหายไปจากขอบฟ้าทิศตะวันตก พระสุริยาทิตย์กระซิบคำอำลาพยางค์สุดท้ายแด่นวลจันทรา ถ้อยดำรัสจากลาคำนั้น อ่อนหวานปานอาบน้ำผึ้งป่า หากขมขื่นดังเคี้ยวกลืนบรเพชรไปพร้อมกัน



หรีดหริ่งเรไรสงบสำเนียง ยามสุริยันจูบลาจันทิมา



ฟ้ากว้างโอบอุ้มความเศร้าโศกอาดูรไว้เต็มอ้อมอก



ไฉนวังหลวงเงียบงันเช่นนี้ เจ้านางเมืองดำริกับองค์เอง พลางลูบฝ่าพระหัตถ์กับพาหาไล่ความหนาว อากาศยะเยือกผิดปกติ บรรยากาศก็ชักวังเวงพิกล ใจคอไม่ดีเอาเสียเลย… ฤๅจะเป็นลางร้าย! ความพะวงกังวลในหทัยทำเอาขนงเนตรหมวดมุ่น ความหวาดหวั่นเข้าครอบงำอ้อมอุระ ทว่าอารมณ์หวาดวิตกกลับถูกหักทิ้งลงง่ายดายเหมือนหักก้านสายบัวอ่อน เปราะบาง ไม่มีอันใดหรอกน่า คิดไปเองทั้งนั้น ฤดูมรสุมอากาศย่อมเยียบเย็นเป็นธรรมดา หากเมื่อตัดสายบัวย่อมเหลือยวงใย  ความวิตกกลางกมลฤทัยของเจ้านางเมืองก็เช่นกัน แต่… ลมสงบไม่พายพัดมาพักใหญ่แล้วนะ อากาศยังเย็นอยู่ไย อังสาเจ้านางเมืองสั่นสะท้านยะเยือกย้าว



ความเหน็บหนาวเอื้อมหัตถาทะลวงไปถึงจิตใจ บดบีบอยู่อย่างนั้นไม่คลาคลาย



“งามมากดาริ”



หริสสาพิศมองขัตติยนารีในชุดวิวาห์สีแดงแก่ก่ำ เสด็จดำเนินนำขบวนนางข้าหลวงออกมาจากบังตาไม้จันทน์ เมื่อรับรู้ว่ารอยแย้มพระโอษฐ์และสายตาส่อแววชื่นชมแห่งองค์ยุพราช จับจ้องมาทางตน นวลปรางของเจ้าหญิงน้อยพลันระเรื่อ สุกปลั่ง ภารดายิ่งคลี่ยิ้มกว้างยามได้ยลความขวยเขินของนาฏอนงค์ตัวน้อย



“พี่ชักจะเข้าใจมยุขึ้นมาบ้างแล้ว มีกนิษฐางามออกปานนี้ จะไม่ให้หวงได้อย่างไร”



“หริสสาอย่าล้อน้อง”



“ท่านแม่ ลูกไม่ได้ล้อ ดาริสวยมากจริง ๆ ดูสิ ยิ่งอายก็ยิ่งน่ามอง รับรองคู่หมั้นเห็นต้องตะลึงตาค้าง”



ครั้นเห็นธิดาน้อยเอียงอายด้วยน้ำคำเชษฐา พระมารดาที่ทรงลอบกลั้นพระสรวลก็ช่วยแก้สถาณการณ์



“อย่าไปฟังพี่เขาเลยลูก ไหนมาให้แม่ดูหน่อยซิ ผ้านุ่งผ้าห่มจับจีบดีแล้วหรืออย่างไร”



“เพคะ”



เจ้าหญิงน้อยไม่กล้าสบนัยน์เนตรระริกหยอกล้อของทูลกระหม่อมชายใหญ่ เอาแต่ก้มหน้ามองพรมของสัตว์จากแดนอาหรับผืนโต ถักทอลายมวลมาลีผลิกลีบเบ่งบาน ปูลาดพื้นไม้สักทองแผ่นหนากว้าง ขัดด้วยไขผึ้งมันวับ ทว่ายังไม่ทันจะย่างพระบาทเสด็จยังพระแท่นที่พระมารดาทรงประทับ เสียงดังโครมใหญ่ของสิ่งที่มีมวลหนาหนักฟาดกระแทกพื้นกระดาน ทลายความวังเวงเงียบสงัดของบรรยากาศทั้งมวล



ฤทัยเจ้าหญิงน้อยเหมือนถูกกระชากดิ่งพสุธา ลงจากชะง่อนผาสูงชัน ความตกใจระคนหวาดกลัวแล่นริ้วไปทั่วสรรภางค์ ทำให้หัตถ์บางกระตุก สั่นไหว ปลายนิ้วเรียวทรงธำมรงค์เฉียบเย็น ดรุณีแน่งน้อยหันกลับไปยังต้นเหตุแห่งเสียงครึกโครมเบื้องปฤษฎางค์ เพียงเพื่อพบกับ…



‘ตุบ’



ความตาย



‘ตุบ’



นางข้าหลวงผู้ช่วยทรงภูษาสำลักโลหิตสีข้นก่ำ สำรอกเลือดออกมาราวสายน้ำไหลหลากกลางพายุฝน ดวงตาโปนถลน ลุกลน หวาดวิตก



กลัว… พวกหล่อนกลัวตาย



ในกาลนี้สายลมแห่งชีวิตเหือดหายลงไปทุกขณะ ลมหายใจออกยืดยาว ทว่าลมหายใจเข้า สั้นลงจนแทบไม่เหลือ เลือดแดงฉานไหลออกทางจมูกทำให้ลมหายใจยิ่งติดขัด ร่างนางเหล่านั้นซวนเซ ไร้แรงยืน เลือดจากใบหูไหลเป็นทาง ชะโลมอาบลำคอ โชกชุ่ม ผิวพรรณที่เคยผุดผ่องเซียวซีด ใกล้ร้างไร้จากชีวิตเต็มทน



ลมหายใจครั้งสุดท้ายไหลออก ยืดยาว แผ่วเบา



นางข้าหลวงขาดใจตายขณะยืนสงบเสงี่ยมอยู่เบื้องปฤษฎางค์เจ้าหญิงน้อย ความตายที่พวกหล่อนหวาดกลัวจนตาถลน แล่นริ้วเร็วไว ยิ่งกว่าสายวัชระแห่งองค์สักกะอัมรินทร์ ไม่มีวันหลีกหนีผุดพ้น ชีวิตในเงื้อมหัตถ์มัจจุราชถูกปลิดทิ้งลงง่ายดาย ร่างชุ่มเลือด ไร้ชีวิต ร่วงหล่นกระแทกพื้น



‘ตุบ ตุบ ตุบ’



ความตายโปรยร่วงราวหยาดวิรุณพรูพร่ำ



ความวังเวงเงียบงันในบรรยากาศถูกยมทูตคร่านำจากไปพร้อมกับชีวิตและลมหายใจของนางข้าหลวงพระภูษา



เสียงหวีดร้องโกลาหล ระคนเสียงร่ำไห้ของนางกำนัล อึงอลไปทั่วห้องบรรทม



มยุวิ่งเหยียบแผ่นไม้สักทอง ตึงตัง สวนทางกับนางโขลนผู้หนึ่งที่ก้าวผ่านบานพระทวารห้องบรรทมเจ้าหญิงตักโกลา เจ้าชายผู้ทัดแววหางมยุราสดับสำเนียงกรีดร้องวุ่นวายเหล่านั้นด้วยฤทัยหวาดไหว กษัตริยาหนุ่มกระชับพระแสงดาบในอุ้งหัตถ์ จิกนขาลงบนฝักดาบด้วยปลายองคุลีเยียบเย็น มยุกลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต ฝ่าพระบาทที่วิ่งอย่างไม่ลดละพาวรองค์สูงโปร่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้านาฏนรีที่อุระร้อนประหวั่นถวิลหา



“ดาริ… ดาริกา!”



ภารดาร่ำเรียก



ดาริกาเลอโฉมผินพระพักตร์หันมา ดาราดวงนี้เปล่งประกายงดงามยิ่งนักในชุดวิวาห์สีโกเมนแดงก่ำ เครื่องถนิมพิมพาภรณ์ขับให้เจ้าหญิงน้อยสุกสกาว วิไลลาศเกินกว่าแสงดาวนับหมื่นพันเหนือนภาราตรีผืนนี้จะเทียบเทียม



สาวน้อยงามสรรพ        ดับกายไว้ท่า



กนิษฐาผู้เป็นที่รักวาดรอยยิ้มอ่อนโยน มองพระมารดา… หริสสา… รอยแย้มพระโอษฐ์อ่อนหวาน งดงามที่สุดในชีวิต หยุดอยู่ที่… มยุรา ผู้รำแพนแต้มแต่งให้ชีวิตโดดเดี่ยวของเธอผู้นี้มีสีสัน



‘พี่จะมาเล่นด้วย จะมาทุกวัน’



‘สัญญานะ’



‘สัญญาสิ’



มยุไม่เคยผิดสัจจะวาจา



พี่มาแล้วดังสัญญา คอยพี่อยู่หรือเปล่าดาริ



ยุ… น้องคอย คอยยุมาตลอด… ขอบคุณนะ



แม้ร่างกายจะเจ็บปวดแสนทรมาน เลือดในอุราแสบร้อนเยี่ยงน้ำกรดต้มเดือด ดาริกายังคงยิ้ม โลหิตแดงฉานค่อย ๆ รินไหลจากริมโอษฐ์บางกระจับ เป็นรอยยิ้มที่ส่งมาจากก้นบึ้งหัวใจ แววตานั้นสื่อสารคำพูดนับล้านที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย คำอำลาไม่ได้กล่าวผ่านพจีวาจา หากเป็นน้ำตาที่ไหลริน



หยาดอัสสุชลเปื้อนสายโลหิต ไหลอาบสองแก้มของเจ้าหญิงน้อย



กษณะนี้…



ตะวันล่วงลับขอบฟ้า



คำลา อ่อนหวาน เดียวดาย เศร้าซึม



น้องไปแล้วนะยุ



มยุน้ำตาไหลพราก เพลงเรือท่อนสุดท้ายังคงกู่ก้องอยู่ในภวังค์



ถึงวันออกษา…



อยู่เล่นกับพี่อีกสักนิดไม่ได้หรือเจ้าหญิงน้อย… เจ้าหญิงน้อยของพี่



…พี่จะพาเจ้าไป

.
.
.



วรองค์แน่งน้อยของเจ้าหญิงตักโกลาเริ่มซวนเซ



หากก่อนที่มยุจะเอื้อมพาหาคว้าร่างแบบบางนั้นไว้ในอ้อมกอด สุรเสียงเหิมห้าว กู่กังวาลของหริสสา พลันปลุกโลมาทุกเส้นของมยุให้ลุกชูชัน



“มยุระวัง!”



เสียงหวีดหวิวเสียดอากาศดังแทรกขึ้นทันทีที่้ภารดาร้องเตือน คมศรพุ่งหลุดจากสายเกาทัณฑ์ ชำแรกแทรกกลางระหว่างดาริกาและหัตถาตระกองของเจ้าชาย



เพล้ง



ศรพลาดเป้า ปักแจกันกระเบื้องเคลือบวาดลายมัจฉาแหวกว่ายกลางกอบงกชแตกเป็นเสี่ยง เศษกระจัดกระจาย



มยุชักใบดาบสีเงินออกจากฝักว่องไว หันคมเข้าหาฝนธนู สองแขนแกร่งแกว่งศาสตราวุธโรมรัน เจ้าชายผู้ทรงโฉมสคราญมีแววตาคั่งแค้น กระหายเข่นฆ่า ดรุณเรือนผมงามกัดฟันกรอด สบถด้วยโทษะเดือดดาล



“พวกหมาลอบกัด!”



******ธรฺมรฏฺฐคีตา******



ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian

ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๖ ราตรีสีชาด


รจนา: ทัดจันทร์



บรรณ ๑




ลมกลางคืนรำเพยแหวกม่านไหมสีแดงเพลิงให้แสงจันทร์ลอดผ่าน แสงโสมสีเงินยวงสาดเข้าสู่ห้องสลัวราง ภายใต้ตะเกียงน้ำมันไขไส้แต่เพียงริบหรี่ ส่องให้เห็นร่างของผู้หลับไหลบนเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ ซุกซอก กอดก่าย เรือนกายของกันและกัน


หยาดน้ำค้างและละอองความเย็นรายเร้นมากับสายลมแห่งราษราตริน เป็นเหตุให้ดรุณรูปงามขยับกายเปลือยเปล่าเข้าหาแผงอกหนาหนั่นที่มีนางคณิกากอดก่ายอยู่อีกด้าน หากหนุ่มน้อยจะรู้เพียงสักนิดว่ากอดนี้จะเป็นไออุ่นสุดท้าย ที่ได้สัมผัสจากนักเดินทางลึกลับผู้นี้ เขาคงกอดให้แน่นขึ้น และฝังใบหน้าซุกอยู่ตรงนั้นให้นานขึ้น อย่างน้อยก็มากกว่านี้


‘ช่างบังเอิญเสียเหลือเกินที่เราได้เจอกัน’ ดรุณนัยน์ตาซื่อใสเอ่ยกับชายแปลกหน้าที่เพิ่งพานพบในโรงสุรา


ศิขรินทร์ฝังจมูกลงบนเรือนผมดำสลวยของเด็กหนุ่ม ผู้แหวกว่ายดำดิ่งลงในห้วงนิทรา ยามล่วงผ่านเกลียวคลื่นตัณหาและพายุเพลิงอารมณ์ ผมยาวระบ่าที่เคยมวยมุ่นไว้เหนือศรีษะ บัดนี้คลี่คลาย ทิ้งตัว หลุดลุ่ยจากเชือกรัดและเครื่องประดับ เส้นผมนุ่มลื่นราวไหมแผ่คลุมหมอนหนังสัตว์อัดฟาง รัดเกล้านากที่เคยประดับมวยผม ตกอยู่บนพื้นข้างเตียงทรงจีนหลังใหญ่


“เหตุในชีวิตมนุษย์เกิดด้วยกรรม และความตั้งใจ หากไม่ใช่ของเจ้า ก็ต้องเป็นของใครสักคน บนโลกนี้… ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง” นักแสวงโชคกระซิบแผ่ว สนทนาต่อผู้อยู่ในนิทรารมณ์


วายุรวยรินผ่านบานหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ชายชักเอาไอเย็นในอณูค่ำคืน ขจรขจายเข้ามาอีกคำรบ สองร่างไร้อาภรณ์จึงเบียดเข้าหาความอบอุ่นของกายกำยำแข็งแกร่ง หากผู้ที่ตื่นและเปลือยเปล่ากลับไม่ยี่หระต่อความเหน็บหนาวแห่งรัตติกาล


ลมบกหนาวไม่สู้ลมทะเล


“อ้า… สหฺมุดรา…”


ถ้อยรำพันพรายพริ้วของนักเดินทาง ผู้จัดเจนเคยคุ้นต่อเกลี่ยวคลื่นและผืนฟ้ากว้าง รำพึงถึงห้วงนทีสีครามแห่งท้องทะเลใหญ่ ศิขรินทร์รฦกร้อยพันราตรีที่ลอยล่องเหนือท้องสมุทรทะเลหลวง โต้สายลมหนาวเหน็บยามค่ำคืน พ้นผ่านความพิโรธแห่งห้วงมหรรณพยามปะทะวัชระมรสุม หลายครั้งคราเกือบเอาตัวไม่รอด มากมายแห่งนักเผชิญโชคยังแดนไกล เอาชีวิตไปทิ้ง ถมทะเล สิ้นตักษัยก่อนได้ยลเห็นซึ่งชายฝั่ง


“… ราห๎ฬ ภวาติ”


มหาสมุทร… สุดอ้างว้าง


คำสํสฺกฤตหลุดจากริมฝีปากอย่างคล่องคุ้น พรรณาชีวิตกลางคืนของชายชาวเรือ ที่มีเพียงความเยียบเย็นและความเปลี่ยวเหงา หากราตรีใดสถานการณ์สงบ ปราศจากวี่แววของสลัดและพายุฝน ราตรีนั้น ผืนนภาที่โอบแสงดาวนับโกฏิเกินคณา จะยิ่งทอดกว้างสุดสายตา ท้องทะเลสีดำจะยิ่งทมิฬลึกล้ำ โสตแว่วสำเนียงขับขานลำนำยั่วเย้าของเหล่าเงือกนางพรายใต้วารี สายลมจะเยือกเย็นเป็นพิเศษ เมรัยรสร้อนนุ่มลิ้นกว่าทุกวัน


คืนนั้น กะลาสีเด็กรับใช้ประจำตะเกียงไฟวัยดรุณ จะเป็นผู้วางเพลิงแห่งอารมณ์ ให้ลุกโชนคลุ้มคลั่งยิ่งกว่ามรสุมพายุใดที่เคยพานพัด


บุรุษฉมังเส้นทางแห่งสายนที อับปางลงในเกลี่ยวปรารถนา


รอบแล้ว รอบเล่า


ท้องทะเลทำให้เปลี่ยวเหงา นาวาหลายลำจึงมีลูกเรือวัยดรุณผุดผาดไว้เรียกใช้ หากยามทอดสมอ นางคณิกาเมืองท่าก็ไม่เลวนักสำหรับบุรุษกลัดมัน เปล่าเปลี่ยวไร้ร้างจากนวลเนื้อมานับแรมเดือน ลอยล่องกลางท้องทะเลที่เสี่ยงกับความเป็นตายอยู่ทุกทิวาวัน จนมีคำกล่าวเล่น แต่เป็นความจริง ในหมู่ชาวเรือว่า เมืองท่าใดเฟื่องฟู เจริญด้วยการค้า วัดได้โดยง่ายจากจำนวนหอคณิกา คฤหเริงรมณ์


บานประตูถูกแง้มเปิดอย่างเบามือ ทำให้สำเนียงร่ำสุรานารี เคล้าเสียงดนตรีของผู้คนมากหน้าจากชั้นล่าง แว่วเข้ามาในห้องสลัวราง ภายใต้แสงจันทร์สีเงินที่ลอดผ่านรอยแยกของม่านหน้าต่าง ปรากฏร่างของเด็กชายวัยประมาณสิบขวบ เนื้อตัวมอมแมม ก้าวผ่านความมืด เข้ามายืนยังเบื้องปลายเตียง เงียบงัน


“มาแล้วรึเจ้าตัวดี ข้าคอยแทบแย่”


เด็กน้อยมองผู้พูดนิ่ง


เพศบุรุษเรือนกายกำยำลุกจากเตียงด้วยความเปลือยเปล่า ไฟตะเกียงน้ำมันริบหรี่ เน้นไล้เรือนร่างที่ลุกขึ้นควานหาเสื้อผ้าของตัวเอง ศิขรินทร์รีบแต่งตัวว่องไว


“เรียบร้อยไหม”


เด็กชายพยักหน้า


ชายลึกลับเจ้าของแผลเป็นกรีดพาดหางคิ้วซ้าย ก้าวนำออกจากห้อง ทิ้งผู้หลับไหลไว้เบื้องหลัง ปัดเส้นผมสลวยที่ไม่รู้ว่าเป็นของบุรุษหรือสตรีใด ออกจากผ้าคลุมสีนิลกาฬอย่างมิได้ใส่ใจ นัยน์ตาสีดำยิ่งขับประกายลึกลับ เย็นชา ยามปฤจฉาด้วยเด็กชายตามลำพัง


“มือสังหารล่ะ?”


************

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๖ ราตรีสีชาด


รจนา: ทัดจันทร์


บรรณ ๒



กะลาเจาะรูจมลงในอ่างน้ำเมื่อครบหกสิบนาฑี


ชายผิวเข้มกร้าน หนวดเครารุงรัง ขยับกายลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน เขาซดเหล้าจากไหขนาดเล็กที่ถือติดมือไว้ ไม่ยอมวาง สองขาเริ่มโงนแงนขณะเดินออกนอกชาน เพื่อเคาะแผ่นเหล็กด้วยแท่งโลหะที่ผูกเคียนเอว เสียงกังวาลใสตีขึ้นสองครั้ง เป็นสัญญานบอกเวลาทุติยยาม กษณะนี้รัตติกาลเพิ่งล่วงเข้ายามสองมาได้ไม่กี่อึดใจ


เส้นผมแห้งกรอบและเคราหนายิ่งพันกันยุ่งเหยิง เมื่อโต้กับลมทะเลที่พัดกรูเข้าสู่ชายฝั่ง ยามประจำท่าผู้รับผิดชอบเคาะเวลา กอดไหเหล้าพลางกระชับผ้าคลุมต้านลมหนาว ทิ้งตัวลงบนแคร่ กลับไปจิบสุรา นั่งฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งอย่างสบายใจ หาได้เล็งเห็นนางโขลน ที่ก้มหน้า เดินผ่านไป


เภตราสินค้าทอดสมอรายเรียงตลอดทั้งสองฝั่งของสะพานไม้ ที่สร้างยื่นลงไปสู่ท้องทะเลลึก แสงจันทร์ขึ้นสิบสี่ค่ำและไฟตะเกียงน้ำมันแขวนตามเสาเรือ สว่างพอให้นางโขลนผู้หลบหนีจากเขตพระราชมณเฑียรในยามวิกาล เร่งฝีเท้าไปบนสะพานนั้น โดยไม่ต้องส่องคบหรือตามตะเกียงจนเป็นที่สังเกตแก่ผู้พบเห็น กระแสน้ำขึ้น เซาะระลอกคลื่นกระทบสำเภาและเสาสะพาน กลบเสียงเดินอันรีบเร่งของผู้เป็นทุรยศ


มาณพกะลาสีหนุ่มทำหน้าที่อยู่ยามกลางคืนของเรือลำหนึ่ง แอบงีบหลับ กลาบาตผู้นั้นกอดอก สัปหงก อยู่ข้างตะเกียงไขไส้ เสียงฮัมเพลงในภาษาต่างถิ่น ขับกล่อมบรรยากาศ ลอยแว่วมาแต่ไกลในทำนองวังเวง ไพเราะ คลอเคล้าด้วยเสียงสบถหยาบคายของชายกักขฬะจากเรือใดสักลำละแวกนั้น วงเหล้าหลายแห่งยังไม่ร้างหยาดสุรา เงาตะคุ่มของผู้คนในความมืดยังระบำเคลื่อนไหว แม้ประกายตะเกียงไฟจะสาดไปไม่ถึง


คีตาแห่งชีวิตชาวท่ายังคงบรรเลง ภายใต้ราตรีประดับทะเลดาว


นางโขลนขึ้นเรือสินค้าขนาดกลางลำหนึ่ง ที่ทอดสมออยู่เกือบสุดปลายสะพาน สำเภาลำนี้ผิดแผกไปจากนาวาทุกลำ ด้วยร้างไร้เวรยามตามตะเกียง ดาดฟ้าเรือจึงมืดและเงียบงัน หากนวลแสงจันทร์สว่างพอให้เห็นเงาถังไม้จำนวนมากวางรายเรียงตลอดแนวยาวของกาบเรือทั้งสองฝั่ง


นาวาลำนี้กำลังจะออกล่อง


หล่อนสรุปความจากพื้นดาดเรือที่ถูกเช็ดถูจนสะอาด เครื่องกว้านใช้ดึงตรวนเหล็กขนาดใหญ่ อาบชะโลมไปด้วยน้ำมัน เตรียมพร้อมสำหรับการถอนสมอ อีกทั้งเชือกลากเส้นอวบ ม้วนอยู่ในขดพร้อมใช้งาน


สตรีร่างสันทัดพลันชะงักฝีเท้าอยู่กลางเรือ ท่ามกลางเงามืดและขดเชือดเกลียวพัน


กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของมวนยาสูบโชยมากับสายลมโบก เปลวสีแสดสว่างวาบในม่านมืดแห่งราตรี เผาไหม้ปลายมวนกะหลี่ที่จรดริมฝีปากหยักหนา บัดนี้นางโขลนพึงตระหนัก ทุกย่างก้าวของตน ถูกจับตามองโดยคนบนระเบียงดาดฟ้า ชั้นลอยที่อยู่ท้ายเรือ


เงาสูงของบุรุษก้าวชิดขอบระเบียง อันเป็นบริเวณที่แสงจันทร์ส่องถึง โขลนทุรยศจึงเห็นเสี้ยวหน้าของชายชราผมสีดอกเลา มองลงมาด้วยแววตาเรียบเฉย


“การมาเยือนของเจ้า ล่าช้ากว่าที่ข้าคิดไว้มาก” สำเนียงแปร่งหูของตาเฒ่าต่างถิ่น เนิบนาบ พอกับจังหวะทอดน่องลงบันได ซึ่งเชื่อมกับระเบียงชั้นลอยด้านบน


“ข้าต้องหลบหลีกจากทหารยาม…”


“ไว้สนทนาในห้องใต้ท้องเรือ”


พจีของผู้มากวัยปิดปากนางโขลนเงียบสนิท รหัสบางอย่างไม่ควรแพร่งพราย ณ ที่แจ้ง โดยเฉพาะความที่อาจนำมาซึ่งโทษตายแห่งเจ้าของคำพูด บางครั้งชิวหาและถ้อยวัจนา คมเสียยิ่งกว่าอาวุธศาสตรา ประหัดประหารได้กระทั่งผู้เป็นนายแห่งมัน


ผ้าคลุมเดินทางสีน้ำเงินเก่าซีดกระพือรอบข้อเท้าระหว่างชายแก่ย่ำเดิน เขานำโขลนวังไต่บันไดเล็กแคบลงสู้ห้องโดยสารใต้ท้องเรือ ที่บัดนี้ใช้เก็บข้าวของแน่นขนัด อันเป็นบรรดาถังไม้ทรงกลมเช่นเดียวกับที่รายเรียงวางชิดกาบเรือ ไหสุราขนาดใหญ่หลายสิบใบกำจายกลิ่นมาจากมุมหนึ่งของห้อง คลังเสบียงอับแคบและอบอ้าวแห่งนี้มีเพียงเทียนไขสองแท่งในเชิงเงินและทองแดงคอยให้ความสว่าง


“ได้เสวยสุธารสมาลีหรือไม่” ชายชราเริ่มสนทนา


“หมดหลายจอกเจ้าค่ะ”


“ดี… แล้วกำปั่นทอง…”


“ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ข้าและพวกลอบใส่ผงพิษพระภูษาก่อนขนถ่ายจากท่ายามลับตาคน”


“แน่ใจหรือ”


“นอกจากท่านและพวกข้า หามีผู้ใดแจ้งใจต่อการณ์นี้ดอก”


“ถึงพิราลัยด้วยทรงกระอักพระโลหิตสินะ” ชายแก่รำพึงกับตัวเองแผ่วเบา ผู้ใช้พิษย่อมรู้โทษคุณของพิษดีทุกประการ


“เช่นเดียวกับนางพระภูษาเจ้าค่ะ”


“อืม…” ละอองร้ายกระจัดกำจายแก่ผู้สัมผัสจับต้องกับผ้าพิษโดยตรง หากไม่ได้รับการถอนพิษโดยด่วน จะตกตายโดยมิทันตั้งตัว


“แล้ว…?”


“อันใดฤๅ”


“รางวัลของข้าล่ะเจ้าคะ”


“นั่นสินะ” มือเหี่ยวลูบเคราขาว ก่อนยื่นเชิงเทียนทองแดงให้แก่สตรีโขลนผู้หลีกเร้นจากเวียงวัง “หากเจ้าไม่ทวง เห็นทีข้าคงลืม”


“เจ้าค่ะ”


“อยู่ห้องสุดท้ายนั่น เข้าไปเถอะ อย่างที่ข้าเคยบอก ยิ่งเสี่ยงมาก ผลตอบแทนของเจ้าก็ยิ่งทบเท่าคูณทวี ข้าอนุญาตให้นำไปได้เท่าที่เจ้าต้องการ”


รอยระเริงในแววตาล้อระยับกับเปลวเทียนวาบไหว หล่อนยกมุมปากเหยียดยิ้มอย่างมิอาจฝืนกลั้นปกปิดความดีใจ นางโขลนเร่งคว้าเชิงเทียน ย่ำผ่านความมืดไปยังห้องริมสุดที่มีขนาดเล็ก คับแคบกว่าคลังเสบียงหลายเท่าตัว ทันทีที่ผลักบานประตูเข้าสู่ด้านใน ประกายกษาปณ์สะท้อนแรงเทียนกระโจนเข้าสู้คลองสายตาจนมิอาจละวาง


นั่นปะไร เหรียญทองเหรียญหนึ่งตกอยู่ข้างหีบใหญ่ หีบใบนั้นทำจากไม้เนื้อหนา วางเด่นตระหง่านบนโต๊ะชิดผนัง กษาปณ์สลักรูปหัวสิงห์ สัญลักษณ์มหาราชแห่งชาติลิเดีย ย่อมเป็นรางวัลอันหอมหวานที่หล่อนหมายมาดไว้ในใจ พูดเองนะตาแก่ ขนไปได้เท่าที่ต้องการ ข้าจะยกมันไปทั้งหีบนี่แหละ


สตรีโขลนเช็ดมือกับผ้านุ่งหลังลูบฝาหีบลื่น วางฝ่ามือลงไปอีกครั้งหมายเปิดหีบขนเหรียญ หากสัมผัสแฉะชื้นกลับทำให้หัวคิ้วขมวดมุ่น พันกัน


เปียก?



หล่อนชะงักมือยามได้ยินเสียงน้ำหยด เมื่อขยับส่องเชิงเทียนเข้าใกล้ นางกบฎทุรยศจึงรับรู้ สิ่งที่เปียกเปื้อนฝ่ามือ และหยาดหยดลงมาก็คือเลือด



ความหวังวูบดับลงเหมือนเปลวเทียนกลางพายุ



โลหิตแดงฉานชะโลมอาบหีบใบใหญ่จนคาวคลุ้ง เลือดนั้นไหลจากขมับศพสตรีตอกตรึงด้วยหมุดเหล็กติดผนัง



หล่อนกรีดร้องเสียงหลง ตกใจกับภาพสยดสยอง



เรือนตัวเปลือยเปล่าถูกลิ่มเหล็กตรึงยึด แขนขาโดนหั่นเป็นท่อน ตัดชำแหละจนขาดจากลำตัว ท่อนอวัยวะปักหมุดรายล้อมเป็นรูปวงกลมรอบศรีษะ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลบอบช้ำ หากยังคงเค้าความงาม นางโขลนจำได้กระทั่งนามของศพนี้ พิชชา บุตรตรีขุนคลัง!



มือที่ประคองเชิงเทียนสั่นเทิ้ม ขนลุกชูชัน เรียวขาอ่อนล้าพาหล่อนก้าวถอยหลังด้วยความหวาดหวั่น หากนั่นกลับทำให้นางโขลนเหยีบเข้ากับปลายเท้าของเด็กหนุ่มวัยดรุณ



ศพนั้นนั่งอยู่ข้างประตู นัยน์ตาปูดโปนยามโดนสายเชือกรัดคอจนสิ้นใจ จ้องถลนมาทางสตรีโขลนผู้วางพิษเจ้าหญิงดาริกา นางโขลนมิอาจล่วงรู้ รอยคราบน้ำตาที่ยังไม่ทันแห้งเหือดของเวทิตหลั่งเพื่อผู้ใด



เมื่อรู้ว่าผงยาในแหวนเป็นเพียงตัวเร่งพิษจากผ้าให้ยิ่งแผ่ซ่านไปทั่วเรือนกาย ไม่ใช่ยานอนหลับอย่างที่เข้าใจ การณ์กลับสายไปเสียแล้ว



เขาเพียงต้องการทำให้เธอเป็นของเขา เวทิตรักดาริกาจนหน้ามืดตามัว อ้อนวอนพิชชาให้ช่วยเหลือจนต้องจบชีวิต เด็กหนุ่มโดนมัดให้นั่งมอง พี่สาวถูกหั่นทั้งเป็น!



ใจของเวทิตตายอย่างทรมาน



ขอโทษนะพี่...



น้ำตาดรุณงามรินไหล กลิ่นความทรงจำหวนรฦก อวลอาย ดอกรักปักก้านนาฬิเกที่ทรงประทานคราแรกพบ ยังคงเบ่งบาน งดงามอยู่อย่างนั้นมิเสื่อมคลาย




เจ้าหญิงน้อย...



โปรดอภัยแก่ความขลาดเขลาของกระหม่อม ความผิดนี้เกล้าชดใช้ด้วยชีวิตและลมหายใจ เสียดาย หากชั่วชีวิตนี้จะได้เอ่ยออกไปสักครั้ง



รัก...



นัยน์ตาศพเล่าเรื่องราว ลูกตาโปนถลนจนเส้นเลือดฝอยปริแตก ฝากรอยเคืองแค้นมายังนางโขลน หล่อนสะดุ้งตกใจ ถอยร่นชนขอบโต๊ะ จนหีบใบใหญ่หล่นพื้น



"อ๊าก ออกไป!"



เท้ายั้วเยี้ย น่าขยักแขยง ของตะขาบยักษ์รี่ไต่ตามเนื้อตัว พิษร้อนจากรอยกัดทำให้นางโขลนเจ็บแสบทรมาน ปวดบวมราวโดนเผาในกองไฟ หล่อนกรีดร้องโหยหวน ปัดป่าย หากตะขาบนับร้อยวิ่งกรูออกจากก้นหีบ ไต่ขึ้นใบหน้า ลำคอ ซอกหู ชอนไชเข้าไปใต้เสื้อผ้า ฝังเขี้ยวพิษกัดไต่ยุบยับไปทั่วตัว



"ตาเฒ่า เจ้า!"



นางโขลนทุบประตูที่ลั่นดานจากข้างนอก กรีดร้องทุรนทุราย



ชายชราขับรอยยิ้ม หลับตา ฟังเสียงร้องทรมานของความตาย คีตาอันไพเราะของปีศาจแห่งไฟนรก บรรเลงกล่อมค่ำคืนอันหนาวเหน็บ



เปลวเทียนในเชิงทองแดงดับลง



สตรีโขลนทุรยศได้รับรางวัลของตัวเอง




☆☆☆

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๖ ราตรีสีชาด



รจนา: ทัดจันทร์

บรรณ ๓





คมธนูปลิดชีพเจ้าพนักงานโขลนทุกคน



ลูกศรดอกใหญ่แหวกอากาศ พุ่งไปด้วยความเร็ว เกิดเสียงหวีดหวิว น่าสะพรึง คมศรไม่พลาดเป้า สำแดงฝีมืออันเชี่ยวชาญเจนการฝึกฝน ปักเข้ากลางหลังโขลนวังนางสุดท้าย ปลายลำติดขนนกสะบัดแกว่งไกวด้วยแรงดีดมหาศาลจากการเหนี่ยวรั้งสายคัน แรงกระแทกของอิษุ ดันคมศาสตราเสียบทะลุปอด คร่าชีวิต หยุดดัสกรได้ในดอกเดียว



มยุเอาตัวเข้าขวางวิถีศร วาดดาบในอุ้งหัตถ์ แรง เร็ว ฟันตวัดอิษุพวยพุ่งกลางอากาศจนขาดสะบั้น เจ้าชายงามราวจำหลักเลขา ไล่ตามเหล่านักฆ่าที่กำลังหลบหนี รุกฟันคมดาบปะทะกับดาบของคู่กรณี เกิดประกายไฟแวบวาบด้วยพละแห่งดาบที่ประกัน



“สลัดชวา” พวกรับจ้างฆ่า



หริสสาจดจำรอยสลักรูปตรีศูลเสียบหัวกะโหลก บนข้อมมือของพวกมันได้ กลุ่มมือสังหารทั้งสี่กำลังถูกต้อนและเริ่มล่าถอย กริชสั้นที่ทูลหม่อมชายใหญ่มักพกติดพระองค์ไว้ ปาดลงบนคอของพลเกาทัณฑ์อย่างไม่ใยดี ร่างนั้นล้มลงแดดิ้น เลือดพุ่งจากบาดแผลเป็นสาย โลหิตแดงก่ำนองพื้น รดริน ย้อมราตรีนี้ให้เป็นสีชาด คลุ้งคาว



“จับเป็นไว้สักคนนะยุ ที่เหลือโทษมันคือตาย!”



ภารดาตะโกนบอกน้องชาย พลางเงื้อกริชรับคมดาบศัตรู



☆☆☆



ทุกพื้นที่ใต้ท้องเรือแห่งนี้ชะโลมอาบด้วยเมรัยจากไหดินหลายสิบใบ ไม่เว้นแม้กระทั่งเนื้อตัวของชายชราผมหงอกขาวโพลน ที่โดนมัดติดกับถังไม้ทรงกลม เชือกพันธนาการแน่นหนา จนตาเฒ่าไม่อาจขยับกายกระดิกดิ้นได้แม้แต่น้อย อีกทั้งผ้าปิดปากที่ทำให้ส่งเสียงอู้อี้ออกมาไม่ดังนัก



“พูดมากไย ประเดี๋ยวก็ตายแล้ว” ชายหนุ่มไถ่ถามด้วยความระอา



ศิขรินทร์ดึงเทียนไขที่เหลือน้อยนิดออกจากเชิงเงิน เขาวางมันไว้บนปลายผ้าคลุมชุ่มสุรา เปลวสีส้มวูบวาบระริกไหว หวิดจะโดนผ้าอาบเมรัยอยู่หลายครั้ง



“รู้แล้วน่าเจ้าตัวดี”



เด็กชายหน้าตามอมแมมดึงนิ้วก้อยของบุรุษคมคร้าม พลางเปิดปากหาวหวอด



“มาเถอะ ได้เวลานอนของเด็กซนเช่นเจ้าแล้ว วันพรุ่งอาบน้ำเสียด้วยล่ะ มอมเหมือนหมา”



นักผจญโชคผิวปาก เดินนำเด็กน้อยงผมเผ้ารุงรัง ไปบนสะพานไม้ เสียงทำนองเพลงวิเวกวังเวง คลอไปกับสำเนียงคลื่นซัดชายฝั่ง ความสงบยามค่ำคืนของชาวท่า ใกล้ถูกพรากพราไปเต็มที



☆☆☆

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๖ ราตรีสีชาด



รจนา: ทัดจันทร์

บรรณ ๔



มยุเบี่ยงหลบคมอาวุธจากเบื้องปฤษฏางค์ ขณะผันใบดาบรับการฟาดฟันของบุคคลตรงหน้าได้อย่างเฉียดฉิว แรงประดาบของเจ้าชายพระองค์รอง มิได้ลดถอยลงแม้แต่น้อย ทว่ากลับทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในทุกท่วงท่า ที่ออกลีลาร่ายรำ ระบำดาบแห่งมยุรา รำแพนคม เชือดเฉือนสลัดโจรชวา หยาดเลือดกระเด็นสาดสาย สังเวยอาบใบดาบจนชุ่มโชก



เหล็กน้ำพี้หลอมตีอย่างประณีต ตัดอากาศด้วยเสียงไพเราะ ดุจระฆังแก้วกังวาลใส ข้อมือเจ้าชายหนุ่มพลิกสะบัดพริ้วไหว สำแดงนาฏลีลาชดช้อยแห่งเพลงดาบดุดัน ไอสังหารงดงามยวนเย้า แผ่กระจายจากทุกท่วงท่าลีลาระบำ



สวยงาม เย็นชา อันตราย



ในพยับเปลวตะเกียง มือสังหารผู้นั้นคล้ายเห็นความตายสีมรกต ควบอัสดรอาชา ควงคมง้าวแห่งชีพิต กระชั้นชิดเข้ามาทุกลมหายใจ



น่ากลัว… มือที่จับดาบสั่นสะท้าน… เจ้าชายพระองค์นี้น่ากลัวเกินไป



นักฆ่าเพิ่งล่วงรู้ ความตายน่าขยาดพรั่นพรึงเพียงใด



ท่าระบำกระบวนสุดท้ายฟาดด้วยกำลังมหาศาล มยุฟันสะพายแล่งมือสังหารที่เริ่มอ่อนแรง ด้วยเหล็กน้ำพี้คมกริบ ตกทอดในเชื้อวงศ์ไศเรนทร์มาหลายชั่วรุ่น ยามชักใบออกจากฝัก ดาบจะไม่ยอมหวนกลับหากมิได้ดื่มกินโลหิตมนุษย์ เรือนกายชายชวากะขาดสองท่อน กระดูกสันหลังสีขาวโผล่พ้น กระบังลม ปอด หัวใจ ไหลออกมาเมื่อร่างไร้ชีวิตกระแทกพื้น ล้มตึง



เลือดทะลักกระเซ็นไปทั่ว เนืองนอง สยดสยอง



“ย๊าก”



เสียงจากด้านหลัง ฟันอาวุธด้วยแรงทั้งหมดที่มี ดาบงามในหัตถ์มยุกระเด็นหลุดไปเพราะถูกโจมตีทีเพลอ เจ้าชายโฉมสคราญม้วนตัวหลบฉับพลัน มิวายยังโดนตามฟันซ้ำ เสโทผุดพรายตามกรอบพักตราเนียนใส ฤทัยเต้นรัวแทบทะลุออกจากทรวง



นัยน์เนตรมยุสั่นระริก ลนลาน



“ไปตายซะ!” โจรชวาประกาสิตเหิมห้าว



สุรเสียงองค์ยุพราช พระเชษฐา สะท้อนก้อง “อย่า!!”



☆☆☆



มันชอบฟังสัทท์สำเนียงของความตาย หากยามที่ต้องตายเสียเอง มันกลับหวีดร้องโหยหวนออกมามิได้



เปลวไฟจากปลายเทียนไขดับลง พลันเพลิงสีน้ำเงินของเหล้าที่เพิ่งราดหมาดใหม่ลึกลามไปทั่ว เปลวอัคคีสีแสดเริ่มไล่เลียชายผ้าคลุม ไต่ลามโหมฮือขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างอาบอวลไปด้วยประกายไฟอันรุ่มร้อน



อยากดิ้นทุรนทุราย หากก็ทำมิได้



อยากกรีดร้องสุดหัวใจ กลับทำได้แค่แผ่วเบา



อยากจบความทรมาน แต่กลิ่นเนื้อมอดไหม้กลับคาวคละคลุ้ง



ตูม



เสียงกำปนาถจากถังไม้บรรจุผงคล้ายถ่านบดละเอียดสีดำ ระเบิดสะท้านสะเทือน



ตูม ตูม



ถังไม้จากกรุงจีน คายเปลวไฟประลัยวาตดุจดอกไม้เพลิง ดอกใหญ่ที่สุดเท่าที่ตักโกลาจะเคยเห็น



ตูม



สะเก็ดอัคคีจากสำเภาสินค้าขนาดกลางร้างไร้ลูกเรือ ลุกลามน้ำมันดิบที่ลอยล่องเหนือผิวน้ำ ชั่วพริบตา ระเบิด เปลวเพลิง น้ำมัน พลาญเผาชีวิต ศฤงคาร เรือสินค้าพังพินาศลงไปทั้งแถบ



นายกลาบาตสร่างเมา ตีเกราะเคาะไม้แจ้งเหตุโกลาหล ตามจังหวะหัวใจ ตระหนก สั่นกลัว



☆☆☆



“ยุ!!!”



หริสสากู้ร้องสุดชีวิต



ฉึก



ปลายแหลมของคมดาบ เสียบทะลุท้องเป้าหมาย โลหิตข้นแดงหยดพรูพรายจากปลายศาสตรา รสเลือดกระจายไปทั่วปาก ยามดาบเยียบเย็น บิด คว้านลำไส้ แสบสันทรมาน



“อ๊าก !”



เสียงโหยหวนสุดท้ายแห่งชีวิต ทุกข์ ทุรนทุราย



ฉึบ



ข้อมือนั้นกระชากดาบ ชักออกจากช่องท้องเหวอะหวะ สำไส้ไหลกองลงแทบปลายเท้า เหล็กน้ำพี้ตีอย่างประณีต ดื่มกินเลือดและชีวิต ปักลงกับพื้นกระดานเพื่อให้ร่างแบบบางใช้ยันกาย



ดาริกาหอบหายใจ ปฤจฉาด้วยคำคอแหบแห้ง



“ช่วยบอกผมที นี่ที่ไหน?!”




******ธรฺมรฏฺฐคีตา******

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian

ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๗ วิจฉิกา



รจนา: ทัดจันทร์





คืนนั้น ดาวหัวใจแมงป่องสุกสว่าง กระจ่างเหนือความตาย



ประกายแสงจรัสจ้าของดาวเพลิงขนาดยักษ์ ตรึงความสนใจของบุคคลที่นั่งคู่คนขับ นายทหารชั้นสัญญาบัตรมองมันแทบไม่ละสายตา ร้อยเอกหนุ่มแห่งกองพันทหารสารวัตร สนใจดาวบนฟ้ามากกว่าดาวบนบ่าของตัวเอง



“ผู้กองจะงีบสักนิดก็ได้นะครับ ถึงค่ายเดี๋ยวผมปลุก”



จ่าสิบเอกใต้บัญชา ผู้เคาะเรียกยังบ้านพักยามวิกาล เอ่ยขึ้นขณะหักพวงมาลัยออกสู่ถนนใหญ่ เงาไผ่สองข้างทางวูบไหว เริงระบำในความมืด ท่ามกลางสายลมเยียบเย็นของยามใกล้รุ่ง



“ไม่เป็นไรครับ ถ้าผมหลับจ่าคงไม่เหลือเพื่อนคุยแก้ง่วง”



“จริงของผู้กอง” นายทหารพลขับพยักหน้ายิ้ม ๆ เงาสัปหงกที่สะท้อนผ่านกระจกมองหลัง ไม่อาจทำให้คนมากกว่าวัยปฎิเสธได้



“พวกเราไม่ได้นอนมาสี่วันแล้วนะจ่า มันล่อเราออกมากวนประสาทแบบนี้ คราวหน้าคงลงมือจริง เราต้องเปลี่ยนแผนตั้งรับใหม่ ให้ดีกว่าที่แล้วมา”



“มันจงใจประกาศสงครามกับเรา” จ่าพลขับนึกถึงศพแมวเบงกอลในกล่องดำ



“สงครามของพวกมันเพิ่งประกาศ แต่สงครามของเราเปิดฉากมาหลายปีแล้ว ผมไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอกครับ ผมเชื่อนะจ่า ชัยชนะจะเป็นของผู้ที่อยู่ข้างความถูกต้อง”



ผู้ใต้บัญชาพยักหน้าในความเงียบ ตั้งแต่ผู้กองดาย้ายมาประจำการที่นี่ คนหนุ่มก็เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างผู้ก่อความไม่สงบอย่างจริงจัง ทำผลงานไม่เว้นแต่ละวัน ยศของคนรุ่นใหม่จึงเลื่อนขึ้นทุกปี ทำให้ใครต่อใครต่างพูดกันลับหลังว่า ผู้กองดาไฟแรงจนลูกน้องตามไม่ทัน



ร้อยเอก ดาริกา เป็นยศชื่อประดับติดแผงอก ‘เรียกผมสั้น ๆ ผู้กองดาก็พอ’ ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดแจงกับทุกคนเช่นนี้ เขาหน่ายที่จะตอบคำถาม ‘ทำไมชื่อเหมือนผู้หญิง’ ซึ่งเจ้าตัวมักตอบ ‘พ่อตั้งให้ มีอะไรไหม’ ตอนเป็นวัยรุ่นหัวร้อนจึงได้เรื่องชกต่อยไปฝากบิดาที่บ้านเป็นประจำ แต่พอโตขึ้นไม่ยักมีใครกล้ามีเรื่องกับเขาสักที ทั้งที่ตอบกลับไปอย่างเดิม



ตะวันทอประกายแสงแรกฉาบเส้นขอบฟ้า แสงสีขาวเริ่มแรระบายเบาบางเหนือเหลี่ยมเขาลดหลั่นสลับสล้าง ทว่าอุษาสางยังไม่สว่างพอจะกลบแสงดาวนับล้านกลางห้วงอวกาศ หัวใจแมงป่องสีแดงแกมส้มยังโชตนาเด่นชัด ว่ากันว่า ดาวประธานที่สว่างที่สุดใจกลางหมู่ดาวราศีพิจิกดวงนี้ เป็นมหาดาราขนาดยักษ์ ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะถึงเจ็ดร้อยเท่า



แสงเริงโรจน์ของมันคือการคายพลังงานห้วงสุดท้ายแห่งชีวิต ฝากไว้ประดับฟากฟ้า คล้ายดอกไม้ไหวกลีบเบ่งบาน ก่อนถึงกาลโรยร่วง หล่นไป ดาวหัวใจแมงป่องถึงได้มีอีกชื่อว่า ดาวปาริชาต ดาราแห่งดอกไม้สวรรค์ชั้นดาวดึงส์



“รีบกลับบ้านเถอะครับ เมียจ่าคงรอ” ดาริกาพูดขึ้น เมื่อเห็นแสงเรืองของพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า



“นั่นน่ะสิ ผมคิดถึงที่นอน เอ้ย คิดถึงเมียจะแย่” จ่าสิบเอกเย้าหยอกอย่างอารมณ์ดี



“คิดถึงขนาดนั้นก็เร่งเครื่องได้เลยครับ”



“รับทราบครับ กัปตัน”



สองเสียงของพลทหารที่ยังไม่หลับ หัวเราะเบาประสานกัน ใบหน้าคมเข้มของผู้กองหนุ่มที่ยังล้างฝุ่นพรางออกไม่หมด ยังคงวาดรอยยิ้ม แม้จะอิดโรย เหนื่อยล้า จากภาระหน้าที่ที่แบกไว้บนบ่า



ปัง ปัง ปัง!



ท่ามกลางฟ้าสางสงบเงียบ เสียงกระสุนเจาะเกราะแหวกหวิว กรีดอากาศ กระหน่ำยิงใส่รถลาดตระเวนราวห่าฝน อาวุธสงครามร้ายแรงส่งลูกปืนมัจจุราช ทะลุทะลวงได้แม้กระทั่งเสื้อเกราะที่เหล่าทหารพรานสวมใส่



“อ๊าก!” กำลังพลที่งีบหลับ สะบัดดิ้นทุรนทุราย ปล่อยให้ความเจ็บปวดหวีดร้อง ด้วยท่วงทำนองโหยหวน เวทนา



ผู้กองดาริการู้สึกได้ถึงความชุ่มโชกของเลือดใต้เกราะหนา ชั่วพริบตา ความเจ็บปวดแล่นร้าวถึงไขสันหลัง บาดแผลแสบร้อนด้วยกระสุนวิถีโค้ง รสชาตราวเกลียวสว่าน หมุนทะลวงไปในลำไส้



“จ่าครับ… จ่า!”



เจ้าของคิ้วหนาขมวดมุ่น กัดฟันต้านความเจ็บปวด ผู้กองดาเขย่าเรียกร่างจมกองเลือดของพลขับ หากชายต่างวัยกลับไม่ไหวติง เลือดอุ่นข้น ไหลจากขมับถึงปลายคาง หยดลงเป็นสายสีแดงก่ำ ลูกกระสุนเจาะคว้านกระโหลก ผู้ที่กำลังจะกลับไปหาลูกเมีย ฟุบหน้าคาพวงมาลัยรถ สมองทะลัก ไร้ลมหายใจ



กลับไปไม่ถึงบ้าน…



“โถ่โว้ย!”



ผู้กองสบถ เจ็บใจ ฝนกระสุนอีกหลายร้อยนัดยังคงหลากไหล เจาะร่างพวกเขา แสบสัน จวนเจียนต่อความตาย




โครม



รถลาดตระเวนเสียหลักพุ่งชนเสาสะพาน แรงจนหน้าอกผึงผายประดับตราพยัคคาบดาบ กระแทกคอนโซลหน้าที่ถุงลมไม่ทำงาน เสียงซี่โครงหักเปาะ ทิ่มแทงทะลุปอด จนเลือดกระอัก คลุ้งคาวเต็มปาก



O Captain! My Captain!



โอ… กัปตันหนอกัปตัน



ลมหายใจผู้กองดาริการวยริน ขาดห้วง



ท่ามกลางถ้อยสำเนียงกำปนาทของไกกระสุน ในโสตกัปตันแห่งผองทหารพรานได้ยินเสียงเลือดในกายแต่ละหยด หยาดปรอย ชัดเจนเหมือนเสียงเม็ดฝนพร่างพรำ ตกลงแม่น้ำ ชุ่มโชก รดริน ขณะหัวใจเริ่มอ่อนล้า เต้นแผ่วลงทุกวินาที



But O heart! heart! heart!
  O the bleeding drops of red,
    Where on the deck my Captain lies,
      Fallen cold and dead.
            (O Captain! my Captain! ประพันธ์โดย Walt Whitman)



โอ… หัวใจ     หนอ          หัวใจ
หยาดหยด     โลหิตไหล   ดังชาดฉาน
ณ ดาดฟ้า      กัปตันข้าฯ   นิทรากาล
ร่วงโรยราน     เยียบเย็น    เซ่นความตาย



ตูม!



ระเบิดแสวงเครื่องเบ่งบานราวกลีบดอกไม้เพลิง กระแทก แผดเผา ให้สรรพสิ่งดับสิ้น หากประกายไฟกลับงามตระการตา ราวซุปเปอร์โนวา มหาดารายามแตกสลาย



เสี้ยววินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต ถูกคร่าด้วยเปลวไฟประลัยกัลป์



พวกเขาทำลมหายใจหล่นหายระหว่างทาง…



☆☆☆

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด