--------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๒ เงาพระจันทร์ (บรรณ ๑) UP: ๒๘/ธ.ค/๖๓
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๒ เงาพระจันทร์ (บรรณ ๑) UP: ๒๘/ธ.ค/๖๓  (อ่าน 5127 ครั้ง)

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๗ วิจฉิกา


รจนา: ทัดจันทร์




 
ราตรีนี้หฤทัยวิจฉิกะตารา เลื่อมรัศม์ภัสสรามิเพี้ยนผิดกัน


 
มหาฤกษ์ ครั้นพระสุริยาทิตย์โน้มพักตรา มอบจุมพิตอำลาแด่นวลแสงจันทร์ บุราณจารย์ท่านว่า พิภพเร้นซ้อนทับกาลเวลา เชื่อมมิติมาบรรจบกัน กาล มิติ ภูมิ และภพ เกี่ยวกระหวัด พัวพัน ประดุจนาคนั้นกลืนหางตัวเอง


 
มืด…


 
ณ สถานที่แห่งนั้น รายล้อมไปด้วยความมืดมนอนธกาล ไพศาลไปในความเวิ้งว้างอันเป็นเอนกอนันต์ ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากำลังลอยล่อง หรือจมดิ่งลงไปแห่งหนใด ยังอยู่ในห้วงจักรวาฬนี้ หรือจักราศีไหน เพราะในความว่างเปล่าอันมืดสนิทชั่วนิจนิรันดร์ สภาวะนั้น ไร้ทิศ ไร้แสง ไร้ลมหายใจ ไร้กาลเวลา ไร้ร่าง ไร้อัตตา ไร้ตัวตน


 
จะเรียกว่า… เขา เธอ หรือ ฉัน ก็เกินคิดคำนึง ไม่รู้ซึ้งว่าแท้จริงแล้วเป็นใครแต่ใดมา เนิ่นนาน ในห้วงของความเป็นอนัตตา กลางเวหาแห่งอนาตมัน อันหาสภาวะจริงแท้ไม่ได้ ประจุประกายหนึ่งแวบวาบขึ้นในดวงจิต ราวสายวัชระ ปรารถนาทรงพลานุภาพแรงกล้า เริ่มก่อเกี่ยวเหนี่ยวรั้ง


 
ไม่!


 
จะไม่ยอมตระบัดสัตย์


 
สัญญา. ต้อง. เป็น.


 
สัญญา!


 
พลัน ประหนึ่งมวลทั้งหมดเนรมิตรรูป อวตารร่าง แรงดึงดูดมหาศาลฉุดกระชากให้หล่นลึก ดำดิ่ง วูบไปในห้วงทะเลแห่งแสงประกายประหลาด เลื่อมพราวด้วยเฉดสีนับล้านที่นัยน์ตาไม่เคยประสบพบเห็น เหมือนร่างกายหมุนคว้าง พุ่งผ่านสิ่งที่คล้ายไอผงมุกตำละเอียด ระยิบนวล ม่านหมอกนั้นเคลื่อนไหว ฟุ้งไปราวมีชีวิต คล้ายเนบิวลาแห่งแสงที่งดงาม เกินอักขระจะจารจรดพรรณนา


 
วูบวาบ จับตา ตรึงใจ


 
จิตานุภาพเคลื่อนที่ไปในห้วงสภาวะแห่งแสง รวดเร็วกว่าสิ่งใดในจกฺกวาฬจะเทียมเทียบ ฉับพลัน แรงโน้มถ่วงมหาศาลกลับกระชากดวงจิต ให้ดิ่งลงในห้วงเหวลึก เหมือนคนฝันร้าย ประหนึ่งตกวูบลงไปในหลุมดำบนเตียง


 
ฟุบ


 
ราวดาวหางกลางอวกาศ โคจรพุ่งทะยาน กระแทกบางอย่างเข้าอย่างจัง ไอผงมุกระยับคละคลุ้งจากแรงกระแทกนั้น วูบพรายไปทุกไออณู ก่อนผงละเอียดราวประกายเพชรจะฉานแสงระยับเป็นครั้งสุดท้าย


 
วับวาว ระยิบหาย อันตรธาน


 
มืด…


 
อีกครั้งที่ตกอยู่ในหุบห้วงของความมืดมนอนธกาล หาก ณ สถานที่แห่งนี้ กาลเวลาอุบัติ เริ่มเดิน และทุกองคุลีแห่งความรู้สึก กลับเต็มแน่นไปด้วยความหนักอึ้งในมวลของทุกสรรพสิ่ง
 


ดาริการู้สึกเหมือนคนจมน้ำ กำลังจะตาย ปานประหนึ่งดำดิ่งอยู่ในห้วงมหรรณพลึกล้ำ เชี่ยวกรากไปในเกลียวกระแสธารา ขาดอากาศหายใจ ร่างสะโอดสะองค์ แบบบาง ยันกายผลุดลุกขึ้น โกยอากาศ สูดเฮือกเข้าไป ทั้งปาก ทั้งจมูก ตระกรามในลมปรานปัสสาสะ ราวไม่เคยหายใจมาก่อนกระนั้น


 
ใบดาบฟาดฟัน กรีดเสียงหวีดหวิวในโสตจนหูชา ความสว่างของตะเกียงและเปลวปลายเทียนตกกระทบแก้วตาจัดจ้าจนแสบสัน ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อโสตและจักษุเริ่มปรับจนคุ้นชิน สิ่งที่ได้สดับทรรศนา กลับทำให้ดวงตาต้องเบิกโพลง


 
สิ่งที่รายล้อมรอบตัวคือกองเลือดและซากศพ! ดวงตาเหลือกลานไร้ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง จ้องถลนมองมา มันส่อแววหวาดกลัว ร่ำร้อง ขณะที่บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นไอฆ่าฟัน ดาบปะทะดาบ สะเก็ดไฟแวบวาบยามคมศาสตราเหล็กกล้า สัมผัส ประหัดประหารกัน บุรุษผู้หนึ่งถูกเด็กหนุ่มสังหาร ฟันสะพายแล่ง โลหิตเจิ่งนอง ชาดฉาน กายขาดสองท่อน ล้มลงแดดิ้น
 


ฝันหรือไร… หากแล้วไฉนรอยเล็บที่จิกลงฝ่ามือตัวเองจึงเจ็บแสบนัก ร่างแบบบางจำได้ เขาตายในกองเพลิง ระเบิดแสวงเครื่องใต้สะพาน เบ่งบานราวอ้อมแขนยมทูต กางอ้ารับ แล้วไยเมื่อฟื้นจากความตายอันมืดมัว ยังพบเจอกลิ่นอายฆ่าฟัน สัมผัส ความรู้สึก สัทท์เสียง แม้กระทั่งความสั่นสะเทือนของแผ่นพื้นกระดานยามฝ่าเท้าวิ่งปรี่กระโจนใส่กัน ชัดเจน เหมือนจริง


 
ใบดาบสีเงินวาวจารสลักอักขระยันตรา เปรอะโลหิต หล่นกระแทกพื้น เสียงกระแทกตึงของมันดึงผู้ที่กำลังสับสนให้หลุดจากภวังค์ ด้ามดาบหมุนจรดปลายเท้า ดาริกาเห็นเด็กหนุ่มผู้เคยกวัดแกว่งดาบนั้น ยามนี้ต้องกระโจนโลดโผน หลบคมดาบของศัตรู ใบหน้าคมคายของเด็กหนุ่มผู้นั้นเริ่มส่อแววตระหนก หยาดเหงื่อผุดพรายตามกรอบหน้า ขับเค้าความงามแห่งรูปโฉมโนมพรรณ ทำให้ผู้ที่เพิ่งตื่นฟื้นลืมตา ประทับ ตรึงตรา หมายจำ


 
มยุ… นามนี้ผุดมากลางใจ เหมือนจำได้ คล้ายเคยรู้จัก เคยผูกพันกันจากที่ไหนสักแห่ง ในห้วงเวลาอันไกลแสนไกล น้องคอย… เจ้าของร่างระหงส์แบบบาง รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น อย่างไม่อาจล่วงทราบถึงสาเหตุ ราวพบเจอคนรู้จักขณะหลงทาง ท่ามกลางสถานที่ประหลาดแปลกตา ไม่คุ้นชิน


 
ไม่นะ ชายชุดดำ พันผ้าปิดหน้าสีเดียวกัน กำลังเงื้อดาบ หมายปลิดชีวิตเด็กหนุ่มผู้นั้นให้ตกตายคามือ ดาริกาคว้าด้ามศาสตรา ผุดกายลุกขึ้นโดยไม่คาดคิด ความรู้สึกและสัญชาตญาณชักนำ ร่ำร้อง ให้ปกป้องคนที่เพิ่งพานพบหน้า


 
“ไปตายซะ!” มือสังหารประกาศกร้าว


 
“ยุ!!!” เสียงตะโกนก้องของบุรุษสรรภางค์สูงใหญ่ ทรงสังวาลสายนิลกาฬ ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเช่นกัน


 
เมื่อเหล็กน้ำพี้เสียบทะลุช่องท้องของชายชุดดำจากด้านหลัง หยดเลือดอุ่นกระเซ็นจากบาดแผล สาดใส่หลังมือ ยิ่งตอกย้ำถึงความเป็นจริง ใช่เป็นเพียง ‘ฝัน’ ความหยุ่นของเนื้อมนุษย์ยามคว้านใบดาบพาดผ่าน ให้ความรู้สึกสยดสยองอยู่ลึก ๆ หากต้องห้ำหั่นกันแบบประจันหน้า ยามเห็นแววตาเบิกกว้างของความตาย คงน่าขยาดพิลึก


 
บุรุษนักฆ่าปริศนาทิ้งร่างล้มลง สิ้นใจในดาบเดียว


 
มยุและหริสสาหลากพระทัยล้นประมาณ ขนิษฐาไม่เคยจับดาบ นับประสาอะไรกับฆ่าฟันศัตรู หากทั้งสองพระองค์แทบจะทรงลืมไปเสียสิ้นว่า วรองค์ของดาริกา เคยหล่นร่วง โรยรา สิ้นใจ
 


“ช่วยบอกผมที นี่ที่ไหน” ดาริกาเพิ่งรับรู้ ตัวเองคอแห้งแทบเป็นผุยผง ร่างไร้เรี่ยวแรงจนต้องใช้ปลายดาบค้ำยัน


 
“ดาริ” ใช่ บุรุษทรงสังวาลช่างคุ้นหน้า กำลังปรี่เข้ามา หริสสาเอื้อมหัตถาหมายคว้าร่างน้องยามาตระกอง ทว่ากลับโดนฝ่ามือเรียวนั้นปัดป้อง


 
“อย่าครับ… ผมคิดว่าผ้าพวกนี้มีพิษ!”



☆☆☆




Writer's Talk


วิจฉิกา แปลว่า แมงป่อง อาศิรวิษสัญลักษณ์กลุ่มดาวราศีพิจิก อันเป็นดาวประจำตัวผู้กองดาริกา และหากสังเกตดี ๆ ยามสิ้นชีวิตของผู้กองและเจ้าหญิงน้อย ห้วงเวลานั้นคือจังหวะที่พระจันทร์และพระอาทิตย์เดินทางมาบรรจบกัน ภายใต้ผืนฟ้าที่ดาราแดงกลางหัวใจแมงป่องชัชวาลเหนือดาวทั้งปวง


 โบราณว่าเวลาที่สุริยันจันทราอยู่บนผืนฟ้าเดียวกัน ภพต่างๆจะเชื่อต่อกัน ภพที่ว่าไม่ใช่ โลกมนุษย์ นรก สวรรค์ หากแต่เป็น มนุษย์ภูมิ สวรรค์ และ... บาดาล


บรรณนี้พรรณนายากพอสมควร ด้วยเขียนถึงอันตรภาวะ คือภาวะแห่งจิตที่อยู่ในภพกลาง ระหว่าความเป็นตาย จึงต้องค้นทั้งทางพุทธศาสตร์และพราหมณ์ เพื่ออธิบายถึงสภาวะหลังความตาย ความว่างแห่งจิต ความเป็นอนัตตา ปราศจากตัวตน และความเป็นปรมาตมัน เหนื่อสิ่งอื่นใด ยามเมื่อ 'จิตสร้างรูป' เมื่อจิตยึดติด ตัวตน และคำสัญญา จิตานุภาพแห่งมนุษย์จึงสำแดงพลังมหาศาล (แล้วจะมีการอธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้เข้าในมากขึ้นในสรรคะถัดๆไป)


บรรณนี้จึงเขียนมาค่อนข้าง abtract และ fantasy พอสมควร แต่ based on ชุดความรู้พุทธศาสตร์และเทวศาสตร์เท่าที่รู้และศึกษามา... จึงใช้อักขระวาดภาพให้ออกมาสวยงามเท่าที่จะทำได้ หวังว่านักอ่านจะเพลิดเพลิน สนุก ระทึกไปกับทุกตัวอักษร


ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามและกำลังใจ


รัก,
ทัดจันทร์

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian

ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๗ วิจฉิกา

รจนา: ทัดจันทร์




 
ราตรีที่ล่วงผ่าน เป็นคืนที่พิมานสมเด็จพระยุพราชวุ่นวาย โกลาหล นางสนองพระโอษฐ์ กำนัลใน แอบเยี่ยมหน้า ชายตา มองโอรสาธิราชตักโกลาอุ้มร่างอิสตรีนางหนึ่ง ขึ้นตำหนักไป ทูลกระหม่อมทรงรับห้ามอีกแล้วกระนั้นหรือ ช่างเป็นความอยากรู้ปนเสียดายของเหล่านางพระกำนัล พวกเจ้าหล่อนแอบหมายหวังในหัวใจ สักวันอาจมีวาสนา เป็นสนมนางห้ามในสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่


 
“ตามหมอหลวงมาที” สุรเสียงกังวาลห้าว ตรัสขึ้นเมื่อทรงก้าวออกมาจากห้องบรรทมเล็ก


 
ครานั้นพวกหล่อนจึงได้รู้ สตรีผู้นั้นคือยอดดวงใจของภารดา ทูลหม่อมน้อยดาริกา ทรงหมดสติอยู่บนพระแท่น อย่าว่าแต่เชษฐาหรือพระบิดาเลย แม้แต่นางข้าทาส บริวาร ใครต่อใครก็รักและเอ็นดูทูลกระหม่อมน้อย


 
‘เราให้’ ในยามที่ไม่ได้ประชวน ทรงกรองร้อยพวงผกาด้วยองค์เอง หัตถ์เรียวเล็กยื่นประทานให้ เพราะทรงดำริว่าจะสามารถหลอกล่อเหล่านางกำนัลราชบริพารได้สำเร็จ ครานี้ ถึงได้เอ่ยขอในสิ่งที่ทรงประสงค์ ‘มาเล่นกันเถอะ’


 
เจ้าหญิงน้อยผู้แสนเดียวดายพระองค์นั้น ทรงเป็นมิตรกับทุกผู้ทุกนาม ใครเลยจะไม่รักไม่หลงนาง เพียงได้ยินรับสั่งให้ตามแพทย์หลวง บรรดานางสนองพระโอษฐ์แทบวิ่งกันกรูกราว เร่งตามตัวหมอให้เร่งรุดมาทันควัน


 
เมื่อเลยยามสองมาได้กึ่งหนึ่ง มหาดเล็กราชองค์รักษ์เร่งเข้าเฝ้าเป็นการด่วน ด้วยเกิดเหตุอุกฉกรรจ์ ณ การท่า ราตรีนั้นจึงวุ่นวายกันทั้งพระตำหนัก พลทหาร ราชมัล ฝ่ายพระคลัง ตุลาการ วิ่งเข้านอกออกใน มิได้ว่างเว้น จวนใกล้รุ่ง มณเฑียรพิมานจึงคืนสู่ความสุขสงบ
 


อรุณรุ่ง ขบวนนางสนองพระโอษฐ์อัญเชิญพานพระศรี อ่างล้างพระพักตร์ พร้อมด้วยเครื่องประทินพระฉวี หมอบบังคมลงยามหริสสาเสด็จผ่าน ชายพระภูษายกดิ้นทอง ลายเครือเถาเบญจมาศ นุ่งจีบชายพก คาดทับด้วยรัดพระองค์ชมพูนุชฝังวิเชียรมณี หยุดอยู่เบื้องหน้าพวกนางที่กรานก้ม องค์สมเด็จพระยุพราชทรงมีรับสั่งด้วยบริวารกำนัลใน


 
“ฝากพระองค์หญิงด้วย และห้ามคนเข้านอกออกใน ยามที่ข้าไม่อยู่”


 
“เพคะ”
 


นางสนองพระโอษฐ์อภิวาทกรานกราบ นายเหนือหัวแห่งตน


 
ชายพระภูษายกดิ้นทอง ยุรยาตรจรัญจร ปานแสงจันทราหายลับไปจากนภาราตรี จริงอยู่ที่เหล่าสตรีนางกำนัล เคยได้ยินมุขบาฐอันเล่าสืบกันมาว่า กระต่ายที่หมายบุหลัน มิเคยมีตัวได้ได้ขึ้นไปตำข้าว ณ ห้วงหาวนั้น แม้นพร่ำมองจันทร์...จนตราบชั่วสิ้นชีวี รู้ทั้งรู้ หากพวกนางกลับหวังเล็ก ๆ ในหัวใจ บุรุษสง่างาม สรรพางค์สูงใหญ่ อาจชายพระเนตรมอง


 
ดั่งพระจันทร์    จรข้าม    นภากาศ
สีหนาท          องอาจ    ประภัสสร
ยุพราช           หริสสา    ทิวากร
ดั่งกินนร         บินลับลา  หิมาพวัลย์


 
สมเด็จพระยุพราชเสด็จประทับนั่งเหนือเสรี่ยงงาประดับนาก คานหามไม้สักทองประดับโลหะนากสลักเศียรพญาอนันตนาคราชแผ่พังพาน สำแดงสัญญะแห่งความเป็นหน่อเนื้อขัตติยา กษัตราคมสัน เข้มคร้าม สง่างามเหนือทิพยานนาก ตามพระราชฐานนันดร พระอภิรุมชุมชาย เศวตฉัตรเครื่องสูงทำด้วยผ้าปักหักทองขวาง ซ้อนกันห้าชั้น พริ้วไปในกระแสวายุพร่างแผ่วรับอรุณ ฉัตรก้านทองถูกเชิญเข้ากระขบวนแห่ สมพระเกียรติ บังแทรก บังสูรย์ พยุหะพลหาบ พร้อมสรรพ


 
กษณะนั้น สายลมอ่อนหอบเอากลิ่นหอมของมวลมาลีในอุทยานโชยมา ใบไม้ต้องลมลู่ไหว ราวกำลังโค้งคำนับต่อพระโอรสาธิราชตักโกลา เมื่อเสียงย่ำกลองวินิจฉัยเภรีแว่วมาในกระแสปราณแห่งวายุเทพ ริ้วขบวนพยุหยาตราแห่งสมเด็จพระยุพราชจึงออกเคลื่อน


 
เจ้าชายหริสสาเสด็จทรงงาน ด้วยภาระหน้าที่อันเร่งด่วน ณ การท่า สถาณการณ์วุ่นวาย เป็นเหตุให้ต้องแต่งริ้วขบวน ยาตราไปขจัดปัญหา สร้างขวัญกำลังใจแด่อณาประชาราษฎร์ เพราะทุกข์ร้อนของพสกนิกรคือหน้าที่อันอุกกฤษ์แห่งขัติยราชกุมาร สมเด็จพระโอรสาจำต้องขจัดปลดเปลื้องให้สิ้นไป ขัตติยะธำรงอยู่ด้วยหน้าที่ ดั่งสมเด็จพระบิดาทรงย้ำสอน กำเนิดเป็นกษัตริยาจักต้องกระทำหน้าที่แห่งตนเพื่อประโยชน์สุขแห่งประชาอย่างเต็มกำลัง พสกนิกรต้องมาก่อนตน อุปสรรค์อันเป็นภัยต่อปากท้องและความปลอดภัยของหมู่ชน องค์ยุพราชเมินเฉยอยู่ได้ยาไฉน ต้องเร่งกำจัด


 
เพราะเหตุอันอุบัติ ณ การท่า เป็นอื่นไปมิได้นอกจากการสงคราม!


 
ในฐานะขุนต้นศึกองค์แม่ทัพ ตักโกลาจะโต้กลับอย่างสาสม


 
☆☆☆

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๗ วิจฉิกา



รจนา: ทัดจันทร์


บรรณ ๔




“โอม... นมัส ศิวายะ”



กล้วยไม้ป่าสีม่วงสดวางถวายเหนือพานทองคำ



สองกรประณตอัญชลี เบื้องพระพักตร์เทวรูปศิวะนาฏราชหล่อสำริดเก่าแก่ ดรุณหนุ่มยังสวมพาหุตราณำ(๑) ติดพาหา หลักฐานบ่งชัดว่าแอบเข้าวนา ฝึกศาสตราธนูรเพท เกาทัณฑ์ อิษุศรในกระบอกหายเกลี้ยงเพราะแผลงหลุดจากแล่งไปจนสิ้น



สุรสำเนียงโอมอ่านเดวะมันตราภาษาสํสฺกฤตลื่นไหล ท่วงทำนองเทพมนต์ฉ่ำเย็นราวสายน้ำ ปานอมฤตาธารพรมพร่าง พรูพราว เปลวเทียนบูชากระพริบไหวภายในห้องที่ไร้กระแสลม ประหนึ่งเทวรูปนาฏราชโบราณ ยาวนานกว่าหกศตวรรษ ตอบรับสักการ ปูชะยา



“โอม กระปูระเคารัม กรุณาวะตารัม…”



“ชาน~ดรา” เสียงป่าวก้องยานคางดังมาจากด้านนอก “นี่ปัณฑิ เห็นชานดราบ้างฤๅไม่ ข้าตามหาให้วุ่นเสียทั้งวัน ไม่รู้ไปหลบอยู่หนไหน ที่พะเนียด(๒)ก็ไม่เจอ แล้วนี่เกวียนใคร โสโครกสิ้นดี”



ขนงหนาแทบจะพาดเข้าหากันภายใต้ผ้าฝ้ายย้อมครามโพกพันศิระ หากเสียงรบกวนจากภายนอกมเหศวรวิหาร(๓) มิอาจทำให้สัปบุรุษวัยดรุณ หลุดจากอาการสงบรำงับ ผู้ถวายยัญญกรรมยังพยายามข่มจิต ให้แน่วนิ่งอยู่กับการสังวัทยายมนตรา



“… สัมสาระสารัม ภุชะเคน ทระหารัม

สะทาวะสันตัม หะริทะยาระวินเท…”



“เอ๊ะ นั่นดาบของจันทร์นิ” ผู้พูดเห็นดาบคู่ด้ามงา บนหลังเกวียนไม้ประดู่แดง “โถ่ หนีเราไปเที่ยวป่าคนเดียวอีกแล้วรึ ดาริกาบดี”



ศิวะเทพอิศวรมนต์สะดุดพลัน ดรุณผู้พร่ำสวดมันตรานั้นผ่อนปราณยืดยาว…



“… ภะวัมภะวานิ สะหิตัม นะมามิ”



ร่างสูงก้มลงกรานกราบเทวรูปสำริด เร่งจบพิธีสักการบูชาโดยยังมิทันได้สวดถวายร่ายกลศึก ดรุณในภูษาใยฝ้ายย้อมสีเปลือกไม้ผืนสั้น นุ่งหยักรั้งแนบโคนขา ผลักบานทวารอิศวรวิหารเปิดอ้าออก ส่งให้แสงจากภายนอกฉาบดวงหน้า พักตราคมรับฉวีสีนวลน้ำผึ้ง ดุดัน ปั้นบึ้ง เพียงยินคำ ‘ดาริกาบดี’ คำเดียว



ผู้แต่งกายเยี่ยงไพรพรานชาวป่า ก้าวขายาวผ่านธรณีประตู มัดกล้ามมังสาแนบโคนอูรุเห็นเป็นริ้วหนั่นหนา พาให้ดรุณรูปงามปรากฏวรกาย เบื้องหน้ายุวขัตติยาผู้ทรงชฎาทองอำพัน



“เรายังไม่ได้เป็นบดีใคร!”



อังสาผึงผายหยัดตรงภายใต้เสื้อไร้แขนคอกว้าง ย้อมดำด้วยลูกมะเกลือ ที่ผู้สวมใส่ไม่ใยดีจะผูกร้อยเชือกด้านหน้า เผยอุระและกล้ามมังสานาภีเป็นลูกลอน นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ใต้แพขนตาหนา สบมองขัตติยะหนุ่มทรงสังวาลรัตนชาติหลากสี จูงอัสดรขาวพ่วงพีอยู่ใต้ต้นมะตูม



“แล้วคำไหนที่เราหมายถึงจันทร์” ยุวขัตติยาทรงอาภรณ์แพรวพรายถามกลับอย่างทันควัน



“อย่ามาพลิกลิ้น เราได้ยินกัลว่า ‘หนีไปเที่ยวป่าคนเดียวอีกแล้วรึ ดาริกาบดี’ ชัดเต็มสองหู”



“เหอะ” ผู้ทรงพาหุรัดฝังทับทิมเม็ดโตกอดอุระ พักตราบึ้ง “ยอมรับแล้วสินะ จันทร์หนีเที่ยว ปล่อยเรารับหน้าสมเด็จแม่คนเดียว ใช้ได้ที่ไหน”



“เราไม่ให้กัลใช้เราหรอก”



ดรุณผิวสีน้ำผึ้งบอกกับผู้ที่ทรงเครื่องสังวาลย์ทองเจ้าของฉวีขาวผุดผ่อง ก่อนที่ร่างสูงหนาในชุดพรานไพรจะแกะเชือกผูกควาย เตรียมขึ้นเกวียน



“จันทร์ จะไปไหนอีก”



“ไปหาความสงบ”



“สงบปานนั้น ไม่เข้าฌาณให้บรรลุเสียเลยล่ะ”



“ผจญมารอยู่นี่เล่า”



“เหอะ หาว่าเราเป็นมาราหรือดาริกาบดี พ่อโยคีหนุ่ม”



“กัลกิยะ” ผู้จูงมหิงสาเทียมเกวียนหยุดดำเนิน ยามใดที่ขานพระนามของอีกฝ่ายเต็มยศ หากไม่ทรงกำลังจะสนทนาด้วยหัวข้อสำคัญ ก็คงกำลังพิโรธโกรธา “ให้พูดกี่ครั้ง เรายังไม่ใช่ดาริกาบดี” คนพูดน้อยอยู่เป็นนิตย์ มักพูดมากเมื่อต้องแก้ตัวเรื่องคู่สมรส



“โกรธไย เก๊าะจันทร์ขอหมั้นเอง”



“สมเด็จแม่บังคับหรอก”



“ใช่ที่ไหน ทีกับธิดาไทรบุรี กะลันตัน ฤๅปะหัง สมเด็จแม่เคยจะทรงหมายหมั้นให้เช่นกัน จันทร์ยังคัดค้านมิไว้พักตร์ ไยจู่ ๆ เพียงพระบิดาเปรยคำ ‘ดาริกาเทวี’ ใครที่โพล่งขึ้นว่า ‘ลูกจะแต่งกับนาง’ ทั้งที่ปฏิเสธการสมรสมาตลอดหลายปี”



เมื่อไม่อยากต่อล้อต่อเถียง จึงเลี่ยงด้วยการขึ้นเกวียนเทียมควาย ซึ่งบรรทุกขนของป่าไว้เต็มเล่ม เขากวาง หนังสัตว์ รวมทั้งพืชพรรณหายาก ล้วนเบียดเสียดอยู่บนนั้น บ่งบอกถึงฝีมือการล่า และความเป็นพรานชำนาญป่าของผู้ปิดปากเงียบ มิยอมปริภาทพาทีด้วยผู้ที่ทรงม้าตามมา



พราหมณ์หนุ่มปัณฑิที่กวาดลานเทวสถานหอพระอิศวรอยู่ใต้ต้นมะตูมใหญ่ ส่ายหน้าหน่ายใจ ขึ้นชื่อว่าพระองค์จันทร์ หากมิยอมดำรัสถึงสิ่งใด ต่อให้เป็นเจ้าชายกัลกิยะ อนุชาฝาแฝด ก็ไม่สามารถง้างโอษฐ์ภารดาได้ พระนิสัยขรึม เงียบ ตรัสน้อย ดุ จริงจัง สมดังที่เป็นองค์อุปถัมภ์มเหศวรวิหารแห่งองค์ศิวะมหาเทพ ต่างจากอนุชา พระองค์นั้นซุกซน แพรวพราว เลี่ยงบาลีเก่ง สมที่เป็นองค์อุปถัมภ์หอนารายัณฝั่งตรงข้าม พราหมณ์ปัณฑิได้แต่หวังว่าทั้งสองจะไม่ทรงเถียงกันไปตลอดทาง



โอม ศานติ… ศานติ… ศานติ ขอความสงบสุขจงบังเกิด




มหิงสาฤๅจะว่องไวกว่าอัสดร อาชาสีขาวควบไปไม่ทันไรก็ไล่ทัน อนุชาบังคับม้าขวางกงเกวียนเปื้อนโคลนของภารดา เป็นเหตุให้ผู้เกล้ามวยโพกผ้า ถอนปราณปัสสาสะยืดยาว หน่ายหทัย จำต้องหยุดเกวียนไว้เบื้องหน้าผู้ทรงชฎาประดับพลอยอำพัน



“มีอันใดอีก” เจ้าของเกวียนปฤจฉาต่อน้องชายที่พักตราคล้ายกันทุกองคุลี “หากไม่สำคัญจงยั้งไว้ก่อน เราจะเร่งนำของป่าไปขาย” ผู้ที่จะสืบบัลลังก์แห่งนครอันมั่งคั่ง ตรัสราวเงินตราในท้องพระคลังไม่พอใช้กระนั้น



“ชานดรา” เสียงขานพระนามสำเนียงสํสฺกฤตคล่องลิ้น “เราตามหาทั้งวันก็ใช่จะมาพาทีเล่นหรอกนะ”



“เรื่องคอขาดบาดตายอันใด”



“แค่เกือบ ยังมิตาย”



กัลกิยะยื่นถวายม้วนกระดาษขนาดเล็กที่เคยผูกติดมากับขานกพิราบ ให้แด่ผู้เป็นภารดา ยามพระองค์จันทร์ได้ทรงอ่านเนื้อความในจดหมาย นัยน์เนตรคมคร้ามสีน้ำตาลไหม้กลับเบิกกว้าง ฉายแววดุดัน วรองค์สูง หนาหนั่น พลันกระโจนลงจากหลังเกวียน หัตถ์ใหญ่รวบศาสตราคู่ด้ามงาสลักเสลา สะพายเฉวียงบ่าซ้ายขวาอย่างรีบเร่ง



“ไยเพิ่งมาบอก” เจ้าชายแฝดผู้เชษฐาปฤจฉาร้อนรน ขนงหนาขมวดเครียดเคร่ง



“จะบอกตั้งนานแล้ว แต่จันทร์ฟังเราที่ไหน”



“ลงมากัล” พระองค์จันทร์ยื่นหัตถาให้อนุชาหลังอัสดร



กัลกิยะงวยงง หากทรงคว้ามือเชษฐา พยุงกายลงจากหลังม้าขาวพ่วงพี เพียงเสี้ยววินาที เจ้าชายชาวพรานไพรป่า กระโจนวรกายขึ้นทรงเหนืออานม้า หยัดปฤษฎางค์สูงสง่าราวอัศวินขุนศึก หัตถ์นั้นคุมบังเหียนแคล่วคล่อง ขณะเรียวขากระแทกสีข้างอาชา ให้วิ่งห้อทะยานไป



“ชานดรานั่นม้าเรา” อนุชาโอดครวญ “จะเร่งรุดไปไหนเล่าพ่อโยคี”




“ไปตักโกลา”



“อ้อ เคหาเจ้าหญิงดาริกายอดดวงใจ…” กัลกิยะสนทนากับฝุ่นตลบคละคลุ้งจากกีบเท้าม้าอย่างสราญหทัย หากยามฝุ่นผงจางจาก เชษฐาควบอัสดรจรลับไป เจ้าชายทรงพลอยอำพัน เสมือนได้คืนพระสติ “ห๊ะ! คอยก่อนท่านพี่ การณ์ใหญ่เช่นนี้ จะเสด็จลำพังได้เยียใด”




******ธรฺมรฏฺฐคีตา******


๑ พาหุตราณำ: ปลอกหนังหุ้มแขนสำหรับนักรบผู้ใช้ธนู



๒ พะเนียด: สะกดเหมือนชื่อซอย พะเนียด ตำบลปากนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช สถานที่ซึ่งเคยเป็นเพนียดช้างในสมัยโบราณ



๓ มเหศวรวิหาร คือ หอพระอิศวร ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ตรงข้ามกับหอพระนารายณ์ เป็นโบราณสถานโบสถ์พราหมณ์ในศาสนาฮินดู ประดิษฐานศิวลึงค์ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของพระศิวะ รวมทั้งเทวรูปสำริดอีกหลายองค์ อาทิ เทวรูปศิวะนาฏราช พระอุมาเทวี และพระพิฆเนศ อาคารปัจจุบันกรมศิลปากรบูรณะเมื่อ พศ. ๒๕๐๙ จากอาคารเก่าสมัยอยุธยา จึงสันนิษฐานกันไปว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา หากแท้จริงหอพระอิศวรจะสร้างมาแต่ครั้งใดนั้นไม่ปรากฏชัด เข้าใจว่าคงสร้างรุ่นเดียวกับหอพระนารายณ์ ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ที่เจริญควบคู่มากับการตั้งถิ่นฐานของเมืองนครศรีธรรมราช ผู้เขียนจึงตั้งข้อสังเกตว่า หอพระนารายณ์ อันตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับหอพระอิศวร คนละฟากของถนนราชดำเนิน เป็นเทวสถานที่มีเทวรูปพระนารายณ์อายุประมาณ พุทธศัตวรรษที่ ๑๐ – ๑๑ ประดิษฐานอยู่ เทวรูปองค์นี้เป็นศิลปะแบบอินเดียที่เก่าแก่ที่สุดที่ถูกพบ ระยะเวลาในการสร้างเทวสถานทั้งสองจึงไม่น่าจะต่างจากเทวรูปที่ประดิษฐานนัก เช่นเดียวกับการขุดค้นแผ่นอิฐชั้นที่ ๕ ของวัดพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช บ่งบอกว่ามีอายุการสร้างมาแล้วกว่า ๑,๕๐๐ ปี ไม่ใช่เพียงแปดร้อยปีอย่างที่เคยเข้าใจกันมา มเหศวรวิหารแห่งนี้จึงเก่าแก่พอกับการสร้างบ้านแปลงเมืองของเมืองนครศรีธรรมราช

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๘ รุ่งรวี



รจนา: ทัดจันทร์








               ทุกครั้งที่มองฟ้า เราเห็นความตาย


               โดยไม่รู้ตัว... เราอาจเป็นพยานในการณ์ดับสลายของดาวดวงหนึ่ง


               เหนือผืนฟ้ากว้างสีดำสนิท แสงระยับของดาวฤกษ์นับล้าน เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์กลางแกนของดาวเหล่านั้น แผ่พลังงานมหาศาล ปลดปล่อยออกไปสู่ห้วงอวกาศ และหรือ บางครั้ง เกิดจากมหานวดารา การระเบิดของดาวยามสิ้นอายุขัย เหงนมองฟ้า เราเห็นรัศมีสว่างวาบระยิบตา ทอประกายแตะแต้มนภามืดมัว ความจริงดาวดวงนั้น... ตาย... แล้ว หากแสงสุดท้ายเพิ่งเดินทางมาถึง


               เราได้เห็นความตายของดวงดารา


               แหลกลาน พร่างพราว มืดมน


               ยามมหาดาราแตกดับลง นอกจากรัศมีจำรัสจ้า ดาวฤกษ์สิ้นอายุอาจทิ้งสิ่งที่ดำมืดที่สุด ทว่าทรงอำนาจทำลายล้างสูงสุดไว้เบื้องหลัง หลุมดำ ขุมความมืดมหาศาล เพชฌฆาตเงียบผู้พร้อมกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ให้หายลับลงไปในอุโมงค์แห่งความมืดมิด ด้วยความมืดก่อกำเนิดก่อนจุดเริ่มต้นของจักรวาล และจะยังคงตราบหลังกาลปวศาลแห่งดาราจักร มิใช่ความมืดหรอกฤๅที่ทรงพลานุภาพอุกกฤษ์เหนือพลังงานใดในอนันตภพ


               ในเงื้อมหัตถ์ของหลุมดำพลังมืด สรรพสิ่งทั้งปวง แม้แต่แสงก็ไม่อาจหลุดพ้น ราวตกอยู่ในห้วงน้ำวนขนาดใหญ่ แรงนทีโถมซัด หมุนคว้าง ดูดกลืนลับหายไปยังใจกลางดำสนิท มืดทมิฬ อำนาจมหาศาลแห่งความมืดกลบกลืน ลบสิ้น กระทั่งกาลเวลา...



               ณ ‘ขอบฟ้าเหตุการณ์’ อันเป็นพื้นที่ขอบเขตโดยรอบของหลุมดำ จุดที่ทุกสรรพสิ่ง แม้แต่แสงก็ไม่อาจเล็ดรอด ส่องกลับออกมา มณฑลแดนนั้น สสาร ที่ว่าง กาลและเวลา จะเกี่ยวกระหวัดพัวพัน เชื่อมอดีต อนาคต ปัจจุบัน ให้จรดถักทอ ดุจเส้นไหมแพรพรรณ ร้อยเรียงต่อกันเป็นผืนเดียว


               แสงที่ปกติเดินทางเป็นเส้นตรง ยังถูกหักงอ แล้วกลืนลับหายภายใต้แสนยานุภาพของหลุมดำ นับประสาอะไรกับเวลา ที่ศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันว่าเป็นเส้นโค้ง มิใช่เส้นตรง ยามถูกดัดกดงอ แนวเส้นของปัจจุบันอาจตัดเชื่อมกับกาลของอดีต อนาคตอาจผ่านเลยไป หรืออยากรายใกล้ เพียงเอื้อมสัมผัส


               เช่นนั้น... ผู้กองจึงรู้สึกฉงนทุกครั้งที่มองฟ้า


               ทั้งที่ความลับมากมายของจักรวาลบังเกิดขึ้นต่อหน้า แต่เราไม่เคยรับรู้ เพราะแบบนี้หรือเปล่านะ พ่อถึงชอบมองดาว ร้อยเอกหนุ่มมักตั้งคำถามกับตัวเองในใจ แทบทุกครั้งที่เหงนมองนภา ยามคิดถึงบิดาผู้ล่วงลับ คืนนี้ก็เช่นกัน


               ดาวสวยพราวพร่างเหนือเรือใบล่องนที กล่อมจิตใจของผู้ที่ทอดสายตามอง ให้รับฟังเสียงของดวงดาว กระซิบเล่าความลับของจักรวาล


                               คระครืน                 สุรเสียง                  กำปนาท

                               อัสนีบาตร              ผ่านพาด               จากเวหน

                               ประกายฟ้า           ฟาดห้วง                   วารีวน

                               วัชระ                      ยังมิพ้น                  เงื้อมมือมาร


               กระแสอันเชี่ยวกรากของสายน้ำ หมุนวนเป็นระลอกกว้างด้วยพละกำลังมหาศาล กวาดกลืนทุกสรรพสิ่งให้จมหายไปยังใจกลางเกลียวสมุทรมืดทมิฬ


               เรือใบลำน้อยที่ดาริกาใช้ข้ามห้วงมหรรณพ ถูกคลื่นเชี่ยวกรากหมุนคว้าง กระชากเข้าไปในวังน้ำวนขนาดมหึมา วายุพัดอู้ หวีดหวิว กรีดใบเรือจนขาดวิ่น ผลักให้นาวาเร่งเข้าใกล้จุดกึ่งกลางของเกลียวนที ผู้กองดาริกาหวาดประหวั่น เขาเห็นหลุมนั้น ลึก กว้าง ดำสนิท


               นภาราตรีประดับด้วยร้อยพันแสงดาว ส่งเสียงครืนครึ้ม อัสนีบาตรแวบวาบ ผ่าฟาดลงห้วงนที เส้นแล้วเส้นเล่า อันตรธานหายสิ้นกลางหลุมมืดอเนกอนันต์ เรือนร่างหนาหนั่นล่องนาวากำลังสั่นกลัว ดาริกาตะโกนร้อง วิงวอนขอความช่วยเหลือ หากเสียงยังถูกกลืนหาย ความหวังดับวูบด้วยวายุกลางเกลียวนทีธาร


               กา กา กา...


               สกุนาร่ำร้อง วิเวกวังเวงแว่ว เหงนมอง เห็นอีกาฝูงใหญ่สยายปีกบินเหนือน่านฟ้า บดบังแสงดาว ปิดห้วงหาวจนมืดดำขมุกขมัว สัตว์กินซากเริ่มกระพือปีกโบยบินล้อมวง หมุนวนเป็นอุตราวัฏ ย้อนทวนเข็มนาฬิกา เช่นเดียวกับธารน้ำวนเบื้องล่าง ราวรับรู้ได้ว่าถูกมอง อีกาจึงโฉบลงมายังนาวาลำน้อย ตัวแล้วตัวเล่า จนท้ายสุด สกุนาทั้งฝูงพลันละทิ้งนภากาศ รี่โฉบบินวนเป็นวงแหวนอุตราวัฏวิถี ล้อมเจ้าของเรือนกายสูงหนา บ้างยั้งเกาะตามกาบเรือ จ้องจรดนัยน์ตาดำลึกมาทางผู้ลอยล่องเหนือเภตรา


               สุดประหลาด อีกาฝูงนี้... ขนสีชาดก่ำแดง


               ไม่!


               ฉับพลัน กาแดงทั้งฝูงรุกรี้เกาะเกี่ยวกรงเล็บ ปรี่หามร่างบุรุษหนาหนั่นทะยานฟ้า เหวี่ยงเข้าสู่ใจกลางผืนสมุทราหมุนวน ดาริกาตกลงไปในหลุมอุโมงค์มืดดำ ระหว่างทางเส้นนั้น กระแสลมกรีดปั่น บดขยี้สรรพสิ่งให้แหลกลานเป็นจุน เมื่อพ้นเบื้องปลายอุโมงค์จึงพบกับความว่างเปล่า มืดสนิท เป็นอนันต์


               ไร้กาลเวลา ไร้อัตตา ไร้ตัวตน


               ณ สถานที่แห่งนั้น อนาตมันแผ่ไพศาลเหนือคณา ร้างไร้ซึ่งทิศาแลภัสสราจำรัสแสง พลังงานมืดคลี่คลุมกลบกลืนทุกเขตคาม ทรงพลังดังองค์วสวัตตีมาราธิราช ยังส่ำสัตว์ไว้ในพระราชอำนาจ ณ จกฺกวาฬมืด ไม่มีแม้นแสงดาวสักดวง


               “ไม่นะ อย่า!”


               ดาริกาผวาตื่นกลางราตรีดึกสงัด ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจกรีดทำลายความเงียบแห่งปัจฉิมยาม ระรัวก่องโครมครามอยู่กลางทรวง เหงื่อกาฬเปียกชื้นผุดพรายทั่วสรรพางค์ ลมหายใจหอบถี่ราววิ่งหนีหนักหน่วงออกจากฝันร้าย นิมิตแห่งจกฺกวาฬมืด ดำสนิท คลับคล้าย... เคยพานพบ


               พลังมืดน่ากลัว ทำจิตใจหวาดไหว


               มือที่ทาบอยู่บนอกรับรู้ได้ถึงอาการเต้นถี่ของหัวใจ หาก... บางอย่างแปลกไป ความโค้งนูน ตูมเต่ง ให้ความรู้สึกประหลาดอันมิเคยจับต้องได้จากกายตน  ใช่ว่าไม่เคยสัมผัส แต่... มันต้องไม่ใช่จากหน้าอกตัวเอง!


               “ไม่มั้ง... คงไม่ใช่” ดาริกานิ่วหน้าฉงน ทว่าส่วนลึกในหัวใจกรีดร้อง “อีกทีน่า เพื่อความชัวร์”


               นิ่ม


               “ห๊ะ ชักจะยังไงละนา... ต้องลองอีกที”


               นวล


               “ฮื่อ ทำไมใจหวิวล่ะเรา”


               เต่ง


               “อืม... แบบนี้ก็ไม่แย่เท่าไหร่”


               ตึง


              “เฮ้ย ไม่! ต้องไม่ใช่จากหน้าอกตัวเอง!!”


               ดาริกาสะดุ้งโหยง ดีดผึงลงจากเตียง หันซ้ายเหลียวขวาก่อนจะเจอสิ่งที่มองหา กระจกสำริดสะท้อนแสงตะเกียงไขไส้แวบเข้าหางตา จากนั้นจึงเอื้อมไปไขว่คว้าผืนภูษาที่พับไว้บนตั่งเตี้ยชิดแท่นบรรทม


               ผ้าไหมปักดิ้นเงินฝีมือช่างปัลลวะสะบัดคลี่คลุมคันฉ่องสำริดบานยาว ปิดทับเนื้อกระจกจนมองไม่เห็นเงาสะท้อน มือบางถูกกันไปมา ขณะสองเท้าย่ำวนเหนือพรมเปอร์เซียร์ขนลูกแกะทอมือ ลวดลายสิงห์สากลางวนาไพร มัดไขว้ปมละเอียดประณีตราวมีชีวิต หากเจ้าของปลายนิ้วเยียบเย็นมิได้ใส่ใจทรรศนาความวิจิตรการแห่งงานหัตถศิลป์ เอาแต่เดินวกวนไปมา เบื้องหน้าคันฉ่องวิลาศวิไล


               “ไม่จริง เป็นไปไม่ได้” ดาริกาปลุกปลอบตัวเอง “บางทีเราอาจเข้าใจผิด ใช่... คงเพราะยกเวทมากไป อืม... ไม่มีอะไรต้องกังวล”


               เมื่อโน้มน้าวตัวเองได้ดังนั้น สองเท้าพลันหยุดนิ่ง เหนือผืนพรมลาดพื้นไม้สักขัดเงา ทำใจกล้าจับชายผ้าไหมปักดิ้นเงินพราวระยับ และในเสี้ยววินาทีที่กระตุกชายภูษาปิดทับกระจกจนปลิวติดมากับมือ ดาริกากลับฉุกคิดได้ว่า พักหลังมานี้ชีวิตและการงานวายวุ่น จนไม่เหลือเวลาให้ปลีกตัวเข้ายิมอย่างที่เคยทำเป็นกิจวัตร เช่นนี้ย่อมต้องมีเรื่องหนัก ‘อก’ ให้วิตกกังวล


               พรึบ


               ผ้าไหมพลิ้วกายลงจากกรอบสำริดสลักเสลา ชายภูษาสะบัดกลางอากาศอ่อนช้อยราวท่วงท่านางอัปสราร่ายระบำ ดาริกาลุ้นระทึกเสียยิ่งกว่ายามโรงละครแหวกม่านเปิดการแสดง ผ้าไหมผืนงามปลาสนาการลงจากบานกระจก ระบายชาย โบกโบย ไหวพลิ้วไปกับปราณลม ในความรู้สึกแห่งผู้รอคอยช่างแช่มช้า ครั้นภูษาผืนบางปลิดปลิวติดมือ ใจกลับอยากรั้งให้เสี้ยววินาทีทอดนานขึ้นไปอีกนิด


               บางครั้งเวลาเพียงเสี้ยววินาที กลับยาวนาน ทรงคุณค่า และมีความหมายมากมายโดยที่เราคาดไม่ถึง


               แสงอ่อนโยนของตะเกียงน้ำมัน ทาบประกายเหลืองนวล กระทบเนื้อกระจกโลหะสำริด ขัดเกลี้ยงจนมันวับ แผ่นโลหะเรียบใสจึงสะท้อนภาพของผู้ที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า แม้บางคราวภาพที่เห็นจากกระจกจะฉายนฤมิตมายาลวง ทว่าครั้งนี้ดาริการู้ดี เงาที่เห็น เที่ยงแท้ เป็นสัตยะ


               ไหมบางพลิ้วร่วง หลุดจากมือที่กอบกุม ทิ้งตัวนิ่มนวลปานขนปักษายามหลุดจากปีกกลางสายลม ภูษางามทอดกายคลุมแทบบาทบงสุ์ ดาริกากลับมิอาจใส่ใจ เพราะตืดอยู่ในห้วงภวังค์ลึกล้ำเกินถ่ายถอน...


                              เงาที่เห็น                  ไม่เป็น                  เช่นวาดหวัง

                               เงาที่รั้ง                   ยั้งอยู่                    ชูสงสัย

                               กระจกเงา             เจ้าเอ๋ย                   เผยผู้ใด

                               ไม่ถามไถ่               ใครงามเลิศ           ในปฐพี


               ราวเวลาถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ ดาริการับรู้ได้ถึงความชาวาบแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์ ลมอาปานปัสสาสะขาดห้วง ในจังหวะที่หัวใจหล่นหายลงกลางทรวง ภาพที่ประจักษ์แก่คลองสายตา ทำให้ถ้อยคำนับร้อยพันไม่อาจพรั่งพรู กลับปลิวลับไปพร้อมห้วงหายใจที่เหือดหายอันตรธาน


                               เนื้อกระจก             สะท้อนเงา             ของสาวน้อย

                               อัปสรา                   ฤๅคลาคล้อย        จากสวรรค์

                               ปรนิม                     นิรมิต                     มิเทียมทัน

                               ดาริกา                   วิลาวัณย์               จอมขวัญตา


               สาวน้อยคนนั้นงดงามราวภาพฝัน และควรเป็นเพียงความฝันถ่ายเดียว ไฉนถึงเป็นอื่น ดาริกาสัมผัสความจริงในทุกองคุลีที่ผ่ามือลูบผ่าน แตะจับดวงหน้า พักตราตัวเอง


                               นวลปราง              คางเนตร               เกศขนง

                               งามทรง                 นงลักษณ์              มารศรี

                              เป็นหญิง                จริงแล้ว                 ล่วงฤดี

                               ไยชีวี                      มิกลับกลาย          เป็นชายชาญ


               อดีตนายร้อยหนุ่มไม่เคยถวิลหาตัวเองเท่านี้มาก่อนในชีวิต “ม่าย!! เอาคนเก่าคืนมา!”


               เสียงหวีดร้องจากห้องบรรทมเล็ก ปลุกให้นางสนองพระโอษฐ์ที่นอนเฝ้าอยู่หน้าบานพระทวารเร่งรุดเข้ามาด้านใน เงาตะคุ่มของเจ้าหญิงน้อยจิกทึ้งเกศา ทำเอาหัวใจนางพระกำนัลตกร่วงลงแทบเท้า เงาดำสยดสยองเช่นนี้ พรายภูตหลุดมาจากสัมปรายภพเป็นแม่นมั่น


               “ว้าย ชะ ช่วยด้วยเจ้าข้า ผีหลอก”


               “เฮ้ย คุณเป็นใคร”


               “ไม่นะ มันจักเข้ามาฉีกอกข้าแล้ว กรี๊ด”


               และแล้ว... พิมานแห่งสมเด็จพระยุพราชตักโกลาที่เคยเงียบสงบมาตลอดราตรี ก็ถึงกาลสะดุ้ง ตื่นจากบรรทม พร้อมกับที่แสงเรืองของพระสุริยาทิตย์ยามรุ่งรวี โผล่พ้นเส้นขอบฟ้า ทุกชีวิตในพระพิมานจึงเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยความโกลาหล




************

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๘ รุ่งรวี



รจนา: ทัดจันทร์






               “มิเข้าไปฤๅ” นางผู้อัญเชิญพานพระศรีไต่ถาม



               “เจ้าแหละเข้าไปก่อน” สตรีผู้ประคองอ่างสรงพระพักตร์บ่ายเบี่ยง



               “โอ๊ย มัวเกี่ยงกันเยี่ยงนี้ ทูลหม่อมได้เสด็จกลับมาพิโรธเอา” คุณข้าหลวงถือเครื่องประทินพระฉวีโวย แม้ใจจะแอบหวาดกลัวเช่นนางสนองพระโอษฐ์ที่จับไข้ไปเมื่อยามสาง หากความกลัวยรรเยงต่ออาญาสมเด็จพระยุพราชมีมากกว่าพรายภูติ คิดได้ดังนั้น พวกหล่อนจึงต้องจำใจ เดินขบวนกันเข้าไปยังห้องพระบรรทม



               ตั้งแต่เหตุวุ่นวายตอนย่ำรุ่งปัจฉิมยามพ้นผ่านไป ดาริกานั่งถอนหายใจอยู่หน้าคันฉ่องสลักเสลาบานยาวจนเช้า ไม่ยอมขยับลุกไปไหน เงาสะท้อนของสาวน้อยแรกแย้มจ้องกลับมาจากเนื้อในกระจก ภาพกระจกฉายทำให้ผู้ที่เห็นปลดปลง เชื่อแน่แล้วว่าติดอยู่ในร่างของเด็กผู้หญิง ชื่อ... อะไรนะ อ่อ ดาริกา



               แม้เสียงในความคิดจะบอกกับตัวเองว่า เป็นไปไม่ได้ ทว่าภาพกระจกฉายประจักษ์แท้ มันเป็นไปแล้ว ร้อยเอกหนุ่มในร่างหญิงสาวส่ายหน้า รับรู้แต่ไม่เข้าใจ     สิ่งมหัศจรรย์สุดประหลาดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความตาย กลับเป็นชีวิตหลังความตาย ทั้งที่ยังจำได้ถึงแรงกระสุนและเปลวไฟจากระเบิด หากภาพความมืด เสียงประดาบ และคราบเลือดกระเซ็นหยาดหลังมือ กลับหลากไหลเข้ามาในความทรงจำ รี่เร็วดังสายน้ำ ราวต้องการตอกย้ำให้ดาริการับรู้ว่า ไม่มีสิ่งใดคงเดิมอีกต่อไป



               ดาริ ฤๅ ดาริกา... ไม่ว่าจะเป็นใคร



               ตราบนี้ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไป ตลอดกาล



              แล้วเราจะใช้ชีวิตยังไงละเนี่ย



               ร่างกายใหม่แม้จะมีความทรงจำเก่า ถอนปัสสาสะอีกคำรบอย่างจนใจ ตกอยู่ในห้วงความคิดอยู่เช่นนั้น จนได้ยินเสียงเคาะประตู




               “ใคร”



               ดรุณีน้อยเยี่ยมดวงหน้าออกมาจากคันฉ่องบานยาว เห็นบริวารสาวสะคราญแห่งพิมานโอรสาตักโกลาพระองค์โต ถอยกรูจวนชิดบานพระทวาร มิกล้าก้าวข้ามธรณีเข้ามา ทุกนางแทบทำพาน อ่าง ตลับแป้งกระแจะแจะแตะแต้ม หลุดร่วงไปจากมือ



               ยามปรากฏวรกาย นางสนองพระโอษฐ์เห็นเกศาดำขลับฟูฟ่อง ยุ่งเหยิง ความดำคล้ำใต้ดวงเนตรบอกได้ว่านับแต่อุษาสางเจ้าหญิงน้อยดาริกาไม่อาจข่มตาให้หลับต่อได้ ใครจะรู้ เจ้าของเรือนร่างสะโอดสะอง เอาแต่คิดครวญใคร่ จะอยู่ต่อไปอย่างไรในร่างเด็กสาว วกวนอยู่เช่นนั้นหน้าพระฉายตราบจนอรุณอำลา



               “พะ พวกหม่อมฉัน จะมาช่วยเปลี่ยนฉลองพระองค์เพคะ”



               พวกนางห้องเครื่องวิเสทแท้เชียวเล่าฦๅกันไป องค์หญิงดาริกาต้องพิษผ้าคาลัยแล้ว นางเฝ้าห้องบรรทมเมื่อคืนจึงตกใจเหลือกลาน พาลพาให้ทุกผู้หวาดกลัวไปด้วย ความจริงทูลหม่อมน้อยยังคง เพียงแต่... น่าจะทรงประชวนเพราะพิษผ้า ไม่ก็พิษไข้ พระองค์จึงทรงดู... แปลกไป เคยฤๅที่จะปล่อยองค์ เกศาพันยุ่งเช่นนี้ คิดตุตะไปดังนั้น เหล่านางกำนัลจึงใจชื้น ความกลัวภูตผีจึงมลายไป



               ค่าที่เหตุอุกอาจอุบัติขึ้น ณ ตำหนักที่ประทับส่วนพระองค์ในทูลหม่อมน้อยดาริกา ทุกหนระแหงแปดเปื้อนไปด้วยคราบโลหิตและซากศพ ไม่บังควรที่เจ้าหญิงน้อยจะทรงประทับยังพระตำหนักนั้น กอปรกับ พระเชษฐาเธอทรงห่วงกังวลในความปลอดภัยของกนิษฐา เจ้าชายหริสสาจึงอุ้มร่างไร้สติของน้องนุชกลับพิมาน ตามหมอหลวงถอนพิษผ้าได้ทันควัน จากที่ทูลหม่อมน้อยนิทราไป แนบนิ่งปานครรลัย แลทรงคืนพระสติในยามสาง เหตุการณ์จึงออกมาอลหม่านอย่างที่ทราบกันดี



               “ทำไมต้องช่วยเปลี่ยน ผม...” ดาริกาขมวดคิ้ว ไม่ชินกับคำพูด พยายามเค้นหาถ้อยคำที่เหมาะสม “ฉัน เอ่อ เรา เปลี่ยนเองได้”



               “ให้พวกกระหม่อมช่วยดีกว่าเพคะ” นางสนองพระโอษฐ์ยืนยันจะทำหน้าที่แห่งตน



               “ลำบากเปล่าๆ ขอเปลี่ยนเองดีกว่า”



               ผู้ที่เคยเป็นชายหนุ่มพยายามหาทางเลี่ยง เพราะไม่เคยชินกับการผลัดผ้าต่อหน้าสตรี ยิ่งผู้หญิงหลายคนเช่นนี้ แค่คิดก็... ดาริกาสะบัดหน้า แก้มแดงเรื่อ หากถูกพวกเธอจับต้องตัวเข้า ผิดผี เห็นทีคงไม่งาม อดีตนายร้อยลืมไปด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้เป็นชายชาตรีเหมือนอย่างแต่ก่อน



               “รับสั่งไรเช่นนั้นเพคะ เกล้ามิได้ลำบากแม้แต่น้อย” เหล่านางกำนัลไม่ฟังคำทัดทาน



               “งั้นไว้ค่อยเปลี่ยนก็ได้ ยังเช้าอยู่เลยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”



               “ได้ที่ไหนเล่าเพคะ” นางสนองพระโอษฐ์รินน้ำสรงพระพักตร์ใส่อ่างกระเบื้องเคลือบ เขียนลายด้วยพู่กันจีนชดช้อย อีกนางหนึ่งคลี่ผืนภูษาไหมสีหวาน เดินตรงมาทางพระองค์หญิง



               “อย่าเพิ่งดีกว่า” ดาริกาเบี่ยงตัวหลบ



               “เปลื้องพระภูษาเถิดเพคะ”



               “ห๊ะ ถอดเลยเหรอ”



               “เพคะ”



               “ชิ้นไหนล่ะ บนล่าง?”



               “ทั้งหมดนั่นแหละเพคะ”



               “แบบนี้เก๊าะโป๊ซี ไม่อาว!”



               เสียงร้องยานคางแผดดังทั่วบริเวณ ตามด้วยการวิ่งไล่จับกันของอดีตนายร้อยกับเหล่าสตรีนางวัง อันดำเนินไปด้วยความอลหม่าน วุ่นวายยิ่ง เนื่องด้วยต่างฝ่ายต่างไม่ยอมซึ่งกันและกัน ดาริกาเอาแต่หนี หากหลบหลีกอย่างไรเหล่านางกำนัลผู้รับบัณฑูรจากองค์ยุพราชก็ไม่ยอมละ โองการจากทูลหม่อมชายใหญ่ ใครจะกล้าล่วงพระบัญชา ทรงกำชับไว้หนักนา ดูแลทูลหม่อมน้อยดาริกาให้จงดี



               “เสียงเอะอะอันใดน่ะ...” มยุย่นขนง หากสาวบาทรวดเร็วจนปรากฏวรองค์หน้าบานทวารห้องบรรทมเล็กแห่งพิมานสมเด็จพระยุพราช ภาพดาริน้อยกำลังวิ่งหลบนางกำนัล ทำให้ดวงเนตรของเจ้าชายพระองค์รองเบิกขึ้นอย่างปีติ รอยแย้มพระสรวลแตะแต้มพักตราภารดาผู้ทรงภูษาเฉดมรกต ดาริหายป่วยแล้วฤๅนั่น เพิ่งเคยเห็นน้องวิ่งเล่นก็ครานี้



               “ฮ่า ๆ” มยุหัวเราะจนคนในห้องหันมอง เมื่อรู้ตัวว่าโดนจ้อง เสียงสรวลจึงเงียบหายไป “เล่นกระไรกัน เสียงดังไปถึงข้างนอก”



               “... ยุ ...”



               คำขานนามนั้นพลิ้วแผ่วออกจากริมฝีปาก พลั้งเพรียกออกไปโดยที่ผู้พูดไม่ทันรู้ตัว การได้พิศดรุณโฉมงาม ตรึงให้ดาริกาตกอยู่ในภวังค์ เด็กหนุ่มคนนี้... ช่างเคยคุ้นเสียเหลือเกิน และที่มากกว่านั้นคือความคิดถึง... ไฉนจึงเอ่อล้นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ



               “ดาริ รีบแต่งตัวเถอะ พี่จะคอยที่ศาลาริมน้ำ”



               คำนั้นก้อง ประทับ สะท้อนอยู่ในภวังค์



               สถานที่แห่งนี้แปลกประหลาด ไม่เคยคุ้น บ้านที่ไม่อาจเรียกว่าบ้าน เสมือนหลงทางลำพังอยู่ในความฝันที่ไม่อาจตื่น ความลับ...ที่กุมไว้ ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ อัดอั้น หนักหนาเพียงไร ระบายออกไปไม่ได้...แม้นคำ เหลียวแลซ้ายขวา มีเพียงตน แค่ตนเท่านั้น ที่จะร่วมเรียงเคียงเดินไปบนถนนสายโชคชะตาเส้นนี้ จึงได้แต่งำความรู้สึกนั้นไว้ กลืนลงไปข้างใน ซุกเก็บในซอกหลืบลึกสุดของหัวใจ เร้นไว้... ทั้งหวานและขม...



               เส้นทางของเราอาจสั้น หรือทอดยาว ข้างหน้าจะราบเรียบกว่านี้ หรือขรุขระ หนักหนายิ่งกว่าเก่า จุดหมายเบื้องปลายคือที่ใด จะได้พบเจอกับอะไร พานพบใครบ้างไหม ไม่รู้... เราไม่รู้อะไรเลย...



               บนถนนชีวิต เราเดินจนเจ็บเท้า ไม่มีที่ให้เกาะ ไม่มีเวลาพัก ทำได้อย่างเดียวคือเดินต่อไปด้วยฝ่าเท้าอันเจ็บปวดนั้นแม้นเลือด...ไหลซิบ เราทิ้งคราบเลือด รอยน้ำตา ความสุขทุกข์ และรอยเท้าจาง ๆ เอาไว้เบื้องหลัง ไม่นาน... เศษทรายแห่งกาลเวลาจะค่อยกลบลบเลือนร่องรอยที่เราหลงเหลือฝากไว้ ทีละน้อย จนหายไป... ทั้งหมดของเรา... หายไป... เหมือนฝุ่นผงที่พัดมา และจากจางไปในสายลม



               ฝุ่นละอองน้อย... ธุลีนี้... ปลิวไปด้วยความเจ็บปวด



               ฝุ่น... เป็นเพียงฝุ่น ใครจะอยากรั้งไว้ เกาะเกี่ยว พักพิงที่ไหน ร่วมเส้นทางกับใคร ไม่ได้เลย...



               ความเดียวดายจับหัวใจเป็นเช่นนี้เอง



               ในห้วงเวลาและสถานที่แห่งนี้ ดาริการู้สึกราวตนเป็นเพียงเศษธุลีที่พัดหลงมา แล้ววันหนึ่ง... จะพัดผ่านไป บอกใครได้ไหมว่าเราเก็บซ่อนความลับ ความลับอันไร้ทางแก้... หรืออย่างน้อย ในเวลานี้ เราไม่อาจแก้... เราประหลาดและแปลกแยกจากพวกเขาอย่างไร ในโลกที่เรารู้สึกว่าไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อเรา ย่อมไม่มีที่สำหรับผู้มีบาดแผลอย่างเรา เราหลงมาในสถานที่และห้วงเวลาที่ไม่ใช่ของเรา รู้สึกไม่ใช่... ไม่ใช่เอาเสียเลย



               บ้านจึงไม่เป็นบ้าน



               ตัวตนจึงไม่เป็นตัวตน



               สิ่งที่เห็น จึงไม่ใช่... สิ่งที่เป็น



               อารมณ์ทั้งมวลของการแบกบางอย่างเอาไว้คนเดียว ความลำพังของการเผชิญชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เราไม่มีวันล่วงรู้อะไรเลย บนถนนที่เราก้าวเดินอย่างโดดเดี่ยว การได้รับรู้ว่ายังมีใครสักคนรอเราอยู่ แม้นไม่ได้ร่วมเดินบนเส้นทางนั้น เพียงเขาไม่ตัดสิน และเข้าใจมัน การรออย่างใจเย็นของเขา เปรียบสายฝนปรอยละอองแผ่วเบา ลงบนหัวใจแตกระแหง



               ดาริกาแทบลืมความกังวล หวาดวิตก ทุกข์กายใจไปเสียสิ้น



               เพียงยินคำ...



               พี่จะ... คอย





************

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๘ รุ่งรวี

รจนา: ทัดจันทร์






อัศวะสีดำสังหารตัวเบี้ยบาทาของฝ่ายตรงข้าม เบี้ยสีแดงจึงตายคากระดานศึกจตุรังกา ผู้เล่นฝ่ายดำยกยิ้ม พอใจในฝีมือการเดินหมากครั้งแรกของตัวเอง ประหนึ่งได้กำชัยรุกฆาต ถึงจะแปลกไปบ้าง แต่ก็เล่นไม่ยาก ดาริกามองสำรวจตัวหมากสีดำของตัวเอง บนกระดานคล้ายตารางหมากรุก ลักษณะการเล่นก็คล้าย หากมีตัวหมากบางตัวแตกต่างไป



“กระดานนี่เรียกว่าอะไรนะยุ”



“จตุรังกา” มยุขยับอัศวะสีแดงของตัวเอง ดั่งบัญชาขุนศึกบนหลังม้าให้เข้าใกล้เป้าหมายอย่างใจเย็น



ดาริกาทดลองเดินตัวหมากมนตรีในฝั่งตน มิได้ใส่ใจแด่อัศวะปัจจามิตร ขณะพึมพำสิ่งที่ตนคิด “ชื่อเหมือนลงกา”



“ต้องเหมือนสิ รานีมณโฑทรงนำกระบวนยุทธสงครามสร้างขึ้นเป็นหมากกระดาน ถวายท้าวราพณาสูรแห่งลงกา หมายให้บดีทรงเล่นแก้รำคาญ ขณะองค์รามยาตราทัพล้อมพระนคร” มยุอธิบายโดยไม่ละสายตาจากตัวหมากในกระดาน มือยังถือพัดหางนกยูงโบกลมอย่างแช่มช้า ด้ามแก่นไม้จันทน์หอมฝังอัญมณี โชยกลิ่นจรุงใจ



ดาริกาทึ่งไปกับความรอบรู้ของเด็กหนุ่มตรงหน้า ที่นี่ เด็กคนอื่นในวัยเดียวกันจะเป็นแบบนี้ไหมนะ เจ้าหญิงน้อยทรงแย้มพระสรวล ซึ่งเป็นรอยละไมของผู้ที่มากกว่าวัยมองชื่นชมเด็ก อดีตร้อยเอกแห่งกองพันทหารสารวัตรพิศดวงหน้าอันแสนเคยคุ้น เฝ้าปฤจฉากับตัวเอง เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่านะ ทำไมถึงรู้สึกเหมือนรู้จักกันมานานมาก



ภาพความทรงจำจากกาลอันไกลโพ้น เหมือนมีหมอกบดบัง มืดมัว สลัวราง



คลับคล้ายจำได้ไกล ๆ ว่าเคยรู้จักเคยสนิทชิดใกล้ ความรู้สึกอบอุ่นใจบางประการอวลอาย รู้แต่ไม่รู้ จำได้แต่นึกไม่ได้



ฤๅ ร่างนี้มีความทรงจำของดาริและดาริกา กระนั้น?



มยุเดินหมากก้าวสุดท้ายในกระดานแห่งนี้ “รุกฆาต”



“ห๊ะ อะไรกัน แพ้ซะแล้ว” ดาริกาที่มัวแต่ใจลอย รีบเรียกสติก้มมองกระดานตรงหน้า คนที่ไม่เคยพ่ายแก่ใครในกระดานหมากรุก ถอนหายใจ เก็บอาการหงุดหงิดไม่ไหว พยายามพิจารณาทำความเข้าใจกับตัวหมากจตุรังกา



คชาสีแดงของมยุกำจัดอัศวะ จากนั้นจึงไสเข้าประชิด รุกฆาตราชาของฝ่ายดำ... ได้ในก้าวเดียว พระราชาของดาริกาถูกปิดล้อมรอบด้านด้วยตัวเบี้ยพยุหะจากทัพหมากสีแดง แพ้คากระดานศึก



“ไหนว่าเล่นแก้รำคาญ ยิ่งเล่นยิ่งรำคาญสิไม่ว่า”



มยุหัวเราะ โบกพัดขนนกยูงคลี่กระจายราวมยุรารำแพน ปลายขนสีน้ำเงินระบายจุดดำอยู่ในวงสีเขียวงามระยับ แววหางนกยูงเป็นแฉกซี่ กรีดกระจายในสายลม ดูนุ่มเนียนละไมมือ พระพัชนีขนนกประดับพลอยหลากสีในหัตถา สง่าเหมือนเจ้าของไม่มีผิด



“ตอนนี้น้องเหมือน ศูรฺปณขา ธิดารากษส”



“ใครนะ”



ดาริกาได้ยินไม่ถนัด เด็กหนุ่มพูดรัวลิ้น กล่าวนามบุตรีฤษีวิสราวัส ในมหากาพย์สํสฺกฤต ขัตติยราช จอมปราชญ์ ต้องรู้ พราหมณาจารย์ประสิทธิ์ประสาทอ่านเขียนสํสฺกฤตมาแต่น้อย ล้วนท่องจำรามยณะ มหาภารตะยุทธ แลสังวาธคีตากันทั้งสิ้น พระเวทบางส่วนก็ใช้สอนสตรี ดาริกาย่อมเคยเรียน หากลึกลงไป... เดวะมันตรา กลศึก และคาถา พราหมณ์ราชครูจะถ่ายทอดเฉพาะหน่อเนื้อกษัตรา ราชบุรุษเท่านั้น



“กนิษฐ์ในพญารากษสสราวณะอย่างไรเล่า ลืมแล้วฤๅ”



“น้องสาวทศกัณฐ์?”



“ใช่ บึ้งตึงเหมือนกันเลย”



“ยุ!”



“ฮ่า ๆ”



เจ้าชายพระองค์รองทรงพระสรวลเสียงใส



แววหางนกยูงปักประดับรัดเกล้าทองคำล้อมมวยเกศาดำขลับ ลู่ไหวในกระแสปราณวาโย ทำนองกระดิ่งล้อลมแว่วมาจากชายศาลาริมน้ำ คลอเคล้าไปกับเสียงหัวเราะ ภาพบรรยากาศงดงามของดอกไม้หลากเฉดสีสลับพุ่มพฤกษ์ชะอุ่มเขียวในอุทยาน ช่างสดใสไม่ต่างประการใดกับดรุณตรงหน้า



รอยระยับในดวงตาสีนิล ประทับ ตราตรึง จดจำ



ดาริกาถามตัวเองซ้ำอีกคำรบ เราเคยรู้จักกันใช่ไหม... ต้องเคยแน่ ๆ รอยยิ้มแบบนี้ เสียงหัวเราะแบบนี้ เพียงแค่คราวนี้เราไม่ได้อยู่ใต้ต้นพิกุล ทำไมต้องต้นพิกุล?



จำได้แต่รฦกไม่ได้ เป็นเฉกนี้



“น้องจ้องหน้าพี่อีกแล้ว มีกระไรจะพูดก็ว่ามา”



“เปล่า...” จะให้เอ่ยออกไปอย่างไรว่าเราไม่ใช่ดาริน้อยของภารดา เป็นเพียงคนที่รู้สึกคุ้นหน้า เราเพิ่งจะเคยพบเจอกัน “...แค่คิดว่า ถ้าเล่นอีกตา คราวนี้ก็จะชนะ”



ทว่าจตุรังกาผ่านไปตาแล้วตาเล่า ผลแพ้ชนะก็ยังคงเดิม



“ยังจะเล่นอีกฤๅ แพ้มาสี่กรดานแล้วนา”



“ยุ อย่าย้ำ” คนที่ไม่ยอมรับต่อความพ่ายแพ้บ่นอุบ “ปกติไม่เคยแพ้”



“จะแพ้ได้อย่างไร ในเมื่อน้องไม่เคยเล่น”



“ก็ไม่เคยจริง ๆ นั่นแหละ” อดีตนายทหารพยักหน้า จมอยู่ในห้วงคิด นอกจากเขา เจ้าหญิงน้อยพระองค์นี้ก็ไม่เคยเล่นเกมกระดานจตุรังกามาก่อนเช่นกัน



“น้องเกลียดการศึก แม้แต่สงครามหมากกระดานน้องยังไม่เคยเหลียวแลด้วยซ้ำ”



“อ้า... นั่นสิ ไม่ชอบ ไม่ชอบเอาเสียเลย” ดาริกาพลันรู้สึกถึงเม็ดเหงื่อชื้น ผุดพรายตามไรผม



“นั่นน่ะซี แล้วคนที่ชังสงครามหนักหนา ยาไฉนสนใจกระดานศึก ทั้งยัง... หันคมดาบคร่าฟันศัตรู”



ดาริกากลืนน้ำลายหนืดคอ จ้องมองเด็กหนุ่มผู้มีสีหน้าแย้มยิ้ม โบกพัดหางนกยูงแช่มช้า ราวเพียงถามไถ่สภาพลมฟ้าอากาศ หรือเจ้าเด็กนี่สงสัยเรา



“คือ... จะปล่อยให้... ยุ... โดนฆ่าต่อหน้าต่อตาได้ยังไง ตอนนั้นทำอะไรได้ต้องรีบทำ ไม่ทันคิดหรอก”



“เป็นเช่นนั้นสินะ” รอยยิ้มที่เคยฉาบดวงหน้าเจ้าชายผู้แสนสราญจางหาย คงเหลือแต่แววตาและสุรเสียงจริงจัง “น้องช่วยชีวิตพี่ไว้ หนี้ชีวิต ชดใช้อย่างไรคงไม่มีวันหมด”



“หนี้ชีวิตอะไรกัน คนที่เป็นหนี้ต่อยุคือน้องเองไม่ใช่เหรอ” ร่างกายนี้มีความทรงจำ แม้จะเพียงเลือนราง แต่ผู้กองก็ยังรู้สึกถึงมันได้ ความทรงจำของเจ้าหญิงน้อยดาริกา คล้ายเศษเสี้ยวภาพหม่นมัวในความฝัน กระจัดกระจายอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ



เพราะมยุฤามิใช่ ที่ทำให้ชีวิตงันเงียบของเจ้าหญิงน้อยแจ่มใสด้วยเสียงหัวเราะ



เพราะมยุฤๅมิใช่ เป็นทั้งพี่และเพื่อน เป็นโลก...ใบเล็ก...ทั้งใบของดาริ



เช่นนี้แล้วคนที่เป็นหนี้ต่อมยุคือเจ้าหญิงน้อยดาริกา เพราะเสมอมา มยุคือผู้ที่เธอคอย... ฤๅมิใช่



“แต่ถ้ายุอยากจะใช้หนี้ สอนหมากกระดานนี้ให้หน่อยก็พอ ฝึกไว้ เผื่อรบร้อยครั้งจะได้ชนะทั้งร้อยครั้ง”



“ดาริ น้องเป็นสตรี ใครจะให้ออกรบ”



“อ้าว แล้วกัน” อดีตนายทหารหนุ่มเพิ่งโดนกีดกันด้วยข้อห้าม และความแตกต่างทางเพศเป็นครั้งแรก ใครกันช่างกำหนด ดาริกาเริ่มเห็นเค้าของความยากลำบากในการใช้ชีวิตเยี่ยงสตรีที่ไม่สามารถออกรบ ทั้งวันคงนั่งพับเพียบกรองมาลัย เพียงคิดก็หงุดหงิดแล้ว “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ทำไมสงครามจะสร้างวีรสตรีขึ้นมาบ้างไม่ได้”



“ถ้าเช่นนั้น...”



“อะไรเหรอยุ”



พรึบ



มยุสะบัดปลายพัชนีหางนกยูง ล้มตัวหมากจตุรังกาทั้งกระดาน “ไม่ต้องณรงค์รบในสนามศึก น้องก็เป็นวีรสตรีที่ช่วยชีวิตพี่ไว้อย่างไร”



“โถ่ นึกว่าจะพาออกรบ”



“โถ่ดาริ น้องอยากจะรบกับใครนักหนา”



“ก็คนพวกนั้น...” ดาริกาพลั้งปาก ตอบออกไปไม่ทันคิด “...ชายชุดดำที่บุกมา”



นอกจากเรื่องที่ต้องใช้ชีวิตต่อไปในฐานะเด็กสาว ดำรงพระยศเจ้าหญิงน้อยแห่งตักโกลา สิ่งหนึ่งรบกวนจิตใจ อันเป็นสัญชาตญาณของร้อยเอกกองพันทหารสารวัตร ชายชุดดำบุกสังหารบริวารและเจ้าหญิงน้อยถึงพระตำหนัก เพราะอะไร? ตั้งแต่เมื่อไรที่เด็กหญิงวัยสิบห้าผู้ใสซื่อ เป็นพิษเป็นภัยต่อใครถึงขนาดนั้น ที่สำคัญ... แปลก พวกมันบุกเข้ามาถึงพระราชฐานชั้นใน หากไม่มีใครเห็น



ลางสังหรณ์ร้องเตือนถึงความไม่ปกติ



“เรื่องสลัดชวาปล่อยให้พี่ชายใหญ่กับพี่เป็นคนจัดการ ไว้ใจเถอะดาริ เหตุบังอาจเช่นนั้นจะไม่เกิดอีกเป็นซ้ำสอง”



“สลัดชวา?”



“ใช่ โจรสลัดจากชวา ปล้นเรือสลุบเรือสำเภาของพ่อค้า บางครั้งพวกมันเป็นมือสังหารรับจ้าง ขึ้นอยู่กับของรางวัล มากพอจะให้มันเสียแรงฤๅไม่”



“สมัยนี้คนยังโล้สำเภาอยู่อีกเหรอ” ผู้ที่รู้จักเพียงเรือรบติดขีปนาวุธทันสมัยประหลาดใจในสิ่งที่ได้ยิน



“มิใช้ตะเภา พ่อค้ากรุงจีนจะเอากระไรล่องมาค้าขาย”



“ยุ อย่าหาว่าเสียสติเลยนะ แต่ขอถามหน่อยเถอะ วันนี้วันที่เท่าไหร่ปีอะไร”



“วันนี้ฤๅ ก็...”





******ธรฺมรฏฺฐคีตา******

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๙ มมังการอหังการ์

รจนา: ทัดจันทร์









นครตักโกลา

แรม ๒ ค่ำ อัศวยุชมาส มะโรงศก

กลียุคที่ ๔๓๔๖




เมื่ออยู่คนเดียว ไหล่บางที่เคยหยัดตรงกลับห่อเหี่ยว มือที่เคยบังคับให้ไม่สั่น เวลานี้เยียบเย็นระริกไหว ดาริกาเตือนตน ห้ามหวาดกังวล ผู้บังคับบัญชาที่ดีจะต้องมีสติเสมอ ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายคับขันเพียงใด กระนั้น ต่อให้พร่ำเตือนจิตตนอย่างไร ภายใต้สภาวการณ์น่าสับสนงุนงงเช่นนี้ กลับไม่สามารถคลายวิตกลงได้



ใครจะไปคิด ต้องมาติดอยู่ในร่างเด็กผู้หญิง เมื่อ... ปีอะไรนะ



“ใช่ กลียุคที่ ๔๓๔๖”



ผู้ที่อยู่ในร่างของเจ้าหญิงน้อยแห่งตักโกลา เอ่ยกับเงาสะท้อนในพระฉาย คันฉ่องสำริดสะท้อนภาพดรุณีน้อย โฉมสะคราญ ทอดถอนปัสสาสะอาปาณ กลัดกลุ้มใจ



‘ศักราชอะไร ไม่เคยได้ยิน’ ดาริกายังจำเสียงเหวของตัวเองยามยินคำกลียุค



‘ดาริ อย่าล้อพี่เล่น เรานับจตุรยุคเยี่ยงนี้ ตามปฏิทินฮินดู แบ่งยุคออกเป็นสี่ยุค ดังที่ท่านพราหมณาจารย์เคยสอน น้องพูดราวหลงลืมเสียแล้ว อะนั้น’



‘จะว่าอย่างนั้นก็ได้ จริง ๆ แล้ว ยุ น้อง…มีเรื่องจะบอก’ อดีตชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดรู้ดีว่า เขาไม่อาจปกปิดสายตาอันแหลมคมของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ได้ จึงเลือกที่จะบอกความจริง บางส่วนออกไป ‘ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา น้องจำบางอย่างได้ บางอย่างก็จำไม่ได้ รู้ไหมยุ ความทรงจำบางส่วนหายไป’



‘เหตุนี้น้องถึงมีกริยาวาจาผิดแผกไป’ มยุเผลอพูดในสิ่งที่นึกสงกา ‘หมอหลวงรักษาดีแล้วแน่ฤๅ พี่จะเรียกมาตรวจอาการน้องเสียใหม่’



‘ไม่ต้อง ยุ ไม่ต้องหรอก แค่บอกหรืออธิบาย แล้วจะจำได้เอง’ คงเหมือนกับที่เขาเพียงได้เห็นหน้า ก็รู้ได้ หมายจำ พลั้งเพรียกออกมา ดังที่เกิดในยามสบพระพักตร์เจ้าชายมยุและสมเด็จพระยุพราชหริสสา



‘ถ้าเทียบพุทธศักราชล่ะยุ เป็นปีที่เท่าไร’



‘ศักราชแห่งสมเด็จพระโลกนาถเจ้าน่ะฤๅ เกิดขึ้นเมื่อกลียุคล่วงแล้ว ๒๕๕๘ ปี’



“แสดงว่าปีนักษัตรมะโรงขณะนี้คือ...” เด็กสาวหน้ากระจกสนทนากับเงาสะท้อนของตัวเอง “พ.ศ. ๑๗๘๘”



ร่างบางทรุดนั่งลงหน้ากระจก แทบไม่เหลือแรงทรงตัว



“เกือบแปดร้อยปี! นอกจากติดอยู่ในร่างของเด็กผู้หญิงแล้ว เรายังย้อนเวลากลับมาตั้งเกือบแปดร้อยปี นี่มันเกิดเรื่องพิลึกอะไรขึ้นกับชีวิตเราวะเนี่ย”



แม้เวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้คนเจ้าหญิงน้อยผู้ทรงฟื้นจากการต้องพิษผ้าราวปาฏิหาริย์ อาจจะทรงแสดงพระกริยาอาการผิดแผกไปบ้าง ทว่ายังทรงวางพระองค์ได้เป็นอย่างดี อาจเป็นด้วยวัยและประสบการณ์ที่เคยสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตหลายครั้ง เลยทำให้สามารถเอาตัวรอด ลื่นไหลไปกับสถานการณ์ได้ ทั้งที่ภายใจจะรู้สึกสับสน หวาดกลัว มากมายก็ตาม



ดาริกานวดขมับ พยายามรวบรวมสติไม่ให้ฟุ้งซ่าน “แถมเรายังมีความทรงจำของร่างนี้ แม้จะรางเลือนก็เถอะ”



ดังที่ได้บอกมยุไปเรื่องความทรงจำ ไม่ได้ปกปิดความจริงไว้เพียงนิด ความทรงจำของเจ้าหญิงน้อยบางส่วนเลือนราง หายไป แต่ที่ยักเยื้องไว้บอกไม่หมด คือความทรงจำของผู้กองดาริกา ชัดเจนทุกอณู และยามย่ำสายัณห์ของวันนั้น ความทรงจำของดาริและดาริกาก็ตีกระหวัด ฟุ้งขึ้นมา ปานสายน้ำสองสายหลากไหลบรรจบกัน



เมื่อเขา... ได้พบกับคนที่คิดถึงมากที่สุด



‘พ่อ!’



คำร่ำหาจากเรียวโอษฐ์บาง พลังขึ้นเมื่อยามพญาตักโกลาเสด็จเยี่ยมพร้อมเจ้านางเมือง ดาริกาแทบยั้งคำ ผมคิดถึงพ่อ เอาไว้ไม่ไหว ภาพความทรงจำของร้อยเอกดาริกาซ้อนทับกับภาพจำของเจ้าหญิงน้อย ราวหลอมรวมเป็นภาพเดียว ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน เวลาใด ผู้เป็นพ่อยังคงมีแววตาและรอยยิ้มอันอบอุ่นเช่นนี้อยู่เสมอ



แม่... ที่ผู้กองเคยเห็นเพียงภาพถ่ายซีดจางในกรอบแขวนผนัง ในกาลนี้ สตรีตรงหน้ามีชีวิต เจ้านางเมืองงดงาม สง่า ราวความฝัน



วรองค์โปร่งบางโผกอดบิดา อัสสุธารารื้นขอบนัยน์เนตร ทว่าน้ำตาเพียงหยดก็ไม่รินไหล



ร้องไห้ไย



หัวใจจะต้องกล้าแกร่งในสถานการณ์อันโหดร้าย



นั่นคือทางรอดเดียวของผู้ชนะเหนือสมรภูมิชีวิต



บางครั้งเราอาจติดอยู่ในพายุ แต่พายุไม่อาจติดในใจเรา



หัวใจกล้าแกร่ง พายุแห่งชีวิตไม่อาจพัดพายทำร้ายได้




วูบหนึ่งดาริกาคิด สิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เมื่อได้เห็นซึ่งรอยยิ้มและรับสัมผัสจากบุคคลที่... หากตัวเองยังคงเป็นผู้กองดาของเหล่านายทหารพราน คือบุคคลที่ไม่อาจหวนกลับ แต่ไม่ใช่กับเจ้าหญิงน้อยแห่งนครตักโกลา ดาริกา วิลาวัลย์ จอมขวัญตา ผู้เป็นยิ่งแก้วตาดวงใจของบุพการีและเชษฐาทั้งสอง



ภาพจำดุจแม่น้ำสองสาย ส่วนหนึ่งไหนมาบรรจบ



ทว่า... เจ้าของวรองค์โปร่งบาง เหมือนจะหลงลืมอะไรบางอย่าง บางอย่างที่สำคัญยวดยิ่ง



ดาริกาคิดไม่ออก



ช่างเถอะ สำคัญจริงต้องคิดออกสิ คงสำคัญไม่จริงถึงได้ลืมเลือน




************

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๙ มมังการอหังการ์

รจนา: ทัดจันทร์










เงินตราบันดาลได้ทุกสิ่ง ถ้ามากพอ



อำนาจอันน่าหลงใหลของเงินตรา หากใช้ให้ถูกและทรงประสิทธิภาพสูงสุด จะก่อให้เกิดประโยชน์นับคณามหาศาล ดังตักโกลาสร้างอารยะจากการค้า นฤมิตเมืองท่าอันโอ่อ่า ทำพาณิชยกรรมด้วยเหล่าวณิชชากรจากทั่วสารทิศ สินค้า เงินตรา และการแลกเปลี่ยน จึงผลิดอกออกผล ให้ประชาราษฎร์ในนาครได้ตักตวง



ความมั่งคั่งหลากไหลเข้าสู่ตักโกลา ผ่านเกลียวสมุทรเข้าสู่ปากน้ำนทีธาร ธรรมชาติมอบภูมิประเทศเป็นของขวัญแก่ดินแดนอาณาจักรทะเลใต้แห่งสุวัณณทวีป เป็นร่องน้ำลึก เภตราวาณิชขนาดใหญ่ สามารถล่องผ่านได้โดยสะดวก



ปากน้ำตักโกลา ร่องน้ำล้ำลึก สถานที่ซึ่งแควหลวงหลายสายไหลมาบรรจบก่อนออกสู่ห้วงทะเล คงความกว้างหลายร้อยเส้น ย่อมหมายถึงขีดความสามารถในการรองรับเรือสินค้าจำนวนมาก จากถ้วนทั่วหัวระแหง



ศิขรินทร์มองสำรวจเมืองแห่งเงินตรา ที่อวลกลิ่นเครื่องเทศโชยกำจาย



ย่านชุมชนพ่อค้าชาวสิงหล เป็นตลาดค้าเครื่องเทศ สมุนไพร กระทั่งยาพิษ ที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนสุวัณณทวีป ด้านคาบสมุทรฝั่งปรัศจิมทิศนี้ ร้านรวงสองฟากถนนปูอิฐแดง จำหน่ายสินค้ามากมาย ผู้คนในพื้นถิ่น หรือจากต่างเมือง ต่างชาติเชื้อ เดินปะปน ออกมาจับจ่ายแน่นขนัดอย่างเช่นทุกวัน



กลิ่นใบกระวานในกระบะไม้จากร้านริมทาง โชยซ่าน กำซาบนาสาของบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ผู้มีแผลเป็นกรีดหางคิ้วซ้าย กลิ่นกระวานระอายอวลสมแก่นามเมือง... ตักโกลา



คำ ‘ตักโกล’ ในภาษาสิงหลแปลว่ากระวาน



นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่สาม เมืองท่าแห่งนี้เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ชนกลุ่มแรก ๆ จากอินเดียที่เริ่มล่องเรือค้าขาย เล่าขานต่อกัน ว่าอุดมด้วยเครื่องเทศธัญญาหาร บริบูรณ์พร้อมด้วยพืชพรรณแห่งป่าฝน กระทั่งราวพุทธศตวรรษที่เจ็ด เสียงฦๅ เสียงเล่าอ้างถึงนาครตักโกลา เมืองท่าที่เจริญรุ่งเรือง ได้ถูกบันทึก ปรากฏนามอยู่ในคัมภีร์มหานิเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก



ศิขรินทร์และนักเผชิญโชคทั้งหลาย ย่อมเคยคุ้นกับคำกล่าวมาแต่ครั้งโบราณ ถึงการเดินทางเพื่อแสวงหาโชคลาภและความร่ำรวยยังดินแดนอาคเนย์ อันห่างไกลจากแผ่นดินภารตวรรษ ความว่า



... เมื่อแสวงหาโภคทรัพย์ ย่อมแล่นเรือไปในมหาสมุทร ไปคุมมะ... ไปตักโกละ... ไปตะมะลิง... (๑)



กว่าหนึ่งพันปีที่ตักโกลาเปิดท่าทำการค้า ศิขรินทร์ไม่อาจจิตนาการได้ว่า จำนวนเหรียญทองในท้องพระคลังมหาสมบัติของนครสมญาใบกระวาน จะท่วมท้นสักเพียงใด



ปทุมวงศ์ ผู้เป็นจ้าวแห่งนักษัตรเล่า ยังทวาทศนคราไว้ภายใต้ร่มพระมหาเศวตฉัตร แผ่พระราชอำนาจ ครองดินแดนตลอดคาบสมุทรแหลมมลายู ขยายอาณาจักรล้ำไปในสุวัณณทวีปถึง ธานยปุระ เมืองปากน้ำโพ เช่นนั้นแล้ว จะทรงแสนยานุภาพ ยิ่งใหญ่ปานใด



หัวเมืองทางเหนือ ไม่ว่าเมืองใด ยังต้องยรรเยงเสียด้วยซ้ำ หาไม่ จักติดต่อ หาทางออกชะเลได้เยียใด



ปาฏลีบุตรจ้าวนครา จึ่งทรงอำนาจเหลือล้น



ศิขรินทร์เลี้ยวเข้าตรอกแคบเกือบสุดหัวมุมถนน ลัดออกสู่ย่านตลาดที่ขายสารพันสินค้าจากกรุงจีน อินเดีย อาหรับ มัวร์ และเปอร์เซียร์ เด็กชายวัยสิบขวบที่ตามหลังมาตลอด กลับวิ่งนำอย่างดีใจเมื่อเห็นร้านค้าอาวุธปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า มันรี่เข้าไปจดจ้องกริชสั้น ใบหยักคม ตีขึ้นด้วยโลหะวับวาว รอยระริกในดวงตาทอประกายแห่งความปรารถนา



“น้อย ๆ หน่อยเถอะเจ้าตัวดี ทีข้าไล่ให้อาบน้ำ ไม่เห็นเริงรื่นถึงเพียงนี้”



บุรุษนักเผชิญโชคจากภารตวรรษ เบ้หน้าอย่างระอา ไอ้ตัวซนมันได้ยินแต่ทำหูทวนลม เจ้าเด็กผมระบ่า ดวงหน้าเกลี้ยงเกลา ไม่ละสายตาจากคมอาวุธ ซ้ำยังลูบด้ามไม้สลักเสลาอย่างชื่นชม



“คอยดู ข้าจะจับแช่น้ำเสียให้เข็ด” คาดโทษเสร็จสิ้น หนุ่มคร้ามคมเข้มก็สะบัดชายเสื้อคลุม เข้าร้านไป



เสียงค้อนตีเหล็กดังเป็นจังหวะ สลับกับเสียงโลหะร้อนจุ่มน้ำจนไอเดือดคลุ้งโขมง ขับถ้อยสำเนียงของการรังสรรค์ประดิษฐ์ศาสตราจากโรงตีเหล็กด้านหลัง กล่อมให้ร้านอาวุธ ก่อฐานด้วยอิฐปูน ฝาไม้ มุงหลังคากระเบื้องดิน มีชีวิตชีวา ราวใบดาบกำลังหายใจ



ชายร่างสูง ขนงหนาประดับแผลเป็น มองศาสตรารายเรียง ดาบ หอก เคียว ง้าว กระทั่งมีดสั้น กริชสกุลช่างมลายู ล้วนใบคม เนื้อวาวเรียบ บ่งบอกฝีมือประณีตของช่างชั้นครู ศิขรินทร์ลองมีด หยิบควงอย่างคล่องแคล่ว หากพลันต้องหงิกหน้า ระอารำคาญ



“อะไรของเจ้าอีก”



เจ้าจอมยุ่งขยุ้มชายเสื้อ ชี้มือชี้ไม้ไปทางถาดมีด มิวายหันกลับมาช้อนสายตากลมใส เสมือนนัยน์เนตรมฤค กวางทองแห่งทัณฑกะวนา อสูรแปลงเพื่อล่อหลอกรานีสิตาแห่งองค์ราม



“เฮ้อ” ชายหนุ่มปล่อยอาปาณยืดยาว เป็นแบบนี้ทุกที พออยากได้ล่ะมาทำช้อนตาใส่ ดู ดูมัน ยังจะมากัดปากอีก “อะ เออ อยากได้อันไหนเล่า พาข้าไปดู”



มฤคตัวน้อย ร้ายยิ่งกว่าอสูรจำแลง



ปุรุษาวัยยี่สิบห้า จึงเดินตามเด็กต้อย ๆ




***


ตลอดทางเดินริมชายป่าเลียบลำน้ำ ตะวันบ่ายสาดแสงเล็ดรอดร่มใบกันเกราที่ขึ้นห่างกัน ฉาบรอยรำไรไปตามรายทาง มันตวัดดาบไม้ลงบนกอหญ้าทัตภา คงหมายฟันใบหญ้าให้ขาดสะบั้น เปล่าเลยหญ้าทัตภาไม่อาจขาดได้ด้วยดาบไม้ด้ามทื่อ เจ้าตัวเลยยิ่งรู้สึกหงุดหงิด ไม่น่าเสียรู้ให้แก่คนเหลี่ยมจัดพรรณนั้น



“ฮ่า ๆ”



เจ้าตัวดีชำเลืองหางตา มองบุรุษนักเดินทางหัวเราะร่วน ท่ามกลางประกายแดดและแมกไม้แห่งพงไพร ยิ่งทำให้เด็กชายหน้ามุ่ยไม่พอใจ รีบเดินจ้ำอ้าว ทิ้งห่างไป



“อย่ามาทำขุ่นข้อง ข้าพูดเสียที่ไหนว่าจะซื้อให้”



มันได้ยินแต่ไม่ยอมหัน อาวุธจำลองในมือเจ้าตัวยุ่ง กษณะนี้ผันคมเข้าหามังเรต้นเตี้ย จนใบฉีกกระจาย



“น่า ได้ดาบกับโล่แล้วอย่างไร ฝึกให้คล่องมือเถอะ แล้วเจ้าจะได้ของจริง เอ... แต่โล่ก็เหมือนของจริงแล้วนี่”



โล่เนื้อโลหะผสมขนาดเล็ก ช่างร้านอาวุธประดิษฐ์ขายเป็นของเล่นแก่บุตรเศรษฐีผู้มีอันจะกิน กวัดเกว่งอยู่ในมือของเด็กชายเรือนผมประบ่า ผู้ติดตามนักเผชิญโชคพเนจร โล่โลหะฉลุลายอย่างหยาบสะท้อนแสงตะวันบ่ายแวบวาบ เป็นเหตุให้ศิขรินทร์ต้องหยีตา



“รัญ” ยามขานนามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เด็กชายรู้ว่ามันควรตั้งใจฟัง “ยืนนิ่ง ๆ”



เด็กวัยสิบขวบทิ้งแขนข้างลำตัวอย่างว่าง่าย



“คราวนี้เหวี่ยงโล่ออกมาป้องลำตัว ดั่งพยุหะตั้งรับศัตรู”



โล่โลหะเครื่องกำบังน้ำหนักเบาเหมาะสำหรับเด็กในวัยเล่นซน แกว่งทาบปิดป้องเรือนกาย ประหนึ่งพยุหะขุนพลในยามตั้งรับทวยทัพกองบุกทะลวงฟันของอริศัตรู



“ดี” คำนั้นห้วน สั้น เจ้าของแผลเป็นเหนือหางคิ้วซ้ายเอ่ยชมขณะหยีตา



“จากนี้... ข้ามีเรื่องสนุกให้เจ้าเล่น”



แม้นถ้อยพจีฟังคล้ายน่าตื่นเต้น หากสุรเสียงทุ้มพิเราะห์ของผู้พูดกลับราบเรียบ เย็นชา ดุจผิวน้ำใสนิ่งเป็นกระจก ใครจะรู้ ผืนธาราเรียบนิ่งสะท้อนประกายทิวามณียามบ่าย ลวงตา...ดูตื้นเขิน แท้จริง เกลียวนทีเบื้องบาดาล ลึกล้ำ เชี่ยวกราก ผลาญทลาย








************

เชิงอรรถ

(๑) พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๒๙ หน้า ๑๘๘

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๙ มมังการอหังการ์

รจนา: ทัดจันทร์







               “แคว๊ก”



               พญาอินทรีย์ทองตัวเต็มวัยกรีดปีกกระพือบิน โฉบไปในอากาศราวเป็นเจ้าของน่านฟ้า ดาริกาเหงนมองนักล่าเจ้าเวหาแหวกห้วงนภาดล ทึ่งในความสามารถของยุวกษัตริยาเกศาสลวยยาว ผู้ทรงคุมบังเหียนควบม้าให้วิ่งไปตามหาดทรายขาวที่ทอดยาว ขนาบด้วยเกลียวคลื่นและปราณทะเล



               การเลี้ยงอินทรีย์ให้เป็นนักล่าคู่ใจ ไม่ใช่เรื่องง่าย คนขลาดฤๅเลี้ยงพญานก ยามประคองอินทรีย์ทองตัวโตเต็มวัย หนักถึงสี่สิบชั่ง(๒) เกาะพาหา นอกจากพละแขนอันแข็งแกร่งแล้ว ต้องใช้ความหาญ มิหวาดไหว จ้องลึกเข้าไปในตานกนักล่า หากสั่นสะท้านกริ่งกลัวแม้นเพียงนิด สัตว์นักล่าจะรับรู้ นั่นย่อมหมายถึงอันตรายแก่ผู้ที่ริอ่านกล้าลองดี



               จอมสกุนารักอิสระยิ่ง มิอาจถูกกักขังอยู่แต่ในกรง ความไว้เนื้อเชื่อใจจึ่งสำคัญที่สุด โซ่ทองล่ามได้ หากคล้องไว้ตลอดกาลย่อมไม่เป็นผลดี นกจะไม่จงรักผู้เป็นนาย คิดแต่จะโบยบินจากไปอยู่ถ่ายเดียว การเชื่อใจแลให้อิสระ ปฏิบัติต่อกันอย่างผู้ที่เท่าเทียม ผู้ที่จะร่วมทุกข์สุข เป็นตาย ออกล่าด้วยกัน ต้องใช้ใจซื้อใจ สุดท้าย เวลาอันยาวนานที่ใช้ฝึกฝนเลี้ยงดู ด้วยใจ ด้วยพละ ด้วยความกล้า บ่มเพาะความสนิทคุ้นชิน ถักทอสายสัมพันธ์ต่อผู้เป็นนาย



               สัตว์นั้นแม้นเป็นเดียรัจฉาน หากมันซื่อสัตย์ยิ่ง ลงว่าใครเป็นนายแห่งมันแล้ว มันจะรักทั้งใจ ทั้งชีวิต



               ขุนทอง พญาอินทรีย์ทองเจ้าเวหา จึ่งเป็นขุนศึกนักล่าผู้รู้ใจ เป็นองค์รักษ์ผู้ภัคติต่อเจ้าชายมยุ นายเหนือหัวแห่งมันแต่เพียงผู้เดียว ทั้งใจ...ทั้งชีวิตของมัน...



               เจ้าขุนทองโผบินกลางนโภมณฑล เหนืออาชาสีน้ำตาลเข้มที่มยุควบห้อไปบนหาดทราย ดาริกาจำเป็นต้องเกาะบั้นพระองค์ยุวขัตติยาผู้พี่ เนื่องจากอัศวะพ่วงพีย่ำกีบเหยียบผืนทรายฟุ้งกรรจาย วิ่งไปด้วยความเร็วเต็มเหยียดสุดกำลัง ก่อนม้าลักษณะดีจะค่อยลดความเร็วและหยุดลงเมื่อถึงบริเวณการท่า... สาคเรศจอดพักเภตราสินค้าแห่งนคราผู้ถือครองตรานักษัตรที่สิบเอ็ด ปีจอ



               เจ้าชายกฤษฎีบางเหวี่ยงพระองค์ลงจากอานอาชาด้วยความชำนาญ มยุยื่นหัตถาให้น้องน้อยเกาะ ประคองวรองค์ลงจากหลังอัสดร ขนนกยูงทัดเกล้าเกศาพลิ้วไสวในลมทะเล ระริกเช่นรอยระรื่นในแววตาภารดาผู้ชอบพากนิษฐ์น้องขึ้นหลังม้า ควบเล่นไปด้วยกัน



               เจ้าชายฉลองภูษาเฉดมรกต ผายพาหาทรงปลอกหนัง เบี่ยงยื่นไปทางสะพานไม้เบื้องหน้า ขุนทองกระพือปีกโฉบร่อน เกี่ยวกรงเล็บ เกาะลงเหนือปลอกหนังกวางที่สวมติดแขนผู้เป็นนาย ดรรชนีมยุชี้ไปเบื้องบุรพาตน สะพานไม้ทอดยาวจากฝั่งยื่นลึกลงไปในทะเลแทบสุดสายตา...



               “ถึงแล้วดาริ ท่าเทียบเภตราของเรา”



               นางนวลระงมร้องเหนือป่าเสากระโดง... เสากระโดงเรือสลุบเรือกำปั่นนับร้อย ทอดสมอรายเรียงตลอดสองฟากของสะพานไม้ขนาดใหญ่ กว้าง ท่าเภตราแห่งตักโกลาแน่นขนัดไปด้วยเรือใหญ่ หุบใบ บรรทุกสินค้าเต็มลำ เตรียมออกเดินทาง เพราะการมาเยือนของมรสุมลมตะเภาที่เริ่มในเดือนอัศวยุชมาศ(๓) เป็นสัญญาณสิ้นสุดฤดูกาลค้าขายของวาณิชชากรอินเดีย เปอร์เซีย มัวร์ และอาหรับ ลมอุตราจะทำให้คลื่นโหมแรง วายุกระหน่ำ เรือสลุบกำปั่นมิอาจทอดสมออยู่ได้ พ่อค้าทางฝั่งตะวันตกจึงใช้มรสุมนี้ แล่นใบ กลับบ้าน สิ้นสุดฤดูกาลค้าขายอันยาวนานตลอดหกเดือน



               หาก... จุดสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง คือจุดเริ่มต้นของอีกสิ่งเสมอ



               ลมตะเภาคือคำขานลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดให้เรือสลุบเรือกำปั่นจากไป แต่จะนำเรือสำเภาเข้ามา อีกหกเดือนนับจากนี้ ท่าเรือของนครท่าทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝั่งตะวันออก ณ เมืองแห่งจ้าวสิบสองนักษัตร จะต้อนรับการมาของพ่อค้าแดนต้าซ่ง กรุงจีน สำเภาจีนจะกางผ้าแดงเต็มใบ นำผ้าไหม ถ้วยโถชามไห สินค้าของมีค่าจากโพ้นทะเล มาทำการค้าขาย เรือเภา(๔)จะจอดเทียบท่า แน่นขนัดมิต่างฤดูกาลแห่งเรือสลุบกำปั่นที่กำลังจะพ้นผ่านไป



               อดีตร้อยเอกแห่งกองพันทหารสารวัตรเบิกตาโต สิ่งที่ประจักษ์ตรงหน้าคือท่าเรือโบราณ จุดแวะพัก ค้าขาย ขนถ่ายสินค้า อันเลื่องชื่อที่สุดบนคาบสมุทรทะเลใต้ด้านปรัศจิมทิศแห่งสุวัณณทวีป สิ่งที่เห็นมิอาจหาได้จากเอกสารเล่มไหน ภาพที่ประจักษ์ด้วยสายตา เกินบรรยาย



               “เป็นท่าเรือที่...ใหญ่...มากเลยยุ” ดาริกาตะลึงลาน “ไม่คิดว่าท่าเรือโบราณจะใหญ่ รองรับเรือมากมายขนาดนี้ อันที่จริง ไม่คิดว่าจะมีเรือมากขนาดนี้ด้วยซ้ำ” คนสมัยใหม่ที่ไม่เคยรู้ถึงความสามารถของคนยุคเก่า มิอาจปกปิดความประหลาดใจ ลึกในนั้น คือความชมชื่นและความภาคภูมิ...

 

               “ต้องใหญ่สิ ตักโกลาทำการค้ากับวาณิชชากรหลายชนชาติ ดาริ... เราเป็นจ้าวท่ามาช้านาน จากบุราณกาลถึงยามนี้... นับเป็นเวลาร่วมหนึ่งพันห้าร้อยปี การท่าแห่งเราฤๅมิพรั่งพร้อม เรารับสินค้าแลเงินตราอันหลั่งไหลมาจากทุกแดนด้าว หลายชั่วคนที่บรรพบุรุษแห่งเราได้สร้างการท่าและขยายเขตการค้าจนยิ่งใหญ่ สร้างนาคร บ้านเรือน การทำกิน สร้างความมั่งคั่งให้ท้องพระคลังแลราษฏร ชนแห่งเราจึงเป็นสุข อิ่มใจ อิ่มท้อง... นามแห่งตักโกลาถูกขานมานับพันปี ต่อไป จะยังถูกคนขานฤๅไม่... พี่ไม่รู้... แต่จงภูมิใจเถอะดาริ เพราะจากกาลก่อนตราบ ณ เวลานี้ กษณะนี้ การท่าแห่งตักโกลามิเคยเป็นสองรองต่อผู้ใด”



               ภาพเรือสินค้าขนาดใหญ่ทอดสมอจอดขนาบท่า เรียงรายยาวสุดสายตา ธงหลากสีปักประดับด้วยหลายตราสัญลักษณ์ โบกไสวเหนือเสาเรือ ล้วนดูละลานตา การใช้คำ ป่าเสากระโดง จึงคงมิผิดนัก



               กะลาลีลูกเรือแต่งกายด้วยเสื้อผ้าต่างแบบหลากสีสัน บ่งบอกชาติพันธุ์อันแตกต่างหลากหลาย พวกเขาเหล่านั้นกำลังขนถ่ายสินค้าอย่างขะมักเขม้น นายกะลาสีบางส่วนจับกลุ่มดื่มเหล้า เมาสุรา เคล้านารีเสียให้เต็มอิ่ม ก่อนที่วันพรุ่งเรือของตนจะออกจากท่า อีกนานหลายแรมเดือนทีเดียวที่เท้าจะได้สัมผัสฝั่ง ที่มือจะได้สัมผัสนวลเนื้อนาง... เสียงร้องเพลงของคนเมากลุ่มเล็กนั้นแว่วเบา ปะปนกับเสียงนางนวลร่ำระงมและสำเนียงหลากภาษาของคนที่กำลังตะโกนสั่งงาน ทำงาน หาบแบกของ ล้างเรือเตรียมเดินทาง พ่อค้า ลูกเรือ กลาบาต ผู้คุมดูแลท่า เดินขวักไขว่ในเส้นทางแห่งชีวิตและจุดมุ่งหมายแห่งตน



               ท่าเรือแห่งนี้กำลังหายใจ ขับคีตะสำเนียงราวมีชีวิต สำแดงความยิ่งใหญ่



               สมคำมมังการอหังการ์ ของราชบุตรตักโกลา... เมืองท่าอันรุ่งเรือง



               มยุไม่ได้ตรัสเกินจริงเลยสักนิด หนึ่งในเมืองนักษัตรเจ้าท่า ซึ่งเจริญอารยะ ทำการค้ามากว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี แสดงแสนยานุภาพอวดอ้างสักดาให้ทุกจักษุทัศน์ สายตา ประจักษ์เห็น ในความยิ่งใหญ่พรั่งพร้อมของการท่า ดาริกาขนลุกยามเหงนมองเรือสลุบเปอร์เซียร์ โบกธงพื้นแดงปักลายขาวรูปดาวห้าแฉกกลางจันทร์เสี้ยว เหนือยอดเสาสูงชะลูด มิใช่เพียงหนึ่ง หากทอดสมอ รายเรียงเป็นแพปิดน่านน้ำ รายได้จากภาษีและการค้าที่สั่งสมมา หากเงินตราเปรียบดังอำนาจ แทบมิต้องคิดตักโกลามีความสำคัญปานใด



               “นั่นเขามุงดูอะไรกันเหรอยุ”



               เกือบสุดปลายสะพาน ผู้คนจับกลุ่มเนืองแน่น หากดาริกาจำไม่ผิดชายร่างสูงที่ถือดาบหลายนาย ปะปนในกลุ่มคนปลายท่า คือพลพยุหะในปกครองขององค์สมเด็จพระยุพราชหริสสา ผู้เป็นเชษฐภารดาของรัชทายาทตักโกลาทั้งสองพระองค์



               “ที่มุงดูน่ะฤๅ” มยุยิ้มเหยียด พร้องพากย์ถ้อยพาจนาด้วยสุรเสียงเรียบเย็น “มันคือจุดเริ่มต้นของสํคฺราม ดาริ”



               เจ้าชายพระองค์รองสะบัดพาหา ปล่อยปักษาจงอยงุ้ม สยายปีกถลาบินกลางนภากาศ มยุไขว้หัตถาไว้เบื้องปฤษฎางค์เหยียดตรง แล้วทรงทอดพระบาทดำเนินนำกนิษฐาไปบนสะพานไม้ที่ยื่นลึกสู่ห้วงมหรรณพสีคราม ครั้นใกล้จุดเกิดเหตุ กลิ่นไหม้ผสมกลิ่นของอะไรบางอย่างที่ดาริกาคุ้นเคย โชยเข้าจมูก ก่อนสายตาจะเห็นซากเรือสินค้าหลายลำ ไหม้ดำ จ่อมจมลงใต้ทะเล พื้นสะพานบางส่วนชำรุดกระจัดกระจาย ปลายสะพานขาดหายไปในมหาสมุทร แผ่นกระดานมีรอยไหม้ลอยอยู่เต็มน่านน้ำ



               เหล่าคนมุงสนทนากันด้วยภาษามลายู อันเป็นภาษากลางที่ใช้สื่อสารแห่งชลมารคการค้า สนนสายไหมข้ามทะเลของดินแดนแถบนี้ ดาริกามักคุ้นและพอพูดได้บ้างเพราะงานที่ต้องรับผิดชอบในเขตจังหวัดชายแดน หากคำที่ได้ยินกลับโบราณ ฟังรู้แต่ไม่เข้าใจ พอตั้งใจจะฟัง เสียงพูดอื้ออึงก็เงียบหายไป นายทหารช่วยกันผู้คนให้หลบพ้นทาง ยามเจ้าชายมยุ ขัตติยะราชกุมารทรงดำเนิน



               “นี่เรือโดนเผาไปทั้งแถบเลยเหรอ” ดาริกาหยุดอยู่หลังเชษฐา มองทหารและกะลาสีในเรือเล็ก ช่วยกันกอบกู้ซากเรือ บางส่วนค้นหาสินค้าที่ยังพอจะจำหน่ายได้ นายทหารอีกพวกกำลังซ่อมแซมต่อสะพานที่ขาดจากกันให้กลับมาเหมือนใหม่



               “นายกลาบาตอยู่โยงเฝ้ายามเล่าว่า ดวงไฟสว่างวาบพร้อมเสียงดังสนั่น เหตุให้ตะพานขาดออกจากกัน จากนั้นไฟจึงลุกท่วมผืนน้ำ ลามไหม้จมหายไปหลายลำเรือ”



               “ดวงไฟ เสียงดัง?”



               “อืม”



               “ระเบิดน่ะเหรอ”



               มยุเลิกขนงเมื่อสดับคำที่ไม่เข้าใจ “ระเบิดที่ว่าคือสิ่งใด”



               “ก็... “



               ดาริกายังไม่ทันได้อธิบาย สุรเสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งกลับดังขึ้นก่อน ตามด้วยการปรากฏพระองค์ของสมเด็จพระยุพราชหริสสา ที่มีนายทหารและบรรดาช่างหลวงติดตามเป็นขบวน



               “มยุ ว่าความฏีกาวินิจฉัยเภรีเรียบร้อยแล้วฤๅ” ปุรุษาฉวีนวล ทรงสังวาลนิลฬกาล ตรัสถามพระอนุชา ขณะทรงคลี่ม้วนกระดาษที่ได้รับจากข้าราชบริพาน



               “พระเจ้าค่ะ เสร็จแล้วจึงรีบมา พี่ใหญ่เล่า ทางนี้เป็นอย่างไร”



               “เช่นที่เห็น ตะพานพังไปทั้งแถบ เรือสินค้าเสียหายและจมทะเลไปอีกหลายลำ นายเวรมันว่าลูกไฟลุกฮือเท่าภูเขา เป็นไปได้เยียใด” ยุพราชหนุ่มมิทรงเชื่อคำให้การณ์ของนายกลาบาตรคลุ้งกลิ่นสุรา



               “เป็นไปได้ถ้าใช้ระเบิด” ดาริกาพูดออกมาอย่างเหม่อลอย ขณะกวาดนัยน์ตากลมใสสังเกตเกลียวคลื่น เห็นคราบบางอย่างเคลือบเหนือผิวน้ำ “แต่สมัยนี้มีระเบิดใช้กันแล้วหรือ อ้อ ถ้าคนก่อเหตุเคยเดินทางไปเมืองจีนล่ะก็... ไม่แน่”



               “เจ้าเป็นใคร” เมื่อหริสสาเงยพระพักตร์จากม้วนกระดาษ บันทึกหมายกำหนดการต่อเติมและสร้างขยายท่าเรือให้ใหญ่ขึ้นกว่าเก่า องค์ยุพราชทอดพระเนตรเห็นเด็กหนุ่มตัวเล็กบาง นุ่งหยักรั้ง พันโพกผ้าคาดศิระ สวมเสื้อแขนกระบอกตัวยาว ยืนอยู่หลังมยุ กำลังพูดราวจมอยู่ในภวังค์แห่งการวินิจฉัยของตน “ระเบิดกระไรของเจ้า หันหน้ามาซิ”



               “ระเบิดก็คือลูกไฟดวงใหญ่อย่างที่นายเวรว่า พอเปลวไฟระเบิดออกไปโดนน้ำมันดิบที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไฟเจอน้ำมัน เพลิงเก๊าะลุกลามทั่วทั้งผืนน้ำ เรือเลยไหม้เป็นตอตะโก ประเด็นคือผู้ก่อเหตุต้องรอบรู้ เตรียมการมาดีมาก การสั่งสมดินปืนที่ยังไม่มีการใช้อย่างแพร่หลายคงต้องเคยเดินทางไปถึงเมืองจีน เห็นพลุ และฉุกคิดขึ้นได้ว่าดินปืนทำให้เกิดแรงดันมหาศาล และการกักตุนน้ำมันดิบเทลงเคลือบทะเลใช้เงินไม่น้อย แต่ที่ดูจากเรือที่ไหม้ไปทั้งแถบ คนร้ายต้องร่ำรวยมากทั้งดินปืนและน้ำมัน ปริมาณที่ใช้ไม่น้อยเลย” ร้อยเอกหนุ่มในร่างเจ้าหญิงน้อยที่ปลอมพระองค์เป็นเด็กผู้ชายอีกที อรรถาธิบายไปตามสัญชาตญาณของสารวัตรทหาร พลางหันกลับไปทางเจ้าชายผู้เป็นขุนต้นศึก องค์แม่ทัพแห่งตักโกลา



               “ดาริ ?!” สมเด็จพระยุพราชหลากพระทัย มิใช่เพราะสิ่งที่น้องยาอธิบาย หากด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่ผิดเด็กผู้ชาย แถมยังหนีจากเขตพระราชฐานมาตากลมกรำแดด ดาริกาประชวนง่ายใครก็รู้ แถมยังหนีเที่ยวด้วยเจ้ามยุจอมซน ดูเอาเถอะ น่าปวดกะบาลฤๅไม่



               ไม่นับการที่ขัตติยะนารีฝ่ายในทั้งหลาย ยามเสด็จไปไหนมาไหน จะต้องแต่งขบวนเอิกเกริกมีจ่าโขลนคุ้มกัน สตรีของพระราชา มิว่าจะเป็นอัครมเหสี บุตรี สนม นางห้าม บุรุษคนใดจะชายตาลำเลืองแลแตะต้องมิได้ แต่นี่ถึงกับปลอมพระองค์เสด็จหนีเที่ยวนอกเขตพระราชมณเฑียร



               “พี่จะฟ้องท่านแม่ว่าอย่างไรดี เจ้าด้วยมยุ พาน้องหนีเที่ยว จับไข้ขึ้นมาจะว่าเยี่ยงไร”



               “โถ่พี่ใหญ่ อย่าทูลฟ้องสมเด็จแม่เชียว แค่นี้ก็ทรงบ่นจนหูชาจะแย่” เจ้าชายผู้ทรงเอาแต่หทัย เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพระมารดาผู้เข้มงวด กระนั้น ยังไม่มีใครสามารถจัดการกับมยุได้สักที อย่างดีทำได้แค่บ่นเท่านั้นแม้แต่พระบิดาก็เถอะ



               “เจ้าน่ะตัวก่อเรื่อง” หริสสากอดอุระ ดุน้องชาย



               “พี่ชายใหญ่คะ... อย่าว่ายุเลย น้องเป็นคนรบเร้าให้พามาเอง” คำพูดบางอย่างคล่องปากเนื่องด้วยความทรงจำของเจ้าหญิงน้อย หากความรู้สึกกระดากเกื้อเขินเป็นของผู้กองดาริกา ผู้เพิ่งจะเคย คะ ขา กับพี่ชายใหญ่ เป็นครั้งแรกนับแต่ฟื้นขึ้นมาจากการต้องพิษผ้า



               “น้องน่ะฤๅขอให้มยุพามา บอกว่าเจ้าตัวซนมันยุน้อง พี่ยังจะเชื่อง่ายกว่า”



               “พี่ใหญ่นี่กระไร ลำเอียง ใครจะไปยุดาริหนีเที่ยว เพียงงานฎีกาวินิจฉัยเภรีก็แทบมิมีเวลาแล้ว”



               พี่ชายคนโตวัยยี่สิบห้าแทบมิอยากเชื่อสายตาตัวเอง ในยามบ้านเมืองเกิดเหตุด่วนคับขัน เจ้าชายจอมซนกลับเอาการเอางาน เจ้าหญิงผู้เก็บเร้นพระองค์กลับออกนอกพระราชฐาน เสด็จหนีเยือนเยี่ยมถึงการท่า หริสสาไม่รู้ว่าควรดีใจ เสียใจ หรือประหลาดใจ และหรือ ทำทั้งสามประการพร้อมกันดี



               “พี่ชายใหญ่ค่ะ อยู่แต่ข้างในมันน่าเบื่อ แถมคุณข้าหลวงตามแจทุกฝีก้าว น้องอึดอัด”



               “แล้วออกมาต้องแดดเยี่ยงนี้ น้องจะมิป่วยฤๅ”



               “น้องหายแล้ว... จริง ๆ นะ” ดาริกาทำตาซื่อมองหน้าหริสสาอย่างที่ทำกับมยุเพื่อให้พาออกมาเที่ยวเล่น หากแววตากลมใสกลับไม่เป็นผลกับพี่ชายคนโต



               “ไม่รู้ล่ะ รีบกลับก่อนที่แดดจะนายไปกว่านี้”



               คนที่เคยเป็นลูกคนเดียวมาโดยตลอด วางตัวไม่ถูกเมื่อถูกพี่ชายดุเช่นกัน “กลับแล้วก็ได้...”



               ภายใต้พยับแดดจัดจ้าสาดลงเหนือห้วงมหรรณพสีคราม ดาริกามองซากปรักหักพังจากเหตุลอบทำลายเรือสินค้าเป็นครั้งสุดท้าย มยุเอ่ยไว้ว่าเหตุนี้จะเป็นฉนวนจุดไฟสงคราม แม้ยังมิอาจเข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมาทั้งหมด แต่ภาพความเสียหายที่ปรากฏ ย่อมยืนยันได้ว่าพฤติการณ์เช่นนี้มิใช่การก่อเหตุลอบทำลายเรือธรรมดา หากเป็นการประกาศซึ่งสงคราม ที่ผ่านการเตรียมการทางความคิดและทุนทรัพย์อย่างมาก ดังสังเกตได้จากคราบน้ำมันดิบที่ลอยล่องเต็มทะเล



               “เดี๋ยว! นั่นมัน...” ดาริกาหรี่ตา ยกมือป้องแดด พยายามเพ่งมองให้ชัด “พี่ใหญ่ ยุ ช่วยมันก่อน ช่วยมันก่อนน้องถึงจะกลับ!”



               ท่ามกลางห้วงแดดและเวิ้งน้ำ สัตว์สี่ขาตัวนั้นเปียกปอนและหนาวสั่น มันใช้สองขาหน้าเกาะกระดานไม้ที่มีรอยไหม้ไปกว่าครึ่ง ลอยเคว้างคว้างแทบจมลงไปในทะเล คลื่นสูงสีครามจัด สาดซัด ทำให้มันลอยห่างจากชายฝั่ง ไม้กระดานแผ่นน้อยไม่อาจรองรับทั้งเกลียวคลื่นขนาดยักษ์และสัตว์เคราะห์ร้าย สั่นเทิ้มเหน็บหนาว ใช้คอยใช้สองขาเกี่ยวเกาะตะเกียกตะกาย ไปพร้อมๆกันได้ มันพยายามยื้อชีวิตตัวเองอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันความตายก็คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกวินาที หากไม่ช่วย มันคงจมหายตกตายกลางทะเล





************



เชิงอรรถ                       

                (๒) มาตราชั่งน้ำหนักจีนโบราณ ๑ ชั่ง เท่ากับ ๕๐๐ กรัม, อินทรีย์ทองตัวโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักถึงยี่สิบกิโลกรัม

                (๓) นามเดือนจันทรคติฮินดู อัสสยุชมาส (ปาลี) อัศวยุชมาส (สํสฺกฤต) คือช่วงประมาณเดือนกันยายน - ตุลาคม

                (๔) เรือเภา หรือ เรือตะเภา เป็นคำพื้นถิ่นที่ใช้เรียก เรือสำเภา, เช่นเดียวกับที่คนพื้นถิ่นเรียกลมสรสุมตะวันออกเฉียงเหนือว่า ลมตะเภา เพราะเป็นฤดูที่เรือสำเภาจะต้องเดินทางมาทุกปี

               

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๙ มมังการอหังการ์
รจนา: ทัดจันทร์




    พุ่มพฤกษ์ระบัดซ้อนเสียดสีในสายลม  บรรณบัตรเขียวขจีลู่ไหว จนเกิดเสียงคล้ายสัทท์สำเนียงอาปานะ ลมหายใจของผืนป่า การใช้ชีวิตท่ามกลางสายลมและเกลียวคลื่นสอนให้อรัญรู้จักฟังถ้อยกระซิบของธรรมชาติ สดับฟ้า ฟังเสียงฝน ทำให้รู้คลื่นลม จะได้ป้องกันตัวพร้อมเผชิญกับความพิโรธของธรรมชาติ ที่อาจคร่าถึงชีวิต


    เด็กชายหลับตาพริ้ม แนบหูกับพื้นดิน เจ้าตัวดีกำลังเบื่อ ไหนว่าเล่นสนุก การรอคอยไม่สนุกเอาเสียเลย แต่มันก็ยังรอ... เพียงเพราะ... เขาบอกให้รอ


    กันเกราใบสีน้ำตาลแห้งเหี่ยวไม่อาจต้านทานแรงปราณพระวายุ จึงปลิวหลุดจากขั้ว หล่นร่วงลงสู่เบื้องล่าง ใบไม้เหี่ยวเฉาเร้นกายโรยรา ทิ้งตัวลงบนพวงแก้มนิ่มของเด็กชายผิวพรรณเกลี้ยงเกลา ผ็ที่ยังคงแนบนิ่งเป็นหนึ่งเดียวกับผืนธรณี ฉับพลัน อรัญลืมตา เจ้าจอมซนยืนขึ้นเต็มความสูง มันตวัดดาบไม้ยื่นไปตรงหน้า


    ป่ากว้างยังคงงันสำเนียง วายุยังคงผ่านพัด สุริยะเทพประทับราชรถ ทอดพระเนตรลงมาจากเบื้องบน ขณะห้วงเวลายังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความนิ่งงันปราศจากความเคลื่อนไหวใด จนกระทั่ง...


    “หลบไป!” ชายคนนั้นตะโกนบอกเด็กชายที่ยืนขวางทาง หากมันไม่ยอมเขยื้อนสักนัด


    “ไอ้เด็กบ้า ข้าบอกให้หลบไป”


    ม้าฝีเท้าจัดเร่งควบไปตามรายทาง วิ่งลัดเลาะด้วยความเร็วแทบมิได้หยุดพัก เนื่องด้วยการณ์ด่วนกำลังรออยู่ หากเจ้าเด็กคนนี้ดันขวางสนน น่าจับเฆี่ยนเสียให้เข็ด ทว่าชายบนหลังม้าคนนั้นรู้ดี เขาไม่มีเวลาให้กับเรื่องไร้สาระใดทั้งสิ้น สิ่งจำเป็นยิ่งที่ต้องทำในเวลานี้คือ ควบม้า เร่งไปให้ถึงท้องพระโรงตักโกลาโดยเร็วที่สุด


    “ฮี่ ๆ”


    ก่อนที่จะได้กระชากบังเหงียน ตบสีข้างพาชีเพื่อเร่งความเร็ว เจ้าเด็กเรือนผมหยิกลอนระบ่าขยับโล่ของเล่นในมือ สะท้อนแสงแดดจ้าสาดเข้าตาม้าอย่างกะทันหัน อาชาที่ควบเรื่อยมาเกิดตกใจ ด้วยแสงสะท้อนจัดจ้า แสบตา


    อาชาดีดขาหน้า ล้มหงาย


    ทั้งคนและม้ากลิ้งหลุน เปรอะดิน


    เจ้าตัวดีกระโดดโลดเต้น


    จะว่าไปเล่นแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน ม้าตกใจเสียด้วย คงจะกลัว ข้าน่ากลัวเหมือนเสือหรือเปล่า อยากเป็นเสือจัง หนังลายพาดกลอนของมันสวยดี พวกพ่อค้ามักชอบ แถมให้ราคาแพง ขายแล้วจะมีเงินพอซื้อน้ำตาลเคี่ยวไหมนะ... ข้าชอบกิน อยากกัดก้อนน้ำตาลเคี่ยวหวานอร่อย


    “เลิกกระโดดได้แล้ว ดีใจกระไรนักหนา สนุกปานนั้นเชียว”


    ศิขรินทร์ทิ้งท่อนไม้กลมหนาลงบนพื้นหญ้า ก้มลงปลดสำภาระเคียนเอวของร่างที่สลบไสล นักเผชิญโชคคลี่ม้วนสาสน์ในกระบอกโลหะสีทองฉลุลายรูปสัญญะของทวาทศนคร นักษัตรทั้งสิบสองตราอย่างประณีตบรรจง เขากวาดสายตาอ่านอักษรปัลลวะ จารโดยอาลักษณ์ลายมืองาม


    “รัญ เจ้าอยากล่องแพฤๅไม่” ปุรุษตัวสูงหนาถามเจ้าเด็กที่กำลังทำท่าคล้ายแมวข่วนอากาศ ขณะเก็บม้วนกระดาษเข้ากระบอกตามเดิม


    เจ้าตัวดีเอียงคอ ทำท่าคิด แล้วจึงพยักหน้ารวดเร็ว


    “เช่นนั้น ไปหาคนต่อแพกันเถอะ”






    เจ้านางเมืองเสด็จนำขบวนนางข้าหลวง ตามหาพระธิดาจนทั่วตำหนัก เข้าห้องนั้น สำรวจห้องนี้ก็ยังไม่มีใครพบ ฤทัยพระมารดาเริ่มกริ่งกังวล ด้วยเหตุอันอุกอาจยังติดตราอยู่ในพระทัย ทำให้ผู้เป็นแม่ย่อมอาวรณ์ห่วงหาถึงแม่ลูกสาวอยู่ทุกขณะ


    ตอนคลอด ดาริกาดวงน้อยของแม่นี้ก็ออกมาก่อนอายุครรภ์จะครบวาระ โตมา แม่ลูกสาวก็ดันป่วยบ่อย เจ็บไข้อยู่ร่ำไป ผู้เป็นแม่เฝ้าประคบประหงมตามคำหมอ ทุกประการมิได้ขาด จนตอนนี้ลูกน้อยเติบใหญ่เจริญวัยเป็นสาวสะคราญ จวนจะเข้าพิธีแต่งงานจากอ้อมอกแม่ไป ดันเกิดเหตุอุกอาจซ้ำเติมหัวใจคนเป็นแม่ ทนได้ฤๅ เห็นลูกกระอักเลือดอยู่ตำตา เคราะห์ดีที่ลูกน้อยรอดมาได้ ยามนี้เล่า เพลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เจ้าลูกน้อยห่างหายไปไหน รู้ฤๅไม่ แม่เป็นกังวลแทบใจจะขาด


    กลัว กลัวเหลือเกิน... หากดาริถูกโจรชวาจับตัวไปล่ะ โถ่ลูกแม่


    สตรีอันดับหนึ่งแห่งตักโกลาประทับนั่งเหนือพระแท่นไม้ เคียงหมอนอิงยัดนุ่นบุไหม ดวงพักตราอันทรงศิริโฉม คมงาม ของผู้สืบโลหิตแห่งไศเรนทร์วงศ์ หม่นข้องด้วยความวิตกที่ทรงครองอยู่ในอุระ กระนั้นก็มิอาจลบเลือนเค้าความงามของเจ้านางเมืองไปได้


    “เสียงใครวุ่นวายอยู่ข้างนอก ไปดูซิ” ผู้เป็นแม่เหนื่อยเกินกว่าจะออกเดินเหิน มองหาแม่ลูกสาว หามาทั้งวันแล้วยังไม่พบ เจ้านางเมืองเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ


    “เพคะ”


    คุณข้าหลวงถอนคลานห่างออกไป แล้วจึงดันกายลุกขึ้นเมื่อพ้นพระพักตร์เจ้านางตักโกลา หล่อนขมวดคิ้วสงกา ค่าที่ยินเสียงพลพยุหะอึงอล มาจากอุทยานด้านนอกพระพิมานในองค์สมเด็จพระยุพราช ครั้นมองลอดบานพระบันชรออกไป นัยน์ตาคุณข้าหลวงพลันเบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก หล่อนเร่งกลับเข้าพระที่ด้านใน เข้ากราบทูลเจ้านางเหนือหัว


    “สมเด็จเพคะ เกิดเรื่องแล้วเพคะ!”




    เหล่าขุนพลทหารแตกฮือเมื่อมันเริ่มแยกเขี้ยว สำแดงฟันซี่คมขาวเต็มขากรรไกร ส่งเสียงขู่ทั้งที่มันยืนอย่างหนาวสั่น ขาหลังด้านซ้ายมีแผลเหวอะหวะ พุพอง เพราะลอยคออยู่ในน้ำนานนับวัน มันจนตรอกและดุร้ายกว่าเดิมหลายเท่านัก


    นายทหารดึงดาบออกจากฝัก หมายตัดหัวเจ้าสัตว์หน้าขนอหังการ์


    “อย่านะ อย่าทำร้ายมัน”


    เจ้าหญิงน้อยแทรกผ่านกลุ่มขุนพลพยุหะ คุกชานุเบื้องหน้าหมาป่าตัวโต


    “ดาริ ออกมา นั่นน้องจะทำอันใด” มยุและหริสสาเสด็จตามมาร้องปราม ห้ามกนิษฐ์ไว้หากก็มิทัน


    “ทุกคนถอยออกไปช้า ๆ ห้ามหันหลังเด็ดขาด” อดีตผู้กองมิได้สนใจความตึงเครียดรอบข้าง ดาริกาเร่งสั่งห้วน เร็วไว ราวออกคำสั่งต่อกำลังพลทหารพรานในปกครองของตน เพราะหากหันหลังหรือกลัว จะโดนขย่ำ พลพยุหะทำตามรับสั่งอย่างว่าง่าย ขณะภารดาทั้งสองไม่ยอมลดคมกริชลงแม้นเพียงเสี้ยวองคุลี

 
    หมาป่าตัวเขื่อง ขนสีเทา เปียกลู่ ตัวมันที่ยืนสั่นโตกว่าร่างเจ้าหญิงน้อยคุกชานุอยู่ตรงหน้า หมาป่าดุร้ายประจันหน้าเด็กสาวผู้ไม่สำแดงความหวั่นเกรงในแววตา มันเห่าเสียงดังกังวาน งับเขี้ยวเคี้ยวฟันกระทบกันกรอด ๆ สู้สุดใจ


    “ไม่เป็นไร... ไม่ต้องกลัว...”


    ดาริกาพร่ำพูดกับหมาป่าตัวโตดุร้าย ไม่หลบดวงตาสีอำพันที่เจ้าสัตว์สี่ขาไร้ฝูงจดจ้องด้วยแววทมิฬมองมา เจ้าหญิงน้อยทรงทำราวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย จนผู้คนรายล้อมต่างประหลาดใจ


    “หนาวใช่ไหม ไม่เป็นไรแล้วนะ เช็ดตัวหน่อยไหม ฉันมีผ้า”


    มือบางค่อย ๆ ยกขึ้นอย่างเชื่องช้า หมาป่าขนสีเทาถอยหลังไปหนึ่งก้าว มิวายเห่าเสียงดัง เจ้าหญิงน้อยปลดผ้าพันโพกศิระ ทำให้มวยผมดำเงาคลี่คลาย สยายทิ้งตัว มือข้างที่ว่างยื่นไปข้างหน้าแช่มช้า ปราศจากท่าทีคุกคาม จมูกฟุดฟิดของหมาป่าจนตรอกเริ่มสูดดม มันขยับเข้าใกล้ แยกเขี้ยว ดุนปลายจมูกดอมดม จากนั้นจึงเลียปลายนิ้ว


    หมาป่าตัวเขื่องแยกเขี้ยว ขู่คำราม


    ขากรรไกรมันอ้า งับ


    ฉับ!


    เสียงเขี้ยวหมาป่ากระทบกันดังไปทั่วบริเวณ หัวใจทุกผู้แทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ โชคดีเจ้าสุนัขไม่ฝังเขี้ยว มันเพียงหยั่งเชิงมนุษย์ตรงหน้า หากหัวใจภารดาทั้งสอง หล่นวูบลงไปแทบเบื้องบาทเรียบร้อยเสียแล้ว ทุกคนในเหตุการณ์ใจหายใจคว่ำไปตามกัน ดาริกาเองก็ต้องเก็บความหวาดกลัว ไม่หวั่นไหว ไม่หลบสายตา ไม่ขยับ เพื่อทำให้หมาป่าดุร้ายเชื่อใจ


    งับแล้วเจ้าหมาป่าขนสีเทาตัวยักษ์จึงเลีย เลียมือ เลียใบหน้า ซอกคอ จดจำกลิ่น จำดาริกาไว้เป็นพวก สี่ขาสั่นสะท้านวิ่งวนรอบวรองค์ธิดาเจ้า มันเลีบ งับ เก็บกลิ่น หมายจำ จนไร้เรี่ยวแรงนั่นแหละถึงจะหยุด ทิ้งหัวเกยอยู่บนตักเจ้าหญิงน้อยออย่างอ่อนเพลีย หมาป่าร้องหงิก สัมผัสความอบอุ่นจากผืนผ้าและฝ่ามือลูบปลอบโยน


    เกรย์วูฟตัวโต หลับหรือไม่ก็สลบไป คาตักของมนุษย์ที่มันคิดว่าเป็นสมาชิกใหม่ในฝูงตน


    สองเชษฐาโล่งฤทัยครามครัน ทว่าจังหวะหัวใจยังไม่ทันสงบดี สุรเสียงพระมารดาก็ดังขึ้น เหล่าพยุหะคุกคำนับ หลบหลีกกันแทบไม่มัน ส่วนหัวใจของสองภารดานั้นกลับเต้นแรงกว่าเก่า พระมารดาคือสตรีที่ลูกชายรักที่สุดและกลัวที่สุดในโลก


    “ดาริ ลูกหายไปไหน แม่ตามหาเสียให้ทั่ว แล้วนั่นมุงกระไรกัน...”


    เจ้านางเมืองทรงกำลังสาวพระบาทว่องไว พลันหยุดชะงัก พระเนตรแทบถลนวาวเมื่อทรงเห็นหมาป่าตัวยักษ์เกยหัวเหนือพระเพลาแห่งพระธิดายาใจ


    “ศวา?! ไม่สิ นั่นมันศฤคาล! ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะดาริ! ลูกกำลังทำกระไร แล้วไยแต่งองค์เยี่ยงนั้น โอ๊ย แม่จะเป็นลม เกิดอันใดกับพวกทั้งเจ้าสาม ไปเถลไถลกระไรมาฤๅ หริสสา มยุ ดาริกา ใครจะอธิบาย ว่ามา!”



******ธรฺมรฏฺฐคีตา******

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian

ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม

รจนา: ทัดจันทร์









               ธงพื้นม่วง กึ่งกลางอัญเชิญตราประทับพระลัญจกรเคียวจันทร์หงายสีทองอร่าม โบกสะบัดเหนือยอดเสาสำเภาเภตรา พระลัญจกรแห่งองค์อุปราชปาฏลีบุตรพลิ้วกระจายไปในกระแสวาโยเยียบเย็นยามราตรี



               กษณะนี้ดวงดารากระจ่างฟ้า นโภมณฑลปราศจากหมู่เมฆ สุกสกาวไปด้วยแสงดาวเหนือทางช้างเผือก มหาดาราประจำพระองค์ทอรัศมีสีน้ำเงิน เปล่งประกายสุกใส ภาพปรากฏแก่สายพระเนตรทำให้ริมโอษฐ์หยักงามยกขึ้นอย่างพึงพระทัย ก่อนเจ้าของพระลัญจกรจันทร์เสี้ยวเหนือเอกรงค์ผืนม่วงจะทรงจาม



               “อิถีสรีใดหนอ ประหวั่นปฏิพัทธ์ถึงราชบุตรธรรมราชา” อนุชาผู้ทรงร่วมพระครรภ์มารดา มีประสูติกาลห่างกันเพียงไม่กี่นาฑี รับสั่งขึ้นด้วยแววพระเนตรพราวระยับ



               “กัลกิ” เชษฐาส่ายพระพักตร์ หน่ายฤทัย



               “ใครหมายถึงจันทร์ อาจหมายถึงเราก็ได้ เราก็ราชบุตรธรรมราชาพระองค์หนึ่งเช่นกัน”



               “แล้วแต่กัลเถอะ”



               ณ ระเบียงดาดฟ้าชั้นสองท้ายเภตราลำใหญ่สมพระเกียรติ เชษฐาเจ้าของกระบวนเรือผู้ทรงหยักรั้งไม่ต่างอันใดกับเหล่าทหารยืนเวรประจำจุด ที่เฝ้าระวางยามยังดาดฟ้าชั้นล่าง แตกต่างกับภารดาผู้น้อง แม้จะทรงฉลองพระภูษาคล้ายขุนพลพยุหะเพียงไร หากกึ่งกลางศิระยังทรงรัดเกล้าทองคำฝังบุษราคัมน้ำเอก สะท้อนแสงคบ แสงตะเกียงวูบไหว เรื่องระยิบมิต่างแสงดาวในคืนไร้เมฆ



               กัลกิยะมองพี่ชายฝาแฝด พักตราที่คล้ายกันทุกองคุลีเหงนมองทะเลดาวนิ่งงัน ในความเงียบของผู้ที่ยืนไขว้หัตถาเบื้องปฤษฎางค์ น้องชายที่คลานตามกันมาสามารถรับรู้ได้ถึงความตึงเครียดที่แฝงอยู่ในท่าทีเรียบเฉยนั้น



               “กังวลฤๅจันทร์”



               “ไม่”



               “แล้วเป็นกระไร”



               “ตื่นเต้นน่ะกัล เราแทบจะรอรุ่งอรุณของวันพรุ่งไม่ไหว” พระองค์จันทร์ทรงถ่ายถอนความอัดอั้นกลางหทัยให้อนุชาฟัง



               “ดี” กัลกิยะเท้าระเบียง สูดอากาศเย็นเข้าเต็มปัปผาสะ พิศมองพี่ชายฝาแฝดด้วยนัยน์อันลึกซึ้ง “ผ่านพ้นราตรีนี้ไป ยามอุษาสางเราจะถึงตักโกลา จันทร์... พี่รู้ใช่ฤๅไม่ มันหมายถึงอะไร”



               “รู้... กัล พี่รู้”



               “ชีวิตพี่และธัมมะราชปุระ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”



               สิ้นถ้อยวจนของเจ้าฟ้าพระองค์รอง ความเงียบพลันโรยกายลงมาราวรั้งรออยู่นาน เหนือกระแสธาราใต้นภาพร่างดาว สองพี่น้องยุวขัตติยาผู้กำลังจะเจริญชันษาเป็นสัตบุรุษเต็มภาคภูมิ ใช้ช่วงเวลาที่ทุกสรรพสิ่งในชีวิตยังคงเดิม ห้วงสุดท้าย... ด้วยกัน ในความเงียบงันของราตรีสีดำ ระหว่างขัตติยะทั้งสอง ปราศจากคำพูดต่อกัน หากเต็มไปด้วยความเข้าใจที่สื่อสารกันผ่านกระแสสัมผัสอันแสนพิเศษของเจ้าชายแฝดแห่งธัมมะราชปุระ



               “จะเข้านอนแล้วนะ” พี่ชายละสายตาจากผืนฟ้า หันมองเสี้ยวหน้าของน้องชายที่อาบด้วยแสงเหลืองนวลจากตะเกียง



               “อืม”



               “กัล...” พระองค์จันทร์ชะงักพระบาท ผินพระพักตร์มายังดรุณรูปงาม ประทับยืนริมระเบียงดาดฟ้าเรือ ปล่อยให้สายลมพัดผ่านปอยเกศาพลิ้ว “...อย่าลืมคำพระอาจารย์”



               “พระเจ้าค่ะ สมเด็จพี่”



               พระองค์จันทร์เสด็จลับไปแล้ว ถ้อยรับสั่งสุดท้ายที่กัลป์กิยะได้กราบทูลต่อพระยุพราช องค์เชษฐา ยกย่องให้เกียรติสมแก่พระฐานันดรอันสูงส่งขององค์อุปราช จ้าวแห่งทวาทศนครา ปาฏลีบุตรผู้เป็นใหญ่เหนือนักษัตรทั้งสิบสอง



               ถ้อยพจีนบน้อม จากน้อง... แด่พี่



               “จันทร์... นับแต่นี้ ชีวิตพี่จะเปลี่ยนไปอย่างไรนะ”



               กัลกิยะทอดพระเนตรดวงดาราสีน้ำเงินสุกใส ปฤจฉาขึ้นในหทัย จันทร์... เจ้าชายหัวใจราชสีห์อย่างพี่ จะคำรามเพื่อเจ้านางพระองค์นี้อย่างไรหนอ






************


ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม

รจนา: ทัดจันทร์







               อีกคำรบที่ดาริกาปรากฏกายหน้าพระฉายสำริดบานยาว แม้สายตาจะทอดมองเงาสะท้อนจากเนื้อกระจก ทว่าจิตใจกลับจมอยู่ในภวังค์ หวนรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งสามพี่น้องยุวราชตักโกลาโดนพระมารดา ‘บ่นจนหูชา’ ดังสำนวนมยุว่าไม่มีผิด



               เจ้านางเมืองทรงไต่สวนจนได้ความ ธิดาน้อยทรงปลอมองค์เป็นชาย หนีเที่ยวด้วยภารดาพระองค์รอง สตรีอันดับหนึ่งแห่งเมืองท่าอันเลื่องชื่อด้านปรัศจิมทิศ จึงได้แต่พร่ำสั่ง พร่ำสอน บุตรธิดาทั้งสาม มีก็แต่บุตรคนรองนี่แหละที่ทำท่าราวไม่ทุกข์ไม่ร้อน แถมไม่ฟังเสียด้วยกระมัง ให้แม่จัดการน้องเสร็จก่อนเถอะ เราน่ะรายต่อไปมยุ พระมารดาทรงคาดโทษเจ้าชายจอมซนไว้ในหฤทัย



               ‘เจ้าชายว่าที่พระคู่หมั้นจะเสด็จมาหาในวันนี้วันพรุ่ง ยังแอบหนีเที่ยวเป็นเด็กไปได้ ดูซิ เนื้อตัวมอมแมม เล่นทโมนราวผู้ชาย จะเสกฯอยู่แล้วนะดาริ’



               ‘คู่หมั้น?!’ ดาริกาจดจำเสียงร้องด้วยความประหลาดใจของตัวเองได้ชัดเจน



               เจ้าของวรองค์โปร่งบางเหมือนจะหลงลืมอะไรบางอย่าง



               บางอย่างที่... สำคัญยวดยิ่ง



               ‘เสก... แต่งงานน่ะเหรอ เอ่อ เพคะ’ ขนาดคำลงท้ายอย่างสตรี เขายังเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น นับประสาอะไรกับการเสกฯ ที่เพียงได้รับรู้ ก็แทบจะนั่งไม่ติดพระแท่นเสียแล้ว



               ‘ใช่’



               ‘กับเจ้าชาย เก๊าะผู้ชายน่ะซี ไม่มีทาง’



               ‘พูดกระไรของลูก เป็นสตรีมิต้องแต่งกับบุรุษหรืออย่างไร’



               สตรีผู้อื่นอาจใช่ นางอาจวาดหวังแต่งงานกับบุรุษผู้พร้อมไปทั้งยศและศักดิ์อย่างเจ้าชายอะไรนั่น แต่สำหรับเขาแล้วไม่ใช่ เขาไม่เคยวาดฝันถึงบุรุษคนไหนมาก่อนในชีวิต เช่นนี้จะให้แต่งงานกับเจ้าชายพระองค์นั้นไปได้อย่างไร

 

               ให้ตาย ชักจะรู้สึกว่าการเป็นผู้หญิงมันยากลำบากเข้าไปทุกที แล้วพ่อเจ้าชายน้อยอะไรนั่นก็เหมือนกัน จีบใครไม่เป็นหรือยังไง ถึงให้ผู้ใหญ่มาจับเราคลุมถุงชนเอาแบบนี้ หรือต้องให้สอนเวลาจีบหญิง ล้าหลัง เต่าล้านปี สิทธิสตรีรู้จักไหม อดีตผู้กอง ผู้ที่ไม่เคยรู้จักแม้แต่คำ ‘เฟมินิสท์’ กำลังเรียกร้องสิทธิสตรีอยู่ในใจ



               ทว่ากระแสรับสั่งหนักแน่นของพระมารดา เป็นเหตุให้ดาริกากลืนน้ำลายอย่างยากเย็น



               ‘ไม่รู้ล่ะ เราตกลงกับปทุมวงศ์ไปแล้ว ตักโกลาจะบิดพลิ้ว ตะบัดสัตย์วาจามิได้เป็นอันขาด’



               คำพูด วจนของผู้ปกครองนั้นสำคัญยิ่ง จะรับสั่งเล่นในการณ์สำคัญย่อมกระทำมิได้ ดาริกาเข้าใจโดยดุสดีด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่ง ด้วยวัยที่ผ่านร้อนหนาว ผ่านหลากสถานการณ์เป็นตายมาถึงยี่สิบเจ็ดปี สอง เพราะครั้งหนึ่งตนก็เคยปกครองคน เป็นผู้นำที่ต้องรักษาไว้ซึ่งคำพูดและความน่าเชื่อถือ เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานของทายาทเจ้าผู้ครองรัฐ การเชื่อมเป็นทองแผ่นเดียวกันของสองนคร จึงมิใช่เรื่องที่จะพูดเล่นเอาสนุก หรือเพียงเพราะต้องการให้บุตรีเป็นฝั่งเป็นฝาเท่านั้น



               อดีตผู้กองหนุ่มจ้องเงาสะท้อนในกระจกของดรุณีแน่งน้อย สาวสะพรั่ง ผู้มากกว่าวัยตระหนักแก่ใจตน การเสกสมรสของเจ้าหญิงและเจ้าชายทั้งสองราชวงศ์มีนัยแฝงเร้น มากกว่าการครองคู่ของหนุ่มสาวเป็นล้นพ้น ลึกลงไปดาริกาไม่อยากจะรู้ถึงเหตุผลนั้น จะอำนาจ ผลประโยชน์ หรืออะไรก็ไม่อยากรับรู้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้เพราะเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงเสียแล้ว อดีตร้อยเอกตระหนักดี ตอนนี้เขาคือเจ้าหญิงน้อยดาริกา ผู้ที่จะต้องเข้าพิธีแต่งงาน!



               อำนาจ ผลประโยชน์? เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารเจ้าหญิงน้อยผู้น่าสงสารคนนี้หรือเปล่านะ เฮ้อ ยิ่งคิดยิ่งน่าปวดหัว แต่สิ่งที่เราต้องหาทางออกให้ได้ตอนนี้คือเรื่องเสกฯ



               ข้อตกลงที่ตักโกลามิอาจบิดพลิ้ว กับเขาที่ไม่อาจแต่งงานกับเจ้าชายไก่อ่อน จีบหญิงไม่เป็นนั่น ทางออกเดียวของปัญหานี้... หรือว่า...



               “หนี” ดาริกาส่ายหน้าให้กับเงาสะท้อนในกระจก “ไม่ได้ เราทำแบบนั้นไม่ได้ ตักโกลาจะมีปัญหา แต่จะให้แต่งงานกับเจ้าชายปทุมวงศ์พระองค์นั้นก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีงานแต่งเกิดขึ้นล่ะ ถ้า...”



               รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ไม่เข้ากับดวงหน้าของเจ้าหญิงน้อยสักนิด แตะระบายเรียวโอษฐ์สีชมพูเรื่อ อังสาบางโยกไหวไปตามเสียงหัวเราะ เจ้าของความคิดกำลังนึกสนุก ขำขันในแผนการของตน



               “หนีหายไม่ได้ หนีตามซะเลยเป็นไง ฮ่าๆ” เงาสะท้อนในบานพระฉาย มีรอยระริกอยู่ในแววเนตรวาวคม “คอยดูเถอะพ่อไก่อ่อน พี่จะทำให้ตกพระทัยจนตั้งพระองค์เผ่นกลับบ้านกลับเมืองแทบไม่ทันเลยทีเดียว”



               คนเจ้าแผนการกำลังหัวเราะขำขันให้กับแผนที่แล่นอยู่ในหัวของตัวเองเป็นฉาก ๆ นางสนองพระโอษฐ์ที่เฝ้ามองอยู่แต่ไกล ขมวดคิ้วสงสัย ฤๅทูลหม่อมน้อยจะวิปลาสไปเสียแล้ว ทรงรับสั่งกับกระจกอยู่นานสองนาน ซ้ำยังทรงพระสรวลจนกอดพระนาภี กระไรจะน่าขันปานนั้น ทูลหม่อมน้อยทรงไม่เหมือนเดิมเลย วิปรฺยาสแน่แล้ว จะกราบทูลองค์สมเด็จพระยุพราชหริสสาว่าอย่างไรเล่า มิให้โดนหวายทวนหลัง



               กล้าฤๅ ทูลฟ้องว่ากนิษฐ์ท่านสติไม่สมประดี



               เพียงคิด นางพระกำนัลก็เห็นรอยหวายมาแต่ไกล ค่าที่พระเชษฐาทั้งสองพระองค์รักกนิษฐ์น้อยเสียเหลือเกิน ต่อให้บ้าก็คงจะรัก คงจะเอ็นดูอยู่นั่นเอง






************

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม

รจนา: ทัดจันทร์








               ประกายไฟปะทุจากกิ่งไม้ที่สุมในกองกูณฑ์ แวบวาบปานดอกไม้เพลิงผลิบาน มันทรรศนาสะเก็ดไฟสีส้มคล้ายอณูเกสรบุปผชาติ ฟุ้งกระจายอวลอากาศแล้วเลื่อนลับลอยหาย อรัญวิจิกิจฉา ไยอัคนีปะทุประกาย คลับคล้ายหิ่งห้อยกระพริบแสงดับไป



               ภายใต้พิรุณนิศาธาร หยาดน้ำค้างพราวพร่ำ เกลียวไฟสีส้มแดงก่ำตัดนภดลรัตติกาลลุกโหม เมื่อเจ้าตัวดีสังเวยพระอัคนีด้วยบุหงันสะบันงา รอยแย้มละไมจึงแต้มแตะริมฝีปากเรียวเล็กที่ไม่เคยเอื้อนเอ่ยถ้อยพจีใด ยามกรุ่นกระดังงาต้องไฟกำซาบนาสา อวลอายจากเกลียวเพลิงโหมกระพือ อัคนีเทพคงตอบรับการสรวงเซ่นปูชะยาของมัน



               “สติหล่นหายในกองกูณฑ์หรือเล่าพ่อพราหมณ์น้อย นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว”



               เด็กชายไหวไหล่ มิสนใจบุรุษสรรพางค์สูงใหญ่ทิ้งกายนั่งบนก้อนศิลาข้างเคียง



               เสียงไฟปะทุเคล้าทำนองหรีดหริ่งเรไรกลางวนาในยามดึก กลบเสียงธารารินไหล อันแว่วมาจากแม่น้ำหลวงสายใหญ่ที่ทอดกายอยู่ไม่ไกล ความสุขสงบแห่งราษตรีอมาวสี คืนเดือนดับ ไร้เมฆ ปลายเดือนอัศวยุชมาสแห่งมรสุมลมตะเภา สอดแทรกทิ้งตัวระหว่าง ดรุณวัยเยาว์ บุรุษคมคร้าม และเตโชเริงระยับ ยังความศานติให้เกิดในหัวใจ แม้เพียงชั่วขณะ...



               ศิขรินทร์สะบัดผ้าผืนบาง คลี่คลุมศีรษะเจ้าตัวยุ่ง



              “คลุมไว้ น้ำค้างลง”



               มือที่โปรยดอกไม้เข้ากองเพลิง อยากจะกระชากผ้าผืนบางออกไป แต่มันก็ไม่ทำดังนั้น ผู้ใหญ่ช่างชอบยุ่งกับหัวของเด็กแท้เชียว พะรุงพะรังเหลือเกิน



               “นี่เจ้าหาว่าข้ายุ่งเรอะ” ชายหนุ่มเหวขณะเปิดย่ามผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ หยิบเสบียงออกมา “เช่นนั้น อินทผาลัมนี่ ... อด”



               เจ้าตัวดีหันขวับยามยินคำอินทผาลัม มันชอบผลไม้แห้ง หวานฉ่ำ ชุ่มคอชนิดนี้ มันเคยได้ยินว่าผู้คนที่ท่องไปในทะเลทรายกินอินทผาลัมเพื่อไม่ให้กระหายน้ำ มันไม่รู้ทะเลทรายคืออะไร หากสงกา ทะเลอะไรจะมีแต่ทราย ไม่มีน้ำไม่มีคลื่นเลยกระนั้น



               เด็กชายผมระบ่าชอบอินทผาลัมมากเสียจนต้องรีบเทดอกกระดังงาทั้งกระทงตองเข้ากองกูณฑ์ในคราเดียว แถมกระทงตองนั่นไปด้วยประไร เผื่ออัคนีเพทท่านจะใช้ใส่มวลบุปผาที่มันสรวงบูชา อรัญประณตปลกต่อพระเพลิงที่กำลังแตกปะทุ ประกายสะเก็ดไฟแวบวาบดังดวงดาวประดับราตรี ระยับพอกับนัยน์ตากลมใสของมัน



               มฤคตัวน้อยช้อนนัยน์เนตร แบบมือขออินทผาลัมด้วยรอยยิ้มจรัสจ้ายิ่งแสงดาวร้อยพัน นักเผชิญโชคนะหรือจะกล้าปฏิเสธลูกกวางตัวจ้อยได้ลงคอ มิวาย เจ้าของรอยแผลเป็นเหนือหางคิ้วซ้ายแอบบ่น



               “กินมาก ระวังฟันหัก”



               อรัญเคี้ยวผลไม้แห้งหวานชุ่มคอ เบียดกายลงบนตักของชายพเนจร มันมองเตโชเริงระบำต่อท่วงทำนองสายน้ำหลากไหล พร้อมกัดกินของโปรดอย่างมีความสุข ศิขรินทร์จนใจจะห้าม ครั้งหนึ่งเจ้าตัวดีกินน้ำตาลเคี่ยวจนฟันร่วง ดีที่นั่นเป็นเพียงฟันน้ำนม ยามนั้นเด็กชายฟันหักขี้แย เกาะชายเสื้อ ร้องไห้จ้า เป็นภาระให้เขาทั้งขู่และปลอบจนมันสงบ ครั้นฟันแท้ขึ้นครบ เจ้าตัวดีเริ่มกลับมาแผลงฤทธิ์ สรรหาน้ำตาลเคี่ยวอีกแล้ว

 

               สิ่งใดขึ้นชื่อว่ารสหวาน อรัญจะปรี่เข้าหาทันที บุรุษผู้ครองแผลเป็นทับทาบขนงหนาจำต้องปั้นหน้าบึ้งห้ามไว้เสียทุกคราว จะห้ามปรามได้นานแค่ไหนก็สุดรู้ พักหลังเริ่มดื้อขึ้นทุกที ศิขรินทร์มักหนักใจกับเรื่องของเจ้าตัวดีเสมอ



               ทว่า กษณะนี้ ใต้ผืนฟ้าร้างเมฆกระจ่างใส ชายนักเดินทางกลับยื่นอินทผาลัมรสหวานให้ลูกมฤคตัวน้อย ราวเอาอกเอาใจ เพราะนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวกระมังที่เขามักใช้แทนคำ ‘ขอบใจ’ ซึ่งมิเคยวจนาให้เจ้าตัวยุ่งฟัง แม้นเพียงครั้ง...



                ชีวิตที่โชคชะตาฝากรอยแผลเอาไว้ บอบช้ำมากกว่ารอยแผลเป็นที่เห็น ใครจะรู้ว่าหัวใจของชายหนุ่ม ครั้งหนึ่งเคยนุ่มนวลอ่อนโยน หากถูกทำให้กระด้างกร้าวแข็งด้วยมรสุมชีวิต ศิขรินทร์เคยกอบเศษหัวใจอันชอกช้ำของตัวเองขึ้นมาด้วยธารน้ำตาพร่างไหล เพียงเพื่อจะโดนเหยียบขยี้ซ้ำ จนแหลกสลายคาบาทของผู้ที่อ้างตนเป็นเจ้าชะตา



               โมหะเคืองแค้นและบาดแผลชีวิต สวมบทเพชฌฆาต ลงดาบคร่าศรัทธาที่เคยครองไว้ในหทัย ศิขรินทร์มองความเชื่อตายไปจากหัวใจด้วยแววตาอันด้านชา แสยะยิ้มเย้ยเยาะความโง่งมของตัวเอง ทำดีแล้วได้ดีกระนั้นหรือ ธรรมคุณจะปกปักรักษาผู้ธรงไว้ซึ่งความดีเช่นนั้นฤๅ กรานไหว้องค์พระปฏิมา วิงวอนต่อทวยเทพนิกรแล้วเจ้าจักชัยยะ สุขะ อโรคะ



           มุสาทั้งเพ!



           หากพระผู้เป็นเจ้ามีน้ำพระทัยกว้างขวาง แลทรงรักมนุษย์จริงดังว่า คงไม่มีคนมีทุกข์อยู่บนโลกใบนี้



               ตราบนั้นมา ชายหนุ่มคมคร้ามจึงยินดีที่จะเรียกขานตนเอง ‘นักเผชิญโชค’ อันหมายถึงผู้ที่ไม่ย่นย่อ ยรรเยง ต่อโชคชะตาลิขิตสวรรค์ ศรัทธาในบวรศาสนาใดปลาสนาการสูญสิ้น ศิขรินทร์เชื่อเพียงตน ศรัทธาเพียงตน บูชาเพียงตนเท่านั้น



               เขาไม่มีวันคุกเข่าอ้อนวอน ต่อเทพนิกรหรือพระปฏิมาองค์ใด 



               หากมัน... มันยังเด็ก และโลกของมันยังสดใส



               อรัญสวดวิงวอนต่อพระพุทธาและเทวดาทุกชั้นภูมิสวรรค์ บทสวดสักการรำพันด้วยความเชื่อจากใจพิสุทธิ์มิใช่เพื่อตัวมัน หากเพื่อเขา เสมอมาเจ้าตัวยุ่งสวดไหว้ขอพรแด่เขา เพื่อเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น...



               ดอกกระดังงาจากป่าใหญ่เขาเห็นมันปีนเก็บด้วยสองมือ กองไฟเริงโรจน์ยามสุริยันครรลัยลารับบุษบันบูชาจากเจ้าเด็กตัวน้อย ภาพเด็กชายสรวงไฟปรากฏในคลองสายตาแทบทุกขณะที่เขากำลังลับมีดด้วยหินเนื้อเรียบ ณ ริมฝั่งน้ำ



               นักเผชิญโชครู้ดี พรแห่งอรัญทุกข้อเป็นของเขา



               “รัญ... เจ้าปรารถนาสิ่งใด ข้าจะหาให้”



               บุรุษสรรพางค์สูงใหญ่ก้มหน้า เอ่ยกับเด็กน้อยที่เอนกายแนบแผงอก เจ้าตัวดีสบตาเขาด้วยประกายระริกใส มันยิ้มทั้งที่สองแก้มเต็มป่องไปด้วยผลไม้แห้งรสหวาน



               “เว้นเพียงกริช เจ้ายังมิควรใช้”



               อรัญหุบยิ้มในบัดดล



               “ฮ่า ๆ” ชายหนุ่มหัวเราะเด็กชายวัยสิบขวบที่ทำท่าขัดใจ “อย่างอื่นล่ะ ที่เจ้าอยากได้”



               อรัญขมวดคิ้วครุ่นคิด



               “สิ่งใดก็ได้”



               ดรรชนีเด็กน้อยชี้ขึ้นฟ้า นักเดินทางมองตามปลายนิ้วที่จรดเหนือกลุ่มดาวกฤตติกา มันหัวเราะคิกคักสดใส เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีทางจะหามาได้ ศิขรินทร์พริ้มตา รับฟังเสียงหัวเราะนั้น เพราะนอกจากยามสะอื้นไห้ มีเพียงยามหัวเราะเท่านั้นที่เขาจะได้ยินเสียงมัน ไม่เคยมีพจีใดหลุดออกมาจากเรียวปากนั้น ไม่เคยสักครั้ง หากเขากลับเข้าใจว่ามัน ‘พูด’ อะไร



               “เป็นลูกกวาง ไยต้องการลูกไก่”



               เขากอดกระชับเจ้าตัวซนบนตัก นั่งมองดาวด้วยกันภายใต้ผืนฟ้าสกาวใส ใสยิ่ง... ปานแก้วเปอร์เซียเจียระไน



               ดาวกฤตติกา คือกลุ่มดาวลูกไก่ ผู้เดินทางท่องไปในท้องสมุทรย่อมเคยได้ยินมุขบาฐอันแสนเศร้าสร้อยของดาวกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นดินแดนด้าวใด เรื่องราวของดาวลูกไก่กลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เจ้าตัวดีสะอื้นไห้ทุกครั้ง หากมันก็ยังฟัง เผื่อเรื่องเล่าของลูกไก่น้อยทั้งหก ณ ธาษตรี ปฐวีใด จะมีจุดจบที่งดงามและเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข จะมีไหมนะ อยากฟังสักครั้ง



               เนิ่นนานในอ้อมอก



               ศิขรนทร์จรดปลายคางลงบนศิระของดรุณน้อย



               “หากเจ้าปรารถนา ต่อให้เป็นเดือนหรือดาว ข้าก็จะคว้ามาให้”



               หากเพียงเขาจะรับรู้... มันมิเคยปรารถนาสิ่งใดให้ตัวเอง ความต้องการเดียวคือให้ศิขรินทร์ปลอดภัย เจ้าตัวดีบูชาเพลิงเพื่อความสำเร็จในการณ์ใด ๆ ที่อีกฝ่ายกระทำ การณ์สำเร็จ ย่อมเท่ากับว่านักเผชิญโชคยังมีชีวิตอยู่ แค่เขายังอยู่กับมันตรงนี้... เพียงพอแล้ว



               ชายหนุ่มสูดเอาความสงบแห่งค่ำคืนที่กรรจายในบรรยากาศเข้าเต็มปัปผาสะ



               “แล้วกัน หลับฤๅ”



               รอยยิ้มอ่อนโยน น้อยครั้งจะปรากฏ แตะแต้มดวงหน้าคมคร้ามของบุรุษคมสัน



               ประกายฟืนปะทุและเปลวเพลิงลุกโหมสะท้อนในแววตาสีดำลึกล้ำ มือหนาเปิดย่ามผ้าที่บรรจุสัมภาระอยู่ด้านใน หยิบกระบอกสาสน์เนื้อโลหะดุนลายนักษัตรทั้งสิบสอง สัญญะแห่งทวาทศนครา นาครอันรุ่งเรือง เขาคลี่ม้วนสาสน์จารอักขระพราหมี ปัลลวะ เล่นหางยาวสลวย ทวนความ



               รอยยิ้มอันตรธานหายไปจากดวงหน้า ยามใดสุดรู้...



               คงไว้เพียงแววตาราบเรียบ ด้านชา ไร้ความรู้สึก



               ดรรชนีจรดมัชฌิมา คีบกระดาษสาสน์ จ่อไฟ... เปลวเพลิงลามเลีย เผาไหม้ปลายกระดาษ ศิขรินทร์สะบัดข้อมือส่งราชสาสน์ทั้งใบเข้าสู่กองกูณฑ์ รหัส... เนื้อความ... กลายเป็นเถ้าถ่านไม่เหลือซาก



               ไกลออกไป ในเงามืดของผืนป่ายามดึกสงัด ใต้ต้นกันเกราใหญ่แผ่กิ่งก้านคลี่คลุม ร่างหนาเคยพยายามสะบัดดิ้น หากมิเป็นผล จนเลิกล้ม บุรุษผู้นั้นถูกเชือกพันธนาการแน่นหนาเข้ากับโคนไพรพฤกษ์ เสียงตะโกนร้องเล็ดลอดจากลำคออย่างยากลำบาก ด้วยเศษผ้าที่ยัดอยู่ในปาก และผ้าที่มัดแน่นปิดริมฝีปากไว้อีกชั้น เสียงอู้อี้ของเขา เบา... เสียยิ่งกว่าเสียงร้องของนกฮูก ปักษากลางคืน ร่ำทำนองวิเวกวังเวงแว่ว โลมาแทบทุกเส้นทั่วสรรพางค์ลุกชูชัน



               ใครว่าราษตรีนี้สุขสงบ



               คนเดินสาสน์อาจกล่าวตรงกันข้าม...





************

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian


ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม
รจนา: ทัดจันทร์







    เส้นเกศาดำขลับกรอบให้ดวงพักตร์ยิ่งดูเรียวคม ปลิวสยายไปในสายลมอ่อนยามสิ้นสุดบทพระพุทธมนต์ สองกรพนมประณตกลางอุระ พร้อมที่จะสังวัธยายเดวะมันตราต่อไป ดังที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากพราหมณาจารย์ แลสังฆาจารย์ทั้งจตุรพรรค ให้พึงกระทำเป็นวัตรปฏิบัติ ยามทิวามณีแห่งวันใหม่เริ่มไขแสง


   ณ ปลายเส้นขอบฟ้าเหนือคุ้งน้ำ ไกลสุดสายตา รัศมีสีขาวแห่งพระอัศวินจับประกายเหนือเหลี่ยมเขาและผืนธารา บางเท่าแพรจีนพลิ้วไสว แสงขาวน้อยนิดยื่นหัตถาแตะขอบโลกแผ่วเบา ทำให้ท้องฟ้าห้วงสุดท้ายแห่งปัจฉิมยาม เริ่มอาบไล้ด้วยแสงแห่งทิวาวัน


    กระนั้น นโภมณฑลเบื้องบนศิระ ตลอดจนทิศทั้งสาม ยังคงตกอยู่ในความมืดอนธการแห่งม่านราตรี ร้อยพันดวงดาวยังพราวใส แม้มิเท่ากลางคืนเนื่องจากเมฆเริ่มปรากฏ ทว่าดวงดาราสีน้ำเงินกลางกลุ่มดาวสิงห์ ยังคงโชติช่วงชวาลาเหนือท้องฟ้าสีดำทมิฬ มีเพียงขอบอัมพรด้านบูรพทิศจับแสงขาวริบหรี่ เลยขึ้นไปเป็นแสงเฉดเทาขมุกขมัว แล้วไล่ระดับแตะแต้มด้วยสีน้ำเงินเข้ม ก่อนจรดกับสีนิลกาฬ ม่านดำลึกล้ำแห่งราตรีในที่สุด


    กัลกิยะทรรศนาอรุณแรกแสง ท่ามกลางสายลมเยียบเย็น เนื่องด้วยนิสาธาร น้ำค้างพราวพร่าง และไอน้ำกรรจายละลองจากชลธารสายใหญ่ที่จวนจรดออกสู่ทะเล


    หัตถ์ยังคงอัญชลีกลางทรวง ยามยุวขัตติยาพริ้มพระเนตร พร้อมร่ายมันตราอาทิตย์หทัย บทบูชาเก่าแก่ บุราณจารย์ใช้สวดสักการะสุริยะเทพเรืองอรุณ กษณะนั้น เจ้าชายแฝดผู้อนุชา ปรารภต่อพระองค์เองในหทัย

 
    ถึงแล้วสินะ เอกาทศนักษัตร... ตักโกลา


    ตึง!


   ก่อนธรรมราชกุมารจะได้เริ่มสฺวาธฺยายเทวะมนต์ เสียงวัตถุหนึ่งกระแทกกระดานดาดฟ้าเรือดังสนั่น กลิ้งหลุน กลบเสียงโบกสะบัดของผืนธงม่วงปักลัญจกรจันทร์เสี้ยวเหนือเสาเภตรา ระยับพลิ้วต้านกระแสลม

 
    เนตรสีเหล็กที่เคยพริ้มหลับ เบิกพลัน กัลกิยะผลันวรกายลุกพรวดขึ้น ยาตราลงจากระเบียงชั้นสองด้วยความเร็วปานวายุหมุน พระกุมารวัยหนุ่มก้าวล่วงเงามืดสู่แสงสีส้มอ่อนจากตะเกียงน้ำมันไขไส้ แขวนไว้กับเสาเรือ นายทหารเวรที่รั้งรออยู่แล้วเร่งเข้าเฝ้ารายงานสถานการณ์


    “เสียงอันใด” เจ้าของรัดเกล้าฝังบุษราในพยับตะเกียงเริงอำนาจ


    “วัตถุหล่นร่วงใส่เรือพระเจ้าข้า”


   “สั่งพลไฟ ตามคบตะเกียงทุกดวง!”


   ทุกฝีก้าวที่พระบาทเจ้าชายกัลป์กิยะย่ำผ่าน แสงตะเกียงวาบสว่างขึ้น ขับไล่ความมืดให้ปลาสนาการไปจากเภตราผงาดใบโต้สายลม มหาดเล็กพลไฟจุดคบ ไขตะเกียงน้ำมันจนสว่างไสว หากมิทันที่กัลป์กิยะจะได้มองถ้วนทั่ว


   ตึง!


    เสียงนี้เบากว่าเมื่อครู่ หากยังชัดเจนในยามอุษาสางอันงันสงัด นายทหารบางส่วนวิ่งไปยังหัวเรือ ด้วยโสตสดับต้นเสียงมาจากทางนั้น กัลกิยะเร่งสาวพระบาทดำเนินไป ขณะนายทหารตรวจตราเบื้องบุรพนาวาเริ่มอึงอล


    “นั่น... แพรึ ข้ามองไม่ถนัด” นายทหารหรี่ตามองสิ่งที่ล่องอยู่เหนือน้ำ ลอยมากระแทกเข้ากับหัวเรือ


    เหล่ากำลังพลที่มุงอยู่เร่งเหวกทางให้กับองค์ขัตติยะ เจ้าชายอนุชาเอื้อมหัตถ์คว้าคบไฟ เปลวเพลิงลุกเลียแวบวาบปลายคาคบอาบน้ำมัน ส่องสว่าง สาดแสงกระทบระลอกน้ำจนเกิดประกายระยับ แพไม้ไผ่ล่องตามสายชลกระแทกเข้ากับหัวยุวราชเภตรา  และกำลังจะถูกกระแสน้ำชะไหลผ่านไป


   ... บุรุษหนึ่งลอยล่องเหนือแพไม้ไผ่ ...


    ... หาก ...


   “เจอแล้ว!”


   นายทหารก้มตัวราบกับพื้นกระดาน ยื่นมือข้างหนึ่งความเข้าไปในซอกเล็กแคบ บริเวณเครื่องกว้านใช้ลากสมอ อันเป็นมุมอับแคบใจกลางลำเรือ เขาร้องขึ้นเมื่อสัมผัสกับวัตถุที่คาดว่าน่าจะตกใส่เรือ พลทหารหนุ่มค่อย ๆ ดึงมือกลับมาและยืนขึ้นเต็มความสูง


   ... ขณะเดียวกัน ...


   กลางลำแพไผ่สีสุกขนาดใหญ่ที่กำลังจะเคลื่อนผ่าน ยามลอยใกล้ยุวราชเภตราลำใหญ่ ที่จุดตะเกียงตามคบจนสว่างไสว ล่องอยู่กลางลำน้ำที่จวนจะบรรจบออกสู่ทะเลอันไพศาล แสงจากเรือใหญ่ส่องให้เห็นบุรุษกลางลำแพ ถูกเชือกพันธนาการมัดเข้ากับเสา


    ... บุรุษผู้นั้น ...


   นุ่งผ้ายกดอก ลวดลายเฉพาะข้าราชบริพารกองพระสาสน์ประจำราชสำนักศรีธรรมาโศก มีเพียงผู้ได้รับพระราชทานจากปทุมวงศ์เท่านั้น จักมีสิทธิ์สวมใส่


   “ให้ข้าดูซิ อะไรตกลงมา”


   ผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแลกลาบาต ถือตะเกียงส่องไปที่พลทหารผู้ก้มเก็บวัตถุประหลาดเมื่อครู่


   “อ้าว เป็นกระไรไปล่ะเอ็ง” นายเวรเอ็ดใส่ทหารหนุ่มที่ยืนนิ่ง


   “ดู... ดูเอาเถอะ” ผู้พูดชูสิ่งที่เก็บได้ติดมือ จากซอกหลืบกลางเรือ


    แพไผ่ล่องผ่าน


   แสงไฟจากปลายคบในอุ้งหัตถ์กัลกิยะ สาดส่องต้องกายชายที่ถูกมัดกลางลำแพ เขาคนนั้น...


   ... เหลือแค่คอ ...


   “ฉิบหาย!”


   หัวหน้าทหารเวรร่ำอุทาน เมื่อเห็นศีรษะมนุษย์มีเลือดหยดไหลจากส่วนที่เคยเป็นลำคอ แกว่งห้อยอยู่ในมือของนายทหารวัยหนุ่ม


   ทันใดนั้น พลันปรากฏเสียงหวีดหวิวของวัตถุพุ่งแหวกอากาศ


   กัลป์กิยะรู้สึกถึงความรุ่มร้อน ตื่นพร้อม แล่นวาบไปทั่วทุกองคาพยพ ขณะรำฦกดำรัสภารดา ที่พร่ำเตือนถึงถ้อยคำพระอาจารย์


    พระสังฆาจารย์ แห่งธตรฐสถาน กล่าวโอวาทเพียงสั้นแก่ศิษย์ก่อนจรจากนาคร ‘...ฟังเสียงลมให้จงดี’


     เพล้ง!


   อิษุดอกใหญ่พุ่งแหวกความมืดยามสาง ปักเข้าตะเกียงน้ำมันด้วยกำลังมหาศาล เศษแก้วครอบตะเกียงแตกเพล้งกระจัดกระจาย เกิดประกายไฟวาบวับติดน้ำมันหกลามพื้นเรือ


   ปัง!


   บานพระทวารส่วนที่ประทับท้ายเภตราเปิดผางออก ด้วยบาทพระยุพราชจันทรา ธรรมราชกุมารพระองค์โต เจ้าชายอุปราชยาตราสู่ตักโกลายามสาง กลางสมรภูมิเหนือน่านน้ำ ด้วยประกายพระเนตรดุดัน ห้าวหาญ ทรงพระราชอำนาจอุกฤษฏ์ปานสีหนาทคำรามสะท้านไพร


   ดาบคู่ด้ามงา... ภารดายัดใส่หัตถาน้องชาย


   ยุพราชหนุ่มชักกริชจากเอว กระโจนสู่สนามรบ


   ท่ามกลางสายฝนดอกธนูเริ่มโปรยปิดฟ้า แหวกม่านความมืด กัลกิยะตะโกนสั่ง


      “ย่ำเภรีศึก!”
    






******ธรฺมรฏฺฐคีตา******

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian

ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี
รจนา ทัดจันทร์






สํคฺรามเภรีย่ำ


กัมปนาทปานฟ้าคะนอง!


เสียงกลองศึกระรัวขึ้นจากเภตราขนาดใหญ่ลอยลำอยู่เหนือผิวน้ำ กึกก้อง ทลายความสงบสุขศานติแห่งปัจฉิมยาม จากนาวาลำเดียวที่ตามตะเกียงจนชัชวาล เริงโรจน์โดดเดี่ยวท่ามกลางความมืดยามอุษาสาง บัดนี้ ดวงไฟเหนือผืนธาราค่อยเพิ่มขึ้นทีละดวง จนสว่างเพลิงไปทั่วทั้งคุ้งน้ำย่ำยามรุ่งอรุณ


ในการศึก จะไม่ฆ่าผู้ส่งสาสน์ อย่างดีก็จะทำโทษมัน


เป็นธรรมเนียมยุทธสงคราม นักรบขุนศึกทั้งหลายพึงจารจำ


ขบวนพยุหะยาตราชลมารคแห่งองค์ยุพราชปาฏลีบุตรนครา สว่างขึ้นด้วยตะเกียงไฟ ทีละดวง ทีละลำ ใต้ความมืดเสี้ยวนาฑีสุดท้ายของนภาดลอมาวสี เภรีศึกจากนาวาลำแรก ย่ำสะท้านสะเทือน ไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงกลองกระหน่ำจากเรือทั้งขบวน กลองศึกกระหึ่มกู่ก้องทั่วทั้งธารา!


ศพของพวกพ้อง...


ปลุกอาศีรวิษให้ตื่นขึ้น แผ่พังพาน สำแดงเดโช


เสียงแตร สังข์ กลอง ประกาศศึก เคล้าเสียงโห่ร้องเซ็งแซ่ฮึกเหิมของเหล่าพลพยุหะ สนั่นหวั่นไหวไปทั่วท้องน้ำกว่ากว้าง สํคฺรามเปิดฉากนับแต่นาฑีแรกที่ขบวนเรือเคลื่อนพลเข้าสู่น่านน้ำตักโกลามหานคร


เจ้าของลัญจกรเคียวจันทร์แสยะยิ้ม ธัมมะราชปุระพร้อมทำศึกนับแต่ทรงดำริแต่งขบวนยาตราชลมารค ล่องแม่น้ำหลวง ราชนาวีขนาดใหญ่ทั้งยี่สิบห้าลำ บรรทุกนักรบและอาวุธเต็มกระบวน เป็นประจักษ์พยานยืนยัน ขัตติยะราชกุมารทั้งสองพระองค์ทรงดำริการศึกไว้ตั้งแต่เริ่ม ราวทรงรฦกรู้ สิ่งใดจะคอยอยู่ในภายภาคหน้า


ตลอดราตรีนั้นพระองค์จันทร์มิได้บรรทมหลับ ความรุ่มร้อนแผดเร่า สุมกองอยู่กลางทรวง ระอุมากเสียจนมิอาจข่มพระเนตรนิทราได้ ภารดายังจำคำอนุชาปฤจฉายามทรรศนาทะเลดาวพราวไสว


‘กังวลฤๅจันทร์’


‘ไม่’


‘แล้วเป็นกระไร’


สมเด็จพระยุพราชทรงจำคำตอบที่ประทานแก่อนุชาได้มั่น


‘ตื่นเต้นน่ะกัล…’ หากที่เจ้าชายหนุ่มยักเยื้องไว้ ตื่นเต้นที่จะได้สู้ศึกครั้งแรกในชีวิต มากเสียจน ‘…แทบจะรอรุ่งอรุณของวันพรุ่งไม่ไหว’


    เจ้าชายวัยสิบเจ็ดชันษา


   ตั้งตา. รอ. คอย.


   ศึกแรกในชีวิต!


   “อ๊าก!!”


   กริชเงินใบคมยิ่ง เยียบเย็นราวน้ำแข็ง ปาดลึกลงไปบนคอ จนเลือดแดงฉานพุ่งทะลักออกจากบาดแผลอันเกิดแต่รอยกรีดคว้านของกริชคม ชีวิตผู้บุกรุกถูกคร่าให้ตกตายสังเวยศาสตรา ยุพราชผันพระองค์โถมสังหารปัจจามิตรรายต่อไป รวดเร็วดังวายุกระหน่ำ ดัสกรทอดร่างสิ้นลง โดยมิทันได้กวัดแกว่งอาวุธในมือ


   ศัตรูอาศัยเงาสุดท้ายของความมืดย่ำอุษาเป็นเครื่องอำพราง พวกมันล่องเรือพายขนาดกลาง ทวนกระแสน้ำ เข้าประจันกับกองราชนาวีในโอรสาธัมมะราชปุระ สายพระเนตรประเมินกำลังพลอริศัตรู เห็นไม่น่าจะต่ำกว่าสิบลำเรือ บันไดไม้ของผู้บุกรุกพาดประกบนาวาศึก ทอดกายเป็นสะพานให้พวกมันปีนป่ายสู่สมรภูมิรบอย่างห้าวหาญ นักฆ่ารับจ้างเหิมกร้าว ลำพอง ไต่บันไดเร่งขึ้นประจันยุทธ์ หากพวกมันจะรู้เพียงนิด กระบวนเรือพายของตนกำลังถูกราชนาวีค่อยเคลื่อนลำ ล้อมไว้ทุกทิศทาง


   อหิร้ายตวัดขนดหาง ล้อมเหยื่อ


   ก่อนจะรัด และฉกกัดจนตาย


   พลธนูในขบวนเรือเจ้าชายแฝดมิอาจทำกระไรกับผู้บุกรุกได้มากนัก ด้วยพวกมันใช้โล่เหล็กกำบังดอกศร เมื่อปีนขึ้นเรือได้ เสียงประดาบของทั้งสองฝ่ายจึงขับขานทำนอง ราวบทสวดร่ายกลศึกรับอรุณ


   ดาบคู่ด้ามงาช้างถูกสะพายแนบปฤษฎางค์ หากที่กวัดไกวอยู่ในหัตถาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากัลกิยะราชกุมารคือทวนทวะยุทธ์ศัสตรา ด้ามเพรียวเบาหมุนคว้างราวเป็นองคาพยพหนึ่งแห่งสรรพางค์ ปลายแหลมของอาวุธเปรอะเลือด สะท้อนคบไฟและประกายอรุณ กัลกิยะผันคมทวนและกระแทกท้ายพลองใส่ดัสกรทั้งหน้าหลัง มฺฤต ทบท่าว ไม่ปราณี


    ทฺวยุทธ์ศาสตราตระหวัดควงแหวกอากาศ กลับแนบลำตัวนายแห่งมัน กัลกิยะประทับยืนผงาดง้ำ สายลมอ่อนรับทิวาสะกิดพู่ไหมสีชาดปลายทวนพลิ้ว ไสวเฉกเกศาแห่งเจ้าฟ้าพระองค์รองที่สยายริ้วในวายุปราณ เป็นความงามสง่าอันน่ายรรเยงยิ่ง


    คมทวนคืออาวุธที่กษัตรินเลือดนักรบ จะทรงใช้ยามกระทำทฺวยุทธ์ การประลองตัวต่อตัวในการศึก มาดแม้นทฺวยุทธมิอาจบังเกิดกับกองโจรสถุลชี ธรรมราชกุมารฤๅหวั่น สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์รองประทับมั่น ปล่อยแสงตะวันอาบไล้พักตรา นัยนาลึกล้ำโชนช่วงอัจจิมา ส่อประกายตาของขุนศึกพร้อมรบ กษณะนี้ กัลกิยะทรงสง่าน่าคร้ามเกรง ดุจดั่งมหานารายณ์ยามเสด็จรณภู ประจญทวยทัพมาราในเทวาสุรสงคราม


    “เป้าหมายอยู่นั่น” ผู้บุกรุกตะโกนสื่อสารกันด้วยพจนามลายู


   มลายูโบราณเป็นภาษาแห่งการค้าวาณิช นับแต่สมัยราชอาณาจักรศรีวิชัยเรืองอำนาจ ผู้ใดแสวงหาความร่ำรวยแลโภคทรัพย์ เดินเรือเทียบนครท่าตลอดคาบสมุทราแห่งนี้ จำต้องพร้องพจีเป็นมลายูได้ การค้าแลศฦงคารที่เสาะแสวง จักสำเร็จมิยากนัก


    ตลอดระยะเวลากว่าห้าร้อยปีที่ศรีวิชัยเป็นจ้าวสมุทร ภาษาบุราณสื่อกลางแห่งคาบสมุทรแหลมมลายูได้ซึมซับเอาคลังคำ ถ้อยวจนาจากชนชาติมิตราคู่ค้า สํสฺกฤต เปอร์เซีย และอาราบิกเข้าปะปน จนกลายเป็นอีกหนึ่งภาษาที่รุ่มรวย สะท้อนการค้าและอารยะ เพียงภาษาก็บอกได้หมายรู้ ศรีวิชัย’เคย’ยิ่งใหญ่เพียงใด


   หาก... ศรีวิชัยสิ้นแล้วซึ่งอำนาจ


   แล ศรีวิชัย คือ ผู้มีชยะเหนือพราหมณ์


   ปทุมวงศ์ คือ วงศ์พราหมณ์


   แล ยามพระบิดาเสด็จเถลิงถวัลยราช


   บรมโองการก้องประกาศ ธัมมะราชปุระมิขึ้นต่อผู้ใด จักเป็นใหญ่เหนือผืนสมุทรา!


    ปลายทวนแทงทะลุอกสลัดชวา พระกุมารผู้ทรงศิราภรณ์มณีบุษรา ยืนประทับนิ่งเป็นเป้าให้กองโจรพุ่งโจมตี กษณะนั้น ด้ามทวนเริงระบำ ฟันฟาดเต็มพละและปรีชา ยากจะหาคู่ต่อสู้ฝีมือทัดเทียม หากพวกมันจะรู้เพียงนิด ทวนคืออาวุธศาสตราที่กัลกิยะไม่ถนัดเอาเสียเลย


    “ดาหน้าเข้ามา ผู้ใดประสงค์มฤตาลัย”


   วจนามลายูแห่ง ‘เป้าหมาย’ ที่กองโจรหวังเข่นฆ่า ย่อมเป็นที่เข้าใจต่อสลัดชวา ด้วยชนชาวชวากะเป็นเจ้าของมลายูภาษา ถ้อยสนทนาในดินแดนที่ศรีวิชัยเคยรองเรือง


    หนึ่งทวนณรงค์ปะทะหลายคมดาบ บัดนี้รอบวรกายและยุวราชนาวาทุกลำเหนือคุ้งน้ำคือสนามรณภู พลพยุหะแห่งศรีธรรมราชต่อสู้เผชิญศึกกับกองโจรรับจ้างชาวชวา ภายใต้แสงแรกแห่งทวิวาวัน กลางแม่น้ำหลวงแห่งเมืองเอกาทศนักษัตร ตักโกลา ผู้ถือตราศฤคาล ปีจอ


    มือสังหารชาวชวากะสวมผ้าพื้นสีราตรี หากประดับกายด้วยลูกปัดมากสีสัน ดาบใหญ่ของสลัดที่กวัดแกว่ง หล่นร่วงลงทีละอัน ร่างของผู้บุกรุกทุกเภตราเริ่มทอดลง  บ้างจมลับหายใต้สายน้ำ บ้างทิ้งลมหายใจไว้บนดาดฟ้าเรือ และในวินาฑีที่ผืนฟ้าประดับม่านเมฆาแต้มแสงสุริยาฉาบฉายทิวาวัน เสียงพยุหะหาญแห่งเมืองสิบสองนักษัตรเริ่มโห่ร้อง


   ชยะ ชยะยาตราใกล้!


    ร่างสุดท้ายของสลัดชวา สังเวยต่อกริชเงินในหัตถาพระองค์จันทร์


   เจ้าชายแฝดผู้เชษฐาฉลองพัตราภรณ์มิต่างพลทหารร่วมกระบวนนาวา กระชากอาวุธรณยุทธ์ระยะประชิดออกจากช่องท้องท่วมโลหิตของศัตรู ลำไส้ ไต ตับ รวมทั้งสายเลือดคลุ้งคาวหลากทะลักออกจากเรือนกาย ดวงตาดับแสงของมันเบิกโพลงด้วยความทรมานก่อนมฺฤตา เห็นเส้นโลหิตบนนัยน์ตาถลนโปนนั้นแตกไหล จึ่งไร้ชีวิต บาทพระยุพราชถีบร่างร้างอาปาณ ให้ทบท่าวลงกลางกระดานดาดฟ้าเรือ


   สำเนียงกู่ก้อง ฮึกเหิม ยินดีในชัยชำนะแห่งสหายร่วมศึก แซ่ซ้อง สะท้อนกังวานไปทั่วทุกสารทิศ พลพยุหะสำรวลดีใจในชยะ เสียงหัวเราะ สังข์ กลอง ขับขานท่วงทำนองแห่งความสุขรับประกายสุริยัน สดใสยิ่งผืนนภาสีขาวต้องแสงสุริยาทิตย์จนกระจ่างจำรัสจ้า ค่าที่ยามนี้ท้องฟ้าทั้งผืน ห่มม่านเมฆาเฉดขาวนวลละลอง


    สุขใดแห่งนักรบ จะเท่าสุขในชยะไม่มี


    สุขยิ่งเหลือประมาณ




*************

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี
รจนา: ทัดจันทร์




    เรือนอกวัยกำเลาะ วัยแห่งดรุณีแรกสาวทรวดทรงสะพรั่ง ปทุมถันตูมเต่งได้รูปนั้นถูกรัดพรางไว้ภายใต้ผืนผ้าฝ้ายทบพัน แล้วจึงสวมทับด้วยเสื้อแขนกระบอก นุ่งหยักรั้ง เก็บปลายผมด้วยผ้าโพกพันศิระ เสร็จแล้ววรองค์โปร่งบางจึงสำรวจสัมภาระในย่ามเฉวียงบ่า เนื้อเค็มตากแห้ง ข้าวกวน วลัยทองสามสี่ข้อ อ้อ ที่สำคัญมีดสั้นใบคม ไม่ดีนัก แต่ถือว่าพอเอาตัวรอดได้


   เหนือยี่ภูปักลายหงส์เหิน ประจงวางหมอนบุไหมอัดฟาง บางใบยัดนุ่นนุ่มสบาย เรียงต่อกันเป็นแถว แล้วคลุมทับด้วยผ้าห่มแพรสีชมพูนวล ดาริกาคลี่วิสูตรรอบพระแท่นผืนโปร่งเบาบาง ปิดมุมทั้งสี่ของเตียงจีนสี่เสาประดับมุกไฟ แสงสีขาวริบหรี่ประกายแรกของอรุณรับวันใหม่สาดผ่านบานบัญชรที่เปิดกว้าง ส่องกระทบเตียงนอนใหญ่ ทำให้ดูคล้ายเจ้าหญิงน้อยยังคงบรรทมอยู่เหนือพระแท่น สนิทนิทรา


    ร่างเพรียวบางรั้งอยู่ริมหน้าต่าง ชะโงกพักตรามองลงไป สูง แม้นไม่เท่าหอกระโดดที่ใช้ฝึกในยามเรียนนายร้อย แต่จากพื้นดินจรดบานหน้าต่าง ลงไปโดยไม่มีเชือกโรยตัวก็ยังนับว่าสูงอยู่ดี ดาริกาถอนหายใจ หากทุกอย่างจะง่ายเพียงแค่โรยตัวลงไปด้วยผืนผ้าที่มัดปมต่อกัน แต่คงเป็นวิธีที่ไม่ฉลาดเท่าไร ถ้าลงทุนจัดเตียงแล้วหนีไปได้ แต่ทิ้งหลักฐานเป็นผ้าต่อปมผูกคาไว้กับขาตั่งให้คนข้างหลังจับได้


   การหลบหนีต้องไร้ร่องรอย ฉะนั้นการโรยตัวย่อมใช้ไม่ได้


   อดีตนายร้อยยืดกล้ามเนื้อ


   “เฮ้อ หาเรื่องแท้ ๆ”


   คำปรารภคล้ายปรามตัวเอง ทว่า...


   เจ้าหญิงน้อยปีนขึ้นหน้าต่างอย่างไร้ความลังเล เสี้ยววินาทีสั้น ๆ กลางสายลมพัดแผ่วยามรุ่งสาง  ดรุณีแบบบางกระโจนพรวดจากขอบพระบัญชร ม้วนกายลงสู่ธรณีเบื้องล่าง เงียบงัน ว่องไว


    ดาริกาสำรวจซ้ายขวา ครั้นทางสะดวกจึงอาศัยแมกไม้ในอุทยานเป็นปราการกำบัง เร้นกาย ลับหายไป



   “เจอแล้ว อยู่นี่เอง”


   เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือพุ่มพฤกษก ดาริกาที่หลบอยู่หลังบริบรรณระบัดสีเขียวจัด เรี่ยรายไปด้วยหยดกลมใสของนิศาธาร อาบพยับแสงแรกอรุณของทยุมมณี หยาดน้ำค้างพิสุทธิ์พิศคล้ายแก้ววิเชียรฉายดาษดา ขณะนั้นสังขาร์เพรียวบางชะงักนิ่ง มิไหวติง ทว่าดวงแด หล่นโครมแหลกสลาย



   “มุดทำกะไรอยู่ตรงนั้น”


   โดนจับได้เสียแล้วสิ เจ้าหญิงน้อยถอนปราณ ปลดปลง ชานุข้างหนึ่งชันขึ้นเพื่อพยุงวรกายประทับยืน


   “อ้าว เจ้านะเอง”


   เกือบไป! เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่เจ้าหญิงผู้ลอบหลบหนีจะยอมจำนน เสียงบุรุษนายหนึ่งกลับจำนรรจ์วจีมาจากสุมทุมพุ่มพฤกษ์ที่อยู่ไม่ไกล ได้ยินเสียงนั้น ดาริกาแทบจะหมอบลงไปจนตัวแนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกับติณชาติชอุ่มเขียว เราต้องรอด ต้องหนีไปให้ได้


   “ข้าเอง จะมาตาม ผลัดต่อไปเขามาเปลี่ยนเวรแล้ว” นายทหารรักษาการณ์บอกกับสหาย


   “งั้นดี มาช่วยข้าหา”


   “เจ้าทำสิ่งใดหาย”


   “หัว เพลานี้ยังมิหาย แต่อาจจะ ถ้ามีผู้บุกรุก”


   “ใคร พวกมันฤๅ” นายทหารที่เพิ่งออกเวรหมายถึงสลัดชวา ที่เคยกระทำอุกอาจมาแล้วครั้งหนึ่ง


   “ข้าไม่รู้ อาจมิใช่ แต่เห็นมีบางอย่างวอบแวบแถวพุ่มพันธุ์พวกนี้ เลยออกมาดู”


    “ตรงใด ข้าจะช่วย”


   ไหมล่ะ หาเรื่องแท้ ๆ อดีตนายนายร้อยได้แต่สบถในใจเมื่อพยุหะหนุ่มเริ่มเดินสำรวจหา ขัตติยะนารีในคราบเด็กชายชาวไพรค่อยเคลื่อนตัวแผ่วเบาออกจากพวงพุ่มบริบรรณ หากการเคลื่อนที่ด้วยความเงียบ โดยมิอาจโผล่พ้นจากกำบังใบไม้ เป็นไปอย่างลำบากและกินเวลา ขณะเสียงแหวกพุ่มระบัด แว่วชัด กระชั้นเข้ามาทุกที


   “วูฟ!” หมาป่าวัยกำลังโตกระโดดทับร่างเจ้าหญิงน้อย


   เงียบ! ดาริกาทำมือจุ๊ปาก ศฤคาลตัวโตขนสีเทาสลวยจรดนัยน์ตาเฉดอำพันจ้องมนุษย์สตรีเยาว์มาลย์ มันเอียงคอ เห่าเสียงดังกว่าเก่า


   “วูฟ”


   ในทรรศนะของอดีตนายร้อย เกรย์วูฟศฤคาลนักล่าแห่งผืนป่า มิได้เห่าโฮ่งเยี่ยงศวา สุนัข ชนิดอื่น สรีระสูงใหญ่อาจทำให้เสียงเห่าของหมาป่าฟังทุ้ม คล้ายก่นคำราม เจ้าเกรย์วูฟตัวดีกระดิกหาง วิ่งวนรอบดรุณีกำเลาะ


   “เฮ้อ ศฤคาลนี่เอง” เสียงแหวกพุ่มไม้หยุดลง “ข้าว่าคอพวกเรายังมิขาดดอก” ทหารออกเวรเอ่ยต่อสหาย


   “จะไปดูหน่อยไหม เห่าดังมาจากตรงนั้น”


   “ไปให้มันงับเอาฤๅ รู้กันอยู่มันไม่เป็นมิตรต่อใคร เว้นแต่ทูลหม่อมน้อยเท่านั้น คนให้ข้าวมันยังกัดไม่เว้น”


   “นั่นสิ แต่ถ้าเกิดมีใครทะเร่อเข้ามาล่ะ”


   “ให้ศวานั่นจัดการ ดุปานนั้น บุรุกเข้ามาเถอะ จมเขี้ยวเสียก่อนนายเวรจะเร่งรุดมาถึง”


   บทสนทนาของพยุหะหนุ่มเงียบหาย พร้อมเสียงฝีเท้าทิ้งห่างจนลับไป ดาริกาไม่เคยคิดว่าการช่วยชีวิตสัตว์ในยามที่มันตกทุกข์ได้ยากจะมีประโยชน์ถึงเพียงนี้ มือบางลูบหัวเจ้าหมาป่าสีเทาอย่างดีใจและปราณี


   “เก่งมาก เด็กดี” เจ้าหญิงน้อยรีบลุกขึ้นเมื่อปลอดสายตาของผู้รักษาการณ์ “เอาล่ะ ฉันต้องไปแล้ว อย่าขู่ใส่คนให้ข้าวเขานัก ไม่น่ารักรู้ไหม ไปล่ะ”


    “วูฟ” หมาป่าตัวเขื่องกระดิกหาง วิ่งตาม


    “ชูว์” ดาริกาหันมองรอบด้าน โล่งใจที่ยังไร้วี่แววผู้คน “ไม่ได้ไปเล่น อย่าตาม”


   สุนัขผู้ล่าแห่งมวลแมกวนาไม่อาจล่วงรู้ เข้าใจคำมนุษย์ มันเพียงวิ่งตามสมาชิกร่วมฝูงของมัน หมาป่าโดดเดี่ยว มีมนุษย์คนเดียวเป็นเพื่อนร่วมฝูง จะให้ทิ้งกันไปได้อย่างไร


   “ก็ได้ แต่ถ้าจะตามมาด้วย ต้องเงียบ”


   “หงิง” เกรย์วูฟประหนึ่งขานรับ




   ณ ตีนท่า เรือหลังคาโค้งสานจากไม้เนื้ออ่อนจอดสนิทเหนือน่านน้ำในเขตพระราชฐาน อันเป็นคลองสายยาวต่อกับแม่น้ำหลวงด้านนอก เรือลำนั้นลำเลียงสินค้าจำพวกข้าวสาร ผัก ปลา มาส่งยังห้องเครื่องวิเสทเป็นกิจวัตร ยามนี้บนเรือร้างผู้คน ค่าที่คนบนเรือขนของไปส่งให้คุณข้างใน เรือจึงโล่งไร้สัมภาระ มีเพียงเข่งไม้ไผ่สานและกระสอบป่านใช้แล้ววางแกะกะ


    ดาริกาใช้ช่วงจังหวะที่นายเวรตีนท่าผินหน้าไปทางอื่น เผ่นแผล็วขึ้นเรือ มือบางคลี่กระสอบป่านทับหมาป่าขนสลวย จากนั้นเจ้าหญิงน้อยจึงมุดตัวเอาเข่งอำพราง คลุมครอบตัวเอง ที่เหลือคือรอ ไม่นานเรือลำนี้จะพายล่อง ลัดออกสู่ชลธารด้านนอกพระกำแพง ผู้หลบหนีเพียงแต่ต้องรอ รอเวลาอย่างใจเย็น


   มัจฉาใต้สายน้ำว่ายขึ้นเรี่ยผิวชลชลาใส แล้วพลันผุดดำลับหาย ทิ้งไว้เพียงระลอกคลื่นเป็นมณฑลระยับพลิ้ว แต้มด้วยแสงรวีเป็นประกาย คล้ายผงทองคำประดับผืนน้ำ เวลาแห่งทิวาเสด็จย่างพระบาท ขับม่านมืดแห่งนิศากาลให้ครรลัยผ่าน พ้นไป... ท้องฟ้าเช้านี้ขาวโพลนไปด้วยอาภรณ์กลับเมฆ สดใสดังดวงใจที่กำลังโลดโผนเป็นอิสระ


   ครู่ใหญ่ล่วงไป เรือเก๋งสานที่เคยจอดนิ่ง ยุบยวบ ค่าที่มีคนกลับขึ้นเรือ เสียงฝีเท้าย่ำเดิน แกะเชือกที่ผูกไว้กับเสาท่า ไม่นานเรือหลังคาโค้งลำเปล่าก็ออกล่อง ผ่านซุ้มประตูเหล็กหนามล่วงสู่นอกเขตพระราชวัง


    ดาริกาอมยิ้มดีใจ


   เข่งไม้ไผ่สานเปิดอ้า ยินคำทักทาย


   “จะไปไหนแต่เช้าฤ ดาริ”


   ภารดาพระองค์รองกอดอุระ ก้มมองกนิษฐาตัวจ้อย นัยน์เนตรดุดันคาดคั้นคำตอบ


   “แคว๊ก”


   พญาอินทรีย์ทองเกาะเครื่องหนังกั้นไหล่มยุ เอียงคอ มองจ้องเจ้าหญิงน้อยไม่ขยับปีกขยับกาย ดูเถอะ เจ้าขุนทองก็กำลังรอคำอธิบาย ไม่ต่างเจ้านายของมัน


   ดาริกาถอนใจ


   สุดท้ายก็ไม่รอด








***********************************

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี
รจนา: ทัดจันทร์







“หนวกหูเสียจริง”


ศิขรินทร์เอาก้านดอกหญ้าปั่นหูแก้รำคาญ ปุรุษะนักเผชิญโชคอยู่บนหลังพาชี ซ้อนอยู่บนอานแนบหลังเด็กชายซุกซน อรัญชะเง้อแลไกลสุดสายตา เห็นกองเรือโห่ร้องฉลองชัยอยู่กลางน้ำ อัศวะสีขาวที่เป็นพาหนะให้หนึ่งบุรุษหนึ่งดรุณ ยืนนิ่งริมโค้งน้ำ ปล่อยให้มนุษย์ทั้งสองทรรศนาสํคฺรามราชนาวี


อรัญห่อไหล่ มันต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ เจ้าเด็กจอมซนฉงนใจ หรือข้าทำประการใดผิดพลาด



“ฮ่า ๆ เจ้านี่น้า” ชายหนุ่มคมคร้ามโยกหัวเจ้าตัวดีเล่น เมื่อเห็นมันเป็นกังวล



การบูชาเทพแห่งไฟจะกระทำก่อนการออกศึกทุกชนิด อรัญสรวงไหว้พระเพลิงศักดิ์สิทธิ์เพื่ออำนวยชยะให้กับศิขรินทร์ เด็กน้อยไม่รู้... เจ้าของเรือธงม่วงเป็นใคร มาจากไหน ไม่รู้หรอกว่าสังหาร ทำศึกกันไปไย สิ่งเดียวที่มันรู้นับแต่ร่วมเดินทางกับนักเผชิญโชคลอยล่องสมุทรา



สงครามแห่งชีวิตของคนอย่างพวกเขา



มีเพียงชยะ ฤๅ มฺฤตา



หามีตัวเลือกอื่นใด



มันจึงบูชาอัคนีเทพด้วยใจอันพิสุทธิ์ เพื่อชัยชนะแห่งนักเดินทาง หาไม่ ความพ่ายแพ้แลมฺฤตาลัยจะคร่าเขาไป สุดท้ายมันจะไม่เหลือใคร ไม่เหลือใครอีกเลย



“อย่าห่วงเลยน่า ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอก อีกอย่าง...” ชายหนุ่มคุมบังเหียนม้าให้เริ่มออกเดิน “...ยามบูชาเทพแห่งไฟ เจ้าควรสังเกตกองเพลิง”



เด็กชายฉงน หากศิขรินทร์เพียงแต่ยิ้ม



เปลวเพลิงกองนั้นยังลุกโชตนาอยู่ในความทรงจำ เปลวไฟสีแดงเริงโรจน์แผดเผาไม้หอม ดอกไม้ รวมทั้งราชสาสน์ มอดไหม้ ไร้ควันแม้นกระผีกริ้นเดียว!



อัคนีเทพได้ให้สัญญานมงคล



การณ์ใดที่กระทำจะเป็นเสมือนเปลวเพลิงโชติตระการ หามีผู้ต้านทานได้ไม่!



**************

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Killian

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
    • Killian
ธรฺมรฏฺฐคีตา


สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี

รจนา: ทัดจันทร์


บรรณ ๔



ธงตราลัญจกรภวเศขรจันทร์หงายสะบัดโบกในกระแสวาตะพลิ้ว คล้ายร่วมแซ่ซ้อง กำสรวลสราญ ด้วยหมู่พยุหะฉลองชัยรณพีร์ ชำนะศึกราชนาวีเหนือน่านน้ำตักโกลา


ประกายพระอาทิตย์สว่างจ้ารับอรุณ ขับไขรัศมีอยู่ภายหลังม่านเศวตเมฆา ขาวจำรัสโพลน เป็นเหตุให้องค์สุริยะเทพมิอาจเมิล ยาไฉนสัทท์กำสรวลของพยุหะนายหนึ่งพลันร้างรำงำไป ท่ามกลางความเปรมปรีดิ์แห่งชัยที่คว้ามา


เสียงหัวเราะเสนาะสนาน กลับกลาย...เป็นเสียงสำลัก


นายทหารหนุ่มหันมองเพื่อนร่วมรณภู ที่มีอิษุศรผันเกลียวแหวกอากาศ พุ่งปักทะลุคอ โลหิตฉานชาดทะลักล้นจากแผลฉกรรจ์เหวอะหวะ มิตรร่วมสนามรบกระอักเลือด คาวคลุ้ง แดดิ้นลงกลางดาดฟ้าเรือ ทหารกล้าทอดร่างร้างชีวิตมิต่างอันใดกับโจรชวา


ฉึก


อีกร่างทบท่าวลง


ฉึก ฉึก เสียงพิเราะห์แห่งชยะเริ่มริบหรี่ เร้นร้าง อำลา


พยุหะทุกผู้หันหาที่มาของศร หากมิพบ ผู้บุกรุกทั้งสิ้นล้วนมรณายามยุรยาตรล่วงขึ้นเภตราธงเสี้ยวจันทร์เศขร กัลกิยะกวาดสายตา สำรวจศวสังขาร์สลัดชวามฤตาเกลื่อนพื้น หาก...ไม่มี ไม่มีศวร่างใดใช้ธนูระศาสตรา! ก่อนพวกมันจะบุกขึ้นขบวนเรือ ฝนธนูสาดกระหน่ำ นัยน์เนตรสีเหล็กเบิกกว้าง แม้นพวกมันตกตายล่วงแล้ว... พิรุณคมศรยังพรำ!


“เตรียมโล่ รับศึก!”


พระองค์จันทร์ทรงบัญชา พระสุรเสียงสะเทื้อนกังวาน ปานเทวราชผู้ทรงมหิทธา สายพระเนตรทอดไกลเหนือคุ้งนทีกว่ากว้าง หากมิอาจพิศแลเมิลเห็น เจ็บใจนัก!


ราตรีใดสกาว เช้าพราวกลีบเมฆ ม่านหมอกย่อมปฺรกฏ


ปราการแห่งธรรมชาติ ปิดพราง กำบัง ได้น่าพรึงพรั่นนัก หมอกขาวโพลนกำจายทั่วคุ้งน้ำ ปกปิดมรรคาเบื้องหน้าจนมิอาจมองเห็น ม่านหมอกเย็นเยือกพรายพลิ้วละอองไอไปในอากาศยามอรุณ อณูหมอกกลมใสอาบแสงทองสุริยาทิตย์ ฟุ้งกรรจายไปทุกทิศทาง สวยงาม... แต่... ซึมซ่านแฝงเร้นไปด้วยเงามรณา


ศรพุ่งปราดหลุดจากแล่ง แหวกหวือกลางอากาศ กระหน่ำปิดโพยมฟ้า ถาโถมราวโทษามรสุม เสียงอิษุศรชำแรกธาตุอากาศ หวีดดังราวพายุกรีดกริ้วกลางทะเลทราย


คมศรตกร่วงใส่กองเรือของเป้าหมาย ทหารหลายนายตายตกตายก่อนคว้าโล่ได้ทัน และแล้ว... กลางกระแสวาโยในหมอกม่านไอธุมา หากสดับฟังให้จงดี จักยินเสียงใบเรือคลี่กาง พรึบ พรับ รัวดัง สะท้อนก้องไปทั้งคุ้งนทีธารา ลำแล้วลำเล่า ราวคีตาดนตรีบรรเลงสังคีตไม่มีหยุดหย่อน


สองขัตติยะรฦกคำพระสังฆาจารย์จับฤทัย


โอ... ชยะที่เคยมี...


ตึง ตึง ตึง เภรีศึกย่ำกัมปนาทจากอีกฟากของม่านหมอกละอองหนา เสียงกลองระรัวก้องสะท้อนไกล มิใช่เพียงทั่วคุ้งน้ำ หากลึกลงไปจรดเบื้องบาดาล แม้นมัจฉาสาธารยังรู้ เภรีจากกระบวนเรือหลังกำบังหมอกเศวตโพลน ย่ำกังวานเสียยิ่งกว่ายุพราชนาวี


โอ... ชยะแลสุขะ มิเคยอยู่กับใครนาน


สิ่งนั้นพุ่งแรงเร็วปานดาวตก แผดเผาฉุดคร่าเยี่ยงทัณฑ์ไฟนิรยะอเวจี


ลูกไฟ!


เป็นไปได้เยียใด? ลูกไฟถูกดีดซัดเป็นวิถีโค้งแหวกวิสูตรหมอกคลุ้งฟุ้งยิ่งเมฆา กระแทกใส่กองเรือแห่งเจ้าชายแฝด ไม่... ด้วยสัตยะ ยุทโธปกรณ์ยิงลูกไฟเช่นนี้ ธัมมะราชนาวียังมิเคยเห็น ลูกไฟกลมใหญ่ ทำจากขดเชือกม้วนพันเป็นก้อนหนา ชุบน้ำมัน จุดไฟ ดีดใส่กระบวนนาวียาตรา กระแทกโครม ลุกไหม้ ผลาญเผาริปูไพรี


เอกรงค์พื้นม่วงพลิ้วไหวกลางกระแสวาตะโยถูกลูกไฟพุ่งกระแทก เสาธงหักสะบั้น ผืนธงริ้วกายระพื้น เปลวอัคคีลุกโหมลามเลีย ธงผ้าพระลัญจกรแห่งเภตราลำเอก มอดสิ้นในฤทธาเพลิง


บัดดล เรือขนาดใหญ่ตระหง่านง้ำ สูงชะลูดราวภูผา แหวกกำบังม่านธุมาเข้ากรายใกล้ ใบของมันเป็นสีดำเปื้อนมัว เขียนตราตรีศูลเสียบทะลุกะโหลกสยดสยอง


พรึบ


ผืนผ้าใบสีดำทิ้งกายคลี่กาง เรือสลัดลำใหญ่มหึมาปรากฏกาย ราวปีศาจชะเลตื่นนิทรา ผลันประจันหน้ายุวราชนาวี และแล้ว... ในกระแสพัดผ่านแห่งวายุยามเช้า หมอกม่านบังตาจึ่งจากจางหายไป โอ... มิใช่เพียง หนึ่ง... สอง... ฤๅยี่สิบห้า...


หากสังขยาจำนวนจนถ้วนแล้ว นับได้... วีสุตฺตรสตํ


หนึ่งร้อยยี่สิบลำ!


ข่าขัน น่านน้ำตักโกลาที่เคยพร้องพากย์เต็มปากว่ากว่ากว้าง กาลนี้กลับแคบขนัดลงไปทันตา ยามเรือสลัดทั้งสิ้นกางใบดำครองผืนน้ำ จ้าวทะเลฤๅ อ้อ มิใช่ จ้าวสมุทรา เห็นเต็มสองตาหรือยังเล่า! แม่น้ำหลวงที่เจ้าขานอย่างภาคภูมิกระหยิ่มใจ ยังใหญ่มิเท่าแสนยาหมู่ข้านี้  อย่าว่าแต่จ้าวสมุทรเลย จ้าวแห่งแม่น้ำแม่คลอง เทียบได้ฤๅยัง


หากยัง...


จงแหกเนตรดูเสียให้เต็มตา ความเกริกไกรแห่งทัพสลัดชวาที่เจ้าว่า... สถุลชี!


ขากถุย ตูข้าอยากหัวร่อนัก


นาฑีนั้น เสียงหัวเราะหยันเย้ยไยไพ ดังระงมไปทั่วทิศ อสูรแห่งน่านทะเลสมสาแก่ใจ พวกมันหวีดร้อง หัวเราะ ถ่มน้ำลาย กวัดเกว่งอาวุธในมือพร้อมโรมรัน กระหาย... กระหายเหลือเกิน เลือดแดงคาวอุ่น  เสียงร่ำไห้ โหยหวนทรมาน และความตาย ใช่ ความตายของพวกทหารเขลา ต้องถูกกระชาก กระจากออกมาจากลมหายใจของพวกมันทั้งหมด!


โครม!


เรือโจรมหึมากระแทกชนยุพราชนาวี สะพานไม้ขนาดใหญ่จากเรือสลัดท่าวทบ พวกมันไม่รั้งรอ กรูวิ่งเหนือสะพาน บุกบั่นเข้ามา ดาบแกว่งในมือล้วนใบใหญ่คมหนา บ้างเป็นลูกตุ้มเหล็กหนาม บ้างขวานจามขนาดยักษ์ บ่างธนูไฟเผาผลาญ โจรฉกรรจ์แผดหัวเราะ โห่ร้อง บ้าคลั่ง ดังยิ่งกว่าสำเนียงฉลองชัยยะแห่งธรรมราชนาวี


เพียงกองสลัดเหยียบย่างลงเภตรา...เสียงโหยหวนแห่งความทรมานแสบสัน ทำนองแห่งคมดาบฟันฆ่า อึงอล โสตแทบปริแตกดาลดับ เลือด... หยาดเลือดทหารกล้าทะลักกระจาย โชกชุ่มไปทุกแห่งหน น้ำตา... น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลรินอาบแก้มคนวัยหนุ่ม หนุ่มน้อยนัยน์ตาซื่อใสค่อย ๆ เผือดแสงแห่งชีวิต ดับไป


ทหาร แปลว่า คนหนุ่ม


วัยที่แข็งขันสดใส วัยที่กำลังเรียนรู้โลก แผ้วทางหนทางของตัวเอง วัยที่วาดฝันถึงคืนวันอันรุ่งโรจน์
อนาคตา... ไม่มีอีกแล้วสำหรับคนตาย


ศวซากพยุหะถมทับ ก่ายกอง มิต่างจากศพผู้บุกรุกก่อนหน้า


      ฝนธนู      ลูกไฟ       ใบดาบ
      หนุ่มน้อย       พิราพ       แสบสัน
      แม้นตาย       ใจหมาย       โรมรัน     
                ดาบฟัน       ด้วยเกียรติ    ด้วยหัวใจ


   “อ๊าก”


   ทวนแผลงออกไปด้วยพละเต็มปรี่ ปักเข้ากลางอกโจรสลัดสถุลชีสามาลย์ กัลกิยะชักดาบด้ามงาช้างเล่มหนึ่งของพระเชษฐาบั่นคออริศัตรู ขาดสะบั้น กระทืบบาทเหยียบย่ำหัวของพวกมันที่หลุดกระเด็น บังอาจนัก!


    โจรไพรีที่บุกเข้ามาร่ำร้อง “ตาย ตาย พวกมึงจงตาย ตายโหงไปซะให้หมด”


   ปีศาจทะเลคลุ้มคลั่ง ปรารถนาการหลังเลือดและความรุนแรง มันรบคร่า ฉีกกระชากชีวิต ทำราวลมหายใจแห่งผู้อื่นไม่มีค่ากระนั้น สุขใดจะเท่าสุขแห่งมือสังหารเหนือความตาย


   ลูกไฟยังคงยิงกระหน่ำ คมศรยังคงแล่นริ้ว ปิดฟ้า นาวีหลายลำในขบวนเรือพระยุพราช วินาศเยินยับด้วยอัคนิภัย พยุหะวัยฉกรรจ์ตายเกลื่อน ทับถม ทิ้งร่างเหนือธารสายเลือดฉานคาว สะเก็ดไฟจากกองกูณฑ์โดยรอบต่างฌาปนเพลิง ปลงศพ อณูละเอียดแห่งอัคนี ปะทุประกายวาบวับ เหมือนผงทอง เหมือนหิ่งห้อย ฟุ้งกระจายทั่วสนามรณภู ช่างเป็นภาพที่สวยงาม และเป็นภาพที่น่าสลดสุดหัวใจในยามเดียวกัน


   กลัวฤๅกับความตาย ยุพราชธรรมราชาปฤจฉา


    เจ้าชายผู้มักงันคำพูด ฝากราโชวาทสัตย์ซื่อจากน้ำเนื้อน้ำหทัย แผ่วเบา แฝงไว้ในสายลม ในอากาศ ในห้วงเวลา


   อย่าร้องไห้... อย่ากลัวไปเลย มนุษย์ทุกคนต้องตาย


   หากแต่... ไม่มีผู้กล้าคนใด ยอมปล่อยให้ความตาย ทำเขาหนีผวาจากปรารถนาตน



   ปรารถนาแห่งพระองค์จันทร์มีเพื่อธัมมะราชปุระถ่ายเดียว อะนั้น ยุพราชหนุ่มฤๅสะพรึงพรั่น หวาดหวั่น หากยังมีอาวุธอยู่ในมือ ไม่สิ ต่อให้ไม่มีอาวุธ ก็จะใช้มือเปล่า ไม่มีมือเปล่าก็จะสู้ด้วยลมหายใจ จะมิยอมถอยแม้นเพียงก้าว ต่อให้ความตายขวางคั่นอยู่เบื้องหน้าก็ตาม


    พระองค์จันทร์ ถีบ แทง พุ่งทะยานต่อสู้มิไหวหวั่น มัดกล้ามมังสาอาบเสโทสะท้อนเปลวไฟ พิศคล้ายผงทองชมพูนุชอาบทั่วสรรพางค์ ไม่ว่าหยาดเหงื่อจะผุดพรายเพียงใด กษัตริณชาตินักรบจะไม่ย่นย่อเด็ดขาด ในสงครามจะมีฝ่ายกำชยะและผู้ปราชัย หากที่มิประสงค์ คือความพ่ายแพ้ในศึกแรกแห่งชีวี!


   “ชานดรา ระวัง!!”


   กัลกิยะตะโกนก้องสุดสิ้นสุรเสียง นัยน์เนตรของอนุชาเบิกกว้างยามเชษฐาถูกลูกเหล็กฟาดควง โลหิตอาบจากขมับไหลหยดถึงปลายคาง ร่างเจ้าชายยุพราชทรวดทรุดลง เนตรพระองค์จันทร์หลับพริ้ม วรกายหล่นร่วงนทีธาร


   คราบโลหิตแห่งปทุมวงศ์ย้อมสายน้ำ คงคาแดงนองเป็นสาย


   “ไม่นะ จันทร์!!!”


   ร่างนั้นจมลง


   ยุพราชพระองค์จันทร์... มิว่ายหวนคืนมา...


   อกน้องเจ็บยิ่งหนามยอกบ่ง กัลกิยะกัดฟันจนเลือดไหล ก้อนความรู้สึกคับแค้นขับขึ้น ค้างคั่ง สุมเร่าแผดร้อนอยู่กลางทรวง ใครจะรู้ ธารอัสสุชลแห่งจอมขัตติยาหลั่งไหลอยู่ภายใน ขณะดาบด้ามงาช้างสั่นสะท้านด้วยโทษา เจ้าฟ้าพระองค์รองเร่งโรมรัน ฟาดใบดาบประฟัน เต็มแรง เต็มพละที่มี

 
    โทษคือตาย พวกมันต้องตายเสียให้สิ้น ชดใช้ พวกมันต้องชดใช้ ด้วยเลือดแลชีพิต ค่าที่บังอาจทำให้หยาดโลหิตปทุมวงศ์รินไหล ค่าที่บังอาจทำให้ยุพราชธรรมราชาต้องเจ็บปวด ค่าที่บังอาจทำร้ายพี่ชาย... เชษฐภารดาที่เขารัก สายใยผูกพันแห่งคู่แฝดกำลังสำแดงเพลิงพิโรธเดโช


   พวกโจรระยำจักต้องจารจำ กูนี่แหละคือยมมา ผู้พิพากษาชีวิตมัน!


   หากก่อนดาบด้ามงาจะได้ตวัดลงอีกครั้ง...


   สังเกตสงกามาสักระยะแล้ว ยาไฉนลูกไฟพลันเปลี่ยนเป้าหมาย กลับเล็งไปที่เรือพายของพวกมัน... เรือพายขนาดกลางร้างคน อันมียุพราชนาวีล้อมขนาบ กัลป์กิยะเพ่งพระเนตรเมิลมอง เห็นถังไม้ตั้งรายเรียงบนลำเรือ แม้นมิทรงรู้ว่าถังไม้เนื้อแข็งประจุสิ่งใด หากลูกไฟเล็งไป ย่อมมิใช่สิ่งดี สัญชาตญาณหวีดเตือนร่ำเร่า


   ผู้ทรงพระขรรค์ด้ามงาตะโกนร้อง


   “สละเรือ!”


   ตูม!


   เพลิงระเบิดสะท้อนคุ้งน้ำ


   ราชนาวีแตกพ่าย ลุกไหม้ จ่อมจมชลธาร


   ศึกนี้... พินาศ... ปราชัย






----------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด