พิมพ์หน้านี้ - --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๒ เงาพระจันทร์ (บรรณ ๑) UP: ๒๘/ธ.ค/๖๓

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: Killian ที่ 19-01-2020 23:39:32

หัวข้อ: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๒ เงาพระจันทร์ (บรรณ ๑) UP: ๒๘/ธ.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 19-01-2020 23:39:32
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา คำโปรย... ๑๙/๐๑/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 19-01-2020 23:48:13
ธรฺมรฏฺฐคีตา


นวนิยายเรื่องนี้เขียนถึงเจ้าชาย... ผู้ที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้... เพียงประโยคเดียว

รจนาในนามปากกา: ทัดจันทร์

ฟอนไฟแห่งมหานาวีสํคฺรามฤๅเปลวเพลิงแห่งรัก ประการใดจะโชติช่วงกว่ากัน

(https://pbs.twimg.com/media/EOqElESVAAAoQaw.jpg:large)


                                     
คระครืน... สุรเสียง...กำปนาท
อัสนีบาตร... ผ่านพาด... จากเวหน
ประกายฟ้า... ฟาดห้วง...วารีวน
วัชระ...ยังมิพ้น... เงื้อมมือมาร



"จงจารคำข้าไว้จอมสลัด... ผู้พิทักษ์ทวาทศนครามีสอง เป็นสองมาช้านาน
เงาพระกาฬจะถามหาเจ้าผู้อหังการ์ ล่วงล้ำอำนาจมหิทธาแห่งจันทราแลสุริยัน!"

 "รักเป็นรักอยู่ถ่ายเดียวมิเป็นอื่น รักฤๅรอญ
เรียม...รักเจ้า"

นวนิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากการค้นคว้าชุดข้อมูลทางประวัติศาสตร์ผสมกับการตีความและจินตนาการของผู้เขียน ทั้งนี้ มีการกล่าวถึงบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ หากมิได้มีเจตนาลบหลู่ จาบจ้วง หรือแสดงการล่วงเกินบุคคลใด จุดมุ่งหมายของนวนิยายเรื่องนี้นอกจากให้ผู้อ่านได้รับความเพลิดเพลินแล้ว ยังแฝงสาระ เกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์ และลึก ๆ ผู้เขียนแต่งขึ้นเพื่อ เทิดทูนบรรพชนทุกท่าน ผู้ที่แผ้วถางทางมาก่อน เดินนำเรามาจนถึงปัจจุบัน และเพื่อเป็นเกียรติแก่องค์บูรพมหากษัตราธิราชแห่งทวาทศนคราทุกพระองค์

ค่าที่ชนรุ่นก่อนได้ก่อร่างสร้าง "ราก" ให้เราได้มีปัจจุบันเช่นวันนี้ ... ธรฺมรฏฺฐคีตาทุกอักษรจึงเขียนขึ้นแด่ชาวทวาทศนคราทุกผู้ทุกนามในกาลก่อน แทนคำขอบคุณจากเรา คนรุ่นหลัง

ด้วยรัก

ทัดจันทร์



ธรฺมรฏฺฐคีตา อ่านว่า ธัม-มะ-รัต-ถะ-คี-ตา
แปลว่า บทเพลงแห่งนคราอันเรืองธรรม

เข้ามาพูดคุยกันได้ที่ twitter: @tadchandra
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา คำโปรย... ๑๙/๐๑/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 19-01-2020 23:51:56
สารบัญ



สรรคะ ๑ มหานวดารา : บรรณ ๑                    หน้า๑
                               บรรณ ๒                    หน้า๑
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา คำโปรย... ๑๙/๐๑/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-01-2020 21:51:21
รอติดตามนะ
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา คำโปรย... ๑๙/๐๑/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: graciej ที่ 22-01-2020 11:09:50
รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา สรรคะ ๑ (บรรณ ๑) ๒๔/๐๑/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 24-01-2020 02:27:35
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๑  มหานวดารา

รจนา: ทัดจันทร์




บรรณ ๑


สนธยาสาดแสงสุดท้าย สีส้มอ่อนแกมทองของพระอาทิตย์เพิ่งหายลับไปหลังขุนเขา ผืนฟ้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นผ้าไหมสีดำ ขณะนี้แม้จันทร์เสี้ยวจะทอประกายเหนือเหลี่ยมผา หากยังไม่ถึงเวลาหลับใหล คีตาแห่งสรรพชีวิตยังคงบรรเลงต่อไป ภายใต้ทะเลดาวพราวระยับ


“ไทเกอร์ อยู่ไหนลูก มากินข้าวเร็ว”


 อีกครั้งที่เธอร้องเรียก พลางก้มลงเทอาหารใส่ไว้เกือบเต็มถาด ทุกเย็นแมวเบงกอลตัวดีจะอ้อนขอกินข้าว ป่านนี้ไม่รู้ไปซนอยู่ที่ไหน หญิงวัยกลางคนยันกายลุกขึ้น ชะเง้อหา


 “เหมียว ๆ ไทเกอร์ หายไปไหนนะ”


 “ปิดบ้านก่อนเถอะแม่”


พูดจบ ผู้เป็นสามีก็ละสายตาใต้แว่นกรอบหนากลับมาสนใจหนังสือพิมพ์ที่กางอยู่ในมือ ข่าวผู้ร้ายหลบหนีน่าหนักใจอยู่ไม่น้อย


ภรรยาถอนใจ ไทเกอร์คงติดแมวสาวบ้านใกล้เข้าอีกกระมัง รุ่งสางเจ้าตัวซนถึงจะกลับ คิดดังนั้น สตรีร่างท้วมจึงเลื่อนประตูเหล็กยืดให้ปิดเข้าหากัน มองลอดช่องว่างระหว่างซี่เหล็กของประตูชั้นล่างที่เปิดเป็นร้านขายของชำ ถนนด้านหน้ามีรถลาดตระเวนขับผ่าน รถทหารกลับค่าย เป็นภาพที่เห็นจนชินตา


ถ้าไม่เป็นการกล่าวเกินจริงนัก ผู้คนแถบนี้มักปิดบ้านเงียบตั้งแต่นกเริ่มโผกลับรัง บ่อยครั้งที่อันตรายเดินทางมากับความมืดยามค่ำคืน ประสบการณ์จึงสอนให้พวกเขารู้จักระวังตัว ไม่มีใครเตร็ดเตร่นอกบ้านในยามวิกาลหากไม่มีเหตุจำเป็น ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย ประตูหน้าต่างทุกบานจึงต้องลงกลอนแน่นหนา ปิดหับเสียก่อนตะวันจะกล่าวคำอำลา


การเข้ามาดูแลของทางการสร้างความอุ่นใจให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล หมู่บ้านขนาดเล็กแห่งนี้จึงสุขสงบ เหมือนลำน้ำจากภูเขาที่ทอดกายพาดผ่าน ชลธารสายนั้นไหลเอื่อยเรื่อยเย็น


*************



เป็นอีกคืนที่แตรนอนขับขาน...


เสียงดนตรีกล่อมความสงัดเงียบของค่ำคืน คล้ายฝ่ามืออุ่นปลอบประโลม คลายความเหนื่อยล้าจากภาระหน้าที่ที่แบกไว้บนบ่า ท่วงทำนองแตรเดี่ยวเนิบช้า พัดพลิ้วเร้นมากับสายลมเอื่อย ทว่าเพลงบรรเลงแห่งนิทรากาลกลับไม่สามารถคลี่ปมระหว่างคิ้วของร้อยเอกหนุ่มออกได้เลย


แม้เข็มนาฬิกาจะหมุนล่วงมาถึงสามทุ่ม หากร่างสูงยังคงพิงพนักเก้าอี้ห้องทำงาน ผินหน้าเข้าหาหน้าต่างที่เปิดรับลม มือขวาคีบบุหรี่ ปล่อยให้ควันนิโคตินสีขาวลอยคว้างไต่ระดับขึ้นไปในอากาศ แทบลืมเสียสนิทว่าจุดบุหรี่มวนนี้ขึ้นมาทำไม สายตาเขาจับจ้องม่านดำของผืนฟ้าอย่างไร้จุดหมาย คิ้วเข้มขมวดปมครุ่นคิด เปิดโอกาสให้ความหงุดหงิดกางกรงเล็บกรีดข่วนจิตใจ


ลงพื้นที่ออกลาดตระเวนทั้งวัน เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่กลับไม่พบความผิดปกติ ทั้งที่หน่วยข่าวกรองยืนยันชัดเจน พวกมันจะลงมือ ต่อให้ไม่พึ่งการข่าว สัญชาตญาณของเขารู้ดี ต้องมีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้นแน่ หากที่ไหน เมื่อไหร่ เขาเฝ้าถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เงาของคำตอบกลับสลัวยิ่งกว่าด้านมืดของพระจันทร์


‘ปัง!’


กระสุนแหวกผ่านอากาศ ตามด้วยเสียงเศษแก้วกระจัดกระจาย เขารู้สึกได้ว่านัยน์ตาที่เคยมองเหม่อเวลานี้เบิกโพลง กระแสเลือดในกายสูบฉีดรุ่มร้อนเร็วแรง และก่อนพายุกระสุนจะโหมซ้ำกระหน่ำ ร้อยเอกหนุ่มผู้ประดับหน้าอกด้วยเครื่องหมายพยัคฆ์คาบดาบรีบหมอบลงทันควัน ลูกกระสุนปลิวว่อน เศษกระจกคมแตกกระจายไปทั่ว ปลายแหลมของมันบาดแขนขาลึกจนเลือดแดงฉานไหลริน คาวคลุ้ง


ท่ามกลางสรรพสำเนียงอลหม่านแห่งม่านกระสุน วูบหนึ่ง เขาละม้ายได้ยินเสียงแหบแห้งของอีกากรีดร้องมาจากสถานที่ที่ไกลแสนไกล


“ปัง ปัง ปัง”


“ผู้กองครับ เกิดเรื่องแล้วครับ!”


เพราะร้อนใจ จึงทำให้ลูกน้องเก็บความเกรงใจที่มีต่อผู้บังคับบัญชาวัยฉกรรจ์เอาไว้ ด้วยถือว่าหน้าที่สำคัญเหนือสิ่งใด หากไม่มีเหตุด่วนคงไม่มารบกวนผู้กองถึงบ้านพักในยามวิกาลเช่นนี้


เสียงทุบประตูทำให้ร่างสูงที่เผลอหลับคาโต๊ะทำงานด้วยความเหนื่อยอ่อนสะดุ้งจากภวังค์ฝัน เหยียดตัวปาดเหงื่อออกจากใบหน้าซีดเผือดราวไร้ชีวิต ฝันร้ายของเขาชัดเจนเช่นเดียวกับจังหวะโครมครามของหัวใจ ถึงกระนั้นสองขาของผู้กองยังคงก้าวมั่นคงไปที่ประตู เพียงเพื่อจะพบกับเรื่องที่คาดไม่ถึง


“มีอะไรครับจ่า”


“พวกมันเคลื่อนไหวแล้วครับ”


“ที่ไหน ยังไง บอกผมมาเดี๋ยวนี้”


“มีการลอบวางเพลิงร้านขายของชำบริเวณทางเข้าหมู่บ้านริมเชิงเขา สองสามีภรรยายังคงติดอยู่บนชั้นสองของตัวบ้านครับ”


สถานการณ์ที่รายงานทำเอาสายตาผู้กองฉายแววเยียบเย็น หากแฝงเร้นไว้ซึ่งความเดือดดาลปานคลื่นใต้น้ำที่กำลังก่อตัว คิดแล้วไม่มีผิด กลุ่มก่อความไม่สงบต้องชิงลงมือในทีเผลอ วิถีโจรอย่างไรก็ไม่เคยตรงไปตรงมาเฉกเช่นวิถีของทหาร


“ทางเข้าหมู่บ้านล่ะจ่า นอกจากถนนสายหลัก มีทางอื่นอีกไหม”


“ไม่มีเลยครับผู้กอง”


“พวกมันจะล่อให้เราติดกับแล้วซุ่มยิงกลางทาง”


ชายหนุ่มประเมินสถานการณ์ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ทว่าหมัดที่กำจนเห็นริ้วเส้นเอ็นกับกรามที่กัดแน่นจนเป็นสัน ช่างสวนทางกับความราบเรียบของน้ำเสียงราวสวรรค์กับเพลิงกาฬแห่งนรกอเวจี


************
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา สรรคะ ๑ (บรรณ ๒) ๒๘/๐๑/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 28-01-2020 12:53:33
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๑  มหานวดารา

รจนา: ทัดจันทร์


บรรณ ๒


ดาวสีแดงแกมขาวพราวระยับในคืนจันทร์เสี้ยว ดาวดวงนั้นโชติช่วงท่ามกลางกลุ่มดาวราศีพิจิก เป็นดาวแดงที่สว่างที่สุดในกลุ่มดาวแมงป่อง และสกาวที่สุดในฟากฟ้าคืนนี้ ผู้กองหนุ่มละสายตาจากดาวสีเพลิง ณ ตำแหน่งหัวใจอสรพิษ ก่อนส่งสัญญาณมือแตะคนข้างหน้าและหลัง เป็นคำสั่งออกลาดตระเวนตามยุทธวิธีในเวลากลางคืน


ในเมื่อพวกโจรตั้งใจใช้ความมืดซุ่มยิง เขาก็จะใช้ความมืดตลบหลังพวกมัน


รถลาดตระเวนสี่ล้อที่มีพลขับโดยสารแต่เพียงผู้เดียวแล่นไปบนถนนสายที่ทอดตรงไปยังหมู่บ้านริมเชิงเขา ส่วนทีมทหารพรานในชุดเกราะสีดำ พรางใบหน้าสีเดียวกับรัตติกาล กระจายตัวแฝงความมืดของป่าละเมาะสองข้างทางเข้าสำรวจพื้นที่ ฝีก้าวของทหารทุกนายเงียบเชียบแสดงถึงการฝึกฝนมาอย่างดี เพราะเสียงเหยียบกิ่งไม้แค่เปาะเดียวย่อมหมายถึงชีวิต สายตาทุกคู่ต้องคมและคุ้นชินกับความมืด ประสาทสัมผัสต้องไวและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ด้วยกำลังพลทุกนายตระหนักดี ณ สมรภูมิรบ หากความประมาทเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นหนทางไปสู่ถนนสายมรณา


กลิ่นควันตลบคลุ้งเมื่อชุดลาดตระเวนเข้าใกล้สถานที่เกิดเหตุ ฟอนไฟร้อนระอุแผดเผาโครงสร้างที่เป็นไม้ ข้าวของเครื่องใช้และสินค้าต่าง ๆ ที่วางเรียงรายในชั้นล่างของตัวบ้านเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ขับให้เปลวเพลิงลุกโหมถึงชั้นสองของบ้านอย่างรวดเร็ว หญิงวัยกลางคนผู้นั้นร้องไห้โฮในอ้อมกอดของผู้เป็นสามี ทั้งคู่ติดอยู่บนระเบียงที่ประกายไฟกำลังเริ่มแผดเผาลามเลีย


“ช่วยด้วย ช่วยพวกเราด้วย”


คอแห้งผากของชายเจ้าของบ้านตะโกนขอความช่วยเหลือจนแทบสิ้นเสียง ชาวบ้านละแวกนั้นทำได้เพียงตักน้ำใส่ถังช่วยดับไฟ หากน้ำเพียงน้อยนิดไหนเลยจะดับเปลวอัคคีร้อนแรงลงได้


"ทนหน่อยนะแม่ แข็งใจไว้"


ภรรยาสำลักควันจนหายใจติดขัด ทรุดตัวลงกับพื้นระเบียง


“แม่จะไม่ไหวแล้วพ่อ”


สองร่างกอดกันท่ามกลางสะเก็ดไฟที่ปะทุ ประกายสีทองของมันงดงามจับตาราวดอกไม้ไฟ หากเป็นความงามที่อันตรายถึงที่สุด เพราะคร่าได้แม้กระทั่งลมหายใจและชีวิต


ความตึงเครียดเข้าเกาะกุมกำลังพลทุกนาย ป่าสองข้างทางเบื้องหน้ายังคงทอดไกลออกไป ขณะเดียวกันพลเรือนผู้ประสบภัยก็ต้องการความช่วยเหลือโดยเร่งด่วน หากสถานการณ์กลับบังคับทำให้ผลีผลามไม่ได้


วินาทีนั้นเอง รถของกองทัพที่ขับเรื่อยมาบนถนนจนเกือบเข้าใกล้สถานที่เกิดเหตุกลับเหยียบเบรกลงกะทันหัน ชุดลาดตระเวนที่กระจายกำลังเดินเท้าตามมา แม้สงสัยกระวนกระวายใจเพียงใด ย่อมทำได้เพียงค่อย ๆ ย่ำไปในความมืด ระวังให้ทุกฝีก้าวเงียบกริบราวไร้ตัวตน อาศัยเงาราตรีเป็นเครื่องอำพรางตัว พยามเคลื่อนพลไปให้ถึงจุดเกิดเหตุโดยรัดกุมที่สุด ภายใต้สถานการณ์บีบคั้นเช่นนี้ สองมือทำได้เพียงกระชับด้ามปืน พร้อมเปิดฉากปะทะหากมีศัตรูเข้ามาในคลองสายตา


เมื่อเคลื่อนพลเข้าใกล้บริเวณที่รถจอดอยู่ ป่าละเมาะสองฟากฝั่งมีเพียงความเงียบและเงามืดของค่ำคืนคลี่คลุม ไร้วี่แววของโจรร้ายคอยดักซุ่มยิง ขอบถนนคอนกรีตไม่มีหลุมหรือกับระเบิด ไม่มีแม้แต่ตารางเมตรเดียวที่พบความผิดปกติ หากมีสิ่งหนึ่งที่สะดุดทุกสายตา


ท่ามกลางแสงนีออนสองข้างทางและไฟหน้ารถ กล่องของขวัญสีดำห่อด้วยริบบิ้นผ้าสีงานศพวางนิ่งบนเส้นขาวกลางถนน ห่างจากสถานที่ลอบวางเพลิงเพียงไม่กี่สิบเมตร


ทหารพรานชุดหนึ่งเร่งเคลื่อนพลขึ้นบนถนน แล้วผู้บังคับบัญชาวัยหนุ่มจึงส่งสัญญาณมือ ออกคำสั่งให้ชุดลาดตระเวนอีกชุดรุดหน้าต่อไปเพื่อช่วยสยบเพลิงไหม้และช่วยพลเรือนให้รอดชีวิต


“เตรียมล้อยางและอุปกรณ์กู้ระเบิด”


คำสั่งของเขาเฉียบขาด วัตถุต้องสงสัยจะเป็นระเบิดหรือไม่ย่อมมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น หากเพื่อความไม่ประมาท คำสั่งการณ์ของเขาจึงต้องรอบคอบรัดกุม ทหารพรานทุกนายล้วนผ่านการฝึกที่หนักหน่วงสมเป็นมืออาชีพ ล้อยางและการเตรียมกอบกู้วัตถุระเบิดจึงกระทำรวดเร็วทันควัน


หาก...


“ผู้กองครับ กล่องนี่มัน…”


ผิดคาด


“จงใจหยามกันชัด ๆ” ผู้กองสบถ


โทษะของเขาบัลดาลใส่ล้อยางไร้ชีวิต


ซากแมวเบงกอลลายเสือถูกมีดปักอยู่กลางอก นอนขดในกล่องกระดาษสีดำ ผู้มีเครื่องหมายเสือคาบดาบประดับแผงอกเดือดแค้น สัญลักษณ์แห่งหลักสูตรจู่โจมของกองทัพบก หลักสูตรหฤโหดของชายชาติทหาร ถูกพวกโจรก่อความไม่สงบเหยียดหยาม


พวกมันตั้งใจส่งข้อความถึงเขา


นับตั้งแต่วินาทีที่ย้ายมาประจำการ ณ พื้นที่สีแดงแห่งนี้ เขาทำหน้าที่เป็นผู้ล่ามาโดยตลอด โจรร้ายถูกนายร้อยไฟแรงตามจับไล่ล่า หากมาวันนี้ พวกมันส่งสาสน์ท้ารบ จงใจประกาศสงครามกับเขา ถึงเวลาที่พยัคฆาจะถูกล่า ดาบที่เคยคาบกลับกลายเป็นศาสตราทิ่มแทงสังหาร


สงสารก็แต่เจ้าไทเกอร์... ไม่ได้กลับไปในยามรุ่งสาง... ไม่ได้กลับไปตลอดกาล


************


เหล่าทหารเข้าควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ รถน้ำดับเพลิงกับกองกำลังเสริมที่ประวิงรอบริเวณเชิงสะพานหลายกิโลเมตรก่อนถึงหมู่บ้าน รีบรุดมายังสถานที่เกิดเหตุ เวลาผันผ่านจนเสี้ยวจันทร์ลอยเด่นเหนือศีรษะ เพลิงไหม้จึงมอดดับ เหลือเพียงซากดำของเถ้าถ่าน ควันสีเทายังคงโขมงคลุ้งในบางจุด ย้อมให้บรรยากาศของคืนนี้มัวหม่นเศร้าหมอง


ผ้าขาวคลี่คลุมศพของสตรีร่างท่วม สามีของเธอนั่งใกล้ไม่ยอมจาก พยายามตระกองกอดร่างร้างลมหายใจนั้นด้วยความรัก เสียงสะอื้นไห้ของชายผู้นั้นเศร้าจับใจ หยาดน้ำตาของชายผมสีดอกเลาที่ไม่เคยหลั่งให้ใครเห็น บัดนี้ทำนบพังครืน หลั่งรินให้แก่ภรรยาผู้เป็นคู่ชีวิต ที่จากเขาไปแล้วโดยไม่มีวันหวนกลับ


“แม่ตื่นเถอะ พ่อไม่เหลือใครแล้ว อย่าทิ้งกันไปเลย”


“คุณลุงครับ…”


ชายหนุ่มแตะบ่าของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายแผ่วเบา ริมฝีปากหยักสวยอยากเอ่ยปลอบ หากไม่รู้จะกล่าวเช่นไร ก้อนบางอย่างตีบตันอยู่ในลำคอ ก่อนเขาจะข่มมันลงไป ภาพวัยเด็กของเขาย้อนกลับมาฉายซ้ำในความทรงจำ ภาพสีจืดจางของวันนั้นคล้ายซ้อนทับกันกับภาพที่เห็นในวันนี้


“ลุงไม่เหลือใคร ชีวิตไม่เหลืออะไรแล้วผู้กอง”


“เหลือสิครับ”


“อะไร”


“ความรักไงครับ ความรักและความทรงจำที่ดีของลุงกับป้าไม่ได้วอดลงไปกับกองเพลิง ไม่ใช่เพราะความรักและความทรงจำเหรอครับ ที่ทำให้เราอยากมีวันพรุ่งนี้ และวันต่อ ๆ ไป เพื่อใช้ระลึกถึงความสวยงามของมัน”


************


หยาดน้ำค้างที่เกาะพราวอยู่บนดอกไผ่ กลิ้งพรูลงบนพื้นหญ้าเมื่อรถลาดตระเวนขับผ่าน ลมเย็นที่เกิดจากรถแล่นฉิวสัมผัสพฤกษ์พรรณรายทางให้ไหวลู่ พลิ้วเอนไปตามกัน


ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเข้าครอบงำทุกอณูเรือนกายของบรรดาทหารหาญ ใบหน้าคมสันรับคิ้วหนาแหงนมองแสงทับทิมจรัสจ้าผ่านหน้าต่างรถที่กำลังขับเคลื่อนไปเบื้องหน้า ดาวหัวใจแมงป่องโชตนาเหนือดาราใด มองแล้วยิ่งทำให้ความทรงจำในวัยเด็กฉายชัดขึ้นมากลางใจ


‘ทำไมพ่อตั้งชื่อผมแบบนี้ละครับ’


‘โดนเพื่อนล้อมาอีกละสิ’


‘เปล่าซะหน่อย’


‘โกหกไม่เก่งนะเราน่ะ’


‘พ่อครับ’


‘คือตอนเราเกิด พ่อมีภารกิจซุ่มจับพวกค้าอาวุธเถื่อน ต่อให้เป็นห่วงแม่กับลูกแค่ไหน แต่หน้าที่เพื่อชาติบ้านเมืองต้องมาก่อน คืนนั้นดาวสีแดงกลางหัวใจแมงป่องสว่างที่สุดบนท้องฟ้า พ่อเลยได้แต่ภาวนากับดาวให้ลูกของพ่อปลอดภัย แล้วลูกก็คลอดออกมาปลอดภัยยังไงล่ะ’


‘แต่แม่…’


‘แม่อยู่กับพวกเราเสมอแหละ เค้าคงเฝ้ามองลงมาจากบนนั้น ต่อไปพ่อก็ด้วย’


‘พ่อก็! ไม่เอาหรอก’


เด็กชายที่เอาแต่ใจและไม่เข้าใจการลาจากในวันนั้น เติบโตมาเป็นเขาในวันนี้ ชายหนุ่มเดินตามรอยของพ่อผู้เป็นแรงบันดาลใจและทุกสิ่งในชีวิต พ่อผู้ที่เป็นครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของเขา ในวันที่ผืนธงชาติคลุมร่างไร้ลมหายใจของบิดา ความรู้สึกของเขาไม่ต่างอะไรกับคุณลุงผู้โชคร้ายคนนั้นเลย หากประสบการณ์แห่งการจากลาได้ฝากบทเรียนชีวิต...

    
ไม่มีราตรีใดเป็นนิรันดร์


สุขหรือทุกข์ก็เช่นกัน


ค่ำคืนไม่ว่าจะยาวนานสักแค่ไหน สุดท้าย เช้าวันใหม่ก็จะมาถึงอยู่ดี




ใกล้ยามฟ้าสาง บุรุษผู้กล้าเดินทางกลับ ยามนั้นสายตาของตะวันและจันทราจะมองสบกันจากคนละฟากของท้องฟ้า มหาดาราจะจรกลับมาพบกันอีกครั้ง... บนนภาผืนเดียวกัน


“ปัง ปัง ปัง!”


ปืนกลมือเจาะเกราะยิงรัวจากริมป่าไผ่ข้างทาง อาวุธสงครามที่มีอำนาจทำลายล้างของฝนกระสุนเก้าร้อยนัดต่อนาที เจาะยิงรถลาดตระเวนจนเสียหลัก พุ่งชนเสาคอนกรีตเชิงสะพาน


“ปัง ปัง ปัง”


เสียงที่เกิดจากไกปืนรัวสนั่นราวดนตรีเฉลิมฉลองแห่งทูตมรณะ เกลียวกระสุนทะลุทะลวงทุกสรรพสิ่งในวิถี ฝนตะกั่วสาดกระหน่ำ แดงฉาน คาวคลุ้งเช่นความฝัน หากไม่มีทีท่าว่าพายุร้ายจะอ่อนกำลัง แพกระสุนปิดน่านฟ้า มืดมัว ยิ่งกว่าฝูงกาดำออกโบยบิน


ดอกไผ่ร่วงพรูจากต้น…


ดอกไผ่นั้นเบ่งบานยามเมื่อมันจะตาย


คืนนี้หัวใจแมงป่องสาดแสงสีเพลิงโชติช่วงชวาลา รู้หรือไม่ ดอกไม้สวรรค์ดอกนี้ใกล้เวลามอดดับ แสงที่เปล่งเริงโรจน์จนขีดสุดคือความงามสุดท้ายที่จะถ่ายทิ้งไว้ประดับฟากฟ้า ก่อนดาวฤกษ์แดงจะระเบิดกลายเป็นมหานวดารา


ซุปเปอร์โนวา… จุดแตกดับของดาริกาอันเลอโฉม


“บึ้ม!”


ระเบิดแสวงเครื่องหนักกว่าสิบห้ากิโลกรัมที่ติดอยู่ใต้สะพานทำงานทันทีที่ฝนกระสุนหยุดกระหน่ำ เพลิงกาฬเบ่งบานแย้มกลีบ เปลวอัคคีแผดเผาให้สรรพสิ่งในเงื้อมหัตถ์มัจจุราชกลายเป็นจุล


เพลงแตรเดี่ยวกล่อมแล้ว…


ทำนองเนิบช้าจับขั้วหัวใจ พลิ้วไหวเหมือนผืนธงผ้ายามลดกายาลงจากยอดเสา


หากฟังให้ดี จะได้ยินเสียงของหยาดเหงื่อ ความเหนื่อยล้า สำเนียงของความโดดเดี่ยวเหว่ว้าจะขับขาน ยิ่งกว่านั้น เสียงแตรสะอื้น... ซับคราบน้ำตา ดนตรีเชื่องช้ามอบจุมพิตสัมผัสดวงใจ แห้งเหี่ยว... โหยหาย...


ทำนองแตรแรกขานขับ ตอนขึ้นหอนอนคืนแรกในรั้วค่าย 


ทำนองแตรขับกล่อมครั้งสุดท้าย ยามสิ้นลมหายใจ


หาก…


ปรารถนาแห่งมนุษย์แรงกล้า ทรงฤทธาเหนือนวดาราใด


กาลนั้น ปรารถนาสุดท้ายยามใกล้จะตาย... จิตสุดท้ายแห่งมนุษย์อันทรงพลังมหาศาล กำลังสำแดงอำนาจ ที่แม้นแต่ผู้กองเองก็ยังมิอาจนึกฝัน



************

Writer's Talk,

สรรคะ ๑ จบลงด้วยเพลิงระเบิดสว่างไสว ราวมหานวดารายามอุบัติ

อ่านถึงตรงนี้หลายคนอาจสงสัย สรรคะคืออะไร สรรคะ เป็นคำภาษา สํสฺกฤต ดังที่เราคุ้นกันดีคือคำ saga ที่แปลว่า episode นั่นเอง แต่ด้วยความยาวของสรรคะที่มากกว่าบท ผู้เขียนเลยตั้งใจแบ่งสรรคะออกเป็น บรรณ (เล่ม) ย่อย ๆ ทำไมต้องย่อยเป็นบรรณ? ทั้งนี้ก็เพื่อให้ง่ายต่อผู้อ่านในการย่อยข้อมูลในแต่ละสรรคะ ค่อยซึมซับและทำความเข้าใจไปกับเนื้อเรื่อง...

ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนมา การเข้ามาอ่านของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนอย่างมาก ทั้งนี้กว่าจะได้เนื้อหามาแต่ละตอน ไม่ง่ายเลย ผู้เขียนต้องค้น ต้องอ่าน ต้องตีความ สร้างจินตนาการ และใช้เวลาในการขัดเกลา

นวนิยายเรื่องนี้ก่อร่างสร้างเค้าขึ้นมาในความคิดของผู้เขียนเป็นเวลากว่าสามปี ขุดค้นข้อมูลอีกเป็นเวลาสองปี เขียนทิ้งและลบและเขียนใหม่เกือบสามรอบ กว่าจะได้ตามพล็อตที่ต้องการ หวังว่าผลพวงทั้งหมดของความตั้งใจและเวลาที่ได้ทุ่มเทลงไปจะทำให้ผู้อ่านเพลิดเพลิน สนุก พบสาระความรู้ที่แทรกไปบ้างไม่มากก็น้อย เหนือสิ่งอื่นใด เพียงคุณได้อะไรจะนวนิยายเรื่องนี้ จะรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความรู้ หรือคราบน้ำตา... เพียงเท่านี้ ผู้เขียนก็มีความสุขแล้ว


ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามา แล้วเจอกันสรรคะต่อไปครับ

ด้วยรัก,

ทัดจันทร์
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา สรรคะ ๑ (บรรณ ๒) ๒๘/๐๑/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 28-01-2020 22:08:12
เปิดมาก็ตายหมดเลย แม้แต่แมว แงงงงงง
จากภาษาที่ใช้ก็น่าจะใช้เวลาเขียนนานน่าดู เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา สรรคะ ๑ (บรรณ ๒) ๒๘/๐๑/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 30-01-2020 02:41:34
ภาษาเหนือทมยันตี ก็ไรท์นี่แหละ 555  แต่เราชอบนะ สอดแทรกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย  ได้พอดี
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา สรรคะ ๒ (บรรณ ๑) ๑/๐๒/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 01-02-2020 17:01:49
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๒ มยุรารำแพน

รจนา: ทัดจันทร์



บรรณ ๑



สีเหยสีโต... ทำราโพราพา
ปากน้ำเมืองโกลา... มีบรรพตาชายวารี
ข้างซ้ายเกาะหล้า... ข้างขวาเกาะสาหมี
ศักดิ์สิทธิ์ฤทธี... ย่านวารีอยู่หว่างเขา
เรือพายเรือแจว... ไปตามแถวลำเนา
ตรงกลางหว่างเขา... มีลำเนาสายสินธุ์
ตรงกลางหว่างวาริน... ยังมีหินล้อมวง
ทำเป็นชั้นเป็นช่อง... ดูเป็นห้องเหมหงส์
ทางขึ้นทางลง... ทางลงสรงสาคร

ปากน้ำเมืองตักโกลา (ตะกั่วป่า) กลอนโนราห์บทคำพรัด เพลงแตระของโบราณ


นางนวลที่เกาะอยู่บนกระโดงเรือพากันสยายปีกโบยบินเมื่อใบเรือถูกกางออก นกสีขาวฝูงนี้ส่งเสียงร้องระงมท่า ราวต้องการกล่าวคำอำลาแด่เรือสินค้าที่กำลังถอนสมอ


เวลาล่วงมานับแรมเดือนหลังจากเรือเหล่านี้จอดเทียบท่า และแล้วปลายเดือนอัสสยุชมาส(๑)ก็มาถึงอีกคำรบ เป็นที่รู้กันดีในบรรดาชนพื้นถิ่น นักเดินเรือ และพ่อค้าวาณิชว่า ช่วงเวลานี้วิถีแห่งมรสุมจะเปลี่ยนผัน วายุจะพัดจากทิศอีสานสู่ทิศหรดี มรสุมลมตะเภาจะนำสินค้าจากบูรพทิศไปยังอินเดีย ลังกา เปอร์เซีย มัวร์ อาหรับ หลายแว่นแคว้นยังดินแดนเบื้องประจิม และลมจะพานักผจญโชคกลับบ้าน...


เส้นทางสายไหมข้ามมหาสมุทรทะเลหลวง เริ่มต้น ณ เมืองท่าแห่งนี้


สายลมหอบเอากรุ่นไอทะเลให้อวลอยู่ในอณูอากาศ ทั้งยังทำให้ใบเรือลู่โค้ง พัดพาให้ลำเรือลอยล่องไปตามทิศที่กระแสลมจรผ่าน ในเดือนมรสุมเช่นนี้ วาตะจะพรายพลิ้ว กระหน่ำแรงในยามเช้าจนลดกำลังลงในยามเย็น จวนค่ำกระแสลมจึงจะสงบ เรือสลุบเรือกำปั่นในยามหมดฤดูการค้าส่วนมากจึงถอนสมอ กางใบออกจากท่าในเวลายามสาย อันเป็นช่วงเวลาที่แดดนายและลมจัดเช่นขณะนี้


เด็กชายวัยแรกหนุ่มสามคนบนหลังม้า ต่างจับจ้องไปยังเภตราวาณิชที่กำลังแล่นใบเคลื่อนออกจากการท่า แผ่นหลังเปลือยเปล่าของเขาเหยียดตรง นิ่งสงบ หากมีเพียงเส้นผมยาวระบ่าที่ปล่อยสยายหยอกล้อไปกับลมทะเล


“เรือสลุบสิ้นฤดูกาลครานี้จอดเทียบท่ามากกว่าที่แล้วมา สินค้าก็มากพะเรอไปตามกัน”


พยับแดดยามสายสาดรัศมีลงบนหาดทรายเม็ดละเอียด ประกายแห่งพระสุริยาทิตย์จำรัสจ้าเหนือผืนทรายขาวโอบทะเลสีครามสดใส ไร้ซึ่งร่มเงาแห่งแมกไม้มาคอยบดบังดวงหน้าผุดผ่องของผู้เอ่ยวจี รอยยิ้มนั้นยิ่งแต้มให้เครื่องหน้าคมเข้มชวนมอง


“ยามเช้าข้าได้ปิ่นหยกจากย่านตลาดพ่อค้ากรุงจีนมาอันหนึ่ง หมายใจจะกำนัลถวายให้องค์หญิง”


ครั้นจบประโยค สหายคนสนิทต้องรีบละสายตาจากเภตราลำใหญ่โล้ใบเหนือกระแสสินธุ์ระลอกกว้าง ลอยล่องไปตามวารีสีครามที่แทรกกลางระหว่างบรรพตตระหง่านสองลูกเพื่อออกสู่ทะเลหลวง(๒)  เรือวาณิชและนาวาแห่งนักเผชิญโชคใช้ชลมารคสายนี้เป็นเส้นทางลัดทะเล ออกสู่ห้วงมหรรณพอ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย อันจะนำไปสู่ลังกา อินเดีย ดินแดนอาหรับ มัวร์ เปอร์เซียร์ และแว่นแคว้นน้อยใหญ่แห่งโลกทิศประจิม


“ไม่เกรงเชษฐานางฤๅ เขาว่าหวงหนักหนา”


“อย่าให้รู้เสียก็สิ้นเรื่อง” เจ้าของเรือนผมประบ่ายิ้มกริ่ม “วานนี้ข้ายังฝากกำไลมาศวงงามถึงนางได้ นับประสาอะไรกับปิ่นปักเกศา”


“เจ้าทำเยี่ยงไร”


“ลืมไปแล้วกระมัง พี่สาวข้าเป็นนางข้าหลวง รับใช้ใกล้ชิดเจ้านางเมือง กำไลทองวงน้อยคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักดอก”


“เห็นทีสหายข้าจะได้รั้งตำแหน่งพระชามาดา ราชบุตรเขยแห่งตักโกลาก็ครานี้”


“เถอะ ขอให้คำเจ้าเป็นจริง”


เกลียวคลื่นสาดกระเซ็นซ่า เคล้าคลอไปกับเสียงหัวเราะของชายหนุ่มแรกรุ่นทั้งสาม ผู้เพิ่งหัดร่ำสุรา เกี้ยวพานารี ยามแรกรัก รักแรก… เพิ่งผลิกลีบแย้มบาน แม้แต่ประกายแดดจัดจ้า ห้วงนทีสีคราม กระทั่งอาชาที่ควบให้เดินทอดน่องไปตามหาดทราย ล้วนสดใส เปี่ยมสุข สวยงามไปเสียสิ้น


วูบหนึ่ง รัศมีเรืองระยับแห่งเปลวสุริยันคล้ายถูกเงื้อมเงาแห่งพระอสุรินทราหูบดบัง เสียงแหลมของสกุณานักล่าพลันกลบสำเนียงหัวเราะร่าของสามสหาย เพียงปีกขนาดใหญ่สีน้ำตาลทองที่กรีดกางราวโอบผืนฟ้าไว้คู่นั้น สะบัดสายลมใต้แววขน โฉบลงทันควัน กรงเล็บคมโค้งของผู้ล่ามุ่งหมายไปยังลูกตาของสัตว์สี่เท้า อาชาที่ควบเรื่อยมาถึงกับร้องตกใจ สองขาหน้าดีดจากผืนทรายนุ่ม จนเจ้าของเรือนผมคลุมบ่าพลาดตกจากอานม้า กระแทกก้นลงบนหาดทรายเปียกชื้นด้วยเกลียวคลื่นจากทะเล


“โอ๊ย ไอ้นกบ้า”


ปูลมตัวเล็กใช้ก้ามคุ้ยทรายหาอาหาร พากันวิ่งหนีตายจ้าละหวั่น หลบร่างเด็กหนุ่มที่หล่นลงมาปานฟ้าถล่มกระนั้น


เสียงผิวปากดังขึ้น หวีดยาว ก่อนสิ้นสุดลงเมื่อนกที่โฉบลงมาตัวนั้นขานรับ และกระพือปีกบินกลับไป


“ขุนทอง เขาว่าเข้าเป็นนกบ้ากระนั้นฤๅ”


“แคว๊ก” สัตว์ปีกสีน้ำตาลแกมทองเอียงคอขานรับ


“ฮ่า ๆ ใครกล้าใส่ความนกน้อยแสนซื่อได้ลงคอ…”


ผู้มาใหม่หยอกล้อเจ้านกตัวเขื่องที่ใช้กรงเล็บเกาะอยู่บนปลอกแขนเย็บจากหนังสัตว์ ก่อนผินพักตร์มายังผู้นั่งปั้นหน้าบึ้งอยู่บนหาดทราย


“อ้าวบุตรขุนคลัง จับปูลมเล่นฤๅนั่น ท่าทางสนุกเชียว”


เมื่อเงยหน้า แสงจ้าจากพยับแดดทำให้แววตาพร่าพราย หากร่างโปร่งบนหลังอัศวะสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ก้าวเข้ามาทาบทับประกายสว่างเรื่อแห่งราชรถพระสุริยาทิตย์ ตะวันจึงสาดรัศมีอยู่เบื้องปฤษฎางค์ ขับให้ผู้ที่เพิ่งปรากฏกาย เรืองรองราวดาราประดับฟากฟ้าราตรี ครั้นความพร่าเลือนปลาสนาการไปสิ้น พิศเห็นบุรุษ…


    พื้นดรุณรุ่นหนุ่มน้อยน้อย    รูปร่างแช่มช้อยเฉิดฉัน


เนตรคมดำขลับใต้แพขนตาหนางอนงาม ทอดลงมาจากหลังอัสดรพ่วงพี แรงลมอ่อนริมห้วงมหรรณพพัดให้ปอยผมงามเงาคลุมแผ่นหลังสีน้ำผึ้งนวลเนียน สยายพลิ้วไปในอากาศ หอบเอากลิ่นรัญจวนของน้ำมันจันทน์อย่างดีที่เคลือบผมและผิวให้รำเพยมา เส้นเกศาตรงเฉดรัตติกาลเดือนแรมยาวระอานม้า ส่วนหนึ่งมุ่นเกลียวไว้เหนือศีรษะแล้วคาดทับด้วยรัดเกล้าทองคำฝังอัญมณีนพเก้า หากที่สะดุดสายตากลับเป็นแววหางมยุรา ทัดประดับมวยผมราวยูงรำแพน


“องค์ชายมยุ”


“อย่างไรเล่าบุตรขุนคลัง จะชวนข้าจับปูลม? เห็นทีต้องปฏิเสธ ข้าไม่ชอบเล่นเหมือนเด็ก ๆ”


“กระหม่อมไม่ใช่เด็ก!”


“ไยจะไม่ใช่!”


หัตถ์เรียวขว้างถุงกำมะหยี่สีแดงสดลงบนพื้นทราย


“สัตบุรุษที่เจริญแล้วไม่ทิ้งของไว้เรี่ยราด มีแต่เด็กอมมือไม่ประสาเท่านั้นที่ทำกัน”


“นี่มัน…”


ด้วยแรงกระแทกพื้น ทำให้เชือกที่มัดถุงกำมะหยี่ไว้อย่างหละหลวมคลายออก เผยให้เห็นกำไลมาศฉลุลายเถาเครือเกี่ยวกระหวัดชดช้อยอยู่ภายใน


“เห็นแล้วก็เก็บคืนไปซะ ตำหนักในมีวลัยทองกรอยู่อักโข ไม่ต้องการของของเจ้า แล้วอย่าทำสิ่งใดตกไว้อีกล่ะ ข้าคร้านจะเอามาคืน”


“แต่…” กำไลมาศวงน้อย เขาหมายใจกำนัลให้พระองค์หญิง ดรุณีน้อยแสนน่ารักผู้ที่หัวใจแรกหนุ่มจารจำ


“ห๊ะ อะไรนะ เจ้าหิวอีกแล้วฤๅขุนทอง” ดรุณหนุ่มน้อยผินพักตร์พาทีกับสกุนากรงเล็บแหลมคมที่เกาะอยู่บนปลอกแขน


“แคว๊ก”


เจ้าขุนทอง… พญาอินทรีย์ทองตัวเต็มวัย ฉกาจฉกรรจ์ ขานรับ จะงอยปากคมงุ้มกัดอากาศเสียงดังฉับ พาลพาให้คนมองหวาดเสียว


“อ๋อ อยากจิกลูกตาคน เจ้าเป็นนกบ้าอย่างที่ครหาจริง ๆ ด้วย โอย… ปวดหัว ข้าไม่อยากเลี้ยงเจ้าให้เป็นภาระอีกต่อไปแล้ว จะไปฉกลูกตาใครก็ไปให้พ้นหน้าข้า”


สิ้นคำ อินทรีย์ทองกางปีกผงาดง้ำ ละคมเล็บออกจากพาหาผู้เป็นนาย บินทะยานขึ้นไปในอากาศด้วยท่วงท่าสง่างามสมเป็นเจ้าเวหา หากเปรียบกับเจ้าป่า เสียงแหลมเล็กแสบแก้วหูดังกังวานนั้น คงเสมือนราชสีห์แยกเขี้ยวคำราม ข่มขวัญ พญาอินทรีย์ตัวโตเต็มวัยพลิ้วกายกลางนภากาศแล้วดิ่งลงมายังพสุธาเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว


“แคว๊ก”


“ยะ อย่านะ ออกไปไอ้นกบ้า”


“แคว๊ก”


“ช่วยด้วย ไอ้นกผีมันจะควักลูกตาข้า”


นักล่าแห่งเวหาไล่จิกบุตรขุนคลังเมืองตักโกลาที่แหกปากร้องเอ็ดตะโร วิ่งว่อนไปทั่วหาด มีเพียงยุวกษัตริย์ผู้ทัดแววหางมยุราเป็นปิ่นปักเกล้าเท่านั้นที่รู้สึกขบขันต่อเหตุการณ์ตรงหน้า


หากขุนทองจะควักนัยน์ตาเจ้าจริง คงไม่ปล่อยให้ร้องลั่นอยู่อย่างนี้


สุขใดจะปานเสียงสรวลของเจ้าชายมยุที่เคล้าไปกับสำเนียงระลอกคลื่นสาดซัด กลางปราณลมยามมรสุมฤดู





************



เชิงอรรถ

(๑)   อัสสยุชมาส (ป.) ชื่อเดือนตามปฎิทินจันทรคติอินเดีย ประมานเดือนกันยายน-ตุลาคม ตรงกับเดือนสิบเอ็ดของปฏิทินไทย
(๒)   ทะเลหลวง คำพื้นถิ่นภาษาใต้โบราณ แปลว่ามหาสมุทร

หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา สรรคะ ๒ (บรรณ ๑) ๑/๐๒/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-02-2020 10:17:25
องค์ชายน้อยแซมผมด้วยขนหางนกยูง
นึกถึง กฤษณะกุมารเลย
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา สรรคะ ๒ (บรรณ ๑) ๑/๐๒/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 02-02-2020 18:15:23
องค์ชายน้อยแซมผมด้วยขนหางนกยูง
นึกถึง กฤษณะกุมารเลย

ยังไม่เคยอ่าน มหาภารตะยุทธ เลยครับ อยากอ่านเหมือนกัน อยากอ่านมาก ๆ แต่หายากทั้งหนังสือและเวลา 555

ตอนเขียนถึงมยุ ภาพที่เห็นชัดคือเด็กชายวัยรุ่นหน้าสวย ผมดำตรงสลวยถึงบั้นเอว สง่า เห็นชัดว่าฉลององค์ด้วยพัตราภรณ์และเครื่องประดับสีมรกต แล้วจู่ๆ ไม่รู้อะไรดลใจ ใช่ กิมมิคของเขาต้องทัดเกล้าด้วยแววหางมยุรา แล้วชื่อมยุก็ผุดขึ้นมา บังเอิญ ดันไปพ้องกับชื่อพี่น้องของเขาที่เรามีไว้ในใจ มันลงตัวของมันเอง 555

กฤษณะกุมาร น่ารักจัง ทัดหางนกยูงเสียด้วย

การทัดแววหางนกยูงของคนสมัยโบราณ ใช่ใครก็ทัดได้ หางนกยูงบอกความเป็นขัตติยะ จะเห็นว่ารูปวาดกษัตริย์อินเดียโบราณหลายพระองค์จะทัดหางนกยูงประดับเพชร

เกล็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ บางทีคุณอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ 555


ปล. ตักโกลา นามเมืองนี้ปรากฏในคัมภีร์มหานิเทศ ที่แต่งขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๗ เป็นเมืองท่าที่มีชื่อเสียงด้านฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรแหลมมลายู ที่ตั้งปัจจุบันคือบริเวณเมืองตะกั่วป่า พังงา

ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่แวะเวียนมานะครับ ไว้เจอกัน บรรณต่อ ๆ ไปนะ

ด้วยรัก,
ทัดจันทร์
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา สรรคะ ๒ (บรรณ ๒) ๕/กพ/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 05-02-2020 06:18:37
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๒ มยุรารำแพน

รจนา: ทัดจันทร์





บรรณ





“หลบไปให้พ้นทาง”



วลัยทองสวมติดพาหาและข้อบาทกระทบกันเกิดเสียงตามจังหวะเร่งรีบของการดำเนิน บาทที่ย่ำไปบนพื้นไม้สักขัดเงาลาดด้วยพรมขนสัตว์ ยังเร็วไม่เท่าหทัยที่ร้อนรน ทว่าพักตราคมเข้มโสภายังคงวางทีเรียบเฉย ไม่แสดงกริยาใด ยุวกษัตริย์วรองค์สูงโปร่งหยุดอยู่หน้าบานพระทวารสลักลายดอกไม้ บนกลีบมาลาผกามาศลงรักทาทองคำงามวิจิตร



หัตถ์เรียวทรงธำมรงค์ฝังอัญมณีผลักบานพระทวารเปิดผางออก ดรุณหนุ่มทรงภูษาสีปีกแมลงทับ ดิ้นด้วยเส้นทองคำที่รีดจนบางเท่าเส้นไหม จับจีบคล้ายนุ่งหน้านาง ปล่อยชายข้างหนึ่งยาวระข้อพระบาท คาดด้วยเข็มขัดทองคำฝังไพลินเม็ดโต อุระสีน้ำผึ้งนวลเนียนเปลือยเปล่า หากประดับด้วยสร้อยพระศอประจำองค์ที่เป็นจี้มรกตน้ำหนึ่ง สะท้อนแสงจากตะเกียงน้ำมัน วาบวับ



เนตรใสใต้ขนงหนากวาดมองรอบห้อง แล้วจึงย่ำบาทเข้าสู่ภายใน ห้องกว้างแห่งนี้ลาดด้วยพรมขนสัตว์ปักทอลายบุปผาละเอียดละออ พื้นบางส่วนปูด้วยเสื่อผืนเล็กถักจากหญ้าหอม ส่งกรุ่นกลิ่นกำจาย ยุวขัตติยาพาพระองค์ผ่านบังตาไม้หอมประดับมุก ปรากฎวรองค์หน้าพระแท่นทรงจีนขนาดใหญ่



“เปิดหน้าต่างออกให้หมด”



“มยุ…” สตรีที่ประทับยืนเคียงพระแท่นเอ่ยเสียงอ่อน “น้องไม่สบาย”



“ไม่ได้ยินที่สั่งฤๅ เราบอกให้เปิดหน้าต่าง”



เมื่อเห็นว่าขัดไม่ได้ นางกำนัลตำหนักในที่นั่งพับเพียบหมอบกระแตอยู่ข้างสตรีเลอโฉมจึงต้องกระวีกระวาดเปิดบานพระบัญชร สายลมอ่อนจึงระรินพัดผ่าน นำกลิ่นมะลิในสวนให้รำเพยเข้ามา



“มยุ หมอบอกไม่ให้น้องโดนลม จะป่วยอีก”



“แล้วแม่จะปล่อยให้น้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องทั้งวันได้อย่างไร”



“ก็รอให้หายก่อน”



“อยู่อย่างนี้ รักษาทั้งปีก็ไม่หาย”



“ลูกคนนี้ ดูพูดเข้า”



เจ้าชายหนุ่มไม่ถอดหทัยต่อคำทัดทาน หัตถ์ที่ยังทรงปลอกหนังสัตว์แหวกวิสูตรไหมสีชมพูอ่อน เกี่ยวไว้กับเสามุกสองข้างของแท่นบรรทม ดรุณแรกรุ่นผู้ทัดเกล้าด้วยหางนกยูง ทิ้งองค์ประทับนั่งบนปลายยี่ภูสีหวาน มยุทอดถอนปัสสาสะต่อสิ่งที่ทอดพระเนตรเห็น



ภายใต้ผ้าห่มหนาห่อร่างแบบบางจนมิดชิด มีเพียงใบหน้าซีดเซียว เม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มนลาฏเท่านั้นที่โผล่มา ผู้บรรทมนิ่งไม่กระดุกกระดิกใต้ผ้าผืนหนาส่งยิ้มบาง ๆ มาให้



“ดาริ”



เชษฐาลูบหัวกนิษฐ์สุดท้องด้วยความอ่อนโยนรักใคร่



“ลุกเถอะ พี่จะพาไปขี่ม้าเล่น”



“ยุ” เสียงแผ่วของสาวน้อยติดจะออดอ้อน “เดี๋ยวแม่ว่า”



“จะฟังแม่หรือฟังพี่ เลือกเอา”



หลังรับฟังคำขาดของภารดา สาวน้อยผิวขาวซีดจึงค่อย ๆ แหวกผ้าห่ม ยันกายลุกขึ้น ริมโอษฐ์บางลอบยิ้มดีใจ อยู่ในห้องไม่เห็นเดือนเห็นตะวันหลายทิวากาล เธอเองก็ชักเบื่อ แต่ใครเล่าจะกล้าท้วงทักพระมารดา เจ้าหญิงน้อยจึงได้แต่เก็บองค์บรรทมอยู่ในตำหนักเช่นนี้



“ดี ไปกันเถอะ”



มยุคว้าข้อแขนเล็ก เสด็จนำออกจากห้อง



“อย่าพากันไปไกลนัก แล้วระวังอย่าให้น้องโดนแดด มยุยินคำแม่ไหม”



“อย่าห่วงเลยแม่ อยู่กับลูก ดาริปลอดภัยกว่าอยู่กับแม่เสียอีก”



สตรีเลอลักษณ์ส่ายเศียร พระนางคร้านจะปรามโอรสาพระองค์รองผู้เอาแต่หทัย แถมยังดื้อที่สุดในบรรดาประสูติกาลทั้งสาม หากก็จริงดังคำลูกว่า มยุดูแลน้องได้ และเข้าใจเจ้าหญิงน้อยดีกว่าใคร ๆ



************





ม้าศึกลักษณะดีกำลังเล็มหญ้าอยู่ไม่ห่าง สองพี่น้องขัตติยราชนั่งสนธนากันใต้ร่มใบของพิกุลทองต้นใหญ่ในวนอุทยาน กิ่งก้านสาขาของพิกุลแผ่กว้างเขียวขจี ยามวายุผ่านพัด ใบไม้เสียดสีคล้ายร่วมกระซิบกระซาบกับสองยุวกษัตริย์



“เมื่อไหร่จะมาเรียนขี่ม้า ยิงธนู กับพี่”



“ยุ ท่านแม่ว่าต้องให้น้องหายดีก่อน”



“นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นเมื่อไหร่จะหาย ออกกำลังสิถึงจะหายขาด”



“น้องขัดแม่ได้ที่ไหน” ดรุณีก้มหน้าตอบ ไม่กล้าสบพระเนตรของภารดา



“ดื้อเสียบ้างเถอะดาริ”



ดวงหน้าซีดเซียวของเจ้าหญิงน้อยอมยิ้ม



“เหมือนพี่น่ะหรือ”



“หลอกว่าพี่ฤๅ”



พักตราคมสันโสภาของเจ้าชายหนุ่มปั้นบึ้ง ความเงียบทิ้งตัวลงมา ทำให้บรรยากาศหยุดชะงักไปเสี้ยววินาที แต่แล้วทั้งสองพี่น้องพลันหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน



“ฮ่าๆ นั่นแหละ ดื้อเหมือนพี่ ลางทีน้องอาจชอบ”



“ท่านแม่บ่น ยุชอบชวนน้องประดาบ จับธนู เหมือนผู้ชาย”



“แต่น้องก็ไม่เคยมาเล่นกับพี่สักครั้ง ป่วยตลอด”



“ต้องรอให้หายก่อน”



“เห้อ อย่างนี้ทั้งปี”



ขุนทองส่งเสียงร้อง กระพือปีกมาแต่ไกล มยุกางแขนรับ พญาอินทรีย์ตัวหนาหนักโผเกาะพาหาผู้เป็นนาย เจ้าเวหาเชิดหัวเย่อหยิ่ง ปลายตาคมน่าเกรงขามเล็งเห็นสาวน้องผ่องผุด สกุนานักล่าเอียงคอ ร้องทัก



“ขุนทองคงคิดถึงน้องนะดาริ”



เจ้าหญิงน้อยยกหัตถ์บอบบางลูบหัวนกอินทรีย์ ขนนิ่มลื่นของมันไล้ไปกับฝ่ามือราวแพรพรรณชั้นดี



“ตัวโตขึ้นมาก เป็นหนุ่มแล้วฤๅขุนทอง”



“นั่นสิ อีกหน่อยคงจะมีขุนทองน้อยอีกหลายตัวเชียวล่ะ แก่แดดนัก ริออกเรือนก่อนข้า”



พระพายพัดวูบจนใบไม้เสียดสีคล้ายระฆังแก้วกังวาลใส ขั้วดอกพิกุลทองผลิหลุดจากช่อ ร่วงหล่นพรูพรายราวสายวรุณโปรยพร่ำ บุษบาหอมดารดาษเหนือผืนหญ้าสด อวลกลิ่นหอมหวาน กำซาบนาสา



“ยุ”



มยุเลิกขนง ผันดวงหน้าเปื้อนยิ้มละไมไปทางกนิษฐา



ก่อนพายุจะมา คลื่นลมมักสงบ หากเมื่อมรสุมโหมกระหน่ำแล้ว ย่อมยากที่จะมีสิ่งใดทัดทานได้ เช่นเดียวกับเพลิงอารมณ์ของมยุ เจ้าขุนทองร้องตกใจสุรเสียงเจือโทษะของเจ้านาย อินทรีย์ยักษ์รีบกรีดปีกบินหนีไปยามถ้อยอุทานของเจ้าชายหนุ่มสะท้อนก้องไปทั่วอุทยาน



“ท่านแม่ว่าปีนี้น้องต้องเสกฯ”



“อะไรนะ! แต่งงาน?!”



******ธรฺมรฏฺฐคีตา******



สรรคะสองถือเป็นการเปิดตัวความเป็นกลิ่นไอของธรฺมรฏฺฐคีตาอย่างแท้จริง เปิดฉากในตอนต้นด้วยนครการท่าอันเลื่องชื่อ ตักโกลามหานคร... ตักโกลา นามเมืองนี้ปรากฏในคัมภีร์มหานิเทศ ที่แต่งขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ ๗ เป็นเมืองท่าที่มีชื่อเสียงด้านฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรแหลมมลายู ที่ตั้งปัจจุบันคือบริเวณเมืองตะกั่วป่า พังงา

มยุเป็นหนึ่งในตัวละครที่เรารักและเห็นเขาชัดเจนที่สุด ยามหลับตาจะเห็นแววหางนกยูงทัดมวยผมพลิ้วไหวในสายลม เด็นดรุณรูปงามสง่าฉลองภูษาสีมรกตอยู่เป็นนิตย์ เขาเป็นตัวละครที่มีชีวิตชีวามากในความคิดเรา และหวังว่าผู้อ่านจะรักและอยากทำความรู็จักกับเจ้าชายมยุให้มากขึ้น

อยากให้คุณรักและรู้สึกว่ามยุเป็นตัวละครที่จริง และรู้สึกแบบนี้กับทุกตัวละคร

จะพยายามเขียนและรังสรรค์นวนิยายเรื่องนี้ให้ออกมาอย่างดีที่สุดครับ เพราะผมรักทุกตัวละครในทุกบทบาท รักเนื้อเรื่อง และพวกเขามีตัวตนอยู่จริงๆ อย่างน้อยก็ในใจผม

ด้วยรักและขอบพระคุณ

ทัดจันทร์
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา สรรคะ ๒ (บรรณ ๒) ๕/กพ/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 06-02-2020 15:45:32
พาร์ทนี้เราขอชมว่าบรรยายสถานที่ได้ดีเลย เล่นคำได้ดี ชอบๆ รอติดตามนะจ๊ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา สรรคะ ๓ (บรรณ ๑) ๘/กพ/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 08-02-2020 18:47:41
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๓ แสงดาวเลือน


รจนา: ทัดจันทร์




“แต่งงาน…”


พจีเล็ดลอดผ่านริมโอษฐ์บางเป็นกระจับ แผ่วเบาราวเสียงกระซิบ ตามด้วยการถอดถอนปัสสาสะให้กับก้อนความรู้สึกที่หนักอึ้งอยู่ในอุระ


เจ้าของหัตถ์บางเกาะขอบบัญชรฉลุลวดลายพรรณพฤกษชาติ ประทับนิ่งภายใต้ความเงียบเพียงลำพัง สาวน้อยนั่งมองโลกกว้างภายนอกที่ตัวเองไม่เคยได้ออกไปทำความรู้จัก ผ่านกรอบหน้าต่างแคบในห้องบรรทม สายพระเนตรว่างเปล่าเหม่อออกไป ไกลแสนไกล ไกลเกินกว่าเส้นขอบฟ้าที่คลองจักษุนี้เล็งแลเห็น


เสมอมา… เจ้าหญิงชะเง้อหา… อิสรภาพสถิตอยู่หนใดหนอ… และอาจต้องเฝ้าปฤจฉา ตั้งคำถามกับตัวเองเช่นนี้ เสมอไป


เธอนึกอิจฉาหมู่ภมรคอยหาน้ำหวานจากดอกไม้ชูช่อ ปีกสีขาวมนโค้งแต้มด้วยจุดเล็กสีดำของผีเสื้อขาวแคระ สยายบินอย่างเสรีไปทั่วอุทยาน หากเธอจะติดปีกโบยบินได้สักครั้ง คงออกตามหาอิสรภาพที่เฝ้าฝัน อาจเป็นห้วงมหาสมุทรลึกล้ำ หรือท้องทะเลแห่งดวงดาวที่ขวางคั่นอิสระภาพเอาไว้ เพราะมันช่างห่างไกล เกินหัตถาเรียวเล็กนี้จะไขว่คว้า สำหรับดรุณีน้อย เสรีภาพจึงเปรียบเสมือนผีเสื้อ พอเอื้อมมือคว้าไขว่ ปีกบางก็โบกสะบัดบินหนีไป สัมผัสได้เพียงสายลมใต้ปีกกระทบนิ้ว แผ่วเบา แล้วจางหาย


“คิดอะไรอยู่หรือ”


เจ้านางเมืองเสด็จประทับนั่งเหนือพระแท่นริมพระบัญชร สายพระเนตรที่ผ่านฝนกรำแดดมาหลายขวบปี พิจารณายุวนารีผู้สืบทอดสายโลหิตกษัตริยาธิราชแห่งไศเลนทร์วงษ์มาจากตน


“แม่จ๋า”


สุรเสียงสั่นเครือ น้ำคำร่ำหาเหมือนครั้งยังเยาว์ เป็นเพียงเด็กไม่ประสา พร่ำหาพระชนนียามหกล้ม เจ้าหญิงน้อยโผเข้าอ้อมอุระพระมารดา สองแขนแม่ตระกองกอดลูกน้อยผู้หลับตาพริ้ม เจ้าหญิงพระองค์เล็กพยายามจารจำสัมผัสนี้ไว้ นานเท่านาน


“ลูกจะกอดแม่ได้อีกนานเท่าใดหนอ ไม่ช้าก็ต้องแต่งออกไป”


“สิบห้าแล้ว ไยยังขี้แยเหมือนเด็ก”


สตรีทรงโฉม ทรงศักดิ์ ลูบหัตถ์อุ่นบนเส้นเกศาดำขลับของขัตติยนารีในอุทร ไออุ่นจากกายแม่ส่งต่อ ถ่ายถอนใยรักแห่งมารดา เพื่อปลอบประโลมลูกน้อยที่กำลังกังวลสับสน


“แต่ก่อนแม่เคยกอดยายเช่นนี้ วันหนึ่งข้างหน้าเมื่อมีลูกสาว ลูกก็จะกอดธิดาของลูกอย่างนี้ นิ่งเสียเถิดลูกรัก”


เมื่อหกล้ม จะทรงรับสั่งให้หยุดร้อง เจ้านางเมืองทอดพระเนตรดูบุตรีตัวน้อยยันพื้น ลุกขึ้นด้วยสองขาของตัวเอง โดยไม่ยื่นพระหัตถ์เข้าหา พระพี่เลี้ยงนางกำนัลในคนใดอย่าได้ช่วยอุ้ม จะถูกดุเข้าให้ ครั้นหยุดร้องและยืนได้ด้วยตัวเองแล้ว อ้อมกอดแม่จึงจะอ้าออก กอดอุ่นเป็นรางวัลแด่ขัตติยะนารีผู้เข้มแข็ง


อัสสุชลหยุดหยาดริน อันตรธานไปพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ วรองค์แน่งน้อยหยัดตรง กริยาสงบนิ่ง รำงับ


“ปทุมวงศ์จะดูแล ยกย่องให้ลูกเป็นนางพญาเมือง เป็นมหารานีควรคู่แก่มหาธรฺมราชา นี่คือมรรคาที่ลูกต้องเดิน ขัตติยะนารีมิอาจทอดทิ้งหน้าที่แห่งตน ทั้งหน้าที่ต่อวงศ์พงศา ต่อผืนแผ่นดิน และต่อหัวใจตัวเอง”


“หน้าที่ต่อหัวใจ? ทำตามใจน่ะหรือเพคะ”


“เปล่าเลย หากเป็นหน้าที่ต่อจิตใจที่ลูกต้องตั้งมั่นอยู่ในความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ไม่หวาดไหวต่อสรรพสิ่งใด ๆ ไม่ว่าดีฤๅร้าย ประคองสติให้ครองอยู่ในจิตตลอดเวลา อีกหน้าที่ของหัวใจคือความรัก… ภายหน้าลูกจะเรียนรู้หัวใจรักของสตรีต่อบุรุษ และรักของมารดาต่อบุตรธิดาแห่งตน”


“กาย ใจ กระทั่งชีวิตนี้ ลูกมิเคยเสียดายหากทำเพื่อบ้านเมืองและเชื้อวงศ์ หากแต่… ลูกยังไม่อยากจากแม่ พ่อ และพี่ พลัดบ้านพลัดถิ่น ร้างไปไกลเช่นนี้”


“โถ เรื่องเล็กนิดเดียวเอง คิดถึงก็ให้คนแต่งขบวนเรือ ล่องแม่น้ำหลวงมาหาแม่ อีกอย่าง ทุกเดือนมาฆมาส ยามพระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์แม่เดินทางไปทำบุญที่นั่นโดยปกติอยู่แล้ว จะกังวลคิดถึงกันไปไย”


พระนางมอบรอยยิ้มอ่อนโยนให้ดรุณีน้อย ผู้เป็นกังวลว่าจะคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัว หากต้องนิราศลาไกล เรียวแขนแม่โอบกอดเรือนร่างแบบบางนั้นเอาไว้แทนคำพูด แทนคำมั่นสัญญา


ยามคิดถึง… จะไปหา


ผีเสื้อปีกขาวบริสุทธิ์บินผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องบรรทมกว้าง หอมอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ปักประดับแจกันกระเบื้องเคลือบวาดลายมัจฉาใต้กลีบนิโลบล ท่วงท่าโบยบินของมันนิ่มนวล พริ้วไหว คล้ายผีเสื้อน้อยกำลังเริงระบำ ถ่ายทอดความงามแห่งตนทิ้งไว้ ฝากประดับโลกก่อนวงจรชีวิตแสนสั้นของมันจะหมดลง


************



หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา สรรคะ ๓ (บรรณ ๑) ๘/กพ/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-02-2020 02:18:12
กุมารีน้อยผู้น่าสงสาร
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (สลับร่าง,ย้อนเวลา,อิงประวัติศาสตร์) สรรคะ ๓ - บรรณ ๒ UP: ๑๐/กพ/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 10-02-2020 17:50:40

ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๓ แสงดาวเลือน



รจนา: ทัดจันทร์





เวทิต บุตรชายขุนคลัง เข้าเป็นลูกค้าโรงสุราตั้งแต่เด็กรับใช้ในหอคณิกายังไม่ตื่นนอน เปลวสุริยันหรือฤทธิ์สุราชั้นเลิศยังร้อนไม่เท่ากองเพลิงที่สุมอยู่กลางทรวงของเด็กหนุ่มรุ่นกระทง ความชอกช้ำกัดกินจิกทึ้งจิตใจเหมือนแร้งเหยี่ยว จงอยปากคมกริบของความริษยา ฉกลงมาอย่างไม่ปราณีต่อหัวใจอันเหี่ยวแห้งร้างแรง บุรุษผู้เพิ่งแตกเนื้อหนุ่มบอกไม่ได้ว่าความรู้สึกร้อนผ่าว แผดเผาอยู่ในอกนี้คืออะไร รู้เพียง ร้อน ทรมานเหลือเกิน


เวทิตยไม่ประสา ไม่รู้จักแม้เพียงความหึง


เมรัยราคาแพงหมักจากน้ำผึ้งป่าอย่างดี หลากรินดังสายอุทกธาราผ่านลูกกระเดือกเข้าไปดับเพลิงกาฬที่กำลังคุกรุ่น ผลาญเผาแผงอกแตกพานให้ตรอมตรม ความผิดหวัง น้อยเนื้อต่ำใจในรัก เจ็บแสบดังสายโลหิตทะลักล้นจากบาดแผลฉกาจฉกรรจ์


“ทำอย่างไร ตอบข้าที ต้องทำอย่างไรถึงจะได้นางมาครอง”


“ทำอะไรไม่ได้หรอก หักห้ามใจเสียเถิดเวทิต”


สหายคนสนิทรวบเรือนผมยาวด้วยรัดเกล้านาก แม้ไม่ร่วมร่ำสุราไปกับเพื่อนผู้ช้ำรัก แต่กลับมีสีหน้าทุกข์ร้อน เศร้าใจไม่ต่างกัน


“ลำพังเพียงภารดานางกีดกัด ข้าก็แย่แล้ว ยังมีเจ้าชายแห่งปทุมวงศ์เข้ามาอีก จะสู้อย่างไรไหว เออ ใช่สิ ข้ามันเพียงบุตรขุนนางสนองพระเดชพระคุณ ห่างชั้นกับฟ้านัก


ชั่ววูบหนึ่งในห้วงคำนึงของเวทิต ดวงหน้าผุดผาดของเจ้าหญิงน้อยแห่งตักโกลาผินพักตราแย้มมองมาทางตน มาณพหนุ่มเทิดทูนยกย่องเจ้าหญิง สูงส่งสุดหัวใจ อย่างที่ชายผู้หนึ่งจะพึงมีต่อสตรีที่หมายรัก พอกับที่มันน้อยเนื้อต่ำใจในความต้อยต่ำของตัวเอง


เวทิตรักเจ้าหญิงน้อยมากเสียจนหัวใจทั้งดวงเอ่อล้นด้วยความรัก ความใสซื่อแห่งดรุณปรารถนา ไม่เหลือที่ว่างสำหรับการเผื่อใจเจ็บเอาไว้เลย...


จอกเปล่ากระแทกลงบนโต๊ะ


“รินเหล้าให้ข้าอีกสักจอกเถิด เผื่อจะดับไฟในใจลงได้บ้าง”


“จงดื่มให้หมด เมาความชอกช้ำเสียให้สิ้นในวันนี้ เมื่อสร่างเจ้าจะตัดใจได้”


สิ้นคำเพื่อน เวทิตยกภาชนะทองเหลืองดุนลายบรรจุสุราสีขาวขุ่นเกือบเต็มจอก ดื่มพรวดเดียว น้ำเมารสขมร้อน เจือความหวานติดปลายลิ้น สาดลงบนกองเพลิงในหัวใจ จอกแล้วจอกเล่า แต่เหมือนสุราจะเป็นเชื้อไฟอย่างดี ยิ่งดื่มดับทุกข์ลงไปเท่าไร เพลิงแห่งความผิดหวังในหัวอกยิ่งโหมกระหน่ำซ้ำขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวี


ปุรุษาในวัยกลัดมันยิ้มเยาะให้แก่บทรักแห่งชีวิตและความคิดอันแสนโง่เขลา เมาแล้วจะลืมกระนั้นหรือ หากหัวใจดวงนี้ลืมนางได้ นางต้องตายจากความทรงจำไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน เวทิตรู้จักสันดานและหัวใจตัวเองดี เขาไม่มีวันลืมดอกรักเสียบก้านนาฬิเกช่อแรกที่นางให้ เขายังคงปักมันไว้ในแจกันห้องนอน และทัดไว้ในน้ำเนื้อของหัวใจ เร้นอยู่ในซอกลึกเช่นนั้น ไม่มีวันถ่ายถอน


‘ใครกัน เขามาถึงฝ่ายในได้อย่างไร’


‘เราหลง... เราตามบิดามาเข้าเฝ้าท่านเจ้า แต่วังหลวงใหญ่เกินไป เราคลาดกับท่านบิดาเสียแล้ว ว่าแต่เจ้าเป็นใคร นั่งทำกระไรอยู่คนเดียว’


‘เราหัดกรองดอกไม้ ดูนี่สิ มาลาเสียบนาฬิเก สวยไหม’


‘ก็สวย’


‘คือ... ก้านนาฬิเกของเราหมดแล้ว มีอีกเยอะที่ท้ายอุทยานแต่เราปีนไม่ถึง...’


‘ให้ช่วยปีนไหมเล่า’


‘ช่วยหน่อยนะ นี่ ๆ ดอกรักกรองนาฬิเกก้านแรกที่หัดทำ เราให้... เป็นเพื่อนกันนะ เล่นกันสักครู่ แล้วจะพาหนีคุณโขลนออกไปชั้นกลาง เจ้าจะได้ไปคอยบิดาที่นั่น’



************



เรือนกายที่เริ่มปรากฏมัดกล้ามแห่งวัยหนุ่มโงนเงนออกจากโรงสุราเพียงลำพังเมื่อตะวันจวนแตะยอดไม้ กายแกร่งสมวัยหอบเอาหัวใจชอกช้ำ เดินเซไปบนถนนที่ผู้คนสวนทางกันขวักไขว่ บนเส้นทางสัญจรแห่งทะเลผู้คนคลาคล่ำ ฤทธิ์สุราทำให้เวทิตซวนไปชนเข้ากับบุรุษสูงใหญ่ แต่งกายเยี่ยงนักเดินทางต่างถิ่น หนุ่มแรกรุ่นยกมือเป็นเชิงขอโทษ เขารู้สึก โลกกำลังหมุนคว้างเหมือนลูกข่างก็มิปาน ภาพที่ปรากฎแก่คลองสายตาเป็นภาพซ้อนทับของบรรยากาศโดยรอบ เวทิตขยี้ตา พยายามสลัดภาพชวนเวียนหัว ไม่ทันหันมองคู่กรณี


หางคิ้วซ้ายสลักรอยแผลเป็นของชายผู้นั้นเลิกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจต่อเด็กแรกรุ่นหัดเมา ชายต่างถิ่นทอดน่องต่อไปราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปโรงสุราของเขา


ทำไมเหนื่อยนัก เหมือนเดินเท่าไรก็ไม่ถึงปลายทางสักที เพราะถนนสายนี้ทอดยาวเกินไป หรือเพราะหัวใจเขาเองที่แบกเอาก้อนความโศกหนักอึ้ง ครองมงกุฎหนามแห่งรักอันไร้หวังไว้ราวศิราภรณ์ล้ำค่า หวงแหนแม้กระทั่งความเจ็บปวดในทุกครั้งที่คิดถึงนวลหน้าเจ้าหญิงน้อยผู้งดงาม สองขาที่ย่ำเดินบนเส้นทางมืดมนอนธการ หาทางออกให้กับรักที่ไม่มีทางเป็นไปได้ จึงอ่อนล้าหมดกำลัง


ซวนเซ และล้มลง


เขาชนคนเข้าอีกแล้ว


ในตรอกเปลี่ยว แคบ ที่ใช้เป็นทางลัดสู่ชมชนพ่อค้าชาวสิงหล ย่านตลาดขายเครื่องเทศสมุนไพร ดรุณหนุ่มชนชายชราผมและเคราสีดอกเลา บ่งบอกฤดูกาลแห่งชีวิต ทว่าวัยที่โรยร่วงไม่ได้ทำให้ตาเฒ่าร่วงโรย กองลงกับพื้น ต่างจากเด็กหนุ่มที่เพิ่งผันผ่านเข้าสู่ฤดูร้อนของชีวิต อาบกลิ่นเมรัยต่างกลิ่นน้ำมันจันทน์โลมไล้เนื้อหนั่นหนาแน่น ล้มลงเพราะหัวใจแหลกสลายของตัวเอง ร่างนั้นสิโรราบลงกับผืนธรณี ไหล่กว้างสั่นสะท้อนวูบไหว


“ฮ่าๆ”


เวทิตหัวเราะขื่นขม พรายน้ำตารื้นคลอเบ้า พยายามเก็บเศษกระจัดกระจายของเสี้ยวหัวใจ กดกลั้นความเศร้าไม่ให้พรั่งพรูออกมา เขาได้แต่ถากถาง สมเพชความมัวเมาของตัวเอง


ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก        สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน


เหมือนมีกริชล่องหน คมกริบ ปักลงกลางอกแล้วคว้านลึก เฉือนเชือดหัวใจ เจ็บจนไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ มือข้างหนึ่งกระแทกกำปั้นใส่แผงอก เหมือนต้องการหักห้ามความเจ็บปวด หยาดน้ำใสรินอาบสองแก้ม หยดลงบนพื้นดินราวฝนปรอยเม็ด เวทิตก้มหน้านิ่งอยู่เช่นนั้น เงียบงัน ไร้เสียงสะอื้น


“เมาสุรา นอนเสียก็หาย เมาน้ำตา… ทำอย่างไรจึงจะสร่างซา”


เสียงแหบแห้งเจือสำเนียงแปลกหูของชายชรา ดึงให้ผู้ที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความหม่นเศร้ากลับสู่ปัจจุบันกาล ใบหน้าปราศจากคราบน้ำตาเงยขึ้น ผันไปทางบุรุษผมขาวสวมผ้าคลุมเดินทางสีครามหม่น เวทิตยืนขึ้นเต็มความสูง


“ไม่ใช่น้ำตา แต่เป็นความริษยาและความรักที่ทำให้ข้ามัวเมา” เด็กหนุ่มปัดฝุ่นออกจากเรือนกาย


ชายชราพยักหน้าเชื่องช้าราวจมอยู่ในห้วงคิด ก่อนซุ่มเสียงแห้งแหบจะเอ่ยออกมา แผ่วเบา ทว่าชัดเจนทุกถ้อยคำ


“ความเมาแห่งรัก ย่อมถ่ายถอนด้วยความรัก”


“รักที่ข้าไม่อาจครอบครอง... ความเมานี้จึงไม่มีวันสร่างถอน”


“พ่อหนุ่ม เส้นผมบังสายตาเจ้าอยู่ฤๅ ไยมองไม่เห็นหนทาง”


“ท่านพูดถึงอะไรตาเฒ่า”


“คำตอบต่อปัญหารักของเจ้า”


“จู่ ๆ จะมาช่วยข้าไขปริศนารัก ท่านต้องการสิ่งใด?”


“กษาปณ์ทองของเจ้าเพียงเหรียญเดียว แลกกับคำตอบของข้า”


...ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป


ในตรอกเปลี่ยว แคบ ร้างไร้ผู้คน ชายชรายัดของบางอย่างใส่มือเวทิต ถ้อยคำที่ตาแก่กระซิบข้างหูทำให้แววตาที่เคยซึมเศร้าของเด็กหนุ่ม เบิกโพลง ความหวังฉายรัศมีริบหรี่ ณ ปลายอุโมงค์มืด เสี้ยวนาทีนั้นคล้ายว่าฤทธิ์สุราจะสร่างซาลงทันใด


แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน…


“ในเมื่อข้าครองนางไม่ได้ ใครหน้าไหนก็อย่าหวัง”


พวงแก้มแดงเรื่อจากเมรัยร้อนแรงก้มลงมองวัตถุที่ให้สัมผัสเย็นเยียบ แหวนเงินวงน้อยฝังหินกลมเกลี้ยงสีเลือดวิหก วางนิ่งอยู่ในฝ่ามือของชายหนุ่ม คำรักที่พร่ำพรรณาอยู่เมื่อครู่ แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมน่าใจหาย ความรักเปลี่ยนแปรเป็นความลุ่มหลง ความลุ่มหลงกลายเป็นความริษยาเกินถ่ายถอน ด้วยประการฉะนี้



************

หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (สลับร่าง,ย้อนเวลา,อิงประวัติศาสตร์) สรรคะ ๓ - บรรณ ๓ UP: ๑๓/กพ/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 13-02-2020 19:00:34

ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๓ แสงดาวเลือน



รจนา: ทัดจันทร์







มหาดาราโคจรมาบรรจบภายใต้นภาผืนเดียวกัน พระจันทร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ ทอประกายสีเงินยวงอยู่บนปลายฟ้าด้านบูรพาทิศ ขณะที่ดวงสุริยากำลังเริงโรจน์เหนือขอบอัมพรทิศประจิม กษณะนี้นภดลมณฑลอาบไล้ด้วยรัศมีเฉดชมพูอ่อนแกมส้มแห่งสายัณห์กาล ผืนฟ้าสีกลีบยี่สุ่นแย้มบานจึงเสมือนนิวาสสถานที่ดวงตะวันใช้รอพบสบพักตรานวลจันทร์เจ้า ในยามทิวาและราตรียื่นหัตถาสัมผัสกัน



“เสด็จกลับเถอะเพคะ”



“สักครู่พิชชา เราไม่เคยเห็นการแต่งเรือพระใกล้ขนาดนี้”



เจ้าหญิงน้อยทอดพระเนตรธงผ้าสีเหลืองโบกพลิ้วเหนือบุษบกไม้สลักเสลา ประดิษฐานบนเรือพายขนาดกลางที่เพิ่งต่อเสร็จ ช่างผู้ชายหลายคนช่วยกันติดไม้กระดานแผ่นยาว ตัดเป็นส่วนเว้าโค้ง วาดเป็นรูปพญานาคตระกูลวิรูปักษ์ ผู้สืบเชื้อสายจากนาคาธิบดีแห่งชั้นจาตุมหาราชิกาสวรรค์ จึงดูคล้ายเทวนาคาสีทองเลื้อยขนดไปบนกาบเรือทั้งสองข้าง ชูเศียร อ้าโอษฐ์ แผ่พังพาน เฝ้าพิทักษ์บุษบกแห่งพระตถาคตเจ้ายามถูกชักกลับพุทธสีมาในวันมหาปวารณา



เดือนอัสสยุชมาสเป็นหน้ามรสุมลมแรง ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำคูคลองเพิ่มขึ้น น้ำใสในสระท้ายวังอันต่อกับคลองใหญ่ด้านนอกจึงเอ่อสูง สายลมลูบหัตถาไล้เหนือผิวธาราเกิดระลอกพริ้ว ชโลธรชโลมแสงยามใกล้อัสดงเป็นสีทองระยิบ คล้ายพระสุริยาทิตย์โปรยผงทองคำเหนือผืนน้ำ ปลุกอาโปที่สะท้อนเงาจันทร์ดุจกระจก ให้มีชีวิต คลื่นนทีสีทองพริ้วระยับดั่งลมหายใจของกระแสสินธุ์ในฤดูน้ำหลาก



มยุคุมบรรดาช่างหลวงให้ช่วยกันตบแต่งเรือพระจนงามวิจิตร งานใกล้ลุล่วงเต็มที ยุวขัตติยาผู้ครองรูปโฉมดังองค์อัมรินทร์ และทหารกล้าหลายนายช่วยกันนำเรือสุวรรณนาคาลงแตะผืนน้ำ เตรียมลากไปรอที่พระอารามหลวง



ราชบุตรพระองค์รองกาลนี้นุ่งหยักรั้ง กายเปล่าปราศจากแก้วแหวนเครื่องประดับใด มีเพียงภูษาสีมรกตพาดอังสากว้างผึงผายใช้ซับเสโท มัดกล้ามแห่งวัยดรุณวาวลื่นไปด้วยหยาดเหงื่อจากการกรำงานหนัก ไม่ต่างอันใดกับเหล่าช่างและทหารผู้ช่วย เรือนกายงามครองพระฉวีสีน้ำผึ้งนวลพาองค์มาหยุดอยู่บนบันไดท่าน้ำ ขนหางนกยูงที่ปักเกศาเกล้ามวยไว้อย่างไม่เอาฤทัยใส่ ปล่อยชายไป่ปลิว ถูกวายุแผ่วพัด แววหางมยุรารำแพนล้อลม ยิ่งขับให้เจ้าชายวรองค์โปร่ง หนั่นแน่น คล้ายรูปจำแลงแห่งเทพเทวาก็มิปาน



ควรจะนับว่าชายโฉมยง… เอวองค์สารพัดไม่ขัดตา



ดวงพักตร์งามนั้นผินยิ้มมาทางกนิษฐา



“ดาริ ไปวัดด้วยกันฤๅไม่”



“คงไม่ น้องแค่มาดูว่าแต่งเรือกันอย่างไร”



“เช่นนั้นกลับเถอะ ค่ำน้ำค้างจะลง”



นาวาน้อยสองลำผูกเชือกแน่นหนาเข้ากับเรือพระประดับบุษบกพายมารอที่ตีนท่า ทหารวัยหนุ่มและช่างชายฝีมือดีต่างพร้อมอยู่แล้วในขบวนเรือพาย มยุผันวรองค์เยื้องย่างลงเรือ หากปรายตามองเห็นเจ้าหญิงน้อยยังคงประทับยืนที่เดิม



“มัวยั้งอยู่ไย หรือจะไปด้วย”



“ยุ… พี่ไม่ไปได้ไหม ไม่รู้สิ… น้องแค่ไม่อยากให้พี่ไป”



“แล้วกัน” มยุลูบหัวน้องน้อยอย่างเอ็นดูรักใคร่“เอาเป็นว่า พี่จะรีบไปรีบกลับ”



แม้ภารดาจะรับสั่งเช่นนั้น ดวงพักตร์ของเจ้าหญิงน้อยยังคงหมองเศร้า



เรือพายสองลำลากเรือบุษบกให้ลอยล่องไปบนสายนทีสีทองระยับ รุ่งเช้าพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรจะถูกนำประดิษฐานเหนือบุษบกแก้วจำลองที่เจ้าชายพายนำไป ฝีพายหนุ่มหัวเราะร่วน อิ่มใจที่งานแล้วเสร็จ ท่ามกลางตะวันและพระจันทร์ยามเย็น ชายหนุ่มเหล่านั้นเห่ร้องเพลงเรือ



ขึ้นข้อต่อกล่าว                   ถึงสาวทุกวัน
แต่งตัวกวดขัน                ในวันประชุม
ตุ้มหูพู่ห้อย                      สาวน้อยหนุ่มหนุ่ม
สองเต้าเต่งตุม                เหมือนพุ่มมาลา
ถ้าได้พี่ชาย                     จะจูบซ้ายจูบขวา
สาวน้อยงามสรรพ           ดับกายไว้ท่า
ถึงวันออกษา                  พี่จะพาเจ้าไป



พรุ่ง... ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑



วันออกพรรษา พระตถาคตเจ้าทรงเสด็จกลับจากเทวโลก



เจ้าหญิงน้อยทอดพระเนตรจนเรือบุษบกลาลับไกล พักตราสง่าแหงนสู่นภา บนนั้น… สุริยันและจันทิรามองหากันจากคนละฟากเวหา แสงจันทร์ขึ้น ๑๔ ค่ำ เริ่มฉายชัดขณะมหาดาราอีกฝั่งฟากใกล้จรจากไป



ขัตติยะนารีรู้สึกวูบโหวงในหทัยอย่างบอกไม่ถูก



“รีบมานะยุ น้องคอย...”



น้ำคำแผ่วเบาฝากสายลมโชยไปถึงภารดา



เจ้าหญิงเสด็จกลับตำหนักยามทิวาและราตรีเอื้อมหัตถ์แตะถึงกัน กษณะนั้นหิ่งห้อยตามโคมแข่งกับแสงดาวเลือนบนฟากฟ้าสีเทาเข้มเกือบดำ ราตรีกาลย่ำบาทเยื้องย่างใกล้เข้ามาเต็มที



ราษตรีแห่งความมืดมน... ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยคราบน้ำตา!



******ธรฺมรฏฺฐคีตา******


หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (สลับร่าง,ย้อนเวลา,อิงประวัติศาสตร์) สรรคะ ๔ - บรรณ ๑ UP: ๑๖/กพ/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 16-02-2020 19:10:46

ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๔  กระจกธารา


รจนา: ทัดจันทร์





หริสสาเสด็จนำขบวนโขลนเข้าสู่ตำหนักใน พวกหล่อนกระวีกระวาดช่วยกันขนหีบไม้หอมบรรจุแพรพรรณภูษาและกำปั่นอาภรณ์เครื่องประดับ เก็บเรียงไว้ในห้องบรรทมของเจ้าหญิงพระองค์เล็กแห่งนครตักโกลา สินทรัพย์มากมายเหล่านี้ลำเลียงขึ้นจากเภตราลำใหญ่ซึ่งเทียบท่าเมื่อไม่กี่ชั่วยามที่ผ่านมา นางสนองพระโอษฐ์กระซิบกระซาบไถ่ถามกัน ได้ความว่า เป็นของกำนัลเนื่องในพิธีเสกสมรสจากหน่อเนื้อปทุมวงศ์ ‘ทูลหม่อมชายใหญ่’ จึงคุมโขลนวังลำเลียงด้วยองค์เอง


“สิบเอ็ด อีกหีบหายไปไหน”


ยุพราชรูปร่างสูงใหญ่เฉกเช่นนักรบ ตรวจนับหีบห่อของกำนัล ขนงหนาแทบจะพาดเข้าหากันเมื่อพบว่าจำนวนกำปั่นที่วางรายเรียงไม่เท่ากับตอนขนขึ้นมาจากเรือ แววเนตรขุ่นขึ้งตวัดมองนางโขลนผู้ติดตาม หามีใครกล้าปริปากหรือสบสายพระเนตรราชบุตรพระองค์โตไม่ ทูลหม่อมชายใหญ่ท่านขึ้นชื่อว่าดุนัก หาไม่ ท่านจะเป็นพระยุพราชผู้สืบสันตติวงศ์และทรงรั้งตำแหน่งขุนต้นศึก องค์แม่ทัพ คุมรี้พลทวยหารได้อย่างไร


“อยู่นี่เพคะ”


พิชชา นางสองพระโอษฐ์คนใกล้ชิดแห่งเจ้าหญิงน้อยผู้กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ เดินนำเจ้าพนักงานโขลนสองนางที่ยกกำปั่นสีทองใบสุดท้ายเข้ามา หล่อนให้เหตุผลกับทูลกระหม่อมชายใหญ่


“กำปั่นพระภูษาและอาภรณ์ที่จะทรงในงานพิธี ต้องระมัดระวัง ขนย้ายไม่ให้เสียหายเพคะ”


โขลนสตรีรูปร่างสันทัดวางกำปั่นสีทองอร่ามสลักลายเถาเครือมาลีวัลย์เกี่ยวกระหวัดงามชดช้อยอย่างเบามือ ถนอมหีบโลหะนั้นราวเครื่องแก้วเจียระไนเปราะบาง แล้งจึงถอยร่นไปรวมกับโขลนวังที่เหลือ


พิชชาประสานมือเหนือหน้าตัก หลังมือขวาปิดทับมือซ้ายจนแทบมองไม่เห็นเรียวนิ้ว เธอยอบตัวลงถวายคำนับต่อองค์ราชบุตรด้วยกริยานบนอบ สำรวม สมเป็นกุลสตรีฝ่ายในแห่งราชสำนักตักโกลา นางสนองพระโอษฐ์ในพระธิดาพระองค์น้อยผู้นั้น หันไปดูแลเครื่องสุพรรณภาชน์ และจัดพระสุธารสถวายเจ้าหญิงที่กำลังผินดวงพักตร์เมินเครื่องกำนัลบรรณาการในงานพิธีวิวาห์แห่งตน


“ดาริน้อย”


รอยแย้มพระสรวลที่หาได้ยากยิ่งแห่งองค์ยุพราช คลี่บานเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นกนิษฐาน้องยาเธอ ผู้เปรียบดังแก้วตาดวงใจของภารดาทั้งสอง เมินผ้าผ่อนแพรพรรณที่เคยชมชอบเสียอย่างนั้น ด้วยพระชันษาที่ห่างกับน้องน้อยถึงสิบปี เจ้าชายวัยเบญจเพศจึงเอ็นดู ประคบประหงม ขนิษฐาพระองค์เดียวเป็นพิเศษ ฝ่าพระหัตถ์หนากร้านเพราะทรงศาสตราวุธอยู่เป็นนิตย์ ลูบเกศาดำขลับของน้องแล้วจึงรับสั่งด้วยสุรเสียงอ่อนโยน


“ดูน้องจะหมองฤทัยเหลือเกินกับทรัพย์ศฤงคารเหล่านี้”


“ดูท่านพี่จะปลื้มหทัยเหลือเกินกับสมบัตินอกกายพวกนี้”


“ใช่ พี่พอใจมากเทียว ของหมั้นสมพระเกียรติแก่กนิษฐาในพระยุพราชตักโกลา ปทุมวงศ์ให้เกียรติกันถึงเพียงนี้ เห็นดังนั้นจึงวางใจให้เขาดูแลน้องแทนพ่อและพี่”


ร่างระหงส์ยืดอังสาหยัดตรง พักตรานิ่งไม่แสดงออกซึ่งอารมณ์แลความรู้สึกใด หากแววพระเนตรสะท้อนแสงไฟจากตะเกียงน้ำมันและเทียนหอมที่จุดสว่างทั่วห้อง วูบหนึ่ง ฉาบประกายแกร่งกล้าแห่งความเด็ดเดี่ยว เจ้าหญิงน้อยสบพระพักตร์ เอื้อนพจีต่อเชษฐาพระองค์โต


“ท่านพี่วางฤทัยดังนั้น น้องเองก็จะวางใจในดำริของพี่และพระบิดา”


“ดีแล้วดาริ การวิวาห์จะยังประโยชน์ให้ตักโกลายิ่งแน่นแฟ้นกับปทุมวงศ์ นคราผู้ถือครองตรานักษัตรที่สิบเอ็ดแห่งเราจะสงบร่มเย็น ภายใต้เศวตฉัตรแห่งปาฎลีบุตร ที่มีน้องเคียงข้างเป็นนางพญาเมือง”


“น้องรู้ แท้จริงกำปั่นเหล่านี้ไม่ใช่ของหมั้น หากเป็นคำประกาศ สองนครจะเชื่อมโลก ผสานเส้นทางการค้าข้ามทะเลหลวง ให้ประจิมจรดบูรพา เปิดน่านน้ำวาณิชย์แห่งผืนแผ่นดินทอง เพื่อเป็นใหญ่ในสุวรรณทวีปและอาณาจักรท้องทะเล ท่านพี่โปรดประจักษ์แจ้งเถิด หน้าที่และมรรคานี้น้องจะเดินเพื่อเรา”


ฝ่ามืออุ่นของหริสสาชะงักอยู่ตรงปลายปอยผมดำเงา ดวงหน้าเปื้อนยิ้มของเจ้าชายผู้เฉลิมพระยศพระยุพราชอันตรธานไป คงไว้เพียงสีหน้านิ่งเรียบของผู้เป็นพี่ชาย สายตาคู่นั้นทอดมองน้องสาวด้วยประกายแห่งความอ่อนโยนลึกล้ำ หัตถ์กร้านดึงน้องเข้ามากอดแนบอุระผึงผาย


“เจ้าหญิงน้อยของพี่โตแล้วสินะ”


“ยุบอกว่าน้องยังไม่โต และห้ามออกเรือไม่ว่าจะกับใคร”


“ฮ่า ๆ” เจ้าชายพระองค์โตหลุดหัวเราะ “มยุหวงน้องเกินเหตุ หากเพราะรู้ว่าพิธีเสกครานี้มีความหมายมากกว่าการให้น้องออกเรือนเป็นฝั่งเป็นฝา เจ้าตัวดีจึงไม่แผลงฤทธิ์อย่างที่ทำกับเวทิตอย่างไรล่ะ”


“ยุทำอันใดกับเวทิต น้องไม่รู้เรื่องเลย”


“ถามเจ้าขุนทองเอาเถิด พูดได้มันคงบอกน้องเองแหละ เอ… ฤๅจะเหมือนนายมัน กระทั่งชื่อก็ยังไม่ยอมปริปากเรียก ขานแต่คำ ‘บุตรขุนคลัง’ อยู่นั่นเอง เห็นทีมยุคงไม่พอใจเอามาก ๆ เมื่อรู้ว่าเวทิตคิดเช่นไรกับน้อง”


“เวทิตเป็นเพียงเพื่อน”


“พี่รู้ แต่มยุคงไม่ยอมรับรู้ แลเวทิตอาจไม่คิดเช่นเดียวกับน้อง เถอะ เรื่องนี้ช่างเขา ส่วนเรามาตรวจดูกันดีกว่าว่าในหีบห่อเหล่านี้ คำมั่นของปทุมวงศ์จะหนักแน่นเพียงไหน”




************
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์) สรรคะ ๔ - บรรณ ๒ UP: ๑๗/กพ/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 17-02-2020 06:08:20
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๔ กระจกธารา

รจนา: ทัดจันทร์






กะหลี่…


ดอกกัญชาตัวเมีย นำมามวนทำยาสูบ รสอารมณ์ที่ลิ้มผ่านควันขาวจางของมัน ทำให้เคลิบเคลิ้มประหนึ่งโอบไล้เรือนร่างคอดเว้าของสิ่งที่คล้ายกับความสุข มากมายแห่งบุรุษที่ได้ลิ้มลอง คลึงเคล้าไปกับรสควันลอยคว้างยั่วเย้านั้น เป็นอันต้องศิโรราบให้แก่ความคึกคะนองร้อนเร่าเสียทุกราย


มนุษย์เพศผู้มากล้น เสพติดรสราคของดอกกะหลี่ตัวเมีย จนโงหัวไม่ขึ้น


“นายท่านจะรับสุรายาสูบเพิ่มฤๅไม่เจ้าคะ”


“ตอนนี้ข้าอยากดื่ม…และ…สูบ… ความสวยความสาวของเจ้ามากกว่าเหล้ายาเหล่านี้เสียเต็มประดา”


เสียงกระซิบข้างใบหูของบุรุษผู้นั้นแหบพร่า มันเป็นสัทท์สำเนียงของความหิวกระหาย ปานพยัคฆ์ครวญครางโหยหาลำคออันโอชะของกวางทองขนตางอน ชายผู้นั้นไล้ลูบเรียวนิ้วไปบนจอกสุรา แช่มช้า สายตาอ้อยอิ่งมองสำรวจนางคณิกาตรงหน้าอย่างละเมียดละไม


เพลิงปรารถนาลุกโชนอยู่ในแววตาคู่นั้น


เจ้าหล่อนเป็นหญิงงามเมืองที่แขกเหรื่อเรียกหามากที่สุดในหอคณิกาแห่งนี้ แม้ผ่านจำนวนชายมามากจนเลิกนับ กริยาเอียงอาย ชะม้ายหางตาหลบ ไม่กล้าสบมองโดยตรงเช่นนั้น แทบทำให้เชื่อเสียสนิทว่าสตรีตรงหน้าเลอค่า ไร้ราคีคาว จนบุรุษเผลอกระหยิ่มในใจ ครานี้ข้าจะชำเราดอกฟ้าให้หล่นมาเปื้อนดิน!


“เช่นนั้นเชิญทางนี้เจ้าค่ะ”


บุรุษผู้มีรอยคมศาสตรากรีดบากหางคิ้วซ้าย กระดกน้ำเมาพรวดเดียว รับรู้ได้ถึงฤทธิ์สุรารุนแรงที่ผ่านการบ่มกลั่นมาอย่างพิถีพิถันจนได้เมรัยร้อนรสราวไฟประลัยวาต ร่างบึกบึนหนาหนั่นของนักเดินทางต่างถิ่นลุกขึ้นเต็มความสูง หมายเดินตามนางคณิกาเลื่องชื่อ หากมิวายหันกลับมายังผู้นั่งร่วมโต๊ะ


เด็กหนุ่มวัยกำดัดพ่นควันผ่านริมฝีปากสีสดอย่างใจเย็น


“มาเถอะ” เสียงแหบกระหายนั้นเชิญชวน


สองชายหนึ่งสตรีในหอคณิกาเมืองท่า นอกจากพวกเขาสามคน คงไม่มีชีวิตใดจะล่วงรู้ได้ว่าภายในห้องรโหฐาน เร้นซ่อนจากสายตาแห่งนั้น รุ่มร้อน แรงเร่า เพียงใด



************


หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์) สรรคะ ๔ - บรรณ ๓ UP: ๑๘/กพ/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 18-02-2020 05:18:50
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๔ กระจกธารา

รจนา: ทัดจันทร์






น้ำค้างหยดแรกหยาดโปรยต้อนรับรัตติกาล


ณ ปลายฟ้าฝั่งปรัศจิมทิศ แสงแดงเรื่อแกมส้มคล้ายผลตำลึงสุกของพระอาทิตย์แทบเลือนลับ จมหายไปในห้วงสมุทรทะเลหลวง ตะวันริบหรี่เต็มทน คล้ายมือที่เกาะรั้งขอบโลกไว้อ่อนล้า จวนสิ้นแรง


“สุธารสมาลีกุพชกะเพคะ ชาวอารยันดื่มเป็นยา แก้ปวด แก้เลือดลม”


พิชชารินน้ำดอกไม้กลิ่นหอมใส่จอกทองคำเกลี้ยง กรุ่นมาลีโชยชายจนผู้ที่ชื่นชอบเครื่องหอมจำต้องยกขึ้นมาจิบ รอยแย้มน้อยนิดริมพระโอษฐ์บางบ่งบอกถึงความพอใจ เจ้าหญิงน้อยเพลิดเพลินกับน้ำดอกไม้จากต่างแดน ไม่ทันสดับถ้อยพระมารดาที่เข้ามาช่วยตรวจตราของกำนัลหมายหมั้นจากเจ้าชายเมืองไกล


“ว่าอย่างไรดาริ”


“เพคะ?”


“แม่ว่าลองสวมพัตรา ถนิมพิมพาภรณ์เหล่านี้เสียหน่อย วันพิธีจะได้หยิบจับแต่งตัวถูก”


“ดาริน้อยลองเถอะ พี่อยากเห็น” หริสสาเห็นด้วยกับน้ำคำมารดา


เจ้าหญิงน้อยจึงต้องวางจอกเปล่า แล้วเสด็จหลังบังตาไม้จันทน์หอมประดับมุก เหล่านางข้าหลวงยกกำปั่นโลหะสีทองดุนลายเถาบุปผาเกี่ยวกระหวัดใบงามตามไป


ภายใต้แสงจากตะเกียงน้ำมันและเทียนหอมปักในเชิงทองเหลืองลายวิจิตร ที่จุดจนสว่างเรืองทั่วห้องบรรทม เส้นทองคำบริเวณท้องผ้ายกดอกลายเกร็ดพิมเสน เห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดขนาดเล็ก คล้ายผลึกเพชรเจียระไน สะท้อนกับแสงไฟทันทีที่เปิดกำปั่นออก ลวดลายกรวยเชิงละเอียดอ่อนช้อยบนริมผ้า ทอสลับสีพื้นด้วยมัดหมี่สีแดงสดและสีปีกแมลงทับ อวดความละเมียดละไมในฝีมือปราณีตของช่างทอประจำราชสำนัก ลายกรวยเชิงทองคำทอซ้อนหลายชั้นปรากฏบนผืนผ้ายก บ่งบอกถึงศักติและพระยศฐานันดรอันสูงส่งของผู้ที่จะทรงภูษางามผืนนี้


ปทุมวงศ์ยกย่องและให้เกียรติเจ้าหญิงตักโกลาจริงดังคำเชษฐาว่า


กลิ่นหอมประหลาดจำจายคลุ้งเมื่อเหล่านางกำนัลในคลี่พระภูษาทับทาบวงองค์แน่งน้อย หากไม่มีใครใส่ใจกลิ่นหอมฉุนนั้นยามได้ยลความวิจิตรตระการแห่งพัตราภรณ์เต็มผืน อีกเครื่องพิมพาภรณ์ทองคำลงยาฝังเพชรซีกและอัญมณีหลากสี ล้วนส่องประกายน้ำหนึ่ง วิบวับล้อแสงไฟ เข้าชุดกับภูษายกเส้นทองคำ


อีกด้านของบังตาประดับมุก ปฤษฎางค์ใหญ่กว้าง อุดมไปด้วยกล้ามพระมังสาขององค์ยุพราชผู้ทรงสังวาลย์นิลกาฬ หยัดตรง ประทับนิ่งอยู่ริมบานพระบัญชร เจ้าชายหริสสาทอดพระเนตรแสงริบหรี่ของหมู่ดาวบนนภา ประกายดาวแดงกระพริบบนเวหาสีเทาจัดแห่งกาลเปลี่ยนผ่านระหว่างทิวาและราตรี คล้ายแสงทับทิมวาววับดึงดูดสายตาจากห้วงอวกาศไกลลิบ ตรึงให้แม่ทัพหนุ่มจมในภวังค์


หากเลือกได้ ผู้เป็นพี่อยากให้น้องน้อยอยู่เคียงกาย รอให้โตกว่านี้อีกหน่อยค่อยหาคู่ครองที่เหมาสมให้ด้วยตัวเอง ทว่าวิถีแห่งชีวิตมนุษย์ไม่เป็นดังหวังทุกประการเสมอไป คู่ครองที่เหมาะสมเข้ามาในวันและเวลาที่ไม่ทันตั้งตัว แม้รู้สึกใจหาย แต่ก็ยินดีพอกัน


“ดาริคงสวยเหมือนดาราแดงกลางกลุ่มดาวพิจิกบนฟ้า”


“อย่าสวยนักเลย แม่สงสารขุนทอง มยุคงใช้ให้ไปจิกไล่ใครต่อใครจนเหนื่อย”


“นั่นสิท่านแม่ เอ… แล้วเจ้าตัวดีไปไหน”


“องค์ชายมยุเสด็จนำขบวนเรือพระไปประดิษฐานยังพระอารามหลวงเพคะ”


พิชชาที่อยู่ใกล้เจ้านางเมืองทูลต่อองค์ยุพราช ขณะเก็บเครื่องพระสุพรรณภาชน์และกุณโฑสุธารสกุพชกะมาลี


“จริงสินะ พรุ่งก็วันมหาปวรณาแล้วนี่”


“เพคะ”


พิชชาก้มกราบเจ้านายทั้งสอง แล้วจึงถอยร่นออกมาพร้อมเครื่องภาชนะทองคำและน้ำกลีบมาลีสีสวย ร่างระหงส์ของนางสนองพระโอษฐ์ผู้ดูแลใกล้ชิดเจ้าหญิงน้อย ก้าวผ่านบานพระทวารลงรักปิกทองสลักเสลา วูบหนึ่งในประกายแสงจากไฟตะเกียงน้ำมัน ศิลากลมเกลี้ยงสีเลือดวิหกบนเรือนแหวนเนื้อเงินบริสุทธิ์สวมติดนิ้วชี้ข้างซ้าย กระทบแสงสว่างเรืองในพระตำหนัก สาดแววระยับ พอกับนัยน์ตาระริกคู่นั้น


ใครเล่าจะล่วงรู้ หัวแหวนสีโลหิตแดงฉานนั้นมีสลักเปิดออกได้ ข้างในบรรจุผงยาบดละเอียด ไร้สีไร้กลิ่นยามสัมผัสกับน้ำ


รัศมีดาวแดง ฤๅจะร้อนสู้ประกายจรัสจ้าจากศิลาหัวแหวนสีโลหิตชาดฉาน



************
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์) สรรคะ ๔ - บรรณ ๔ UP: ๑๙/กพ/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 19-02-2020 14:23:36
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๔ กระจกธารา


รจนา: ทัดจันทร์





   นามของเขาคือศิขรินทร์ ช่างไม่เข้ากับตัวเอาเสียเลย พนมพนัศลูกไหนจะใช้ชีวิตรอนแรมเผชิญโชคอยู่กลางทะเลเช่นบุรุษตรงหน้าผู้นี้ อาจเป็นเพียงนามปลอมที่กล่าวขึ้นลอย ๆ เพราะต่างพบเจอกันในโรงสุรา คุยถูกคอ ฝ่ายนักเดินทางต่างถิ่นจึงชวนมาทำความรู้จักกันต่อในหอนางโลม นามจริงฤๅไม่ เด็กหนุ่มไม่สน ความหฤหรรศ์ตรงหน้าต่างหากคือของจริง เพียงคิดว่าจะได้ลิ้มลองเพศรสครั้งแรกในรอบสิบเจ็ดปีแห่งชีวิตวัยหนุ่ม แค่คำ ‘ครั้งแรก’ ก็ปลุกเพลิงอารมณ์ ให้ใจโลดโผนกระโจนเร่าอยู่กลางอก



   เปลวเทียนในห้องสลัวราง หากสว่างพอให้เห็นเรือนร่างสูงใหญ่มัดกล้ามอุดมของนักผจญโชคจากต่างแดน เรือนผมดำปลายหยักงอนกรอบให้โครงหน้าเข้มคมของศิขรินทร์เด่นชัด รอยแผลเป็นเหนือหางคิ้วซ้ายเลิกขึ้นอย่างพึงใจ เมื่อแพรพรรณที่เคยห่อหุ้มปกปิดเรือนกายคอดเว้าและเนินเนื้อตูมเต่งแห่งวัยสาวของนางคณิกาฦๅนาม ปราศนาการไปสิ้นด้วยเรียวนิ้วของเด็กหนุ่มคะนองรัก



   ไม่แน่ใจว่ากลิ่นกระแจะจันทน์ที่เจ้าหล่อนชะโลมลูบสรรพางค์ หรือกรุ่นกำยานชนิดพิเศษบดจากตัวยาเพิ่มความกำดัด ซ่านซาบกำจายไปทุกอณูอากาศ ปลุกเร้าเพลิงราคะของบุรุษเพศให้ลุกโชนร้อนรุ่มอยู่ระหว่างมัดกล้ามขาทั้งสอง



   สองแขนเรียวของเจ้าหล่อนคลี่สยายปอยผม สางแล้วรวบมวยขึ้นสูง เผยผิวเรียบลื่นยวนเย้าบนลำคอระหงส์ ศิขรินทร์ซุกไซร้โตรกซอกนั้น ขบเม้มไปบนเส้นคอดโค้งของเรียวคอและลาดไหล่ ขณะเด็กหนุ่มดอมดมกลิ่นเนื้อสาวข้างกกหู ฝ่ามือร้อนผ่าวพอกับเพลิงปรารถนาที่ผลาญเผาอยู่ในเรือนกาย บีบสัมผัสเคล้นคลึงเต้าปทุมถันที่เคยหลบเร้นภายใต้ผ้าแพรจีนผืนบาง ความยืดหยุ่น นวลนิ่ม และเต่งตึงของนวลเนื้อสาวสัมผัสกับไอร้อนจากฝ่ามือที่บีบเน้นไปมาโดยไร้แพรพรรณคั่นขวาง



   ผิวเนื้อแนบนวลเนื้อ



   ทั้งสามคายความร้อนรุ่มใส่กันอย่างไม่ลดละ ยิ่งโลมไล้ ยิ่งกระตุ้นความกระหายอยากในเพศรสของกันและกัน


   หลังจากเด็กหนุ่มเคล้าคลึง ดอมดม จนหนำใจแล้ว นาทีนั้นริมฝีปากสีสดแห่งวัยกำดัดก็หันมาทำความรู้จักกับยอดปทุมถันกลีบสีชมพูที่ขมวดแข็งเป็นไต ตื่นพร้อมสำหรับความชุ่มชื้นและร้อนร่าของเรียวลิ้นซุกซนแห่งดรุณผู้ร้อนรัก นางคณิกาส่งเสียงครางเครือในลำคอ บ่งถึงความสุขสมและเปลวอารมณ์ที่กำลังระอุเริงโรจน์ เสียงจาบจ้วงจากเรียวลิ้นของดรุณหล่อเหลาคลอเคล้าไปกับเสียงระงมสุขซ่านของเจ้าหล่อน ไร้ซึ่งความเหนียมอายขวยเขิน



   ศิขรินทร์คล้ายพยัคฆาขย้ำเนื้อทรายอันโอชะ บุรุษจูบเม้มไปทั่วลำคอ ใบหู พร่างพรมกริยาแห่งตัณหาราคะลงบนเรือนร่างเปลือยเปล่าของสตรีผู้เป็นนางโลมเลื่องชื่อ ท่วงท่านั้นดุดัน หื่นกระหาย หากเร่าร้อนปานเพลิงสุริยัน



   สองบุรุษยืนขนาบเบียดเสียดกัน โดยมีเพียงเรือนร่างแบบบางของโฉมงามคั่นกลาง ระหว่างผิวกายรุ่มร้อนของคนทั้งสาม ไร้ปราการสกัดกั้นซึ่งเพลิงอารมณ์ แม้แต่ผ้าผ่อนภูษาก็ปราศนาการออกจากกาย ราวโดนไฟราคะแผดเผาจนสลายเป็นจุณ หลุดลุ่ยไปจากสรรพางค์เสี้ยวนาทีใดสุดจะรู้ สองชายระลึกได้ถึงความเปลือยเปล่าของตนยามเจ้าหล่อนสัมผัสความแข็งขืนตื่นตัวของพวกเขา มือนิ่มสองข้างกอบกุมชายทั้งสองเอาไว้ในเวลาเดียวกัน



   เหล็กกล้า… ต้องตีตอนร้อน


   หล่อนรู้… เปลวปรารถนาแห่งมนุษย์ จุดให้เริงแรงถึงขีดสุด ตอนร้อนรุ่มเช่นกัน


   นางคณิกาคุกเข่าลงระหว่างก้อนความร้อนเร่าทั้งสอง ฝ่ามือของหล่อนกอบกุมความเป็นชายไว้ราวสมบัติเลอค่า ฝ่ามือนั้นเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่ายั่วเย้า เคล้นคลึง ปรนนิบัติ เอาอกเอาใจในทุกสัมผัสที่ผิวเนื้อไล้ผ่าน เด็กหนุ่มเริ่มส่งเสียงแหบห้าวในลำคอ ทำนองปรีเปรมสมใจ ศิขรินทร์เลิกคิ้ว มองด้วยรอยยิ้ม


   เสียงนั้นปานน้ำมันราดลงบนกองเพลิง



   แม้นแสงจากปลายเทียนในห้องจะสลัวราง กระนั้นพวงแก้มเนียนเรียบของดรุณหนุ่มก็ยังแดงระเรื่อจนมองเห็น นัยน์ตาของศิขรินทร์สะท้อนประกายไฟ คล้ายนิลกาฬล้อแสงสูรย์วาบวาว



   มวนยาสูบถูกจุด นักผจญโชคจรดมันกับริมฝีปากได้รูป เขาสูดควันเข้าปอดอย่างใจเย็น สายตาไม่ละไปจากดวงหน้าของเด็กหนุ่ม ควันสีขาวพ่นออกมาสัมผัสกับกายเปลือยของวัยแตกพาน ยามควันขาวลอยจางและผ้าม่านผืนบางบนเตียงสี่เสาทรงจีนสะบัดพริ้วไหว นัยน์ตาเฉดราตรีลึกลับของทั้งสองสบต้องกัน ศิขรินทร์ยื่นมวนยาสูบให้เด็กหนุ่ม ดรุณน้อยจรดริมฝีปากสีสดลงบนมวนยา พ่นให้ควันขาวโลมไล้กล้ามอกและลอนหน้าท้องของชายต่างแดนรูปงาม



   นัยน์ตาทั้งคู่ไม่ละออกจากกันแม้แต่เสี้ยวนาที



   รอยเหยียดยิ้มแฝงความนัยปรากฏขึ้นบนมุมปากของบุรุษทั้งสอง คงมีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ถ่องแท้ ถึงเสียงกระซิบจากก้นบึ้งห้วงสมุทรลึกแห่งน้ำเนื้อน้ำใจของจิตวิญญาณทั้งสองที่สื่อถึงกัน



   “อื้ม…”



   เรียวลิ้นและริมฝีปากอุ่นร้อนของนางคณิกาครอบครองก้อนมังสาที่แข็งขืน ปลุกเปลวอัคคีแห่งความอยากกระหายให้ลุกโชน โหมกระหน่ำ ด้วยความชุ่มชื้นและสัมผัสบีบเค้นที่ริมฝีปากลากไล้ผ่านแก่นกลางกาย พวงแก้มนั้นยิ่งสุกปลั่งแดงระเรื่อยามต้องสัมผัสอันเปียกชื้น ทว่ารุนแรงรุ่มเร้า



   ศิขรินทร์เอื้อมมือเกลี่ยปลายนิ้วลูบแก้มเนียนเย้ายวนสายตาอย่างเผลอไผล



   ทันใดนั้น… เส้นแห่งความอดทนขาดผึง



   มือหนาคว้าคอของดรุณรุ่น กระชากเข้ามาชิดกาย พลันชายนักเผชิญโชคแนบริมฝีปากและเรียวลิ้นจรดปากอิ่มของอีกฝ่าย จุมพิตครั้งแรกในชีวิตวัยหนุ่ม เร่าร้อน โหมแรง เยี่ยงมรสุมพายุกลางเกลียวสมุทรคลั่ง กระแสอารมณ์ถาโถมรุนแรง ระลอกแล้วระลอกเล่า ก็มิสามารถคลายความร้อนรุ่มลงแม้แต่องคุลี




************
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์) สรรคะ ๔ - บรรณ ๕ UP: ๒๐/กพ/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 20-02-2020 07:37:17
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๔ กระจกธารา



รจนา: ทัดจันทร์





ขบวนเรือพายลัดเข้าสู่ชลมารคท้ายวัง ทหารยืนยามบนป้อมเหนือปราการกำแพงส่งสัญญานด้วยคบไฟให้กำลังพลด้านล่างที่อยู่เวรใกล้กับประตูน้ำ เปิดทางนทีเข้าออกระหว่างเขตพระราชฐานกับสายน้ำด้านนอก ทวารเหล็กกล้าหนาหนัก เชื่อมตีเป็นซี่ตะแกรงเพื่อให้กระแสชลชำแรกไหลผ่าน สูงตระหง่านตั้งแต่ขอบพระกำแพงด้านบนจรดพื้นธรณีก้นสระเบื้องบาดาล ประตูเหล็กอย่างหนาที่สามารถต้านกระแสเชี่ยวกรากในฤดูมรสุม ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นเหนือผืนชลธารด้วยการชักรอกจากนายทหารทวารบารผู้พิทักษ์ทางเข้าออกชลทีจากด้านในเขตพระกำแพง


ปลาตัวน้อยกระดิกดิ้นเป็นเฮือกสุดท้าย โลหิตแดงชะโลมสังเวยอาบบานทวารเหล็กที่หาได้เรียบเฉกผิวโลหะทั่วไปไม่ ทุกพื้นที่เหนือผิวโลหะแกร่งตีเป็นคมหนามแหลมยาว ภาพหนามเหล็กเสียบทะลุท้องปลาจึงเป็นภาพที่เห็นจนชินตายามเปิดชลมารคท้ายวัง


หามีชีวิตใดสามารถลอบปีนป่าย ว่ายผ่าน บานพระทวารหนามคมนี้ไปได้


เรือพายลำน้อยล่องผ่านคมหนามเหล็กแหลมที่ชักรอกขึ้นเบื้องบน ใบพายจ้วงแหวกผิวน้ำเรียบนิ่งดุจกระจก เกิดระลอกริ้ว มยุขมวดขนง อังสาผึงผายเหยียดเกร็ง นับแต่ทรงล่องเรือกลับจากพระอารามหลวง เจ้าชายผู้ซุกซนแจ่มใสอยู่เป็นนิตย์ ไร้ถ้อยวัจนาพาทีกับผู้ใดมาพักใหญ่แล้ว สายพระเนตรไร้แววสราญสนานเฉกปกติวิสัย นิลเนตรลึกล้ำยิ่งมหาสมุทรยามราตรีเอาแต่ทอดมองผิวน้ำ งันเงียบอยู่อย่างนั้น
ชลธารนิ่งเรียบดุจกระจก!


อุระเจ้าชายหนุ่มชาวาบ หฤทัยหล่นวูบลงทันใด


“เร่งฝีพาย!”


มยุแทบนั่งไม่ติดที่ กลางทรวงร้อนเร่าราวถูกเพลิงเผา หากทหารหนุ่มและนายช่างผู้ตามเสด็จต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความสงสัย ทูลกระหม่อมรองท่านทรงกริ้วด้วยเหตุอันใด


“เร่งพาย ก่อนข้าจะกุดหัวพวกเจ้าทุกคน!”


สิ้นสุรเสียงกังวาลปานฟ้าพิโรธ น้ำคำเดือดดาลพาลให้ผู้ที่สดับรับถ้อยพจีเสียวต้นคอ ขนลุกกรูกราว ด้วยองค์ชายรองไม่เคยตรัสเล่นยามโมโห ทหารกล้าและช่างหนุ่มต่างจ้วงไม้พาย จนเรือลำน้อยแล่นฉิว จอดเทียบตีนท่าโดยพลัน


มยุพลุดลุกจนเรือคลอน ดรุณทรงโฉมปัดปลายภูษาสีปีกแมงทับอย่างร้อนหทัย หยาดเสโทผุดพรายเหนือนลาฏยามอุระหนักอึ้งไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงเหลือคณา ตลอดรายทางที่ล่องเรือกลับ มยุรู้สึกสังหรใจพิกล คล้ายว่าโลกพลันหม่นลงทันใด ความเศร้าระทมอาดูรกดทับไปทั่วบรรยากาศ เจ้าชายกอดอุระมองผืนน้ำ รู้สึกใจหายวูบโหวงอย่างประหลาด ปัสสาสะติดขัดราวฤทัยจะขาดอยู่รอน ๆ


วินาทีที่เรือลอดผ่านประตูหนามเหล็กกั้นนทีท้ายวัง มยุรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ บรรยากาศหลังพระกำแพงเงียบนิ่ง วังเวงราวทุกสรรพสิ่งชะงักหยุดเคลื่อนไหว ไร้สำเนียงเสียงร้องที่เคยเซ็งแซ่ของสกุนาโผกลับรวงรัง แม้แต่วายุยังนิ่งงันไม่พายพัดจนผิวน้ำใสเรียบเป็นกระจก อณูอากาศเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ บรรยากาศรายรอบพระราชวังไร้ความเคลื่อนไหว งันเงียบ ชาวาบ เหมือนความตาย


สัญชาตญาณกรีดร้อง จนใจแห้งหายโหยหา


ฝ่าพระบาทขององค์ชายที่สาวยาว ๆ ไปบนบาทวิถีปูด้วยศิลาทรงจตุรัสแผ่นใหญ่ พลันวิ่งยามทรงดำริกับองค์เองได้ว่า หากมัวเดินคงช้าไป


ดาริ… คอยก่อน คอยพี่ประเดี๋ยว




******ธรฺมรฏฺฐคีตา******
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ๕ UP: ๒๕/กพ/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 25-02-2020 13:18:27
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๕ ดาริกา

รจนา: ทัดจันทร์


เปลวปลายเทียนสว่างนิ่งไม่วูบไหว



สภาวการณ์หลังบังตาไม้จันทน์หอมประดับมุกดำเนินไปภายใต้ความเงียบสงัด



นางสนองพระโอษฐ์ช่วยกันจับจีบพระภูษาทอลายเกล็ดพิมเสน จนเรียบร้อยระเบียบงาม ผ้ายกเส้นทองคำสะท้อนแสงจากเชิงเทียนแข่งกับวลัยทองกร เครื่องพิมพาภรณ์ประดับอัญมณี ธำมรงค์วงสุดท้ายทรงสวมติดอนามิกาซ้ายเป็นไพลินเม็ดโตสีเข้มจัด ล้อมด้วยเพชรน้ำหนึ่งสีชมพูอ่อนหวาน อัญมณีประดับเรือนกายเรืองรัศมีพอกับสตรีในชุดวิวาห์สีโกเมนแซมทอง



นารีงามสง่า นิ่งงันอยู่หน้ากระจกบานยาว



กรอบคันฉ่องฉลุรูปหงส์เหิน กรีดปีกงามสยายโบยบิน ขอบมุมทั้งสี่มีลวดลายบุบผาชูช่อ แย้มกลีบบานล่อภุมริน กระจกบานนั้นเป็นแผ่นโลหะสำริดบริสุทธิ์ ขัดจนมันเรียบส่องสะท้อน เงาของสตรีทรงศักติทรงโฉมในบานกระจก จ้องกลับมายังเจ้าหญิงด้วยด้วยนัยน์ตาโศก



เธอผู้นั้นผิดแผกไปจากเงาที่เจ้าหญิงส่องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เกศาดำรวบมวยสูงด้วยรัดเกล้า ศิราภรณ์ทองคำฝังทับทิมเลอค่า ปล่อยชายผมเส้นละเอียดราวด้ายไหมสีราตรีระบั้นพระองค์แน่งน้อย เผยดวงพักตร์ผุดผาดอ่อนเยาว์ เวลานี้ปรางนวลเนียนและเรียวโอษฐ์บางกระจับแต้มแต่งด้วยสีกุหลาบเรื่อ พระฉวีงามยิ่งละออนวลด้วยแป้งหอมเนื้อละเอียด พิศมองอย่างไร เงายุวนารีที่ฉายสะท้อนในเนื้อสำริดพิสุทธิ์ก็แตกต่างกับเจ้าหญิงผู้เก็บตัว ขี้โรค เธอดูสาวสะพรั่ง งามราวภาพเขียนอันรังสรรค์โดยจิตรกรยอดฝีมือ ทว่าในความแตกต่าง แววตาเหงา เศร้าโศก คู่นั้น เหมือนกันมิมีเพี้ยนผิด



วายุนิ่งงันมิพายพัด หากละไอเย็นจับขั้วหัวใจกำจายไปทั่วทุกอณูอากาศ



ความเยียบเย็นนั้น หนาวเหน็บ เฉกความเหงาเหนือคณานับ



‘ฮื่อ ๆ’ เจ้าหญิงน้อยชันษาห้าขวบ เคยปาดอัสสุชลเดียวดาย



‘ดาริร้องไห้ไย ใครทำอันใด บอกพี่’ เชษฐาผู้เจริญชันษามากกว่าเพียงสองปีดำเนินผ่านมา



‘ยุ ยามใดน้องจะหาย ป่วยแล้วไม่มีใครเล่นด้วยสักคน’



‘ไม่ต้องรอหาย พรุ่งพี่จะมาเล่นด้วย จะมาทุกวัน’



ตาโตเปื้อนหยาดน้ำใส ช้อนมองเชษฐาด้วยประกายแห่งความหวัง



‘สัญญานะ’



‘สัญญาสิ’



หัตถ์อุ่นของภารดาวางแหมะลงบนเกศานุ่มของกนิษฐา จนสายอัสสุธาราแห้งเหือดไปจากนัยน์เนตรกลมสุกใส




ยามทรงพระครรภ์พระประสูติกาลที่สาม เจ้านางเมืองแห่งนครตักโกลาทรงแพ้ท้องอย่างหนัก เป็นที่กลัดกลุ้มหทัยของเจ้าพญาเมืองยิ่งนัก เสวยได้แต่เพียงผลไม้บางชนิด หาไม่จะทรงอาเจียนออกจนหมด ยามประสูติกาล ธิดาน้อยก็คลอดออกมาก่อนอายุครรภ์พระมารดาจะครบเก้าเดือน ทารกหญิงตัวบาง เล็กเท่าฝ่ามือ ส่งเสียงร้องแผ่วเบา ยังดีที่ตั้งแต่นั้นมาสุรเสียงร่ำไห้ของเจ้าหญิงน้อย ค่อย ๆ กังวาลขึ้นทีละน้อย แม้พลานมัยจะไม่แข็งแรงเช่นเด็กคนอื่น หากเจ้าหญิงน้อยจะทรงพระชนมายุ เป็นยาใจแก่บิดรมารดาและภารดาทั้งสอง



‘นี่แหละดาริ เจ้าขุนทองล่ะ’ เจ้าชายมยุอวดลูกนกในกรง



‘สงสารจัง ปีกมันหัก’



‘พี่เก็บได้ตอนตามพี่ใหญ่ไปล่าสัตว์ จะหัดให้มันพูด เวลาพี่เรียนอักษรหรือฝึกดาบ ดาริจะได้มีเพื่อนคุย’



เพราะตระหนักรู้อยู่เต็มทรวงว่าพระมารดาทรงรักและห่วงใยมากเพียงใด เจ้าหญิงน้อยจึงไม่เคยขัดพระราชเสาวนีย์เลยแม้แต่ครั้ง ยุวนารีเก็บตัวอยู่แต่ในตำหนัก เฝ้ามองโลกภายนอกผ่านหน้าต่างอย่างเดียวดาย แม้กาลเวลาจะผันผ่านไปเช่นไร ทุกคราคราวที่อากาศเปลี่ยนฤดู เจ้าหญิงน้อยก็มักเจ็บป่วยดังเดิม ห้องบรรทมจึงเป็นโลกทั้งใบของเธอ โลกเงียบเหงา ที่มีเพียงพี่ชายเข้ามาเป็นเสียงหัวเราะ



‘ฮ่า ๆ เจ้าขุนทองกลายเป็นเจ้าอินทรีย์ซะอย่างนั้น’ มยุแย้มสรวลเสียงดัง



‘พี่ใหญ่บอกแล้ว ยุก็ไม่เชื่อ แล้วต่อไปจะเลี้ยงพญาอินทรีย์อย่างไร มันพูดไม่ได้นะยุ’



‘เก๊าะจะเลี้ยงไว้ล่าสัตว์ ราชทูตที่พระบิดาเคยส่งร่วมปทุมวงศ์เข้าถวายบรรณาการแด่พระเจ้ากรุงจีนเล่าว่า ดินแดนแถบเหนือแผ่นดินซ้อง มีชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงอินทรีย์ทองไว้ล่าเหยื่อ พี่จะฝึกเจ้าขุนทองให้เป็นนักล่าที่เก่งกาจ เป็นองค์รักษ์ที่น่ากลัวเหนือใคร’



‘แคว๊ก’ ลูกนกอินทรีย์ตัวน้อยในกรง ขานรับไม่มีปี่มีขลุ่ย มันงับจงอยปากงุ้มและตวัดดวงตาคมดุดัน จ้องมาทางเจ้าชายเยาว์วัยผู้มีเกศายาวสลวย ทำเอามยุสะดุ้ง ตกใจ



‘หึ ๆ ยุตลก ยังไม่ทันฝึกกลัวซะแล้วหรือ’



‘ใครกลัว ไม่มี๊’




แสงสุดท้ายแห่งสนธยากำลังเลือนหายไปจากขอบฟ้าทิศตะวันตก พระสุริยาทิตย์กระซิบคำอำลาพยางค์สุดท้ายแด่นวลจันทรา ถ้อยดำรัสจากลาคำนั้น อ่อนหวานปานอาบน้ำผึ้งป่า หากขมขื่นดังเคี้ยวกลืนบรเพชรไปพร้อมกัน



หรีดหริ่งเรไรสงบสำเนียง ยามสุริยันจูบลาจันทิมา



ฟ้ากว้างโอบอุ้มความเศร้าโศกอาดูรไว้เต็มอ้อมอก



ไฉนวังหลวงเงียบงันเช่นนี้ เจ้านางเมืองดำริกับองค์เอง พลางลูบฝ่าพระหัตถ์กับพาหาไล่ความหนาว อากาศยะเยือกผิดปกติ บรรยากาศก็ชักวังเวงพิกล ใจคอไม่ดีเอาเสียเลย… ฤๅจะเป็นลางร้าย! ความพะวงกังวลในหทัยทำเอาขนงเนตรหมวดมุ่น ความหวาดหวั่นเข้าครอบงำอ้อมอุระ ทว่าอารมณ์หวาดวิตกกลับถูกหักทิ้งลงง่ายดายเหมือนหักก้านสายบัวอ่อน เปราะบาง ไม่มีอันใดหรอกน่า คิดไปเองทั้งนั้น ฤดูมรสุมอากาศย่อมเยียบเย็นเป็นธรรมดา หากเมื่อตัดสายบัวย่อมเหลือยวงใย  ความวิตกกลางกมลฤทัยของเจ้านางเมืองก็เช่นกัน แต่… ลมสงบไม่พายพัดมาพักใหญ่แล้วนะ อากาศยังเย็นอยู่ไย อังสาเจ้านางเมืองสั่นสะท้านยะเยือกย้าว



ความเหน็บหนาวเอื้อมหัตถาทะลวงไปถึงจิตใจ บดบีบอยู่อย่างนั้นไม่คลาคลาย



“งามมากดาริ”



หริสสาพิศมองขัตติยนารีในชุดวิวาห์สีแดงแก่ก่ำ เสด็จดำเนินนำขบวนนางข้าหลวงออกมาจากบังตาไม้จันทน์ เมื่อรับรู้ว่ารอยแย้มพระโอษฐ์และสายตาส่อแววชื่นชมแห่งองค์ยุพราช จับจ้องมาทางตน นวลปรางของเจ้าหญิงน้อยพลันระเรื่อ สุกปลั่ง ภารดายิ่งคลี่ยิ้มกว้างยามได้ยลความขวยเขินของนาฏอนงค์ตัวน้อย



“พี่ชักจะเข้าใจมยุขึ้นมาบ้างแล้ว มีกนิษฐางามออกปานนี้ จะไม่ให้หวงได้อย่างไร”



“หริสสาอย่าล้อน้อง”



“ท่านแม่ ลูกไม่ได้ล้อ ดาริสวยมากจริง ๆ ดูสิ ยิ่งอายก็ยิ่งน่ามอง รับรองคู่หมั้นเห็นต้องตะลึงตาค้าง”



ครั้นเห็นธิดาน้อยเอียงอายด้วยน้ำคำเชษฐา พระมารดาที่ทรงลอบกลั้นพระสรวลก็ช่วยแก้สถาณการณ์



“อย่าไปฟังพี่เขาเลยลูก ไหนมาให้แม่ดูหน่อยซิ ผ้านุ่งผ้าห่มจับจีบดีแล้วหรืออย่างไร”



“เพคะ”



เจ้าหญิงน้อยไม่กล้าสบนัยน์เนตรระริกหยอกล้อของทูลกระหม่อมชายใหญ่ เอาแต่ก้มหน้ามองพรมของสัตว์จากแดนอาหรับผืนโต ถักทอลายมวลมาลีผลิกลีบเบ่งบาน ปูลาดพื้นไม้สักทองแผ่นหนากว้าง ขัดด้วยไขผึ้งมันวับ ทว่ายังไม่ทันจะย่างพระบาทเสด็จยังพระแท่นที่พระมารดาทรงประทับ เสียงดังโครมใหญ่ของสิ่งที่มีมวลหนาหนักฟาดกระแทกพื้นกระดาน ทลายความวังเวงเงียบสงัดของบรรยากาศทั้งมวล



ฤทัยเจ้าหญิงน้อยเหมือนถูกกระชากดิ่งพสุธา ลงจากชะง่อนผาสูงชัน ความตกใจระคนหวาดกลัวแล่นริ้วไปทั่วสรรภางค์ ทำให้หัตถ์บางกระตุก สั่นไหว ปลายนิ้วเรียวทรงธำมรงค์เฉียบเย็น ดรุณีแน่งน้อยหันกลับไปยังต้นเหตุแห่งเสียงครึกโครมเบื้องปฤษฎางค์ เพียงเพื่อพบกับ…



‘ตุบ’



ความตาย



‘ตุบ’



นางข้าหลวงผู้ช่วยทรงภูษาสำลักโลหิตสีข้นก่ำ สำรอกเลือดออกมาราวสายน้ำไหลหลากกลางพายุฝน ดวงตาโปนถลน ลุกลน หวาดวิตก



กลัว… พวกหล่อนกลัวตาย



ในกาลนี้สายลมแห่งชีวิตเหือดหายลงไปทุกขณะ ลมหายใจออกยืดยาว ทว่าลมหายใจเข้า สั้นลงจนแทบไม่เหลือ เลือดแดงฉานไหลออกทางจมูกทำให้ลมหายใจยิ่งติดขัด ร่างนางเหล่านั้นซวนเซ ไร้แรงยืน เลือดจากใบหูไหลเป็นทาง ชะโลมอาบลำคอ โชกชุ่ม ผิวพรรณที่เคยผุดผ่องเซียวซีด ใกล้ร้างไร้จากชีวิตเต็มทน



ลมหายใจครั้งสุดท้ายไหลออก ยืดยาว แผ่วเบา



นางข้าหลวงขาดใจตายขณะยืนสงบเสงี่ยมอยู่เบื้องปฤษฎางค์เจ้าหญิงน้อย ความตายที่พวกหล่อนหวาดกลัวจนตาถลน แล่นริ้วเร็วไว ยิ่งกว่าสายวัชระแห่งองค์สักกะอัมรินทร์ ไม่มีวันหลีกหนีผุดพ้น ชีวิตในเงื้อมหัตถ์มัจจุราชถูกปลิดทิ้งลงง่ายดาย ร่างชุ่มเลือด ไร้ชีวิต ร่วงหล่นกระแทกพื้น



‘ตุบ ตุบ ตุบ’



ความตายโปรยร่วงราวหยาดวิรุณพรูพร่ำ



ความวังเวงเงียบงันในบรรยากาศถูกยมทูตคร่านำจากไปพร้อมกับชีวิตและลมหายใจของนางข้าหลวงพระภูษา



เสียงหวีดร้องโกลาหล ระคนเสียงร่ำไห้ของนางกำนัล อึงอลไปทั่วห้องบรรทม



มยุวิ่งเหยียบแผ่นไม้สักทอง ตึงตัง สวนทางกับนางโขลนผู้หนึ่งที่ก้าวผ่านบานพระทวารห้องบรรทมเจ้าหญิงตักโกลา เจ้าชายผู้ทัดแววหางมยุราสดับสำเนียงกรีดร้องวุ่นวายเหล่านั้นด้วยฤทัยหวาดไหว กษัตริยาหนุ่มกระชับพระแสงดาบในอุ้งหัตถ์ จิกนขาลงบนฝักดาบด้วยปลายองคุลีเยียบเย็น มยุกลัวอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต ฝ่าพระบาทที่วิ่งอย่างไม่ลดละพาวรองค์สูงโปร่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้านาฏนรีที่อุระร้อนประหวั่นถวิลหา



“ดาริ… ดาริกา!”



ภารดาร่ำเรียก



ดาริกาเลอโฉมผินพระพักตร์หันมา ดาราดวงนี้เปล่งประกายงดงามยิ่งนักในชุดวิวาห์สีโกเมนแดงก่ำ เครื่องถนิมพิมพาภรณ์ขับให้เจ้าหญิงน้อยสุกสกาว วิไลลาศเกินกว่าแสงดาวนับหมื่นพันเหนือนภาราตรีผืนนี้จะเทียบเทียม



สาวน้อยงามสรรพ        ดับกายไว้ท่า



กนิษฐาผู้เป็นที่รักวาดรอยยิ้มอ่อนโยน มองพระมารดา… หริสสา… รอยแย้มพระโอษฐ์อ่อนหวาน งดงามที่สุดในชีวิต หยุดอยู่ที่… มยุรา ผู้รำแพนแต้มแต่งให้ชีวิตโดดเดี่ยวของเธอผู้นี้มีสีสัน



‘พี่จะมาเล่นด้วย จะมาทุกวัน’



‘สัญญานะ’



‘สัญญาสิ’



มยุไม่เคยผิดสัจจะวาจา



พี่มาแล้วดังสัญญา คอยพี่อยู่หรือเปล่าดาริ



ยุ… น้องคอย คอยยุมาตลอด… ขอบคุณนะ



แม้ร่างกายจะเจ็บปวดแสนทรมาน เลือดในอุราแสบร้อนเยี่ยงน้ำกรดต้มเดือด ดาริกายังคงยิ้ม โลหิตแดงฉานค่อย ๆ รินไหลจากริมโอษฐ์บางกระจับ เป็นรอยยิ้มที่ส่งมาจากก้นบึ้งหัวใจ แววตานั้นสื่อสารคำพูดนับล้านที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย คำอำลาไม่ได้กล่าวผ่านพจีวาจา หากเป็นน้ำตาที่ไหลริน



หยาดอัสสุชลเปื้อนสายโลหิต ไหลอาบสองแก้มของเจ้าหญิงน้อย



กษณะนี้…



ตะวันล่วงลับขอบฟ้า



คำลา อ่อนหวาน เดียวดาย เศร้าซึม



น้องไปแล้วนะยุ



มยุน้ำตาไหลพราก เพลงเรือท่อนสุดท้ายังคงกู่ก้องอยู่ในภวังค์



ถึงวันออกษา…



อยู่เล่นกับพี่อีกสักนิดไม่ได้หรือเจ้าหญิงน้อย… เจ้าหญิงน้อยของพี่



…พี่จะพาเจ้าไป

.
.
.



วรองค์แน่งน้อยของเจ้าหญิงตักโกลาเริ่มซวนเซ



หากก่อนที่มยุจะเอื้อมพาหาคว้าร่างแบบบางนั้นไว้ในอ้อมกอด สุรเสียงเหิมห้าว กู่กังวาลของหริสสา พลันปลุกโลมาทุกเส้นของมยุให้ลุกชูชัน



“มยุระวัง!”



เสียงหวีดหวิวเสียดอากาศดังแทรกขึ้นทันทีที่้ภารดาร้องเตือน คมศรพุ่งหลุดจากสายเกาทัณฑ์ ชำแรกแทรกกลางระหว่างดาริกาและหัตถาตระกองของเจ้าชาย



เพล้ง



ศรพลาดเป้า ปักแจกันกระเบื้องเคลือบวาดลายมัจฉาแหวกว่ายกลางกอบงกชแตกเป็นเสี่ยง เศษกระจัดกระจาย



มยุชักใบดาบสีเงินออกจากฝักว่องไว หันคมเข้าหาฝนธนู สองแขนแกร่งแกว่งศาสตราวุธโรมรัน เจ้าชายผู้ทรงโฉมสคราญมีแววตาคั่งแค้น กระหายเข่นฆ่า ดรุณเรือนผมงามกัดฟันกรอด สบถด้วยโทษะเดือดดาล



“พวกหมาลอบกัด!”



******ธรฺมรฏฺฐคีตา******


หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ๖ (บรรณ ๑) UP: ๔/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 04-03-2020 11:50:22

ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๖ ราตรีสีชาด


รจนา: ทัดจันทร์



บรรณ ๑




ลมกลางคืนรำเพยแหวกม่านไหมสีแดงเพลิงให้แสงจันทร์ลอดผ่าน แสงโสมสีเงินยวงสาดเข้าสู่ห้องสลัวราง ภายใต้ตะเกียงน้ำมันไขไส้แต่เพียงริบหรี่ ส่องให้เห็นร่างของผู้หลับไหลบนเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ ซุกซอก กอดก่าย เรือนกายของกันและกัน


หยาดน้ำค้างและละอองความเย็นรายเร้นมากับสายลมแห่งราษราตริน เป็นเหตุให้ดรุณรูปงามขยับกายเปลือยเปล่าเข้าหาแผงอกหนาหนั่นที่มีนางคณิกากอดก่ายอยู่อีกด้าน หากหนุ่มน้อยจะรู้เพียงสักนิดว่ากอดนี้จะเป็นไออุ่นสุดท้าย ที่ได้สัมผัสจากนักเดินทางลึกลับผู้นี้ เขาคงกอดให้แน่นขึ้น และฝังใบหน้าซุกอยู่ตรงนั้นให้นานขึ้น อย่างน้อยก็มากกว่านี้


‘ช่างบังเอิญเสียเหลือเกินที่เราได้เจอกัน’ ดรุณนัยน์ตาซื่อใสเอ่ยกับชายแปลกหน้าที่เพิ่งพานพบในโรงสุรา


ศิขรินทร์ฝังจมูกลงบนเรือนผมดำสลวยของเด็กหนุ่ม ผู้แหวกว่ายดำดิ่งลงในห้วงนิทรา ยามล่วงผ่านเกลียวคลื่นตัณหาและพายุเพลิงอารมณ์ ผมยาวระบ่าที่เคยมวยมุ่นไว้เหนือศรีษะ บัดนี้คลี่คลาย ทิ้งตัว หลุดลุ่ยจากเชือกรัดและเครื่องประดับ เส้นผมนุ่มลื่นราวไหมแผ่คลุมหมอนหนังสัตว์อัดฟาง รัดเกล้านากที่เคยประดับมวยผม ตกอยู่บนพื้นข้างเตียงทรงจีนหลังใหญ่


“เหตุในชีวิตมนุษย์เกิดด้วยกรรม และความตั้งใจ หากไม่ใช่ของเจ้า ก็ต้องเป็นของใครสักคน บนโลกนี้… ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง” นักแสวงโชคกระซิบแผ่ว สนทนาต่อผู้อยู่ในนิทรารมณ์


วายุรวยรินผ่านบานหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ชายชักเอาไอเย็นในอณูค่ำคืน ขจรขจายเข้ามาอีกคำรบ สองร่างไร้อาภรณ์จึงเบียดเข้าหาความอบอุ่นของกายกำยำแข็งแกร่ง หากผู้ที่ตื่นและเปลือยเปล่ากลับไม่ยี่หระต่อความเหน็บหนาวแห่งรัตติกาล


ลมบกหนาวไม่สู้ลมทะเล


“อ้า… สหฺมุดรา…”


ถ้อยรำพันพรายพริ้วของนักเดินทาง ผู้จัดเจนเคยคุ้นต่อเกลี่ยวคลื่นและผืนฟ้ากว้าง รำพึงถึงห้วงนทีสีครามแห่งท้องทะเลใหญ่ ศิขรินทร์รฦกร้อยพันราตรีที่ลอยล่องเหนือท้องสมุทรทะเลหลวง โต้สายลมหนาวเหน็บยามค่ำคืน พ้นผ่านความพิโรธแห่งห้วงมหรรณพยามปะทะวัชระมรสุม หลายครั้งคราเกือบเอาตัวไม่รอด มากมายแห่งนักเผชิญโชคยังแดนไกล เอาชีวิตไปทิ้ง ถมทะเล สิ้นตักษัยก่อนได้ยลเห็นซึ่งชายฝั่ง


“… ราห๎ฬ ภวาติ”


มหาสมุทร… สุดอ้างว้าง


คำสํสฺกฤตหลุดจากริมฝีปากอย่างคล่องคุ้น พรรณาชีวิตกลางคืนของชายชาวเรือ ที่มีเพียงความเยียบเย็นและความเปลี่ยวเหงา หากราตรีใดสถานการณ์สงบ ปราศจากวี่แววของสลัดและพายุฝน ราตรีนั้น ผืนนภาที่โอบแสงดาวนับโกฏิเกินคณา จะยิ่งทอดกว้างสุดสายตา ท้องทะเลสีดำจะยิ่งทมิฬลึกล้ำ โสตแว่วสำเนียงขับขานลำนำยั่วเย้าของเหล่าเงือกนางพรายใต้วารี สายลมจะเยือกเย็นเป็นพิเศษ เมรัยรสร้อนนุ่มลิ้นกว่าทุกวัน


คืนนั้น กะลาสีเด็กรับใช้ประจำตะเกียงไฟวัยดรุณ จะเป็นผู้วางเพลิงแห่งอารมณ์ ให้ลุกโชนคลุ้มคลั่งยิ่งกว่ามรสุมพายุใดที่เคยพานพัด


บุรุษฉมังเส้นทางแห่งสายนที อับปางลงในเกลี่ยวปรารถนา


รอบแล้ว รอบเล่า


ท้องทะเลทำให้เปลี่ยวเหงา นาวาหลายลำจึงมีลูกเรือวัยดรุณผุดผาดไว้เรียกใช้ หากยามทอดสมอ นางคณิกาเมืองท่าก็ไม่เลวนักสำหรับบุรุษกลัดมัน เปล่าเปลี่ยวไร้ร้างจากนวลเนื้อมานับแรมเดือน ลอยล่องกลางท้องทะเลที่เสี่ยงกับความเป็นตายอยู่ทุกทิวาวัน จนมีคำกล่าวเล่น แต่เป็นความจริง ในหมู่ชาวเรือว่า เมืองท่าใดเฟื่องฟู เจริญด้วยการค้า วัดได้โดยง่ายจากจำนวนหอคณิกา คฤหเริงรมณ์


บานประตูถูกแง้มเปิดอย่างเบามือ ทำให้สำเนียงร่ำสุรานารี เคล้าเสียงดนตรีของผู้คนมากหน้าจากชั้นล่าง แว่วเข้ามาในห้องสลัวราง ภายใต้แสงจันทร์สีเงินที่ลอดผ่านรอยแยกของม่านหน้าต่าง ปรากฏร่างของเด็กชายวัยประมาณสิบขวบ เนื้อตัวมอมแมม ก้าวผ่านความมืด เข้ามายืนยังเบื้องปลายเตียง เงียบงัน


“มาแล้วรึเจ้าตัวดี ข้าคอยแทบแย่”


เด็กน้อยมองผู้พูดนิ่ง


เพศบุรุษเรือนกายกำยำลุกจากเตียงด้วยความเปลือยเปล่า ไฟตะเกียงน้ำมันริบหรี่ เน้นไล้เรือนร่างที่ลุกขึ้นควานหาเสื้อผ้าของตัวเอง ศิขรินทร์รีบแต่งตัวว่องไว


“เรียบร้อยไหม”


เด็กชายพยักหน้า


ชายลึกลับเจ้าของแผลเป็นกรีดพาดหางคิ้วซ้าย ก้าวนำออกจากห้อง ทิ้งผู้หลับไหลไว้เบื้องหลัง ปัดเส้นผมสลวยที่ไม่รู้ว่าเป็นของบุรุษหรือสตรีใด ออกจากผ้าคลุมสีนิลกาฬอย่างมิได้ใส่ใจ นัยน์ตาสีดำยิ่งขับประกายลึกลับ เย็นชา ยามปฤจฉาด้วยเด็กชายตามลำพัง


“มือสังหารล่ะ?”


************
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ๖ (บรรณ ๒) UP: ๖/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 06-03-2020 17:32:12
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๖ ราตรีสีชาด


รจนา: ทัดจันทร์


บรรณ ๒



กะลาเจาะรูจมลงในอ่างน้ำเมื่อครบหกสิบนาฑี


ชายผิวเข้มกร้าน หนวดเครารุงรัง ขยับกายลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน เขาซดเหล้าจากไหขนาดเล็กที่ถือติดมือไว้ ไม่ยอมวาง สองขาเริ่มโงนแงนขณะเดินออกนอกชาน เพื่อเคาะแผ่นเหล็กด้วยแท่งโลหะที่ผูกเคียนเอว เสียงกังวาลใสตีขึ้นสองครั้ง เป็นสัญญานบอกเวลาทุติยยาม กษณะนี้รัตติกาลเพิ่งล่วงเข้ายามสองมาได้ไม่กี่อึดใจ


เส้นผมแห้งกรอบและเคราหนายิ่งพันกันยุ่งเหยิง เมื่อโต้กับลมทะเลที่พัดกรูเข้าสู่ชายฝั่ง ยามประจำท่าผู้รับผิดชอบเคาะเวลา กอดไหเหล้าพลางกระชับผ้าคลุมต้านลมหนาว ทิ้งตัวลงบนแคร่ กลับไปจิบสุรา นั่งฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งอย่างสบายใจ หาได้เล็งเห็นนางโขลน ที่ก้มหน้า เดินผ่านไป


เภตราสินค้าทอดสมอรายเรียงตลอดทั้งสองฝั่งของสะพานไม้ ที่สร้างยื่นลงไปสู่ท้องทะเลลึก แสงจันทร์ขึ้นสิบสี่ค่ำและไฟตะเกียงน้ำมันแขวนตามเสาเรือ สว่างพอให้นางโขลนผู้หลบหนีจากเขตพระราชมณเฑียรในยามวิกาล เร่งฝีเท้าไปบนสะพานนั้น โดยไม่ต้องส่องคบหรือตามตะเกียงจนเป็นที่สังเกตแก่ผู้พบเห็น กระแสน้ำขึ้น เซาะระลอกคลื่นกระทบสำเภาและเสาสะพาน กลบเสียงเดินอันรีบเร่งของผู้เป็นทุรยศ


มาณพกะลาสีหนุ่มทำหน้าที่อยู่ยามกลางคืนของเรือลำหนึ่ง แอบงีบหลับ กลาบาตผู้นั้นกอดอก สัปหงก อยู่ข้างตะเกียงไขไส้ เสียงฮัมเพลงในภาษาต่างถิ่น ขับกล่อมบรรยากาศ ลอยแว่วมาแต่ไกลในทำนองวังเวง ไพเราะ คลอเคล้าด้วยเสียงสบถหยาบคายของชายกักขฬะจากเรือใดสักลำละแวกนั้น วงเหล้าหลายแห่งยังไม่ร้างหยาดสุรา เงาตะคุ่มของผู้คนในความมืดยังระบำเคลื่อนไหว แม้ประกายตะเกียงไฟจะสาดไปไม่ถึง


คีตาแห่งชีวิตชาวท่ายังคงบรรเลง ภายใต้ราตรีประดับทะเลดาว


นางโขลนขึ้นเรือสินค้าขนาดกลางลำหนึ่ง ที่ทอดสมออยู่เกือบสุดปลายสะพาน สำเภาลำนี้ผิดแผกไปจากนาวาทุกลำ ด้วยร้างไร้เวรยามตามตะเกียง ดาดฟ้าเรือจึงมืดและเงียบงัน หากนวลแสงจันทร์สว่างพอให้เห็นเงาถังไม้จำนวนมากวางรายเรียงตลอดแนวยาวของกาบเรือทั้งสองฝั่ง


นาวาลำนี้กำลังจะออกล่อง


หล่อนสรุปความจากพื้นดาดเรือที่ถูกเช็ดถูจนสะอาด เครื่องกว้านใช้ดึงตรวนเหล็กขนาดใหญ่ อาบชะโลมไปด้วยน้ำมัน เตรียมพร้อมสำหรับการถอนสมอ อีกทั้งเชือกลากเส้นอวบ ม้วนอยู่ในขดพร้อมใช้งาน


สตรีร่างสันทัดพลันชะงักฝีเท้าอยู่กลางเรือ ท่ามกลางเงามืดและขดเชือดเกลียวพัน


กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของมวนยาสูบโชยมากับสายลมโบก เปลวสีแสดสว่างวาบในม่านมืดแห่งราตรี เผาไหม้ปลายมวนกะหลี่ที่จรดริมฝีปากหยักหนา บัดนี้นางโขลนพึงตระหนัก ทุกย่างก้าวของตน ถูกจับตามองโดยคนบนระเบียงดาดฟ้า ชั้นลอยที่อยู่ท้ายเรือ


เงาสูงของบุรุษก้าวชิดขอบระเบียง อันเป็นบริเวณที่แสงจันทร์ส่องถึง โขลนทุรยศจึงเห็นเสี้ยวหน้าของชายชราผมสีดอกเลา มองลงมาด้วยแววตาเรียบเฉย


“การมาเยือนของเจ้า ล่าช้ากว่าที่ข้าคิดไว้มาก” สำเนียงแปร่งหูของตาเฒ่าต่างถิ่น เนิบนาบ พอกับจังหวะทอดน่องลงบันได ซึ่งเชื่อมกับระเบียงชั้นลอยด้านบน


“ข้าต้องหลบหลีกจากทหารยาม…”


“ไว้สนทนาในห้องใต้ท้องเรือ”


พจีของผู้มากวัยปิดปากนางโขลนเงียบสนิท รหัสบางอย่างไม่ควรแพร่งพราย ณ ที่แจ้ง โดยเฉพาะความที่อาจนำมาซึ่งโทษตายแห่งเจ้าของคำพูด บางครั้งชิวหาและถ้อยวัจนา คมเสียยิ่งกว่าอาวุธศาสตรา ประหัดประหารได้กระทั่งผู้เป็นนายแห่งมัน


ผ้าคลุมเดินทางสีน้ำเงินเก่าซีดกระพือรอบข้อเท้าระหว่างชายแก่ย่ำเดิน เขานำโขลนวังไต่บันไดเล็กแคบลงสู้ห้องโดยสารใต้ท้องเรือ ที่บัดนี้ใช้เก็บข้าวของแน่นขนัด อันเป็นบรรดาถังไม้ทรงกลมเช่นเดียวกับที่รายเรียงวางชิดกาบเรือ ไหสุราขนาดใหญ่หลายสิบใบกำจายกลิ่นมาจากมุมหนึ่งของห้อง คลังเสบียงอับแคบและอบอ้าวแห่งนี้มีเพียงเทียนไขสองแท่งในเชิงเงินและทองแดงคอยให้ความสว่าง


“ได้เสวยสุธารสมาลีหรือไม่” ชายชราเริ่มสนทนา


“หมดหลายจอกเจ้าค่ะ”


“ดี… แล้วกำปั่นทอง…”


“ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ข้าและพวกลอบใส่ผงพิษพระภูษาก่อนขนถ่ายจากท่ายามลับตาคน”


“แน่ใจหรือ”


“นอกจากท่านและพวกข้า หามีผู้ใดแจ้งใจต่อการณ์นี้ดอก”


“ถึงพิราลัยด้วยทรงกระอักพระโลหิตสินะ” ชายแก่รำพึงกับตัวเองแผ่วเบา ผู้ใช้พิษย่อมรู้โทษคุณของพิษดีทุกประการ


“เช่นเดียวกับนางพระภูษาเจ้าค่ะ”


“อืม…” ละอองร้ายกระจัดกำจายแก่ผู้สัมผัสจับต้องกับผ้าพิษโดยตรง หากไม่ได้รับการถอนพิษโดยด่วน จะตกตายโดยมิทันตั้งตัว


“แล้ว…?”


“อันใดฤๅ”


“รางวัลของข้าล่ะเจ้าคะ”


“นั่นสินะ” มือเหี่ยวลูบเคราขาว ก่อนยื่นเชิงเทียนทองแดงให้แก่สตรีโขลนผู้หลีกเร้นจากเวียงวัง “หากเจ้าไม่ทวง เห็นทีข้าคงลืม”


“เจ้าค่ะ”


“อยู่ห้องสุดท้ายนั่น เข้าไปเถอะ อย่างที่ข้าเคยบอก ยิ่งเสี่ยงมาก ผลตอบแทนของเจ้าก็ยิ่งทบเท่าคูณทวี ข้าอนุญาตให้นำไปได้เท่าที่เจ้าต้องการ”


รอยระเริงในแววตาล้อระยับกับเปลวเทียนวาบไหว หล่อนยกมุมปากเหยียดยิ้มอย่างมิอาจฝืนกลั้นปกปิดความดีใจ นางโขลนเร่งคว้าเชิงเทียน ย่ำผ่านความมืดไปยังห้องริมสุดที่มีขนาดเล็ก คับแคบกว่าคลังเสบียงหลายเท่าตัว ทันทีที่ผลักบานประตูเข้าสู่ด้านใน ประกายกษาปณ์สะท้อนแรงเทียนกระโจนเข้าสู้คลองสายตาจนมิอาจละวาง


นั่นปะไร เหรียญทองเหรียญหนึ่งตกอยู่ข้างหีบใหญ่ หีบใบนั้นทำจากไม้เนื้อหนา วางเด่นตระหง่านบนโต๊ะชิดผนัง กษาปณ์สลักรูปหัวสิงห์ สัญลักษณ์มหาราชแห่งชาติลิเดีย ย่อมเป็นรางวัลอันหอมหวานที่หล่อนหมายมาดไว้ในใจ พูดเองนะตาแก่ ขนไปได้เท่าที่ต้องการ ข้าจะยกมันไปทั้งหีบนี่แหละ


สตรีโขลนเช็ดมือกับผ้านุ่งหลังลูบฝาหีบลื่น วางฝ่ามือลงไปอีกครั้งหมายเปิดหีบขนเหรียญ หากสัมผัสแฉะชื้นกลับทำให้หัวคิ้วขมวดมุ่น พันกัน


เปียก?



หล่อนชะงักมือยามได้ยินเสียงน้ำหยด เมื่อขยับส่องเชิงเทียนเข้าใกล้ นางกบฎทุรยศจึงรับรู้ สิ่งที่เปียกเปื้อนฝ่ามือ และหยาดหยดลงมาก็คือเลือด



ความหวังวูบดับลงเหมือนเปลวเทียนกลางพายุ



โลหิตแดงฉานชะโลมอาบหีบใบใหญ่จนคาวคลุ้ง เลือดนั้นไหลจากขมับศพสตรีตอกตรึงด้วยหมุดเหล็กติดผนัง



หล่อนกรีดร้องเสียงหลง ตกใจกับภาพสยดสยอง



เรือนตัวเปลือยเปล่าถูกลิ่มเหล็กตรึงยึด แขนขาโดนหั่นเป็นท่อน ตัดชำแหละจนขาดจากลำตัว ท่อนอวัยวะปักหมุดรายล้อมเป็นรูปวงกลมรอบศรีษะ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลบอบช้ำ หากยังคงเค้าความงาม นางโขลนจำได้กระทั่งนามของศพนี้ พิชชา บุตรตรีขุนคลัง!



มือที่ประคองเชิงเทียนสั่นเทิ้ม ขนลุกชูชัน เรียวขาอ่อนล้าพาหล่อนก้าวถอยหลังด้วยความหวาดหวั่น หากนั่นกลับทำให้นางโขลนเหยีบเข้ากับปลายเท้าของเด็กหนุ่มวัยดรุณ



ศพนั้นนั่งอยู่ข้างประตู นัยน์ตาปูดโปนยามโดนสายเชือกรัดคอจนสิ้นใจ จ้องถลนมาทางสตรีโขลนผู้วางพิษเจ้าหญิงดาริกา นางโขลนมิอาจล่วงรู้ รอยคราบน้ำตาที่ยังไม่ทันแห้งเหือดของเวทิตหลั่งเพื่อผู้ใด



เมื่อรู้ว่าผงยาในแหวนเป็นเพียงตัวเร่งพิษจากผ้าให้ยิ่งแผ่ซ่านไปทั่วเรือนกาย ไม่ใช่ยานอนหลับอย่างที่เข้าใจ การณ์กลับสายไปเสียแล้ว



เขาเพียงต้องการทำให้เธอเป็นของเขา เวทิตรักดาริกาจนหน้ามืดตามัว อ้อนวอนพิชชาให้ช่วยเหลือจนต้องจบชีวิต เด็กหนุ่มโดนมัดให้นั่งมอง พี่สาวถูกหั่นทั้งเป็น!



ใจของเวทิตตายอย่างทรมาน



ขอโทษนะพี่...



น้ำตาดรุณงามรินไหล กลิ่นความทรงจำหวนรฦก อวลอาย ดอกรักปักก้านนาฬิเกที่ทรงประทานคราแรกพบ ยังคงเบ่งบาน งดงามอยู่อย่างนั้นมิเสื่อมคลาย




เจ้าหญิงน้อย...



โปรดอภัยแก่ความขลาดเขลาของกระหม่อม ความผิดนี้เกล้าชดใช้ด้วยชีวิตและลมหายใจ เสียดาย หากชั่วชีวิตนี้จะได้เอ่ยออกไปสักครั้ง



รัก...



นัยน์ตาศพเล่าเรื่องราว ลูกตาโปนถลนจนเส้นเลือดฝอยปริแตก ฝากรอยเคืองแค้นมายังนางโขลน หล่อนสะดุ้งตกใจ ถอยร่นชนขอบโต๊ะ จนหีบใบใหญ่หล่นพื้น



"อ๊าก ออกไป!"



เท้ายั้วเยี้ย น่าขยักแขยง ของตะขาบยักษ์รี่ไต่ตามเนื้อตัว พิษร้อนจากรอยกัดทำให้นางโขลนเจ็บแสบทรมาน ปวดบวมราวโดนเผาในกองไฟ หล่อนกรีดร้องโหยหวน ปัดป่าย หากตะขาบนับร้อยวิ่งกรูออกจากก้นหีบ ไต่ขึ้นใบหน้า ลำคอ ซอกหู ชอนไชเข้าไปใต้เสื้อผ้า ฝังเขี้ยวพิษกัดไต่ยุบยับไปทั่วตัว



"ตาเฒ่า เจ้า!"



นางโขลนทุบประตูที่ลั่นดานจากข้างนอก กรีดร้องทุรนทุราย



ชายชราขับรอยยิ้ม หลับตา ฟังเสียงร้องทรมานของความตาย คีตาอันไพเราะของปีศาจแห่งไฟนรก บรรเลงกล่อมค่ำคืนอันหนาวเหน็บ



เปลวเทียนในเชิงทองแดงดับลง



สตรีโขลนทุรยศได้รับรางวัลของตัวเอง




☆☆☆
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ๖ (บรรณ ๓ และ ๔ ) UP: ๘/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 08-03-2020 11:38:14
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๖ ราตรีสีชาด



รจนา: ทัดจันทร์

บรรณ ๓





คมธนูปลิดชีพเจ้าพนักงานโขลนทุกคน



ลูกศรดอกใหญ่แหวกอากาศ พุ่งไปด้วยความเร็ว เกิดเสียงหวีดหวิว น่าสะพรึง คมศรไม่พลาดเป้า สำแดงฝีมืออันเชี่ยวชาญเจนการฝึกฝน ปักเข้ากลางหลังโขลนวังนางสุดท้าย ปลายลำติดขนนกสะบัดแกว่งไกวด้วยแรงดีดมหาศาลจากการเหนี่ยวรั้งสายคัน แรงกระแทกของอิษุ ดันคมศาสตราเสียบทะลุปอด คร่าชีวิต หยุดดัสกรได้ในดอกเดียว



มยุเอาตัวเข้าขวางวิถีศร วาดดาบในอุ้งหัตถ์ แรง เร็ว ฟันตวัดอิษุพวยพุ่งกลางอากาศจนขาดสะบั้น เจ้าชายงามราวจำหลักเลขา ไล่ตามเหล่านักฆ่าที่กำลังหลบหนี รุกฟันคมดาบปะทะกับดาบของคู่กรณี เกิดประกายไฟแวบวาบด้วยพละแห่งดาบที่ประกัน



“สลัดชวา” พวกรับจ้างฆ่า



หริสสาจดจำรอยสลักรูปตรีศูลเสียบหัวกะโหลก บนข้อมมือของพวกมันได้ กลุ่มมือสังหารทั้งสี่กำลังถูกต้อนและเริ่มล่าถอย กริชสั้นที่ทูลหม่อมชายใหญ่มักพกติดพระองค์ไว้ ปาดลงบนคอของพลเกาทัณฑ์อย่างไม่ใยดี ร่างนั้นล้มลงแดดิ้น เลือดพุ่งจากบาดแผลเป็นสาย โลหิตแดงก่ำนองพื้น รดริน ย้อมราตรีนี้ให้เป็นสีชาด คลุ้งคาว



“จับเป็นไว้สักคนนะยุ ที่เหลือโทษมันคือตาย!”



ภารดาตะโกนบอกน้องชาย พลางเงื้อกริชรับคมดาบศัตรู



☆☆☆



ทุกพื้นที่ใต้ท้องเรือแห่งนี้ชะโลมอาบด้วยเมรัยจากไหดินหลายสิบใบ ไม่เว้นแม้กระทั่งเนื้อตัวของชายชราผมหงอกขาวโพลน ที่โดนมัดติดกับถังไม้ทรงกลม เชือกพันธนาการแน่นหนา จนตาเฒ่าไม่อาจขยับกายกระดิกดิ้นได้แม้แต่น้อย อีกทั้งผ้าปิดปากที่ทำให้ส่งเสียงอู้อี้ออกมาไม่ดังนัก



“พูดมากไย ประเดี๋ยวก็ตายแล้ว” ชายหนุ่มไถ่ถามด้วยความระอา



ศิขรินทร์ดึงเทียนไขที่เหลือน้อยนิดออกจากเชิงเงิน เขาวางมันไว้บนปลายผ้าคลุมชุ่มสุรา เปลวสีส้มวูบวาบระริกไหว หวิดจะโดนผ้าอาบเมรัยอยู่หลายครั้ง



“รู้แล้วน่าเจ้าตัวดี”



เด็กชายหน้าตามอมแมมดึงนิ้วก้อยของบุรุษคมคร้าม พลางเปิดปากหาวหวอด



“มาเถอะ ได้เวลานอนของเด็กซนเช่นเจ้าแล้ว วันพรุ่งอาบน้ำเสียด้วยล่ะ มอมเหมือนหมา”



นักผจญโชคผิวปาก เดินนำเด็กน้อยงผมเผ้ารุงรัง ไปบนสะพานไม้ เสียงทำนองเพลงวิเวกวังเวง คลอไปกับสำเนียงคลื่นซัดชายฝั่ง ความสงบยามค่ำคืนของชาวท่า ใกล้ถูกพรากพราไปเต็มที



☆☆☆
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ๖ (บรรณ ๓ และ ๔ ) UP: ๘/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 08-03-2020 11:40:33
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๖ ราตรีสีชาด



รจนา: ทัดจันทร์

บรรณ ๔



มยุเบี่ยงหลบคมอาวุธจากเบื้องปฤษฏางค์ ขณะผันใบดาบรับการฟาดฟันของบุคคลตรงหน้าได้อย่างเฉียดฉิว แรงประดาบของเจ้าชายพระองค์รอง มิได้ลดถอยลงแม้แต่น้อย ทว่ากลับทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในทุกท่วงท่า ที่ออกลีลาร่ายรำ ระบำดาบแห่งมยุรา รำแพนคม เชือดเฉือนสลัดโจรชวา หยาดเลือดกระเด็นสาดสาย สังเวยอาบใบดาบจนชุ่มโชก



เหล็กน้ำพี้หลอมตีอย่างประณีต ตัดอากาศด้วยเสียงไพเราะ ดุจระฆังแก้วกังวาลใส ข้อมือเจ้าชายหนุ่มพลิกสะบัดพริ้วไหว สำแดงนาฏลีลาชดช้อยแห่งเพลงดาบดุดัน ไอสังหารงดงามยวนเย้า แผ่กระจายจากทุกท่วงท่าลีลาระบำ



สวยงาม เย็นชา อันตราย



ในพยับเปลวตะเกียง มือสังหารผู้นั้นคล้ายเห็นความตายสีมรกต ควบอัสดรอาชา ควงคมง้าวแห่งชีพิต กระชั้นชิดเข้ามาทุกลมหายใจ



น่ากลัว… มือที่จับดาบสั่นสะท้าน… เจ้าชายพระองค์นี้น่ากลัวเกินไป



นักฆ่าเพิ่งล่วงรู้ ความตายน่าขยาดพรั่นพรึงเพียงใด



ท่าระบำกระบวนสุดท้ายฟาดด้วยกำลังมหาศาล มยุฟันสะพายแล่งมือสังหารที่เริ่มอ่อนแรง ด้วยเหล็กน้ำพี้คมกริบ ตกทอดในเชื้อวงศ์ไศเรนทร์มาหลายชั่วรุ่น ยามชักใบออกจากฝัก ดาบจะไม่ยอมหวนกลับหากมิได้ดื่มกินโลหิตมนุษย์ เรือนกายชายชวากะขาดสองท่อน กระดูกสันหลังสีขาวโผล่พ้น กระบังลม ปอด หัวใจ ไหลออกมาเมื่อร่างไร้ชีวิตกระแทกพื้น ล้มตึง



เลือดทะลักกระเซ็นไปทั่ว เนืองนอง สยดสยอง



“ย๊าก”



เสียงจากด้านหลัง ฟันอาวุธด้วยแรงทั้งหมดที่มี ดาบงามในหัตถ์มยุกระเด็นหลุดไปเพราะถูกโจมตีทีเพลอ เจ้าชายโฉมสคราญม้วนตัวหลบฉับพลัน มิวายยังโดนตามฟันซ้ำ เสโทผุดพรายตามกรอบพักตราเนียนใส ฤทัยเต้นรัวแทบทะลุออกจากทรวง



นัยน์เนตรมยุสั่นระริก ลนลาน



“ไปตายซะ!” โจรชวาประกาสิตเหิมห้าว



สุรเสียงองค์ยุพราช พระเชษฐา สะท้อนก้อง “อย่า!!”



☆☆☆



มันชอบฟังสัทท์สำเนียงของความตาย หากยามที่ต้องตายเสียเอง มันกลับหวีดร้องโหยหวนออกมามิได้



เปลวไฟจากปลายเทียนไขดับลง พลันเพลิงสีน้ำเงินของเหล้าที่เพิ่งราดหมาดใหม่ลึกลามไปทั่ว เปลวอัคคีสีแสดเริ่มไล่เลียชายผ้าคลุม ไต่ลามโหมฮือขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างอาบอวลไปด้วยประกายไฟอันรุ่มร้อน



อยากดิ้นทุรนทุราย หากก็ทำมิได้



อยากกรีดร้องสุดหัวใจ กลับทำได้แค่แผ่วเบา



อยากจบความทรมาน แต่กลิ่นเนื้อมอดไหม้กลับคาวคละคลุ้ง



ตูม



เสียงกำปนาถจากถังไม้บรรจุผงคล้ายถ่านบดละเอียดสีดำ ระเบิดสะท้านสะเทือน



ตูม ตูม



ถังไม้จากกรุงจีน คายเปลวไฟประลัยวาตดุจดอกไม้เพลิง ดอกใหญ่ที่สุดเท่าที่ตักโกลาจะเคยเห็น



ตูม



สะเก็ดอัคคีจากสำเภาสินค้าขนาดกลางร้างไร้ลูกเรือ ลุกลามน้ำมันดิบที่ลอยล่องเหนือผิวน้ำ ชั่วพริบตา ระเบิด เปลวเพลิง น้ำมัน พลาญเผาชีวิต ศฤงคาร เรือสินค้าพังพินาศลงไปทั้งแถบ



นายกลาบาตสร่างเมา ตีเกราะเคาะไม้แจ้งเหตุโกลาหล ตามจังหวะหัวใจ ตระหนก สั่นกลัว



☆☆☆



“ยุ!!!”



หริสสากู้ร้องสุดชีวิต



ฉึก



ปลายแหลมของคมดาบ เสียบทะลุท้องเป้าหมาย โลหิตข้นแดงหยดพรูพรายจากปลายศาสตรา รสเลือดกระจายไปทั่วปาก ยามดาบเยียบเย็น บิด คว้านลำไส้ แสบสันทรมาน



“อ๊าก !”



เสียงโหยหวนสุดท้ายแห่งชีวิต ทุกข์ ทุรนทุราย



ฉึบ



ข้อมือนั้นกระชากดาบ ชักออกจากช่องท้องเหวอะหวะ สำไส้ไหลกองลงแทบปลายเท้า เหล็กน้ำพี้ตีอย่างประณีต ดื่มกินเลือดและชีวิต ปักลงกับพื้นกระดานเพื่อให้ร่างแบบบางใช้ยันกาย



ดาริกาหอบหายใจ ปฤจฉาด้วยคำคอแหบแห้ง



“ช่วยบอกผมที นี่ที่ไหน?!”




******ธรฺมรฏฺฐคีตา******
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ๖ (บรรณ ๓ และ ๔ ) UP: ๘/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-03-2020 23:35:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๗ (บรรณ ๑ ) UP: ๑๐/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 10-03-2020 14:32:58

ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๗ วิจฉิกา



รจนา: ทัดจันทร์





คืนนั้น ดาวหัวใจแมงป่องสุกสว่าง กระจ่างเหนือความตาย



ประกายแสงจรัสจ้าของดาวเพลิงขนาดยักษ์ ตรึงความสนใจของบุคคลที่นั่งคู่คนขับ นายทหารชั้นสัญญาบัตรมองมันแทบไม่ละสายตา ร้อยเอกหนุ่มแห่งกองพันทหารสารวัตร สนใจดาวบนฟ้ามากกว่าดาวบนบ่าของตัวเอง



“ผู้กองจะงีบสักนิดก็ได้นะครับ ถึงค่ายเดี๋ยวผมปลุก”



จ่าสิบเอกใต้บัญชา ผู้เคาะเรียกยังบ้านพักยามวิกาล เอ่ยขึ้นขณะหักพวงมาลัยออกสู่ถนนใหญ่ เงาไผ่สองข้างทางวูบไหว เริงระบำในความมืด ท่ามกลางสายลมเยียบเย็นของยามใกล้รุ่ง



“ไม่เป็นไรครับ ถ้าผมหลับจ่าคงไม่เหลือเพื่อนคุยแก้ง่วง”



“จริงของผู้กอง” นายทหารพลขับพยักหน้ายิ้ม ๆ เงาสัปหงกที่สะท้อนผ่านกระจกมองหลัง ไม่อาจทำให้คนมากกว่าวัยปฎิเสธได้



“พวกเราไม่ได้นอนมาสี่วันแล้วนะจ่า มันล่อเราออกมากวนประสาทแบบนี้ คราวหน้าคงลงมือจริง เราต้องเปลี่ยนแผนตั้งรับใหม่ ให้ดีกว่าที่แล้วมา”



“มันจงใจประกาศสงครามกับเรา” จ่าพลขับนึกถึงศพแมวเบงกอลในกล่องดำ



“สงครามของพวกมันเพิ่งประกาศ แต่สงครามของเราเปิดฉากมาหลายปีแล้ว ผมไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอกครับ ผมเชื่อนะจ่า ชัยชนะจะเป็นของผู้ที่อยู่ข้างความถูกต้อง”



ผู้ใต้บัญชาพยักหน้าในความเงียบ ตั้งแต่ผู้กองดาย้ายมาประจำการที่นี่ คนหนุ่มก็เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างผู้ก่อความไม่สงบอย่างจริงจัง ทำผลงานไม่เว้นแต่ละวัน ยศของคนรุ่นใหม่จึงเลื่อนขึ้นทุกปี ทำให้ใครต่อใครต่างพูดกันลับหลังว่า ผู้กองดาไฟแรงจนลูกน้องตามไม่ทัน



ร้อยเอก ดาริกา เป็นยศชื่อประดับติดแผงอก ‘เรียกผมสั้น ๆ ผู้กองดาก็พอ’ ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดแจงกับทุกคนเช่นนี้ เขาหน่ายที่จะตอบคำถาม ‘ทำไมชื่อเหมือนผู้หญิง’ ซึ่งเจ้าตัวมักตอบ ‘พ่อตั้งให้ มีอะไรไหม’ ตอนเป็นวัยรุ่นหัวร้อนจึงได้เรื่องชกต่อยไปฝากบิดาที่บ้านเป็นประจำ แต่พอโตขึ้นไม่ยักมีใครกล้ามีเรื่องกับเขาสักที ทั้งที่ตอบกลับไปอย่างเดิม



ตะวันทอประกายแสงแรกฉาบเส้นขอบฟ้า แสงสีขาวเริ่มแรระบายเบาบางเหนือเหลี่ยมเขาลดหลั่นสลับสล้าง ทว่าอุษาสางยังไม่สว่างพอจะกลบแสงดาวนับล้านกลางห้วงอวกาศ หัวใจแมงป่องสีแดงแกมส้มยังโชตนาเด่นชัด ว่ากันว่า ดาวประธานที่สว่างที่สุดใจกลางหมู่ดาวราศีพิจิกดวงนี้ เป็นมหาดาราขนาดยักษ์ ใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะถึงเจ็ดร้อยเท่า



แสงเริงโรจน์ของมันคือการคายพลังงานห้วงสุดท้ายแห่งชีวิต ฝากไว้ประดับฟากฟ้า คล้ายดอกไม้ไหวกลีบเบ่งบาน ก่อนถึงกาลโรยร่วง หล่นไป ดาวหัวใจแมงป่องถึงได้มีอีกชื่อว่า ดาวปาริชาต ดาราแห่งดอกไม้สวรรค์ชั้นดาวดึงส์



“รีบกลับบ้านเถอะครับ เมียจ่าคงรอ” ดาริกาพูดขึ้น เมื่อเห็นแสงเรืองของพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า



“นั่นน่ะสิ ผมคิดถึงที่นอน เอ้ย คิดถึงเมียจะแย่” จ่าสิบเอกเย้าหยอกอย่างอารมณ์ดี



“คิดถึงขนาดนั้นก็เร่งเครื่องได้เลยครับ”



“รับทราบครับ กัปตัน”



สองเสียงของพลทหารที่ยังไม่หลับ หัวเราะเบาประสานกัน ใบหน้าคมเข้มของผู้กองหนุ่มที่ยังล้างฝุ่นพรางออกไม่หมด ยังคงวาดรอยยิ้ม แม้จะอิดโรย เหนื่อยล้า จากภาระหน้าที่ที่แบกไว้บนบ่า



ปัง ปัง ปัง!



ท่ามกลางฟ้าสางสงบเงียบ เสียงกระสุนเจาะเกราะแหวกหวิว กรีดอากาศ กระหน่ำยิงใส่รถลาดตระเวนราวห่าฝน อาวุธสงครามร้ายแรงส่งลูกปืนมัจจุราช ทะลุทะลวงได้แม้กระทั่งเสื้อเกราะที่เหล่าทหารพรานสวมใส่



“อ๊าก!” กำลังพลที่งีบหลับ สะบัดดิ้นทุรนทุราย ปล่อยให้ความเจ็บปวดหวีดร้อง ด้วยท่วงทำนองโหยหวน เวทนา



ผู้กองดาริการู้สึกได้ถึงความชุ่มโชกของเลือดใต้เกราะหนา ชั่วพริบตา ความเจ็บปวดแล่นร้าวถึงไขสันหลัง บาดแผลแสบร้อนด้วยกระสุนวิถีโค้ง รสชาตราวเกลียวสว่าน หมุนทะลวงไปในลำไส้



“จ่าครับ… จ่า!”



เจ้าของคิ้วหนาขมวดมุ่น กัดฟันต้านความเจ็บปวด ผู้กองดาเขย่าเรียกร่างจมกองเลือดของพลขับ หากชายต่างวัยกลับไม่ไหวติง เลือดอุ่นข้น ไหลจากขมับถึงปลายคาง หยดลงเป็นสายสีแดงก่ำ ลูกกระสุนเจาะคว้านกระโหลก ผู้ที่กำลังจะกลับไปหาลูกเมีย ฟุบหน้าคาพวงมาลัยรถ สมองทะลัก ไร้ลมหายใจ



กลับไปไม่ถึงบ้าน…



“โถ่โว้ย!”



ผู้กองสบถ เจ็บใจ ฝนกระสุนอีกหลายร้อยนัดยังคงหลากไหล เจาะร่างพวกเขา แสบสัน จวนเจียนต่อความตาย




โครม



รถลาดตระเวนเสียหลักพุ่งชนเสาสะพาน แรงจนหน้าอกผึงผายประดับตราพยัคคาบดาบ กระแทกคอนโซลหน้าที่ถุงลมไม่ทำงาน เสียงซี่โครงหักเปาะ ทิ่มแทงทะลุปอด จนเลือดกระอัก คลุ้งคาวเต็มปาก



O Captain! My Captain!



โอ… กัปตันหนอกัปตัน



ลมหายใจผู้กองดาริการวยริน ขาดห้วง



ท่ามกลางถ้อยสำเนียงกำปนาทของไกกระสุน ในโสตกัปตันแห่งผองทหารพรานได้ยินเสียงเลือดในกายแต่ละหยด หยาดปรอย ชัดเจนเหมือนเสียงเม็ดฝนพร่างพรำ ตกลงแม่น้ำ ชุ่มโชก รดริน ขณะหัวใจเริ่มอ่อนล้า เต้นแผ่วลงทุกวินาที



But O heart! heart! heart!
  O the bleeding drops of red,
    Where on the deck my Captain lies,
      Fallen cold and dead.
            (O Captain! my Captain! ประพันธ์โดย Walt Whitman)



โอ… หัวใจ     หนอ          หัวใจ
หยาดหยด     โลหิตไหล   ดังชาดฉาน
ณ ดาดฟ้า      กัปตันข้าฯ   นิทรากาล
ร่วงโรยราน     เยียบเย็น    เซ่นความตาย



ตูม!



ระเบิดแสวงเครื่องเบ่งบานราวกลีบดอกไม้เพลิง กระแทก แผดเผา ให้สรรพสิ่งดับสิ้น หากประกายไฟกลับงามตระการตา ราวซุปเปอร์โนวา มหาดารายามแตกสลาย



เสี้ยววินาทีสุดท้ายแห่งชีวิต ถูกคร่าด้วยเปลวไฟประลัยกัลป์



พวกเขาทำลมหายใจหล่นหายระหว่างทาง…



☆☆☆
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๗ (บรรณ ๑ ) UP: ๑๐/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 11-03-2020 21:00:39
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๗ (บรรณ ๒ ) UP: ๑๒/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 12-03-2020 20:03:25
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๗ วิจฉิกา


รจนา: ทัดจันทร์




 
ราตรีนี้หฤทัยวิจฉิกะตารา เลื่อมรัศม์ภัสสรามิเพี้ยนผิดกัน


 
มหาฤกษ์ ครั้นพระสุริยาทิตย์โน้มพักตรา มอบจุมพิตอำลาแด่นวลแสงจันทร์ บุราณจารย์ท่านว่า พิภพเร้นซ้อนทับกาลเวลา เชื่อมมิติมาบรรจบกัน กาล มิติ ภูมิ และภพ เกี่ยวกระหวัด พัวพัน ประดุจนาคนั้นกลืนหางตัวเอง


 
มืด…


 
ณ สถานที่แห่งนั้น รายล้อมไปด้วยความมืดมนอนธกาล ไพศาลไปในความเวิ้งว้างอันเป็นเอนกอนันต์ ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากำลังลอยล่อง หรือจมดิ่งลงไปแห่งหนใด ยังอยู่ในห้วงจักรวาฬนี้ หรือจักราศีไหน เพราะในความว่างเปล่าอันมืดสนิทชั่วนิจนิรันดร์ สภาวะนั้น ไร้ทิศ ไร้แสง ไร้ลมหายใจ ไร้กาลเวลา ไร้ร่าง ไร้อัตตา ไร้ตัวตน


 
จะเรียกว่า… เขา เธอ หรือ ฉัน ก็เกินคิดคำนึง ไม่รู้ซึ้งว่าแท้จริงแล้วเป็นใครแต่ใดมา เนิ่นนาน ในห้วงของความเป็นอนัตตา กลางเวหาแห่งอนาตมัน อันหาสภาวะจริงแท้ไม่ได้ ประจุประกายหนึ่งแวบวาบขึ้นในดวงจิต ราวสายวัชระ ปรารถนาทรงพลานุภาพแรงกล้า เริ่มก่อเกี่ยวเหนี่ยวรั้ง


 
ไม่!


 
จะไม่ยอมตระบัดสัตย์


 
สัญญา. ต้อง. เป็น.


 
สัญญา!


 
พลัน ประหนึ่งมวลทั้งหมดเนรมิตรรูป อวตารร่าง แรงดึงดูดมหาศาลฉุดกระชากให้หล่นลึก ดำดิ่ง วูบไปในห้วงทะเลแห่งแสงประกายประหลาด เลื่อมพราวด้วยเฉดสีนับล้านที่นัยน์ตาไม่เคยประสบพบเห็น เหมือนร่างกายหมุนคว้าง พุ่งผ่านสิ่งที่คล้ายไอผงมุกตำละเอียด ระยิบนวล ม่านหมอกนั้นเคลื่อนไหว ฟุ้งไปราวมีชีวิต คล้ายเนบิวลาแห่งแสงที่งดงาม เกินอักขระจะจารจรดพรรณนา


 
วูบวาบ จับตา ตรึงใจ


 
จิตานุภาพเคลื่อนที่ไปในห้วงสภาวะแห่งแสง รวดเร็วกว่าสิ่งใดในจกฺกวาฬจะเทียมเทียบ ฉับพลัน แรงโน้มถ่วงมหาศาลกลับกระชากดวงจิต ให้ดิ่งลงในห้วงเหวลึก เหมือนคนฝันร้าย ประหนึ่งตกวูบลงไปในหลุมดำบนเตียง


 
ฟุบ


 
ราวดาวหางกลางอวกาศ โคจรพุ่งทะยาน กระแทกบางอย่างเข้าอย่างจัง ไอผงมุกระยับคละคลุ้งจากแรงกระแทกนั้น วูบพรายไปทุกไออณู ก่อนผงละเอียดราวประกายเพชรจะฉานแสงระยับเป็นครั้งสุดท้าย


 
วับวาว ระยิบหาย อันตรธาน


 
มืด…


 
อีกครั้งที่ตกอยู่ในหุบห้วงของความมืดมนอนธกาล หาก ณ สถานที่แห่งนี้ กาลเวลาอุบัติ เริ่มเดิน และทุกองคุลีแห่งความรู้สึก กลับเต็มแน่นไปด้วยความหนักอึ้งในมวลของทุกสรรพสิ่ง
 


ดาริการู้สึกเหมือนคนจมน้ำ กำลังจะตาย ปานประหนึ่งดำดิ่งอยู่ในห้วงมหรรณพลึกล้ำ เชี่ยวกรากไปในเกลียวกระแสธารา ขาดอากาศหายใจ ร่างสะโอดสะองค์ แบบบาง ยันกายผลุดลุกขึ้น โกยอากาศ สูดเฮือกเข้าไป ทั้งปาก ทั้งจมูก ตระกรามในลมปรานปัสสาสะ ราวไม่เคยหายใจมาก่อนกระนั้น


 
ใบดาบฟาดฟัน กรีดเสียงหวีดหวิวในโสตจนหูชา ความสว่างของตะเกียงและเปลวปลายเทียนตกกระทบแก้วตาจัดจ้าจนแสบสัน ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อโสตและจักษุเริ่มปรับจนคุ้นชิน สิ่งที่ได้สดับทรรศนา กลับทำให้ดวงตาต้องเบิกโพลง


 
สิ่งที่รายล้อมรอบตัวคือกองเลือดและซากศพ! ดวงตาเหลือกลานไร้ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่ง จ้องถลนมองมา มันส่อแววหวาดกลัว ร่ำร้อง ขณะที่บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นไอฆ่าฟัน ดาบปะทะดาบ สะเก็ดไฟแวบวาบยามคมศาสตราเหล็กกล้า สัมผัส ประหัดประหารกัน บุรุษผู้หนึ่งถูกเด็กหนุ่มสังหาร ฟันสะพายแล่ง โลหิตเจิ่งนอง ชาดฉาน กายขาดสองท่อน ล้มลงแดดิ้น
 


ฝันหรือไร… หากแล้วไฉนรอยเล็บที่จิกลงฝ่ามือตัวเองจึงเจ็บแสบนัก ร่างแบบบางจำได้ เขาตายในกองเพลิง ระเบิดแสวงเครื่องใต้สะพาน เบ่งบานราวอ้อมแขนยมทูต กางอ้ารับ แล้วไยเมื่อฟื้นจากความตายอันมืดมัว ยังพบเจอกลิ่นอายฆ่าฟัน สัมผัส ความรู้สึก สัทท์เสียง แม้กระทั่งความสั่นสะเทือนของแผ่นพื้นกระดานยามฝ่าเท้าวิ่งปรี่กระโจนใส่กัน ชัดเจน เหมือนจริง


 
ใบดาบสีเงินวาวจารสลักอักขระยันตรา เปรอะโลหิต หล่นกระแทกพื้น เสียงกระแทกตึงของมันดึงผู้ที่กำลังสับสนให้หลุดจากภวังค์ ด้ามดาบหมุนจรดปลายเท้า ดาริกาเห็นเด็กหนุ่มผู้เคยกวัดแกว่งดาบนั้น ยามนี้ต้องกระโจนโลดโผน หลบคมดาบของศัตรู ใบหน้าคมคายของเด็กหนุ่มผู้นั้นเริ่มส่อแววตระหนก หยาดเหงื่อผุดพรายตามกรอบหน้า ขับเค้าความงามแห่งรูปโฉมโนมพรรณ ทำให้ผู้ที่เพิ่งตื่นฟื้นลืมตา ประทับ ตรึงตรา หมายจำ


 
มยุ… นามนี้ผุดมากลางใจ เหมือนจำได้ คล้ายเคยรู้จัก เคยผูกพันกันจากที่ไหนสักแห่ง ในห้วงเวลาอันไกลแสนไกล น้องคอย… เจ้าของร่างระหงส์แบบบาง รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น อย่างไม่อาจล่วงทราบถึงสาเหตุ ราวพบเจอคนรู้จักขณะหลงทาง ท่ามกลางสถานที่ประหลาดแปลกตา ไม่คุ้นชิน


 
ไม่นะ ชายชุดดำ พันผ้าปิดหน้าสีเดียวกัน กำลังเงื้อดาบ หมายปลิดชีวิตเด็กหนุ่มผู้นั้นให้ตกตายคามือ ดาริกาคว้าด้ามศาสตรา ผุดกายลุกขึ้นโดยไม่คาดคิด ความรู้สึกและสัญชาตญาณชักนำ ร่ำร้อง ให้ปกป้องคนที่เพิ่งพานพบหน้า


 
“ไปตายซะ!” มือสังหารประกาศกร้าว


 
“ยุ!!!” เสียงตะโกนก้องของบุรุษสรรภางค์สูงใหญ่ ทรงสังวาลสายนิลกาฬ ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยเช่นกัน


 
เมื่อเหล็กน้ำพี้เสียบทะลุช่องท้องของชายชุดดำจากด้านหลัง หยดเลือดอุ่นกระเซ็นจากบาดแผล สาดใส่หลังมือ ยิ่งตอกย้ำถึงความเป็นจริง ใช่เป็นเพียง ‘ฝัน’ ความหยุ่นของเนื้อมนุษย์ยามคว้านใบดาบพาดผ่าน ให้ความรู้สึกสยดสยองอยู่ลึก ๆ หากต้องห้ำหั่นกันแบบประจันหน้า ยามเห็นแววตาเบิกกว้างของความตาย คงน่าขยาดพิลึก


 
บุรุษนักฆ่าปริศนาทิ้งร่างล้มลง สิ้นใจในดาบเดียว


 
มยุและหริสสาหลากพระทัยล้นประมาณ ขนิษฐาไม่เคยจับดาบ นับประสาอะไรกับฆ่าฟันศัตรู หากทั้งสองพระองค์แทบจะทรงลืมไปเสียสิ้นว่า วรองค์ของดาริกา เคยหล่นร่วง โรยรา สิ้นใจ
 


“ช่วยบอกผมที นี่ที่ไหน” ดาริกาเพิ่งรับรู้ ตัวเองคอแห้งแทบเป็นผุยผง ร่างไร้เรี่ยวแรงจนต้องใช้ปลายดาบค้ำยัน


 
“ดาริ” ใช่ บุรุษทรงสังวาลช่างคุ้นหน้า กำลังปรี่เข้ามา หริสสาเอื้อมหัตถาหมายคว้าร่างน้องยามาตระกอง ทว่ากลับโดนฝ่ามือเรียวนั้นปัดป้อง


 
“อย่าครับ… ผมคิดว่าผ้าพวกนี้มีพิษ!”



☆☆☆




Writer's Talk


วิจฉิกา แปลว่า แมงป่อง อาศิรวิษสัญลักษณ์กลุ่มดาวราศีพิจิก อันเป็นดาวประจำตัวผู้กองดาริกา และหากสังเกตดี ๆ ยามสิ้นชีวิตของผู้กองและเจ้าหญิงน้อย ห้วงเวลานั้นคือจังหวะที่พระจันทร์และพระอาทิตย์เดินทางมาบรรจบกัน ภายใต้ผืนฟ้าที่ดาราแดงกลางหัวใจแมงป่องชัชวาลเหนือดาวทั้งปวง


 โบราณว่าเวลาที่สุริยันจันทราอยู่บนผืนฟ้าเดียวกัน ภพต่างๆจะเชื่อต่อกัน ภพที่ว่าไม่ใช่ โลกมนุษย์ นรก สวรรค์ หากแต่เป็น มนุษย์ภูมิ สวรรค์ และ... บาดาล


บรรณนี้พรรณนายากพอสมควร ด้วยเขียนถึงอันตรภาวะ คือภาวะแห่งจิตที่อยู่ในภพกลาง ระหว่าความเป็นตาย จึงต้องค้นทั้งทางพุทธศาสตร์และพราหมณ์ เพื่ออธิบายถึงสภาวะหลังความตาย ความว่างแห่งจิต ความเป็นอนัตตา ปราศจากตัวตน และความเป็นปรมาตมัน เหนื่อสิ่งอื่นใด ยามเมื่อ 'จิตสร้างรูป' เมื่อจิตยึดติด ตัวตน และคำสัญญา จิตานุภาพแห่งมนุษย์จึงสำแดงพลังมหาศาล (แล้วจะมีการอธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้เข้าในมากขึ้นในสรรคะถัดๆไป)


บรรณนี้จึงเขียนมาค่อนข้าง abtract และ fantasy พอสมควร แต่ based on ชุดความรู้พุทธศาสตร์และเทวศาสตร์เท่าที่รู้และศึกษามา... จึงใช้อักขระวาดภาพให้ออกมาสวยงามเท่าที่จะทำได้ หวังว่านักอ่านจะเพลิดเพลิน สนุก ระทึกไปกับทุกตัวอักษร


ขอบคุณสำหรับทุกการติดตามและกำลังใจ


รัก,
ทัดจันทร์
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๗ (บรรณ ๓ ) UP: ๑๔/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 14-03-2020 18:10:27

ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๗ วิจฉิกา

รจนา: ทัดจันทร์




 
ราตรีที่ล่วงผ่าน เป็นคืนที่พิมานสมเด็จพระยุพราชวุ่นวาย โกลาหล นางสนองพระโอษฐ์ กำนัลใน แอบเยี่ยมหน้า ชายตา มองโอรสาธิราชตักโกลาอุ้มร่างอิสตรีนางหนึ่ง ขึ้นตำหนักไป ทูลกระหม่อมทรงรับห้ามอีกแล้วกระนั้นหรือ ช่างเป็นความอยากรู้ปนเสียดายของเหล่านางพระกำนัล พวกเจ้าหล่อนแอบหมายหวังในหัวใจ สักวันอาจมีวาสนา เป็นสนมนางห้ามในสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์ใหญ่


 
“ตามหมอหลวงมาที” สุรเสียงกังวาลห้าว ตรัสขึ้นเมื่อทรงก้าวออกมาจากห้องบรรทมเล็ก


 
ครานั้นพวกหล่อนจึงได้รู้ สตรีผู้นั้นคือยอดดวงใจของภารดา ทูลหม่อมน้อยดาริกา ทรงหมดสติอยู่บนพระแท่น อย่าว่าแต่เชษฐาหรือพระบิดาเลย แม้แต่นางข้าทาส บริวาร ใครต่อใครก็รักและเอ็นดูทูลกระหม่อมน้อย


 
‘เราให้’ ในยามที่ไม่ได้ประชวน ทรงกรองร้อยพวงผกาด้วยองค์เอง หัตถ์เรียวเล็กยื่นประทานให้ เพราะทรงดำริว่าจะสามารถหลอกล่อเหล่านางกำนัลราชบริพารได้สำเร็จ ครานี้ ถึงได้เอ่ยขอในสิ่งที่ทรงประสงค์ ‘มาเล่นกันเถอะ’


 
เจ้าหญิงน้อยผู้แสนเดียวดายพระองค์นั้น ทรงเป็นมิตรกับทุกผู้ทุกนาม ใครเลยจะไม่รักไม่หลงนาง เพียงได้ยินรับสั่งให้ตามแพทย์หลวง บรรดานางสนองพระโอษฐ์แทบวิ่งกันกรูกราว เร่งตามตัวหมอให้เร่งรุดมาทันควัน


 
เมื่อเลยยามสองมาได้กึ่งหนึ่ง มหาดเล็กราชองค์รักษ์เร่งเข้าเฝ้าเป็นการด่วน ด้วยเกิดเหตุอุกฉกรรจ์ ณ การท่า ราตรีนั้นจึงวุ่นวายกันทั้งพระตำหนัก พลทหาร ราชมัล ฝ่ายพระคลัง ตุลาการ วิ่งเข้านอกออกใน มิได้ว่างเว้น จวนใกล้รุ่ง มณเฑียรพิมานจึงคืนสู่ความสุขสงบ
 


อรุณรุ่ง ขบวนนางสนองพระโอษฐ์อัญเชิญพานพระศรี อ่างล้างพระพักตร์ พร้อมด้วยเครื่องประทินพระฉวี หมอบบังคมลงยามหริสสาเสด็จผ่าน ชายพระภูษายกดิ้นทอง ลายเครือเถาเบญจมาศ นุ่งจีบชายพก คาดทับด้วยรัดพระองค์ชมพูนุชฝังวิเชียรมณี หยุดอยู่เบื้องหน้าพวกนางที่กรานก้ม องค์สมเด็จพระยุพราชทรงมีรับสั่งด้วยบริวารกำนัลใน


 
“ฝากพระองค์หญิงด้วย และห้ามคนเข้านอกออกใน ยามที่ข้าไม่อยู่”


 
“เพคะ”
 


นางสนองพระโอษฐ์อภิวาทกรานกราบ นายเหนือหัวแห่งตน


 
ชายพระภูษายกดิ้นทอง ยุรยาตรจรัญจร ปานแสงจันทราหายลับไปจากนภาราตรี จริงอยู่ที่เหล่าสตรีนางกำนัล เคยได้ยินมุขบาฐอันเล่าสืบกันมาว่า กระต่ายที่หมายบุหลัน มิเคยมีตัวได้ได้ขึ้นไปตำข้าว ณ ห้วงหาวนั้น แม้นพร่ำมองจันทร์...จนตราบชั่วสิ้นชีวี รู้ทั้งรู้ หากพวกนางกลับหวังเล็ก ๆ ในหัวใจ บุรุษสง่างาม สรรพางค์สูงใหญ่ อาจชายพระเนตรมอง


 
ดั่งพระจันทร์    จรข้าม    นภากาศ
สีหนาท          องอาจ    ประภัสสร
ยุพราช           หริสสา    ทิวากร
ดั่งกินนร         บินลับลา  หิมาพวัลย์


 
สมเด็จพระยุพราชเสด็จประทับนั่งเหนือเสรี่ยงงาประดับนาก คานหามไม้สักทองประดับโลหะนากสลักเศียรพญาอนันตนาคราชแผ่พังพาน สำแดงสัญญะแห่งความเป็นหน่อเนื้อขัตติยา กษัตราคมสัน เข้มคร้าม สง่างามเหนือทิพยานนาก ตามพระราชฐานนันดร พระอภิรุมชุมชาย เศวตฉัตรเครื่องสูงทำด้วยผ้าปักหักทองขวาง ซ้อนกันห้าชั้น พริ้วไปในกระแสวายุพร่างแผ่วรับอรุณ ฉัตรก้านทองถูกเชิญเข้ากระขบวนแห่ สมพระเกียรติ บังแทรก บังสูรย์ พยุหะพลหาบ พร้อมสรรพ


 
กษณะนั้น สายลมอ่อนหอบเอากลิ่นหอมของมวลมาลีในอุทยานโชยมา ใบไม้ต้องลมลู่ไหว ราวกำลังโค้งคำนับต่อพระโอรสาธิราชตักโกลา เมื่อเสียงย่ำกลองวินิจฉัยเภรีแว่วมาในกระแสปราณแห่งวายุเทพ ริ้วขบวนพยุหยาตราแห่งสมเด็จพระยุพราชจึงออกเคลื่อน


 
เจ้าชายหริสสาเสด็จทรงงาน ด้วยภาระหน้าที่อันเร่งด่วน ณ การท่า สถาณการณ์วุ่นวาย เป็นเหตุให้ต้องแต่งริ้วขบวน ยาตราไปขจัดปัญหา สร้างขวัญกำลังใจแด่อณาประชาราษฎร์ เพราะทุกข์ร้อนของพสกนิกรคือหน้าที่อันอุกกฤษ์แห่งขัติยราชกุมาร สมเด็จพระโอรสาจำต้องขจัดปลดเปลื้องให้สิ้นไป ขัตติยะธำรงอยู่ด้วยหน้าที่ ดั่งสมเด็จพระบิดาทรงย้ำสอน กำเนิดเป็นกษัตริยาจักต้องกระทำหน้าที่แห่งตนเพื่อประโยชน์สุขแห่งประชาอย่างเต็มกำลัง พสกนิกรต้องมาก่อนตน อุปสรรค์อันเป็นภัยต่อปากท้องและความปลอดภัยของหมู่ชน องค์ยุพราชเมินเฉยอยู่ได้ยาไฉน ต้องเร่งกำจัด


 
เพราะเหตุอันอุบัติ ณ การท่า เป็นอื่นไปมิได้นอกจากการสงคราม!


 
ในฐานะขุนต้นศึกองค์แม่ทัพ ตักโกลาจะโต้กลับอย่างสาสม


 
☆☆☆
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๗ (บรรณ ๔ ) UP: ๑๖/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 16-03-2020 13:29:10
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๗ วิจฉิกา



รจนา: ทัดจันทร์


บรรณ ๔




“โอม... นมัส ศิวายะ”



กล้วยไม้ป่าสีม่วงสดวางถวายเหนือพานทองคำ



สองกรประณตอัญชลี เบื้องพระพักตร์เทวรูปศิวะนาฏราชหล่อสำริดเก่าแก่ ดรุณหนุ่มยังสวมพาหุตราณำ(๑) ติดพาหา หลักฐานบ่งชัดว่าแอบเข้าวนา ฝึกศาสตราธนูรเพท เกาทัณฑ์ อิษุศรในกระบอกหายเกลี้ยงเพราะแผลงหลุดจากแล่งไปจนสิ้น



สุรสำเนียงโอมอ่านเดวะมันตราภาษาสํสฺกฤตลื่นไหล ท่วงทำนองเทพมนต์ฉ่ำเย็นราวสายน้ำ ปานอมฤตาธารพรมพร่าง พรูพราว เปลวเทียนบูชากระพริบไหวภายในห้องที่ไร้กระแสลม ประหนึ่งเทวรูปนาฏราชโบราณ ยาวนานกว่าหกศตวรรษ ตอบรับสักการ ปูชะยา



“โอม กระปูระเคารัม กรุณาวะตารัม…”



“ชาน~ดรา” เสียงป่าวก้องยานคางดังมาจากด้านนอก “นี่ปัณฑิ เห็นชานดราบ้างฤๅไม่ ข้าตามหาให้วุ่นเสียทั้งวัน ไม่รู้ไปหลบอยู่หนไหน ที่พะเนียด(๒)ก็ไม่เจอ แล้วนี่เกวียนใคร โสโครกสิ้นดี”



ขนงหนาแทบจะพาดเข้าหากันภายใต้ผ้าฝ้ายย้อมครามโพกพันศิระ หากเสียงรบกวนจากภายนอกมเหศวรวิหาร(๓) มิอาจทำให้สัปบุรุษวัยดรุณ หลุดจากอาการสงบรำงับ ผู้ถวายยัญญกรรมยังพยายามข่มจิต ให้แน่วนิ่งอยู่กับการสังวัทยายมนตรา



“… สัมสาระสารัม ภุชะเคน ทระหารัม

สะทาวะสันตัม หะริทะยาระวินเท…”



“เอ๊ะ นั่นดาบของจันทร์นิ” ผู้พูดเห็นดาบคู่ด้ามงา บนหลังเกวียนไม้ประดู่แดง “โถ่ หนีเราไปเที่ยวป่าคนเดียวอีกแล้วรึ ดาริกาบดี”



ศิวะเทพอิศวรมนต์สะดุดพลัน ดรุณผู้พร่ำสวดมันตรานั้นผ่อนปราณยืดยาว…



“… ภะวัมภะวานิ สะหิตัม นะมามิ”



ร่างสูงก้มลงกรานกราบเทวรูปสำริด เร่งจบพิธีสักการบูชาโดยยังมิทันได้สวดถวายร่ายกลศึก ดรุณในภูษาใยฝ้ายย้อมสีเปลือกไม้ผืนสั้น นุ่งหยักรั้งแนบโคนขา ผลักบานทวารอิศวรวิหารเปิดอ้าออก ส่งให้แสงจากภายนอกฉาบดวงหน้า พักตราคมรับฉวีสีนวลน้ำผึ้ง ดุดัน ปั้นบึ้ง เพียงยินคำ ‘ดาริกาบดี’ คำเดียว



ผู้แต่งกายเยี่ยงไพรพรานชาวป่า ก้าวขายาวผ่านธรณีประตู มัดกล้ามมังสาแนบโคนอูรุเห็นเป็นริ้วหนั่นหนา พาให้ดรุณรูปงามปรากฏวรกาย เบื้องหน้ายุวขัตติยาผู้ทรงชฎาทองอำพัน



“เรายังไม่ได้เป็นบดีใคร!”



อังสาผึงผายหยัดตรงภายใต้เสื้อไร้แขนคอกว้าง ย้อมดำด้วยลูกมะเกลือ ที่ผู้สวมใส่ไม่ใยดีจะผูกร้อยเชือกด้านหน้า เผยอุระและกล้ามมังสานาภีเป็นลูกลอน นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ใต้แพขนตาหนา สบมองขัตติยะหนุ่มทรงสังวาลรัตนชาติหลากสี จูงอัสดรขาวพ่วงพีอยู่ใต้ต้นมะตูม



“แล้วคำไหนที่เราหมายถึงจันทร์” ยุวขัตติยาทรงอาภรณ์แพรวพรายถามกลับอย่างทันควัน



“อย่ามาพลิกลิ้น เราได้ยินกัลว่า ‘หนีไปเที่ยวป่าคนเดียวอีกแล้วรึ ดาริกาบดี’ ชัดเต็มสองหู”



“เหอะ” ผู้ทรงพาหุรัดฝังทับทิมเม็ดโตกอดอุระ พักตราบึ้ง “ยอมรับแล้วสินะ จันทร์หนีเที่ยว ปล่อยเรารับหน้าสมเด็จแม่คนเดียว ใช้ได้ที่ไหน”



“เราไม่ให้กัลใช้เราหรอก”



ดรุณผิวสีน้ำผึ้งบอกกับผู้ที่ทรงเครื่องสังวาลย์ทองเจ้าของฉวีขาวผุดผ่อง ก่อนที่ร่างสูงหนาในชุดพรานไพรจะแกะเชือกผูกควาย เตรียมขึ้นเกวียน



“จันทร์ จะไปไหนอีก”



“ไปหาความสงบ”



“สงบปานนั้น ไม่เข้าฌาณให้บรรลุเสียเลยล่ะ”



“ผจญมารอยู่นี่เล่า”



“เหอะ หาว่าเราเป็นมาราหรือดาริกาบดี พ่อโยคีหนุ่ม”



“กัลกิยะ” ผู้จูงมหิงสาเทียมเกวียนหยุดดำเนิน ยามใดที่ขานพระนามของอีกฝ่ายเต็มยศ หากไม่ทรงกำลังจะสนทนาด้วยหัวข้อสำคัญ ก็คงกำลังพิโรธโกรธา “ให้พูดกี่ครั้ง เรายังไม่ใช่ดาริกาบดี” คนพูดน้อยอยู่เป็นนิตย์ มักพูดมากเมื่อต้องแก้ตัวเรื่องคู่สมรส



“โกรธไย เก๊าะจันทร์ขอหมั้นเอง”



“สมเด็จแม่บังคับหรอก”



“ใช่ที่ไหน ทีกับธิดาไทรบุรี กะลันตัน ฤๅปะหัง สมเด็จแม่เคยจะทรงหมายหมั้นให้เช่นกัน จันทร์ยังคัดค้านมิไว้พักตร์ ไยจู่ ๆ เพียงพระบิดาเปรยคำ ‘ดาริกาเทวี’ ใครที่โพล่งขึ้นว่า ‘ลูกจะแต่งกับนาง’ ทั้งที่ปฏิเสธการสมรสมาตลอดหลายปี”



เมื่อไม่อยากต่อล้อต่อเถียง จึงเลี่ยงด้วยการขึ้นเกวียนเทียมควาย ซึ่งบรรทุกขนของป่าไว้เต็มเล่ม เขากวาง หนังสัตว์ รวมทั้งพืชพรรณหายาก ล้วนเบียดเสียดอยู่บนนั้น บ่งบอกถึงฝีมือการล่า และความเป็นพรานชำนาญป่าของผู้ปิดปากเงียบ มิยอมปริภาทพาทีด้วยผู้ที่ทรงม้าตามมา



พราหมณ์หนุ่มปัณฑิที่กวาดลานเทวสถานหอพระอิศวรอยู่ใต้ต้นมะตูมใหญ่ ส่ายหน้าหน่ายใจ ขึ้นชื่อว่าพระองค์จันทร์ หากมิยอมดำรัสถึงสิ่งใด ต่อให้เป็นเจ้าชายกัลกิยะ อนุชาฝาแฝด ก็ไม่สามารถง้างโอษฐ์ภารดาได้ พระนิสัยขรึม เงียบ ตรัสน้อย ดุ จริงจัง สมดังที่เป็นองค์อุปถัมภ์มเหศวรวิหารแห่งองค์ศิวะมหาเทพ ต่างจากอนุชา พระองค์นั้นซุกซน แพรวพราว เลี่ยงบาลีเก่ง สมที่เป็นองค์อุปถัมภ์หอนารายัณฝั่งตรงข้าม พราหมณ์ปัณฑิได้แต่หวังว่าทั้งสองจะไม่ทรงเถียงกันไปตลอดทาง



โอม ศานติ… ศานติ… ศานติ ขอความสงบสุขจงบังเกิด




มหิงสาฤๅจะว่องไวกว่าอัสดร อาชาสีขาวควบไปไม่ทันไรก็ไล่ทัน อนุชาบังคับม้าขวางกงเกวียนเปื้อนโคลนของภารดา เป็นเหตุให้ผู้เกล้ามวยโพกผ้า ถอนปราณปัสสาสะยืดยาว หน่ายหทัย จำต้องหยุดเกวียนไว้เบื้องหน้าผู้ทรงชฎาประดับพลอยอำพัน



“มีอันใดอีก” เจ้าของเกวียนปฤจฉาต่อน้องชายที่พักตราคล้ายกันทุกองคุลี “หากไม่สำคัญจงยั้งไว้ก่อน เราจะเร่งนำของป่าไปขาย” ผู้ที่จะสืบบัลลังก์แห่งนครอันมั่งคั่ง ตรัสราวเงินตราในท้องพระคลังไม่พอใช้กระนั้น



“ชานดรา” เสียงขานพระนามสำเนียงสํสฺกฤตคล่องลิ้น “เราตามหาทั้งวันก็ใช่จะมาพาทีเล่นหรอกนะ”



“เรื่องคอขาดบาดตายอันใด”



“แค่เกือบ ยังมิตาย”



กัลกิยะยื่นถวายม้วนกระดาษขนาดเล็กที่เคยผูกติดมากับขานกพิราบ ให้แด่ผู้เป็นภารดา ยามพระองค์จันทร์ได้ทรงอ่านเนื้อความในจดหมาย นัยน์เนตรคมคร้ามสีน้ำตาลไหม้กลับเบิกกว้าง ฉายแววดุดัน วรองค์สูง หนาหนั่น พลันกระโจนลงจากหลังเกวียน หัตถ์ใหญ่รวบศาสตราคู่ด้ามงาสลักเสลา สะพายเฉวียงบ่าซ้ายขวาอย่างรีบเร่ง



“ไยเพิ่งมาบอก” เจ้าชายแฝดผู้เชษฐาปฤจฉาร้อนรน ขนงหนาขมวดเครียดเคร่ง



“จะบอกตั้งนานแล้ว แต่จันทร์ฟังเราที่ไหน”



“ลงมากัล” พระองค์จันทร์ยื่นหัตถาให้อนุชาหลังอัสดร



กัลกิยะงวยงง หากทรงคว้ามือเชษฐา พยุงกายลงจากหลังม้าขาวพ่วงพี เพียงเสี้ยววินาที เจ้าชายชาวพรานไพรป่า กระโจนวรกายขึ้นทรงเหนืออานม้า หยัดปฤษฎางค์สูงสง่าราวอัศวินขุนศึก หัตถ์นั้นคุมบังเหียนแคล่วคล่อง ขณะเรียวขากระแทกสีข้างอาชา ให้วิ่งห้อทะยานไป



“ชานดรานั่นม้าเรา” อนุชาโอดครวญ “จะเร่งรุดไปไหนเล่าพ่อโยคี”




“ไปตักโกลา”



“อ้อ เคหาเจ้าหญิงดาริกายอดดวงใจ…” กัลกิยะสนทนากับฝุ่นตลบคละคลุ้งจากกีบเท้าม้าอย่างสราญหทัย หากยามฝุ่นผงจางจาก เชษฐาควบอัสดรจรลับไป เจ้าชายทรงพลอยอำพัน เสมือนได้คืนพระสติ “ห๊ะ! คอยก่อนท่านพี่ การณ์ใหญ่เช่นนี้ จะเสด็จลำพังได้เยียใด”




******ธรฺมรฏฺฐคีตา******


๑ พาหุตราณำ: ปลอกหนังหุ้มแขนสำหรับนักรบผู้ใช้ธนู



๒ พะเนียด: สะกดเหมือนชื่อซอย พะเนียด ตำบลปากนคร อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช สถานที่ซึ่งเคยเป็นเพนียดช้างในสมัยโบราณ



๓ มเหศวรวิหาร คือ หอพระอิศวร ตั้งอยู่ริมถนนราชดำเนิน อ.เมือง จ. นครศรีธรรมราช ตรงข้ามกับหอพระนารายณ์ เป็นโบราณสถานโบสถ์พราหมณ์ในศาสนาฮินดู ประดิษฐานศิวลึงค์ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของพระศิวะ รวมทั้งเทวรูปสำริดอีกหลายองค์ อาทิ เทวรูปศิวะนาฏราช พระอุมาเทวี และพระพิฆเนศ อาคารปัจจุบันกรมศิลปากรบูรณะเมื่อ พศ. ๒๕๐๙ จากอาคารเก่าสมัยอยุธยา จึงสันนิษฐานกันไปว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา หากแท้จริงหอพระอิศวรจะสร้างมาแต่ครั้งใดนั้นไม่ปรากฏชัด เข้าใจว่าคงสร้างรุ่นเดียวกับหอพระนารายณ์ ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ที่เจริญควบคู่มากับการตั้งถิ่นฐานของเมืองนครศรีธรรมราช ผู้เขียนจึงตั้งข้อสังเกตว่า หอพระนารายณ์ อันตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับหอพระอิศวร คนละฟากของถนนราชดำเนิน เป็นเทวสถานที่มีเทวรูปพระนารายณ์อายุประมาณ พุทธศัตวรรษที่ ๑๐ – ๑๑ ประดิษฐานอยู่ เทวรูปองค์นี้เป็นศิลปะแบบอินเดียที่เก่าแก่ที่สุดที่ถูกพบ ระยะเวลาในการสร้างเทวสถานทั้งสองจึงไม่น่าจะต่างจากเทวรูปที่ประดิษฐานนัก เช่นเดียวกับการขุดค้นแผ่นอิฐชั้นที่ ๕ ของวัดพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช บ่งบอกว่ามีอายุการสร้างมาแล้วกว่า ๑,๕๐๐ ปี ไม่ใช่เพียงแปดร้อยปีอย่างที่เคยเข้าใจกันมา มเหศวรวิหารแห่งนี้จึงเก่าแก่พอกับการสร้างบ้านแปลงเมืองของเมืองนครศรีธรรมราช
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๘ (บรรณ ๑ ) UP: ๑๙/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 19-03-2020 03:50:27
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๘ รุ่งรวี



รจนา: ทัดจันทร์








               ทุกครั้งที่มองฟ้า เราเห็นความตาย


               โดยไม่รู้ตัว... เราอาจเป็นพยานในการณ์ดับสลายของดาวดวงหนึ่ง


               เหนือผืนฟ้ากว้างสีดำสนิท แสงระยับของดาวฤกษ์นับล้าน เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์กลางแกนของดาวเหล่านั้น แผ่พลังงานมหาศาล ปลดปล่อยออกไปสู่ห้วงอวกาศ และหรือ บางครั้ง เกิดจากมหานวดารา การระเบิดของดาวยามสิ้นอายุขัย เหงนมองฟ้า เราเห็นรัศมีสว่างวาบระยิบตา ทอประกายแตะแต้มนภามืดมัว ความจริงดาวดวงนั้น... ตาย... แล้ว หากแสงสุดท้ายเพิ่งเดินทางมาถึง


               เราได้เห็นความตายของดวงดารา


               แหลกลาน พร่างพราว มืดมน


               ยามมหาดาราแตกดับลง นอกจากรัศมีจำรัสจ้า ดาวฤกษ์สิ้นอายุอาจทิ้งสิ่งที่ดำมืดที่สุด ทว่าทรงอำนาจทำลายล้างสูงสุดไว้เบื้องหลัง หลุมดำ ขุมความมืดมหาศาล เพชฌฆาตเงียบผู้พร้อมกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ให้หายลับลงไปในอุโมงค์แห่งความมืดมิด ด้วยความมืดก่อกำเนิดก่อนจุดเริ่มต้นของจักรวาล และจะยังคงตราบหลังกาลปวศาลแห่งดาราจักร มิใช่ความมืดหรอกฤๅที่ทรงพลานุภาพอุกกฤษ์เหนือพลังงานใดในอนันตภพ


               ในเงื้อมหัตถ์ของหลุมดำพลังมืด สรรพสิ่งทั้งปวง แม้แต่แสงก็ไม่อาจหลุดพ้น ราวตกอยู่ในห้วงน้ำวนขนาดใหญ่ แรงนทีโถมซัด หมุนคว้าง ดูดกลืนลับหายไปยังใจกลางดำสนิท มืดทมิฬ อำนาจมหาศาลแห่งความมืดกลบกลืน ลบสิ้น กระทั่งกาลเวลา...



               ณ ‘ขอบฟ้าเหตุการณ์’ อันเป็นพื้นที่ขอบเขตโดยรอบของหลุมดำ จุดที่ทุกสรรพสิ่ง แม้แต่แสงก็ไม่อาจเล็ดรอด ส่องกลับออกมา มณฑลแดนนั้น สสาร ที่ว่าง กาลและเวลา จะเกี่ยวกระหวัดพัวพัน เชื่อมอดีต อนาคต ปัจจุบัน ให้จรดถักทอ ดุจเส้นไหมแพรพรรณ ร้อยเรียงต่อกันเป็นผืนเดียว


               แสงที่ปกติเดินทางเป็นเส้นตรง ยังถูกหักงอ แล้วกลืนลับหายภายใต้แสนยานุภาพของหลุมดำ นับประสาอะไรกับเวลา ที่ศาสตร์สมัยใหม่ยืนยันว่าเป็นเส้นโค้ง มิใช่เส้นตรง ยามถูกดัดกดงอ แนวเส้นของปัจจุบันอาจตัดเชื่อมกับกาลของอดีต อนาคตอาจผ่านเลยไป หรืออยากรายใกล้ เพียงเอื้อมสัมผัส


               เช่นนั้น... ผู้กองจึงรู้สึกฉงนทุกครั้งที่มองฟ้า


               ทั้งที่ความลับมากมายของจักรวาลบังเกิดขึ้นต่อหน้า แต่เราไม่เคยรับรู้ เพราะแบบนี้หรือเปล่านะ พ่อถึงชอบมองดาว ร้อยเอกหนุ่มมักตั้งคำถามกับตัวเองในใจ แทบทุกครั้งที่เหงนมองนภา ยามคิดถึงบิดาผู้ล่วงลับ คืนนี้ก็เช่นกัน


               ดาวสวยพราวพร่างเหนือเรือใบล่องนที กล่อมจิตใจของผู้ที่ทอดสายตามอง ให้รับฟังเสียงของดวงดาว กระซิบเล่าความลับของจักรวาล


                               คระครืน                 สุรเสียง                  กำปนาท

                               อัสนีบาตร              ผ่านพาด               จากเวหน

                               ประกายฟ้า           ฟาดห้วง                   วารีวน

                               วัชระ                      ยังมิพ้น                  เงื้อมมือมาร


               กระแสอันเชี่ยวกรากของสายน้ำ หมุนวนเป็นระลอกกว้างด้วยพละกำลังมหาศาล กวาดกลืนทุกสรรพสิ่งให้จมหายไปยังใจกลางเกลียวสมุทรมืดทมิฬ


               เรือใบลำน้อยที่ดาริกาใช้ข้ามห้วงมหรรณพ ถูกคลื่นเชี่ยวกรากหมุนคว้าง กระชากเข้าไปในวังน้ำวนขนาดมหึมา วายุพัดอู้ หวีดหวิว กรีดใบเรือจนขาดวิ่น ผลักให้นาวาเร่งเข้าใกล้จุดกึ่งกลางของเกลียวนที ผู้กองดาริกาหวาดประหวั่น เขาเห็นหลุมนั้น ลึก กว้าง ดำสนิท


               นภาราตรีประดับด้วยร้อยพันแสงดาว ส่งเสียงครืนครึ้ม อัสนีบาตรแวบวาบ ผ่าฟาดลงห้วงนที เส้นแล้วเส้นเล่า อันตรธานหายสิ้นกลางหลุมมืดอเนกอนันต์ เรือนร่างหนาหนั่นล่องนาวากำลังสั่นกลัว ดาริกาตะโกนร้อง วิงวอนขอความช่วยเหลือ หากเสียงยังถูกกลืนหาย ความหวังดับวูบด้วยวายุกลางเกลียวนทีธาร


               กา กา กา...


               สกุนาร่ำร้อง วิเวกวังเวงแว่ว เหงนมอง เห็นอีกาฝูงใหญ่สยายปีกบินเหนือน่านฟ้า บดบังแสงดาว ปิดห้วงหาวจนมืดดำขมุกขมัว สัตว์กินซากเริ่มกระพือปีกโบยบินล้อมวง หมุนวนเป็นอุตราวัฏ ย้อนทวนเข็มนาฬิกา เช่นเดียวกับธารน้ำวนเบื้องล่าง ราวรับรู้ได้ว่าถูกมอง อีกาจึงโฉบลงมายังนาวาลำน้อย ตัวแล้วตัวเล่า จนท้ายสุด สกุนาทั้งฝูงพลันละทิ้งนภากาศ รี่โฉบบินวนเป็นวงแหวนอุตราวัฏวิถี ล้อมเจ้าของเรือนกายสูงหนา บ้างยั้งเกาะตามกาบเรือ จ้องจรดนัยน์ตาดำลึกมาทางผู้ลอยล่องเหนือเภตรา


               สุดประหลาด อีกาฝูงนี้... ขนสีชาดก่ำแดง


               ไม่!


               ฉับพลัน กาแดงทั้งฝูงรุกรี้เกาะเกี่ยวกรงเล็บ ปรี่หามร่างบุรุษหนาหนั่นทะยานฟ้า เหวี่ยงเข้าสู่ใจกลางผืนสมุทราหมุนวน ดาริกาตกลงไปในหลุมอุโมงค์มืดดำ ระหว่างทางเส้นนั้น กระแสลมกรีดปั่น บดขยี้สรรพสิ่งให้แหลกลานเป็นจุน เมื่อพ้นเบื้องปลายอุโมงค์จึงพบกับความว่างเปล่า มืดสนิท เป็นอนันต์


               ไร้กาลเวลา ไร้อัตตา ไร้ตัวตน


               ณ สถานที่แห่งนั้น อนาตมันแผ่ไพศาลเหนือคณา ร้างไร้ซึ่งทิศาแลภัสสราจำรัสแสง พลังงานมืดคลี่คลุมกลบกลืนทุกเขตคาม ทรงพลังดังองค์วสวัตตีมาราธิราช ยังส่ำสัตว์ไว้ในพระราชอำนาจ ณ จกฺกวาฬมืด ไม่มีแม้นแสงดาวสักดวง


               “ไม่นะ อย่า!”


               ดาริกาผวาตื่นกลางราตรีดึกสงัด ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจกรีดทำลายความเงียบแห่งปัจฉิมยาม ระรัวก่องโครมครามอยู่กลางทรวง เหงื่อกาฬเปียกชื้นผุดพรายทั่วสรรพางค์ ลมหายใจหอบถี่ราววิ่งหนีหนักหน่วงออกจากฝันร้าย นิมิตแห่งจกฺกวาฬมืด ดำสนิท คลับคล้าย... เคยพานพบ


               พลังมืดน่ากลัว ทำจิตใจหวาดไหว


               มือที่ทาบอยู่บนอกรับรู้ได้ถึงอาการเต้นถี่ของหัวใจ หาก... บางอย่างแปลกไป ความโค้งนูน ตูมเต่ง ให้ความรู้สึกประหลาดอันมิเคยจับต้องได้จากกายตน  ใช่ว่าไม่เคยสัมผัส แต่... มันต้องไม่ใช่จากหน้าอกตัวเอง!


               “ไม่มั้ง... คงไม่ใช่” ดาริกานิ่วหน้าฉงน ทว่าส่วนลึกในหัวใจกรีดร้อง “อีกทีน่า เพื่อความชัวร์”


               นิ่ม


               “ห๊ะ ชักจะยังไงละนา... ต้องลองอีกที”


               นวล


               “ฮื่อ ทำไมใจหวิวล่ะเรา”


               เต่ง


               “อืม... แบบนี้ก็ไม่แย่เท่าไหร่”


               ตึง


              “เฮ้ย ไม่! ต้องไม่ใช่จากหน้าอกตัวเอง!!”


               ดาริกาสะดุ้งโหยง ดีดผึงลงจากเตียง หันซ้ายเหลียวขวาก่อนจะเจอสิ่งที่มองหา กระจกสำริดสะท้อนแสงตะเกียงไขไส้แวบเข้าหางตา จากนั้นจึงเอื้อมไปไขว่คว้าผืนภูษาที่พับไว้บนตั่งเตี้ยชิดแท่นบรรทม


               ผ้าไหมปักดิ้นเงินฝีมือช่างปัลลวะสะบัดคลี่คลุมคันฉ่องสำริดบานยาว ปิดทับเนื้อกระจกจนมองไม่เห็นเงาสะท้อน มือบางถูกกันไปมา ขณะสองเท้าย่ำวนเหนือพรมเปอร์เซียร์ขนลูกแกะทอมือ ลวดลายสิงห์สากลางวนาไพร มัดไขว้ปมละเอียดประณีตราวมีชีวิต หากเจ้าของปลายนิ้วเยียบเย็นมิได้ใส่ใจทรรศนาความวิจิตรการแห่งงานหัตถศิลป์ เอาแต่เดินวกวนไปมา เบื้องหน้าคันฉ่องวิลาศวิไล


               “ไม่จริง เป็นไปไม่ได้” ดาริกาปลุกปลอบตัวเอง “บางทีเราอาจเข้าใจผิด ใช่... คงเพราะยกเวทมากไป อืม... ไม่มีอะไรต้องกังวล”


               เมื่อโน้มน้าวตัวเองได้ดังนั้น สองเท้าพลันหยุดนิ่ง เหนือผืนพรมลาดพื้นไม้สักขัดเงา ทำใจกล้าจับชายผ้าไหมปักดิ้นเงินพราวระยับ และในเสี้ยววินาทีที่กระตุกชายภูษาปิดทับกระจกจนปลิวติดมากับมือ ดาริกากลับฉุกคิดได้ว่า พักหลังมานี้ชีวิตและการงานวายวุ่น จนไม่เหลือเวลาให้ปลีกตัวเข้ายิมอย่างที่เคยทำเป็นกิจวัตร เช่นนี้ย่อมต้องมีเรื่องหนัก ‘อก’ ให้วิตกกังวล


               พรึบ


               ผ้าไหมพลิ้วกายลงจากกรอบสำริดสลักเสลา ชายภูษาสะบัดกลางอากาศอ่อนช้อยราวท่วงท่านางอัปสราร่ายระบำ ดาริกาลุ้นระทึกเสียยิ่งกว่ายามโรงละครแหวกม่านเปิดการแสดง ผ้าไหมผืนงามปลาสนาการลงจากบานกระจก ระบายชาย โบกโบย ไหวพลิ้วไปกับปราณลม ในความรู้สึกแห่งผู้รอคอยช่างแช่มช้า ครั้นภูษาผืนบางปลิดปลิวติดมือ ใจกลับอยากรั้งให้เสี้ยววินาทีทอดนานขึ้นไปอีกนิด


               บางครั้งเวลาเพียงเสี้ยววินาที กลับยาวนาน ทรงคุณค่า และมีความหมายมากมายโดยที่เราคาดไม่ถึง


               แสงอ่อนโยนของตะเกียงน้ำมัน ทาบประกายเหลืองนวล กระทบเนื้อกระจกโลหะสำริด ขัดเกลี้ยงจนมันวับ แผ่นโลหะเรียบใสจึงสะท้อนภาพของผู้ที่ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า แม้บางคราวภาพที่เห็นจากกระจกจะฉายนฤมิตมายาลวง ทว่าครั้งนี้ดาริการู้ดี เงาที่เห็น เที่ยงแท้ เป็นสัตยะ


               ไหมบางพลิ้วร่วง หลุดจากมือที่กอบกุม ทิ้งตัวนิ่มนวลปานขนปักษายามหลุดจากปีกกลางสายลม ภูษางามทอดกายคลุมแทบบาทบงสุ์ ดาริกากลับมิอาจใส่ใจ เพราะตืดอยู่ในห้วงภวังค์ลึกล้ำเกินถ่ายถอน...


                              เงาที่เห็น                  ไม่เป็น                  เช่นวาดหวัง

                               เงาที่รั้ง                   ยั้งอยู่                    ชูสงสัย

                               กระจกเงา             เจ้าเอ๋ย                   เผยผู้ใด

                               ไม่ถามไถ่               ใครงามเลิศ           ในปฐพี


               ราวเวลาถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ ดาริการับรู้ได้ถึงความชาวาบแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์ ลมอาปานปัสสาสะขาดห้วง ในจังหวะที่หัวใจหล่นหายลงกลางทรวง ภาพที่ประจักษ์แก่คลองสายตา ทำให้ถ้อยคำนับร้อยพันไม่อาจพรั่งพรู กลับปลิวลับไปพร้อมห้วงหายใจที่เหือดหายอันตรธาน


                               เนื้อกระจก             สะท้อนเงา             ของสาวน้อย

                               อัปสรา                   ฤๅคลาคล้อย        จากสวรรค์

                               ปรนิม                     นิรมิต                     มิเทียมทัน

                               ดาริกา                   วิลาวัณย์               จอมขวัญตา


               สาวน้อยคนนั้นงดงามราวภาพฝัน และควรเป็นเพียงความฝันถ่ายเดียว ไฉนถึงเป็นอื่น ดาริกาสัมผัสความจริงในทุกองคุลีที่ผ่ามือลูบผ่าน แตะจับดวงหน้า พักตราตัวเอง


                               นวลปราง              คางเนตร               เกศขนง

                               งามทรง                 นงลักษณ์              มารศรี

                              เป็นหญิง                จริงแล้ว                 ล่วงฤดี

                               ไยชีวี                      มิกลับกลาย          เป็นชายชาญ


               อดีตนายร้อยหนุ่มไม่เคยถวิลหาตัวเองเท่านี้มาก่อนในชีวิต “ม่าย!! เอาคนเก่าคืนมา!”


               เสียงหวีดร้องจากห้องบรรทมเล็ก ปลุกให้นางสนองพระโอษฐ์ที่นอนเฝ้าอยู่หน้าบานพระทวารเร่งรุดเข้ามาด้านใน เงาตะคุ่มของเจ้าหญิงน้อยจิกทึ้งเกศา ทำเอาหัวใจนางพระกำนัลตกร่วงลงแทบเท้า เงาดำสยดสยองเช่นนี้ พรายภูตหลุดมาจากสัมปรายภพเป็นแม่นมั่น


               “ว้าย ชะ ช่วยด้วยเจ้าข้า ผีหลอก”


               “เฮ้ย คุณเป็นใคร”


               “ไม่นะ มันจักเข้ามาฉีกอกข้าแล้ว กรี๊ด”


               และแล้ว... พิมานแห่งสมเด็จพระยุพราชตักโกลาที่เคยเงียบสงบมาตลอดราตรี ก็ถึงกาลสะดุ้ง ตื่นจากบรรทม พร้อมกับที่แสงเรืองของพระสุริยาทิตย์ยามรุ่งรวี โผล่พ้นเส้นขอบฟ้า ทุกชีวิตในพระพิมานจึงเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยความโกลาหล




************
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๘ (บรรณ ๒ ) UP: ๒๑/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 21-03-2020 15:54:24
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๘ รุ่งรวี



รจนา: ทัดจันทร์






               “มิเข้าไปฤๅ” นางผู้อัญเชิญพานพระศรีไต่ถาม



               “เจ้าแหละเข้าไปก่อน” สตรีผู้ประคองอ่างสรงพระพักตร์บ่ายเบี่ยง



               “โอ๊ย มัวเกี่ยงกันเยี่ยงนี้ ทูลหม่อมได้เสด็จกลับมาพิโรธเอา” คุณข้าหลวงถือเครื่องประทินพระฉวีโวย แม้ใจจะแอบหวาดกลัวเช่นนางสนองพระโอษฐ์ที่จับไข้ไปเมื่อยามสาง หากความกลัวยรรเยงต่ออาญาสมเด็จพระยุพราชมีมากกว่าพรายภูติ คิดได้ดังนั้น พวกหล่อนจึงต้องจำใจ เดินขบวนกันเข้าไปยังห้องพระบรรทม



               ตั้งแต่เหตุวุ่นวายตอนย่ำรุ่งปัจฉิมยามพ้นผ่านไป ดาริกานั่งถอนหายใจอยู่หน้าคันฉ่องสลักเสลาบานยาวจนเช้า ไม่ยอมขยับลุกไปไหน เงาสะท้อนของสาวน้อยแรกแย้มจ้องกลับมาจากเนื้อในกระจก ภาพกระจกฉายทำให้ผู้ที่เห็นปลดปลง เชื่อแน่แล้วว่าติดอยู่ในร่างของเด็กผู้หญิง ชื่อ... อะไรนะ อ่อ ดาริกา



               แม้เสียงในความคิดจะบอกกับตัวเองว่า เป็นไปไม่ได้ ทว่าภาพกระจกฉายประจักษ์แท้ มันเป็นไปแล้ว ร้อยเอกหนุ่มในร่างหญิงสาวส่ายหน้า รับรู้แต่ไม่เข้าใจ     สิ่งมหัศจรรย์สุดประหลาดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความตาย กลับเป็นชีวิตหลังความตาย ทั้งที่ยังจำได้ถึงแรงกระสุนและเปลวไฟจากระเบิด หากภาพความมืด เสียงประดาบ และคราบเลือดกระเซ็นหยาดหลังมือ กลับหลากไหลเข้ามาในความทรงจำ รี่เร็วดังสายน้ำ ราวต้องการตอกย้ำให้ดาริการับรู้ว่า ไม่มีสิ่งใดคงเดิมอีกต่อไป



               ดาริ ฤๅ ดาริกา... ไม่ว่าจะเป็นใคร



               ตราบนี้ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไป ตลอดกาล



              แล้วเราจะใช้ชีวิตยังไงละเนี่ย



               ร่างกายใหม่แม้จะมีความทรงจำเก่า ถอนปัสสาสะอีกคำรบอย่างจนใจ ตกอยู่ในห้วงความคิดอยู่เช่นนั้น จนได้ยินเสียงเคาะประตู




               “ใคร”



               ดรุณีน้อยเยี่ยมดวงหน้าออกมาจากคันฉ่องบานยาว เห็นบริวารสาวสะคราญแห่งพิมานโอรสาตักโกลาพระองค์โต ถอยกรูจวนชิดบานพระทวาร มิกล้าก้าวข้ามธรณีเข้ามา ทุกนางแทบทำพาน อ่าง ตลับแป้งกระแจะแจะแตะแต้ม หลุดร่วงไปจากมือ



               ยามปรากฏวรกาย นางสนองพระโอษฐ์เห็นเกศาดำขลับฟูฟ่อง ยุ่งเหยิง ความดำคล้ำใต้ดวงเนตรบอกได้ว่านับแต่อุษาสางเจ้าหญิงน้อยดาริกาไม่อาจข่มตาให้หลับต่อได้ ใครจะรู้ เจ้าของเรือนร่างสะโอดสะอง เอาแต่คิดครวญใคร่ จะอยู่ต่อไปอย่างไรในร่างเด็กสาว วกวนอยู่เช่นนั้นหน้าพระฉายตราบจนอรุณอำลา



               “พะ พวกหม่อมฉัน จะมาช่วยเปลี่ยนฉลองพระองค์เพคะ”



               พวกนางห้องเครื่องวิเสทแท้เชียวเล่าฦๅกันไป องค์หญิงดาริกาต้องพิษผ้าคาลัยแล้ว นางเฝ้าห้องบรรทมเมื่อคืนจึงตกใจเหลือกลาน พาลพาให้ทุกผู้หวาดกลัวไปด้วย ความจริงทูลหม่อมน้อยยังคง เพียงแต่... น่าจะทรงประชวนเพราะพิษผ้า ไม่ก็พิษไข้ พระองค์จึงทรงดู... แปลกไป เคยฤๅที่จะปล่อยองค์ เกศาพันยุ่งเช่นนี้ คิดตุตะไปดังนั้น เหล่านางกำนัลจึงใจชื้น ความกลัวภูตผีจึงมลายไป



               ค่าที่เหตุอุกอาจอุบัติขึ้น ณ ตำหนักที่ประทับส่วนพระองค์ในทูลหม่อมน้อยดาริกา ทุกหนระแหงแปดเปื้อนไปด้วยคราบโลหิตและซากศพ ไม่บังควรที่เจ้าหญิงน้อยจะทรงประทับยังพระตำหนักนั้น กอปรกับ พระเชษฐาเธอทรงห่วงกังวลในความปลอดภัยของกนิษฐา เจ้าชายหริสสาจึงอุ้มร่างไร้สติของน้องนุชกลับพิมาน ตามหมอหลวงถอนพิษผ้าได้ทันควัน จากที่ทูลหม่อมน้อยนิทราไป แนบนิ่งปานครรลัย แลทรงคืนพระสติในยามสาง เหตุการณ์จึงออกมาอลหม่านอย่างที่ทราบกันดี



               “ทำไมต้องช่วยเปลี่ยน ผม...” ดาริกาขมวดคิ้ว ไม่ชินกับคำพูด พยายามเค้นหาถ้อยคำที่เหมาะสม “ฉัน เอ่อ เรา เปลี่ยนเองได้”



               “ให้พวกกระหม่อมช่วยดีกว่าเพคะ” นางสนองพระโอษฐ์ยืนยันจะทำหน้าที่แห่งตน



               “ลำบากเปล่าๆ ขอเปลี่ยนเองดีกว่า”



               ผู้ที่เคยเป็นชายหนุ่มพยายามหาทางเลี่ยง เพราะไม่เคยชินกับการผลัดผ้าต่อหน้าสตรี ยิ่งผู้หญิงหลายคนเช่นนี้ แค่คิดก็... ดาริกาสะบัดหน้า แก้มแดงเรื่อ หากถูกพวกเธอจับต้องตัวเข้า ผิดผี เห็นทีคงไม่งาม อดีตนายร้อยลืมไปด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้เป็นชายชาตรีเหมือนอย่างแต่ก่อน



               “รับสั่งไรเช่นนั้นเพคะ เกล้ามิได้ลำบากแม้แต่น้อย” เหล่านางกำนัลไม่ฟังคำทัดทาน



               “งั้นไว้ค่อยเปลี่ยนก็ได้ ยังเช้าอยู่เลยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”



               “ได้ที่ไหนเล่าเพคะ” นางสนองพระโอษฐ์รินน้ำสรงพระพักตร์ใส่อ่างกระเบื้องเคลือบ เขียนลายด้วยพู่กันจีนชดช้อย อีกนางหนึ่งคลี่ผืนภูษาไหมสีหวาน เดินตรงมาทางพระองค์หญิง



               “อย่าเพิ่งดีกว่า” ดาริกาเบี่ยงตัวหลบ



               “เปลื้องพระภูษาเถิดเพคะ”



               “ห๊ะ ถอดเลยเหรอ”



               “เพคะ”



               “ชิ้นไหนล่ะ บนล่าง?”



               “ทั้งหมดนั่นแหละเพคะ”



               “แบบนี้เก๊าะโป๊ซี ไม่อาว!”



               เสียงร้องยานคางแผดดังทั่วบริเวณ ตามด้วยการวิ่งไล่จับกันของอดีตนายร้อยกับเหล่าสตรีนางวัง อันดำเนินไปด้วยความอลหม่าน วุ่นวายยิ่ง เนื่องด้วยต่างฝ่ายต่างไม่ยอมซึ่งกันและกัน ดาริกาเอาแต่หนี หากหลบหลีกอย่างไรเหล่านางกำนัลผู้รับบัณฑูรจากองค์ยุพราชก็ไม่ยอมละ โองการจากทูลหม่อมชายใหญ่ ใครจะกล้าล่วงพระบัญชา ทรงกำชับไว้หนักนา ดูแลทูลหม่อมน้อยดาริกาให้จงดี



               “เสียงเอะอะอันใดน่ะ...” มยุย่นขนง หากสาวบาทรวดเร็วจนปรากฏวรองค์หน้าบานทวารห้องบรรทมเล็กแห่งพิมานสมเด็จพระยุพราช ภาพดาริน้อยกำลังวิ่งหลบนางกำนัล ทำให้ดวงเนตรของเจ้าชายพระองค์รองเบิกขึ้นอย่างปีติ รอยแย้มพระสรวลแตะแต้มพักตราภารดาผู้ทรงภูษาเฉดมรกต ดาริหายป่วยแล้วฤๅนั่น เพิ่งเคยเห็นน้องวิ่งเล่นก็ครานี้



               “ฮ่า ๆ” มยุหัวเราะจนคนในห้องหันมอง เมื่อรู้ตัวว่าโดนจ้อง เสียงสรวลจึงเงียบหายไป “เล่นกระไรกัน เสียงดังไปถึงข้างนอก”



               “... ยุ ...”



               คำขานนามนั้นพลิ้วแผ่วออกจากริมฝีปาก พลั้งเพรียกออกไปโดยที่ผู้พูดไม่ทันรู้ตัว การได้พิศดรุณโฉมงาม ตรึงให้ดาริกาตกอยู่ในภวังค์ เด็กหนุ่มคนนี้... ช่างเคยคุ้นเสียเหลือเกิน และที่มากกว่านั้นคือความคิดถึง... ไฉนจึงเอ่อล้นขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ



               “ดาริ รีบแต่งตัวเถอะ พี่จะคอยที่ศาลาริมน้ำ”



               คำนั้นก้อง ประทับ สะท้อนอยู่ในภวังค์



               สถานที่แห่งนี้แปลกประหลาด ไม่เคยคุ้น บ้านที่ไม่อาจเรียกว่าบ้าน เสมือนหลงทางลำพังอยู่ในความฝันที่ไม่อาจตื่น ความลับ...ที่กุมไว้ ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ อัดอั้น หนักหนาเพียงไร ระบายออกไปไม่ได้...แม้นคำ เหลียวแลซ้ายขวา มีเพียงตน แค่ตนเท่านั้น ที่จะร่วมเรียงเคียงเดินไปบนถนนสายโชคชะตาเส้นนี้ จึงได้แต่งำความรู้สึกนั้นไว้ กลืนลงไปข้างใน ซุกเก็บในซอกหลืบลึกสุดของหัวใจ เร้นไว้... ทั้งหวานและขม...



               เส้นทางของเราอาจสั้น หรือทอดยาว ข้างหน้าจะราบเรียบกว่านี้ หรือขรุขระ หนักหนายิ่งกว่าเก่า จุดหมายเบื้องปลายคือที่ใด จะได้พบเจอกับอะไร พานพบใครบ้างไหม ไม่รู้... เราไม่รู้อะไรเลย...



               บนถนนชีวิต เราเดินจนเจ็บเท้า ไม่มีที่ให้เกาะ ไม่มีเวลาพัก ทำได้อย่างเดียวคือเดินต่อไปด้วยฝ่าเท้าอันเจ็บปวดนั้นแม้นเลือด...ไหลซิบ เราทิ้งคราบเลือด รอยน้ำตา ความสุขทุกข์ และรอยเท้าจาง ๆ เอาไว้เบื้องหลัง ไม่นาน... เศษทรายแห่งกาลเวลาจะค่อยกลบลบเลือนร่องรอยที่เราหลงเหลือฝากไว้ ทีละน้อย จนหายไป... ทั้งหมดของเรา... หายไป... เหมือนฝุ่นผงที่พัดมา และจากจางไปในสายลม



               ฝุ่นละอองน้อย... ธุลีนี้... ปลิวไปด้วยความเจ็บปวด



               ฝุ่น... เป็นเพียงฝุ่น ใครจะอยากรั้งไว้ เกาะเกี่ยว พักพิงที่ไหน ร่วมเส้นทางกับใคร ไม่ได้เลย...



               ความเดียวดายจับหัวใจเป็นเช่นนี้เอง



               ในห้วงเวลาและสถานที่แห่งนี้ ดาริการู้สึกราวตนเป็นเพียงเศษธุลีที่พัดหลงมา แล้ววันหนึ่ง... จะพัดผ่านไป บอกใครได้ไหมว่าเราเก็บซ่อนความลับ ความลับอันไร้ทางแก้... หรืออย่างน้อย ในเวลานี้ เราไม่อาจแก้... เราประหลาดและแปลกแยกจากพวกเขาอย่างไร ในโลกที่เรารู้สึกว่าไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อเรา ย่อมไม่มีที่สำหรับผู้มีบาดแผลอย่างเรา เราหลงมาในสถานที่และห้วงเวลาที่ไม่ใช่ของเรา รู้สึกไม่ใช่... ไม่ใช่เอาเสียเลย



               บ้านจึงไม่เป็นบ้าน



               ตัวตนจึงไม่เป็นตัวตน



               สิ่งที่เห็น จึงไม่ใช่... สิ่งที่เป็น



               อารมณ์ทั้งมวลของการแบกบางอย่างเอาไว้คนเดียว ความลำพังของการเผชิญชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เราไม่มีวันล่วงรู้อะไรเลย บนถนนที่เราก้าวเดินอย่างโดดเดี่ยว การได้รับรู้ว่ายังมีใครสักคนรอเราอยู่ แม้นไม่ได้ร่วมเดินบนเส้นทางนั้น เพียงเขาไม่ตัดสิน และเข้าใจมัน การรออย่างใจเย็นของเขา เปรียบสายฝนปรอยละอองแผ่วเบา ลงบนหัวใจแตกระแหง



               ดาริกาแทบลืมความกังวล หวาดวิตก ทุกข์กายใจไปเสียสิ้น



               เพียงยินคำ...



               พี่จะ... คอย





************
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๘ (บรรณ ๒ ) UP: ๒๑/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-03-2020 00:13:39
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๘ (บรรณ ๓ ) UP: ๒๓/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 23-03-2020 03:37:37
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๘ รุ่งรวี

รจนา: ทัดจันทร์






อัศวะสีดำสังหารตัวเบี้ยบาทาของฝ่ายตรงข้าม เบี้ยสีแดงจึงตายคากระดานศึกจตุรังกา ผู้เล่นฝ่ายดำยกยิ้ม พอใจในฝีมือการเดินหมากครั้งแรกของตัวเอง ประหนึ่งได้กำชัยรุกฆาต ถึงจะแปลกไปบ้าง แต่ก็เล่นไม่ยาก ดาริกามองสำรวจตัวหมากสีดำของตัวเอง บนกระดานคล้ายตารางหมากรุก ลักษณะการเล่นก็คล้าย หากมีตัวหมากบางตัวแตกต่างไป



“กระดานนี่เรียกว่าอะไรนะยุ”



“จตุรังกา” มยุขยับอัศวะสีแดงของตัวเอง ดั่งบัญชาขุนศึกบนหลังม้าให้เข้าใกล้เป้าหมายอย่างใจเย็น



ดาริกาทดลองเดินตัวหมากมนตรีในฝั่งตน มิได้ใส่ใจแด่อัศวะปัจจามิตร ขณะพึมพำสิ่งที่ตนคิด “ชื่อเหมือนลงกา”



“ต้องเหมือนสิ รานีมณโฑทรงนำกระบวนยุทธสงครามสร้างขึ้นเป็นหมากกระดาน ถวายท้าวราพณาสูรแห่งลงกา หมายให้บดีทรงเล่นแก้รำคาญ ขณะองค์รามยาตราทัพล้อมพระนคร” มยุอธิบายโดยไม่ละสายตาจากตัวหมากในกระดาน มือยังถือพัดหางนกยูงโบกลมอย่างแช่มช้า ด้ามแก่นไม้จันทน์หอมฝังอัญมณี โชยกลิ่นจรุงใจ



ดาริกาทึ่งไปกับความรอบรู้ของเด็กหนุ่มตรงหน้า ที่นี่ เด็กคนอื่นในวัยเดียวกันจะเป็นแบบนี้ไหมนะ เจ้าหญิงน้อยทรงแย้มพระสรวล ซึ่งเป็นรอยละไมของผู้ที่มากกว่าวัยมองชื่นชมเด็ก อดีตร้อยเอกแห่งกองพันทหารสารวัตรพิศดวงหน้าอันแสนเคยคุ้น เฝ้าปฤจฉากับตัวเอง เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่านะ ทำไมถึงรู้สึกเหมือนรู้จักกันมานานมาก



ภาพความทรงจำจากกาลอันไกลโพ้น เหมือนมีหมอกบดบัง มืดมัว สลัวราง



คลับคล้ายจำได้ไกล ๆ ว่าเคยรู้จักเคยสนิทชิดใกล้ ความรู้สึกอบอุ่นใจบางประการอวลอาย รู้แต่ไม่รู้ จำได้แต่นึกไม่ได้



ฤๅ ร่างนี้มีความทรงจำของดาริและดาริกา กระนั้น?



มยุเดินหมากก้าวสุดท้ายในกระดานแห่งนี้ “รุกฆาต”



“ห๊ะ อะไรกัน แพ้ซะแล้ว” ดาริกาที่มัวแต่ใจลอย รีบเรียกสติก้มมองกระดานตรงหน้า คนที่ไม่เคยพ่ายแก่ใครในกระดานหมากรุก ถอนหายใจ เก็บอาการหงุดหงิดไม่ไหว พยายามพิจารณาทำความเข้าใจกับตัวหมากจตุรังกา



คชาสีแดงของมยุกำจัดอัศวะ จากนั้นจึงไสเข้าประชิด รุกฆาตราชาของฝ่ายดำ... ได้ในก้าวเดียว พระราชาของดาริกาถูกปิดล้อมรอบด้านด้วยตัวเบี้ยพยุหะจากทัพหมากสีแดง แพ้คากระดานศึก



“ไหนว่าเล่นแก้รำคาญ ยิ่งเล่นยิ่งรำคาญสิไม่ว่า”



มยุหัวเราะ โบกพัดขนนกยูงคลี่กระจายราวมยุรารำแพน ปลายขนสีน้ำเงินระบายจุดดำอยู่ในวงสีเขียวงามระยับ แววหางนกยูงเป็นแฉกซี่ กรีดกระจายในสายลม ดูนุ่มเนียนละไมมือ พระพัชนีขนนกประดับพลอยหลากสีในหัตถา สง่าเหมือนเจ้าของไม่มีผิด



“ตอนนี้น้องเหมือน ศูรฺปณขา ธิดารากษส”



“ใครนะ”



ดาริกาได้ยินไม่ถนัด เด็กหนุ่มพูดรัวลิ้น กล่าวนามบุตรีฤษีวิสราวัส ในมหากาพย์สํสฺกฤต ขัตติยราช จอมปราชญ์ ต้องรู้ พราหมณาจารย์ประสิทธิ์ประสาทอ่านเขียนสํสฺกฤตมาแต่น้อย ล้วนท่องจำรามยณะ มหาภารตะยุทธ แลสังวาธคีตากันทั้งสิ้น พระเวทบางส่วนก็ใช้สอนสตรี ดาริกาย่อมเคยเรียน หากลึกลงไป... เดวะมันตรา กลศึก และคาถา พราหมณ์ราชครูจะถ่ายทอดเฉพาะหน่อเนื้อกษัตรา ราชบุรุษเท่านั้น



“กนิษฐ์ในพญารากษสสราวณะอย่างไรเล่า ลืมแล้วฤๅ”



“น้องสาวทศกัณฐ์?”



“ใช่ บึ้งตึงเหมือนกันเลย”



“ยุ!”



“ฮ่า ๆ”



เจ้าชายพระองค์รองทรงพระสรวลเสียงใส



แววหางนกยูงปักประดับรัดเกล้าทองคำล้อมมวยเกศาดำขลับ ลู่ไหวในกระแสปราณวาโย ทำนองกระดิ่งล้อลมแว่วมาจากชายศาลาริมน้ำ คลอเคล้าไปกับเสียงหัวเราะ ภาพบรรยากาศงดงามของดอกไม้หลากเฉดสีสลับพุ่มพฤกษ์ชะอุ่มเขียวในอุทยาน ช่างสดใสไม่ต่างประการใดกับดรุณตรงหน้า



รอยระยับในดวงตาสีนิล ประทับ ตราตรึง จดจำ



ดาริกาถามตัวเองซ้ำอีกคำรบ เราเคยรู้จักกันใช่ไหม... ต้องเคยแน่ ๆ รอยยิ้มแบบนี้ เสียงหัวเราะแบบนี้ เพียงแค่คราวนี้เราไม่ได้อยู่ใต้ต้นพิกุล ทำไมต้องต้นพิกุล?



จำได้แต่รฦกไม่ได้ เป็นเฉกนี้



“น้องจ้องหน้าพี่อีกแล้ว มีกระไรจะพูดก็ว่ามา”



“เปล่า...” จะให้เอ่ยออกไปอย่างไรว่าเราไม่ใช่ดาริน้อยของภารดา เป็นเพียงคนที่รู้สึกคุ้นหน้า เราเพิ่งจะเคยพบเจอกัน “...แค่คิดว่า ถ้าเล่นอีกตา คราวนี้ก็จะชนะ”



ทว่าจตุรังกาผ่านไปตาแล้วตาเล่า ผลแพ้ชนะก็ยังคงเดิม



“ยังจะเล่นอีกฤๅ แพ้มาสี่กรดานแล้วนา”



“ยุ อย่าย้ำ” คนที่ไม่ยอมรับต่อความพ่ายแพ้บ่นอุบ “ปกติไม่เคยแพ้”



“จะแพ้ได้อย่างไร ในเมื่อน้องไม่เคยเล่น”



“ก็ไม่เคยจริง ๆ นั่นแหละ” อดีตนายทหารพยักหน้า จมอยู่ในห้วงคิด นอกจากเขา เจ้าหญิงน้อยพระองค์นี้ก็ไม่เคยเล่นเกมกระดานจตุรังกามาก่อนเช่นกัน



“น้องเกลียดการศึก แม้แต่สงครามหมากกระดานน้องยังไม่เคยเหลียวแลด้วยซ้ำ”



“อ้า... นั่นสิ ไม่ชอบ ไม่ชอบเอาเสียเลย” ดาริกาพลันรู้สึกถึงเม็ดเหงื่อชื้น ผุดพรายตามไรผม



“นั่นน่ะซี แล้วคนที่ชังสงครามหนักหนา ยาไฉนสนใจกระดานศึก ทั้งยัง... หันคมดาบคร่าฟันศัตรู”



ดาริกากลืนน้ำลายหนืดคอ จ้องมองเด็กหนุ่มผู้มีสีหน้าแย้มยิ้ม โบกพัดหางนกยูงแช่มช้า ราวเพียงถามไถ่สภาพลมฟ้าอากาศ หรือเจ้าเด็กนี่สงสัยเรา



“คือ... จะปล่อยให้... ยุ... โดนฆ่าต่อหน้าต่อตาได้ยังไง ตอนนั้นทำอะไรได้ต้องรีบทำ ไม่ทันคิดหรอก”



“เป็นเช่นนั้นสินะ” รอยยิ้มที่เคยฉาบดวงหน้าเจ้าชายผู้แสนสราญจางหาย คงเหลือแต่แววตาและสุรเสียงจริงจัง “น้องช่วยชีวิตพี่ไว้ หนี้ชีวิต ชดใช้อย่างไรคงไม่มีวันหมด”



“หนี้ชีวิตอะไรกัน คนที่เป็นหนี้ต่อยุคือน้องเองไม่ใช่เหรอ” ร่างกายนี้มีความทรงจำ แม้จะเพียงเลือนราง แต่ผู้กองก็ยังรู้สึกถึงมันได้ ความทรงจำของเจ้าหญิงน้อยดาริกา คล้ายเศษเสี้ยวภาพหม่นมัวในความฝัน กระจัดกระจายอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ



เพราะมยุฤามิใช่ ที่ทำให้ชีวิตงันเงียบของเจ้าหญิงน้อยแจ่มใสด้วยเสียงหัวเราะ



เพราะมยุฤๅมิใช่ เป็นทั้งพี่และเพื่อน เป็นโลก...ใบเล็ก...ทั้งใบของดาริ



เช่นนี้แล้วคนที่เป็นหนี้ต่อมยุคือเจ้าหญิงน้อยดาริกา เพราะเสมอมา มยุคือผู้ที่เธอคอย... ฤๅมิใช่



“แต่ถ้ายุอยากจะใช้หนี้ สอนหมากกระดานนี้ให้หน่อยก็พอ ฝึกไว้ เผื่อรบร้อยครั้งจะได้ชนะทั้งร้อยครั้ง”



“ดาริ น้องเป็นสตรี ใครจะให้ออกรบ”



“อ้าว แล้วกัน” อดีตนายทหารหนุ่มเพิ่งโดนกีดกันด้วยข้อห้าม และความแตกต่างทางเพศเป็นครั้งแรก ใครกันช่างกำหนด ดาริกาเริ่มเห็นเค้าของความยากลำบากในการใช้ชีวิตเยี่ยงสตรีที่ไม่สามารถออกรบ ทั้งวันคงนั่งพับเพียบกรองมาลัย เพียงคิดก็หงุดหงิดแล้ว “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ทำไมสงครามจะสร้างวีรสตรีขึ้นมาบ้างไม่ได้”



“ถ้าเช่นนั้น...”



“อะไรเหรอยุ”



พรึบ



มยุสะบัดปลายพัชนีหางนกยูง ล้มตัวหมากจตุรังกาทั้งกระดาน “ไม่ต้องณรงค์รบในสนามศึก น้องก็เป็นวีรสตรีที่ช่วยชีวิตพี่ไว้อย่างไร”



“โถ่ นึกว่าจะพาออกรบ”



“โถ่ดาริ น้องอยากจะรบกับใครนักหนา”



“ก็คนพวกนั้น...” ดาริกาพลั้งปาก ตอบออกไปไม่ทันคิด “...ชายชุดดำที่บุกมา”



นอกจากเรื่องที่ต้องใช้ชีวิตต่อไปในฐานะเด็กสาว ดำรงพระยศเจ้าหญิงน้อยแห่งตักโกลา สิ่งหนึ่งรบกวนจิตใจ อันเป็นสัญชาตญาณของร้อยเอกกองพันทหารสารวัตร ชายชุดดำบุกสังหารบริวารและเจ้าหญิงน้อยถึงพระตำหนัก เพราะอะไร? ตั้งแต่เมื่อไรที่เด็กหญิงวัยสิบห้าผู้ใสซื่อ เป็นพิษเป็นภัยต่อใครถึงขนาดนั้น ที่สำคัญ... แปลก พวกมันบุกเข้ามาถึงพระราชฐานชั้นใน หากไม่มีใครเห็น



ลางสังหรณ์ร้องเตือนถึงความไม่ปกติ



“เรื่องสลัดชวาปล่อยให้พี่ชายใหญ่กับพี่เป็นคนจัดการ ไว้ใจเถอะดาริ เหตุบังอาจเช่นนั้นจะไม่เกิดอีกเป็นซ้ำสอง”



“สลัดชวา?”



“ใช่ โจรสลัดจากชวา ปล้นเรือสลุบเรือสำเภาของพ่อค้า บางครั้งพวกมันเป็นมือสังหารรับจ้าง ขึ้นอยู่กับของรางวัล มากพอจะให้มันเสียแรงฤๅไม่”



“สมัยนี้คนยังโล้สำเภาอยู่อีกเหรอ” ผู้ที่รู้จักเพียงเรือรบติดขีปนาวุธทันสมัยประหลาดใจในสิ่งที่ได้ยิน



“มิใช้ตะเภา พ่อค้ากรุงจีนจะเอากระไรล่องมาค้าขาย”



“ยุ อย่าหาว่าเสียสติเลยนะ แต่ขอถามหน่อยเถอะ วันนี้วันที่เท่าไหร่ปีอะไร”



“วันนี้ฤๅ ก็...”





******ธรฺมรฏฺฐคีตา******
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๙ (บรรณ ๑ ) UP: ๒๓/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 23-03-2020 16:16:06
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๙ มมังการอหังการ์

รจนา: ทัดจันทร์









นครตักโกลา

แรม ๒ ค่ำ อัศวยุชมาส มะโรงศก

กลียุคที่ ๔๓๔๖




เมื่ออยู่คนเดียว ไหล่บางที่เคยหยัดตรงกลับห่อเหี่ยว มือที่เคยบังคับให้ไม่สั่น เวลานี้เยียบเย็นระริกไหว ดาริกาเตือนตน ห้ามหวาดกังวล ผู้บังคับบัญชาที่ดีจะต้องมีสติเสมอ ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายคับขันเพียงใด กระนั้น ต่อให้พร่ำเตือนจิตตนอย่างไร ภายใต้สภาวการณ์น่าสับสนงุนงงเช่นนี้ กลับไม่สามารถคลายวิตกลงได้



ใครจะไปคิด ต้องมาติดอยู่ในร่างเด็กผู้หญิง เมื่อ... ปีอะไรนะ



“ใช่ กลียุคที่ ๔๓๔๖”



ผู้ที่อยู่ในร่างของเจ้าหญิงน้อยแห่งตักโกลา เอ่ยกับเงาสะท้อนในพระฉาย คันฉ่องสำริดสะท้อนภาพดรุณีน้อย โฉมสะคราญ ทอดถอนปัสสาสะอาปาณ กลัดกลุ้มใจ



‘ศักราชอะไร ไม่เคยได้ยิน’ ดาริกายังจำเสียงเหวของตัวเองยามยินคำกลียุค



‘ดาริ อย่าล้อพี่เล่น เรานับจตุรยุคเยี่ยงนี้ ตามปฏิทินฮินดู แบ่งยุคออกเป็นสี่ยุค ดังที่ท่านพราหมณาจารย์เคยสอน น้องพูดราวหลงลืมเสียแล้ว อะนั้น’



‘จะว่าอย่างนั้นก็ได้ จริง ๆ แล้ว ยุ น้อง…มีเรื่องจะบอก’ อดีตชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดรู้ดีว่า เขาไม่อาจปกปิดสายตาอันแหลมคมของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ได้ จึงเลือกที่จะบอกความจริง บางส่วนออกไป ‘ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา น้องจำบางอย่างได้ บางอย่างก็จำไม่ได้ รู้ไหมยุ ความทรงจำบางส่วนหายไป’



‘เหตุนี้น้องถึงมีกริยาวาจาผิดแผกไป’ มยุเผลอพูดในสิ่งที่นึกสงกา ‘หมอหลวงรักษาดีแล้วแน่ฤๅ พี่จะเรียกมาตรวจอาการน้องเสียใหม่’



‘ไม่ต้อง ยุ ไม่ต้องหรอก แค่บอกหรืออธิบาย แล้วจะจำได้เอง’ คงเหมือนกับที่เขาเพียงได้เห็นหน้า ก็รู้ได้ หมายจำ พลั้งเพรียกออกมา ดังที่เกิดในยามสบพระพักตร์เจ้าชายมยุและสมเด็จพระยุพราชหริสสา



‘ถ้าเทียบพุทธศักราชล่ะยุ เป็นปีที่เท่าไร’



‘ศักราชแห่งสมเด็จพระโลกนาถเจ้าน่ะฤๅ เกิดขึ้นเมื่อกลียุคล่วงแล้ว ๒๕๕๘ ปี’



“แสดงว่าปีนักษัตรมะโรงขณะนี้คือ...” เด็กสาวหน้ากระจกสนทนากับเงาสะท้อนของตัวเอง “พ.ศ. ๑๗๘๘”



ร่างบางทรุดนั่งลงหน้ากระจก แทบไม่เหลือแรงทรงตัว



“เกือบแปดร้อยปี! นอกจากติดอยู่ในร่างของเด็กผู้หญิงแล้ว เรายังย้อนเวลากลับมาตั้งเกือบแปดร้อยปี นี่มันเกิดเรื่องพิลึกอะไรขึ้นกับชีวิตเราวะเนี่ย”



แม้เวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้คนเจ้าหญิงน้อยผู้ทรงฟื้นจากการต้องพิษผ้าราวปาฏิหาริย์ อาจจะทรงแสดงพระกริยาอาการผิดแผกไปบ้าง ทว่ายังทรงวางพระองค์ได้เป็นอย่างดี อาจเป็นด้วยวัยและประสบการณ์ที่เคยสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตหลายครั้ง เลยทำให้สามารถเอาตัวรอด ลื่นไหลไปกับสถานการณ์ได้ ทั้งที่ภายใจจะรู้สึกสับสน หวาดกลัว มากมายก็ตาม



ดาริกานวดขมับ พยายามรวบรวมสติไม่ให้ฟุ้งซ่าน “แถมเรายังมีความทรงจำของร่างนี้ แม้จะรางเลือนก็เถอะ”



ดังที่ได้บอกมยุไปเรื่องความทรงจำ ไม่ได้ปกปิดความจริงไว้เพียงนิด ความทรงจำของเจ้าหญิงน้อยบางส่วนเลือนราง หายไป แต่ที่ยักเยื้องไว้บอกไม่หมด คือความทรงจำของผู้กองดาริกา ชัดเจนทุกอณู และยามย่ำสายัณห์ของวันนั้น ความทรงจำของดาริและดาริกาก็ตีกระหวัด ฟุ้งขึ้นมา ปานสายน้ำสองสายหลากไหลบรรจบกัน



เมื่อเขา... ได้พบกับคนที่คิดถึงมากที่สุด



‘พ่อ!’



คำร่ำหาจากเรียวโอษฐ์บาง พลังขึ้นเมื่อยามพญาตักโกลาเสด็จเยี่ยมพร้อมเจ้านางเมือง ดาริกาแทบยั้งคำ ผมคิดถึงพ่อ เอาไว้ไม่ไหว ภาพความทรงจำของร้อยเอกดาริกาซ้อนทับกับภาพจำของเจ้าหญิงน้อย ราวหลอมรวมเป็นภาพเดียว ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน เวลาใด ผู้เป็นพ่อยังคงมีแววตาและรอยยิ้มอันอบอุ่นเช่นนี้อยู่เสมอ



แม่... ที่ผู้กองเคยเห็นเพียงภาพถ่ายซีดจางในกรอบแขวนผนัง ในกาลนี้ สตรีตรงหน้ามีชีวิต เจ้านางเมืองงดงาม สง่า ราวความฝัน



วรองค์โปร่งบางโผกอดบิดา อัสสุธารารื้นขอบนัยน์เนตร ทว่าน้ำตาเพียงหยดก็ไม่รินไหล



ร้องไห้ไย



หัวใจจะต้องกล้าแกร่งในสถานการณ์อันโหดร้าย



นั่นคือทางรอดเดียวของผู้ชนะเหนือสมรภูมิชีวิต



บางครั้งเราอาจติดอยู่ในพายุ แต่พายุไม่อาจติดในใจเรา



หัวใจกล้าแกร่ง พายุแห่งชีวิตไม่อาจพัดพายทำร้ายได้




วูบหนึ่งดาริกาคิด สิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เมื่อได้เห็นซึ่งรอยยิ้มและรับสัมผัสจากบุคคลที่... หากตัวเองยังคงเป็นผู้กองดาของเหล่านายทหารพราน คือบุคคลที่ไม่อาจหวนกลับ แต่ไม่ใช่กับเจ้าหญิงน้อยแห่งนครตักโกลา ดาริกา วิลาวัลย์ จอมขวัญตา ผู้เป็นยิ่งแก้วตาดวงใจของบุพการีและเชษฐาทั้งสอง



ภาพจำดุจแม่น้ำสองสาย ส่วนหนึ่งไหนมาบรรจบ



ทว่า... เจ้าของวรองค์โปร่งบาง เหมือนจะหลงลืมอะไรบางอย่าง บางอย่างที่สำคัญยวดยิ่ง



ดาริกาคิดไม่ออก



ช่างเถอะ สำคัญจริงต้องคิดออกสิ คงสำคัญไม่จริงถึงได้ลืมเลือน




************
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๙ (บรรณ ๒ ) UP: ๒๕/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 25-03-2020 16:39:07
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๙ มมังการอหังการ์

รจนา: ทัดจันทร์










เงินตราบันดาลได้ทุกสิ่ง ถ้ามากพอ



อำนาจอันน่าหลงใหลของเงินตรา หากใช้ให้ถูกและทรงประสิทธิภาพสูงสุด จะก่อให้เกิดประโยชน์นับคณามหาศาล ดังตักโกลาสร้างอารยะจากการค้า นฤมิตเมืองท่าอันโอ่อ่า ทำพาณิชยกรรมด้วยเหล่าวณิชชากรจากทั่วสารทิศ สินค้า เงินตรา และการแลกเปลี่ยน จึงผลิดอกออกผล ให้ประชาราษฎร์ในนาครได้ตักตวง



ความมั่งคั่งหลากไหลเข้าสู่ตักโกลา ผ่านเกลียวสมุทรเข้าสู่ปากน้ำนทีธาร ธรรมชาติมอบภูมิประเทศเป็นของขวัญแก่ดินแดนอาณาจักรทะเลใต้แห่งสุวัณณทวีป เป็นร่องน้ำลึก เภตราวาณิชขนาดใหญ่ สามารถล่องผ่านได้โดยสะดวก



ปากน้ำตักโกลา ร่องน้ำล้ำลึก สถานที่ซึ่งแควหลวงหลายสายไหลมาบรรจบก่อนออกสู่ห้วงทะเล คงความกว้างหลายร้อยเส้น ย่อมหมายถึงขีดความสามารถในการรองรับเรือสินค้าจำนวนมาก จากถ้วนทั่วหัวระแหง



ศิขรินทร์มองสำรวจเมืองแห่งเงินตรา ที่อวลกลิ่นเครื่องเทศโชยกำจาย



ย่านชุมชนพ่อค้าชาวสิงหล เป็นตลาดค้าเครื่องเทศ สมุนไพร กระทั่งยาพิษ ที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนสุวัณณทวีป ด้านคาบสมุทรฝั่งปรัศจิมทิศนี้ ร้านรวงสองฟากถนนปูอิฐแดง จำหน่ายสินค้ามากมาย ผู้คนในพื้นถิ่น หรือจากต่างเมือง ต่างชาติเชื้อ เดินปะปน ออกมาจับจ่ายแน่นขนัดอย่างเช่นทุกวัน



กลิ่นใบกระวานในกระบะไม้จากร้านริมทาง โชยซ่าน กำซาบนาสาของบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ผู้มีแผลเป็นกรีดหางคิ้วซ้าย กลิ่นกระวานระอายอวลสมแก่นามเมือง... ตักโกลา



คำ ‘ตักโกล’ ในภาษาสิงหลแปลว่ากระวาน



นับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่สาม เมืองท่าแห่งนี้เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่ชนกลุ่มแรก ๆ จากอินเดียที่เริ่มล่องเรือค้าขาย เล่าขานต่อกัน ว่าอุดมด้วยเครื่องเทศธัญญาหาร บริบูรณ์พร้อมด้วยพืชพรรณแห่งป่าฝน กระทั่งราวพุทธศตวรรษที่เจ็ด เสียงฦๅ เสียงเล่าอ้างถึงนาครตักโกลา เมืองท่าที่เจริญรุ่งเรือง ได้ถูกบันทึก ปรากฏนามอยู่ในคัมภีร์มหานิเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก



ศิขรินทร์และนักเผชิญโชคทั้งหลาย ย่อมเคยคุ้นกับคำกล่าวมาแต่ครั้งโบราณ ถึงการเดินทางเพื่อแสวงหาโชคลาภและความร่ำรวยยังดินแดนอาคเนย์ อันห่างไกลจากแผ่นดินภารตวรรษ ความว่า



... เมื่อแสวงหาโภคทรัพย์ ย่อมแล่นเรือไปในมหาสมุทร ไปคุมมะ... ไปตักโกละ... ไปตะมะลิง... (๑)



กว่าหนึ่งพันปีที่ตักโกลาเปิดท่าทำการค้า ศิขรินทร์ไม่อาจจิตนาการได้ว่า จำนวนเหรียญทองในท้องพระคลังมหาสมบัติของนครสมญาใบกระวาน จะท่วมท้นสักเพียงใด



ปทุมวงศ์ ผู้เป็นจ้าวแห่งนักษัตรเล่า ยังทวาทศนคราไว้ภายใต้ร่มพระมหาเศวตฉัตร แผ่พระราชอำนาจ ครองดินแดนตลอดคาบสมุทรแหลมมลายู ขยายอาณาจักรล้ำไปในสุวัณณทวีปถึง ธานยปุระ เมืองปากน้ำโพ เช่นนั้นแล้ว จะทรงแสนยานุภาพ ยิ่งใหญ่ปานใด



หัวเมืองทางเหนือ ไม่ว่าเมืองใด ยังต้องยรรเยงเสียด้วยซ้ำ หาไม่ จักติดต่อ หาทางออกชะเลได้เยียใด



ปาฏลีบุตรจ้าวนครา จึ่งทรงอำนาจเหลือล้น



ศิขรินทร์เลี้ยวเข้าตรอกแคบเกือบสุดหัวมุมถนน ลัดออกสู่ย่านตลาดที่ขายสารพันสินค้าจากกรุงจีน อินเดีย อาหรับ มัวร์ และเปอร์เซียร์ เด็กชายวัยสิบขวบที่ตามหลังมาตลอด กลับวิ่งนำอย่างดีใจเมื่อเห็นร้านค้าอาวุธปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า มันรี่เข้าไปจดจ้องกริชสั้น ใบหยักคม ตีขึ้นด้วยโลหะวับวาว รอยระริกในดวงตาทอประกายแห่งความปรารถนา



“น้อย ๆ หน่อยเถอะเจ้าตัวดี ทีข้าไล่ให้อาบน้ำ ไม่เห็นเริงรื่นถึงเพียงนี้”



บุรุษนักเผชิญโชคจากภารตวรรษ เบ้หน้าอย่างระอา ไอ้ตัวซนมันได้ยินแต่ทำหูทวนลม เจ้าเด็กผมระบ่า ดวงหน้าเกลี้ยงเกลา ไม่ละสายตาจากคมอาวุธ ซ้ำยังลูบด้ามไม้สลักเสลาอย่างชื่นชม



“คอยดู ข้าจะจับแช่น้ำเสียให้เข็ด” คาดโทษเสร็จสิ้น หนุ่มคร้ามคมเข้มก็สะบัดชายเสื้อคลุม เข้าร้านไป



เสียงค้อนตีเหล็กดังเป็นจังหวะ สลับกับเสียงโลหะร้อนจุ่มน้ำจนไอเดือดคลุ้งโขมง ขับถ้อยสำเนียงของการรังสรรค์ประดิษฐ์ศาสตราจากโรงตีเหล็กด้านหลัง กล่อมให้ร้านอาวุธ ก่อฐานด้วยอิฐปูน ฝาไม้ มุงหลังคากระเบื้องดิน มีชีวิตชีวา ราวใบดาบกำลังหายใจ



ชายร่างสูง ขนงหนาประดับแผลเป็น มองศาสตรารายเรียง ดาบ หอก เคียว ง้าว กระทั่งมีดสั้น กริชสกุลช่างมลายู ล้วนใบคม เนื้อวาวเรียบ บ่งบอกฝีมือประณีตของช่างชั้นครู ศิขรินทร์ลองมีด หยิบควงอย่างคล่องแคล่ว หากพลันต้องหงิกหน้า ระอารำคาญ



“อะไรของเจ้าอีก”



เจ้าจอมยุ่งขยุ้มชายเสื้อ ชี้มือชี้ไม้ไปทางถาดมีด มิวายหันกลับมาช้อนสายตากลมใส เสมือนนัยน์เนตรมฤค กวางทองแห่งทัณฑกะวนา อสูรแปลงเพื่อล่อหลอกรานีสิตาแห่งองค์ราม



“เฮ้อ” ชายหนุ่มปล่อยอาปาณยืดยาว เป็นแบบนี้ทุกที พออยากได้ล่ะมาทำช้อนตาใส่ ดู ดูมัน ยังจะมากัดปากอีก “อะ เออ อยากได้อันไหนเล่า พาข้าไปดู”



มฤคตัวน้อย ร้ายยิ่งกว่าอสูรจำแลง



ปุรุษาวัยยี่สิบห้า จึงเดินตามเด็กต้อย ๆ




***


ตลอดทางเดินริมชายป่าเลียบลำน้ำ ตะวันบ่ายสาดแสงเล็ดรอดร่มใบกันเกราที่ขึ้นห่างกัน ฉาบรอยรำไรไปตามรายทาง มันตวัดดาบไม้ลงบนกอหญ้าทัตภา คงหมายฟันใบหญ้าให้ขาดสะบั้น เปล่าเลยหญ้าทัตภาไม่อาจขาดได้ด้วยดาบไม้ด้ามทื่อ เจ้าตัวเลยยิ่งรู้สึกหงุดหงิด ไม่น่าเสียรู้ให้แก่คนเหลี่ยมจัดพรรณนั้น



“ฮ่า ๆ”



เจ้าตัวดีชำเลืองหางตา มองบุรุษนักเดินทางหัวเราะร่วน ท่ามกลางประกายแดดและแมกไม้แห่งพงไพร ยิ่งทำให้เด็กชายหน้ามุ่ยไม่พอใจ รีบเดินจ้ำอ้าว ทิ้งห่างไป



“อย่ามาทำขุ่นข้อง ข้าพูดเสียที่ไหนว่าจะซื้อให้”



มันได้ยินแต่ไม่ยอมหัน อาวุธจำลองในมือเจ้าตัวยุ่ง กษณะนี้ผันคมเข้าหามังเรต้นเตี้ย จนใบฉีกกระจาย



“น่า ได้ดาบกับโล่แล้วอย่างไร ฝึกให้คล่องมือเถอะ แล้วเจ้าจะได้ของจริง เอ... แต่โล่ก็เหมือนของจริงแล้วนี่”



โล่เนื้อโลหะผสมขนาดเล็ก ช่างร้านอาวุธประดิษฐ์ขายเป็นของเล่นแก่บุตรเศรษฐีผู้มีอันจะกิน กวัดเกว่งอยู่ในมือของเด็กชายเรือนผมประบ่า ผู้ติดตามนักเผชิญโชคพเนจร โล่โลหะฉลุลายอย่างหยาบสะท้อนแสงตะวันบ่ายแวบวาบ เป็นเหตุให้ศิขรินทร์ต้องหยีตา



“รัญ” ยามขานนามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เด็กชายรู้ว่ามันควรตั้งใจฟัง “ยืนนิ่ง ๆ”



เด็กวัยสิบขวบทิ้งแขนข้างลำตัวอย่างว่าง่าย



“คราวนี้เหวี่ยงโล่ออกมาป้องลำตัว ดั่งพยุหะตั้งรับศัตรู”



โล่โลหะเครื่องกำบังน้ำหนักเบาเหมาะสำหรับเด็กในวัยเล่นซน แกว่งทาบปิดป้องเรือนกาย ประหนึ่งพยุหะขุนพลในยามตั้งรับทวยทัพกองบุกทะลวงฟันของอริศัตรู



“ดี” คำนั้นห้วน สั้น เจ้าของแผลเป็นเหนือหางคิ้วซ้ายเอ่ยชมขณะหยีตา



“จากนี้... ข้ามีเรื่องสนุกให้เจ้าเล่น”



แม้นถ้อยพจีฟังคล้ายน่าตื่นเต้น หากสุรเสียงทุ้มพิเราะห์ของผู้พูดกลับราบเรียบ เย็นชา ดุจผิวน้ำใสนิ่งเป็นกระจก ใครจะรู้ ผืนธาราเรียบนิ่งสะท้อนประกายทิวามณียามบ่าย ลวงตา...ดูตื้นเขิน แท้จริง เกลียวนทีเบื้องบาดาล ลึกล้ำ เชี่ยวกราก ผลาญทลาย








************

เชิงอรรถ

(๑) พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๒๙ หน้า ๑๘๘
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๙ (บรรณ ๓ ) UP: ๒๗/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 27-03-2020 06:36:40
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๙ มมังการอหังการ์

รจนา: ทัดจันทร์







               “แคว๊ก”



               พญาอินทรีย์ทองตัวเต็มวัยกรีดปีกกระพือบิน โฉบไปในอากาศราวเป็นเจ้าของน่านฟ้า ดาริกาเหงนมองนักล่าเจ้าเวหาแหวกห้วงนภาดล ทึ่งในความสามารถของยุวกษัตริยาเกศาสลวยยาว ผู้ทรงคุมบังเหียนควบม้าให้วิ่งไปตามหาดทรายขาวที่ทอดยาว ขนาบด้วยเกลียวคลื่นและปราณทะเล



               การเลี้ยงอินทรีย์ให้เป็นนักล่าคู่ใจ ไม่ใช่เรื่องง่าย คนขลาดฤๅเลี้ยงพญานก ยามประคองอินทรีย์ทองตัวโตเต็มวัย หนักถึงสี่สิบชั่ง(๒) เกาะพาหา นอกจากพละแขนอันแข็งแกร่งแล้ว ต้องใช้ความหาญ มิหวาดไหว จ้องลึกเข้าไปในตานกนักล่า หากสั่นสะท้านกริ่งกลัวแม้นเพียงนิด สัตว์นักล่าจะรับรู้ นั่นย่อมหมายถึงอันตรายแก่ผู้ที่ริอ่านกล้าลองดี



               จอมสกุนารักอิสระยิ่ง มิอาจถูกกักขังอยู่แต่ในกรง ความไว้เนื้อเชื่อใจจึ่งสำคัญที่สุด โซ่ทองล่ามได้ หากคล้องไว้ตลอดกาลย่อมไม่เป็นผลดี นกจะไม่จงรักผู้เป็นนาย คิดแต่จะโบยบินจากไปอยู่ถ่ายเดียว การเชื่อใจแลให้อิสระ ปฏิบัติต่อกันอย่างผู้ที่เท่าเทียม ผู้ที่จะร่วมทุกข์สุข เป็นตาย ออกล่าด้วยกัน ต้องใช้ใจซื้อใจ สุดท้าย เวลาอันยาวนานที่ใช้ฝึกฝนเลี้ยงดู ด้วยใจ ด้วยพละ ด้วยความกล้า บ่มเพาะความสนิทคุ้นชิน ถักทอสายสัมพันธ์ต่อผู้เป็นนาย



               สัตว์นั้นแม้นเป็นเดียรัจฉาน หากมันซื่อสัตย์ยิ่ง ลงว่าใครเป็นนายแห่งมันแล้ว มันจะรักทั้งใจ ทั้งชีวิต



               ขุนทอง พญาอินทรีย์ทองเจ้าเวหา จึ่งเป็นขุนศึกนักล่าผู้รู้ใจ เป็นองค์รักษ์ผู้ภัคติต่อเจ้าชายมยุ นายเหนือหัวแห่งมันแต่เพียงผู้เดียว ทั้งใจ...ทั้งชีวิตของมัน...



               เจ้าขุนทองโผบินกลางนโภมณฑล เหนืออาชาสีน้ำตาลเข้มที่มยุควบห้อไปบนหาดทราย ดาริกาจำเป็นต้องเกาะบั้นพระองค์ยุวขัตติยาผู้พี่ เนื่องจากอัศวะพ่วงพีย่ำกีบเหยียบผืนทรายฟุ้งกรรจาย วิ่งไปด้วยความเร็วเต็มเหยียดสุดกำลัง ก่อนม้าลักษณะดีจะค่อยลดความเร็วและหยุดลงเมื่อถึงบริเวณการท่า... สาคเรศจอดพักเภตราสินค้าแห่งนคราผู้ถือครองตรานักษัตรที่สิบเอ็ด ปีจอ



               เจ้าชายกฤษฎีบางเหวี่ยงพระองค์ลงจากอานอาชาด้วยความชำนาญ มยุยื่นหัตถาให้น้องน้อยเกาะ ประคองวรองค์ลงจากหลังอัสดร ขนนกยูงทัดเกล้าเกศาพลิ้วไสวในลมทะเล ระริกเช่นรอยระรื่นในแววตาภารดาผู้ชอบพากนิษฐ์น้องขึ้นหลังม้า ควบเล่นไปด้วยกัน



               เจ้าชายฉลองภูษาเฉดมรกต ผายพาหาทรงปลอกหนัง เบี่ยงยื่นไปทางสะพานไม้เบื้องหน้า ขุนทองกระพือปีกโฉบร่อน เกี่ยวกรงเล็บ เกาะลงเหนือปลอกหนังกวางที่สวมติดแขนผู้เป็นนาย ดรรชนีมยุชี้ไปเบื้องบุรพาตน สะพานไม้ทอดยาวจากฝั่งยื่นลึกลงไปในทะเลแทบสุดสายตา...



               “ถึงแล้วดาริ ท่าเทียบเภตราของเรา”



               นางนวลระงมร้องเหนือป่าเสากระโดง... เสากระโดงเรือสลุบเรือกำปั่นนับร้อย ทอดสมอรายเรียงตลอดสองฟากของสะพานไม้ขนาดใหญ่ กว้าง ท่าเภตราแห่งตักโกลาแน่นขนัดไปด้วยเรือใหญ่ หุบใบ บรรทุกสินค้าเต็มลำ เตรียมออกเดินทาง เพราะการมาเยือนของมรสุมลมตะเภาที่เริ่มในเดือนอัศวยุชมาศ(๓) เป็นสัญญาณสิ้นสุดฤดูกาลค้าขายของวาณิชชากรอินเดีย เปอร์เซีย มัวร์ และอาหรับ ลมอุตราจะทำให้คลื่นโหมแรง วายุกระหน่ำ เรือสลุบกำปั่นมิอาจทอดสมออยู่ได้ พ่อค้าทางฝั่งตะวันตกจึงใช้มรสุมนี้ แล่นใบ กลับบ้าน สิ้นสุดฤดูกาลค้าขายอันยาวนานตลอดหกเดือน



               หาก... จุดสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง คือจุดเริ่มต้นของอีกสิ่งเสมอ



               ลมตะเภาคือคำขานลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดให้เรือสลุบเรือกำปั่นจากไป แต่จะนำเรือสำเภาเข้ามา อีกหกเดือนนับจากนี้ ท่าเรือของนครท่าทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝั่งตะวันออก ณ เมืองแห่งจ้าวสิบสองนักษัตร จะต้อนรับการมาของพ่อค้าแดนต้าซ่ง กรุงจีน สำเภาจีนจะกางผ้าแดงเต็มใบ นำผ้าไหม ถ้วยโถชามไห สินค้าของมีค่าจากโพ้นทะเล มาทำการค้าขาย เรือเภา(๔)จะจอดเทียบท่า แน่นขนัดมิต่างฤดูกาลแห่งเรือสลุบกำปั่นที่กำลังจะพ้นผ่านไป



               อดีตร้อยเอกแห่งกองพันทหารสารวัตรเบิกตาโต สิ่งที่ประจักษ์ตรงหน้าคือท่าเรือโบราณ จุดแวะพัก ค้าขาย ขนถ่ายสินค้า อันเลื่องชื่อที่สุดบนคาบสมุทรทะเลใต้ด้านปรัศจิมทิศแห่งสุวัณณทวีป สิ่งที่เห็นมิอาจหาได้จากเอกสารเล่มไหน ภาพที่ประจักษ์ด้วยสายตา เกินบรรยาย



               “เป็นท่าเรือที่...ใหญ่...มากเลยยุ” ดาริกาตะลึงลาน “ไม่คิดว่าท่าเรือโบราณจะใหญ่ รองรับเรือมากมายขนาดนี้ อันที่จริง ไม่คิดว่าจะมีเรือมากขนาดนี้ด้วยซ้ำ” คนสมัยใหม่ที่ไม่เคยรู้ถึงความสามารถของคนยุคเก่า มิอาจปกปิดความประหลาดใจ ลึกในนั้น คือความชมชื่นและความภาคภูมิ...

 

               “ต้องใหญ่สิ ตักโกลาทำการค้ากับวาณิชชากรหลายชนชาติ ดาริ... เราเป็นจ้าวท่ามาช้านาน จากบุราณกาลถึงยามนี้... นับเป็นเวลาร่วมหนึ่งพันห้าร้อยปี การท่าแห่งเราฤๅมิพรั่งพร้อม เรารับสินค้าแลเงินตราอันหลั่งไหลมาจากทุกแดนด้าว หลายชั่วคนที่บรรพบุรุษแห่งเราได้สร้างการท่าและขยายเขตการค้าจนยิ่งใหญ่ สร้างนาคร บ้านเรือน การทำกิน สร้างความมั่งคั่งให้ท้องพระคลังแลราษฏร ชนแห่งเราจึงเป็นสุข อิ่มใจ อิ่มท้อง... นามแห่งตักโกลาถูกขานมานับพันปี ต่อไป จะยังถูกคนขานฤๅไม่... พี่ไม่รู้... แต่จงภูมิใจเถอะดาริ เพราะจากกาลก่อนตราบ ณ เวลานี้ กษณะนี้ การท่าแห่งตักโกลามิเคยเป็นสองรองต่อผู้ใด”



               ภาพเรือสินค้าขนาดใหญ่ทอดสมอจอดขนาบท่า เรียงรายยาวสุดสายตา ธงหลากสีปักประดับด้วยหลายตราสัญลักษณ์ โบกไสวเหนือเสาเรือ ล้วนดูละลานตา การใช้คำ ป่าเสากระโดง จึงคงมิผิดนัก



               กะลาลีลูกเรือแต่งกายด้วยเสื้อผ้าต่างแบบหลากสีสัน บ่งบอกชาติพันธุ์อันแตกต่างหลากหลาย พวกเขาเหล่านั้นกำลังขนถ่ายสินค้าอย่างขะมักเขม้น นายกะลาสีบางส่วนจับกลุ่มดื่มเหล้า เมาสุรา เคล้านารีเสียให้เต็มอิ่ม ก่อนที่วันพรุ่งเรือของตนจะออกจากท่า อีกนานหลายแรมเดือนทีเดียวที่เท้าจะได้สัมผัสฝั่ง ที่มือจะได้สัมผัสนวลเนื้อนาง... เสียงร้องเพลงของคนเมากลุ่มเล็กนั้นแว่วเบา ปะปนกับเสียงนางนวลร่ำระงมและสำเนียงหลากภาษาของคนที่กำลังตะโกนสั่งงาน ทำงาน หาบแบกของ ล้างเรือเตรียมเดินทาง พ่อค้า ลูกเรือ กลาบาต ผู้คุมดูแลท่า เดินขวักไขว่ในเส้นทางแห่งชีวิตและจุดมุ่งหมายแห่งตน



               ท่าเรือแห่งนี้กำลังหายใจ ขับคีตะสำเนียงราวมีชีวิต สำแดงความยิ่งใหญ่



               สมคำมมังการอหังการ์ ของราชบุตรตักโกลา... เมืองท่าอันรุ่งเรือง



               มยุไม่ได้ตรัสเกินจริงเลยสักนิด หนึ่งในเมืองนักษัตรเจ้าท่า ซึ่งเจริญอารยะ ทำการค้ามากว่าหนึ่งพันห้าร้อยปี แสดงแสนยานุภาพอวดอ้างสักดาให้ทุกจักษุทัศน์ สายตา ประจักษ์เห็น ในความยิ่งใหญ่พรั่งพร้อมของการท่า ดาริกาขนลุกยามเหงนมองเรือสลุบเปอร์เซียร์ โบกธงพื้นแดงปักลายขาวรูปดาวห้าแฉกกลางจันทร์เสี้ยว เหนือยอดเสาสูงชะลูด มิใช่เพียงหนึ่ง หากทอดสมอ รายเรียงเป็นแพปิดน่านน้ำ รายได้จากภาษีและการค้าที่สั่งสมมา หากเงินตราเปรียบดังอำนาจ แทบมิต้องคิดตักโกลามีความสำคัญปานใด



               “นั่นเขามุงดูอะไรกันเหรอยุ”



               เกือบสุดปลายสะพาน ผู้คนจับกลุ่มเนืองแน่น หากดาริกาจำไม่ผิดชายร่างสูงที่ถือดาบหลายนาย ปะปนในกลุ่มคนปลายท่า คือพลพยุหะในปกครองขององค์สมเด็จพระยุพราชหริสสา ผู้เป็นเชษฐภารดาของรัชทายาทตักโกลาทั้งสองพระองค์



               “ที่มุงดูน่ะฤๅ” มยุยิ้มเหยียด พร้องพากย์ถ้อยพาจนาด้วยสุรเสียงเรียบเย็น “มันคือจุดเริ่มต้นของสํคฺราม ดาริ”



               เจ้าชายพระองค์รองสะบัดพาหา ปล่อยปักษาจงอยงุ้ม สยายปีกถลาบินกลางนภากาศ มยุไขว้หัตถาไว้เบื้องปฤษฎางค์เหยียดตรง แล้วทรงทอดพระบาทดำเนินนำกนิษฐาไปบนสะพานไม้ที่ยื่นลึกสู่ห้วงมหรรณพสีคราม ครั้นใกล้จุดเกิดเหตุ กลิ่นไหม้ผสมกลิ่นของอะไรบางอย่างที่ดาริกาคุ้นเคย โชยเข้าจมูก ก่อนสายตาจะเห็นซากเรือสินค้าหลายลำ ไหม้ดำ จ่อมจมลงใต้ทะเล พื้นสะพานบางส่วนชำรุดกระจัดกระจาย ปลายสะพานขาดหายไปในมหาสมุทร แผ่นกระดานมีรอยไหม้ลอยอยู่เต็มน่านน้ำ



               เหล่าคนมุงสนทนากันด้วยภาษามลายู อันเป็นภาษากลางที่ใช้สื่อสารแห่งชลมารคการค้า สนนสายไหมข้ามทะเลของดินแดนแถบนี้ ดาริกามักคุ้นและพอพูดได้บ้างเพราะงานที่ต้องรับผิดชอบในเขตจังหวัดชายแดน หากคำที่ได้ยินกลับโบราณ ฟังรู้แต่ไม่เข้าใจ พอตั้งใจจะฟัง เสียงพูดอื้ออึงก็เงียบหายไป นายทหารช่วยกันผู้คนให้หลบพ้นทาง ยามเจ้าชายมยุ ขัตติยะราชกุมารทรงดำเนิน



               “นี่เรือโดนเผาไปทั้งแถบเลยเหรอ” ดาริกาหยุดอยู่หลังเชษฐา มองทหารและกะลาสีในเรือเล็ก ช่วยกันกอบกู้ซากเรือ บางส่วนค้นหาสินค้าที่ยังพอจะจำหน่ายได้ นายทหารอีกพวกกำลังซ่อมแซมต่อสะพานที่ขาดจากกันให้กลับมาเหมือนใหม่



               “นายกลาบาตอยู่โยงเฝ้ายามเล่าว่า ดวงไฟสว่างวาบพร้อมเสียงดังสนั่น เหตุให้ตะพานขาดออกจากกัน จากนั้นไฟจึงลุกท่วมผืนน้ำ ลามไหม้จมหายไปหลายลำเรือ”



               “ดวงไฟ เสียงดัง?”



               “อืม”



               “ระเบิดน่ะเหรอ”



               มยุเลิกขนงเมื่อสดับคำที่ไม่เข้าใจ “ระเบิดที่ว่าคือสิ่งใด”



               “ก็... “



               ดาริกายังไม่ทันได้อธิบาย สุรเสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งกลับดังขึ้นก่อน ตามด้วยการปรากฏพระองค์ของสมเด็จพระยุพราชหริสสา ที่มีนายทหารและบรรดาช่างหลวงติดตามเป็นขบวน



               “มยุ ว่าความฏีกาวินิจฉัยเภรีเรียบร้อยแล้วฤๅ” ปุรุษาฉวีนวล ทรงสังวาลนิลฬกาล ตรัสถามพระอนุชา ขณะทรงคลี่ม้วนกระดาษที่ได้รับจากข้าราชบริพาน



               “พระเจ้าค่ะ เสร็จแล้วจึงรีบมา พี่ใหญ่เล่า ทางนี้เป็นอย่างไร”



               “เช่นที่เห็น ตะพานพังไปทั้งแถบ เรือสินค้าเสียหายและจมทะเลไปอีกหลายลำ นายเวรมันว่าลูกไฟลุกฮือเท่าภูเขา เป็นไปได้เยียใด” ยุพราชหนุ่มมิทรงเชื่อคำให้การณ์ของนายกลาบาตรคลุ้งกลิ่นสุรา



               “เป็นไปได้ถ้าใช้ระเบิด” ดาริกาพูดออกมาอย่างเหม่อลอย ขณะกวาดนัยน์ตากลมใสสังเกตเกลียวคลื่น เห็นคราบบางอย่างเคลือบเหนือผิวน้ำ “แต่สมัยนี้มีระเบิดใช้กันแล้วหรือ อ้อ ถ้าคนก่อเหตุเคยเดินทางไปเมืองจีนล่ะก็... ไม่แน่”



               “เจ้าเป็นใคร” เมื่อหริสสาเงยพระพักตร์จากม้วนกระดาษ บันทึกหมายกำหนดการต่อเติมและสร้างขยายท่าเรือให้ใหญ่ขึ้นกว่าเก่า องค์ยุพราชทอดพระเนตรเห็นเด็กหนุ่มตัวเล็กบาง นุ่งหยักรั้ง พันโพกผ้าคาดศิระ สวมเสื้อแขนกระบอกตัวยาว ยืนอยู่หลังมยุ กำลังพูดราวจมอยู่ในภวังค์แห่งการวินิจฉัยของตน “ระเบิดกระไรของเจ้า หันหน้ามาซิ”



               “ระเบิดก็คือลูกไฟดวงใหญ่อย่างที่นายเวรว่า พอเปลวไฟระเบิดออกไปโดนน้ำมันดิบที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ไฟเจอน้ำมัน เพลิงเก๊าะลุกลามทั่วทั้งผืนน้ำ เรือเลยไหม้เป็นตอตะโก ประเด็นคือผู้ก่อเหตุต้องรอบรู้ เตรียมการมาดีมาก การสั่งสมดินปืนที่ยังไม่มีการใช้อย่างแพร่หลายคงต้องเคยเดินทางไปถึงเมืองจีน เห็นพลุ และฉุกคิดขึ้นได้ว่าดินปืนทำให้เกิดแรงดันมหาศาล และการกักตุนน้ำมันดิบเทลงเคลือบทะเลใช้เงินไม่น้อย แต่ที่ดูจากเรือที่ไหม้ไปทั้งแถบ คนร้ายต้องร่ำรวยมากทั้งดินปืนและน้ำมัน ปริมาณที่ใช้ไม่น้อยเลย” ร้อยเอกหนุ่มในร่างเจ้าหญิงน้อยที่ปลอมพระองค์เป็นเด็กผู้ชายอีกที อรรถาธิบายไปตามสัญชาตญาณของสารวัตรทหาร พลางหันกลับไปทางเจ้าชายผู้เป็นขุนต้นศึก องค์แม่ทัพแห่งตักโกลา



               “ดาริ ?!” สมเด็จพระยุพราชหลากพระทัย มิใช่เพราะสิ่งที่น้องยาอธิบาย หากด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่ผิดเด็กผู้ชาย แถมยังหนีจากเขตพระราชฐานมาตากลมกรำแดด ดาริกาประชวนง่ายใครก็รู้ แถมยังหนีเที่ยวด้วยเจ้ามยุจอมซน ดูเอาเถอะ น่าปวดกะบาลฤๅไม่



               ไม่นับการที่ขัตติยะนารีฝ่ายในทั้งหลาย ยามเสด็จไปไหนมาไหน จะต้องแต่งขบวนเอิกเกริกมีจ่าโขลนคุ้มกัน สตรีของพระราชา มิว่าจะเป็นอัครมเหสี บุตรี สนม นางห้าม บุรุษคนใดจะชายตาลำเลืองแลแตะต้องมิได้ แต่นี่ถึงกับปลอมพระองค์เสด็จหนีเที่ยวนอกเขตพระราชมณเฑียร



               “พี่จะฟ้องท่านแม่ว่าอย่างไรดี เจ้าด้วยมยุ พาน้องหนีเที่ยว จับไข้ขึ้นมาจะว่าเยี่ยงไร”



               “โถ่พี่ใหญ่ อย่าทูลฟ้องสมเด็จแม่เชียว แค่นี้ก็ทรงบ่นจนหูชาจะแย่” เจ้าชายผู้ทรงเอาแต่หทัย เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพระมารดาผู้เข้มงวด กระนั้น ยังไม่มีใครสามารถจัดการกับมยุได้สักที อย่างดีทำได้แค่บ่นเท่านั้นแม้แต่พระบิดาก็เถอะ



               “เจ้าน่ะตัวก่อเรื่อง” หริสสากอดอุระ ดุน้องชาย



               “พี่ชายใหญ่คะ... อย่าว่ายุเลย น้องเป็นคนรบเร้าให้พามาเอง” คำพูดบางอย่างคล่องปากเนื่องด้วยความทรงจำของเจ้าหญิงน้อย หากความรู้สึกกระดากเกื้อเขินเป็นของผู้กองดาริกา ผู้เพิ่งจะเคย คะ ขา กับพี่ชายใหญ่ เป็นครั้งแรกนับแต่ฟื้นขึ้นมาจากการต้องพิษผ้า



               “น้องน่ะฤๅขอให้มยุพามา บอกว่าเจ้าตัวซนมันยุน้อง พี่ยังจะเชื่อง่ายกว่า”



               “พี่ใหญ่นี่กระไร ลำเอียง ใครจะไปยุดาริหนีเที่ยว เพียงงานฎีกาวินิจฉัยเภรีก็แทบมิมีเวลาแล้ว”



               พี่ชายคนโตวัยยี่สิบห้าแทบมิอยากเชื่อสายตาตัวเอง ในยามบ้านเมืองเกิดเหตุด่วนคับขัน เจ้าชายจอมซนกลับเอาการเอางาน เจ้าหญิงผู้เก็บเร้นพระองค์กลับออกนอกพระราชฐาน เสด็จหนีเยือนเยี่ยมถึงการท่า หริสสาไม่รู้ว่าควรดีใจ เสียใจ หรือประหลาดใจ และหรือ ทำทั้งสามประการพร้อมกันดี



               “พี่ชายใหญ่ค่ะ อยู่แต่ข้างในมันน่าเบื่อ แถมคุณข้าหลวงตามแจทุกฝีก้าว น้องอึดอัด”



               “แล้วออกมาต้องแดดเยี่ยงนี้ น้องจะมิป่วยฤๅ”



               “น้องหายแล้ว... จริง ๆ นะ” ดาริกาทำตาซื่อมองหน้าหริสสาอย่างที่ทำกับมยุเพื่อให้พาออกมาเที่ยวเล่น หากแววตากลมใสกลับไม่เป็นผลกับพี่ชายคนโต



               “ไม่รู้ล่ะ รีบกลับก่อนที่แดดจะนายไปกว่านี้”



               คนที่เคยเป็นลูกคนเดียวมาโดยตลอด วางตัวไม่ถูกเมื่อถูกพี่ชายดุเช่นกัน “กลับแล้วก็ได้...”



               ภายใต้พยับแดดจัดจ้าสาดลงเหนือห้วงมหรรณพสีคราม ดาริกามองซากปรักหักพังจากเหตุลอบทำลายเรือสินค้าเป็นครั้งสุดท้าย มยุเอ่ยไว้ว่าเหตุนี้จะเป็นฉนวนจุดไฟสงคราม แม้ยังมิอาจเข้าใจสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมาทั้งหมด แต่ภาพความเสียหายที่ปรากฏ ย่อมยืนยันได้ว่าพฤติการณ์เช่นนี้มิใช่การก่อเหตุลอบทำลายเรือธรรมดา หากเป็นการประกาศซึ่งสงคราม ที่ผ่านการเตรียมการทางความคิดและทุนทรัพย์อย่างมาก ดังสังเกตได้จากคราบน้ำมันดิบที่ลอยล่องเต็มทะเล



               “เดี๋ยว! นั่นมัน...” ดาริกาหรี่ตา ยกมือป้องแดด พยายามเพ่งมองให้ชัด “พี่ใหญ่ ยุ ช่วยมันก่อน ช่วยมันก่อนน้องถึงจะกลับ!”



               ท่ามกลางห้วงแดดและเวิ้งน้ำ สัตว์สี่ขาตัวนั้นเปียกปอนและหนาวสั่น มันใช้สองขาหน้าเกาะกระดานไม้ที่มีรอยไหม้ไปกว่าครึ่ง ลอยเคว้างคว้างแทบจมลงไปในทะเล คลื่นสูงสีครามจัด สาดซัด ทำให้มันลอยห่างจากชายฝั่ง ไม้กระดานแผ่นน้อยไม่อาจรองรับทั้งเกลียวคลื่นขนาดยักษ์และสัตว์เคราะห์ร้าย สั่นเทิ้มเหน็บหนาว ใช้คอยใช้สองขาเกี่ยวเกาะตะเกียกตะกาย ไปพร้อมๆกันได้ มันพยายามยื้อชีวิตตัวเองอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันความตายก็คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกวินาที หากไม่ช่วย มันคงจมหายตกตายกลางทะเล





************



เชิงอรรถ                       

                (๒) มาตราชั่งน้ำหนักจีนโบราณ ๑ ชั่ง เท่ากับ ๕๐๐ กรัม, อินทรีย์ทองตัวโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักถึงยี่สิบกิโลกรัม

                (๓) นามเดือนจันทรคติฮินดู อัสสยุชมาส (ปาลี) อัศวยุชมาส (สํสฺกฤต) คือช่วงประมาณเดือนกันยายน - ตุลาคม

                (๔) เรือเภา หรือ เรือตะเภา เป็นคำพื้นถิ่นที่ใช้เรียก เรือสำเภา, เช่นเดียวกับที่คนพื้นถิ่นเรียกลมสรสุมตะวันออกเฉียงเหนือว่า ลมตะเภา เพราะเป็นฤดูที่เรือสำเภาจะต้องเดินทางมาทุกปี

               
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๙ (บรรณ ๓ ) UP: ๒๗/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 28-03-2020 00:31:16
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๙ (บรรณ ๔-๕ ) UP: ๒๙/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 29-03-2020 14:09:26
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๙ มมังการอหังการ์
รจนา: ทัดจันทร์




    พุ่มพฤกษ์ระบัดซ้อนเสียดสีในสายลม  บรรณบัตรเขียวขจีลู่ไหว จนเกิดเสียงคล้ายสัทท์สำเนียงอาปานะ ลมหายใจของผืนป่า การใช้ชีวิตท่ามกลางสายลมและเกลียวคลื่นสอนให้อรัญรู้จักฟังถ้อยกระซิบของธรรมชาติ สดับฟ้า ฟังเสียงฝน ทำให้รู้คลื่นลม จะได้ป้องกันตัวพร้อมเผชิญกับความพิโรธของธรรมชาติ ที่อาจคร่าถึงชีวิต


    เด็กชายหลับตาพริ้ม แนบหูกับพื้นดิน เจ้าตัวดีกำลังเบื่อ ไหนว่าเล่นสนุก การรอคอยไม่สนุกเอาเสียเลย แต่มันก็ยังรอ... เพียงเพราะ... เขาบอกให้รอ


    กันเกราใบสีน้ำตาลแห้งเหี่ยวไม่อาจต้านทานแรงปราณพระวายุ จึงปลิวหลุดจากขั้ว หล่นร่วงลงสู่เบื้องล่าง ใบไม้เหี่ยวเฉาเร้นกายโรยรา ทิ้งตัวลงบนพวงแก้มนิ่มของเด็กชายผิวพรรณเกลี้ยงเกลา ผ็ที่ยังคงแนบนิ่งเป็นหนึ่งเดียวกับผืนธรณี ฉับพลัน อรัญลืมตา เจ้าจอมซนยืนขึ้นเต็มความสูง มันตวัดดาบไม้ยื่นไปตรงหน้า


    ป่ากว้างยังคงงันสำเนียง วายุยังคงผ่านพัด สุริยะเทพประทับราชรถ ทอดพระเนตรลงมาจากเบื้องบน ขณะห้วงเวลายังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางความนิ่งงันปราศจากความเคลื่อนไหวใด จนกระทั่ง...


    “หลบไป!” ชายคนนั้นตะโกนบอกเด็กชายที่ยืนขวางทาง หากมันไม่ยอมเขยื้อนสักนัด


    “ไอ้เด็กบ้า ข้าบอกให้หลบไป”


    ม้าฝีเท้าจัดเร่งควบไปตามรายทาง วิ่งลัดเลาะด้วยความเร็วแทบมิได้หยุดพัก เนื่องด้วยการณ์ด่วนกำลังรออยู่ หากเจ้าเด็กคนนี้ดันขวางสนน น่าจับเฆี่ยนเสียให้เข็ด ทว่าชายบนหลังม้าคนนั้นรู้ดี เขาไม่มีเวลาให้กับเรื่องไร้สาระใดทั้งสิ้น สิ่งจำเป็นยิ่งที่ต้องทำในเวลานี้คือ ควบม้า เร่งไปให้ถึงท้องพระโรงตักโกลาโดยเร็วที่สุด


    “ฮี่ ๆ”


    ก่อนที่จะได้กระชากบังเหงียน ตบสีข้างพาชีเพื่อเร่งความเร็ว เจ้าเด็กเรือนผมหยิกลอนระบ่าขยับโล่ของเล่นในมือ สะท้อนแสงแดดจ้าสาดเข้าตาม้าอย่างกะทันหัน อาชาที่ควบเรื่อยมาเกิดตกใจ ด้วยแสงสะท้อนจัดจ้า แสบตา


    อาชาดีดขาหน้า ล้มหงาย


    ทั้งคนและม้ากลิ้งหลุน เปรอะดิน


    เจ้าตัวดีกระโดดโลดเต้น


    จะว่าไปเล่นแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน ม้าตกใจเสียด้วย คงจะกลัว ข้าน่ากลัวเหมือนเสือหรือเปล่า อยากเป็นเสือจัง หนังลายพาดกลอนของมันสวยดี พวกพ่อค้ามักชอบ แถมให้ราคาแพง ขายแล้วจะมีเงินพอซื้อน้ำตาลเคี่ยวไหมนะ... ข้าชอบกิน อยากกัดก้อนน้ำตาลเคี่ยวหวานอร่อย


    “เลิกกระโดดได้แล้ว ดีใจกระไรนักหนา สนุกปานนั้นเชียว”


    ศิขรินทร์ทิ้งท่อนไม้กลมหนาลงบนพื้นหญ้า ก้มลงปลดสำภาระเคียนเอวของร่างที่สลบไสล นักเผชิญโชคคลี่ม้วนสาสน์ในกระบอกโลหะสีทองฉลุลายรูปสัญญะของทวาทศนคร นักษัตรทั้งสิบสองตราอย่างประณีตบรรจง เขากวาดสายตาอ่านอักษรปัลลวะ จารโดยอาลักษณ์ลายมืองาม


    “รัญ เจ้าอยากล่องแพฤๅไม่” ปุรุษตัวสูงหนาถามเจ้าเด็กที่กำลังทำท่าคล้ายแมวข่วนอากาศ ขณะเก็บม้วนกระดาษเข้ากระบอกตามเดิม


    เจ้าตัวดีเอียงคอ ทำท่าคิด แล้วจึงพยักหน้ารวดเร็ว


    “เช่นนั้น ไปหาคนต่อแพกันเถอะ”






    เจ้านางเมืองเสด็จนำขบวนนางข้าหลวง ตามหาพระธิดาจนทั่วตำหนัก เข้าห้องนั้น สำรวจห้องนี้ก็ยังไม่มีใครพบ ฤทัยพระมารดาเริ่มกริ่งกังวล ด้วยเหตุอันอุกอาจยังติดตราอยู่ในพระทัย ทำให้ผู้เป็นแม่ย่อมอาวรณ์ห่วงหาถึงแม่ลูกสาวอยู่ทุกขณะ


    ตอนคลอด ดาริกาดวงน้อยของแม่นี้ก็ออกมาก่อนอายุครรภ์จะครบวาระ โตมา แม่ลูกสาวก็ดันป่วยบ่อย เจ็บไข้อยู่ร่ำไป ผู้เป็นแม่เฝ้าประคบประหงมตามคำหมอ ทุกประการมิได้ขาด จนตอนนี้ลูกน้อยเติบใหญ่เจริญวัยเป็นสาวสะคราญ จวนจะเข้าพิธีแต่งงานจากอ้อมอกแม่ไป ดันเกิดเหตุอุกอาจซ้ำเติมหัวใจคนเป็นแม่ ทนได้ฤๅ เห็นลูกกระอักเลือดอยู่ตำตา เคราะห์ดีที่ลูกน้อยรอดมาได้ ยามนี้เล่า เพลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เจ้าลูกน้อยห่างหายไปไหน รู้ฤๅไม่ แม่เป็นกังวลแทบใจจะขาด


    กลัว กลัวเหลือเกิน... หากดาริถูกโจรชวาจับตัวไปล่ะ โถ่ลูกแม่


    สตรีอันดับหนึ่งแห่งตักโกลาประทับนั่งเหนือพระแท่นไม้ เคียงหมอนอิงยัดนุ่นบุไหม ดวงพักตราอันทรงศิริโฉม คมงาม ของผู้สืบโลหิตแห่งไศเรนทร์วงศ์ หม่นข้องด้วยความวิตกที่ทรงครองอยู่ในอุระ กระนั้นก็มิอาจลบเลือนเค้าความงามของเจ้านางเมืองไปได้


    “เสียงใครวุ่นวายอยู่ข้างนอก ไปดูซิ” ผู้เป็นแม่เหนื่อยเกินกว่าจะออกเดินเหิน มองหาแม่ลูกสาว หามาทั้งวันแล้วยังไม่พบ เจ้านางเมืองเหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ


    “เพคะ”


    คุณข้าหลวงถอนคลานห่างออกไป แล้วจึงดันกายลุกขึ้นเมื่อพ้นพระพักตร์เจ้านางตักโกลา หล่อนขมวดคิ้วสงกา ค่าที่ยินเสียงพลพยุหะอึงอล มาจากอุทยานด้านนอกพระพิมานในองค์สมเด็จพระยุพราช ครั้นมองลอดบานพระบันชรออกไป นัยน์ตาคุณข้าหลวงพลันเบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก หล่อนเร่งกลับเข้าพระที่ด้านใน เข้ากราบทูลเจ้านางเหนือหัว


    “สมเด็จเพคะ เกิดเรื่องแล้วเพคะ!”




    เหล่าขุนพลทหารแตกฮือเมื่อมันเริ่มแยกเขี้ยว สำแดงฟันซี่คมขาวเต็มขากรรไกร ส่งเสียงขู่ทั้งที่มันยืนอย่างหนาวสั่น ขาหลังด้านซ้ายมีแผลเหวอะหวะ พุพอง เพราะลอยคออยู่ในน้ำนานนับวัน มันจนตรอกและดุร้ายกว่าเดิมหลายเท่านัก


    นายทหารดึงดาบออกจากฝัก หมายตัดหัวเจ้าสัตว์หน้าขนอหังการ์


    “อย่านะ อย่าทำร้ายมัน”


    เจ้าหญิงน้อยแทรกผ่านกลุ่มขุนพลพยุหะ คุกชานุเบื้องหน้าหมาป่าตัวโต


    “ดาริ ออกมา นั่นน้องจะทำอันใด” มยุและหริสสาเสด็จตามมาร้องปราม ห้ามกนิษฐ์ไว้หากก็มิทัน


    “ทุกคนถอยออกไปช้า ๆ ห้ามหันหลังเด็ดขาด” อดีตผู้กองมิได้สนใจความตึงเครียดรอบข้าง ดาริกาเร่งสั่งห้วน เร็วไว ราวออกคำสั่งต่อกำลังพลทหารพรานในปกครองของตน เพราะหากหันหลังหรือกลัว จะโดนขย่ำ พลพยุหะทำตามรับสั่งอย่างว่าง่าย ขณะภารดาทั้งสองไม่ยอมลดคมกริชลงแม้นเพียงเสี้ยวองคุลี

 
    หมาป่าตัวเขื่อง ขนสีเทา เปียกลู่ ตัวมันที่ยืนสั่นโตกว่าร่างเจ้าหญิงน้อยคุกชานุอยู่ตรงหน้า หมาป่าดุร้ายประจันหน้าเด็กสาวผู้ไม่สำแดงความหวั่นเกรงในแววตา มันเห่าเสียงดังกังวาน งับเขี้ยวเคี้ยวฟันกระทบกันกรอด ๆ สู้สุดใจ


    “ไม่เป็นไร... ไม่ต้องกลัว...”


    ดาริกาพร่ำพูดกับหมาป่าตัวโตดุร้าย ไม่หลบดวงตาสีอำพันที่เจ้าสัตว์สี่ขาไร้ฝูงจดจ้องด้วยแววทมิฬมองมา เจ้าหญิงน้อยทรงทำราวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย จนผู้คนรายล้อมต่างประหลาดใจ


    “หนาวใช่ไหม ไม่เป็นไรแล้วนะ เช็ดตัวหน่อยไหม ฉันมีผ้า”


    มือบางค่อย ๆ ยกขึ้นอย่างเชื่องช้า หมาป่าขนสีเทาถอยหลังไปหนึ่งก้าว มิวายเห่าเสียงดัง เจ้าหญิงน้อยปลดผ้าพันโพกศิระ ทำให้มวยผมดำเงาคลี่คลาย สยายทิ้งตัว มือข้างที่ว่างยื่นไปข้างหน้าแช่มช้า ปราศจากท่าทีคุกคาม จมูกฟุดฟิดของหมาป่าจนตรอกเริ่มสูดดม มันขยับเข้าใกล้ แยกเขี้ยว ดุนปลายจมูกดอมดม จากนั้นจึงเลียปลายนิ้ว


    หมาป่าตัวเขื่องแยกเขี้ยว ขู่คำราม


    ขากรรไกรมันอ้า งับ


    ฉับ!


    เสียงเขี้ยวหมาป่ากระทบกันดังไปทั่วบริเวณ หัวใจทุกผู้แทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ โชคดีเจ้าสุนัขไม่ฝังเขี้ยว มันเพียงหยั่งเชิงมนุษย์ตรงหน้า หากหัวใจภารดาทั้งสอง หล่นวูบลงไปแทบเบื้องบาทเรียบร้อยเสียแล้ว ทุกคนในเหตุการณ์ใจหายใจคว่ำไปตามกัน ดาริกาเองก็ต้องเก็บความหวาดกลัว ไม่หวั่นไหว ไม่หลบสายตา ไม่ขยับ เพื่อทำให้หมาป่าดุร้ายเชื่อใจ


    งับแล้วเจ้าหมาป่าขนสีเทาตัวยักษ์จึงเลีย เลียมือ เลียใบหน้า ซอกคอ จดจำกลิ่น จำดาริกาไว้เป็นพวก สี่ขาสั่นสะท้านวิ่งวนรอบวรองค์ธิดาเจ้า มันเลีบ งับ เก็บกลิ่น หมายจำ จนไร้เรี่ยวแรงนั่นแหละถึงจะหยุด ทิ้งหัวเกยอยู่บนตักเจ้าหญิงน้อยออย่างอ่อนเพลีย หมาป่าร้องหงิก สัมผัสความอบอุ่นจากผืนผ้าและฝ่ามือลูบปลอบโยน


    เกรย์วูฟตัวโต หลับหรือไม่ก็สลบไป คาตักของมนุษย์ที่มันคิดว่าเป็นสมาชิกใหม่ในฝูงตน


    สองเชษฐาโล่งฤทัยครามครัน ทว่าจังหวะหัวใจยังไม่ทันสงบดี สุรเสียงพระมารดาก็ดังขึ้น เหล่าพยุหะคุกคำนับ หลบหลีกกันแทบไม่มัน ส่วนหัวใจของสองภารดานั้นกลับเต้นแรงกว่าเก่า พระมารดาคือสตรีที่ลูกชายรักที่สุดและกลัวที่สุดในโลก


    “ดาริ ลูกหายไปไหน แม่ตามหาเสียให้ทั่ว แล้วนั่นมุงกระไรกัน...”


    เจ้านางเมืองทรงกำลังสาวพระบาทว่องไว พลันหยุดชะงัก พระเนตรแทบถลนวาวเมื่อทรงเห็นหมาป่าตัวยักษ์เกยหัวเหนือพระเพลาแห่งพระธิดายาใจ


    “ศวา?! ไม่สิ นั่นมันศฤคาล! ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะดาริ! ลูกกำลังทำกระไร แล้วไยแต่งองค์เยี่ยงนั้น โอ๊ย แม่จะเป็นลม เกิดอันใดกับพวกทั้งเจ้าสาม ไปเถลไถลกระไรมาฤๅ หริสสา มยุ ดาริกา ใครจะอธิบาย ว่ามา!”



******ธรฺมรฏฺฐคีตา******
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์, แฟนตาซี) สรรคะ ๙ (บรรณ ๔-๕ ) UP: ๒๙/มี.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 30-03-2020 02:54:02
 :laugh:
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์) สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม (บรรณ ๑) UP: ๑/เม.ย/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 01-04-2020 10:22:38

ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม

รจนา: ทัดจันทร์









               ธงพื้นม่วง กึ่งกลางอัญเชิญตราประทับพระลัญจกรเคียวจันทร์หงายสีทองอร่าม โบกสะบัดเหนือยอดเสาสำเภาเภตรา พระลัญจกรแห่งองค์อุปราชปาฏลีบุตรพลิ้วกระจายไปในกระแสวาโยเยียบเย็นยามราตรี



               กษณะนี้ดวงดารากระจ่างฟ้า นโภมณฑลปราศจากหมู่เมฆ สุกสกาวไปด้วยแสงดาวเหนือทางช้างเผือก มหาดาราประจำพระองค์ทอรัศมีสีน้ำเงิน เปล่งประกายสุกใส ภาพปรากฏแก่สายพระเนตรทำให้ริมโอษฐ์หยักงามยกขึ้นอย่างพึงพระทัย ก่อนเจ้าของพระลัญจกรจันทร์เสี้ยวเหนือเอกรงค์ผืนม่วงจะทรงจาม



               “อิถีสรีใดหนอ ประหวั่นปฏิพัทธ์ถึงราชบุตรธรรมราชา” อนุชาผู้ทรงร่วมพระครรภ์มารดา มีประสูติกาลห่างกันเพียงไม่กี่นาฑี รับสั่งขึ้นด้วยแววพระเนตรพราวระยับ



               “กัลกิ” เชษฐาส่ายพระพักตร์ หน่ายฤทัย



               “ใครหมายถึงจันทร์ อาจหมายถึงเราก็ได้ เราก็ราชบุตรธรรมราชาพระองค์หนึ่งเช่นกัน”



               “แล้วแต่กัลเถอะ”



               ณ ระเบียงดาดฟ้าชั้นสองท้ายเภตราลำใหญ่สมพระเกียรติ เชษฐาเจ้าของกระบวนเรือผู้ทรงหยักรั้งไม่ต่างอันใดกับเหล่าทหารยืนเวรประจำจุด ที่เฝ้าระวางยามยังดาดฟ้าชั้นล่าง แตกต่างกับภารดาผู้น้อง แม้จะทรงฉลองพระภูษาคล้ายขุนพลพยุหะเพียงไร หากกึ่งกลางศิระยังทรงรัดเกล้าทองคำฝังบุษราคัมน้ำเอก สะท้อนแสงคบ แสงตะเกียงวูบไหว เรื่องระยิบมิต่างแสงดาวในคืนไร้เมฆ



               กัลกิยะมองพี่ชายฝาแฝด พักตราที่คล้ายกันทุกองคุลีเหงนมองทะเลดาวนิ่งงัน ในความเงียบของผู้ที่ยืนไขว้หัตถาเบื้องปฤษฎางค์ น้องชายที่คลานตามกันมาสามารถรับรู้ได้ถึงความตึงเครียดที่แฝงอยู่ในท่าทีเรียบเฉยนั้น



               “กังวลฤๅจันทร์”



               “ไม่”



               “แล้วเป็นกระไร”



               “ตื่นเต้นน่ะกัล เราแทบจะรอรุ่งอรุณของวันพรุ่งไม่ไหว” พระองค์จันทร์ทรงถ่ายถอนความอัดอั้นกลางหทัยให้อนุชาฟัง



               “ดี” กัลกิยะเท้าระเบียง สูดอากาศเย็นเข้าเต็มปัปผาสะ พิศมองพี่ชายฝาแฝดด้วยนัยน์อันลึกซึ้ง “ผ่านพ้นราตรีนี้ไป ยามอุษาสางเราจะถึงตักโกลา จันทร์... พี่รู้ใช่ฤๅไม่ มันหมายถึงอะไร”



               “รู้... กัล พี่รู้”



               “ชีวิตพี่และธัมมะราชปุระ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”



               สิ้นถ้อยวจนของเจ้าฟ้าพระองค์รอง ความเงียบพลันโรยกายลงมาราวรั้งรออยู่นาน เหนือกระแสธาราใต้นภาพร่างดาว สองพี่น้องยุวขัตติยาผู้กำลังจะเจริญชันษาเป็นสัตบุรุษเต็มภาคภูมิ ใช้ช่วงเวลาที่ทุกสรรพสิ่งในชีวิตยังคงเดิม ห้วงสุดท้าย... ด้วยกัน ในความเงียบงันของราตรีสีดำ ระหว่างขัตติยะทั้งสอง ปราศจากคำพูดต่อกัน หากเต็มไปด้วยความเข้าใจที่สื่อสารกันผ่านกระแสสัมผัสอันแสนพิเศษของเจ้าชายแฝดแห่งธัมมะราชปุระ



               “จะเข้านอนแล้วนะ” พี่ชายละสายตาจากผืนฟ้า หันมองเสี้ยวหน้าของน้องชายที่อาบด้วยแสงเหลืองนวลจากตะเกียง



               “อืม”



               “กัล...” พระองค์จันทร์ชะงักพระบาท ผินพระพักตร์มายังดรุณรูปงาม ประทับยืนริมระเบียงดาดฟ้าเรือ ปล่อยให้สายลมพัดผ่านปอยเกศาพลิ้ว “...อย่าลืมคำพระอาจารย์”



               “พระเจ้าค่ะ สมเด็จพี่”



               พระองค์จันทร์เสด็จลับไปแล้ว ถ้อยรับสั่งสุดท้ายที่กัลป์กิยะได้กราบทูลต่อพระยุพราช องค์เชษฐา ยกย่องให้เกียรติสมแก่พระฐานันดรอันสูงส่งขององค์อุปราช จ้าวแห่งทวาทศนครา ปาฏลีบุตรผู้เป็นใหญ่เหนือนักษัตรทั้งสิบสอง



               ถ้อยพจีนบน้อม จากน้อง... แด่พี่



               “จันทร์... นับแต่นี้ ชีวิตพี่จะเปลี่ยนไปอย่างไรนะ”



               กัลกิยะทอดพระเนตรดวงดาราสีน้ำเงินสุกใส ปฤจฉาขึ้นในหทัย จันทร์... เจ้าชายหัวใจราชสีห์อย่างพี่ จะคำรามเพื่อเจ้านางพระองค์นี้อย่างไรหนอ






************

หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์) สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม (บรรณ ๑) UP: ๑/เม.ย/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 01-04-2020 21:11:26
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์) สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม (บรรณ ๒) UP: ๓/เม.ย/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 03-04-2020 12:37:10
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม

รจนา: ทัดจันทร์







               อีกคำรบที่ดาริกาปรากฏกายหน้าพระฉายสำริดบานยาว แม้สายตาจะทอดมองเงาสะท้อนจากเนื้อกระจก ทว่าจิตใจกลับจมอยู่ในภวังค์ หวนรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งสามพี่น้องยุวราชตักโกลาโดนพระมารดา ‘บ่นจนหูชา’ ดังสำนวนมยุว่าไม่มีผิด



               เจ้านางเมืองทรงไต่สวนจนได้ความ ธิดาน้อยทรงปลอมองค์เป็นชาย หนีเที่ยวด้วยภารดาพระองค์รอง สตรีอันดับหนึ่งแห่งเมืองท่าอันเลื่องชื่อด้านปรัศจิมทิศ จึงได้แต่พร่ำสั่ง พร่ำสอน บุตรธิดาทั้งสาม มีก็แต่บุตรคนรองนี่แหละที่ทำท่าราวไม่ทุกข์ไม่ร้อน แถมไม่ฟังเสียด้วยกระมัง ให้แม่จัดการน้องเสร็จก่อนเถอะ เราน่ะรายต่อไปมยุ พระมารดาทรงคาดโทษเจ้าชายจอมซนไว้ในหฤทัย



               ‘เจ้าชายว่าที่พระคู่หมั้นจะเสด็จมาหาในวันนี้วันพรุ่ง ยังแอบหนีเที่ยวเป็นเด็กไปได้ ดูซิ เนื้อตัวมอมแมม เล่นทโมนราวผู้ชาย จะเสกฯอยู่แล้วนะดาริ’



               ‘คู่หมั้น?!’ ดาริกาจดจำเสียงร้องด้วยความประหลาดใจของตัวเองได้ชัดเจน



               เจ้าของวรองค์โปร่งบางเหมือนจะหลงลืมอะไรบางอย่าง



               บางอย่างที่... สำคัญยวดยิ่ง



               ‘เสก... แต่งงานน่ะเหรอ เอ่อ เพคะ’ ขนาดคำลงท้ายอย่างสตรี เขายังเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น นับประสาอะไรกับการเสกฯ ที่เพียงได้รับรู้ ก็แทบจะนั่งไม่ติดพระแท่นเสียแล้ว



               ‘ใช่’



               ‘กับเจ้าชาย เก๊าะผู้ชายน่ะซี ไม่มีทาง’



               ‘พูดกระไรของลูก เป็นสตรีมิต้องแต่งกับบุรุษหรืออย่างไร’



               สตรีผู้อื่นอาจใช่ นางอาจวาดหวังแต่งงานกับบุรุษผู้พร้อมไปทั้งยศและศักดิ์อย่างเจ้าชายอะไรนั่น แต่สำหรับเขาแล้วไม่ใช่ เขาไม่เคยวาดฝันถึงบุรุษคนไหนมาก่อนในชีวิต เช่นนี้จะให้แต่งงานกับเจ้าชายพระองค์นั้นไปได้อย่างไร

 

               ให้ตาย ชักจะรู้สึกว่าการเป็นผู้หญิงมันยากลำบากเข้าไปทุกที แล้วพ่อเจ้าชายน้อยอะไรนั่นก็เหมือนกัน จีบใครไม่เป็นหรือยังไง ถึงให้ผู้ใหญ่มาจับเราคลุมถุงชนเอาแบบนี้ หรือต้องให้สอนเวลาจีบหญิง ล้าหลัง เต่าล้านปี สิทธิสตรีรู้จักไหม อดีตผู้กอง ผู้ที่ไม่เคยรู้จักแม้แต่คำ ‘เฟมินิสท์’ กำลังเรียกร้องสิทธิสตรีอยู่ในใจ



               ทว่ากระแสรับสั่งหนักแน่นของพระมารดา เป็นเหตุให้ดาริกากลืนน้ำลายอย่างยากเย็น



               ‘ไม่รู้ล่ะ เราตกลงกับปทุมวงศ์ไปแล้ว ตักโกลาจะบิดพลิ้ว ตะบัดสัตย์วาจามิได้เป็นอันขาด’



               คำพูด วจนของผู้ปกครองนั้นสำคัญยิ่ง จะรับสั่งเล่นในการณ์สำคัญย่อมกระทำมิได้ ดาริกาเข้าใจโดยดุสดีด้วยเหตุผลสองประการ หนึ่ง ด้วยวัยที่ผ่านร้อนหนาว ผ่านหลากสถานการณ์เป็นตายมาถึงยี่สิบเจ็ดปี สอง เพราะครั้งหนึ่งตนก็เคยปกครองคน เป็นผู้นำที่ต้องรักษาไว้ซึ่งคำพูดและความน่าเชื่อถือ เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานของทายาทเจ้าผู้ครองรัฐ การเชื่อมเป็นทองแผ่นเดียวกันของสองนคร จึงมิใช่เรื่องที่จะพูดเล่นเอาสนุก หรือเพียงเพราะต้องการให้บุตรีเป็นฝั่งเป็นฝาเท่านั้น



               อดีตผู้กองหนุ่มจ้องเงาสะท้อนในกระจกของดรุณีแน่งน้อย สาวสะพรั่ง ผู้มากกว่าวัยตระหนักแก่ใจตน การเสกสมรสของเจ้าหญิงและเจ้าชายทั้งสองราชวงศ์มีนัยแฝงเร้น มากกว่าการครองคู่ของหนุ่มสาวเป็นล้นพ้น ลึกลงไปดาริกาไม่อยากจะรู้ถึงเหตุผลนั้น จะอำนาจ ผลประโยชน์ หรืออะไรก็ไม่อยากรับรู้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้เพราะเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงเสียแล้ว อดีตร้อยเอกตระหนักดี ตอนนี้เขาคือเจ้าหญิงน้อยดาริกา ผู้ที่จะต้องเข้าพิธีแต่งงาน!



               อำนาจ ผลประโยชน์? เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารเจ้าหญิงน้อยผู้น่าสงสารคนนี้หรือเปล่านะ เฮ้อ ยิ่งคิดยิ่งน่าปวดหัว แต่สิ่งที่เราต้องหาทางออกให้ได้ตอนนี้คือเรื่องเสกฯ



               ข้อตกลงที่ตักโกลามิอาจบิดพลิ้ว กับเขาที่ไม่อาจแต่งงานกับเจ้าชายไก่อ่อน จีบหญิงไม่เป็นนั่น ทางออกเดียวของปัญหานี้... หรือว่า...



               “หนี” ดาริกาส่ายหน้าให้กับเงาสะท้อนในกระจก “ไม่ได้ เราทำแบบนั้นไม่ได้ ตักโกลาจะมีปัญหา แต่จะให้แต่งงานกับเจ้าชายปทุมวงศ์พระองค์นั้นก็ไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีงานแต่งเกิดขึ้นล่ะ ถ้า...”



               รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ไม่เข้ากับดวงหน้าของเจ้าหญิงน้อยสักนิด แตะระบายเรียวโอษฐ์สีชมพูเรื่อ อังสาบางโยกไหวไปตามเสียงหัวเราะ เจ้าของความคิดกำลังนึกสนุก ขำขันในแผนการของตน



               “หนีหายไม่ได้ หนีตามซะเลยเป็นไง ฮ่าๆ” เงาสะท้อนในบานพระฉาย มีรอยระริกอยู่ในแววเนตรวาวคม “คอยดูเถอะพ่อไก่อ่อน พี่จะทำให้ตกพระทัยจนตั้งพระองค์เผ่นกลับบ้านกลับเมืองแทบไม่ทันเลยทีเดียว”



               คนเจ้าแผนการกำลังหัวเราะขำขันให้กับแผนที่แล่นอยู่ในหัวของตัวเองเป็นฉาก ๆ นางสนองพระโอษฐ์ที่เฝ้ามองอยู่แต่ไกล ขมวดคิ้วสงสัย ฤๅทูลหม่อมน้อยจะวิปลาสไปเสียแล้ว ทรงรับสั่งกับกระจกอยู่นานสองนาน ซ้ำยังทรงพระสรวลจนกอดพระนาภี กระไรจะน่าขันปานนั้น ทูลหม่อมน้อยทรงไม่เหมือนเดิมเลย วิปรฺยาสแน่แล้ว จะกราบทูลองค์สมเด็จพระยุพราชหริสสาว่าอย่างไรเล่า มิให้โดนหวายทวนหลัง



               กล้าฤๅ ทูลฟ้องว่ากนิษฐ์ท่านสติไม่สมประดี



               เพียงคิด นางพระกำนัลก็เห็นรอยหวายมาแต่ไกล ค่าที่พระเชษฐาทั้งสองพระองค์รักกนิษฐ์น้อยเสียเหลือเกิน ต่อให้บ้าก็คงจะรัก คงจะเอ็นดูอยู่นั่นเอง






************
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์) สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม (บรรณ ๒) UP: ๓/เม.ย/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-04-2020 23:25:49
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ธรฺมรฏฺฐคีตา (อิงประวัติศาสตร์) สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม (บรรณ ๓) UP: ๖/เม.ย/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 06-04-2020 15:00:06
ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม

รจนา: ทัดจันทร์








               ประกายไฟปะทุจากกิ่งไม้ที่สุมในกองกูณฑ์ แวบวาบปานดอกไม้เพลิงผลิบาน มันทรรศนาสะเก็ดไฟสีส้มคล้ายอณูเกสรบุปผชาติ ฟุ้งกระจายอวลอากาศแล้วเลื่อนลับลอยหาย อรัญวิจิกิจฉา ไยอัคนีปะทุประกาย คลับคล้ายหิ่งห้อยกระพริบแสงดับไป



               ภายใต้พิรุณนิศาธาร หยาดน้ำค้างพราวพร่ำ เกลียวไฟสีส้มแดงก่ำตัดนภดลรัตติกาลลุกโหม เมื่อเจ้าตัวดีสังเวยพระอัคนีด้วยบุหงันสะบันงา รอยแย้มละไมจึงแต้มแตะริมฝีปากเรียวเล็กที่ไม่เคยเอื้อนเอ่ยถ้อยพจีใด ยามกรุ่นกระดังงาต้องไฟกำซาบนาสา อวลอายจากเกลียวเพลิงโหมกระพือ อัคนีเทพคงตอบรับการสรวงเซ่นปูชะยาของมัน



               “สติหล่นหายในกองกูณฑ์หรือเล่าพ่อพราหมณ์น้อย นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว”



               เด็กชายไหวไหล่ มิสนใจบุรุษสรรพางค์สูงใหญ่ทิ้งกายนั่งบนก้อนศิลาข้างเคียง



               เสียงไฟปะทุเคล้าทำนองหรีดหริ่งเรไรกลางวนาในยามดึก กลบเสียงธารารินไหล อันแว่วมาจากแม่น้ำหลวงสายใหญ่ที่ทอดกายอยู่ไม่ไกล ความสุขสงบแห่งราษตรีอมาวสี คืนเดือนดับ ไร้เมฆ ปลายเดือนอัศวยุชมาสแห่งมรสุมลมตะเภา สอดแทรกทิ้งตัวระหว่าง ดรุณวัยเยาว์ บุรุษคมคร้าม และเตโชเริงระยับ ยังความศานติให้เกิดในหัวใจ แม้เพียงชั่วขณะ...



               ศิขรินทร์สะบัดผ้าผืนบาง คลี่คลุมศีรษะเจ้าตัวยุ่ง



              “คลุมไว้ น้ำค้างลง”



               มือที่โปรยดอกไม้เข้ากองเพลิง อยากจะกระชากผ้าผืนบางออกไป แต่มันก็ไม่ทำดังนั้น ผู้ใหญ่ช่างชอบยุ่งกับหัวของเด็กแท้เชียว พะรุงพะรังเหลือเกิน



               “นี่เจ้าหาว่าข้ายุ่งเรอะ” ชายหนุ่มเหวขณะเปิดย่ามผ้าฝ้ายเนื้อหยาบ หยิบเสบียงออกมา “เช่นนั้น อินทผาลัมนี่ ... อด”



               เจ้าตัวดีหันขวับยามยินคำอินทผาลัม มันชอบผลไม้แห้ง หวานฉ่ำ ชุ่มคอชนิดนี้ มันเคยได้ยินว่าผู้คนที่ท่องไปในทะเลทรายกินอินทผาลัมเพื่อไม่ให้กระหายน้ำ มันไม่รู้ทะเลทรายคืออะไร หากสงกา ทะเลอะไรจะมีแต่ทราย ไม่มีน้ำไม่มีคลื่นเลยกระนั้น



               เด็กชายผมระบ่าชอบอินทผาลัมมากเสียจนต้องรีบเทดอกกระดังงาทั้งกระทงตองเข้ากองกูณฑ์ในคราเดียว แถมกระทงตองนั่นไปด้วยประไร เผื่ออัคนีเพทท่านจะใช้ใส่มวลบุปผาที่มันสรวงบูชา อรัญประณตปลกต่อพระเพลิงที่กำลังแตกปะทุ ประกายสะเก็ดไฟแวบวาบดังดวงดาวประดับราตรี ระยับพอกับนัยน์ตากลมใสของมัน



               มฤคตัวน้อยช้อนนัยน์เนตร แบบมือขออินทผาลัมด้วยรอยยิ้มจรัสจ้ายิ่งแสงดาวร้อยพัน นักเผชิญโชคนะหรือจะกล้าปฏิเสธลูกกวางตัวจ้อยได้ลงคอ มิวาย เจ้าของรอยแผลเป็นเหนือหางคิ้วซ้ายแอบบ่น



               “กินมาก ระวังฟันหัก”



               อรัญเคี้ยวผลไม้แห้งหวานชุ่มคอ เบียดกายลงบนตักของชายพเนจร มันมองเตโชเริงระบำต่อท่วงทำนองสายน้ำหลากไหล พร้อมกัดกินของโปรดอย่างมีความสุข ศิขรินทร์จนใจจะห้าม ครั้งหนึ่งเจ้าตัวดีกินน้ำตาลเคี่ยวจนฟันร่วง ดีที่นั่นเป็นเพียงฟันน้ำนม ยามนั้นเด็กชายฟันหักขี้แย เกาะชายเสื้อ ร้องไห้จ้า เป็นภาระให้เขาทั้งขู่และปลอบจนมันสงบ ครั้นฟันแท้ขึ้นครบ เจ้าตัวดีเริ่มกลับมาแผลงฤทธิ์ สรรหาน้ำตาลเคี่ยวอีกแล้ว

 

               สิ่งใดขึ้นชื่อว่ารสหวาน อรัญจะปรี่เข้าหาทันที บุรุษผู้ครองแผลเป็นทับทาบขนงหนาจำต้องปั้นหน้าบึ้งห้ามไว้เสียทุกคราว จะห้ามปรามได้นานแค่ไหนก็สุดรู้ พักหลังเริ่มดื้อขึ้นทุกที ศิขรินทร์มักหนักใจกับเรื่องของเจ้าตัวดีเสมอ



               ทว่า กษณะนี้ ใต้ผืนฟ้าร้างเมฆกระจ่างใส ชายนักเดินทางกลับยื่นอินทผาลัมรสหวานให้ลูกมฤคตัวน้อย ราวเอาอกเอาใจ เพราะนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวกระมังที่เขามักใช้แทนคำ ‘ขอบใจ’ ซึ่งมิเคยวจนาให้เจ้าตัวยุ่งฟัง แม้นเพียงครั้ง...



                ชีวิตที่โชคชะตาฝากรอยแผลเอาไว้ บอบช้ำมากกว่ารอยแผลเป็นที่เห็น ใครจะรู้ว่าหัวใจของชายหนุ่ม ครั้งหนึ่งเคยนุ่มนวลอ่อนโยน หากถูกทำให้กระด้างกร้าวแข็งด้วยมรสุมชีวิต ศิขรินทร์เคยกอบเศษหัวใจอันชอกช้ำของตัวเองขึ้นมาด้วยธารน้ำตาพร่างไหล เพียงเพื่อจะโดนเหยียบขยี้ซ้ำ จนแหลกสลายคาบาทของผู้ที่อ้างตนเป็นเจ้าชะตา



               โมหะเคืองแค้นและบาดแผลชีวิต สวมบทเพชฌฆาต ลงดาบคร่าศรัทธาที่เคยครองไว้ในหทัย ศิขรินทร์มองความเชื่อตายไปจากหัวใจด้วยแววตาอันด้านชา แสยะยิ้มเย้ยเยาะความโง่งมของตัวเอง ทำดีแล้วได้ดีกระนั้นหรือ ธรรมคุณจะปกปักรักษาผู้ธรงไว้ซึ่งความดีเช่นนั้นฤๅ กรานไหว้องค์พระปฏิมา วิงวอนต่อทวยเทพนิกรแล้วเจ้าจักชัยยะ สุขะ อโรคะ



           มุสาทั้งเพ!



           หากพระผู้เป็นเจ้ามีน้ำพระทัยกว้างขวาง แลทรงรักมนุษย์จริงดังว่า คงไม่มีคนมีทุกข์อยู่บนโลกใบนี้



               ตราบนั้นมา ชายหนุ่มคมคร้ามจึงยินดีที่จะเรียกขานตนเอง ‘นักเผชิญโชค’ อันหมายถึงผู้ที่ไม่ย่นย่อ ยรรเยง ต่อโชคชะตาลิขิตสวรรค์ ศรัทธาในบวรศาสนาใดปลาสนาการสูญสิ้น ศิขรินทร์เชื่อเพียงตน ศรัทธาเพียงตน บูชาเพียงตนเท่านั้น



               เขาไม่มีวันคุกเข่าอ้อนวอน ต่อเทพนิกรหรือพระปฏิมาองค์ใด 



               หากมัน... มันยังเด็ก และโลกของมันยังสดใส



               อรัญสวดวิงวอนต่อพระพุทธาและเทวดาทุกชั้นภูมิสวรรค์ บทสวดสักการรำพันด้วยความเชื่อจากใจพิสุทธิ์มิใช่เพื่อตัวมัน หากเพื่อเขา เสมอมาเจ้าตัวยุ่งสวดไหว้ขอพรแด่เขา เพื่อเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น...



               ดอกกระดังงาจากป่าใหญ่เขาเห็นมันปีนเก็บด้วยสองมือ กองไฟเริงโรจน์ยามสุริยันครรลัยลารับบุษบันบูชาจากเจ้าเด็กตัวน้อย ภาพเด็กชายสรวงไฟปรากฏในคลองสายตาแทบทุกขณะที่เขากำลังลับมีดด้วยหินเนื้อเรียบ ณ ริมฝั่งน้ำ



               นักเผชิญโชครู้ดี พรแห่งอรัญทุกข้อเป็นของเขา



               “รัญ... เจ้าปรารถนาสิ่งใด ข้าจะหาให้”



               บุรุษสรรพางค์สูงใหญ่ก้มหน้า เอ่ยกับเด็กน้อยที่เอนกายแนบแผงอก เจ้าตัวดีสบตาเขาด้วยประกายระริกใส มันยิ้มทั้งที่สองแก้มเต็มป่องไปด้วยผลไม้แห้งรสหวาน



               “เว้นเพียงกริช เจ้ายังมิควรใช้”



               อรัญหุบยิ้มในบัดดล



               “ฮ่า ๆ” ชายหนุ่มหัวเราะเด็กชายวัยสิบขวบที่ทำท่าขัดใจ “อย่างอื่นล่ะ ที่เจ้าอยากได้”



               อรัญขมวดคิ้วครุ่นคิด



               “สิ่งใดก็ได้”



               ดรรชนีเด็กน้อยชี้ขึ้นฟ้า นักเดินทางมองตามปลายนิ้วที่จรดเหนือกลุ่มดาวกฤตติกา มันหัวเราะคิกคักสดใส เพราะคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีทางจะหามาได้ ศิขรินทร์พริ้มตา รับฟังเสียงหัวเราะนั้น เพราะนอกจากยามสะอื้นไห้ มีเพียงยามหัวเราะเท่านั้นที่เขาจะได้ยินเสียงมัน ไม่เคยมีพจีใดหลุดออกมาจากเรียวปากนั้น ไม่เคยสักครั้ง หากเขากลับเข้าใจว่ามัน ‘พูด’ อะไร



               “เป็นลูกกวาง ไยต้องการลูกไก่”



               เขากอดกระชับเจ้าตัวซนบนตัก นั่งมองดาวด้วยกันภายใต้ผืนฟ้าสกาวใส ใสยิ่ง... ปานแก้วเปอร์เซียเจียระไน



               ดาวกฤตติกา คือกลุ่มดาวลูกไก่ ผู้เดินทางท่องไปในท้องสมุทรย่อมเคยได้ยินมุขบาฐอันแสนเศร้าสร้อยของดาวกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นดินแดนด้าวใด เรื่องราวของดาวลูกไก่กลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เจ้าตัวดีสะอื้นไห้ทุกครั้ง หากมันก็ยังฟัง เผื่อเรื่องเล่าของลูกไก่น้อยทั้งหก ณ ธาษตรี ปฐวีใด จะมีจุดจบที่งดงามและเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข จะมีไหมนะ อยากฟังสักครั้ง



               เนิ่นนานในอ้อมอก



               ศิขรนทร์จรดปลายคางลงบนศิระของดรุณน้อย



               “หากเจ้าปรารถนา ต่อให้เป็นเดือนหรือดาว ข้าก็จะคว้ามาให้”



               หากเพียงเขาจะรับรู้... มันมิเคยปรารถนาสิ่งใดให้ตัวเอง ความต้องการเดียวคือให้ศิขรินทร์ปลอดภัย เจ้าตัวดีบูชาเพลิงเพื่อความสำเร็จในการณ์ใด ๆ ที่อีกฝ่ายกระทำ การณ์สำเร็จ ย่อมเท่ากับว่านักเผชิญโชคยังมีชีวิตอยู่ แค่เขายังอยู่กับมันตรงนี้... เพียงพอแล้ว



               ชายหนุ่มสูดเอาความสงบแห่งค่ำคืนที่กรรจายในบรรยากาศเข้าเต็มปัปผาสะ



               “แล้วกัน หลับฤๅ”



               รอยยิ้มอ่อนโยน น้อยครั้งจะปรากฏ แตะแต้มดวงหน้าคมคร้ามของบุรุษคมสัน



               ประกายฟืนปะทุและเปลวเพลิงลุกโหมสะท้อนในแววตาสีดำลึกล้ำ มือหนาเปิดย่ามผ้าที่บรรจุสัมภาระอยู่ด้านใน หยิบกระบอกสาสน์เนื้อโลหะดุนลายนักษัตรทั้งสิบสอง สัญญะแห่งทวาทศนครา นาครอันรุ่งเรือง เขาคลี่ม้วนสาสน์จารอักขระพราหมี ปัลลวะ เล่นหางยาวสลวย ทวนความ



               รอยยิ้มอันตรธานหายไปจากดวงหน้า ยามใดสุดรู้...



               คงไว้เพียงแววตาราบเรียบ ด้านชา ไร้ความรู้สึก



               ดรรชนีจรดมัชฌิมา คีบกระดาษสาสน์ จ่อไฟ... เปลวเพลิงลามเลีย เผาไหม้ปลายกระดาษ ศิขรินทร์สะบัดข้อมือส่งราชสาสน์ทั้งใบเข้าสู่กองกูณฑ์ รหัส... เนื้อความ... กลายเป็นเถ้าถ่านไม่เหลือซาก



               ไกลออกไป ในเงามืดของผืนป่ายามดึกสงัด ใต้ต้นกันเกราใหญ่แผ่กิ่งก้านคลี่คลุม ร่างหนาเคยพยายามสะบัดดิ้น หากมิเป็นผล จนเลิกล้ม บุรุษผู้นั้นถูกเชือกพันธนาการแน่นหนาเข้ากับโคนไพรพฤกษ์ เสียงตะโกนร้องเล็ดลอดจากลำคออย่างยากลำบาก ด้วยเศษผ้าที่ยัดอยู่ในปาก และผ้าที่มัดแน่นปิดริมฝีปากไว้อีกชั้น เสียงอู้อี้ของเขา เบา... เสียยิ่งกว่าเสียงร้องของนกฮูก ปักษากลางคืน ร่ำทำนองวิเวกวังเวงแว่ว โลมาแทบทุกเส้นทั่วสรรพางค์ลุกชูชัน



               ใครว่าราษตรีนี้สุขสงบ



               คนเดินสาสน์อาจกล่าวตรงกันข้าม...





************
หัวข้อ: Re: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม (บรรณ ๓) UP: ๖/เม.ย/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-04-2020 22:12:41
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม (บรรณ ๔) UP: ๑๕/เม.ย/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 15-04-2020 13:06:29


ธรฺมรฏฺฐคีตา

สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม
รจนา: ทัดจันทร์







    เส้นเกศาดำขลับกรอบให้ดวงพักตร์ยิ่งดูเรียวคม ปลิวสยายไปในสายลมอ่อนยามสิ้นสุดบทพระพุทธมนต์ สองกรพนมประณตกลางอุระ พร้อมที่จะสังวัธยายเดวะมันตราต่อไป ดังที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากพราหมณาจารย์ แลสังฆาจารย์ทั้งจตุรพรรค ให้พึงกระทำเป็นวัตรปฏิบัติ ยามทิวามณีแห่งวันใหม่เริ่มไขแสง


   ณ ปลายเส้นขอบฟ้าเหนือคุ้งน้ำ ไกลสุดสายตา รัศมีสีขาวแห่งพระอัศวินจับประกายเหนือเหลี่ยมเขาและผืนธารา บางเท่าแพรจีนพลิ้วไสว แสงขาวน้อยนิดยื่นหัตถาแตะขอบโลกแผ่วเบา ทำให้ท้องฟ้าห้วงสุดท้ายแห่งปัจฉิมยาม เริ่มอาบไล้ด้วยแสงแห่งทิวาวัน


    กระนั้น นโภมณฑลเบื้องบนศิระ ตลอดจนทิศทั้งสาม ยังคงตกอยู่ในความมืดอนธการแห่งม่านราตรี ร้อยพันดวงดาวยังพราวใส แม้มิเท่ากลางคืนเนื่องจากเมฆเริ่มปรากฏ ทว่าดวงดาราสีน้ำเงินกลางกลุ่มดาวสิงห์ ยังคงโชติช่วงชวาลาเหนือท้องฟ้าสีดำทมิฬ มีเพียงขอบอัมพรด้านบูรพทิศจับแสงขาวริบหรี่ เลยขึ้นไปเป็นแสงเฉดเทาขมุกขมัว แล้วไล่ระดับแตะแต้มด้วยสีน้ำเงินเข้ม ก่อนจรดกับสีนิลกาฬ ม่านดำลึกล้ำแห่งราตรีในที่สุด


    กัลกิยะทรรศนาอรุณแรกแสง ท่ามกลางสายลมเยียบเย็น เนื่องด้วยนิสาธาร น้ำค้างพราวพร่าง และไอน้ำกรรจายละลองจากชลธารสายใหญ่ที่จวนจรดออกสู่ทะเล


    หัตถ์ยังคงอัญชลีกลางทรวง ยามยุวขัตติยาพริ้มพระเนตร พร้อมร่ายมันตราอาทิตย์หทัย บทบูชาเก่าแก่ บุราณจารย์ใช้สวดสักการะสุริยะเทพเรืองอรุณ กษณะนั้น เจ้าชายแฝดผู้อนุชา ปรารภต่อพระองค์เองในหทัย

 
    ถึงแล้วสินะ เอกาทศนักษัตร... ตักโกลา


    ตึง!


   ก่อนธรรมราชกุมารจะได้เริ่มสฺวาธฺยายเทวะมนต์ เสียงวัตถุหนึ่งกระแทกกระดานดาดฟ้าเรือดังสนั่น กลิ้งหลุน กลบเสียงโบกสะบัดของผืนธงม่วงปักลัญจกรจันทร์เสี้ยวเหนือเสาเภตรา ระยับพลิ้วต้านกระแสลม

 
    เนตรสีเหล็กที่เคยพริ้มหลับ เบิกพลัน กัลกิยะผลันวรกายลุกพรวดขึ้น ยาตราลงจากระเบียงชั้นสองด้วยความเร็วปานวายุหมุน พระกุมารวัยหนุ่มก้าวล่วงเงามืดสู่แสงสีส้มอ่อนจากตะเกียงน้ำมันไขไส้ แขวนไว้กับเสาเรือ นายทหารเวรที่รั้งรออยู่แล้วเร่งเข้าเฝ้ารายงานสถานการณ์


    “เสียงอันใด” เจ้าของรัดเกล้าฝังบุษราในพยับตะเกียงเริงอำนาจ


    “วัตถุหล่นร่วงใส่เรือพระเจ้าข้า”


   “สั่งพลไฟ ตามคบตะเกียงทุกดวง!”


   ทุกฝีก้าวที่พระบาทเจ้าชายกัลป์กิยะย่ำผ่าน แสงตะเกียงวาบสว่างขึ้น ขับไล่ความมืดให้ปลาสนาการไปจากเภตราผงาดใบโต้สายลม มหาดเล็กพลไฟจุดคบ ไขตะเกียงน้ำมันจนสว่างไสว หากมิทันที่กัลป์กิยะจะได้มองถ้วนทั่ว


   ตึง!


    เสียงนี้เบากว่าเมื่อครู่ หากยังชัดเจนในยามอุษาสางอันงันสงัด นายทหารบางส่วนวิ่งไปยังหัวเรือ ด้วยโสตสดับต้นเสียงมาจากทางนั้น กัลกิยะเร่งสาวพระบาทดำเนินไป ขณะนายทหารตรวจตราเบื้องบุรพนาวาเริ่มอึงอล


    “นั่น... แพรึ ข้ามองไม่ถนัด” นายทหารหรี่ตามองสิ่งที่ล่องอยู่เหนือน้ำ ลอยมากระแทกเข้ากับหัวเรือ


    เหล่ากำลังพลที่มุงอยู่เร่งเหวกทางให้กับองค์ขัตติยะ เจ้าชายอนุชาเอื้อมหัตถ์คว้าคบไฟ เปลวเพลิงลุกเลียแวบวาบปลายคาคบอาบน้ำมัน ส่องสว่าง สาดแสงกระทบระลอกน้ำจนเกิดประกายระยับ แพไม้ไผ่ล่องตามสายชลกระแทกเข้ากับหัวยุวราชเภตรา  และกำลังจะถูกกระแสน้ำชะไหลผ่านไป


   ... บุรุษหนึ่งลอยล่องเหนือแพไม้ไผ่ ...


    ... หาก ...


   “เจอแล้ว!”


   นายทหารก้มตัวราบกับพื้นกระดาน ยื่นมือข้างหนึ่งความเข้าไปในซอกเล็กแคบ บริเวณเครื่องกว้านใช้ลากสมอ อันเป็นมุมอับแคบใจกลางลำเรือ เขาร้องขึ้นเมื่อสัมผัสกับวัตถุที่คาดว่าน่าจะตกใส่เรือ พลทหารหนุ่มค่อย ๆ ดึงมือกลับมาและยืนขึ้นเต็มความสูง


   ... ขณะเดียวกัน ...


   กลางลำแพไผ่สีสุกขนาดใหญ่ที่กำลังจะเคลื่อนผ่าน ยามลอยใกล้ยุวราชเภตราลำใหญ่ ที่จุดตะเกียงตามคบจนสว่างไสว ล่องอยู่กลางลำน้ำที่จวนจะบรรจบออกสู่ทะเลอันไพศาล แสงจากเรือใหญ่ส่องให้เห็นบุรุษกลางลำแพ ถูกเชือกพันธนาการมัดเข้ากับเสา


    ... บุรุษผู้นั้น ...


   นุ่งผ้ายกดอก ลวดลายเฉพาะข้าราชบริพารกองพระสาสน์ประจำราชสำนักศรีธรรมาโศก มีเพียงผู้ได้รับพระราชทานจากปทุมวงศ์เท่านั้น จักมีสิทธิ์สวมใส่


   “ให้ข้าดูซิ อะไรตกลงมา”


   ผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแลกลาบาต ถือตะเกียงส่องไปที่พลทหารผู้ก้มเก็บวัตถุประหลาดเมื่อครู่


   “อ้าว เป็นกระไรไปล่ะเอ็ง” นายเวรเอ็ดใส่ทหารหนุ่มที่ยืนนิ่ง


   “ดู... ดูเอาเถอะ” ผู้พูดชูสิ่งที่เก็บได้ติดมือ จากซอกหลืบกลางเรือ


    แพไผ่ล่องผ่าน


   แสงไฟจากปลายคบในอุ้งหัตถ์กัลกิยะ สาดส่องต้องกายชายที่ถูกมัดกลางลำแพ เขาคนนั้น...


   ... เหลือแค่คอ ...


   “ฉิบหาย!”


   หัวหน้าทหารเวรร่ำอุทาน เมื่อเห็นศีรษะมนุษย์มีเลือดหยดไหลจากส่วนที่เคยเป็นลำคอ แกว่งห้อยอยู่ในมือของนายทหารวัยหนุ่ม


   ทันใดนั้น พลันปรากฏเสียงหวีดหวิวของวัตถุพุ่งแหวกอากาศ


   กัลป์กิยะรู้สึกถึงความรุ่มร้อน ตื่นพร้อม แล่นวาบไปทั่วทุกองคาพยพ ขณะรำฦกดำรัสภารดา ที่พร่ำเตือนถึงถ้อยคำพระอาจารย์


    พระสังฆาจารย์ แห่งธตรฐสถาน กล่าวโอวาทเพียงสั้นแก่ศิษย์ก่อนจรจากนาคร ‘...ฟังเสียงลมให้จงดี’


     เพล้ง!


   อิษุดอกใหญ่พุ่งแหวกความมืดยามสาง ปักเข้าตะเกียงน้ำมันด้วยกำลังมหาศาล เศษแก้วครอบตะเกียงแตกเพล้งกระจัดกระจาย เกิดประกายไฟวาบวับติดน้ำมันหกลามพื้นเรือ


   ปัง!


   บานพระทวารส่วนที่ประทับท้ายเภตราเปิดผางออก ด้วยบาทพระยุพราชจันทรา ธรรมราชกุมารพระองค์โต เจ้าชายอุปราชยาตราสู่ตักโกลายามสาง กลางสมรภูมิเหนือน่านน้ำ ด้วยประกายพระเนตรดุดัน ห้าวหาญ ทรงพระราชอำนาจอุกฤษฏ์ปานสีหนาทคำรามสะท้านไพร


   ดาบคู่ด้ามงา... ภารดายัดใส่หัตถาน้องชาย


   ยุพราชหนุ่มชักกริชจากเอว กระโจนสู่สนามรบ


   ท่ามกลางสายฝนดอกธนูเริ่มโปรยปิดฟ้า แหวกม่านความมืด กัลกิยะตะโกนสั่ง


      “ย่ำเภรีศึก!”
    






******ธรฺมรฏฺฐคีตา******
หัวข้อ: Re: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๐ สีหนาทคำราม (บรรณ ๔) UP: ๑๕/เม.ย/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-04-2020 21:17:40
 :pig4:
 :3123:
 :katai1:
หัวข้อ: Re: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี (บรรณ ๑) UP: ๒/พ.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 02-05-2020 09:51:58

ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี
รจนา ทัดจันทร์






สํคฺรามเภรีย่ำ


กัมปนาทปานฟ้าคะนอง!


เสียงกลองศึกระรัวขึ้นจากเภตราขนาดใหญ่ลอยลำอยู่เหนือผิวน้ำ กึกก้อง ทลายความสงบสุขศานติแห่งปัจฉิมยาม จากนาวาลำเดียวที่ตามตะเกียงจนชัชวาล เริงโรจน์โดดเดี่ยวท่ามกลางความมืดยามอุษาสาง บัดนี้ ดวงไฟเหนือผืนธาราค่อยเพิ่มขึ้นทีละดวง จนสว่างเพลิงไปทั่วทั้งคุ้งน้ำย่ำยามรุ่งอรุณ


ในการศึก จะไม่ฆ่าผู้ส่งสาสน์ อย่างดีก็จะทำโทษมัน


เป็นธรรมเนียมยุทธสงคราม นักรบขุนศึกทั้งหลายพึงจารจำ


ขบวนพยุหะยาตราชลมารคแห่งองค์ยุพราชปาฏลีบุตรนครา สว่างขึ้นด้วยตะเกียงไฟ ทีละดวง ทีละลำ ใต้ความมืดเสี้ยวนาฑีสุดท้ายของนภาดลอมาวสี เภรีศึกจากนาวาลำแรก ย่ำสะท้านสะเทือน ไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงกลองกระหน่ำจากเรือทั้งขบวน กลองศึกกระหึ่มกู่ก้องทั่วทั้งธารา!


ศพของพวกพ้อง...


ปลุกอาศีรวิษให้ตื่นขึ้น แผ่พังพาน สำแดงเดโช


เสียงแตร สังข์ กลอง ประกาศศึก เคล้าเสียงโห่ร้องเซ็งแซ่ฮึกเหิมของเหล่าพลพยุหะ สนั่นหวั่นไหวไปทั่วท้องน้ำกว่ากว้าง สํคฺรามเปิดฉากนับแต่นาฑีแรกที่ขบวนเรือเคลื่อนพลเข้าสู่น่านน้ำตักโกลามหานคร


เจ้าของลัญจกรเคียวจันทร์แสยะยิ้ม ธัมมะราชปุระพร้อมทำศึกนับแต่ทรงดำริแต่งขบวนยาตราชลมารค ล่องแม่น้ำหลวง ราชนาวีขนาดใหญ่ทั้งยี่สิบห้าลำ บรรทุกนักรบและอาวุธเต็มกระบวน เป็นประจักษ์พยานยืนยัน ขัตติยะราชกุมารทั้งสองพระองค์ทรงดำริการศึกไว้ตั้งแต่เริ่ม ราวทรงรฦกรู้ สิ่งใดจะคอยอยู่ในภายภาคหน้า


ตลอดราตรีนั้นพระองค์จันทร์มิได้บรรทมหลับ ความรุ่มร้อนแผดเร่า สุมกองอยู่กลางทรวง ระอุมากเสียจนมิอาจข่มพระเนตรนิทราได้ ภารดายังจำคำอนุชาปฤจฉายามทรรศนาทะเลดาวพราวไสว


‘กังวลฤๅจันทร์’


‘ไม่’


‘แล้วเป็นกระไร’


สมเด็จพระยุพราชทรงจำคำตอบที่ประทานแก่อนุชาได้มั่น


‘ตื่นเต้นน่ะกัล…’ หากที่เจ้าชายหนุ่มยักเยื้องไว้ ตื่นเต้นที่จะได้สู้ศึกครั้งแรกในชีวิต มากเสียจน ‘…แทบจะรอรุ่งอรุณของวันพรุ่งไม่ไหว’


    เจ้าชายวัยสิบเจ็ดชันษา


   ตั้งตา. รอ. คอย.


   ศึกแรกในชีวิต!


   “อ๊าก!!”


   กริชเงินใบคมยิ่ง เยียบเย็นราวน้ำแข็ง ปาดลึกลงไปบนคอ จนเลือดแดงฉานพุ่งทะลักออกจากบาดแผลอันเกิดแต่รอยกรีดคว้านของกริชคม ชีวิตผู้บุกรุกถูกคร่าให้ตกตายสังเวยศาสตรา ยุพราชผันพระองค์โถมสังหารปัจจามิตรรายต่อไป รวดเร็วดังวายุกระหน่ำ ดัสกรทอดร่างสิ้นลง โดยมิทันได้กวัดแกว่งอาวุธในมือ


   ศัตรูอาศัยเงาสุดท้ายของความมืดย่ำอุษาเป็นเครื่องอำพราง พวกมันล่องเรือพายขนาดกลาง ทวนกระแสน้ำ เข้าประจันกับกองราชนาวีในโอรสาธัมมะราชปุระ สายพระเนตรประเมินกำลังพลอริศัตรู เห็นไม่น่าจะต่ำกว่าสิบลำเรือ บันไดไม้ของผู้บุกรุกพาดประกบนาวาศึก ทอดกายเป็นสะพานให้พวกมันปีนป่ายสู่สมรภูมิรบอย่างห้าวหาญ นักฆ่ารับจ้างเหิมกร้าว ลำพอง ไต่บันไดเร่งขึ้นประจันยุทธ์ หากพวกมันจะรู้เพียงนิด กระบวนเรือพายของตนกำลังถูกราชนาวีค่อยเคลื่อนลำ ล้อมไว้ทุกทิศทาง


   อหิร้ายตวัดขนดหาง ล้อมเหยื่อ


   ก่อนจะรัด และฉกกัดจนตาย


   พลธนูในขบวนเรือเจ้าชายแฝดมิอาจทำกระไรกับผู้บุกรุกได้มากนัก ด้วยพวกมันใช้โล่เหล็กกำบังดอกศร เมื่อปีนขึ้นเรือได้ เสียงประดาบของทั้งสองฝ่ายจึงขับขานทำนอง ราวบทสวดร่ายกลศึกรับอรุณ


   ดาบคู่ด้ามงาช้างถูกสะพายแนบปฤษฎางค์ หากที่กวัดไกวอยู่ในหัตถาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ากัลกิยะราชกุมารคือทวนทวะยุทธ์ศัสตรา ด้ามเพรียวเบาหมุนคว้างราวเป็นองคาพยพหนึ่งแห่งสรรพางค์ ปลายแหลมของอาวุธเปรอะเลือด สะท้อนคบไฟและประกายอรุณ กัลกิยะผันคมทวนและกระแทกท้ายพลองใส่ดัสกรทั้งหน้าหลัง มฺฤต ทบท่าว ไม่ปราณี


    ทฺวยุทธ์ศาสตราตระหวัดควงแหวกอากาศ กลับแนบลำตัวนายแห่งมัน กัลกิยะประทับยืนผงาดง้ำ สายลมอ่อนรับทิวาสะกิดพู่ไหมสีชาดปลายทวนพลิ้ว ไสวเฉกเกศาแห่งเจ้าฟ้าพระองค์รองที่สยายริ้วในวายุปราณ เป็นความงามสง่าอันน่ายรรเยงยิ่ง


    คมทวนคืออาวุธที่กษัตรินเลือดนักรบ จะทรงใช้ยามกระทำทฺวยุทธ์ การประลองตัวต่อตัวในการศึก มาดแม้นทฺวยุทธมิอาจบังเกิดกับกองโจรสถุลชี ธรรมราชกุมารฤๅหวั่น สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์รองประทับมั่น ปล่อยแสงตะวันอาบไล้พักตรา นัยนาลึกล้ำโชนช่วงอัจจิมา ส่อประกายตาของขุนศึกพร้อมรบ กษณะนี้ กัลกิยะทรงสง่าน่าคร้ามเกรง ดุจดั่งมหานารายณ์ยามเสด็จรณภู ประจญทวยทัพมาราในเทวาสุรสงคราม


    “เป้าหมายอยู่นั่น” ผู้บุกรุกตะโกนสื่อสารกันด้วยพจนามลายู


   มลายูโบราณเป็นภาษาแห่งการค้าวาณิช นับแต่สมัยราชอาณาจักรศรีวิชัยเรืองอำนาจ ผู้ใดแสวงหาความร่ำรวยแลโภคทรัพย์ เดินเรือเทียบนครท่าตลอดคาบสมุทราแห่งนี้ จำต้องพร้องพจีเป็นมลายูได้ การค้าแลศฦงคารที่เสาะแสวง จักสำเร็จมิยากนัก


    ตลอดระยะเวลากว่าห้าร้อยปีที่ศรีวิชัยเป็นจ้าวสมุทร ภาษาบุราณสื่อกลางแห่งคาบสมุทรแหลมมลายูได้ซึมซับเอาคลังคำ ถ้อยวจนาจากชนชาติมิตราคู่ค้า สํสฺกฤต เปอร์เซีย และอาราบิกเข้าปะปน จนกลายเป็นอีกหนึ่งภาษาที่รุ่มรวย สะท้อนการค้าและอารยะ เพียงภาษาก็บอกได้หมายรู้ ศรีวิชัย’เคย’ยิ่งใหญ่เพียงใด


   หาก... ศรีวิชัยสิ้นแล้วซึ่งอำนาจ


   แล ศรีวิชัย คือ ผู้มีชยะเหนือพราหมณ์


   ปทุมวงศ์ คือ วงศ์พราหมณ์


   แล ยามพระบิดาเสด็จเถลิงถวัลยราช


   บรมโองการก้องประกาศ ธัมมะราชปุระมิขึ้นต่อผู้ใด จักเป็นใหญ่เหนือผืนสมุทรา!


    ปลายทวนแทงทะลุอกสลัดชวา พระกุมารผู้ทรงศิราภรณ์มณีบุษรา ยืนประทับนิ่งเป็นเป้าให้กองโจรพุ่งโจมตี กษณะนั้น ด้ามทวนเริงระบำ ฟันฟาดเต็มพละและปรีชา ยากจะหาคู่ต่อสู้ฝีมือทัดเทียม หากพวกมันจะรู้เพียงนิด ทวนคืออาวุธศาสตราที่กัลกิยะไม่ถนัดเอาเสียเลย


    “ดาหน้าเข้ามา ผู้ใดประสงค์มฤตาลัย”


   วจนามลายูแห่ง ‘เป้าหมาย’ ที่กองโจรหวังเข่นฆ่า ย่อมเป็นที่เข้าใจต่อสลัดชวา ด้วยชนชาวชวากะเป็นเจ้าของมลายูภาษา ถ้อยสนทนาในดินแดนที่ศรีวิชัยเคยรองเรือง


    หนึ่งทวนณรงค์ปะทะหลายคมดาบ บัดนี้รอบวรกายและยุวราชนาวาทุกลำเหนือคุ้งน้ำคือสนามรณภู พลพยุหะแห่งศรีธรรมราชต่อสู้เผชิญศึกกับกองโจรรับจ้างชาวชวา ภายใต้แสงแรกแห่งทวิวาวัน กลางแม่น้ำหลวงแห่งเมืองเอกาทศนักษัตร ตักโกลา ผู้ถือตราศฤคาล ปีจอ


    มือสังหารชาวชวากะสวมผ้าพื้นสีราตรี หากประดับกายด้วยลูกปัดมากสีสัน ดาบใหญ่ของสลัดที่กวัดแกว่ง หล่นร่วงลงทีละอัน ร่างของผู้บุกรุกทุกเภตราเริ่มทอดลง  บ้างจมลับหายใต้สายน้ำ บ้างทิ้งลมหายใจไว้บนดาดฟ้าเรือ และในวินาฑีที่ผืนฟ้าประดับม่านเมฆาแต้มแสงสุริยาฉาบฉายทิวาวัน เสียงพยุหะหาญแห่งเมืองสิบสองนักษัตรเริ่มโห่ร้อง


   ชยะ ชยะยาตราใกล้!


    ร่างสุดท้ายของสลัดชวา สังเวยต่อกริชเงินในหัตถาพระองค์จันทร์


   เจ้าชายแฝดผู้เชษฐาฉลองพัตราภรณ์มิต่างพลทหารร่วมกระบวนนาวา กระชากอาวุธรณยุทธ์ระยะประชิดออกจากช่องท้องท่วมโลหิตของศัตรู ลำไส้ ไต ตับ รวมทั้งสายเลือดคลุ้งคาวหลากทะลักออกจากเรือนกาย ดวงตาดับแสงของมันเบิกโพลงด้วยความทรมานก่อนมฺฤตา เห็นเส้นโลหิตบนนัยน์ตาถลนโปนนั้นแตกไหล จึ่งไร้ชีวิต บาทพระยุพราชถีบร่างร้างอาปาณ ให้ทบท่าวลงกลางกระดานดาดฟ้าเรือ


   สำเนียงกู่ก้อง ฮึกเหิม ยินดีในชัยชำนะแห่งสหายร่วมศึก แซ่ซ้อง สะท้อนกังวานไปทั่วทุกสารทิศ พลพยุหะสำรวลดีใจในชยะ เสียงหัวเราะ สังข์ กลอง ขับขานท่วงทำนองแห่งความสุขรับประกายสุริยัน สดใสยิ่งผืนนภาสีขาวต้องแสงสุริยาทิตย์จนกระจ่างจำรัสจ้า ค่าที่ยามนี้ท้องฟ้าทั้งผืน ห่มม่านเมฆาเฉดขาวนวลละลอง


    สุขใดแห่งนักรบ จะเท่าสุขในชยะไม่มี


    สุขยิ่งเหลือประมาณ




*************
หัวข้อ: Re: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี (บรรณ ๑) UP: ๒/พ.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-05-2020 22:03:16
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี (บรรณ ๑) UP: ๒/พ.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 03-05-2020 03:13:05
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี (บรรณ ๒) UP: ๒๐/พ.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 20-05-2020 21:23:46
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี
รจนา: ทัดจันทร์




    เรือนอกวัยกำเลาะ วัยแห่งดรุณีแรกสาวทรวดทรงสะพรั่ง ปทุมถันตูมเต่งได้รูปนั้นถูกรัดพรางไว้ภายใต้ผืนผ้าฝ้ายทบพัน แล้วจึงสวมทับด้วยเสื้อแขนกระบอก นุ่งหยักรั้ง เก็บปลายผมด้วยผ้าโพกพันศิระ เสร็จแล้ววรองค์โปร่งบางจึงสำรวจสัมภาระในย่ามเฉวียงบ่า เนื้อเค็มตากแห้ง ข้าวกวน วลัยทองสามสี่ข้อ อ้อ ที่สำคัญมีดสั้นใบคม ไม่ดีนัก แต่ถือว่าพอเอาตัวรอดได้


   เหนือยี่ภูปักลายหงส์เหิน ประจงวางหมอนบุไหมอัดฟาง บางใบยัดนุ่นนุ่มสบาย เรียงต่อกันเป็นแถว แล้วคลุมทับด้วยผ้าห่มแพรสีชมพูนวล ดาริกาคลี่วิสูตรรอบพระแท่นผืนโปร่งเบาบาง ปิดมุมทั้งสี่ของเตียงจีนสี่เสาประดับมุกไฟ แสงสีขาวริบหรี่ประกายแรกของอรุณรับวันใหม่สาดผ่านบานบัญชรที่เปิดกว้าง ส่องกระทบเตียงนอนใหญ่ ทำให้ดูคล้ายเจ้าหญิงน้อยยังคงบรรทมอยู่เหนือพระแท่น สนิทนิทรา


    ร่างเพรียวบางรั้งอยู่ริมหน้าต่าง ชะโงกพักตรามองลงไป สูง แม้นไม่เท่าหอกระโดดที่ใช้ฝึกในยามเรียนนายร้อย แต่จากพื้นดินจรดบานหน้าต่าง ลงไปโดยไม่มีเชือกโรยตัวก็ยังนับว่าสูงอยู่ดี ดาริกาถอนหายใจ หากทุกอย่างจะง่ายเพียงแค่โรยตัวลงไปด้วยผืนผ้าที่มัดปมต่อกัน แต่คงเป็นวิธีที่ไม่ฉลาดเท่าไร ถ้าลงทุนจัดเตียงแล้วหนีไปได้ แต่ทิ้งหลักฐานเป็นผ้าต่อปมผูกคาไว้กับขาตั่งให้คนข้างหลังจับได้


   การหลบหนีต้องไร้ร่องรอย ฉะนั้นการโรยตัวย่อมใช้ไม่ได้


   อดีตนายร้อยยืดกล้ามเนื้อ


   “เฮ้อ หาเรื่องแท้ ๆ”


   คำปรารภคล้ายปรามตัวเอง ทว่า...


   เจ้าหญิงน้อยปีนขึ้นหน้าต่างอย่างไร้ความลังเล เสี้ยววินาทีสั้น ๆ กลางสายลมพัดแผ่วยามรุ่งสาง  ดรุณีแบบบางกระโจนพรวดจากขอบพระบัญชร ม้วนกายลงสู่ธรณีเบื้องล่าง เงียบงัน ว่องไว


    ดาริกาสำรวจซ้ายขวา ครั้นทางสะดวกจึงอาศัยแมกไม้ในอุทยานเป็นปราการกำบัง เร้นกาย ลับหายไป



   “เจอแล้ว อยู่นี่เอง”


   เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือพุ่มพฤกษก ดาริกาที่หลบอยู่หลังบริบรรณระบัดสีเขียวจัด เรี่ยรายไปด้วยหยดกลมใสของนิศาธาร อาบพยับแสงแรกอรุณของทยุมมณี หยาดน้ำค้างพิสุทธิ์พิศคล้ายแก้ววิเชียรฉายดาษดา ขณะนั้นสังขาร์เพรียวบางชะงักนิ่ง มิไหวติง ทว่าดวงแด หล่นโครมแหลกสลาย



   “มุดทำกะไรอยู่ตรงนั้น”


   โดนจับได้เสียแล้วสิ เจ้าหญิงน้อยถอนปราณ ปลดปลง ชานุข้างหนึ่งชันขึ้นเพื่อพยุงวรกายประทับยืน


   “อ้าว เจ้านะเอง”


   เกือบไป! เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่เจ้าหญิงผู้ลอบหลบหนีจะยอมจำนน เสียงบุรุษนายหนึ่งกลับจำนรรจ์วจีมาจากสุมทุมพุ่มพฤกษ์ที่อยู่ไม่ไกล ได้ยินเสียงนั้น ดาริกาแทบจะหมอบลงไปจนตัวแนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกับติณชาติชอุ่มเขียว เราต้องรอด ต้องหนีไปให้ได้


   “ข้าเอง จะมาตาม ผลัดต่อไปเขามาเปลี่ยนเวรแล้ว” นายทหารรักษาการณ์บอกกับสหาย


   “งั้นดี มาช่วยข้าหา”


   “เจ้าทำสิ่งใดหาย”


   “หัว เพลานี้ยังมิหาย แต่อาจจะ ถ้ามีผู้บุกรุก”


   “ใคร พวกมันฤๅ” นายทหารที่เพิ่งออกเวรหมายถึงสลัดชวา ที่เคยกระทำอุกอาจมาแล้วครั้งหนึ่ง


   “ข้าไม่รู้ อาจมิใช่ แต่เห็นมีบางอย่างวอบแวบแถวพุ่มพันธุ์พวกนี้ เลยออกมาดู”


    “ตรงใด ข้าจะช่วย”


   ไหมล่ะ หาเรื่องแท้ ๆ อดีตนายนายร้อยได้แต่สบถในใจเมื่อพยุหะหนุ่มเริ่มเดินสำรวจหา ขัตติยะนารีในคราบเด็กชายชาวไพรค่อยเคลื่อนตัวแผ่วเบาออกจากพวงพุ่มบริบรรณ หากการเคลื่อนที่ด้วยความเงียบ โดยมิอาจโผล่พ้นจากกำบังใบไม้ เป็นไปอย่างลำบากและกินเวลา ขณะเสียงแหวกพุ่มระบัด แว่วชัด กระชั้นเข้ามาทุกที


   “วูฟ!” หมาป่าวัยกำลังโตกระโดดทับร่างเจ้าหญิงน้อย


   เงียบ! ดาริกาทำมือจุ๊ปาก ศฤคาลตัวโตขนสีเทาสลวยจรดนัยน์ตาเฉดอำพันจ้องมนุษย์สตรีเยาว์มาลย์ มันเอียงคอ เห่าเสียงดังกว่าเก่า


   “วูฟ”


   ในทรรศนะของอดีตนายร้อย เกรย์วูฟศฤคาลนักล่าแห่งผืนป่า มิได้เห่าโฮ่งเยี่ยงศวา สุนัข ชนิดอื่น สรีระสูงใหญ่อาจทำให้เสียงเห่าของหมาป่าฟังทุ้ม คล้ายก่นคำราม เจ้าเกรย์วูฟตัวดีกระดิกหาง วิ่งวนรอบดรุณีกำเลาะ


   “เฮ้อ ศฤคาลนี่เอง” เสียงแหวกพุ่มไม้หยุดลง “ข้าว่าคอพวกเรายังมิขาดดอก” ทหารออกเวรเอ่ยต่อสหาย


   “จะไปดูหน่อยไหม เห่าดังมาจากตรงนั้น”


   “ไปให้มันงับเอาฤๅ รู้กันอยู่มันไม่เป็นมิตรต่อใคร เว้นแต่ทูลหม่อมน้อยเท่านั้น คนให้ข้าวมันยังกัดไม่เว้น”


   “นั่นสิ แต่ถ้าเกิดมีใครทะเร่อเข้ามาล่ะ”


   “ให้ศวานั่นจัดการ ดุปานนั้น บุรุกเข้ามาเถอะ จมเขี้ยวเสียก่อนนายเวรจะเร่งรุดมาถึง”


   บทสนทนาของพยุหะหนุ่มเงียบหาย พร้อมเสียงฝีเท้าทิ้งห่างจนลับไป ดาริกาไม่เคยคิดว่าการช่วยชีวิตสัตว์ในยามที่มันตกทุกข์ได้ยากจะมีประโยชน์ถึงเพียงนี้ มือบางลูบหัวเจ้าหมาป่าสีเทาอย่างดีใจและปราณี


   “เก่งมาก เด็กดี” เจ้าหญิงน้อยรีบลุกขึ้นเมื่อปลอดสายตาของผู้รักษาการณ์ “เอาล่ะ ฉันต้องไปแล้ว อย่าขู่ใส่คนให้ข้าวเขานัก ไม่น่ารักรู้ไหม ไปล่ะ”


    “วูฟ” หมาป่าตัวเขื่องกระดิกหาง วิ่งตาม


    “ชูว์” ดาริกาหันมองรอบด้าน โล่งใจที่ยังไร้วี่แววผู้คน “ไม่ได้ไปเล่น อย่าตาม”


   สุนัขผู้ล่าแห่งมวลแมกวนาไม่อาจล่วงรู้ เข้าใจคำมนุษย์ มันเพียงวิ่งตามสมาชิกร่วมฝูงของมัน หมาป่าโดดเดี่ยว มีมนุษย์คนเดียวเป็นเพื่อนร่วมฝูง จะให้ทิ้งกันไปได้อย่างไร


   “ก็ได้ แต่ถ้าจะตามมาด้วย ต้องเงียบ”


   “หงิง” เกรย์วูฟประหนึ่งขานรับ




   ณ ตีนท่า เรือหลังคาโค้งสานจากไม้เนื้ออ่อนจอดสนิทเหนือน่านน้ำในเขตพระราชฐาน อันเป็นคลองสายยาวต่อกับแม่น้ำหลวงด้านนอก เรือลำนั้นลำเลียงสินค้าจำพวกข้าวสาร ผัก ปลา มาส่งยังห้องเครื่องวิเสทเป็นกิจวัตร ยามนี้บนเรือร้างผู้คน ค่าที่คนบนเรือขนของไปส่งให้คุณข้างใน เรือจึงโล่งไร้สัมภาระ มีเพียงเข่งไม้ไผ่สานและกระสอบป่านใช้แล้ววางแกะกะ


    ดาริกาใช้ช่วงจังหวะที่นายเวรตีนท่าผินหน้าไปทางอื่น เผ่นแผล็วขึ้นเรือ มือบางคลี่กระสอบป่านทับหมาป่าขนสลวย จากนั้นเจ้าหญิงน้อยจึงมุดตัวเอาเข่งอำพราง คลุมครอบตัวเอง ที่เหลือคือรอ ไม่นานเรือลำนี้จะพายล่อง ลัดออกสู่ชลธารด้านนอกพระกำแพง ผู้หลบหนีเพียงแต่ต้องรอ รอเวลาอย่างใจเย็น


   มัจฉาใต้สายน้ำว่ายขึ้นเรี่ยผิวชลชลาใส แล้วพลันผุดดำลับหาย ทิ้งไว้เพียงระลอกคลื่นเป็นมณฑลระยับพลิ้ว แต้มด้วยแสงรวีเป็นประกาย คล้ายผงทองคำประดับผืนน้ำ เวลาแห่งทิวาเสด็จย่างพระบาท ขับม่านมืดแห่งนิศากาลให้ครรลัยผ่าน พ้นไป... ท้องฟ้าเช้านี้ขาวโพลนไปด้วยอาภรณ์กลับเมฆ สดใสดังดวงใจที่กำลังโลดโผนเป็นอิสระ


   ครู่ใหญ่ล่วงไป เรือเก๋งสานที่เคยจอดนิ่ง ยุบยวบ ค่าที่มีคนกลับขึ้นเรือ เสียงฝีเท้าย่ำเดิน แกะเชือกที่ผูกไว้กับเสาท่า ไม่นานเรือหลังคาโค้งลำเปล่าก็ออกล่อง ผ่านซุ้มประตูเหล็กหนามล่วงสู่นอกเขตพระราชวัง


    ดาริกาอมยิ้มดีใจ


   เข่งไม้ไผ่สานเปิดอ้า ยินคำทักทาย


   “จะไปไหนแต่เช้าฤ ดาริ”


   ภารดาพระองค์รองกอดอุระ ก้มมองกนิษฐาตัวจ้อย นัยน์เนตรดุดันคาดคั้นคำตอบ


   “แคว๊ก”


   พญาอินทรีย์ทองเกาะเครื่องหนังกั้นไหล่มยุ เอียงคอ มองจ้องเจ้าหญิงน้อยไม่ขยับปีกขยับกาย ดูเถอะ เจ้าขุนทองก็กำลังรอคำอธิบาย ไม่ต่างเจ้านายของมัน


   ดาริกาถอนใจ


   สุดท้ายก็ไม่รอด








***********************************
หัวข้อ: Re: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี (บรรณ ๒) UP: ๒๐/พ.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-05-2020 12:30:12
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี (บรรณ ๓) UP: ๒๔/พ.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 24-05-2020 17:10:20
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี
รจนา: ทัดจันทร์







“หนวกหูเสียจริง”


ศิขรินทร์เอาก้านดอกหญ้าปั่นหูแก้รำคาญ ปุรุษะนักเผชิญโชคอยู่บนหลังพาชี ซ้อนอยู่บนอานแนบหลังเด็กชายซุกซน อรัญชะเง้อแลไกลสุดสายตา เห็นกองเรือโห่ร้องฉลองชัยอยู่กลางน้ำ อัศวะสีขาวที่เป็นพาหนะให้หนึ่งบุรุษหนึ่งดรุณ ยืนนิ่งริมโค้งน้ำ ปล่อยให้มนุษย์ทั้งสองทรรศนาสํคฺรามราชนาวี


อรัญห่อไหล่ มันต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ เจ้าเด็กจอมซนฉงนใจ หรือข้าทำประการใดผิดพลาด



“ฮ่า ๆ เจ้านี่น้า” ชายหนุ่มคมคร้ามโยกหัวเจ้าตัวดีเล่น เมื่อเห็นมันเป็นกังวล



การบูชาเทพแห่งไฟจะกระทำก่อนการออกศึกทุกชนิด อรัญสรวงไหว้พระเพลิงศักดิ์สิทธิ์เพื่ออำนวยชยะให้กับศิขรินทร์ เด็กน้อยไม่รู้... เจ้าของเรือธงม่วงเป็นใคร มาจากไหน ไม่รู้หรอกว่าสังหาร ทำศึกกันไปไย สิ่งเดียวที่มันรู้นับแต่ร่วมเดินทางกับนักเผชิญโชคลอยล่องสมุทรา



สงครามแห่งชีวิตของคนอย่างพวกเขา



มีเพียงชยะ ฤๅ มฺฤตา



หามีตัวเลือกอื่นใด



มันจึงบูชาอัคนีเทพด้วยใจอันพิสุทธิ์ เพื่อชัยชนะแห่งนักเดินทาง หาไม่ ความพ่ายแพ้แลมฺฤตาลัยจะคร่าเขาไป สุดท้ายมันจะไม่เหลือใคร ไม่เหลือใครอีกเลย



“อย่าห่วงเลยน่า ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอก อีกอย่าง...” ชายหนุ่มคุมบังเหียนม้าให้เริ่มออกเดิน “...ยามบูชาเทพแห่งไฟ เจ้าควรสังเกตกองเพลิง”



เด็กชายฉงน หากศิขรินทร์เพียงแต่ยิ้ม



เปลวเพลิงกองนั้นยังลุกโชตนาอยู่ในความทรงจำ เปลวไฟสีแดงเริงโรจน์แผดเผาไม้หอม ดอกไม้ รวมทั้งราชสาสน์ มอดไหม้ ไร้ควันแม้นกระผีกริ้นเดียว!



อัคนีเทพได้ให้สัญญานมงคล



การณ์ใดที่กระทำจะเป็นเสมือนเปลวเพลิงโชติตระการ หามีผู้ต้านทานได้ไม่!



**************
หัวข้อ: Re: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี (บรรณ ๓) UP: ๒๔/พ.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 25-05-2020 00:19:06
 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี (บรรณ ๔) UP: ๙/ส.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 03-08-2020 23:54:37
ธรฺมรฏฺฐคีตา


สรรคะ ๑๑ ยุพราชนาวี

รจนา: ทัดจันทร์


บรรณ ๔



ธงตราลัญจกรภวเศขรจันทร์หงายสะบัดโบกในกระแสวาตะพลิ้ว คล้ายร่วมแซ่ซ้อง กำสรวลสราญ ด้วยหมู่พยุหะฉลองชัยรณพีร์ ชำนะศึกราชนาวีเหนือน่านน้ำตักโกลา


ประกายพระอาทิตย์สว่างจ้ารับอรุณ ขับไขรัศมีอยู่ภายหลังม่านเศวตเมฆา ขาวจำรัสโพลน เป็นเหตุให้องค์สุริยะเทพมิอาจเมิล ยาไฉนสัทท์กำสรวลของพยุหะนายหนึ่งพลันร้างรำงำไป ท่ามกลางความเปรมปรีดิ์แห่งชัยที่คว้ามา


เสียงหัวเราะเสนาะสนาน กลับกลาย...เป็นเสียงสำลัก


นายทหารหนุ่มหันมองเพื่อนร่วมรณภู ที่มีอิษุศรผันเกลียวแหวกอากาศ พุ่งปักทะลุคอ โลหิตฉานชาดทะลักล้นจากแผลฉกรรจ์เหวอะหวะ มิตรร่วมสนามรบกระอักเลือด คาวคลุ้ง แดดิ้นลงกลางดาดฟ้าเรือ ทหารกล้าทอดร่างร้างชีวิตมิต่างอันใดกับโจรชวา


ฉึก


อีกร่างทบท่าวลง


ฉึก ฉึก เสียงพิเราะห์แห่งชยะเริ่มริบหรี่ เร้นร้าง อำลา


พยุหะทุกผู้หันหาที่มาของศร หากมิพบ ผู้บุกรุกทั้งสิ้นล้วนมรณายามยุรยาตรล่วงขึ้นเภตราธงเสี้ยวจันทร์เศขร กัลกิยะกวาดสายตา สำรวจศวสังขาร์สลัดชวามฤตาเกลื่อนพื้น หาก...ไม่มี ไม่มีศวร่างใดใช้ธนูระศาสตรา! ก่อนพวกมันจะบุกขึ้นขบวนเรือ ฝนธนูสาดกระหน่ำ นัยน์เนตรสีเหล็กเบิกกว้าง แม้นพวกมันตกตายล่วงแล้ว... พิรุณคมศรยังพรำ!


“เตรียมโล่ รับศึก!”


พระองค์จันทร์ทรงบัญชา พระสุรเสียงสะเทื้อนกังวาน ปานเทวราชผู้ทรงมหิทธา สายพระเนตรทอดไกลเหนือคุ้งนทีกว่ากว้าง หากมิอาจพิศแลเมิลเห็น เจ็บใจนัก!


ราตรีใดสกาว เช้าพราวกลีบเมฆ ม่านหมอกย่อมปฺรกฏ


ปราการแห่งธรรมชาติ ปิดพราง กำบัง ได้น่าพรึงพรั่นนัก หมอกขาวโพลนกำจายทั่วคุ้งน้ำ ปกปิดมรรคาเบื้องหน้าจนมิอาจมองเห็น ม่านหมอกเย็นเยือกพรายพลิ้วละอองไอไปในอากาศยามอรุณ อณูหมอกกลมใสอาบแสงทองสุริยาทิตย์ ฟุ้งกรรจายไปทุกทิศทาง สวยงาม... แต่... ซึมซ่านแฝงเร้นไปด้วยเงามรณา


ศรพุ่งปราดหลุดจากแล่ง แหวกหวือกลางอากาศ กระหน่ำปิดโพยมฟ้า ถาโถมราวโทษามรสุม เสียงอิษุศรชำแรกธาตุอากาศ หวีดดังราวพายุกรีดกริ้วกลางทะเลทราย


คมศรตกร่วงใส่กองเรือของเป้าหมาย ทหารหลายนายตายตกตายก่อนคว้าโล่ได้ทัน และแล้ว... กลางกระแสวาโยในหมอกม่านไอธุมา หากสดับฟังให้จงดี จักยินเสียงใบเรือคลี่กาง พรึบ พรับ รัวดัง สะท้อนก้องไปทั้งคุ้งนทีธารา ลำแล้วลำเล่า ราวคีตาดนตรีบรรเลงสังคีตไม่มีหยุดหย่อน


สองขัตติยะรฦกคำพระสังฆาจารย์จับฤทัย


โอ... ชยะที่เคยมี...


ตึง ตึง ตึง เภรีศึกย่ำกัมปนาทจากอีกฟากของม่านหมอกละอองหนา เสียงกลองระรัวก้องสะท้อนไกล มิใช่เพียงทั่วคุ้งน้ำ หากลึกลงไปจรดเบื้องบาดาล แม้นมัจฉาสาธารยังรู้ เภรีจากกระบวนเรือหลังกำบังหมอกเศวตโพลน ย่ำกังวานเสียยิ่งกว่ายุพราชนาวี


โอ... ชยะแลสุขะ มิเคยอยู่กับใครนาน


สิ่งนั้นพุ่งแรงเร็วปานดาวตก แผดเผาฉุดคร่าเยี่ยงทัณฑ์ไฟนิรยะอเวจี


ลูกไฟ!


เป็นไปได้เยียใด? ลูกไฟถูกดีดซัดเป็นวิถีโค้งแหวกวิสูตรหมอกคลุ้งฟุ้งยิ่งเมฆา กระแทกใส่กองเรือแห่งเจ้าชายแฝด ไม่... ด้วยสัตยะ ยุทโธปกรณ์ยิงลูกไฟเช่นนี้ ธัมมะราชนาวียังมิเคยเห็น ลูกไฟกลมใหญ่ ทำจากขดเชือกม้วนพันเป็นก้อนหนา ชุบน้ำมัน จุดไฟ ดีดใส่กระบวนนาวียาตรา กระแทกโครม ลุกไหม้ ผลาญเผาริปูไพรี


เอกรงค์พื้นม่วงพลิ้วไหวกลางกระแสวาตะโยถูกลูกไฟพุ่งกระแทก เสาธงหักสะบั้น ผืนธงริ้วกายระพื้น เปลวอัคคีลุกโหมลามเลีย ธงผ้าพระลัญจกรแห่งเภตราลำเอก มอดสิ้นในฤทธาเพลิง


บัดดล เรือขนาดใหญ่ตระหง่านง้ำ สูงชะลูดราวภูผา แหวกกำบังม่านธุมาเข้ากรายใกล้ ใบของมันเป็นสีดำเปื้อนมัว เขียนตราตรีศูลเสียบทะลุกะโหลกสยดสยอง


พรึบ


ผืนผ้าใบสีดำทิ้งกายคลี่กาง เรือสลัดลำใหญ่มหึมาปรากฏกาย ราวปีศาจชะเลตื่นนิทรา ผลันประจันหน้ายุวราชนาวี และแล้ว... ในกระแสพัดผ่านแห่งวายุยามเช้า หมอกม่านบังตาจึ่งจากจางหายไป โอ... มิใช่เพียง หนึ่ง... สอง... ฤๅยี่สิบห้า...


หากสังขยาจำนวนจนถ้วนแล้ว นับได้... วีสุตฺตรสตํ


หนึ่งร้อยยี่สิบลำ!


ข่าขัน น่านน้ำตักโกลาที่เคยพร้องพากย์เต็มปากว่ากว่ากว้าง กาลนี้กลับแคบขนัดลงไปทันตา ยามเรือสลัดทั้งสิ้นกางใบดำครองผืนน้ำ จ้าวทะเลฤๅ อ้อ มิใช่ จ้าวสมุทรา เห็นเต็มสองตาหรือยังเล่า! แม่น้ำหลวงที่เจ้าขานอย่างภาคภูมิกระหยิ่มใจ ยังใหญ่มิเท่าแสนยาหมู่ข้านี้  อย่าว่าแต่จ้าวสมุทรเลย จ้าวแห่งแม่น้ำแม่คลอง เทียบได้ฤๅยัง


หากยัง...


จงแหกเนตรดูเสียให้เต็มตา ความเกริกไกรแห่งทัพสลัดชวาที่เจ้าว่า... สถุลชี!


ขากถุย ตูข้าอยากหัวร่อนัก


นาฑีนั้น เสียงหัวเราะหยันเย้ยไยไพ ดังระงมไปทั่วทิศ อสูรแห่งน่านทะเลสมสาแก่ใจ พวกมันหวีดร้อง หัวเราะ ถ่มน้ำลาย กวัดเกว่งอาวุธในมือพร้อมโรมรัน กระหาย... กระหายเหลือเกิน เลือดแดงคาวอุ่น  เสียงร่ำไห้ โหยหวนทรมาน และความตาย ใช่ ความตายของพวกทหารเขลา ต้องถูกกระชาก กระจากออกมาจากลมหายใจของพวกมันทั้งหมด!


โครม!


เรือโจรมหึมากระแทกชนยุพราชนาวี สะพานไม้ขนาดใหญ่จากเรือสลัดท่าวทบ พวกมันไม่รั้งรอ กรูวิ่งเหนือสะพาน บุกบั่นเข้ามา ดาบแกว่งในมือล้วนใบใหญ่คมหนา บ้างเป็นลูกตุ้มเหล็กหนาม บ้างขวานจามขนาดยักษ์ บ่างธนูไฟเผาผลาญ โจรฉกรรจ์แผดหัวเราะ โห่ร้อง บ้าคลั่ง ดังยิ่งกว่าสำเนียงฉลองชัยยะแห่งธรรมราชนาวี


เพียงกองสลัดเหยียบย่างลงเภตรา...เสียงโหยหวนแห่งความทรมานแสบสัน ทำนองแห่งคมดาบฟันฆ่า อึงอล โสตแทบปริแตกดาลดับ เลือด... หยาดเลือดทหารกล้าทะลักกระจาย โชกชุ่มไปทุกแห่งหน น้ำตา... น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลรินอาบแก้มคนวัยหนุ่ม หนุ่มน้อยนัยน์ตาซื่อใสค่อย ๆ เผือดแสงแห่งชีวิต ดับไป


ทหาร แปลว่า คนหนุ่ม


วัยที่แข็งขันสดใส วัยที่กำลังเรียนรู้โลก แผ้วทางหนทางของตัวเอง วัยที่วาดฝันถึงคืนวันอันรุ่งโรจน์
อนาคตา... ไม่มีอีกแล้วสำหรับคนตาย


ศวซากพยุหะถมทับ ก่ายกอง มิต่างจากศพผู้บุกรุกก่อนหน้า


      ฝนธนู      ลูกไฟ       ใบดาบ
      หนุ่มน้อย       พิราพ       แสบสัน
      แม้นตาย       ใจหมาย       โรมรัน     
                ดาบฟัน       ด้วยเกียรติ    ด้วยหัวใจ


   “อ๊าก”


   ทวนแผลงออกไปด้วยพละเต็มปรี่ ปักเข้ากลางอกโจรสลัดสถุลชีสามาลย์ กัลกิยะชักดาบด้ามงาช้างเล่มหนึ่งของพระเชษฐาบั่นคออริศัตรู ขาดสะบั้น กระทืบบาทเหยียบย่ำหัวของพวกมันที่หลุดกระเด็น บังอาจนัก!


    โจรไพรีที่บุกเข้ามาร่ำร้อง “ตาย ตาย พวกมึงจงตาย ตายโหงไปซะให้หมด”


   ปีศาจทะเลคลุ้มคลั่ง ปรารถนาการหลังเลือดและความรุนแรง มันรบคร่า ฉีกกระชากชีวิต ทำราวลมหายใจแห่งผู้อื่นไม่มีค่ากระนั้น สุขใดจะเท่าสุขแห่งมือสังหารเหนือความตาย


   ลูกไฟยังคงยิงกระหน่ำ คมศรยังคงแล่นริ้ว ปิดฟ้า นาวีหลายลำในขบวนเรือพระยุพราช วินาศเยินยับด้วยอัคนิภัย พยุหะวัยฉกรรจ์ตายเกลื่อน ทับถม ทิ้งร่างเหนือธารสายเลือดฉานคาว สะเก็ดไฟจากกองกูณฑ์โดยรอบต่างฌาปนเพลิง ปลงศพ อณูละเอียดแห่งอัคนี ปะทุประกายวาบวับ เหมือนผงทอง เหมือนหิ่งห้อย ฟุ้งกระจายทั่วสนามรณภู ช่างเป็นภาพที่สวยงาม และเป็นภาพที่น่าสลดสุดหัวใจในยามเดียวกัน


   กลัวฤๅกับความตาย ยุพราชธรรมราชาปฤจฉา


    เจ้าชายผู้มักงันคำพูด ฝากราโชวาทสัตย์ซื่อจากน้ำเนื้อน้ำหทัย แผ่วเบา แฝงไว้ในสายลม ในอากาศ ในห้วงเวลา


   อย่าร้องไห้... อย่ากลัวไปเลย มนุษย์ทุกคนต้องตาย


   หากแต่... ไม่มีผู้กล้าคนใด ยอมปล่อยให้ความตาย ทำเขาหนีผวาจากปรารถนาตน



   ปรารถนาแห่งพระองค์จันทร์มีเพื่อธัมมะราชปุระถ่ายเดียว อะนั้น ยุพราชหนุ่มฤๅสะพรึงพรั่น หวาดหวั่น หากยังมีอาวุธอยู่ในมือ ไม่สิ ต่อให้ไม่มีอาวุธ ก็จะใช้มือเปล่า ไม่มีมือเปล่าก็จะสู้ด้วยลมหายใจ จะมิยอมถอยแม้นเพียงก้าว ต่อให้ความตายขวางคั่นอยู่เบื้องหน้าก็ตาม


    พระองค์จันทร์ ถีบ แทง พุ่งทะยานต่อสู้มิไหวหวั่น มัดกล้ามมังสาอาบเสโทสะท้อนเปลวไฟ พิศคล้ายผงทองชมพูนุชอาบทั่วสรรพางค์ ไม่ว่าหยาดเหงื่อจะผุดพรายเพียงใด กษัตริณชาตินักรบจะไม่ย่นย่อเด็ดขาด ในสงครามจะมีฝ่ายกำชยะและผู้ปราชัย หากที่มิประสงค์ คือความพ่ายแพ้ในศึกแรกแห่งชีวี!


   “ชานดรา ระวัง!!”


   กัลกิยะตะโกนก้องสุดสิ้นสุรเสียง นัยน์เนตรของอนุชาเบิกกว้างยามเชษฐาถูกลูกเหล็กฟาดควง โลหิตอาบจากขมับไหลหยดถึงปลายคาง ร่างเจ้าชายยุพราชทรวดทรุดลง เนตรพระองค์จันทร์หลับพริ้ม วรกายหล่นร่วงนทีธาร


   คราบโลหิตแห่งปทุมวงศ์ย้อมสายน้ำ คงคาแดงนองเป็นสาย


   “ไม่นะ จันทร์!!!”


   ร่างนั้นจมลง


   ยุพราชพระองค์จันทร์... มิว่ายหวนคืนมา...


   อกน้องเจ็บยิ่งหนามยอกบ่ง กัลกิยะกัดฟันจนเลือดไหล ก้อนความรู้สึกคับแค้นขับขึ้น ค้างคั่ง สุมเร่าแผดร้อนอยู่กลางทรวง ใครจะรู้ ธารอัสสุชลแห่งจอมขัตติยาหลั่งไหลอยู่ภายใน ขณะดาบด้ามงาช้างสั่นสะท้านด้วยโทษา เจ้าฟ้าพระองค์รองเร่งโรมรัน ฟาดใบดาบประฟัน เต็มแรง เต็มพละที่มี

 
    โทษคือตาย พวกมันต้องตายเสียให้สิ้น ชดใช้ พวกมันต้องชดใช้ ด้วยเลือดแลชีพิต ค่าที่บังอาจทำให้หยาดโลหิตปทุมวงศ์รินไหล ค่าที่บังอาจทำให้ยุพราชธรรมราชาต้องเจ็บปวด ค่าที่บังอาจทำร้ายพี่ชาย... เชษฐภารดาที่เขารัก สายใยผูกพันแห่งคู่แฝดกำลังสำแดงเพลิงพิโรธเดโช


   พวกโจรระยำจักต้องจารจำ กูนี่แหละคือยมมา ผู้พิพากษาชีวิตมัน!


   หากก่อนดาบด้ามงาจะได้ตวัดลงอีกครั้ง...


   สังเกตสงกามาสักระยะแล้ว ยาไฉนลูกไฟพลันเปลี่ยนเป้าหมาย กลับเล็งไปที่เรือพายของพวกมัน... เรือพายขนาดกลางร้างคน อันมียุพราชนาวีล้อมขนาบ กัลป์กิยะเพ่งพระเนตรเมิลมอง เห็นถังไม้ตั้งรายเรียงบนลำเรือ แม้นมิทรงรู้ว่าถังไม้เนื้อแข็งประจุสิ่งใด หากลูกไฟเล็งไป ย่อมมิใช่สิ่งดี สัญชาตญาณหวีดเตือนร่ำเร่า


   ผู้ทรงพระขรรค์ด้ามงาตะโกนร้อง


   “สละเรือ!”


   ตูม!


   เพลิงระเบิดสะท้อนคุ้งน้ำ


   ราชนาวีแตกพ่าย ลุกไหม้ จ่อมจมชลธาร


   ศึกนี้... พินาศ... ปราชัย






----------------------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๒ เงาพระจันทร์ (บรรณ ๑) UP: ๑๒/ต.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: Killian ที่ 28-12-2020 10:26:49
ธรฺมรฏฺฐคีตา
สรรคะ ๑๒ เงาพระจันทร์

รจนา ทัดจันทร์



    “เย็น จะพากลับ” มยุยื่นคำขาด ภารดาประทับยังหัวเรือ เมิลแลอวลไอหมอกขาวคลุมคุ้งน้ำ ไม่แม้แต่จะผินหน้าสบมองกนิษฐ์น้อยวิลาวัลย์ จอมขวัญตา ที่ในกาลนี้คงกลายเป็นจอมซนไปเสียแล้ว


    “โถ่ยุ ไหน ๆ เราก็อุตส่าห์หนีออกมาได้แล้ว อยู่ต่อสักวันสองวันไม่ได้เหรอ”


   “เรา? น้องต่างหากที่หนีมา”


   “นั่นแหละ เหมือนกัน”


   “ไม่เหมือน”


   “โถ่ยุ...”


   คนที่เคยเป็นลูกคนเดียวมาตลอดถึงกับไปไม่เป็นเมื่อสมเด็จพระเชษฐาวัยสิบเจ็ดชันษาทำนิ่งใส่ ดาริกาได้แต่ถอนปราณปัสสาสะ ทำใจ ท้ายที่สุดแผนการหลบหนีก็พังไม่เป็นท่า กลายมาเป็นการทัศนะศึกษาชลมารคลุ่มน้ำตักโกลาเสียอย่างนั้น เจ้าหญิงน้อยในคราบเด็กชายชาวป่าปลดปลง หัตถ์ข้างหนึ่งเรี่ยไปบนผิวน้ำเย็นใส หากในดวงหฤทัยกลับหนักอึ้งไปด้วยคำถามที่ไร้คำตอบ เราจะทำอย่างไรหากต้องแต่งงาน


   ใครจะคิด สายน้ำภายใต้ม่านหมอกโรยละอองในโลกแห่งวานวัน ใสยิ่ง เย็นยิ่ง จะสามารถช่วยบรรเทาความวิตกกังวลลงได้ แม้นมิห่างหายไปหมด แต่ได้เจือจางลงไปครามครันครั้นได้รับผัสสะอันฉ่ำเย็นของสายธาร หะแรก ดาริกายังไม่เคยยลชลธีและวิถีดำรงชีพิตแห่งผู้คนสองฝั่งแม่น้ำหลวง บัดนี้ได้ประจักษ์ทัศนา เรือหาปลา เรือพาย เด็กน้อยเล่นน้ำริมท่าส่งเสียงพิเราะห์กำสรวล ชีวิตยามเช้าอันสุขสงบ ค่อยปรากฏแก่คลองสายตา ทุกหนระแหงที่องค์รักษ์นอกเครื่องแบบของมยุจะพายผ่าน


   ความสงบ ศานติ ฉ่ำเย็นเช่นไออณูหมอกฟุ้ง


   อนุภาคกลมเล็กแห่งไอธุมา พราวพร่างงดงาม ด้วยฉาบพยับทองของพระสุริยาทิตย์รับอรุณฉาย สุขสงบ


   ทว่า...


   “เปลี่ยนใจแล้ว กลับเถอะ” มยุกอดอุระ เพียงมีถ้อยรับสั่งพาจนา เรือหลังคาโค้งที่พายเรื่อยมาพลันชะลอความเร็ว ราชองค์รักษ์หนุ่มเตรียมคัดท้าย พายย้อนคืนวิถี ดั่งคำพระกระแส


   “โถ่...ยุ ไหนว่าเย็นถึงจะกลับ”


   “ดาริ น้อง ‘โถ่’ เป็นหนที่สิบเห็นจะได้”


   “โถ่... แล้วจะให้พูดอย่างไร เก๊าะน้องยังไม่อยากกลับ”


   “เรือจวนจะพายเลยเขตนาครแล้ว เห็นพอแล้วกระมัง วิถีผู้คน บ้านเรือน”


   “ไปต่ออีกหน่อยน่า...” ดาริกาจับพาหาพระเชษฐาพระองค์รองเขย่า “...นะ นะพี่”


   เพียงวาจนา ‘พี่’ คำเดียว ยานนาวาแห่งสองยุวขัตติยากลับแล่นฉิวไปบนระลอกคงคาสีทองอาบประกายแดดเช้า ดาริกาวักน้ำเล่นเย็นใจ ขณะพี่ชายตัวดีพยายามแสร้งทำหน้านิ่ง เพื่อสยบความแดงเรื่อของพวงแก้มลออใส ก่อนตะวันจะชักราชรถลับผืนพสุธา อย่างน้อย... ก็ยังพอมีเวลาให้คิดต่ออีกสักนิด ทางออกของการเสกสมรสที่ไม่พึงประสงค์จะแรมเร้นอยู่หนใด


   “น้ำที่นี่ใสดีนะยุ”


    “อือ” ยามปกติมยุคงสงกาแล้วถามกลับ แล้วน้ำที่ไหนเล่า ที่น้องว่าขุ่น หากขณะนี้ผู้ภารดาเพียงแอบส่ายเศียรให้กนิษฐา ดูเอาเถอะ ใบหน้ายิ้มบาน ถ้อยสำเนียงแช่มชื่นยามนาวาลอยล่องออกสู่ชานน้ำนอกเขตพระนคร ต่างจากเมื่อครู่เป็นลิบลับ ดาริกาคนที่ทำหน้าประหนึ่งโลกจักทลายหายไปไหน


    สายธาร แมกไม้ สายลม แสดงวิถีแห่งผู้คนริมฝั่งน้ำ พวกเขาอยู่กับธรรมชาติ รู้จักสังเกตดินฟ้าลมฝน จึงสามารถอาศัยคลื่นลมออกเรือหาปลา กระทั่งเปิดเมืองท่า ค้าขาย ทั้งหมดล้วนเกิดแต่ความเข้าใจและเรียนรู้ธรรมชาติ หากคนในยุคที่ดาริกาจากมา จะรู้จักสังเกตธรรมชาติรอบตัวอย่างคนในยุคของมยุ จะสามารถพยากรณ์ได้ เมื่อคืนผืนฟ้าสกาว ยามเช้าเมฆขาวบดบัง ม่านหมอกย่อมปรากฏ สยายคลี่คลุม
    

หาก... เจ้าชายมยุทรงมุ่นขนงครั้นทอดพระเนตรเห็นธุมมะขาวโพลนลอยอวลอยู่เบื้องหน้า หมอกฤๅ ยาไฉนลงจัดปานนั้น


   “อ้าว ชมว่าใสอยู่แท้ๆ ทำไมขุ่น ไม่สิ... ยุ... นี่มันเลือดนิ”


   เจ้าชายผู้ทัดแววหางมยุราก้มทัศนาอุทกธารายามยินดาริกาพากย์พร้องอุทานพจี สายน้ำเปื้อนเลือด! กระแสชลาสินธุ์อันเคยสะอาดใส ถูกย้อมจนชาดฉานไปด้วยหยาดเลือดข้นคลั่ก ยิ่งเรือพายกรายใกล้ไอขาวโพลนเบื้องหน้า สลิลธารยิ่งทวีสีสัน นทีไหลแดงก่ำมิต่างสายโลหิตหลากล้น


   ... บัดนี้ เลือดนองอาบผืนน้ำ


   ธุมมะที่เห็น แท้จริงคือควันแห่งไฟสํคฺราม


   ศานติ สุข ทุกข์ เปลี่ยนแปรเป็นอนิจจัง สิ่งใดเล่าจะยั้งอยู่ยืน


   กองเรือที่เคยชูธงผงาดฟ้า ยังสลายมลายล่ม...


   ความอภิรมย์สราญรับทิวาวันใหม่ปลาสนาการไปสิ้น ไม่เที่ยง เป็นมายา... มายาอันมิได้หมายถึงความลวงหลอก เล่ห์หลง คำ ‘มายา’ ในทางเทวศาสตร์หมายถึง การผันแปร หมุนไป ไม่จีรัง ดังความสุขสงบแห่งยามเช้าที่จืดจางจากไปสิ้น ราวไม่เคยปรากฏกายมาก่อน อะนั้น


   กษณะนั้น ธงพระลัญจกรเคียวจันทร์หงายพื้นม่วงไหม้ไฟผืนหนึ่ง ลอยล่องตามกระแสคงคาซับสีโลหิต ผ่านพระพักตร์ยุวราชตักโกลาทั้งสองพระองค์ มยุยิ่งขมวดย่นขนง กระชับดาบในมือแน่น


   “เกิดเรื่องใหญ่กับคู่หมั้นของน้องแล้วล่ะดาริ”


   “คู่หมั้น?”


   “ใช่ เห็นฤๅไม่ ธงม่วงนั่น ตราพระลัญจกรยุพราชธรรมราชา”


   เจ้าชายผู้ทรงเลี้ยงปักษาพญาอินทรีย์ ผิวปากหวีดยาว เป็นสัญญาณเรียกเจ้าขุนทองให้บินมากรายใกล้ นกนักล่าเจ้าเวหาที่มิเคยบินจรจากผู้เป็นนาย ขานรับ ส่งสุรเสียงแหลมก้องสะท้านฟ้า ผงาดอหังการ์ ขุนทองกระพือปีกฉวัดเฉวียน โฉบลงอย่างงามสง่าเหนือพาหาทรงเครื่องหนัง


   มยุเตรียมแจ้งโยบล ส่งข่าวแก่ขุนต้นศึก องค์แม่ทัพตักโกลา


ยุพราช   หริสสา   ทิวากร


“เฮ้ย!” ดาริกาอุทานตกใจ


จู่ ๆ มือข้างหนึ่งโผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำ เกี่ยวเกาะขอบเรือ แล้วเจ้าของเรือนผมดำจึงผุดพรวดเหนือผืนชลชลาฉาน เลือดยังคงรินไหลจากบาดแผลบนศีรษะ เสียงแห้งนั้นพร่ำพูดพลางสูดหายใจเนื่องจากขาดอากาศมาเป็นเวลานาน 


“ชะ ช่วยด้วย”


***************************
หัวข้อ: Re: --------- ธรฺมรฏฺฐคีตา --------- สรรคะ ๑๒ เงาพระจันทร์ (บรรณ ๑) UP: ๒๘/ธ.ค/๖๓
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 29-12-2020 18:32:12
 :pig4:
 :3123: