8: อัลตร้าซาวน์ ไข่ดาว บุฟเฟ่ต์
วันนี้เป็นวันเสาร์ ปกติแล้วเด็กนักเรียนที่ต้องตื่นเช้าทุกวันจันทร์ถึงศุกร์อย่างเขาจะถือโอกาสเล่นเกมจนดึกดื่นแล้วก็ตื่นสายโด่ง แต่เสาร์นี้กลายเป็นว่าร่างโปร่งต้องตื่นมานั่งสัปหงกหน้าชามซีเรียลตั้งแต่ยังไม่แปดโมงดี เพราะคุณคิรากรน่ะสิดันนัดมารับเขาไปฝากครรภ์ตั้งแต่เช้า
แปดโมงครึ่งออดหน้าบ้านก็ดังเหมือนตั้งนาฬิกาเอาไว้อย่างไงอย่างนั้น มะแมที่ยังแปรงฟันไม่เสร็จวิ่งมาเปิดประตูรั้วบ้านให้คนที่ขับรถมารับถึงบ้านทั้งๆ ที่ฟองยาสีฟันยังเต็มปาก
ตั้งแต่ที่เกี่ยวก้อยทำสัญญากันไปเมื่อครั้งก่อน เรื่องหาซื้อยาขับเลือดก็ตกกระป๋องไปเลยสำหรับมะแม ไม่มีการเสิร์ชหาเว็บขายอีกต่อไป
..ก็นะ กลิ่นเงินค่าเทอมมันหอมมาก..
พอมีผู้ใหญ่มานั่งรอกดดันในบ้าน รามิลก็รีบจนเบลอขนาดตอนจะล็อกประตูออกจากบ้านถึงเพิ่งรู้ตัวว่าลืมหยิบโทรศัพท์ไปด้วยต้องกลับเข้าบ้านไปเอาอีกรอบ
ครั้งก่อนๆ ที่เคยนั่งรถเอสยูวีของคิรากรเขาไม่ค่อยจะมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ ครั้งนี้แมถึงเพิ่งรู้ว่ารถของชายหนุ่มใหญ่กว่ารถเก๋งของป้าเกียงโข แอร์ก็เย็นสดชื่นกว่ารถป้าที่ชอบลืมเปลี่ยนน้ำยาแอร์ด้วย ถ้าทำงานมีเงินเยอะๆ เขาก็อยากจะมีรถคันใหญ่ๆ แบบนี้บ้าง
..แต่ก่อนอื่นก็ต้องขับให้เป็นก่อน
มะแมไม่แน่ใจว่าทำไมคนขับรถถึงต้องพาเขามาฝากท้องไกลถึงขนาดนี้ด้วย จากวิวสองข้างทางที่คุ้นเคยพอนานไปก็เปลี่ยนเป็นถนนชื่อแปลกๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ก็แค่ฝากท้องฝากโรงพยาบาลเล็กๆ ปากซอยถนนใหญ่แถวบ้านก็น่าจะได้ไม่ใช่เหรอ
“ง่วงก็นอน” คิรากรดันหัวกลมของเด็กข้างตัวที่โยกขึ้นลงเหมือนอยู่ในคอนเสิร์ตร็อกบังกระจกมองข้างไปหลายทีเพราะเจ้าตัวฝืนถ่างตาไม่ยอมหลับดีๆ ให้พิงกับเบาะ “ไม่ได้จะพาไปขาย เมื่อคืนนอนดึกเหรอ”
“อือ..” พอหัวถึงพนักพิง มะแมก็ขยับตัวหามุมที่นอนสบายซุกหน้ากับเข็มขัดนิรภัยที่พาดตัว
“ทำอะไรถึงนอนดึก อ่านหนังสือสอบ”
“ม่าย.. เล่น อือ.. เกม” ข้อความสุดท้ายก่อนคนที่เมื่อคืนลงแรงค์เพลินถึงตีสามจะหนีไปเข้าเฝ้าพระอินทร์
“ไม่เห็นต้องอัลตร้าซาวน์เลยพี่อ่ะ อย่าเว่อได้ป้ะมันยังไม่เห็นอะไรหรอก ใช่ไหมหมอ” มะแมโวยวายพร้อมกับหาพรรคพวกเมื่อได้ยินร่างสูงบอกว่าจะให้หมออัลตร้าซาวน์ท้องเขาไปด้วยเลยหลังจากที่การตรวจสุขภาพทั่วๆ ไปเสร็จสิ้น
“เอ่อ.. จริงๆ แล้วถ้าคุณพ่ออยากอัลตร้าซาวน์ไว้ก็ไม่เสียหายนะครับ เพราะคุณแม่เป็นโอเมก้าชายเลยนับอายุครรภ์จากประจำเดือนครั้งสุดท้ายไม่ได้ ถ้าอัลตร้าซาวน์จะได้ทราบน่ะครับ รวมไปถึงตรวจดูสภาพความสมบูรณ์ของ Bridge ด้วย” แพทย์สูตินรีเวชวัยกลางคนยิ้มพลางอธิบายให้มะแมฟัง
คิรากรได้ยินอย่างนั้นก็ยักคิ้วให้เด็กข้างๆ อย่างเป็นต่อ
“เชิญคุณแม่เปลี่ยนชุดเลยครับ”
เปลี่ยนทำไม อัลตร้าซาวน์ไม่ใช่แค่เปิดพุงให้หมอเอาเครื่องไถไปไถมาหรอกเหรอ มะแมขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งจนคุณหมอต้องอธิบายต่อ “จะตรวจ Bridge ต้องอัลตร้าซาวน์จากทางด้านหลังครับ”
“ฮะ! ”
ได้ยินแค่นั้นปากคนฟังก็อ้าค้าง หมายความว่าเขาจะต้อง.. จะต้องให้หมอเห็นตรงนั้น แล้วก็เอาเครื่องใส่เข้าไปในนั้นด้วยเหรอ
เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุดด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ตอนขึ้นเตียงเหมือนกับขึ้นเครื่องประหารชัดๆ มะแมอายทั้งหมอทั้งคิรากรจนหน้าแดงเถือกไปหมด โชคดีที่ร่างสูงไม่ได้สนใจจะไปมองครึ่งล่างที่อยู่ใต้ผ้าคลุมของเขา
มะแมย่อคอตอนที่หมอสอดเครื่องมือเข้าไปในร่างกาย รู้สึกตื่นเต้นจนต้องคว้าแขนเสื้อคนข้างๆ ดึงไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ สักพักก็คุณหมอชี้ให้เขาและคิรากรดูภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าหน้าจอมีแต่สีดำๆ เทาๆ ดูไม่เห็นรู้เรื่องว่าจะให้โฟกัสที่ตรงไหนกันแน่
คนอาวุโสที่สุดในห้องชี้นิ้วให้เห็นจุดสีดำเล็กๆ ที่มีสีขาวอยู่ด้านในดูเหมือนไข่ดาวในสายตาแม “ตรงนี้เป็นหัวใจของเด็กกำลังเต้นอยู่เห็นไหมครับ”
จุดที่ว่านั้นเต้นตุบๆ ตามที่คุณหมอบอก หมอชี้ที่กราฟเหมือนคลื่นเสียงด้านล่างแล้วอธิบายต่อ “ส่วนตรงนี้เป็นกราฟคลื่นหัวใจเด็กนะครับ คุณแม่กับคุณพ่อฟังได้ทางหูฟังเลยครับ”
เสียงตึกตักๆ กับภาพจุดขาวๆ ที่เต้นดุ๊บๆ ทำเอาแมปั้นหน้าไม่ถูก ตาเรียวเหลือบมองคิรากรที่จดจ้องกับภาพในจอจนแทบจะสิงเข้าไปอยู่แล้ว ร่างสูงไม่ได้ยิ้มกว้างแต่ก็ดูออกว่าตื่นเต้นดีใจ
แล้วเขาล่ะ ต้องดีใจรึเปล่า ที่หัวใจเต้นแรงแข่งกับเสียงที่ได้ยินอยู่ตอนนี้แปลว่าตื่นเต้นอยู่รึเปล่านะ
“วัดจากขนาดตัวอ่อนแล้วอายุครรภ์ประมาณเจ็ดสัปดาห์แล้วนะครับ”
เกือบสองเดือนแล้วเหรอ ไอ้เจ้าก้อนกลมๆ นี่อยู่กับเขามาเกือบสองเดือนแล้วเหรอเนี่ย รามิลนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกว่าขอบตาและปลายจมูกมันร้อนผ่าวชอบกล
“เป็นอะไร กลัวเหรอ” มือใหญ่ขยี้ผมเด็กบนเตียงที่ทำหน้าตาแปลกๆ
“เปล่า”
“เดี๋ยวหมอจะปริ๊นท์ภาพหัวใจให้คุณพ่อกับคุณแม่นะครับ ต่อไปหมอจะขอตรวจหา Bridge” หมอขยับเครื่องไปมาอีกเล็กน้อย พอภาพบนจอเปลี่ยนไปมะแมก็กลับมองไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม
“โดยปกติแล้วโอเมก้าชายจะมีส่วนที่เรียกว่า Bridge นะครับ” เสียงนุ่มอธิบายไปพลาง “Bridge หมายถึงทางเชื่อมระหว่างมดลูกกับส่วนด้านหลังของโอเมก้าชายเป็นเหมือนกับช่องคลอด ถ้าคนที่มีช่องทางส่วนนี้สมบูรณ์ดีจะสามารถคลอดเด็กได้ด้วยวิธีธรรมชาติ ส่วนคนที่ Bridge มีขนาดเล็กมากๆ จนไม่สามารถใช้ในการคลอดเด็กได้ก็จะต้องใช้การผ่าคลอดเข้ามาช่วยแทนนะครับ เป็นโชคดีของคุณแม่นะครับดูสิตรงนี้คือ Bridge สภาพสมบูรณ์ดีครับ”
คุณหมอชี้ให้ดูภาพบนจออีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาดูไม่รู้เรื่องได้แต่พยักหน้าเออออไปอย่างนั้น
“แต่ก็ต้องมาลุ้นอีกครั้งตอนใกล้คลอดนะครับว่าเด็กจะตัวใหญ่รึเปล่า เพราะถ้าใหญ่มากหมอก็จะแนะนำให้ผ่าคลอดจะดีกว่า”
หมอถอนเครื่องมือออกจากตัวแมแล้วพูดถึงข้อควรระวังอีกหลายอย่างในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ร่างโปร่งฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะยังเบลอกับความรู้สึกของตัวเอง เอาไว้คอยถามคิรากรทีหลังก็ได้เพราะคุณพ่อมือใหม่นั้นตั้งใจฟังจบแทบจะหยิบสมุดขึ้นมาจดเล็คเชอร์อยู่แล้ว
จบเรื่องในห้องตรวจมะแมก็ได้กระดาษใบยาวที่มีรูปภาพหัวใจไข่ดาวจากผลอัลตร้าซาวน์สามรูปติดมือออกมาด้วย
“พี่เอาไปไหมเห็นจ้องจนแทบจะมุดเข้าไปในจอ” หมายถึงรูปภาพในมือ
“เราจะไม่เก็บไว้เหรอ” ปากเหมือนจะปฏิเสธ แต่ดูท่าทางแล้วอยากได้มากชัดๆ
“พี่เก็บไว้ก่อนก็ได้” ถ้าคลอดแล้วเขาค่อยขอมาเป็นของดูต่างหน้าก็ได้มั้ง
มะแมกางสมุดเล่มสีชมพูที่คุณหมอให้มาอ่านฆ่าเวลาระหว่างรอคิวจ่ายเงิน สะดุดกับชื่อของคิรากรในนั้น
ถ้าวันนั้นพี่แจนไม่เรียกเขาให้เข้าไปช่วยงาน ชีวิตตอนนี้คงต่างกันจากหน้ามือเป็นหลังเท้า และไอ้ก้อนไข่ดาวก็คงไม่อยู่ในท้องเขาแล้ว
“หิวรึยัง” คนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ถาม
“ยัง” รามิลเม้มปากอิ่ม เหลือบตามองคิรากรที่จ้องหน้าเขาอยู่ก่อนแล้ว “ถ้า.. ถ้าจริงๆ แล้วเขาไม่ใช่ลูกพี่ พี่จะรักเขาไหมอะ”
“.. รักสิ” คนอายุมากกว่ายืนยันพร้อมมือใหญ่ยื่นมาบีบจมูกเด็กขี้คิดมาก รอยยิ้มอบอุ่นจนร้อนจนคนมองต้องสะบัดหน้าหนีส่งเสียงประท้วง เมินบรรยากาศโรแมนติกที่คิรากรพยายามสร้างเสียสนิท
นั่งอ่านสมุดในมือรอต่อไปอีกไม่ถึงสิบนาทีชื่อรามิลก็ถูกเรียกให้ลุกไปชำระเงิน พนักงานหญิงในชุดขาวยิ้มพร้อมแสดงความยินดีกับคุณแม่มือใหม่ยื่นใบเสร็จค่าฝากครรภ์ให้เขา พอมองดูตัวเลขสี่หลักที่ท้ายกระดาษแล้วปากอิ่มก็อ้าหวอ รีบล้วงเอากระเป๋าสตางค์ตัวเองมานับแบงก์ข้างใน เมื่อเช้าก็ลืมเอาเงินมาเผื่อไปเสียสนิท แล้วใครใช้ให้คิรากรเลือกโรงพยาบาลเอกชนราคาแพงหูฉี่ขนาดนี้กัน
..มีอยู่สามร้อย..
เสียงหัวเราะเบาๆ บนหัวเรียกสายตาเด็กที่กำลังตกใจกับค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์ให้เงยหน้าขึ้นมอง คิรากรดึงใบเสร็จในมือเขาออกไปก่อนจะยื่นแบงก์สีเทาหลายใบให้คุณพี่คนสวย
“ที่บอกว่าอัลฟ่าเก่งกว่าเบต้าทุกเรื่องน่ะรวมไปถึงเรื่องนั้นด้วยรู้ไหม” เอ่ยเสียงเบาชิดใบหูให้ได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้นว่าแต่ทำไมต้องทำเสียงแหบเซ็กซี่ด้วยวะ มันจั๊กจี้หูชะมัด
“...”
“เพราะฉะนั้นต่อให้เราถามอีกล้านรอบพี่ก็จะบอกว่าพี่มั่นใจว่าลูกพี่แน่ๆ พี่จ่ายเองครับ”
แผนที่วางเอาไว้ว่าจะไปทำงานที่ร้านหลังจากเสร็จธุระที่โรงพยาบาลในช่วงเช้าถูกพับเก็บไปเมื่อการตรวจใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้มาก และแทนที่คิรากรจะขับรถพาเขากลับไปส่งบ้านกลับกลายเป็นว่าร่างสูงเลี้ยวรถเข้าจอดในห้างสรรพสินค้าข้างคอนโดมิเนียมที่มะแมจำได้ว่าเคยมานอนค้างอยู่ค่อนคืน ชวนเขาไปเดินดูหนังสือสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่แทน
“ลาให้แล้ว” คริษฐ์ตอบคำท้วงแมที่ว่ายังไม่ได้ลางานกับพี่แจนเลย มือใหญ่ยื่นหนังสือให้เด็กข้างๆ พิจารณาต่อ “เล่มนี้ดีไหม”
มะแมรับมาเปิดอ่านแล้วส่ายหน้าก็หนังสือเล่มที่ยื่นมาให้มันเป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่ม แถมศัพท์ยังยากเกินกว่าเด็กอายุแค่สิบเจ็ดอย่างเขาจะเข้าใจได้หมด “เอาแบบที่อ่านง่ายๆ มีรูปเยอะๆ ” หยิบหนังสือปกแข็งสีสันสดใสแถมยังมีรูปการ์ตูนมาแทน
“เล่มนั้นก็ดูเข้าใจง่ายดี น่ารักด้วย” คิรากรรวบทั้งสองเล่มมาถือเอง “แต่เล่มนี้ละเอียดดีพี่เอาไว้อ่านเองแล้วเดี๋ยวแปลให้ฟัง”
สรุปแล้วกว่าจะได้ออกจากร้านหนังสือ คิรากรก็มีหนังสือในอ้อมแขนเพิ่มอีกสามเล่ม หมดค่าเสียหายไปอีกมากโข แถมเด็กที่มาด้วยก็หิวก็ท้องร้องโครกครากประท้วง
“อยากกินอะไร” ร่างสูงมองมะแมที่ลูบท้องแบนราบใต้เสื้อยืดลายกราฟฟิคแบบที่เด็กวัยรุ่นชายชอบใส่กันป้อยๆ ถ้าไม่มีผลตรวจมายืนยันคงไม่เชื่อว่าคนคนนี้จะท้องได้เกือบสองเดือนแล้วจริงๆ
แมมองร้านอาหารญี่ปุ่นเกาหลีฝรั่งที่เปิดเรียงรายแล้วกลืนน้ำลายดังเอื้อก แต่กลับถามคนโตกว่าไปว่า “พี่กินฟู้ดคอร์ทเป็นไหมอ่ะ”
“เป็นสิ แต่ที่มองร้านพวกนั้นตาละห้อยนี่คืออะไร” คิรากรเย้า
“เรามีอยู่สามร้อยอะ” กะพริบตาปริบๆ ขอความเห็นใจเงินในกระเป๋าถ้าจะต้องหารค่าข้าว เมื่อกี้ที่จ่ายค่าฝากครรภ์กับค่าหนังสือให้คงเพราะเด็กในท้อง แต่เรื่องปากท้องเขาไม่น่าจะเกี่ยวกันใช่ไหม
“ก็พี่เลี้ยงไง” มือใหญ่ดึงแขนแมให้เดินตาม “กินชาบูแล้วกันเด็กรุ่นเธอน่าจะชอบ”
รีบก้าวตามเลยอย่างนี้ เลี้ยงชาบูหัวละหกร้อยอย่างนี้ใครจะไม่ชอบบ้าง
..อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ วู้! ..
“จะถามตั้งนานแล้ว..” คิรากรวางตะเกียบในมือเท้าคางมองแมที่เพลิดเพลินกับการคีบเนื้อขึ้นจากหม้ออยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหาร
สูดเส้นอุด้งยาวในชามเข้าปากรวดเดียวแล้วซดน้ำซุปร้อนๆ ตบท้ายก่อนจะตอบคำถามของเจ้าภาพ “ว่า”
ตาคมมองกองจานพะเนินสูงเท่าหัวเด็กตรงหน้าพนักงานเสิร์ฟจะมาเก็บทีต้องแบ่งเดินสองรอบ “กินเป็นยัดนุ่น เอาไปเก็บไว้ตรงไหนตัวก็แค่เนี้ย”
“แหะ พี่ถามเหมือนครูเจษเลย ครูก็ชอบบอกว่า.. อะ! ” คนลืมตัวเผลอพาดพิงถึงบุคคลที่สามหยุดปากเมื่อนึกขึ้นได้ ตะเกียบในมือถูกยกขึ้นมากัดไม่รู้ว่าคิรากรจะรำคาญรึเปล่าถ้าพูดถึงครูเจษบ่อยๆ หรือจะว่ารึเปล่าว่าเขาเป็นเด็กไม่ดีตัดใจจากสามีชาวบ้านไม่ได้สักที “ขอโทษ เราเผลออะ”
“เล่าเรื่องที่บ้านให้ฟังหน่อยสิ” กลายเป็นว่าอีกคนเมินหน้าตาสำนึกผิดของเขาซะงั้นแถมยังคีบเนื้อมาใส่ในถ้วยเพิ่มให้อีก
“ที่บ้านเราเหรอ” เกริ่นก่อนจะส่งชิ้นเบคอนเข้าปากเคี้ยวหยับๆ จนหมดแล้วค่อยตอบคำถาม “ก็...เราอยู่กับป้าแล้วก็ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่ง แต่ตอนนี้อยู่คนเดียวแล้วเพราะป้าย้ายไปอยู่ชลบุรี บ้านก็กำลังประกาศขายอยู่”
“แล้วถ้าป้าขายบ้านแล้วจะไปอยู่ไหน”
“ก็ไปอยู่หอ” แมคีบลูกชิ้นในหม้อต้มใส่ชามของคริษฐ์บ้าง “อันนี้อร่อย พี่ลองๆ ”
“อืม อร่อย ไม่กลับไปอยู่กับพ่อแม่เหรอ” เขาเข้าใจว่ามะแมคงมาอาศัยกับป้าชั่วคราวเพื่อเรียนในตัวเมือง
“ไม่มีให้กลับอะ แม่เราเสียแล้ว ส่วนพ่อเราไม่มี” เด็กตัวผอมตอบหน้าตาเฉยแต่คนฟังสะอึก
“ขอโทษ ไม่รู้ว่า..”
“ไม่เป็นไร แม่เราเสียไปสามสี่ปีแล้ว เขาก็มีเราตอนยังเรียนไม่จบเหมือนกันประมาณสิบเก้ายี่สิบมั้งแล้วก็ไม่ได้เรียนต่อจนจบอะ แม่ทำงานหาเงินมาเลี้ยงเราหนักมากแต่ก็ได้เงินนิดเดียวเองมันลำบากอะเราไม่อยากให้ตัวเองเป็นแบบนั้นก็เลยมีความคิดอยากจะเอาออก” รามิลเหลือบมองสีหน้าคนตรงหน้าแล้วก็รีบปฏิเสธพัลวัน “แต่ตอนนี้ไม่คิดแล้วนะดีลแล้วค่าเทอมสี่ปี แฮ่”
“อือฮึ ดีมาก แล้วทำไมอยากเป็นปาตีซิเย่ล่ะ”
“ทำงานที่คาเฟ่แล้วพี่แจนชอบแบ่งขนมให้กิน พี่แจนเวลาทำขนมแล้วดูโคตรมีความสุขเลยพอพี่เขาสอนทำเมนูง่ายๆ ก็ชอบอยากทำได้อีกเยอะๆ แล้วทำไมเราโดนถามอยู่คนเดียวล่ะ”
“ให้พี่เล่าบ้างเหรอ” คิรากรยิ้มขำคนที่พยักหน้าจนหัวโยก “ก็ที่บ้านมีแม่กับป้าแม่บ้านแล้วก็แมวสามตัว”
“มีแมวด้วยเหรอ เราโคตรชอบแมว พี่มีรูปให้ดูป้ะ ชื่อไรมั่งอะ” พอพูดถึงแมวคนเป็นทาสแมวก็ตื่นเต้นใหญ่
รูปแมวสองตัวนอนกอดกันส่วนอีกตัวหนึ่งนั่งอยู่ไกลๆ ถูกส่งมาให้ดู แมซูมรูปดูหน้าแมวทีละตัวตาเป็นประกาย "เป็นแมวของแม่น่ะ ตัวสีดำขาวอ้วนๆ ชื่อโอริโอ้ ตัวขนยาวเป็นเมนคูนชื่อบิสกิต แล้วก็วิเชียรมาศชื่อคุณนาย”
“น่ารัก! เราอยากเลี้ยงแมวแต่ว่าป้าแพ้ขนแมวอะก็เลยอดแล้วก็ไม่มีตังค์จะเลี้ยงด้วย”
สมาร์ตโฟนของคิรากรโดนยึดไปให้เด็กทาสแมวเลื่อนดูรูปแมวของคุณเคทไปมาไม่มีท่าว่าจะเบื่อ มืออีกข้างหนึ่งถือโทรศัพท์มืออีกข้างก็ยังคีบอาหารเข้าปากรัวๆ โชคดีสำหรับเขาที่ร้านนี้เป็นบุฟเฟ่ต์แต่คงเป็นโชคร้ายของร้านที่เขาพาเด็กนี้มากิน
"เล่าเรื่องที่บ้านพี่ต่อสิ"
"อืม.. ก็พ่อพี่เสียแล้วตั้งแต่พี่เด็กๆ เหมือนกัน แม่พี่เป็นซิงเกิ้ลมัมเลี้ยงลูกไปด้วยเปิดร้านขนมไปด้วย เป็นผู้หญิงเก่งแหละแล้วก็ดุมากด้วย" เขาเว้นจังหวะมองหน้าเด็กที่ยังจ้องจอโทรศัพท์ในมือแต่ดูก็รู้ว่าตั้งใจฟัง "แต่พี่ว่าเขาจะชอบเรานะ แต่คงไม่ใช่ตอนแรกเพราะเขาชอบคนเรียบร้อย แต่เราน่ะดูเกเรมาก"
มะแมเบะปากใส่คิรากรที่หัวเราะขำ
“ลูกคลอดออกมาต้องอ้วนแน่ๆ " ร่างสูงว่า
“หื้อ ก็คนมันหิวเมื่อเช้ากินไปนิดเดียวเอง” คนโดนแซวอ้อมๆ ว่ากินเป็นยัดนุ่นหูแดง “แล้ว.. พี่ชอบเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชายมากกว่า”
“อืม ยังไงก็ได้” เลือกไปทำไม แค่มีผู้หญิงคนผู้ชายอีกสักคนซะก็สิ้นเรื่อง
มะแมมองคนที่แสยะยิ้มเหมือนคิดอะไรแปลกๆ กับตัวเองงงๆ “อ้อ..แต่ถ้าเป็นอัลฟ่าหรือเบต้าก็คงจะดี”
“เป็นโอเมก้าก็ได้ เพราะถ้าเป็นโอเมก้าก็คงน่ารักเหมือนเรา”
โทรศัพท์มือถือของคิรากรโดนปากลับมาตกลงบนตักพอดี คนเขวี้ยงหน้าแดงถึงใบหูจนเห็นได้ชัดทั้งๆ ที่ผิวสีคาราเมล “บ.. บ้า! ”
******************************
ตอนนี้เบาๆ ให้คุณคิเขาได้หยอดเล็กหยอดน้อย
ส่วนตอนหน้าครูเจษคัมแบ็ค นางกลัวโดนลืมว่าเป็นตัวหลักเหมือนกัน อยากให้ทุกคนเตรียมหินมาเขวี้ยงหัวครูกันนะคะ
#คุณคิหลงน้อง