Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3  (อ่าน 23332 ครั้ง)

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
 :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
หล่อนต้องโดนประจานนังเดียร์

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
แรงโกรธ​เกลียดนี่
ทำคนฆ่ากันตายมาเยอะละ

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
นี่คือว่าทีาหมอหรอ,,,

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 20 ลงโทษ




   (เฌอคิดดีแล้วนะที่จะทำแบบนั้นน่ะ)

   “อื้ม....คิดดีแล้วครับ”

   (ถอยไม่ได้นะ รู้ใช่ไหม)

   “รู้ครับ เฌอคิดดีแล้วและพร้อมรับผลที่จะตามมาทุกอย่าง”

   (ได้ งั้นเดี๋ยวป๊าจะจัดการให้ เสร็จแล้วเดี๋ยวจะโทรหานะ)

   “ครับ ขอบคุณป๊ามากๆ เลยนะครับ ที่ยอมให้เฌอทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้”

   (ไม่เป็นไรหรอก ป๊าเองก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมีปัญหา อีกอย่างถ้าให้พูดตามตรง สินค้าที่เราได้รับมามันก็คุณภาพด้อยลงจริงๆ ป๊าจะถือว่าใช้โอกาสนี้ตัดหางปล่อยวัดละกัน)

   “ครับ เดี๋ยวเฌอต้องเข้าห้องพิจารณากลางแล้วอะ ขอวางสายก่อนนะป๊า”

   (โอเค แค่นี้ก่อนละกัน)

   “ครับป๊า” ผมกดวางสายก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าคาดอกแล้วเดินเข้ามาทางร่างสูงที่ยืนอยู่กับคุณพ่อและคุณแม่เขา

   ตอนนี้ผมและครอบครัวของสิบสามอยู่กันที่หน้าห้องพิจารณากลางของมหา’ลัยครับ จากวันที่นังน้อนเข้าโรงพยาบาลก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้ว วันก่อนหน้าผมและคุณพ่อคุณแม่ของนังน้อนทำเรื่องแจ้งทางอธิการบดีและคณบดีเกี่ยวกับพฤติกรรมของเดียร์ที่ไม่เหมาะสม ทั้งเรื่องโยนเกียร์ของสิบสามลงในสวนพฤกษ์หรือเรื่องที่เบียดรถผมจนล้ม สำหรับเรื่องเบียดรถ ผึ้งก็จะมีส่วนผิดเพราะเธอเป็นคนขับ

   เรื่องนั้นทางคณบดีจะพิจารณาทีหลังครับ

   แต่วันนี้คือสอบสวนเรื่องของเดียร์ก่อน

   “เสร็จแล้วเหรอครับ”

   “อื้ม” ผมรับคำเขา “เราเข้าไปด้านในได้รึยังอะคุณ”

   “ได้แล้วครับ ถึงเวลาแล้ว” สิบสามเดินไปเปิดประตู “เชิญคุณพ่อคุณแม่ครับ” สิ้นเสียงเรียบ ผู้ใหญ่ฝั่งเราก็เดินนำเข้าไป ด้านหน้าสุดมีคณะกรรมการฯ สอบสวนนั่งอยู่หลายท่าน

   “สวัสดีครับอาจารย์ณรงค์”

   นี่ไง....อาจารย์ที่เคยเทน้ำใส่หัวผม

   “สวัสดีตรีทศ เอ๊ะ เธอนี่ใช่คนที่เปียกน้ำรึเปล่า”

   “ใช่ครับผมเอง” ผมยิ้มแห้งๆ ให้เขาก่อนจะนั่งลงข้างสิบสาม ไม่คิดว่าเขาจะจำผมได้ ใช่ครับ ผมเองแหละนักศึกษาที่น่าสงสารคนนั้น

   “เดี๋ยวรอฝ่ายคู่กรณีสักครู่นะครับ” หัวหน้าของชุดคณะกรรมการฯ เอ่ยขึ้นพลางดูเอกสารต่างๆ “อืม....คุณหายดีแล้วใช่ไหมตรีทศ”

   “หายดีแล้วครับ”

   “ถือว่ายังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก ทางเราต้องขออภัยฝั่งคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะครับที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”

   “มันไม่ใช่ความผิดของทางมหา’ลัยหรอกค่ะ เป็นความผิดที่ตัวบุคคล ทางเราขอแค่ให้เขาได้รับโทษที่สมควรก็เพียงพอแล้ว” คุณแม่เอ่ยพลางยิ้มบางๆ ให้ ในจังหวะนั้นเองประตูห้องก็เปิดออกก่อนจะมีผู้ชายคนนึงเดินนำเดียร์เข้ามาในห้อง

   คนนี้คงจะเป็นพ่อของเธอสินะ

   “สวัสดีอาจารย์ทุกท่านนะครับ” เขายกมือไหว้ตามมารยาทก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม เดียร์เองก็นั่งลงข้างเขา ดวงตากลมมองมาที่เราสองคนไม่ละ็

   หงุดหงิดว่ะ นี่ขนาดบังคับให้ตัวเองใจเย็นแล้วนะ ไม่ชอบอะ คือไม่ชอบก็เลยไม่อยากเห็น ที่ต้องมานั่งมองหน้ากันนี่ก็ถือว่าจำเป็นและผมก็หวังให้มันเป็นครั้งสุดท้ายนะ นึกถึงวันที่สิบสามนอนอยู่โรงพยาบาลผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ บอกนักหนาว่ารัก รักมาก แต่สุดท้ายกลับเป็นคนที่ทำร้ายเขาอย่างแสนสาหัส มันใช่เหรอวะ คิดวนอีกกี่รอบก็ไม่ดูว่ามันจะเป็นความรักได้ตรงไหนเลยสักนิด

   คนเรามองความรักได้ต่างกันขนาดไหนวะ....ไม่เข้าใจอะ

   “งั้นเริ่มเลยนะครับ” คุณหัวหน้าเอ่ยเสียงเรียบ “เนื่องจากมีกรณีที่นางสาวดาราพรและนายตรีทศมีปากเสียงกันจนเป็นเหตุทำให้นางสาวดาราพรยื้อแย่งสร้อยข้อมือของนายตรีทศซึ่งเป็นของสำคัญ ปาทิ้งลงมาที่สวนพฤกษ์ ตัวนางสาวดาราพรเองน่าจะทราบดีว่านายตรีทศเป็นโรคภูมิแพ้เกสรดอกไม้ เรื่องนี้ทางคณะแจ้งให้ทราบนานแล้วและกำชับอย่างดีโดยเฉพาะเพื่อนกลุ่มเรียนเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้เลยนะที่เธอจะไม่รู้”

   “รู้ค่ะ แต่ถ้ารู้ว่าตัวเองแพ้เกสรดอกไม้ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปหาเลยนี่คะ สิบสามเข้าไปในสวนพฤกษ์เอง หนูไม่ได้ขอให้เขาเข้าไป เขาทำตัวเอง หนูผิดตรงไหน”

   คำพูดคำจา

   ผมยกมือขึ้นแตะไหล่สิบสามเบาๆ คล้ายๆ ว่าจะปรามเขา “....ใจเย็นคุณ”

   “ผมก็เห็นด้วยกับลูกสาวนะ ถ้าตรีทศไม่เข้าไปในสวนพฤกษ์ เขาก็ไม่มีอาการแพ้แล้ว ทำตัวเองไม่ใช่เหรอ”

   “ตั้งสติแล้วคิดถึงสาเหตุที่สิบสามต้องเข้าไปในสวนนะครับ ถ้าลูกสาวคุณไม่แย่งสร้อยข้อมือเขาแล้วปาเข้าไปในนั้น เขาจะเข้าไปในสวนทำไม รักลูกสาวน่ะเข้าใจครับ แต่หัดมองความถูกต้องบ้าง ถ้าของสำคัญของคุณถูกแย่งเอาไป คุณจะไม่ตามเอาคืนเหรอครับ”

   “เธอเป็นใคร มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้ไม่ทราบ”

   “ผมเป็นคนรักของตรีทศ สร้อยข้อมือที่เขาสวมเป็นของผม และผมก็เป็นอดีตคนรักของลูกสาวคุณ เธอไม่เคยเล่าให้ฟังเหรอครับว่าระหว่างผมกับเธอ....มีความหลังกันยังไง”

   “พี่เฌอเข้าใจอะไรผิดรึเปล่าคะ ระหว่างเราไม่มีเกิดขึ้นสักหน่อย”

   ผมหลุดขำ “อ๋อ....ผมลืมไปว่ามันเป็นแค่ละครน้ำเน่า”

   บรรยากาศในห้องเริ่มมาคุ เอาดิ ผมค่อนข้างมั่นใจในเรื่องต้องเถียงกับคนอื่นมากเลยนะ แล้วยิ่งถ้าฝ่ายผมไม่ผิดด้วยแล้ว ไม่มีการยอมง่ายๆ แน่ ที่น่าขำคืออะไรทำให้ฝั่งนั้นมั่นหน้าได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้ โคตรโชว์พาวทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด พ่อของเดียร์ก็แปลกนะ ดูไม่ออกเลยรึไงว่าลูกตัวเองทำผิดเต็มๆ นี่แหละที่เขาเรียกว่าพ่อแม่รังแกฉัน ผิดแต่ก็เข้าข้าง ผิดแต่ก็ให้ท้าย ผมโคตรคิดถูกเลยที่ให้ป๊าทำเรื่องนั้น

   พวกนั้นจะได้รู้ว่าผลของการกระทำมันเป็นยังไง

   “ผมไม่อยากพูดตามตรงเพราะมันจะทำให้เดียร์เสียหาย แต่จากการที่เธอไม่สำนึกอะไรเลย ผมคงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอีกต่อไป” สิบสามผ่อนลมหายใจ “ความจริงมันคาราคาซังมานานตั้งแต่ช่วงปี 1 แล้วครับ ผมรู้ว่าเธอรู้สึกยังไงหลังจากที่ได้มีโอกาสเก็บตัวทำกิจกรรมดาวเดือน เราเคยมีปากเสียงกันไปครั้งนึงในตอนนั้น เรื่องนี้มีผู้ที่สามารถยืนยันได้คือนราวัตน์ เด็กนิเทศฯ ที่เป็นเฮดของงานน่ะครับ”

   “...สิบสาม”

   “พอสาเหตุมันมาจากเรื่องชู้สาวผมก็มองว่ามันดูไร้สาระที่จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะคิดว่าสุดท้ายคนเราก็ต้องอยู่กับความจริง และยอมรับมันได้สักที แต่เหมือนเดียร์จะไม่ใช่แบบนั้น ผมรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่เธอทำให้คนอื่นคิดว่าระหว่างผมกับเธอมีความสัมพันธ์ที่มากกว่าการเป็นคนรู้จัก และเรื่องมันยิ่งร้ายแรงเมื่อผมมีคนที่ตัวเองชอบ เดียร์คอยระรานและทำร้ายเขาซึ่งหลักฐานทั้งหมด ทางคณะกรรมการฯ คงได้เห็นทั้งหมดแล้วนะครับ”

   “หลักฐานอะไร”

   “ก็ไฟล์กล้องวงจรปิดในวันที่รถของเพื่อนคุณเบียดรถผมจนล้มไง มันบันทึกทุกอย่างเอาไว้ทั้งหมดตั้งแต่ตอนรถล้มจนคุณสาดกาแฟใส่ผมนั่นแหละ หรือคุณจะแก้ตัวล่ะ”

   “มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก แล้วที่เดียร์สาดกาแฟใส่พี่ ก็เพราะว่าพี่ด่าเดียร์ก่อน”

   “ผมไปด่าคุณตอนไหนไม่ทราบ”

   “อย่ามาขึ้นเสียงใส่ลูกสาวผมนะ”

   “ถ้าดิฉันเป็นคุณนะคะ ดิฉันจะนั่งเงียบๆ อย่างสลดใจพร้อมกับปรามลูกสาวตัวเองให้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปมากกว่า” คุณแม่เอ่ยพลางมองนิ่งๆ “พอเห็นแบบนี้แล้วก็พอทราบได้เลยค่ะว่าทำไมพฤติกรรมของลูกสาวคุณเป็นแบบนี้.....ไม่มีใครสั่งสอนเธอนี่เอง”

   “นี่คุณ”

   “ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่ภรรยาของผมพูดนะครับ เรื่องมันจะไม่รุนแรงขนาดนี้ถ้าลูกสาวคุณคิดได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร ลองคิดในมุมกลับกัน ถ้าคุณเป็นฝั่งที่โดนทำแบบนี้ใส่ คุณเองก็คงไม่ยอม.....เพราะงั้น ทางเราก็ไม่มีทางยอมเช่นเดียวกัน”

   “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” คุณหัวหน้าเอ่ยปรามทั้งสองฝ่าย “คือทางคณะกรรมการฯ พิจารณาจากหลักฐานและพยานบุคคลหลายปากที่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก็ตัดสินได้ว่านางสาวดาราพรมีความผิดจริง ทั้งเรื่องเบียดรถหรือกระทำการใดก็ตามที่ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ การสร้างความรำคาญ ก่อกวนหรือระรานต่างๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง”

   “ผมผิดหวังในตัวคุณมากเลยนะดาราพร” อาจารย์ณรงค์เอ่ยอย่างเสียดาย “ที่มันร้ายแรงที่สุดคือคุณเป็นนักศึกษาของคณะแพทย์ฯ สิ่งที่คุณกำลังเรียนอยู่มันเพื่อไว้ช่วยชีวิตผู้คน แต่ตอนนี้สิ่งที่คุณทำมันคือการทำร้ายคนอื่น คุณไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นหมอเลยสักนิด แย่มาก”

   “ได้ พวกคุณจะเอาแบบนี้ใช่ไหม ก็สุมหัวกันมาเพื่อบีบลูกสาวผมอยู่แล้วหนิ ไม่เป็นไรลูกเดียร์ ไม่ต้องเรียนที่นี่แล้ว ไปเรียนที่อื่น ที่อื่นที่มันดีกว่า”

   “แต่พ่อคะ....เดียร์”

   “ทางคุณพ่อไม่ต้องห่วงเรื่องทำเรื่องลาออกนะครับ เพราะทางคณะกรรมการฯ ลงมติตัดสินให้นางสาวดาราพรพ้นจากสภาพการเป็นนักศึกษาของทางมหา’ลัยเรา ลงลายเซ็นยืนยันจากทั้งคณบดีและอธิการบดีเรียบร้อย” คุณหัวหน้ายื่นเอกสารไปฝั่งนั้นก่อนจะหันมามองฝั่งผม “เรียบร้อยแล้วนะครับ ทางเราหวังว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดี”

   “ทางเราก็หวังเช่นนั้นเหมือนกันค่ะ ขอบคุณทางคณะกรรมการฯ ทุกท่านนะคะ ที่ยุติธรรมกับการตัดสินครั้งนี้ พวกเราขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” สิ้นเสียงคุณแม่ ทั้งฝั่งผมก็ยกมือไหว้คณะกรรมการฯ แล้วเดินออกมาจากห้องพิจารณา

   ผลการลงโทษออกมาตามที่ผมคาดหวัง

   ในระหว่างที่พวกเราเดินมาหยุดอยู่ที่ทางเดินหน้าห้อง เดียร์ก็ตามออกมาพลางมองด้วยสายตาที่โกรธเคือง “พอใจแล้วล่ะสิที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้น่ะ”

   “ใช่ครับ พอใจ” สิบสามยืนประจันหน้ากับเธอ “คุณเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด มันจะแปลกตรงไหนถ้าเรื่องพวกนั้นจะกลับมาทำร้ายตัวคุณเอง”

   เพี้ยะ

   “นี่มันจะมากไปแล้วนะเดียร์” ผมรั้งร่างสูงให้ถอยมาหลังจากโดนอีกฝ่ายตบ “คุณเป็นอะไรไหม”

   “ไม่ครับ ไม่เป็นไร”

   “สมควรแล้ว ถ้าเดียร์ไม่มีความสุข ทุกคนก็อย่าหวังว่าจะได้มีความสุขเลย!!!!”

   เพี้ยะ

   “มีสติหน่อยดาราพร” คุณแม่บอกเสียงดัง “ทำไมเธอถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้นะ ไม่ยอมรับความจริง ไม่รับรู้ว่าตัวเองผิด ไม่รู้อะไรเลย มีปัญหาด้านความคิดงั้นเหรอ”

   “อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

   เพี้ยะ

   เพี้ยะ


   ร่างบางล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ไม่หยุดเหมือนเสียสติ พ่อของเธอวิ่งออกมาจากห้องพิจารณากลางก่อนจะประคองลูกสาวตัวเอง สายตาดุดันมองมาทางพวกเราอย่างเอาเรื่อง “คุณทำอะไรลูกสาวผม ผมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเลย”

   “เอาเลยค่ะ ดิฉันก็จะเอาเรื่องที่ลูกสาวคุณมาตบลูกชายดิฉันเหมือนกัน ฝั่งเราใจดีแค่ไหนที่ไม่แจ้งความจับลูกสาวคุณในข้อหาต่างๆ ที่เธอได้ทำผิด แทนที่จะสำนึกแต่กลับคิดไม่ได้เลย ตบไปทีแรกเรียกสติไม่ได้ กรี๊ดใส่หน้าดิฉัน คุณคิดว่าดิฉันจะยอมทนเหรอคะ ถ้าไม่พอใจก็เชิญแจ้งความได้เลย เรียกทนายขึ้นศาลเลยก็ได้ค่ะ ดิฉันไม่ขัด”

   “ผมขอพูดด้วยความหวังดี ลูกสาวของคุณควรพบจิตแพทย์อย่างมากเลย มันไม่ใช่ภาวะที่คนทั่วไปควรจะเป็น เธอจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ได้ นึกคิดเองไม่ได้ เชื่อผมนะว่าสุดท้ายแล้วคนที่จะเสียใจที่สุดก็คือคุณที่ปล่อยให้เธอเป็นถึงขนาดนี้”

   “ลูกสาวผมไม่ได้ป่วย”

   “แล้วแต่คุณจะคิดค่ะ ไปกันเถอะเด็กๆ.....วันนี้แม่เสียเวลามากพอแล้ว” คุณแม่บอกก่อนจะเดินนำไป ส่วนผมก็อยู่ตรงนั้น สิบสามหันมามองผมก็บอกให้เขาไปก่อน

   ผมมีเรื่องต้องคุยกับพ่อของเดียร์น่ะครับ

   “ทำไม....มีเรื่องอะไรจะซ้ำเติมอีกห้ะ!!!!”

   “คุณคงรู้จักเจ้าสัวกฤตใช่ไหมครับ เขาเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สั่งของจากบริษัทคุณ”

   “ถามทำไม”

   “ผม....เป็นลูกชายเขาครับ” ผมยกยิ้มให้ “หลังจากนี้คุณคงลำบากหน่อย แต่ขอให้รับรู้เอาไว้นะครับว่าทุกอย่างมันมาจากการกระทำของลูกสาวคุณเอง” พอพูดจบผมก็หันหลังให้เขาแล้วเดินออกมาทันที

   เรียกว่าโชคดีของผมก็ได้ที่รู้ว่าครอบครัวของเดียร์ทำธุรกิจอะไร ตอนที่ผมเคยคบกับเธอ เราคุยกันเรื่องครอบครัวด้วยครับ เธอพูดว่าพ่อของเธอส่งสินค้าให้กับเจ้าสัวกฤตเป็นหลัก ตอนนั้นผมไม่ได้เล่าให้เธอฟังไงว่าป๊าผมเป็นใคร เล่าแต่เรื่องของแม่ และตอนนั้นเดียร์เองก็ไม่ได้นึกเอะใจอะไร ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะมีวันที่ผมต้องพึ่งบารมีป๊าจัดการเรื่องนี้ คืองี้....เมื่อวานผมเข้าไปคุยกับป๊าเรื่องขอให้เขาเลิกสั่งสินค้าจากทางบริษัทของพ่อเดียร์

   ลองคิดถึงรายได้ที่จะหายไปแบบมหาศาลสิ

   ตอนแรกผมก็ชั่งใจอยู่ว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี ไปคุยกับไอ้ขัน มันเคยทำเรื่องแบบนี้อยู่ครั้งนึงตอนที่มีคนมาทำร้ายร่างกายน้องมัน เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง มันเลยใช้ความรุนแรงด้วยไม่ได้ วิธีการของมันคือหาเรื่องไปดิสเครดิตทางนั้นจนเทคโอเวอร์กิจการโรงแรมมาได้ ครอบครัวคนที่ทำร้ายน้องมันต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศ โดยการที่มันทำแบบนั้น มันก็ไปต่อรองกับพ่อมันนั่นแหละว่าจะยอมทำงานที่บริษัท เป็นลูกน้องช่วยพี่สาวมันทำงานต่างๆ นานา

   ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องน้องของตัวเอง

   ของผมเองก็ไม่ต่าง

   ตอนแรกเรื่องทำงานกับป๊าผมก็ยังลังเลไง แต่พอมีเรื่องเข้ามาก็เลยไปทำข้อตกลง จะทำงานให้ป๊าเพื่อแลกกับการสั่งสอนบ้านนั้น อย่างน้อยก็ให้เขาได้รับรู้ว่าสิ่งเลวร้ายที่ทำลงไปมันส่งผลกระทบยังไงและต่อใครบ้าง จะคิดว่าผมใจร้ายก็ได้ แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะฝั่งนั้นเริ่มก่อน ไม่มีใครยอมถูกทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียวหรอก อีกอย่างที่ผมรู้ตอนนี้คือสินค้าของทางบริษัทพ่อเดียร์มีคุณภาพที่ดรอปลง การยกเลิกการซื้อขายมันอาจจะเป็นวิธีการแก้ไขที่ดีแล้วก็ได้

   หารายอื่นที่มีคุณภาพจะดีกว่า

   นี่คงเป็นสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดแล้วเพื่อเราทั้งคู่ อย่างน้อยผมก็เป็นคนเลือกให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้เอง เดียร์โดนไล่ออกจากมหา’ลัย บริษัทของพ่อเธอจะได้รับความเสียหายจากการเสียคู่ค้าสำคัญอย่างบริษัทป๊าผม มันจะเป็นบทเรียนที่สาหัสสำหรับครอบครัวเขาและผมคิดว่ามันสมควรแล้ว หลังจากนี้ก็ขออย่าให้เจอกันอีกเลย ต่างฝ่ายต่างอยู่ ใช้ชีวิตและทำหน้าที่ของตัวเองไป พ่อเดียร์คงรู้แหละว่าควรจะทำตัวยังไงหลังจากที่รู้ว่าผมเป็นลูกใคร

   หวังว่ามันจะจบ....แบบจบจริงๆ

   “พี่เฌอ”

   “อ่าว คุณพ่อคุณแม่ล่ะ”

   “ผมให้พวกเขากลับไปก่อนแล้วครับ คุณแม่บอกว่าตอนเย็นต้องไปงานแต่งลูกสาวเพื่อน”

   ผมพยักหน้ารับ “อื้ม....เราก็กลับกันเถอะ เกือบบ่าย 2 แล้วยังไม่ได้กินไรเลย หาอะไรกินก่อนไหมหรือยังไง”

   “ผมอยากกินพี่เฌอครับ”

   เดี๋ยวก่อนนะ....

   “คุณว่าอะไรนะเมื่อกี๊” หรือหูฝาดไปวะ

   “ผมบอกว่า....อยากกินกับข้าวฝีมือพี่เฌอครับ”

   อ๋อ....แล้วไป นึกว่าคิดไปเอง

   “ได้เลยน้อนฉิบฉาม”

   เดี๋ยวพี่เฌอจะทำกับข้าวให้น้อนกินเองนะค้าบ

   

***

   
---------- 50% ----------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบท 20 ----------




   ความตั้งใจในการทำกับข้าวของผมถูกทำลาย

   ส่วนคนร้ายนั้นก็คือ.....

   “แฮ่ก....ผมโกรธคุณแล้วสิบสาม”

   “โกรธผมทำไมครับ”

   “คุณไม่ต้อง....” ผมฟุบหน้าลงกับหมอนอย่างหมดแรงหลังจากที่ร่างสูงละออกไป ไม่ไหว เหมือนจะตาย เหมือนเอวจะหัก โอ๊ยยยย เกินไปแล้ว

   ความร้ายกาจของการมีแฟนเด็กคือเขาจะพูดให้เราตายใจและหลอกกินเราอย่างบ้าคลั่ง เนี่ยะ ผมก็ว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด พอถามย้ำอีกรอบเขาก็บอกอีกอย่างซึ่งต่างจากตอนแรกที่เขาพูด เจ้าเล่ห์นัก มีใครให้มากกว่านี้อีกไหม ตอนนี้บ่าย 3 โมงกว่าแล้ว ข้าวก็ยังไม่ได้กินแถมใช้พลังงานไปหนักมาก เซ็กซ์มันดีนะแต่ไม่ใช่กะทันหันแบบนี้สิโว้ยยยยย

   เพลียว่ะ....อยากนอนแต่หิวข้าว

   “พี่จะกินอะไรครับ เดี๋ยวผมสั่งข้าวให้”

   ผมหันมองเขาก่อนจะทำหน้าตึงใส่ “คุณมันร้ายกาจที่สุด”

   “เดี๋ยวจะโดนอีกนะครับโทษฐานว่าผม” นังน้อนก้มลงมาจุ๊บหัวผม “เอากะเพราเนื้อเผ็ดน้อยไม่ใส่แครอตแล้วกันนะครับ”

   “เห้อะ....” ผมหันหน้าหนีเขา หมั่นไส้จริงๆ หลังจากทำเรื่องนั้นแล้วหน้าใสจัดๆ ได้ไงวะ ดูสภาพผมสิ เหมือนคนจะตายอะ

   “โกรธผมขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “ไม่ต้องทำเสียงอ่อนใส่เลย”

   “โกรธจริงๆ เลยเหรอพี่เฌอ” สิบสามเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะคลอเคลียอยู่ที่ไหล่ผม “อย่าโกรธผมเลยนะครับ”

   “ก็คุณน่ะ...” ผมเอาผ้าห่มห่อตัวก่อนจะลุกออกมาจากเตียง “เปลี่ยนผ้าปูด้วย ผมจะอาบน้ำ” พูดจบผมก็เดินเข้าห้องน้ำโดยปล่อยผ้าห่มกองเอาไว้อยู่ด้านหน้า

   มองเฌอในกระจกที่เต็มไปด้วยรอยจูบก็รู้สึกหน้าร้อนไปหมด ถึงปากจะบอกว่าโกรธแต่มันก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก น่าจะโมโหหิวมากกว่า ผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องที่แฟนจะปู้ยี่ปู้ยำตัวเองหรอก แต่บางทีมันปุบปับไป ไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้เตรียมใจอะไรเลย พอกลับถึงห้อง สิบสามก็จับผมทุ่มลงเตียง ใครไม่ตกใจบ้างถามจริง แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยอมให้เขาทำอยู่ดี นึกถึงท่านั้นแล้วแม่งโคตรลึกเลยอะ

   รู้สึกดีแบบจุกๆ

   พอก่อนเฌอ....เลิกคิดเรื่องนั้นดีกว่า นึกถึงหน้านังน้อนที่เหมือนน้อนหมาโดนดุแล้วขำอะ เกือบหลุดหัวเราะแล้วแต่ยังดีที่คีพลุคได้ ตอนนี้ก็ให้เขาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนไป ส่วนผมก็ต้องจัดการตัวเองน่ะนะ เออพรุ่งนี้ว่าจะเริ่มย้ายของออกจากหอเดิมไปหอใหม่ ไม่กี่วันก็น่าจะเสร็จ จากนั้นก็จะได้หยุดประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนที่จะเริ่มฝึกงาน ตื่นเต้นเหมือนกันนะ ขอให้เจอพี่ๆ ที่ร่วมงานกันได้ด้วยดีเถอะนะค้าบ

   ขอใช้แต้มบุญที่สะสมมาเพื่อเรื่องนี้เลย

   ผมว่างานหนักไม่ทำเราเหนื่อยเท่ากับการมีเพื่อนร่วมงานเฮงซวยครับ ประสาทเสียกับงานดีกว่าประสาทเสียกับคนเยอะ เอาน่ะ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง ก็เตรียมใจเอาไว้จึ๋งนึง ผมว่ามันคงไม่หนักหนาเท่าไหร่หรอก ผ่านเรื่องเดียร์ไปได้นะ เรื่องไหนๆ ก็ไม่น่ากลัวอีกแล้ว

   จริงๆ เลยนะครับ

   ผมหยิบผ้าขนหนูมาพันรอบเอวเอาไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ ร่างสูงนั่งอยู่ที่ปลายเตียง เขาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จแล้วและกำลังทำหน้าหงอยอยู่ พอเป็นแบบนั้นผมจึงเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะดึงแก้มขาวอย่างมันเขี้ยว

   “นังทรัวดีย์ เธอทำฉันปวดเอว”

   “ก็พี่บอกให้กระแทกแรงๆ นี่ครับ” สิบสามกอดเอวผมเอาไว้ “แฟนขอแบบนั้น ผมจะปฏิเสธได้ยังไง”

   “ไม่ต้องพูดเหมือนเป็นความผิดผมเลยนะ” ตอนนั้นอารมณ์มันพาไปนี่หว่า

   “ผมผิดเอง ขอโทษนะครับ”

   “อื้ม....ปล่อยผมได้แล้ว จะไปแต่งตัว” ผมแกะมือเขาออกก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้มาสวมแล้วเดินมานั่งพิงหัวเตียง นังน้อนเห็นแบบนั้นจึงมานั่งอยู่ข้างๆ

   “พรุ่งนี้ขนของใช่ไหมครับ”

   “ใช่ ว่างไหมล่ะ”

   “ว่างครับ ซ้อมคฑาอีกทีอาทิตย์หน้า”

   ผมพยักหน้ารับรู้ “คุณว่าหลังจากนี้เดียร์จะมายุ่งวุ่นวายกับพวกเราอีกไหม”

   “ไม่น่าแล้วนะครับ เอาจริงๆ ผมก็ไม่แน่ใจ ถ้ามีอีกก็คงต้องเด็ดขาดกว่านี้ ใช้กฎหมายจัดการ”

   “ผมไม่คิดเลยว่าเธอจะทำได้ถึงขนาดนั้น เข้าใจอยู่หรอกว่ารักคุณมากแต่มันจะใช่ความรักจริงเหรอ”

   เวลารู้สึกรักใครเราก็อยากให้เขามีความสุข ไม่อยากให้เขาเสียใจหรือเป็นทุกข์ ยิ่งอะไรที่เป็นการทำร้ายอีกฝ่ายก็ไม่สมควรทำ ไม่งั้นมันไม่น่าจะใช่ความรักไหมอะ ขนาดรักแล้วยังทำแบบนี้ ถ้าไม่รักขึ้นมา ไม่ฆ่ากันเลยเหรอ

   เกินไปจริงๆ

   “ผมว่าเดียร์คงได้รับบทเรียนของเธอแล้วล่ะ” สิบสามเอียงหัวพิงไหล่ผม “พี่เชื่อไหมครับว่าตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยโดนใครตบเลย”

   “เจ็บมากไหม”

   “ตกใจมากกว่าครับ ไม่คิดว่าเธอจะตบผม”

   “ผมก็ตกใจ อยู่ดีดีมาทำคุณเจ็บ” ผมประคองแก้มนังน้อน “แต่ไม่เป็นไรนะคุณ ผมก็เคยโดนเดียร์ตบเหมือนกัน เพราะงั้นไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวนะ”

   “ได้ยินแบบนี้แล้วค่อยสบายใจหน่อยครับ เออพี่เฌอ ผมยังไม่ได้สั่งข้าวเลยเพราะไม่รู้ว่าพี่จะกินกะเพราเนื้อรึเปล่า”

   “กินมาม่าก็ได้มั้ง แก้หิวไปก่อน เดี๋ยวค่ำๆ ค่อยทำกับข้าว ขอผมนั่งนิ่งๆ สักพัก”

   “ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมต้มมาม่าให้ พี่เอารสอะไร”

   “ไข่เค็ม”

   “รอแป๊บนึงนะครับ” ร่างสูงเดินลงจากเตียงก่อนจะมุ่งไปที่เคาน์เตอร์ครัว การที่นังน้อนไม่ใส่เสื้อก็ทำให้ผมเห็นรอยข่วนแดงทั่วทั้งหลังที่ตัวเองเป็นคนทำเอาไว้

   เอาน่ะ....จะได้เจ๊ากับรอยจูบที่เขาทำไง

   ครืดดดด....ครืดดดด

   ผมหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย “สวัสดีครับ”

   (ป๊าจัดการให้เฌอแล้วนะ)

   “ทางนั้นว่ายังไงครับ”

   (ก็โกรธนะ ตอนที่คุยกันก็ดูออกเลยว่าไม่โอเค แต่ช่างเถอะ เอาเป็นว่าสิ่งที่เฌอขอ ป๊าจัดการให้แล้ว อย่าลืมที่เราคุยกันล่ะ เดี๋ยวป๊าทำงานก่อน)

   “ครับ ขอบคุณนะครับป๊า” ผมกดวางสายก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวเพื่อรอนังน้อนต้มมาม่าให้

   ดีจังที่พวกผู้ใหญ่ช่วยเหลือเราจัดการเรื่องนี้ด้วย วันนี้คุณแม่ของสิบสามคือเดอะเบสเลยครับ คนแบบเดียร์ต้องเจอแม่ของนังน้อนนั่นแหละ คือทั้งคุณพ่อคุณแม่ดูเป็นคนใจดีไง แต่พอถึงเวลาแบบนี้เขาเด็ดขาดมาก ไม่ยอมง่ายๆ ด้วยซึ่งมันเป็นเรื่องดีแล้วแหละ ผมยังจำตอนที่คุณแม่ตบหน้าเดียร์จนเธอล้มลงไปได้เลย คงแรงมากเลยล่ะ ก็นะ ฝั่งนั้นมาตบลูกชายเขาก่อน คนเป็นแม่ยังไงก็คงไม่ยอมอยู่แล้ว

   เขาเลี้ยงของเขามา....ตีสักทีคงยังไม่เคยเลยมั้ง

   “เสร็จแล้วครับ” ชามมาม่าถูกส่งมาตรงหน้าผม “นี่ผักต้มครับ”

   “ไม่ใส่เสื้อหน่อยเหรอ”

   “ทำไมครับ พี่หวั่นไหวเหรอ”

   ผมหลุดขำ “ไม่อะ เฉยๆ ผมเห็นเพื่อนแก้ผ้าบ่อยแล้ว”

   “ผมหึงนะครับ” ดวงตาคมมองอย่างจริงจัง หูยยยย....เสียวสันหลังเหมือนจะโดนจับกินอีกสองรอบ

   “หึงขนาดไหน”

   “ไม่ใช่แค่จึ๋งนึงแล้วกันครับ” นังน้อนตักผักต้มมาให้ “ตอนฝึกงานก็อย่าไปทำให้ใครเขาหลงรักนะครับ หรือถ้ามีคนมาชอบก็บอกไปเลยว่ามีแฟนแล้ว แฟนหวงมากๆ ”

   “คุณก็ด้วยเถอะ เนี่ยะ เดี๋ยวพอผ่านช่วงกีฬาสีนะ คุณน่าจะตกคนได้เยอะมาก ต้องมีคนชอบคุณเยอะแน่ๆ เลย”

   “คนอื่นผมไม่รู้หรอกครับ....ผมขอแค่พี่เฌอรักผมก็พอ”

   ฉ่า

   เชี่ยยยย...หน้าร้อนเฉย

   ผมยกมือไปขยี้หัวเขา “เรื่องนั้นก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วป้ะ อย่ากังวลไปเลยว่าผมจะไม่รักคุณอะ อยู่ด้วยกันทุกวันนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วนะ คุณน่ะชอบบอกตลอดว่าจะไม่มีใครสู้คุณได้ เพราะงั้นไม่ต้องกังวลหรอก”

   ผมเดินเอาชามไปล้าง ร่างสูงก็เดินเข้ามาซ้อนด้านหลังแล้วล้างจานของตัวเองเหมือนกัน ผมเข้าใจความกังวลของสิบสามนะ เขาเป็นห่วงเพราะผมเป็นพวกสะเหล่อไง ดูแลตัวเองไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ส่วนเรื่องคนที่อาจจะเข้ามาเนี่ยะ ผมก็คงไม่สนใจอยู่แล้วแหละ ผมไม่ใช่คนที่จะไปวอแวกับคนอื่นทั้งๆ ที่ตัวเองมีแฟนน่ะ อีกอย่างแฟนผมคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่เคยคบกันมาด้วย ความสัมพัน์ระหว่างเรามันลึกซึ้งแล้วก็มีค่ามากกว่าที่ผมจะเสียไปอะ

   เฌอแม่งโคตรรักสิบสามเลย

   นังน้อนก็คงรู้สึกแบบเดียวกันกับผมนั่นแหละ

   ผมหันมาประจันหน้ากับสิบสามก่อนจะเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาออก “คุณน่ะ....ตอนที่ผมฝึกงานก็อย่าดื้อมากนะรู้ไหม”

   “ผมจะไม่ดื้อครับ” เจ้าตัวซบหน้าลงกับไหล่ผม “จะเป็นเด็กดี น่ารัก”

   “ดูทำเสียงเข้า” อ้อนแบนี้ใจใครจะไหวอะ

   “ไม่ชอบเหรอครับ” ร่างสูงอุ้มผมก่อนจะเดินมาที่ปลายเตียง เขาวางผมแล้วนั่งลงที่พื้น “หืม....”

   “ก็ชอบ อะไรที่เป็นคุณก็ชอบหมดแหละ”

   “รู้สึกเขินมากเลยครับ” นังน้อนเอามือทาบอก ทำไมมันตลกจังวะ แล้วดูทำหน้าทำตา โคตรมันเขี้ยวเลย

   “ไม่ต้องมาทำท่าแบบนั้นเลย” ผมตีไหล่เขาเบาๆ “หมั่นไส้”

   “พี่ต้องหมั่นไส้ผมไปอีกนานครับ”

   “ก็คงอย่างนั้น” ผมก้มลงไปจูบเขาทีนึงหนักๆ “ลงโทษ”

   “โห....อยากโดนลงโทษอีกจังเลยครับ ผมต้องทำยังไงเหรอ” ลักยิ้มที่ข้างแก้มปรากฏขึ้นในตอนที่เขายิ้ม ภาพที่ผมเห็นกี่ทีก็ยังรู้สึกชอบมันเอามากๆ ดีจริงๆ ที่รอยยิ้มนี้เป็นของผม

   “ให้ผมได้พักบ้างเถอะ....รู้ไหมว่าผมชอบเวลาคุณยิ้มจนลักยิ้มขึ้นแบบนี้มากเลยนะ มันดูสดใส ต่างจากคุณในทุกที แล้วคุณก็มักจะยิ้มแค่เฉพาะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน สำหรับผมแล้ว มันพิเศษมากเลย”

   “เพราะว่าผมรักพี่เฌอไงครับ”

   “คุณเป็นคนที่พูดคำว่ารักบ่อยมากเลยนะ บางคนเขาไม่พูดคำว่ารักบ่อยๆ เพราะคิดว่ามันจะไม่มีความหมาย”

   “ผมเป็นคนประเภทที่รู้สึกยังไงก็บอกไปแบบนั้นน่ะครับ รักก็บอกว่ารัก ใช้บอกแค่เฉพาะกับคนที่เป็นครอบครัวจริงๆ พี่เฌอเป็นครอบครัวของผมตั้งวันที่ผมพาพี่ไปให้พ่อแม่รู้จักแล้ว อีกอย่างผมก็ขอป๊าพี่มาแล้วด้วย” เขาจุ๊บมือผมเบาๆ “พี่หนีจากคนที่สิบสามไม่พ้นแล้วล่ะครับ”

   “ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละ”

   “ผมน่ะสามารถใช้คำนี้บอกพี่ได้ทุกวันเลย ขอแค่พี่อย่าเบื่อที่จะฟังมันก็พอ”

   จุ๊บบบบ

   “ผมจะฟังคุณพูดคำนั้นไปทุกวันเลย ขอแค่คุณอย่าเบื่อที่จะพูดมันละกัน”

   “....ไม่มีวันอยู่แล้วครับ”

   “.....”

   “ผมให้สัญญา”

   

   

   

   

   

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วน้า ลงดึกเลยต้องขออภัยด้วย ชาลมีปัญาส่วนตัว มันส่งผลต่ออารมณ์หนักมากแต่ตอนนี้ปกติแล้วค่ะ สำหรับบทนี้เขียนยากพอสมควร อ่านแล้วถ้าแปร่งๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ เดี๋ยวจะปรับตอนรีไรท์อีกทีนึง

   ชาลบอกสาเหตุไปในนิยายแล้วว่าทำไมพี่เฌอเลือกที่จะทำแบบนี้นะคะ เพราะเดียร์เป็นผู้หญิง เลยเล่นงานทางธุรกิจครอบครัวแทนเพราะมันจะกระทบทั้งหมด สมเป็นเพื่อนพี่ขันนะคะ ก็พาร์ทช่วงเนี้ยะจะอยู่ในเรื่อง LoveWrite เขียนสื่อรัก นะคะ ใครยังไม่อ่านก็แนะนำนะคะ ฟีลกู๊ดเหมือนกัน ก็ชาลคิดว่าการแก้ไขปัญหาแบบนี้มันโอเคแล้ว แต่ถ้าบี๋รู้สึกว่ามันยังไม่พอก็ต้องจินตนาการกันนอกรอบนะ อีก 3 บทจะจบแล้วก็รอติดตามนะคะ

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เพิ่งเข้ามาอ่าน อ่านรวดเร็วจบเลย เรื่องสนุก น่ารัก ฟิลกู้ดสุด ๆ เลยค่ะ

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 21 มากกว่า



   “น้องเฌอ พี่ฝากเอกสารนี้ไปให้ฝ่ายบัญชีหน่อยจ่ะ”

   “ได้ครับ”

   “เอออีกอย่างนึง พี่ฝากบอกพี่เจี๊ยบด้วยว่าอาทิตย์หน้าลงไซต์งาน ถ้าเขาจะเอาน้องเฌอไปด้วย ให้แจ้งพี่หน่อยนะคะ”

   “โอเคครับ”

   “จ่ะ ฝากด้วยนะ” ผมพยักหน้ารับคำพี่นวลก่อนจะเดินออกมาจากห้องธุรการแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องของฝ่ายบัญชี

   หัวหมุนจริงๆ เลยนะหลายวันมานี้

   ผมเริ่มฝึกงานมาได้ประมาณ 3 อาทิตย์แล้วครับ ตอนนี้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้พอสมควรแล้วล่ะ โชคดีของเฌอที่ได้เจอเพื่อนร่วมงานที่ดี พี่ๆ ในองค์กรใจดีกับผมมาก พี่เจี๊ยบที่เป็นพี่เลี้ยงฝึกงานผมก็สอนทุกอย่างเต็มที่ เดี๋ยวอาทิตย์หน้ามีไซต์งานสร้างสะพานที่เขาต้องไปตรวจ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อาจจะได้ไปกับเขา คิดแล้วตื่นเต้นอยู่นะ ช่วงอาทิตย์นี้ผมทำแต่แก้แบบปรับโครงสร้าง ยังไม่มีโอกาสได้ลงดูงานจริงเลย

   อยากออกไปผจญภัยนอกสำนักงานบ้างอะ

   “พี่พีทครับ นี่เอกสารจากฝ่ายธุรการครับ” ผมส่งเอกสารให้หัวหน้าฝ่าย “พี่เจี๊ยบฝากบอกพี่พีทด้วยว่าคิดถึงครับ”

   “งั้นพี่ฝากบอกมันด้วยละกันว่าสะเหล่อ”

   “เฌอจะโดนฟาดหน้าเอาหน่า”

   “ไว้มาฟ้องพี่หนิ เดี๋ยวพี่จัดการมันให้” มือเรียวส่งกล่องขนมมาให้ผม “พี่สาวพี่กลับมาจากญี่ปุ่นแล้วซื้อของฝากมาเยอะเลย เฌอแบ่งไปกินทีนะ”

   “ขอบคุณนะครับ งั้นเดี๋ยวเฌอขอตัวก่อน”

   “อื้ม ขอบใจสำหรับเอกสารนะ”

   “ค้าบ” ผมยิ้มแป้นให้ก่อนจะเดินออกมาจากห้องของฝ่ายบัญชีแล้วกลับไปที่ฝ่ายช่างของตัวเอง

   พี่พีทกับพี่เจี้ยบเป็นคู่ขวัญขององค์กรเลยนะครับ เขาก็เป็นแฟนกันนั่นแหละ เป็นคู่รักเพศเดียวกันคู่เดียวเลยมั้งเท่าที่เห็นน่ะ รองหัวหน้าฝ่ายช่างของผมชื่อว่าพี่ออย เธอก็เล่าให้ฟังว่าตอนที่พี่พีทกับพี่เจี๊ยบเปิดตัวว่าเป็นแฟนกันคือสาวๆ พากันอกหักระนาว แล้วตอนนั้นพี่ออยก็พูดติดตลกว่าดีแล้วที่มีผมมาฝึกงานที่นี่ พวกเธอจะได้มีที่ดามใจ ซึ่งผมก็ได้ยิ้มแห้งๆ แล้วบอกว่าตัวเองก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน

   สาวๆ ก็พากันอกหักอีกรอบ

   ผมรู้ว่าพวกพี่ๆ ไม่ได้คิดซีเรียสจริงจังหรอกก็แค่แซวเล่นตามประสา พี่ในฝ่ายช่างเคยเจอหน้าสิบสามหมดแล้วนะครับเพราะตอนที่เพิ่งเข้ามาฝึกงาน พวกเขาพาไปเลี้ยงฉลองไง วันนั้นนังน้อนไปรับผม ตอนแรกพี่ออยถามว่านี่น้องชายเหรอ หล่อจังต่างๆ นานา แต่เจ้าเด็กยักษ์นั่นก็บอกกับทุกคนว่าเป็นแฟนผม แถมฝากฝังให้พี่ๆ ช่วยดูแลด้วย ฟีลพ่อมากกว่าฟีลแฟนอีก หลังจากวันนั้นผมก็โดนแซวอยู่บ่อยๆ เลยเรื่องสิบสาม

   นังน้อนนี่มันน่านัก

   “พี่เจี๊ยบครับ” ผมเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะกลางของฝ่ายก่อนวางกล่องขนมไว้ “พี่พีทฝากมาบอกว่าสะเหล่อ”

   “ถามจริง”

   “จริง เฌอไม่โกหกพี่เจี๊ยบหรอก ไม่เชื่อไลน์ไปถามได้”

   “หึ....ไอ้พีท เย็นนี้เจอแน่” เสียงเย็นเอ่ยคาดโทษก่อนจะเดินมาที่โต๊ะกลาง “อะไรอะ”

   “ขนมครับ พี่พีทฝากมา เอ้อพี่เจี๊ยบ พี่นวลบอกว่าถ้าอาทิตย์หน้าจะเอาผมไปลงไซต์งานด้วย ให้แจ้งเขา”

   “เอ็งอยากไปไหม”

   ผมพยักหน้ารับ “อยากดิครับ อยากไปสมบุกสมบันบ้าง”

   “ดี เดี๋ยวให้ไปช่วยเขาแบกปูน”

   “จิ๊บๆ เฌอน่ะนะ ทำได้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ” ผมยักคิ้วให้เขาทีนึง ร่างสูงก็เบ้ปากก่อนจะโขกหัวเบาๆ อย่างมันเขี้ยว

   “เออ พี่จะคอยดูเอ็งละกัน แล้วที่บอกว่าจะลางานอะ ลาวันไหน ทำใบแจ้งยัง”

   “ลาวันศุกร์ครับ ทำใบแจ้งส่งพี่ออยแล้ว” ผมเดินมาเก็บของที่โต๊ะ “เดี๋ยวจะถ่ายรูปมาอวดเยอะๆ พี่จะได้รู้ว่าแฟนเฌอหล่อขนาดไหน”

   “ขี้ขิงว่ะ อย่าลืมลงเวลาออกนะ”

   “ไม่ลืมๆ แล้ววันนี้พี่ทำโอฯ เหรอ”

   “เปล่าหรอก เดี๋ยวเคลียร์เอกสารนิดหน่อยก็เสร็จแล้ว เอ็งก็กลับบ้านดีดีละกัน เจอกันวันจันทร์”

   “ครับ งั้นเฌอไปก่อนนะพี่เจี๊ยบ” ผมยกมือไหว้พี่เจี๊ยบรวมถึงทุกคนในห้องฝ่ายช่าง “เฌอกลับก่อนครับพี่ๆ สวัสดีครับ”

   “กลับดีดีจ้าน้องเฌอ”

   ผมเดินออกมาจากห้องฝ่ายช่างก่อนจะลงมาด้านหลังซึ่งเป็นลานจอดรถ หมดไปอีกหนึ่งวันสำหรับการทำงาน วันนี้วันศุกร์ครับ เสาร์อาทิตย์เป็นวันหยุด ผมตกลงกับสิบสามว่าจะไปหาเขา ช่วงอาทิตย์นี้นังน้อนซ้อมคฑาหนักมาก แล้วต้องซ้อมเดินในสนามจริงด้วย ปกติตอนซ้อมควงคฑามันก็อยู่กับที่ไง แต่นี่ต้องเดินในระยะทางที่ไกลมาก ช่วงแรกๆ ก็งอแงอยู่เหมือนกันนะ เขามักจะบอกผมว่าถ้าพี่เฌออยู่ด้วยตรงนั้นนะ เขาจะไม่รู้สึกเหนื่อยขนาดนี้เลย

   สงสารมากอะ

   อยากขับรถไปหาถึงแม้จะ 50 กว่ากิโลฯ

   ถ้าไปกลับก็ 100 กิโลฯ พอดี

   ผมขับรถออกมาจากสำนักงานก่อนจะมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ เวลา 5 โมงครึ่งในวันศุกร์ ไม่แปลกเลยที่รถติด มันน่าเบื่ออยู่นะ รถจะติดแบบนี้ไปอีกสักกี่ปีอะ ช่างแม่ง หัวเสียไปก็ไม่ได้ช่วยให้รถติดน้อยลงหรอก ผมควรทำใจร่มๆ เข้าไว้ นานหน่อยสำหรับการเดินทางแต่จุดหมายที่จะไปก็คือไปหานังน้อนเพราะงั้นแค่นี้ก็คงไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง

   คิดถึงสิบสามจังเลย

   อยากกอดแน่นๆ แล้วหอมหัวสักสามที

   นังน้อนวิดิโอคอลมาหาผมทุกวันเลยนะตอนก่อนนอน บ่อยครั้งที่หลับคาคอลไปเลยเพราะความเพลีย ผมรู้ว่าเขาต้องอดทนมากแค่ไหน เอาจริงๆ ผมคิดว่าการที่เราอยู่ห่างกันแบบนี้มันก็มีข้อดีเหมือนกันนะ เป็นการฝึกความอดทนมากๆ และเวลาที่เราได้เจอกันมันก็ทำให้รู้สึกว่าเออ เราพยายามตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง รับผิดชอบงานของตัวเองให้เสร็จแล้วมาเจอกัน มาใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เหนื่อยสะสมจากงานมาทั้งอาทิตย์แล้วได้กอดแฟนตัวเองนี่โคตรรู้สึกดีเลย

   ฮีลใจได้เยอะมากๆ

   ครืดดดด....ครืดดดด

   ผมกดรับสายก่อนจะเสียบหูฟังไวเลส “ฮัลโหล”

   (อยู่ไหนวะ)

   “ขับรถอยู่กำลังจะไปหาสิบสามที่มอ ละมึงอะ โทรมามีไร”

   (กูจะถามว่ากีฬาสีอะไปมอแน่ๆ ใช่ไหม กูจะได้ลาที่ทำงาน)

   “เออ ไปแน่ มึงว่าไอ้แช่มจะมาไหมวะ”

   (น่าจะนะ มันน่าจะมาหาไอ้หอม)

   “อืม งั้นเดี๋ยวค่อยนัดกันอีกทีก็ได้”

   (โอเค มึงขับรถเถอะ แค่นี้แหละ)

   “เออ”

   หลังจากใช้เวลานานมากในการเดินทางผมก็เลี้ยวรถเข้ามาในมหา’ลัยก่อนจะเอาไปจอดที่ตึกวิศวะฯ เห็นรุ่นน้องกำลังเตรียมงานกีฬาสีกันอย่างขะมักเขม้นก็นึกถึงปีตัวเอง นึกถึงบรรดาเพื่อนๆ ที่ตอนนี้แยกย้ายไปฝึกงานด้วย วุ่นวายสุดก็ไอ้แช่มครับ โทรมาหาทุกคืนบอกว่าเหงามาก วันดีคืนดีไปนั่งอยู่ชายทะเลคนเดียว นั่งวาดทรายแล้วก็บ่นคิดถึงน้องหอม คือถ้าคิดถึงน้องหอมมึงก็โทรหาน้องหอมไหมล่ะ

   จะโทรหากูเพื่อ

   ผมเดินออกจากตึกวิศวะฯ เพื่อมุ่งหน้าไปตึกแพทย์ฯ ตอนนี้ 6 โมงกว่าแล้ว ปกติสิบสามจะเลิกซ้อมตอน 2 ทุ่มครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะได้พักบ้างรึยัง ผมเดินเข้ามาในโซนลานเกียร์ก็พบร่างสูงในชุดนักศึกษาที่มีผ้าคาดผมลายแบด แบดที่ผมซื้อให้คาดอยู่บนหัวด้วย สีหน้าเขาแสดงความเหนื่อยออกมาชัดเจน ด้านหน้ามีพี่ที่ฝึกซ้อมให้พูดอะไรอยู่ไม่รู้ สักแป๊บสิบสามก็เดินมานั่งที่เก้าอี้ คงเบรกแล้วล่ะมั้ง พอเห็นแบบนั้นผมจึงเดินไปหยุดตรงหน้าเขา

   “ไงคุณ”

   สิบสามเงยหน้ามองผม “....พี่เฌอ” มือเรียวรั้งเอวผมเข้าไปกอดเอาไว้ก่อนจะซบหน้าอยู่อย่างนั้น

   “อะไรเนี่ยะหืม....”

   “เหนื่อยมากเลยครับ ขออยู่แบบนี้สักพัก”

   “ขนาดนั้นเลย” ผมหยิบพัดพับได้ในกระเป๋าคาดออกมาก่อนจะพัดให้นังน้อน “พี่เขาดุคุณเหรอ”

   “เปล่าครับ ผมก็แค่เหนื่อย” เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองผม “นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”

   “มาสิ ก็บอกไว้ว่าจะมาหา” ผมหยิบทิชชู่ในกระเป๋ามาซับเหงื่อให้เขา “หิวไหม กินอะไรรึยัง”

   “กินนมไปแล้วครับ พี่เฌอล่ะหิวไหม รอจนผมเลิกซ้อมได้ไหมหรือจะไปหาอะไรกินก่อน”

   “รอได้ ผมยังไม่หิวหรอก”

   “อื้มมมมม....คิดถึงพี่เฌอจังเลยครับ”

   “ผมรู้แล้ว” ผมลูบหัวเด็กยักษ์เบาๆ

   สิบสามนั่งกอดเอวผมอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น เขาไม่แคร์คนอื่นจะมองอยู่แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เจ้าตัวคงเหนื่อยจริงๆ นั่นแหละ ผมปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้นสักพัก พี่ที่ฝึกซ้อมก็เดินเข้ามาหาร่างสูง

   “เดี๋ยววันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้สิบสาม พี่มีธุระด่วนอะ พรุ่งนี้ก็เวลาเดิมนะ”

   “ได้ครับ” หลังจากที่นังน้อนรับคำพี่เขาก็เดินไป น้องที่เป็นคฑากรเหมือนสิบสามเดินมาหยิบไม้คฑา คงเอาไปเก็บให้ล่ะมั้งเพราะสภาพของคุณคฑากรไม้หนึ่งคือป้อแป้มาก

   “ไปหาอะไรกินกันเถอะ คุณเอารถมารึเปล่า”

   “เปล่าครับ”

   “ดี งั้นก็ไปรถผม ป่ะ”

   ผมลากสิบสามออกมาจากลานเกียร์แล้วไปที่ลานจอดรถหลังตึกวิศวะฯ จัดแจงยัดเขาขึ้นรถ คือนังน้อนเหมือนมีแต่กายหยาบแต่วิญญาณไม่มีอะ นั่งนิ่งเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ผมเอี้ยวตัวไปจะดึงเบลท์มาคาดให้เขา มันเป็นจังหวะเดียวกันที่ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้แล้วกดจูบลงมา มือเรียวล็อกคอผมเอาไว้ การจูบของร่างสูงมันไม่ใช่แค่ปากแตะปาก ไม่อ่อนโยนและไม่หยุดสักที

   อื้ออออ....หายใจไม่ออก

   “แฮ่ก....นังน้อน” ผมดันเขาออกพลางโกยอากาศเข้าปอด “เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อยเลยนะ จะฆ่าผมเหรอ”

   สิบสามหอมแก้มผมอีกฟอดใหญ่ “ชื่นใจจังครับ”

   “ปล่อยผมเลย” ผมพยายามแกะมือเขาที่โอบเอวตัวเองอยู่ “สิบสาม”

   “จุ๊บผมก่อน”

   “จุ๊บอะไรอีกเล่า เมื่อกี๊คุณจูบผมไปแล้วนะ”

   “ไม่เกี่ยวกัน เมื่อกี๊ผมทำเอง อันนี้พี่ต้องเป็นฝ่ายทำให้สิ”

   “ทำไมดื้อแบบนี้”

   “ขอดื้อหน่อยไม่ได้เหรอครับ ผมเป็นเด็กดีมาทั้งอาทิตย์เลยนะ” เขาเอ่ยเสียงอ้อน “จะไม่ให้รางวัลหน่อยเหรอหืม....”

   “ทำดีเพื่อหวังผลเหรอ”

   “ทำดีเพื่อหวังพี่ต่างหาก” ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้ “ไม่จุ๊บผมก็ไม่ปล่อยนะ กอดกันอยู่ตรงนี้แหละ”

   จุ๊บบบบ

   “ปล่อยเลย” พอบอกแบบนั้นสิบสามก็ยอมปล่อยผมออกแต่โดยดี ร้ายกาจจริงๆ ไอ้ที่ทำท่าเหมือนเหนื่อยมากๆ นั่นเป็นแผนการใช่ไหมห้ะ เดี๋ยวก่อน....ไว้เผลอเมื่อไหร่นะจะหยิกให้เนื้อเขียวเลย

   ผมขับรถออกจากมหา’ลัยพลางเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แน่ล่ะ สูบพลังชีวิตผมไปจึ๋งนึงหนิ ไม่แปลกเลยที่จะดูสดใสขึ้น โมเม้นท์เมื่อกี๊โคตรหน้าร้อนเลยให้ตายเถอะ อยู่ดีดีเขาก็จูบไง ผมตกใจ มันยังไม่ทันตั้งตัวเลย แล้วก็จูบแบบดุดุ แถมยังงอแงให้จุ๊บอีกทีด้วย มันน่าตีจริงๆ เลยว่ะ เห็นหน้านิ่งๆ นี่ไม่ไว้ใจไม่ได้เลยนะ

   เด็กนั่นจ้องที่จะกินผมอยู่ตลอดเวลา

   เฌอต้องระวังตัวให้มากแล้ว

   ตกลงกันไว้ครับว่าจะไม่มีอะไรกันจนกว่าจะผ่านช่วงกีฬาสีไป เรื่องนี้สิบสามเป็นคนบอกเอง ผมก็ไม่มีปัญหา แต่คนที่เหมือนจะมีปัญหาน่ะคือเขา เหมือนอัดอั้น อยากทำแต่ทำไม่ได้เพราะตัวเองลั่นวาจาเอาไว้ นังน้อนเป็นคนประเภทไม่กลืนน้ำลายตัวเองน่ะครับ แต่ผมรู้สึกได้เลยว่าถ้าจบงานกีฬาสีแล้วตัวเองต้องยับเยินมากแน่ๆ เลย ทำอะไรไม่ได้ด้วยนะนอกจากทำใจ

   ไม่เป็นไรนะเฌอนะ

   ผมพาสิบสามมาหาอะไรกินที่ห้าง AA ครับ หันมองร่างสูงที่เดินอยู่ตรงหน้าซึ่งบนหัวเขายังคงมีผ้าคาดแบด แบดสวมอยู่ ปกติเจ้าตัวมักจะถอดมันออกไง แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้เห็นหน้าชัดๆ หน่อย วันนี้เขาไม่สวมแว่นและไม่ใส่แมสด้วย

   “กินอะไรดีครับ”

   “คุณอยากกินอะไรอะ”

   “ปิ้งย่างไหมครับ”

   “เอาสิ” ผมเดินตามเจ้าตัวเข้ามาในร้านปิ้งย่างก่อนจะจัดแจงสั่งโน่นนี่ “เออสิบสาม เดี๋ยววันพฤหัสฯ ผมมาหาคุณนะ ผมลางานแล้วนะวันกีฬาสีน่ะ”

   “โอเคครับ ผมจะได้ไม่ต้องเอารถไป รอกลับพร้อมพี่”

   “ได้ แล้วเรียนเป็นไงบ้าง”

   “ไม่เหนื่อยเท่าทำกิจกรรมครับ แต่ว่าพอหมดกีฬาสีก็คงเหลือแต่เรียนแล้วล่ะ” นังน้อนเท้าคางมองผม “พี่เฌอล่ะครับ ฝึกงานเป็นยังไงบ้าง พี่ๆ เขาแกล้งอะไรพี่ไหม”

   “ไม่มีใครแกล้งผมหรอก นี่เป็นที่เอ็นดูของทุกคนนะ”

   “เป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว ผมค่อยหายกังวลหน่อย”

   “ผมไม่ใช่เด็กนะคุณ” ว่าแล้วผมก็ทำหน้ามุ่ยใส่เขาพลางหยิบสันนอกไปปิ้ง “เดี๋ยวอาทิตย์หน้าผมอาจจะได้ลงไซต์งานจริงด้วย ตื่นเต้นมากเลยอะ”

   “ระวังตัวด้วยนะครับ อย่าซนล่ะ”

   “ดูปากพี่เฌออีกครั้งนะครับนังน้อน” ผมชี้ที่ปากตัวเอง “ผม ไม่ ใช่ เด็ก”

   “ผมรู้ครับว่าพี่ไม่ใช่เด็ก แต่ที่ต้องบอกก็เพราะว่าพี่เป็นแฟนผม ดูปากผมนะครับ” เขาชี้ที่ปากตัวเองบ้าง “พี่ เป็น แฟน ผม”

   ตึกตัก

   ชอบเลียนแบบว่ะ

   “อือ รู้แล้วน่า” ผมยัดพริกหวานเข้าปาก “ผมจะดูแลตัวเองดีดีละกัน”

   “ดีมากครับ เดี๋ยวผมแกะกุ้งให้เป็นรางวัลนะ” มือเรียวหยิบกุ้งที่เพิ่งปิ้งเสร็จไปแกะ ไม่ร้อนเหรอถามจริง เป็นเฌอนี่จับไม่ได้เลยนะกุ้งยังไอร้อนขึ้นอยู่เลย

   มือเขามีความรู้สึกบ้างไหมวะน่ะ

   ผมว่าสิบสามน่าจะชินกับการแกะกุ้งนะครับ ดูจากที่เคยไปกินหมูกระทะด้วยกันวันที่ผมเลี้ยงเพื่อนๆ เขา พวกเด็กๆ ที่มาช่วยกันหาเกียร์นั่นแหละ วันนั้นนังน้อนคือนั่งแกะแต่กุ้ง ไม่ได้แกะให้เฉพาะผมนะ คือเราช่วยกันปิ้งแล้วเขานั่งแกะใส่ในจานรวม ไม่มีบ่นว่าร้อนหรือกรีทิ่มมือเลย ผมเป็นพวกกินกุ้งทั้งเปลือกแต่พอมีคนมานั่งแกะให้กินมันก็ดีเนอะ สะดวกดีอะรอกินอย่างเดียว

   “คุณชอบแกะกุ้งเหรอสิบสาม”

   เจ้าตัวพยักหน้ารับ “ผมแกะกุ้งเก่งที่สุดในบ้าน ส่วนพี่เจ็ดเขาแกะปูเก่งมาก พี่สองจะเลาะก้างปลาออกเก่ง”

   “แล้วพี่เก้า”

   “แกะหอยครับ”

   “บ้านคุณนี่มันสุดยอดจริงๆ ” บ้านผมนะไม่มีอะไรแบบนี้หรอก ไม่ปรองดองกันด้วย แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วจึ๋งนึงยกเว้นกับคุณเกสร ถ้าครอบครัวผมจะเก่งอะไรสักอย่างนะ คงแย่งกันกินเก่งอะ

   “บ้านผมชอบกินพวกอาหารทะเลเผาอะครับ อาทิตย์ละครั้งได้ ผมชอบด้วยแหละ”

   “พอรู้อยู่แหละว่าชอบ ผมไม่ค่อยกินปูอะเพราะขี้เกียจแกะ ปลาก็ชอบกินเป็นชิ้นๆ มากกว่า ไม่อยากต่อกรกับก้าง”

   “ไว้หาวันว่างๆ ไปกินข้าวบ้านผมนะครับ รับรองเลยว่าพี่ไม่ต้องแกะเองสักอย่าง”

   “งั้นก็ไว้ค่อยหาวันว่างแล้วกันเนอะ” ผมคีบเนื้อใส่ในชามเขา “ถ้ากินข้าวเสร็จ ไปเดินดูของกันไหม ผมเห็นป้ายเสื้อผ้ากำลังเซลล์อะ”

   “ได้ครับ”

   ผมเอาผักห่อเนื้อก่อนจะป้อนนังน้อน คำอย่างใหญ่แต่สามารถยัดเข้าปากได้ทั้งหมด เกินไปมาก ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปสิบสามที่แก้มป่องลงสตอรี่ไอจี คิ้วเข้มขมวดอย่างเอาเรื่อง สมเป็นแบด แบดเวอร์ชั่นคนจริงๆ นั่นแหละเขาน่ะ ผมมองไดเร็คเมสเสจที่เด้งไม่หยุดก่อนจะปิดการแจ้งเตือน เอ๊บซีนังน้อนครับ คนติดตามผมเยอะขึ้นมากเลยนะตั้งแต่เป็นแฟนกับสิบสามน่ะ ส่วนมากก็มาจากคนที่ติดตามเขาทั้งนั้นแหละ

   อยากเห็นนังน้อนยิ้มก็คือดูได้ที่ไอจีผมเท่านั้น

   เราใช้เวลาพักใหญ่ในการกินปิ้งย่าง ตอนนี้เกือบ 2 ทุ่ม ผมเดินนำสิบสามมาที่โซนขายเสื้อผ้า ร่างสูงเดินปรีเข้าไปที่โซนของแบรนด์ซานริโอ้ทันที ไหนดูซิว่าวันนี้เขาจะได้อะไรกลับไป นังน้อนเป็นประเภทซื้อไม่คิดเลยนะสินค้าแบรนด์ที่เขาชอบน่ะ อย่างกล่องใส่ของ คือมีลายเหมือนกันแต่ถ้าคนละสีก็ซื้ออีก ผมก็ตามใจเขานะเพราะเงินเขาไง ถ้าซื้อแล้วมันมีความสุขไม่ได้ทำให้ตัวเองลำบากก็ซื้อไปเถอะ

   เหมือนผมที่ชอบซื้อเสื้อให้เขานี่ไง

   “มานี่ซิคุณ” ผมหยิบเสื้อเชิ้ตมาดู “คุณน่าจะใส่ได้นะ” ว่าแล้วผมก็เอาเสื้อพาดบนตัวเขา

   “พี่ว่าอันไหนสวยกว่า” เจ้าตัวถามพลางให้ผมเลือกระหว่างผ้าลายชินามอนโรลกับปอมปอมปูริน

   “ไม่เอาลายลิตเติ้ลทวินสตาร์เหรอ”

   “มีหมดแล้วครับ”

   ผมพยักหน้ารับ “ชินามอนโรลก็น่ารักดีนะ น้องกระต่ายอะ”

   “พี่เฌอ” สิบสามมองผมตาโต “ชินามอลโรลเป็นน้องหมาครับ”

   “ถามจริง นี่นึกว่าเป็นกระต่ายมาตลอด เห็นหูยาว”

   “แล้วพี่ปอมปอมปูรินว่าเป็นอะไรครับ”

   “พุดดิ้งไม่ใช่เหรอ”

   เขาส่ายหน้ารัวๆ “เป็นน้องหมาเหมือนกันครับ พี่มองยังไงเป็นพุดดิ้งอะ”

   “นี่ไง สีน้ำตาลข้างบนก็เป็นคาราเมลไง”

   “มันเป็นหมวกเบเร่ต์ครับพี่เฌอ ผมว่านะ ผมซื้อทั้งสองผืนเลยดีกว่า” เขาบอกแบบนั้นก่อนจะเดินไปจ่ายเงิน คิดไวใจเร็วมาก เมื่อกี๊ยังมาให้ผมช่วยเลือกอยู่เลย ไปๆ มาๆ ซื้อมันทั้งสองอัน

   คำถามต่อมาคือซื้อแล้วจะเอาไว้ตรงไหน

   ผมเดินดูเสื้อผ้าไปเรื่อยพลางส่งให้สิบสามถือ ชอบจริงๆ เลยของเซลล์เนี่ย ผมชอบซื้อเสื้อผ้านะ ทั้งใส่เองหรือให้คนอื่นก็เถอะ แต่พอซื้อเยอะมันก็ทำให้เสื้อผ้าล้นตู้ใช่ไหม ตัวไหนที่เราไม่ใช้แล้วก็ส่งต่อไปให้คนอื่นนะครับ เรียกว่าเอาไปบริจาคก็ได้ สภาพมันยังดี บางตัวใส่ครั้งเดียวเองหรือบางทีซื้อมาผิดไซส์อย่างเงี้ยะ ก็ให้คนที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้มากกว่าดีกว่า

   เฌอนี่....นอกจากจะหน้าตาดีแล้วยังมีความคิดที่ดีอีก

   อยากจะปรบมือให้ตัวเองสักสามที

   ผมเดินไปจ่ายเงินแล้วลากสิบสามไปที่ลานจอดรถ สมควรแก่เวลากลับหออาบน้ำนอนมากๆ พอคิดได้แบบนั้นผมก็ขับรถมุ่งไปที่คอนโดฯ G ตั้งแต่วันที่มหา’ลัยตัดสินไล่เดียร์ออก รู้สึกว่าเธอจะย้ายออกจากที่นี่ด้วยนะ น่าจะโดนพ่อสั่งด้วยแหละมั้ง ผมรู้มาจากสิบสามว่าพอเดียร์โดนไล่ออก แก๊งค์เพื่อนของเธอก็ย้ายออกด้วย น่าจะไปเรียนที่เดียวกันแหละมั้ง รักเพื่อนไม่ใช่เรื่องผิดครับแต่ถ้าสนับสนุนกันให้ทำเรื่องไม่ดีล่ะก็ผิดเต็มๆ

   “สิบสาม”

   “ว่าไงครับ” ร่างสูงแบกของทั้งหมดเดินนำขึ้นห้อง

   “เดียร์ไม่มายุ่งกับคุณแล้วใช่ไหม”

   “ไม่แล้วครับ ผมก็หวังให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกัน ใช้ชีวิตของใครของมัน”

   “ผมก็หวังให้เป็นแบบนั้น” ผมตามนังน้อนเข้ามาในห้องก่อนจะวางของทั้งหมดไว้ที่โต๊ะ ร่างสูงเดินเข้าห้องน้ำไป กิจวัตรปกติครับที่ต้องกลับถึงห้องแล้วอาบน้ำก่อน

   ผมถอดเสื้อช็อปออกก่อนจะเอาไปแขวนไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้า ใช้เวลาสักพักสิบสามก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ส่วนผมก็เข้าไปอาบน้ำแทน เห็นพวกของใช้ต่างๆ มันก็ทำให้ผมชอบนึกถึงวันแรกที่ตัวเองตื่นมาแล้วอยู่ที่นี่ได้เลย ตอนนั้นมันมีแต่ของๆ สิบสาม แต่ตอนนี้มีของผมวางไว้ข้างกัน จะว่าไปก็ 2 เดือนกว่าแล้วล่ะที่คบกันมาเนี่ยะ เวลาไม่ค่อยนานเท่าไหร่นะแต่รู้สึกผูกพันเหมือนรู้จักกันมา 10 ปี

   อาถรรพ์วันที่ 13 ทำอะไรความรักเราไม่ได้จริงๆ

   แต่ทำผมได้เจ็บแสบมากเลยแต่ละครั้งน่ะ

   ช่างมันเถอะ จะคิดว่ามันเป็นสีสันและประสบการณ์ของชีวิตละกัน หลังจากที่อาบน้ำเสร็จผมก็เดินออกมาด้านนอก ชุดนอนถูกเตรียมเอาไว้ให้ ผมเสื้อลายมายเมโลดี้สีชมพูตัวโคร่งอยู่ตรงหน้า ส่วนกางเกงนั้นมีคนเอาไปใส่แล้วครับ

   สิบสามนี่มันจริงๆ เลยน้า

   “ให้ใส่แต่เสื้อเหรอ”

   “ใช่ครับ ผมใส่กางเกงให้”

   “น่าตีมากเลยนะคุณเนี่ยะ” ผมเดินไปหยิบกางเกงบ็อกเซอร์ในตู้มาสวมกับเสื้อตัวนั้น “พอใจแล้วนะ”

   “น่ารักจังเลยครับ”

   “หนิ ดูหน้าผม ดูขนาดตัวด้วย คุณจะนิยามว่าน่ารักไม่ได้นะ ต้องหล่อเท่านั้น” ผมนั่งโบกครีมลงหน้า นังน้อนเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังก่อนจะใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมให้

   “ผมมีแฟนหล่อจังเลยครับ”

   “ธรรมดาอะนะ ละแฟนคุณน่ะโคตรจาฮอต สาวๆ ชอบกันตรึม”

   ดวงตาคมหรี่มองผม “เดี๋ยวผมจะตีพี่”

   “ไหน....มือไหนจะตีผม”

   “ไม่ใช้มือหรอกครับ มีอย่างอื่นน่าสนใจกว่ามืออีก”

   “สิบสาม” ผมหยิกแขนเบาอย่างมันเขี้ยว “เอาใหญ่ละนะ บ้ากาม”

   “เนี่ยะ พี่เฌอคิดลึกอะ”

   “ก็ดูคำพูดคำจาคุณสิ คิดเป็นอย่างอื่นได้ที่ไหน” ผมเบ้ปากใส่เขาผ่านกระจก พอนังน้อนเห็นแบบนั้นเขาก็ยิ้มหวานให้ก่อนจะโน้มตัวมากอดคอผมเอาไว้ ไม่ต้องมาทำตัวน่ารักให้ใจเต็นแรงเลยนะ ไม่หลงกลหรอก

   “ขอกอดหน่อยครับ”

   “คุณกอดผมอยู่เถอะ อื้ออออ....” หัวผมโยกไปตามแรงหอมแก้มที่เขากดลงมา มีแฟนเป็นเด็กบ้าพลังก็ต้องอดทนหน่อยอะนะเฌอ ถึงแก้มช้ำก็ต้องอดทน

   “เบื่อไหมครับ”

   “เบื่ออะไร”

   “ที่ผมบ้ากามน่ะ”

   ผมหลุดหัวเราะออกไปทันทีก่อนจะขยี้หัวเขาจนฟู “ถ้าผมเบื่อแล้วคุณจะหายบ้ากามรึไง”

   “งานยากเลยครับ” ร่างสูงคลายกอดก่อนจะเอาผ้าขนหนูไปตาก ผมเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงแล้วคว้าหมอนสิบสามมากอดเอาไว้ กลิ่นคอตตอนสะอาดๆ นี่ทำให้สบายใจจริงๆ นะ

   นังน้อนเดินมาที่เตียงก่อนจะนั่งมองผมอยู่อย่างนั้น อะไรของเขาน่ะ มือเรียวเลื่อนมากุมมือผมเอาไว้ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อ อา....เขินว่ะ แค่มองหน้าก็เขินแล้ว นี่ไม่ใช่สมัยเพิ่งจีบกันแรกๆ ไหมวะ ความรู้สึกต่างๆ ไม่เปลี่ยนไปเลยอะ แต่มันก็เป็นเรื่องดีแล้วล่ะมั้งที่เรารู้สึกว่าความรักยังใหม่อยู่ตลอดเวลา

   อยากจูบ

   ผมรั้งคอสิบสามเข้ามาใกล้ก่อนจะขยับเข้าไปจูบเขา ร่างสูงเปิดปากรับสัมผัสจากผม ลิ้นร้อนไล่คลอเคลียอย่างเอาใจ อ่อนโยนกว่าตอนที่จูบบนรถเยอะเลย แต่ฟีลแบบไหนก็ทำให้หัวใจเต้นแรงไม่ต่างกัน

   ความรู้สึกนี้จะอยู่กับเราไปเรื่อยๆ เลยใช่ไหม

   “อื้ม....” สิบสามถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง “มีคำไหนที่ผมจะให้พี่ได้มากกว่าคำว่ารักไหมครับ”

   ตึกตัก

   ดูเขาสิ

   “รู้สึกกับผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “ใช่ครับ” มือเรียวเกลี่ยแก้มผมเบาๆ “บางครั้งก็กลัวว่ามันจะมากไป”

   “ในความสัมพันธ์ของเราไม่มีคำว่ามากไปหรอก” ผมผงกหัวขึ้นไปจุ๊บหน้าผากสิบสาม “ผมดีใจนะที่คุณรักผมขนาดนี้”

   “พี่ต้องดีใจไปทุกวันแน่เลยครับ”

   ร่างสูงขยับมานอนลงข้างๆ ก่อนจะรั้งผมเข้าไปกอดเอาไว้ หลงอะ หลงจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว หลงจนโงหัวไม่ขึ้น ทั้งคำพูดทั้งการกระทำ ทุกอย่างทำให้ผมไปไหนไม่รอดจริงๆ สิ่งที่สิบสามเคยบอกเอาไว้ไม่ว่าจะทำให้ผมมีความสุข ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีหรืออะไรต่างๆ เขาทำแบบนั้นได้ตามที่ตัวเองพูดทุกอย่าง ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทำให้ผมต้องเสียใจเลยสักครั้ง เป็นความรักที่ต่างจากทุกทีที่ต่างมา

   ขอบคุณจริงๆ นะสิบสาม

   ขอบคุณ.....

   

   

   

   

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วนะคะต้องขอโทษด้วยที่หายไปหลายวันเลย ไม่สบายค่ะเป็นไข้หวัดเพิ่งไปหาหมอมาเมื่อวาน เพราะอากาศเปลี่ยนก็เลยปรับตัวไม่ทัน บี๋ก็ดูแลตัวเองกันดีดีนะคะ รักษาสุขภาพด้วย

   อีก 2 บทก็จบแล้ว ภายในอาทิตย์นี้แน่นอนนะคะ รอติดตามด้วยน้า

   สามารถติดต่อข่าววสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะ

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทที่ 22 รางวัล [ Nc ]


   

   ตี 4 กับงานกีฬาสี

   ง่วง มาก เลย ไอ้ เวร

   ผมยกมือปิดปากหาวพลางส่งพร้อพให้พวกปี 2 ที่กำลังจัดการตกแต่งคัตเอาท์ สงสัยจริงๆ ว่าทำไมจะต้องทำงานเผาตอนเช้าวันกีฬาสีทุกปีด้วยคัตเอาท์เนี่ยะ ปีผมก็เป็น เกือบร่วงลงมาคอหักตายด้วย กีฬาสีตอนปี 2 แม่งตรงกับวันที่ 13 พอจบงานปุ๊บน้องฟ้าที่เป็นแฟนผมก็บอกเลิกปั๊บ แล้วอาทิตย์ต่อมาเธอก็ไปคบกับคฑากรไม้หนึ่งของคณะการบินฯ ซึ่งผมแบบ ใช่ซี้ พี่ก็แค่เฌอไง ไม่มีตำแหน่งใดใดในงานกีฬาสีนอกจากปีนทำคัตเอาท์

   แม่ง....ความทรงจำอันขมขื่น

   ช่างมันเถอะ อะไรที่ผ่านไปก็ปล่อยให้มันผ่านไปดีกว่านะครับ ผมส่งโฟมรูปไฟขึ้นไปให้สมปองที่ยืนอยู่ด้านบนสุด อยากรู้จริงๆ ว่าใครมันคิดคอนเซ็ปต์วะ คณะวิศวะฯ ปีนี้เป็นคอนเซ็ปต์ภูเขาไฟซึ่งมันดูแดงไปทั้งสแตนด์เลยว่ะ เห็นแล้วรู้สึกร้อนไปหมด เด็ก ET นี่ชอบเล่นโทนสีแดงเนอะ เชื่อดิว่าไม่มีคณะไหนจะร้อนแรงได้เท่าคณะผมอีกแล้ว

   โซฮอตยืนหนึ่งในมหา’ลัย

   งานอวยคณะต้องมาครับ

   “เฌอ”

   ผมหันมองตามเสียงก็พบแช่มเพื่อนรัก “กูนึกว่าจะมาตอน 10 โมงแล้ว”

   “เกินเหอะ กูไปซื้อกาแฟมาฝากพวกมึงเนี่ยะ แต่กาแฟกระป๋องนะ”

   “เออ ขอบใจ น้องหอมมึงอะ”

   “แต่งตัวอยู่ห้องคณะ” ร่างสูงเดินเข้ามาช่วยผมส่งพร้อพให้น้องๆ “น้องหมอมึงอะ”

   “ก็อยู่ที่คณะเขาไง แต่งตัวเหมือนกันแหละ”

   “ขบวนพาเหรดมันเริ่มที่ตึกแพทย์ฯ ขบวนของเด็กแพทย์ฯ เป็นขบวนแรกสินะ”

   “ใช่ กูตื่นเต้นมากเลยที่จะได้เห็นสิบสามเป็นคฑากร เขาต้องหล่อมากแน่ๆ เลยว่ะ”

   “จะขิงแฟนอ๋อไอ้เวร”

   “เปล่า ก็พูดตามที่คิดเนี่ยแหละ เท่าที่กูรู้มานะ ไม้หนึ่งของแต่ละคณะคือเดือนของปีก่อนทั้งนั้นเลยว่ะ แต่ที่พีคๆ ก็น่าจะนิเทศฯ ป้ะ ไอ้หมีถือธงเดินนำขบวนด้วยหนิ กูล่ะอยากเห็นหน้าไอ้ขัน”

   “เห็นหน้ากูทำไม” คนที่ถูกพาดพิงเดินเข้ามาพร้อมกับจันทร์ฉายและทะเล ตายยากอะ บ่นถึงหน่อยก็โผล่มาให้เห็นละ

   “แฟนมึงถือป้ายหนิ มันต้องหล่อมากแน่ๆ เลย แล้วพอมันหล่อมากๆ นะ คนก็จะหลงรัก พอมีคนมาวอแวมันมากๆ มึงก็จะหึง พอมึงหึงสักพักมึงก็จะเป็นบ้า พอมึงบ้าก็ต้องเข้าโรงพยาบาล ไอ้หมีก็จะหาผัวใหม่ ส่วนมึงก็จะอกแตกตาย”

   “เดี๋ยวมึงอะจะตายก่อนเพราะโดนกูเตะ” ไอ้ขันทำเสียงเหี้ยมใส่ “มึงห่วงแฟนเด็กมึงดีกว่า คฑากรไม้หนึ่งคณะแพทย์ฯ ตอนจบงานคงตกคนได้ค่อนมหา’ลัย”

   “คือผมไม่ค่อยกังวลเรื่องนี้อะนะครับเพื่อนเพราะแบบแฟนผมรักผมมาก” ผมยักคิ้วให้มันไปทีนึงอย่างกวนส้นตีน อดีตเฮดว้ากเห็นแบบนั้นมันก็โขกหัวผม โว้ยยยย เก่งจริงล่ะเรื่องทำร้ายร่างกายคนอื่นเนี่ยะ

   หยิกแม่ง

   “พวกมึงเป็นเด็กรึไงวะ” ทะเลห้ามทัพก่อนจะลากผมกับไอ้ขันมานั่งที่หน้าสแตนด์ “เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงตอนที่ทำสแตนด์ด้วยกันเนอะ โคตรเหนื่อยเลย”

   “เออ เหนื่อยจริงๆ ”

   ผมนั่งมองรุ่นน้องทั้งคณะตัวเองและคณะอื่นๆ ที่กำลังเตรียมสแตนด์ให้พร้อมก่อนที่จะเช้า ช่วงกีฬาสีมันเหนื่อยมากนะแต่ก็สนุกดีอะ ถ้าไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งอะไรกันเลยก็สนุกอยู่แหละ ปีผมแม่งตีกับสาขาอื่น ก็มีปากเสียงกันนิดหน่อยกับเด็กคอมฯ แต่ตอนนั้นไอ้ขันก็เป็นคนเคลียร์แหละ สำหรับผมนะ กีฬาสีช่วงปี 2 อะเหนื่อยสุดเพราะทำสแตนด์ ส่วนปี 3 ที่เดินพาเหรดก็ไม่เท่าไหร่ เปลี้ยสุดก็ตอนเดินจากตึกแพทย์ฯ ไปตึกนิเทศฯ นั่นแหละ

   ความทรงจำอันขมขื่นรอบที่ 2

   ผมมามหา’ลัยตอนเกือบตี 4 ตอนแรกกะว่าจะมาส่งนังน้อนแต่งหน้าแต่งตัวแล้วจะกลับไปงีบสักหน่อย แต่ดูทรงแล้วน่าจะตื่นอีกทีตอนเที่ยงอะ ก็เลยเออ มาช่วยพวกสมปองทำสแตนด์ดีกว่า ไว้จบงานค่อยนอนยาวทีเดียว

   “เวลาผ่านไปไวเหมือนกันเนอะมึง”

   ไอ้ขันหลุดหัวเราะ “เออ แป๊บเดียวก็ปี 4 แล้ว ฝึกงานจบก็จะจบ”

   “อยู่ดีดีกูก็มานั่งคิดนะว่าทำไมถึงมาเป็นเพื่อนกับพวกมึงได้ก็ไม่รู้” จันทร์ฉายหันมองบรรดาเพื่อนๆ “แต่ละคน....เฮ้อ”

   “ที่นั่งอยู่ตรงนี้กูว่าก็ไม่มีใครคิดหรอก” ชริตเป็ดเบ้ปากใส่ “แต่มันก็ดีแล้วป้ะวะที่เราได้เป็นเพื่อนกันน่ะ”

   “มึงพูดซะซึ้งเชียวไอ้เวร ยังเรียนไม่จบเลย นี่วันกีฬาสีนะ ไม่ใช่วันรับปริญญา”

   “มึงรู้ป้ะว่าตอนนี้พวกเราเหมือนลุงแก่ๆ ที่มานั่งรำลึกความหลังกันอะ” ผมบอกพวกมันก่อนจะส่งกาแฟกระป๋องที่ไอ้แช่มซื้อมาให้

   “ก็บรรยากาศมันได้นี่หว่า”

   ผมเปิดกาแฟกระป๋องก่อนจะกระดกลงคอ เดี๋ยวหาอะไรทำระหว่างรอขบวนพาเหรดดีกว่า เขาจะเริ่มเดินกันตอน 8 โมงครับ เริ่มที่ตึกแพทย์ฯ ไปจนถึงตึกนิเทศฯ ระยะทางโคตรไกล เดี๋ยวผมจะต้องถ่ายรูปนังน้อนเยอะๆ ด้วย เอาไปอวดพี่เจี๊ยบครับ ไม่รู้ว่าวันนี้สิบสามจะหล่อมากแค่ไหน ผมว่ามันต้องมากกว่าทุกทีที่ได้เห็นแน่เลย ไม่รู้ว่าเขาจะแต่งตัวยังไง ลองนึกภาพคฑากรคณะแพทย์ฯ ปีก่อนๆ ซิ

   นึกไม่ออกเลยว่ะ

   ช่างแม่ง นึกไม่ออกก็ช่างแม่ง เอาเป็นว่าถ้าถึงเวลาเดี๋ยวก็เห็นเองแหละ ส่วนตอนนี้เฌอและเหล่าสหายขอนั่งจิ๊บกาแฟพลางเสพบรรยากาศความวุ่นวายต่างๆ ตรงหน้าก่อนสักพักนะครับ แล้วอีกสักพักก็จะ.....หลับ

   กาเฟอีนในกาแฟไม่ช่วยอะไร

 

***


   “ทำไมชอบเบียดจังวะ”

   “หรือจะให้กูนั่งบนตักมึง”

   “ตัวอย่างกะน้องควายจะมานั่งบนตักกู สะเหล่อ”

   “ขี้บ่นจริงๆ ระวังผัวทิ้งนะ”

   “ปัญญาอ่อนแบบมึงก็ระวังเมียไปมีผัวใหม่เถอะ”

   “ไอ้เฌอ”

   “ไอ้แช่ม”

   มึงจะเถียงสู้กูอ๋อ....ให้คิดอีกทีนะไอ้เวร

   ผมถลึงตามองมันอย่างเอาเรื่อง เอาสิจะยอมกูดีดีหรือจะยอมกูด้วยน้ำตา ทำไมห้ะ ไม่ตบไม่ตีไม่ดีขึ้นเลยใช่ไหม เรื่องนี้ต้องถึงหูไอ้หอม ผมจะให้น้องรักจัดการมัน พอก่อน พักเรื่องไอ้แช่มแล้วหันไปสนใจขบวนพาเหรดที่กำลังจะมาถึงสนาม ตอนแรกผมก็อยากเห็นสิบสามเดินจากตึกแพทย์ฯ ไปถึงตึกนิเทศฯ เหมือนกัน แต่คิดไปคิดมา รอดูเขาตอนเดินลงสนามดีกว่า ขบวนนังน้อนจะเป็นขบวนแรกและก็จะได้โชว์หน้าประธานก่อนคณะอื่นด้วย

   ตื่นเต้นว่ะ

   ไอ้แช่มมันเห็นนังน้อนแล้วครับ สะเหล่อไง ไปดูขบวนที่หน้าตึก มันบอกผมว่าวันนี้เขาหล่อมากแต่ไม่ยิ้มเลยสักนิด หน้าตึงอยู่ตลอดเวลา ขนาดเวลามีช่างภาพไปขอถ่ายรูปเขายังไม่ยิ้มเลย สิบสามถามไอ้แช่มว่าผมอยู่ไหน ทำไมไม่ไปหาเขา ชริตเป็ดก็บอกไปว่าผมรอดูเขาอยู่ที่สแตนด์วิศวะฯ เพราะงั้นตอนที่เดินลงสนามมาให้หันมองผมด้วย ไหนดูซิว่าเจ้าแบด แบดยักษ์จะมองเห็นผมไหม

   ผมหน้าเด็กกลมกลืนกับน้องปี 1 มากซะด้วยสิ

   พูดจาโคตรหลงตัวเองเลยว่ะ

   เสียงปรบมือดังจากสแตนด์คณะแพทย์ฯ ทำให้ผมหันไปมองทันที วงโยธวาธิตของมหา’ลัยเดินนำเข้าสนามมา ธงสีเขียวมีตราสัญลักษณ์ของคณะแพทย์ฯ ล้ำเข้าสู่ในสนาม คนที่ถือธงคือน้องประธานคณะกรรมการฯ ที่ชื่อปราชญ์ ส่วนป้ายของคณะคือน้องที่ชื่อแพ็ค เท่าที่เห็นก็พวกคณะกรรมการทั้งนั้นเลยนะ ผมได้ยินเสียงกรี๊ดดังจากคณะแพทย์ฯ เมื่อคฑากรเดินลงสนามมา

   ตึกตัก

   เชี่ย....ใจเต้นแรงขนาดนี้

   ร่างสูงของสิบสามสวมชุดสูทสีเขียวเข้มซึ่งเป็นสีของคณะเขา เรือนผมสีดำสนิทถูกเซ็ตเป็นทรงอย่างดีทำให้เห็นใบหน้าหล่อได้ชัดเจน สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใดออกมาเลย ไม่ยิ้มหรืออะไรทั้งนั้น เป็นความจริงแบบที่ไอ้แช่มพูดจริงๆ แล้วดูน้องคฑากรสองคนที่เดินอยู่ด้านหลังเขายิ้มอย่างเป็นมิตรดิ นังน้อนของผมคือแปลกแยกสุดๆ

   “น้องหมอมึงคือหน้านิ่งแบบนี้ตั้งแต่ตอนเดินขบวนอะ เขาจะไม่ยิ้มหน่อยเหรอวะ”

   “ไม่รู้ว่ะ” ผมมองขบวนแพทย์ ที่กำลังเดินเข้าสู่เขตหน้าแสตนด์วิศวะฯ “สิบสาม!!!!” พอผมตะโกนออกไปแบบนั้น ร่างสูงที่เดินนำขบวนอยู่ก็หันมามองก่อนจะคลี่ยิ้มให้

   กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

   ไงล่ะ....ไม่ใช่เฌอจะทำได้ไหมถามจริง

   “มึงนี่มันเกินไปมากเลยนะ” ไอ้ขันเอ่ยพลางทำหน้าไม่เข้าใจ

   “เด็กแพทย์ฯ งงตาแตกทั้งสแตนด์อะ น้องหมอมึงตกเด็กเราได้ทั้งคณะแน่ เชื่อกู”

   “พวกมึงก็เว่อร์” ผมมองขบวนของคณะแพทย์ฯ ที่เดินผ่านสแตนด์ตัวเองไป ตลกว่ะ ใจผมก็คิดอยู่แล้วแหละว่าถ้าสิบสามเห็นผมเขาน่าจะยิ้มออกมา

   เป็นไปตามที่คิดด้วย

   เดินหน้าตึงรอบมหา’ลัยเพื่อมายิ้มให้ผมคนเดียวนี่โคตรเกินไปเลย เรื่องนี้ต้องเป็นที่พูดถึงแน่ๆ ไม่รู้ว่าจะมีใครถ่ายรูปตอนที่นังน้อนยิ้มทันรึเปล่าเพราะมันแค่แป๊บเดียวจริงๆ ใครถ่ายภาพตอนนั้นทันคือจะเป็นที่ฮือฮามาก อันนี้ต้องฝากความหวังไว้กับทีมช่างภาพของนิเทศฯ แล้ว เออ ต้องดูที่กล้องน้องหนม ยืนหนึ่งมากในเรื่องการถ่ายรูป ไม่คิดเลยว่าไอ้ขันจะมีน้องชายที่ถ่ายรูปเก่งขนาดนั้น

   ถ่ายตอนเผลอยังดูดีเลย

   ผมหันมองจอมอนิเตอร์ใหญ่ที่ฉายภาพเหล่าคฑากรทำความเคารพประธาน การแสดงของคฑากรคณะแพทย์ฯ เริ่มขึ้นแล้วครับ ผมเห็นสิบสามตอนซ้อมบ่อยแล้วนะแต่ของจริงก็ให้ฟีลที่ต่างกัน ไม้คฑาของนังน้อนอะหนักพอสมควร หนักกว่าไม้คนอื่นจึ๋งนึงผมเคยลองถือแล้ว คือถ้าโยนแล้วรับพลาดฟาดหัวตัวเองก็หัวแตกไปเลยนะ แล้วสิบสามเป็นคนที่โยนไม้สูงมากเลยอะ

   รับได้ยังไงวะ

   ผมปรบมือรัวๆ เวลาที่เขารับไม้คฑาได้ เก่งมากๆ เลยค้าบน้อนค้าบ เหนื่อยมาหลายเดือนเพื่อวันนี้นี่แหละ ผมมองร่างสูงที่ทำความเคารพประธานอีกครั้งก่อนจะเดินนำขบวนต่อไปยืนรอคณะอื่น คือใช้เวลาสักพักเลยแหละกว่าจะแสดงจบจนครบทุกคณะ สิบสามน่าจะเปลี้ยมาก ดีนะที่วันนี้แดดไม่ค่อยแรงเท่าไหร่แถมยังมีลมพัดให้อากาศได้ถ่ายเทอยู่บ้าง ไม่งั้นนะแย่เลย

   “มึงเห็นเพจคิ้วท์บอยยัง”

   “ยัง ทำไมวะ”

   “อะดู” จันทร์ฉายส่งโทรศัพท์มาให้ ภาพบนเพจเป็นภาพ Before – After ของสิบสามครับ ภาพแรกคือภาพตอนเดินขบวนแล้วหน้านิ่งมาก ส่วนภาพที่ 2 คือภาพเขายิ้มเพราะได้เห็นผม โพสนี้เพิ่งลงไม่กี่นาทีแต่มีคนกดไลก์และแชร์เยอะอยู่นะ

   “ลุคนี้โคตรดูดีเลยว่ะ” ทะเลบอกก่อนจะกดซูมรูป “ผิวขาวจัดตัดกับสีสูทมากเลย ใต้ร่มผ้านี่ขาวแบบนี้ป้ะวะ”

   ผมพยักหน้ารับ “เหมือนหยวกกล้วยอะ”

   “งี้ก็ตัวแดงง่ายอะดิ”

   “ถามอะไรของพวกมึงเนี่ยะ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่พวกมัน “ดูโน่นขบวนนิเทศฯ มาแล้ว ปรบมือให้หมีน้องรักเร็ว” ว่าแล้วผมก็ปรบมือรัวๆ ให้กับน้องหมี

   วันนี้มันหล่อว่ะ ผมมองเด็กหัวทองที่อยู่ในชุดนักศึกษาแล้วสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงินของคณะนิเทศฯ ทับ ขบวนของคณะนิเทศฯ เป็นเด็กปี 2 สินะที่เดินนำขบวนน่ะ แต่ละคนคืองานดีมากเลยว่ะ คนถือป้ายคือเพื่อนไอ้หมีที่ชื่อภีม คฑากรไม้หนึ่งก็ไอ้เป้ที่เป็นเดือนมหา’ลัย ผมจำได้ว่ากีฬาสีเมื่อปีก่อนก็ไอ้พวกนี้แหละที่เป็นหลีดฯ โจ๊ก ไอ้เวรขันหัวฟัดหัวเหวี่ยงใหญ่เลยตอนไอ้หมีเต้นแล้วปลดกระดุมโชว์ซิกแพ็ก เห้อะ ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยนะตอนนั้นอะ ทำเป็น....

   น่าหมั่นไส้

   ผมนั่งดูขบวนพาเหรดไปเรื่อยๆ พลางถ่ายรูปโน่นนี่นั่น เดี๋ยวค่อยไปถ่ายหน้าสิบสามชัดๆ ถ่ายตอนยิ้มด้วย ทุกคนต้องรอดูภาพนังน้อนยิ้มจากไอจีผมแน่ๆ ได้เลยครับน้องๆ พี่เฌอจะไม่ทำให้ผิดหวัง ใช้เวลาพักใหญ่เลยสำหรับการเปิดงานต่างๆ ตอนนี้เกือบ 10 โมงแล้ว ขบวนของแต่ละคณะเดินออกจากสนามหลังจากที่เปิดงานเสร็จ เดี๋ยวผมไปนังน้อนดีกว่า เขาน่าจะหิวข้าวอยู่นะ ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ตื่นมาอะ

   “พวกมึง เดี๋ยวกูไปหาสิบสามก่อนนะ”

   “เออ เดี๋ยวกูไปหาไอ้หมีละ”

   “ค่อยเจอกันคืนนี้นะ หรือพรุ่งนี้ดีวะ มึงกลับกันวันอาทิตย์หนิ”

   “กูว่าพรุ่งนี้” ผมบอกเพื่อนๆ

   ไอ้แช่มหรี่ตามองผม “ฮันแน่ ทำไมต้องพรุ่งนี้ คืนนี้มึงจะทำอะไรห้ะๆ ๆ ๆ ๆ ”

   “ทำอะไรก็เรื่องของกู” ว่าแล้วผมก็แลบลิ้นใส่มัน “แบร่บๆ ๆ ๆ ๆ ”

   “เดี๋ยวจะโดนนะไอ้เวร”

   “เลิกตีกันได้แล้ว” ทะเลห้ามทัพ “งั้นก็เอาตามนั้นละกัน เจอกันพรุ่งนี้”

   “โอเค” ผมรับคำเพื่อนก่อนจะเดินลงจากสแตนด์แล้วมุ่งหน้าไปที่ตึกคณะแพทย์ฯ ทันที

   น้องๆ ที่เดินขบวนพาเหรดเมื่อกี๊เดินกันอยู่เต็มหน้าตึกเลยว่ะ ผมกวาดสายตามองหานังน้อน ไม่เจอเลยครับ อยู่ไหนของเขาวะ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์หาเจ้าตัว ใช้เวลาไม่นานก็ได้คำตอบว่าอยู่ที่โรงอาหารของคณะ พอเห็นแบบนั้นผมจึงเดินไปที่นั่นทันที ร่างสูงที่อยู่ในชุดสูทสีเขียวนั่งรออยู่ ดวงตาคมมองผมอยู่อย่างนั้น สีหน้าดูเหนื่อยอยู่นะ แน่ล่ะ เดินไกลขนาดนั้นก็คงล้านั่นแหละ

   “หล่อผิดหูผิดตาเลยนะวันนี้” ผมนั่งลงตรงข้ามเขา “ตกเด็กได้ค่อนมหา’ลัย”

   “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ พี่เฌอหิวข้าวไหม กินอะไรรึยัง”

   “ยัง เนี่ยะ คุณจะกินอะไร เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”

   “ข้าวราดแกงก็ได้มั้งครับ” สิบสามเดินไปที่ร้านข้าวราดแกง ผมก็เดินตามเขาไปสั่งข้าว กินอะไรดี งืม....แกงฟักทองก็น่าสนใจ แต่พะแนงก็น่ากิน

   “เอาอันนี้ๆ ๆ ๆ ครับ” ผมชี้ไปที่กับข้าวสี่อย่าง

   “กินเยอะจังครับ”

   “มันน่ากินอะ คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะ ถ้าผมกินไม่หมดเดี๋ยวคุณก็กินจนหมดเองแหละ” พอจ่ายเงินเสร็จผมก็เดินกลับมาที่โต๊ะก่อนจะตักแกงฟักทองเข้าปาก อื้ออออ....อร่อยจริงๆ โรงอาหารคณะแพทย์ฯ นี่ร้านข้าวราดแกงคืออร่อยที่สุดแล้วมั้ง

   ผมมองนังน้อนที่ตั้งใจกินข้าวอย่างจริงจัง คงหิวน่าดูเลยแหละ พอเห็นแบบนั้นผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเขาเพื่อลงสตอรี่ไอจี สิบสามเหลือบมองกล้องนิ่งๆ ก่อนจะกินข้าวต่อ หน้าตึงมากเลยครับพ่อหนุ่ม

   “พี่จะอยู่ถึงกีฬาสีเลิกเลยไหมครับ”

   “ผมยังไงก็ได้ แล้วคุณอะ”

   “ผมแล้วแต่พี่เฌอครับ”

   “ถ้าแล้วแต่ผมงั้นเอางี้ละกัน เดี๋ยวดูหลีดฯ ตอนบ่าย แล้วค่อยกลับ ดีไหม”

   “ได้ครับ” สิบสามตักไก่ทอดในชามเขาส่งมาให้ผม “รอถึงตอนนั้นก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาย่อยหน่อย”

   ผมเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย “ทำไมต้องรอย่อยอะ”

   “พี่ไม่รู้จริงๆ เหรอครับว่าสิ่งที่ผมพูดมันมีความหมายว่ายังไง” มือเรียวเปิดกระเป๋าลิตเติ้ลทวินสตาร์ของตัวก่อนจะหยิบกล่องลายคุโรมิส่งมาให้ผม

   “อะไรอะ” ผมเปิดกล่องนั้นดูก่อนจะจ้องเขาทันที “คุณนี่มันจริงๆ เลยนะสิบสาม” เอาถุงยางมาใส่ไว้ในกล่องที่ลายน่ารักขนาดนี้คือมันเกินไปจริงๆ

   สงสารน้อนคุโรมิ

   “เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้นะครับ ผมอัดอั้นตันใจมาก”

   ฉ่า

   “คุณทำผมหน้าร้อนอีกแล้วนะ” ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ “อย่าพูดแล้วมองด้วยสายตาแบบนั้นสิ”

   “ก็มันจริงนี่ครับ” เจ้าตัวเท้าคางมองผม “พี่เฌอว่าวันนี้ผมทำได้ดีไหมครับ”

   “ดีสิ คุณโคตรหล่อเลยวันนี้ แถมตอนที่เดินขบวนก็เท่มาก ตอนแสดงคฑาหน้าประธานก็ดีไปหมด สุดยอดเลย” ผมเอ่ยชมไปตามตรง เขาทำได้ดีจริงๆ ตามนั้น

   “ถ้าแบบนั้นพี่ก็ต้องให้รางวัลผมสิครับ”

   นังเด็กคนนี้มันร้ายจริงๆ เลยนะ

   พูดถึงขนาดนี้แล้วพี่เฌอจะไปยังไงต่อล่ะ

   “ได้.....คุณอยากได้อะไร ผมจะตามใจเลย”

   “พี่เฌอพูดแล้วนะครับ”

   “อื้ม ผมอะ คำไหนคำนั้นอยู่แล้ว”

   

***

   

   ---------- 50% ----------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบท 22 ----------


   คำไหนคำนั้น....หึ

   ไม่น่าเลยเฌอเอ๊ย

   ผมนั่งทำหน้ามุ่ยใส่ร่างสูงที่นั่งอยู่ปลายเตียง โพซิชั่นตอนนี้น่าหวั่นใจอีกแล้วครับ ผมนั่งอยู่ที่พื้นตรงกลางหว่างขาของแฟนตัวเอง ยิ่งเห็นมือเรียวกำลังจะปลดผ้าขนหนูที่พันรอบเอวออกหัวใจก็ยิ่งสั่นระรัว บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ใต้นั้นมันกำลังเหิมเกริมมาก มากพอๆ กับเจ้าของนั่นแหละ ในจังหวะที่ผ้าขนหนูจะหลุดอยู่รอมร่อผมก็จับข้อมือของสิบสามเอาไว้ก่อน ดวงตาคมฉายแววชอบอกชอบใจ

   เออใช่ซี้ ต้อนให้ผมจนมุมได้ก็ต้องชอบใจเป็นธรรมดา

   “คุณ.....ผมจะห่วยแตกมากเลยนะ ไม่เคยทำอะ”

   “เหมือนกินไอติมแหละครับ”

   ผมส่ายหัวรัวๆ “ไม่เหมือนนนน คุณอย่าเอาไปเปรียบกับไอติมนะ” ไอติมมันเย็นป้ะ แต่ไอ้นี่มันไม่เย็นเลยสักนิดอะ โอ๊ย.....ยิ่งเห็นสีหน้าที่ดูเจ้าเล่ห์นั่นยิ่งอยากเขินจนตายไป

   ฟุบหน้าแก้เขินแป๊บ

   “พี่เฌอบอกว่าจะตามใจผมไง” มือเรียวลูบหัวผมที่ซบต้นขาตัวเองเบาๆ “พี่บอกเองด้วยนะว่าคำไหนคำนั้น”

   “ก็ผมไม่คิดว่าคุณจะ....” ผมผ่อนลมหายใจออกก่อนจะตั้งสติ “โอเค คำไหนคำนั้น เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะทำให้แฟนตัวเองไม่ได้”

   “งั้นก็ทำสิครับ” สิบสามดึงผ้าขนหนูออก ทำให้ส่วนนั้นจ่ออยู่ตรงด้านหน้า ทำไมมันเขินอย่างนี้วะ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นนะเฌอ

   “เกินไปมากๆ ของคุณน่ะ”

   “วันนี้บ่นเก่งจังเลยนะครับ” ส่วนแข็งขืนถูกเด็กนิสัยไม่ดีจับมาแปะอยู่ที่ข้างแก้มผมพร้อมกับถูอยู่อย่างนั้น “ให้รางวัลผมได้แล้ว”

   ผมมองเขาอย่างคาดโทษก่อนจะจับท่อนรักที่แปะอยู่ข้างแก้มแล้วขยับเบาๆ ไม่เคยใช้ปากทำให้ใครมาก่อนเลยครับ ก็นะ สิบสามก็เป็นคนแรกของผมอะ ถึงศึกษามาบ้างแต่ไม่คิดว่าจะได้ทำจริงเร็วขนาดนี้ แต่เอาเถอะ คิดไว้บ้างแล้วแหละว่าวันนี้ต้องมาถึง ทำใจร่มๆ แล้วยอมนังแฟนเด็กแต่โดยดีดีกว่า ผมใช้ลิ้นเลียเบาๆ ที่ส่วนปลายก่อนจะไล่จุ๊บสลับกับเลียวนไปรอบๆ พลางช้อนตามองคนตรงหน้า

   สายตาที่ดูพอใจนั่นทำให้ผมใจชื้นอยู่พอสมควร

   ผมไล่เลียตั้งแต่ส่วนปลายไปจนถึงโคน เหมือนกินไอติมตามที่เขาบอกนั่นแหละแต่มันต่างตรงที่เราจะกัดไม่ได้ไง ไหนจะความอุ่นที่รับรู้ได้นี่อีก มือเรียวของสิบสามขยุ้มหัวผมเบาๆ ได้ยินเสียงทุ้มต่ำในลำคอเขาด้วย ชอบว่ะ รู้สึกดีสินะถึงได้ส่งเสียงแบบนั้นออกมา ผมเลียรอบๆ ส่วนปลายก่อนจะรับมันเข้าปากแล้วขยับเข้าออก ทำได้แค่ครึ่งเดียวแต่ผมคิดว่าแค่นี้ตัวเองก็เก่งมากเกินพอ

   ครั้งแรกของเฌอเลยนะสำหรับออรัลเซ็กซ์น่ะ

   “อื้มมมม....”

   ผมมองสิบสามที่หน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ “อื้ออออ....” รู้สึกหายใจไม่ทันเมื่อเขาจับหัวผมกดลงให้ส่วนนั้นเข้าไปลึกมากกว่าเดิม

   “ผมจะเสร็จ”

   “อื้ออออ....อ่อกก....แค่กกกกๆ.....” ผมสำลักพร้อมกับถอนปากออกมาเมื่ออีกฝ่ายเสร็จ น้ำรักสีขาวขุ่นเลอะอยู่รอบๆ ขอบปาก ส่วนเรื่องรสชาตินั้น....ไม่ขอพูดถึง

   นังน้อนแตกใส่ปากผมแบบตั้งใจมากเลยอะ

   บอกก่อนว่าจะเสร็จแต่ไม่ยอมเอาออกแถมกดหัวผมมากกว่าเดิมอีก

   “เก่งจังเลยครับ” เสียงอ่อนเอ่ยอย่างเอาใจพลางใช้ปลายนิ้วไล้น้ำรักที่ขอบปากผมแล้วสอดเข้ามาในปาก “ผมพอใจมากเลย”

   ผมจับมือเขาออกก่อนจะโน้มคอแกร่งให้เข้ามาจูบ ต้องไม่ใช่แค่ผมที่จะได้รับรู้รสชาตินั้นน่ะ ผมสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวรัดกับลิ้นร้อนก่อนจะขยับขึ้นมานั่งคร่อมบนตักของสิบสาม ร่างสูงนัวเนียจูบกับผมอยู่อย่างนั้น มือเรียวลูบไล่ไปตั้งแต่ยอดอกแล้วลงต่ำไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงสะโพก เขาบีบเค้นมาจนถึงส่วนบั้นท้าย ผมละจูบออกมาแล้วมองเด็กดื้ออยู่อย่างนั้น จากเสียงลมหายใจที่ได้ยินมันทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังคุกรุ่นมากแค่ไหน

   ตัวผมเองก็ไม่ต่างกัน

   “คุณเสร็จใส่ปากผม”

   “ความจริงอยากใส่หน้ามากกว่าครับแต่ลืมตัว” เขายกยิ้มพลางขบเม้นที่ซอกคอแรงๆ “เอาออกไม่ทัน”

   “สิบสาม” ผมหยิกเขาแรงๆ “คุณนี่เอาใหญ่แล้วนะ ผมเขินจนหน้าร้อนไปหมดแล้ว”

   “พอดูออกอยู่ครับว่าพี่เขิน” นังน้อนจุ๊บปากผม “ขอบคุณนะครับที่ยอมทำให้”

   “ผมทำได้ดีใช่ไหมคุณ”

   “เก่งมากแล้วครับสำหรับครั้งแรก” สิบสามไล่จูบที่ใต้คางก่อนจะดันผมให้ราบไปกับเตียงแล้วขึ้นคร่อมเอาไว้ “บางทีผมก็รู้สึกหงุดหงิดที่ตัวเองเอาแต่ใจเกินไป ผมกลัวจะทำให้พี่ไม่ชอบ”

   “คิดมากเกินไปแล้ว” ผมยกมือขึ้นกุมแก้มนังน้อน “ที่เห็นผมเหมือนบ่นนั่นมันก็เพราะเขินนั่นแหละ ผมก็ประหม่า ถึงเราจะเคยทำเรื่องแบบนี้แต่ผมคงไม่ชินง่ายๆ หรอก ถ้าผมไม่อยากให้คุณทำจริงๆ คุณจะไม่มีทางถอดเสื้อผ้าผมออกได้เลยสิบสาม”

   “ถ้าไม่โอเคต้องบอกกันนะครับ”

   “คุณเองก็ด้วย”

   ผมผงกหัวขึ้นไปจูบเขา ไม่รู้เลยครับว่าสิบสามคิดอะไรแบบนี้ด้วย เหมือนเด็กห้าวที่อยากจะเอาแต่ใจทำโน่นทำนี่แต่สุดท้ายแล้วในใจลึกๆ ก็กลัวจะโดนดุอยู่ดี ผมพอรู้อยู่แหละว่าถ้าตัวเองไม่ยอมทำตามที่เขาขอจริงๆ ถ้าพูดจริงจังหน่อย คนที่ต้องยอมอ่อนให้คือเขาแน่ๆ ถ้าเมื่อกี๊ผมยืนยันที่จะไม่ใช้ปากให้ สุดท้ายแล้วนังน้อนก็คงยอมอยู่ดี อาจจะทำเป็นนอยด์นิดหน่อยแต่ก็คงล้มเลิกความตั้งใจแหละ

   ก็นะ....เขายอมมาตลอดเกือบทุกเรื่อง

   สำหรับผมแล้วเรื่องที่เกี่ยวกับเซ็กซ์หรืออะไรพวกนี้ถ้ามันไม่ได้แปลกมากจนเกินไปหรือทำให้เจ็บตัวจนเลือดตกยางออกมันก็ไม่เท่าไหร่ ยอมกันได้ แต่บางทีต้องยอมรับว่าเออมันเขินไง มันอาย ก็ไม่แปลกที่เราจะแสดงท่าทีอะไรออกมาเพื่อกลบเกลื่อนมัน เอาจริงๆ แค่ได้เห็นสายตาที่แสดงออกถึงความต้องการมากๆ ของสิบสามก็แทบทำผมไปไม่เป็นละ

   เหมือนตอนนี้

   “อื้ม....” ผมละจูบก่อนจะเอียงคอเพื่อให้อีกฝ่ายซุกไซร้ได้ง่ายขึ้น “สายตาคุณ....ทำเหมือนจะกินผมไปทั้งตัว....อ๊ะ” เสียงครางหลุดออกไปเมื่อเขาไล่เลียวนที่ยอดอก

   “น่าจะเป็นพี่มากกว่าที่จะกลืนกินผม”

   เขาเอาอีกแล้ว

   “คุณโดนแน่ๆ แหละ”

   “หวั่นใจไปหมดเลยครับ” ร่างสูงจับผมให้พลิกคว่ำก่อนจะรั้งสะโพกขึ้นสูงแล้วเอาหมอนมาสอดไว้ด้านล่าง ริมฝีปากบางไล่จูบไปตามแนวกระดูกสันหลังจนถึงช่วงสะโพก

   ผมจับส่วนอ่อนไหวของตัวเองขยับไปด้วย หน้าซุกหมอนเมื่อนิ้วเรียวที่เปื้อนเจลไล้อยู่รอบๆ ปากทางรักก่อนจะกดเข้ามาด้านในช้าๆ แล้วขยับเข้าออก ผมไม่รู้สึกเจ็บเท่ากับช่วงแรกๆ แล้วคงเพราะร่างกายน่าจะปรับรับกับมันได้จึ๋งนึง แต่แค่นิ้วนะ ของสิบสามก็จะอีกเรื่อง ด้วยขนาดหรืออะไรก็ตามมันจะทำให้รู้สึกเจ็บทุกครั้งที่มันล่วงล้ำเข้ามาแต่มันก็เจ็บแค่ตอนนั้นแหละ เพราะหลังจากนั้นหัวจะโล่งไปหมด

   สิ่งเดียวที่จะรู้สึกคือความสุขสม

   นิ้วเรียวถูกเพิ่มจำนวนจนถึงสามแล้วค่อยขยับเข้าออก รู้สึกดีทุกครั้งเมื่อมันสอดเข้ามาลึกจนถึงจุดกระสัน เสียววูบวาบไปหมด นังน้อนรังแกผมด้วยนิ้วอยู่ช่วงนึงก่อนจะถอนมันออกไปและแทนด้วยอะไรที่ใหญ่กว่ามากๆ อื้ออออ.....สามนิ้วเมื่อกี๊เทียบไม่ติด ไม่มีทางเทียบติด ผมจิกหมอนระบายความเจ็บพลางเอี้ยวตัวไปมองร่างสูงที่กำลังแทรกกายเข้ามาเรื่อยๆ จนสุด

   ซี๊ดดดด....ลึกเกินไปแล้ว

   สิบสามโน้มตัวมาจูบผมพลางขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ อื้ออออ.....จูบที่อ่อนโยนเหมือนปลอบประโลมให้ความรู้สึกดีทุกครั้งเมื่อถูกส่วนนั้นทำให้เจ็บ นังน้อนไล่ขบไปตามไหล่ ทิ้งรอยรักเอาไว้ตามแบบที่เขาชอบ

   “อ๊ะ....”

   “อื้ม....ดีไหมครับ” ร่างสูงยึดสะโพกผมเอาไว้แล้วเร่งจังหวะขยับเข้าออกให้เร็วขึ้นอีก

   “อื้อออ....ดี.....ตรงนั้น....อื้ม” ผมจิกหมอนระบายความเสียวเมื่อส่วนนั้นปรนเปรอเข้ามาซ้ำๆ “อ๊า....แรงๆ ”

   “อื้มมมม....พี่รัดผมเกินไปแล้วครับ”

   “ก็มัน....อื้ม”

   เสียงเนื้อกระทบกันดังอย่างหยาบโลน ตัวผมสั่นไปตามแรงกระแทกที่สวนเข้ามาจากด้านหลัง อ๊า.....ผมชอบท่านี้มากเลยถึงจะมองเห็นหน้าสิบสามได้ลำบากก็เถอะแต่ยังไงก็ชอบอะ มันลึก มันเป็นองศาที่แบบ....อ๊ะ

   จุกได้มากกว่านี้อีกไหมถามจริงๆ

    “อา....”

   “ผมจะเสร็จ....อื้อออ....” ผมเร่งขยับมือให้เร็วขึ้นเมื่อใกล้ถึงฝั่ง

   “ผมก็เหมือนกัน” เขาเอ่ยเสียงพร่าก่อนจะเร่งขยับเมื่อใกล้เสร็จ “พร้อมกันนะครับพี่เฌอ”

   “อ๊ะ....อื้มม....สิบสาม....”

   “ซี๊ดดดด.....”

   “อ๊ะ.....อื้มมมมมม....แฮ่กกก.....”

   “อืม....พี่เฌอ” นังน้อนถอนกายออกก่อนจะพลิกให้ผมนอนหงายแล้วก้มลงมาจูบ อื้ออออ....ดีจังเลยความหัวโล่งนี้

   “อื้ออออ” ผมละจูบก่อนจะเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาออก “หยิบทิชชู่ให้หน่อย”

   ร่างสูงผละออกไปก่อนจะหยิบทิชชู่ส่งมาให้ผมพร้อมกับถอดถุงยางตัวเองที่สวมอยู่ออกแล้วห่อด้วยทิชชู่อีกที ผมเช็ดมือตัวเองที่เปื้อนน้ำรักก่อนจะเอาหน้ามุดหมอนหนีนังน้อน เขินว่ะ เขินอะไรวะ เนี่ยะ ก็เป็นอย่างนี้ทุกทีเลยอะ

   “เป็นอะไรน่ะครับ” เขาจูบที่ไหล่ผมเบาๆ “เจ็บรึเปล่า”

   “ไม่”

   “อยากเห็นหน้าจังเลยครับ” มือเรียวดึงหมอนที่ปิดหน้าผมออกพลางยิ้มหวานให้จนตาหยี อา.....น่ารักอีกแล้ว ทำไมเวลาหลังจากมีอะไรกัน สิบสามจะดูสดใสขึ้นทุกครั้งเลยวะ

   “วันนี้คุณดาเมจแรงมากเลยอะ” ผมพลิกนอนคว่ำก่อนจะหันมองเขา “ทำผมเขินตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้”

   เขาขยับมานอนคว่ำข้างๆ ผม “ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

   “หน้าผมในตอนนี้ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีเลยไหมล่ะ” ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ก่อนจะกดเข้าไปดูแจ้งเตือนต่างๆ ที่เด้งขึ้นมา

   ตอนนี้เกือบ 5 โมงเย็นแล้ว ก่อนหน้าเราอยู่ด้วยกันที่งานกีฬาสี ดูหลีดฯ จบก็บ่าย 3 กว่าๆ ถึงได้กลับมาแจ๊บๆ กันที่ห้อง หลีดฯ ปีนี้คือดีมาก บันเทิงสุดๆ เลยครับ แล้วช่วงก่อนที่หลีดฯ จะแสดง สิบสามก็โดนขอถ่ายรูปเยอะมากทั้งจากรุ่นพี่รุ่นน้องหรือช่างภาพจากคณะต่างๆ แต่รู้สึกว่ากล้องของน้องหนมจะเป็นกล้องเดียวที่มีภาพตอนสิบสามยิ้ม

   ผมเป็นคนถ่ายเองอะ

   เขาไม่ยิ้มเลยครับไม่ว่าใครจะมาขอถ่ายรูป นังน้อนยอมให้ถ่ายด้วยนะแต่แค่ไม่ยิ้มเท่านั้นเอง ถ่ายคู่ผมก็ไม่ยอมยิ้มเพราะเป็นกล้องคนอื่นไง แต่แบบนี้มันก็สมเป็นเขาดีอะนะ ลุคในสูทสีเขียวนั่นโคตรได้ฟีลเลย ต่อให้หน้าตึงก็ดูมีเสน่ห์ รูปที่เขายิ้มตอนเดินพาเหรดกลางสนามก็มียอดไลก์ ยอดแชร์เพิ่มขึ้นอีกเยอะมากๆ สำหรับกีฬาสีปีนี้ไม่มีใครถูกพูดถึงมากเท่าเขาละจริงๆ

   แฟนผมนี่เลื่องลือขนาดนี้เลยน้า

   “น้องหนมส่งรูปมาให้ด้วย ที่ผมถ่ายคุณน่ะ” ผมเปิดรูปที่น้องหนมส่งในไลน์มาให้สิบสามดู “รูปนี้ยิ้มน่ารักมากเลยนะ”

   “ก็ตั้งใจยิ้มให้คนถ่ายไงครับ”

   ผมหลุดหัวเราะออกมา “เดี๋ยวผมเอารูปนี้ลง”

   “ส่งมาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ เดี๋ยวผมเลือกรูปลงบ้าง”

   “ได้” ผมส่งรูปไปให้เขาในไลน์พลางชะเง้อมองจอโทรศัพท์ “เอารูปที่ผมหล่อๆ อะ”

   “พี่เฌอก็หล่อทุกรูปนะครับ” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะเอียงหัวพิงไหล่ผม “วันนี้ผมเห็นคนขอพี่ถ่ายรูปเต็มเลย นี่ขนาดพี่มีแฟนแล้วนะ ถ้าตอนพี่โสดล่ะก็....คิวน่าจะยาวไปยันหน้ามหา’ลัยน่ะครับ”

   “ไม่ขนาดนั้น ผมเป็นแค่เฌอนะ”

   “เพราะเป็นพี่เฌอนั่นแหละครับ” นังน้อนเลือกรูปก่อนจะนำไปลงเฟซบุ๊กและไอจี ผมมองเขาพิมพ์แคปชั่นประกอบซึ่งยาวผิดปกติ สิบสามมักจะเขียนอะไรสั้นๆ ไม่กี่คำเท่านั้นเองไง

   ผมมองแจ้งเตือนที่ตัวเองติดดาวเอาไว้ รูปที่สิบสามลงทำให้ผมยิ้มออกในทันที มันเป็นรูปที่น้องหนมถ่ายครับ ตอนนั้นผมกับนังน้อนเผลอหันไปมองหน้ากันแล้วหลุดขำ ในมือของสิบสามถือไม้คฑา ก็คือลุคคฑากรเต็มยศ ส่วนผมก็สวมเสื้อช็อป ผมอ่านแคปชั่นที่เขาเขียนและมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจรู้สึกเต้นแรงมากๆ เลย

   

   

   วันที่คัดตัวคฑากร ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็น จนกระทั่งเย็นวันนั้นมีพี่คนนึงบอกกับผมว่า ถ้าผมได้เป็นคฑากรไม้หนึ่งของคณะแพทย์ มันจะต้องเป็นอะไรที่ดีมากแน่ๆ เพราะคำพูดนั้นเลยครับที่ทำให้ผมไปทำเรื่องขอทางคณะว่าจะรับหน้าที่เป็นคฑากรไม้หนึ่งเอง

   ผมเหนื่อยกับช่วงซ้อมมาก มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเยอะแยะเลย แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังตั้งใจที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อที่จะทำให้พี่คนนั้นได้เห็นผมในวันนี้แล้วคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้ มันเป็นไปตามนั้น

   ตอนที่ผมคัดตัวคฑากร....เขายังเป็นแค่รุ่นพี่

   ส่วนในวันนี้.....เขาเป็นมากกว่านั้นแล้วครับ


   

 

   “คุณ....จะทำให้ผมตกหลุมรักอีกกี่ครั้งเหรอสิบสาม”

   “ 2 ครั้งครับ”
เขายิ้มหวานให้ผม “ครั้งแล้ว....กับครั้งเล่า”

   ตึกตัก

   อื้ม....ครั้งแล้วกับครั้งเล่าจริงๆ นั่นแหละ

   “คุณน่ะร้ายกาจมากเลยนะนังน้อน” ผมงับไหล่เขาอย่างมันเขี้ยว “เป็นสิบสามที่ทำให้ผมใจสั่นได้ทุกวันเลย”

   “ดีใช่ไหมล่ะครับ”

   “อืม....ก็จึ๋งนึง”

   สิบสามคว้ามือผมไปกุมเอาไว้ “ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้มีความรู้สึกต่อพี่มากถึงขนาดนี้ นอกจากครอบครัวแล้วผมก็มีพี่เฌอนี่แหละ ที่ตัวเองยอมให้ในหลายๆ อย่างโดยไม่มีเงื่อนไข วันนี้ที่เป็นคฑากรก็เพราะพี่จริงๆ นะครับ”

   “ขอบคุณนะที่ยอมเหนื่อยน่ะ”

   “ถ้าเทียบกับรางวัลที่ได้มาก็ค่อยหายเหนื่อยอยู่นะครับ แต่อาจจะยัง....ไม่พอ”

   เรื่องนั้นก็พอคิดได้อยู่หรอก

   ผมเลื่อนหน้าเข้าไปจูบเขาก่อนจะปล่อยให้ความคุกรุ่นครอบงำอีกครั้ง ผมรักสิบสามมากเลยนะ ไม่เคยเจอใครที่ยอมทำอะไรต่างๆ ให้มากขนาดนี้ นังน้อนทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองพิเศษในชีวิตของเขา ไม่ใช่แค่จึ๋งนึงแต่มันมากมายจริงๆ ทุกวันที่มีเขาอยู่ด้วยผมโคตรมีความสุขเลย เลข 13 อื่นคงเป็นอาถรรพ์....แต่สิบสามนี้

   เขาเป็นความรักครับ

   เป็นรอยยิ้มและเป็นทุกอย่าง

   ดีจริงๆ ที่เราได้เจอกัน









TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้ว ก็เขินอีกแล้วนะคะตอนนี้ Nc ถ้ายังแปร่งๆ ต้องขออภัยด้วยนะคะ ชอบคำพูดหลายอย่างในบทนี้มาก หวังว่าบี๋จะชอบเหมือนกันนะคะ

บทหน้าก็จบแล้วนะ พรุ่งนี้ชาลต้องไปงานรับปริญญาของรุ่นพี่ ส่วนวันจันทร์จะเริ่มฝึกงานวันแรก ก็เป็นกำลังใจให้ผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ด้วยนะคะ อีกนิดเดียวจะเรียนจบแล้ว ชาลจะได้มีเวลากับนิยายได้เต็มที่สักที บทจบถ้าทันพรุ่งนี้ก็ลงพรุ่งนี้แต่ถ้าไม่ทันก็อาจจะวันจันทร์ค่ะ

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-02-2020 00:55:33 โดย chaleeisis »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ใกล้จะจบละหรอเนี่ย :heaven

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
รู้สึกดีมากเลย อ่านไปยิ้มไป,,,

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
บทส่งท้าย



   1 ปีต่อมา

   .

   .


   รูปนี้เอาแขวนไว้ตรงไหนดีนะ

   ตรงนี้ก็แล้วกัน

   ผมปีนขึ้นเก้าอี้เพื่อเอารูปถ่ายวันรับปริญญาติดเอาไว้ที่พนังบ้านใกล้ๆ กับรูปของแม่ ไงล่ะ คุณชุตินันท์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเรียนจบแล้วนะครับ ตอนนี้ก็มีงานทำแล้วด้วย ไม่ต้องเป็นห่วงเฌอแล้วนะ พอติดรูปเสร็จผมก็เอารูปที่ถ่ายกับเหล่าสหายแก๊งค์ปลาทองตั้งเรียงเอาไว้เป็นแนวยาว มีตั้งแต่รูปที่ทำหน้าดีดียันทำหน้าเหมือนส้นตีนเลย ถ่ายรูปรับปริญญาทั้งทีดูทำหน้าทำตาเข้า

   พวกสะเหล่อ

   ตอนนี้เกือบบ่าย 2 แล้วครับ ผมอยู่ที่บ้านของแม่ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นบ้านผมนั่นแหละ ผมอยู่ที่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เกิด เข้ามหา’ลัยถึงได้ย้ายไปอยู่ที่หอ ส่วนบ้านหลังนี้ก็มีแม่บ้านเข้ามาดูแลทำความสะอาดตลอด พอเรียนจบผมก็เลยคิดว่าจะกลับมาอยู่ที่บ้าน มันไม่ค่อยไกลจากโรงงานของป๊าที่ผมต้องไปทำงานด้วยแหละ ก็ถือว่าสะดวกหน่อย ตอนที่เรียนจบผมได้เวลามาใช้ชีวิตอยู่หลายเดือน แต่ตอนนี้มันถึงเวลาที่ต้องจริงจังกับชีวิตของการทำงานแล้วล่ะ

   เวลาผ่านไปไวเหมือนกันนะ

   ผมไล่มองรูปถ่ายที่ตัวเองเอามาตั้ง ช่วงเวลาของชีวิตมหา’ลัยของผมจบลงไปแล้ว มีความทรงจำดีดีเกิดขึ้นเยอะแยะเลยครับในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องเพื่อนหรือแม้กระทั่งคนรัก ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ผมกับสิบสามก็คบกันมาได้ปีกว่าแล้วล่ะ ตอนนี้เขากำลังจะเป็นนักศึกษาแพทย์ฯ ปี 4 ซึ่งเจ้าตัวจะต้องออกไปผจญภัยเจอกับผู้ป่วยจริงๆ แล้ว หวั่นใจอยู่เหมือนกันนะกับเรื่องนี้น่ะ

   เขาต้องเหนื่อยมากแน่ๆ

   นังน้อนบอกว่า 3 ปีแรกยังไม่เท่าไหร่ แต่ 3 ปีหลังคือของจริง เขาได้แต่พร่ำบอกว่าถ้าตัวเองไม่มีเวลาให้ ก็อย่าเพิ่งนอยด์กัน สิบสามกังวลเรื่องนี้มากเลยนะ แทบทุกครั้งที่เราพูดถึงเรื่องเรียน เขาจะบอกแบบนี้เสมอเลย ส่วนผมก็จะให้คำตอบเหมือนเดิมซ้ำๆ เพื่อย้ำว่าผมเข้าใจ และก็จะอดทนให้มากๆ เพราะรู้ว่าตัวเขาก็อดทนเหมือนกัน มีแฟนเป็นหมอก็ต้องเข้าใจและเตรียมใจยอมรับอยู่แล้วกับเรื่องแบบนี้

   ผมไม่อยากให้เขาต้องเป็นกังวลเลย

   อยากให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

   “เฌอ” ร่างสูงของเพื่อนรักเดินลงมาจากชั้น 2 ของบ้าน “กูเปลี่ยนหลอดไฟที่ห้องเล็กให้แล้วนะ”

   “เออ ขอบใจมากนะมึง แล้วพวกไอ้ขันจะมากี่โมงวะ”

   “ไม่รู้ว่ะ ก็คงเย็นๆ ล่ะมั้ง หลังจากที่มึงไปรับน้องหมอแล้ว” ไอ้แช่มบอกก่อนจะเดินมายืนดูรูปที่ผมเพิ่งจัด “รูปนี้กูหล่อจริงๆ เลยนะ”

   “คำพูดคำจาโคตรสะเหล่อเลย” ผมเบ้ปากใส่มัน เวลาเปลี่ยนแต่ความมั่นหน้าไม่มีเปลี่ยนเลยนะค้าบเพื่อนค้าบ

   “ผมพูดความจริงทั้งนั้นอะครับเพื่อนเฌอ เออ กูมีบางอย่างอยากจะให้มึงดูด้วย” เจ้าตัวบอกก่อนจะเดินไปหยิบของในกระเป๋ามาให้ผมดู

   “การ์ดเหรอ” ผมมองการ์ดสีฟ้าที่อยู่ในมือพร้อมกับอ่านรายละเอียดข้อมูลต่างๆ มันคือการ์ดแต่งงานครับ สำหรับชื่อของคนที่เขียนอยู่ด้านในก็คือ ชริตกับชนัศชัย

   ไอ้แช่มกับไอ้หอม

   “กูแอบไปทำมา”

   “ได้ขอลูกเขารึยังเนี่ยะ มัวนิ่มไปพิมพ์การ์ดมาเองเดี๋ยวพ่อเขาจะแหกอกเอาหน่า”

   “กูคุยเรื่องนี้กับครอบครัวน้องหอมแล้วเถอะ อีกอย่างก็สัญญากันเอาไว้ตั้งแต่ก่อนทุบบ้านโน่น ตอนนี้บ้านกูสร้างเสร็จแล้ว น้องหอมเองก็เรียนจบแล้ว พอรับปริญญาเสร็จก็จะแต่งงานไง”

   “อีกค่อนปีแต่มึงพิมพ์การ์ดแล้ว”

   “เวลามันผ่านไปไวนะ ว่าแต่มึงเถอะ ไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้บ้างรึไง”

   ผมส่ายหัวรัวๆ “กูจะมาคิดอะไรล่ะ แฟนกูเพิ่งขึ้นปี 4 อีก 3 ปีโน่นกว่าจะเรียนจบ คือแต่งงานมันก็ดีอะนะมึง แต่ไม่แต่งมันก็ไม่เป็นไรเหมือนกันอะ ไม่รู้ดิ ถ้าถามว่ากูอยากแต่งไหมก็คงไม่แหละ ส่วนสิบสาม....ถ้าถามเขา เขาก็จะต้องบอกว่าแล้วแต่กู”

   “รู้ใจกันขนาดนั้น”

   “เออดิ เป็นแฟนกันหนิ” ผมเดินไปหยิบของขวัญที่เตรียมไว้ให้นังน้อน “มึงว่าเขาจะชอบไหม”

   “คงชอบแหละ ใหญ่ชิบหาย ใช้กันแดดกันฝนได้อะ”

   “กูก็ว่างั้น”

   ของขวัญที่อยู่ในมือผมคือดอกทานตะวันปลอมขนาดใหญ่มาก ตัวดอกบานสามารถใช้แทนร่มได้ ส่วนก้านสีเขียวยาวๆ นี่ก็เอาฟาดหัวไอ้แช่มได้เหมือนกัน คืองี้ครับ วันนี้เป็นวันพิเศษที่ทั้งผมและนังน้อนรอมาตั้งแต่ตอนที่คบกันวันแรกๆ เหมือนกันนะ วันนี้เป็นวันที่นักศึกษาแพทย์ฯ ชั้นปีที่ 4 จะรับกาวน์กัน นังน้อนของผมจะมีเสื้อกาวน์สวมเป็นฟีลคุณหมอแล้ว ผมว่านะ....เจ้าเด็กยักษ์นั่นต้องเป็นคุณหมอที่หน้าตึงมากกว่าใครในโลกแน่ๆ

   พอนึกหน้าเขาออกเลย

   นอกจากวันนี้จะเป็นวันที่สิบสามรับกาวน์แล้วก็ยังเป็นวันเกิดของทะเลเพื่อนรักด้วยครับ เหล่าสหายแก๊งค์ปลาทองก็เลยตกลงกันว่าจะมาเปิดตี้ที่บ้านผม เฌอคนนี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้วเพราะของกินทั้งหมดนั่นพวกเพื่อนๆ เป็นคนซื้อ ตอนนี้ไอ้ขันกับไอ้หมีกำลังมาจากสระบุรี พวกมันน่าจะแวะซื้อของเข้ามานั่นแหละ

   เวลาผ่านไป....ทุกคนก็ต่างใช้ชีวิตไปในทางของตัวเอง

   ไอ้ขันย้ายไปอยู่ที่สระบุรีกับไอ้หมีครับ มันช่วยงานพี่แขดูแลกิจการโรงแรมที่นั่น จันทร์ฉายช่วยงานพี่เจ้าที่ร้าน มีแพลนอาจจะเพิ่มสาขาสองโดยใช้ชื่อร้านว่าจันทร์ฉาย ส่วนทะเลก็ทำงานที่บริษัทของพ่อตัวเองแล้วก็รักเมียหลงเมียมากขึ้นทุกวันจนน่ารำคาญ แล้วเวลามันเอาเมียตัวเองมาขิง ไอ้พวกคนมีเมียก็จะงัดเมียมาขิงเหมือนกัน เฌอซึ่งไม่มีเมียอยู่หนึ่งเดียวในกลุ่มก็คือประสาทจะแดก เวลาผมด่าก็ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาหรอกไอ้พวกเวรนี่

   จิ๊....หงุดหงิดเฉยเลยว่ะ

   คนสุดท้ายลืมไม่ได้เลยครับก็คือแช่มเพื่อนรัก ชริตเป็ดกลับไปดูแลสวนยางที่บ้านแล้วก็ทำตามความตั้งใจต่างๆ อย่างเรื่องสร้างบ้านใหม่และก็เรื่องที่จะแต่งงาน มันเป็นคนแรกเลยล่ะที่แต่งงานเนี่ยะ ดีไม่ดีอาจจะเป็นคนเดียวที่มีงานแต่งให้ได้เห็นด้วย ผมไม่รู้ว่าไอ้พวกที่เหลือคิดจะแต่งงานบ้างรึเปล่า แต่เรื่องบวชน่าจะไวไวนี้แหละ มันก็ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วนะ เดี๋ยวผมต้องเตรียมตัวไว้เต้นหน้านาคสิเนี่ยะ

   ทุกคนจะได้รู้จักเฌอเท้าไฟ

   “แล้วนี่มึงจะไปกี่โมง”

   “เนี่ยะ เดี๋ยวก็ไปละ ฝากบ้านด้วยละกัน อย่าซนให้มาก”

   “เดี๋ยวกูจะเผาบ้านมึงทิ้ง” เจ้าตัวเบ้ปากใส่ผม

   “ห้ามเผาสินี่บ้านแม่กู” ผมตีไหล่มัน “พี่ไม่อยู่แป๊บนึง น้องแช่มไม่ต้องเหงานะครับ”

   “แฟนกูขับรถมาถึงมาหน้าปากซอยละ มึงเถอะ จะไปไหนก็ไป” ชริตเป็ดเอ่ยปากไล่ เออใช่ซี้ กูมันเฌอไงไม่ใช่ข้าวหอมนี่ จำไว้เลยนะไอ้เวร ความหงุดหงิดใจนี้กูจะเอาคืน

   “ดูบ้านดีดีด้วยละกัน” ผมบอกก่อนจะหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกมาจากบ้าน ได้เวลาไปหานังน้อนแล้วครับ ป่านนี้คงใกล้เสร็จพิธีของเขาแล้วล่ะ

   คุณพ่อคุณแม่ของสิบสามไม่ได้มาร่วมแสดงความยินดีนะครับเพราะว่าไปต่างประเทศ ส่วนพี่ๆ ก็ติดงานแต่ว่าโทรมาหาตั้งแต่ตอนเช้าแล้วล่ะ นังน้อนเขาก็ไม่ได้งอแงนะ เข้าใจนั่นแหละว่าทุกคนไม่ว่าง เขาบอกว่าพิธีรับกาวน์ก็เป็นแค่อีกหนึ่งก้าวเท่านั้น ยังไม่ถือว่าถึงฝั่งที่เขาตั้งใจ ไว้มาแสดงความยินดีในวันที่เขาประสบความสำเร็จจริงๆ ก็ได้

   คำพูดคือมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจึ๋งนึง

   ตอนแรกผมกะว่าจะซื้อตุ๊กตากีกี้ลาล่าให้เขา แต่สิบสามก็มีตุ๊กตาเยอะมากอยู่แล้ว เพราะแบบนั้นของขวัญที่ผมซื้อก็เลยเป็นดอกทานตะวันปลอมแทน มันตลกครับไม่มีอะไร อีกอย่างนังน้อนแพ้เกสรดอกไม้ ถ้าซื้อดอกไม้สดมาให้ เขาต้องตายก่อนจะได้เป็นหมอแน่ๆ จะว่าไปถ้าเขาออกมาเจอผู้คนด้านนอกน่าจะเสี่ยงต่อการแพ้อยู่นะ ครอบครัวอื่นต้องมีแน่ๆ ที่ซื้อดอกไม้ไปแสดงความยินดีให้เหล่าว่าที่คุณหมอน่ะ

   เจ้าเด็กยักษ์จะเป็นอะไรไหมเนี่ย

   อาการแพ้อาจจะมีบ้างครับแต่เมื่อเช้าก็ให้กินยาไปแล้ว มันก็อาจจะไม่เท่าไหร่ แต่เชื่อเถอะว่าสิบสามคงไม่อยู่ตรงนั้นนานหรอก ผมขับรถเข้ามาในมหา’ลัยก่อนจะเอาไปจอดไว้ที่ตึกคณะวิศวะฯ มือหยิบดอกทานตะวันยักษ์แล้วมุ่งหน้าไปที่ตึกแพทย์ฯ ด้านหน้าตึกมีว่าที่คุณหมอที่สวมกาวน์ยืนอยู่เต็มไปหมดเลยครับ พิธีคงเสร็จแล้วสินะ ผมกวาดสายตามองหาร่างสูงแต่ก็ไม่เจอ

   ไปอยู่ไหนของเขาวะ

   “สวัสดีค่ะพี่เฌอ”

   เสียงหวานทำให้ผมหันไปมอง “อ่าวน้องลินิน....พี่ยินดีด้วยนะครับ”

   “ขอบคุณค่ะ พี่เฌอหาสามอยู่เหรอคะ”

   “ใช่ครับ แต่พี่หาเขาไม่เจออะ น้องลินินเห็นสิบสามบ้างไหม”

   “น่าจะอยู่ที่ลานเกียร์ค่ะเพราะตรงนี้ช่อดอกไม้เยอะมาก ถ้าอยู่ตรงลานเกียร์ อากาศจะถ่ายเทได้ดีกว่า พี่เฌอลองไปดูที่นั่นนะคะ”

   “โอเคเลย ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มหวานให้เธอก่อนจะเดินออกจากโซนหน้าตึกแล้วไปที่ลานเกียร์แทน

   ร่างสูงนั่งอยู่ที่ม้านั่งพลางเล่นโทรศัพท์อยู่ สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดใดออกมาเหมือนเคย ผมยืนมองนังน้อนอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเขาแล้วส่งเข้าไปในไลน์ของเจ้าตัว ใบหน้าหล่อเงยหน้าขึ้นมามองหาผมแล้วชะงักอยู่อย่างนั้นเมื่อเห็นดอกทานตะวันปลอมในมือ สาเหตุของอาการตาโตนั้นคือตกใจที่ดอกทานตะวันใหญ่มาก ต่อมาก็คงประมวลผลอยู่ว่าของจริงหรือของปลอม

   โคตรน่ารักเลยว่ะ

   ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะยื่นดอกทานตะวันให้ “ยินดีด้วยนะครับว่าที่คุณหมอ”

   “ขอบคุณนะครับ” สิบสามยิ้มแป้นออกมาก่อนจะรับดอกทานตะวันไป “ผมตกใจมากเลยตอนที่เห็นน่ะ นึกว่าของจริง”

   “ถ้าเป็นของจริงแล้วจะยังไงหืม....”

   “ถ้าเป็นของจริงก็จะกอดไม่ได้ไงครับ” นังน้อนลุกขึ้นก่อนจะสวมกอดผม “ครึ่งทางแล้วครับพี่เฌอ”

   “เก่งมากนังน้อน” ผมลูบหัวเขาเบาๆ ก่อนจะละกอดออกแล้วมองเสื้อกาวน์ที่ถูกสวมอยู่บนตัวเขา “ถึงวันนี้สักทีนะ ความรู้สึกเหมือนผมเพิ่งบอกคุณเมื่อวานเองว่าจะรอวันที่คุณได้รับกาวน์ ทีนี้ผมก็จะรอดูวันที่คุณได้เป็นหมอสินะ”

   “ใช่ครับ อีกไม่นานหรอก รอหน่อยนะครับ”

   “รอได้เสมอนั่นแหละ” ผมเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาก่อนจะกุมแก้มเจ้าตัวเอาไว้ “บอกแล้วไงว่าจะอยู่กับคุณไปจนแก่น่ะ”

   “ผมจะดูแลพี่เองครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”

   “คุณได้ดูแลผมแน่ๆ ล่ะ เป็นไง....ชอบไหมของที่ผมซื้อให้”

   “ทำไมเป็นดอกทานตะวันล่ะครับ”

   “ตลกดีอะ ก็เลยซื้อมา”

   สิบสามยกดอกทานตะวันมาไว้ด้านข้างหน้าผม “ผมนึกว่าพี่จะเป็นคนโรแมนติกมากกว่านี้ซะอีก”

   “หนิ เป็นแฟนกันมาปีกว่า คุณน่าจะรู้ไหมว่าผมไม่ใช่คนโรแมนติกอะ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอัดคลิปลงสตอรี่ไอจี “แต่ผมรู้นะว่าทานตะวันมีความหมายว่ายังไง คุณรู้ไหม”

   “ไม่ครับ ผมไม่สนใจดอกไม้อยู่แล้ว”

   “ความหมายของดอกทานตะวันก็คือ....ความรักที่ผมมีให้คุณมันจะมั่นคงและไม่เปลี่ยนแปลง”

   รอยยิ้มสดใสเผยออกมาพร้อมกับแก้มที่ขึ้นแดงระเรื่อ อาการแบบนี้ก็คือเขินนั่นแหละ เชื่อไหมครับว่าระหว่างเราตั้งแต่ตอนที่เพิ่งรู้จักจนถึงตอนนี้ แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย สิบสามยังคงเป็นสิบสาม เป็นคนเดิมที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขเสมอเวลาที่ได้อยู่ด้วย ได้เจอกันครั้งแรกตอนที่เขาอยู่ปี 2 แล้วดูตอนนี้สิ เขาขึ้นปี 4 แล้ว รับกาวน์และกำลังจะได้ปฏิบัติหน้าที่เหมือนคุณหมอจริงๆ วันนึงข้างหน้าเขาก็จะคุณหมออย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้

   จนถึงตอนนั้นผมก็หวังว่าเราจะมีกันและกันแบบนี้

   ไม่สิ....ไม่ใช่แค่หวัง

   แต่ตอนนั้นเราต้องมีกันและกันแบบนี้แหละ

   ชอบนะครับ ความรู้สึกที่ได้เป็นส่วนนึงในช่วงเวลาของชีวิตใครสักคนน่ะ จะดีจะร้ายสุดท้ายทุกอย่างก็จะเป็นความทรงจำ ชีวิตช่วงมหา’ลัยของผมมันจบลงไปแล้วโดยสมบูรณ์ แต่ของสิบสามมันยังเหลืออีกครึ่งทาง และมันจะเป็นครึ่งทางที่ผมร่วมเดินไปพร้อมกับเขา ปัญหาและอุปสรรคอะไรที่อาจจะเข้ามา ผมจะช่วยเหลือเขาทุกอย่างเพื่อให้ผ่านมันไปได้ ผมจะเป็นทีมซัพพอร์ตให้นังน้อนไปจนกว่าเขาจะเรียนจบ

   หลังจากนั้นก็คงใช่ด้วยนั่นแหละ

   “พี่เฌอครับ”

   “หืม....”

   “วันที่ผมรับปริญญา....พี่ก็ต้องอยู่ตรงนี้ด้วยนะครับ”

   เรื่องนั้น....

   “มันแน่นอนอยู่แล้วล่ะคุณ”

   

***

   
-------- 50% --------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบทส่งท้าย ---------



   “ชนแก้วฉลองวันเกิดให้เพื่อนเลแล้วก็น้องหมอที่รับกาวน์หน่อยเร็ว”

   “เอ้า ช้นนนน!!!!”

   เพล้งงงง

   อื้ม....แก้วเกือบแตกคามือแล้ว

   เกินไปมากๆ เลยไอ้พวกนี้

   ผมยกเบียร์ขึ้นจิบพลางยัดกุ้งเผาเข้าปาก ตอนนี้เกือบ 3 ทุ่มแล้ว เหล่าแก๊งค์ปลาทองกำลังสังสรรค์กันอย่างหัวจะปวดครับ เสียงดังชิบหาย ดีนะบ้านผมอยู่ด้านในสุดของหมู่บ้านแล้วบ้านข้างๆ เขาไปต่างจังหวัดพอดี ไม่งั้นต้องมีปะทะกันบ้างแหละที่เสียงดังขนาดนี้ ผมนั่งมองเพื่อนๆ เล่นเกมหมุนขวดกัน ปากขวดโดนใครก็จัดไปเลยโซจูหนึ่งชอต และตอนนี้ปากขวดก็หยุดอยู่ตรงหน้าเฌอ

   ขอบใจมากๆ เลยนะไอ้เวรแช่ม

   “เอาไปเลย ของเฌอเพื่อนรักต้องผสมเบียร์”

   “ไม่ต้องเลยมึง” ผมแย่งแก้วโซจูมากระดกได้ทันก่อนที่ชริตเป็ดจะใส่เบียร์ลงไปเพิ่ม อยากทำให้ผมเมาแล้วหัวทิ่มพุ่มไม้ไง เสียใจด้วยเถอะครับ ไม่หลงกลง่ายๆ หรอก

   “นี่กุ้งครับ” นังน้อนส่งจานใส่กุ้งที่แกะเปลือกแล้วมาให้กลางวง

   “คุณแกะกุ้งเก่งมากเลยนะสิบสาม” ไอ้หมีบอกก่อนจะหยิบกุ้งเข้าปาก “ทำไมทำหน้าแบบนั้นอะพี่ขัน”

   “หึ....”

   เอาละ....สัญญาณบ้านแตก

   “มึงจะโหดไปไหนวะเนี่ย” จันทร์ฉายโขกหัวไอ้คนโฉด สมน้ำหน้ามัน หึงเมียออกนอกหน้าดีนัก

   “กูเจ็บนะ”

   “ก็โขกให้เจ็บเนี่ยะ แหมๆ ๆ ๆ ไอ้หมีนี่ชมคนอื่นนิดนึงไม่ได้เลย”

   “ถ้าเมียมึงชมคนอื่นล่ะ”

   “กูก็เตะดิ” พอเพื่อนฉายเอ่ยแบบนั้นผมก็เหลือบไปมองน้องไผ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ มันทันที ใบหน้าหวานเลิกคิ้วมองนิ่งๆ

   “พี่จะเตะไผ่เหรอ”

   “ใครจะกล้าล่ะครับ”

   เห้อะ....ไอ้พวกกลัวเมีย

   ดีนะที่เฌอไม่มีเมียเลยไม่ต้องกลัว

   ผมลุกออกจากวงเหล้าก่อนจะมาช่วยสิบสามปิ้งโน่นย่างนี่ เขาไม่ได้ร่วมวงกินเหล้ากับพวกเราไง แต่วันนี้นังน้อนจิบเบียร์ด้วยนะครับ นานๆ ทีกินจึ๋งนึงประมาณนั้น แต่ส่วนมากเขาจะย่างของให้พวกเรากินมากกว่า ไม่ใช่แค่อย่างอย่างเดียว เขาแกะให้กินแบบเสร็จสรรพ ผมหยิบเนื้อชิ้นใหญ่มาย่างบนตะแกรงก่อนจะวางพริกหวานโปะๆ ลงไป มือเรียวยื่นกรรเชียงปูมาจ่อที่ปาก ผมอ้าปากงับก่อนจะเคี้ยวแก้มตุ่ย

   “อร่อยไหมครับ”

   “อื้อ” ผมหยิบกุ้งไปป้อนเขาบ้าง “คุณรำคาญพวกมันไหมที่เสียงดัง”

   “นานๆ ทีก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมชอบเวลาเห็นพวกพี่อยู่ด้วยกันนะ ดูสนุก ดูเป็นมิตรภาพดี”

   “ตอนนี้คุณก็มีเพื่อนแล้วนะ”

   “ก็เหมือนเดิมแหละครับ ไม่ได้ต่างจากตอนแรกนักหรอก จะให้สนิทถึงขั้นพวกพี่คงยาก”

   “ไม่เป็นไรนะนังน้อน เดี๋ยวผมจะเป็นเพื่อนให้คุณเอง”

   “ไม่เอาครับ พี่เป็นแฟนผมน่ะดีแล้ว”

   “คุณนี่....” ผมทำหน้ามุ่ยใส่เขา “ผมถามจริงๆ นะสิบสาม เวลาอยู่ที่มหา’ลัย คุณไม่รู้สึกเหงาบ้างเหรอ”

   “พอพี่เรียนจบไปก็รู้สึกอยู่นะครับแต่ก็ไม่เท่าไหร่เพราะว่าถ้าเลิกเรียน ผมก็จะได้เจอพี่อยู่ดี”

   “ทำไมติดแฟนจังหืม....”

   “แฟนผมเขาเป็นคนมีเสน่ห์น่ะครับ หน้าตาก็ดี อัธยาศัยก็ดี ผู้หญิงเนี่ยะชอบมาก ยิ่งตอนนี้เรียนจบไปแล้วอีก ไปอยู่ในสังคมที่เจอผู้คนเยอะแยะ ผมก็หวั่นใจอยู่ทุกวันว่าจะมีใครมาทำให้เขาหัวใจเต้นแรงได้มากกว่าผมรึเปล่า”

   ผมหลุดหัวเราะออกไปทันที “ไม่มีหรอก เพราะว่าแฟนคุณน่ะนะ เป็นคนที่รักใครก็จะรักจริงมากๆ คิดแต่เรื่องของอนาคตที่จะได้ทำร่วมกัน ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาในชีวิตของเขา คนพวกนั้นก็ทำได้แค่เข้ามา ส่วนคนที่เขาเลือกจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย ผมว่าคุณก็น่าจะรู้แล้วนะว่าเป็นใคร”

   “ใครเหรอครับ”

   “อย่ามาทำเป็นไม่รู้ไปหน่อยเลยเดี๋ยวจะโดน” ผมงับไหล่เขาทีนึงเหมือนลงโทษก่อนจะเอาจานเนื้อไปให้เพื่อนๆ พร้อมกับรินเบียร์เพิ่ม

   พวกเราสังสรรค์กันไปอีกพักใหญ่พลางนั่งล้อมเล่าเรื่องเก่าๆ ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงมหา’ลัย เรื่องราวที่เป็นประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดี เรื่องตลกไปจนถึงเรื่องเศร้า เรื่องของความรักที่กว่าจะได้มันมา ทุกคนเคยผ่านความเสียใจ ความเจ็บปวดกันมาทั้งนั้น ตอนนี้เรื่องเหล่านั้นกลายเป็นอดีตไปแล้ว มันจริงเลยนะกับคำที่เขาบอกว่าเรื่องบางอย่างที่เราเคยเสียใจให้กับมันมากๆ พอเวลาผ่านไป เราจะสามารถย้อนกลับมาเล่าถึงมันพร้อมกับเสียงหัวเราะได้

   ก็นะ....มันผ่านไปแล้วหนิ

   การไม่จมอยู่กับอดีตมันจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นจึ๋งนึงนะครับ

   ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่ดูแจ้งเตือน มีคนถ่ายรูปตอนที่ผมให้ดอกทานตะวันกับสิบสามด้วยว่ะ แอบถ่ายตอนไหนวะเนี่ย คนที่เขายังติดตามผมกับนังน้อนก็คือยังคงติดตามอยู่แบบนั้นเลยนะ นี่จะตามกันไปจนแก่เลยไหม ดีครับดี เราจะแก่ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ

   อยู่ตามกันไปอีกสัก 60 ปี

   เวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืนกว่าๆ วงปาร์ตี้ของเราก็แยกย้ายไปพักผ่อน พวกมันนอนค้างที่บ้านผมนี่แหละ ดีนะว่าบ้านนี้มีห้องนอนหลายห้องอยู่ ตอนนี้ผมกับสิบสามกำลังช่วยกันเก็บของล้างและทำความสะอาดตรงหน้าบ้านที่เราเปิดตี้กัน วันนี้ผมดื่มไม่เยอะนะ ถ้าเป็นสมัยก่อนคือเฌอต้องเมาเหมือนน้องหมาก่อนใครเพื่อน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เมื่อก่อนไง ผมดื่มเหล้าน้อยลงและก็เพิ่งเลิกบุหรี่ได้มาประมาณเดือนกว่าละ

   ใช้เวลานานเหมือนกันนะกว่าจะหยุดได้จริงๆ

   ผมดีใจที่ตัวเองเลิกสูบบุหรี่ได้ ปัจจัยที่ทำให้คิดเลิกแบบจริงๆ จังๆ ก็คงเป็นนังน้อนนี่แหละ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีนะครับ สิบสามก็ดูชอบใจอยู่ที่ผมเลิกสูบบุหรี่ เขาบอกว่าเวลาจูบกันจะได้ไม่มีกลิ่นบุหรี่ติดมา

   ดูการให้เหตุผลสิ

   หลังจากเก็บของในครัวเสร็จผมก็ปิดบ้านก่อนจะขึ้นไปที่ห้องนอนตัวเอง เห็นร่างสูงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมระเบียง พอเห็นแบบนั้นผมจึงเดินไปนั่งลงข้างๆ เขา ลมเย็นๆ ที่เข้ากระทบผิวให้ความรู้สึกดีจริงๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่านะ แต่เหมือนวันนี้ฟ้าจะเปิดแฮะ ทำให้เห็นดาวได้มากกว่าทุกวันเลย

   สวยจัง

   “ไม่อาบน้ำนอนเหรอคุณ”

   “อยากอยู่ตรงนี้สักพักน่ะครับ วันนี้ดาวสวยมากเลยนะ” นังน้อนเหลือบมองผม “อยู่ดีดีผมก็มานั่งคิดว่าเวลามันผ่านไปเร็วจัง มันเหมือนกับผมเพิ่งได้เจอพี่ไม่กี่วันก่อนเอง แต่ความจริงมันผ่านมาจะ 2 ปีแล้ว”

   “ผมก็คิดแบบนี้นะตอนที่จัดรูปบนตู้น่ะ เหมือนเมื่อวานยังเป็นแค่เด็กปี 1 อยู่เลย ทั้งๆ ที่ความจริงก็เรียนจบแล้ว เข้าสู่วัยทำงานและต้องรับผิดชอบในอะไรหลายๆ อย่าง”

   “พี่เฌอคิดว่าในช่วงมหา’ลัย ตัวเองใช้ชีวิตคุ้มไหมครับ”

   “คุ้มยิ่งกว่าคุ้มอีกคุณ บางทีก็คิดว่าเกินไปป้ะวะ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงานหรือการทำกิจกรรม ผมว่าตัวเองได้ทำแทบทุกอย่างเลยอะยกเว้นเป็นเดือนคณะอย่างเดียว”

   “นี่ขนาดไม่ได้เป็นเดือนนะครับ พี่ยังเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนขนาดนี้”

   “ก็ผมหล่ออะคุณ” ผมยักคิ้วให้เขาทีนึงก่อนเสยผมตัวเอง “ผมเองก็ลำบากใจเหมือนกันนั่นแหละ”

   “ฮอตจังเลยนะครับ”

   “ก็จึ๋งนึง แต่คุณเชื่อป้ะว่าถึงผมจะเป็นที่ชื่นชอบและนิยมมากขนาดไหน สุดท้ายแล้วคนที่ผมเลือก....คนที่ผมรู้สึกรักก็มักจะทิ้งผมไปเสมอ ไม่เข้าใจเหมือนกัน ที่สำคัญมันจะต้องเชื่อมโยงกับเลข 13 ตลอด นั่นเป็นเรื่องที่ผมไม่เข้าใจจริงๆ ”

   “เพราะคนพวกนั้นคงไม่ใช่มั้งครับ อาถรรพ์เลข 13 ของพี่คงทำหน้าที่ของมันเพื่อรอวันให้พี่ได้เจอกับคนที่ใช่และจะเป็นรักสุดท้ายจริงๆ ”

   ผมหันมองเขา “คุณจะพูดว่าคนที่ใช่และรักสุดท้ายของผม....เป็นคุณอะดิ”

   “ก็ผมคือคนที่อาถรรพ์ของพี่ทำอะไรไม่ได้....จริงไหมล่ะครับ”


   ร่างสูงเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะกดจูบลงอย่างแผ่วเบา มันเป็นสัมผัสที่คุ้นเคยและทำให้ใจฟูได้ทุกครั้ง ถึงจะเป็นการจูบที่ไม่มีการล่วงล้ำแต่มันกลับสื่อความรู้สึกได้มากมาย ผมอยากรู้มาตลอดว่าคนแบบไหนที่จะหยุดอาถรรพ์เลข 13 ได้ คนแบบไหนที่จะเข้ามาเป็นความรักที่จะไม่จากไป และตอนนี้ก็ได้รู้แล้วครับว่าคนๆ นั้นเป็นใคร

   เขาเป็นผู้ชายที่ผมเจอในวันที่ 13

   และเขาก็ชื่อว่า....สิบสาม

   ผมละจูบออกมาก่อนจะจุ๊บเหม่งเขาแล้วขยับเข้าไปนั่งพิง “คุณรู้ไหมว่าเรื่องของเรา ถ้าย้อนกลับไปเล่าแม่งโคตรตลกเลย ผมยังจำเรื่องในวันนั้นได้ดีเลยนะ ถึงมันจะผ่านมานานแล้วก็เถอะ”

   “ผมก็จำเรื่องวันนั้นได้เหมือนกันครับ ความรู้สึกของการตกหลุมรักใครสักคน ยังไง....ผมก็ไม่มีวันลืม”

   ตึกตัก

   นังน้อนนี่มัน....

   “คุณตกหลุมรักคนเมาได้ไง” เหมือนน้องหมาด้วยนะวันนั้นแถมยังอ้วกอีก สภาพโคตรดูไม่จืด

   “เพราะคนเมาคนนั้นคือพี่ต่างหาก ผมหัวใจเต้นแรงมากเลยนะที่พี่มาหาอีกทีตอนเย็นน่ะ ไหนจะได้กินข้าวด้วยกันอีก”

   “ถ้าคุณไม่บอกคือผมจะไม่รู้เลยนะ วันนั้นหน้าคุณโคตรไร้ความรู้สึกเลย ขนาดแนะนำตัวยังไม่ยิ้มเลยสักนิด”

   “ทำตัวไม่ถูกนี่ครับ อยู่ต่อหน้าคนที่ตัวเองชอบ ก็ต้องเก๊กเป็นธรรมดา”

   ผมบีบแก้มเขาจนปากจู๋  “แบบคุณน่ะเขาเรียกว่าเก๊กตลอดเวลาเถอะ ตอนนั้นผมก็คิดนะว่าขนาดคุณไม่ยิ้ม คุณยังมีเสน่ห์ขนาดนั้น แล้วถ้าคุณยิ้มขึ้นมา มันจะขนาดไหน”

   “แล้วตอนนี้รู้รึยังครับว่ามันจะขนาดไหน”

   “รู้แล้ว” ผมหอมแก้มเจ้าเด็กยักษ์ฟอดใหญ่ “ผมชอบรอยยิ้มนี้มากเลย”

   “มันเป็นของพี่ครับ”

   “มันควรเป็นแบบนั้นแหละ” ผมเลื่อนมือไปกุมมือสิบสามเอาไว้ “ผมดีใจที่เราผ่านเรื่องวุ่นวายต่างๆ มาได้จนถึงตอนนี้ จะว่าไปก็อาจจะต้องขอบคุณเรื่องประสาทแดกพวกนั้นเหมือนกันเพราะมันทำให้ผมได้รู้ว่าคุณรู้สึกยังไงและสุดท้ายผมก็รู้ใจตัวเอง”

   “ผมตัดสินใจถูกจริงๆ ที่บอกความรู้สึกของตัวเองให้พี่ได้รู้ พี่เฌอจำได้ไหมที่ผมเคยถามกับพี่ว่า ผมจะสมหวังไหม....ตอนนี้ผมรู้คำตอบแล้วนะครับ”

   “ผมก็เหมือนกัน” ผมยกมือนังน้อนขึ้นมาจุ๊บเบาๆ “ผมมีความรักมามาก ผมคาดหวังให้มันเป็นครั้งสุดท้าย แต่มันก็ไม่มีเลย ผมเก็บความผิดหวังเอาไว้เพื่อรอใครสักคนที่จะเข้ามาเป็นรักสุดท้าย และทำให้ผมสมหวัง”

   “ตอนนี้พี่คงเจอแล้วนะครับ”

   “อื้ม เจอแล้ว”


   และไม่ยอมเสียไปแน่ๆ

   ผมยกมือขึ้นกุมแก้มเขาก่อนจะขยับเข้าไปกอด อะไรจะนิยามเรื่องระหว่างเราได้ ความโชคดี ความบังเอิญ เวรกรรม อาถรรพ์ ไม่รู้สิครับ ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่มันคือสิ่งที่ทำให้ผมกับสิบสามได้อยู่ด้วยกัน ได้รักกัน ทุกวันที่ 13 ผมยังคงเจอเรื่องโชคร้าย เจ็บตัวบ้างนิดหน่อย แต่มันดีตรงที่มีคนคอยตามเป็นห่วง ตามดูแลซึ่งต่างจากวันที่ 13 ก่อนหน้าที่จะมาเจอเขา

   ชีวิตผมผูกพันกับเลข 13 จริงๆ นะ

   เพราะแบบนี้ถึงได้มาเจอสิบสามไง

   ก่อนหน้านี้ผมคือผู้ที่ไม่เคยสมหวังในความรัก....แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วล่ะ เพราะความรักของผมอยู่ตรงหน้านี่เอง

   “ผมรักพี่เฌอนะครับ”

   “ผมก็รักคุณนะสิบสาม”

   

   ขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนนึงในช่วงเวลาของกันและกันนะ.....ขอบคุณ










----- END -----



สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วนะคะ จบแล้วสำหรับนิยายเรื่องสุดท้ายของ LoveWriteProject ซึ่งเรื่องนี้เขียนไวมากจริงๆ

เปิดเรื่องวันที่ 6 มกราคม จบวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ยังไม่ถึง 2 เดือน

ชาลขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาเจอกันไม่ว่าจะรู้จักเรื่องนี้เรื่องแรกหรือตามมาจากเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้า โปรเจกต์นี้เป็นความภาคภูมิใจของชาลมากจริงๆ เป็นเซ็ตนิยายที่เรียกได้ว่าก้าวผ่านความเป็นมือใหม่ ตอนเขียนเรื่องแรก เขียนสื่อรัก เรื่องราวในเรื่องคือเล่าโดยเด็กปี 1 ส่วนในเรื่องผมผู้ไม่สมหวังในความรักคือเด็กปี 4 จากเรื่องแรกเริ่มตอน 2017 เรื่องสุดท้ายจบที่ปี 2020 ชาลโตมาพร้อมกับตัวละคร พวกเขาเหมือนเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ดีใจที่ทำให้เรื่องราวของทุกคนจบโดยสมบูรณ์

ชาลหวังว่านิยายเรื่องนี้จะให้อะไรกับบี๋ไม่มากก็น้อย ขอบอกเหมือนประโยคตอนจบของเรื่องนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนนึงในช่วงเวลาของกันและกันนะ

รักบี๋ทุกคนเลยน้า....ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ


ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
น่ารักอ่าาา  หวังว่าไรท์จะมีเรื่องต่อๆไปมาให้ติดตามนะ เราชอบสไตล์การเขียนของไรท์มาก :katai2-1:

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ สนุกมากๆดลย  :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ชอบมากครับ สนุกมาก เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะครับ,,,

ออฟไลน์ sugarcane_aoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 301
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
จบซะแล้ว เฌอกับสิบสามและผองเพื่อนน่ารักมาก สนุกครบรสมากค่ะ ชอบค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
Special Valentine's Day




   วันแห่งความรัก....ฉันมีให้เธอทุกวัน

   ไม่ว่าอาทิตย์ถึงจันทร์....ไม่ว่าจะวันไหนๆ


   เป็นเพลงที่เหมาะกับวันนี้จริงๆ เลย 14 กุมภาพันธ์

   วันวาเลนไทน์ที่ก่อนหน้าผมเกือบตายเพราะเป็นวันที่ 13 ไง คืองี้ครับ ไม่มีไรมากหรอก ลื่นตกคลองที่ไซต์งาน ก็ได้แผลถลอกจึ๋งนึงซึ่งสิบสามบ่นผมจนหูชาเลย เอาจริงๆ เมื่อวานไม่มีอะไรน่าหวั่นใจเลยนะ ผมไม่สะเหล่อ ไม่ลืมของ ไม่สะดุดบันไดหรือขับรถหลบน้องหมาน้องแมวแล้วไปชนโน่นนี่ ตอนแรกก็คิดว่าเห้ย หรืออาถรรพ์ของเดือนนี้จะทำอะไรเราไม่ได้วะ นั่นแหละ พอคิดแบบนั้นก็ห้าวตีนไง ไม่ระวังตัวให้ดี

   ลื่นตกคลองเลยไอ้สันขวาน

   พี่เจี๊ยบขำเหมือนจะตาย

   สำหรับทุกคนที่เป็นห่วงก็วางใจได้นะครับ ผมปลอดภัยดีแล้ว เดี๋ยวถ้าแผลหายก็จะกลับไปเป็นเฌอที่แข็งแกร่งคนเดิม ตอนนี้คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือนังน้อนโน่น วันนี้วันวาเลนไทน์แล้วเขามีคลาสเสริม ปกติเสาร์อาทิตย์เขาจะหยุดไง เจ้าตัวงอแงอยู่แหละที่มีเรียนตรงกับวันวาเลนไทน์ สิบสามบอกผมว่ามีอยู่ไม่กี่ช่วงเวลาที่เขาอยากอยู่แต่ในห้องตัวเอง นั่นก็คือ ช่วงงานรับปริญญา งานแต่งงาน และเทศกาลวาเลนไทน์

   ดอกไม้เยอะไงไม่ใช่อะไรหรอก

   ผมเข้าใจเจ้าแบด แบดยักษ์นะ คนแพ้อะเนอะ ถึงกินยาเอาไว้มันก็ต้องมีฟึดฟัดบ้าง เมื่อเช้าก่อนเขาจะออกไปเรียนก็กินยาตามปกติ สวมแมส ใส่แว่น คือวันนี้ป้องกันตัวเองค่อนข้างขั้นสุดซึ่งมันดีแล้วแหละ แต่ยังไงมันก็วางใจไม่ได้เต็มร้อยอยู่ดี เอาน่ะ ถ้านังน้อนไม่ดื้อไม่ซนก็คงไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพอซื้อของเสร็จผมจะไปหาเขาที่มหา’ลัย

   วันนี้มีงานนิทรรศการภาพถ่ายที่ตึกคณะนิเทศฯ

   ชรันคนนี้ต้องไปร่วมงานครับ

   งานนิทรรศการภาพถ่ายจะมีหัวข้อให้นักศึกษาของแต่ละคณะสามารถส่งรูปเข้าไปประกวดได้ ซึ่งผมไม่ได้มีพรสวรรค์อะไรในการถ่ายรูปหรอก แต่ไอ้สัสขันมันบังคับให้เพื่อนๆ ส่งรูปเข้าประกวด กวนส้นตีนจริงๆ ไอ้หมีมันเป็นเฮดงานนิทรรศการไง อยากช่วยเมียแต่มาบังคับพวกผมเนี่ยะ จะว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ลำบากหรอก ก็แค่ส่งรูปเข้าประกวดอะ ส่วนหัวข้อก็ง่ายๆ เลย ตรงกับช่วงเทศกาลวาเลนไทน์พอดี

   หัวข้อความรักครับ

   “พวงนี้เท่าไหร่เหรอครับ” ผมมองพวงมาลัยดอกดาวเรืองปลอมที่แขวนอยู่

   “พวงละ 70 บาทจ่ะพ่อหนุ่ม”

   “งั้นเอา 3 พวงครับ” ว่าแล้วผมก็หยิบเงินส่งให้ป้าแม่ค้า “ไม่ต้องใส่ถุงหรอกครับ”

   “ขอบคุณจ้า”

   “ขอบคุณครับ” ผมรับเงินทอนก่อนจะถือพวงมาลัยปลอมเดินออกมาจากร้าน คือด้วยความที่มันเป็นวันแห่งความรักทั้งที ผมก็อยากให้ดอกไม้แฟนแหละครับ แต่เพราะแฟนผมเขาแพ้เกสรดอกไม้ไง ถ้าจะให้ก็ต้องดอกไม้ปลอม

   พวงมาลัยดอกดาวเรืองปลอม

   ถ้ามันคล้องอยู่ที่คอนังน้อนต้องตลกมากแน่ๆ เลยว่ะ

   พอนึกหน้าสิบสามออกเลยครับว่าเขาจะทำหน้ายังไง ตอนนี้เกือบบ่ายโมงแล้วซึ่งอีกสักพักแหละกว่าว่าที่คุณหมอจะเลิกเรียน บ่าย 2 ครึ่งมั้งถ้าผมจำไม่ผิดนะ งานนิทรรศการนี้ไอ้ขันคงไปแต่เพื่อนๆ คนอื่นไม่น่าจะมา ถึงวันนี้จะเป็นวันเสาร์ก็เถอะ ความจริงที่ผมไปงานนิทรรศการเป็นเพราะรูปที่ตัวเองส่งเข้าประกวดได้ถูกคัดไปแสดงด้วย ไม่ได้รางวัลอะไรหรอกแค่ได้แสดงร่วมเฉยๆ ผมก็ไม่ได้อะไรนะ ไม่คิดว่าจะได้เอาไปโชว์ด้วยซ้ำ

   เจ้าแบด แบดยักษ์เห็นแล้วต้องตกใจแน่ๆ เลย

   ผมเดินมาที่ลานจอดรถของห้าง AA ก่อนจะขับออกแล้วมุ่งหน้าไปมหา’ลัย เดี๋ยวไปหาข้าวกินก่อนดีกว่า ผมคงไปที่ตึกนิเทศฯ เลยแล้วค่อยให้นังน้อนมาหา เออแต่วันนี้สิบสามไม่ได้เอารถมา ไม่เป็นไร ไว้เขาเรียนเสร็จแล้วค่อยขับไปรับก็ได้ ผมขับรถมาจอดที่หลังตึกนิเทศฯ ก่อนจะเดินไปลานบลูซึ่งเป็นสถานที่จัดงานนิทรรศการ

   เด็กเต็มไปหมดเลยว่ะ

   “พี่เฌอ” เสียงเรียกดังจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง เด็กหัวทองหน้าตากวนตีนโบกมือให้อยู่เย้วๆ ไอ้หมีไงจะใครล่ะ เกลียดออร่าสดใสที่มันมีจริงๆ

   แสบตาว่ะ

   “ไงมึง กินข้าวยัง กูหิวข้าว แล้วนี่อะไรเนี่ยะ” ผมมองกระถางใส่ดอกหน้าวัวในมือมัน

   “ดอกหน้าวัว เพื่อนพี่ให้หมีเนื่องในเทศกาลแห่งความรักไง ดอกกุหลาบก็ไม่ได้นะต้องดอกหน้าวัว แถมสั่งให้ถือเอาไว้ห้ามวางอีกถ้าไม่ได้อยู่หลังซุ้ม”

   ผมหลุดขำทันทีเมื่อนังคุณหมีบ่น “ดอกหน้าวัวก็เท่ดีออก แล้วนี่ไอ้ขันไปไหนอะ”

   “พาไอ้หนมไปซื้อของอะดิ พี่เฌอคิดดูนะ พี่ขุนเอาช่อกุหลาบสีขาวมาให้ไอ้หนมอะ แล้วช่ออย่างใหญ่ เอามาให้เมื่อเช้าคนฮือฮากันเต็มเลย หมีก็คิดละว่าเออ พี่ขันต้องเอาบ้างแหละวะ กุหลาบสีแดง แม่งที่ไหนได้ล่ะ ดอกหน้าวัว แถมมาเป็นกระถางอีก”

   “ฮ่าๆ ๆ ๆ เอาน่ะ อย่าเศร้าไปเลยหมีน้องรัก เดี๋ยวพี่เฌอจะเลี้ยงข้าวเป็นการปลอบใจเอง ดีไหม”

   “ดี งั้นไปกินข้าวกันพี่ หมีหิวเหมือนกัน ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยอะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ลากผมแล้วพาเดินไปที่โรงอาหารตึกคณะนิเทศฯ

   เด็กคอมอาร์ตสวมเสื้อแจ็คเก็ตน้ำเงินเดินอยู่เต็มไปหมด ผมชอบยูนิฟอร์มของคณะนี้นะ เสื้อแจ็คเก็ตอะ กันแดดได้ กันหนาวได้ ถึงไม่มากแต่ก็ในระดับนึง มองเห็นได้แต่ระยะไกลอีก แต่เอาจริงๆ ถ้าอย่างไอ้หมีเนี่ยะ ไม่ต้องสวมเสื้อแจ็คเก็ตก็สามารถมองเห็นได้จากระยะไกลเหมือนกันนะ

   ออร่ามันกระแทกตาไง

   ผมเดินไปซื้อราดหน้าก่อนจะกลับมาที่โต๊ะ นังคุณหมีกินข้าวราดแกงพลางกดอะไรยุกยิกในโทรศัพท์ก็ไม่รู้ ผ่านไปสักแป๊บนึง เด็กนิเทศฯ อีกสองคนซึ่งผมคุ้นหน้าเป็นอย่างดีเพราะเป็นแก๊งค์เพื่อนไอ้ตัวแสบนี่แหละ เป้กับภีมยกมือสวัสดีผม

   ไอ้เป้นี่มันหล่อจริงๆ แหละว่ะ

   “สิบสามอะพี่เฌอ” เจ้าตัวเอ่ยถาม “มันมาป้ะ”

   “เรียนอยู่อะ เดี๋ยวก็เลิกแล้วมั้ง มีไรอะ”

   “มีเรื่องอยากให้มันช่วยหน่อย คือวันนี้คณะนิเทศฯ มีการแสดงดนตรีแบบนั่งเล่นอะ แล้วทีนี้ไอ้ภีมมันซนไง ล้มจนข้อมือซ้นเมื่อเช้า คาฮองเลยไม่มีคนเล่น ผมก็เลยอยากให้สิบสามเล่นให้”

   “สิบสามตีคาฮองได้ด้วยเหรอ” เรื่องนี้ผมไม่รู้มาก่อน นึกว่าตีแค่กลองทอมเป็น

   ไอ้หมีพยักหน้ารับรัวๆ “โคตรจะเก่ง แต่ไม่ค่อยมีคนรู้เพราะว่าเขาไม่ได้บอกใคร ที่พวกหมีรู้เพราะตอนประกวดดาวเดือนมันต้องมีการแสดงความสามารถพิเศษไง ไอ้เป้มันไปซ้อมที่ห้องดนตรี สิบสามก็ไปด้วย ตอนนั้นถึงได้รู้เหมือนกันว่าเขาตีกลองเก่ง ไม่ใช่แค่กลองทอมหรือคาฮองนะ กลองชุดด้วย ตอนเด็กๆ เคยเรียนมั้ง ใช่ป้ะเป้”

   “ใช่ แต่ปัญหาคือผมกลัวว่ามันจะไม่ช่วยนี่ดิ แต่ถ้าพี่เฌอขอ มันน่าจะยอมนะ”

   “นี่พวกมึงรู้ป้ะว่าสิบสามร้องเพลงเพราะ” หลังจากที่ผมถามแบบนั้นพวกเด็กๆ ก็ส่ายหัวทันที มีแค่เฌอคนเดียวเหรอที่รู้เรื่องนี้อะ งั้นมันก็คงจริงสินะที่นังน้อนเคยบอกว่าจะร้องเพลงให้แฟนตัวเองฟังเท่านั้น

   ร้ายเหมือนกันนะเนี่ยเจ้าเด็กนั่น

   “สิบสามร้องเพลงได้ด้วยอ๋อ เพราะมากป้ะพี่”

   “ฟีลเดียวกับเวลาที่พวกมึงร้องอะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูจะลองคุยให้ละกัน แต่ไม่รับปากนะ วันนี้ดอกไม้เยอะ ยังไม่รู้อาการของสิบสามเลยว่ะว่าเขาจะโอเคไหม”

   “ได้พี่ เดี๋ยวรอมันเลิกเรียนก่อนละกัน” ไอ้เป้บอกก่อนจะหันไปหาไอ้ภีม “กินไร เดี๋ยวกูไปซื้อให้”

   “เอาราดหน้าแบบพี่เฌอ”

   “เออ รอแป๊บนึง” ร่างสูงเดินไปซื้อราดหน้าให้เมียรัก ส่วนผมก็ตักยอดคะน้าเข้าปากแล้วดูไอ้หมีแกล้งไอ้ภีมเล่น เดี๋ยวไอ้เป้กลับมาก็โดนเตะหรอกไอ้นี่

   พวกตัวแสบขอให้ผมบอกสิบสามให้เล่นคาฮองให้หน่อย ใจนึงก็คิดว่าเขาอาจจะยอม แต่อีกใจก็คิดว่าเขาอาจจะปฏิเสธ นังน้อนน่าจะอยากกลับหอเร็วๆ ไม่รู้สิ ยังไงก็คงต้องลองบอกก่อน ผมก็อยากเห็นเหมือนกันนะ สิบสามนั่งเล่นคาฮองน่ะ แถมยังนั่งเล่นร่วมกับคนอื่นอีก หลายๆ คนเรียกแก๊งค์นี้ว่ากอสซิปบอยด้วย เรื่องนี้ไอ้หมีมาเล่าให้ฟัง เหมือนกับว่าหมี เป้ และสิบสามเนี่ยะ ชอบสุมหัวกันเวลาปรึกษาหรือวางแผนจะทำอะไรบางอย่าง

   สุมหัวคือสุมหัวจริง

   ไม่ใช่การนั่งคุยแบบคนทั่วไป

   ผมว่าถ้าได้ขึ้นไปเล่นดนตรีด้วยกันจริงๆ ต้องน่าดูมากแน่ๆ เลย อดีตเดือนมหา’ลัยกับคนที่เกือบได้เป็นเดือนมหา’ลัย แล้วผู้ที่เป็นที่รักของทุกคนอย่างไอ้หมีอีก ละพวกนี้ร้องเพลงอย่างเพราะ ไม่ว่าใครก็ต้องอยากเห็นอยู่แล้วแหละ

   เฌอก็เป็นหนึ่งในนั้น

   “เออพี่เฌอ หมีว่าจะถามตั้งแต่ตอนพี่เดินมาละ” มือเรียวหยิบพวงมาลัยดอกดาวเรืองขึ้นมาดู “เอาพวงมาลัยมาทำไมอะ แก้บนอ๋อ”

   “เปล่า กูเอามาให้สิบสาม”

   “ถามจริง”

   “เออสิ ก็นังน้อนเขาแพ้เกสรดอกไม้ก็เลยต้องใช้ดอกไม้ปลอมเนี่ยะ จะให้ตุ๊กตาก็มีเยอะแล้ว”

   ไอ้หมีหัวเราะออกมาเสียงดัง “ดอกหน้าวัวหมีเทียบไม่ติดเลยอะ แล้วลองนึกภาพสิบสามมีพวงมาลัยดอกดาวเรืองคล้องคอ”

   “กูว่าต้องตลกมากแน่ๆ เพราะแบบนี้แหละกูถึงซื้อมา” ผมมองจอโทรศัพท์ที่มีข้อความแจ้งเตือนไลน์เข้า เปิดดูก็พบข้อความของนังน้อน เขาเลิกเรียนแล้วครับ เดี๋ยวผมไปรับเขาดีกว่า

   “สิบสามอ๋อ”

   “อือ เลิกเรียนละ เดี๋ยวกูไปรับเขา”

   “เอารถยนต์ไปเหรอ เอารถเครื่องไปแทนป้ะ” ไอ้หมีหยิบกุญแจรถส่งมาให้ “รถหมีอะ จอดอยู่หลังตึกใต้ต้นไทร”

   “เค งั้นเดี๋ยวกูมา ฝากกระเป๋าด้วย” ผมเอากระเป๋าคาดคล้องคอไอ้หมีก่อนจะเดินออกมาจากโรงอาหารแล้วไปที่ลานจอดรถหลังตึก

   ผมขับรถเครื่องไปตึกแพทย์ฯ ที่อยู่อีกฟากของมหา’ลัย ดีนะว่าวันนี้แดดไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ อึมครึมเหมือนฝนจะตก เดี๋ยวนี้อากาศประเทศไทยมันเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ หน้าร้อนมีฝนตก หน้าหนาวก็ไม่หนาว หน้าฝนก็ตกไม่เคยเป็นเวลาเลย ตอนกลางคืนอะตกไปสิ มาตกอะไรตอนเช้าหรือตอนที่ต้องไปเรียนด้วยวะ ช่างเถอะ บ่นไปก็เท่านั้นอะ

   จะเอาอะไรกับฟ้ากับฝน

   ผมจอดรถที่ข้างตึกก่อนจะไลน์หาสิบสามแล้วบอกเขาว่ารออยู่ตรงนี้ ใช้เวลาไม่นานร่างสูงก็เดินออกมาจากตัวตึก ดวงตาคมใต้แว่นเลนส์เปล่ามองมาทางผมก่อนจะจามหัวสั่นไปทีนึง ทั้งขำและก็สงสาร ขนาดใส่แมสนะนั่นน่ะ นังน้อนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนทำคิ้วขมวดเมื่อเห็นพวงมาลัยดอกดาวเรืองในมือผม

   “วันนี้เป็นไงบ้าง”

   “ก็ดีครับ ไม่เท่าไหร่” เจ้าตัวดันแว่นขึ้นไปคาดหัวตัวเอง “ว่าแต่พี่เอาพวงมาลัยดอกดาวเรืองมาทำไมครับ”

   “วันนี้วันวาเลนไทน์ไงคุณ ก็ให้ดอกไม้กันก็ไม่แปลก”

   “พี่เฌอ”

   ผมจัดแจงคล้องพวงมาลัยให้สิบสาม “สุขสันต์วันแห่งความรักนะครับนังน้อนของพี่เฌอ ขอให้เป็นแฟนที่ดีของผมไปทุกวันเลยนะ”

   “พี่นี่มันจริงๆ เลยนะครับ” ร่างสูงขยับเข้ามากอด “ขอบคุณนะครับสำหรับพวงมาลัย”

   “ชอบไหม”

   “ผมบอกว่าไม่ชอบได้ด้วยเหรอครับ”

   “น่ารักออก” ผมคลายกอดก่อนจะจับดูตามเนื้อตามตัวเขา “วันนี้โอเคไหม”

   “โอเคอยู่ครับ ผมพยายามเลี่ยงเท่าที่เลี่ยงได้ มีจามบ้างแต่ว่ายังโอเคอยู่ แล้วนี่รถใครครับ”

   “รถไอ้หมีอะ รถผมอยู่ที่ตึกนิเทศฯ วันนี้มีงานนิทรรศการภาพถ่ายไง ผมอยากให้คุณไปด้วยกันนะ มีของที่อยากให้คุณเห็น”

   “ได้ครับ ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย พี่เฌอกินข้าวรึยัง”

   “กินแล้วแต่เดี๋ยวผมพาคุณไปกินข้าวก็ได้ พวกไอ้หมีไอ้เป้ก็อยู่ที่โรงอาหาร มา....เดี๋ยวผมพาไป” หลังจากที่บอกแบบนั้น สิบสามก็ขึ้นมาซ้อนท้ายรถ

   ผมพานังน้อนมาที่ตึกนิเทศฯ คนไม่น้อยเลยที่มองแฟนผมแล้วยิ้มออกมา เพราะพวงมาลัยดอกดาวเรืองที่คล้องคอเขาอยู่แน่ๆ ล่ะ ผมว่ามันออกจะน่ารัก รู้อยู่หรอกว่าสิบสามไม่อยากเอามันคล้องคอแต่ที่ยอมก็เพราะตามใจผม พวงมาลัยมันไม่ได้ดอกใหญ่นะ ขนาดมันกลางๆ ถึงจะคล้องให้ 3 พวงก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อของเขาดูลดน้อยลงหรอก

   อันนี้พูดตามความจริงเลยครับ

   “ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ อะไรมึงเนี่ย” ไอ้เป้หัวเราะลั่นเมื่อเห็นเพื่อนต่างคณะเดินเข้ามา แล้วนั่นมันไปเอามงกุฎดอกไม้จากไหนมาสวมหัววะ

   “ไม่ต้องหัวเราะผมเลย หัวคุณก็เหมือนกันเถอะ” ร่างสูงเอ่ยทักเพื่อนตัวแสบก่อนจะนั่งลงข้างผม

   “แฟนให้ก็ต้องใส่ป้ะวะ” คนพูดหันไปย่นหน้าใส่แฟนตัวเองทีนึง

   “จะใส่ดีดีหรือจะให้กูเอาไปให้คนอื่นใส่”

   อืม....เดี๋ยวก็บ้านแตกอีก

   ผมส่ายหัวให้เด็กๆ ที่กำลังง้องแง้งใส่กันอย่างเอื้อมๆ หันมองนังน้อนที่ถ่ายรูปลงสตอรี่ไอจีตัวเอง หน้านิ่งมาก แล้วมีดอกดาวเรืองเต็มคอแบบนั้นก็ดูตลกป้ะวะ ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะเข้าเฟรมกล้องด้วย ขำว่ะ ทำไมนังน้อนมันน่าเอ็นดูแบบนี้วะ

   “ผมไปซื้อข้าวก่อนนะครับ” เจ้าตัวบอกก่อนจะเดินไปซื้อข้าว ผมก็เล่นโทรศัพท์ของสิบสามที่วางอยู่ตรงหน้า

   “พี่เฌอบอกสิบสามยัง”

   “ยัง พวกมึงอะต้องบอก เดี๋ยวกูช่วยชงให้”

   “ได้ พี่ว่าอาการเขาวันนี้เป็นไง”

   “ยังโอเคอยู่นะ ไม่น่าจะมีปัญหาอะ”

   สิบสามเดินกลับมาพร้อมกับจานข้าว “พี่เฌอจะกลับประมาณกี่โมงเหรอครับ”

   “คุณรีบเหรอ”

   “เปล่าครับ แค่ถามเฉยๆ ”

   “ยังไม่รู้เหมือนกันอะ ถ้าคุณไม่เป็นไรมากก็อาจจะเย็นๆ หน่อยก็ได้มั้ง มันมีดนตรีด้วยนะงานนิทรรศการ”

   “สามเพื่อนรัก” ไอ้เป้ขยับเข้ามาใกล้นังน้อน “กูมีอะไรให้มึงช่วยหน่อยอะ”

   “อะไรครับ”

   “เล่นคาฮองให้หน่อยดิของงานนิทรรศการภาพถ่าย” สิ้นเสียงนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ สิบสามมองเป้นิ่งๆ พลางเหลือบมองผมเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

   มันก็ยากนะที่จะทำให้เขายอมง่ายๆ น่ะ ปกติสิบสามถ้าไม่มีแรงจูงใจให้ทำก็จะไม่ทำไง เขาคงไม่อยากให้ใครได้เห็นตัวเองในมุมที่แปลกไปจากเดิมสักเท่าไหร่ ผมเข้าใจนะ แต่อีกใจก็อยากให้เขาแสดงมันออกมาให้คนอื่นได้เห็นเหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ก็นั่นแหละทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเขา ซึ่งทุกคนในตอนนี้พยายามหาทางต้อนให้ยอมอยู่

   โห่....ก็อยากเห็นอะ

   “พี่เฌอคิดว่าไงครับ”

   “ผมก็อยากเห็นคุณนั่งเล่นกับเพื่อนๆ นะ ไม่รู้เลยว่าคุณเล่นคาฮองได้” ผมเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาพลางยิ้มบางๆ ให้ “ความจริงอยากได้ยินคุณร้องเพลงด้วย จริงอยู่ว่าถ้าคุณร้องเพลง หลายๆ คนอาจจะได้ยิน แต่ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน”

   เจ้าตัวพยักหน้ารับเบาๆ “เอาแบบนั้นเหรอครับ”

   “ถ้าคุณลำบากใจก็....”

   “ผมจะขึ้นเล่นดนตรีครับ” สิบสามยิ้มบางๆ ให้ผมก่อนเลื่อนมากุมมือที่อยู่ใต้โต๊ะ “นานๆ ทีไม่เป็นไรหรอกครับ อีกอย่างก็ถือว่าช่วยเพื่อนๆ ผมทำได้”

   “ขอบใจมึงมากจริงๆ เลยเพื่อน” ไอ้เป้ยกมือแตะไหล่เขา “งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จไปขนกีต้าร์กับคาฮองที่ห้องคณะกัน แล้วจะเล่นเพลงอะไรค่อยว่ากันอีกที”

   “ได้ครับ แล้วตอนแรกใครเล่นคาฮองเหรอครับ”

   “ผมเอง แต่ว่าเมื่อเช้าล้มแล้วมือซ้นอะ ก็เลยต้องหาคนเล่นแทน รบกวนคุณด้วยนะสิบสาม” ภีมเอ่ยบอก

   “โอเคครับ” เขารับคำก่อนจะกินข้าวต่อ

   เป็นไปตามที่คิดจริงๆ ด้วยว่านังน้อนจะยอมเล่นคาฮองให้ เดี๋ยวผมจะรอดูอย่างใจจดใจจ่อเลย ลองคิดภาพตามวงนั่งเล่นบนเวที สิบสามมีพวงมาลัยคล้องคอ ไอ้เป้สวมมงกุฎดอกไม้ ไอ้หมีมีกระถางดอกหน้าวัวตั้งอยู่ข้างๆ โอ๊ยยยยมันอะไรเนี่ยะ แค่คิดก็ขำแล้วอะ อยากเห็นเวลาจริงเร็วๆ

   “แล้วนี่มึงเล่นกันกี่โมง”

   “บ่าย 3 อะพี่”

   “ก็ใกล้เวลาละสิ” ผมมองร่างสูงที่เอาจานไปเก็บ พวกเด็กแสบก็เก็บของเตรียมจะไปห้องคณะ

   “พี่เฌอรอดูผมด้วยนะ”

   “แน่นอนสิ เดี๋ยวผมรอที่หน้าเวที โอเคไหม”

   เจ้าตัวพยักหน้ารับ “แล้วเจอกันนะครับ”

   “อื้ม” ผมมองสิบสามที่เดินไปกับก๊วนเด็กนิเทศฯ

   เรื่องความสัมพันธ์ต่อคนรองข้าง เขาดูเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะถ้าเทียบกับวันแรกที่รู้จักกันน่ะ นังน้อนดูเข้ากับคนอื่นได้มากขึ้น ถึงจะยังมาดนิ่งและพูดน้อยอยู่แต่ก็เป็นมิตรกว่าเดิมเยอะเลย มันดีนะครับที่เขาปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้จึ๋งนึงแบบนี้ ผมว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์อยู่นะถ้าในวันนึงเขาต้องเป็นคุณหมอน่ะ

   “เฌอ”

   หันตามเสียงเรียกก็พบกับขันเพื่อนรัก “อ่าว มาแล้วเหรอ”

   “อืม แล้วไอ้หมีอะ”

   “ไปห้องคณะ เดี๋ยวจะมีดนตรีอะ เราก็ไปลานบลูเหอะ” ว่าแล้วผมก็ลากไอ้ขันไปที่ลานบลู “เห็นรูปของกูแล้วสิ”

   “เออดิ รูปมึงน่ะใหญ่มาก ไอ้หมีติดเองกับมือ แล้วแฟนเด็กมึงรู้ไหมว่ามึงเอารูปเขามาประกวด”

   “ไม่รู้หรอก กูก็ไม่คิดว่าจะได้เอามาแสดงนี่หว่า” ผมเดินนำไอ้ขันมาจนถึงด้านหน้าของเวทีเล็ก “อยากรู้เหมือนกันว่าตอนสิบสามเห็นเขาจะทำหน้ายังไง”

   “ก็ทำหน้านิ่งเหมือนเดิม”

   “เออ อาจจะ” ผมยืนมองเด็กๆ คณะอื่นที่เข้าชมงานนิทรรศการ มีบางส่วนมายืนออกันอยู่หน้าเวทีเล็กเพื่อรอชมดนตรีนั่งเล่น อีก 10 นาทีจะบ่าย 3 อากาศเป็นใจอยู่ มีลมเย็นโชยมาเป็นระยะ

   “มึงให้อะไรแฟนป้ะวาเลนไทน์”

   “ให้ดิ เดี๋ยวมึงก็เห็น แล้วมึงเนี่ยะ ให้ดอกหน้าวัวไอ้หมีเนี่ยนะ”

   “ตลกอะ อย่าว่าแต่กูเลย มันก็ให้ดอกบัวกูมาพานนึง ไม่ได้เป็นช่อด้วยนะ มาทั้งพานเลยตั้งแต่เมื่อเช้าอะ กวนส้นตีน”

   “ก็สมกันแล้วไหมวะ”

   “แล้วมึงอะ น้องหมอให้อะไรป้ะ”

   “ไม่อะ ไม่น่ามีนะ ให้หรือไม่ให้กูไม่ใส่ใจ ขอแค่กูได้ให้ก็พอ”

   “พวงมาลัยดอกดาวเรืองอะนะ” ไอ้ขันมองร่างสูงที่เดินมาพร้อมผองเพื่อน “มึงนี่แม่งโคตรไอ้เฌอเลย”

   อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

   เสียงกรี๊ดดังลั่นจากกลุ่มเด็กหน้าเวทีเมื่อกอสซิปบอยทั้ง 3 เดินขึ้นไปบนนั้น ไอ้เป้ถือกีต้าร์ ไอ้หมีถือแทมบูลิน ส่วนนังน้อนของผมก็ถือคาฮอง เขาเอาแว่นคาดผมตัวเองเอาไว้พลางรั้งแมสที่ปิดปากมาไว้ใต้คางก่อนจะหันหลังไปจามทีนึง นี่ไม่ใช่ว่าร้องเพลงอยู่แล้วก็จามออกมานะ แบบนั้นจะฮามาก ผมเห็นนักดนตรีเฉพาะกิจแอบหันไปสุมหัวคุยอะไรกันสักอย่างก่อนจะนั่งประจำตำแหน่งตัวเองแล้วปรับไมค์ให้อยู่ในองศาที่พอดี

   ตื่นเต้นจังวะ

   นัง 3 คนบนเวทีนั่นโคตรหล่อเลย

   ตลกแถมมุ้งมิ้งมาก

   ผมมองดอกหน้าวัวที่อยู่ข้างเก้าอี้ที่ไอ้หมีนั่ง เพื่อนรักดูชอบใจที่แฟนมันเอากระถางดอกไม้ที่มันให้ขึ้นไปเล่นดนตรีด้วย แต่ถ้าถามผมนะ คนที่ฮาที่สุดบนเวทีนั่นก็นังน้อนป้ะ เหมือนศาลเจ้าจำลองอะ นี่ถ้ามีผ้าสามสีผูกเอวด้วยจะโคตรใช่เลย

   “เทสครับ ได้ยินกันไหมเอ่ย” เสียงของเด็กหัวทองเอ่ยทักทายทุกคน “ยินดีต้อนรับสู่นิทรรศการภาพถ่ายของคณะนิเทศศาสตร์นะครับ” ทุกคนพากันปรบมือหลังจากที่ไอ้หมีพูดจบ

   “ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกภาพ ทุกผลงานที่ทุกคนส่งเข้ามาร่วมประกวดนะครับ สามารถดูการรับรางวัลย้อนหลังได้ที่เพจของทางคณะนิเทศศาสตร์ได้เลยนะครับ วิดิโอทำการอัปโหลดแล้วตั้งแต่เมื่อช่วงบ่ายนะ ส่วนในตอนนี้ก็เป็นดนตรีนั่งเล่นเซอร์วิส ก็ได้คนหล่อมานั่งเล่นด้วยนะครับ”

   สิบสามเหลือบมองเป้นิ่งๆ “ก็แฟนคุณข้อมือซ้นไงครับ ผมถึงต้องมาเล่นแทน” พอนังน้อนพูดแบบนั้นเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นอีก ส่วนไอ้เป้ก็หน้าขึ้นสีเพราะโดนแซว ไม่เคยเจอใครแซวคนอื่นด้วยสีหน้าแบบนั้นเลย

   นิ่งจนเหมือนว่าพูดเฉยๆ นะแต่ความจริงคือแซว

   “เริ่มกันเลยดีกว่าครับก่อนจะเขินตายกันสักก่อนนะ ถ้าทุกคนพร้อมแล้วก็เริ่มกันเลยนะครับ” สิ้นเสียงไอ้หมี เสียงเกากีต้าร์ก็ดังขึ้นพร้อมกับไอ้เป้ที่เริ่มร้องก่อน

   

   “มันคาดไม่ถึงเลยเธอ คนที่จะเปลี่ยนฉันไปให้ดีขึ้นได้เหมือนเธอ

   สิ่งที่เห็น ไม่เป็นอย่างที่คิด ที่ดีอยู่แล้วยิ่งดีจนบอกไม่ถูก”

   

   “ตอนที่ตื่นมา see ya smile got me going damm you are changing my whole life

   ลืมไปหมดเลยว่าเมื่อคืนฝันร้าย yeah ถ้าเธอก็คิดเหมือนที่ฉันคิด

   you and me we got the same vibe”

   

   “แค่ฉันมีเธอ ก็จบที่เธอคนนี้ ไม่มีใครใหม่

   สะกดให้ใจฉันยอม....ตลอดไป

   เธอคนเดียวที่ทำให้ชีวิตฉันมัน alright

   เข้ามาทำให้โลกของฉันสดใส ดีอย่างคาดไม่ถึง

   I can't believe it .....”


   

   ( ดี๊ดี (UNEXPECTED) - JAYLERR x PARIS )

   

   ตึกตัก

   ดีจังวะ

   ผมยกมือขึ้นทาบอกตัวเองหลังจากฟังท่อนฮุกที่สิบสามร้อง หัวใจเต้นแรงและรู้สึกหน้าร้อนมากเลย เขินทำไมวะเนี่ยเฌอ เพราะรอยยิ้มหลังจบท่อนร้องแน่ๆ โหยยยย ใจใครจะไหววะ คือรู้อยู่แล้วว่านังน้อนร้องเพลงเพราะ แต่ลุคที่ร้องไปด้วยแล้วเล่นคาฮองไปด้วยแบบนี้ไม่เคยเห็นไง โคตรดีเลยอะ ทั้งเพลงเอย ดนตรีเอยหรือแม้กระทั่งนักร้อง ความรู้สึกเมื่อกี๊เหมือนโดนบอกรักผ่านเพลงยังไงก็ไม่รู้

   สายตาและรอยยิ้มนั่นก็ทำให้ใจสั่น

   สิบสามนี่มันจริงๆ เลย

   กอสซิปบอยเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ พร้อมกับทำให้สาวๆ ตกหลุมรักได้ทั้งบาง แต่บนเวทีนั่นไม่มีใครโสดเลยนะ มีเจ้าของหัวใจกันหมดแล้วทุกคน ผมชอบเวลานังน้อนร้องเพลงจริงๆ อย่างน้อยสีหน้าเขาก็ดูมีอารมณ์เข้ามาปะปนบ้าง บ่อยครั้งที่เขาร้องเพลงแล้วมองมาทางผม ก่อนจะละสายตาก็ยิ้มให้ และทุกครั้งที่เขายิ้ม เสียงกรี๊ดก็จะดังขึ้นตลอด

   เกินไปแล้วจริงๆ

   

   “แค่ฉันมีเธอ ก็จบที่เธอคนนี้ ไม่มีใครใหม่

   สะกดให้ใจฉันยอม....ตลอดไป

   เธอคนเดียวที่ทำให้ชีวิตฉันมัน alright

   เข้ามาทำให้โลกของฉันสดใส ดีอย่างคาดไม่ถึง

   I can't believe it .....”


   

***


   
---------- 50% ----------

ออฟไลน์ chaleeisis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-3
---------- ต่อจากบทพิเศษ ----------


   “นี่น้ำนะคุณ”

   “ขอบคุณครับ”

   ผมโบกพัดให้สิบสามหลังจากที่เขาเล่นดนตรีเสร็จ ตอนนี้เกือบ 4 โมงครึ่งแล้วครับ ชั่วโมงกว่าของวงกอสซิปบอยคือดีมาก เพลงเพราะมาก หล่อมาก ผัวแห่งชาติสุดๆ ระหว่างร้องเพลง นังน้อนจามออกมาด้วยครับ โคตรน่ารักอะ เป็นเหมือนจังหวะซิทคอมแล้วทุกคนก็พากันหัวเราะ แฟนผมขำจนตาหยีให้ได้เห็นกันเลยแหละ พวกที่ดูดนตรีวันนี้คือสู่ขิตเพราะมันน่าจะเป็นครั้งเดียวที่เขาแสดงอาการทั้งหมดนั้นให้เห็น

   “คุณร้องเพลงเพราะจริงๆ เลยนะสิบสาม”

   “ชอบไหมล่ะครับ”

   “ชอบสิ แล้ววันนี้ร้องแต่เพลงรัก ฟังแล้วเขินยังไงก็ไม่รู้”

   “วันแห่งความรักนี่ครับ” เจ้าตัวเขี่ยผมที่ปรกหน้าผมออกให้ “ผมดีใจนะที่พี่ชอบ แต่อะไรแบบนี้คงไม่ได้เห็นบ่อยๆ นะครับ”

   “พอรู้อยู่หรอก เออคุณ ผมมีอะไรอยากให้ดูด้วย” ว่าแล้วผมก็ลากร่างสูงมาที่รูปภาพซึ่งจัดแสดงโชว์อยู่ด้านหน้า

   ดวงตาคมมองภาพนิ่งๆ พร้อมกับคลี่ยิ้มออกมา ภาพภายใต้หัวข้อความรักที่ผมส่งเข้าประกวดก็คือภาพที่ผมถ่ายสิบสามตั้งแต่ตอนที่เราไปเสม็ดด้วยกัน ฉากหลังเป็นพระอาทิตย์ขึ้นครับ เขาหันมายิ้มให้ ตอนนั้นเราเป็นแฟนกันแล้วนั่นแหละ มันสดใส เห็นทีไรก็ทำให้ยิ้มได้ เพราะแบบนั้นเลยเอาภาพนี้ส่งเข้าประกวด ถึงจะไม่ได้รางวัลแต่ว่าได้เห็นเขายิ้มเพราะภาพตัวเองมันก็ดี

   ดีต่อใจมากเลยจริงๆ

   “ผมไม่รู้เลยนะครับว่าพี่จะเอารูปผมส่งเข้าประกวด”

   “หลายคนคงชอบภาพนี้”

   “ผมก็ชอบ....” มือเรียวเลื่อนมากุมมือผม “ยิ่งเฉพาะคนถ่ายนะ ผมยิ่งกว่าชอบอีก”

   ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะขยุ้มหัวเขา “ขนาดนั้นเชียว”

   “ใช่ครับ วันนี้วันวาเลนไทน์ แต่ผมไม่มีอะไรให้พี่เลย”

   “ไม่ต้องหรอก ไม่มีอะไรจะมีค่ามากกว่าคุณอีกแล้วอะ”

   “พี่เฌอ” แก้มขาวขึ้นสีแดงระเรื่อ “พี่ทำผมเขินนะครับ”

   “เขินมากไหม”

   “ก็ไม่มาก” เจ้าตัวอมยิ้มให้ “แค่จึ๋งเดียว”

   “สิบสาม”

   “”หืม....”

   “ผมอยากจูบคุณอะ”

   “ตรงนี้คงยากครับเพราะคนเยอะมากเลย” เขายกมือผมขึ้นไปจุ๊บเบาๆ “เท่านี้ก่อนนะครับ”

   “อื้ม....” ผมยกมือเขาขึ้นมาจุ๊บบ้าง “ผมไม่ค่อยมีแฟนอยู่ด้วยในช่วงวาเลนไทน์เลยอะ บ่อยครั้งที่ความรักมันจะจบลงก่อนหน้าวันนึง คือน้อยมากจริงๆ ”

   “ผมไม่เคยมีแฟนอยู่ด้วยในช่วงวาเลนไทน์เลยครับ พี่เฌอเป็นคนแรกและคงเป็นคนเดียวที่ผมมี ผมไม่ชอบวาเลนไทน์ ดอกไม้เยอะ หายใจลำบาก แต่พอมีพี่อยู่ด้วยตรงนี้แล้วผมคงต้องมองใหม่แล้วล่ะ”

   “ผมมีความสุขนะ วันนี้เป็นวาเลนไทน์ที่ดีสำหรับผมจริงๆ ” ผมเอียงหัวเข้าไปใกล้สิบสาม “ผมรักคุณนะนังน้อน วาเลนไทน์ปีหน้า....อยู่ด้วยกันอีกนะ”

   “ผมจะอยู่กับพี่เฌอไปทุกปีเลยครับ”


   จุ๊บ

   “สิบสาม!!!!”

   ไหนคุณบอกคนเยอะไง

   “สุขสันต์วันแห่งความรักนะครับ....แฟนของสิบสาม”

   เขาแม่ง....น่ารักจริงๆ แหละว่ะ

   

   

   

----- END -----





สวัสดีค่ะมาส่งสเปฯ สามเฌอแล้วนะคะ ถึงจะเลยวาเลนไทน์มาแล้วแต่ถือว่าย้อนหลังนะ

ชาลมีแพลนส่งสามเฌอให้กับสนพ.นึงเพื่อพิจารณา ใช้เวลารู้ผลอาจจะนาน ถ้าสมมุติว่าไม่ผ่านก็คงทำมือเองค่ะ เดี๋ยวจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะคะ

ภาพที่เห็นนังน้อนกับพี่เฌอนั่นต้องขอบคุณเพื่อนฐาของชาลด้วยนะคะ มันคือคนวาด เป็นเพื่อนกันนี่แหละ นี่เลยคือสิบสามและพี่เฌอในความคิดของชาล หวังว่าบี๋คงชอบนะคะ

สุขสันต์เดือนแห่งความรักน้า เลิ้บๆ ค้าบ

#สามเฌอ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า

ออฟไลน์ Naiikratai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอยยยย น่าร้ากกกก ใจบางงงงงง ฮื่อออ

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
แม่ค่ะ หนูชอบเขาาา หนูชอบสิบสามมม  :-[

ออฟไลน์ StarPasO

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ยดีแบบนี้ทำไมพึ่งได้อ่านนนน มันเป็นน่ารักหลายจึ๋งเลยครับ   :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
น่ารักมากทั้งคู่เลย,,,

ออฟไลน์ Fuzz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 117
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
อยากมีสิบสามเป็นของตัวเองงงงงงง  :katai1:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด