พิมพ์หน้านี้ - Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: chaleeisis ที่ 06-01-2020 20:21:40

หัวข้อ: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 06-01-2020 20:21:40
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


******************************************************************************************



"แด่ความรักที่ไม่สมหวังและอาถรรพ์เลข 13 ที่ผมเจอมาตลอดทั้งชีวิต"



------------------------------


Dissapointment


ผมผิดหวังทุกครั้งในเรื่องของความรัก

เวลามีใครสักคนเข้ามาในชีวิต ผมอยากให้เขาเป็นคนสุดท้ายเสมอ....แต่ก็ไม่มีเลย

คำสัญญาว่าที่ว่าตลอดไปก็ไม่มีอยู่จริง

ผมเก็บความผิดหวังเอาไว้ในใจมากมายเพื่อรอใครสักคนที่จะทำให้ผมหลุดพ้นจากตรงนี้

ใครสักคนที่จะทำให้ความรักของผม.....สมหวัง

 
--------------------------------


LoveWriteProject : Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก
ติดต่อข่าวสาร - Twitter : Chaleeisis
#ผมผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก #สามเฌอ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 1 : 1/6/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 06-01-2020 20:23:39
บทที่ 1 อาถรรพ์วันที่ 13



ทุกคนต้องมีสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบใช่ไหมล่ะ

ผมน่ะไม่ชอบเลข 13 เอามากๆ ไม่ว่าจะวันนี้ เบอร์ของสิ่งของต่างๆ หรืออะไรก็ช่างเถอะ

ลัคกี้นัมเบอร์ที่โคตรเลวร้ายสำหรับผมเลย

“เราเลิกกันเถอะค่ะพี่เฌอ” เสียงเรียบเอ่ยออกมาจากผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนของผม เราคบกันมาเกือบเดือนซึ่งมันไม่ได้นานนักแต่ผมกลับรู้สึกแย่มากที่ต้องได้ยินอะไรแบบนี้

วันที่ 13 ครับ และแฟนผมคนที่เท่าไหร่ไม่รู้ก็ได้เลือกที่จะเดินจากผมไป

“ทำไมล่ะน้องแอม ที่ผ่านมาพี่ไม่โอเคเหรอ น้องแอมอยากให้พี่ปรับตรงไหน พี่พร้อมจะ....”

“มันไม่ใช่เพราะพี่ไม่ดีหรอกค่ะ กลับกัน พี่ดีเกินไปต่างหาก”

“แล้วน้องแอมไม่ชอบคนดีเหรอ”

“พี่เฌอไม่เข้าใจหรอกค่ะ เอาเป็นว่าเรายุติความสัมพันธ์นี้เถอะนะคะ แอมขอตัวค่ะ” สิ้นเสียงพูด ร่างบางก็เดินออกไปจากห้อง เหลือเพียงผมที่นั่งทำหน้าเศร้าอยู่กับกะเพราเนื้อเผ็ดน้อยไม่ใส่แครอตเท่านั้น

เฮ้อ....ทำไมต้องลำบากสั่งไม่ให้เขาใส่แครอตทั้งๆ ที่ผัดกะเพราไม่ควรมีแครอตวะ

จะซีเรียสเรื่องกะเพรามากกว่าแฟนบอกเลิกไม่ได้ป้ะวะเฌอ

ผมชื่อ ‘เฌอ’ ชรัน นามสกุลยาวมากเพราะงั้นขอข้ามนะครับ ตอนนี้อยู่ในช่วงอกหักสดๆ ร้อนๆ และค่อนข้างสับสนกับเหตุผลที่น้องแอมบอกมาว่าผมดีเกินไป ทำไมพูดเหมือนน้องผึ้งกับน้องสกายเลยวะ ไม่เข้าใจอะ เป็นแฟนที่ดีแล้วทำไมไม่ชอบล่ะ คืออยากมีแฟนที่ไม่ดีหรือยังไง ทำไมคนเราต้องอยากมีแฟนที่ไม่ดีด้วย อา....เหตุผลของพวกเธอทำให้ผมเป็นงงมากเลยจริงๆ ทุกครั้งที่ถูกบอกเลิกด้วยเหตุผลว่าดีเกินไป มันก็คิดในใจนะว่าผมต้องทำตัวไม่ดีใช่ไหม พวกเธอถึงจะไม่จากไปไหน

แต่คิดไปคิดมา....ผมไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนความเป็นตัวเองเพื่อรั้งใครสักคนไว้

ความเป็นตัวเองที่มันไม่ได้ทำให้ผมเป็นคนที่ดีขึ้น

ผมไม่ต้องทำแบบนั้นเลยจริงๆ

เรื่องที่ตลกร้ายคือแฟนผมแต่ละคนมักจะบอกเลิกผมในวันที่ 13 หรือไม่ก็วันที่คบกันมาเป็นวันที่ 13 เชื่อไหมว่าเวลามีแฟนแต่ละคนผมต้องนับวันตลอดเลยนะว่ามันครบ 13 วันรึยัง ถ้ากับแฟนคนไหนผ่านไปได้ก็ต้องมารอลุ้นวันที่ 13 ที่จะมาถึง ไม่รู้ว่าไปทำเวรทำกรรมอะไรกับวันที่ 13 หรืออะไรที่ข้องเกี่ยวกับตัวเลขนี้นัก มันเป็นแบบนี้มานานแล้วด้วยนะตั้งแต่ที่ผมยังเด็กๆ เลย ความจริงเหมือนมีความผูกพันอะไรกับมันล่ะมั้ง

ผมเกิดวันที่ 13 เดือน 3 เวลา 13.13 น.

เข้าเรียนทีไรรายชื่อก็อยู่เลข 13 ตลอด

รหัสนักศึกษาตอนอยู่มหา’ลัยก็ลงท้ายด้วยเลข 13

“น้องกะเพรา พี่เฌอขอเอาน้องกะเพราไปแช่ตู้เย็นไว้ก่อนนะ แล้วตอนเย็นพี่เฌอจะกลับมาเวฟกิน ไม่ต้องเศร้าไปเพราะคนที่ควรเศร้าที่สุดในตอนนี้ก็คือพี่เฌอเอง” ควรไปหาหมอด้วยแหละเอาจริงๆ

อกหักแล้วพูดกับผัดกะเพราเป็นเรื่องเป็นราว

โอเค วันนี้เป็นเฟลเดย์ จากคนที่มีแฟนอยู่ดีดีก็กลายเป็นคนโสด โสดแบบงงๆ โสดเพราะดีเกินไป ใช่ซี้ ถ้าชอบคนนิสัยไม่น่ารักก็ไปหาเอาที่อื่นเลยน้องแอม ไม่ต้องมาสนใจคนน่ารักแบบพี่หรอก เอาจริงๆ ผมเจอเรื่องแบบนี้บ่อยมากเลยล่ะ เพราะเป็นคนเปลี่ยนแฟนบ่อย แต่ผมไม่เคยบอกเลิกแฟนเลยสักครั้ง มีแต่พวกเธอที่บอกเลิกผมด้วยเหตุผลต่างๆ นานาที่ฟังขึ้นบ้าง ฟังไม่ขึ้นบ้าง ทุกครั้งที่เลิกกับแฟนผมก็เสียใจนะ คือคิดตลอดตั้งแต่คบกันเลยว่าถ้าคนๆ นี้จะอยู่กับเราตลอดไปก็คงจะดี

แต่คำว่าตลอดไปดันไม่มีจริง

ผมหยิบกระเป๋าคาดอกกับชีทก่อนจะเดินออกมาจากห้องของตัวเอง ห่อเหี่ยว เหี่ยวมากเลยไอ้เวร คือเชื่อป้ะว่าเมื่ออาทิตย์ก่อนผมยังคุยกับน้องแอมเรื่องที่จะไปเที่ยวด้วยกันหลังสอบมิดเทอมอยู่เลยอะ แล้วคือทุกอย่างมันกลายมาเป็นแบบนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ จิ๊....ช่างแม่ง เดี๋ยวผมจะไปเที่ยวคนเดียวคอยดู เพื่อนฝูงก็ไม่ต้องเอาไป ไปเองสนุกเอง ถ้าใจเราสนุก ไปคนเดียวก็สนุก ถ้าเมาก็นอนข้างถนนกับหมานั่นแหละ

หมาต้องปลื้มอะได้เพื่อนนอนด้วยเบ้าหน้าดีขนาดนี้

ผมเสียบหูฟังก่อนจะเปิดเพลงเศร้าบิ๊วท์อารมณ์ตัวเองที่เพิ่งถูกทิ้ง มือก็โบกรถสองแถวเพื่อจะไปมหา’ลัย คือรถตัวเองน่ะมีครับ แต่ปัญหาคือไม่รู้ว่ากุญแจรถอยู่ส่วนไหนของห้อง คือผมน่าจะวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงนะแต่ไม่รู้มันหายไปไหน ช่างเถอะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมหากุญแจรถไม่เจอ

ชินแล้วแหละ

ชินเหมือนกับการอกหักอะ

ผมโหนรถสองแถวที่คนแน่นจัดๆ การขึ้นรถสองแถวมันเป็นความลำบากอย่างนึงของคนตัวสูงเลยนะ แต่ดูทรงก็คงไม่ได้มีแค่ผมที่ต้องยืนแล้วก้มหัวแบบนี้ เพราะคนข้างๆ ก็ก้มหัวเยอะอยู่เหมือนกัน เหมือนจะสูงกว่าผมด้วยแฮะ จะว่าไป....คนที่ตัวสูงกว่าผมนั้นคือก็เหล่าสหายรักทั้งสี่คนเลยนี่หว่า ทำไมพอคิดแบบนี้แล้วตัวเองดูเป็นคนตัวน้อยตัวนิดไปเลยวะ เอาจริงๆ ผมกับทะเลนี่ตัวพอๆ กันเลยนะ

ผมอาจจะตัวบางกว่านิดหน่อย

“โอ๊ยยยย”

เพล้งงงง

เชี่ย....น้องโทรศัพท์ของพี่เฌอ

“กระเป๋าเกี่ยวอะไรวะ ยิ่งรีบๆ อยู่” เสียงโวยวายดังออกมาจากผู้ชายคนนึงที่ท้ายรถ “หูฟังใครวะ”

ผมเดินตามลงมา “หูฟังผมเอง”

“ทำไมไม่ดูวะ เห็นป้ะว่ามันเกี่ยวกระเป๋าคนอื่นอะ”

“ผมหนีบสายหูฟังไว้กับช็อปตัวเองแล้วและผมก็มั่นใจว่ามันไม่ได้ไปรบกวนใคร แต่ตะขอกระเป๋าคุณนั่นแหละที่มาเกี่ยวหูฟังของผม อีกอย่างคุณขึ้นรถมาทีหลังนะ ผมก็ยืนของผมอยู่ดีดี” ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่จอแตกเป็นเสี่ยงให้อีกฝ่ายดู “ผมมากกว่าไหมที่เป็นฝ่ายควรหัวเสียเนี่ยะ”

“ช่วยไม่ได้ มึงไม่ระวังเอง”

ผมกระชากคอเสื้อคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ “....ว่ายังไงนะครับ ไหนพูดอีกทีซิ”

“.....”

“ไม่ปากดีแบบเมื่อกี๊อะครับ” ผมผลักคนตรงหน้าออก “คุณโชคดีนะที่วันนี้คู่กรณีคุณคือผม ถ้าคุณไปเจอคนที่เขาระงับอารมณ์ตัวเองไม่ได้เนี่ยะ เรื่องมันไม่ได้จบแบบนี้หรอกนะครับ และอีกอย่าง....”

“.....”

“ถ้ามีน้ำใจต่อคนรอบข้างบ้าง....ก็จะดีนะครับ” ผมบอกก่อนจะเดินกลับขึ้นมาบนรถสองแถวอย่างเดิม ไม่สนสายตาใครด้วยเพราะหงุดหงิด จะมองกันยังไง จะคิดยังไงก็ตามใจเลย

จิ๊....น้องโทรศัพท์เพิ่งซ่อมจอเมื่ออาทิตย์ก่อนเองไอ้เวรเอ๊ย

ผมว่าตัวเองควรใช้โทรศัพท์ที่ไม่ต้องมีลูกเล่นใดใดนอกจากโทรเท่านั้น เชื่อป้ะว่าปีนี้ผมเปลี่ยนโทรศัพท์มาเป็นเครื่องที่สี่แล้ว ส่วนมากจอแตกแล้วเครื่องรวน มีเมาแล้วทำหายไปเครื่องนึง เสียหายหลายหมื่นแล้วเนี่ย แม่งหงุดหงิดว่ะ ต้องส่งน้องโทรศัพท์ซ่อมจอ ระหว่างรอโทรศัพท์ซ่อมก็จะต้องไปเอาเครื่องเก่ามาใช้แทน

วันนี้แม่งอะไรวะเนี่ย

เอาน่ะ ถึงจะมีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นแต่ก็ยังดีที่ลุงขับรถสองแถวยังรอให้ผมทะเลาะกับไอ้เวรนั่นเสร็จ ไม่แน่นะ ที่มันแย่สุดก็อาจจะแค่ตอนนี้ก็ได้ ถ้ามองโลกในแง่บวก เดี๋ยวมันก็คงบวกเองแหละ จะว่าไปวันนี้ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก

แฟนบอกเลิก

หากุญแจรถไม่เจอ

โทรศัพท์จอแตก

งืม....ก็ยังได้อีกนะ

ผมกดออดรถสองแถวก่อนจะเดินลงไปจ่ายเงินลุง ตอนนี้เกือบ 10 โมงแล้วซึ่งผมมีเรียนตอนเที่ยงครึ่งครับ ยังมีเวลาเหลืออีกเยอะก็เลยกะว่าจะไปหาโจ๊กกินสักหน่อย พอคิดได้แบบนั้นผมก็ลากสังขารตัวเองดิ่งไปร้านโจ๊กหน้ามหา’ลัยทันที

“เอาโจ๊กหมูใส่ไข่ 1 ถ้วยครับ”

“นั่งรอแป๊บนึงนะพ่อหนุ่ม”

“ครับ” ผมเดินไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนจะหยิบน้องโทรศัพท์ขึ้นมากดดูโน่นนี่นั่น น้องมึงก็บอบบางจังเลย สงสัยจะร่วงในองศาพิสดาร จอถึงได้แตกเป็นเสี่ยงถึงขนาดนี้

“นี่โจ๊กหมูใส่ไข่นะลูก” ป้าส่งถ้วยโจ๊กให้ก่อนจะหันไปคุยกับลูกค้า “พ่อหนุ่มมานั่งนี่ก็ได้ ตรงนี้ยังว่างอยู่ที่นึง”

ผมตักผงพริกใส่โจ๊กพร้อมกับเหยาะน้ำปลาเพิ่มนิดหน่อยและก็ไม่ได้สนใจว่าใครจะมานั่งกินโจ๊กร่วมโต๊ะเดียวกันเพราะมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วสำหรับการแบ่งที่กันนั่ง จะว่าไป....ถ้าน้องแอมไม่บอกเลิกผม ป่านนี้สิ่งที่ผมกินคงเป็นน้องกะเพราเนื้อแล้วแหละ เออทำไมไม่ไปกินกะเพราเนื้อที่โรงอาหารคณะวะ เอ้ยไม่ได้ดิ ถ้าไปน้องกะเพราที่ร้านอาหารคณะ น้องกะเพราที่หอผมคงเสียใจแย่

น้องคงคิดว่าตัวเองผิดอะไรทำไมผมไม่กินน้อง

ไม่เอาๆ ผมจะไม่ทำให้น้องกะเพราที่หอรู้สึกเสียใจเด็ดขาด

หลังจากที่นั่งโจ๊กอยู่พักใหญ่ น้องโทรศัพท์ของผมก็เกิดอาการสั่นด๊อกแด๊ก มีคนโทรมาครับ หน้าจอชื่อว่าเจ้าแช่มเพื่อนรักสงสัยคิดถึงแหละ พอคิดได้ว่าเพื่อนรักจะทนความคิดถึงไม่ไหวผมจึงกดรับสาย

“ว่า.....”

(โดดเรียนเหรอ)

“โดดเรียนไรวะ วันนี้เรียนเที่ยงครึ่ง”

(ไอ้เฌอ)

“ห้ะ”

(วันนี้วันอังคาร วันอังคารเรียน 9 โมงครึ่ง วันที่เรียนเที่ยงครึ่งมันวันพุธกับวันพฤหัสโน่น นี่มึงจำวันผิดขนาดนี้เลยอ๋อ ไปหาหมอบ้างนะ ควรเช็กสมองอะ)

มาเป็นชุดเลยนะไอ้เวร

“เออๆ ก็แค่จำวันผิดป้ะวะ เดี๋ยวกูรีบไปละกัน” ผมกดวางสายก่อนจะลุกไปจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้าน แม่งเอ๊ย วันนี้วันอังคารเหรอวะ แล้วทำไมสมองถึงจำว่าเมื่อวานเป็นวันพุธเนี่ยะ

แม่ง....งงว่ะ

ช่างแม่งเถอะ วันที่ 13 ทีไรมันก็มักเป็นแบบนี้แหละ แทนที่จะเอาเวลามานอยด์แดกกับชีวิตตัวเอง ผมควรรีบไปเรียนก่อนดีกว่า คืออยากวิ่งนะ แต่โจ๊กอัดอยู่ในท้องคงได้ทะลุออกทางปากแหละ ผมอาศัยวิธีการเดินเร็วไปที่ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ ห้องที่เรียนอยู่ชั้น 3 ครับ ริมสุดติดทางเดินที่ไฟพังแล้วก็ไม่มีใครซ่อมสักที ตอนกลางคืนโคตรน่ากลัวเลยอะ ลองนึกภาพช่วงที่ต้องทำงานอยู่คณะยันดึกดื่นดิ

ชีวิตโคตรน่าสงสารเลย

ผมเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ให้อาจารย์วิชัย “ผมมาสายครับ”

“รู้ตัวหนิ จำวันผิดอีกรึไง”

“ใช่ครับ นึกว่าวันพฤหัสฯ ”

“ไปนั่ง....แต่ผมเช็กสายไปแล้วนะ”

“ครับ” หลังจากที่รับคำอาจารย์เรียบร้อยผมก็เดินมานั่งระหว่างเพื่อนแช่มและเพื่อนขัน “ไม่ต้องหาเรื่องดุกูเพิ่มนะ มึงไม่รู้หรอกว่าวันนี้กูเจออะไรมาบ้าง”

“วันนี้วันที่ 13 ”

“อกหักมาอะดิ”

“พวกมึงรู้ได้ไงเนี่ยะ”

“เป็นธรรมเนียมปกติป้ะวะ ใครไม่รู้เรื่องนี้บ้าง” ไอ้ขันบอกก่อนจะยกมือแตะไหล่ผมเบาๆ “พี่ขันเสียใจกับน้องเฌอด้วยนะคะ อยากปลอบใจเหมือนกันแต่ติดตรงที่พี่มีเมียแล้ว”

“สะเหล่อ” กูจะฟ้องไอ้หมีให้ด้วย

“เออแล้วชีทอะเฌอ มึงลืมเอามาเหรอ”

ชีท....

“เชี่ยยยย ลืมไว้ร้านโจ๊ก” ผมทำท่าจะลุกออกจากเก้าอี้แต่ชริตเป็ดรั้งแขนไว้ซะก่อน “กูจะไปเอาชีท”

“ป่านนี้คงอยู่มั้ง ช่างมัน ดูจากสมุดกูก็ได้ กูสรุปให้หมดแล้ว”

“เออๆ ”

วันนี้คงเป็นวันเฮงซวยของผมจริงๆ อะ ชีทที่ลืมไว้ร้านโจ๊กนั่นสำคัญมากเลยนะ คือผมเนี่ยะ ไม่มีสมุดเลคเชอร์เหมือนคนอื่น อาศัยการจดลงชีทอย่างเดียว เขียนแล้วมีตัวการ์ตูนประกอบอย่างน่ารัก ใช้มาทั้งเทอมแต่สุดท้ายแล้วก็ไปลืมไว้ร้านโจ๊ก อยากได้ก้านมะยมว่ะ คือชรันควรโดนตีจนขาลาย โทษฐานขี้ลืมแบบปลาทอง

โวะ หงุดหงิดโคตรๆ

“อยากแดกเบียร์ออื้อออ.อ.....” มือเรียวของไอ้ขันยกขึ้นปิดปากผมซึ่งเป็นขณะเดียวกันกับที่ทุกคนหันมามอง อาจารย์วิชัยก็เป็นหนึ่งในนั้น

อย่าบอกนะว่าเผลอออกเสียงไปอะ

“กลับหอไปนอนไหมชรัน เธอดูเหมือนไม่ค่อยมีสตินะ”

ผมแกะมือไอ้ขันออก “ขอโทษครับอาจารย์ ผมคงนอนน้อยไปหน่อย”

“เหมือนคนไม่ได้นอนเลยมากกว่า จดต่อ”

“ครับ” ผมยกมือขึ้นลูบตัวเองเพื่อตั้งสติ

“มึงไหวป้ะเนี่ย เกิดไรขึ้นบ้างไหนบอกมาซิ”

“ก็เมื่อเช้าน้องแอมบอกเลิกกู กูก็เสียใจมากๆ แล้วก็ขึ้นสองแถวมาเรียนเพราะหากุญแจรถไม่เจอ แล้วก็มีกระเป๋าของไอ้เวรที่ไหนไม่รู้มาเกี่ยวสายหูฟังกูจนน้องโทรศัพท์กูร่วงแล้วหน้าจอแตกยับ จากนั้นกูก็ไปกินโจ๊ก ลืมชีทไว้ร้านโจ๊ก จำวันผิดจนมาเรียนสาย”

“น่าสงสารเนอะ แฟนคนที่เท่าไหร่แล้ววะ”

“สองแสนแล้วมั้ง”

“พูดเป็นเว่อร์” ไอ้ขันหยิบลูกอมในกระเป๋าส่งมาให้ผม “เอาน่ะ มันคงไม่แย่ไปทุกอย่างหรอก”

แย่ดิ

แย่ตั้งแต่เป็นวันที่ 13 แล้ว

ผมแกะลูมอมก่อนจะส่งเข้าปาก ในหัวก็คิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนตื่น นี่แค่ครึ่งวันเองนะ เมื่อก่อนผมเคยคิดว่าตัวเองคิดมากไปเรื่องวันที่ 13 หรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเลข 13 จนแบบพอโตมาเรื่อยๆ ก็คิดว่าแม่งต้องใช่แน่ คนเราอาจจะมีหนึ่งวันที่ถูกกำหนดไว้ให้เป็นวันเฮงซวยของชีวิตก็ได้ ชีวิตผมในวันอื่นๆ มันไม่ขนาดนี้อะ โชคร้ายสุดก็แค่เดินชนประตู แล้วเนี่ยะ ความรู้สึกที่อยากกินเหล้าเมาหัวทิ่มแต่หัววันก็เข้ามา

ผมถือคติว่าเมาให้สุดแล้วหยุดที่พุ่มไม้ครับ

“คืนนี้ไปกินเหล้ากันไหม”

“ขอผ่านว่ะ กูบำบัดอยู่ กินเหล้าไม่ได้” เพื่อนแช่มบอกพร้อมทำหน้าเศร้า “ไว้จะรีบหายเพื่อไปกินเหล้าเป็นเพื่อนนะ”

“เออรีบหายแล้วกันไอ้เวร แล้วมึงอะขัน”

“ไปไม่ได้ว่ะ วันนี้วันเกิดแม่ กูต้องกลับไปกินข้าวบ้าน”

ผมหันไปมองเพื่อนรักอีกสองคนด้านหลัง “พวกมึงอะ”

“กูไม่สบายเนี่ยะ มึงเห็นคูลฟีเวอร์ไหม ให้ผมกินเหล้า ให้ผมตายไปเลยดีกว่า”

“กูมีธุระกับพ่อ วันนี้คงมีแค่มึงคนเดียวแหละเฌอ”

งื้อออ...อ....อย่าพูดแบบนั้นนะจันทร์ฉาย

อย่าพูดว่ามีแค่กู

ผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีเพื่อนว่างเลยสักคนอะ ตอนแรกที่ว่ารู้สึกเศร้าแม่งก็ยิ่งเศร้าไปใหญ่ ปกติแล้วผมไม่ได้มีปัญหากับการไปกินเหล้าคนเดียวป้ะวะ แต่วันนี้มันอกหักไง ผมก็อยากได้เพื่อนสักคนที่รับฟังผม ความจริงคือถ้าไอ้หมีไม่ต้องไปกับไอ้ขัน ผมก็ชวนมันไปด้วยแล้ว เห้อะ เบื่อจริงพวกมีพันธะ แต่ไม่เป็นไร ผมไปคนเดียวก็ได้ แค่กินเหล้าเอง ถ้าเหงามากๆ ก็คุยกับตัวเอง

เก่งอยู่แล้วเรื่องนั่นน่ะ

   

***

   

“กอดแน่นแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องปล่อย ฝันดีแค่ไหนสุดท้ายก็ต้องตื่น....”

ผมโคตรชอบประโยคนี้เลย

เพลงเศร้า เหล้าและคนอกหัก องค์ประกอบนี้มันดูลงตัวดีจริงๆ วันนี้หนักหน่อยเพราะมานั่งอยู่คนเดียวและเชื่อได้เลยว่าถ้าลุกออกจากเก้าอี้ตอนนี้ ผมอาจจะหัวทิ่มอยู่แถวหน้าเคาน์เตอร์นี้เนี่ยแหละ ผมนั่งดื่มย้อมใจมาสักพักแล้ว เบียร์หมดไปสองโปรและตอนนี้เหล้ากำลังจะหมดตามไป คือกินหนักแบบตั้งใจสติหลุด กินให้เลอะเลือนไปชั่วขณะ กินทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ได้ดีต่อสุขภาพเลยแต่ก็เลือกที่จะกิน

เจ็บปวดหัวใจว่ะ

ทำไมผมต้องโดนทิ้งอยู่ตลอดด้วย

“อาการมันเป็นยังไงไหนบอกเฮียซิ”

“อกหัก แฟนบอกเลิกอีกแล้วเฮีย” ผมมองแก้วเหล้าที่เฮียเจ๋งชงส่งมาให้พลางเบะปาก “น้องแอมบอกว่าเฌอดีเกินไป ทำไมอะเฮีย เป็นคนดีแล้วไม่ดีเหรอ”

“เป็นคนดีน่ะดีแล้ว เฌอแค่ไม่ใช่สำหรับเขามากกว่า”

“งั้นเฌอก็ไม่เคยใช่สำหรับใครเลย” ผมยกน้ำสีอำพันขึ้นกระดกลงคอจนหมด อื้อออ...บาดคอชะมัด ออนเดอะร็อคนี่รุนแรงจริงๆ

“คิดแบบนั้นจริงๆ เหรอ”

“ใช่สิ รอบนี้นะ เฌอจะโสดไปสักสามปี”

“เฌอทำไม่ได้หรอกเพราะกับคนก่อนเฌอก็พูดแบบนี้ ตอนนั้นอกหักก็มาร้านเฮีย อาทิตย์นึงให้หลังก็มีแฟนใหม่ พอผ่านไปสองอาทิตย์ก็อกหักอีก เนี่ยะ เดี๋ยวเดือนหน้าเฌอก็มีแฟนใหม่แล้ว”

“เฮียรู้ได้ไง”

“เพราะใส่ใจถึงได้รู้ไง” มือเรียวขยี้หัวผมเบาๆ “ความจริง ถ้าเฌอไม่ใจดีกับทุกคนที่เข้ามา เฌอก็อาจจะไม่เสียใจแบบนี้ก็ได้”

“ก็คงงั้น” ผมกระดกเหล้าลงคอไปอีกแก้ว “เดี๋ยวมานะเฮีย ไปสูบบุหรี่แป๊บ”

“เดินไหวเหรอ”

“ไหวดิเฮีย แค่นี้จิ๊บๆ ” ผมบอกพลางลุกออกจากโต๊ะ ส่ายหัวสองสามทีเพื่อตั้งสติก่อนจะลากสังขารตัวเองเดินออกไปทางหลังร้าน โอ๊ยยยย ทำไมมันควบคุมร่างกายลำบากแบบนี้ล่ะ

ป้อแป้มากจะบ้าตาย

ผมล้วงกระเป๋าหลังกางเกงเพื่อจะหยิบตลับบุหรี่ออกมา เอ๊ะ ทำไมเบาโหวงแบบนี้ อย่าบอกนะว่าหมดอะ พอเปิดตลับดูก็เป็นแบบที่คิดจริงๆ ครับ บุหรี่หมด คือเซเว่นฯ เนี่ยะอยู่ห่างไปประมาณร้อยเมตรได้ ไม่ไกลนะแต่อาจจะเมากลิ้งอยู่ข้างทางก่อน เออเอาน่ะ ไม่ใช่ครั้งแรกที่กลิ้งสักหน่อย แค่ตั้งสติเอาไว้ดีดีเราก็จะเดินไปถึงได้โดนสวัสดิภาพ

“อื้อออ....” ผมเดินไปเซเว่นฯ ด้วยความทุลักทุเล ทำไมทางเดินมันคดเคี้ยวแบบนี้วะ แล้วไอ้อาการพะอืดพะอมนี้มันคืออะไรเนี่ยะ

เหมือนจะอ้วกอะ

ปั้กกกก

“โอ๊ยยยย” ผมชันตัวเองขึ้นมาหลังจากที่สะดุดฟุตปาธล้มลงอยู่เยื้องๆ เซเว่นฯ ฮ่าๆ ๆ ๆ สะเหล่อชิบหาย ทำไมสภาพมันดูน่าสมเพชแบบนี้วะ

เป็นแบบนี้มันไม่ดีเลยป้ะเฌอ

ผมมองแผลถลอกเป็นทางยาวที่ฝ่ามือ เจ็บแต่ยังไม่เท่ากับเจ็บใจ สติผมยังรับรู้เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นถึงมันอาจจะประมวลผลช้าไปหน่อย แต่ร่างกายเนี่ยะ ไม่ได้ดั่งใจเลย เออส่วนนึงก็เพราะกินเหล้าเข้าไปเยอะมากนั่นแหละ ตอนนี้ผมควรเข้าเซเว่นฯ ไปซื้อยาแทนที่จะซื้อบุหรี่ ไม่ดิ ก็ซื้อทั้งสองอย่างนั่นแหละ พอคิดได้แบบนั้นผมก็ชันตัวเพื่อลุกขึ้นยืนอีกรอบแต่เสียหลักไปด้านหลังแทน

“เห้ยยยย”

ไม่เจ็บ

“เป็นอะไรไหมครับ” เสียงของคนที่รั้งแขนผมไว้เอ่ยถาม “ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม”

“อื้อออ..อ...” ผมดันเขาออกก่อนจะพุ่งไปอ้วกกับพุ่มไม้ แค่กกก...ก....ทรมานว่ะ ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายนะเฌอ ครั้งหน้าไม่เอาแล้ว โคตรหมดสภาพเลยว่ะ

สัมผัสได้ถึงแรงลูบเบาๆ ที่หลังพร้อมกับมือที่ส่งขวดน้ำมาให้ “น้ำครับ”

“....ขอบคุณ” ผมใช้น้ำนั่นล้างหน้าล้างตาพร้อมกับล้างปากไปด้วย เวียนหัวว่ะ สงสารตัวเองก็สงสารนะ แต่สงสารคนที่มาช่วยมากกว่า เหมือนผมเป็นเวรกรรมของเขาเลย

ขอโทษนะพ่อหนุ่ม

ผมหวังจะลุกขึ้นยืนแต่ขาก็อ่อนแรงจนทรุดลงไปอีกรอบ ร่างสูงของผู้ชายคนนั้นพยุงผมเอาไว้ ภาพที่ผมเห็นมันเลือนลางมากเลย และดูเหมือนสติใกล้จะหลุดอยู่รอมร่อ ผมรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรที่ทำให้ผมกลายเป็นแบบนี้ ทุกครั้งผมไม่เคยอยากให้ใครต้องมาลำบากเพราะตัวเองเลย ผมผิดเองที่เมาแล้วดูแลตัวเองไม่ได้ ผม.....

ผมน่ะ....

“พี่ครับ.....”

นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนที่จะไม่รับรู้อะไรอีกเลย....

   

***

   

“อื้อออ.อ....เย็น”

นุ่มด้วย

ผมเหมือนตกอยู่ในห้วงของความฝัน อาการกึ่งหลับกึ่งตื่นนี่ทำให้รู้สึกปวดหัวแต่ลืมตาไม่ขึ้น ใช่ ผมเมาและกำลังพร่ำเพ้อในใจไปเรื่อยเปื่อย ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและคงไม่ใช่พุ่มไม้หรอก มันไม่มีทางที่พุ่มไม้จะนุ่มและอุ่นถึงขนาดนี้

“ผมทำแผลให้แล้วนะครับ พี่ต้องล้างแผลทุกวันนะ”

เสียงใคร

“อื้มมม..ม...” ผมลืมตามองเจ้าของเสียงพูดอย่างยากลำบาก “.....ใคร”

“ผมช่วยพี่เอาไว้น่ะครับ”

งั้นเหรอ....ช่วยผมเหรอ

“ขอบคุณนะ” ผมพยายามดึงสติอันน้อยนิดที่มีอยู่เพ่งมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงแบบชัดๆ แต่เพ่งยังไงมันก็ไม่ชัดไปกว่าที่เป็นอยู่ ภาพที่เห็นเป็นเงาลางๆ เท่านั้น

ช่างมันเถอะ....อย่าฝืนตัวเองไปมากกว่านี้เลยเฌอ

“วันนี้คงเป็นวันที่แย่สำหรับพี่เลยสินะครับ”

“หึ....คุณรู้ได้ยังไง แต่มันก็จริงนะ” ผมตอบเขาไปด้วยเสียงอ้อแอ้ “ผมน่ะมีแฟน เธอน่ารักมาก แต่เธอบอกเลิกผมเมื่อเช้า เธอบอกว่าผมดีเกินไป ทำไมอะ....ทำไมต้องเอาเหตุผลนี้มาอ้างด้วย แค่บอกมาว่าไม่ได้รักกันแล้วมันจะยากอะไรวะ จะพูดให้สวยหรูทำไม ผมแม่ง....โคตรเสียใจเลย อะไรที่คิดไว้ว่าจะทำด้วยกัน ก็ไม่ได้ทำแล้ว”

   “.....”

“ผมน่ะ....ทำอาหารอร่อยมาก แต่ละคนที่เข้ามาในชีวิต บอกว่าอยากกินอาหารที่ผมทำ แต่สุดท้ายแล้ว....ก็ไม่มีใครอยู่กินมันสักคน”

การมีความรักในแต่ละครั้งผมก็หวังให้มันเป็นครั้งสุดท้ายทั้งนั้น ผมไม่คิดถึงวันที่ต้องเลิกหรือจากกัน ผมไม่เคยทำใจรอเรื่องแบบนี้เลย ไม่ว่าใครที่เข้ามาในชีวิตของผม คนที่เข้ามาเป็นแฟนของผม ผมนึกถึงแต่อนาคตข้างหน้าที่เราจะสร้างมันด้วยกันเสมอ แล้วพอทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามแบบที่ผมคิด มันก็เสียใจอะ ผมเนี่ยะ คนอย่างผม....จะไม่สมหวังในความรักกับเขาสักครั้งเลยเหรอ

ต้องเสียใจอีกแค่ไหนถึงจะพอวะ

“คุณ....”

“ว่าไงครับ”

“วันนี้มีเรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นกับผมเยอะเลย ผมไม่ชอบวันนี้จริงๆ วันที่ 13 น่ะ ไม่ใช่สิ....อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเลข 13 ”

“.....”

“ผมไม่ชอบมันเลย”

.

.

.

.

.

.

TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งนิยายเรื่องใหม่ เรื่องสุดท้ายของเลิฟไรท์โปรเจ็กต์ซึ่งชาลรอคอยที่จะได้เขียนมานานมาก ค่อนข้างคาดหวังมากด้วยเพราะว่าเรื่องก่อนหน้าดราม่ามาก ปวดหัวใจ เราจะมาฮีลลิ่งกันด้วยเรื่องนี้นะคะ เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อรอติดตามนะค้าบ

สามารถติดต่อชาลได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านค่า
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 1 : 1/6/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: snoopyme ที่ 06-01-2020 22:07:41
ติดตามน้า
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 1 : 1/6/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 07-01-2020 00:20:33
น่าติดตามครับผม,,,
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 2 : 7/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 07-01-2020 19:17:33
บทที่ 2 เจ้าของห้อง



“อื้อออ....เวียนหัวชิบหาย”

กี่โมงกี่ยามแล้ววะเนี่ย

ผมลืมตาช้าๆ ก่อนจะบิดไปมาด้วยความเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว ปวดข้อมืออะ แล้วก็รู้สึกว่าเนื้อตัวมันโล่งมาก ไหนจะกลิ่นหอมๆ ที่บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่ตัวเองคุ้นเคยอีก เตียงผมไม่เคยนุ่มแล้วมีกลิ่นหอมแบบนี้เลย แสงแดดที่ส่องเข้ามาได้นี่ก็ด้วย ปกติแล้วห้องของชรันนั้นต้องปิดตาย ไม่มีแสงแดดใดสามารถเข้าถึงได้

นี่อยู่ไหนวะเนี่ย

ผมชันตัวขึ้นก่อนจะหันมองรอบๆ ห้อง ซึ่งเป็นห้องของใครไม่รู้ครับ ก้มมองตัวเองก็พบว่ามีเพียงบ๊อกเซอร์แค่ตัวเดียวที่ใส่อยู่ ที่มือข้างซ้ายมีผ้าพันแผล พันยาวไปจนถึงข้อมือ ช่วงขาลามไปจนเข่ามีรอยช้ำและผมก็รู้สึกปวด เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นวะ จำได้แค่ว่าไปกินเหล้าร้านเฮียเจ๋ง เมามาก แล้วก็....แล้วก็อะไรไม่รู้อะ ยังไม่ได้จ่ายค่าเหล้าเฮียเจ๋งแน่ๆ เลย แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยเข้าไปจ่ายวันนี้ เรื่องนี้อะเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องใหญ่คือตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนเนี่ยะ

ห้องใครเขาวะ

ห้องนี้เป็นระเบียบมาก ดูสะอาด นอกจากเตียงที่เป็นสีขาวล้วนแล้ว ของอย่างอื่นที่อยู่ในห้องนั้นเป็นสีโทนพาสเทลไปทางเขียว ชมพู ม่วง ฟ้า เหมือนห้องผู้หญิงเลยครับ ของใช้หลายอย่างเป็นลายลิตเติ้ลทวินสตาร์ มีเครื่องฟอกอากาศด้วย ผมเห็นที่หน้าตู้มีเสื้อกับกางเกงของตัวเองแขวนอยู่พร้อมกับมีโพสอิทแปะติดเอาไว้ด้วย พอเห็นแบบนั้นผมจึงเดินไปดู ข้อความสั้นๆ ที่ถูกเขียนเอาไว้นั้นบ่งบอกว่าเสื้อผ้าผมซักและรีดเรียบร้อยแล้ว

กริบมาก

ผมไม่เคยรีดผ้าได้เรียบแบบนี้เลย

“นี่ห้องแม่ศรีเรือนป้ะวะ” ผมเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะก่อน มือเอื้อมไปหยิบมาดูก็พบว่าตอนนี้เกือบ 11 โมงแล้ว วันนี้วันพุธ ผมมีเรียนตอนเที่ยงครึ่งเหมือนวันพฤหัสฯ เดี๋ยวรีบแต่งตัวแล้วไปเรียนดีกว่า

“อ่าวน้องงง อย่าเพิ่งดับ” น้องโทรศัพท์ดับไปต่อหน้าต่อตาผม แบตฯ หมดอะไรตอนนี้ล่ะฮัลโหล แล้วพี่เฌอมีน้องแค่เครื่องเดียวด้วยนะ อย่าทำแบบนี้กับพี่สิ

ผมวางน้องโทรศัพท์ไว้ที่เดิมอย่างเซ็งๆ ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองมาใส่ ดีนะว่าเป็นเชิ้ตขาว ต่างจากเสื้อนักศึกษาแต่ก็พอหยวนๆ ได้แหละ เอาน่ะ ปกติก็ไม่ได้จริงจังกับการแต่งตัวขนาดนั้นอยู่แล้วป้ะวะ ไม่ใส่ช็อปสักวันก็ไม่เป็นไรหรอก สิ่งที่น่ากังวลตอนนี้มากกว่าการแต่งตัวคือกระเป๋าสตางค์เนี่ยะ อยู่ที่ร้านเฮียเจ๋ง คือทุกอย่างอยู่ร้านเฮียเจ๋งและผมมีแค่โทรศัพท์ติดตัวเท่านั้น แล้วน้องก็แบตฯ หมดไปแล้วด้วย

วันนี้ก็วันที่ 14 ป้ะ

โชคควรจะดีขึ้นสักจึ๋งนึงแล้วอะ

ในขณะที่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ผมก็หันไปเห็นแบงค์ห้าร้อยวางอยู่พร้อมกับโพสอิทใบนึง ข้อความเขียนเอาไว้บนนั้นว่า ‘ค่ารถ - ฝากล็อกห้องให้ด้วย’ เดี๋ยวก่อนนะ ขอประมวลผลในสิ่งที่เกิดขึ้นแป๊บ คือผมจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ไม่รู้ว่าตัวเองมาที่ห้องนี้ได้ยังไงและมีอะไรเกิดขึ้นไหม แต่สิ่งที่รู้แน่ๆ คือเจ้าของห้องเนี้ยะ ใจดีเกินไปแล้ว ซักเสื้อผ้าให้ รีดให้อย่างเรียบ ทำแผลที่มือให้ซึ่งผมไม่รู้ว่าตัวเองไปโดนอะไรมา นอกจากนี้ยังทิ้งค่ารถไว้ให้อีก เหมือนกับรู้ว่าผมไม่มีเงินติดตัว

ก็คงรู้แหละ จับผมลอกคราบเหลือแค่บ๊อกเซอร์ขนาดนี้

ถ้าคิดในแง่ร้ายคืออาจจะเกิดเรื่องไม่ดีกับผม ชรันอาจจะโดนปู้ยี่ปู้ยำไปแล้ว เงินห้าร้อยบาทคือค่าตัวสำหรับเมื่อคืน โหย คิดในแง่ร้ายแล้วรู้สึกแย่ชิบหาย ถ้าคิดแล้วรู้สึกแย่ขนาดนี้งั้นผมคิดในแง่ดีละกัน เจ้าของห้องก็แค่เป็นคนใจดีแบบที่เราไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนเท่านั้นเอง ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่เดี๋ยวก็คงต้องตอบแทนเขาแหละ อย่างน้อยเงินห้าร้อยบาทที่เขาให้ไว้เป็นค่ารถ ผมก็ต้องคืน แต่ตอนนี้ต้องไปเรียนก่อน

ไม่รู้เลยว่าห้องนี้มันอยู่แถวไหน

หลังจากที่แต่งตัวเสร็จผมก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับล็อกเอาไว้ตามคำขอในโพสอิท ดูทัศนียภาพรอบๆ ก็รับรู้ได้เลยว่านี่คือคอนโดฯ G อยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัยเท่าไหร่ ประมาณ 4 ป้ายรถเมล์เท่านั้น จะว่าไปเจ้าของห้องเมื่อกี๊ก็น่าจะไม่ลำบากเรื่องเงินนะครับ ค่าเช่าคอนโดฯ นี้ก็แพงกว่าห้องผมเท่านึงอะ ใครที่ชอบความเป็นส่วนตัวและมีเงินหน่อยก็ควรมาอยู่ที่นี่แหละ ถ้าสงสัยว่าผมรู้ได้ไงเรื่องคอนโดฯ G นั่นเป็นเพราะแฟนเก่าเคยอยู่ที่นี่ไง

น้องแอนท์ปี 2 คณะบัญชี

ผู้ที่ให้เหตุผลว่าผมดูแลเธอดีเกินไปจนเธอรู้สึกอึดอัด

ช่างเถอะ เรื่องมันเป็นอดีตไปแล้ว จำเอาไว้ได้แต่ไม่ต้องเก็บเอามาใส่ใจแล้วแหละ ผมเดินลงมารอรถที่ป้ายรถเมล์เพื่อจะไปมหา’ลัย ป่านนี้เพื่อนๆ น่าจะเป็นห่วงอยู่บ้างแหละเพราะติดต่อไม่ได้เลยตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากที่รอรถอยู่พักใหญ่ รถสองแถวเจ้ากรรมก็ผ่านมา ผมโบกน้องรถก่อนจะขึ้นมาด้านบน วันนี้คงไม่มีใครเกี่ยวสายหูฟังจนโทรศัพท์ผมร่วงจอแตกอีกรอบแน่นอนครับเพราะว่าวันนี้ไม่มีหูฟังไง

ไม่มีหูฟังไม่เท่าไหร่

ไม่มีโทรศัพท์ด้วย

ผมลูบๆ คลำๆ ตามกระเป๋ากางเกงยีนส์ทั้งหน้าและหลัง ไอ้เวรเอ๊ยยยย ลืมโทรศัพท์ไว้ในห้องนั้น โอ๊ยแม่ง เวรกรรมอะไรของผมวะเนี่ย ย้อนกลับไปเอาก็ไม่ได้ด้วยเพราะห้องมันล็อกไปแล้ว จิ๊....ผมควรไปหาหมอจริงๆ แบบที่ไอ้แช่มบอก ไปเช็กสมองนั่นแหละ ทำไมเป็นคนขี้ลืมอะไรอย่างนี้วะ นิสัยนี้แก้ไม่หายสักที เป็นมาตั้งนานและมันก็ทำให้ตัวเองกับคนรอบข้างลำบากไปด้วยอีก

บัดซบจริงๆ เลยเฌอ

พอถึงป้ายมหา’ลัยผมก็กดออดก่อนจะเดินลงมาจ่ายเงิน “ขอโทษนะครับลุง ผมมีแต่แบงค์ใหญ่จริงๆ ”

“ไม่เป็นไรพ่อหนุ่ม แป๊ปนะ” ลุงรับแบงค์ห้าร้อยไปก่อนจะหยิบเงินทอนให้ผม

“ขอบคุณครับ” ดีนะว่าเจอลุงขับรถใจดีที่ไม่โวยวายใส่เวลาใช้แบงค์ใหญ่จ่ายเงิน คือผมเคยเจอแบบนี้แหละ ตอนนั้นจ่ายแบงค์ร้อย คนขับก็บ่นใส่ว่าทำไมไม่เตรียมแบงค์ย่อยหรือเศษเหรียญ แต่แบบบางทีเราก็ไม่ได้มีติดกระเป๋าเสมอไปป้ะ

บางทีมันฉุกละฮุกจริงๆ อย่างวันเนี้ยะ

ผมเดินเข้ามหา’ลัยมาแบบเก๊กขรึมทำหน้านิ่งเป็นปกติเหมือนอย่างทุกวัน สถานที่แรกที่ชีวิตต้องไปคือโรงอาหารคณะครับ เพื่อนๆ น่าจะนั่งกินข้าวและรอทราบข่าวความเป็นไปของผมอยู่ เชื่อป้ะว่ามองเห็นมือของตัวเองที่มีผ้าพันแผลก็หยุดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมไปทำอะไรมาถึงได้เจ็บตัวแบบนี้ มันไม่ได้มีแค่แผลที่มือไง ตั้งแต่ต้นขาไปจนหัวเข่าก็ช้ำ ลักษณะแบบนี้ใกล้เคียงกับการเมาแล้วล้มมากที่สุด

สะเหล่อมากพวกเมาแล้วล้ม

เฌอคือหนึ่งในนั้นแหละ

“โน่น มาโน่นแล้ว”

“หายไปไหนมาวะ”

ผมเดินมานั่งลงข้างเพื่อนแช่มที่โต๊ะประจำ “ไม่ได้หายไปไหน คืองี้นะ....เมื่อคืนอะ กูเมามาก มึงไม่รู้หรอกว่ากูเจออะไรมาบ้าง”

“แล้วไปเจออะไรมาล่ะ” ทะเลเอ่ยถาม

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“เอ้า หมายความว่าไงไม่รู้”

“ก็ไม่รู้ไง บอกแล้วว่าเมามาก จำอะไรไม่ได้สักอย่าง” ผมคว้าน้ำแดงของไอ้ขันมากิน “ดีใจจัง พวกมึงดูเป็นห่วงกู”

“ห่วงดิ มึงฉลาดน้อยกว่าคนอื่นแบบนี้ ไม่ให้เป็นห่วงได้เหรอ” จันทร์ฉายบอกพร้อมกับโขกหัวผมไปทีนึง

“เหมือนโดนด่ายังไงก็ไม่รู้ว่ะ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่พวกมัน “เดี๋ยวกูไปซื้อข้าวก่อนละกัน” พูดจบผมก็ลุกไปซื้อข้าว เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้หมีเดินมาที่โต๊ะพอดี คงมาหาไอ้ขันแหละ เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงตอนที่น้องแอมชอบเดินมาหาบ่อยๆ เหมือนกันนะ

พอเลยตัวกู

เลิกคิดเดี๋ยวนี้น้า

หลังจากที่ได้ราดหน้ายอดผักผมก็เดินกลับมาที่โต๊ะ ฟีลชีวิตตอนปี 4 แม่งโคตรต่างจากตอนเฟรชชี่เลย แก๊งค์ว้ากของผมสมัยเป็นเฟรชชี่คือโซฮอตมาก เป็นที่รู้จักกันในคณะอย่างกว้างขวาง เป็นตัวท็อปต่างๆ อย่างไอ้ขันคือเรียนเก่งแบบเก่งชิบหาย หล่อยืนหนึ่งก็ทะเล ตัวใหญ่เป็นยักษ์ก็จันทร์ฉายกับชริตเป็ด ส่วนผมก็เป็นคนที่เคยเข้าใกล้ตำแหน่งเดือนคณะมากที่สุด แต่เก็ทฟีลตอนนั้นว่ารำคาญทุกสิ่งอันบนโลกป้ะ งานกิจกรรมอะไรเข้ามาผมปัดตกหมดเลย

แค่เรียนก็เหนื่อยแล้วไอ้เวร

จนชีวิตมาพลิกผันช่วงเป็นคณะกรรมการนักศึกษานั่นแหละ ปี 2 ก็จัดการเรื่องสันทนาการ ปี 3 เป็นคณะว้าก ส่วนปี 4 ก็จะเป็นบ้าอยู่แล้วเนี่ย ดีนะที่ว่าผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรที่มันหนักหน่วงเหมือนไอ้ขันมัน เคยมีความคิดกับไอ้แช่มด้วยว่าอยากจับไอ้ขันมาชำแหละเพื่อดูว่าข้างในตัวมันมีอะไรประกอบอยู่บ้าง อะไรที่ทำให้มันมีความรับผิดชอบต่อชีวิตได้สูงขนาดนั้น แต่เรื่องไหนที่มันโง่มาก มันก็โง่เลยนะ

อย่างเรื่องไอ้หมีเนี่ยะ

“พี่เฌอ”

“หืม....”

“เมื่อคืนเฮียเจ๋งโทรมาถามหมีด้วยว่าพี่หายไปไหน”

“อ๋อ กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองหายไปไหนมา”

“ได้ไง”

“อันนี้ไม่รู้จริงๆ จำไม่ได้เลยอะว่าเมื่อคืนมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”

“เมาหนักเลยอะดิ แต่นี่ยังดีนะที่ไปร้านเฮียเจ๋ง” ไอ้หมีเอียงหัวเข้ามาใกล้ “แย่ขนาดนั้นเลยเหรอพี่”

“ก็เหมือนทุกทีป้ะวะ” อกหักทีไรผมก็มักจะให้เหล้าปลอบใจเสมอ เนี่ยะ เดี๋ยววันที่ไปเช็กสมองน่าจะต้องตรวจสภาพตับด้วย ตับอาจจะแข็งไปแล้ว 80%

“รอบนี้ไม่เหมือนนะ เพราะไม่มีคนอื่นไปเก็บซากพี่ คือตอนแรกที่เฮียเจ๋งโทรมาบอกหมีอะ หมีคิดแล้วว่าน่าจะพุ่มไม้สักพุ่มแหละ แต่พอเมื่อเช้าไปตามหาก็ไม่เจอ โทรหาพี่เท่าไหร่ก็โทรไม่ติด”

“อันนี้จริง” ไอ้ขันชะเง้อหน้ามามอง “โทรศัพท์มึงไปไหนอีกแล้ว”

“อืม....ไม่รู้ว่ะ กูน่าจะทำหายแหละ” ผมตักผักคะน้าเข้าปากเพื่อกลบเกลื่อน คือถ้าบอกว่าลืมไว้ที่ห้องใครไม่รู้มันก็จะสงสัยอีก แล้วถ้าบอกว่าลืมไว้ที่ห้องตัวเองมันก็ไม่ใช่อีกเพราะทุกอย่างลืมไว้ร้านเฮียเจ๋งไง ผมไม่มีทางเข้าห้องตัวเองได้อยู่แล้ว

“พี่เฌอดูโน่นดิ”

“อะไร....” ผมมองตามนิ้วไอ้หมีที่ชี้ไปทางใครบางคนซึ่งผมไม่รู้จัก “ทำไมวะ”

“ของดี”

“เหรอ” ผมสะกิดไอ้ขัน “ไอ้หมีบอกว่าเด็กที่ใส่แมซดำนั่นเป็นของดีอะ”

“พี่เฌอ!!!”

“ไอ้หมี!!!”

บ้านแตกไปซะเถอะมึง หมั่นไส้

ผมตักยอดคะน้าเข้าปากพลางมองคนที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าโรงอาหาร ผู้ชายใส่แมสดำที่ไอ้หมีบอกว่าเป็นของดีนั่นแหละ ดียังไงก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน อาจจะรูปร่าง สูงมากเลย สูงกว่าผมที่สูง 181 เซ็นฯ แน่ๆ ตัวประมาณไอ้แช่มแต่รูปร่างดูบางกว่า ไหล่กว้าง ช่วงล่างเพรียว หุ่นดีจัง สวมเชิ้ตนักศึกษาแถมผูกเนกไทอย่างดี โคตรเนี้ยบ เรือนผมสีดำสนิทเหมือนกับแมสที่สวมปิดหน้าอยู่ เห็นแบบนี้แล้วอยากรู้เหมือนกันนะว่าหน้าตาจะเป็นยังไง

ผิวขาวจัดซะด้วย

นิ้วเรียวของคนที่ผมกำลังนั่งมองอยู่เลื่อนขึ้นมารั้งแมสที่ปิดปากมาไว้ตรงคาง ใบหน้านั่นเหมือนฟ้าประทานมาเลย เกินไปป้ะเนี่ยะ จมูกโด่งมาก คิ้วโก่งสวย ริมฝีปากบาง ดวงตาคมนั่นโคตรมีเสน่ห์ รูปร่างแบบนี้ หน้าตาประมาณนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบน่าดู เขาน่าจะไม่ใช่เด็กวิศวะฯ เพราะถ้ามีเด็กหน้าตาประมาณนี้อยู่ในคณะ ผมก็คงรู้จักแล้วแหละ หน้าประมาณนี้ต้องโดนเข้าคัดดาวเดือนแน่นอน แต่นี่ไม่คุ้นเลย

เหมือนกับว่ากำลังมองหาใครอยู่ด้วยแฮะ

ผมมองร่างสูงจนกระทั่งเขาหันมามองผมเหมือนกัน พอเป็นแบบนั้นผมจึงเบนสายตาไปทางอื่นแทน ถ้าเขารู้ตัวว่าผมมองอยู่ แล้วถ้าเขาเปรี้ยวตีนสักหน่อย มันอาจจะมีเรื่องกันก็ได้ เจอเยอะไงพวกมองหน้าแล้วชอบมาหาเรื่อง ไม่เข้าใจคนประเภทนี้เลยอะ ไม่ให้มองหน้าแล้วจะให้มองไรวะ คือบางทีก็มองแบบชื่นชมไง โห หล่อจัง อยากมองนานๆ เผื่อจะหล่อแบบนั้นบ้าง ผมอาจจะผิดเองที่หน้าตาเหมือนไปกวนส้นตีนเขา

หน้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิดแล้วป้ะวะ

“ขอโทษนะครับ” เสียงเรียบของคนที่เดินเข้ามาทางโต๊ะพวกเราเอ่ยบอก ผมมองตามเสียงนั้นก็พบกับผู้ชายคนเมื่อกี๊ที่ตอนนี้ยืนอยู่ตรงหัวโต๊ะของพวกเรา

“มีอะไรรึเปล่าครับ” ทะเลเอ่ยถามร่างสูงที่หยิบอะไรบางอย่างพร้อมกับส่งมาให้ผม

“โทรศัพท์พี่น่ะครับ พี่ลืมไว้ที่ห้องผม”

เชี่ยยยย

นี่เองเจ้าของห้อง

“เอ่อ....” ผมรับโทรศัพท์มาจากมือเขาพลางยิ้มแห้งๆ ให้ “....ขอบคุณนะ”

“ไม่เป็นไรครับ” เจ้าตัวรับคำ “แผลที่มือซ้ายต้องล้างทุกวันนะครับ ถ้าปวดมากๆ ผมแนะนำให้ไปหาหมอ มันอาจจะอักเสบ”

“โอเคครับ”

“ครับ ผม....ขอตัวก่อน” เขาบอกก่อนจะดึงแมสขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้เหมือนเดิมแล้วเดินไปทันที ทิ้งไว้ให้ผมต้องเผชิญกับสายตาทิ่มแทงที่จ้องมองมา

อะไรของพวกมึงกันเนี่ย

“อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลย”

“เออ ไหนบอกว่าทำโทรศัพท์หายไง”

“พวกมึงต้องใจเย็นก่อนนะเพื่อนๆ ” ผมปรามเหล่าสหายและน้องรักก่อนจะตั้งสติ “คือกูเนี่ยะ จำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้เลย แต่เมื่อเช้าที่ตื่นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ห้องใครไม่รู้ มันก็แค่นั้น กูไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น”

ไอ้แช่มหรี่ตามองอย่างจับผิด “ใช่รึเปล่า”

“กูจะโกหกมึงทำไมเล่า เขาเป็นใครกูยังไม่รู้เลย นี่ก็เพิ่งเห็นหน้าพร้อมพวกมึงเนี่ยะ”

“พี่เฌอ....นั่นน่ะเดือนแพทย์ของรุ่นหมีเอง เป็นคนที่เข้าถึงยากมาก พี่ไปทำอีท่าไหนถึงได้เข้าไปในห้องเขาได้เนี่ย”

“ทำท่าไหนล่ะ กูเมาไง กูจำได้แค่นี้เลยจริงๆ ไม่มีอะไรอยู่ในหัวไปมากกว่านี้” ผมมองโทรศัพท์ที่เขาเอามาคืนให้ “เป็นเดือนแพทย์นี่เอง ถึงว่า....” หล่อจังวะ เชื่อดิว่าหลายคนคงอิจฉาผมที่ได้ไปนอนที่ห้องของผู้ชายคนนั้น

ห้องนอนที่มีลิตเติ้ลทวินสตาร์เยอะๆ อะ

“ผู้หญิงค่อนมหา’ลัยต้องริษยาและสาปแช่งมึง” ชริตเป็ดบอกพร้อมกับทำท่าปาดคอ

“เว่อร์ชิบหาย เออหมี มึงรู้ไหมว่าเขาชื่ออะไร” เดี๋ยวต้องไปขอบคุณแล้วก็คืนเงินด้วย เมื่อกี๊มัวแต่ช็อกไงเลยไม่ได้คืนเงินห้าร้อยบาทเลย อีกอย่าง....ผมก็อยากรู้นะว่าตัวเองไปนอนอยู่ที่ห้องเขาได้ยังไง

“ชื่อสิบสาม”

ห้ะ....

“มึงว่าไงนะ”

“เขาชื่อ ‘สิบสาม’

   
***

   

---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 2 : 7/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 07-01-2020 19:17:59
---------- ต่อจากบท 2 ----------

สิบสามอ๋อ

ชื่อสิบสามเนี่ยนะ

ผมยืนอยู่หน้าตึกคณะแพทย์ฯ ด้วยความสับสนมึนงงและไม่รู้ว่าตัวเองจะเจอแฟนเก่ากี่คนที่คณะนี้ ช่างเถอะ ช่างเรื่องแฟนเก่า การที่ผมมาอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เพื่อการรำลึกความหลังแต่มายืนรอคนต่างหาก รอคนที่ไม่รู้ว่าจะเจอไหม คือตึกแพทย์ฯ เนี่ยะ เป็นตึกลูกเมียหลวงที่สุดแล้วในมหา’ลัย ใหญ่ที่สุด ทัศนียภาพก็ดี ดีกว่าคณะเกษตรฯ ที่ต้นไม้สวยๆ เยอะอีก แถมไฟบนตึกก็ไม่ติดๆ ดับๆ เหมือนตึกวิศวะฯ ของผมด้วย

เราร้องเรียนเรื่องนี้ได้ไหมวะ

พอก่อน....พอเรื่องความไม่แฟร์ของแต่ละตึก คือตอนนี้ผมกำลังรอสิบสามอยู่ครับ ผมต้องคืนเงินเขาและถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ไม่งั้นมันคงคาใจผมมากอะ ตอนนี้เกือบ 5 โมงแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่เรียนเสร็จผมก็ไปร้านเฮียเจ๋งมาพร้อมกับจ่ายค่าเหล้าเรียบร้อย พร้อมกับอธิบายไปว่าตัวเองเมาแล้วทะลุไปอีกมิตินึงซึ่งในความเข้าใจของเฮียเขาก็คือผมคงนอนข้างทางอยู่ไหนสักที่นั่นแหละ

ก็ให้เขาคิดแบบนั้นไป

นอกจากไปร้านเฮียมา ผมก็กลับหอไปเอาเสื้อช็อปมาด้วยและเจอกุญแจรถแล้วครับ มันอยู่ในลิ้นชักข้างหัวเตียงไม่ได้อยู่บนโต๊ะอย่างที่คิด เนี่ยะ เดี๋ยวผมจะต้องหาที่แขวนกุญแจโดยเฉพาะ ติดไว้แม่งตรงประตูเลย เอาสิ ถ้าลืมอีกนะ ชาติหน้าก็ไม่ต้องเกิดเป็นคนแล้ว ไปเกิดเป็นปลาทองโน่น ว่ายในโหลบุ๊งๆ รอคนป้อนอาหารอะ

ไม่ก็รอแมวมาเขี่ยๆ

ปั๊กกกก

“โอ๊ยยยย” ผมหันไปมองตามเสียงก็พบผู้หญิงคนนึงที่ล้มอยู่ข้างๆ พอเห็นแบบนั้นผมจึงเข้าไปช่วยประคองเธอ

“เป็นอะไรไหมครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ เดียร์ไม่ระวังเอง” เธอเงยหน้าขึ้นมองผมอยู่อย่างนั้น “....ขอบคุณนะคะ”

ตึกตัก

น่ารักจังวะ

“ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะก้มลงเก็บของที่ร่วงอยู่บนพื้นแล้วส่งให้เธอ มือบางรับไปพร้อมกับยิ้มหวานให้ผม เป็นรอยยิ้มที่สดใสอะไรขนาดนี้วะ

ร่างบางตรงหน้าเรียกได้ว่าโคตรตรงสเป็กเลย ตัวเล็กน่ารัก หน้าตาจิ้มลิ้มเหมือนตุ๊กตา น่าทะนุถนอมมากเลยครับ ดูทรงแล้วเธอคงเรียนคณะแพทย์ฯ นี่แหละ ในอนาคต....ถ้าเวลาผมป่วยแล้วมีคุณหมอน่ารักๆ แบบนี้มารักษาให้ อาการผมคงดีวันดีคืน หรือจะไม่หายดีวะ ให้คุณหมอรักษาผมไปเรื่อยๆ แบบนั้นอาจจะดีกว่า

คิดอะไรอยู่วะเนี่ยชรัน

“เอ่อ....ชื่อเดียร์นะคะ ปี 2 ”

ฮันแน่....มีแนะนำตัวซะด้วย

“พี่ชื่อเฌอครับ ปี 4 ”

“แล้ว....พี่เฌอมาทำอะไรตึกแพทย์ฯ เหรอคะ”

“พี่มารอคนน่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะเจอไหม” ผมมองไปรอบๆ ตึก “พี่ไม่รู้ว่าเขากลับไปรึยัง”

“เดียร์ถามได้ไหมคะว่าใคร เผื่อเดียร์รู้จัก”

“สิบสามน่ะ”

คนตรงหน้าพยักหน้ารับรู้ “อ๋อ....รอสิบสาม เดี๋ยวก็คงออกมาล่ะค่ะ เดียร์เรียนเซกเดียวกับเขา รู้สึกว่าอาจารย์จะเรียกพบ เขาถึงออกมาช้ากว่าทุกที”

“อย่างนี้นี่เอง” ในขณะที่ผมกำลังยืนคุยกับน้องเดียร์ ร่างสูงของคนที่รออยู่ก็เดินออกมาจากตึกแพทย์ฯ พอเห็นแบบนั้นแล้วผมจึงเดินเข้าไปหาเขา

“คุณ”

“....พี่” คนถูกเรียกหันมาหาผม ดวงตาคมมองผมกับน้องเดียร์สลับกัน “มีอะไรรึเปล่าครับ”

“มี ไปกินข้าวกัน”

“กินข้าว”

“ใช่ ผมเลี้ยงเอง ตอบแทนที่คุณช่วยผมไง” ผมหันไปหาน้องเดียร์ “ไปกินข้าวด้วยกันไหมครับน้องเดียร์”

“เดียร์นัดกับที่บ้านไว้แล้วน่ะค่ะ ไว้วันหลังได้ไหมคะ แลกไลน์กันไว้ก็ได้นะ” มือบางส่งโทรศัพท์มาให้ ผมจัดแจงให้ไลน์ตัวเองกับน้องเดียร์ไป หวังว่าการเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งนี้มันจะดีนะ

ก็ได้แต่หวัง

“เรียบร้อยครับ”

“ค่ะ เดี๋ยวไว้คุยกันนะคะ เดียร์ขอตัวก่อน” เจ้าตัวเอ่ยบอกพร้อมกับเดินไปทันที อื้อออ...อ....น่ารักจัง นี่แหละคนที่จะมาเยียวยาแผลใจที่น้องแอมทำผมไว้

“น่ารักเนอะ”

“คงงั้นมั้งครับ เธอเป็นดาวคณะคู่กับผม”

“คุณนี่น่าอิจฉาจริงๆ เลยนะ ได้ใช้เวลาอยู่กับคนน่ารักแบบนั้น แต่ช่างเถอะ เราไปกันดีกว่า ไปรถผมละกัน ผมเอารถมา”

“งั้นรบกวนด้วยนะครับ” หลังจากที่เขาเอ่ยรับคำ ผมก็เดินนำเขามายังตึกวิศวะฯ ก่อนจะมุ่งไปที่จอดรถทางด้านหลัง

เท่าที่ฟังจากไอ้หมีพูดถึงเรื่องสิบสามว่าเป็นคนเข้าถึงยาก ดูท่าแล้วอาจจะจริง คือมันก็ไม่ใช่เรื่องของผมหรอกที่ว่าเขาจะมีเพื่อนหรือว่าไม่มีเพื่อนแต่แบบอยากเสือกไง นี่อยากถามโน่นนี่นั่นมากเลยนะแต่อีกใจก็ไม่รู้ว่าจะถามไปทำไม มันดูละลาบละล้วงอะ อีกอย่างผมไม่รู้ด้วยว่าจบจากการกินข้าวด้วยกันเนี่ยะ มันก็จะแค่นี้เลยรึเปล่า เพราะมันก็ดูไม่มีอะไรติดค้างกันแล้วไง เขาช่วยผม ผมก็ตอบแทนเขาแล้ว

“คุณอยากกินอะไรล่ะ”

“แล้วแต่พี่เลยครับ ผมกินได้ทุกอย่าง” เจ้าตัวรั้งแมสที่ปิดหน้าลง “ผมไม่คิดว่าพี่จะมาหาที่คณะด้วย”

“ก็ผมต้องเอาเงินค่ารถมาคืนคุณ แล้วผมก็อยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนด้วย อยากตอบแทนคุณด้วย”

“ความจริงไม่ต้องตอบแทนก็ได้ครับเพราะผมเต็มใจที่จะทำแบบนั้น”

“คุณใจดีแบบนี้กับทุกคนเลยรึเปล่า”

“....ก็ไม่นะครับ”

ผมเหลือบมองเขาพลางหยุดยิ้มออกมา “งั้นผมก็โคตรโชคดีเลยล่ะสิ”

“อาจจะ”

“คือถ้าผมพูดเยอะไปหน่อยแล้วคุณรำคาญ คุณก็บอกผมนะ บางทีผมก็ชอบเกินลิมิตตัวเองอะ ยิ่งไม่ได้รู้จักกันมาก่อนอีก”

“ไม่หรอกครับ ทำตัวตามปกติแบบที่พี่เป็นเถอะ”

“อืม....” ผมหันไปมองเขาในจังหวะที่รถกำลังติดไฟแดง “คุณรู้ตัวป้ะว่า....ตัวเองมีเสน่ห์ขนาดไหน”

“ไม่รู้สิครับ” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมามองผมเหมือนกัน หื้ออออ....ทำไมหน้าตาดีจังวะ ตอนเด็กๆ พ่อแม่เขาเลี้ยงมายังไงลูกถึงได้เบ้าดีขนาดนี้เนี่ย

ขนาดผมเป็นผู้ชายผมยังรู้สึกเลยว่าเออ เขาดูดีอะ ทั้งหน้าตาและรูปร่าง เดิมทีมีผู้ชายไม่กี่คนหรอกที่ดูดีในสายตาผม ไอ้เป้เพื่อนไอ้หมีที่เป็นเดือนมหา’ลัย นั่นอะนิยามคำว่าหล่อได้ อีกคนก็ไอ้แยมที่เป็นเดือนคณะผมรุ่นไอ้หมี ไอ้ขุนน้องรหัสไอ้ขัน แค่นี้ล่ะมั้งที่เห็นรอบตัวแล้วรู้สึกว่าเออหน้าตาดี หน้าตาดีในที่นี้คือให้ความรู้สึกว่าน่ามองจัง ผู้หญิงน่าจะชอบอะไรทำนองนี้ แต่ใดใดก็ตามที่เอ่ยชื่อมาเมื่อกี๊ก็คือมีแฟนเป็นผู้ชายหมดเลยครับ

เพื่อนผมคือทั้งกลุ่มเลย

ช่างเถอะ....จะรักจะชอบใครก็แล้วแต่สิทธิ์ของใจป้ะวะ

“ไอ้หมีบอกว่าคุณเป็นคนเข้าถึงยาก”

“ผมเข้าหาคนอื่นไม่เก่ง เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก”

“แต่คุณเก่งนะที่ไปเป็นเดือนคณะทั้งๆ ที่ไม่ชอบสุงสิงกับใคร”

“มันเป็นหน้าที่ไงครับ แต่ถ้าเวลาปกติก็คงไม่”

“แต่กับผมนี่โอเคใช่ไหม” ผมเอ่ยถามก่อนจะขับรถต่อ “คงโอเคแหละ เพราะถ้าไม่โอเคคุณคงไม่มากินข้าวกับผม จริงไหมล่ะ....”

“ครับ คงเป็นอย่างที่พี่พูด”

ผมเลี้ยวรถเข้ามาในร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งนึง เห็นร้านนี้บ่อยแต่ไม่เคยมากินสักครั้ง เอาจริงๆ ก็มีคุยกับน้องแอมไว้แหละว่าจะพาเขามากินแต่ดันเลิกกันซะก่อน ไม่เป็นไร นี่ไงผมพาสิบสามมากินแทนน้องแอมละ เดี๋ยวกินเผื่อด้วยเลยก็ได้อะ

“มากี่ท่านคะ”

“ 2 ครับ”

“งั้นเชิญด้านนี้ค่ะ” น้องพนักงานพาเราเดินมาที่โต๊ะมุมด้านในของร้าน ร้านนี้ดีนะ บรรยากาศใช้ได้เลย ผมโคตรชอบความซากุระ ธงปลาคาร์ฟและแมวกวักต่างๆ นี่จริงๆ

ผมนั่งที่โต๊ะก่อนจะจัดการสั่งโน่นนี่นั่น ส่วนร่างสูงตรงหน้าก็พยักหน้ารับไปตามผมเท่านั้น ไม่พูดเลยครับ ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดใดที่มากไปกว่าการพยักหน้า ขนาดน้องพนักงานมอง เจ้าตัวยังหลบสายตาหันไปมองถนนนอกร้านแทนเลย ใจเอ็งมันได้จริงๆ เลยว่ะสิบสาม ผมชอบคนแบบนี้นะ แนวดีอะ เหมือนไม่ได้หาได้ทั่วไป คนนิสัยประมาณนี้จะมีแค่จึ๋งเดียวถ้าเทียบกับคนหมู่มาก

มีเสน่ห์จริงๆ แหละว่ะ

“เอาเท่านี้ก่อนครับ” ผมยิ้มหวานให้น้องพนักงานก่อนจะนั่งเท้าคางมองคนตรงหน้า “คุณนี่ชอบลิตเติ้ลทวินสตาร์มากเลยนะ” ดูจากกระเป๋าถือลายกิกี้กับลาล่าที่วางอยู่บนโต๊ะก็พอเข้าใจได้

คงชอบมากจริงๆ

“มันน่ารัก ผมชอบ”

“ห้องคุณก็บ่งบอกอยู่หรอกว่าชอบมาก ตอนแรกที่ผมตื่นมา ผมนึกว่าห้องผู้หญิงด้วยซ้ำ มีคนอื่นคิดเหมือนผมไหมเนี่ย”

“ไม่มีหรอกครับ” สิบสามเอ่ยก่อนจะรินน้ำใส่แก้วให้ “นอกจากครอบครัวผมแล้ว ไม่เคยมีใครได้เข้าไป”

“ถามจริง”

“จริงครับ”

“โหย....คุณพูดแบบบนี้” ผมก็รู้สึกว่าตัวเองพิเศษอะดิ

นี่แหละ....ผู้หญิงค่อนมหา’ลัยต้องอิจฉาผมจริงๆ

“ผมพูดจริงนะครับ”

“แล้วเรื่องเมื่อคืนอะ เกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“ผมไปเจอพี่ล้มอยู่หน้าเซเว่นฯ ตอนที่ล้มครั้งแรกผมอยู่ไกลเกินไป คว้าไว้ไม่ทัน แต่ผมเห็นว่าพี่หัวเราะตอนที่ตัวเองล้ม พอลุกขึ้นอีกครั้งก็จะล้มอีก แต่ผมรั้งไว้ทัน พอพี่ตั้งตัวได้พี่ก็ผลักผมออกก่อนจะวิ่งไปอ้วก”

“ดีนะผมไม่อ้วกใส่คุณ” ผมส่ายหัวให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง “ผมเมามากจริงๆ นั่นแหละ ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น”

“พี่สลบน่ะครับ ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงก็เลยพาพี่กลับมาที่ห้อง ถือวิสาสะเช็ดตัว ทำแผลให้ ยุ่มย่ามเสื้อผ้าของพี่ด้วย หวังว่าพี่คงไม่โกรธที่ผมทำอะไรตามใจตัวเอง”

“ผมจะไปโกรธคุณได้ไง ต้องขอบคุณมากๆ ด้วยซ้ำ ถ้าคุณไม่ช่วยผมไว้นะ ผมคงนอนเมาอยู่หน้าเซเว่นฯ นั่นแหละ ผมเนี่ยะต้องขอโทษที่ทำให้คุณลำบาก” ผมหยิบแบงค์ห้าร้อยส่งให้สิบสาม “นี่ค่ารถที่คุณให้ผมเอาไว้ ขอบคุณมากเลยจริงๆ นะ”

“....ครับ” เจ้าตัวเก็บเงินใส่กระเป๋า “เมื่อคืนพี่เพ้อตอนเมาด้วยนะครับ”

“จริงดิ ผมพูดอะไรออกไปบ้างเนี่ย”

“ก็เรื่องที่ตัวเองอกหักน่ะครับ แล้วก็บอกว่าพี่ไม่ชอบวันที่ 13 เลย เอาจริงๆ ไม่ใช่แค่วันที่ 13 แต่อะไรก็ตามที่เป็นเลข 13 พี่ก็ไม่ชอบ แล้วผมก็....ชื่อ สิบสาม”

เชี่ยละ

“เอ่อ....คือมันเลขอาถรรพ์ของผมไง คนเมาอะคุณ เพ้อไปเรื่อยก็ไม่แปลกนะ อีกอย่างผมไม่รู้ว่าคนที่ช่วยผมเอาไว้ชื่อสิบสามหนิ”

“ถ้าพี่ไม่ชอบสิบสาม พี่จะเรียกผมว่าสิบ หรือสามก็ได้นะครับ”

“ไม่ล่ะ ผมเรียกคุณว่าสิบสามน่ะดีแล้ว เพราะยังไงมันก็ชื่อคุณ” ผมคีบปลาดิบไปใส่จานให้เขา “คุณเป็นคนที่ช่วยผมเอาไว้นะ ผมจะมารู้สึกแปลกๆ เพียงเพราะคุณชื่อสิบสามก็ไม่ใช่เรื่องอะ”

สิบสามตรงหน้าอาจจะต่างจากเลข 13 อื่นๆ ที่ผมเจอมาก็ได้

ใครจะไปรู้

“ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่ชื่ออะไร”

“ผมชื่อ เฌอ อยู่ปี 4 วิศวะฯ นะ”

“ครับ.....ผมชื่อ สิบสาม ปี 2 คณะแพทย์ฯ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” คนตรงหน้าเอ่ยบอกเสียงเรียบ แนะนำตัวทั้งที ใจคอไม่คิดจะยิ้มหน่อยเหรอวะ แต่ช่างเถอะ มันปากเขาหนิ เขาจะยิ้มหรือไม่ยิ้มมันก็เรื่องของเขา

ไม่ยิ้มยังให้อิทธิพลต่อคนอื่นมากขนาดนี้

ถ้าเขายิ้มนี่มันจะขนาดไหน....

ผมล่ะอยากรู้จริงๆ

“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ....สิบสาม”

.

.

.

.

.

.

TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วนะคะ วันนี้มาเร็วเพราะเขียนเสร็จเร็วนะคะ ก็หลังจากนี้อาจจะทิ้งช่วงบ้างแต่จะไม่เกิน 1 อาทิตย์ค่ะ ก็คือจะให้ระยะเวลาการลงเหมือนตอนเมื่อก่อนที่เคยลงนิยายนะคะ ถ้ากำลังใจเยอะก็อาจจะมาไว้หน่อย

เปิดตัวครบแล้วนะคะ ทุกตัวละครสำคัญ เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อรอติดตามนะค้าบ

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th ค่ะ

ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 2 : 7/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 07-01-2020 23:47:08
เอาละสิ สิบสามนี้จะอาถรรพ์อีกรึป่าว?? 
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 2 : 7/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-01-2020 01:28:33
ต้องคบสิบสามเพื่อล้างอาถรรพ์สินะ คริๆ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 3 : 9/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 09-01-2020 19:15:08
บทที่ 3 หมั่นไส้


“มึงจะไปไหน”

“โตแล้วครับ ผมจะไปไหนก็ได้ที่ใจผมอยากจะไป”

“ตึกแพทย์ฯ อะดิ อาทิตย์นี้มึงไปแถวนั้นบ่อยนะ ซ่อนอะไรเอาไว้ บอกกูมาซะดีดี”

“แช่ม....มึงนี่มันขี้เสือกจริงๆ เลยนะ”

“เขาเรียกว่าใส่ใจ”

“เขาเรียกว่าเสือก”

เห้อะ....ไอ้เวร

ผมหรี่ตาแข่งกับมันพลางแผ่รังสีอำมหิตออกไปให้ได้มากที่สุด เอาดิ ลองดูได้ว่าระหว่างกูกับมึงใครจะชนะ เรื่องปัญญาอ่อนแบบนี้คนอย่างชรันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก เอาจริงๆ การมาทำอะไรแบบนี้ก็เสียเวลาอยู่เหมือนกันนะ แทนที่เรียนเสร็จ เก็บของแล้วจะได้ไปตามทางกลับต้องมาเล่นอะไรแปลกๆ กับชริตเป็ดเนี่ยะ แต่ยังไงเรื่องนี้ก็ยอมไม่ได้อยู่ดี ต้องมีใครสักคนแหละที่พ่ายแพ้ไป
คนๆ นั้นต้องไม่ใช่เฌอด้วย

ป๊าบบบบ

“โอ๊ยยยยย มึงทำไรเนี่ยะไอ้เวร”

“หัวกู อื้อออ...อ....เจ็บ”

“สมควร เกะกะขวางทางอยู่ได้” ไอ้ขันเก็บหนังสือที่ใช้ฟาดผมสองคนลงกระเป๋า “แล้วถ้าพวกมึงยังไม่หยุดทำตัวปัญญาอ่อนนะ กูจะฟาดให้อีกสองป๊าบด้วย”

มันจะโฉดไปถึงไหนวะ

“กูฝากไว้ก่อนเถอะ แค้นนี้ต้องเอาคืน” ผมคาดโทษมันก่อนจะเดินสะบัดออกมาทันที ไม่ได้ครับ ถ้าขืนอยู่ต่อจะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายนึงเสียเลือดเสียเนื้อ

ถ้าวัดกับไอ้ขันคือผมตายแน่นอน

ใครจะสู้มันได้วะ

พอก่อนชรัน นายเสียเวลากับเรื่องไร้สาระมามากเกินพอแล้ว ตอนนี้นายมีภารกิจอันยิ่งใหญ่ต้องไปทำไงอย่าลืมสิ คืองี้ครับ ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเนี่ยะ ผมไปตึกแพทย์ฯ ค่อนข้างบ่อย เรียกว่าเกือบทุกวันเลยก็ว่าได้ กำลังจีบสาวอยู่ไงก็เลยต้องโผล่ไปให้เขาเห็นบ่อยๆ สาวที่ผมตามจีบอยู่ก็ไม่ใช่ใครไหนไกลครับ น้องเดียร์อดีตดาวคณะแพทย์ฯ นั่นเอง จากเมื่อวันที่แลกไลน์กัน เราสองคนก็คุยกันทุกวันเลยนะ

เขินว่ะ ขอบิดไปบิดมาแป๊บ

ผมชอบความรู้สึกแบบนี้นะ มันทำให้ใจเต้นแรงดีอะ คือแรกๆ อะไรมันก็ดีทั้งนั้นแหละ เรื่องของความสัมพันธ์มันก็ต้องดูกันไปเรื่อยๆ แต่คุยกับน้องเดียร์แล้วมันก็ดูไปในทิศทางที่ดีนะ คำพูดคำจาก็เหมือนจะมีใจให้กันอยู่ ความจริงวันนี้ผมกะจะเอารถไปล้าง แต่พอน้องเดียร์ไลน์มาบอกว่าคิดถึงเท่านั้นแหละ โห่ยยยย น้องรถค่อยล้างวันอื่นละกันน้า วันนี้พี่เฌอมีธุระหัวใจด่วนมากๆ น้องรถโปรดเข้าใจ

“พี่เฌอ” เสียงหวานเอ่ยเรียกผม “ทางนี้ค่ะ”

ผมเดินมานั่งลงที่ม้านั่งเดียวกับน้องเดียร์ “เพื่อนๆ ล่ะครับ”

“ไปซื้อขนมน่ะค่ะ วันนี้เรียนเป็นไงบ้าง เหนื่อยไหม”

“เหนื่อยมากเลยครับ แต่เห็นหน้าน้องเดียร์ พี่ก็หายเหนื่อยแล้วล่ะ” ไงล่ะ หยอดไปหนึ่งจึ๋ง เอาจริงๆ มุกนี้คือเล่นบ่อยมากตอนหยอดสาว ผมควรหามุกอื่นบ้างได้แล้ว

รอบหน้าละกัน

“ขี้โม้ เดียร์ไม่เชื่อหรอก”

“จริงๆ นะครับ” ผมเท้าคางมองเธอ “แล้วน้องเดียร์เรียนเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยไหมครับ”

“แค่เดียร์เห็นหน้าพี่เฌอ เดียร์ก็หายเหนื่อยแล้วค่ะ” เธอบอกพร้อมกับยิ้มหวาน จ้า น่ารักขนาดนี้เอาทรัพย์สินที่พี่มีทั้งหมดไปเลยไหม

โอ๊ยยยยใจอ่อนยวบยาบไปหมด

“เล่นมุกเดียวกับพี่เหรอ”

“หยอดมาหยอดกลับ....ไม่โกงค่ะ”

“มันน่านักนะ” ผมยีหัวเธอเบาๆ เหมือนมันเขี้ยว “ทำตัวน่ารักแบบนี้ เดี๋ยวก็โดนหรอก”

ใบหน้าหวานเลื่อนเข้ามาใกล้ “กลัวไม่โดนนี่สิคะ”

“หึ....”

เด็กมันเอาว่ะ

ผมลดมือลงก่อนจะนั่งมองหน้าคนตรงหน้าอยู่อย่างนั้น หลงอะ ชอบ น่ารัก ยิ่งคุยกันยิ่งชอบ ผมไม่รู้ว่าน้องจะคิดเหมือนอย่างที่ผมคิดรึเปล่า ถ้าน้องเดียร์ชอบผมเหมือนที่ผมรู้สึกกับเธอ ผมคงขอเธอเป็นแฟนแล้วล่ะ จริงอยู่ว่าผมเลิกกับน้องแอมไม่กี่อาทิตย์แต่มันก็ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องเอาตัวเองจมอยู่ตรงนั้น ชีวิตมันก็ต้องมูฟออนป้ะวะ ถ้าเราเจอคนที่เรารู้สึกดีด้วย เราอยากคบกับเขา อยากจะพัฒนาความสัมพันธ์ให้มากขึ้นมันก็ไม่แปลกป้ะ

เบื่อ....เวลาคนชอบพูดว่าผมเปลี่ยนแฟนบ่อย

ไม่มีใครอยากเปลี่ยนแฟนบ่อยหรอก ทุกคนก็ต้องอยากเจอคนที่คบกันไปเรื่อยๆ ป้ะวะ แต่มันต้องยอมรับไงว่ามันไม่ใช่ทุกครั้งที่ความรักจะได้ดั่งใจ เวลารู้สึกชอบใครผมก็พร้อมทุ่มเทให้เพราะว่าความรู้สึกชอบมันพิเศษไง คบกันไวก็เรียนรู้กันไปเรื่อยๆ ไม่เห็นแปลกเลย คนที่ผมขอคบด้วยแปลว่าผมคิดจริงจังแล้ว เคยมีแฟนเก่าที่บอกเลิกผมไปทักมาบอกว่าเออผมมีใหม่ไวจังนะโน่นนี่ คือแบบ....ทำไมอะ คุณก็ไปจากผมแล้ว ผมก็เสียใจแล้ว ผมต้องเสียใจนานเป็นชาติเหรอ ไม่จำเป็นนะ

ชีวิตมีเวลาจำกัด....ถ้าผมเสียใจไป 10 ปีเพราะคนๆ เดียว

ผมจะเสียโอกาสจากคนที่อาจจะเข้ามาเป็นความรักตลอดไปของผมก็ได้

“คิดอะไรอยู่คะ อยู่ดีดี คิ้วก็ชนกันเลย” นิ้วเรียวจิ้มกลางระหว่างคิ้วผม “มีอะไรไม่สบายใจ พี่เฌอบอกเดียร์ได้นะ”

“คิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะครับ แต่ก็มีอย่างนึงที่พี่คิดอยู่ตลอดเลย”

“คิดอะไรคะ”

“คิดถึงน้องเดียร์ไงครับ”

ร่างบางตีไหล่ผมเบาๆ “นี่แน่ะ ทำเป็นปากหวาน”

“พี่พูดจริงๆ นะ”

“พูดแบบนี้กับผู้หญิงมากี่คนแล้วคะ” น้องเดียร์จิ้มแก้มผม “เดียร์รู้น้าว่าพี่เฌอมีผู้หญิงในสต๊อกเยอะ”

“ไม่มีสักคน ข่าวนี้เชื่อไม่ได้นะ”

“ใช่รึเปล่า”

“ใช่สิครับ....ถ้าพี่มีผู้หญิงเยอะ พี่คงไม่นั่งอยู่ตรงนี้หรอก”

“พี่จะบอกว่ามีแค่เดียร์คนเดียวงั้นสิ”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ก็....ประมาณนั้น”

“ฮันแน่ ทำอะไรกันอยู่คะ” เสียงเดอะแก๊งค์ของน้องเดียร์ดังขึ้นมา เมื่อกี๊เสียงน้องจ๋าครับ คนนี้เพื่อนสนิทน้องเดียร์เลย

“พี่จีบสาวอยู่ครับ ไม่รู้จะติดรึเปล่า”

“อิจฉาจังเลย” น้องมิ้มเอ่ยแซว “อยากมีหนุ่มวิศวะฯ มาตามจีบบ้างจัง”

“คือพวกหนูไม่ได้อยากทำให้พี่เฌอเสียใจเลยนะคะ แต่พวกเราต้องไปเตรียมสันทนาการน้องๆ น่ะค่ะ ต้องเอาตัวยัยสวยนี่ไปด้วย น้องๆ จะได้มีกำลังใจร่วมกิจกรรม”

“ผึ้งก็พูดเกินไป” น้องเดียร์ทำหน้ามุ่ยใส่เพื่อนสาวพลางทำแก้มป่องใส่ผม “อย่าทำหน้าเศร้าสิคะ”

ผมทำแก้มป่องตามน้อง “ไม่เศร้าหรอกครับ มันเป็นหน้าที่พี่เข้าใจ งั้นถ้าน้องเดียร์ทำกิจกรรมเสร็จ เราค่อยคุยกันก็ได้”

“เอาแบบบนั้นก็ได้ค่ะ เดี๋ยวทักไปนะ เดียร์ไปก่อนนะคะ” เธอยิ้มหวานให้ก่อนจะเดินไปพร้อมเพื่อนๆ หื้ออออ....แก๊งค์นี้มันนางฟ้าของคณะแพทย์ฯ ชัดๆ

ปลื้มปริ่มใจจังเลยค้าบผม

ตอนนี้เกือบ 4 โมงแล้วและผมกำลังคิดว่าตัวเองจะไปไหนต่อดีนะ หรือกลับไปเอาน้องรถไปล้างดี แต่คิดไปคิดมาก็ขี้เกียจเข้าๆ ออกๆ จะกลับหอเลยมันก็ไม่มีไรทำอะ เอออาทิตย์นี้วันเกิดน้องเดียร์นี่หว่า ผมว่าผมไปซื้อของขวัญเตรียมไว้ให้เธอดีกว่า อืม....เรื่องซื้อของขวัญยังเป็นอะไรที่ยากสำหรับผมเสมอ ไม่รู้ว่าซื้อมาแล้วเธอจะชอบรึเปล่า ถ้าสมมุติว่าผมซื้อของมาให้แต่น้องไม่ชอบ ผมอาจจะโดนหักคะแนนจีบก็ได้

ถ้ามีคนไปช่วยตัดสินใจเลือกก็น่าจะดีนะ

ในขณะที่ผมกำลังนั่งคิดเรื่องของขวัญวันเกิดน้องเดียร์อยู่นั้น ร่างสูงที่ไม่เห็นมาอาทิตย์กว่าก็เดินออกมาจากตึก “....สิบสาม”

วันนี้ใส่แว่นด้วยว่ะ

ไม่ใส่แมสแต่ใส่แว่น

“....ครับ” เจ้าตัวเดินเข้ามาหาผม “พี่มาทำอะไรเหรอครับ”

“ผมมาหาน้องเดียร์น่ะ แต่เธอไปทำกิจกรรมสันทนาการน้องๆ แล้ว เออว่าแต่คุณไม่ไปร่วมกิจกรรมเหรอ”

“ไม่ล่ะครับ สันทนาการน้องไม่ใช่หน้าที่ของผม”

ผมพยักหน้ารับเบาๆ “แล้วคุณว่างไหม รีบไปไหนรึเปล่า”

“ทำไมครับ”

“คือผมอยากไปซื้อของน่ะ อาทิตย์หน้าวันเกิดน้องเดียร์ แต่ผมไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรให้เธอดี คุณไปช่วยผมเลือกหน่อยสิ”

“แต่ผมเลือกของไม่ค่อยเก่งนะครับ”

“ไม่เป็นไร ไปเป็นเพื่อนผมก็ได้....มันเหงาๆ นะถ้าต้องเดินคนเดียว”

“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ”

“งั้นดีเลย ไปรถเมล์เนอะ วันนี้ผมไม่ได้เอารถมาอะ”

“ได้ครับ” พอเขารับคำผมก็เดินนำเขาออกมาจากตึกแพทย์ฯ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังป้ายรถเมล์หน้ามหา’ลัย ห้าง AA อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ครับ นั่งรถไปห้าป้ายก็ถึงแล้ว ผมกับเหล่าสหายเคยนึกคึกเดินไปด้วยนะ

ผลคือขาลาก

ผมยืนมองร่างสูงที่อยู่ข้างๆ อย่างสนใจ ช่วยไม่ได้อะ เขาน่าสนใจจริงๆ วันนั้นที่ใส่แมสปิดปากก็จะให้อีกฟีลนึง พอมาวันนี้พ่อคุณเขาใส่แว่นแทนมันก็จะเป็นอีกฟีลนึง ลุคนี้ก็หล่อ คือคนมันหล่ออยู่แล้วด้วยป้ะวะ เอาอะไรมาประดับบนหน้าก็ยังคงดูดี แล้วดูหน้าเขาดิ ใสอย่างกับไม่เคยเป็นสิว ชีวิตนี้เคยตากแดดบ้างไหมครับว่าที่คุณหมอ อยากรู้เหมือนกันนะว่าถ้าสิบสามกลายเป็นผู้ชายผิวแทนขึ้นมามันจะเป็นยังไง

ต้องดูดีมากแน่ๆ เลยว่ะ

“รถมาแล้วคุณ” ผมโบกรถเมล์ก่อนจะเดินนำขึ้นไป ไม่มีที่นั่งเลยครับต้องยืนเอา อึดอัดหน่อยแต่เอาน่ะ แค่ไม่กี่ป้ายเอง

“สองคนครับ” สิบสามจ่ายค่ารถเมล์ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่มีหูฟังเสียบติดอยู่ขึ้นมา เคสโทรศัพท์ก็ยังลายลิตเติ้ลทวินสตาร์ โคตรมุ้งมิ้ง ลองจินตนาการภาพหน้าเขาสลับกับเคสโทรศัพท์ดิ

ดูไม่เข้ากันเลย

“เดี๋ยวผมให้ค่ารถคุณนะ”

“ครับ” ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้ผมอีกเพราะมีคนเพิ่งขึ้นรถ การที่หน้าอยู่ห่างกันแค่คืบ มันก็ทำให้ผมรู้สึกประหม่าเหมือนกันนะ เหตุผลเดียวง่ายๆ เลยที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ก็เพราะว่า....เขาหล่อครับ

“คุณฟังเพลงไรอะ”

“จะฟังด้วยกันไหมครับ”

“....เอาดิ” ผมรับหูฟังมาจากสิบสามก่อนจะเสียบเข้าหูตัวเอง เสียงเพลงที่ได้ยินทำให้ผมมองคนตรงหน้าอยู่อย่างนั้น



ไม่เคยมีใครน่ารักเท่ากับเธอ....เจอกี่ครั้งก็ยังละเมอ
ยอมให้เธอได้ทุกอย่าง ให้ฉันรักได้เปล่า
ใครเจอน่ารักเท่ากับเธอ หาให้ตายก็หาไม่เจอ
อยากขอเธอแค่สักอย่าง
ให้ฉันรักได้เปล่า....


(เพลง รักได้ป่าว – GAVIN.D)




“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ”

“คุณ....ทำผมผิดคาดอีกแล้ว” ใครจะคิดว่าสิบสามจะฟังแนวแบบนี้ด้วย นี่สินะ ที่เขาบอกว่าเราจะมองคนจากแค่บุคลิกภายนอกไม่ได้

“ผมฟังเพลงหลายแนวเลยครับ ถ้าฟังแล้วรู้สึกว่ามันเพราะก็ฟัง พี่มีแนวเพลงที่ชอบฟังบ่อยๆ ไหมล่ะครับ”

“ก็ส่วนมากเป็นเพลงตามร้านเหล้าอะ ฟีลอกหักซะส่วนใหญ่”

“ช่วงนี้ผมฟังแต่เพลงรัก” คือฟังแต่เพลงรักน่ะเข้าใจ....แต่ไม่เห็นต้องมองกันด้วยสายตาแบบนั้นหนิ

ประหม่าหนักกว่าเดิมอีก

“ผมเชื่อ”


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 3 : 9/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 09-01-2020 19:15:45
---------- ต่อจากบท 3 ---------



ผ่านไปสักพักรถเมล์ก็มาถึงป้ายที่หน้าห้าง AA ผมกดออดก่อนจะเดินนำสิบสามลงมา เจ้าตัวเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าถือ อยากแอบถ่ายรูปเก็บเอาไว้ชิบ สิบสามเนี่ยะดังมากในเพจคิ้วท์บอยของมหา’ลัยนะครับ ไอ้หมีเอามาเปิดให้ดู คือเชื่อป้ะว่าไม่มีรูปไหนที่เขายิ้มเลยอะ ผมย้อนกลับไปดูรูปสมัยเขาประกวดดาวเดือน ก็ไม่มีรูปไหนยิ้มเหมือนกัน ชีวิตนี้ไม่เคยยิ้มเลยเหรอ เคยหัวเราะจนแก้มปริอะไรทำนองนี้บ้างไหม

เกินไปอะ

“พี่มีอะไรรึเปล่าครับ มองหน้าผมไม่หยุด”

“คุณเคยยิ้มบ้างป้ะ”

เจ้าตัวเหลือบมองผมก่อนจะรั้งแขนให้หลบคนที่เดินสวนมา “มองทางสิครับ พี่เกือบชนเขาแล้วนะ”

“ผมสงสัยอะ ว่าไง คุณเคยยิ้มบ้างป้ะ”

“ใครๆ ก็ต้องเคยยิ้มทั้งนั้นแหละครับ”

“ผมไม่เคยเห็น”

“ผมเจอพี่กี่ครั้งเอง”

“ในรูปตามเพจคุณก็ไม่ยิ้ม”

“พี่ไปตามดูรูปผมมาเหรอ”

“ก็....ไอ้หมีมันเปิดให้ดูไง” ผมบอกปัดก่อนจะเดินนำเขามายังโซนของขวัญต่างๆ “ผมเห็นรูปที่คุณแข่งดาวเดือนปีที่แล้วด้วยนะ ตอนนั้นคุณก็ไม่ยิ้ม รูปตามโซเชี่ยลของคุณ ก็ไม่มีเหมือนกัน รูปที่เพื่อนแท็กก็ไม่มี คุณแทบไม่มีเพื่อนเลยมากกว่า”

“พี่รู้เรื่องผมเยอะเหมือนกันนะครับพี่เฌอ” มือเรียวหยิบตุ๊กตาต้นไม้ก่อนจะยกขึ้นมาไว้ด้านข้างหน้าผม “เหมือนพี่เลย”

“ผมเหมือนต้นไม้เหรอ”

“ชื่อพี่ก็บอกอยู่นี่ครับ” เจ้าตัววางเจ้าตุ๊กตาต้นไม้นั่นไว้ที่เดิม “ว่าแต่พี่จะซื้ออะไรให้เดียร์เหรอ”

“ของขวัญวันเกิดอะ ตุ๊กตาจะดีไหม หรือของอย่างอื่น” ผมเดินดูของไปเรื่อยๆ “ถ้าเป็นวันเกิดคุณ คุณอยากได้อะไร”

“สำหรับผม....ของอะไรก็ได้ครับ ถ้ามันมาจากคนสำคัญ มันมีค่าเสมอ”

“อย่างผมจะเรียกว่าสำคัญสำหรับน้องเดียร์ได้รึยังนะ”

โซนของขวัญคือละลานตามาก มีของให้เลือกเยอะจนไม่รู้จะเอาอะไรดี ตุ๊กตาก็น่าสนใจอยู่ ผู้หญิงส่วนมากก็ชอบตุ๊กตานะ ตอนที่ผมมีแฟน ตุ๊กตาก็เป็นของขวัญที่ผมซื้อให้อีกฝ่ายเป็นส่วนใหญ่ รองมาก็พวกเสื้อผ้า เครื่องประดับบ้าง เครื่องสำอางบ้าง แล้วแต่อะ มันก็ประมาณนี้ซะมาก ใจนึงก็คิดว่ามันจะดูธรรมดาไปรึเปล่า แต่อีกใจมันก็ดูเรียบง่ายดี ถ้าอยากให้เว่อร์วังก็แค่ซื้อตัวใหญ่ๆ

เอาแบบบังน้องเดียร์มิดไปเลย

“สิบสาม”

“ครับ”

“ปกติแล้ววันเกิดแฟน คุณซื้ออะไรให้เขาเหรอ”

“ไม่ซื้อครับ”

“ไม่ซื้อหน่อยเหรอ ทำไมอะ”

“ผมไม่เคยมีแฟน ก็เลยไม่ต้องซื้อน่ะครับ”

ผมพยักหน้ารับพลางมองอย่างแปลกใจ “อย่างคุณเนี่ยนะไม่มีแฟน”

“ใช่ครับ ผมว่าการเจอใครสักคนที่ทำให้รู้สึกประทับใจตั้งแต่แรกเห็นมันยากมากเลยน่ะครับ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะเจอ”

“ตอนแรก” ผมหันขวับมองเขาทันที “งั้นตอนนี้ก็เจอแล้วล่ะสิ”

“อืม....ผมว่าเดียร์น่าจะชอบตุ๊กตาตัวนี้นะครับ” สิบสามหยิบตุ๊กตากวางตัวบะเอ้กส่งให้ผม หึ....นังน้อน เขากำลังเฉไฉเรื่องที่ตัวเองพูดออกมาเมื่อกี๊ครับ

คิดว่าพี่เฌอคนนี้จะไม่รู้งั้นเหรอ

การที่เขาบอกปัดแบบนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าคงไม่อยากใครรู้ จะว่าไปการที่เขาบอกผมถึงขนาดนี้มันอาจจะมากเกินพอแล้วก็ได้สำหรับคนที่ไม่ได้สนิทอะไรกันมาก อย่างน้อยตอนนี้ผมก็เป็นหนึ่งคนที่รู้ว่าอดีตเดือนแพทย์ฯ ที่โคตรจะโซฮอตคนนี้กำลังมีคนที่ตัวเองรู้สึกประทับใจหรืออาจจะมากกว่านั้น คนแบบไหนกันที่ทำให้คนตรงหน้าประทับใจได้วะ นึกไม่ออกเลยจริงๆ

เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ

เก็บเรื่องของคนอื่นมาคิดก็จะปวดหัวเปล่าๆ

ผมมองเจ้าตุ๊กตากวางก่อนจะเอามันวางไว้ที่เดิมก่อน โอเคเดี๋ยวจะซื้อแน่ล่ะแต่ว่าถ้าซื้อตอนนี้เลย น้องก็อาจจะมาเกะกะการเดินของผมพอสมควรเพราะตัวใหญ่มาก ไว้เดินเสร็จ จะกลับเมื่อไหร่ค่อยย้อนมาซื้อ พอคิดได้แบบนั้นผมก็ลากสิบสามมาที่โซนเครื่องเขียนต่อ กะจะซื้อโพสอิทสักหน่อย ซื้อปากกาด้วย ผมเอาน้องไปวางไว้ตรงไหนก็ไม่รู้ เนี่ยะ ไอ้ขันบอกว่าให้ผมเอาเชือกผูกที่ปากกาเอาไว้กับข้อมือตัวเอง ผมจะได้ไม่ทำหายอีก

ชรันไม่ใช่เด็กซะหน่อย....ไม่เห็นต้องทำแบบนั้นเลย

“อันไหนดีนะ” ผมหยิบโพสอิทขึ้นมา “คุณว่าอันไหนดี”

มือเรียวหยิบโพสอิทลายลิตเติ้ลทวินสตาร์ให้ผมดู “อันนี้ครับ”

“อันนั้นคุณอยากได้เองแล้วแหละ”

“น่ารักออก นี่ครับพี่เฌอ แบบพี่ต้องใช้อันนี้” เจ้าตัวส่งโพสอิทขอบสีดำให้ผม “แบด แบด”

“หน้าเหมือนคุณอะ”

“เหมือนผมตรงไหน”

“ก็ดูดิ ทำหน้าเหมือนกันเป๊ะ ยิ่งตานี่ใช่เลย” ผมหยิบปากกาลายเดียวกันอีกสองสามแท่งมาก่อนจะเดินไปจ่ายเงิน ปกติแล้วผมไม่ใช้ของลายการ์ตูนเลยนะ แต่ไหนๆ มีเด็กแนะนำมา ผมจะยอมใช้ก็ได้

เผื่อมันจะไม่หายเหมือนกับแท่งอื่นๆ

“เดี๋ยวไปซุปเปอร์มาร์เก็ตข้างล่างหน่อยนะครับ ผมต้องซื้อของเข้าห้องด้วย”

“เอาดิ”

หลังจากจ่ายเงินเสร็จผมก็เดินตามสิบสามมายังซุปเปอร์มาเก็ตชั้นล่าง ร่างสูงเดินไปหยิบรถเข็นก่อนจะไปตามทางพร้อมกับหยิบของใช้ต่างๆ มาใส่รถ พวกน้ำยาซักผ้านี่ใช้ของเด็กหมดเลยครับ เป็นสูตรไม่มีกลิ่นผสมเลย แล้วไอ้กลิ่นหอมๆ ที่ติดตัวเขานี่มาจากอะไรวะ น้ำหอมเหรอ ถ้าเป็นน้ำหอมจริงๆ นี่จะถือว่ากลิ่นดีมากเลยนะ เป็นกลิ่นสะอาดๆ อะ เหมือนกลิ่นแป้งแคร์กระป๋องฟ้า

โคตรใช่เลย

ผมเดินตามเขามาเรื่อยๆ จนถึงโซนผลิตภัณฑ์สำหรับผิว สิบสามยืนเลือกโฟมล้างหน้าอยู่พักใหญ่ ไม่ใช่แค่โฟมล้างหน้านะครับ ครีม โลชั่น เซรั่มต่างๆ ก็เลือกนานเหมือนกัน นี่เองสินะเคล็ดลับของความผิวดีขนาดนั้น มีมาร์กใต้ตาด้วยว่ะ บรรดาเพื่อนๆ ผม ไม่มีใครใช้อะไรกับหน้าเยอะขนาดนี้เลย อย่างผมก็จะมีแค่โฟมล้างหน้ากับครีมกันแดด คือไม่ใช้ไม่ได้อะ ผมเคยหน้าลอกเพราะแดดเผาอยู่ช่วงนึงตอนมัธยมฯ

ครีมอย่างอื่นไม่ทาได้แต่ครีมกันแดดนี่ไม่ได้เลยครับ

หลังจากว่าที่คุณหมอเลือกของสำหรับผิวเสร็จ เขาก็เข็นรถมาที่โซนของกินพร้อมกับหยิบคารามูโจ้สีดำใส่รถไปจนเกือบหมดชั้น ขนาดนี้ก็ซื้อเป็นลังไหม ซื้อเหมาไปเลยก็ได้ป้ะถ้าจะเอาเยอะขนาดนั้นอะ ดูทรงแล้วเขาคงชอบคารามูโจ้มากแน่ๆ

“คุณชอบเหรอ”

“ใช่ครับ แล้วพี่เฌอไม่ซื้ออะไรเหรอครับ”

“ไม่ล่ะ ผมเพิ่งซื้อของเข้าห้องไปเอง....” ผมบอกเขาก่อนจะเหลือบไปเห็นใครบางคน “....น้องแอม”

สิบสามมองตามสายตาผม “ใครเหรอครับ”

“แฟนเก่าน่ะ” ผมมองร่างบางที่ยืนหยอกล้อกับผู้ชายคนนึงอยู่ คือมันดูเป็นเรื่องเฮงซวยเหมือนกันนะกับการที่ต้องมาเจอแฟนเก่าในเวลาแบบนี้ ถ้าผมอยู่คนเดียวมันก็อาจจะมีอาการจึ๊กๆ บ้าง

ดีนะที่ไม่ได้มาคนเดียว

“คนนี้รึเปล่าครับ ที่ทำให้พี่ไปกินเหล้าจนเมา”

“ถ้าอย่างกินเหล้าจนเมาน่ะทุกคนแหละ แต่คนนี้คือคนล่าสุด”

“ยังเสียใจอยู่ไหมครับ”

“ไม่แล้วล่ะ....ผมมีน้องเดียร์แล้วไง”

“พี่จริงจังกับเดียร์เหรอครับ”

“ก็จริงจังนะ ผมจริงจังกับทุกคนที่ผมรู้สึกชอบอยู่แล้ว คุณถามผมแบบนี้....อย่าบอกนะว่า” ผมเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ “คุณก็เล็งน้องเดียร์ไว้เหมือนกัน”

สิบสามมองหน้าผมอยู่อย่างนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วเข็นรถเดินไปโซนถัดไป เอ้า แบบนี้ก็ได้เหรอวะ อะไรเนี่ยนังน้อน พี่ยังไม่ได้คำตอบเลย จิ๊....ร้ายกาจจริงๆ แต่จะว่าไปถ้าสิบสามเล็งน้องเดียร์จริงๆ เขาน่าจะทำคะแนนได้มากผมป้ะ เรียนก็เซกเดียวกัน เจอหน้ากันทุกวัน เป็นดาวเดือนด้วยกัน แถมคนที่เดินหนีผมอยู่นั่นก็หน้าตาดีแบบดี๊ดี ถึงผมจะมั่นใจในหนังหน้าตัวเอง แต่ก็ยังไม่กล้าเอาไปเทียบกับสิบสามอยู่ดี

แล้วเนี่ยะ เรื่องนี้ก็คือคาใจเลย

ปล่อยไว้ไม่ได้นะ

“คุณเดินหนีผมอะ ทำแบบนี้เหมือนยอมรับเลยนะว่าคุณเล็งน้องเดียร์”

“พี่เฌอครับ” ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะหยิบถุงขนมที่อยู่เหนือหัวผม “ผมไม่ยุ่งกับน้องเดียร์ของพี่หรอก สบายใจได้”

“คุณพูดแบบนี้แล้วผมค่อยโล่งใจหน่อย” ผมยิ้มหวานให้เขา โอเค สบายใจละ อย่างน้อยผมก็ไม่มีสิบสามเป็นคู่แข่งในสมรภูมิความรักนี้

“โล่งใจก็ดีแล้ว ป่ะ ผมต้องซื้อนมกับโยเกิร์ตอีก” เขาบอกก่อนจะเดินนำผมมาอยู่ที่ตู้นม มือเรียวหยิบนมจืดมาใส่รถเข็นสองแกลอนใหญ่ เดี๋ยวก่อนนะพ่อหนุ่ม ซื้อเยอะขนาดนี้กินทันเหรอ

“คุณกินทันเหรอ”

“ทันครับ พี่เอาสักแกลอนไหมล่ะ”

“ไม่เอาอะ กินนมขนาดนี้ป้ะ ถึงได้สูงแบบนี้”

“คงงั้นมั้งครับ” เขาหยิบโยเกิร์ตรสธรรมชาติใส่รถเข็นอีกสามแพ็ค “ผมถามได้ไหมว่าพี่เฌอสูงเท่าไหร่”

“ผมสูง 181 เซ็นฯ แล้วคุณล่ะ”

“ 188 เซ็นฯ ครับ”

โหหหห....สูงชิบหาย อีกนิดเดียวก็ 2 เมตรแล้วป้ะ

“แต่คุณดูผอมนะ ตัวผมน่าจะหนากว่า”

“ดูแค่ภายนอกไม่ได้หรอกนะครับ” สิบสามเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองออก “เท่าที่ผมเห็นพี่เนี่ยะ ตัวพี่บางกว่าผมอีก”

“ถามจริง”

“ไม่งั้นผมจะแบกพี่กลับมาที่ห้องแบบสบายๆ ได้ยังไงครับ พี่อาจจะคิดว่าตัวเองตัวใหญ่ แต่สำหรับผมแล้ว....พี่ก็ตัวแค่นี้เอง”

ผมทำหน้ามุ่ยใส่เขา “คุณตัวใหญ่กว่าผมแค่จึ๋งเดียวเท่านั้นแหละ”

“ผมตัวใหญ่กว่าพี่ตั้งจึ๋งนึงต่างหาก” เจ้าตัวยักคิ้วให้ผมทีนึงเหมือนโชว์เหนือ น่าหมั่นไส้ชิบหาย ใจผมน่ะอยากโบกให้เขาหัวทิ่มคารถเข็นเลยล่ะแต่จะทำแบบนั้นก็ไม่ได้ไง

ให้สนิทกันกันอีกจึ๋งนึงก่อน....ถึงวันนั้นเมื่อไหร่ค่อยลงไม้ลงมือ

สิบสามเข็นรถเข้าไปจุดจ่ายเงิน ซื้อของเยอะมากเลยอะ รวมทั้งหมดนี่น่าจะหนักเอาการ ถ้าแบกขึ้นรถเมล์กลับจะลำบากมากเว่อร์ อีกอย่างตอนนี้เขามีรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติกอีก งานหยาบแล้วล่ะ จะเอากลับยังไงวะเนี่ย หรือว่าต้องไปซื้อกระเป๋าผ้า

“คุณจะเอากลับยังไงอะ ห้างไม่ให้ถุงด้วย”

“รถผมจอดอยู่ที่นี่น่ะครับ เดี๋ยวเอาของไปไว้ท้ายรถก็ได้”

“แล้วทำไมรถคุณมาอยู่ที่นี่ล่ะ”

“เอามาล้างน่ะครับ ตั้งแต่เช้าละ”

“อ๋อ งี้นี่เอง งั้นเดี๋ยวคุณจ่ายของไปก่อน ผมจะไปซื้อตุ๊กตาน้องกวาง”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมรอที่ชั้นจอดรถ”

“โอเค” ผมบอกก่อนจะเดินกลับขึ้นไปที่ชั้นโซนของขวัญเพื่อซื้อตุ๊กตาน้องกวาง

จะว่าไปการที่มีสิบสามมาเดินซื้อของด้วยก็เป็นอะไรที่บันเทิงดีเหมือนกันนะ สิ่งที่ผมได้ยินหรือรับรู้มาเกี่ยวกับตัวเขามันก็ไม่ขนาดนั้นซะหน่อย จริงอยู่เรื่องไม่ยิ้ม แต่เรื่องที่บอกเขาเงียบ ขรึมหรืออะไรต่างๆ ผมไม่ได้รู้สึกแบบนั้นสักเท่าไหร่นะ ผมว่าเขาพูดเก่งออก ถามอะไรก็ตอบ มีเฉไฉบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำนิ่ง แล้วก็มีความกวนส้นตีนอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ อันนี้ดูจากเรื่องขิงส่วนสูงของตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นถึงคิดว่าเขาเป็นแบบโน้นแบบนี้กันนะ

เวลาอยู่กับผม....เขาก็ดูเป็นตัวของตัวเอง

มันคงเป็นเรื่องของความสนิทด้วยแหละมั้ง คือตอนนี้ผมก็ไม่ได้สนิทอะไรกับเขามากนักหรอกแต่แบบเออ ก็เคยไปกินข้าวด้วยกัน คุยกันนิดหน่อย แล้วตัวสิบสามเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้านออกมา มันก็เลยทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นรุ่นน้องต่างคณะที่เราสามารถพูดคุยหรือไปไหนด้วยได้ไง ถ้าสมมุติว่าเขารำคาญหรือไม่พอใจ เขาก็คงไม่ยอมปล่อยให้ผมไปยุ่มย่ามกับชีวิตเขาหรอก เจ้าตัวอาจจะคิดว่าผมก็เป็นรุ่นพี่ต่างคณะคนนึงที่คุยโน่นนี่นั่นได้

เออ พอคิดแบบนี้แล้วสบายใจว่ะ

งั้นคิดแบบบนี้แหละ

หลังจากที่ผมจัดการซื้อน้องกวางเรียบร้อยแล้ว ผมก็แบกน้องมายังชั้นจอดรถ ร่างสูงยืนรอผมอยู่ข้างรถเขา หูยยยย.....BRZ ว่ะ ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะขับรถแบบนี้ รถเขาเนี่ยะสวยมากเลยนะ เสียอย่างเดียวคือขับตอนน้ำท่วมไม่ได้เพราะรถมันเตี้ยเกินไป ผมเคยคิดอยากจะซื้อรุ่นนี้เหมือนกันแต่คิดไปคิดมา ซื้อรถที่ใส่ของได้เยอะๆ น่าจะดีกว่า พอเป็นแบบนั้นก็เลยต้องตัดใจจากรถสปอร์ตไปซื้อ CRV แทน

เน้นใช้งานมากเว่อร์

“กินข้าวไหมครับ”

“ที่ไหนอะ”

“ผมมีร้านดีดีอยู่” เจ้าตัวบอกก่อนจะเดินขึ้นรถ ผมจับน้องกวางไว้เบาะด้านหลังซึ่งเบาะหลังเนี่ยะมีไว้เพื่อวางของจริงๆ อะ มันแคบแบบลำบากแน่นอนถ้านั่งตรงนั้น

“ขอรบกวนหน่อยนะครับ”

“ตามสบายครับ” เขาคาดเบลท์ก่อนจะออกรถ สุดยอดไปเลยสำหรับผ้าคลุมเบาะและของแต่งอื่นๆ ที่เป็นลายกิกี้กับลาล่า คือเกินเบอร์มาก

“ผมถ่ายรูปคุณได้ไหม”

“ถ่ายทำไมครับ”

“หมั่นไส้อะ”

ดวงตาคมเหลือบมองผม “ผมไปทำอะไรให้พี่เฌอเหรอ”

“คุณหล่ออะ หล่อไป น่าหมั่นไส้” ยังไม่ทันที่เขาจะอนุญาต ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเขา รัวไปเลยครับยี่สิบรูป

“โทรศัพท์เครื่องใหม่เหรอครับ”

“เครื่องเก่าต่างหาก เครื่องใหม่ส่งซ่อมจออยู่”

“อ๋อ แล้วเนี่ยะ พี่ถ่ายรูปผมไป พี่จะเอาไปทำอะไรครับ”

“ลงสตอรี่ไอจี”

“ไอจีพี่เป็นพับลิกใช่ไหม” เจ้าตัวเอ่ยถามพลางมองผมในจังหวะที่รถกำลังติดไฟแดง “พี่คิดดีแล้วเหรอครับที่จะลงรูปผมในสตอรี่”

“ใช่สิ ผมอยากรู้ว่าจะมีคนเวิ่นเว้อถึงคุณไหม ไหนๆ ก็มีแต่คนบอกว่าคุณเข้าถึงยากนัก” ผมจัดแจงใส่โควตประกอบรูปภาพไปว่า ‘หมั่นไส้’ ก่อนจะอัปขึ้นสตอรี่ไอจี “เรียบร้อย”

“ชีวิตพี่ไม่สงบแน่ๆ ”

“ทำไม แฟนคลับคุณจะแหกอกผมรึยังไง”

“เปล่าหรอก....คืองี้ครับพี่เฌอ รถของผมคันนี้เนี่ยะ เพิ่งซื้อเมื่อตอนขึ้นปี 2 ซึ่งยังไม่เคยมีใครได้ขึ้นมานั่งเลยครับ”

“.....แล้วคนในครอบครัว”

“ก็ไม่เคยเหมือนกัน”

เชี่ยยยย....

“ผมเป็นคนแรกที่ได้นั่งงั้นเหรอ”

“ใช่ครับ”

โอ้มายกู๊ดเนสสสส

ผมมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความรู้สึกแปลกๆ เลิ่กลั่กว่ะ ผมเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดนะ คืออย่างที่บอกว่าสิบสามเป็นคนเข้าถึงยาก เพราะงั้นใครก็ตามที่ได้ใกล้ชิดกับเขาก็แปลว่าต้องพิเศษกว่าคนอื่นในระดับนึง และชรันคนนี้ก็เป็นคนแรกที่ได้นั่งบนรถนี่ ถ่ายรูปเขาแบบระยะประชิดมาก ลงสตอรี่ไอจีและติดแคปชั่นประหนึ่งสนิทกันมาสิบปี เรื่องแฟนคลับแหกอกน่ะอาจจะมีบ้าง แต่อีกเรื่องนึงที่น่ากลัวคือคนจะพากันเข้าใจผิดนี่ดิ

ต่อให้เป็นผู้ชายเหมือนกันก็ไม่มีเว้นนะครับ

“คุณ....ซีเรียสไหม”

“เรื่องอะไรครับ”

“ผมว่าคุณรู้”

“ผมเฉยๆ นะครับ พี่เถอะ....จะซีเรียสรึเปล่า”

“ก็ไม่นะ คือแบบ....คุณกับผมก็รุ่นพี่รุ่นน้องกันน่ะ ผมจะสนิทกับคุณมากกว่าคนอื่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหนิ ส่วนใครจะคิดยังไงก็ช่างมัน”

“แล้วถ้าเดียร์เข้าใจผิดล่ะครับ”

“ไม่หรอก น้องเดียร์รู้ว่าผมชอบเธอ”

“นั่นสินะครับ”

“อื้อ....อีกอย่างหลังจากวันเกิดน้องเดียร์ ผมกะว่าจะขอเธอเป็นแฟน คุณคิดว่าไง”

“ผม....ไม่รู้สิครับ”

ตื้อดึ่งงงง

ตื้อดึ่งงงง

ตื้อดึ่งงงง


“โห มหากาพย์ไดเร็คฯ เลยนะเนี่ย”

“ผมบอกพี่แล้ว”

ผมเบ้ปากใส่เขาก่อนจะมองข้อความที่เหล่าสหายทักมาหา คือนอกจากเพื่อนๆ ก็มีคนอื่นทักมาเยอะแยะเต็มไปหมดเลยครับ ทำไมอะ แค่ลงรูปสิบสามขับรถเอง ตื่นเต้นอะไรกันวะงง ผมกดเข้าไปที่ไดเร็คฯ ของขันเพื่อนรัก ซึ่งเป็นคนแรกที่ทักมาหา



Khan_2711 : ผัวมึงเหรอออออ



ผัวที่หน้ามึงอะ

หยาบคายมากรับไม่ได้



Cher_133 : เสือกมาก



ผมจัดการปิดแจ้งเตือนโทรศัพท์และล็อกหน้าจอพร้อมกับเก็บมันลงกระเป๋า เดี๋ยวค่อยมาไล่ดูในอีก 1 ชั่วโมงข้างหน้า อยากรู้จริงๆ ว่าแค่สตอรี่ไอจีอันเดียวเนี่ยะ จะสร้างความบันเทิงให้กับชีวิตของผมได้มากแค่ไหน

ไม่สิ....จะบอกแค่ว่าชีวิตของผมไม่ได้

“ไม่ใช่แค่ชีวิตผมหรอกที่จะไม่สงบ”

ชีวิตคุณก็ต้องไม่สงบเหมือนกัน....นังน้อน







TBC.
สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วนะ สำหรับบทนี้คือน่ารักมากเลยอะ ต่อให้มีซีนพี่เฌอจีบสาวแต่ยังไงตอนที่เขาอยู่กับนังน้อนก็น่ารักอยู่ดี ยิ่งเฉพาะตอนที่เขาคุยกับเรื่องส่วนสูงคืออย่างชอบ5555555 เขียนเองก็หวีดเองได้ถูกไหม อีกอย่างคือแนะนำให้ไปฟังเพลงด้วยนะคะ ตรงใจมากๆ แนะนำค่ะ
ถ้าชอบก็อย่าลืมคอมเม้นต์ให้กำลังใจกันได้นะคะ สามารถติดต่อชาลได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 3 : 9/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 09-01-2020 19:31:47
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 3 : 9/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 10-01-2020 00:39:50
ชีวิตใครจะวุ่นวายหปกว่ากันนะ,,,
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 3 : 9/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-01-2020 00:55:29
มันต้องมีจุดเปลี่ยน ที่ให้เฌอ มาคบกับสิบสาม เรารออยู่
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 4 : 11/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 11-01-2020 20:26:06
บทที่ 4 ปากบอกไหว



   ครืดดดด....ดดด....

   “ฮัลโหลครับ....พี่ถึงแล้วเนี่ยะ เพิ่งจอดรถเสร็จ ครับ แป๊บนึงนะ” ผมกดวางสายก่อนจะแบกน้องกวางผูกโบว์ลงจากรถ

   ตื่นเต้นยังไงก็ไม่รู้แฮะ

   ผมเดินเข้าไปในร้านบอยบาร์ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานวันเกิดของน้องเดียร์ ตอนนี้เกือบ 3 ทุ่มแล้วและผมมาสายกว่าที่ควรจะเป็นนิดหน่อย คือมีงานคณะต้องเคลียร์ไง เสร็จช้าก็เลยมาช้า หวังว่าน้องเดียร์จะเข้าใจ แต่ผมก็บอกเธอตลอดเลยนะว่ามีงานอะไรบ้างที่ต้องทำ ไม่ได้หายไปเงียบๆ อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ถือว่าดีมากแบบมากๆ เลยนะครับ เพราะแบบนั้นวันนี้ผมเลยคิดว่าจะขอน้องเดียร์เป็นแฟน

   ขอให้น้องตอบตกลงด้วยเถอะ

   ผมชอบน้องและคิดจริงจังกับเธอจริงๆ พร้อมดูแลด้วยครับบอกเลย ผมมีหลายอย่างที่คิดเอาไว้ในหัวคนเดียว แต่ละอย่างที่คิดมันก็มีน้องเดียร์อยู่ในนั้นด้วย จริงอยู่แหละที่ว่าน้องกับผมอาจจะยังรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ความรู้สึกที่มีอยู่ในใจนี้มันก็ชัดเจนอยู่นะ ผมรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง และก็นั่นแหละ ถ้ามั่นใจก็ไม่จำเป็นต้องรออะไรมากมาย เสียเวลาดูแลกันเปล่าๆ อยากทำหน้าที่แฟนของว่าที่คุณหมอคนสวยแล้ว

   มั่นหน้ามากแล้วแหละว่าเธอจะยอมเป็นแฟนผม

   “ทางนี้ค่ะพี่เฌอ” เสียงใสเอ่ยเรียก ผมก็เดินเข้ามาที่โต๊ะโซนด้านในของร้าน เพื่อนๆ น้องเดียร์เยอะเลยครับที่มาปาร์ตี้งานวันเกิด บางคนผมก็คุ้นหน้า น่าจะเพราะเห็นที่ตึกแพทย์ฯ บ่อยๆ

   “สุขสันต์วันเกิดนะครับ นี่ของขวัญของพี่” ผมส่งน้องกวางให้เธอ “ขอให้มีความสุข น่ารักกับพี่มากๆ นะครับ”

   “ฮิ้ววววววว”

   “โอ๊ยยยย อิจฉาจังเลยค่า”

   “ขอบคุณนะคะพี่เฌอ” มือบางอุ้มน้องกวางเอาไว้ “ถ่ายรูปให้เดียร์หน่อยสิผึ้ง พี่เฌอถ่ายรูปกับเดียร์หน่อยนะคะ”

   “ได้สิครับ” ผมเอียงหัวเข้าไปใกล้น้องเดียร์พลางยิ้มหวานให้กล้อง

   “ยิ้มหวานนะคะ” น้องผึ้งบอกก่อนจะกดถ่ายรูปเราสองคนรัวๆ “แหมๆ ๆ ๆ นึกว่าซ้อมพรีเวดดิ้งซะอีก”

   “พรีเวดดิ้งอะไรเล่า” เจ้าของวันเกิดทำหน้ามุ่ยก่อนจะหันมายิ้มแป้นให้ผม “เดียร์ดีใจนะคะที่พี่เฌองานยุ่งขนาดนั้น แต่ยังมางานวันเกิดเดียร์ได้”

   “พี่มีเวลาให้น้องเดียร์เสมอแหละ” ผมเลื่อนมือไปจับมือเธอเอาไว้ “แต่พี่ขอโทษนะครับที่มาไม่ทันตอนน้องเดียร์เป่าเค้กน่ะ”

   “ไม่เป็นไรเลยค่ะ แค่เค้กเอง ถึงปีนี้จะไม่ทัน ค่อยรอวันเกิดเดียร์ปีหน้าก็ได้หนิคะ”

   “พูดแล้วนะครับ”

   “พี่เฌอก็อย่าไปไหนแล้วกันค่ะ”

   “คนตรงหน้าน่ารักขนาดนี้ พี่จะไปไหนได้น้า”

   “ช่วงนี้ก็ไปบ่อยอยู่ไหมคะ....กับสิบสามน่ะ”

   “ก็ตามประสาผู้ชายไหมครับ อีกอย่าง....น้องเดียร์ก็น่าจะรู้ว่าพี่คิดยังไง” ผมเลื่อนไปกระซิบข้างหูเธอ “ใจพี่....มีแค่น้องเดียร์นะ”

   “งั้นพี่เฌอก็ต้องทำให้เดียร์รู้แล้วล่ะค่ะ” เธออมยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งกับเพื่อนๆ ผมเข้าใจในสิ่งที่น้องเดียร์พูดนะ แต่ไม่คิดเลยว่าสิบสามจะมามีเอี่ยวในเรื่องนี้ด้วย

   นังน้อนนั่น

   ตั้งแต่วันที่ผมลงสตอรี่ไอจีรูปสิบสามไปก็ผ่านมาอาทิตย์กว่าแล้วครับ เป็นอาทิตย์กว่าที่โซเชี่ยลไม่สงบเลยให้ตายเถอะ ยิ่งเพจคิ้วท์บอยของมหา’ลัยนะยิ่งแล้ว ลงรูปผมกับสิบสามเยอะมาก รูปเดี่ยวบ้าง รูปคู่แบบแอบถ่ายตอนที่ไปกินข้าวด้วยกันเงี้ยะ คือไม่ได้ตั้งใจจะไปกินข้าวด้วยกันหรืออะไรเลยนะ แค่บังเอิญเจอกันที่ร้านข้าวเฉยๆ ก็เลยนั่งด้วยกัน คือมันแค่นี้เอง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหลายคนถึงคิดกันไปไกลได้มากขนาดนั้น

   #สามเฌอ

   มาแบบงงๆ

   คือผมไม่ได้ซีเรียสหรอกเพราะเรารู้ไงว่าอะไรมันเป็นยังไง ด้านสิบสามเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากอยู่แล้วเพราะรายนั้นสนใจใครที่ไหน คนอื่นจะพูดอะไรกันก็ปล่อยไปอย่างเดียว ไม่แก้ตัวใดใดทั้งสิ้น ส่วนน้องเดียร์เนี่ยะ เธอก็รู้อยู่แล้วว่าผมชอบเธอ แต่ที่ชอบยกสิบสามมาพูดให้ผมฟังก็คงเป็นเพราะต้องการความชัดเจนนั่นแหละว่าผมจริงจังกับเธอ และตอนนี้ผมก็กำลังจะยืนยันสิ่งนั้นด้วยคำพูดของผม

   ยืนยันด้วยสถานะที่ผมอยากให้เธอเป็น

   ผมเดินมานั่งลงข้างๆ ร่างบาง “น้องเดียร์”

   “อะไรคะ”

   “พี่อยากรู้ว่าน้องเดียร์คิดยังไงกับพี่”

   “พี่เฌอ” เธอทำแก้มป่องใส่ผม “พี่เป็นคนซื่อบื้อเหรอคะถึงไม่รู้ว่าเดียร์คิดยังไง”

   “มันก็รู้แหละ แต่ก็อยากได้คำยืนยันไงครับ” ผมเลื่อนมือไปกุมมือเธอเอาไว้ “ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยว่าความรู้สึกของเรามันตรงกัน”

   “....เดียร์ก็รู้สึกแบบเดียวกับพี่เฌอนั่นแหละค่ะ” ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงระเรื่อ อาการแบบนี้คงเขินน่าดูเลยแหละ น่ารักจัง มันคงดีนะถ้าผมได้เห็นใบหน้าแบบนี้ไปในทุกวัน

   “ถ้าเรารู้สึกเหมือนกัน....งั้นก็แปลว่า”

   “.....”

   “น้องเดียร์ยินดีที่จะเป็นแฟนพี่....ใช่ไหมครับ”

   .

   [ บันทึกพิเศษ : สิบสาม ]

   .

   Cher Charun กำลังคบกัน Dear Daraphon

   หึ....

   เอาจนได้

   “มึงไหวป้ะเนี่ยะ”

   “ผมไหว”

   “ปากบอกไหวแต่ในใจน้ำตาไหลถึงตีนอย่างนี้ป้ะ”

   ก็อาจจะ

   “ผมไม่เป็นไรหรอกครับ คิดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าอาจจะมีวันนี้” แต่ไม่คิดว่าจะไวขนาดนี้เท่านั้นเอง ใจนึงอยากจะว้ากออกไปดังๆ แต่ผมไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้นเลย

   ถอนหายใจแทนละกัน

   เฮ้อออออ

   สเตตัสในเฟซบุ๊กที่อัปเดตมาชั่วโมงกว่าๆ ทำให้ผมวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะด้วยความรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างที่ไม่เคยเป็น ควรอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ว่ายังไงดี คำว่าอกหักคงใกล้เคียงมากที่สุด อกหักทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลยสักอย่าง ไม่สิ จะพูดว่าไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้ ผมคิดว่าตัวเองทำไปหลายอย่างแล้วแต่เป็นอีกฝ่ายมากกว่าที่ไม่รับรู้อะไรเลย เข้าใจแล้วครับว่ากำแพงของรุ่นพี่รุ่นน้องมันทำลายยากมากแค่ไหน

   จิ๊....หงุดหงิดใจจัง

   มือเรียวของเพื่อนต่างคณะส่งโอริโอ้มาให้เหมือนอยากปลอบใจผม ตอนนี้เกือบ 5 ทุ่มซึ่งปกติแล้วผมคงอยู่ที่ห้องตัวเองและทำอะไรเรื่อยเปื่อย แต่วันนี้อยู่ดีดีเป้กับหมีก็ชวนผมออกมากินติมมืด ด้วยความที่ผมไม่ค่อยได้เจอพวกเขาบ่อยๆ ก็เลยยอมตกลง การตัดสินใจเมื่อเย็นนั้นถือว่าคิดถูกแล้วจริงๆ ผมนึกไม่ออกเลยว่าถ้าอยู่คนเดียว ตัวเองจะเป็นยังไงบ้าง คงเสียใจมากกว่านี้ก็ได้

   ผมชอบพี่เฌออะ

   ทำไมเขาต้องมามีแฟนด้วยวะ

   “คุณชอบพี่เฌอขนาดนั้นเลยเหรอสิบสาม”

   นั่นสิ....ผมชอบเขาขนาดนั้นเลยเหรอ

   “การที่รู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากๆ มันหมายความว่าชอบมากรึเปล่าครับ ถ้าใช่....ก็คงเป็นแบบนั้นแหละ”

   ผมเคยพูดว่ามันเป็นเรื่องยากมากที่เราจะประทับใจในตัวใครสักคนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน....และใช่ คนที่ผมรู้สึกแบบนั้นด้วยก็คือพี่เฌอ ผมเจอเขาครั้งแรกบนรถสองแถวครับ เรายืนข้างกัน ตอนแรกผมไม่ได้คิดอะไรหรอกจนกระทั่งเขามีเรื่องกับใครไม่รู้ที่ทำให้โทรศัพท์เขาจอแตก ผมเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เห็นการที่เขาพยายามใจเย็นทั้งๆ ที่หงุดหงิดมาก ถ้าผู้ชายคนนั้นเจอคนอื่นที่ไม่ใช่เขา เรื่องน่าจะแย่กว่านั้นเยอะเลยล่ะ

   นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกประทับใจในตัวเขา

   ตอนแรกผมรู้ว่าเขาเรียนวิศวะฯ เท่านั้นแหละ มารู้ว่าเขาชื่อเฌอก็ตอนที่เจ้าตัวลืมชีทไว้ที่ร้านโจ๊ก ผมคือคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาเอง บทสนทนาที่ผมได้ยินเขาคุยกับเพื่อนคือเขาจำวันเรียนผิด รีบมากก็เลยลืมชีทเอาไว้ ชีทเขาน่ารักมากเลยนะ เขียนสรุปอธิบายแบบเข้าใจง่าย แถมยังวาดการ์ตูนเก่ง แต่ชีทนั่นผมฝากให้คนเอาไปคืนเขาตั้งแต่อาทิตย์ก่อนโน้นแล้วล่ะ ผมไม่ได้บอกเขาด้วยว่าตัวเองคือคนที่เก็บชีทเขาได้

   ปล่อยให้มันเป็นความลับไปแบบนี้แหละ

   เจอกันที่ร้านโจ๊กก็ยังเฉยๆ อยู่ ไม่คิดว่าจะมาเจอกันอีกทีตอนกลางคืน ผมไปเซเว่นฯ แล้วก็ไปเจอเขาล้มอยู่ คนอะไรล้มแล้วหัวเราะ ยืนอีกก็จะล้มอีก สภาพเขาคือเมา เมาจนไม่ได้สติด้วยซ้ำ ไปๆ มาๆ ก็สลบ ตอนนั้นผมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ก็เลยพาเขากลับมาที่ห้องด้วย ห้องของผมที่ไม่เคยมีใครได้เข้าไปนอกจากคนในครอบครัว การที่ผมยอมให้เขาได้เข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวขนาดนั้น ผมก็....ตกใจตัวเองเหมือนกัน

   ยอมเขาถึงขนาดนั้นได้ยังไง

   “ไม่ต้องเศร้าไปนักหรอก....ถ้าคุณเคยได้ยินเรื่องของพี่เฌอมาบ้าง คุณก็น่าจะรู้นะว่าเดี๋ยวพี่เฌอก็อกหัก”

   ผมเหลือบมองคนพูด “อาถรรพ์เลข 13 ของพี่เฌอน่ะเหรอครับ”

   “ใช่”

   “มันจริงขนาดนั้นเลยเหรอ” ตอนที่พี่เฌอเมาจนเพ้อวันนั้น เขาก็พูดเรื่องนี้ออกมา วันที่ 13 เป็นวันที่เขาไม่ชอบ อะไรก็ตามที่มีเลข 13 เกี่ยวข้อง เขาก็ไม่ชอบ เชื่อไหมว่าตอนที่เขาพูดแบบนั้นออกมา ผมถึงกับคิดในใจเลยว่าตัวเองไม่น่าเกิดตรงวันที่ 13 เลย

   พ่อกับแม่ตกลงกันว่าจะตั้งชื่อเล่นบรรดาลูกๆ ตามวันเกิดน่ะครับ

   ผมเกิดวันที่ 13 ถึงได้ชื่อเล่นว่าสิบสาม

   “จริงสิคุณ เวลาพี่เฌอมีแฟนนะ ความรักมักจะจบลงวันที่ 13 หรือไม่ก็คบกันไปจนถึง 13 วัน ก็จะเลิกกัน มันเป็นแบบนี้มาตลอด ไม่เคยมีใครคบกับพี่เฌอได้นานไปมากกว่านี้”

   “แต่อาจจะไม่ใช่กับเดียร์ก็ได้นะครับ”

   “มึงคิดว่าเดียร์คบกับพี่เฌอเพราะอะไรวะ” เป้เค้นหัวเราะ “เรื่องนี้มึงน่าจะรู้ดีที่สุดแล้วไหม หรือว่ามึงจะยอมปล่อยพี่เฌอให้เดียร์ไปล่ะ”

   “ใจนึงผมก็ยอมรับในการตัดสินใจของพี่เฌอนะ เขาบอกผมว่าคนที่เขาเลือกก็คือเขาจริงจัง นั่นแปลว่าเขาชอบ เขาคงมีความสุข ผมไม่อยากไปทำลายความสุขนั้นเลย” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูรูปคนที่ตัวเองแอบถ่ายเอาไว้ “อีกใจ....ผมก็คิดว่าทำไม ผมต้องปล่อยให้คนที่ตัวเองชอบไปเป็นของคนอื่นด้วย”

   การยอมแพ้อะไรง่ายๆ ก็ไม่สมเป็นผมเลย

   “มันต้องแบบนี้สิวะ” เป้รั้งคอผมกับหมีให้มาสุมหัวกัน “เราที่อยู่ทีมประกวดดาวเดือนมาด้วยกันย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าอะไรมันเป็นยังไง จริงไหม”

   หมีพยักหน้ารับ “จริง เรารู้ดีอยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง แค่ยังไม่ถึงเวลาต้องพูดเท่านั้นแหละ”

   “นั่นสิครับ เรื่องนั้นเรารู้อยู่แก่ใจ”

   “อืม อาจจะต้องรอเวลาซะหน่อย ก็อดทนเอาไว้ล่ะสิบสาม”

   “เรื่องอดทนน่ะ....ผมเก่งอยู่แล้ว”

   ครืดดดด....ครืดดดด......

   หมีหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ขึ้นมากดรับสาย “ฮัลโหลครับเฮีย.....ห้ะ......แล้วทำไมเขาไปอยู่ที่นั่นได้อะ อ๋อออ ไปฉลอง อะหมีเข้าใจละ ได้....ได้ครับ เดี๋ยวส่งคนไปรับละกัน ครับ”

   “ใครวะ”

   “เฮียเจ๋ง โทรมาบอกว่าพี่เฌอเมาอยู่ร้านเขา เหมือนกับไปกินเหล้าฉลองที่ตัวเองมีแฟนมั้ง ไปคนเดียวด้วย”

   “ผมนึกว่าเขาจะกินเหล้าเฉพาะตอนอกหักซะอีก”

   “พี่เฌอเนี่ยะ อยากกินก็กิน แค่ตอนอกหักจะหนักเป็นพิเศษเท่านั้นแหละ ส่วนมากถ้าเขาไปที่ร้านเฮียเจ๋ง ผมมักจะเป็นคนไปเก็บซากเขา แต่วันนี้คงต้องรบกวนคุณแล้วล่ะสิบสาม”

   “ไม่มีปัญหาครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

   
---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 4 : 11/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 11-01-2020 20:27:12
---------- ต่อจากบท 4 ----------

   

   ร้าน BAR-HERE

   ผมเดินเข้ามาในร้านด้วยความรู้สึกแปลกๆ เพราะตัวเองไม่ค่อยได้มาร้านแบบนี้สักเท่าไหร่ ครั้งล่าสุดก็เลี้ยงสายรหัส ผมไม่ดื่มเหล้าเพราะเดิมทีตัวเองไม่ใช่คนแข็งแรง ผมใช้เวลาหลายปีตั้งแต่ช่วงมัธยมฯ ในการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องกิน หรือการออกกำลังกาย จนถึงตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น อะไรก็ตามที่เป็นการทำร้ายร่างกายหรือสุขภาพของ ผมเลือกที่จะไม่ทำมัน

   ต่างจากพี่เฌอโดยสิ้นเชิงเลย

   “มาคนเดียวเหรอครับ”

   ผมมองผู้ชายคนนึงที่เอ่ยถาม ในมือเขาถือใบโปรโมชั่นร้าน คงเป็นพนักงานนั่นแหละ “ผมมารับคนครับ”

   “ใครเหรอครับ”

   “พี่เฌอ”

   “อ๋อ งั้นทางนี้เลยครับ” เขาบอกก่อนจะเดินนำผมมาที่โซนเคาน์เตอร์บาร์ “นั่นน่ะครับพี่เฌอ”

   “ขอบคุณนะครับ” ผมมองร่างโปร่งที่นั่งอยู่พลางหัวเราะอะไรไม่รู้เสียงดัง พอเห็นแบบนั้นผมจึงเดินเข้าไปหาเขามันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เจ้าตัวลุกขึ้นพอดี

   “เห้ยยยย” เขาจับไหล่ผมเอาไว้เพราะตัวเองเสียหลัก “.....สิบสาม”

   “ถ้าเมาแล้วจะล้ม ก็อย่าดื่มจนเมาสิครับ”

   ผมจะตามเป็นห่วงยังไงไหวล่ะ

   “ไม่ได้เมาสักหน่อยนะคุณ” พี่เฌอผละออกก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิม “เขาเรียกขาอ่อนเฉยๆ เอง”

   “…..ข้ออ้าง” สภาพเขาน่ะเมาชัดๆ เลย ฤทธิ์เหล้าทำให้ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงระเรื่อไปหมด

   “อื้ออออ....” คนตรงหน้าส่งเสียงเหมือนเด็กพร้อมกับทำหน้ามุ่ยใส่ “เฮียเจ๋งดู นี่ไงนังน้อนที่เฌอเล่าให้ฟัง ดูๆ ๆ ๆ เหิมเกริมป้ะล่ะ”

   “ก็เอาเรื่องอยู่” ผู้ชายที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ยกยิ้มให้ “เห็นแบบนี้แล้วมันแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้น้า”

   “ยังไงครับ”

   “ก็....เฌอเพิ่งตั้งสถานะคบกับผู้หญิง แต่คนที่มารับกลับเป็นผู้ชายเฉยเลย”

   “ผมเป็นรุ่นน้องเขาไงครับ” ผมมองพี่เฌอที่หน้าฟุบลงกับเคาน์เตอร์ไปแล้ว เหมือนเด็กมาก นี่เขาอายุเยอะกว่าผมจริงๆ เหรอเนี่ย

   “อ๋ออย่างงั้นเอง อะนี่กระเป๋าเฌอ เดี๋ยวออกทางหลังร้านก็ได้ สะดวกมากกว่า”

   ผมรับกระเป๋าคาดอกมาสวมก่อนจะช้อนตัวคนเมาขึ้นมา “ขอบคุณนะครับ”

   “อุ้มแบบนี้เลยเหรอ”

   “ครั้งก่อนที่เขาเมา ผมก็อุ้มแบบนี้แหละครับ ขอตัวก่อนนนะครับ”

   “เฮียฝากเฌอด้วยล่ะ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะเดินออกมาทางหลังร้าน จัดแจงพาเขาขึ้นรถแล้วขับกลับไปที่ห้องตัวเองซึ่งไม่ได้ไกลจากที่นี่สักเท่าไหร่

   แปลกคนมาก....ตอนแรกนึกว่าจะกินเหล้าเมาหนักๆ เฉพาะเวลาอกหักแต่ที่ไหนได้ เขากินมันเป็นเรื่องปกติ ความจริงผมไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยกับการที่พี่เฌอกินเหล้าขนาดนี้ แต่เขาน่าจะมีลิมิตให้ตัวเองสักหน่อย ถ้าสมมุติว่าเขาเมาแล้วรอบๆ ตัวไม่มีคนที่รู้จักหรือไว้ใจได้จะทำยังไงล่ะ ผมอยากให้เขาเป็นห่วงตัวเองให้มากกว่านี้ แค่นิสัยที่ชอบลืมโน่นลืมนี่ก็หนักแล้วนะ วันก่อนเจอกันที่ร้านข้าวก็ลืมโทรศัพท์

   รอบก่อนหน้าลืมกุญแจรถ

   ดีแค่ไหนที่เขายังจำได้ว่าตัวเองชื่อเฌอ

   “อื้อออ...อ....วันนี้ไม่ใส่แว่นเหรอ”

   “ไม่ครับ”

   “ไม่ใส่แมสด้วย” คนเมาบ่นอู้อี้ในลำคอก่อนจะยื่นมือมาเขี่ยหัวผม “มองจากตรงนี้แล้ว....คุณหน้าตาดีจริงๆ ”

   “ตั้งแต่รู้จักกันมา พี่ชมผมไปเท่าไหร่แล้วรู้ไหม”

   “ผมพูดความจริงหนิ เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้นะ คุณอยากหน้าตาดีทำไมล่ะ ไม่อยากให้ผมชมก็หัดหล่อให้มันน้อยลงหน่อยสิ”

   ผมเอื้อมมือมาปลดเบลท์ให้เขา “ผมจะพยายามละกันนะครับ”

   “ดีมากนังน้อน” เจ้าตัวตอบรับอย่างชอบใจ เรียกผมว่านังน้อนเนี่ยนะ เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย

   ผมอุ้มพี่เฌอออกมาจากรถก่อนจะพาขึ้นไปบนห้องตัวเองที่อยู่ชั้น 3 ตอนนี้เกือบเที่ยงคืนแล้ว ดีนะที่พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียน ส่วนพี่เฌอก็ไม่มีเรียนเหมือนกันครับ ผมรู้ตารางเรียนของเขาเพราะเจ้าตัวเคยบ่นให้ฟังว่าชอบจำวันเรียนผิด วันหยุดก็เคยไปเรียนแบบงงๆ ส่วนวันที่ต้องไปเรียนก็นอนอยู่ห้องทั้งวันเพราะคิดว่าวันนั้นเป็นหยุด เนี่ยะ เขาอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไง ผมไม่เข้าใจเลย

   ถ้าเขาไม่มีเพื่อน....น่าจะลำบากมากเลยล่ะ

   โชคดีของเขาที่มีเพื่อน มีรุ่นน้องและอาจจะมีคนอื่นคอยช่วยเหลือ ต่างจากผมมากเลย ผมไม่มีเพื่อนสนิทหรือคนที่รู้สึกสนิทแบบมากๆ ในรุ่นเดียวกัน ผมก็มีแค่เป้กับหมีนี่แหละที่สามารถคุยเรื่องอื่นได้มากกว่าเรื่องเรียน ในเซกเรียนของผม ผมก็ไม่ค่อยคุยกับใคร ไม่รู้สึกสนิทกับใครทั้งนั้น ความจริงก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เวลามีปัญหา อยากปรึกษาเรื่องต่างๆ ผมจะคุยกับครอบครัวมากกว่า

   ตอนนี้ถ้าถามว่าผมรู้สึกสนิทกับใครมากที่สุดก็คงเป็น....พี่เฌอนั่นแหละ

   “อื้ออออ....กลิ่นนี้อีกแล้ว” ร่างโปร่งผงกหัวขึ้นมาจากหมอนก่อนจะฟุบลงไปอีก “ผมอยู่ไหนเนี่ย”

   “ห้องผมครับ อยู่นิ่งๆ ก่อนสิ” ผมจับขาเขาเอาไว้ก่อนจะถอดถุงเท้าออกให้ “พี่เฌอ”

   “คุณจะทำอะไรผมอะนังน้อน”

   “พี่อยากโดนทำอะไรมั่งล่ะครับ”

   “.....”

   เงียบ ไม่ยอมตอบแถมเอาหน้ามุดใต้หมอนหนีอีก

   “หึ....” ผมเดินไปหยิบผ้าขนหนูกับกะละมังใส่น้ำมาตั้งไว้ข้างหัวเตียงก่อนจะจัดการถอดเสื้อผ้าพี่เฌอออก คนเมาก็ดูให้ความร่วมมือดีนะ แน่ล่ะ เมาขนาดนี้ต้องไม่มีแรงขัดขืนอยู่แล้ว เวลาปกติเขาก็สู้แรงผมไม่ได้หรอก

   บอกแล้วไงว่าพี่เฌอก็ตัวแค่นี้

   “อื้มมม....เย็น”

   “เช็ดตัวก่อนครับค่อยนอน”

   “ทำไม”

   “หืม....”

   “ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย”

   “ผมไม่ยอมให้คนตัวเลอะนอนอยู่บนเตียงตัวเองหรอกนะครับ”

   ร่างโปร่งพยายามชันตัวขึ้นมา “งั้นผมนอนพื้นก็ได้”

   “ไม่ได้” ผมกดเขาลงกับเตียงเหมือนเดิมก่อนจะใช้แขนกั้นไว้ “ผมจะปล่อยให้พี่นอนพื้นได้ยังไง อยู่นิ่งๆ เลยครับ เดี๋ยวพอเช็ดตัวเสร็จพี่ก็นอนได้แล้ว”

   “คุณสั่งผมเหรอ” คนเมาหรี่ตามองผมพร้อมกับทำหน้าตึง “ฝากไว้ก่อนเถอะ” ว่าแล้วเขาก็พลิกหันไปอีกฝั่ง ผมชะเง้อหน้าไปดูก็พบว่าเขาหลับไปแล้ว คาดโทษผมเสร็จแล้วก็หลับหนี

   มันน่านักนะ

   ผมเช็ดตัวให้พี่เฌอไปเรื่อยๆ ก่อนจะจับเขานอนดีดีพร้อมกับห่มผ้าให้ ครั้งที่สองแล้วบนเตียงนี้ที่มีคนอื่นมานอน ผมเคยคิดเหมือนกันนะว่าพี่เฌอจะรู้สึกว่าตัวเองพิเศษกว่าคนอื่นบ้างไหม ผมไม่เคยยอมให้ใครนอกจากเขาเลย ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมก็กลับไปเรียนทำข้าวต้มกับทอดไข่เจียวอีกต่างหาก เป็นธรรมเนียมของบ้านครับ แม่บอกว่าถ้ารู้สึกชอบใครหรือเจอคนที่ตัวเองชอบแล้วก็ให้กลับไปเรียนทำอาหารง่ายๆ เอาไว้

   ถ้ามีโอกาสจะได้ทำให้เขาคนนั้นกิน

   ครั้งก่อนที่พี่เฌอเมาแล้วเพ้อว่าตัวเองทำอาหารอร่อย มีคนบอกอยากกินฝีมือเขาแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครอยู่กินมันเลย ผมอยากเป็นคนที่ได้กินน่ะ อยากรู้ว่ามันจะอร่อยแบบที่เขาบอกรึเปล่า ไม่รู้เลยว่ามันจะมีวันนั้นไหม ยิ่งตอนนี้หัวใจเขามีเจ้าของแล้วด้วย ผมคงได้แต่หวังให้อาถรรพ์ของเลข 13 ที่เคยเกิดขึ้นกับชีวิตเขาเป็นจริง ตอนนี้คงทำได้แค่รอเวลาและคอยดูว่าเดียร์จะทำยังไงต่อไป

   นึกถึงเรื่องนี้ทีไรใจก็พาลหงุดหงิด

   ผมรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่วันที่พี่เฌอมาหาที่คณะแล้วเจอกับเดียร์ มันไม่น่าเป็นแบบนั้นได้เลย ไหนจะเรื่องที่ทั้งสองคนคุยกันอีก แล้วเพื่อนๆ ของเดียร์ก็เห็นดีเห็นงามด้วยซึ่งมันแทบเป็นไปไม่ได้ คือตัวของเดียร์เป็นผู้หญิงสวย ดูน่ารัก ไม่แปลกเลยถ้าจะมีคนชอบเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น พี่เฌอคือหนึ่งในนั้น ผมรู้ว่าพี่เฌอจริงจังกับเดียร์แต่ผมก็รู้เหมือนกันว่าเดียร์ไม่มีทางจริงจังกับพี่เฌอแน่นอน

   เพราะเดียร์ชอบผม

   “อื้อออ...อ.....น้องเดียร์”

   “ตรงนี้ไม่มีน้องเดียร์ของพี่หรอกนะครับ” ผมเกลี่ยผมที่ปรกหน้าเขาออกให้ “เลิกเรียกชื่อคนอื่นบนเตียงของผมได้แล้ว”

   “อื้มมมม....” มือเรียวคว้าที่แขนผมก่อนจะเอาไปกอดอยู่อย่างนั้น จริงๆ เลยนะพี่คนนี้น่ะ เขาไม่รู้ไงว่าคนอื่นต้องอดทนหนักมากแค่ไหนไง

   “พี่รู้เอาไว้เลยนะครับว่าผมคือสิบสาม”

   “.....”

   “สิบสามที่จะเป็นอาถรรพ์ทำให้พี่เลิกกับเดียร์”

   “.....”

   “เตรียมใจเอาไว้เลยนะครับ....พี่เฌอ”

   

   [ จบบันทึกพิเศษ : สิบสาม ]

   

   “อื้อออ....”

   กลิ่นนี้อีกแล้ว

   ผมยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองก่อนจะรับรู้ได้ถึงอ้อมกอดของใครบางคนที่นอนอยู่ข้างกัน ผมเพ่งสายตามองตรงหน้าชัดๆ เรือนผมสีดำที่ปรกหน้าใสอยู่นั้น มองจากองศานี้แม่งโคตรดูดีเลย ขนตายาวมากเลยพ่อคุณ เวลาปกติไม่เคยสังเกตไง แต่ตอนนี้เรื่องที่ควรโฟกัสคือทำไมสิบสามถึงมานอนอยู่ตรงหน้าผม ไหนจะแขนที่พาดอยู่นี่อีก สำคัญสุดคือไม่ใส่เสื้อด้วย

   ไม่ใช่แค่เขา

   “คุณ....” ผมเขย่าแขนเขา “ตื่นนนน”

   “อื้ออออ....” เสียงครางในลำคอนั่นบ่งบอกว่าอย่ามายุ่งกับกูนะไอ้เวร คนจะหลับจะนอน ได้ดิ....จะเอาแบบนี้ใช่ไหมห้ะนังน้อนนนน

   “สิบสาม!!!!”

   ร่างสูงลืมตามองผม “พี่เสียงดังทำไมครับเนี่ย”

   “ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

   “พี่เมา” สิบสามมุดกลับเข้าไปในผ้าห่มเหมือนหนีผม “ผมเลยพากลับมาที่ห้อง”

   “แล้วเสื้อผ้าผมไปไหน” เหลือแต่บ๊อกเซอร์เหมือนวันนั้นเลย เห้อะ....เก่งจริงเรื่องถอดเสื้อผ้าคนอื่นเขาเนี่ย

   “ตากอยู่ตรงระเบียงครับ”

   “แล้วเสื้อผ้าคุณอะไปไหน”

   สิบสามรั้งผ้าห่มออกก่อนจะขยับไปนั่งอยู่ข้างเตียง “เสื้อผ้าผมก็อยู่ในตู้สิ” มือเรียวหยิบขวดน้ำที่วางอยู่ใกล้ๆ ขึ้นดื่ม ไหล่กว้างจริง กว้างแบบที่เคยคิดเอาไว้ แล้วผิวจะขาวอะไรขนาดนั้นวะ

   เกินไปอะ

   “ที่ผมถามคือทำไมคุณนอนไม่ใส่เสื้อต่างหาก”

   “ผมไม่เคยใส่เสื้อนอนอยู่แล้วครับ”

   ครืดดดด....ครืดดดด

   ผมหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่มากดรับสาย “....ว่าไงครับน้องเดียร์”

   “.....” เจ้าของห้องเดินมาใกล้ผมก่อนจะก้มหน้าลงมาชิด มือเรียวหยิบโทรศัพท์ของตัวเองก่อนจะผละออกไป

   ผมคุยกับน้องเดียร์ไปเรื่อยเปื่อยพลางนั่งมองคนที่ยืนกดอะไรยุกยิกในโทรศัพท์ไม่หยุด เฌอต้องเป็นคนนอกคนแรกแน่ๆ ที่ได้เห็นสิบสามในสภาพนี้ ร่างสูงตรงหน้าสวมเพียงบ๊อกเซอร์แค่ตัวเดียว ความเพิ่งตื่นนั่นโคตรดี เรื่องรูปร่างไม่ต้องพูดถึง ผมเชื่อแล้วที่เจ้าตัวบอกว่าตัวหนากว่าผม หุ่นเขาแน่นมาก ต้องดูแลตัวเองขั้นไหนถึงจะได้แบบนี้วะ

   ชรันทำไม่ได้ตั้งแต่กินเหล้าเยอะแล้ว

   “โอเคครับ งั้นเดี๋ยวเจอกันตอนเย็นนะ”

   “นี่ครับผ้าเช็ดตัว” มือเรียวส่งผ้าขนหนูมาให้ผม “ของใช้ของพี่อยู่ในแก้วสีเขียวข้างแก้วผม”

   “ผมคิดว่าคุณทิ้งไปแล้ว”

   “ลืมน่ะครับ เลยยังไม่ได้ทิ้ง”

   “ขอบคุณคุณมากละกันที่เก็บซากผมกลับมาอีกแล้ว”

   “ไม่เป็นไรครับ แต่ครั้งหน้าถ้าจะไปดื่ม พยายามอย่าเมานะครับ เมื่อคืนพี่ก็จะล้ม นี่แขนก็เพิ่งหาย”

   “ผมจะระวังให้มากขึ้นละกัน ผมไปอาบน้ำละ”

   “ครับ....” สิ้นเสียงสิบสามรับคำผมก็เดินเข้ามาในห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง

   ตอนเย็นผมนัดกินข้าวกับน้องเดียร์ครับแล้วก็อาจจะไปดูหนังต่อ การเริ่มแป็นแฟนกันวันแรก ขอให้มันน่าประทับใจด้วยเถอะ ผมจะทำตัวเป็นแฟนที่ดีและน่ารัก น้องเดียร์จะได้รักผมและหลงผม คอยดูเถอะ ความรักครั้งนี้แหละที่ผมจะไม่ยอมเสียไปเหมือนกับครั้งอื่นๆ อีก หวังว่าแฟนผมคนนี้จะอยู่กับผมไปนานๆ นะ

   “รอยอะไรวะ” ผมยกมือขึ้นลูบรอยช้ำตรงช่วงไหปลาร้าของตัวอย่างสงสัย “กระแทกอะไรมาอีกแน่ๆ เลย”

   ช่างแม่ง

   อาบน้ำแล้วไปหาน้องเดียร์ดีกว่า

   .

   .

   .

   .

   .

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาสามเฌอแล้ววววว ก็เป็นแบบที่หลายคนคิดอยู่แล้วนะคะว่านังน้อนเนี่ยะ ยังไงก็ชอบอิพี่แน่นอน ซึ่งจากที่เคยมีลงสปอยล์กรุบกริบตั้งแต่ช่วงคิดโปรเจกต์มันก็ประมาณนี้ค่ะ สิบสามไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้เลยนะ แสดงออกชัดเจนมากๆ ในหลายอย่าง ท่าทีที่เขาแสดงออกต่อพี่เฌอคือต่างจากที่เขาแสดงออกจากคนอื่นจริงๆ ส่วนเรื่องของเดียร์นั้นก็ต้องรอติดตามไปเรื่อยๆ ค่ะ มาดูกันว่าอาถรรพ์ของสิบสามจะเป็นยังไงบ้าง

   ตอนต่อไปอาจจะนานกว่า 2-3 วันนะคะ ต้องให้้รอหน่อยเพราะชาลต้องจัดการต้นฉบับนิยายเรื่องไดอารี่ของสมปองนะคะ ถ้าบี๋อ่านนิยายชาลเรื่องอื่นๆ มาก่อนก็จะรู้ได้เลยว่าลงนิยายเรื่องนี้ได้รัวมาก วันเว้นวันถือว่าเร็วมากจริงๆ ก็ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ต่างๆ ด้วยนะคะ

   สามารถติดตามข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

   ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านค่า
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 4 : 11/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 12-01-2020 02:21:26
รอยอะไรอ่ะ ยุงกัดป่าว???

แล้วจะเป็นไงต่อ,,,
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 4 : 11/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-01-2020 02:51:07
อย่างนี้นี่เองนังเดียร์ :hao3:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 4 : 11/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 12-01-2020 19:22:48
ดำเนินเรื่องได้สนุกดีครับ
รอติดตามตอนต่อไปเลย
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 5 : 14/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 14-01-2020 20:18:21
บทที่ 5 ฝน



   “ก็เอาตามนี้เลยนะครับ กิจกรรมสันทนาการช่วงเช้าจะเป็นหน้าที่ของปี 2 ส่วนวิ่งเกียร์ช่วงบ่ายก็จะเป็นหน้าที่ของพี่ปี 3 ส่วนเรื่องเกียร์รุ่นก็เดี๋ยวพรุ่งนี้ทางร้านจะมาส่งครับ”

   “แล้วเรื่องงบประมาณล่ะ ใครจัดการ”

   “สีเทียนครับ เดี๋ยวส่งใบค่าใช่จ่ายทีเดียววันพรุ่งนี้รวมค่าเกียร์ด้วย”

   “อืม....โอเค”

   “ส่วนเรื่องกำหนดการณ์ต่างๆ มันจะ....”

   ผมนั่งฟังน้องๆ ประชุมกันเรื่องงานรับน้องที่จัดขึ้นใน 3 อาทิตย์ข้างหน้าด้วยความสับสนมึนงง ตอนนี้ในห้องประชุมคณะกรรมการนักศึกษามีลุงแก่ๆ มานั่งฟังเด็กๆ คุยกันอยู่ 5 คน ก็คือพวกผมนั่นแหละ ตอนแรกว่าจะไม่เข้าร่วมประชุมเพราะยังไงซะ มันก็เป็นหน้าที่ของปี 2 กับปี 3 เป็นหลัก สำหรับพี่ปี 4 อย่างพวกผม กิจกรรมรับน้องก็ไม่ได้ลงไปร่วมอะไรขนาดนั้น ที่มีต้องไปทำแน่ๆ คือวิ่งเกียร์

   แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

   วิ่งมาสามปีติดๆ ไม่วิ่งก็ไม่ได้เพราะเป็นประเพณี เอาจริงๆ การวิ่งเกียร์ของวิศวะฯ เนี่ยะ เลื่องชื่อลือชามาก มหา’ลัยผมจะจัดกิจกรรมรับน้องคนละวันแล้วแต่คณะ ซึ่งกิจกรรมรับน้องของวิศวะฯ มันจะชอบมีเด็กต่างคณะมาดู เป็นแบบนี้ทุกปีเลย ผมมองว่ามันเป็นกิจกรรมที่สนุกก็ว่าสนุกนะ แต่ก็เหนื่อยมากเหมือนกันเพราะระยะทางที่วิ่งมันไกล รอบมหา’ลัยอะ คือต้องซ้อมวิ่งและก็ดูแลร่างกายให้ดีเพื่อเตรียมความพร้อมเลย

   ไม่งั้นตายกลางทางแน่ๆ

   พูดถึงวิ่งเกียร์ นี่ก็คงเป็นปีสุดท้ายแล้วที่จะได้ทำกิจกรรมนี้ พวกผมปี 4 แล้วไง จะเรียนจบแล้วอะ เทอมหน้าผมก็ไปฝึกงานแล้ว กิจกรรมของเทอม 2 อย่างกีฬาสีก็คงไม่มีส่วนร่วมแบบแน่นอน แต่อาจจะโดดงานโผล่มาแอบดู ช่วงกิจกรรมอะไรพวกนี้อาหารตาจะเยอะมาก และมันก็จะเป็นมหกรรมเจอแฟนเก่าเยอะมากเหมือนกัน ประมาณค่อนมหา’ลัยอะ

   โคตรเว่อร์เลยคำพูดคำจา

   “ก็คร่าวๆ ประมาณนี้ล่ะครับ”

   “โอเค งั้นเดี๋ยวเลิกประชุมเลยละกัน พวกพี่มีประชุมเชียร์น้อง” ไอ้ขุนบอกก่อนจะหยิบเอกสารต่างๆ แล้วเดินนำบรรรดาว้ากเกอร์ออกไป

   “พวกเราก็ไปกันบ้างเถอะ”

   “พี่ๆ สวัสดีครับ” พอรับไหว้น้องๆ เสร็จผมก็เดินออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับเหล่าสหาย หมดไปอีกวันแล้วสำหรับชีวิตเรื่อยๆ เปื่อยๆ

   หิวข้าวจัง

   ตอนนี้เกือบบ่ายสามแล้วครับ ผมไม่มีเรียนต่อและไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี วันนี้แฟนผมนัดทำงานกับเพื่อนต่อตอนเย็น อาจจะไม่ได้เจอกัน แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยวิดิโอคอลหาเอา ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้วที่ผมกับน้องเดียร์เป็นแฟนกัน ขอบอกเลยว่าแฮปปี้มากเว่อร์ มีความสุขโคตรๆ น้องเดียร์น่ารัก เอาจริงๆ มันก็เหมือนคู่รักทั่วๆ ไปเลยนะ มีช่วงสองสามวันมานี้แหละที่งานเยอะมากกว่าปกติจึ๋งนึง ผมเลยไม่ได้ไปหาน้องที่คณะ

   คิดถึงจัง....น้องจะคิดถึงผมบ้างไหมนะ

   “มึงจะไปไหนต่อวะ” ผมเอ่ยถามแช่มเพื่อนรัก

   “ไปหาหมอดิ วันนี้หมอนัด เสร็จแล้วก็คงกลับห้องเลย กูยังไม่ได้นอนอะ เพลีย”

   “แล้วพวกมึงอะ”

   “กลับห้องแหละ ไปซักผ้าก่อน เดี๋ยวเมียด่า”

   “กูไปช่วยพี่เจ้าซื้อของ”

   “กูไปหาไอ้หมี แล้วมึงล่ะ ไม่ไปตึกแพทย์ฯ รึไง”

   ผมส่ายหน้ารัวๆ “น้องเดียร์มีนัดทำงานกับเพื่อนๆ ไม่ว่าง”

   “น่าสงสารจริงๆ เลยน้า” ชริตเป็ดยกมือขึ้นแตะไหล่ผมก่อนจะเอียงหัวมาใกล้ “งั้นมึงก็ไปกับคนอื่นแทนสิวะ”

   “ไปกับใครวะ”

   “เห้ย...น่าจะรู้อยู่แก่ใจเปล่าว่าไปกับใครบ่อยๆ ”

   ใครวะที่ไปด้วยบ่อยๆ

   “พวกมึงแม่งพูดอะไรทำกูงงไปหมด” ผมทำหน้าตึงพลางเอามือพวกมันออกจากไหล่ “กูไปหาข้าวกินดีกว่า ส่วนพวกมึงจะไปไหนก็ไป”

   “ไอ้เวร” พอได้ยินแบบนั้นผมเลยแลบลิ้นใส่พวกมันก่อนจะเดินมาจากตรงนั้นทันที น่ารำคาญจริงๆ เลยไอ้พวกบ้า ชอบพูดในเรื่องที่ทำให้ชรันคนนี้เป็นงง

   ผมเดินมาที่ลานจอดรถหลังตึกก็พบกับผู้ชายใส่สูทสองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างรถผม มันต้องไม่ใช่แบบนี้ไหม นี่ไม่ใช่วันที่ 13 ซะหน่อย มันยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะต้องเจอเรื่องเฮงซวยบัดซบที่ทำผมปวดประสาทซ้ำซากสิ

   นี่มันไม่ขำเลยนะ

   “สวัสดีครับคุณเฌอ” คุณวัณลพเอ่ยทักผมก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ “คุณท่านอยากทานข้าวด้วยน่ะครับ ท่านให้ผมมารับคุณ”

   “แต่ผมไม่....”

   “คุณเฌอครับ ให้ความร่วมมือน่าจะดีกว่ารึเปล่าครับ”

   ผมผ่อนลมหายใจอย่างหงุดหงิด “ที่ไหน”

   “บ้านครับ คุณท่านรอคุณอยู่ที่บ้าน”

   “....ก็ได้ ผมจะไป”

   “เชิญทางนี้ครับ” คุณวัณลพเดินนำผมมาที่อัลพาสสีดำคันเดิมซึ่งเป็นรถที่ผมไม่อยากนั่งมากที่สุดเลย ไม่อยากเห็นมาตลอดตั้งแต่....ช่างแม่งเถอะ

   คิดไปก็หัวเสียเปล่าๆ

   ผมนั่งมองวิวด้านนอกรถพลางข่มความเกรี้ยวกราดเอาไว้ในใจ ในทุกเดือนจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นหนึ่งครั้งโดยที่ผมไม่ได้ตั้งตัว ไม่ชอบใจเลยเวลาถูกบังคับในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการเนี่ยะ ขัดขืนไม่ได้ ไม่เคยได้ เป็นแบบนี้มานานแล้ว บางทีผมก็เบื่อความรู้สึกแบบนี้นะ ที่สำคัญคือไม่เคยช่างแม่งได้สักที กับเรื่องอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิต ผมมักจะมีวิธีรับมือแบบคนปลงโลกเสมอแต่กับเรื่องนี้มัน....ยังยากสำหรับผมจริงๆ

   อยากเอาตัวเองไปถ่วงน้ำอะ

   ไปเป็นอาหารน้องฉลามก็ได้

   หลังจากที่นั่งอึดอัดใจบนรถมาสักพัก อัลพาสเจ้ากรรมก็ขับเข้ามาในบ้านหลังหนึ่งซึ่งใหญ่มาก ใหญ่เกินไปแล้วผมโคตรไม่ชอบ ไม่ใช่ว่าบ้านมันไม่สวยหรืออะไรนะ แต่ผมไม่ชอบความสัมพันธ์ต่างๆ ของคนในบ้านหลังนี้ บางอย่างมันดูปลอมจนน่าสะอิดสะเอียน ผมไม่รู้ว่าตัวเองต้องทนเห็นอะไรแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน ผมพยายามเอาคำพูดที่คุณชุตินันท์สอนเอาไว้ก่อนที่เธอจะจากไปมาใช้แล้วนะแต่มันยากอะ

   เฌอรู้สึกผิดจังเลยครับ....แม่

   “เชิญครับ” คุณวัณลพเดินนำผมเข้ามาในบ้านก่อนจะนำไปที่ห้องอาหารซึ่งมีคุณท่านผู้เป็นประมุขของบ้านหลังนี้นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ มันอาจจะเป็นเรื่องดีที่ในห้องนี้มีแค่เขาคนเดียว

   แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครมาหลังจากนี้

   “ไม่คิดจะทักทายป๊าหน่อยเหรอ”

   “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้คนตรงหน้า “อยากกินข้าวกับเฌอเนี่ยะ ถามเมียป๊ารึยังว่าเขาอยากร่วมโต๊ะด้วยรึเปล่า”

   “เฌอ....มานั่งข้างป๊า”

   ผมเดินมานั่งลงข้างป๊าอย่างจำใจ ทำไมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกมันแย่แบบนี้วะ รู้สึกไม่ดีเลย แล้วปากผมเนี่ยะเป็นอะไรที่ไวต่อการประชดประชันมาก ถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องในครอบครัว ตอนเด็กๆ ผมก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอก เพิ่งจะมาเป็นเอาช่วงที่เสียแม่ไป ลองคิดดูนะว่าเหมือนทั้งชีวิตของผมมีแค่แม่อะ แล้วมาวันนึงผมไม่มีเธอแล้ว กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้แม่งโคตรยากลำบาก และตอนนั้นข้างกายผมก็ไม่มีใครเลย

   ไม่มีใครเลยจริงๆ

   “ตักข้าวเลยช้อย” ป๊าบอกป้าแม่บ้านก่อนจะมองผม “เรียนเป็นยังไงบ้าง”

   “ก็ดีครับ”

   “เทอมหน้าฝึกงานแล้วใช่ไหม ไปฝึกที่ไหนล่ะ”

   “แถวปทุมฯ ครับ”

   “คิดไว้รึยังว่าถ้าเรียบจบแล้วจะทำอะไร”

   “ยังครับ ยังไม่มีแพลนทำอะไรทั้งนั้น”

   “ทำงานกับป๊าไหม คือป๊าจะเพิ่มสาขาของโรงงานน่ะ แล้วถ้าเป็นไปได้ป๊าก็อยากให้เฌอไปดูแลในส่วนนั้นนะ” เจ้าตัวยิ้มบางๆ ให้ผม “ยังไม่ต้องคิดตอนนี้ก็ได้ โรงงานก็กำลังสร้างอยู่ ไว้ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ป๊าจะมาถามเฌออีกทีนะ”

   “ทานข้าวไม่ชวนกันเลยนะคะ” เสียงของบุคคลที่ผมไม่ชอบหน้าเป็นอันดับ 1 ของโลกเอ่ยขึ้นมา เอาล่ะ วันนี้คงเป็นวันบัดซบมากๆ ของผมอีกวันนอกจากวันที่ 13 แบบแน่แท้ละ

   อยากมูฟไปจากตรงนี้ชิบหาย

   “พี่เฌออออ” ร่างสูงของน้องชายต่างแม่โผเข้ามากอดผม “คิดถึงจัง ไม่เจอกันตั้งนาน”

   “แกกอดมันไปได้ยังไงภัค....น่าขยะแขยง”

   ไอ้เวรนี่คือบุคคลที่ผมไม่ชอบหน้าเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากแม่มัน

   “พูดแบบนั้นได้ยังไงภัทร” ป๊าทำเสียงดุใส่

   “คุณอย่ามาดุลูกฉันนะ เจ้าภัทรก็พูดถูกแล้ว” คุณหญิงของบ้านเอ่ยก่อนจะส่งสายตาดุลูกชายคนเล็ก “มานี่เลยนะเจ้าภัค”

   “ไม่ ภัคจะนั่งกับพี่เฌอ คิดถึง” เจ้าตัวแสบนั่งลงข้างผม “เป็นไงบ้างอะ เรียนหนักเลยดิ ปี 4 แล้วหนิ”

   “อื้ม ก็หนักแหละ แล้วเราอะจะต่อคณะอะไร คิดไว้รึยัง”

   “ก็....”

   “อย่ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตลูกชายฉัน ชีวิตของแกน่ะ ทำให้มันดีซะก่อนเถอะ”

   “คุณพูดเกินไปแล้วนะคุณเกสร ถ้าจะมาหาเรื่องกันก็ออกไปซะ ผมกับลูกจะกินข้าว”

   “ฉันพูดความจริงนี่คะ อีกอย่างถ้ามองแบบนี้แล้ว เหมือนมีคนนอกนั่งอยู่ข้างคุณมากกว่า”

   “เฌอเป็นลูกชายผม เป็นลูกชายคนโตของบ้าน”

   “ภัทรต่างหากที่เป็นลูกชายคนโตของบ้าน และภัทรก็มีน้องชายแค่คนเดียว” คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยิ้มเยาะใส่ “ลูกของพ่อที่เกิดจากเมียน้อย ภัทรไม่นับเป็นญาติหรอกนะครับ”

   ซ่าาาาา

   “ไอ้เฌอ!!!!”

   “แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ” ผมวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะอย่างข่มใจ “ขอบคุณสำหรับอาหารมื้ออร่อยนะครับป๊า” สิ้นคำพูดผมก็เดินออกมาจากห้องอาหารทันทีโดยไม่สนเสียงตะโกนด่าไล่หลัง

   จะด่าจะว่าอะไรก็เชิญเถอะไอ้เวร

   ผมโกรธและรู้สึกโมโหมาก ใจน่ะอยากจะปาแม่งทั้งแก้ว เอาให้หน้าตากวนส้นตีนนั่นแหกไปข้างนึง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนพี่กับคนน้องถึงได้แตกต่างขนาดนั้น ไอ้ภัทรไม่เคยเห็นผมเป็นพี่และมันก็เกลียดขี้หน้าผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ส่วนภัคน่ะมองผมเป็นพี่ชายคนนึง ตอนเด็กๆ ก็ติดผมมาก และทุกครั้งที่ภัคมาเล่นกับผม คุณเกสรก็มักจะมาพ่นคำร้ายๆ ใส่รวมถึงลงไม้ลงมือกับผมอยู่บ่อยครั้ง

   คำพูดร้ายๆ ที่ตราหน้าว่าผมเป็นลูกเมียน้อย

   ทั้งๆ ที่แม่ของผมมาก่อนด้วยซ้ำ

   คุณเกสรคือผู้หญิงที่อากงอาม่าเลือกให้ป๊า ส่วนแม่ของผมคือผู้หญิงที่ป๊าเลือกเอง แต่ก็นั่นแหละ เพราะความรักมันไม่ใช่ทุกอย่าง ตอนเด็กๆ ผมไม่เข้าใจ ป๊าบอกว่าป๊ารักแม่ แต่ทำไมป๊าถึงไม่มาอยู่กับเรา พอโตมาถึงได้รู้ว่าอะไรมันเป็นยังไง ตอนแรกผมไม่ได้มีท่าทีต่อต้านครอบครัวตัวเองมากขนาดนี้จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่แม่ผมจากไป ตอนนั้นผมเพิ่งขึ้นม.6 แล้วทุกอย่างมันเคว้งคว้างไปหมด

   ความรู้สึกแย่มากจริงๆ

   แม่ผมเขาหัวใจวายเฉียบพลัน ตอนนั้นมันไม่มีแม้แต่คำเอ่ยลา ไม่มีการสั่งเสีย ผมยังอยู่โรงเรียนและไม่ได้อยู่กับแม่ในวินาทีสุดท้าย รู้อีกทีคือป๊ามารับที่โรงเรียนแล้วก็บอกว่าแม่จากผมไปแล้ว มันตื้อมาก ผมไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ทำใจไม่ได้ ไม่มีทางทำใจได้ในเวลาอันสั้น ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับป๊าก็ยิ่งแย่ลง คุณเกสรคอยตามระรานผมไม่หยุด เหมือนโกรธแค้นกันมาสิบชาติ

   พอแล้วเฌอ....พอแล้ว

   เลิกคิดเรื่องที่ทำให้ตัวเองหงุดหงิดได้แล้ว

   “พี่เฌอ”

   ผมหันไปมองร่างสูงที่เดินตามออกมา “....พี่ขอโทษนะที่ทำให้ป๊ากับแม่เราต้องมีปัญหากัน”

   “ภัคต่างหากที่ต้องขอโทษแทนแม่กับพี่ภัทรอะ ภัคเสียใจนะ”

   “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแบบนี้พี่ก็ชินแล้วแหละ วันหลังถ้าป๊าอยากจะกินข้าวกับพี่ ก็บอกให้เขาไปกินนอกบ้าน ถ้าภัคอยากไปด้วย ภัคก็ไป”

   “ได้ครับ”

   “อื้ม....พี่ไปก่อนนะ ตั้งใจเรียนด้วยล่ะเรา” ผมขยี้หัวน้องก่อนจะเดินออกมาจากบ้าน มือก็หยิบโทรศัพท์เพื่อโทรหาใครบางคนเพื่อให้เขามารับ

   “.....เฮียเจ๋งมารับเฌอหน่อยดิ”

   



---------- 50% ---------
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 5 : 14/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 14-01-2020 20:19:42
---------- ต่อจากบท 5 ----------


.

   ร้าน BAR-HERE

   ผมนั่งมองแก้วเบียร์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนนี้เกือบ 5 โมงและผมนั่งดื่มแต่หัววันเลย เอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่การดื่มแบบจริงๆ จังๆ เหมือนอย่างทุกที ผมแค่จิบมันไปเรื่อยๆ พลางคิดถึงเรื่องราวที่ใจยังยอมรับไม่ได้ ผมอยากทำลายความรู้สึกแย่ๆ ด้วยการไปหาใครสักคนที่ผมคิดว่าอยากแชร์ช่วงเวลาเหล่านี้ด้วย ผมโทรไปหาน้องเดียร์แต่เธอก็บอกว่าไม่ว่าง ซึ่งผมรู้อยู่แล้วแหละเรื่องนั้นแต่แบบ....

   ช่างแม่งเถอะ

   ไม่มีน้องเดียร์ผมก็ยังมีเฮียเจ๋งนี่ไง

   “เฮียไม่รู้จะปลอบเฌอยังไงดี”

   “ไม่ต้องปลอบหรอกเฮีย ชินแล้ว” ผมหยิบตลับบุหรี่ขึ้นมาเปิดดูก็พบว่ามันเหลือมวนสุดท้าย “เฮียว่าถ้าตอนนี้แม่ยังอยู่ แล้วแม่รู้ว่าเฌอใช้ชีวิตแบบนี้ แม่จะโกรธเฌอไหม”

   “เฌอคิดว่าป้าชุจะโกรธไหมล่ะ”

   “อาจจะ....”

   “แล้วยังจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปอีกนานแค่ไหนล่ะ”

   “นั่นสิ อันนี้ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน” ผมมองลูกพี่ลูกน้องของตัวเองตรงหน้า “บ้านเฮียไม่เห็นจะวุ่นวายแบบบ้านเฌอเลย”

   “เพราะป๊าเฮียไม่ได้โดนอากงอาม่าบังคับให้แต่งงานเหมือนกับป๊าเฌอไง ลูกชายคนโตก็งี้แหละ แต่เท่าที่เฮียรู้เนี่ยะ ยังไงลุงกฤตก็รักป้าชุมากนะ และก็รักเฌอมากด้วย”

   “เฌอรู้” ผมหยิบกระเป๋าคาดอกมาสวม “ขอบคุณเฮียนะที่ไปรับเฌออะ เดี๋ยวเฌอไปก่อน ต้องกลับไปเอารถที่มอด้วย”

   “ให้เฮียไปส่งไหม”

   “ไม่ต้องหรอกเฮีย เฮียเตรียมร้านเหอะ เฌอไปเองได้”

   “โอเค มีไรก็บอกเฮียนะ”

   “ครับ เฌอไปละ” ผมบอกก่อนจะเดินออกมาจากร้าน เงยหน้ามองท้องฟ้าครึ้มๆ เหมือนฝนจะตกยังไงไม่รู้ และถ้าฝนตกจริงๆ มันจะทำให้สิ่งที่ผมเผชิญมาทั้งวันนี้ เพิ่มดาเมจต่อใจเป็นทวีคูณ

   เฌอน่ะไม่ชอบฝนเลย

   ผมขึ้นรถสองแถวกลับไปมหา’ลัย ก่อนจะเดินผ่านไปที่ตึกคณะแพทย์ฯ ผมเห็นน้องเดียร์นั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนของเธอที่หน้าตึกด้วย เวลาปกติแล้วผมคงไม่ลังเลใจที่จะเดินเข้าไปหา แต่ในเวลานี้กลับไม่รู้ว่ามันจะเหมาะรึเปล่า ถ้าผมเข้าไปหาเธอจะรำคาญไหม ผมไม่อยากให้น้องรู้สึกแบบนั้น เนี่ยะ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องคิดมากขนาดนี้ นั่นแฟนมึงป้ะวะเฌอ แวะเข้าไปหาแล้วบอกว่าคิดถึงมันคงไม่เป็นไรป้ะวะ

   รู้สึกอ่อนแออยู่ไม่ใช่เหรอ

   หาอะไรปลอบใจตัวเองหน่อย

   “น้องเดียร์”

   ร่างบางหันมามองผม “พี่เฌอ....มาได้ไงคะเนี่ย”

   “พี่เหนื่อยๆ อะ ก็เลยอยากเจอน้องเดียร์”

   “เหนื่อยก็ต้องกลับไปพักนะคะ” เธอยกมือขึ้นมากุมแก้มผมเอาไว้ “เดียร์ยังทำงานอยู่ แต่ถ้างานเสร็จแล้วเดี๋ยวจะโทรหานะ”

   “อื้ม.....งั้นน้องเดียร์ทำงานต่อเถอะ พี่ไม่กวนแล้วล่ะ” ผมยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะเดินละออกมา การเดินเข้าไปหาแฟนตัวเองเมื่อกี๊ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีหรือได้พลังใจแต่อย่างใดเลย

   ทำไมมันเป็นแบบนั้นนะ

   ช่างเถอะ....ช่างมัน

   ผมเดินมานั่งที่ม้านั่งระหว่างตึกแพทย์ฯ และตึกวิศวะฯ ก่อนจะหยิบบุหรี่มวนสุดท้ายในตลับขึ้นมาจุดสูบ กลิ่นเย็นๆ พร้อมกับรสขมๆ ทำให้หัวโล่งขึ้นนิดหน่อย แต่มันก็แค่นั้นจริงๆ ผมไม่ชอบเวลาที่ตัวเองอยู่ในสภาวะแบบนี้เลย ไม่ชอบความรู้สึกเศร้าที่เกาะกุมใจอยู่ในตอนนี้ ผมรู้ว่าเดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเพราะทุกครั้งมันก็เป็นแบบนั้น ช่วงเวลาแบบนี้เกิดขึ้นกับเราได้ไม่นาน แต่ในคำว่าไม่นานน่ะ ทำให้ข้างในนี้สาหัสมากเลย

   แหมะ....แหมะ

   ซ่าาาาา

   อื้ม....ฝน

   เสียงที่ได้ยินและหยดน้ำที่ร่วงหล่นลงมากระทบผิวกายนั่นทำให้รู้สึกหม่นในใจขึ้นไปอีก ผมรู้ว่าฝนตก รู้ว่าตัวเองกำลังเปียก รับรู้ทุกอย่างแต่ไม่อยากขยับไปไหนเลย ต่อให้รู้สึกไม่ชอบแต่ก็ไม่อยากไปไหน ไม่รู้สิ มันเหมือนหมดแรงน่ะ บุหรี่ในมือที่เพิ่งสูบก็เปียกน้ำจนดับไปแล้ว ผมทิ้งมันลงถังขยะที่อยู่ใกล้ๆ และยังคงนั่งอยู่ที่ม้านั่งตัวเดิม นั่งอยู่แบบนั้นโดยไม่รู้ว่าเวลามันจะผ่านไปนานเท่าไหร่

   ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแหละ

   สายฝนที่ผมไม่ชอบมันมีข้อดีอยู่อย่างนึงในเวลาที่รู้สึกเศร้านะ ผมเคยเสียใจเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว นั่งตากฝนอยู่แบบนี้ ร้องไห้ เสียน้ำตาไปเยอะมากๆ แต่ไม่มีใครได้รับรู้เพราะว่าฝนได้ชำระมันออกไปทั้งหมด....เหมือนอย่างตอนนี้

   ต่อให้โตมากขึ้นแค่ไหนและคิดว่าตัวเองเข้มแข็งเพียงใด

   สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่า....เราก็ต้องมีวันที่ไม่ไหว

   อ่อนแอบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร

   ร้องไห้บ้าง....ก็ไม่เห็นเป็นไร

   ผมเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองออกพร้อมกับรับรู้ได้ถึงการมาของใครบางคน ร่างสูงยืนอยู่ด้านข้างม้านั่ง ในมือเขาถือร่มอยู่ ระหว่างเรามีแต่ความเงียบที่ปกคลุมเท่านั้น แค่เสียงฝนที่ผมได้ยิน เขายืนอยู่ตรงนั้นสักพักก่อนจะวางร่มและนั่งลงข้างๆ ผม ฝนยังคงตกหนักและเราสองคนก็เปียกไม่ต่างกัน ผมไม่เข้าใจการกระทำนั้นเท่าไหร่ เขามีร่ม แต่ทำไมเขาเลือกที่จะทิ้งมัน ใจนึงผมอยากถามแต่อีกใจผมก็ไม่อยากเอ่ยอะไรทั้งนั้น

   รอให้เขา....

   “ทำไมพี่ถึงมานั่งตากฝนล่ะครับ”

   “.....แล้วทำไมคุณถึงมานั่งตากฝนข้างผมล่ะ”

   “ผมอยากให้พี่รู้ว่าถึงจะมีอะไรเกิดขึ้น พี่ก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว อีกอย่าง....การที่ได้มองต้นไม้เปียกฝนใกล้ๆ ”

   “....”

   “มันก็สวยดี”

   ตึกตัก

   สิบสามเขา....ยิ้มด้วยล่ะ

   “.....อะไรของคุณเนี่ยะ”

   “ผมพูดจริงนะครับ” เจ้าตัวเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองออก “ผมไม่รู้ว่าพี่ไปเจออะไรมา ผมรู้ว่าตัวเองห้ามความรู้สึกพี่ไม่ได้ แต่อะไรก็ตามที่ทำให้พี่รู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยสักจึ๋งนึง ผมก็อยากทำนะครับ”

   ความรู้สึกแบบนี้แหละ....ที่ผมต้องการ

   “ขอบคุณคุณนะ”

   ขอบคุณจริงๆ สิบสาม

   ผมยิ้มให้เขาก่อนจะรั้งแขนคนตัวสูงให้ลุกมาด้วยกัน “ผมหิวข้าวอะ ไปหาข้าวกินกัน”

   “ตัวเปียกขนาดนี้ ร้านข้าวที่ไหนจะให้เข้าครับ”

   “ซื้อไปทำก็ได้....เดี๋ยวผมทำกับข้าวให้คุณกินเอง ถือว่าตอบแทนที่คุณมานั่งตากฝนเป็นเพื่อนผมละกัน”

   “เอาแบบนั้น.....ก็ได้ครับ”

   .

   .

   คอนโดฯ G : ห้องสิบสาม

   ผมยืนทำผัดพริกหวานอยู่ในครัวส่วนเจ้าของห้องนั้นอาบน้ำอยู่ครับ ช่วงเวลาก่อนหน้านี้มันแย่จริงๆ ไม่บ่อยนักหรอกที่ผมจะมีความรู้สึกจมดิ่งขั้นสุด ทุกๆ ครั้งผมมักจะอาศัยเวลาช่วยบรรเทา แต่กับครั้งนี้พิเศษหน่อยด้วยการกระทำเล็กๆ ที่ใครบางคนทำให้ มันฮีลใจผมเอาไว้มากๆ เลยนะ อย่างน้อยก็รู้สึกดีขึ้นจึ๋งนึงแบบที่เขาว่านั่นแหละ

   ผู้ชายคนนั้นมันอะไรกันนะ

   สิบสามช่วยผมเอาไว้หลายครั้งตั้งแต่ที่เราเจอกัน แล้วดูทรงว่าชรันคนนี้จะต้องมีเรื่องให้สิบสามได้ช่วยอีกแน่ๆ สงสารเขาว่ะ เหมือนผมเป็นเวรกรรมในชีวิตเขาจริงๆ แหละ จะว่าไปนังน้อนก็ใจดีอยู่เหมือนกันนะ หรือใจดีแค่กับผมก็ไม่รู้

   “หอมจังครับ”

   ผมหันไปมองร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง “จะเสร็จแล้ว ไปนั่งรอสิ”

   “ครับ” เจ้าตัวรับคำก่อนจะตักข้าวไปนั่งรอที่โต๊ะ ผมจัดแจงตักผักพริกหวานใส่จานแล้วเดินมานั่งตรงข้ามสิบสาม “คุณเคยแต่งตัวแบบนี้ออกจากห้องไหม”

   แต่งตัวด้วยชุดนอนลายลิตเติ้ลทวินสตาร์สีพาสเทลทั้งตัวเนี่ยะ

   “ก็มีบ้างครับ แต่ปกติถ้าผมเข้าห้องแล้ว ผมจะไม่ค่อยออกไปไหน”

   “แล้วเวลาที่คุณไปเจอผมตอนเมางี้อะ”

   “ออกไปซื้อของครับแล้วก็บังเอิญเจอ” มือเรียวตักแครอตในต้มจืดขึ้นมาดู “รูปดาว”

   “น่ารักเหมาะกับเด็ก” ผมตักแครอตไปใส่จานเขา “กินเยอะๆ นะ”

   “พี่ก็ด้วย”

   “ผมน่ะกินเยอะอยู่แล้ว”

   สิบสามตักข้าวเข้าปากก่อนจะมองกับข้าวกับผมสลับกัน “....อร่อยครับ”

   “เหลือเชื่อป้ะล่ะ” ผมยักคิ้วให้เขาก่อนจะตักข้าวกินบ้าง “ผมน่ะทำอาหารอร่อยมากเลยนะ”

   “พี่เคยบอกผมตอนเมา”

   “งั้นคุณก็น่าจะรู้มากกว่าแค่ผมทำอาหารอร่อยน่ะสิ” ผมตัดผัดพริกหวานให้เขา “แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ นะคุณ ไม่ว่าใครก็ตามที่บอกว่าอยากกินอาหารที่ผมทำ สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครอยู่กินมันเลย เนี่ยะ คุณน่ะโชคดีมากเลยนะ”

   “ยังไงเหรอครับ”

   “ก็คุณเป็นคนแรกที่ได้กินอาหารฝีมือผม นอกจากแม่แล้วผมไม่เคยทำอาหารให้ใครกินเลย กับเพื่อนก็ไม่เคย” พอผมบอกไปแบบนั้น คนตรงหน้าก็พยักหน้ารับแล้วตั้งใจกินข้าวเงียบๆ

   ผมรู้สึกดีนะที่สิบสามดูชอบกับข้าวที่ผมทำ คำว่าอร่อยที่เขาบอกก็ทำให้ผมรู้ว่าฝีมือของตัวเองยังใช้ได้อยู่ จะว่าไปก็นานเหมือนกันที่ไม่ได้ทำกับข้าวเอง ปกติจะไปกินข้าวที่อื่นไง ช่วงที่มีแฟนก็ไม่มีโอกาสได้ทำกับข้าวให้แฟนคนไหนกินเลยครับ ผมคิดมาตลอดเหมือนกันนะว่าใครจะเป็นคนแรกที่ได้กินอาหารฝีมือผม และวันนี้ก็ได้รู้แล้วว่าคนๆ นั้นคือใคร

   นังน้อนนี่ไง

   หลังจากที่กินข้าวเสร็จ เราสองคนก็ช่วยกันเก็บครัวและล้างจาน เท่าที่สังเกตคือสิบสามมีความพ่อบ้านสูงอยู่เหมือนกันนะ ดูจากการทำงานบ้านต่างๆ ที่ผมเทียบไม่ติดเลย ต่อให้ผมใช้เวลาสิบปีในการฝึกรีดผ้า ผมก็ไม่มีทางรีดผ้าได้เรียบเท่าสิบสามแน่นอน ผมคิดนะว่าเพราะเขาเรียนหมอด้วยรึเปล่า อะไรๆ ก็เลยดูต้องสะอาดแบบเว่อร์มากๆ ไปหมด

   ก็อาจจะเกี่ยว

   “เสร็จซะที” ผมเช็ดมือก่อนจะเดินไปอยู่ตรงหน้าประตูระเบียง “ฝนยังไม่หยุดเลยแฮะ หลายชั่วโมงแล้วนะ”

   “ถ้าแบบนั้น พี่ค้างที่นี่ก็ได้นะครับ เพราะยังไงรถพี่ก็ยังอยู่มหา’ลัย”

   “ผมเกรงใจคุณน่ะ”

   “พี่นอนห้องผมมากี่ครั้งแล้วครับ เกรงใจอะไรล่ะ” ร่างสูงลากแขนผมให้มานั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะจัดแจงไดร์ผมให้ “ถ้าหัวเปียกจะเป็นหวัดได้นะครับ”

   “หัวคุณก็เปียกเถอะ”

   “เดี๋ยวผมก็จัดการกับหัวตัวเองน่ะ”

   ผมมองสิบสามผ่านกระจกตรงหน้า “คุณเคยทำแบบนี้ให้ใครรึเปล่า”

   “ไม่ครับ”

   “งั้นผมก็พิเศษกว่าคนอื่นจึ๋งนึงอะดิ” ผมเงยหน้ามองคนด้านบน เจ้าตัวมองผมนิ่งๆ ก่อนเลื่อนมือมาเกลี่ยผมที่ปิดตาออกให้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขาอีกครั้งและมันให้ความรู้สึกต่างจากครั้งแรกที่ได้เห็น

   ลักยิ้มที่แก้มสองข้างนั่นมัน....

   “พี่น่ะ....พิเศษกว่าคนอื่นหลายจึ๋งเลยครับ”

   ตึกตัก

   อีกแล้ว....ความรู้สึกนี้อีกแล้ว

   ผมหลุดขำออกมา “....หลายจึ๋งอะไรของคุณนังน้อน เลอะเทอะ”

   “หึ....” เสียงหึนั่นทำให้ผมมองเขาผ่านกระจกพลางนึกถึงถึงรอยยิ้มที่ได้เห็นเมื่อกี๊

   ผมรู้แล้วว่าทำไมเด็กนั่นถึงไม่ยิ้ม

   เพราะเวลาที่เขายิ้ม....คนที่เห็นจะตายกันหมด

   “หมั่นไส้ว่ะ”

   “สรุปคือค้างห้องผมนะครับ”

   “....อืม ผมรบกวนคุณด้วยละกัน”

   “ครับ”

   .

   .

   .

   .

   .

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้ว คือชอบตอนนี้มากๆ มากในมาก มันเป็นซีนที่ชาลคิดเอาไว้ตั้งแต่ต้นปี 2018 นะคะ ซีนฝนเนี่ยะคือเขียนเองยังรู้สึกประทับใจมาก ชอบมาก อ่านบทนี้จบก็แชร์กันได้นะคะว่าอ่านแล้วรู้สึกยังไงกันบ้าง

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fictiom Yaoi Th น้า

   ขอบคุณที่หลงเข้ามาอ่านค่า
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 5 : 14/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 15-01-2020 00:11:37
ชอบสิบสามอ่ะ,,,
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 5 : 14/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-01-2020 02:04:40
เปิดโปงยัยเดียร์สักทีสิบสาม :katai1:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 6 : 19/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 19-01-2020 20:10:02
บทที่ 6 ขอโทษ



   ความรู้สึกใจโหวงนี้มันคืออะไรวะ

   ไม่ชอบเลย

   ผมนั่งเอาเทปผ้าพันไม้กลองเหมือนคนไม่มีอะไรทำ ตอนนี้อยู่ที่ลานเกียร์ครับ มาเข้ากิจกรรมสันทนาการกับน้องๆ เพราะเหงา เหล่าสหายไปซื้อของให้ฝ่ายสวัสดิการแต่ผมขี้เกียจจะขยับตัวก็เลยอยู่มันที่นี่แหละ ไม่ขยับตัวคือไม่ขยับจริงๆ เลยนะ นั่งอยู่ตรงนี้มาชั่วโมงกว่าแล้ว เดี๋ยวอีกสักพักพวกรุ่นน้องปี 1 ก็คงมาแล้วล่ะ ตอนนี้พวกแก๊งค์สันฯ ก็กำลังจัดเตรียมสถานที่ต่างๆ ลานเกียร์ตอนบ่าย 3 นี่แดดร่มลมเย็นเป็นใจในการทำกิจกรรมมาก

   เหมาะกับการนอนมากด้วยเหมือนกัน

   “พี่เฌอ” ประธานคณะกรรมการฯ ปี 2 เดินมานั่งลงข้างๆ ผม “ตีกลองเป็นป้ะ”

   “ไม่เป็น แบกกลองเป็นอย่างเดียว ทำไมอะ ปกติใครตี”

   “ปกติไอ้แยมตี แต่วันนี้เขามีคัดคฑากรไง ก็เลยส่งไอ้แยมไป”

   ผมเลิกคิ้วมองสมปอง “ความจริงมึงควรไปคัดตัวรึเปล่า”

   “ไม่เอาอะ ตอนมัธยมฯ เคยเป็นละ ทำไมอะพี่เฌอ สายรหัสปองต้องเป็นคฑากรตลอดเลยเหรอ”

   “ก็น่าจะแบบนั้นป้ะวะ สายรหัสมึงมันเป็นสายคฑากรอะ”

   “นี่ไง ปองจะเป็นรุ่นแรกให้เองที่ไม่ต้องเป็นคฑากร” เด็กเวรยิ้มแป้นให้ก่อนจะทำหน้ามุ่ย “ให้ใครตีกลองให้ดีวะ คนที่ตีกลองเป็นก็ไม่อยู่”

   “ไม่ต้องตีไหมงั้นอะ”

   “มันก็ไม่ค่อยคึกครื้นดิพี่เฌอ ไม่เป็นไร เดี๋ยวปองลองไปหาคนอื่นก่อน” ว่าแล้วมันก็เดินไปหาคนโน้นทีคนนี้ที ดูซิว่าวันนี้สมปองมันจะหาคนตีกลองได้รึเปล่า

   ผมนั่งพันไม้กลองอันต่อไปพลางนึกถึงเรื่องคฑากรที่คนคิ้วท์แห่งโยธาพูด ปกติสายรหัสของทะเลเพื่อนรักจะเป็นคฑากรไม้หนึ่งเสมอครับ สายไอ้ขันซึ่งเป็นสายเฮดว้ากก็จะรับหน้าที่ถือธง ส่วนสายผมจะถือป้ายของคณะซึ่งโคตรหนักเลยไอ้เวร ป้ายไม้นะแต่เหมือนข้างในแม่งเป็นเหล็ก เอาไปฟาดหัวใครคือตายห่าแน่ๆ แหละ แล้วขบวนพาเหรดคือเดินไกลมาก เริ่มต้นจากตึกคณะแพทย์ฯ ไปจนถึงตึกคณะนิเทศฯ ที่อยู่อีกฝั่งนึง

   จบงานเหมือนคนแขนหักอะ ป้อแป้ไปทั้งตัว

   แต่ปีนี้ผมจะหลุดพ้นจากงานกีฬาสีต่างๆ แล้วเพราะว่าไปฝึกงานไง ก็ให้เป็นเวรกรรมของบรรดารุ่นน้องต่อไป เอาจริงๆ เวลาร่วมงานกิจกรรมต่างๆ ผมก็ให้ความร่วมมือเต็มที่นะ อาจเพราะว่ามันเป็นหน้าที่ด้วยมั้ง ชรันน่ะเป็นประเภททุ่มเทกับการทำงานอยู่แล้ว มีบ่นบ้างแต่ก็ทำอยู่ดี ไม่ทำมันก็ไม่ได้ด้วยแหละเพราะทางคณะสั่งมา ผมมองว่างานต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดีนะ ได้ทำหลายอย่างก็ได้ความทรงจำหลายอย่าง

   ก็ดีสำหรับช่วงนึงในชีวิต

   เรียนจบไปก็คงไม่ได้ทำอะไรพวกนี้แล้วแหละ

   “พี่เฌอครับ”

   ผมหันมองตามเสียงเรียกก็พบร่างสูงที่แบกของเยอะแยะเต็มไปหมด “มาทำอะไรที่นี่อะคุณ”

   “เอาเสื้อพี่มาคืนน่ะครับ” สิบสามส่งถุงเสื้อให้ผม “แล้วพี่ทำอะไรอยู่เหรอ”

   “รอสันทนาการน้องอะ ผมเหงา ไม่รู้จะไปทำอะไรก็เลยอยู่ร่วมกิจกรรม” ผมมองไม้คฑาในมือเขา “คุณจะไปไหนอะ คัดตัวคฑากรเหรอ”

   “คัดเสร็จแล้วล่ะครับ รอฟังผล แต่ผมไม่อยากเป็น”

   “ผมว่านะถ้าคุณได้เป็นคฑากรไม้หนึ่งของคณะแพทย์ มันต้องดีมากแน่ๆ เลย” ลองคิดภาพตามดิ รูปร่างแบบนี้ เบ้าหน้าขนาดนี้ เดินนำขบวนพาเหรดของเด็กแพทย์ฯ มันต้องเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจ หื้อออ.อ....อยากเห็นว่ะ

   นังน้อนนั่งลงข้างๆ ผม “พี่คิดแบบนั้นเหรอครับ”

   “อื้ม ถึงกีฬาสีจะตรงกับช่วงที่ผมฝึกงาน แต่ผมคิดเอาไว้แล้วนะว่าจะแอบโดดงานมาดูน้องๆ ”

   “เทอมหน้าพี่เฌอฝึกงานที่ไหนเหรอครับ”

   “แถวจังหวัดปทุมฯ อะ ผมอาจจะต้องย้ายหอ แต่เดี๋ยวดูก่อน เออแล้วคุณไม่ต้องไปไหนต่อเหรอ”

   “ไม่ครับ ก็อาจจะกลับห้องเลย”

   ผมเอียงหัวเข้าไปใกล้สิบสาม “คุณ....ตีกลองเป็นป้ะ”

   “ก็ตีได้นะครับ สมัยมัธยมฯ ผมเคยตีกลองให้คณะสี”

   “ดีเลยคุณ คุณว่างใช่ป้ะ ผมยืมตัวคุณมาตีกลองสันทนาการหน่อยดิ คือรุ่นน้องผมคนที่รับผิดชอบหน้าที่ตีกลอง มันไปคัดคฑากร แล้วก็ไม่มีใครตีกลองเป็นด้วย”

   “มันจะไม่เป็นไรเหรอครับ ผมคนนอกคณะนะ”

   “เดี๋ยวผมจัดการให้ ขอแค่คุณโอเคก็พอแล้ว ว่าไง....ได้ไหม”

   “ก็ได้ครับ”

   “โอเคเลย คุณรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมไปบอกรุ่นน้องก่อน” ว่าแล้วผมก็เดินไปหาสมปองที่กำลังร่อนไปทั่วเพื่อหามือกลอง

   ผมลากประธานคณะกรรมการปี 2 มาหาอดีตเดือนคณะแพทย์ฯ สมปองหลบอยู่หลังผมเหมือนใช้เป็นที่กำบัง อะไรของมันวะเนี่ย ส่วนนังน้องก็มองเด็กเวรข้างหลังนิ่งๆ ไอ้เจ้านี่ก็เหมือนกัน จะใช้สายตาที่อ่อนโยนกว่านี้มองชาวบ้านคือไม่ได้เลย ผมจัดแจงแนะนำทั้งสองคนให้รู้จักกัน แล้วอะไรคือแค่พยักหน้ารับรู้เฉยๆ วะ ใจคอพวกเอ็งจะไม่คุยกันหน่อยเหรอ แบบนี้ตอนสันทนาการจะรู้เรื่องไหมวะ

   เพลียใจจริงๆ

   “สื่อสารกันทางสายตาว่างั้นเถอะ แล้วจะรู้เรื่องไหมเนี่ยะ”

   สมปองยิ้มแห้งๆ ออกมา “รู้เรื่องน่ะพี่ เนอะ เราจะสื่อสารกันรู้เรื่องใช่ไหม”

   “.....ครับ”

   เหรอวะ

   “เออๆ รู้เรื่องก็รู้เรื่อง กูแล้วแต่นะ”

   “โอเค งั้นเดี๋ยวปองไปยกกลองมาให้ ถ้าน้องๆ มา พี่เฌอก็ให้เข้าแถวตามกลุ่มเลยนะ”

   “อือ ไปๆ รีบไปรีบมา” ผมรับคำพลางเดินไปหยิบโทรโข่งที่วางอยู่บนโต๊ะ ของไอ้สยามแน่ๆ แหละโทรโข่งอันนี้อะ ตอนนี้มันกลายเป็นพี่ว้ากไปแล้วไง น้องโทรโข่งก็เลยถูกสืบทอดมาให้เมียแทน

   น่าหมั่นไส้จริงๆ

   กินกันเองหมดเลยรุ่นน้องผม แต่จะว่าแค่พวกมันก็ไม่ได้ เพราะเพื่อนๆ ผมก็เป็นแบบนั้น จะว่าไปคนที่อยู่รอบๆ ตัวผมมีแต่คนที่รักเพศเดียวกันทั้งนั้นเลย บางทีก็ดีใจเหมือนกันนะที่ตัวเองโตขึ้นมาในยุคที่สังคมรับเรื่องนี้ได้แล้วในระดับนึง ผมมองว่าความรัก ไม่ว่าจะกับเพศไหนมันก็ดีทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่สร้างปัญหาหรือความเดือดร้อนให้ใคร

   ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะ

   แต่ก็ต้องยอมรับว่าความรักของบางคนก็ไม่ค่อยดีนะ ทำเรื่องเลวร้ายเพื่อให้ได้มาครอบครองโดยไม่สนใจว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้ใครบ้าง แบบนั้นมันจะเรียกว่าความรักได้จริงๆ เหรอ มันดูเหมือนเห็นแก่ตัวมากกว่า จะเอาแค่ตัวเองมีความสุข ส่วนคนอื่นจะทุกข์จนเป็นบ้ายังไงก็ไม่สนใจ คนแบบนี้แม่งโคตรใจร้ายเลย บ่อยครั้งที่เคยเจอมากับตัวเอง

   ได้แต่หวังว่าเฌอจะไม่เจอคนแบบนั้นอีก

   “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ”

   “หน้าแบบไหน”

   “ก็เหมือนคิดเรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่ค่อยดี”

   “อ๋อ ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะคุณ ไม่มีอะไรหรอก” ผมหยิบเศษใบไม้ออกจากหัวของสิบสาม “ทำไมคุณใส่แว่นเป็นบางวันอะ สายตาสั้นเหรอ”

   “เปล่าครับ แว่นเป็นแว่นเลนส์เปล่า”

   “แล้วใส่ทำไมอะ”

   “ใส่แล้วไม่ดีเหรอครับ”

   “ใส่แล้วมันก็ดี เบ้าหน้าแบบคุณ ใส่ไม่ใส่ก็ดูดีป้ะ ขนาดใส่แมสปิดครึ่งหน้ายังรู้เลยว่าหล่อ” หล่อจนน่าหมั่นไส้ เชื่อป้ะว่าตั้งแต่รู้จักนังน้อนมา ไม่มีวันไหนที่ผมไม่รู้สึกหมั่นไส้เขาเลยอะ

   ทำไมมันอย่างนั้นวะ

   “พี่เฌอก็พูดเกินไป”

   “ไม่เกินไปหรอก” ผมดึงแขนสิบสามมาใกล้ก่อนจะพับแขนเสื้อให้เจ้าตัว “เดี๋ยวคุณต้องตีกลองใช่ไหมล่ะ พับแขนเสื้อน่าจะดีกว่า เดี๋ยวผมพับให้”

   “ขอบคุณครับ” เขารับคำก่อนจะให้ผมนั่งพับแขนเสื้อให้อยู่อย่างนั้น

   ในจังหวะที่ผมพับแขนเสื้อให้นังน้อนก็สังเกตเห็นพลาสเตอร์ยาลายคิตตี้แปะอยู่ตามแขนหลายจุด นอกจากมีพลาสเตอร์ยาแล้วยังมีรอยจ้ำเต็มไปหมด เขาไปโดนอะไรมาแขนถึงได้มีรอยขนาดนี้ ครั้งก่อนที่ผมไปนอนด้วย รอยพวกนี้ยังไม่มีเลย

   “คุณไปโดนอะไรมาอะนังน้อน รอยจ้ำเต็มไปหมด”

   “อ๋อ เรียนทำข้าวต้มกับทอดไข่เจียวน่ะครับ”

   “เรียนทำไมอะ”

   “มันเป็นธรรมเนียมของบ้านผม แม่บอกว่าถ้าเจอคนที่ชอบเนี่ยะ ก็ต้องไปเรียนทำข้าวต้มกับทอดไข่เจียว”

   ผมเลิกคิ้วมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างสงสัย “เจอคนที่ชอบงั้นอ๋อ”

   “ใช่ครับ”

   “.....ใครอะ น่ารักป้ะ สวยป้ะ คณะไหนๆ ๆ ๆ ” ผมถามอย่างสงสัย เพราะแบบนี้รึเปล่า สิบสามถึงฟังเพลงรักบ่อยๆ ฮันแน่ ร้ายนักนะนังน้อน อยากรู้จริงๆ ว่าคนแบบไหนถึงทำให้เขาชอบได้

   แม่งโคตรเจ๋งเลย

   “ผมเอ่ยชื่อเขาได้เหรอครับ”

   “เอ่ยได้ดิคุณ....กระซิบก็ได้ เรารู้กันสองคน” ผมเอียงหัวเข้าไปใกล้เขา “ว่ามา....”

   “.....พี่เฌอ” มือเรียวหยิบไม้กลองที่อยู่บนตักผมไป “น้องๆ มาแล้วนะครับ” ร่างสูงเดินเข้าไปหาสมปองที่กำลังประกอบกลองอยู่ อะไรวะ ยังไม่ทันได้รู้เลยว่าเขาชอบใคร

   เห้อะ.....เปลี่ยนเรื่องเก่งกว่าใครทั้งโลก

   ผมทำหน้ายับใส่สิบสามถึงแม้ว่าเขาจะไม่เห็นก็ตาม ช่างแม่ง ถ้าเขาอยากบอก เขาก็คงบอกเองแหละมั้ง อีกอย่างมันก็เรื่องของเขา ผมรู้ไปก็เท่านั้นแหละ ตอนนี้สิ่งที่ควรโฟกัสคือกิจกรรมที่กำลังจะทำมากกว่า ผมหยิบโทรโข่งก่อนจะบอกให้น้องๆ เข้าแถวตามกลุ่มของตัวเอง เด็กหลายคนเลยที่มองนังน้อนอย่างตื่นตาตื่นใจ เอาจริงๆ ไม่ใช่แค่ปี 1 หรอกที่เป็นแบบนั้น พวกปี 2 ก็มีเหมือนกัน

   ตื่นเต้นแหละดูออก

   อย่างแรกคงเพราะสิบสามเป็นคนนอกคณะแต่ยอมมาตีกลองให้สันทนาการของวิศวะฯ ส่วนกิจกรรมสันฯ ของคณะตัวเองก็บอกว่ามันไม่ใช่หน้าที่เลยไม่เข้าร่วม โคตรสุดเลยจริงๆ นี่ถ้าพวกเด็กแพทย์ฯ รู้จะเป็นยังไงวะ แต่อย่างสิบสามจะไปสนใจอะไรถามจริง เขาคงไม่สนใจว่าใครจะพูดหรือคิดยังไง ทำอะไรก็คงเอาตามที่ตัวเองสบายใจที่สุด จะว่าไปผมก็เก่งเหมือนกันนะที่ทำให้นังน้อนมายืนอยู่ตรงนั้นได้

   ถ้าไม่ใช่ผมแล้ว....ใครจะทำเรื่องแบบนั้นได้

   “สวัสดีครับน้องๆ ปี 1 ทุกคน วันนี้เข้ากิจกรรมสันทนาการกันอีกแล้วนะครับ พี่มีเรื่องจะชี้แจงถึงประเพณีวิ่งเกียร์ที่จะจัดขึ้นในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้าด้วยนะ”

   ผมลากเก้าอี้ไปนั่งเยื้องๆ กับพวกปี 2 ที่ยืนล้อมน้องๆ อยู่ มองจากมุมนี้คือเห็นนังมือกลองจำเป็นได้ชัดมาก สีหน้าดูเรียบเฉยไม่แสดงอะไรออกมาเท่าไหร่ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้ว นี่ดีนะว่าวันนี้เขาใส่แว่นมา อย่างน้อยก็ได้เห็นหน้า ถ้าใส่แมสก็จะอีกฟีลนึง แต่ถ้าถามผมนะ สิบสามที่ไม่ใส่แว่น ไม่ใส่แมสคือดี ไม่มีอะไรมาบังหน้าเขาอะดีที่สุด มันจะทำให้ได้เห็นหน้าหล่อๆ แบบชัดๆ ไง ผมเดินไปกระชากแว่นเขาออกมาได้ไหมวะ

   น่าจะไม่ได้

   “วันนี้พี่แยมมือกลองของเราไปคัดตัวคฑากรนะครับ เพราะงั้นวันนี้เราเลยมีมือกลองอาสาจากคณะแพทย์ฯ มาช่วยตีกลองแทนพี่แยมนั่นคือ พี่สิบสามครับ”

   พอสมปองแนะนำสิบสามให้เด็กๆ รู้จัก เสียงปรบมือกับเสียงเฮก็ดังขึ้นมาทันที ไม่ค่อยเลยนะไอ้พวกนี้ แล้วตัวนังน้อนก็หน้าเดิมเลย มีพยักหน้ารับเสียงกรี๊ดเล็กน้อยประหนึ่งว่าชินแล้วกับเหตุการณ์แบบนี้ เนี่ยะ ผมไม่เข้าใจความรู้สึกนี้เลย บ่อยครั้งที่ผมมองนังน้อนแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองเอ็นดูเขาจัง แต่อีกความรู้สึกนึงก็คือหมั่นมาก มันเขี้ยวอยากเอาหมอนฟาดๆ ๆ ๆ หึ้ยยยย....ไอ้ต้าวนังน้อนนนน

   อยากกระชากคอเสื้อมาแล้วก็เขย่าๆ

   ผมมองน้องๆ ที่ทำกิจกรรมสันทนาการไปเรื่อยๆ พลางฟังเสียงกลองที่สิบสามตีและเสียงเพลงที่สมปองร้อง อืม....ที่หวั่นใจในตอนแรกว่าจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องก็คงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วล่ะ แค่เด็กเวรนั่นร้องเพลงขึ้นมา นังน้อนก็ตีกลองตามจังหวะของเพลงนั้นได้เป๊ะๆ แถมตอนที่ยืนตีอยู่นั่นก็ดูเท่มากเลยด้วย พอเห็นแบบนั้นแล้วผมอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเขาเก็บเอาไว้

   ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีโอกาสได้เห็นอีกไหมไง

   เพราะงั้นถ่ายเอาไว้สักยี่สิบรูป

   หลังจากที่แอบถ่ายรูปนังน้อนจนหนำใจผมก็เข้าไปที่ไอจีก่อนจะถ่ายคลิปที่สิบสามกำลังตีกลองพร้อมกับลงสตอรี่แล้วติดโควตว่า #มือกลองหล่อบอกต่อด้วย เชื่อดิว่าบรรดาแฟนคลับของเขาต้องชอบใจมากแน่ๆ ที่ได้เห็นอะไรที่หาดูยากขนาดนี้ คือกลองที่เจ้าตัวตีมันไม่ได้มีแค่กลองทอมนะเพราะสมปองยกกลองบองโก้มาวางซ้อนด้วย ตอนแรกผมคิดว่านังน้อนจะตีกลองทอมสองจังหวะแต่นี่คือตีครบทั้งชุดเลย

   อย่างเก่งอะ

   ครืดดดด....ครืดดดด....

   “ว่าไงครับน้องเดียร์”

   (ทำอะไรอยู่เหรอคะ)

   “เข้ากิจกรรมสันทนาการน้องๆ ครับ แล้วน้องเดียร์ล่ะทำอะไรอยู่”

   (เดียร์เพิ่งทำงานกลุ่มกับเพื่อนเสร็จน่ะค่ะ เดียร์อยากเจอพี่เฌอ กิจกรรมจะเสร็จกี่โมงเหรอคะ)

   “นี่เพิ่งเริ่มเองน่ะครับ แต่ถ้าน้องเดียร์อยากให้พี่ไปหา เดี๋ยวพี่ไปตอนนี้เลยก็ได้นะ”

   (ไม่เป็นไรค่ะ รอกิจกรรมเสร็จก่อนก็ได้ วันนี้พี่เฌอมาค้างห้องเดียร์ได้ไหมคะ)

   “ได้นะครับ งั้นเดี๋ยวถ้ากิจกรรมจบเมื่อไหร่ เดี๋ยวพี่รีบไปหานะ”

   (โอเคค่ะ แล้วเจอกันนะคะ)

   “ค้าบ....” ผมกดวางสายก่อนจะสังเกตวันที่ตรงหน้าจอโทรศัพท์ตัวเอง วันนี้วันที่ 12 ซึ่งหมายความว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ 13 อย่างนั้นสิ

   ชิบหายละ

   เพราะแบบนี้รึเปล่าใจถึงได้โหวงๆ เหมือนจะเกิดเรื่องไม่ดี ไม่อยากคิดอะไรแย่ๆ ไปก่อนเลยแต่แม่งอดไม่ได้อะ พรุ่งนี้จะเป็นวันอาถรรพ์ แล้ววันนี้น้องเดียร์ก็ชวนผมไปค้างที่ห้อง นี่ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วเธอจะบอกเลิกผมนะ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่กระโดดตึกตายเลยน่ะ อื้อออ.อ.....ขออย่าให้มันเป็นแบบที่ผมคิดเลยเถอะ เห้ย แต่ถ้าคิดในแง่ดีนะ ถ้าสมมุติว่าน้องเดียร์บอกเลิกผมจริงๆ แล้วผมจะไปกระโดดตึก อาจมีใครสักคนห้ามไม่ให้ผมทำก็ได้เพราะเขาคงไม่อยากให้ตึกคอนโดฯ ตัวเองมีผีสิง

   คนๆ นั้นก็คือสิบสามไงครับ

   ผมเพิ่งมารู้เมื่อไม่นานนี้เองว่าห้องของน้องเดียร์ก็อยู่ที่คอนโดฯ G เหมือนสิบสามแค่คนละชั้นเท่านั้น ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมามีวันที่ผมไปค้างที่ห้องแฟนตัวเองแต่ไม่มีโมเม้นต์บังเอิญไปเจอสิบสามหรอกนะ ความหมายของค้างในที่นี้คือแค่นอนค้างจริงๆ อะครับ ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลย ตั้งแต่มีแฟนมา ผมไม่เคยล่วงเกินอะไรแฟนตัวเองเลยนะ เต็มที่ก็แค่....จูบ และก็ไม่มีมากกว่านั้นอาจเพราะเวลาด้วยมั้ง เราคบกันไม่นานเท่าไหร่ ผมคิดว่ามันอาจจะไวไปในเรื่องของเซ็กซ์

   หัวโบราณครับ....เป็นแบบนี้แหละ

   แต่ผมเคยโดนแฟนบอกเลิกเพราะเรื่องนี้ด้วยนะเหมือนผมไม่ยอมทำแบบนั้น เขาก็เลยเลิก ซึ่งแบบ....ทำไมวะ ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากทำ แค่เราไม่อยากทำตอนนี้เฉยๆ แล้วเพิ่งคบกันเอง อาจจะเพราะว่าแม่สอนผมไว้ด้วยแหละว่าอย่าไปปู้ยี่ปู้ยำลูกสาวบ้านไหนถ้ายังไม่ถึงเวลาที่มันสมควร เพราะถ้ามันเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา ฝ่ายหญิงจะเสียหายมากกว่า แล้วผมในตอนนี้จะเอาปัญญาที่ไหนไปรับผิดชอบได้อะ

   เรียนก็ยังไม่จบเลย....จริงป้ะล่ะ

   ในจังหวะที่ผมนั่งคิดโน่นคิดนี่อยู่นั้น ร่างสูงก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้ผม “ฝากหน่อยครับ”

   “อื้อ....แล้วนี่ต่อไปจะทำไรกัน”

   “ก็ช่วงแรกเสร็จแล้ว ประธานสันฯ บอกน้องเรื่องวิ่งเกียร์ครับ ส่วนผมก็พักมือก่อน”

   “อ๋อ เออคุณตีกลองเก่งกว่าที่ผมคิดอีกนะเนี่ย”

   “เหรอครับ” เจ้าตัวเสยผมที่ปรกหน้าตัวเองออก “เก่งมากพอที่ผมจะขอรางวัลได้ไหม”

   “คุณอยากได้อะไรล่ะ”

   “พรุ่งนี้....ไปดูหนังกันครับ เรื่องที่พี่บอกว่าอยากดู มันเข้าพรุ่งนี้นะ”

   “เออเอาดิ นี่ผมลืมไปเลยนะเนี่ย” หนังที่ตั้งใจจะไปดูมันเป็นหนังสยองขวัญครับ ตอนแรกผมก็ชวนน้องเดียร์ไปแต่เธอไม่ค่อยชอบดูหนังแนวนี้สักเท่าไหร่ ผมก็เลยเอาไปบ่นให้สิบสามฟัง

   นังน้อนมันจำได้ด้วยว่ะ

   “โอเคครับ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมเดี๋ยวค่อยคุยกัน”

   “ได้” ผมรับคำ ส่วนสิบสามก็ลากเก้าอี้ไปนั่งที่หลังกลองเพื่อรอทำกิจกรรมต่อ

   พรุ่งนี้ไปดูหนังกับนังน้อน ตรงกับวันที่ 13 พอดี เดี๋ยวต้องมารอลุ้นว่ามันจะยังไง พรุ่งนี้ไม่ใช่แค่วันที่ 13 ธรรมดาๆ นะ แต่ยังเป็นวันที่ผมกับน้องเดียร์คบกันเป็นวันที่ 13 ด้วย เรียกได้ว่า 13 ซ้ำซ้อนเลยครับ คือถ้าผ่านไปได้แล้วเธอไม่ทิ้งผมไปไหน หลังจากนี้ก็คงไม่มีอะไรน่ากังวลนักหรอก ใจผมก็อยากให้เธอเป็นแฟนคนสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ ก็นะ บอกแล้วไงว่าคบใครก็อยากให้เป็นคนสุดท้ายทั้งนั้น

   หวังว่าน้องเดียร์จะเป็นคนที่ผมรอมาตลอดด้วยเถอะ

   

   

   คอนโดฯ G : ห้องเดียร์

   ปิ๊งป่องงงง

   หลังจากที่กดออดได้ไม่นาน เจ้าของห้องก็เปิดประตูให้ “....พี่เฌอ”

   “พี่มาแล้วครับ” ผมชูถุงขนมให้ดู “พี่ซื้อขนมมาฝากด้วยนะ”

   “ขอบคุณนะคะ”

   “ครับ” ผมยิ้มหวานก่อนจะเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเอาถุงขนมไปวางไว้ที่โต๊ะ “พี่เขินเลยนะเนี่ยที่น้องเดียร์บอกว่าอยากเจอ”

   ร่างบางกอดจากด้านหลังพลางเอาหน้าแนบบ่าผมไว้ “เดียร์ก็ต้องอยากเจอหน้าแฟนตัวเองสิคะ”

   “พูดแบบนี้พี่ก็หลงแย่เลยสิ” ผมหันมาหาน้องก่อนจะกอดเอวเธอเอาไว้

   “แต่ตอนนี้เดียร์กำลังรู้สึกว่าพี่เฌอหลงคนอื่นมากกว่าเดียร์อีก”

   “คนอื่น....ใครอะ”

   “มีหลายคนเหรอคะ ถึงนึกไม่ออกว่าใคร....หึ” เธอทำหน้ามุ่ยใส่ผมก่อนจะผละออกไปนั่งที่เตียงแทน อาการแบบนี้ก็คืองอนแน่แหละ เอาละ ปัญหาของชรันในตอนนี้คือไม่รู้ว่าแฟนตัวเองงอนเรื่องอะไร

   ผมเดินมานั่งที่ข้างเตียงใกล้ๆ คนตัวเล็ก “น้องเดียร์งอนพี่เหรอ”

   “จะเรียกแบบนั้นก็ได้ค่ะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่เฌอคะ เดียร์มีอะไรอยากขอพี่เฌอ”

   “อะไรครับ”

   “เลิกยุ่งกับสิบสามได้ไหมคะ”

   “.....ทำไมล่ะครับ สิบสามก็เป็นรุ่นน้องที่พี่รู้จัก ทำไมถึง.....”

   “คนอื่นอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นนะคะ พี่ว่าเดียร์ต้องรู้สึกยังไงเวลามีคนพูดถึงพี่กับสิบสามในแง่อื่น แล้วเนี่ยะ พี่ก็ลงสตอรี่คลิปของสิบสาม ซึ่งมันก็จะทำให้เป็นที่พูดถึงอีก เดียร์ไม่ได้ใจกว้างมากพอที่จะยอมให้แฟนตัวเองถูกเอาไปจิ้นกับคนอื่นนะคะ เดียร์หึงและก็รู้สึกหวงมากๆ เดียร์ขอแค่นี้ พี่เฌอทำให้เดียร์ได้ไหมคะ”

   “น้องเดียร์” ดวงตากลมมีน้ำตาเอ่อคลอและนั่นทำให้ผมรู้สึกผิดมาก ตลอดเวลาที่ผมสนิทกับสิบสามทำให้เธอคิดแบบนี้มาตลอดเลยสินะ

   “เดียร์ไม่อยากใช้คำนี้เลย แต่ระหว่างเดียร์กับสิบสาม พี่เฌอก็ต้องเลือกแล้วค่ะ เพราะเดียร์จะไม่ทนแล้ว” มือบางปาดน้ำตาที่เอ่อออกไป “ถ้าพี่ยังเป็นแฟนเดียร์ พี่ก็ต้องไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกับสิบสาม แต่ถ้าพี่ยังอยากมีสิบสามอยู่ เดียร์จะไปเอง”

   “ไม่เอาน้องเดียร์อย่าพูดแบบนั้น”

   “งั้นพี่เฌอจะเลือกใครคะ”

   เลือกทางไหนก็เสียใจเหมือนกันอยู่ดี

   น้องเดียร์เป็นแฟนผม เป็นคนที่ผมวาดอนาคตไว้แล้วว่าวันข้างหน้าผมอยากจะมีเธออยู่ด้วยกัน ส่วนสิบสามก็เป็นรุ่นน้องที่ผมสนิท เขาช่วยผมมาหลายครั้ง ถ้าอยู่ดีดีผมตัดเขาออกไปจากชีวิต เขาจะรู้สึกยังไงอะ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมน้องเดียร์ถึงรู้สึกอะไรแบบนั้น ทั้งๆ ที่ผมมองสิบสามเป็นแค่รุ่นน้อง อีกอย่างตัวสิบสามเองก็เป็นเพื่อนร่วมห้องของเธอด้วยซ้ำ

   ความลำบากใจนี้มัน

   “โอเคค่ะ.....ถ้าพี่เฌอไม่เลือก งั้นก็....”

   “น้องเดียร์” ผมกอดเธอเอาไว้ “....พี่เลือกน้องเดียร์”

   “งั้นพี่ต้องสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิบสาม ไม่ติดต่อ หรือไปไหนมาไหนด้วยกันอีก”

   “....ได้ พี่สัญญา”

   ขอโทษนะสิบสาม....พรุ่งนี้ผมคงไปดูหนังกับคุณไม่ได้แล้ว

   “ไม่ใช่แค่กับสิบสามหรอกนะคะ กับคนอื่นด้วย” น้องเดียร์กอดผมเอาไว้แน่น “เดียร์รักพี่เฌอมากๆ อย่าทำให้เดียร์เสียใจนะ”

   “....ครับ”



***


   ฟู่ววววว

   รู้สึกแย่ยังไงก็ไม่รู้

   แย่เอามากๆ

   ผมมองบุหรี่ที่อยู่ในมือด้วยความสับสน ผมอยู่ที่ระเบียงห้องน้องเดียร์ ในหัวก็คิดว่าทำไมทุกอย่างมันต้องเป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจอะ ตอนนี้เกือบตีหนึ่งแล้วและผมนอนไม่หลับ หลับไม่ลงเลยครับ จะให้หลับได้ยังไงในเมื่อมีเรื่องปวดหัวใจขนาดนั้นน่ะ แล้วตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเลือกมันถูกรึเปล่า ระหว่างแฟนกับรุ่นน้องที่สนิท แต่ผมก็เลือกแฟนไปแล้ว นั่นหมายความว่าผมต้องตัดรุ่นน้องคนสนิทออกโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย

   สิบสามจะเสียใจไหมที่ผมหายไป

   และทำไมผมถึงต้องแคร์เขาขนาดนี้ด้วย

   ผมหยิบโทรศัพท์มากดดู เลยเที่ยงคืนมาแล้วก็เท่ากับว่าวันนี้เป็นวันที่ 13 โอเค เข้าใจถึงความเฮงซวยและความรู้สึกย่ำแย่ที่เกิดขึ้น น้องเดียร์บอกให้ผมบล็อกช่องทางการติดต่อของสิบสามทั้งหมด ผมรับปากว่าจะทำแบบนั้นเพื่อความมสบายใจของเธอ แต่ก่อนที่จะบล็อก ผมก็อยากขอโทษสิบสามก่อนอยู่ดี อย่างน้อยก็ขอให้ได้ขอโทษที่ผมต้องผิดนัดในวันพรุ่งนี้ก็ได้ พอคิดได้แบบนั้นผมจึงโทรไปหารายชื่อในโทรศัพท์ที่ตัวเองเมมไว้ว่านังน้อน

   “.....คุณ”

   (พี่ยังไม่นอนอีกเหรอครับ)

   “อืม นอนไม่หลับอะ แล้วคุณล่ะ ดึกแล้วนะ ยังไม่นอนอีก”

   (เพิ่งทำงานเสร็จน่ะครับ ก็กำลังจะนอนแต่พี่โทรมาก่อน ว่าแต่.....มีอะไรรึเปล่าครับ)

   “คือพรุ่งนี้ที่ผมบอกว่าจะไปดูหนังด้วย ผมอาจจะไปไม่ได้แล้ว”

   (.....ไม่เป็นไรครับ)

   “ผมขอโทษนะสิบสาม”

   (ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ผมเข้าใจ)

   “คุณโกรธไหม”

   (ผมจะโกรธพี่ทำไม)

   “แล้วถ้าผม.....” หายไป

   คุณจะโกรธไหม

   (พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ)

   “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก คุณก็นอนได้แล้วนะ เดี๋ยวผมก็ไปนอนแล้ว”

   (พี่เฌอ)

   “ฝันดีนะ....นังน้อน”

   (.....ฝันดีครับ)

   ผมวางสายก่อนจะกดบล็อกเบอร์เขา รวมถึงไลน์และช่องทางการติดต่ออื่นๆ ทั้งหมดด้วย มันรู้สึกแย่สำหรับการบอกลาแบบไม่มีเหตุผล ผมไม่ชอบแบบนี้เลยได้แต่หวังว่าเดี๋ยวมันก็จะชินไปเอง ไม่เป็นไรหรอก เลือกแล้วไม่ใช่อ๋อ เลือกแล้วก็ยอมรับให้ได้ดิ เขาก็แค่รุ่นน้องคนนึง เดิมทีตอนแรกก็ไม่ได้รู้จักกัน แค่กลับไปอยู่ในจุดๆ เดิม มันก็แค่นั้นเอง

   แค่นั้นเองจริงๆ

   .

   .

   .

   .

   .

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้ว สำหรับตอนนี้คือปวดหนึบมาก พี่เฌอเขาลำบากใจมากแต่ก็ต้องยอมทำ อันนี้เป็นเพราะว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อเดียร์มันมากกว่าที่เขามีต่อสิบสามนะคะ เขาถึงได้เลือกแฟน แต่ถามว่าเจ็บปวดไหม ก็น่าจะรู้สึกได้นะคะว่าเขาเสียใจที่มันเป็นแบบนี้ แต่พาร์ทนี้คือสำคัญมากนะคะสำหรับการไปต่อของเรื่อง ขอสปอยล์ล่วงหน้าเลยว่า บท 7 บท 8 เป็นอะไรที่ดุเดือดมาก รอติดตามนะคะ จะรีบปั่นให้อ่านค่ะเพราะชาลเองก็อยากให้ผ่านจุดนี้ไปไวไว มันปวดใจ

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 6 : 19/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-01-2020 21:25:01
สปอยล์ขนาดนี้ มาลงเลยจ้า
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 7 : 20/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 20-01-2020 20:21:35
บทที่ 7 เหตุผล




   “สีหน้ามึงไม่ค่อยดีเลยนะเฌอ”

   “อืม....มึงดูแปลกๆ มา 2 อาทิตย์แล้วนะ เป็นอะไรก็บอกได้ไหมวะ เป็นห่วงเนี่ยะ”

   “เออ เป็นไรไม่พูด ไม่มีใครรู้นะมึง”

   นั่นสินะ....ไม่พูดแล้วจะมีใครรู้

   ผมนั่งมองปากกาลายแบด แบด ที่ใครบางคนเลือกให้ มันเป็นปากกาที่อยู่กับผมนานที่สุดแล้วถ้าเทียบกับแท่งอื่นๆ เชื่อป้ะว่าจากวันที่บล็อกช่องทางการติดต่อของสิบสามไปทั้งหมดจนถึงตอนนี้ ผมยังเก็บเรื่องนั้นมาคิดไม่หยุดเลย ความกังวลใจ ความรู้สึกผิด มีหลายอย่างที่มันผสมปนเปกันอยู่ในหัว ผมเลิกคิดเรื่องนี้ไม่ได้ พยายามหาอย่างอื่นทำแล้วแต่สุดท้ายมันก็ยังทำให้ผมนึกถึงอยู่ดี

   ไม่รู้เลยว่าตอนนี้นังน้อนจะเป็นยังไง

   แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องคิดเรื่องนี้ไปอีกนานแค่ไหน

   ตอนนี้เกือบ 9 โมงครับ พวกผมอยู่กันที่โรงอาหารของตึกคณะเพื่อรอกิจกรรมวิ่งเกียร์ช่วงบ่าย คือวันนี้เป็นวันรับน้องใหญ่ของวิศวะฯ ความจริงผมควรจะตื่นเต้นเฮฮามากกว่านี้แต่มันก็ได้อย่างที่เห็น แล้วการที่ชรันเป็นแบบนี้ก็พลอยทำให้เพื่อนๆ เป็นห่วง ผมยังไม่ได้เล่าให้พวกมันฟังเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนแรกผมคิดว่าเออเดี๋ยวมันก็ไม่เป็นไรหรอก ใช้เวลาสักพักมันคงจะดีขึ้น แต่นั่นแหละ ทุกอย่างมันไม่เป็นตามที่ผมคิด

   ซึมเป็นน้องหมาเลยให้ตายสิ

   ชริตเป็ดล็อกคอผมเข้าไปใกล้ “ได้ยินที่พวกกูพูดป้ะเนี่ยะ”

   “ได้ยิน”

   “เออ ตกลงเป็นไร ทะเลาะกับแฟนเหรอหรือยังไง”

   “เปล่า ไม่ได้ทะเลาะกับแฟน”

   “ถ้างั้นมันเรื่องอะไรวะ หรือเกี่ยวกับเด็กแพทย์ฯ คนนั้น” ไอ้ขันจ้องอย่างจับผิด “มึงทำหน้าแบบนี้แปลว่ากูพูดถูก”

   “ก็ส่วนนึง....คือแฟนกูเขาขอให้กูเลิกยุ่งกับสิบสาม เขาให้กูเลือกเลยนะว่าระหว่างเขากับสิบสาม กูจะเลือกใคร” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “กูก็เลือกแฟนไง แล้วตัดสิบสามออกไปจากชีวิต คือสิบสามก็แค่รุ่นน้องป้ะวะ แต่แบบกูเลิกคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้เลยอะ”

   ทะเลหยิบลูกอมส่งมาให้ผม “กูรู้สาเหตุนะว่าทำไมมึงถึงรู้สึกแย่ น่าจะเป็นเพราะรุ่นน้องคนนี้ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ หรือให้พูดง่ายๆ ก็คือเขาพิเศษกว่าคนอื่น ใช่ไหมล่ะ”

   ก็คงประมาณนั้นแหละมั้ง

   “แฟนมึงคนนี้ที่คบมาจะเดือนแล้วใช่ไหม” จันทร์ฉายเอ่ยถาม

   “ใช่ เป็นคนแรกเลยที่กูคบได้นานที่สุด ผ่านอาถรรพ์วันที่ 13 มาแล้ว วันที่ครบรอบ 13 วันก็ด้วย หลังจากนี้ก็คงไม่น่ามีอะไรมั้ง”

   “มึงก็คิดง่ายไป บางคนเขารักกันมาเป็น 10 ปี เขายังเลิกกันได้เลย นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นแหละเฌอ”

   “จริงแบบที่ไอ้ขันพูด แล้วเนี่ยะแฟนมึงคนนี้กูก็รู้สึกว่างี่เง่ายังไงไม่รู้ คิดได้ไงเรื่องให้เลือกว่าจะเอาใครอยู่ จะปล่อยใครไป ถ้าวันดีคืนดี เขาให้มึงเลือกระหว่างเขากับพวกกูขึ้นมา มึงจะทำยังไง”

   “กู....ไม่รู้เลยว่ะ” ผมแย่งน้ำแดงไอ้ขันมากิน “เมื่อไหร่ความกังวลใจนี้จะหายไปวะ”

   “เรื่องนี้คนที่จะให้คำตอบได้ก็น่าจะเป็นตัวมึงนั่นแหละ”

   นั่นสินะ

   “กูไปสูบบุหรี่ก่อน เดี๋ยวมานะ”

   “กูไปด้วย” ทะเลบอกก่อนจะเดินตามผมมาที่ด้านหลังตึกเยื้องๆ ลานจอดรถ

   ผมหยิบบุหรี่ออกมาจากตลับก่อนจะจุดสูบพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ของผมกับน้องเดียร์คือปกติเลยนะ เราไม่มีเรื่องทะเลาะกันหรือมีปัญหาอะไรเลย เธอยังคงเป็นแฟนที่น่ารัก ส่วนผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองในแบบที่มันควรจะเป็น คือทุกอย่างมันก็ดูผ่านไปได้ด้วยดี ผมควรมีความสุขแต่มันก็ไม่รู้สึกแบบนั้นสักเท่าไหร่ คงเพราะความรู้สึกผิดที่มันคาใจอยู่นี่ล่ะมั้ง

   ผมไม่เจอหน้าสิบสามเลยในช่วงที่ผ่านมา

   ตัดขาดการติดต่อแบบสมบูรณ์

   น้องเดียร์ไม่ให้ผมไปหาที่ตึกคณะเพราะกลัวว่าผมจะเจอกับสิบสาม ผมก็ยอมทำตามที่เธอขอ ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าถ้ามีโอกาสได้เจอสิบสามแบบบังเอิญ ผมควรทำหน้ายังไง เขาจะถามอะไรผมไหม เขาจะพูดอะไรบ้างรึเปล่าหลังจากที่เราไม่เจอกัน ความจริงเรื่องพวกนี้ผมไม่จำเป็นต้องเก็บมาคิดหรือเอามาใส่ใจด้วยซ้ำ ทำไมผมต้องสนใจว่าเขาจะรู้สึกยังไง ไม่เข้าใจตัวเองเลยอะ ผมเป็นอะไรไปวะ

   เฌอควรเป็นแบบนี้อ๋อ

   “กูมีไรอยากถาม” ทะเลเอียงหัวมาใกล้ผม “รักมากเลยป้ะ แฟนคนนี้อะ”

   “.....ก็รัก”

   “จริงจังมากไหมวะ”

   ผมเหลือบมองมัน “ก็ต้องจริงจังดิวะ กูก็คิดจริงจังกับทุกคนที่กูคบด้วย”

   “แต่มึงก็น่าจะยังไม่มั่นใจป้ะว่าแฟนคนนี้จะเป็นคนสุดท้ายจริงๆ ”

   “ทำไมมึงคิดแบบนั้นวะ”

   “ก็ถ้ามึงมั่นใจแล้วคิดว่าจะให้เขาเป็นคนสุดท้ายของชีวิตมึง” มือเรียวจับที่ข้อมือผมก่อนจะยกให้ดู “แล้วทำไมเกียร์ยังอยู่กับมึงล่ะ”

   “คือกู....”

   “ไม่ต้องบอกเหตุผลให้กูฟังหรอก เรื่องนั้นมึงเอาไว้ตอบตัวเองเถอะ” เจ้าตัวยกมือขึ้นแตะไหล่ผม “กูเข้าใจนะว่ามึงมีความรักมาเยอะ ผ่านอะไรมาเยอะ เจอคนมาหลายประเภท โอเค ทุกคนมันอาจจะหายไปจากชีวิตมึงในวันที่ 13 หรือจากอาถรรพ์เลข 13 ต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่มันจริงแบบที่ไอ้ขันพูดนะ บางคนคบกันมาเป็น 10 ปียังเลิกกันได้เลย กูไม่อยากให้มึงวางใจอะไรทั้งนั้น”

   “.....”

   “มึงอาจจะคิดว่าผู้หญิงคนนี้ใช่แล้วสำหรับมึง แต่ถ้ามองมุมของกูซึ่งเป็นเพื่อนมึงเนี่ยะ ผู้หญิงคนนี้ก็ยังไม่ใช่ เพราะถ้าเขาใช่จริงๆ มึงจะไม่มานั่งกังวลเรื่องของใครอีกคนนอกจากเขาเลย”

   “.....”

   “มึงลองตอบตัวเองละกันว่าความสัมพันธ์ที่มึงกำลังมีอยู่มันทำให้มึงรู้สึกมีความสุขมากกว่าที่มึงต้องฝืนตัวเองหรือเหนื่อยเพราะต้องประคับประคองมันอยู่ฝ่ายเดียวรึเปล่า”

   “.....”

   “มึงลองคิดเอาละกันนะเฌอ”

   

   [บันทึกพิเศษ : สิบสาม]

   

   ผมคิดถูกจริงๆ เรื่องคำขอโทษของพี่เฌอในวันนั้น

   เขาไม่ได้ขอโทษแค่เพราะไปดูหนังกับผมไม่ได้

   แต่เขาขอโทษเพราะเขาจะหายไปจากชีวิตผมต่างหาก

   ผมนั่งเรียนโดยที่ไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ เป็นแบบนี้มาเกือบ 2 อาทิตย์แล้วครับ บ่อยครั้งที่รู้สึกหงุดหงิดมากๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากอดทน ที่ผ่านมาผมคิดถึงแต่เรื่องของพี่เฌอ พาลทำให้นอนไม่ค่อยหลับ จนถึงตอนนี้ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงหายไป มันไม่ควรเป็นแบบนี้รึเปล่า ตอนที่เขาโทรมายกเลิกนัดดูหนังผมก็คิดว่าต้องมีอะไรแน่ๆ น้ำเสียงเขาที่เอ่ยขอโทษนั่นมันผิดปกติ ไหนจะถามอีกว่าผมจะโกรธไหม

   ต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา

   อะไรสักอย่างซึ่งผมไม่รู้เลย

   ข้อความในไลน์ที่ผมส่งไปหาเขาในช่วงที่ผ่านมาไม่มีการแจ้งว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วแต่อย่างใด คิดได้ง่ายๆ เลยล่ะว่าเขาคงบล็อกไลน์ผม ความจริงไม่ใช่แค่ไลน์ เรียกได้ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ผมติดต่อเขาได้ เขาบล็อกทุกอย่าง ใจผมน่ะอยากไปหาเขาที่คณะด้วยซ้ำ อยากถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้ทำแบบนั้น ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเดียร์น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ช่วงที่ผ่านมาพี่เฌอไม่มาหาเดียร์ที่คณะซึ่งมันเป็นเรื่องผิดปกติ

   จิ๊....ไม่ชอบใจเลย

   “วันนี้พอเท่านี้ก่อนนะคะนักศึกษา อย่างลืมว่ามะรืนเรามีควิซกันนะคะ อ่านหนังสือด้วยล่ะ”

   “ครับ / ค่ะ”

   ผมเก็บสมุดเลคเชอร์ใส่กระเป๋าถือก่อนเดินออกไปนอกห้อง มองลงไปด้านล่างที่ถนนหน้าตึกก็พบกับเด็กวิศวะฯ จำนวนมากที่มาเตรียมตัวร่วมประเพณีวิ่งเกียร์ จริงสิ วันนี้เป็นวันรับน้องใหญ่ของคณะวิศวะฯ ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อหวังจะเจอใครบางคน แต่เหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเท่าไหร่ ผมไม่เห็นพี่เฌอ ไม่รู้ว่าเขาจะมาร่วมประเพณีด้วยไหม ผมอยากเจอเขานะ อย่างน้อยได้มองไกลๆ จากตรงนี้ก็ได้

   เหมือนตอนนี้ผมจะทำได้แค่นั้นด้วยแหละ

   “สิบสาม”

   ผมหันมองตามเสียงเรียกก็พบกับปราชญ์ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการฯ รุ่นผมเอง “มีอะไรครับ”

   “ผมฝากคุณไปคืนหนังสือที่ห้องสมุดหหน่อยได้ไหม อาจารย์บรรยงค์เรียกพบผมอะ เนี่ยะ หนังสือที่เรายืมมาทำรายงานครั้งก่อน”

   “ได้ครับ เดี๋ยวผมเอาไปคืนให้เอง”

   “ขอบใจคุณมากนะ เดี๋ยวผมไปก่อน เออสิบสาม เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณเข้าประชุมคณะกรรมการฯ ด้วยนะ มีเรื่องกีฬาสีต้องคุยน่ะ”

   “ได้ครับ”

   “โอเค งั้นผมไปก่อน ฝากด้วยล่ะ”

   ผมมองหนังสือในมือที่ปราชญ์ฝากไปคืนห้องสมุด มันเป็นหนังสือที่ผมยืมมาเองนั่นแหละเพราะต้องทำงานกลุ่ม สำหรับผมแล้วปราชญ์เป็นเพื่อนร่วมห้องที่ดีนะ เวลาทำงานกลุ่ม ผมก็มักจะทำร่วมกับเขา เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องที่ผมคุยด้วยเยอะที่สุดแล้วมั้ง แต่ส่วนมากก็เรื่องงานทั้งนั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องประชุมคณะกรรมการฯ ด้วย ถ้าเรื่องกีฬาสีก็คงจะเกี่ยวกับที่ผมเป็นคฑากรไม้หนึ่งของคณะล่ะมั้ง

   คฑากรซึ่งตอนแรกผมไม่อยากเป็น

   ใช่ครับ มีใครบางคนบอกว่าถ้าผมเป็นคฑากรไม้หนึ่งมันต้องดีมากแน่ๆ เพราะคำพูดนั้นแหละ ผมถึงได้ยื่นเรื่องขอทางคณะไปว่าจะรับผิดชอบหน้าที่เป็นคฑากรไม้หนึ่งของคณะแพทย์ฯ เองโดยไม่ต้องคัดตัว คือตอนแรกทางคณะก็เล็งผมเอาไว้อยู่แล้ว แต่เพราะไม่อยากเป็นไงก็เลยไม่ได้ตอบตกลง ตอนไปคัดตัวแบบจำใจก็ทำแบบขอไปทีเพื่อให้มันจบๆ ไม่ได้หวังว่าจะเป็นอยู่แล้ว แต่ก็นั่นแหละสุดท้ายผมก็แพ้คำพูดของพี่เฌอ

   คฑากรไม้หนึ่งของคณะแพทย์ฯ ก็เลยเป็นสิบสาม

   ผมเดินมาที่ห้องสมุดก่อนจะจัดแจงคืนหนังสือ อืม....วันมะรืนมีควิซสินะ ผมหาอะไรไปอ่านสักหน่อยน่าจะดีกว่า พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินหาหนังสืออ่านไปเรื่อยจนมาถึงโซนด้านหลังที่เป็นมุมโต๊ะนั่ง มองผ่านชั้นหนังสือไปผมเจอเดียร์กับเพื่อนๆ ของเธอนั่งอยู่ พูดคุยกันดูสนุกสนานแถมเสียงดังในระดับนึงซึ่งมันไม่ควรทำแบบนั้นในห้องสมุดเพราะเป็นการรบกวนคนอื่น นี่ดีนะว่าเวลานี้ไม่ค่อยมีคนน่ะ

   “จริงเหรอแก แล้วแฟนแกไม่เอะใจอะไรเลยเหรอ”

   “ไม่อะ พี่เฌอรักเดียร์จะตาย ขออะไรก็ยอมทำตาม ดูสิ ขนาดขอให้เลิกยุ่งกับสิบสามยังยอมทำเลย”

   “ฮ่าๆ ๆ แกนี่มันร้ายจริงๆ เลยยัยเดียร์ แล้วเป็นไง ได้ผลป้ะ”

   “ได้ผลดิ ก็ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาพี่เฌอไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับสิบสามเลยสักนิด รอเวลาอีกสักหน่อย ให้มั่นใจอีกนิดนึงว่าพี่เฌอจะหายไปจากชีวิตของสิบสามโดยสมบูรณ์ ถึงตอนนั้นเดียร์จะบอกเลิกพี่เฌอ”

   “เด็ดจัด” ผึ้งเห็นดีเห็นงามไปกับเดียร์ “แบบนี้พี่เฌอก็เสียใจแย่เลยสิเนี่ย”

   “ก็สมควรแล้วป้ะ อยากมายุ่งกับสิบสามดีนัก”

   ผมเนี่ยะ....คิดอะไรเอาไว้ไม่มีผิดเลยจริงๆ

   ที่พี่เฌอหายไปจากชีวิตผมแบบงงๆ มันเป็นเพราะแบบนี้นี่เอง เพราะเดียร์ขอให้เขาเลิกยุ่งกับผม ได้ดิ จะเอาแบบนี้ก็ได้เลย อยากเล่นแบบสกปรกนักใช่ไหม ผมโกรธนะ โกรธมากๆ และยิ่งไม่ชอบผู้หญิงคนนี้มากขึ้นไปอีก เมื่อไหร่เดียร์จะยอมรับความจริงที่ว่าถึงผมไม่ชอบคนอื่น ผมก็ไม่มีวันชอบเธอสักที มันตั้งแต่ปี 1 แล้วนะ ควรหยุดหลอกตัวเองได้แล้วป้ะ เห็นแล้วเหนื่อยแทนว่ะ

   ทำแบบนี้ไปก็ไม่มีความหมายอยู่ดี

   ผมเดินออกมาจากห้องสมุดก่อนจะลงไปด้านล่าง มีเรื่องต้องคุยกับพี่เฌอ ยังไงก็ต้องคุย ถ้าเขาไม่ยอมก็ต้องลากไปคุยให้ได้ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ของเรื่องนี้คือยังไงพี่เฌอก็ต้องเสียใจอยู่ดี เพราะงั้นให้เขารู้ทุกอย่างจากปากผมมันจะดีที่สุด อย่างน้อยให้เขาเตรียมใจเอาไว้ก็ได้ว่าวันนึงความรักจอมปลอมที่เขามีอยู่มันต้องจบลง อีกอย่างคือพี่เฌอควรได้รู้ว่าแฟนสุดที่รักของเขาไม่ใช่คนน่ารักอย่างที่เขาคิด

   เรื่องนี้ช่วยไม่ได้นะ....เดียร์เล่นไม่แฟร์ก่อน

   กล้ามากที่ยัดตัวเองเข้ามาในชีวิตคนที่ผมชอบเพื่อกันเขาออกไปจากผม คิดได้ยังไงอะ เห็นความรู้สึกของคนอื่นเป็นอะไร พอเป็นแบบนี้แล้วผมไม่น่ายอมให้พวกเขามาถึงขั้นนี้ได้ตั้งแต่แรกเลย ช่างเถอะ ผมแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่ได้ เพราะงั้นหลังจากนี้ผมจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก แล้วก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้พี่เฌอมองผมเป็นมากกว่ารุ่นน้อง มันยากที่จะทำให้คนที่ชอบผู้หญิงมาตลอดหันมาชอบผู้ชายแต่ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

   อย่างน้อยให้ได้ทำอะไรบ้างเถอะ

   สุดท้ายแล้วผลที่ออกมาจะเป็นยังไง....ผมจะยอมรับมันทุกอย่าง

   ผมมองหาพี่เฌอตามกลุ่มเด็กวิศวะฯ ใช้เวลาสักพักถึงเจอใครบางคนนั่งอยู่ที่ริมฟุตปาธกับเพื่อนๆ พอเห็นแบบนั้นผมจึงเดินเข้าไปหาเขาทันที “....พี่เฌอ”

   “....สิบสาม”

   “ผมมีเรื่องต้องคุยกับพี่”

   “ผมต้องวิ่งเกียร์”

   “อีกตั้งชั่วโมงนึงแน่ะมึง ป่ะๆ ” เพื่อนเขาดันให้เจ้าตัวลุกมาหาผม “ตามสบายนะ เอามันมาส่งก่อนบ่ายโมงครึ่งด้วย”

   “ได้ครับ” ผมรับคำเขาก่อนจะถือวิสาสะจับข้อมือพี่เฌอแล้วเดินพามาที่หลังตึกคณะซึ่งไม่มีคน

   “คุณปล่อยผมได้แล้ว” เขาจับมือผมออก “คุณมีอะไร พูดมาเลย”

   “อยู่ดีดีพี่ก็หายไปจากชีวิตผม บล็อกเบอร์ บล็อกไลน์ บล็อกผมทุกช่องทางการติดต่ออะ ทำไมเหรอครับ” ทำไมพี่ต้องยอมทำตามที่เดียร์ขอด้วย

   “ผมจะทำอะไรแล้วคุณจะทำไมอะ”

   “สิ่งที่พี่ทำ พี่อยากทำมันจริงๆ เหรอ พี่อยากตัดผมออกจากชีวิตจริงๆ ใช่ไหม”

   “ถ้าคุณจะพูดเรื่องนี้ ผมขอตัวนะ” ในจังหวะที่พี่เฌอจะเดินหนีผมก็รั้งแขนเขาเอาไว้ “สิบสาม”

   “เพราะเดียร์ใช่ไหมครับ เดียร์บอกให้พี่เลิกยุ่งกับผม”

   คนตรงหน้ามองผมนิ่งๆ ก่อนจะดึงแขนออก สายตานั่นแสดงอะไรออกมาหลายอย่าง หลากหลายความรู้สึก ที่ผมพูดมันต้องเป็นความจริงอยู่แล้วแหละ ผมรู้ว่าที่พี่เฌอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่คุยกับผมก็เพราะเดียร์แน่ๆ เอาสิ ผมอยากรู้เหมือนกันว่าหลังจากที่เขารู้ทุกอย่าง เขาจะทำยังไงต่อ เขาจะเชื่อในสิ่งที่ผมพูดหรือเขาจะเชื่อในตัวแฟนเขามากกว่า โอเคมันมีความเป็นไปได้สูงเลยล่ะว่าเขาต้องเชื่อเดียร์

   แต่ยังไงสิ่งที่ผมจะบอกมันก็เป็นความจริงอยู่ดี

   “ใช่ น้องเดียร์ขอให้ผมเลิกยุ่งกับคุณ” เขาเอ่ยบอกเสียงเรียบ “ถ้าคุณได้คำตอบแล้ว ผมไปนะ”

   “เพราะอะไรครับ เดียร์ใช้เหตุผลอะไร พี่ถึงยอมทำตามที่เธอขอ”

   “เหตุผลอะไรมันไม่สำคัญหรอก แต่อะไรก็ตามที่ทำให้แฟนผมสบายใจ ผมจะทำ”

   ผมกำมือแน่นเหมือนข่มอารมณ์ “เหตุผลที่พี่รู้กับเหตุผลที่ผมรู้มันคงต่างกัน”

   “คุณหมายความว่ายังไง”

   “พี่คิดว่าเดียร์รักพี่เหรอครับ”

   “สิบสาม”

   “เดียร์ไม่ได้รักพี่” ผมเอ่ยบอกอย่างจริงจัง “ความสัมพันธ์ที่พี่มีอยู่ในตอนนี้มันไม่ใช่ของจริง”

   “คุณหยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ”

   “ผมไม่หยุด พี่ควรรู้เรื่องนี้ได้แล้วพี่เฌอ เดียร์ไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่ทั้งนั้นแหละ เกือบเดือนแล้วสิที่พี่คบกับเดียร์มาน่ะ รู้สึกดีใจใช่ไหมที่ผ่านอาถรรพ์ 13 วันหรือวันที่ 13 มาได้ พี่รู้ไหมว่าทำไมพี่ถึงผ่านมันมาได้ นั่นเพราะเดียร์ไม่ได้รักพี่ไง เพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะทิ้งพี่ไป ละครของเธอยังไม่จบ”

   มือเรียวกระชากคอเสื้อผมเข้าไปใกล้ “หยุดพูดถึงแฟนผมแบบนั้นนะ”

   “การที่เดียร์เข้าไปในชีวิตพี่และคบกับพี่มันเป็นเพราะเดียร์ต้องการกันพี่ออกจากผม ความรักของพี่กับเดียร์มันจะจบลงแน่ๆ ครับและผมคือสาเหตุ”

   “.....”

   “เดียร์ชอบผม....เธอถึงได้ทำแบบนี้”

   “คุณจะบอกว่าที่เธอทำทั้งหมดนี่เป็นเพราะแค่ต้องการกันผมออกจากคุณเนี่ยนะ มีเหตุผลอะไรที่ต้องแบบนั้นด้วย”

   “เพราะเธอรู้ว่าผมชอบพี่ไง”

   “.....” มือที่กำคอเสื้อผมอยู่ค่อยๆ คลายออก “คุณว่าไงนะ”

   “ผมชอบพี่.....ชอบมาตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกัน แต่ก็นั่นแหละ ผมทำอะไรไม่ได้มากเพราะคนที่ได้ใจพี่ไปก่อนคือเดียร์ ผมรู้อยู่แก่ใจว่าทำไมเดียร์ถึงทำแบบนั้น ผมเสียใจที่พี่เป็นแฟนเดียร์แต่ผมไม่คิดที่จะทำอะไรเลยนอกจากรอ จนวันนี้ผมไปได้ยินแฟนพี่พูดถึงเรื่องที่เธอบอกให้พี่เลิกยุ่งกับผม ผมโกรธและคิดว่าจะไม่อดทนอะไรอีกแล้ว พี่ควรรับรู้เรื่องนี้”

   “.....”

   “พี่ควรรู้ว่าเดียร์ทำอะไรและรู้ว่าผมรู้สึกยังไง” ผมมองคนตรงหน้านิ่งๆ “ผมไม่รู้ว่าพี่จะคิดยังไง แต่พี่ลองดูได้เลยครับ ผมจะหายไป กลับไปเป็นสิบสามที่ไม่แสดงความรู้สึกต่อใครแบบที่เคยเป็น และพอทุกอย่างเป็นแบบนั้นเดียร์ก็จะทิ้งพี่ไปเพราะเธอมั่นใจแล้วว่าระหว่างพี่กับผมมันจบลงจริงๆ ”

   “.....”

   “ผมรู้ว่าพี่จะเสียใจ เรื่องนั้นมันต้องเกิดขึ้นแต่พี่เฌอครับ....” ผมเลื่อนมือไปจับมือเขาเอาไว้ “ในวันที่พี่เสียใจ.....พี่มาหาผมนะ”

   “.....”

   “ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง”

   

   [จบบันทึกพิเศษ : สิบสาม ]

   

   ตอนนี้ผมควรรู้สึกยังไงวะ

   ที่แน่ๆ ก็ปวดขาก่อนละหนึ่งอย่าง

   จบประเพณีวิ่งเกียร์กับรับน้องใหญ่คณะวิศวะฯ ไปแล้วครับ ตอนนี้ผมกับเหล่าสหายนั่งเปิดตี้กันอยู่ที่ร้านจันทร์เจ้า ความรู้สึกสับสนหนักมากเกาะกุมจิตใจไปหมด ก่อนที่จะวิ่งเกียร์มีเรื่องเกิดขึ้นระหว่างผมกับสิบสามซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่แหละ เป็นเรื่องที่ทำให้ใจผมอยู่ไม่เป็นสุขและก็ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกยังไงหรือคิดอะไร ความจริงที่ควรเข้าใจมันคือเรื่องไหนกันแน่

   แม่ง....ประสาทเสียว่ะ

   “เฌอครับ” ไอ้แช่มเอียงหัวเข้ามาใกล้ “เด็กนั่นลากมึงไปคุยอะไรอะ เล่าหน่อยๆ ๆ ๆ ”

   “กูไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดตรงไหนก่อนดีเลยว่ะ เพราะงั้นขอไม่เล่า”

   “ได้ไงวะ”

   “ได้ดิ” ผมยกเบียร์ขึ้นจิบก่อนจะเอนตัวพิงเพื่อนรัก “มึง....ตอนนี้กูควรทำยังไงวะ”

   “เรื่องไรล่ะ”

   “ก็....เรื่องที่กูเริ่มขี้เมาแบบมึงไง”

   “มึงไม่ได้จะพูดถึงเรื่องนี้หรอกไอ้เวร กูดูออก” มือเรียวโขกหัวผม “มึงฟังกูนะเฌอเพื่อนรัก เพราะมึงไม่เล่า กูเลยไม่รู้ว่าปัญหาของมึงมีกี่ทางให้แก้ไข แต่ที่แน่ๆ คือลองไล่คิดถึงเรื่องทั้งหมดดู ว่าอะไรมันเป็นยังไง”

   ลองคิดถึงเรื่องทั้งหมดงั้นเหรอ

   เรื่องที่สิบสามบอกว่าน้องเดียร์ชอบเขา ผมไม่แน่ใจในเรื่องนี้เลย คนเราจะเข้ามาในชีวิตของอีกคนเพื่อกันคนๆ นั้นออกจากคนที่ตัวเองชอบเหรอวะ ลงทุนทำถึงขนาดนั้นเลย ทำแบบนั้นทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยน่ะนะ ถ้าน้องเดียร์เป็นแบบที่สิบสามพูดจริงๆ ก็ถือว่าแย่มาก แย่ที่เข้ามาเล่นกับความรู้สึกของผม แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังไม่อยากตัดสินว่าเธอจะเป็นแบบที่สิบสามพูด

   ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ว่านังน้อนจะไม่มีทางโกหก

   พอมานั่งไล่คิดถึงเรื่องทั้งหมดตามที่สิบสามพูดมันก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่น้องเดียร์จะทำแบบนั้น จะรู้ได้ว่ามันจริงหรือไม่จริงก็คือผมต้องรอเวลาให้เรื่องระหว่างผมกับสิบสามจบลง ถ้าถึงตอนนั้นน้องเดียร์ทิ้งผมไป มันก็คงใช่ จากนี้ผมต้องทำใจรอใช่ไหม มันจะผิดไปจากที่สิบสามบอกสักนิดรึเปล่า

   รู้สึกแย่จริงๆ

   “กูไปสูบบุหรี่นะ”

   “หมดตลับแล้วมั้งวันนี้อะ” ไอ้ขันรั้งแขนผมเอาไว้ก่อนจะหยิบลูกอมส่งให้แทน “กินลูกอมแทนนี่ วันนี้มึงสูบเยอะเกินไปแล้วนะบุหรี่อะ”

   “เออ สงสารปอดตัวเองบ้างเถอะว่ะ”

   “มึง....ถ้าสมมุติว่าสิ่งที่เราคิด มันไม่เป็นตามที่เราคิด มึงจะทำยังไงกันวะ”

   “ทำใจ และผ่านมันไปให้ได้ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ทำได้แค่นั้น”

   “พวกกูไม่รู้ว่ามึงเจออะไรมา แต่ดูทรงแล้วคงหนัก ถ้ามึงไม่ไหว ก็อย่าลืมว่ายังไงก็ยังมีพวกกูอยู่ เพื่อนๆ เป็นห่วงมึงนะเฌอ”

   “ขอบใจนะพวกมึง”

   ขอบใจจริงๆ

   ผมยกเบียร์ขึ้นชนแก้วกับพวกมัน ก็ดีล่ะนะ ในวันที่รู้สึกแย่ๆ ก็ยังมีคนพร้อมที่จะรับฟัง ปัญหามันอยู่ที่ผมเอง เฌอเองที่ยังไม่พร้อมจะเล่าให้ใครฟังตอนนี้ เอาเป็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนี้ผมก็จะต้องยอมรับมันให้ได้ สิ่งที่ควรทำคือเตรียมใจ เตรียมใจไว้สำหรับทุกๆ อย่าง อย่างน้อยก็เพื่อพิสูจน์ในคำพูดของสิบสามว่ามันเป็นความจริงไหม จากคำที่เขาพูดผมสามารถเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน

   รวมถึงเรื่องที่เขาบอกว่าชอบผม

   เพราะแบบนี้เอง เขาถึงได้ปฏิบัติกับผมต่างจากที่เขาทำกับคนอื่น โลกของเขาที่ผมสามารถเข้าไปได้มันเป็นเพราะแบบนี้ ชอบมาตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันก็คงหมายถึงวันที่ผมเมาแล้วเขาไปเจอแน่ๆ คุณตกหลุมรักคนเมาได้ยังไงวะสิบสาม ติ๊งต๊องชะมัด นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยมั้งที่มีผู้ชายมาบอกชอบผม แถมผู้ชายคนนั้นกำลังจะเป็นสาเหตุที่ทำให้แฟนผมทิ้งผมไป ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าคำพูดของสิบสามจะจริงไหมแต่ผมคงมองน้องเดียร์เหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

   ถึงเวลาที่ต้องเผื่อใจไว้ให้ความรักที่อาจจะไม่สมหวัง....ครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้

   เอาน่ะเฌอ อดทนหน่อย

   เดี๋ยวเวลาจะพิสูจน์ความจริงเอง

   

   

   

   

   

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้ว เพราะไม่อยากให้ค้างคานานๆ เลยรีบปั่นมาก ประมาณ 7 ชั่วโมงได้นะคะสำหรับการเขียนบทนี้ ก็หลากหลายอารมณ์และความรู้สึกมากนะ ชาลชอบที่สิบสามเลือกทำแบบนี้ มันดูเป็นตัวเขาดี สงสารพี่เฌอมาก อยากจะกอดแล้วบอกให้อดทนน้าโอ๋ๆ ๆ ๆ ๆ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นย่่อมีเหตุและผลของมันนะคะ ก็อยากให้รอติดตามนะ

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 7 : 20/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-01-2020 22:01:34
อย่างนี้สิ  ไม่ต้องทน! ไม่ทนแล้วว!!!!5555
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 7 : 20/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 20-01-2020 23:50:32
เมื่อไหร่ความจริงจะปรากฏ. ร้ายจริงๆเดียร์,,,
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 8 : 21/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 21-01-2020 22:08:55
บทที่ 8 รอ



   “ว่าไงครับน้องเดียร์”

   (อยู่ไหนเหรอคะ)

   “พี่อยู่ที่ร้านเฮียเจ๋งครับ น้องเดียร์มีอะไรรึเปล่า”

   (เดียร์จะถามพี่เฌอว่าวันนี้พี่จะมาค้างที่ห้องเดียร์รึเปล่า)

   “น้องเดียร์อยากให้พี่ไปค้างด้วยไหมล่ะ”

   (เดียร์ตามใจพี่เฌอค่ะ)

   “งั้นวันนี้พี่คงไม่ได้ไปค้างนะเพราะว่าอาจจะเมา กลับไปห้องตัวเองน่าจะดีกว่า”

   (เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ งั้นเดียร์ไปปอาบน้ำนอนละ พี่เฌอก็อย่าดื่มเยอะนักล่ะ)

   “ค้าบ ฝันดีนะครับน้องเดียร์”

   (ฝันดีค่ะ)

   ผมกดวางสายก่อนจะยกเบียร์ขึ้นซดพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เชื่อป้ะว่าช่วง 3 อาทิตย์ที่ผ่านมาแม่งโคตรหม่นเลย ปกติผมไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจมอยู่ในความรู้สึกเทาๆ แบบนี้เลยนะ รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ใช่ชรันยังไงก็ไม่รู้ คนรอบข้างผมก็รู้สึกได้แบบนั้นเหมือนกัน รู้สึกผิดนะที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง เอาน่ะ อดทนอีกหน่อย เดี๋ยวอะไรๆ มันก็อาจจะดีขึ้นล่ะมั้ง ความจริงตอนนี้ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทน เตรียมใจและรอเวลาเท่านั้น

   ลางสังหรณ์หลายอย่างมีให้เห็นแล้ว

   ตั้งแต่วันรับน้องใหญ่ของคณะก็ผ่านมา 3 อาทิตย์กว่าแล้วครับ มันค่อนข้างเป็นช่วงเวลาอึดอัดใจสำหรับผมพอสมควร อาจเพราะเรื่องที่รับรู้และการกระทำของแฟนตัวเองที่เริ่มจะแปลกๆ ไปด้วยล่ะมั้ง ผมคิดว่าตัวเองไม่ได้คิดไปเองนะ พักหลังมานี้น้องเดียร์หาเรื่องชวนทะเลาะผมบ่อยมาก บางทีเรื่องเล็กๆ นี่แหละ แล้วเวลาทะเลาะกันผมก็จะเป็นฝ่ายยอมเพราะอยากให้มันจบๆ ผมมักง้อเธออยู่เสมอถึงแม้ว่าผมจะไม่ผิดเลยก็ตาม

   ความรู้สึกเหนื่อยในความสัมพันธ์ยิ่งชัดเจนขึ้น

   เหนื่อยจนรู้สึกไม่ค่อยมีความสุขเลย

   เมื่อเช้าผมก็ทะเลาะกับแฟนนิดหน่อย แต่วันนี้เธอเป็นฝ่ายยอมขอโทษและก็คุยกับผมดีดีซึ่งหลายครั้งมันควรเป็นแบบนี้แหละ แต่มันจริงเลยนะที่ผมมองน้องเดียร์ต่างไปจากเดิม ความรู้สึกในตอนนี้ที่มีอยู่ก็ไม่เท่าเดิม ผมเผื่อใจเอาไว้มากๆ เพราะคำพูดของนังน้อน ตื่นมาแล้วคิดอยู่ทุกวันว่าวันนี้รึเปล่าที่ความสัมพันธ์ของผมกับน้องเดียร์จะจบลง ถ้ามันเกิดเรื่องนั้นขึ้นจริงๆ ผมควรจะทำยังไงต่อ

   เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาตั้งเยอะ

   แต่มาครั้งนี้กลับไม่รู้ว่าควรทำอะไร

   “ดื่มเก่ง” เสียงหวานเอ่ยขึ้นก่อนจะยื่นซองบุหรี่มาทางผม ชื่อยี่ห้อบุหรี่ที่ปรากฏอยู่บนหน้าซองทำให้ผมย่นจมูกทันที แค่นึกถึงความรู้สึกตอนสูบก็แสบคอแล้ว

   “ซ้อเอาไว้สูบเองเถอะ” ผมดันซองแบล็คสโตนกลับไปหาเจ้าตัว “กลับมาจากญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่”

   “เมื่อวานซืน คิดถึงเฌอจังเลยอะ ซ้อซื้อของมาให้เยอะเลยนะ แบมือมา”

   ผมยื่นมือไปทางเธอ “ไหนของ”

   “นี่ไง” มือเรียวหยิบของบางอย่างจากถุงกระดาษก่อนจะยัดใส่มือผม “ของดีทั้งนั้นเลยนะ”

   “ซ้อออออ”

   ถุงยางเต็มเลยแม่ง

   “ได้ข่าวว่ามีแฟนแล้ว คนนี้คบกันมาสักพักแล้วด้วยหนิ พกไว้นะเผื่อเกิดเรื่องฉุกเฉิน” ซ้อแจมยิ้มร่าเหมือนชอบใจ เดี๋ยวผมจะฟ้องผัวซ้อ คอยดูเถอะ

   “ซ้อเอาไว้ใช้กับเฮียเลย เฌอไม่เอา ไม่ใช้” ผมทำหน้ามุ่ยใส่ก่อนจะส่งถุงยางทั้งหมดคืนให้

   “ไม่ใช้ไม่ได้นะ เกิดมีเบบี๋ขึ้นมาทำยังไงล่ะ” เธอเลื่อนมากระซิบข้างหูผม “เฌอจะเบบี๋ตอนนี้ไม่ได้นะ เพราะว่าเฌอจะต้องมาช่วยซ้อเลี้ยงลูกก่อน”

   “หืม....เลี้ยงลูกอ๋อ นี่อย่าบอกนะซ้อ”

   “ 2 เดือนแล้ว”

   “เห้ยยยยย” ผมโผกอดซ้อแจมด้วยความดีใจ “เฌอยินดีด้วยนะซ้อ เฮียเจ๋งรู้ไหม เฮียรู้รึยัง แล้วๆ ๆ ๆ ผู้หญิงหรือผู้ชายเหรอซ้อ”

   “คลัมดาวน์ก่อนเฌอน้องรัก กอดแน่นขนาดนี้ เดี๋ยวลูกซ้อจะไหลออกมาก่อนไหมหืม....”

   “ขอโทษทีซ้อ ก็เฌอดีใจอะ” ผมคลายกอดก่อนจะหยิบบุหรี่ที่ซ้อส่งมาให้ตอนแรกใส่กระเป๋าเอาไว้ “ท้องแล้วก็ต้องสูบบุหรี่ไม่ได้ใช่ป้ะ เพราะงั้นเดี๋ยวเฌอจะรับผิดชอบน้องบุหรี่นี่เอง ถึงแม้จะทรมานใจก็เถอะ”

   “อะไรทรมานใจ” เสียงเข้มของคนที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยถาม คนๆ นั้นไม่ใช่ครับ ก็ผัวซ้อแจมนั่นแหละ

   ผมมองซ้อที่เดินเข้าไปหาเฮียแล้วคุยอะไรกันไม่รู้ เฮียเจ๋งรู้รึยังวะว่าเมียตัวเองท้องเนี่ยะ ผมเคยถามพวกเขามาตั้งแต่แต่งงานกันใหม่ๆ เมื่อหลายปีก่อนแล้วนะว่าเมื่อไหร่จะมีลูก แล้วตอนแรกซ้อแจมแอบมาบอกว่าเพราะเฮียไม่มีน้ำยาก็เลยทำให้ซ้อท้องไม่ได้สักที เห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกยินดีกับทั้งคู่เลยนะ จะเป็นปะป๊ากับหม่าม้าแล้ว ลูกของเฮียกับซ้อต้องน่ารักมาแน่ๆ ผมซื้ออะไรไว้เตรียมรับขวัญหลานดีน้า

   เหมือนรีบมากอะจริงๆ

   ถ้าวันนึงผมมีครอบครัวบ้างมันจะเป็นยังไงนะ คนที่อยู่กับผมในตอนนั้นจะใช่คนที่อยู่ด้วยกันในตอนนี้รึเปล่า น้องเดียร์จะใช่คนนั้นไหมวะ ตอนแรกหลังจากที่ผ่านอาถรรพ์เลข 13 มา มันก็ทำให้ผมมั่นใจจึ๋งนึงนะ แต่พอมารู้อะไรบางอย่าง ไอ้ความมั่นใจจึ๋งนึงนั่นก็หายไปเลย จิ๊....หงุดหงิดอีกแล้วว่ะ หรือผมไปถามน้องเดียร์ตรงๆ เลยดีไหมว่าที่สิบสามพูดมันจริงรึเปล่า ถ้าน้องเดียร์บอกว่าไม่ ผมจะได้ลากเธอไปหาสิบสามแล้วก็นั่งจับเข่าคุยกันไปเลยว่าระหว่างเราสามคนเนี่ยะมันคือยังไงกันแน่

   สับสนมึนงงมาเดือนกว่าแล้วนะ....มันใช่ป้ะเนี่ย

   “ทำหน้ามุ่ยอีกละ เมื่อกี๊ยังดูอารมณ์ดีอยู่เลย”

   “หงุดหงิดอะซ้อ”

   “เรื่องไร”

   “ก็เฌอมีแฟน คบกันมาเดือนกว่าแล้ว ซึ่งคนนี้เฌอคบมานานกว่าคนอื่นเลย แล้วเหมือนตอนที่เฌอเจอแฟนคนนี้ เฌอก็เจอรุ่นน้องคนนึงเคยเป็นเดือนแพทย์ฯ แล้วเฌอก็สนิทกับเขา จนมีวันนึงแฟนเฌอบอกให้เฌอเลิกยุ่งกับรุ่นน้องที่เฌอสนิทซึ่งโอเค เฌอก็ยอม เฌอไม่ยุ่งกับรุ่นน้องคนนั้นเลย แบบตัดขาดทุกอย่าง”

   “แล้วไงต่อ”

   “คือเฌอก็รู้สึกผิดที่ทำแบบนั้น แล้วทีนี้เมื่อ 3 อาทิตย์ก่อน รุ่นน้องคนนั้นมาบอกว่าแฟนเฌออะชอบเขา ที่แฟนเฌอมาคบกับเฌอเพราะอยากกันเฌอออกจากเขา”

   “จริงจังป้ะเนี่ยะ”

   “เขาบอกเฌอแบบนี้อะ แล้วเขาก็บอกว่าเขาชอบเฌอ”

   “เฌอบอกว่ารุ่นน้องคนนั้นเคยเป็นเดือนก็แปลว่าเป็นผู้ชายอะดิ”

   “ใช่ แล้วเขาบอกว่าให้เฌอรอดูได้เลยว่าแฟนเฌอจะทิ้งเฌอไปไหมหลังจากที่มั่นใจแล้วว่าเฌอกับเขาไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกัน คือมัน 3 อาทิตย์แล้วซ้อที่เฌอรู้สึกหม่นๆ อะ คือเขาเป็นคนที่เฌอมั่นใจว่ายังไงก็จะไม่มีทางโกหก แล้วตอนนี้เฌอก็มองแฟนเฌอไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิม ทุกวันนี้เหมือนเตรียมใจรอวันโดนทิ้งอะ แม่งโคตรแย่เลย”

   “คือพูดยากเหมือนกันนะ ถ้าสมมุติว่าเรื่องมันเป็นความจริงเหมือนกับที่รุ่นน้องคนนั้นพูด ผู้หญิงคนที่คบกับเฌออยู่ถือว่าร้ายกาจมากที่ทำเรื่องแบบนี้ แต่อย่างว่าล่ะนะ มันยังเป็นแค่คำพูดของทางฝั่งนั้น ซึ่งมันไม่มีหลักฐานที่มากกว่านี้ เพราะงั้นเราก็ตัดสินไปทันทีเลยไม่ได้ว่าแฟนเฌอเป็นแบบนั้นจริงๆ ”

   “ใช่ซ้อ เพราะแบบนั้นแหละเฌอถึงได้แค่รอดูว่ามันจะเป็นไปอย่างที่เขาบอกเฌอรึเปล่า ใจนึงเฌอก็อยากจะจับแฟนเฌอกับรุ่นน้องมานั่งคุยกันให้รู้แล้วรู้รอด”

   “ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกเพราะว่ามันก็โกหกกันได้ เรื่องนี้มันต้องจับให้ได้แบบคาหนังคาเขาอะเฌอ คนที่โกหกอะ ยังไงมันก็ต้องมีหลุดออกมาอยู่แล้ว ซ้ออยากให้เฌอใจเย็นๆ ก่อนนะ แล้วตอนนี้กับแฟนน่ะเป็นยังไงบ้าง”

   “ไม่ค่อยดีเลยซ้อ ทะเลาะกันบ่อย บ่อยจนเฌอเหนื่อย”

   “แล้วคิดว่านี่เป็นสัญญาณรึเปล่า”

   “....ก็อาจจะ”

   ครืดดดด.....ครืดดดด.....

   ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย “ว่าไง”

   (ให้ทายว่ากูเจอใคร)

   “กูจะรู้กับมึงไหมไอ้เวร เจอใครก็เอ่ยชื่อมาเลยเถอะ”

   (....น้องเดียร์แฟนมึงอะ)

   ไหนบอกจะอาบน้ำนอนแล้วไง

   “เจอที่ไหน”

   (BB-Club)

   “โอเค....เดี๋ยวกูไป”

   

   

   BB-Club

   ผมเดินเข้ามาด้านในพลางมองหาไอ้แช่ม มืดชิบหาย มองยากมากอะ ทำไมคลับนี้มันมืดจังวะ ผมไม่เคยมาที่นี่ด้วยเพราะไกล ไกลจนแปลกใจว่าไอ้แช่มมาทำอะไรที่นี่ แล้วอีกอย่างมันอยู่ในช่วงงดเหล้างดเบียร์ด้วยเพราะต้องรักษา PTSD เดี๋ยวก่อนเถอะ เดี๋ยวกูจะฟ้องหมอโทษฐานที่มึงหนีเที่ยว โอเค เอาเรื่องนี้ไว้ก่อนตอนนี้สิ่งที่ผมควรทำคือการหาไอ้เพื่อนเวรให้เจอ

   อยู่ไหนของมันวะ

   “พี่เฌอครับ”

   ผมหันตามเสียงเรียกก็พบกับประธานคณะกรรมการฯ ของปี 1 “อ่าวบวร คุณเข้ามาในนี้ได้ด้วยเหรอ”

   “อ๋อ คลับนี้เป็นของพี่ชายผมน่ะครับ”

   “งี้นี่เอง เออบอกพี่ชายคุณให้ติดไฟเพิ่มเยอะๆ หน่อย มืดไปอะ มองไม่เห็น” หวังว่าถ้ามีโอกาสได้มาอีกมันจะสว่างกว่านี้น่ะ เนี่ยะ มืดๆ แบบนี้ไปเดินเหยียบตีนใครแล้วมีเรื่องขึ้นมาก็จะแย่มาก

   “โซน VIP จะสว่างกว่านี้ครับพี่เฌอ ไปเถอะ พวกพี่แช่มรออยู่ครับ” ร่างสูงบอกก่อนจะเดินนำผมขึ้นไปชั้น 2 ของร้าน โซน VIP ที่ว่าคือสว่างมากกว่าจริงๆ นั่นแหละ แบ่งห้องเป็นบล็อกชัดเจนด้วย

   “เฌอเพื่อนรัก” ไอ้เพื่อนตัวแสบกวักมือเรียกผมยิกๆ ก่อนจะส่งเบียร์ให้ “กินแทนกูที กูกินไม่ได้”

   “มึงกินไม่ได้แล้วมึงมาทำไรที่นี่”

   “วันนี้วันเกิดเบย์น่ะพี่เฌอ ผมก็เลยชวนข้าวหอมกับพี่แช่มมาด้วย หลายๆ คนน่าจะสนุกดี” ข้าวก้องตอบแทน

   ผมพยักหน้ารับรู้ “สุขสันต์วันเกิดละกันนะบวร”

   “ขอบคุณครับพี่เฌอ”

   “ไอ้แช่ม” ผมล็อกคอเพื่อนรักเข้ามาใกล้ “ไหนน้องเดียร์”

   “อยู่ห้องบล็อกต่อไป มึงได้ยินเสียงผู้หญิงป้ะล่ะ ที่ดังๆ อยู่เนี่ยะ”

   “ได้ยิน” เสียงน้องผึ้งแน่นอน ผมจำได้ สงสัยเหมือนกันนะ ถ้าจะออกมาเที่ยวทำไมไม่บอกกันตรงๆ ผมคงไม่ห้ามเธออยู่แล้ว ปกติก็ไม่เคยห้ามด้วย มันออกจะแปลกๆ ที่โกหกกันแบบนี้

   ผมนั่งจิบเบียร์พลางตั้งใจฟังเสียงของห้องข้างๆ มันได้ยินครับแต่ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ส่วนนึงคงเพราะว่าแต่ละห้องต้องเก็บเสียงในระดับนึง รวมถึงเพลงที่เปิดในร้านด้วย เอาไงดีวะ กับเหตุการณ์นี้ผมควรทำยังไงอะ คือรู้ว่าแฟนตัวเองโกหกเพื่อมาเที่ยว พูดถึงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนักหรอกถ้าเธอมากับเพื่อน สำหรับผมถ้าไม่มีลักษณะที่แสดงถึงอาการนอกใจมันก็ไม่เท่าไหร่ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโกหกด้วย

   ชรันควรจะเป็นคนที่ไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อนอะเพราะงง

   แม่งเอ๊ย

   “กูไปสูบบุหรี่ก่อน”

   “สูบอีกแล้วเหรอวะ”

   “เออน่ะ” ผมดันไอ้แช่มที่วอแวตัวเองอยู่ออกพลางหันไปหาบวร “ที่สูบบุหรี่อยู่ตรงไหนอะคุณ”

   “ตรงหัวมุมน่ะครับพี่เฌอ มันมีจะมีป้ายเขียนอยู่ เป็นดาดฟ้าของชั้น 1 ครับ”

   “โอเค” ผมรับคำก่อนจะเดินออกไปตามทางที่บวรบอก

   ป้ายชี้ไปยังสถานที่สำหรับสูบบุหรี่ซึ่งเป็นดาดฟ้าของชั้น 1 ผมเดินเข้ามาก็พบว่าไม่มีใครเลยครับ ดีแล้วแหละ อยากคิดอะไรคนเดียวเงียบๆ อยู่เหมือนกัน ผมเดินไปนั่งหลบมุมตรงเก้าอี้ที่ถูกคั่นด้วยต้นไม้ที่วางประดับอยู่ คือถ้ามีคนเดินเข้ามาก็จะไม่เห็นผมแน่ๆ ล่ะเพราะเป็นมุมอับแถมยังมืดด้วย หลังจากที่ได้มุมดีดีแล้วผมก็หยิบซองบุหรี่ที่ซ้อซื้อให้ขึ้นมาแกะแล้วเอามันใส่ลงตลับเก็บบุหรี่ หยิบมาหนึ่งตัวก่อนจะคาบไว้ที่ปากแล้วจุดไฟเพื่อสูบมัน

   โคตรไม่ชอบเลยกลิ่นวนิลา

   ยังไงบุหรี่กลิ่นมิ้นท์ก็ยังคงครองใจผม แบล็คสโตนแม่งไม่ใช่กลิ่นที่ผมชอบเลย แต่ซ้ออะชอบ รสชาติแย่จะตาย ชอบไปได้ยังไงวะ ช่างเถอะ มันก็เป็นรสนิยมของแต่ละบุคคลน่ะนะ เหมือนไอ้หมีอะ ก่อนเลิกบุหรี่ก็สูบมาโบโร่เรดอย่างเงี้ยะ ร้อนยันหัว ไม่มีหรอกที่สูบแล้วหัวจะโล่ง ผมเคยลองครั้งนึงแล้วพอเลย ไม่ไหวจริงๆ กับบุหรี่สายร้อน จะว่าไปก็หลายปีแล้วนะที่ผมสูบบุหรี่น่ะ ครั้งแรกน่าจะตอนหลังจากที่แม่เสียไปแล้ว

   ถ้าแม่ยังอยู่....ผมคงโดนฟาดหลายทีอยู่แหละ

   พักหลังมานี้ผมสูบบุหรี่หนักมาก หนักในระดับที่ก็รู้ตัวอยู่ว่าสูบจัด พยายามอยากจะเพลาๆ ลงเหมือนกันแต่ว่ามันก็นะ พอคิดเรื่องฟุ้งซ่านมันก็อยากสูบอีกแล้ว เวลาหงุดหงิดก็อยากสูบ แล้วบางทีคือหงุดหงิดแม่งทั้งวันเหมือนเป็นบ้า ไม่ดีเลยว่ะ ผมไม่ควรปล่อยให้เฌอทำร้ายตัวเองมากไปกว่านี้แล้ว กลัวว่าจะตายก่อนได้ทำในสิ่งที่อยากทำนี่ดิ หึ....ถึงในหัวจะคิดแบบนั้นแต่สุดท้ายผมก็ยังนั่งสูบบุหรี่อยู่ดี

   ไอ้เฌอเวร

   “ทางนี้ไงเดียร์”

   หืม....เสียงนี้มัน

   “บุหรี่อะ”

   “อะ” น้องผึ้งส่งบุหรี่ให้แฟนผม “คิดยังไงถึงอยากสูบ”

   “ก็อยากเฉยๆ ” เธอบอกก่อนจะจุดบุหรี่สูบ คือตั้งแต่ที่เป็นแฟนกันมาผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าน้องเดียร์สูบบุหรี่ด้วย ที่เห็นกับตาตัวเองนี่ครั้งแรกเลย

   การที่เธอสูบบุหรี่ผมไม่ได้มีปัญหาเพราะตัวผมก็สูบ แต่แค่นึกไม่ถึงมากกว่า น้องผึ้งเป็นเจ้าของบุหรี่งั้นก็แสดงว่าตัวน้องผึ้งเองก็สูบเหมือนกัน สำหรับผมแล้วเด็กแพทย์ฯ ที่สูบบุหรี่ไม่ใช่เรื่องแปลกนะ คือคนเรามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ถ้าไม่เดือดร้อนคนอื่น อีกอย่างเพื่อนผมที่เรียนคณะแพทย์ฯ ก็สูบเหมือนกัน ดูทรงแล้วน้องเดียร์น่าจะไม่ใช่พวกที่สูบบุหรี่บ่อย เพราะเวลาอยู่ด้วยกัน ผมไม่ได้กลิ่นบุหรี่จากตัวเธอเลย

   มีอะไรที่ผมยังไม่รู้เกี่ยวกับน้องเดียร์อีกไหมนะ

   “อาการมันเป็นยังไงไหนพูดซิ”

   “เดียร์เบื่ออะผึ้ง อยากจบเรื่องนั้นสักที”

   “เรื่องนั้นที่ว่า....”

   “ก็เรื่องของเดียร์กับพี่เฌอไง”

   เธอ....ว่ายังไงนะ

   ผมเงี่ยหูฟังพร้อมกับหวังว่าให้ตัวเองหูฝาด ใจไม่อยากยอมรับในสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี๊แต่มันก็ชัดเจนอยู่ในโสตประสาท อะไรที่หมายความว่าอยากจบเรื่องของผมกับเธอ อยากจบในที่นี้มันมีความหมายแบบที่ผมคิดใช่ไหม

   “ก็เลิกเลยสิ ตอนนี้สิบสามก็เป็นเหมือนเดิมแล้วป้ะ วันๆ ก็เห็นแค่เรียนแล้วก็ไปซ้อมคฑากร ทำตัวไร้วิญญาณเหมือนแบบที่เคยเป็นแล้วหนิ”

   “อย่าว่าสิบสามแบบนั้นนะ” น้องเดียร์ทำหน้าตึงใส่เพื่อนตัวเอง “คือตอนนี้เดียร์ก็มั่นใจแล้วแหละว่าสิบสามกับพี่เฌอไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกันแล้ว เดียร์เช็กโทรศัพท์พี่เฌอ ก็ไม่เจอว่าเขาคุยกับสิบสาม”

   “กับคนอื่นล่ะ”

   “กับคนอื่นก็ไม่คุย เอาจริงๆ ก็อยากให้คุยกับคนอื่นเหมือนกันนะ จะได้หาเรื่องเลิกได้ง่ายๆ หน่อย แล้วพอเป็นแบบนี้เดียร์ก็เลยไม่รู้ว่าจะหาเหตุผลไหนไปบอกเลิกพี่เฌอดี ใจนึงก็อยากบอกไปตรงๆ ว่าไม่ได้รักพี่เฌอแล้วแต่แบบนั้นเดียร์ก็ดูแย่อะ”

   มันก็แย่จริงๆ ไม่ใช่เหรอวะ

   แย่ตั้งแต่เข้ามาเล่นกับความรู้สึกผมแล้ว

   ผมกำมือแน่นพลางข่มอารมณ์และฟังสิ่งที่พวกเธอพูดกันต่อไป ในใจเดือดดาลมาก สิ่งที่สิบสามพูดเป็นเรื่องจริง ผมถูกหลอกมาตั้งแต่แรก ทุกอย่างเป็นแค่เรื่องหลอกลวง น้องเดียร์ไม่ได้รู้สึกอะไรกับผม ที่เธอทำทุกอย่างไปนั้นมันเป็นเพราะเธอไม่ต้องการให้ผมมีตัวตนอยู่ในชีวิตของคนที่เธอชอบ ทำกับผมถึงขนาดนี้เพราะเรื่องแบบนั้นเนี่ยนะ คิดว่ามันตลกมากใช่ไหม เธอคิดว่าความรักของผมเป็นอะไร

   เธอทำมันได้ยังไง

   “แล้วจะทำยังไงล่ะ ถ้าไม่บอกไปตรงๆ ”

   “ก็ยังไม่รู้อะ แต่คงเร็วๆ นี้แหละ เดียร์เบื่อที่ต้องทำตัวเป็นแฟนที่แสนดีแล้ว” เธอเบ้ปากเพื่อแสดงว่าตัวเองเบื่อจริงๆ “การเลิกกับพี่เฌอ คือสิ่งที่เดียร์ฝันถึงทุกวัน”

   ขนาดนั้นเลยนะ

   “ก็ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยก็บอก ไปเถอะ เบียร์หมดแล้วมั้งป่านนี้” น้องผึ้งลากเพื่อนของตัวเองกลับเข้าไปด้านใน ตอนนี้บนดาดฟ้าเหลือเพียงแค่ผมกับความรู้สึกที่พังไม่เป็นชิ้นดี

   แม่งเอ๊ย

   “ทำไมต้องทำแบบนี้วะ!!!!” ผมระบายความโมโหลงผนังที่อยู่ตรงหน้า ความเจ็บจากแผลบนมือยังไม่ได้ครึ่งที่รู้สึกเจ็บหัวใจเลย ทำไมอะ ทำไมต้องทำกันแบบนี้ด้วย

   ไม่รักกันแล้วทำแบบนี้ทำไมวะ

   ผมโกรธและโมโห ในหัวมีแต่คำว่าทำไมๆ ๆ ๆ ๆ ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับชีวิตผมด้วยวะ ความประทับใจวันนั้นที่ผมมีต่อเธอ ผมไม่คิดเลยว่ามันจะทำร้ายผมแบบนี้ ผมหวังให้ความรักครั้งนี้ต่างจากเดิมที่ผมเคยเจอมา และใช่ มันต่างจริงๆ เพราะมันเลวร้ายมาก มันไม่ใช่ความรักด้วยซ้ำ มีแค่ผมที่คิดไปเองคนเดียว ทุกอย่างมันเป็นละครเหมือนที่สิบสามบอกผมจริงๆ นั่นแหละ เพราะละครเรื่องนี้ยังไม่จบ น้องเดียร์ถึงยังไม่ทิ้งผมไป

   มันเป็นความจริงที่ว่าสุดท้ายแล้วผมก็จะเสียใจอยู่ดี

   ผมหยิบบุหรี่อีกตัวมาสูบเพื่อข่มอารมณ์ให้ตัวเองใจเย็นขึ้นอีกหน่อย ผมจะจบทุกอย่างเองแต่ต้องตั้งสติก่อน ความรู้สึกของผมในตอนนี้มันแหลกละเอียดยิ่งเม็ดทรายอีก รู้สึกยิ่งกว่าคำว่าแย่ ถึงเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้วแต่พอเจอกับตัวเองจริงๆ มันเป็นแบบนี้นี่เอง

   โอเค.....ไปทำให้มันจบดีกว่า

   พอคิดได้แบบนั้นแล้วผมก็เดินกลับเข้ามาด้านใน ผ่านห้องบล็อกที่พวกไอ้แช่มอยู่ไปที่ห้องบล็อกของน้องเดียร์ทันที ร่างบางที่นั่งอยู่กับกลุ่มเพื่อนดูตกใจมากที่เห็นผม

   “พี่เฌอ.....พี่มาที่นี่ได้ยังไงคะ”

   “มันไม่สำคัญหรอกว่าพี่มาที่นี่ได้ไงเพราะสิ่งที่สำคัญมากกว่าคือเรื่องที่น้องเดียร์พูดออกมาเมื่อกี๊ต่างหาก.....สนุกมากไหมอะที่ทำกับพี่แบบนี้”

   “พี่เฌอพูดอะไรคะ เดียร์ไม่รู้เรื่อง” เธอบอกปัด

   “เกิดอะไรขึ้นวะไอ้เฌอ” ไอ้แช่มโผล่เข้ามาพร้อมกับคว้ามือผมไปดู “ไปทำไรมา ทำไมมือแตกอย่างนี้”

   “จะไม่รู้ได้ยังไงในเมื่อน้องเดียร์เป็นคนพูดออกมาเองน่ะ พูดเองไม่ใช่เหรอว่าการเลิกกับพี่เป็นสิ่งที่ตัวเองฝันอยู่ทุกวัน ทำไมไม่บอกกันมาตรงๆ จะยื้อเวลามาจนถึงตอนนี้ทำไม จะทำให้พี่จมอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ แบบนี้ทำไม”

   “พี่คิดว่ามีแค่ตัวเองงั้นเหรอที่รู้สึกแย่ เดียร์ก็รู้สึกแย่เหมือนกันนั่นแหละที่ต้องทนคบกับพี่เฌอน่ะ” เธอตวาดลั่น “เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เดียร์จะได้ไม่ต้องฝืนตัวเองทนเป็นแฟนพี่อีก”

   “พี่ไม่เคยขอให้น้องเดียร์มาทน คนที่เข้ามาในชีวิตพี่ก่อนก็คือน้องเดียร์ พี่แม่งโง่เองที่คิดว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างเรามันคือความรัก แล้วพี่ก็เพิ่งมารู้ทุกอย่างว่าทั้งหมดมันก็แค่เรื่องหลอกลวง ยอมทำถึงขนาดนี้ ยอมเป็นแฟนกับผู้ชายที่ตัวเองไม่ได้ชอบ ยอมได้ยังไงอะ ทำได้ยังไง”

   ซ่าาาาา

   มือบางวางแก้วเหล้าที่สาดใส่ผม “เดียร์จะทำอะไรมันก็เรื่องของเดียร์ แล้วหลังจากนี้เราก็ไม่ต้องมีอะไรมายุ่งเกี่ยวกันอีก.....เราเลิกกัน”

   “หึ....ทุกอย่างเป็นจริงตามที่สิบสามพูด”

   “พี่หมายความว่ายังไง”

   “พี่ไม่จำเป็นต้องบอกหรอก แต่ขอให้รู้เอาไว้เลยว่าต่อให้น้องเดียร์จะชอบสิบสามมากแค่ไหน จะใช้วิธีสกปรกยังไงมันก็ไม่มีทางที่จะทำให้เขาหันมามองน้องเดียร์หรอก” ผมเค้นหัวเราะ “นึกถึงคำที่น้องเดียร์เคยถามพี่ว่าระหว่างน้องเดียร์กับสิบสาม ให้พี่เลือก พี่จะเลือกใคร”

   “.....นี่พี่”

   “น้องเดียร์ลองคิดดูว่าถ้าตอนนี้พี่ไปถามสิบสามบ้างว่าระหว่างพี่กับน้องเดียร์ เขาจะเลือกใคร”

   “.....”

   “คิดว่าคำตอบจะเป็นยังไง”

   “อร๊ายยยยยยยยยยย” เธอกรี๊ดดังลั่น “ระหว่างพี่กับสิบสามมันจบไปแล้ว”

   “ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็ตามสบายนะ” ผมหันไปหาไอ้แช่ม “มึงไปเอาเบียร์โต๊ะเรามา”

   “เออๆ ” ไอ้แช่มไปหยิบแก้วเบียร์ที่โต๊ะส่งมาให้ผม

   “ที่น้องเดียร์บอกว่าหลังจากนี้ระหว่างเราไม่ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก พี่ก็ขอให้มันเป็นไปตามนั้น” ว่าแล้วผมก็ยกแก้วขึ้นดื่มเบียร์จนหมดก่อนจะวางมันกระแทกกับโต๊ะเสียงดัง “ดื่มฉลองให้กับความโสด....และการจบลงของความสัมพันธ์เหี้ยๆ ละกันนะ”

   ลาก่อน....

   ผมเดินออกมาทันทีโดยไม่สนใจเสียงกรี๊ดหรือเสียงด่าไล่หลัง มันจบแล้วครับ จบตามอย่างที่เธอต้องการ ไม่ต้องทน ไม่ต้องฝืนอะไรอีกต่อไปแล้ว หลังจากนี้ก็ต่างคนต่างอยู่ อย่าได้เกี่ยวข้องอะไรกันอีกเลย เวลาที่เสียไปก็ให้มันเสียไป ช่างมัน ผมอยากออกไปจากที่นี่ ไปไหนสักที่ที่คิดว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ พอคิดได้แบบนั้นผมก็ขับรถออกมาจาก BB-Club ทันที

   ครืดดดด....ครืดดดดด

   หน้าจอโทรศัพท์ที่แสดงรายชื่อว่าชริตเป็ด ผมไม่พร้อมรับสายหรือคุยอะไรกับใครทั้งนั้น รู้อยู่แก่ใจเลยล่ะว่ามันต้องเป็นห่วง กูขอโทษนะแช่ม ไว้ดีขึ้นแล้วเดี๋ยวกูโทรหามึงเอง ผมกดตัดสายก่อนจะขับรถมาเรื่อยๆ ในหัวก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เจ็บปวดว่ะ หลายความรู้สึกมากเลยที่มันสุมอยู่ในนี้ ทุกครั้งที่ความรักของผมจบลง ไม่มีครั้งไหนรู้สึกเจ็บเท่านี้เลย ไม่ไหวอะ ผมไม่ไหว....

   ฮึก....

   ผมเลี้ยวรถเข้ามาจอดหน้าเซเว่นฯ ข้างทางก่อนจะฟุบหน้าร้องไห้กับพวงมาลัยอย่างหมดสภาพ ฮึก....ทำไมต้องเป็นผมด้วยวะ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับใครทั้งนั้นแหละ ไม่ควรมีใครโดนล้อเล่นกับความรู้สึกทั้งนั้น ผมเสียใจที่อะไรๆ ก็ไม่เป็นตามที่ผมคิด ผมเจ็บปวดที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ ผม.....

   แหมะ

   เสียงน้ำที่กระทบกระจกรถทำให้ผมยิ่งรู้สึกแย่ และที่ยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่คือหน้าปัดรถผมที่แสดงว่าน้ำมันถึงระดับต่ำสุด เชื่อได้เลยว่ามันคงขับไปได้แค่อีกนิดเดียวเท่านั้นแหละ ตอนนี้เกือบเที่ยงคืนและฝนตกหนักมาก ผมนึกออกอยู่ที่เดียวที่สามารถไปได้ในตอนนี้ พอคิดได้แบบนั้นผมก็ลงจากรถก่อนจะเดินไปตามทาง

   ปล่อยให้ฝนที่ตกลงมาช่วยล้างน้ำตาทั้งหมดออกไป

   ผมไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะเดินมาถึงตรงนี้ ด้านหน้าผมเป็นคอนโดฯ ของใครบางคนที่ไม่รู้ว่าตอนนี้เขานอนไปแล้วรึยัง ผมหยิบโทรศัพท์ที่ยังไม่ดับกดโทรไปหาเขา เพียงไม่นานปลายสายก็กดรับ

   ไม่ได้ยินเสียงนี้มานานจริงๆ

   “ผมอยู่หน้าคอนโดฯ คุณ” ผมพูดแค่นั้นและกดวางสายทันที คำที่เขาบอกเมื่อ 3 อาทิตย์ก่อน ผมยังจำได้ดี และมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมอยู่ตรงนี้

   ใช้เวลาไม่นานร่างสูงก็เดินออกมาจากตึกพร้อมกับกางร่มสีดำคันเดิมที่ผมเคยเห็น สิบสามเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เขามองผมอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่พูดอะไรออกมา พอผ่านไปสักพักมือเรียวก็ลดร่มที่ถืออยู่ลง มันเหมือนกับวันนั้นแลย วันที่ผมเสียใจ ตัวเปียกฝน เขาก็ทำแบบนี้ ยอมเปียกไปด้วยกันเพื่อให้ผมรู้สึกว่าตรงนี้ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว

   ผมยังมีเขาอยู่ด้วยเหมือนกัน

   “ผม....เลิกกับเดียร์แล้วนะ”

   “.....”

   “มันเป็นแบบที่คุณพูดจริงๆ คำที่คุณบอกว่าตัวเองจะเป็นสาเหตุให้ความสัมพันธ์ของผมกับน้องเดียร์จบลง มันเป็นจริงตามนั้นด้วย”

   “พี่เฌอ”

   “ผมเสียใจและรู้สึกเจ็บปวดมากๆ ” ผมยกมือขึ้นจับที่กลางอกเสื้อของเขา “เพราะงั้น....”

   “.....”

   “คุณต้องรับผิดชอบ”

   “.....ได้สิครับ” ร่างสูงดึงผมเข้าไปกอดเอาไว้ “ผมรอพี่พูดคำนี้ตั้งนานแน่ะ....พี่เฌอ”



***



   “เสร็จแล้วครับ”

   “....ขอบคุณนะ”

   ผมมองมือตัวเองที่สิบสามเพิ่งทำแผลให้ เห็นแล้วนึกถึงวันที่ผมเมาแล้วเขาทำแผลให้เหมือนกันนะ จากวันนั้นก็มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะแยะเต็มไปหมด ผมไม่อยากคิดอะไรเลยแต่เหมือนจะห้ามสมองไม่ได้ ผมอยากจะพาตัวเองออกจากความรู้สึกนี้ให้ไวไวแต่ก็นะ แผลมันยังใหม่ ไม่แปลกที่มันยังเจ็บอยู่ ต้องใช้เวลารักษาจนกว่าจะหาย หรือไม่ก็ต้องให้ใครสักคนช่วยรักษามัน

   ใครสักคนที่ว่าก็อยู่แค่มือเอื้อมถึงนี่เอง

   “ผมเช็ดหัวให้นะครับ” เจ้าตัวบอกก่อนจะจับผมนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมถึงแม้ว่าเราจะห่างกันไปขนาดนั้น เขาไม่เปลี่ยนไปเลย

   “เหมือนวันนั้นเลยเนอะคุณ ที่คุณทำแบบนี้ให้”

   “เหตุผลของผมก็เหมือนในวันนั้นครับ”

   “ผมขอโทษนะสิบสาม สำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นเลย”

   “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ มันไม่ใช่ความผิดพี่เลยนะ” เขาเลื่อนมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้าผมออกให้ “อะไรที่ผ่านไปแล้ว ให้ผ่านไปนะครับ ผมอยากเห็นพี่เฌอที่เหมือนวันแรก คนที่ล้มลงไปแล้วยังหัวเราะได้ สีหน้าแบบนี้ไม่เหมาะกับพี่เลย”

   นั่นสินะ

   ผมหันกลับมาหาสิบสาม “ขอกอดหน่อยดิคุณ....นะ”

   “อะไรที่พี่ต้องการ....ได้ทั้งนั้นแหละครับ”

   “นังน้อน” ผมกอดคนตรงหน้าเอาไว้อย่างนั้น “พรุ่งนี้ผมจะดีขึ้น จะดีขึ้นกว่านี้มากๆ ๆ ๆ ๆ คุณคอยดูนะ”

   “.....ผมจะรอดูครับ”

   ขอให้เรื่องเลวร้ายทุกอย่างและความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหมดจบลงในค่ำคืนนี้ ชีวิตผมต้องไปต่อให้ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำร้ายความรู้สึกผมได้แค่วันนี้เท่านั้นแหละ ผมจะต้องมีความสุข มีความสุขให้มากๆ เหมือนอย่างที่ควรเป็น ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว และการที่ผมมีสิบสามอยู่ด้วยในตอนนี้มันช่างดีมากจริงๆ

   อย่างน้อยในวันนี้ผมก็คงหลับได้สนิทแล้วล่ะ

   ขอบคุณนะ....นังน้อน

   .

   .

   .

   .

   .

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้ว เขียนนานมากๆ เลยสำหรับตอนนี้ ตั้งแต่บ่ายโมงอะ ก็บทต่อไปอาจจะทิ้งช่วงสัก 2-3 วัน หรือถ้ากำลังใจดีก็อาจจะมาไวนะคะ

   ก็เป็นตอนที่บีบคั้นหัวใจเหมือนกันนะแต่ผลลัพธ์ของทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดีนะคะ หลังจากนี้ก็จะปลื้มปริ่มหัวใจกันขึ้นมาจึ๋งนึง รอติดตามกันน้า

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค้้าบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 9 : 22/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 22-01-2020 21:58:00
บทที่ 9 คุณสมบัติ



   “อื้ออออ....ออ...”

   หอมจัง

   กลิ่นเหมือน....ไข่เจียว

   ผมลืมตาขึ้นมองเพดานด้านบนพร้อมกับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเจ็บที่มือขวา หลังจากนี้ก็คงลำบากหน่อยเพราะเป็นมือข้างที่ถนัดซะด้วย แต่ไม่เป็นไร ผมเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาบ่อย ช่วยไม่ได้อะ ทำตัวเองให้เจ็บก็ต้องอดทนให้ได้ ผมชันตัวขึ้นนั่งก่อนจะตั้งสติ มองดูนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เกือบ 9 โมงแล้ว ถือว่าตื่นเร็วมากเลยนะ อาการปวดหัวตุบๆ เพราะฤทธิ์เหล้าเบียร์ทำให้ผมอยากนอนต่อเหมือนกัน แต่คิดไปคิดมา.....ตื่นแล้วก็ตื่นเถอะ

   ตื่นมาเพื่อเจอกับความจริงอันบัดซบ

   ผมชะเง้อคอมองร่างสูงที่ยืนทำอะไรสักอย่างอยู่ในครัว สิบสามอยู่ในชุดนอนลายลิตเติ้ลทวินสตาร์ที่เขาชอบนั่นแหละ ตัวผมเองก็เหมือนกัน นังน้อนใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ชะมัด แถมยังดูมุ้งมิ้งน่ารักไปซะหมด ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู หน้าจอแสดงมิสคอลนับร้อยจากบรรดาเพื่อนๆ ก็คงเป็นห่วงนั่นแหละ เดี๋ยวบอกพวกมันก่อนว่าปลอดภัยสบายดี ไม่เป็นอะไรและมีคนดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย

   ชรันไม่คิดสั้นแน่นอน

   หลังจากที่ไลน์ไปแจ้งสารทุกข์สุขดิบกับเพื่อนๆ แล้ว ผมก็เข้าไปตามแอปฯ ต่างๆ เพื่อนปลดบล็อกสิบสาม จากนั้นก็เข้าไปแกลเลอรี่เพื่อไล่ลบรูปน้องเดียร์ออกจนหมด ทุกช่องทางการติดต่อก็ลบออก ความรู้สึกเมื่อคืนมันเสียใจมากเลยใช่ป้ะ พอตื่นมาตอนเช้ามันก็จะอีกฟีลนึงเลย หงุดหงิดอะ แค่นึกถึงสิ่งที่เธอทำก็อยากเอาหมอนฟาดหน้าให้สักสองที แม่ง....ช่างเถอะ สำหรับผมแล้ว ความรู้สึกหรือน้ำตาที่เสียไปมันก็เกินพอสำหรับความสัมพันธ์ห่าเหวนี่

   ผมจะไม่จมอยู่กับความเสียใจเพราะทำแบบนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์

   จบไปแล้วก็คือ....จบ

   “ตื่นแล้วเหรอครับ” ร่างสูงยกจานไข่เจียวกับชามข้าวต้มมาวางไว้ที่โต๊ะ “ไปล้างหน้าก่อนสิครับ เดี๋ยวมากินข้าวกัน”

   “อื้ม....” ผมรับคำเขาก่อนจะเดินเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำ

   ของใช้ส่วนตัวอย่างแปรงสีฟันที่ผมเคยใช้มันยังอยู่ในแก้วสีเขียวใบเดิม วางอยู่ข้างแก้วของเขาไม่ได้หายไปไหน ข้ออ้างสินะที่เคยบอกว่าลืมทิ้ง สิบสามไม่ได้ลืมที่จะทิ้งมัน แต่ตั้งใจเก็บเอาไว้ให้ผมต่างหาก เขาดูมั่นใจเหมือนกันนะว่าผมจะได้กลับมาใช้มันอีก

   ร้ายจริงๆ นังน้อน

   หลังจากที่ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จผมก็เดินออกจากห้องน้ำก่อนจะไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา “ข้าวต้มกับไข่เจียว”

   “ใช่ครับ ผมทำเองเลยนะ”

   “ที่คุณบอกว่าไปเรียนกับแม่มาน่ะนะ” ผมคนข้าวต้มก่อนจะตักขึ้นมาเป่าแล้วยัดเข้าปาก “อื้อออ....อ....”

   “อร่อยไหมครับ”

   “ร้อน” ผมเป่าลมร้อนออกมา นี่ขนาดเป่าไปแล้วนะ ลองนึกว่าถ้ายังไม่ได้เป่าแล้วยัดเข้าปากไปเลยก็ต้องมีลิ้นพองกันบ้างล่ะ

   “พี่เฌออะ”

   “อะไรล่ะ ก็มันร้อนจริงๆ ” คือถ้านังน้อนเป็นหมานะ ตอนนี้หูเขากำลังตกอยู่แน่ๆ ข้าวต้มที่เขาทำ อร่อยเลยครับ รสชาติกำลังดีแถมไข่เจียวที่เขาทอดก็ขอบกรอบมาก ผมไม่เคยทอดไข่ได้กรอบขนาดนี้เลย

   “พี่ตอบผมไม่ตรงคำถาม”

   “อร่อย....มากๆ ” ผมตักไข่เจียวไปใส่จานเขา “ความพยายามไปเรียนทำข้าวต้มกับไข่เจียวของคุณไม่สูญเปล่านะเนี่ย”

   “ใช่ครับ แล้วพี่ก็ได้กินแล้วด้วย” เจ้าตัวมองผมอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครบอกรึไงว่าอย่ามองหน้าคนอื่นตอนกินข้าว

   คนถูกมองก็ประหม่าอะดิ

   ผมตักข้าวต้มกินไปเรื่อยๆ โดยที่ตัวเองยังไม่รู้ว่าถ้ากินข้าวเสร็จแล้วควรจะทำอะไรต่อดี วันนี้วันเสาร์ครับ ผมไม่มีเรียน ไม่มีงานที่ต้องเคลียร์ด้วยเพราะจัดการเสร็จไปหมดแล้ว เดี๋ยวอาทิตย์หน้ามหา’ลัยผมจะมีงานสัมมนา ก็จะเป็นช่วงหยุดยาวหลายวัน น่าจะทุกคณะเลยแหละ ผมพอรู้แพลนของเพื่อนๆ อยู่ว่ามันจะทำอะไรกันบ้าง ไอ้แช่มบอกว่าจะกลับไปบ้านที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนคนอื่นๆ ก็ไปเที่ยวกับแฟนตามประสา

   ตอนแรกผมก็มีแพลนว่าจะไปกับแฟน

   แต่ตอนนี้โสดละ....แฟนไม่มี

   คุยกับน้องเดียร์เอาไว้ครับว่าจะไปเที่ยวเสม็ดด้วยกันแต่ก็ทริปล่มไปแล้ว ช่างมัน เดี๋ยวไปคนเดียวแม่งเลย เนี่ยะ ทุกครั้งที่มีแฟนอะ จะวางแพลนกันเอาไว้ตลอดเลยว่าจะไปเที่ยวนี่นั่น แต่สุดท้ายคือไม่ได้ไปสักคน ไม่เป็นไร ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมต้องมีโอกาสได้ไปเที่ยวกับแฟนสักครั้งแหละ อืม....หรือจะไปกับคนที่ไม่ใช่แฟนดีวะ

   หรือนอนอยู่หอดี

   เอออันนี้น่าสนใจ

   หลังจากที่กินข้าวต้มเสร็จผมก็ยกจานไปเก็บ “ฝากล้างหน่อยได้ไหมคุณ”

   “เดี๋ยวผมล้างให้เองครับ พี่ไปนั่งเถอะ”

   “โอเค” ผมเดินมานั่งที่พรมด้านข้างเตียง มองนังน้อนทำโน่นเก็บนี่ไปเรื่อยก่อนที่จะเดินมานั่งลงข้างผม

   “วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”

   “ก็ดีกว่าเมื่อคืนมั้ง”

   “ยังเสียใจอยู่ไหม”

   “ไม่อะ ผมหงุดหงิดมากกว่า คุณคิดดูนะ ตั้งแต่วันที่คุณบอกความจริงให้ฟัง ผมก็เตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้าพร้อมกับหวังว่าเรื่องทั้งหมดมันจะไม่เป็นไปตามที่คุณพูด แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ผิดจากคำพูดคุณสักนิด”

   “ผมถามได้ไหมว่าพี่เลิกกับเดียร์ได้ยังไง”

   “ก็ไอ้แช่มเพื่อนผมโทรมาบอกว่าเจอน้องเดียร์ที่คลับของรุ่นน้องในคณะ ผมก็ไปที่คลับนั้นเพราะตอนแรกน้องเดียร์บอกว่าจะอาบน้ำนอนแต่คือเธอไปเที่ยวไง แล้วทีนี้ผมออกมาสูบบุหรี่แล้วน้องเดียร์กับน้องผึ้งก็มาสูบบุหรี่เหมือนกัน”

   “ใช่ครับ กลุ่มเธอสูบบุหรี่ เรื่องนี้พี่เพิ่งรู้ใช่ไหม”

   ผมพยักหน้ารับ “อื้ม....ผมได้ยินเธอพูดว่าอยากจบเรื่องระหว่างเธอกับผม และก็บอกว่าการที่เลิกกับผมน่ะคือสิ่งที่เธอฝันถึงทุกวัน คุณเชื่อป้ะว่าผมโคตรโกรธเลย มันเสียใจมากนะที่ความรู้สึกของเราถูกทำเหมือนมันเป็นของเล่นอะ”

   “ผมเข้าใจครับ แล้วยังไงต่อ”

   “พวกเธอก็เดินกลับเข้าไปในร้าน ส่วนผมก็โมโหมากจนไปลงกับกำแพงแล้วได้แผลที่มือมานี่แหละ จากนั้นผมก็ตั้งสติ แล้วกลับเข้าไปในร้านเพื่อจบความสัมพันธ์ปลอมๆ นั้นลง ผมมีปากเสียงกับน้องเดียร์รุนแรงมาก เธอสาดเหล้าใส่ผมด้วย ผมอยากสาดกลับอยู่เหมือนกันแหละแต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้อะ จะดีจะร้ายยังไงเธอก็เป็นผู้หญิง ผมไม่ควรทำแบบนั้น”

   “พี่เท่จังเลยนะครับ”

   “ผมไม่ได้เท่สักหน่อย”

   “พี่เท่ออก”

   ผมทำหน้ามุ่ยใส่เขา “ผมเปล่า“”

   “พี่เท่จริงๆ ”

   “เลิกชมผมได้แล้ว” เหมือนเขาจะเอาคืนที่ผมชอบชมเขาบ่อยๆ เลยว่ะ

   “ไม่ได้ชมนะครับ ผมแค่พูดความจริง”

   “คุณคิดแบบนั้นเหรอ”

   “ถ้าไม่คิด ผมคงไม่พูดหรอกครับ” ว่าแล้วเขาก็คลี่ยิ้มบางๆ ออกมา ส่วนผมก็รู้สึกแปลกเพราะปกติเขาไม่ยิ้มให้ใครเลย

   รอยยิ้มของสิบสามเป็นของหายากจริงๆ นั่นแหละ ผมเห็นเขายิ้มก็แค่ครั้งที่ 3 เองเท่านั้น บางคนรู้จักเขามาเป็นปีอาจจะไม่เคยเห็นรอยยิ้มนี้เลยก็ได้ ตอนที่นังน้อนทำหน้านิ่งๆ มันจะคนละฟีลกับตอนเขายิ้มเลย ยิ่งถ้ายิ้มจนแก้มขึ้นให้เห็นลักยิ้มนะโอ้โห่วววว ตอนที่เห็นครั้งแรกคือใจสั่นเลยอะ โคตรน่ารัก สดใส ฟีลเตอร์ผัวแห่งชาติมากๆ เนี่ยะ ตรงตามที่ผมเคยบอกเอาไว้เป๊ะว่าทำไมเขาถึงไม่ค่อยยิ้ม

   เพราะเวลาเขายิ้ม.....คนที่เห็นจะตายกันหมด

   ผมตายก่อนเลยคนแรก

   “แก้มพี่แดงอยู่นะครับ”

   “ร้อนน่ะคุณ” ผมบอกปัดเขาก่อนจะยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง

   “ผมเปิดแอร์เย็นมากเลยนะ”

   “เออน่ะ บางเรื่องคุณก็ต้องปล่อยๆ มันไปบ้างนะนังน้อน” ผมทำหน้าบู้บี้ใส่เขา “เออ เล่าต่อ ก็นั่นแหละ พอน้องเดียร์สาดเหล้าใส่ผมเสร็จ เธอก็บอกเลิกผม และบอกว่าระหว่างเราอย่าได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก แล้วด้วยความโมโหอะนะคุณ ผมก็บอกเธอไปว่าต่อให้เธอใช้วิธีสกปรกยังไง คุณก็จะไม่มีวันสนใจเธอ”

   คนที่นั่งอยู่ข้างๆ พยักหน้ารับ “.....พี่พูดถูกแล้วครับ ผมจะไม่มีวันสนใจเดียร์”

   “อื้ม....แล้วผมก็บอกว่าที่น้องเดียร์เคยให้ผมเลือกระหว่างเธอกับคุณแล้วผมเลือกเธอ ถ้ากลับกันให้ผมไปถามคุณ ว่าระหว่างผมกับน้องเดียร์ เธอคิดว่าคุณจะเลือกใคร”

   “ผมก็เลือกพี่โดยไม่ต้องคิดเลยครับ”

   ตึกตัก

   “นังน้องงงง” ผมทำตาโตใส่เขา “ผมเล่าให้คุณฟังเฉยๆ ไม่ได้ให้คุณเลือกสักหน่อย”

   “อ๋อ ผมนึกว่าพี่ถาม”

   “ไม่ได้ถาม คุณนี่เด๋อจริงๆ เลย....ก็นั่นแหละ พอผมบอกน้องเดียร์แบบนั้น เธอก็กรี๊ดแล้วก็บอกว่าระหว่างผมกับคุณมันจบไปแล้ว ผมก็บอกเธอว่าถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็ตามสบาย จากนั้นผมก็ดื่มเบียร์แก้วนึงเพื่อฉลองให้กับความโสด เสร็จปุ๊บก็ขับรถออกมาจากคลับ แล้วร้องไห้เหมือนน้องหมาเลยแหละ ฝนก็ตก รถก็น้ำมันหมด สุดท้ายก็งอแงแล้วเดินมาหาคุณที่คอนโดฯ เป็นไง มหากาพย์ชีวิตผมเมื่อวาน”

   “ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่พี่เฌอคงแย่มากกว่านี้เยอะครับ แล้วพี่คิดว่าหลังจากนี้จะทำยังไงต่อ”

   “ก็ใช้ชีวิตต่อไป ความรู้สึกดีดีของผมที่มีน้องเดียร์มันไม่มีอยู่เลยพอคิดว่าทั้งหมดนั่นมันแค่เรื่องหลอกลวง ไม่มีอะไรต้องอาวรณ์หรือนึกถึง มันต่างจากทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้นกับผมนะ”

   “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้วครับ”

   “เออคุณ ผมมีอะไรอยากถามอะ” ผมหันหน้าเข้าหาเขา “คุณชอบผมได้ยังไง”

   “ก็....เพราะพี่ไม่เหมือนคนอื่นมั้งครับ ผมเพิ่งเคยมีความรู้สึกแบบนี้กับใครสักคน ตอนแรกก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่พอได้รู้จัก มีโอกาสได้อยู่ใกล้ๆ ได้ดูแล มันก็ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง ก็ประมาณนั้นแหละครับ”

   “แล้วคุณได้คิดเอาไว้ไหมว่าถ้าความรักของคุณไม่สมหวังขึ้นมา....คุณจะทำยังไง”

   “ก็ต้องยอมรับความจริงนั่นแหละเพราะมันทำอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยในตอนนี้ผมก็ได้พยายามทำอะไรสักอย่างแล้ว มันดีกว่าที่ผมจะเสียความรักไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลย” สิบสามเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ “พี่ว่าผม.....จะสมหวังไหมครับ”

   “ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ” ผมดันหน้าเขาออกก่อนจะลุกขึ้นยืนแต่มือเรียวดึงข้อมือผมเอาไว้ ดวงตาคมมองผมไม่ละ ทำไมหืม....อยากเล่นเกมจ้องตากับผมรึไงนังน้อง

   “ผมชอบพี่”

   “ผมรู้แล้ว”....คุณจะพูดย้ำทำไมวะ

   “พี่ชอบผู้หญิงมาตลอดเลยใช่ไหมครับ บางที....พี่น่าจะลองหันมาชอบผู้ชายบ้างนะ อาจจะไม่ผิดหวังก็ได้” สิบสามยืนขึ้นประจันหน้ากับผม “ชอบผู้ชายอย่าง....ผมเนี่ยะ”

   ผมหลุดหัวเราะทันทีที่เขาบอกแบบนั้น “อะไรของคุณ”

   “พี่คิดดูนะครับ ผมอะเคยเป็นเดือนแพทย์ฯ เลยนะ กำลังจะเป็นคฑากรไม้หนึ่งของคณะด้วย ไหนจะหน้าตาดี บ้านรวย แล้วก็....”

   “พอเลยคุณ คุณจะขิงตัวเองให้ผมรู้สึกหมั่นไส้อีกนานไหม”

   “ไม่ได้ขิงครับ ผมบอกคุณสมบัติตัวเองให้พี่พิจารณาต่างหาก” มือเรียวค่อยปล่อยข้อมือผมออก “ผมประหม่ามากเลยนะครับพี่เฌอ มันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนที่ชอบผู้หญิงมาตลอดอย่างพี่ หันมาชอบผม แต่ถึงยังไงผมก็อยากลองพยายามและบอกให้พี่ได้รับรู้เอาไว้ อย่าเพิ่งตัดโอกาสผมเลยนะครับ”

   “คุณฟังผมนะนังน้อน” ผมยกมือขึ้นไปเขี่ยผมที่ปรกหน้าสิบสามออก “ถ้าผมจะตัดโอกาสคุณจริงๆ ผมคงไม่มาหาคุณเป็นคนแรกหรอก....จริงไหม”

   “ก็จริงครับ”

   “อื้ม....แล้วอีกอย่างเพื่อนผมเคยถามว่า ผมจะมีโอกาสชอบผู้ชายได้บ้างไหม ตอนนั้นผมบอกมันไปว่า ถ้าสมมุติว่าวันไหนที่ผมใจเต้นแรงเพราะผู้ชายคนนึง มันก็อาจจะเป็นไปได้”

   “แล้ว....” สิบสามเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ผม “พี่เคยใจเต้นแรงเพราะผมบ้างไหมครับ”

   “เรื่องนั้น....” ผมมองใบหน้าหล่อที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบ “.....คุณก็ลองคิดเอาเองดิ”

   พอผมบอกแบบนั้นสิบสามก็คลี่ยิ้มออกมาก่อนจะละออกไป หืออออ....ยิ้มกว้างน่าหมั่นไส้ ชอบใจอะสิไอ้ต้าวนังน้อนเวร ผมชอบนะการที่คิดอะไรก็พูดออกไปตามนั้น ผมชอบที่เขาพูดตรงๆ ว่าตัวเองรู้สึกยังไง คำพูดพวกนั้นมันทำให้ผมพอรู้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เดิมทีเราเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน มันแค่นั้นเอง แต่ตอนนี้อะไรๆ มันก็คงเปลี่ยนไปจากเดิม อย่างน้อยนังน้อนก็อาจจะคนที่พิเศษขึ้นสำหรับผมจึ๋งนึงล่ะมั้ง

   จะว่าไปสำหรับคนที่เพิ่งโดนทำร้ายใจมาอย่างผม

   การมีเขาอยู่ตรงนั้น....แม่งโคตรดีเลย

   “ไปข้างนอกกันไหมคุณ ไปดูหนังหรือหาอะไรทำก็ได้ วันนี้คุณว่างใช่ไหม”

   “ว่างครับ งั้นพี่ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวผมเตรียมเสื้อผ้าให้”

   “โอเค งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะ” ว่าแล้วผมก็หยิบผ้าขนหนูก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง

   ผมมองเฌอในกระจกพลางคิดว่าไอ้เวรนี่มีอะไรดีถึงทำให้อดีตเดือนแพทย์ฯ มาชอบได้วะ เขาบอกว่าผมไม่เหมือนคนอื่น คือผมก็อยากสวนเขากลับไปเหมือนกันว่าตัวเองเหมือนคนอื่นตายแหละ เขาน่ะไม่เหมือนคนอื่นมากกว่าผมอีก แต่ช่างเถอะ เหตุผลนั้นคงมีแค่สิบสามที่จะเข้าใจล่ะมั้ง ตอนนี้ผมอยู่ในสถานะที่มีผู้ชายมาแอบชอบ ก็ไม่แอบนะ เขาก็แสดงออกชัดเจนว่าชอบ แบบนี้ชรันควรต้องเขินป้ะ

   อา....ทำไมตัวไม่ถูกเลยอะ

   ไม่อยากคิดอะไรที่มันไปไกลมากกว่านี้เลยเพราะทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นน่ะนะ อยากรู้เหมือนกันว่านังน้อนจะทำให้ผมรู้สึกชอบเขาได้รึเปล่า ผมรู้ดีเลยแหละว่าเขาประหม่ามาก เหมือนจะมั่นใจแต่คล้ายๆ กับการใจดีสู้เสือมากกว่า สิบสามบอกว่ามันเป็นครั้งที่เขารู้สึกกับใครแบบนี้ ผมว่าเขาต้องทำอะไรที่มันเงอะงะออกมาแน่นอน เอาเป็นว่าลองดูละกันว่ามันจะเป็นยังไง เขาจะทำให้ผมหวั่นไหวได้ขนาดไหนกันนะ

   น่าตื่นเต้นว่ะ



***



   “สนุกเนอะคุณ ยิ่งตอนไล่ผีนะ โคตรสุดเลย”

   “ผมเห็นพี่เอามือปิดตาตลอด พี่จะรู้ได้ยังไง”

   “ผมแง้มนิ้วดูไง แล้วคุณเถอะ ให้ดูหนังนะไม่ได้ให้ดูผมเอามือปิดตาตัวเอง”

   “ก็พี่ยุกยิกๆ อยู่ข้างๆ จะไม่ให้ผมสนใจได้ยังไง”

   “ก็มันตื่นเต้นหนิ เดี๋ยวถ้าภาค 2 เข้า เรามาดูด้วยกันอีกนะคุณ”

   “พี่พูดแล้วนะครับ”

   “อื้ม....ผมพูดเองเลยเนี่ยะ ไปเถอะ อยากกินชานมไข่มุกอะ” ว่าแล้วผมก็เดินนำนังน้อนมาที่ร้านขายชานมไข่มุก

   ตอนนี้เราสองคนอยู่ที่ห้าง AA ครับ เพิ่งดูหนังเสร็จแล้วตอนนี้ก็ประมาณ 5 โมงกว่าๆ แล้ว การได้ออกมาข้างนอก หาอะไรทำมันก็รู้สึกดีขึ้นนะ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ต้องคิดมาก อาจเป็นว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่คนเดียวล่ะมั้ง โอเค คืนนี้ตอนที่กลับไปที่ห้อง ผมอาจจะมีอาการประสาทแดกนึกถึงเรื่องเดิมๆ นิดหน่อยแต่มันคงไม่หนักเท่าไหร่หรอก มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะคิดอะไรแบบนั้น สภาพตอนนี้ถือว่าดีกว่าที่เคยผ่านๆ มาเยอะเลยนะ

   ช่างแม่ง

   ไม่คิดละ....หัวจะปวด

   หลังจากที่ซื้อชานมไข่มุกเสร็จผมก็เดินนำสิบสามไปดูของโน่นนี่แล้วก็คุยกันตามประสา ผมชอบเหมือนกันนะเวลาเห็นนังน้อนใส่เสื้อสีหวานๆ พาสเทลลายการ์ตูนแบบนี้น่ะ ไหนจะกระเป๋าถือใบโปรดนั่นอีก ตอนนี้ผมกับเขาเหมือนแต่งตัวคู่กันอะ เขาใส่เสื้อสีชมพูที่เป็นลายสกรีนลาล่า ส่วนผมก็ใส่เสื้อสีฟ้าที่เป็นลายกีกี้ กางเกงเดฟคู่และจบลงที่รองเท้าช้างดาวคู่เหมือนกัน คือรองเท้าผ้าใบผมยังไม่แห้งไง สิบสามเลยให้ยืมรองเท้าช้างดาวมาใส่ครับ

   อย่างชิลล์อะบอกเลย

   ผมเดินนำร่างสูงมาจนถึงชั้นที่เป็นตู้เกมและตู้คีบตุ๊กตา เชื่อป้ะว่าตั้งแต่เกิดมานะ ผมไม่เคยคีบตุ๊กตาได้เลยสักตัว มันยากมากอะ แล้วไอ้ที่คีบในตู้ก็ง้อกแง้กมาก คือถ้าน้องมึงจะป้อแป้ขนาดนั้น น้องมึงไปเกิดเป็นเศษเหล็กไป มึงจะมาเป็นที่คีบเพื่อ แม่งเอ๊ย คิดแล้วหงุดหงิดว่ะ เดี๋ยวปั๊ดทุบตู้ให้พังเลยหนิ

   หึ้ยยยย....ย....

   ในขณะที่เกรี้ยวกราดในใจอยู่นั้นผมก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าตู้ของพวงกุญแจแบด แบด “ฝาแฝดคุณอะ”

   “ผมไม่เห็นเหมือนแบด แบดเลย”

   “เหมือนจะตาย” ผมมองพวงกุญแจในตู้ “ตู้ละ 2 เหรียญแฮะ”

   “พี่อยากได้ไหมครับ”

   “ทำไม คุณจะคีบให้ผมเหรอ”

   “รอแป๊บนึงนะครับ” สิบสามเดินไปแลกเหรียญมาก่อนจะเริ่มคืบพวงกุญแจในตู้ให้ สีหน้าดูจริงจังมากเลยครับ พอเห็นแบบนั้นแล้วผมอดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปเก็บเอาไว้

   ตลกว่ะ

   “หมดไป 10 เหรียญแล้วนะสิบสาม”

   สิบสามเสยผมขึ้นพลางถอนหายใจออกมาแรงๆ “พี่เฌอรอเดี๋ยวนะครับ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินไปแลกเหรียญเพิ่ม ซึ่งดูจากจำนวนที่เขาถือว่ามันเยอะกว่าตอนแรกมากเลย

   หมดตัวแน่ล่ะดูทรงแล้ว

   ผมยืนมองเขาคีบพวงกุญแจอยู่อย่างนั้น มีหลายจังหวะที่คีบขึ้นมาได้แล้วแต่สุดท้ายมันก็ร่วงลงไปอีก เนี่ยะ บอกแล้วว่าแม่งง้อกแง้ก ตู้คีบตุ๊กตามันเป็นอะไรที่แดกเงินเราได้เยอะแบบมากๆ เลยนะ คือของที่อยู่ในตู้มันก็อยากได้แหละ แต่อีกใจก็คืออยากเอาชนะไง แบบว่า....มึงง้อกแง้กนักใช่ไหม ได้!!!! เดี๋ยวมึงเจอกูคีบสักร้อยรอบ มันต้องมีรอบที่มึงง้อกแง้กไม่ออกบ้างแหละ เห้อะ ไอ้เวร

   เชื่อดิว่าสิบสามกำลังคิดแบบนี้อยู่

   “จิ๊....” นังน้อนหันไปหาพนักงานที่ขายเหรียญ “พี่ครับ ถ้าผมซื้อยกทั้งตู้นี่เท่าไหร่ครับ”

   “คุณจะซื้อยกตู้อะไรเล่า”

   “ก็คีบไม่ได้สักทีอะ ผมหงุดหงิด”

   “คีบไม่ได้ก็ไม่ต้อง ผมไม่เอาก็ได้”

   “เหลือ 2 เหรียญสุดท้าย ถ้าไม่ได้ ผมจะยอมครับ” มือเรียวหยอดเหรียญลงตู้ก่อนจะเริ่มคีบอีกครั้ง ผมมองที่คีบง้อกแง้กนั่นลงไปหยิบพวงกุญแจด้านล่างขึ้นมา

   ตุ้บ

   “เห้ยได้เฉย”

   เป็นงงเลยไอ้เวร

   “ได้แล้วครับ” สิบสามหยิบพวงกุญแจแบด แบดส่งมาให้ผม “ของพี่”

   “แทบหมดตัวเลยนะกว่าจะได้เจ้านี่ ขอบคุณนะนังน้อน เดี๋ยวผมห้อยไว้กับกระเป๋าผมเลย ดีไหม”

   เขาพยักหน้ารับรัวๆ “ดีครับ....พี่เฌอหิวรึยัง เราไปหาอะไรกินกันไหม”

   “เอาดิ คุณจะกินอะไร เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”

   “งั้นแล้วแต่พี่เลยครับ”

   “ถ้าแล้วแต่ผมก็ทางนี้เลย” ผมลากนังน้อนลงมาชั้น 3 ก่อนจะพาเข้ามาในร้านปิ้งย่างร้านโปรดที่ชอบมากับเพื่อนๆ

   ผมจัดแจงสั่งอาหารก่อนจะมองพวงกุญแจแบด แบด สลับกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เหมือนกันจริงๆ นั่นแหละ เขากับแบด แบด อาจจะเป็นพี่น้องที่ผลัดพรากจากกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อนก็ได้นะ เหมือนว่าสิบสามจะรู้แฮะว่าผมกำลังนินทาเขาในใจ อยู่ดีดีดวงตาคมก็หรี่จ้องผมเหมือนจับผิด พอเป็นแบบนั้นผมก็เลยทำตาเลียนแบบเขา เอาสิ คุณคิดว่าจ้องผมได้อยู่ฝ่ายเดียวงั้นเหรอหืม.....

   จ้องมาจ้องกลับไม่โกงอะรู้รึเปล่า

   “จ้องผมเหรอครับ”

   “ใครเริ่มก่อน”

   “พี่ชอบการเอาคืนเหรอ”

   “ก็ประมาณนั้นแหละมั้ง”

   “งั้น....” เจ้าตัวเท้าคางมองผม “ก็เอาคืนที่ผมชอบพี่สิครับ”

   ตึกตัก

   เด็กนี่มัน....

   “คุณร้ายกาจกว่าที่ผมคิดเอาไว้เยอะเลยนะนังน้อน มีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกไหม แสดงธาตุแท้ออกมาให้หมดเลยนะ”

   “ผมก็เป็นแบบนี้แหละครับ อะไรที่ก็ตามที่พี่ได้รับรู้ทั้งหมดจากผม นั่นคือตัวผมจริงๆ ” เขาบอกก่อนจะจัดการปิ้งเนื้อให้ ก็เชื่ออยู่หรอกว่าที่แสดงออกมานั่นเป็นตัวของตัวเอง

   แต่ก็ร้ายจริงๆ นั่นแหละ

   ปกติแล้วเวลาอยู่ข้างนอกต่อหน้าผู้คนเยอะๆ เขาไม่ค่อยแสดงอะไรออกมาไง ไม่พูด สีหน้าก็เรียบเฉยไม่บ่งบอกความรู้สึกใดใด แค่คิดว่าตัวเองเป็นไม่กี่คนที่ได้เห็นเขาในมุมนี้ก็รู้สึกพิเศษจะเป็นบ้าแล้ว วันนี้สิบสามทำคะแนนหนักชะมัด เขารู้ตัวไหมนะว่าวันนี้ทำให้ผมใจสั่นไปกี่รอบ เอาจริงๆ แค่ยิ้มให้เห็นก็รู้สึกว่ามันเกินไปมากๆ จะยิ้มน้อยหรือยิ้มกว้างๆ ก็นับว่าดีทั้งนั้น.....ยิ้มเหมือนกับที่กำลังยิ้มอยู่เนี่ยะ

   โคตรน่ารักเลย

   นี่แค่วันแรกเองป้ะ เฌอจะมามีอาการใจเราไม่เป็นของเราไม่ได้ รอยยิ้มนั้นคือกับดักแน่ๆ แหละ ที่ผมรู้สึกว่ามันดีจังคงเป็นเพราะไม่ได้เห็นบ่อยๆ ไง ถ้าหลังจากนี้ได้เห็นมากขึ้น อาจจะไม่รู้สึกอะไรก็ได้ บอกแล้วว่าเรื่องนี้มันต้องดูกันยาวๆ ช่วงแรกๆ ก็แบบนี้แหละ คอยดูว่ามันจะเสมอต้นเสมอปลายไปได้เรื่อยๆ รึเปล่า ถึงตอนนั้นก็ค่อยว่ากันอีกที แต่อย่างน้อยวันนี้สิบสามก็ทำให้ผมรู้สึกดีและมีความสุขมากเลยนะ

   ได้ใช้เวลากับเขาก็สนุกดีอะ

   “สิบสาม....”

   “ครับ”

   ขอบคุณนะที่อยู่ข้างๆ ผมน่ะ

   “....อยากกินกุ้งอะ แกะให้หน่อยนะ”

   “ได้สิครับ”

   เนี่ยะ คุณสมบัติที่ว่าเคยเป็นเดือนแพทย์ฯ กำลังจะเป็นคฑากรไม้หนึ่งของคณะ หน้าตาดี บ้านรวย แล้วก็....ดูแลเอาใจใส่ดีแบบเนี้ยะ ก็ควรเก็บไว้พิจารณาจริงๆ นั่นแหละ ผมเคยดูแลคนอื่นมาตลอด พอมีคนอื่นมาดูบ้างมันก็ดีเหมือนกันนะ

   โคตรแพ้เลยว่ะ

   แม่ง.....

   

   

   

   

   

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้ว ก็ยังคงมาไวอยู่นะ แต่จะทิ้งช่วงจริงๆ แล้วนะ พรุ่งนี้จะปิดต้นฉบับนิยายเรื่องอื่นก่อนนะคะ บี๋ก็รอชาลหน่อยนะ ขอเวลาสัก 2-3 วันน้า จะมาต่อให้ค่ะ เพราะงั้นอดทนรอกันอย่างใจเย็นเนอะ

   ชอบบทนี้มาก มากในมาก น่ารัก เขียนเองก็ชอบ5555555 นังน้อนน่ารักมากเลยอะ ก็เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อรอติดตามนะคะ

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะคะ

   ขอบคุณที่เข้้ามาอ่านค้าบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 9 : 22/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-01-2020 00:13:09
 อยากได้แบบเน้~
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 10 : 24/1/2020] หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 24-01-2020 21:05:56
บทที่ 10 ช่วงเวลาสั้นๆ



   ถนนคนเดินกลางของมหา’ลัยแม่งเป็นอะไรที่โคตรดีเลย

   อิ่มตาอิ่มใจไปหมด

   ผมกับเหล่าสหายเดินหน้าสลอนกันอยู่ที่ถนนคนเดินกลางซึ่งภายใน 1 เทอมจะจัดขึ้นแค่ครั้งเดียว แต่กินเวลาไป 3 วันเลยนะครับ มันก็เป็นตลาดใหญ่แหละ แล้วก็มีซุ้มให้เล่นเยอะเลย อีกอย่างคือแต่ละคณะสามารถออกร้านได้ รู้สึกว่าร้านของคณะวิศวะฯ น่าจะเป็นร้านยำลูกชิ้น เชื่อได้เลยว่ามันต้องขายดีมากๆ เพราะที่ซุ้มนั้นมีไอ้ขุนอยู่ คือต่อให้มันจะมีแฟนแล้วแต่ยังไงมันก็ยังเป็นตัวเรียกลูกค้าชั้นยอด ความจริงไม่ใช่แค่มันหรอก แต่ทั้งแก๊งค์นั้นน่ะ

   ใครๆ ก็คงอยากเห็นพวกพี่ว้ากหน้าเหี้ยมมานั่งขายยำลูกชิ้นป้ะวะ

   ส่วนมากคณะจะส่งพวกปี 3 ให้มาออกร้าน ของปีผมขายน้ำปั่น แม่งโคตรชุลมุนเลยแบบหัวจะปวดมาก เป็นการออกร้านที่ขายหน้าตามากกว่ารสชาติอาหารสุดๆ ช่างเถอะ อย่าไปนึกถึงอดีตอันขมขื่นเลยดีกว่า สิ่งที่ควรสนใจในตอนนี้คือบรรดารุ่นน้องน่ารักตะมุตะมิจากหลายคณะที่เดินกันให้เต็มไปหมดนี่ดีกว่า เห็นแล้วเป็นปลื้มรู้สึกกระชุ่มกระชวยมากเลยครับ ถนนคนเดินกลางนี่มันสร้างมาเพื่อชรันจริงๆ

   ชื่นอกชื่นใจ

   “มึงเลิกทำหน้าเหมือนอยากกินทุกคนที่เดินผ่านไปได้ไหมวะไอ้เวร” ไอ้แช่มดึงแก้มผม “เดี๋ยวผัวเขาก็เตะให้หรอก”

   “เกินเหอะ กูก็ทำหน้าปกติของกูป้ะวะ” ผมจับมือมันออกก่อนจะถูหน้าตัวเอง มือเปื้อนขนมแล้วมาดึงหน้ากูอีกไอ้ชั่ว

   “เออ แล้วตอนกลางคืนพวกมึงจะมาป้ะ เขามีดนตรีอะ” ทะเลเอ่ยถาม

   “มาดิ ไอ้หมีขึ้นร้องเพลงด้วย เหมือนว่าคณะจะส่งมันมาเป็นตัวแทนอะ กูต้องอยู่ทำหน้าเหี้ยมกันพวกที่จะมายุ่งกับแฟนกู” ไอ้ขันบ่นอย่างหงุดหงิด แหมๆ ๆ ๆ เจตนาชัดเจนชิบหายว่าจะมาเฝ้าแฟน

   หมั่นไส้ว่ะ

   “แล้วพวกมึงอะ จะมาป้ะ”

   “ก็อาจจะว่ะ เดี๋ยวว่ากันอีกที กูต้องถามแฟนก่อน”

   “เออ” ทะเลรับคำจันทร์ฉายก่อนจะคล้องคอผม “มึงล่ะครับเพื่อนเฌอ จะมารึเปล่า”

   “อืม ก็คงมาแหละ กูไม่มีไรทำ เหงา”

   “ช่วงนี้จะเหงาเหรอวะ พูดผิดให้พูดใหม่ได้นะ” เพื่อนรักทั้งกลุ่มหรี่ตาเพื่อจ้องจับผิดผม เอาเข้าไปนะพวกมึงนะ ได้ทีก็เอาใหญ่

   “เออสิวะ กูไปซื้อน้ำก่อน” ผมจับแขนทะเลออกก่อนจะเดินปลีกตัวไปซื้อน้ำ รำคาญพวกมันจริงๆ อาทิตย์ที่ผ่านมานี้จ้องแต่จะจับผิดกัน

   ไอ้เวร

   ผมเข้าใจความหมายของคำที่มันพูดนะที่ว่าช่วงนี้จะเหงาเหรอ โอเค ยอมรับเลยครับว่าช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่เลิกกับน้องเดียร์ผมไม่เหงาเลย มี 2-3 วันแรกที่แซดบ้างแต่มันก็ไม่ได้หนักมากจนใจทนไม่ไหว แล้วก็คงเพราะผมได้ทำอะไรหลายๆ อย่างในช่วงนั้นด้วยแหละมั้งไม่ว่าจะงานหรืออย่างอื่น มันก็ยุ่งอยู่นะเรื่องทำโปรเจกต์จบเสนออาจารย์น่ะ คือตอนแรกที่ผมทำส่งไปให้ทางคณะมันก็โอเคแล้วแต่เหมือนทางสถานประกอบการเขาอยากให้ปรับแก้นิดหน่อยเพื่อให้เข้ากับองค์กรเขา

   เดี๋ยวโปรเจกต์ตัวแก้นี้จะส่งอาทิตย์หน้า

   ผมทำเสร็จแล้วและขอให้มันผ่านไปได้ด้วยดีเถอะ

   ไม่อยากแก้ซ้ำซ้อนซ้ำซากให้ปวดใจ

   อีกอย่างที่เป็นปัจจัยของความคลายเหงาก็คือเด็กคนนึงที่หน้าเหมือนแบด แบดไง เวลา 5 โมงเย็นแบบนี้เขาน่าจะซ้อมคฑาอยู่ สงสารพวกคฑากรนะ เริ่มซ้อมกันตั้งแต่ตอนนี้เลยอะ กีฬาสีมันตั้งเทอมหน้า แต่อย่างว่า....มันมีอย่างอื่นต้องทำด้วยไง ถ้าไปโหมซ้อมช่วงใกล้งานเลยก็จะหนักไป ซ้อมไปเรื่อยๆ แบบสม่ำเสมอก็อาจจะดีกว่า พูดแล้วก็อยากเห็นวันจริงเหมือนกันนะ ผมอยากรู้ว่านังน้อนจะเท่มากแค่ไหน

   มันต้องดีแบบที่ผมคิดเอาไว้แน่ๆ เลย

   ตั้งแต่เลิกกับน้องเดียร์ เราสองคนมีโอกาสได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้นครับ ส่วนมากไปกินข้าวกันตอนที่เลิกเรียนแล้ว อืม....ก็แค่นั้นแหละ ไม่มีมากกว่านี้ คงเพราะผมติดทำงานก็เลยอยู่ด้วยกันได้แป๊บๆ อะ ซึ่งมันก็ไม่แปลกอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ ไม่ใช่แค่ผมที่มีหน้าที่ตัวเองต้องทำ แต่สิบสามก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ส่วนมากเวลาของเขาจะหมดไปกับการอ่านหนังสือแล้วก็ทำงานต่างๆ พอมีเวลาว่างตรงกันก็มีคุยบ้างนิดหน่อย

   บางทีก็หาคำพูดมาทำให้ผมใจสั่น

   หึ....อย่าให้ถึงทีของพี่บ้างนะนังน้อน

   “เอาชาเขียวปั่นครับ” ผมบอกกับน้องคนขายอย่างเป็นมิตร ร้านนี้เป็นของคณะทันตะฯ ครับ ขายน้ำปั่นและขายความน่ารักไปในตัว

   แต่ละคนในซุ้มคือดีมาก

   ดีมากๆ เลยค้าบ

   “อุ๊ย ขอโทษค่ะ” ร่างบางที่ชนแขนผมเอ่ยพร้อมกับยิ้มบางๆ “เกลไม่ระวังเอง”

   “ไม่เป็นครับ” ผมเอ่ยตอบน้องคณะการบินฯ คนสวย

   “เอ่อ....จริงรึเปล่าคะที่พี่เฌอเลิกกับแฟนแล้ว”

   รู้เรื่องนี้ด้วยแฮะแถมรู้จักชื่อผมด้วย

   “ใช่ครับ” ผมพยักหน้ารับตามความจริง “พี่เลิกกับแฟนอาทิตย์กว่าละ”

   “งั้นพี่เฌอก็โสดสิคะ”

   “ครับ....โสด”

   “ชาเขียวปั่นได้แล้วค่ะพี่เฌอ 45 บาทค่ะ”

   “โอเคครับ” ผมหยิบเงินส่งไปให้น้องคนที่ขายน้ำก่อนจะรับแก้วชาเขียวมา มองในกระดาษทิชชู่ที่ห่อรอบแก้วก็เห็นว่ามีเศษกระดาษติดมาด้วย พอเป็นแบบนั้นผมจึงเหลือบไปมองน้องทันตะฯ คนนั้น

   ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้แบบนี้นี่ชัดเลย

   “ถ้าพี่โสด....งั้นหนูขอไลน์ได้ไหมคะ” มือบางส่งโทรศัพท์มาให้พร้อมกับมองด้วยสายตาออดอ้อน เอาไงดีวะเนี่ย ถ้าเป็นเมื่อก่อน มีผู้หญิงที่สวยและน่ารักขนาดนี้มาขอไลน์ผมคงจะให้โดยที่ไม่ต้องคิดเลยล่ะ

   ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ....หึ

   นังเด็กหน้าเหมือนแบด แบด กำลังลอยหน้าลอยตาเต็มหัวไปหมดเนี่ยะ

   ให้ไปแต่ใช้วิธีนั้นก็ได้นี่นา.....

   “ได้สิครับ” ผมหยิบโทรศัพท์มากดไอดีไลน์ให้น้องเขา “เรียบร้อยแล้วครับ”

   “ขอบคุณนะคะ”

   “งั้นพี่ขอตัวก่อนนะครับ” ผมบอกก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วหยิบกระดาษที่สอดอยู่ในทิชชู่ออกมาดู ก็พบว่ามันมีเบอร์โทรศัพท์และไอดีไลน์เขียนเอาไว้ เจ้าของระบุชื่อว่าน้องมิว

   ฮอตจังเลยเนอะพี่เฌอเนี่ย

   ผมเก็บกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋าเสื้อช็อปเหมือนกับใบอื่นๆ ที่ได้มาในวันนี้ น้องมิวไม่ใช่คนแรกนะครับที่ทำแบบนี้ น้องเกลก็เหมือนกัน วันนี้ผมได้เบอร์กับไลน์ผู้หญิงสวยๆ มาเต็มเลย อารมณ์เหมือนรู้ว่าผมโสด เพิ่งอกหักก็พร้อมพากันมาดามใจ เกินไปมากๆ ก็นะ บอกแล้วว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่คิดอะไรเยอะ แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วไง ต้องยอมรับก่อนว่าจากสิ่งที่น้องเดียร์ทำเอาไว้ มันทำให้ผมมีสติกับเรื่องนี้มากขึ้น

   ไม่หลงระเริงไปกับรอยยิ้มหวานๆ พวกนั้น

   คือเราไม่รู้ได้เลยอะว่าคนที่เข้ามานั้นเขารู้สึกกับเราจริงๆ ชอบเราหรือแค่เพราะต้องการผลประโยชน์อะไรบางอย่างจากเรารึเปล่า ยิ่งตอนนี้หลายคนรู้ว่าผมสนิทกับสิบสาม อาจจะมีคนที่อยากสนิทกับผมเพื่อไปสนิทกับนังน้อนอีกทีก็ได้ ใช้เฌอคนนี้เป็นทางผ่าน ปกติผมจะไม่ใช่พวกคิดอะไรในแง่ลบขนาดนี้นะแต่พอเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับตัวเองไปแล้วครั้งนึงมันก็ต้องคิดบ้างแล้วป้ะ คิดแล้วมันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่นะ เหมือนคิดเพื่อให้ตัวเองระวังเอาไว้มากกว่า

   บทเรียนแย่ๆ แบบนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว

   ผมเดินกลับมาหากลุ่มเพื่อนที่ยืนรออยู่ก่อนจะพากันเดินต่อแล้วซื้อของโน่นนี่จนมาถึงร้านที่ขายของน่ารักมุ้งมิ้ง สายตาผมไปสะดุดกับของใช้ต่างๆ ของแบรนด์ซาริโอ้ซึ่งใครบางคนชอบมาก ดูนี่สิ กล่องใส่ของลายลิตเติ้ลทวินสตาร์ แค่นึกว่าสิบสามยืนอยู่ตรงนี้ด้วยกัน ตาเขาต้องเป็นประกายมากแน่ๆ ผมดูของไปเรื่อยจนมาหยุดอยู่ที่ผ้าคาดผมลายนกแพนกวินจอมเกเรแบด แบด มารุ ซึ่งทำไมมันตลกจังวะ

   ตลกแบบนี้ก็ต้องซื้อสิครับ เหยื่อการตลาดอย่างเราต้องพ่ายแพ้อยู่แล้ว

   หลังจากที่ได้ของที่ต้องการแล้วผมก็หันไปหาเพื่อนๆ “เออมึง เดี๋ยวกูไปก่อนนะ เจอกันตอนค่ำ”

   “ตอนค่ำจะเจอมึงแน่เหรอ” ชริตเป็ดเลิกคิ้วมองอย่างกวนส้นตีน “ถ้าเจอนี่จะเจอมึงคนเดียวไหมน้า”

   “ถ้าไม่เจอไอ้เฌอคนเดียวนี่จะเจอใครด้วยน้า”

   “จะเจอใครน้า”

   “คนนั้นชื่ออะไรน้า”

   “มึงจะน้าอีกนานไหมไอ้หน้าสัส กูไปละ เสียเวลา” ผมเบ้ปากใส่พวกมันก่อนจะเดินออกมาทันที กวนประสาทชิบหาย ถ้าไม่ทำชรันคนนี้หงุดหงิดสงสัยจะนอนกันไม่หลับ

   หัวจะปวดจริงๆ

   ผมเดินออกจากถนนคนเดินก่อนจะมุ่งหน้าไปที่ตึกคณะแพทย์ฯ ตรงลานคุณหมอ เห็นร่างสูงกำลังยืนฟังรุ่นพี่ที่มาซ้อมให้อย่างตั้งใจ สีหน้าเหมือนเดิมเพิ่มคือผมยาวปรกหน้ามาก วันนี้ดูงานดีจัดๆ เพราะไม่ใส่แว่นและสวมแมส แต่ก็นั่นแหละ ผมทิ่มตาไปหมด เดินแล้วมองเห็นทางบ้างไหมวะ นี่บอกให้ไปตัดผมแล้วนะแต่ก็ยังไม่ยอมไปตัดสักที ต้องให้เดินสะดุดหน้าทิ่มสักทีแหละถึงจะยอม

   หึ้ยยย....ย....ดื้อจังวะ

   ผมดูดชาเขียวปั่นในมือพลางมองสิบสามอยู่ตรงนี้เงียบๆ การมาตึกคณะแพทย์ฯ ของผมในหลายครั้งที่ผ่านมานั้นคือไม่เจอน้องเดียร์เลยครับซึ่งมันเป็นเรื่องดีแล้วแหละ ถ้าเจอหน้ากันผมก็คงเฉยๆ ไม่สนใจ เพราะตอนนี้มีคนที่น่าสนใจมากกว่าแล้วล่ะ นังน้อนมันเก่งเหมือนกันนะที่เข้ามาทำให้ใจผมชะงักได้เวลามีคนมายุ่มย่ามน่ะ ผมมักจะนึกถึงเขาก่อนตลอดเลย คือตอนนี้ไม่รู้หรอกว่าระหว่างเราจะเป็นยังไงหรือจะไปในทิศทางไหนแต่ยอมรับว่าเริ่มสับสน

   สับสนไปหมด

   การมีเขาอยู่มันดีจนไม่รู้ว่าคนอื่นที่เข้ามาจะมีใครดีได้เท่าเขารึเปล่า ใครจะทำได้มากกว่าที่เขาทำได้ในตอนนี้ไหม แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเออ....สิบสามเป็นผู้ชายไง ตลอดชีวิตของผมมีแค่ผู้หญิงที่เข้ามา บางทีมันทำตัวไม่ค่อยถูกอะ ผมเคยเห็นเพื่อนๆ หรือคนรอบข้างที่มีความสัมพันธ์นี้มาเยอะก็จริง แต่พอมาเจอกับตัวเองมันก็ต้องมีประหม่าบ้าง บางทีคนเราก็ต้องใช้เวลาปรับอะไรหลายๆ อย่างป้ะวะ เดี๋ยวถ้ามันรู้สึกว่าใช่....ถึงตอนนั้นก็จะรู้เองแหละ

   แต่ตอนนี้ก็มีความสุขดีนะ

   เห้อะ....พูดเหมือนพวกมีความรักไปได้

   ผมเดินเข้ามาหานังน้อนที่นั่งพักอยู่ “ผมทิ่มตาไปหมดแล้วคุณ”

   “ทำไมมาอยู่ที่นี่ครับ” เจ้าตัวกำลังพยายามพับแขนเสื้อตัวเองอยู่ พอเห็นแบบนั้นผมเลยพับให้เขา “ขอบคุณครับ”

   “อื้ม....ผมก็มาแอบดูคุณไง”

   “คงไม่แอบแล้วใช่ไหมครับ เพราะพี่ยืนอยู่ตรงหน้าผมเลย”

   “ใช่ เมื่อกี๊แอบดูแล้วคิดว่าถ้าคุณล้มเพราะผมทิ่มตาอาจจะเห็นได้ไม่ชัด เลยอยากมาดูใกล้ๆ ”

   “พี่ก็พูดเกินไป ผมไม่ล้มหรอก” เจ้าตัวเสยผมที่ปรกหน้าออกส่วนผมก็ส่งถุงของบางอย่างให้เขา “อะไรครับ”

   “ของคุณ ผมซื้อมาให้”

   มือเรียวหยิบผ้าคาดผมลายแบด แบดออกมาก่อนจะมองอยู่อย่างนั้น “....พี่เฌอ”

   “มันเหมาะกับคุณมากเลยนะ ผมถึงซื้อมาให้ไง มา....เดี๋ยวผมใส่ให้” ว่าแล้วผมก็แกะถุงผ้าคาดผมออกก่อนจะสวมเข้าที่หัวของสิบสามแล้วใช้มันคาดผมที่ปรกหน้าเขาอยู่

   ลุคนี้คือดีจังวะ

   ผมมองดวงตาคมของคนตรงหน้าที่มองมานิ่งๆ อื้ม ก็หล่อนั่นแหละ ใบหน้าใสที่ไม่มีผมปรกนี่โคตรดีเลย ผมอยากเห็นหน้าเขาชัดๆ แบบนี้มานานละ ปกติผมด้านหน้านังน้อนจะบังอยู่ตลอด ไม่สวมแมสก็ใส่แว่น เนี่ยะ บรรดาแฟนคลับต้องขอบคุณพี่เฌอนะครับ เพราะถ้าไม่มีพี่อยู่แล้วน้องๆ จะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้เด็ดขาด ผมจับผมเขาให้เข้าที่เข้าทางรวมถึงหน้าของแบด แบดที่เป็นผ้าคาดผมด้วย มองแบบนี้เหมือนสิบสามมีสี่ตาเลยแฮะ

   บอกแล้วว่าเขาน่ะหน้าเหมือนแบด แบดจริงๆ

   “พอใจรึยังครับ” คนที่นั่งอยู่เอ่ยถาม

   “พอใจมาก....ขนาดใช้ผ้าคาดผมลายการ์ตูนแต่คุณยังดูหล่อเลย”

   “ก็ผมหล่อ”

   “หนิ....ผมชมคุณได้ แต่คุณอย่ามาชมตัวเองให้ได้ยินได้ไหม หมั่นไส้จริงๆ ” ผมทำหน้าตึงใส่คนตรงหน้าก่อนจะนั่งลงข้างๆ เขา “เหนื่อยป้ะคุณ”

   “ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ผมทนได้ เหนื่อยกว่านี้ก็ทำมาแล้ว”

   “ดีแล้ว แต่ถ้าไม่ไหวก็ต้องพักนะ อย่าฝืนตัวเอง”

   เขาเหลือบมองผม “เป็นห่วงเหรอครับ”

   “ก็จึ๋งนึง....”


   “หึ....พี่นี่” เจ้าตัวหลุดยิ้มออกมาแวบนึงก่อนจะทำหน้านิ่งตามเดิม กลัวคนอื่นเห็นแหละดูออก ตรงนี้ไม่ได้มีแค่ผมไง เขาเลยเลือกที่จะไม่แสดงอะไรออกมามากนัก รอยยิ้มเมื่อกี๊ก็คงเรียกว่าหลุดได้เหมือนกัน

   “ซ้อมเสร็จกี่โมงเหรอคุณ”

   “ 6 โมงครับ มีอะไรรึเปล่า”

   “ก็ถนนคนเดินวันสุดท้าย วันนี้จะมีดนตรีด้วยก็เลยอยากชวนไปด้วยกัน”

   “ได้สิครับ แล้วพี่จะรอผมเลยรึเปล่า”

   “อื้ม ผมว่าง ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว อีกแค่พักเดียวเองด้วย”

   “งั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวผมซ้อมต่อแล้วเราค่อยไปถนนคนเดินกัน”

   “ได้....” หลังจากที่ผมรับคำ สิบสามก็หยิบคฑาแล้วไปซ้อมต่อ

   ผมหยิบโทรศัพท์ก่อนจะกดเข้าเฟซบุ๊ก โพสต์แรกที่แสดงอยู่หน้าไทม์ไลน์คือภาพของผมที่กำลังจัดผมให้สิบสามอยู่ รูปนี้เพิ่งโพสต์ไม่กี่นาทีที่แล้วเอง แอดมินมันเป็นใครวะ แต่ที่แน่ๆ คืออยู่แถวนี้แหละ ดีไม่ดีซ่อนอยู่ในพุ่มคริสติน่าแน่ๆ มันน่านักนะ คือผมไม่มีปัญหากับการถูกถ่ายรูปไปลงนักหรอก คือช่วงแรกอาจจะมีตอนปี 1 อะ แต่พอผ่านๆ ไปก็ช่างแม่ง ถ้ามันไม่ได้สร้างความเดือนร้อนผมก็ไม่ได้ว่าอะไร

   แต่อันนี้มันก็แบบ....หน้าดูเงอะงะชิบหาย

   แล้วสิบสามมุมข้างนี้อย่างหล่อเลยไอ้เวร

   ถ่ายทั้งคู่ก็ควรให้มันหล่อทั้งคู่ไหมวะ แล้วยอดไลค์กับคอมเม้นต์คือมาไวมาก ประเด็นของ #สามเฌอ มันเป็นที่พูดถึงมาตั้งแต่ตอนที่ผมถ่ายรูปเขาลงสตอรี่ไอจีอะ ก่อนจะซาไปตอนที่ผมตั้งตัสคบกับน้องเดียร์ แล้วมันก็มาเริ่มพูดถึงอีกครั้งหลังจากที่ผมโสดและอยู่กับสิบสามบ่อยๆ ตอนนี้เหมือนกับใครหลายๆ คนสงสัยว่าระหว่างเราเนี่ยะยังไงกันแน่ สนิทกันในระดับของรุ่นพี่รุ่นน้องหรืออะไรที่มันมากกว่านั้น

   สำหรับผม สิบสามก็คือรุ่นน้อง

   รุ่นน้องที่พิเศษกว่าคนอื่น....หลายจึ๋ง

   “จิ๊....นังน้อง”

   ตึกตัก

   แอบหันมายิ้มให้ทำไมวะ

   ไอ้บ้า

   

***



   “คนเยอะกว่าเมื่อตอนผมมาเดินอีกอะคุณ”

   “พี่จะชนเขาแล้วครับพี่เฌอ” สิบสามบอกก่อนจะรั้งแขนผมหลบคน “ระวังด้วยสิ”

   “บ่นเก่งว่ะ เดินนำไปเลย” ผมดันให้เขาเดินด้านหน้าก่อนที่ตัวเองจะเดินตามหลัง “ไปร้านปลาหมึกย่าง”

   ร่างสูงเดินนำผมไปยังร้านปลาหมึกย่าง ตอนนี้เราอยู่ที่ถนนคนเดินกลางครับ เดินมาชั่วโมงกว่าละ นี่กำลังมาหาอะไรกินก่อนที่จะเดินไปเวทีเล็กด้านหลัง เอาจริงๆ ตอนนี้ก็เริ่มเล่นดนตรีกันแล้วล่ะ พวกเพื่อนๆ ผมก็น่าจะอยู่หน้าเวทีกันแล้ว ไอ้เวรแช่มนี่โทรตามยิกๆ ไม่รู้มันจะรีบอะไรนักหนา ผมหมั่นไส้เลยตัดสายแม่งซะ เชื่อดิว่าตอนนี้มันต้องสาปแช่งผมอยู่ในใจแน่ๆ

   ช่างแม่ง

   ไม่สนใจหรอก

   “คุณกินไหม” ผมเอ่ยถามเขาพลางจ่อปลาหมึกที่ปากบาง

   สิบสามกินปลาหมึกที่ผมป้อน “เผ็ด”

   “อะน้ำ” ผมส่งน้ำให้เขาพลางลากมาที่ร้านขายขนมเบื้อง “เอา 1 ชุดครับ”

   “อร๊ายยยยพี่เฌอคนหล่อแห่งวิศวะฯ กับน้องสิบสามคนคูลแห่งคณะแพทย์ฯ ” น้องสาวสองที่เฝ้าบูธยิ้มหวานให้พวกเรา “ขนมเบื้องใช่ไหมคะ เดี๋ยวหนูแถมให้พิเศษเลยด้วยความเสน่หา”

   “ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มหวานให้ ขำว่ะ เรียกนังน้อนว่าน้องสิบสามคนคูล คูลตรงไหนวะ เรียกว่าคนหน้าตากวนประสาทยังจะเหมาะกว่า

   ดูทำหน้าสิ

   “ขอถ่ายรูปทั้งคู่หน่อยได้ไหมคะ คือชอบมากเลยน่ะค่ะ อยากให้รักกันนานๆ ”

   “เอ่อเดี๋ยว....คือ” ผมมองสิบสามแบบเลิ่กลั่ก คุณก็ไม่คิดจะแก้ตัวอะไรเลยเหรอวะ

   “หึ....” ร่างสูงหลุดยิ้มออกมาอย่างชอบใจและนั่นทำให้เหล่าเด็กๆ ในร้านขนมเบื้องส่งเสียงวี้ดว้ายกันดังกว่าเดิมเพราะเห็นสิบสามยิ้ม

   ไอ้ต้าวนังน้อนเวรเอ๊ย

   เหมือนแกล้งกันเลยเนี่ยะ

   “มาค่ะๆ มองกล้องนะคะพี่เฌอ น้องสิบสาม เซย์ชีสค่า”

   แชะ

   แชะ

   แชะ

   ถ่ายเป็นร้อยรูปแล้วมั้ง

   “เรียบร้อยค่า ขอบคุณนะคะ อันนี้ขนมเบื้องค่ะ”

   “เท่าไหร่ครับ”

   “ 25 บาทค่ะ”

   “นี่ครับ ขอบคุณนะที่แถมให้ ป่ะคุณ....” ผมลากร่างสูงออกมาจากตรงนั้นด้วยความรู้สึกหลายอย่าง เขินกับอายนำมาก่อนเลยแม่งเอ๊ย คนมองอย่างเยอะ

   อีนังน้อนนี่ก็ยิ้มไม่เป็นเวล่ำเวลาน่าทุบ

   สิบสามหยิบขนมเบื้องไปกิน สีหน้านิ่งแต่ดูอารมณ์ดี งงอะดิว่าผมรู้ได้ไง สายตานั่นไงที่บอกทุกอย่าง นี่ถ้าอยู่กันแค่สองคนคงยิ้มจนลักยิ้มขึ้นแน่ล่ะ ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเด็กในร้านขนมเบื้องเมื่อกี๊ถึงได้ฮือฮากันนัก ปกติแล้วนังน้อนต้องมีอะไรบังหน้าไง แต่วันนี้คือเพียวๆ เลยหน้าใสกิ๊ก แถมบนหัวก็มีผ้าคาดผมลายแบด แบด อีกอย่างที่สำคัญคือยิ้มให้เห็นทั้งๆ ที่มันไม่เคยเป็นแบบนั้น แล้วยิ้มให้กับอะไรรู้ไหม

   ขอถ่ายรูปทั้งคู่หน่อยได้ไหมคะ คือชอบมากเลยน่ะค่ะ.....อยากให้รักกันนานๆ

   ไม่แก้ต่างแถมยิ้มอีกต่างหาก

   คนเข้าใจผิดกันไปทั้งบางแล้วมั้ง

   ผมยัดขนมเบื้องเข้าปากก่อนจะพาเขาเดินมาจนถึงเวทีเล็กแล้วไปยังโต๊ะที่พวกเพื่อนๆ นั่งอยู่ แน่นอนว่าการมาของเราทำให้ไอ้พวกตัวแสบส่งเสียงและสายตากวนส้นตีนมาให้ทันที สิบสามยกมือไหว้พวกมันพอเป็นพิธี คือไม่ควรไหว้หรอกไอ้เวรพวกนี้อะ ไม่มีใครน่านับถือว่าสักคน ผมให้สิบสามนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ ก่อนจะหยิบโน่นนี่กินไปเรื่อย เอาจริงๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นังน้อนได้มาร่วมโต๊ะกับเพื่อนๆ ผมหรอกนะ ก่อนหน้านี้มีมากินข้าวด้วยกันที่ตึกคณะผมนั่นแหละ ตอนนั้นก็ตั้งใจจะกินกันแค่สองคน

   สักพักไอ้พวกนี้ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้

   นั่งล้อมนังน้อนเอาไว้พร้อมกับเผาวีรกรรมของผมให้ฟังไปด้วย

   “ไอ้หมีขึ้นละ ไปพวกมึง” ไอ้ขันบอกก่อนจะลุกเดินไปด้านหน้าเวที คือต้องให้ได้ยืนชิดขั้นสุด ไม่ขึ้นไปบนเวทีเลยวะ

   “มึงไปป้ะเฌอ”

   ผมส่ายหน้า “ไม่เอา กูไม่อยากเบียดกับคนอื่น พวกมึงไปเหอะ เดี๋ยวกูเฝ้าของให้”

   “เฝ้าของหรือเฝ้าเด็กอะครับ” เสียงแซวจากทะเลเพื่อนรัก อยากถอดรองเท้าปาใส่หน้าจริงๆ พูดมากนัก

   “ไปๆ กันได้ละ รำคาญจริงๆ ” ผมยัดขนมเบื้องเข้าปากพลางมองไอ้หมีที่เดินขึ้นเวทีไปพร้อมกับเพื่อนกลุ่มมัน คนนึงคือไอ้เป้ส่วนอีกคนไม่รู้ว่าเป็นใคร ช่างแม่ง ชรันไม่จำเป็นต้องรู้จักคนทั้งโลกแบบที่ไอ้หมีรู้จักสักหน่อย

   “หมีร้องเพลงเพราะมากเลยนะครับ”

   “อื้ม แต่ก็เพราะมันร้องเพลงเพราะแบบนี้เนี่ยแหละ ไอ้ขันถึงได้เป็นบ้าแบบนั้นไง” ผมหันมองคนข้างๆ “คุณร้องเพลงได้ป้ะ”

   “ร้องได้ครับ....เพราะด้วย”

   “งั้น....”

   “แต่ผมตั้งใจจะร้องให้แฟนตัวเองฟังนะครับ” สิบสามเอียงหัวมาใกล้ผม “พี่เฌออยากฟังไหมล่ะ”

   ตึกตัก

   แม่งๆ ๆ ๆ ๆ

   ผมผลักหัวเขาออกอย่างหมั่นไส้ “คุณนี่....”

   “ก็ผมตั้งใจเอาไว้แบบนั้นจริงๆ นี่ครับ” ร่างสูงหยิบเศษกระดาษที่อยู่บนขาผม “มันออกมาจากเสื้อช็อปพี่”

   “อ๋อ” พอเห็นแบบนั้นผมก็ล้วงเอาเศษกระดาษที่ได้มาวันนี้ยัดใส่มือสิบสาม “นี่เป็นเบอร์กับไอดีไลน์ที่ผมได้มาวันนี้”

   “เยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ”

   “ใช่ เห้ยเดี๋ยวดิ” ผมมองมือเรียวที่ขยำกระดาษพวกนั้นก่อนจะทิ้งลงถุงขยะทั้งหมด อะไรของเขาวะนั้นน่ะ

   “คู่แข่งผมทั้งนั้น” เขาเอ่ยเหมือนหงุดหงิด “เชื่อเถอะครับว่าเจ้าของเบอร์พวกนั้น ไม่มีใครสู้ผมได้หรอก”

   ผมเลิกคิ้วมองเขา “มั่นใจขนาดนั้นเลย”

   “ก็จึ๋งนึงครับ”

   “คุณนี่มันจริงๆ เลยนะนังน้อน”

   จะน่ารักไปถึงไหนวะ

   ผมนั่งอมยิ้มมองเขาอยู่อย่างนั้น ความจริงผมก็ตั้งใจที่จะทิ้งกระดาษพวกนั้นอยู่แล้วแหละ แต่ไม่คิดว่าสิบสามจะทำแบบนั้นให้แทนไง ส่วนน้องๆ ที่ขอไลน์ผมไปในวันนี้ มันเป็นไลน์ของโทรศัพท์เครื่องเก่าที่พังไปแล้ว ยังไงผมก็คงไม่ได้คุยกับพวกเธอแบบแน่นอน บอกแล้วไงว่าใจจะชะงักตลอดตอนมีคนที่มายุ่มย่าม สาเหตุมันก็เพราะคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กันนี่ไง ไม่รู้ดิ เหมือนตอนนี้ผมโอเคที่จะให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้มั้ง

   ระหว่างเราให้มีแค่ผมกับเขาก็พอแล้ว

   อย่างที่ผมเคยบอกว่าถ้าวันนึงเจอผู้ชายที่ทำให้ตัวเองหัวใจเต้นแรงได้ ผมก็อาจจะชอบผู้ชายคนนั้นก็ได้ ชอบในฐานะที่ไม่ได้ใช้คำว่าทั่วไป และตอนนี้ผมอาจจะเจอคนๆ นั้นแล้ว ผมไม่เคยใจเต้นแรงให้ผู้ชายคนไหนมาก่อน ความรู้สึกพิเศษที่เกิดขึ้นมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับใคร เขาเป็นคนแรก ผมรู้ว่าช่วงเวลาที่เรารู้จักกันมันไม่ได้นานมากขนาดนั้น แต่สำหรับผมแล้วช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นน่ะ....โคตรมีความหมายต่อความรู้สึกเลย

   มันพิเศษมากจริงๆ

   บางทีผมคิดว่าการที่ชีวิตเรามีคนเดินเข้ามาพร้อมกันตั้งมากมายแต่สุดท้ายเราก็เลือกที่จะมีคนๆ เดียวโดยที่เราตัดทุกคนทิ้งออกไปเลย นั่นก็เป็นเหมือนคำตอบมากแล้วนะ ให้เวลาจัดการอะไรอีกหน่อย จนถึงตอนนั้นเดี๋ยวคำตอบมันก็จะชัดเจนมากกว่านี้แหละ

   รอผมหน่อยนะนังน้อน

   

   “ฉันมองเห็นใครคนหนึ่งที่ใจฉันปรารถนา เขาดูคล้ายคนที่ใจรอคอยและตามหา  ผ่านมาเนิ่นนานเท่าไรชีวิต ทางที่เลือกเดินฉันไม่เคยคิด ว่าจะมีใครลิขิต ให้ชีวิตได้มาเจอเธอ

   หรือว่ารักไม่ใช่สิ่งที่เราต้องตามหา รักที่แท้แค่เพียงหยุดรอคอยและไขว่คว้า  ผ่านมาเนิ่นนานเท่าไรชีวิต ผ่านมามากมายฉันไม่เคยคิด ว่าจะมีใครลิขิต ให้ชีวิตได้มาพบเธอ”


   

   สิบสามมองผมพร้อมกับส่งมือมาให้

   หึ....ถ้าผมจับมือเขาไว้ เรื่องระหว่างเราจะเป็นยังไงกันนะ

   “จับมือแล้วจะยังไงต่อ”

   “จับแล้วก็จะไม่ปล่อยครับ”

   สมเป็นนังน้อนจริงๆ

   ผมเลื่อนมือไปจับมือสิบสามเอาไว้ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าเขาซึ่งมันคงไม่ต่างจากผม ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง แต่ที่รู้คือตอนนี้มันดีมากเลย ถ้าเป็นแบบนี้ไปได้ทุกวัน....ก็คงดี

   

   “คือเธอใช่ไหม ที่ฉันจะฝากหัวใจ ตามหามานานเท่าไร สุดท้ายเธอคนที่ใช่ อยู่ใกล้ใกล้ตัว

   เป็นเธอได้ไหม ให้ฉันได้หยุดหัวใจ เอาไว้ที่เธอ เดินทางมาแสนไกล สุดท้ายคนที่ใช่.....อยู่ตรงนี้เอง”

   

   ( เพลง เอ็มเอสเอ็น (MSN) - Helmetheads )


   

   

   

   

   



   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วนะคะ ใจไม่ไหวมากกับการเขียนบท 10 คือมันน่ารักจนไม่อยากคิดว่าตัวเองเป็นคนเขียน หุบยิ้มไม่ได้เลยอะ ชาลหวังว่าบี๋จะหุบยิ้มไม่ได้เหมือนกันนะคะ ก็หลายคนอ่านแล้วอาจจะรู้สึกว่าเรื่องระหว่างเเขาเนี่ยะมันใช้เวลาไม่นานแต่นั่นแหละค่ะ พี่เฌอได้ตอบแล้วว่ามันเป็นยังไง ในมุมมองของชาลคิดเรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องใช้เวลานะ ใช้ความรู้สึกและความมั่นใจพอ เพราะบางทีรอเวลาไปมันอาจจะสายไปก็ได้ค่ะ

   ช่วงนี้ชาลมีปัญหาส่วนตัวและต้นฉบับนิยายต้องจัดการนะคะ ก็อย่างที่บอกก่อนหน้าคือจะไม่ทำให้รอนานจนเกินไปนะ แต่ก็ต้องขอให้รอกันอย่างใจเย็นนะคะ

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 11 : 25/1/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 25-01-2020 21:49:58
บทที่ 11 ดอกกุหลาบ



   เบื่อควิซว่ะ

   เบื่อพอๆ กับที่เบื่อหน้าไอ้แช่มเลย

   ผมนั่งเท้าคางมองเพื่อนรักที่อยู่ในสภาพเหมือนไม่มีสติ แต่ก็ไม่แปลกหรอกเพราะว่ามันอยู่ในช่วงบำบัดอาการ PTSD เดี๋ยวต้องมารอลุ้นกันอีกทีว่าการกลับไปบ้านเกิดที่จังหวัดนครศรีฯ จะส่งผลต่ออาการมันยังไงบ้าง จะหายหรือว่าจะเป็นหนักกว่าเดิม ผมเป็นห่วงนะ ไม่ใช่แค่ผมหรอก เรียกได้ว่าทั้งกลุ่มนั่นแหละที่เป็นห่วง ในแก๊งค์ปลาทองเนี่ยะ ผมสนิทกับไอ้แช่มที่สุดแล้ว แต่ถึงจะสนิทที่สุด มันก็ไม่เล่าอะไรให้ฟังเลยนะ

   ต้องให้ตามสืบเอาเอง

   “จ้องหน้ากูขนาดนี้” คนที่ถูกจ้องหรี่ตามองผม “แอบชอบกูมานานแล้วสิ แต่เสียใจด้วยนะครับ ผมมีแฟนแล้ว”

   “สะเหล่อ ให้ไอ้หอมโชคร้ายไปคนเดียวเถอะ”

   “พูดจาน่าถีบยอดหน้าจริงๆ เป็นแฟนกูอะโชคดีจะตายห่า” ชริตเป็ดบอกพร้อมทำหน้าบึ้งใส่

   “แหมๆ ๆ ๆ กูอยากจะพามึงย้อนเวลากลับไปดูซะจริงว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในช่วงที่ผ่านมา ทำไม หรือจะเถียงอะ”

   “เถียงไม่ออกเลยว่ะ” เจ้าตัวถอนหายใจพลางทำหน้าสลด “เอาน่ะ แต่หลังจากนี้กูจะพยายามทำให้น้องหอมรู้สึกโชคดีที่ได้เป็นแฟนกู”

   “เออ เป็นแบบนั้นก็ดี”

   “ดราม่าไรกันวะ” ทะเลถือจานข้าวเดินเข้ามานั่งลงข้างผม “งอแงอะไรอีกไอ้แช่ม”

   “เปล่า เมื่อกี๊คำพูดไอ้เฌอมันจี้จุดอะ กูรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ”

   “มึงเริ่มก่อนเองนะ วันหลังไม่อยากปวดใจก็อย่าห้าวใส่พี่ครับน้อง” ผมจิ้มผักคะน้าในจานทะเลมากิน “หยุดยาวตกลงไปไหนวะ”

   “บ้านลันตาที่กระบี่ว่ะ กูประหม่าเหมือนกัน ไปบ้านแฟนครั้งแรกเลย มึงว่ากูจะรอดไหม”

   “ตายแน่นอนแหละมึงอะ เคยทำลูกเขาเสียใจถึงขนาดนั้น”

   “มันก็นานแล้วป้ะมึง ตั้งกี่ปีแล้ว” ทะเลเอ่ยอย่างหวั่นใจ “ตอนนั้นกูก็บัดซบจริงอะ แต่พอเป็นแฟนกันแล้วกูก็ดูแลมันอย่างดีป้ะวะ อย่างน้อยก็เพื่อชดเชยในเวลาที่กูทำตัวแย่ๆ ใส่”

   “ดูแลอย่างดี หึ....วันก่อนกูยังเห็นด่ามันเรื่องเสื้อช็อปอยู่เลย” ไอ้ขันที่เพิ่งเดินเข้ามาแขวะคนพูดไปทีนึง “กูว่านะ มึงไปบ้านลันตารอบนี้ ชะตาขาดแน่”

   “ปากดีจริงไอ้หน้าส้นตีน”

   ปลาทองกัดกันใหญ่เลยครับ....อะไรของพวกมันวะ

   ผมส่ายหัวเบาๆ อย่างหน่ายใจ แก๊งค์ปลาทองที่คบกันมาตอนนี้ก็เกือบ 4 ปีแล้ว สำหรับพวกผมมันเป็นมิตรภาพแบบสับสนมึนงงอะ แต่ละคนคือไม่น่าจะมาเป็นเพื่อนกันได้ด้วยซ้ำในตอนแรก ขอให้เรียกเรื่องของพวกเราว่าเวรกรรมละกัน เชื่อป้ะว่าพวกผมเคยทะเลาะกันหนักมากตอนปี 1 ถึงขั้นจะลงไม้ลงมือกันด้วยนะ ส่วนเรื่องที่เป็นสาเหตุครั้งนั้นก็คือเรื่องสูบบุหรี่ครับ ผมกับไอ้ขันคือเกือบตบตีกันมาละ

   มันน่าหมั่นไส้มากเมื่อก่อนอะ

   จำได้ว่าช่วงนั้นมันกวนส้นตีนอะไรสักอย่าง ผมหงุดหงิดก็เลยไปพ่นควันบุหรี่ใส่หน้ามัน คือไอ้ขันไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ มันก็ของขึ้นที่ผมทำแบบนั้น ก็นั่นแหละ มีปากเสียงกันจึ๋งนึงก่อนจะง้างหมัดหวังจะซัดหน้ามันแต่ทะเลกับจันทร์ฉายลากผมออกมาได้ก่อน ส่วนไอ้แช่มก็ไปปรามไอ้ขัน ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องวันนั้นแม่งโคตรขำเลย เรื่องมันเล็กมากแต่เลือดร้อนไง สงสัยอยากแดกตีนแหละคิดว่านะ แต่นั่นแหละ พอมีสตินึกคิดได้ก็คุยกันดีดีแล้วก็ขอโทษกัน

   แล้วก็ร่วมแก๊งค์ปลาทองมาจนถึงวันนี้

   เดี๋ยวพอจบเทอมนี้ทุกคนก็ต้องแยกย้ายไปฝึกงานตัวโปรเจกต์จบ มีของไอ้แช่มที่อยู่ไกลสุดคือไปฝึกที่จังหวัดระยอง ส่วนผมกับพวกที่เหลือฝึกกันอยู่ในแถบปริมณฑลนี่เอง ไอ้ขันได้ฝึกกรุงเทพฯ ไอ้เวร คือน่าหมั่นไส้ตรงที่มันชอบขิงว่ามันจะได้อยู่ใกล้ไอ้หมีตลอดช่วงเวลาฝึกงาน แล้วลองตัดภาพไปที่ชริตเป็ดผู้น่าสงสารดิ ของผมยังดีนะว่าอยู่แค่ปทุมฯ นี่เอง เอาน่ะ แค่ไม่กี่เดือนเองป้ะวะ

   ผ่านไปได้ก็จบแล้ว

   “เฌอ” จันทร์ฉายเรียกผมพร้อมกับส่งชาเขียวปั่นที่ฝากซื้อมาให้ “หยุดยาวนี้มึงไปไหน”

   “ตอนแรกมีแพลนว่าจะไปเสม็ดกับน้องเดียร์ แต่ก็นะ ตอนนี้น้องเดียร์จากกูไปแล้ว แพลนล่มแบบนี้กูอาจจะอยู่ห้องเฉยๆ ”

   “หยุดตั้งหลายวัน อยู่ห้องเฉยๆ มึงเบื่อตายพอดี”

   “ก็กูไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรหรือไปไหนดีนี่หว่า คืออยู่ห้องยังไงมันก็เหงาใช่ไหม ไปเที่ยวที่อื่นมันก็เหงาเหมือนกันเพราะมีกูคนเดียวเนี่ยะ หรือจะให้กูไปไหว้พ่อแม่ลันตากับมึงดีไหมล่ะ”

   “แบบนั้นก็ดีนะ เผื่อพ่อลันตาจะยิงกู กูได้วิ่งมาหลบหลังมึง”

   “ความคิดชั่วๆ ” ผมหยิกแขนมันอย่างหมั่นไส้ “มึงไปเผชิญชะตากรรมคนเดียวเลย กูไม่ไปไหนทั้งนั้นอะ”

   “กูจะไปฟาร์มที่บ้านไอ้หมี ถ้ามึงไม่รู้จะไปไหน ไปด้วยกันไหมล่ะ” เพื่อนขันเอ่ยถาม

   ผมส่ายหน้ารัวๆ “กูไม่อยากเห็นความรักอันหวานชื่นของมึงกับไอ้หมีหรอก รำคาญ”

   “งั้นมึงก็นอนเฉาตายอยู่ที่หอนั่นแหละ แล้วไม่ต้องไลน์มางอแงกับพวกกูนะว่าเหงา”

   “เออน่ะ ไว้ค่อยไปกันสักที่เยอะๆ ดิวะ ไปทั้งกลุ่มอะไรแบบนี้อะ นี่พวกมึงไปกันเป็นคู่ ถ้ากูไปด้วยมันก็เหมือนแบบ....อืม คนเหงาจริงๆ อะมึง”

   “งั้นก็เอางี้ดิ มึงอยากไปเสม็ด มึงก็ไป” ไอ้แช่มบอกก่อนแย่งชาเขียวปั่นผมไปกิน “แล้วมึงก็ชวนน้องหมอไปเที่ยวเป็นเพื่อน”

   “เห้ย....แต่ไปเสม็ดอะ ระวังจะเสร็จเด็กมันนะ”

   หึ....เด็กดิต้องเสร็จกู

   เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ใช่แบบนั้นดิวะเฌอ

   “เอ่อ....คือกูไม่รู้ว่าสิบสามจะไปไหนรึเปล่าว่ะ เออเอาเป็นว่ายังไม่รู้ว่าอะไรยังไงละกัน เดี๋ยวกูมานะ ไปสูบบุหรี่ก่อน”

   “กูไปด้วย” จันทร์ฉายบอกก่อนจะเดินตามผมมาที่ด้านหลังตึก

   ผมจัดแจงหยิบน้อนบุหรี่ออกมาจากตลับก่อนจะจุดสูบ ชวนสิบสามไปเที่ยวเสม็ดงั้นเหรอ อืม....ไม่แน่ใจเลยอะว่านังน้อนจะทำอะไรหรือไปไหนรึเปล่าช่วงหยุดยาว อีกอย่างคือไม่รู้ว่าถ้าชวนไปเที่ยวแล้วจะยอมไปด้วยกันไหม เสม็ดมันไกลไง มันไม่เหมือนไปเดินตลาดที่คิดจะไปก็ไป จากวันที่มีถนนคนเดินก็ผ่านมาไม่กี่วัน แต่เชื่อไหมว่ามันเป็นไม่กี่วันที่ใจโคตรยวบยาบเลย ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะการอัปเดตรูปภาพต่างๆ ลงโซเชี่ยลของนังน้อนครับ

   มีแต่รูปผมพร้อมกับแคปชั่นที่คิดดีไม่ได้เลย

   ส่วนมากเป็นรูปแอบถ่ายที่ผมไม่รู้ตัวซะมาก มีตอนที่หลับอยู่บนเตียงเขาด้วย จบแล้วชีวิตอะ ผมคิดว่าการที่สิบสามทำแบบนั้นอาจจะเป็นเพราะไม่อยากให้ใครมายุ่งกับผมล่ะมั้ง มันไม่ใช่การแสดงความเป็นเจ้าของชัดเจนแต่เหมือนตั้งใจจะบอกว่าคนนี้กูจีบอยู่ ใครยุ่งกูจะยิงให้ด้วย มันเป็นฟีลประมาณนั้นครับ ส่วนในเพจคิ้วท์บอยมหา’ลัยก็อวยเขาจัดๆ เลยเพราะปกติเด็กนี่เคยทำอะไรแบบนี้ที่ไหน

   สิ่งที่เขาแสดงออกไปทั้งหมดนั้นมันทำให้คนอื่นได้รู้ว่าผมพิเศษมากแค่ไหน

   ขนาดนี้แล้วก็ต้องเขินป้ะวะ

   ผมเห็นรูปที่เราถ่ายด้วยกันที่หน้าร้านขนมเบื้องในเพจคิ้วท์บอยซึ่งภาพที่ถูกนำไปลงนั้น นังน้อนเขายิ้มด้วยนะ โคตรหล่อเลยอะ หล่อจนผมที่ยืนอยู่ข้างกันดูดรอปไปเลย แม่ง....คิดแล้วหมั่นไส้ว่ะ เดี๋ยวค่อยเอาความหมั่นไส้นี้ไปล้างแค้นทีหลัง รู้ไหมครับว่ารูปนั้นทำให้ผมรู้อะไรดีดีเยอะเลยนะจากคอมเม้นต์ของคนที่ชอบและติดตามสิบสาม พวกนั้นบอกว่าตั้งแต่ที่ตามนังน้อนมาเนี่ยะ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลย

   ไม่เคยยิ้มให้เห็นได้บ่อยขนาดนี้และผมจะเป็นปัจจัยของรอยยิ้มพวกนั้นเสมอ

   ถ้าไม่มีผมอยู่เขาก็จะไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลย แต่ถ้ามีผมอยู่ด้วย เขาจะกลายเป็นเหมือนอีกคน เป็นใครที่คนอื่นไม่รู้จัก ทุกอย่างมันแสดงออกมาจากท่าทางและสายตาที่ชัดเจนมาก พอได้รู้แบบนั้นผมก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ

   รู้สึกอยู่ยากขึ้นมาจึ๋งนึงด้วย

   “เฌอ”

   “หืม....”

   “กับสิบสามน่ะ ยังไงวะ”

   “กู....จะพูดยังไงดีวะ มึงเข้าใจฟีลว่านี่เป็นครั้งแรกที่กูรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายป้ะ คือความรู้สึกต่างๆ มันก็ค่อนข้างชัดเจนนะแต่แบบ....”

   “เออกูเข้าใจ ใจเย็นๆ ก่อน” มือเรียวลูบไหล่ผมเบาๆ “เอาทีล่ะอย่างละกัน การที่มีเขาอยู่มันดีไหม”

   “ดีดิ ดีจนกูไม่รู้เลยว่าจะมีใครที่เข้ามาแล้วทำได้ดีเท่าที่เขาทำได้รึเปล่า ตอนแรกที่รู้จักกันใหม่ๆ เขาช่วยกูไว้หลายอย่าง ดูแลกูตอนเมา ไปโน่นไปนี่เป็นเพื่อนเวลาที่พวกมึงไม่ว่าง คือตอนนั้นมันก็อยู่ในความสัมพันธ์แบบที่กูมองเขาเป็นรุ่นน้อง แต่พอมีเรื่องเกิดขึ้นแล้วเขาบอกว่าตัวเองรู้สึกกับกูยังไง อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปอะมึง ตอนนี้กูก็คิดว่าเขาเป็นคนพิเศษ”

   “รู้ป้ะว่าสำหรับสายตาคนอื่น ตอนนี้มึงสองคนไม่ต่างจากคนเป็นแฟนกันเลย”

   “เออ ก็รู้แหละ แต่สถานะแฟนอะมึง มันก็หมายความถึงอะไรที่มันมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ใช่ไหมล่ะ” ผมพ่นควันบุหรี่พลางผ่อนลมหายใจ “ถ้าให้กูพูดตรงๆ ก็....ก็ชอบแหละ แต่ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้มันดีมากๆ เลยอะ กูไม่รู้ว่าถ้าความสัมพันธ์มันไปมากกว่านี้แล้วทุกอย่างจะเหมือนเดิมไหม กับสิบสามมันต่างจากทุกคนที่กูเจอมา กูหวั่นใจไปหมด”

   “แบบนี้มันก็เท่ากับว่ามึงก็รู้สึกแบบเดียวกับที่น้องรู้สึกกับมึง ถูกไหม”

   ผมพยักหน้ารับ “ก็คงงั้น”

   “แต่มึงยังไม่แน่ใจว่ามันจะดีแบบนี้ไหมหลังจากที่คบกัน ว่างั้นเถอะ”

   “ก็เอออะดิ แรกๆ อะไรมันก็ดี เขินสุดก็ตอนจีบกันนี่แหละ”

   เพื่อนรักเอียงหัวมาใกล้ผม “ถ้าคนๆ นั้นใช่สำหรับมึงจริงๆ มึงจะรู้ว่าตอนที่เขินที่สุดมันไม่ใช่แค่ช่วงที่จีบกัน....เชื่อกู”

   “เหรอวะ”

   “เออสิ ตอนนี้มึงลองมองแค่ตัวน้องมันนะ ตัดเรื่องเพศออกไป คนๆ นั้นคือคนที่ทำให้มึงรู้สึกดี มีความสุข และก็มีอิทธิพลต่อชีวิตมึง แค่เท่านี้ มึงจะลังเลอะไรอีกวะ”

   “.....”

   “มึงเองนะที่เคยบอกกูเอาไว้ว่าเวลาไม่เคยรอใคร อยากทำอะไรก็ทำ จะได้ไม่ต้องมานึกเสียใจในวันที่มันสายเกินไป และถ้ามึงยังสับสนอยู่ ก็....” จันทร์ฉายเลื่อนมากระซิบข้างหูผม “ลองจูบดู”

   “.....”

   “เสียงจากหัวใจมึงนั่นแหละ....คือคำตอบ”


***



   “รอนานไหมครับ”

   “ไม่อะ วันนี้ผมไม่ได้เอารถมา คุณเอารถมารึเปล่า”

   “ครับ เดี๋ยวไปรถผม”

   “โอเค” ผมรับคำก่อนจะตามร่างสูงไปยังลานจอดรถหลังตึกคณะแพทย์ฯ

   ตอนนี้เกือบ 1 ทุ่มแล้วครับ สิบสามเพิ่งซ้อมคฑาเสร็จ เรามีนัดไปกินเย็นตาโฟเจ้าอร่อยด้วยกัน พูดแล้วก็หิวว่ะ เดี๋ยวเฌอจะกินสักสามชาม ผมขึ้นมานั่งบนรถก่อนจะคาดเบลท์พลางมองนังน้อนที่ดึงผ้าคาดหัวลายแบด แบดออก มือเรียวเสยผมให้แสกกลางไปทีนึงประหนึ่งทรงเด็กช่าง ยังดื้อไม่ยอมไปตัดผมไง หรือเขาจะไม่ไว้ผมปรกหน้าแล้ววะ รอผมยาวแล้วแสกกลางไปเลยแบบนี้เปล่า

   โหย....ลองนึกภาพลุคนั้น

   ตายดิ ใจเหลวเป็นน้ำไปเลย

   ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแอบถ่ายรูปว่าที่คุณหมอ พลางสังเกตต้นคอที่เป็นรอยปื้นแดง “คุณไปโดนอะไรมาอะ”

   “ผื่นขึ้นน่ะครับ เดี๋ยวก็หาย”

   “ที่มือก็มีด้วยเหรอ” ผมคว้ามือซ้ายของเขามาดู “ขึ้นมาถึงข้อมือเลยนะ”

   “อยากจับมือผมก็บอกสิครับ”

   “เกินเถอะ” ผมเอามือเขาวางไว้ที่เดิม “ผมดูรอยผื่นต่างหาก”

   “ผมก็นึกว่าอยากจับ”

   “เปล่าสักหน่อย ขับรถไปเลย” ผมเบ้ปากใส่เขาก่อนจะหันไปมองทางด้านนอกแทน

   นึกถึงเรื่องที่พูดกับจันทร์ฉายเมื่อบ่ายเหมือนกันนะ ที่บอกว่าถ้าลังเลก็ให้ลองจูบเขาดู ถามจริงๆ เถอะ จะไปจูบได้ยังไงวะ แม่งพูดเรื่องที่ทำได้ยากอีกละ เออมันเอาคำพูดที่ผมเคยบอกตอนที่มันมีปัญหาเรื่องความรักกลับมาสอนผมด้วย ไอ้เวร จำได้แม่นเชียว ขนาดผมที่เป็นคนพูดเอาไว้ยังมีลืมๆ ไปบ้างเลย แต่มันก็จริงตามนั้นเลยนะ บางทีการที่เรารอไปเรื่อยๆ มันอาจจะสายไปก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำไปเลยดีกว่า

   แต่ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ

   มันไม่ง่ายเลยนะสำหรับเรื่องนี้....กับคนนี้

   ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงร้านเย็นตาโฟลุงปี๊ด ผมเดินนำสิบสามเข้าไปในร้านก่อนจะจัดแจงสั่งเย็นตาโฟ คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นะ ดีแล้วแหละ เพราะแถวนี้มีคนที่ไม่ค่อยชอบความวุ่นวายอยู่ ผมมองร่างสูงที่นั่งเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อย พอเห็นแบบนั้นผมจึงกดเข้าไปในไลน์ก่อนจะพิมพ์ข้อความบางอย่างส่งไปหาเขา เสียงแจ้งเตือนไลน์ของอีกฝ่ายดังขึ้น มือเรียวกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองก่อนจะมองผมอยู่อย่างนั้น

   “พี่นี่จริงๆ เลยนะครับ เอาโทรศัพท์ผมไปเลยไหมล่ะ”

   “ไม่เอา....เพราะตอนนี้คุณไม่ได้มองโทรศัพท์แล้ว”

   “ชอบเอาชนะ”

   “แล้วคุณจะไม่ยอมรึไงล่ะ”

   “ยอมครับ” เจ้าตัวเท้าคางมองผม “ยอมทุกอย่างแหละ”

   “พูดแบบนี้ผมก็ได้ใจอะดิ”

   “ก็ได้ไปแล้วนี่ครับ” เจ้าตัวส่งชามเย็นตาโฟมาทางผม “หน้าแดงอยู่นะครับพี่เฌอ”

   เออสิก็เขินหนิ

   “เรื่องของหน้าผมน่ะ” ผมตักพริกใส่เย็นตาโฟก่อนจะยัดลูกชิ้นเข้าปาก โอ๊ยยยย ร้อนนนน เนี่ยะ เขินทีไรก็เสียอาการตลอด ไม่ไหวป้ะเฌอ เป็นแบบนี้เด็กก็จับทางได้หมดอะดิ

   ผมนั่งกินเย็นตาโฟไปเรื่อยๆ พลางแย่งลูกชิ้นกุ้งในชามนังน้อนมากิน เขาไม่ได้ว่าอะไรนะที่โดนผมแย่งกินโน่นนี่ สิบสามเป็นคนกินเยอะเหมือนกันนะเท่าที่เห็น อย่างวันที่ไปถนนคนเดิน ของกินที่ซื้อมาเยอะแยะนั่นเขาก็กินจนหมด แล้วก็เป็นคนที่กินนมเยอะมาก กินนมพร้อมคารามูโจ้อย่างงี้ คือรสชาติไม่ได้ป้ะวะ นมจืดกับขนมรสเผ็ดเค็ม ท้องไส้ไม่มีปัญหาบ้างเหรอถามจริง เออแล้วเมื่อวันก่อนผมเห็นเขากินส้มหมดเป็นกิโลฯ เลยอะ

   กระเพาะอาหารทำด้วยอะไรเนี่ยะ

   หลังจากที่ชามแรกหมดผมก็สั่งเพิ่มทันทีพร้อมกับสั่งให้นังน้อนด้วย เขายังไม่อิ่มหรอกเพราะโดนผมแย่งกินไง เดี๋ยวถ้ากินเย็นตาโฟเสร็จก็ต้องให้เขาไปส่งที่หอด้วยนะเนี่ย พรุ่งนี้มีเรียนตอนบ่ายเป็นวันสุดท้ายของวีคนี้ด้วยก่อนหยุดยาว ผมจะเอายังไงกับช่วงหยุดยาวนี้ดีวะ ใจนึงก็อยากไปเที่ยวแหละแต่อีกใจก็ไม่อยากไปคนเดียว ครั้นจะชวนคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไปด้วยก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปด้วยไหม

   แต่ถ้าไม่ลองชวนก็ไม่รู้ป้ะวะ

   “พี่ขา....ช่วยซื้อดอกไม้หนูหน่อยนะคะ” เสียงใสเอ่ยขึ้น ผมมองเด็กน้อยที่ถือตะกร้าซึ่งด้านในมีดอกกุหลาบอยู่

   “ดอกละเท่าไหร่คะ”

   “ดอกละ 20 บาทค่ะ”

   “งั้นพี่เอาดอกนึงนะ” ผมส่งเงินให้เธอพร้อมกับหยิบดอกกุหลาบออกมา 1 ดอก ดูสดและสวยมากเลยแถมดอกใหญ่อีกต่างหาก ปกติผมไม่ได้ชอบดอกไม้อะไรขนาดนั้นหรอกนะ แต่ไหนๆ น้องเขาก็เอามาขายแล้ว อุดหนุนสักหน่อยก็ไม่เป็นไร

   “พี่เหมาทั้งหมดเลยละกันครับ นี่ค่าดอกไม้นะ ไม่ต้องทอน” สิบสามส่งเงินให้น้องเขาก่อนจะหยิบดอกกุหลาบออกมาจากตะกร้าทั้งหมด

   “ขอบคุณนะคะ” เธอยิ้มหวานให้พวกเราก่อนจะเดินไปทันที

   มือเรียวส่งดอกกุหลาบทั้งหมดมาให้ผม “ผมให้พี่ครับ”

   “คุณนี่นะ” ผมรับดอกไม้มา “ขอบคุณละกัน”

   “ครับ....”

   “สวยเนอะคุณ นี่ขายดอกละ 20 บาทถือว่าถูกอยู่นะเพราะดอกใหญ่มากเลย หอมด้วย....คุณลองดม” ผมยื่นดอกกุหลาบไปทางเขาดอกนึงแต่นังน้อนหันหนีไปทางอื่นก่อนจะจามอย่างหนัก

   “ผม....ฮัดเช้ย” สิบสามหยิบทิชชู่ขึ้นไปปิดจมูก “รีบกินเถอะครับ ได้กลับกัน”

   “อื้ม....”

   เราใช้เวลาจัดการเย็นตาโฟไม่นานเท่าไหร่นัก ผมจัดการจ่ายเงินก่อนจะถือน้อนดอกกุหลาบเดินมาขึ้นรถ ร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างกันแสดงอาการแปลกๆ ออกมา ความจริงมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่ซื้อดอกไม้แล้ว เขาดูไม่ปกติเลย ผมไม่รู้ว่าสิบสามเป็นอะไร เจ้าตัวดูหายใจฟึดฟัดและไอไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว ใบหน้าขาวเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ตรงสันกรามก็มีผื่นแดงขึ้น ตอนแรกมันยังไม่มีด้วยซ้ำ นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยะ

   ขอบตาแดงไปหมดแล้ว

   “คุณเป็นอะไรอะสิบสาม”

   “ผม....แค่กกกก....” เจ้าตัวหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นมาปิดปากตัวเอง “ผม....แพ้เกสรดอกไม้ครับ....ฮัดเช้ย”

   เชี่ยละ

   “งั้นคุณจอดรถก่อน ให้ผมทิ้งดอกกุหลาบนี่”

   “ฟื้ด....ไม่เป็นไรครับ ผมตั้งใจซื้อให้....แค่ก....”

   “คุณไหวไหมเนี่ยะ แล้วต้องทำยังไงอะ หาหมอไหม คุณดูเป็นหนักมากเลยนะ”

   “ไม่ครับ....ไม่เท่าไหร่....ฮัดเช้ยยยย”

   ไม่เท่าไหร่อะไรกันเล่า

   ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าสิบสามแพ้เกสรดอกไม้ แล้วเขาก็จริงๆ เลยนะ ตัวเองแพ้แล้วยังจะซื้อมันให้ผมอีก ถ้าผมรู้ว่าเขาแพ้ ผมคงปฏิเสธน้องคนนั้นไปตั้งแต่แรกแล้ว เนี่ยะ พอจะทิ้งก็ไม่ให้ทิ้ง คือสภาพเขาตอนนี้มันน่าสงสารมากเลยอะ ขนาดอยู่ในรถ มองเห็นไม่ค่อยชัด ผมยังเห็นได้เลยว่าผื่นมันขึ้นเยอะมาก ไหนจะอาการจามอย่างรุนแรงนั่นอีก ถึงว่าตอนที่ผมยื่นดอกกุหลาบไปให้เขาดม เจ้าตัวถึงหันหน้าหนี

   เพราะมีอาการแพ้นี่เอง

   ใช้เวลาไม่นานสิบสามก็ขับรถมาจนถึงคอนโดฯ ตัวเอง ผมปล่อยดอกกุหลาบไว้บนรถอย่างนั้นก่อนจะประคองเขาออกมาจากรถ ร่างสูงจามไม่หยุด พออยู่ในที่สว่างจึงทำให้ผมได้เห็นผื่นแดงที่ขึ้นลามเต็มไปหมด ทั้งหน้าทั้งแขน ขอบตาแดง น้ำตาคลอเบ้าดูทรมาน เห็นแบบนี้แล้วใจฟีบไปหมดเลยอะ เขาจะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ นี่มันไม่น่าเป็นอาการแพ้ทั่วไปที่ควรจะเป็นเลยนะ

   มันเกินไปแล้ว

   ผมพาเขามาจนถึงห้อง ร่างสูงถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแค่กางเกงบ๊อกเซอร์ “ฟื้ดดด....พี่เฌอครับ ผมมีเรื่องต้องรบกวน....ฮัดเช้ย....พี่ต้องถอดเสื้อผ้าของตัวเองด้วยนะ ถอดตรงนี้ แล้วใส่ถุงแยกไว้ วางไว้ที่ตู้หน้าห้อง เดี๋ยวมีคนเอาไปซักให้....ฟื้ดดด....”

   “ได้ๆ แล้วยังไงต่อ”

   “ผมจะ....แค่ก...ไปอาบน้ำ ยาแก้แพ้ผมอยู่หลังตู้เย็น ช่วยเตรียมให้หน่อยแล้วอย่าลืมล้างมือนะครับ....ฮัดเช้ย....ผมอาบน้ำก่อน” เขาบอกก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนผมก็ถอดเสื้อผ้าตัวเองออกแล้วแยกใส่ถุงเพื่อจะเอาไปส่งซัก

   เกิดมาไม่เคยเจอคนที่มีอาการแพ้รุนแรงแบบนั้นเลย ผื่นที่ขึ้นบนตัวเขามันเยอะมาก เยอะมากจนผมทำอะไรแทบไม่ถูกเลยอะ นี่ขนาดดอกกุหลาบไม่กี่ดอกนะ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเขาอยู่ตามสวนดอกไม้นี่จะเป็นยังไง ผมโคตรเป็นห่วงเขาเลย ใจเสียไปหมด กลัวนังน้อนจะเป็นอะไรไป แต่เขาก็น่าตีเหมือนกันนะที่เป็นอะไรแล้วไม่ยอมบอก เรื่องนี้ต้องคุยกันจริงๆ จังๆ ปล่อยไม่ได้ ถ้ามีอะไรที่ผมไม่รู้แล้ววันนึงมันเกิดเรื่องคล้ายแบบนี้ขึ้นมาผมต้องบ้าตายแน่ๆ

   มีอิทธิพลต่อผมขนาดนี้เลยล่ะเด็กคนนั้นน่ะ

   หลังจากที่เอาถุงเสื้อไปวางไว้หน้าห้องเสร็จ ผมก็เดินไปล้างมือพร้อมกับเตรียมยาแก้แพ้ให้สิบสาม เพราะแบบนี้เองสินะเขาถึงใส่แมสบ่อยๆ รวมถึงแว่นนั่นด้วย ที่เป็นแว่นเลนส์เปล่าก็เพราะมีไว้แค่ช่วยกันเกสรดอกไม้เข้าตา เวลากลับถึงหอแล้วต้องอาบน้ำทันทีก็คงเพราะแบบนี้เหมือนกัน ไหนจะเครื่องกรองอากาศนี่อีก ความรักสะอาดนั้นเพราะตัวเองจำเป็นต้องทำนี่เอง

   ผมน่าจะรู้ไวกว่านี้

   ใช้เวลาสักพักสิบสามก็เดินออกมาจากห้องน้ำ “พี่เฌอไปอาบน้ำเถอะครับ....แค่ก”

   “โอเค ยาอยู่บนโต๊ะนะ”

   “ขอบคุณครับ” หลังจากที่เขารับคำ ผมก็เดินเข้ามาอาบน้ำบ้าง

   ผมว่าผื่นแดงที่เห็นตอนแรกก่อนไปกินเย็นตาโฟมันก็น่าจะเพราะเขามีอาการแพ้นี่แหละ ผมก็ไม่เอะใจเลยว่ามันขึ้นได้ยังไงพอเขาบอกว่าเดี๋ยวมันก็หาย มีหลายอย่างเลยสินะที่ผมยังไม่รู้เกี่ยวกับตัวสิบสามน่ะ

   แย่จริงๆ เลย

   หลังจากที่อาบน้ำเสร็จผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ มีชุดแขวนเอาไว้ให้ที่หน้าตู้เสื้อผ้า ร่างสูงนอนอยู่บนเตียงแบบหมดสภาพ ย่ำแย่ขนาดนั้นยังจะมาเตรียมชุดให้อีก ผมรีบแต่งตัวก่อนจะมานั่งเช็ดหัวบนเตียงข้างคนที่นอนอยู่ เขายังไม่หลับ ดวงตาคมมองผมอยู่อย่างนั้น ดื้อเอ๊ย....ดูหน้าเขาตอนนี้สิ แดงไปหมดทั้งตาทั้งจมูก หมดหล่อก็ตอนแพ้เกสรดอกไม้นี่แหละ

   เขาจะรู้ตัวไหมว่าทำผมเป็นห่วงมากขนาดไหน

   “ทำไมไม่บอกผมล่ะว่าคุณแพ้เกสรดอกไม้”

   “ผม....ขอโทษนะครับพี่เฌอ”

   ผมเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาออก “คุณรู้ไหมว่าตอนที่ผมเห็นคุณมีอาการแพ้พวกนั้น ผมใจเสียขนาดไหน มีอะไรอีกไหมที่ผมไม่รู้”

   “ผมเป็นโรคภูมิแพ้เกสรดอกไม้ มีอาการค่อนข้างรุนแรง ปกติผมจะกินยารักษาอาการทุกวัน แต่เมื่อเช้ายาหมดครับผมเลยไม่ได้กิน พี่ชายผมเป็นคนซื้อยามาให้ เขาเพิ่งเอาเข้ามาให้ตอนบ่าย ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีอาการแพ้แบบนี้”

   “วันหลังไม่เอาแล้วนะแบบนี้อะ” ผมลูบหัวเขาเบาๆ “ถ้าเกิดมีอาการแพ้รุนแรงแล้วคุณเป็นอะไรไป ผมจะทำยังไงล่ะ”

   “ผมจะไม่ให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้วครับ จะระวังให้มากกว่านี้ พี่เฌอจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

   “จำไว้ด้วยล่ะ เออคุณ....ช่วงหยุดยาวไปไหนรึเปล่า ว่างไหม”

   “ว่างครับ ทำไมเหรอ”

   “ไปเที่ยวเสม็ดกันป้ะ ผมอยากไปมานานละ ก็เลยลองมาชวนคุณดู”

   “เอาสิครับ” เขาดึงผ้าห่มขึ้นไปปิดยันจมูก “ที่ไหนมีพี่....ผมไปได้ทั้งนั้นแหละ”

   ตึกตัก

   ทำเป็นพูดไป

   “ถ้าผมไปทุ่งดอกไม้คือคุณตายเลยนะ”

   “ก็อย่าไปทุ่งดอกไม้สิครับ” ร่างสูงขยับเข้ามาซุกผม “ขอซุกหน่อยนะครับ น้องสิบสามไม่สบายอะ” เขาพูดเสียงอ่อนเหมือนกำลังอ้อนผมอยู่ อืม....ไม่สบายเลยกลายเป็นเด็กสามขวบ

   เรียกตัวเองว่าน้องสิบสามอีกต่างหาก

   มันน่านักนะ

   “ไม่สบายก็นอนได้แล้วนะ”

   “ครับ....ฝันดีนะครับ”

   “ฝันดีนังน้อน”

   ผมลูบหัวเขาอยู่อย่างนั้นพลางมองคนที่หลับไป ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย นี่ถือว่าดีนะที่ไม่เป็นอะไรมากน่ะ หลังจากนี้ผมคงต้องระวังให้มากเรื่องที่เขาแพ้เกสรดอกไม้ แล้วอีกอย่างก็อาจจะต้องทำอะไรสักอย่างแบบที่เพื่อนฉายพูด เดี๋ยวต้องบอกเพื่อนด้วยสินะว่าหยุดยาวที่จะถึงนี้ผมมีแพลนจะไปเที่ยวเสม็ดแบบแน่นอน ไม่รู้ว่าทริปนี้จะเป็นยังไงแต่มันอาจจะสร้างความทรงจำดีดีให้กับชีวิตผมก็ได้

   แค่ได้ไปกับสิบสามก็คงเป็นความทรงจำที่ดีแล้วแหละ

   “หายไวไวนะครับคนเก่ง”

   หายแล้วเดี๋ยวไปเที่ยวด้วยกันนะ....

   

   

   

   

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วน้า สำหรับบทนี้ก็จะมีผลต่อช่วงบทปลายๆ ที่ชาลคิดว่ามันจะเป็นซีนที่ฟึดฟัดนะ ต้องรอติดตาม ก่อนจะไปถึงซีนฟึดฟัดมันต้องผ่านเกาะเสม็ดก่อน แค่คิดว่าต้องเขียนก็รู้สึกหึกเฮิมมากๆ แล้ว รออ่านน้า

   ขอบคุณคอมเม้้นต์กำลังใจต่างๆ นะคะ มันเป็นสิ่งที่ทำให้้ฮึ้ดแล้วเขียนลงได้วันต่อวันแบบนี้นะ ก็ขอบคุณจริงๆ ค้าบ

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะคะ

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบผม

หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 12 : 26/1/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 26-01-2020 21:24:38
บทที่ 12 เกียร์วิศวะฯ




   เกาะเสม็ดและอาการเมาเรือจนเวียนหัวจังเลยโว้ย

   โวะ จะอ้วก

   ผมนอนแผ่อยู่กลางห้องพักหลังจากที่อ่อนเพลียกับการเดินทางมาจากกรุงเทพฯ นานละไงที่ไม่ได้ขับรถออกต่างจังหวัดไกลๆ แล้วไหนจะนั่งเรือข้ามมาเกาะอีก กว่าจะเข้าที่พักต่างๆ คืออ่อนเพลียมาก แต่ตอนได้เห็นน้ำทะเลใสใสมันก็ช่วยฮีลใจขึ้นมาจึ๋งนึงอะนะ ชอบที่ได้เห็นแต่ไม่ได้อยากเล่นนะครับ ผมไม่เล่นน้ำทะเลยกเว้นแต่จะมีเพื่อนๆ ลากลงไป คือถ้าให้เล่นน้ำขอเล่นในสระว่ายน้ำจะดีกว่า

   เฌอไม่อยากสู้กับความเค็ม

   ผมกับสิบสามมาพักที่วิมานเสม็ด รีสอร์ท ตรงหาดวงเดือน โดยห้องของพวกเราจะคล้ายบังกะโลเล็กเป็นทรงไทยประยุกต์ สำหรับพัก 2 คน เขาเรียกว่าห้องวิมาน บังกะโล ซีวิว ซึ่งชานระเบียงติดทะเลเลย อยากนั่งมองทะเลโง่ๆ ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย ก่อนเข้าที่พักผมไปเช่ามอเตอร์ไซค์มาด้วย เดี๋ยวค่อยขับออกไปตะลอนเที่ยวแล้วก็หาอะไรกิน คือตอนนี้นอกจากนอนหายใจ ผมไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น

   ผิดกับใครอีกคนมาก

   สิบสามเอาของออกมาจากกระเป๋าก่อนจะจัดโน่นนี่ไปตามประสา เขาไม่เหนื่อยกับการเดินทางเท่าผมหรอกเพราะว่านั่งรถมาอย่างเดียวเลยไง ถามนังน้อนว่ามาเสม็ดแล้วอยากไปเที่ยวตรงไหนบ้าง เขาบอกว่าอยากไปดูพระอาทิตย์ตกกับไปหาอะไรกิน ส่วนไอ้กิจกรรมทางน้ำต่างๆ คือไม่มีในหัวเลย เกาะเสม็ดมีธรรมชาติใต้ท้องทะเลที่สวยมากและเป็นแหล่งดำน้ำขึ้นชื่อ แต่ว่าที่คุณหมอบอกว่าเขาเห็นปลาทะเลในสารคดีบ่อยแล้ว

   คือมันไม่เหมือนกันป้ะวะ

   การดำน้ำดูปะการังก็ปัดตกไปได้เลย ผมก็ดูนะตามรีวิวว่ามันมีอะไรให้ทำบ้าง ถามสิบสามว่างั้นไปตกหมึกไหม มันมีกิจกรรมตกหมึกด้วย เขาก็บอกว่าถ้าอยากกินก็ซื้อเอาก็ได้ จะลำบากไปนั่งตกทำไม เหตุผลโดยรวมคือขี้เกียจนั่นแหละ สรุปแล้วกิจกรรมตกหมึกก็ถูกปล่อยเบลอไป สุดท้ายผมก็ถามเขาว่าจะเล่นน้ำทะเลไหม นังน้อนก็บอกว่าแค่ได้เห็นก็สบายใจแล้วไม่จำเป็นต้องเล่น

   เราจะมาเสม็ดกันทำไมวะ

   อยู่ห้องแล้วเปิดรูปทะเลดูก็ได้แหละ

   “สิบสาม”

   “ครับ”

   “เรามาเสม็ดกันทำไมอะ ถ้าเราจะไม่ทำไรเลย แบบว่าดำน้ำดูปะการัง ตกหมึกหรือทำอย่างอื่นที่คนอื่นทำกัน”

   “แล้วพี่เฌออยากทำกิจกรรมพวกนั้นไหมครับ”

   ผมส่ายหัวเบาๆ “ก็ไม่....แต่คือมันจะดูเปื่อยๆ ป้ะถ้าเราไม่ทำอะไรเลยอะ”

   “สำหรับผม การมาเที่ยวที่นี่คงเพื่อเสพบรรยากาศมากกว่าครับ แค่ได้เห็นทะเลสวยๆ กินของอร่อย หรือเห็นคนอื่นทำโน่นทำนี่ก็รู้สึกว่ามันพอแล้ว” ร่างสูงเดินมานั่งบนเตียงข้างผม “แค่เราได้ใช้เวลาร่วมกัน แค่นั้นก็พอแล้วครับ”

   “คุณคิดงั้นเหรอ”

   เขาพยักหน้ารับ “กับพี่เฌออะ ไปแค่หน้าปากซอยยังสนุกเลย”

   “พูดจาเป็นเว่อร์อีกแล้ว” ผมเอาหมอนที่อยู่ใกล้ๆ ตีเขา “งั้นให้ทริปนี้เป็นทริปสุดท้าย เที่ยวครั้งต่อไป หน้าปากซอยก็พอ”

   “ผมยังไงก็ได้ครับ”

   “ไปหาอะไรกินป้ะคุณ ไปขับรถเล่นด้วย หาที่สวยๆ ถ่ายรูปคุณดีกว่า” ผมลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะหยิบเสื้อฮาวายสีชมพูลายเขียวส่งไปให้เขา “ไปเปลี่ยนเสื้อเลย”

   “ต้องเปลี่ยนเสื้อด้วยเหรอครับ” เจ้าตัวก้มมองเสื้อลายคิตตี้ของตัวเอง คือมันน่ารักสดใสแหละ แต่ทะเลก็ต้องเสื้อฮาวายดิ  อีกอย่างมันจะได้รู้สึกว่าเรามาด้วยกันหน่อย

   “ผมใส่เสื้อฮาวายอะ คุณจะใส่เสื้อคิตตี้เหรอ”

   “เปลี่ยนก็ได้ครับ” เขารับเสื้อจากมือผมก่อนจะถอดเปลี่ยนตรงนั้นเลย ไม่มีหรอกเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำอะไรพวกนี้อะ

   เอาจริงๆ ชินละครับกับการเห็นสิบสามแก้ผ้า เขาก็ไม่เขินนะเวลาถอดเสื้อผ้าต่อหน้าผมน่ะ อาจเพราะว่าก่อนหน้านี้ถอดบ่อยแล้ว ขนาดเวลานอนยังใส่แค่บ๊อกเซอร์เลย นอนกับผมก็ใส่แค่นั้นแหละ นังน้อนให้เหตุผลว่าการนอนแก้ผ้านั้นสบายตัวกว่าและไม่อึดอัด ช่างเถอะ ตราบใดที่ยังไม่แก้จนตัวล่อนจ้อนไม่มีอะไรเลยมันก็ได้อยู่แหละ ผมมองร่างสูงที่สวมเสื้อฮาวายเข้าคู่กับกางเกงยีนส์สีซีดด้วยความพอใจ

   ดูดีครับเอาไปเลย 100 คะแนนเต็ม

   ผมหยิบกระเป๋ามาคาดอกก่อนจะลากนังน้อนออกมาจากบังกะโล “พร้อมจะไปหลงทางด้วยกันไหม”

   “พี่ทำผมหวั่นใจ”

   “ล้อเล่นน่ะ สมัยนี้มีเทคโนโลยีที่เรียกว่า GPS นะ ขึ้นมาเลยนังน้อน เดี๋ยวพี่เฌอจะพาแว้นซ์เอง” ผมขึ้นคร่อมรถมอเตอร์ไซค์

   “เราจะไปไหนก่อนดีครับ”

   “ไปวัดไหม ไปไหว้พระก่อน แล้วค่อยไปหาดทรายแก้วกัน เขาบอกว่าสวยมากเลยนะ”

   “แล้วแต่พี่เฌอเลยครับ”

   “โอเค เกาะเอวพี่ดีดีนะนังน้อน” ผมบอกเขาก่อนจะขับรถออกมาตามทาง

   ดีว่าวันนี้แดดไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ หายากนะวันที่อากาศจะเป็นใจขนาดนี้ วัดที่จะไปคือวัดเกาะเสม็ดครับ ซึ่งอยู่ไกลจากตรงนี้พอสมควร แต่โซนฝั่งนั้นคือหาดทรายแก้วไง เป็นหาดที่ขึ้นชื่อมากของเกาะเสม็ด ตามรีวิวบอกว่าทะเลสวยครับ เดี๋ยวผมจะไปหาอะไรกินที่นั่นด้วย แล้วก็ค่อยพาสิบสามไปที่อ่าวพร้าวเพื่อดูพระอาทิตย์ตก เหมือนจะโรแมนติกเนอะ นี่มาเกาะเสม็ดเพื่อการนี้โดยเฉพาะเลยนะ

   เหมือนกรุงเทพฯ ไม่มีพระอาทิตย์ตกอะ

   ผมขับรถมาเรื่อยๆ แบบไม่รีบร้อน มองข้างทางเสพบรรยากาศอย่างใจเย็น ผมกะว่าขากลับเข้าที่พัก อาจจะซื้อเบียร์ไปกินด้วย ทะเลกับของมึนเมาเป็นของคู่กันอยู่แล้วไง แต่สิบสามคงกินนมแหละ ผมมองนังน้อนผ่านกระจกข้าง ตานี่หรี่ขั้นสุด ขนาดใส่แว่นกันลมแล้วนะ เห็นแล้วตลกว่ะ อยากเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปแต่เดี๋ยวจะกลิ้งตกข้างทางทั้งคู่ซะก่อน เอาไว้ถ่ายตอนเผลอๆ ดีกว่า

   ลงรัวสัก 50 รูปยาวๆ

   ใช้เวลาสักพักเราก็มาถึงวัดเกาะเสม็ด ผมลากร่างสูงไปไหว้พระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่ พร้อมกับขอพรให้ผ่านช่วงฝึกงานไปได้ด้วยดี ไม่มีเรื่องไหนน่ากังวลใจไปเท่านี้อีกแล้ว คือผมคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเราได้จึ๋งนึงครับ อย่างน้อยเราจะสบายใจ รู้แหละ รู้อยู่แก่ใจว่าคนที่จะช่วยให้ทุกอย่างมันดีขึ้นได้คือตัวเราและความพยายามของเรา แต่การขอพรจากพระ ผมถือว่ามันคือการเอาฤกษ์เอาชัย

   ขอให้อะไรก็ได้ดั่งใจด้วยเถอะค้าบ

   “ขอพรอะไรอะ”

   “อยากรู้เหรอครับ”

   ไม่อยากรู้จะถามเหรอวะ

   “ใช่สิ....บอกผมได้ป้ะ”

   “ผมขอให้คนที่อยู่ข้างๆ ผมในวันต่อๆ ไป คือคนเดียวกับที่อยู่ข้างผมในวันนี้”

   ฉ่า

   เด็กนี่มัน....

   ผมหลุดขำทันที “แค่พูดว่าขอให้มีผมอยู่ข้างๆ เนี่ยะ เข้าใจง่ายกว่าอีก คุณจะพูดให้ดูยุ่งยากทำไม”

   “ผมชอบความยุ่งยากนี่ครับ เสร็จแล้วไปหาข้าวกินกัน ผมหิว”

   “อื้ม ไปสิ” ผมเดินนำนังน้อนกลับมาที่รถก่อนจะขับออกไปแล้วมุ่งหน้าสู่หาดทรายแก้ว

   ผมพาสิบสามมากินข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งติดกับชายทะเล นังน้อนจัดแจงสั่งกับข้าวต่างๆ พร้อมกับกุ้งเผา 5 กิโลฯ เกินเบอร์มากไอ้นี่ กินอะไรขนาดนั้นอะ ดีไม่ดีไม่พอด้วยนะนั่นน่ะ อย่างเขาต้องกินสัก 10 กิโลฯ แหละถึงจะพอ ผมไม่ได้สั่งอะไรเพิ่มจากที่เขาสั่งเลยนะเพราะคิดว่ามันเยอะเกินแล้ว

   อาจจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำ

   ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา ก่อนจะมาเสม็ดผมก็บอกเพื่อนๆ นะ พวกมันฮือฮาแล้วทำหน้ากวนประสาทไม่หยุด ประหนึ่งว่ามาเสม็ดก็คือเสร็จเด็กมันแน่ๆ เห้อะ....ดูหน้าเด็กที่มาด้วยซะก่อน ใครจะเสร็จใครกันแน่ คิดจะกินพี่น่ะเร็วไป 10 ปีครับน้อง

   จิ๊....คิดอะไรเนี่ยะเฌอ

   ผมมองนังน้อนที่กำลังถ่ายรูปทะเล พอเห็นแบบนั้นผมจึงยกโทรศัพท์ถ่ายรูปเขาอีกที มุมหันข้างคือโคตรจาหล่อ ใครเห็นก็ใจฟีบทั้งนั้นแหละ ผมจัดแจงเอารูปลงสตอรี่ไอจีตัวเอง ตอนนี้ในสตอรี่ผมมักจะมีแต่รูปเขาในอิริยาบถต่างๆ ส่วนมากเป็นรูปตอนเผลอ คนอะไรเผลอแล้วยังหล่อ หล่อทุกมุม ผมอยากรู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่ตัวเองจะเลิกชมเขาสักที ห้ามปากห้ามใจเนี่ยะ ยากนักรึไงเฌอ

   “พี่เฌอครับ ผมไลฟ์นะ”

   ผมมองร่างสูงที่เดินมานั่งลงข้างๆ “ไลฟ์อ๋อ ทำไมอะ”

   “อยากทำเฉยๆ ครับ ไม่มีอะไร” เขากดเข้าไอจีตัวเองก่อนจะทำการไลฟ์ ส่วนผมก็มองเจ้าตัวอยู่อย่างนั้น มันแปลกๆ นะ ไม่มีหรอกจะมาอยากทำเฉยๆ อะ มีอะไรแอบแฝงแน่ๆ

   “คุณดูเป็นคนไม่ทำอะไรแบบนี้ป้ะ”

   “ก็ใช่ครับ แต่วันนี้อยากทำ”

   จอโทรศัพท์ของสิบสามแสดงรายชื่อผู้ที่เข้ามาดูไลฟ์และข้อความทักทายก็เด้งขึ้นมาไม่หยุด ส่วนเจ้าของแอคเคาท์ก็หยิบกุ้งมาแกะโดยที่ไม่ตอบโต้อะไรกับคนที่ทักเข้ามาเลยสักนิด เป็นการไลฟ์ที่ไร้เยื่อใยมาก ไม่เป็นไรนะทุกคน ถ้าสิบสามไม่ตอบเดี๋ยวพี่เฌอจะตอบเองนะ

   “สวัสดีครับ.....อยู่ไหนกัน ตอนนี้อยู่เสม็ดครับ กำลังกินข้าว” ผมตักปลาหมึกผัดผงกะหรี่มากิน “สิบสามอยู่ไหน....นี่ไงครับ นั่งแกะกุ้งอยู่เนี่ยะ” ผมหันโทรศัพท์ให้เห็นคนที่นั่งแกะกุ้งอยู่

   นังน้อนมองจอโทรศัพท์พลางดันแว่นให้ขึ้นไปคาดผมตัวเอง “มากันสองคนครับ”

   “มีคนถามว่าเราใส่เสื้อคู่เหรอ ฮ่าๆ ๆ ๆ เหมือนเสื้อคู่อ๋อ” ผมมองเสื้อของตัวเองกับสิบสามสลับกัน “ไม่เหมือนขนาดนั้นป่ะ แค่เสื้อฮาวายเหมือนกัน”

   “พี่เฌอบังคับให้ผมใส่”

   “มาทะเลก็ต้องเสื้อฮาวายป้ะคุณ เสื้อคิดตี้ไว้ใส่ที่ห้องโน่น” พอผมพูดออกไปแบบนั้น คอมเม้นต์หวีดก็ขึ้นมารัวๆ

   เลิ่กลั่กละ

   “มีคนถามว่าพี่เป็นอะไรกับผมด้วย” ใบหน้าหล่อมองผมนิ่งๆ “เราเป็นไรกันครับ”

   “คุณว่าเราเป็นไรกันอะ”

   สิบสามหลุดยิ้มออกมา “พูดได้เหรอครับ”

   “สิบสามมมม” ผมตีไหล่เขารัวๆ คุณกำลังทำให้คนอื่นคิดไปไกลนะโว้ย

   “อย่าตีผมสิ” เจ้าตัวยื่นหน้าเข้าไปใกล้จอโทรศัพท์ “ถามว่าเป็นอะไรกันยังตอบไม่ได้ครับ แต่ถ้าถามว่าผมอยากเป็นอะไรล่ะก็....”

   “ไม่ต้องเลย กินกุ้งคุณไปเลยหนิ” ผมเอากุ้งป้อนใส่ปากเขาพลางอ่านคอมเม้นต์ที่ฮือฮากันมากกว่าเดิม พอเลยนะเจ้าพวกนี้ อวยกันเก่งจริงๆ

   เฌอทำตัวไม่ถูกแล้วนะ

   ผมพอรู้ละว่าทำไมอยู่ดีดีสิบสามถึงได้ไลฟ์ลงไอจี เหตุผลของการกระทำนี้คือตั้งใจจะให้คนอื่นรู้ว่ามาเสม็ดกับผม เหมือนขิงนั่นแหละ ร้ายจังวะ เพราะเขารู้ไงว่ามีคนอวยอยากให้เราคบกันจริงๆ คิดจะใช้อะไรแบบนี้ต้อนให้ผมจนมุมอะดิ รู้ทันหรอก คำพูดของเขาที่เหมือนคำพูดธรรมดาๆ นั่นมันแฝงไปด้วยอะไรหลายอย่างมาก ไหนจะยิ้มออกไลฟ์ให้ได้เห็นอีก เชื่อดิว่ามันต้องมีส่วนนึงในไลฟ์นี้ถูกตัดไปลงเพจคิ้วท์บอยของมหา’ลัยแน่ๆ

   เตรียมตัวโดนเพื่อนฝูงแท็กไปแซวได้เลยชรัน

   ไม่รอดดดด

   ผ่านไปได้สักพักสิบสามก็กดปิดไลฟ์ สีหน้าดูอารมณ์ดีผิดปกติ อืม....ไม่ให้อารมณ์ดีก็รู้ไปสิเล่นขิงข่าตะไคร้ผมเต็มไลฟ์ขนาดนั้น ชอบใจเขาล่ะ ผมไม่ได้อะไรหรอกนะที่เขาทำแบบนี้ ความรู้สึกในใจตอนนี้มีอย่างเดียวคือเขินว่ะ คนอื่นคิดกันไปไกลแล้วแน่ๆ แหละ มาเสม็ดด้วยกัน สิบสามไลฟ์โดยมีผมนั่งอยู่ด้วย ง้องแง้งกันสองคน เขานั่งแกะกุ้งให้ และอื่นๆ อีกมากมาย ไหนจะสายตาและรอยยิ้มที่เขาแสดงออกให้คนอื่นเห็นอีก

   โคตรชัดเจนว่าคิดยังไง

   ยอมแล้วครับนังน้อน

   หลังจากที่กินข้าวเสร็จเราก็พากันขับรถไปต่อที่อ่าวพร้าว ซึ่งเป็นจุดดูพระอาทิตย์ตกที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในเกาะเสม็ดเลยก็ว่าได้ ผมกับนังน้อนย่ำต๊อกไปบนชายหาด รองเท้าช้างดาวเอาเก็บไว้ที่รถครับ ตอนนี้เท้าเปล่าเลย ผมมองนาฬิกาที่ข้อมือก็เห็นว่าเกือบ 6 โมงแล้ว ท้องฟ้าที่จรดกับขอบทะเลนั่นเหมือนถูกฉาบด้วยสีส้ม สวยมากเลย ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นจะถ่ายรูปพระอาทิตย์ที่กำลังตกดินแต่มีใครบางคนเดินมายิ้มให้กล้องก่อน

   จริงๆ เลย

   “อะไรเนี่ยะ”

   “ถ่ายรูปกันครับ” พอเจ้าตัวบอกแบบนั้นผมก็ขยับเข้าไปใกล้เขาพลางเอียงหัวเข้าไปชิดแล้วยิ้มหวานให้กล้อง

   แชะ

   ยกให้เป็นรูปคู่แห่งปีไปเลย

   ผมกดเข้าสตอรี่ไอจีก่อนจะกดอัดวิดิโอแล้วถ่ายไปทางสิบสาม “....คุณ” ผมยื่นมือไปทางเขา ร่างสูงก็ยื่นมือมาจับพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด

   เขินอะไรวะไอ้บ้า

   ผมอัปคลิปนั้นลงไอจีก่อนจะจูงมือเด็กยักษ์ให้เดินเลียบชายหาดมาด้วยกัน ผมเข้าใจคำว่าเสพบรรยากาศที่สิบสามพูดแล้วครับ การที่เราได้เห็นทะเลสวยๆ ภาพพระอาทิตย์ตกหรือได้กินอาหารอร่อยๆ ก็รู้สึกว่ามันพอแล้วจริงๆ

   “พี่เฌอครับ เราอยู่ที่นี่สักพักได้รึเปล่า” ร่างสูงนั่งลงที่ม้านั่งก่อนจะดึงให้ผมนั่งลงข้างกัน

   “อื้ม....ผมถามอะไรหน่อยสิคุณ”

   “อะไรเหรอครับ”

   “ตอนที่คุณแพ้เกสรดอกไม้อะ คุณบอกว่าพี่คุณเอายามาให้ คุณมีพี่ด้วยงั้นเหรอ”

   “ใช่ครับ ผมมีพี่ชาย 3 คน ชื่อพี่สอง พี่เจ็ด พี่เก้า คือพ่อกับแม่ตกลงกันเอาไว้น่ะครับว่าจะตั้งชื่อเล่นลูกๆ ให้ตรงกับวันที่เกิด ผมเกิดวันที่ 13 ก็เลยชื่อสิบสามครับ”

   “ผมก็เกิดวันที่ 13 เดือนมีนา”

   “ผมเกิดธันวา แล้วพี่เฌอล่ะครับ มีพี่น้องรึเปล่า”

   ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ก็มีแหละ มี 2 คน เป็นน้องชายต่างแม่น่ะ ความสัมพันธ์ของผมกับครอบครัวไม่ค่อยดีอะ แม่ผมไม่ใช่ผู้หญิงที่อากงอาม่ายอมรับ และก็ไม่ได้แต่งงานกับป๊าด้วย ถ้าจะให้เข้าใจทั่วไปก็....”

   “ผมเข้าใจครับ พี่ไม่ต้องพูดออกมาหรอก”

   “อื้ม ก็นั่นแหละ แม่ผมเสียไปหลายปีแล้วล่ะ ผมไปกินข้าวกับป๊าเดือนละครั้ง และทุกครั้งที่ไปก็มักจะมีปัญหากับเมียป๊าตลอด แล้วผมก็จะเฟลมากๆ จำวันที่ผมไปนั่งตากฝนแล้วคุณมานั่งเป็นเพื่อนได้ไหมล่ะ....วันนั้นแหละ”

   “ผมดีใจนะที่พี่เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง”

   “ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยแม้กระทั่งเพื่อน” ผมมองมือเรียวที่กุมมือตัวเองอยู่ “แต่ผมกลับอยากเล่าให้คุณฟัง คงเพราะผมสบายใจมั้ง”

   “ผมพร้อมรับฟังพี่ทุกเรื่องแหละครับ ไม่ว่าพี่เฌอจะมีปัญหาอะไร ถ้าผมช่วยได้ ผมก็อยากทำ”

   “ขอบคุณนะ” ผมเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาออก “คุณช่วยผมได้เยอะเลยในช่วงที่ผ่านมา”

   ร่างสูงยิ้มบางๆ ให้ผมพลางกระชับมือให้แน่นขึ้นไปอีก ชอบอะ....ผมชอบเขาจริงๆ นั่นแหละ สบายใจที่มีเขาอยู่ด้วยตรงนี้ ที่จัทร์ฉายบอกว่าให้ลองจูบดูแล้วจะได้ยินเสียงคำตอบจากหัวใจตัวเอง เชื่อไหมว่าขนาดยังไม่ได้จูบ เสียงของหัวใจนี่ก็บอกคำตอบชัดเจนแล้ว ตอนเขาไม่สบายผมก็เป็นห่วงแทบบ้า เป็นห่วงแบบที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน ผมปฏิเสธทุกคนที่เข้ามาเพราะเขา สีหน้าเจ็บปวดที่ผมเคยเห็นในวันที่เขามาบอกว่าตัวเองรู้สึกยังไงคือสิ่งที่ผมไม่อยากเห็นอีกแล้ว

   ไม่อยากทำให้สิบสามเสียใจ

   อยากให้เขามีความสุข

   ผมชอบเวลานังน้อนยิ้ม รู้สึกดีใจนะที่ตัวเองเป็นคนที่ได้เห็นรอยยิ้มนั้นมากกว่าคนอื่น ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เขายิ้ม ผมชอบที่เขาเป็นคนชัดเจนและซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเองมากๆ คิดอะไร ทำอะไรก็แสดงออกมาตรงๆ ความเทคแคร์ดูแลนี้มันโคตรดี สิ่งที่เขาพยายามทำให้ผมตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันจนวันนี้ ผมไม่ควรลังเลด้วยซ้ำว่าจะทำให้ความสัมพันธ์นี้มันเป็นยังไงต่อ ความรู้สึกที่สัมผัสได้ในตอนนี้มันตอบแล้วล่ะ ผมคือคนที่ไม่ชอบอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเลข 13

   แต่สำหรับเขา....คงเป็นข้อยกเว้นนั่นแหละ

   มันเป็นจริงไหมนะเรื่องที่จันทร์ฉายบอกว่าถ้าเป็นคนที่ใช่จริงๆ ช่วงที่เขินที่สุดจะไม่ใช่ช่วงที่จีบกัน อยากรู้เหมือนกันนะเพราะเรื่องแบบนั้นไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างผมกับแฟนคนไหนเลย มันคงมีความหมายว่าเธอเหล่านั้นไม่ใช่สำหรับผมล่ะมั้ง

   แล้วคนที่นั่งข้างๆ นี่ล่ะ

   เขาจะใช่รึเปล่า

   “คุณรู้ไหมสิบสามว่าเกียร์มันมีความหมายว่ายังไง”

   “ไม่รู้สิครับ ผมรู้แค่ว่าเด็กวิศวะฯ ต้องเหนื่อยมากเพื่อให้ได้มันมา”

   “เกียร์เป็นสัญลักษณ์ของหัวใจ” ผมคลายมือเขาออกก่อนจะยกข้อมือซึ่งมีสร้อยติดกับเกียร์คล้องอยู่ “ให้ไปแล้วก็คือให้ ไม่มีการเอากลับคืน เพราะงั้นการที่เราจะให้เกียร์กับใครสักคนก็ต้องมั่นใจแล้วว่าเขาคนนั้นจะเป็นเจ้าของหัวใจเราไปตลอดทั้งชีวิต”

   “.....”

   “ผมมีแฟนมาเยอะมาก แต่ไม่มีใครที่ผมคิดจะให้เกียร์เลยสักคน ทั้งๆ ที่ผมก็คิดว่าตัวเองจริงจังกับคนที่คบด้วย อืม...สุดท้ายแล้วเกียร์นี้ยังอยู่ที่ข้อมือผม” ผมถอดสร้อยข้อมือที่มีเกียร์ติดอยู่ออกมา “แต่ตอนนี้ผมเข้าใจความรู้สึกของการที่เราจะยกเกียร์ให้ใครสักแล้วล่ะ”

   “....พี่เฌอ”

   “ผมให้คุณนะ....สิบสาม”

   “....ให้ผม”

   “อื้ม....” ผมสวมสร้อยข้อมือให้เขาพลางลูบเกียร์ที่ติดอยู่ “มันสำคัญเพราะงั้น....รักษาเอาไว้ให้ดีนะ”

   “ผมจะรักษาให้ดีที่สุดครับ” ร่างสูงขยับเข้ามากอดผมไว้แน่น “ขอบคุณนะครับพี่เฌอ”

   ความรู้สึกนั้นมันพิเศษแบบนี้นี่เอง

   ผมยกเกียร์ให้สิบสามไปแล้ว นั่นแปลว่าผมมั่นใจในตัวเขามากจริงๆ คือไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง แต่สิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วผมก็จะถือว่าเลือกแล้วและมันดีที่สุด อะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ผมจะยอมรับมันทุกอย่าง นังน้อนแม่ง....เก่งจริงๆ แหละ คิดดูสิ ไม่เคยมีใครทำให้ผมถอดเกียร์ออกจากข้อมือได้ ใครจะไปคิดว่าการที่เราเมาเหมือนหมาวันนั้น จะทำให้เราได้เจอคนที่เป็นเจ้าของหัวใจวะ

   วันนั้นคงเป็นวันที่ 13 ที่เฌอโชคดีที่สุดในชีวิตก็ได้

   “เราไปกันเถอะสิบสาม....ผมอยากดูโชว์ควงกระบองไฟอะ”

   “ไปสิครับ”



***



   เขินว่ะ

   เขินจังวะ

   ต้องทำตัวยังไงเนี่ยะ

   ผมนั่งเช็ดหัวตัวเองอยู่บนเตียง กลับมาที่บังกะโลแล้วครับหลังจากผ่านการผจญภัยมาหลายชั่วโมง ตอนนี้เกือบ 4 ทุ่มแล้ว ก่อนหน้านี้เราไปดูโชว์ควงกระบองไฟด้วยกันมา สวยมากเลยอะน่าตื่นตาตื่นใจ นักท่องเที่ยวก็เยอะ ผมซดเบียร์ไปสามกระป๋องแบบอิ่มเอม ส่วนนังน้อนก็กินนมแบบที่คิดเอาไว้ ตอนนี้สิบสามอาบน้ำอยู่ ทำไมรู้สึกเหมือนมองหน้าเขาไม่ติดเลยวะ เขินอะไรนักหนาไม่รู้อะ

   เพราะตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมป้ะ

   ยกเกียร์ให้เขาไปแล้วจะยังไงต่อ เออ ทำไมผมไม่ขอน้องคบวะ ตอนนั้นบรรยากาศแม่งโคตรได้เลยอะ ฟีลพระอาทิตย์กำลังตก ลมโชยเย็นๆ ให้เกียร์เสร็จ แล้วไม่ขอเป็นแฟนวะ เนี่ยะ ทำไมมึงไม่พูดล่ะเฌอ โห่....จบแล้ว จังหวะดีดีมันไม่ได้มีบ่อยๆ ป้ะ ช่างแม่ง ไม่พูดไม่บอกแต่ก็น่าจะรู้กันอยู่แล้วไหม ขนาดนี้ก็รู้ตัวเถอะว่าสถานะมันไม่ใช่แค่พี่น้องหรือคนพิเศษทั่วๆ ไปแล้ว อืม....แต่การระบุสถานะให้ชัดเจนก็น่าจะสำคัญเหมือนกันนะ

   เอาไงดีวะเนี่ย

   ร่างสูงเดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่สวมกางเกงลายช้างสีแดงตัวเดียว ผมซื้อให้เขาเองอะ เหมาะจริงๆ ด้วย พรุ่งนี้ใส่กับเสื้อยืดแล้วไปเที่ยวดีกว่า รองเท้าช้างดาวคนละคู่เหมือนเดิม ฟีลคู่รักแต่งตัวเหมือนกัน

   คู่รักอะไรวะเฌ้อออออออออออ

   “พี่จะดันแก้มตัวเองเข้าหากันทำไม” สิบสามเดินมานั่งลงตรงหน้าผม “เช็ดหัวให้แห้งเร็ว”

   “เช็ดหัวตัวเองเถอะคุณน่ะ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่เขา “ไม่ใส่เสื้อเนี่ยะ ไม่หนาวเหรอ”

   “ไม่ครับ ชินแล้วกับอากาศเย็น”

   “จะขิงหุ่นก็บอกเถอะ”

   “พี่เฌอก็หุ่นดีนะครับ ถึงจะบวมเบียร์ไปนิดนึงก็เถอะ”

   “สิบสาม” ผมตีขาเขา “ถึงจะบวมเบียร์แต่ซิกแพ็กผมยังชัดละกัน”

   “หยอกเล่นจึ๋งเดียวเอง”

   “ไม่ต้องเลย” ผมนั่งเช็ดหัวพลางมองคนตรงหน้าที่เช็ดหัวเหมือนกัน “เออคุณ ร้องเพลงให้ผมฟังหน่อย ที่คุณเคยบอกอะ”

   “ตอนนี้เลยเหรอครับ”

   “อื้ม เร็ว....ผมรอฟัง”

   ผมขยับเข้าไปใกล้เขาเพื่อจะตั้งใจฟัง คาดหวังเลยนะเพราะเจ้าตัวบอกเอาไว้ไงว่าร้องเพลงได้แถมยังเพราะด้วย อีกอย่างสถานะของเราในตอนนี้ เขาคงร้องเพลงให้ผมฟังได้แล้วแหละ ผมมองนังน้อนที่มีผ้าขนหนูคลุมหัวอยู่ เจ้าตัวก็มองผมไม่ละสายตา

   .

   “มองที่ฉัน และเธอโปรดลืมเมื่อวานเถอะ.....ที่ทุ่มเทลงไป ให้คนที่ไม่มีทางจะรับเอาไว้

   ก็เพราะว่าเขา ไม่เคยให้ค่ากับมันหรอก.....สูญเสียไปเท่าไรและเธอคงรู้สึก ว่าเธอไม่เหลือใคร”


   .

   ตึกตัก

   ใจไม่ไหวป้ะเจออย่างงี้อะ

   .

   “รู้ฉันรู้ เมื่อวานมันคอยทำร้ายใจ แต่แค่วันนี้ กอดฉันเอาไว้ ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว”

   .

   “....สิบสาม”

   .

   “......แล้วฉันจะรักให้ดีกว่าใคร ทำให้มันเหมือนเป็นวันสุดท้าย

   I wanna be the best for you….That's what I ever wanted babe

   เธอในโลกนี้มีค่ากว่าใคร เธอสำหรับฉันช่างมีความหมาย

   ฝันร้ายเมื่อวันก่อน ไม่ต้องกังวลหรอก.....”


   .

   (BEST FOR YOU – PARIS)[/i]

   .

   ตึกตัก

   หัวใจเต้นแรงมากเลยอะ แรงจนรู้สึกได้เลย สิบสามร้องเพลงเพราะจริงๆ แบบที่เขาพูด ความหมายของเพลงที่เขาร้องออกมามันทำผมเสียอาการ ยิ่งตอนนี้ที่เขาอยู่ตรงหน้าผมยิ่งรู้สึกประหม่าและมีบางอย่างที่ผมคิดกำลังจะทำ

   ความรู้สึกมันสั่งแบบนั้น

   ผมดึงผ้าขนหนูที่คลุมหัวอีกฝ่ายอยู่เข้ามาใกล้ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าไปจูบเขา ความอุ่นที่สัมผัสได้นั้นยิ่งทำให้หัวใจเต้นแรง จูบแรกระหว่างเรา ไม่มีการล่วงล้ำแต่ความรู้สึกมันช่างมากมายจริงๆ เพียงไม่นานผมก็ละจูบออกมา

   เชี่ย....ดีว่ะ

   “.....พี่.....พี่เฌอ” นังน้อนดึงผ้าขนหนูมาปิดหน้าตัวเอง ฮ่าๆ ๆ ๆ น่ารัก

   “เป็นอะไรอะคุณ”

   “ก็พี่อะ”

   “ผมทำไมล่ะ”

   “พี่....พี่จูบผมอะ โอ๊ยยยย....เขินไม่ไหว” สิบสามงอแงเสียงอ่อนอยู่ใต้ผ้าขนหนูคนเดียว อยากเห็นหน้าอะ อยากรู้ว่าคนเสียอาการมันหน้าตาเป็นยังไง

   “ขอดูหน้าหน่อย”

   “อื้อออ..อ...ไม่เอา”

   “สิบสามครับ....พี่เฌอขอดูหน้าหน่อย” ผมเอ่ยเสียงอ่อนเพื่อให้เขายอม “นะครับ....นะ”

   “ขี้โกง” มือเรียวยอมเอาผ้าขนหนูออกจากหน้า ใบหน้าขาวตอนนี้ขึ้นสีแดงระเรื่อ ลามไปยันหู โอ๊ยยยย ใจไม่ไหวหนักเลยเห็นแบบนี้

   “จูบแรกของผมเลยนะครับ”

   “อยากมีจูบที่ 2 ไหมล่ะ” ผมรั้งคอเขาเข้ามาใกล้ “แต่จูบนี้....ไม่ใช่แค่แตะปากแล้วนะ” ผมประกบปากลงไปทาบทับริมฝีปากบางอีกครั้ง

   ผมขยับขึ้นไปนั่งคร่อมบนตักสิบสามก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปหยอกล้อกับลิ้นเขา เงอะงะ น่ารักว่ะ ผมกอบโกยความหวานจากร่างสูงจนพอใจก่อนจะถอนจูบออกมาแล้วจุ๊บปากบางนั่นไปอีกหลายที สีหน้าของคนที่โดนขโมยจูบตอนนี้โคตรน่ามองเลย

   เขาเป็นของผมจริงๆ เหรอเนี่ย

   “ใจไม่ไหวจะเต้นแรงแล้วครับพี่เฌอ” เจ้าตัวซุกหน้ากับอกผม “....รับผิดชอบมาเลย”

   “จะให้รับผิดชอบยังไงหืม....”

   เขาเงยหน้ามองผมแล้วคลี่ยิ้มออกมา “.....เป็นแฟนผมเลยครับ”

   ตึกตัก

   วันหัวใจเต้นแรงแห่งชาติป้ะวะ

   “คุณกลัวอาถรรพ์วันที่ 13 ไหม”

   “ 13 ไหนจะสู้ผมได้เหรอครับ”

   นั่นสินะ....13 ไหนจะสู้สิบสามนี้ได้

   “งั้น....ผมเป็นแฟนคุณแล้วนะ” ผมกอดเขาเอาไว้ “หลังจากนี้ผ่านทุกช่วงเวลาไปด้วยกันนะสิบสาม”

   “ครับพี่เฌอ....ผมจะผ่านทุกช่วงเวลาไปพร้อมกับพี่ครับ”


   .

   .

   .

   .

   .

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วนะ สำหรับบทนี้ก็สู่ขิตไปตามๆ กันนะคะ เขินไม่ไหวอะ ใจไม่ไหวมาก ว่าบท 10 ดาเมจนี้ไปคือแพ้เลยจริงๆ อยากตีพี่เฌอด้วย แกล้งน้อง คือพี่ประสบการณ์ทางนี้มากกว่าสิบสามนะคะ ของน้องคือครั้งแรกย่อมเงอะงะเป็นธรรมดา ค่อยๆ เรียนรู้ไปนะค้าบน้อนค้าบ ก็ข้อมูลเสม็ดชาลใช้อ้างอิงจากรีวิวท่องเที่ยวนะคะ ถ้ามีส่วนไหนผิดพลาดประการใดต้องขออภัยและสามารถแจ้งได้้นะคะ ชาลจะนำไปรีไรท์เพื่อให้มันสมบูรณ์ที่สุดค่ะ

   ชาลอาจจะหายไปสัก 3-4 วันเพื่อจัดการต้นฉบับนิยายอย่างจริงจังนะคะ ต้องรีไรท์เพราะงั้นต้องใช้สมาธิจดจ่อกับเรื่องนั้นเยอะนะคะ ขอให้รอกันอย่างใจเย็นนะคะ วันนี้เปิดนิยายเรื่องนี้มาครบ 20 วันแล้ว ลงไป 12 บทถือว่าเยอะมากเลยนะ เขียนเป็นร้อยหน้า A4 แล้วค่ะ ครึ่งเรื่องแล้้ว ก็รอติดตามกันต่อไป

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 12 : 26/1/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: nightmare007 ที่ 26-01-2020 22:35:13
โอ๊ยยย​ ใจบางไปหมดแล้วค่ะ​ ละมุนเวอร์ :o8:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 12 : 26/1/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 27-01-2020 15:21:42
 :mew5:น่ารักมากเลยค่าาา
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 12 : 26/1/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-01-2020 23:55:29
ใจเหลวหมดละจ้า
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 13 : 28/1/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 28-01-2020 20:21:49
บทที่ 13 ลูกสะใภ้




   “ผมอยากได้สีชมพู”

   “สีเขียวดิ เอออันนี้ก็ดีนะ” ผมเอาเสื้อทาบที่ตัวเขา “สีแดงก็สวย”

   “สีชมพู”

   “งั้นเอาหมดนี่เลยครับพี่”

   จบ....หมดปัญหา

   ผมหยิบเงินจ่ายให้แม่ค้าก่อนจะรับถุงเสื้อทั้งหมดมา ยืนเถียงกันมาสามชาติได้กับเรื่องสีเสื้อ ผลสรุปคือซื้อมันทุกสีเลยครับ แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว ทุกครั้งที่ผมรู้สึกลังเลว่าเออเราจะเอาเสื้อสีไหนดีวะ สีนี้ก็สวย สีนั้นก็สวย สุดท้ายแล้วชรันก็จะซื้อมาทั้งสองสีเลย เนี่ยะ เหมาตั้งแต่แรกก็จบแล้ว

   มีเงินก็ซื้อได้หมดแหละ

   จะซื้อร้านให้ด้วย

   ตอนนี้เราอยู่กันที่ตลาดนวลทิพย์ซึ่งอยู่ฝั่งระยอง ผมกับสิบสามกำลังจะกลับกรุงเทพฯ แต่ว่ามาแวะซื้อของฝากต่างๆ ก่อน คือเมื่อวานนังน้อนเขาโทรไปหาที่บ้านแล้วก็บอกไปเรียบร้อยว่ามีแฟนแล้ว อยากเจอไหมเดี๋ยวพาไปหา คือไม่ถามสักคำเลยว่าผมพร้อมรึยัง มัดมือชกมาก เพิ่งคบกันได้แค่ 3 วันก็พาไปให้พ่อกับแม่รู้จักแล้ว สุดยอดไปเลยล่ะ ตอนแรกผมตกใจเหมือนกันนะกลัวบ้านเขาจะไม่โอเคไงเรื่องที่ลูกชายมีแฟนเป็นผู้ชาย

   แต่ตกใจได้ไม่กี่นาทีเท่านั้นแหละ

   สิบสามบอกว่าบ้านเขาไม่มีปัญหาเรื่องนี้เลย แล้วพ่อกับแม่เขาก็พอรู้ว่าลูกชายคนเล็กเนี่ยะ ไม่ชอบผู้หญิงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นังน้อนให้สาเหตุที่ไม่ชอบผู้หญิงเพราะว่าผู้หญิงส่วนมากจะชอบดอกไม้ แล้วเขาแพ้เกสรดอกไม้ไง ก็เลยไม่ชอบผู้หญิง

   เหตุผลคือยากหยั่งถึงมากเลยว่ะ

   “คุณมีอะไรที่จะซื้อบ้างไหม”

   “ปลาริวกิว ปลาหมึกสามรส หอยหวานดองครับ พี่ๆ ผมกินแค่นี้แหละ”

   “เออคุณ มีพี่ชาย 3 คนเนี่ยะ ดีไหม”

   เจ้าตัวพยักหน้ารับ “ดีมากครับ ธรรมเนียมบ้านผมคือคนเป็นพี่จะต้องดูแลน้อง พี่สองจะเป็นคนที่อดทนเก่งที่สุด เขาจะเป็นผู้ใหญ่มากๆ ส่วนพี่เจ็ดจะชอบแกล้งผม พี่เก้าก็จะชอบตามเป็นห่วงผมอีกที”

   “คุณนี่น้องน้อยจริงๆ เลยนะเนี่ย”

   “ตอนแรกที่ผมจะออกมาอยู่หอน่ะ พี่ๆ ไม่เห็นด้วยเลยครับ เป็นห่วง ไม่อยากให้ออกมาอยู่คนเดียว แต่ตอนนั้นผมคิดว่าถ้ายังต้องให้คนอื่นคอยดูแลตัวเอง ผมก็จะไม่โตสักที” สิบสามส่งน้ำส้มในมือมาให้ “ผมอยากจะรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง เพราะวันนึงในอนาคตผมก็จะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตของคนอื่น”

   “คุณนี่เท่จัง”

   “ถ้าโตกว่านี้ จะเท่ยิ่งกว่านี้อีกครับ เพราะงั้นจนกว่าผมจะโต พี่อย่าเพิ่งไปไหนนะ”

   ใครเขาจะไปไหนจากคุณได้วะ

   “ผมจะอยู่กับคุณจนแก่เลยดีไหม”

   “ดีครับ” ร่างสูงเดินนำไปที่ร้านขายของฝากก่อนจะหยิบของใส่ตะกร้าเยอะแยะเต็มไปหมด เหมือนตั้งใจซื้อไปถมที่นั่นแหละ พวกของกินเนี่ยะ ถ้าซื้อยกร้านได้ สิบสามคงซื้อยกร้านแล้วแหละ

   ที่ถืออยู่ในมือก็จะสิบกิโลฯ แล้วมั้ง

   ผมมองถุงของฝากที่นังน้องถืออยู่ ดูก็รู้แล้วว่าหนักมาก ทำไมเขาดูชิลล์กับการแบกของหนักขนาดนั้นวะ ผมเห็นแล้วยังเมื่อยแขนแทน แต่เขาไม่บ่นหรืออะไรเลย พอเห็นแบบนี้แล้วไม่แปลกใจเลยว่ากล้ามเนื้อแขนกับเส้นเลือดที่เห็นได้ชัดๆ นั่นมาจากไหน นึกถึงคำพูดที่เจ้าตัวเคยบอกว่าแบกผมได้สบายๆ นั่นอีก เฌอไม่ใช่ผู้ชายตัวเล็กนะ น้ำหนักก็ไม่ใช่น้อยๆ คือผมเป็นบุคคลที่เขาไม่น่าอุ้มได้ด้วยซ้ำ

   เห็นดูผอมๆ แต่แข็งแรงกว่าที่คิดอีก

   แรงเยอะมากอีกต่างหาก

   คือเมื่อเช้าตื่นมาแล้วถูกกอดอยู่ไง ผมจะลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำแต่แกะสิบสามออกไปไม่ได้เลยอะ ได้ออกมาจากอ้อมแขนนั่นก็คือตอนที่เขาตื่นแล้ว ผมก็หมั่นไส้ไง ท้านังน้อนงัดข้อเพื่อวัดแรงกัน ผลสรุปคือผมแพ้ราบคาบเลยครับ จากที่คิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนแรงเยอะ แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่คิดไม่ใช่สิ่งที่เป็น มีคนแรงเยอะกว่าและคนๆ นั้นก็คือแฟนเด็กของผมเอง

   คำว่าแฟนเด็กนี่พูดกี่ครั้งก็เขิน

   ผมยังไม่ได้บอกใครเลยเรื่องเราคบกัน ยังไม่ได้บอกเพื่อนๆ ไม่ได้ตั้งสถานะให้ใครรับรู้แต่คิดว่าเดี๋ยวต้องตั้งแหละครับ เพื่อความสบายใจของสิบสาม เอาจริงๆ ผมก็ยังนึกหวั่นใจถึงอาถรรพ์วันที่ 13 ของตัวเองเหมือนกันนะ ถึงเขาจะบอกว่า 13 ไหนจะสู้เขาได้ก็เถอะ คิดดูดิว่าผมเจอเรื่องบัดซบแบบนี้มาตั้งแต่เด็กยันโต มันไม่แปลกที่จะกังวลใจ แต่ก็เอาเถอะ เราจะไปรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ยังไง แทนที่จะไปหวั่นใจ สู้เก็บทุกช่วงเวลาที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ดีกว่า

   ช่วงเวลาที่นังน้อนซื้อของเยอะไปหมดเลยโว้ย

   “ครบแล้วครับ กลับได้”

   “หมดไปกี่แสนเนี่ยะ”

   “น่าจะสามแสน”

   “แฟนผมนี่รวยจริงๆ เลยน้า” ผมแบ่งถุงจากเขามาช่วยถือ “งี้ก็เลี้ยงผมได้อะดิ”

   “สบายครับ” เจ้าตัวยักคิ้วให้ทีนึงเพื่อยืนยันในสิ่งที่พูด โคตรน่าหมั่นไส้เลย ได้เลยนังน้อน พี่จะทำให้หนูรู้จักคำว่าหมดเนื้อหมดตัวเอง

   ก็พูดไปงั้นแหละครับ ผมกับสิบสามอะ ช่วยกันจ่ายซะมากกว่าในหลายๆ อย่าง เวลาไปกินข้าวก็ของใครของมันนะ ถ้าฝ่ายใดเลี้ยง ครั้งหน้าอีกฝ่ายก็เลี้ยง ผมพอรู้อยู่แหละว่าบ้านนังน้อนรวย แต่มันก็เป็นเรื่องของบ้านเขา เงินเขาผมก็จะไม่ยุ่ง เหมือนเงินผมที่สิบสามก็คงไม่ยุ่งเหมือนกัน ส่วนของต่างๆ ที่ซื้อให้ก็เพราะความเสน่หาล้วนๆ ผมซื้อเสื้อผ้าให้เขาค่อนข้างเยอะนะเพราะคิดว่าเวลามันอยู่บนตัวสิบสามจะต้องดูดีมากแน่ๆ

   แฟนผมจะใส่แต่เสื้อลายการ์ตูนซานริโอ้ไม่ได้ป้ะ

   มันต้องเปลี่ยนลุคบ้าง

   ผมเดินนำร่างสูงมาที่รถก่อนจะจัดแจงยัดของที่ซื้อมาทั้งหมดใส่ไว้ด้านหลัง ดีนะที่เอารถผมมาเนี่ยะ เพราะถ้าเป็นรถของสิบสามคือไม่มีทางยัดของเยอะขนาดนี้ได้หมดแน่ๆ ตอนนี้รถนังน้อนอยู่คาร์แคร์ครับ เอาไปทำความสะอาดแบบขั้นสุดเพราะต้องไม่ให้เหลือเกสรดอกไม้อยู่ ดอกกุหลาบเจ้ากรรมวันนั้นผมเอาไปไว้ที่หอตัวเองแล้วก็ตากแห้ง เดี๋ยวค่อยเอาใส่โหลเก็บเอาไว้รำลึกว่าสิบสามเคยเกือบตายเพราะมัน

   ไม่ใช่ๆ....เก็บไว้เพราะนังน้อนตั้งใจซื้อให้

   ขากลับนี้ตกลงกันไว้ว่าสิบสามเป็นคนขับรถครับ ผมจะนั่งสบายๆ บ้าง เออ ไปเที่ยวทุกครั้งก็ต้องสรุปใช่ไหมว่าอะไรเป็นยังไง สำหรับการมาเสม็ดครั้งนี้ก็มาเพื่อพักผ่อนจริงๆ ไม่ค่อยได้ทำไรเลยนอกจากขับรถเครื่อง อาหารอร่อยมาก วิวสวย ทะเลสวย หาดทรายขาวมาก ถ่ายรูปมาเป็นล้าน ซื้อของหมดเป็นแสน ที่สำคัญสุดคือได้แฟนกลับมาด้วยคนนึง

   หล่อมากด้วยไม่อยากจะขิง

   “สิบสาม”

   “ครับ”

   “ผมเป็นแฟนคนแรกของคุณใช่ไหม”

   “ใช่ครับ”

   “แล้วคุณรู้ไหมว่าคนเป็นแฟนกันเขาทำอะไรบ้าง”

   “คนเป็นแฟนกันต้องแกะขนุนทอดแล้วก็เอามาป้อนให้อีกฝ่ายที่กำลังขับรถครับ”

   ผมหลุดขำทันทีที่สิบสามพูดแบบนั้น “หิวว่างั้นเถอะ”

   “อยากกินขนุนทอดจังเลยครับ”

   “มีค่าป้อนด้วยนะ” ผมเอื้อมไปหยิบขนุนทอดที่เบาะหลังมาแกะก่อนจะป้อนให้นังน้อนกิน “ค่าป้อนเป็นสามหอม”

   “หาเรื่องลวนลามผมแหละดูออก”

   “ไม่ให้ลวนลามแฟนตัวเอง คุณจะให้ผมไปลวนลามใครล่ะ” ผมยัดขนุนทอดใส่ปากตัวเองพลางมองผมที่ปรกหน้าสิบสาม “คุณจะไม่ตัดผมจริงๆ เหรอ”

   “ว่าจะไว้ยาวแล้วแสกกลางครับ จะไม่ไว้หน้าม้าแล้ว”

   หูยยยยลุคนั้น....ต้องดีมากแน่ๆ เลยว่ะ

   “ถ้าคุณไว้ผมทรงนั้นจริงๆ คุณก็จะต้องหล่อมากขึ้น แล้วพอคุณหล่อมากขึ้นก็จะมีคนมาชอบคุณเยอะขึ้น แล้วพอมีคนมาชอบคุณเยอะขึ้น ผมก็ต้องหึงคุณจนหน้ามืดเลยอะดิ”

   “.....เหนื่อยหน่อยนะครับ”

   จิ๊....หมั่นไส้ว่ะ

   ผมเอาขนุนทอดยัดใส่ปากสิบสาม ความจริงอยากเอาปาใส่หน้าเขาด้วยซ้ำ ทำไมเก่งเรื่องพูดจาให้ผมหมั่นไส้วะ เดี๋ยวคาดโทษไว้ก่อนค่อยจัดการทีเดียว ผมกับสิบสามหลังจากที่คบกันก็ไม่ต่างจากตอนแรกเท่าไหร่ คำพูดคำจายังเหมือนเดิม แต่การปฏิบัติต่ออีกฝ่ายมากขึ้นนะ ส่วนมากเป็นผมที่จะสกินชิพเขาอย่างเช่น หอมแก้ม คือช่วยไม่ได้ คุณอยากหน้าใสเองทำไมอะ นี่ไม่จูบปากด้วยก็ดีแล้ว

   นึกถึงตอนเด็กเสียอาการแล้วอย่างขำ

   เรื่องพวกนี้ผมผ่านมาเยอะกว่าเขาไง เรื่องจูบหรืออะไรทำนองเนี้ยะสำหรับสิบสามคือไม่มีเลย ผมยังจำหน้าแดงๆ ที่เห็นนั้นได้เลย น่ารักน่าประทับใจมาก เห็นแล้วหลง อยากเห็นบ่อยๆ หวั่นใจเหมือนกันนะ ตอนนี้แหย่เขาไว้เยอะไง ถ้าวันดีคืนดีเขานึกจะเอาคืนขึ้นมาผมก็น่าจะไปไม่เป็นเหมือนกัน เอาจริงๆ พอเป็นผู้ชายเหมือนกันมันก็สบายใจขึ้นมาจึ๋งนึงในเรื่องที่อาจจะทำให้อีกฝ่ายเสียหายไง

   ตอนคบกับผู้หญิงผมจะระวังมาก

   แต่พอคบกับผู้ชายอะ....เห้อะ

   มันเขี้ยวจังวะ

   “พี่เฌอครับ”

   “หืม.....”

   “ทำไมถึงเรียนวิศวะฯ ล่ะครับ”

   “ก็ชอบแหละ ตอนยื่นคะแนนอะ ผมติดวิศวะฯ สภาปัตย์ฯ แล้วก็วิทย์ฯ แต่สุดท้ายก็เลือกวิศวะฯ เพราะคิดว่าตอนใส่เสื้อช็อปแม่งต้องเท่มากแน่ๆ เลย”

   สิบสามเหลือบมองผม “เหตุผลสมเป็นพี่จริงๆ ”

   “ผมคิดแบบนั้นจริงๆ นะ แล้วคุณล่ะ ทำไมถึงเรียนหมอ”

   “เพราะว่าผมไม่ค่อยแข็งแรงครับ ผมเป็นโรคภูมิแพ้เกสรดอกไม้ ต้องไปหาหมออยู่บ่อยๆ ผมก็รู้สึกว่าคุณหมอเนี่ยะเก่ง ผมอยากเก่งแบบนั้นบ้าง อยากช่วยรักษาคนอื่นเหมือนกับที่หมอรักษาผม เลยตัดสินใจเรียนหมอครับ เพราะตั้งใจตั้งแต่เด็กก็เลยมุ่งมาทางนี้ตั้งแต่แรก”

   “เป้าหมายของคุณนี่ชัดเจนมากเลย” ผมเลื่อนมือไปขยุ้มหัวเขาเบาๆ ทีนึง “ผมรอวันที่คุณรับเสื้อกาวน์นะ ว่าที่คุณหมอ”

   “ผมจะต้องเป็นหมอที่เก่งให้ได้เลยครับ”

   เขาทำได้ตามที่พูดแน่ๆ แหละ

   ผมปรับเบาะให้เอนลงอีกพลางมองคนที่ขับรถอยู่อย่างนั้น ผมเรียนอยู่ปี 4 แล้ว กำลังจะจบ แต่เขาเพิ่งเริ่มต้นเอง อยู่ปี 2 มันยังไม่ถึงครึ่งนึงเลย จนกว่าเขาจะได้เป็นคุณหมอก็อีกตั้งหลายปี ตลอดระยะเวลาระหว่างนั้นผมอยากอยู่ข้างๆ เขานะ คอยดูเขาเติบโตไปทีละขั้นจนถึงวันที่เขาจะประสบความสำเร็จ

   นี่เป็นแฟนหรือพ่อเขาวะเนี่ย

   “ผมงีบหน่อยนะคุณ” ผมเลื่อนมือไปจับชายเสื้อนังน้อนเอาไว้ “ถ้าจะเปลี่ยนค่อยปลุกผมนะ”

   “ครับ พี่เฌอนอนเถอะ”

   “อื้ม.....”



***



   ---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 13 : 28/1/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 28-01-2020 20:22:23
---------- ต่อจากบทที่ 13 ----------


“พี่เฌอครับ”

   “อื้มมมมม......”

   มีคนรบกวนการนอนของเฌอ

   “ถึงบ้านผมแล้วนะ”

   “หืม.....” ผมลืมตามองรอบๆ ก็พบว่ารถจอดอยู่ในบ้านหลังนึงซึ่งใหญ่จังวะ “ถึงแล้วอ๋อ”

   ผมหลับยาวขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

   “ใช่แล้วครับ เกือบ 6 โมงแล้วนะ พ่อกับแม่รอกินข้าวอยู่” ร่างสูงบอกก่อนจะเดินลงจากรถ ส่วนผมก็นั่งตั้งสติอยู่แป๊บนึงก่อนจะเดินตามสิบสามลงมาแล้วไปถือของด้านหลังรถ

   บ้านใหญ่พอๆ กับบ้านป๊าผมเลย ต่างกันตรงที่ไม่มีลูกน้องมายืนหน้าบ้านเท่านั้นแหละ ผมถือถุงของฝากทั้งหมดตามสิบสามเข้าไปในบ้าน นังน้อนเดินนำเข้าไปในห้องครัวซึ่งใหญ่จัดๆ เขาวางของทุกอย่างไว้บนเคาน์เตอร์กลางครัวก่อนจะเดินนำผมไปที่ห้องอาหาร ด้านในมีผู้ชายคนนึงสีหน้าดูใจดีนั่งอยู่หัวโต๊ะนั่นคงเป็นพ่อของเขาสินะ ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านข้างก็น่าจะเป็นแม่ นังน้อนนี่ได้แม่เขามาเต็มๆ เลย

   ส่วนผู้ชายอีกสามคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งก็คงเป็นพี่ชายเขา

   หูยยยย....บ้านนี้มันอะไรวะเนี่ย

   “สวัสดีครับ.....ขอโทษที่มาช้า” สิบสามยกมือไหว้ทุกคน “ทุกคนครับ นี่พี่เฌอที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ตอนนี้เราคบกันแล้วนะครับ”

   “สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้พร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตรที่สุด สายตาพี่ๆ เขาที่จ้องมานี่ทำเอาประหม่าไปหมด อารมณ์แบบว่าไอ้เวรนี่อะนะเป็นแฟนน้องกู เห้อะ....สภาพไม่ได้ดูเป็นผู้เป็นคน

   “ยินดีต้อนรับนะจ๊ะเฌอ คิดซะว่าเป็นบ้านตัวเอง” แม่ของนังน้อนยิ้มหวานให้ ค่อยรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย

   “คนนี้เองน่ะเหรอที่ทำให้คุณกลับมาเรียนทำอาหารกับคุณแม่ได้” เสียงเข้มจากพี่คนที่ใส่แว่นเอ่ยขึ้นมา “ตอนพี่ได้ยิน พี่ไม่อยากเชื่อ”

   “พี่อย่าแซวน้องสิครับ” คนที่นั่งอยู่ข้างกันเอ็ดเบาๆ “ต้องแนะนำตัวก่อนใช่ไหม ผมเก้านะครับเป็นพี่คนที่สามของบ้าน ส่วนพี่คนที่ใส่แว่นคือชื่อเจ็ดเป็นพี่คนรอง ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างคุณพ่อคือพี่สอง เป็นพี่คนโต”

   “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

   พร้อมเพรียงกันสุดๆ ไปเลยครับ

   “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”

   “ไม่ต้องเกร็งนะสบายๆ แล้วพวกคุณเนี่ยะ เลิกเก๊กกันสักที เป็นอะไรกันหืม....แค่น้องพาแฟนมาบ้าน” ประมุขที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยขึ้นพลางมองลูกชายทั้งสาม

   “ผมบอกเลยว่าถ้าพี่ๆ คิดจะแกล้งพี่เฌอล่ะก็ ตุ๊กตาที่ห้องพวกพี่จะหายไปครับ” พอน้องเล็กของบ้านเอ่ยแบบนั้น บรรดาพี่ชายเขาก็ทำหน้าเลิ่กลั่กทันที

   “คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้นะ”

   “ก็อย่าแกล้งพี่เฌอสิครับ” นังน้อนยิ้มจนตาปิดให้เหล่าพี่ชายเขา “ทานข้าวกันเถอะครับ”

   ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าใครร้ายที่สุดในบ้าน

   เท่าที่สังเกตเนี่ยะ น้องคนเล็กจะถูกตามใจถึงขั้นสุดเลย บรรดาพี่ๆ เขาต้องยอมอ่อนให้ แต่ดูจากสายตาของพี่ชายทั้ง 3 คนก็คือรักน้องนะ สิบสามน่าจะยังเป็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยน่าทะนุถนอม อยากได้อะไรไม่ว่าดาวเดือนก็จะหามาให้ ผมติดใจคำพูดที่ว่าจะเอาตุ๊กตาไปซ่อน เนี่ยะ อยากรู้อะว่าตุ๊กตาอะไรบ้าง อาการเลิ่กลั่กที่แสดงออกมาเมื่อกี๊มันน่าจะเป็นของสำคัญ ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมค่อยไปถามสิบสามเอา

   “ตอนนี้เรียนอะไรอยู่เหรอเฌอ”

   “ผมเรียนวิศวะฯ โยธาครับ ปี 4 แล้ว”

   “ใกล้จบแล้วล่ะสิ คิดไว้รึยังว่าจะทำงานอะไร”

   “อืม....ป๊าผมเขากำลังสร้างโรงงานในเครือบริษัทเพิ่ม เขาอยากให้ผมไปดูแลที่นั่นแต่ตอนนี้กำลังตัดสินใจน่ะครับ คือต้องบอกตามตรงว่าความสัมพันธ์ของผมกับที่บ้านไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

   “ไม่เป็นไรนะ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ปรึกษาพวกเราได้ตลอด ผู้ใหญ่ก็จะให้คำปรึกษาแบบผู้ใหญ่ได้น่ะนะ”

   “ขอบคุณนะครับ”

   “อันนี้อร่อยครับพี่เฌอ” มือเรียวตักผัดผักมาให้ผมก่อนมองบรรดาพี่ๆ “ผมซื้อของมาฝากพวกพี่เยอะเลยครับ อยู่ในครัว”

   “สนุกไหมล่ะคุณ ไปเที่ยวเสม็ด”

   “ก็สนุกดีครับ....ได้แฟนมาคนนึง”

   “.....สิบสาม” ผมแอบตีขาเขาเบาๆ พลางทำตาโตใส่

   “ขี้อวด”

   “พี่เจ็ดไม่มีแฟนนี่ครับ ไม่เข้าใจความรู้สึกนั้นก็ไม่แปลก”

   ปากคอเราะร้ายว่ะ

   “คุณแม่” พี่เจ็ดเรียกเหมือนจะฟ้อง

   “สมน้ำหน้า อยากหาแฟนไม่ได้เอง ช่วยไม่ได้”

   ไม่มีปลอบแถมซ้ำเติมอีกต่างหาก

   การนั่งกินข้าวร่วมกับครอบครัวแฟนครั้งแรกเป็นอะไรที่ตลกดีเหมือนกันนะ เป็นฟีลครอบครัวที่ผมไม่เคยสัมผัสเลย ครั้งล่าสุดที่กินข้าวบ้านก็สาดน้ำใส่หน้าไอ้ภัทรไปไง แถมยังกินข้าวได้ไม่ถึงครึ่งจานด้วยซ้ำ ช่างเถอะ อย่าไปคิดถึงเรื่องที่ทำให้ตัวเองรู้สึกหงุดหงิดเลย ตั้งแต่ผมมีแฟนมา ไม่เคยมีใครที่พาผมเข้าบ้านเลย สิบสามคือคนแรก ดีใจนะครับที่ครอบครัวเขาต้อนรับผมอย่างอบอุ่นแบบนี้

   ผมควรบอกป๊าด้วยไหมนะเรื่องสิบสาม

   ความจริงต่อให้ไม่บอก ป๊าก็จะรู้ของเขาเองครับ เหมือนมีสายคอยรายงานให้อยู่ตลอด ผมไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง แต่ไหนแต่ไรป๊ามักจะตามใจผมเสมอ อยากทำอะไรก็ให้ทำ อยากได้อะไรก็ได้ ทั้งหมดนั่นคงเพราะรู้สึกผิดต่อผมกับแม่นั่นแหละ กับป๊าน่ะไม่น่ากังวลใจหรอก แต่กับคุณเกสรเมียป๊านี่สิ คือถ้าเธอไม่มายุ่มย่ามกับชีวิตผมก็น่าจะดีอะนะ หรือถ้าเธอมาวอแวจริงๆ ผมก็คงจะ.....ไม่ยอมง่ายๆ หรอก

   ความรักครั้งนี้คือสิ่งที่ผมจะไม่ยอมเสียไปอีกแล้ว

   ใช้เวลาพักใหญ่กับการร่วมโต๊ะอาหารและพูดคุยเรื่องต่างๆ พ่อกับแม่ของสิบสามชวนให้ผมนอนค้างที่บ้านพร้อมกับให้เหตุผลว่านานๆ ทีที่นังน้อนจะกลับบ้าน อยากให้นอนสักคืน ตื่นมาตอนเช้าจะได้กินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา ผมก็ไม่ขัดครับ ยอมทำตามที่พวกเขาขอ ตอนนี้เกือบ 3 ทุ่มแล้วและผมกำลังยืนตะลึงอยู่ในห้องนอนของแฟนตัวเอง ห้องที่คอนโดฯ เขาที่มีลิตเติ้ลทวินสตาร์เยอะๆ คือเทียบไม่ได้กับห้องนอนที่บ้านเขาเลยจริงๆ

   ทุกตารางนิ้วคือกีกี้กับลาล่า

   ผมมองรอบๆ ห้องนังน้อนที่อยู่ในโทนพาสเทลสี่สี หวานมากเว่อร์ ห้องผู้หญิงมากๆ เลยอะ พ่อแม่เขาก็ตามใจทำห้องนอนแบบนี้ให้ลูกชายเนอะ ตอนที่นั่งกินของหวาน แม่ของสิบสามบ่นให้ฟังว่าลูกชายบ้านนี้ติดการ์ตูนมาก แล้วถ้าชอบตัวการ์ตูนตัวไหนก็จะมีของที่เกี่ยวกับการ์ตูนนั้นเต็มไปหมด อย่างพี่สองเนี่ยะ เขาชอบเคโรโระ พี่เจ็ดชอบอุลตร้าแมน พี่เก้าชอบสนูปปี้ ส่วนคนที่ดูต่างจากทุกคนก็คือสิบสามที่ชอบลิตเติ้ลทวินสตาร์

   อ่อนหวานกว่าทุกคนในบ้านเลย

   “ห้องคุณโคตรต่างจากห้องผมเลย”

   “ผมชอบ”

   “อื้ม....เชื่ออยู่แหละว่าชอบ”

   “งั้นผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ” เจ้าตัวบอกก่อนจะหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนผมก็เดินมาดูที่ตู้หนังสือของเขา คือมีแต่หนังสือเรียนซะส่วนใหญ่เลยครับ พวกหนังสือเก็งข้อสอบก็เยอะ

   เรียนหนักน่าดูเลยสิ

   ถัดจากตู้หนังสือจะเป็นชั้นที่มีอัลบั้มภาพวางอยู่ ผมถือวิสาสะหยิบออกมาดูโดยไม่ได้อนุญาตเจ้าของห้อง เอาน่ะ ถ้าเขาโกรธเดี๋ยวค่อยง้อเอาทีหลัง ผมเปิดดูรูปในอัลบั้ม ภาพที่เห็นคือเด็กน้อยตัวขาวจั๊วะที่ทำหน้านิ่งมองกล้องเหมือนหาเรื่อง แววตาแบบนี้เป็นมาตั้งแต่เด็กเลยนะเนี่ย รูปที่เขายิ้มมีน้อยมากจริงๆ อารมณ์เหมือนเป็นเสือยิ้มยากอะ แต่รูปไหนที่ยิ้มก็คือน่ารักมากเลยนะ แก้มย้วยๆ นี่โคตรน่ากัด

   ไม่แปลกใจว่าทำไมพี่ๆ เขาถึงได้รักได้หลงขนาดนั้น

   ผมหยิบอีกอัลบั้มมาดูก็พบว่าเป็นสมัยที่เขาอยู่มัธยมฯ สมัยก่อนดัดฟันด้วยครับ ใส่เชนสีชมพูแถมหัวเกรียนอีกต่างหาก ขนาดไว้ทรงสกินเฮดยังหล่อเลย แล้วเนี่ยะ รูปหมู่คือตัวใหญ่กว่าทุกคนในห้อง มีรูปตอนที่เขาตีกลองช่วงกีฬาสีด้วยแฮะ โหย ขนาดเผลอแล้วยังดูดี สิบสามคงเป็นผู้ชายที่ตกเป็นเป้าสายตาของคนส่วนใหญ่มาตั้งแต่เด็กแล้วแน่ๆ เลย เขามีเสน่ห์ดึงดูดคนอื่นได้ดีนะ ขนาดเจ้าตัวเป็นคนไม่ชอบสุงสิงหรือพูดอะไรกับใครก็เถอะ

   เออรูปนี้หน้าเหมือนแบด แบดเลย

   “ทำอะไรน่ะครับ” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นด้านหลัง “แอบดูรูปผมเหรอ”

   “อื้ม ดูแล้วก็คิดว่าทำไมแฟนตัวเองหล่อจังเลยวะ”

   “พี่เฌอก็หล่อนะครับ”

   “ผมรู้เรื่องนั้นดี”

   “พี่นี่ไม่ค่อยเลยนะ” มือเรียวส่งผ้าขนหนูมาให้ผม “เดี๋ยวผมเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้นะครับ”

   “ขอบใจนะนังน้อน เดี๋ยวผมอาบน้ำแป๊บ” ว่าแล้วผมก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ

   ของใช้ต่างๆ เหมือนที่คอนโดฯ ของเขาเลยครับ แค่ห้องน้ำนี้ใหญ่กว่าเฉยๆ เท่านั้นเอง ผมใช้เวลาสักพักในการอาบน้ำก่อนจะเดินออกมาด้านนอก ชุดนอนถูกแขวนเตรียมไว้ให้ที่หน้าตู้ ส่วนนังน้อนก็นั่งโบกครีมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ผมหยิบเสื้อผ้ามาสวมก่อนจะเดินเข้าไปวอแวคนที่ไม่ชอบใส่เสื้อนอน หัวเปียกแบบนี้เดี๋ยวพี่เฌอเช็ดให้เองนะค้าบ

   “เป็นไงครับ กินข้าวกับครอบครัวผม”

   “สนุกดีนะ บ้านคุณอบอุ่นดีอะ”

   “ตอนนี้ที่นี่ก็เหมือนบ้านพี่นะครับ”

   “จริงดิ งั้นผมเอาตุ๊กตาในห้องคุณไปขายก่อนเลย” พอผมบอกแบบนั้นร่างสูงก็หรี่ตามองผมทันที “ทำไมอะ คุณบอกเองหนิว่านี่ก็เหมือนบ้านผม”

   “เหมือน แต่อย่าเอาของไปขายสิครับ”

   “เดี๋ยวผมจะเอาคุณไปขาย” ผมบอกก่อนจะเดินเข้าผ้าขนหนูไปตาก สิบสามเดินตามมาด้านหลังแล้วใช้จังหวะนั้นช้อนตัวผมขึ้นมา ไม่ได้นะนังน้อน คุณจะอุ้มผมเป็นเจ้าหญิงแบบนี้ไม่ได้ ผมตัวใหญ่เป็นน้องควายเลยนะ

   “ปล่อยผมลงเลย คุณไม่หนักรึไงเนี่ยะ”

   “ก็ไม่เท่าไหร่นี่ครับ” เจ้าตัวพาผมมาที่เตียงก่อนจะขยับตัวขึ้นคร่อมไว้ด้านบน ใบหน้าคมอยู่ห่างจากผมแค่จึ๋งเดียวและนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรงเอามากๆ

   แพ้ว่ะ

   “ยิ้มอะไรหืม....” ผมจิ้มแก้มเขา

   “พี่โอเคใช่ไหมครับที่จะเป็นลูกสะใภ้แม่ผมน่ะ”

   หึ....ลูกสะใภ้

   “ทำไม....ผมเป็นลูกเขยไม่ได้อ๋อ”

   เจ้าเด็กแสบอมยิ้ม “ผมจะเป็นลูกเขยให้ป๊าพี่เอง”

   “ถ้าอยากให้ผมเป็นลูกสะใภ้แม่คุณ....” ผมลูบที่ริมฝีปากบางเบาๆ “คุณต้องจูบให้เก่งกว่านี้อีกจึ๋งนึงนะ”

   “งั้นลองเลยไหมครับ” ร่างสูงก้มลงมาจุ๊บปากผมทีนึงโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก่อนจะประกบปากมาทาบทับ สัมผัสได้ถึงแรงขบเบาๆ ที่ปากล่างและเพราะการทำแบบนั้นผมจึงเปิดปากออก

   ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาไล่ต้อนลิ้นผมอย่างซุกซน อื้มมม...ม....ม....เดี๋ยวๆ นี่มันไม่ใช่แล้ว ความรู้สึกจนมุมนี่ต้องไม่ใช่ฝ่ายผมที่รับรู้ดิ นี่ใช่คนเดียวกับที่เสม็ดจริงๆ เหรอ ผมเผลอจิกมือลงกับไหล่เขาเพราะเริ่มหายใจไม่ทัน ร่างสูงยังคงสูบพลังชีวิตจากผมไปเรื่อยๆ มันเป็นจูบที่นานมากในความรู้สึกและผมเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว

   จะขาดใจตาย

   “อื้มม...ม.....สิบสาม....แฮ่ก....” ผมดันเขาออกก่อนจะโกยอากาศเข้าปอด คนที่อยู่ด้านบนยกยิ้มให้อย่างเหนือกว่า

   “สีหน้าของคนที่เสียอาการมันเป็นแบบนี้เอง”

   นังน้อนนนนน!!!!

   นังทรัวดีย์....เธอจะเอาแบบนี้ใช่ไหม

   “นี่คุณ....อื้อออออ....” ผมโดนจูบหนักๆ อีกทีนึง “สิบสาม”

   “แก้มแดงไปหมดเลยนะครับ” จมูกโด่งกดลงที่แก้มผมก่อนจะลากลงไปที่ซอกคอ “หอมจัง”

   เอาใหญ่แล้ว

   “ร้ายกาจมากเลยนะคุณเนี่ยะ” ผมสัมผัสได้ถึงแรงกดจูบแรงๆ ที่ซอกคอ “อื้อออ...อ....คุณ”

   “มันเขี้ยวจังครับ” ร่างสูงพลิกให้ผมมานอนก่ายอยู่บนตัวเขาแทน นิ้วเรียวเขี่ยผมที่ปรกหน้าออกให้ก่อนที่เขาจะผงกหัวขึ้นมาจุ๊บหน้าผากผม “ผมดีใจนะที่ได้มีพี่เฌออยู่ในความจริง”

   ตึกตัก

   “พูดอะไรของคุณน่ะนังน้อน”

   มือเรียวลูบหลังผมเบาๆ “ก็ตอนที่รู้ตัวว่าชอบพี่เฌอ เรื่องของพี่มันอยู่ได้แค่ในหัว ผมไม่เคยคิดว่าเรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นในความจริง แต่พอมาถึงตอนนี้ที่ได้มีพี่อยู่ตรงหน้า ผมก็ดีใจที่ได้จับต้องพี่เฌอคนนี้ได้ กอดเอาไว้ได้โดยไม่ต้องกลัวว่าพี่จะหายไปไหน”

   “ผมไม่หายไปไหนหรอก....จะอยู่กับคุณตรงนี้แหละ อย่าเบื่อละกัน”

   “พี่ก็ด้วย....อย่าเบื่อผมนะครับ”

   ใครจะเบื่อคุณลงวะ

   ผมมองเขาอยู่อย่างนั้นพลางเกลี่ยแก้มใสไปด้วย พอเข้าใจความรู้สึกที่ว่าเขินกว่าตอนจีบกันเป็นยังไงแล้วล่ะ เมื่อกี๊ตกใจเหมือนกันนะที่โดนจูบแบบสูบวิญญาณขนาดนั้นน่ะ ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้สิบสามที่เงอะงะในวันนั้นกลายเป็นแบบนี้ได้ เรื่องแบบนี้เป็นไปได้ด้วยเหรอวะ จะบอกว่าเป็นเพราะสัญชาตญาณก็เกินไปหน่อยไหม ตอนที่คบกันเขายังเขินตัวแดงไปหมดเพราะโดนผมจูบแต่มาตอนนี้กลับเป็นผมที่.....

   หึ้ย...ย....ยอมไม่ได้นะเฌอเรื่องนี้อะ

   “คุณ....ทำไมถึงจูบได้แบบนั้น”

   “ก็เพราะอยากให้พี่เป็นลูกสะใภ้แม่ไงครับ” สิบสามอมยิ้มมองผม “ของแบบนี้ต้องเรียนรู้ไม่ใช่เหรอ”

   “ก็ใช่แต่แบบมันแค่ 3 วันเองสิบสาม”

   “เดี๋ยวผมจะเก่งกว่านี้อีก”

   ยังจะมากกว่านี้อีกเหรอ

   “คุณจะเอาชนะผมให้ได้เลยใช่ไหม”

   “ผมยอมพี่เฌอได้ทุกเรื่อง” เจ้าตัวผงกหัวขึ้นมาใกล้ “แต่ยกเว้นเรื่องนี้ หรือถ้าพี่อยากให้ผมยอม ก็กดผมเอาไว้ให้ได้สิครับ”

   ใครจะไปสู้แรงคุณได้วะ

   ผมซบลงกับอกเขาเหมือนคล้ายๆ ว่าจะยอมแพ้ “คุณแม่ง....”

   “เอาน่ะครับ เขาว่าโดนเด็กกินแล้วจะเป็นอมตะนะ พี่ไม่เคยได้ยินเหรอ”

   “เขามีแต่กินเด็กแล้วจะเป็นอมตะ” ผมงับไหล่เขาไปทีนึงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์แล้วกดเข้าไปที่เฟซบุ๊ก “ตั้งสถานะคบกันไหมคุณ”

   “ดีครับ คนอื่นจะได้รู้ว่าพี่มีแฟนแล้ว”

   “คนอื่นจะตกใจมากเลยด้วยที่ได้รู้ว่าแฟนผมเป็นใคร”

   

   Cher Charun กำลังคบกับ Thitos

   

   ผมมองการขึ้นสถานะของเราก่อนจะกดปิดแจ้งเตือน เชื่อได้เลยว่ามันจะต้องถล่มทลาย ดีไม่ดีเพื่อนๆ จะโทรมาแซวด้วย ผมปิดเครื่องไปเลยดีไหมวะ จะได้ไม่ต้องมีใครมารบกวนเวลาพักผ่อนของผม พอคิดได้แบบนั้นผมก็กดปิดโทรศัพท์แล้วดูแจ้งเตือนต่างๆ จากหน้าจอโทรศัพท์ของสิบสามแทน คอมเม้นต์เยอะมาก มันต้องมีทั้งดีและไม่ดีแน่ๆ ซึ่งผมพอรู้เลยว่าคอมเม้นต์ไม่ดีจะมาจากใครบ้าง

   เห้อะ....ไม่แคร์หรอกนะครับขอบอกไว้เลย

   “มีคนกดโกรธด้วยนะครับ”

   “คุณสนใจด้วยเหรอ”

   “ไม่ครับ” สิบสามกอดผมเอาไว้ “ผมสนใจแค่คนนี้เท่านั้นแหละ”

   “ปากหวาน”

   “ชอบไหมครับ”

   “ถ้าไม่ชอบ....ผมไม่อยู่ตรงนี้หรอก” ผมขยับลงมานอนข้างๆ ก่อนจะกุมแก้มเขาเอาไว้ “อิจฉาตัวเองว่ะ”

   “อิจฉาทำไมครับ”

   “....ได้เป็นแฟนคุณไง”

   “เป็นแฟนผมไปเรื่อยๆ พี่จะยิ่งรู้สึกอิจฉาตัวเองครับพี่เฌอ”

   ขนาดนั้นเลยนะ

   “แล้วผมจะคอยดูนะ....สิบสาม”

   คนเราจะอิจฉาตัวเองได้ถึงขั้นไหนวะ.....อยากรู้จริงๆ

   

   

   

   

   

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วด้วยความรู้สึกอิจฉาและปวดหลังมาก ทิ้งไว้ที่ บท 13 นะคะ ก็จะมาอีกทีวันที่ 1 กุมภาพันธ์นะ ขอพักหน่อย พักไปปิดต้นฉบับ ก็รอกันอย่างใจเย็นนะคะ

   มีคนสับสนเรื่องโพด้วยนะคะ ให้บทนี้ยืนยันว่าใครจะกินใครแบบแน่นอนนะ คือหลังจากนี้มันก็จะมีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นด้วยทั้ง 2 ฝ่ายนะคะ ก็ต้องรอติดตามกันด้วยนะคับบ

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 13 : 28/1/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 29-01-2020 09:00:56
รวดเดียวจบ  มันได้อะ ตามให้กำลังใจๆ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 13 : 28/1/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-01-2020 10:42:47
มีแววว่าจะโดนเด็กกิน555
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 13 : 28/1/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 29-01-2020 20:11:05
จิกหมอนแล้ววววว
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 14 : 1/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 01-02-2020 20:54:01
บทที่ 14 ดื้อ



   “เฌอ”

   “หืม....”

   “คบกับเด็กมากี่วันละ”

   “อาทิตย์กว่าแล้วมั้ง ทำไมวะ”

   “ใกล้จะ 13 วันละดิ”

   “อืม”

   “รอบนี้รู้สึกเป็นไง”

   เป็นไงงั้นเหรอ.....เห้อะ ก็มาดิไอ้เวร

   ผมไม่ตอบคำถามของเพื่อนรักแต่แย่งโอริโอ้ในถ้วยมันมากินแทน ไอ้แช่มที่โดนแย่งโอริโอ้ทำหน้าเหมือนส้นตีนทันที แหมๆ ๆ แย่งนิดแย่งหน่อยทำเป็น เดี๋ยวปั๊ดตบตาหลุดเลยหนิ ผมตักไอติมชาเขียวเข้าปากพลางมองคนโน้นทีคนนี้ที ตอนนี้ 4 ทุ่มแล้ว ผมกับไอ้แช่มอยู่ที่ติมมืดครับ ไม่รู้ว่าชริตเป็ดเพื่อนรักนึกครึ้มอะไรอยากกินไอติมตอนนี้ แต่ก็ถือว่าดีเหมือนกัน ผมจะได้ถามเรื่องที่อยากรู้ช่วงที่มันกลับไปบ้านเกิดด้วย สีหน้าและท่าทางดูอารมณ์ดีนะ คิดได้เลยว่าอาการหลายๆ อย่างอาจจะดีขึ้น

   เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วแหละ

   “กลับบ้านเป็นไงบ้าง” ผมเอ่ยถามก่อนจะตักถั่วแดงในถ้วยตัวเองไปให้มัน “ดีตามที่ใจหวังป้ะ”

   “อื้ม กูไม่เป็นอะไรแล้วแหละ ทุกอย่างมันจบอย่างสมบูรณ์แล้วมึง เรื่องเลวร้ายในอดีตจะทำอะไรกูไม่ได้อีกแล้ว”

   “เป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว พวกกูค่อยหายเป็นห่วงหน่อย”

   “กูคุยกับน้องหอมเรื่องอนาคตด้วยนะมึง กูบอกน้องไปว่าพอเรียนจบ กูจะทุบบ้านหลังเดิมทิ้ง แล้วก็สร้างใหม่”

   “ถ้ามึงเลือกแล้ว มันคงเป็นทางที่ดีที่สุด ก็เอาตามนั้นแล้วกัน ไอ้หอมว่ายังไงบ้างล่ะ”

   “ก็ตามใจกูนั่นแหละ แล้วกูก็บอกน้องหอมด้วยว่าถ้าน้องเรียนจบเมื่อไหร่ บ้านสร้างเสร็จแล้วหรืออะไร ถึงตอนนั้นค่อยแต่งงานกัน”

   “ใจมึงมันได้ว่ะ แต่งงานอ๋อ” ผมนึกภาพที่ไอ้แช่มใส่ชุดเจ้าบ่าว “งี้กูก็ต้องหาสูทไว้ใส่ในงานแต่งมึงแล้วแหละ ไม่ต้องห่วงนะเพื่อนแช่ม เดี๋ยวเพื่อนเฌอเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้เอง”

   “เออ มันก็อีกนานอยู่นะแต่กูก็มั่นใจแล้วแหละว่ายังไงเวลาที่เหลือ ก็อยากอยู่กับคนๆ นี้ กูรักน้องหอมว่ะ ทำน้องเสียใจมาเยอะ กูไม่อยากให้น้องเสียใจเพราะกูอีก”

   “คิดได้แบบนั้นก็ดีแล้ว เออมึง ไปๆ มาๆ คือกลุ่มเราแม่งมีแฟนเป็นผู้ชายทั้งหมดเลยว่ะ”

   “ทำไงได้วะ ก็รักไปแล้วอะ”

   นั่นดิ....รักไปแล้วจะให้ทำไง

   ตอนนี้ที่คบกับสิบสามอยู่ ผมก็นึกถึงอนาคตเหมือนกันนะแต่มันต่างจากที่เคยเป็น ผมน่ะจะต้องผ่านคำพูดที่มันเข้ามาในสักวันนึงว่าผมไม่เหมาะสมกับนังน้อน ในอนาคตแฟนผมจะเป็นหมอ เขาต้องมีสังคมซึ่งอาจจะต่างจากที่ผมมี เขาต้องเจอผู้คนอีกเยอะ ตัวผมเองก็ด้วย จนถึงตอนนั้นเราสองคนน่าจะต้องเจอเรื่องประสาทแดกเยอะอยู่แหละ เชื่อไหมว่าการที่ผมคิดว่าสิบสามจะต้องเป็นหมอ มันทำให้ผมอยากเป็นเฌอที่ดีมากกว่านี้อีกสักสิบเท่า

   ดีให้รู้สึกว่าผมนี่แหละที่เหมาะสมกับเขามากกว่าใคร

   เรื่องครอบครัวไม่มีอะไรต้องกังวล ป๊ารู้เรื่องที่ผมคบกับสิบสามแล้วครับ เขาโทรมาหาผมพร้อมกับถามว่ามีแฟนเป็นผู้ชายเหรอ เป็นยังไงบ้าง เขาดีไหม ถามคำถามทั่วไปต่างๆ นานาพร้อมกับอวยพรให้ความรักครั้งนี้ของผมดีกว่าที่เคยมีมา ผมก็ถามป๊าว่าไม่ว่าอะไรเหรอที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ป๊าบอกว่าถ้ามันมีคือความสุขของผมแล้วมันไม่ได้เดือดร้อนใคร เขาก็ไม่ขัด ส่วนเรื่องของคนอื่นในครอบครัว ก็ไม่ต้องสนใจ ใครจะพูดอะไรก็ปล่อยให้เขาพูดไป

   ถ้าผมรู้สึกรำคาญมากๆ ก็สามารถโทรไปฟ้องได้

   รอบนี้ให้คะแนนป๊าไปเลย 100 คะแนนเต็ม

   เป็นแบบที่ผมคิดจริงๆ ด้วยแหละที่ป๊าจะไม่มีปัญหาเรื่องที่ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย เนี่ยะ คนในครอบครัวเราสองคนโอเคที่เราคบกันแต่ดูเหมือนคนนอกจะมีอยู่กลุ่มนึงที่ไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ ซึ่งมันทำให้หลายวันมานี้ผมมีเบอร์แปลกๆ โทรมาหาแล้วก็ด่าอะไรสักอย่างแต่มันฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมคิดว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนี้อีกสัก 3 ครั้งผมจะไปแจ้งความ รำคาญอะ คือเบอร์โทรศัพท์ต้องลงทะเบียนกับเลขบัตรประชาชนถูกไหม มันก็ต้องระบุอยู่แล้วว่าใครเป็นเจ้าของ

   ทำอะไรไม่คิดเลย

   “เฌอ”

   “หืม....”

   “กูถามอะไรหน่อยดิ” ไอ้แช่มขยับมานั่งฝั่งเดียวกับผม “มึงกับน้องหมออะ ถึงขั้นไหนแล้ววะ”

   “ขั้นไหนอะไรวะ ก็เป็นแฟนกันไง” ถามอะไรแปลกๆ สถานะก็ตั้งคบกันให้เห็น

   “กูรู้แล้วว่าเป็นแฟนกัน แต่ที่ถามเนี่ยะ กูหมายถึงแบบ....” มันเอ่ยพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม โอเครู้เรื่อง เข้าใจแล้วว่าขั้นไหนที่มันถามคืออะไร

   “อ๋อ....มึงนี่ก็ขี้เสือกนะ อยากรู้ทำไมวะ”

   “กูอยากใส่ใจอะ อีกอย่าง....เพื่อนกูมีแฟนเป็นผู้ชายทั้งที มึงก็ควรจะรู้ในสิ่งที่ต้องรู้เอาไว้ไหม” ไอ้แช่มเอียงหัวเข้ามาใกล้ “ในฐานะที่กูมีประสบการณ์มากกว่ามึง กูจะแนะนำให้เอง”

   “พี่แช่มพี่เฌอ”

   ผมหันตามเสียงก็เจอไอ้เด็กหัวทองที่สวมชุดนอนสีแดง “อ้าวไอ้หมี มากินติมอ๋อ”

   “อื้ม มีคนอยากกินไอติม” มือเรียวชี้ไปที่ไอ้เพื่อนตัวแสบที่เดินหัวฟูเข้ามา สภาพเหมือนเพิ่งตื่นแหละจริงๆ

   “พูดอะไรห้ะ ใครอยากกินกูให้พูดอีกที” ไอ้ขันโขกหัวแฟนเด็กก่อนจะเดินไปสั่งไอติม อ๋อ คือไอ้หมีน่าจะอยากกิน ส่วนเพื่อนรักผมก็น่าจะโดนปลุกให้พามากินไอติม

   มีผัวตามใจนี่ดีเหมือนกันเนอะ

   “เออมึงมาก็ดีไอ้หมี มึงจะได้ให้คำตอบพี่มึงได้ดีกว่ากู”

   “คำตอบอะไรอ๋อพี่”

   “เรื่องเซ็กซ์”

   ผมทำหน้าตึงใส่มัน “กูไม่อยากรู้เลย”

   “แต่มึงควรรู้เอาไว้ ผู้ชายด้วยกันมันต่างจากผู้ชายกับผู้หญิงนะ มึงคิดจะแห้งหรือปล่อยแฟนตัวเองแห้งไปทั้งชาติเหรอ”

   “จากความรู้สึกของหมีนะพี่เฌอ พี่ไม่รอดจากสิบสามแน่ๆ อะ ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเชือดพี่ตอนไหน”

   มึงจะพูดให้กูหวั่นใจทำไมวะไอ้เวร

   ผมตักไอติมชาเขียวเข้าปากพลางทำหน้ามึนเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ไอ้หมีพูด โอเค ได้ยินเต็มสองรูหูแหละแล้วก็รู้ตัวเองดีเลยว่าจะไม่รอด วันที่กลับจากเสม็ดแล้วไปค้างที่บ้านสิบสามมันก็ชัดเจนแล้วป้ะวะ ตอนนั้นที่นังน้อนถามผมว่าโอเคใช่ไหมที่จะเป็นลูกสะใภ้แม่เขา พร้อมกับจัดการบลัฟผมด้วยจูบสูบวิญญาณนั่นอีก ไหนจะบอกว่าถ้าอยากกดเขาก็ต้องสู้แรงให้ได้ คือเรื่องแบบนั้นผมจะทำได้ไง เขาแรงเยอะยิ่งกว่าใครในโลก

   ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กจนกระทั่งได้เป็นแฟนสิบสามอะ

   “เออ กูรู้ว่ากูต้องโดนเชือดสักวันนึงแหละ แต่พวกมึงไม่ต้องใส่ใจกันขนาดนั้นก็ได้ป้ะ”

   “ไม่ได้พี่ ปุบปับทำเลยไม่ได้นะ มันเจ็บ” ไอ้หมีเลื่อนหัวเข้ามาใกล้ “พี่เฌอต้องมีถุงยางนะ เจลหล่อลื่น อันนี้สำคัญมาก แต่คือครั้งแรกยังไงมันก็เจ็บว่ะ ต้องขึ้นอยู่กับสิบสามแล้วแหละว่าเขาจะเก่งมากแค่ไหน”

   จะเอาอะไรมาเก่งวะ....ทำสักครั้งยังไม่เคยเลยมั้ง

   แต่จะวางใจไม่ได้เพราะผ่านไป 3 วันยังจูบเก่งขึ้นขนาดนั้น

   “กูคงยังไม่มีอะไรกับแฟนตอนนี้หรอกนะมึง ยังคบกันไม่ถึง 13 วัน และวันที่ 13 ก็ยังไม่ผ่านไปเลย”

   “งั้นถ้าผ่านอาถรรพ์ต่างๆ ไป มึงจะยอมมีผัวแต่โดยดีป้ะล่ะ”

   “จะมีผัวหรือไม่มีผัวก็ให้เป็นเรื่องของกูไหม สะเหล่อจริงๆ เลยพวกมึงเนี่ย” ผมมองไอ้ขันที่เดินมาพร้อมกับถ้วยไอติม “ไอ้ขัน ไอ้หมีบอกว่าอยากโดนมึงเยดุๆ อะ มันบอกว่าช่วงนี้มึงไม่ดุ มันไม่ชอบ ไม่เร้าใจ”

   “พี่เฌออออ” คนที่โดนพาดพิงมองผมตาโตทันที หมั่นไส้ เดี๋ยวไอ้แช่มก็จะโดนด้วยโทษฐานสะเหล่อ

   ไอ้ขันมองแฟนตัวเองนิ่งๆ “เหรอ”

   “หมีโดนแกล้งต่างหาก หมีไม่ได้พูดแบบนั้นเลยนะ”

   “หึ....” เพื่อนรักจอมโฉดตักไอติมเข้าปาก ดูจากสายตาก็รู้แล้วว่ากลับถึงหอเมื่อไหร่ ไอ้หมีตายแน่ๆ ดีละ ให้มันตายไป ตายคาเตียงไปทั้งคู่นั่นแหละ

   “เฌอ....อย่าลืมที่กูบอกนะ”

   เดี๋ยวมึงจะได้ตายอีกคนไอ้หน้าสัส

   เอาจริงๆ เรื่องแบบนี้ก็มีคิดไว้บ้างแต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้ป้ะวะ คบกันยังไม่ถึง 2 อาทิตย์เลย อีกอย่างก็รู้แหละว่าตัวเองจะต้องเผชิญชะตากรรมยังไง แบบนั้นก็ขอเวลาทำใจก่อนได้ไหมล่ะ ผมว่าเรื่องนี้ถ้าถึงเวลาของมัน เดี๋ยวก็.....เออน่ะ เอาเป็นว่าไม่ใช่ตอนนี้ที่พร้อมจะมีผัว โอเคจบ ทุกปัญหาเคลียร์แล้ว ส่วนตอนนี้เรื่องที่น่าจะเป็นปัญหาที่สุดคือกระเป๋าสตางค์ไปไหนวะ

   อืม....ไม่ใช่กระเป๋าสตางค์แต่โทรศัพท์ก็ด้วย

   อยู่ในรถหรือเอาไปวางไว้ที่ไหนเนี่ยะ

   “เดี๋ยวกูไปที่รถแป๊บนะ ลืมกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์ว่ะ”

   “สะเหล่ออีกละมึงเนี่ยะ”

   “เออน่ะ” ผมโขกหัวไอ้แช่มทีนึงก่อนจะเดินออกมาด้านหลังร้านที่เป็นลานจอดรถ ได้ยินเสียงโหวกเหวกมาจากข้างฟุตปาธด้วย พอเป็นนั้นผมจึงเดินไปดู

   ทะเลาะกันเหรอวะ

   ผมเห็นวัยรุ่นกำลังมีปากเสียงกัน พวกที่ใส่เสื้อยืดสีดำเนี่ยะมีกันหลายคน คู่กรณีอีกฝั่งคือหน่อเดียวโดดๆ เลย ถ้าสมมุติว่าตีกันจริงๆ ไอ้ฝั่งคนเดียวนี่ตายแน่ล่ะ ดูจากฝั่งเสื้อดำที่ถืออาวุธอย่างไม้หรือท่อนเหล็กไว้ในมือแล้วด้วย ผมควรจะโทรแจ้งตำรวจไหม อย่างน้อยก็ก่อนที่อะไรๆ มันจะบานปลายไปมากกว่านี้ พอคิดได้แบบนั้นผมก็ล้วงมือไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหวังจะหยิบโทรศัพท์

   เดี๋ยวนะ

   มันอยู่ที่รถหนิเฌอ

   ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมย่องไปที่รถแล้วค่อยแจ้งตำรวจก็ได้ ในจังหวะที่ผมกำลังจะถอยหลังกลับไป เสียงนึงก็ลอยเข้ามาในโสตประสาทและนั่นทำให้เท้าของผมชะงักทันที “.....ไอ้ภัทรงั้นเหรอ”

   พวกเสื้อดำนั่นเรียกอีกฝ่ายว่าไอ้ภัทร

   ผมหันไปทางฟุตปาธอีกครั้งก่อนจะเพ่งมองคนที่สวมชุดนักศึกษา หน้าตากวนส้นตีนอย่างนั้นก็ชัดเลยแหละ ไอ้ภัทรจริงๆ ด้วย ทำไมมันถึงไปมีเรื่องกับพวกนั้นได้วะ ผมขยับเข้าไปใกล้เพื่อได้ให้ยินเสียงชัดกว่าเดิม

   “นัดกันไว้วันนี้ไม่ใช่เหรอ ไหนเงินพวกกูอะ”

   “อาทิตย์หน้าได้ไหมพี่ นะ ขอเวลาอีกหน่อยเถอะ”

   “อาทิตย์ที่แล้วมึงก็พูดแบบนี้ มึงคิดว่าพวกกูใจดีขนาดนั้นเลยเหรอวะ มึงเบี้ยวหนี้เองนะ”

   เบี้ยวหนี้อะไรวะ.....อย่างไอ้ภัทธเนี่ยนะจะมีหนี้

   “งั้นครึ่งนึงก่อนได้ไหมพี่”

   “ครั้งก่อนมึงบอกว่าเงินเต็มหนิ ครั้งนี้จะมาครึ่งนึงอะไรวะ”

   “เออ เงินแค่สองแสนอะ ลูกเจ้าสัวอย่างมึงคงขนหน้าแข้งไม่ร่วงไหม”

   “หรือให้กูไปทวงที่พ่อมึงดี”

   “อย่านะพี่ อย่า....”

   “แล้วมึงจะทำยังไง เสียเวลาพวกกูมากเลยนะ” ไอ้หัวโจกเอ่ยอย่างหัวเสีย “พอๆ จัดการมันดิ๊ ว่าถ้าเบี้ยวหนี้แล้วเจอกับอะไร”

   สิ้นเสียงคำสั่งพวกเสื้อดำก็เข้ามารุมกระทืบไอ้ภัทรทันที พอเห็นแบบนั้นผมจึงออกไปห้าม “เห้ยหยุดดดด!!!! กูบอกให้หยุดไงวะ” ผมผลักพวกมันออกก่อนจะหลบหมัดที่พุ่งเข้ามาแล้วเตะสวนจนอีกฝ่ายล้มกลิ้งไป

   “มึงมาเสือกอะไรวะ”

   “กูเป็นพี่ไอ้เวรนี่เองอะ ทำไม” ผมหยิบชะแลงที่ร่วงอยู่ขึ้นมาก่อนจะยืนกั้นระหว่างพวกมันกับไอ้ภัทรไว้ “มีปัญหาอะไร”

   “ห้าวตีนดีว่ะ เป็นพี่ไอ้ภัทรเหรอ งั้นมึงก็ต้องมีเงินจ่ายหนี้ให้น้องชายถูกไหม”

   “....เท่าไหร่”

   “สองแสน”

   “เอาเลขบัญชีมา”

   “กูจะเอาเงินสด”

   “ได้ งั้นขับรถตามกูไปกดเงินที่ตู้ กดแม่งทั้งคืนอะ มึงจะเอางั้นไหมล่ะ” ผมเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นอย่างหัวเสีย “บางทีการคิดจะเอาชนะมันทำได้เว้ย แต่ไม่ใช่เรื่องโง่ๆ แบบนี้”

   “ปากดีนักนะมึง” ไอ้เสื้อดำพุ่งจะเอาไม้หน้าสามมาฟาดแต่ผมเบี่ยงหลบตัวทันก่อนจะถีบเข้าที่ขาพับจนมันล้มลงไป พอเป็นแบบนั้นผมก็เตะเสยคางจนมันสลบเมือดไป

   ฝีมือได้แค่นี้คิดจะวัดกับเฌอ....กล้ามากนะมึงเนี่ยะ

   “นี่มึงกล้าทำลูกน้องกูเหรอ”

   “เออ กับมึงกูก็กล้า ตกลงจะเอายังไง จะเอาเงินหรือจะเข้าโรงพยาบาลแล้วให้เรื่องถึงโรงพัก กูไม่มีปัญหาเลยนะ ขอแค่บอก” ผมยกชะแลงขึ้นชี้หน้าพวกมัน “ขอให้พวกมึงคิดดีดีก็แล้วกัน ได้กระทืบน้องกูพอหอมปากหอมคอ ได้เงินสองแสนแล้วแบกลูกน้องมึงกลับไปหรือจะฟาดกันสักทีก่อนแล้วให้เรื่องจบลงที่โรงพัก ดีไม่ดีเงินมึงก็ไม่ได้ แล้วถ้าไอ้เงินนี่มันเป็นหนี้แบบผิดกฎหมาย ก็ติดคุกกันแม่งให้หมดเลย จะเอาแบบนั้นไหมล่ะ”

   ผมยืนมองฝั่งตรงข้ามอยู่อย่างนั้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมีเรื่องกับคนอื่น แต่ก็นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้ปะทะกับใคร ทุกทีผมจะเป็นคนใจเย็น ไม่เลือกการลงไม้ลงมือถ้าไม่จำเป็น ที่ห้าวตีนได้ขนาดนี้ก็เพราะเพื่อนแต่ละคนที่คบมาก็ห้าวตีนเหมือนกันนี่แหละ เรื่องแบบนี้ก็เลยต้องฝึกเอาไว้ให้มีชั้นเชิงบ้าง เมื่อตอนปี 1 ผมกับเหล่าแก๊งค์ปลาทองเคยลงเรียนคอร์สมวยไทยด้วยกันขำๆ เผื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินแบบนี้จะได้ช่วยเหลือตัวเองได้

   มันก็เป็นประโยชน์จริงๆ อะนะ

   “เอายังไงดีพี่ มันน่าจะเอาจริงนะ”

   “แต่พวกเราก็มากันหลายคนนะพี่ ทำไมต้องกลัวมันวะ”

   ผมเค้นหัวเราะพลางมองเหยียด “การที่มึงมากันหลายคน ไม่ได้หมายความว่ามึงจะรอดปลอดภัยกลับไปทุกคนนะ อย่ามั่นหน้าให้มากนัก”

   “ปากดีจริงๆ เลยนะมึงน่ะ” ไอ้พวกนั้นกำหมัดแน่น

   “ทำไมล่ะครับ ถ้าหยามไม่ได้ก็เข้ามาดิ.....ไอ้สัส”

   “มึง....”

   “พอๆ เดี๋ยวเรื่องจะใหญ่ไปกว่านี้ เอองั้นมึงโอนเข้าบัญชีมา”

   “ได้ งั้นตามกูไปที่รถ กูลืมโทรศัพท์ไว้ในนั้น มึงก็ไปกับกูด้วย” ผมลากไอ้ภัทรมาที่ลานจอดรถ ไอ้พวกเสื้อดำก็เดินตามมาด้านหลัง สะเหล่อชิบหาย เหมือนจะเท่ก็เท่ไม่สุดเพราะลืมโทรศัพท์นี่แหละไอ้บ้า

   “ไอ้เฌอระวัง”

   พลั่กกกกก

   “โอ๊ยยยย” แรงถีบเข้าที่กลางหลังทำให้ผมเสียหลักไปชนประตูรถตัวเอง เห็นเงาสะท้อนในกระจกก็เห็นว่ามีคนจะเอาไม้หน้าสามฟาดผมเข้าซ้ำ ผมจึงย่อตัวหลบทันที

   เพล้งงงง

   ไอ้สัสน้องรถกู!!!!

   ผมเตะตัดขาไอ้เวรนั่นทันทีก่อนจะเตะเข้าที่สีข้างซ้ำให้อีกที “เสื้อตัวนี้แฟนกูซื้อให้ มึงทำมันเลอะแบบนี้ คงรู้นะว่าเรื่องจะจบยังไง”

   พลั่ก พลั่ก พลั่ก พลั่ก พลั่ก พลั่ก

   ผมจัดการไอ้พวกเสื้อดำที่รุมกันเข้ามา ได้ดิครับ เงินมึงก็ไม่ต้องเอา เอาตีนกูไปแดกแทนหนิ เสียงโครมครามที่ลานจอดรถทำให้คนที่นั่งกินไอติมในร้านติมมืดพากันออกมาดู รวมถึงบรรดาเพื่อนๆ ของผมด้วย ลืมไปเลยล่ะว่ามากับเพื่อนเนี่ยะ แต่ไม่ต้องห่วง เรื่องแค่นี้ไม่ถึงมือเพื่อนแน่นอนเพราะแค่ผมคนเดียวก็เอาอยู่

   พลั่ก

   “อึก....” ไอ้หัวโจกทรุดลงกับพื้นก่อนจะกุมท้องตัวเองเอาไว้อย่างนั้น สมควรแล้วไอ้สันขวาน ทำเป็นพูดไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ สุดท้ายก็จ้องจะกระทืบผมอยู่ดี

   “เกิดอะไรขึ้นวะเฌอ” ไอ้แช่มถามอย่างตกใจพลางยกมือผมขึ้นไปดู “มือมึง”

   “เออไม่เป็นไรหรอก กูฝากเรื่องตรงนี้ที เดี๋ยวกูเคลียร์ให้ทีหลัง แล้วก็ขอยืมรถหน่อย รถกูกระจกแตกว่ะ”

   มันหยิบกุญแจรถส่งมาให้ “แล้วมึงจะไปไหน”

   “คุยกับน้องชายแต่ต้องไปคุยไกลหน่อย” ผมบอกก่อนจะลากไอ้ภัทรไปที่รถไอ้แช่ม จัดแจงยัดมันขึ้นรถก่อนจะขับออกมาจากร้านติมมืด

   มองหลังมือตัวเองที่เป็นรอยแตก ผมคงใช้แรงเยอะไปหน่อยล่ะมั้ง ตอนต่อยก็รู้สึกอย่างเดียวคือโกรธที่มันทำกระจกน้องรถผมแตก อีกอย่างที่โกรธหนักกว่าคือทำเสื้อที่นังน้อนซื้อให้เปื้อนนี่ดิ เป็นรอยตีนเลยมั้งข้างหลังอะ ถ้าสิบสามรู้ว่าผมมีเรื่อง เขาจะดุไหมนะ แต่เอาน่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะมีเรื่องซะหน่อย มันจำเป็นนี่หว่า ถึงผมจะไม่ชอบขี้หน้าไอ้ภัทร แต่ผมก็ปล่อยมันโดนกระทืบตายไม่ได้

   ยังไงมันก็เป็นน้อง

   “มึงมาช่วยกูทำไม”

   “คำแรกที่มึงควรพูดคือขอบคุณกู” ผมจอดรถที่หน้าร้านเฮียเจ๋ง “ไหนมึงพูดมาดิ๊ว่าทำไมไปติดหนี้มันสองแสน”

   “เรื่องของกู”

   “ไอ้ภัทร” ผมตบกะโหลกมันไปทีนึงอย่างแรง

   “มึงกล้าตบกูเหรอไอ้เฌอ”

   “กูจะถีบหน้ามึงให้ด้วย ทิฐิหรือศักดิ์ศรีโง่ๆ ไม่ได้ช่วยอะไรมึงได้หรอกนะ หรือกูควรให้ป๊ารู้เรื่องนี้ดี”

   “มึงอย่าบอกป๊านะ”

   “งั้นมึงก็บอกกูสิว่ามันหนี้อะไรตั้งสองแสน”

   “พนันบอล”

   “จิ๊....มึงนี่แม่ง” ผมมองมันอย่างเหลืออด ในหัวมีคำด่าเยอะแยะเต็มไปหมด แต่คิดว่าด่าไปก็เท่านั้น หน้าโง่อย่างมันต้องหาเรื่องมาเถียงให้ผมประสาทแดกอีก

   “มึงจะมายุ่งเรื่องของกูทำไมวะ”

   “ถ้ามึงเป็นคนอื่นที่กูไม่รู้จัก กูคงแค่ช่วยแล้วให้มันจบๆ แต่นี่มันไม่ใช่แค่นั้นไง ถึงมึงไม่เห็นว่ากูเป็นพี่แต่ยังไงกูก็เป็นพี่มึงอยู่ดีนั่นแหละ พี่ที่ไหนจะยอมให้น้องตัวเองโดนกระทืบตายอยู่ริมฟุตปาธวะ แล้วเนี่ยะ มึงติดหนี้พนันสองแสน เงินเก็บไปไหนหมด เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเลยนะ”

   “กู....มันก็เรื่องของกูอีกอะ”

   “ถ้ามึงยังพูดว่าเป็นเรื่องของมึงอีก กูจะจับหัวมึงโขกกับคอนโซลรถให้สลบแล้วเอามึงกลับไปที่บ้านเลย” อย่าคิดว่าไม่กล้านะ อ่อนปวกเปียกแบบมัน ฟาดทีเดียวก็น็อกแล้วมั้ง

   “ปัญหาของกู เดี๋ยวกูจัดการเอง”

   “มึงก็เห็นว่ามึงจัดการเองไม่ได้ ไม่งั้นมึงไม่โดนกระทืบแบบนี้หรอก” ผมหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา “ตรุษจีนเมื่อไหร่”

   “มึงถามอะไรเนี่ยะ”

   “อีกประมาณ 3 เดือนสินะ” ผมโอนเงินไปให้ไอ้ภัทรพร้อมกับแจ้งเตือนความจำเอาไว้ว่า ‘อั่งเปาล่วงหน้าให้ไอ้เด็กเวร’ อื้ม....เป็นเงินอั่งเปาที่เยอะที่สุดในชีวิตเฌอเลยมั้งที่ให้ใครเนี่ยะ

   “มึงทำแบบนี้ทำไมวะ”

   “เฮียมึงรวยไง เนี่ยะ เอาไปใช้หนี้แล้วถ้ามีเรื่องอย่างอื่นก็มาบอกกู เรื่องนี้มึงบอกป๊ากับแม่มึงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” ผมผ่อนลมหายใจพลางมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “มึงฟังกูนะภัทร มึงเป็นหลานรักของอากงอาม่า ทั้งป๊า ทั้งแม่มึง ทุกคนคาดหวังกับมึง มึงอย่าทำให้เขาผิดหวังแค่เพราะเรื่องแบบนี้ได้ไหมวะ การพนันอะเลิกเหอะ มีร้อยล้านก็หมดร้อยล้านนะ มึงเพิ่งอายุแค่นี้ มีเรื่องให้ต้องทำเยอะแยะ มึงจะเอาอนาคตตัวเองมาจบลงกับการพนันเหรอ มึงก็เห็นว่ามันจะไม่ได้หมดแค่เงิน แต่ชีวิตมึงก็จะไม่เหลือ”

   “.....”

   “คิดว่าทำเพื่อตัวเองแล้วก็เพื่อคนที่รักมึงก็ได้”

   “.....อืม กูจะเลิกเล่นการพนัน”

   “เออ วันนี้มึงอยู่กับเฮียเจ๋งก่อนละกัน เดี๋ยวกูบอกเฮียให้ แผลหายเมื่อไหร่ค่อยกลับบ้าน หรือไม่ไหวก็ไปหาหมอ เข้าใจใช่ไหม”

   “อืม....”

   “เออ ลงไปได้ละ ทำตัวดีดีด้วยล่ะไอ้เวร”

   “.....ขอบใจที่ช่วยกู”

   “อื้อ” พอผมรับคำ ไอ้ภัทรก็เดินลงจากรถก่อนจะเข้าไปในร้านเฮียเจ๋ง ส่วนเฌอนั้นก็มีที่ต้องไปเหมือนกันนั่นคือไปทำแผลครับ ส่วนคนที่จะทำแผลให้นั่นก็คือ....แฟนเด็กของเขานั่นเอง

   โดนดุแน่ๆ ล่ะ นึกภาพออกเลย


   
---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 14 : 1/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 01-02-2020 20:54:58
---------- ต่อจากบท 14 ----------




   “เลิกทำหน้าตึงได้แล้วดิ แฟนคุณปลอดภัยดีนะ”

   “....หึ”

   อู๊ยยยย....หึทีเดียวขนลุกไปทั้งตัวเลยค้าบ

   ผมนั่งยิ้มแห้งๆ ให้เจ้าแฟนที่นั่งทำแผลให้อยู่ เหมือนจะโกรธแหละแต่ยังคงเบามืออยู่นะ หลายครั้งแล้วที่สิบสามทำแผลที่มือให้แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเจ็บจนทนไม่ได้เลย ตอนที่โผล่มาที่คอนโดฯ เขาคือสภาพสะบักสะบอมพอตัว เจ้าของห้องตกใจกับสภาพผมเหมือนกันแหละ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ ตอนนี้อาบน้ำสระผมเรียบร้อย กลิ่นนี่หอมสะอาด ถ้าได้กอดก็จะชื่นใจมากๆ แต่สิทธิ์นั้นขอสงวนไว้ให้แฟนคนเดียวเท่านั้นนะ

   ดีไม่ดีแฟนก็ไม่กอดเพราะวันนี้ไปดื้อมา

   สิบสามทำแผลให้ผมจนเสร็จก่อนที่เขาจะเดินเอากล่องยาไปเก็บ ส่วนผมก็มองตามร่างสูงอยู่แบบนั้น พอเห็นเจ้าตัวนั่งลงที่เตียงผมก็เดินขึ้นไปนั่งข้างเขาพลางยิ้มแฉ่งให้ นังน้อนมองผมนิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา งื้ออออ....อย่าเป็นแบบนี้สิ ทำตัวไม่ถูกเลยเนี่ย

   “คุณ....”

   “เล่ามาครับ ผมรอฟัง”

   “คืองี้.....ก็ที่บอกว่าจะออกไปกินไอติมนั่นแหละ ผมลืมของบนรถก็เลยจะไปเอาแล้วดันเจอน้องชายต่างแม่อะ กำลังมีเรื่องอยู่ มันโดนกระทืบผมเลยเข้าไปห้าม ตอนแรกก็ไกล่เกลี่ยกันดีดีเหมือนเรื่องจะจบแค่ผมจ่ายหนี้ให้แทนน้อง แต่พวกมันถีบผมจากข้างหลังอะ ทำกระจกรถผมแตกด้วย ผมโกรธมากที่มันทำเสื้อที่คุณซื้อให้เลอะ ผมก็เลยกระทืบพวกแม่งหมดเลย”

   “มือถึงได้เป็นแผลขนาดนั้น”

   “อื้ม ผมไม่ได้เป็นพวกที่ชอบมีเรื่องนักหรอกแต่กับเรื่องนี้มันไม่ได้ไง นั่นน้องผมอะ ถึงจะไม่ถูกกันแต่มันก็เป็นน้อง”

   “หนี้ที่พี่ว่าคืออะไรครับ”

   “พนันบอล ให้มันไปสองแสน ผมตัวแห้งหมดแล้วเนี่ยะ”

   “จำนวนเงินไม่ใช่น้อยๆ เลยนะครับพี่เฌอ”

   “อื้ม ก็เยอะ แต่สำหรับผมมันก็ไม่ได้ทำให้ตัวลำบาก อีกอย่างเพื่อช่วยมัน เงินแค่สองแสน ค่อยหาเอาใหม่ก็ได้ นี่ไง เอาตุ๊กตาในห้องคุณไปขาย”

   ร่างสูงจ้องผมทันที “ไม่ได้นะครับ”

   “งั้นก็เอาคุณไปขาย” ผมเขี่ยผมที่ปรกหน้านังน้อนออก “หน้าตาแบบนี้ต้องราคาดีแน่ๆ เลย”

   “เดี๋ยวจะโดนนะครับ” สิบสามจับมือผมที่มีผ้าพันอยู่ “พี่ทำผมเป็นห่วงมากเลยนะ”

   “ผมขอโทษนะคุณ ผมจะระวังไม่ให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก”

   “คนดื้อก็ต้องโดนลงโทษไหมครับ” สิบสามบีบแก้มผมเข้าหากัน “ครั้งหน้าจะได้ไม่ดื้ออีก”

   “อยากหาเศษหาเลยกับผมก็บอกเถอะ” เอาคำว่าลงโทษมาอ้าง คิดว่าผมรู้ไม่ทันงั้นเหรอ

   “พี่เฌอ” ร่างสูงขยับไปอยู่ที่ปลายเท้าก่อนจะออกแรงดึงข้อเท้าผม จากท่านั่งพิงหัวเตียงในตอนแรกก็กลายเป็นว่าผมกำลังนอนหงายอยู่บนเตียงพร้อมกับมีเด็กยักษ์คร่อมอยู่ด้านบน

   โพซิชั่นที่ชรันหวั่นใจ

   “....ดื้อ”

   “ผมดื้อแล้วคุณจะตีผมอ๋อ” ผมเลิกคิ้วมองเขา “อืม....หรือคุณจะทำอย่างอื่น”

   “ผมควรตีพี่หรือควรทำอย่างอื่นดี”

   “ไม่รู้สิอื้อออ.อ.....” ผมโดนกดจูบลงมาทีนึง “นี่คุณ”

   “คิดถึงจังครับ ไม่ได้กอดตั้งหลายวัน” เจ้าตัวเอ่ยเสียงอ่อนอย่างอ้อนๆ ก่อนจะใช้ปลายจมูกคลอเคลียแก้มผมอยู่อย่างนั้น ลงโทษของเขาที่ว่าคือการทำให้ผมเขินจนประสาทเสียแน่ๆ เลย

   ตึกตัก

   สิบสามนี่มันน้า

   “หื้อออ...อ....จั๊กจี้ อื้อออ....นังน้อน” ผมดิ้นหนีทันทีเมื่อโดนคนที่ตัวใหญ่กว่าไล่จูบตามซอกคอ จูบเฉยๆ นี่ไม่ว่าหรอก ไล่ขบไล่กัดด้วยนี่สิ เข้าใจอยู่นะว่ามันเขี้ยว แต่แบบนี้มันเกินไปแล้ว

   ถ้าของขึ้นแล้วใครจะรับผิดชอบอะ

   “พี่นี่....” สิบสามละขึ้นมาก่อนจะหลุดยิ้มให้ผม “คึกคักง่ายเหมือนกันนะครับ”

   ฉ่า

   แม่งโว้ยยยยย

   “ปล่อยผมออกไปเลยนะ” ผมพยายามแกะมือเขาออกแต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นผล ร่างสูงกักผมเอาไว้ในอ้อมกอดพลางไล่ฟัดไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง ฮืออออ....มีความสุขแต่ก็รู้สึกทรมานเหมือนกันอะ

   โอ๊ย....ยอมแล้วค้าบ

   เฌอยอมแล้ว

   “พี่เฌอลามกจังเลยนะครับ” เขาจุ๊บปากผมก่อนจะขยับมานอนข้างๆ แล้วกอดเอาไว้แน่น แน่นในระดับที่ดิ้นไปเถอะ ดิ้นจนหมดแรงก็ไม่มีทางออกจากอ้อมแขนนี้ได้

   “คุณต่างหากที่ลามกน่ะ ทำกับผมซะขนาดนี้”

   “ก็ลงโทษที่พี่ดื้อไงครับ” นังน้อนเอ่ยก่อนจะเลื่อนมาจุ๊บหัวผมเบาๆ “พี่ไม่ชอบที่ผมทำแบบนี้เหรอ”

   “ก็....ไม่ได้ไม่ชอบ แต่บางทีมันก็เขินไงคุณ คุณไม่เขินบ้างเหรอ”

   “เสียงหัวใจของผมที่พี่ได้ยิน พี่คงรู้นะครับว่าผมรู้สึกยังไง”

   ตึกตัก

   เต้นแรงพอๆ กันเลย

   “เออคุณ วันนี้ตอนที่ผมนั่งกินไอติมกับเพื่อนๆ อะ พวกมันถามด้วยนะ ว่าผมกับคุณถึงขั้นไหนแล้ว” ผมขยับขึ้นไปหนุนแขนสิบสามเอาไว้ มือก็เกลี่ยที่แก้มใส “ไอ้หมีมันบอกด้วยนะว่าผมไม่รอดจากคุณแน่ๆ ”

   “หมีก็พูดถูกนี่ครับ”

   “สิบสาม”

   “พี่ต้องโดนผมกินแหละ” สีหน้าที่ยิ้มจนลักยิ้มขึ้นนั่นคือน่าหมั่นไส้จริงๆ นะ

   “แล้วถ้าผมไม่ให้คุณกินล่ะ”

   “ก็รอครับ ต้องมีอยู่แล้ววันที่พี่จะเผลอตัวและเผลอใจ”

   “มั่นใจจริงๆ นะ”

   “เพราะมั่นใจถึงได้กล้าพูดไงครับ” สิบสามยกมือผมขึ้นมาจุ๊บเบาๆ “เรื่องนั้นมันก็แค่ปัจจัยเล็กๆ ที่จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ในความสัมพันธ์ของเราสองคน สำหรับผมแล้วการได้ใช้เวลาอยู่กับพี่แบบนี้ก็มีความสุขแล้วครับ ผมไม่เคยรู้สึกเบื่อมีแต่จะต้องการมากขึ้น ให้นอนคลอเคลียกับพี่เฌอนะ....ผมทำได้ทั้งวันเลยล่ะ

   “อื้อออออ.....พูดอะไรเนี่ย” ผมซบอกเขาแก้เขิน สิบสามทำผมรู้สึกตัวเล็กลงอีกละ ทำไมมันเป็นอย่างนั้นวะ

   “พูดความจริงทั้งนั้นเลยครับ ผมรู้นะว่าเรื่องอาถรรพ์เลข 13 ทำให้พี่กังวลใจอยู่ แต่เชื่อเถอะครับว่ามันจะไม่มีอะไร ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องคิดมาก”

   “คุณรู้ด้วยเหรอ”

   “รู้สิครับ เพราะนี่ใกล้ที่เราจะคบกัน 13 วันแล้ว เดี๋ยวถ้าผ่านรอบ 13 วันก็รอดูวันที่ 13 ถ้าไม่มีอะไร พี่เฌอก็จะสบายใจ”

   “คุณนี่รู้ไปซะหมดจริงๆ เลยนะ”

   “ผมเป็นแฟนพี่ เรื่องแบบนี้ผมต้องรู้สิ” เขาลูบหัวผมเบาๆ “นอนได้แล้วครับ วันนี้พี่ดื้อไปเยอะแล้ว พักผ่อนแล้วค่อยดื้อใหม่วันพรุ่งนี้นะ”

   “เดี๋ยวเถอะนะ ผมจะหยิกคุณตอนที่คุณหลับไปแล้ว”

   “ถ้าพี่ทำผมตื่น พี่จะไม่ได้นอนอีกเลยคอยดู”

   “นังน้อน”

   ฝากไว้ก่อนเถอะ

   ผมกอดสิบสามเอาไว้ก่อนจะหลับตาลง ควรพักผ่อนจริงๆ วันนี้ผมเหนื่อยมามาก อีกอย่างพรุ่งนี้มีเรื่องต้องจัดการเยอะเลยครับ น่าจะต้องเลี้ยงข้าวไอ้แช่มที่มันช่วยจัดการเรื่องที่ผมก่อเอาไว้ ต้องเอาน้องรถเข้าอู่เปลี่ยนกระจก ดีนะที่พรุ่งนี้มีเรียนบ่าย ดีแล้ว เฌอจะได้มีเวลาเยอะหน่อย ส่วนตอนนี้ผมคงต้อง.....

   “ฝันหวานนะครับพี่เฌอ”

   อื้ม

   “ฝันหวานครับนังน้อน”

   

   

   

   

   

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอตามที่นัดกันเอาไว้แล้วนะคะ คือมันแน่นอนอยู่แล้วที่ชาลจะแทรกเรื่องความสัมพันธ์ลงไปในเรื่องด้วย เพราะรู้สึกว่าความขัดแย้งที่มีกันมาควรได้บทสรุป แค่นี่ส่วนนึงนะคะมันยังไม่สมบูรณ์์ก็ต้องรอติดตาม

   สำหรับใครที่เพิ่งจะมาติดตามชาลจาากนิยายเรื่องนี้นะคะ สามารถย้อนกลับไปอ่านเรื่องอื่นที่เขียนจบไปแล้วได้นะระหว่างการรออัปเดตตอนใหม่ อย่างพี่แช่มที่โผล่มาบ่อยๆ นางอยู่ในเรื่อง Unclear จริงจังหรือแค่ขำๆ ส่วนขันหมีคือเรื่อง I'm not Playboy ผมไม่ได้เจ้าชู้ ค่ะ

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th น้า

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 14 : 1/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-02-2020 23:38:57
แบบนี้ต้องเรียกเสี่ยเฌอ5555
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 14 : 1/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 02-02-2020 23:36:38
หวานมาก. เขินเลย,,,
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 14 : 2/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 02-02-2020 23:57:23
บทที่ 15 วันที่ 13





   “อื้ออออ.....”

   โป๊กกกก

   “โอ๊ยยยยย”

   อะไรแต่เช้าวะเนี่ย

   ผมลืมตามองรอบๆ ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ที่พื้นข้างเตียง อื้ออ...อ....เจ็บหัวอะ โขกตู้แน่เลยเมื่อกี๊ ผมชันตัวขึ้นมานั่งก่อนจะส่ายหัวตั้งสติสองสามที มือก็ยกขึ้นลูบหัวตัวเองเบาๆ เงียบสนิทและไม่มีแสงแดดเล็ดลอดเข้ามา อุณภูมิเย็นจัดขนาดนี้แน่นอนว่านี่ห้องผมแน่ล่ะ ทบทวนเหตุการณ์เมื่อวานและเรื่องราวเมื่อคืนแป๊บนึงนะ หลายวันก่อนผมมีเรื่องกับเจ้าหนี้ไอ้ภัทร วันต่อมาไปเคลียร์ค่าเสียหาย เอารถไปซ่อม

   หลายวันที่ผ่านมารวมถึงการครบรอบ 13 วัน

   ผมเป็นแฟนกับสิบสามเกิน 13 วันแล้วครับ นี่เข้าอาทิตย์ที่ 3 แล้ว อย่าคิดว่าวันนั้นมันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ ขอบอกเลยว่าเหตุการณ์ในวันนั้นแม่งโคตรจะวายป่วง ผมไปเอารถที่ซ่อมกระจกเสร็จแล้ว ขับออกมาแค่หน้าปากซอยก็โดนน้องหมาวิ่งตัดหน้ารถ ผมก็เบี่ยงหลบแล้วไปชนเสาไฟฟ้า ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ หัวแตกเพราะหลบน้องหมา เย็บไปสามเข็ม แต่ก็ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก เฌอปลอดภัยและน้องหมาก็ปลอดภัย

   แต่น้องรถพังยับเลยครับ

   เพิ่งเอาออกจากอู่ก็ต้องเอากลับเข้าอู่เหมือนเดิม นี่คิดว่าถ้าชนอีกทีผมจะซื้อใหม่แล้วนะ ซื้อจักรยานใช้แทน ไม่ต้องขับมันละรถยนต์น่ะ ช่วงนี้ชีวิตชรันเลยต้องพึ่งรถเครื่องไปก่อน วันไหนฝนตกก็จะลำบากหน่อย รู้สึกว่าวันครบรอบ 13 วันนั้น เรื่องที่แย่สุดก็คงรถชนมั้ง นอกนั้นคือซอฟต์ๆ มาก เรื่องสะดุดท่อ ตกบันไดเนี่ยะเบสิกไปเลย กว่าจะหมดวันเหมือนอายุขัยหายไปครึ่งนึง แต่เอาเถอะ ผ่านวันนั้นมาได้แล้ว ก็ยังรักกันกับแฟนดีอยู่ครับ

   ที่น่าหวั่นใจมันคือวันนี้ต่างหาก

   วันศุกร์ที่ 13

   หึ....ประเดิมด้วยการตกเตียงพร้อมกับหัวโขกไปทีนึงเจ็บๆ

   ครืดดดด....ครืดดดด

   ผมหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย “ฮัลโหลครับ”

   (พี่มีเรียนนะครับ คลาสเช้า 9 โมงครึ่ง)

   “ผมเพิ่งตื่นอะคุณ แต่เดี๋ยวจะไปอาบน้ำละ แล้วนี่คุณอยู่ไหน”

   (ห้องครับ ผมก็กำลังจะไปเรียน ให้ไปรับไหม)

   “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเจอกันที่มหา’ลัยนะ”

   (ได้ครับ....แล้วเจอกันครับ)

   “อื้ม....” ผมวางสายก่อนจะหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ มองรอยแผลบนหัวที่เพิ่งไปตัดไหมมาเมื่อวานก็รู้สึกเจ็บแปล๊บๆ นานแล้วนะที่ไม่มีแผลเย็บเนี่ยะ ครั้งล่าสุดตอนผ่าไส้ติ่งมั้ง

   ผมเป็นเด็กนิสัยไม่ดีไงสมัยก่อน เวลากินอะไรเสร็จก็จะนอนเลย แล้วอยู่ดีดีมันก็เกิดอาการแน่นหน้าอกเหมือนอาหารไม่ย่อย พะอืดพะอม ผมล้วงคอด้วยนะตอนนั้นหวังจะอ้วกมันออกมา แต่พอทำแบบนั้นเหมือนทุกอย่างมันตีขึ้นมาหมด ปวดท้อง นึกว่าเด็กชายชรันจะจบชีวิตลงตอนอายุ 14 แล้ว ผมเริ่มมีอาการตอน 5 ทุ่ม ไม่ได้นอนทั้งคืน แล้วตอนเช้าถึงได้ไปหมอ เขาบอกว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบแน่ๆ จากการตรวจดูอาการต่างๆ

   จากนั้นขอไม่เล่านะครับ

   เอาเป็นว่าเฌอไม่มีไส้ติ่งแล้ว

   หลังจากที่อาบน้ำเสร็จผมก็เดินออกมาแต่งตัว หยิบเสื้อยืดสีเขียวพาสเทลที่เจ้าแฟนซื้อให้มาสวม กางยีนส์สีซีดเข่าขาดพร้อมกับเสื้อช็อปตัวเก่งที่สวมมาจะ 3 ปีแล้ว ปกติผมไม่ค่อยซักเสื้อช็อปนะ เทอมนึงจะซักสักครั้ง แต่พอเป็นแฟนสิบสามอะ นังน้อนเอาเสื้อช็อปผมไปซักให้ทุกอาทิตย์เลย รีดเรียบกริบ น้องเสื้อคือสะอาดอย่างที่ไม่เคยเป็น ผมหยิบกระเป๋าคาดอกพลางเช็กดูว่าตัวเองลืมอะไรรึเปล่า

   กุญแจรถวะ

   อ๋อไม่มีรถใช้เพราะงั้นกุญแจไม่ต้อง

   ผมจัดแจงล็อกห้องก่อนจะเดินมารอรถสองแถวที่ป้ายรถเมล์ ใช้เวลาไม่นานสองแถวเจ้ากรรมก็มาถึง เหมือนเห็นภาพเหตุการณ์เดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 3 เดือนก่อนยังไงไม่รู้ วันที่ 13 ซึ่งผมอกหักจากน้องแอม วันนั้นที่หากุญแจรถไม่เจอ น้องโทรศัพท์หน้าจอแตก ลืมชีทไว้ร้านโจ๊ก จำวันเรียนผิด ทำเรื่องสะเหล่อเยอะมาก เมาเหมียนน้องหมา ล้มอยู่หน้าเซเว่นฯ แล้วก็เป็นวันแรกที่ได้เจอกับสิบสาม

   เวลาผ่านมา 3 เดือนแล้วเหรอเนี่ย

   อ๊อดดดด

   ผมกดออดก่อนจะเดินลงจากรถแล้วจ่ายเงินให้ลุงคนขับ ตอนนี้เกือบ 9 โมงแล้วครับ เอายังไงกับชีวิตก่อนดีวะเนี่ย อืม....กินโจ๊กดีกว่า เอาแบบเหตุการณ์วันนั้นเลย พอคิดได้แบบนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์มาไลน์บอกสิบสามว่าให้เจอกันที่ร้านโจ๊ก นังน้อนน่าจะถึงมหา’ลัยแล้วแหละ วันนี้ผมเลิกบ่าย 2 ส่วนสิบสามเลิก 5 โมงแถมมีซ้อมคฑาต่อ อีก 2 อาทิตย์จะสอบไฟนอลแล้วแท้ๆ ผมอยากให้เขาหยุดซ้อมแล้วมีเวลาอ่านหนังสือได้แล้ว

   ไม่อยากให้เขาโหมตัวเองจนเกินไปเลยครับ

   “เอาโจ๊กหมูพิเศษใส่ไข่ครับ”

   “นั่งรอแป๊บนึงนะลูก”

   ผมเดินมานั่งที่โต๊ะพร้อมกับเล่นโทรศัพท์ฆ่าเวลา เหมือนวันนั้นจริงๆ นะ โต๊ะที่นั่งเมื่อ 3 เดือนก่อนก็โต๊ะนี้แหละ เนี่ยะ ที่ว่างข้างๆ เลยที่ลืมชีทเอาไว้ ตอนแรกผมนึกว่าจะไม่ได้คืนแล้วแต่เหมือนโชคยังเข้าข้างอยู่ มีคนฝากชีทมาคืนให้ ผมไม่รู้ว่าใครเก็บได้แต่รู้สึกขอบคุณเขาจริงๆ

   “นั่งด้วยได้ไหมครับ” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นทำให้ผมละสายตาจากจอโทรศัพท์ ร่างสูงในชุดนักศึกษาผูกเนกไทเรียบร้อยยืนอยู่ ใต้แมสสีดำนั่นต้องซ่อนความหน้าตาดีเอาไว้แน่ๆ

   อวยแฟนตัวเองทำไมวะ

   “เชิญครับว่าที่คุณหมอ”

   “สั่งโจ๊กรึยังครับ” สิบสามนั่งลงฝั่งตรงข้ามก่อนจะรั้งแมสที่ปิดหน้าลงพร้อมกับเสยผมไปทีนึง หื้ออออ....กร๊าวใจพี่แต่เช้าเลยค้าบน้อนค้าบ

   “สั่งแล้ว” ผมนั่งเท้าคางมองเขา “คุณรู้ป้ะว่าวันนี้เมื่อ 3 เดือนก่อน ผมลืมชีทไว้ที่นี่ด้วยนะ ตรงโต๊ะนี้เลย”

   “ผมจำได้ครับ”

   “ผมเคยเล่าให้คุณฟังงั้นเหรอ”

   เจ้าตัวส่ายหน้าเบาๆ “พี่ไม่เคยเล่าให้ผมฟัง”

   “แล้วคุณรู้ได้ยังไง”

   “ตอนแรกผมคิดว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับพี่ แต่คิดอีกที บอกไปก็ไม่เสียหาย....วันนั้นคนที่เก็บชีทของพี่ได้ก็คือผมเอง”

   “ถามจริง”

   “ใช่ครับ ความจริงผมเจอพี่ตั้งแต่บนรถสองแถวแล้ว ที่พี่มีเรื่องกับผู้ชายคนนึงที่เขาทำจอโทรศัพท์พี่แตก ตอนนั้นผมยืนอยู่ข้างๆ พี่เลยนะ”

   จริงอ๋อวะ....

   ตอนนั้นผมกำลังบ่นว่าคนตัวสูงขึ้นรถสองแถวแล้วจะลำบาก แต่ตอนนั้นคิดว่าตัวเองไม่ได้ลำบากคนเดียวเพราะคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ลำบากเหมือนกัน เขาก้มหัวเยอะแล้วผมก็คิดว่าเขาสูงกว่า ผู้ชายคนนั้นคือสิบสามจริงดิ เห้ยๆ ๆ ๆ ๆ เกินไปมาก ทำไมผมไม่เห็นว่าเป็นเขาวะ ไม่ได้สนใจแน่เลย วันนั้นมันน่าหงุดหงิดใจ ฟีลแฟนทิ้งอะ จะให้สนใจอะไรวะ

   คิดไม่ถึงเลยนะเรื่องนี้น่ะ

   “แล้วที่บอกว่าเก็บชีทของผมได้อะ”

   “ก็ผมคือคนที่นั่งตรงข้ามพี่ไงครับ วันนั้นพี่สนใจแต่โจ๊กกับโทรศัพท์ ไม่ได้เงยหน้ามองผมสักนิด ก็ไม่แปลกหรอกครับที่จะไม่รู้”

   “ตอนนั้นเพิ่งอกหักไง” ผมยิ้มแฉ่งให้เขา “แต่ตอนนี้ผมสนใจคุณนะ” ว่าแล้วก็ทำตาวิ้งค์ใส่ไปสามครั้ง

   “วันนั้นพี่ตลกมากเลยนะครับ ผมไม่คิดว่าจะไปเจอพี่อีกทีตอนกลางคืนด้วย”

   “ผมเป็นเวรกรรมของคุณไง”

   “ดีครับ จองเวรผมไปทุกชาติเลยนะ” สิบสามตักโจ๊กเข้าปากพลางอมยิ้มให้เห็นแวบนึง ถึงจะอยู่กับผมแต่ถ้าเป็นข้างนอก รอยยิ้มมันก็จะไม่เกิน 5 วิจริงๆ สินะ

   “ทำไมยิ้มแค่แป๊บเดียวเองอะ”

   “ผมอยากให้พี่เฌอเห็น แต่ไม่ได้อยากให้คนอื่นเห็น”

   “กลัวคนหลงรักอ๋อ”

   “ใช่ครับ เดี๋ยวพี่จะหึงผมจนหน้ามืด”

   ผมเบ้ปากใส่เขา “หลงตัวเอง”

   “ไม่ได้ครึ่งที่หลงพี่เลยครับ”

   ตึกตัก

   หึ....เล่นกันแบบบนี้เลยนะ

   ผมยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองเพื่อตั้งสติพลางตักโจ๊กกินเงียบๆ ทำไมพูดอะไรออกไปเขาก็หาคำมาสวนได้ตลอดเลยวะ ผมแพ้อะ ชอบนะแล้วก็เขินมากๆ บางทีเขินไป เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อาการแบบนี้จะอยู่กับเรายัน 10 ปีเลยไหมครับ

   ตายนะแบบนั้นน่ะ

   เราใช้เวลากินโจ๊กด้วยกันสักพักก่อนจะจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้าน เพื่อนๆ ไลน์มาตามแล้วครับ เหลืออีก 5 นาทีแน่ะ พวกมึงนี่รีบจังวะ ไอ้ขันคือรีบที่สุด มันเป็นคนแบบนี้แหละ เจ้าระเบียบตรงต่อเวลา มันเป็นคุณสมบัติที่ดีและควรเป็นแบบอย่างนะ แต่ก็แค่เรื่องนี้แหละ เรื่องอื่นตัดทิ้งไปได้เลยเพราะมันโง่ ผมเดินนำสิบสามมาจนถึงทางเดินกลางระหว่างตึกวิศวะฯ กับตึกแพทย์ฯ

   “ตั้งใจเรียนนะคุณ เดี๋ยวถ้าเรียนเสร็จผมจะไลน์ไปหานะ”

   “พี่ก็ตั้งใจเรียนนะครับ” ร่างสูงหันมองซ้ายมองขวาก่อนจะรั้งแมสลงแล้วยื่นหน้าเข้ามาจุ๊บปากผม

   จุ๊บบบบ

   ฉ่า

   “สิบสาม” คุณทำอะไรเนี่ยะ

   เจ้าตัวขยับแมสขึ้นไปปิดปากตามเดิม “ขอให้เป็นวันที่ 13 ที่ดีสำหรับพี่เฌอนะครับ”

   “ผมก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้น” ผมขยุ้มหัวเขาเบาๆ “ไปเรียนได้แล้ว”

   “แล้วเจอกันครับ” สิบสามบอกก่อนจะเดินไปทางตึกตัวเอง ส่วนผมก็ยกมือลูบปากตัวเองที่เพิ่งโดนจุ๊บเมื่อกี๊ ทำไมชอบทำให้ใจเต้นแรงอยู่เรื่อยเลยวะ

   วันนี้อาจจะเป็นวันที่ 13 ที่ดีก็ได้มั้ง

   ซ่าาาา

   มันจะดีไปได้ยังไงวะ

   “ขอโทษนะนักศึกษา ผมนึกว่าไม่มีใครอยู่ข้างล่างเลยจะเอาน้ำรดต้นไม้”

   ผมเสยผมที่เปียกขึ้นไปด้านบนก่อนจะเงยหน้ามองอาจารย์ “ไม่เป็นไรครับอาจารย์ ผมไม่เป็นไร” ว่าแล้วผมก็รีบเดินมาจากตรงนั้นทันที

   เสื้อช็อปชุ่มไปด้วยน้ำถูกถอดออกมาบิดพร้อมกับสะบัดสองสามที โอ๊ยยยย....มึงจะโชคร้ายอะไรขนาดนี้วะเนี่ย น้ำที่อาจารย์เทลงมาเมื่อกี๊มันเยอะมากเลยนะครับ ผมเปียกตั้งแต่หัวจรดปลายตีนอะ จะด่าก็ไม่ได้เพราะเขาเป็นอาจารย์ อีกอย่างเขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอก เซ็งว่ะ นี่ยังไม่ถึงครึ่งวันเลยนะ มีอะไรที่เฌอคนนี้ต้องเจออีกไหมเนี่ยะ ถ้ามีล่ะก็ขออะไรที่มันไม่เลอะเทอะนะ เพราะแค่นี้ก็มากเกินพอ

   ตัวเปียกขนาดนี้ เรียนในห้องแอร์อีก

   ตายห่าแน่ๆ ล่ะดูทรงแล้ว

   ผมเดินเข้ามาในห้องเรียนก่อนจะยิ้มแฉ่งให้อาจารย์วิชัย “วันนี้ไม่สายนะครับ”

   “แต่เปียกนะ คุณไปทำอะไรมาเนี่ยะ”

   “มีอาจารย์เทน้ำลงมาจากตึกครับ เขาไม่เห็นผม”

   “ผมก็เคยเทน้ำลงหัวขุนศึกรุ่นน้องพวกคุณเหมือนกัน พวกอาจารย์แก่ๆ ก็แบบนี้แหละ มองไม่เห็น ไปนั่งเถอะ หรือคุณจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อก่อนไหม”

   “ได้เหรอครับ”

   “อื้ม....ให้เวลา 15 นาที ทันไหม”

   “ทันครับอาจารย์” ผมรีบเดินมาทางบรรดาเพื่อนๆ “เอากุญแจรถเครื่องมาสักคัน”

   จันทร์ฉายส่งกุญแจรถมาให้ผม “อยู่หลังตึก”

   “ขอบใจมาก เดี๋ยวกูมา” ผมบอกก่อนจะเดินออกมาจากห้องแล้วมุ่งไปที่หลังตึก นี่ดีนะที่อาจารย์วิชัยให้กลับไปเปลี่ยนเสื้อได้อะ แต่เวลาผมมีไม่มากเพราะงั้นต้องรีบหน่อย

   ผมบิดเวฟร้อยออกมาจากมหา’ลัยก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหอตัวเอง เสื้อช็อปเดี๋ยวก็แห้งแหละ เอาไม้แขวนไปด้วยจะได้ตากที่ระเบียงหน้าตึก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมตากเสื้อช็อปครับ และผมก็ไม่ใช่คนเดียวที่เคยทำแบบนั้นด้วยเพราะงั้นเรื่องแบบนี้มันไม่แปลกเลย ใช้เวลาไม่นานสำหรับการเปลี่ยนเสื้อ เสื้อยืดสีเขียวพาสเทลถูกเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มแทน เสื้อผ้าผมส่วนใหญ่จะเป็นสีเขียวเพราะผมชอบ

   ส่วนเสื้อผ้าแฟนผมน่ะ....หึ

   สีชมพูโคตรจะเยอะ

   หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อเสร็จผมก็รีบขับรถกลับมาที่มหา’ลัย ในจังหวะที่กำลังเลี้ยวรถเข้าประตูด้านหน้าก็มีรถยนต์คันนึงปาดหน้าเบียดรถผมจนเสียหลัก

   โครมมมม

   ไอ้สัสเอ๊ย....ขับรถแบบนี้

   “อื้อออ....แม่งเจ็บ” ผมมองแขนตัวเองที่เป็นรอยถลอกเป็นทางยาวก่อนจะประคองรถมอเตอร์ไซค์จันทร์ฉายที่เกยอยู่บนฟุตปาธขึ้นมา โห กระจกข้างหลุดแถมสีถลอกอีก ถ้าเป็นรถผมมันจะไม่อะไรเลยแต่นี่รถเพื่อน

   “ขับรถไม่ดูเลยนะคะ” เสียงใสเอ่ยขึ้นด้านหลัง “พี่เฌอ”

   เอาจริงดิ

   “ดูกล้องวงจรปิดดีกว่าไหมครับ จะได้รู้ว่าใครขับรถไม่ดู” ผมหันกลับมาเผชิญกับน้องผึ้งและเพื่อนสนิทของเธอที่เพิ่งเดินลงมาจากรถ เพื่อนสนิทที่ครั้งนึงเคยเป็นแฟนเก่าของผม

   น้องเดียร์ไงครับ

   “อ่าว ทำไมพี่พูดจาแบบนี้อะคะ รถพี่น่ะเบียดรถผึ้งนะ”

   “ถึงบอกว่าให้ดูกล้องวงจรปิดไงครับ จะได้รู้ว่าใครเบียดใครกันแน่”

   “ทำผิดแล้วจะไม่ยอมรับเหรอ ทุเรศจริงๆ ” เธอมองเหยียดผม “สิบสามไม่น่าหลงผิดเลยอะเดียร์”

   “ก็คงอย่างนั้น” น้องเดียร์รับคำเพื่อนรักก่อนจะชี้รอยถลอกที่รถน้องผึ้ง “พี่จะรับผิดชอบยังไงคะพี่เฌอ”

   “ผมจะต้องรับผิดชอบอะไรล่ะครับ ผมไม่ได้ขับรถไปเบียดคุณเลย ขับชิดริมทางแถมก่อนเลี้ยวผมก็เปิดไฟแล้ว รถคุณน่ะปาดมาเบียดรถผม” ผมข่มอารมณ์อย่างใจเย็น “ดูกล้องวงจรปิดดีกว่า จะได้จบๆ ”

   “ไม่ดูค่ะ เพราะพวกเราไม่ผิด”

   “คุณไม่ผิด ผมก็ไม่ผิดเหมือนกัน งั้นก็แยกย้ายครับ ซ่อมใครซ่อมมัน เสียเวลา” ผมหันหลังกลับหวังจะเดินไปที่รถ แต่สัมผัสได้ถึงของเย็นที่ถูกสาดเข้ามาทางด้านหลัง

   ตลกมากอ๋อวะ

   “ทุเรศจริงๆ ทำผิดก็ไม่ยอมรับ คิดจะหนีไปง่ายๆ ” เสียงของน้องเดียร์เอ่ยขึ้น “สิบสามรู้ไหมว่าพี่เป็นคนแบบนี้น่ะ”

   ผมหันกลับมาหาเธอก่อนจะยกยิ้มให้ “แค่สิบสามไม่รัก ต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ....ถามจริงๆ เลยนะ”

   เพี้ยะ

   “กล้ามากที่แย่งเขาไป”

   “เขาไม่ใช่ของคุณตั้งแต่แรก เอาอะไรมาพูดว่าผมแย่งเขาไป” มือบางยกขึ้นจะตบผมอีกแต่ผมคว้ามือเธอไว้ทัน “มันจะไม่มีครั้งที่ 2 หรอกนะเดียร์ ถ้าคุณไม่พอใจที่เบียดรถ ตบหน้าผม หรืออย่างอื่น ก็ไปเจอกันที่โรงพัก ให้ตำรวจจัดการ จะเอายังไง รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วมั้งว่าใครเป็นฝ่ายผิด”

   เธอสะบัดมือผมออก “มันไม่จบแค่นี้หรอกพี่เฌอ”

   “คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าระหว่างเราให้มันจบ ต่างคนต่างอยู่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก แต่นี่อะไร คุณคิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าใครที่โทรมาป่วนผมบ่อยๆ น่ะ ทำอะไรช่วยคิดหน่อยเถอะ ที่ทำอยู่นี่ไม่ฉลาดเลย”

   “พี่เฌอ!!!!”

   ผมเดินกลับมาที่รถก่อนจะมองอย่างเอาเรื่อง “สิบสามเป็นแฟนผม และมันจะเป็นเรื่องดีถ้าคุณไม่ยุ่งกับเขาอีก” ว่าแล้วผมก็ขับรถออกมาจากตรงนั้นทันที

   โมโหจังวะ โมโหแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ วันนี้แม่งโคตรแย่เลย เจ็บตัวไม่เท่าไหร่แต่เจ็บใจนี่ดิ แขนผมเป็นแผลอีกแล้ว เดี๋ยวนังน้อนก็ดุอีก ตอนแรกผมคิดว่ามันอาจจะเป็นอุบัติเหตุ แต่พอเห็นคู่กรณีแล้วก็คิดได้เลยว่านั่นมันจงใจ ถ้าสมมุติว่ารถผมเสียหลักล้มผิดท่าไป คอหักตายขึ้นมานี่จะเฮี้ยนมากเลย หน้าประตูมหา’ลัยก็ไม่ต้องมีใครได้เข้าทั้งนั้นถ้าผมเป็นผีน่ะ โคตรหงุดหงิด กลับหอไปเปลี่ยนเสื้อที่เปียกน้ำเพื่อมาเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เสื้อเปียกกาแฟแทน

   เปียกไม่เท่าไหร่แต่เหนียวเนี่ยะไอ้เวร

   ผมตัดสินใจถอดเสื้อตัวเองออกก่อนจะเปิดน้ำจากก๊อกหลังตึกเพื่อล้างเนื้อล้างตัวรวมถึงแผลถลอกที่แขนด้วย ครึ่งวันเช้ายังขนาดนี้เลย ไม่อยากนึกถึงตอนบ่าย ผมจะไม่ขยับไปไหนคอยดู จะนั่งอยู่นิ่งๆ ไปไหนก็จะไปกับเพื่อน ถ้ามีเรื่องบัดซบเกิดขึ้นจะได้ไม่รู้สึกเหงา หลังจากที่จัดการตัวเองเสร็จผมก็เดินขึ้นตึกไปในสภาพที่ไม่มีเสื้อใส่ แขนเป็นแผลมีเลือดซิบ สภาพย่ำแย่ในระดับที่อาจารย์วิชัยเห็นแล้วต้องช็อก

   “ไอ้เฌอ”

   “คุณทำอะไรมาเนี่ยะชรัน เสื้อไปไหน แล้วที่แขนนั่นมัน”

   “รถคว่ำครับ คู่กรณีเป็นเด็กตึกข้างๆ นี่แหละ มีปากเสียงกันก็เลยโดนสาดกาแฟใส่ เหนียวไปหมด เสื้อซักตากอยู่ข้างล่างครับ” ผมเดินมาหาเพื่อนๆ ก่อนจะหยิบทิชชู่มาซับเลือด “กูโคตรเหนื่อยเลยมึง”

   “พอรู้อยู่หรอก” ไอ้แช่มถอดเสื้อช็อปมาให้ผม “ใส่ช็อปติดกระดุมไปก่อนละกันมึง อย่างน้อยก็รอช็อปมึงแห้ง”

   “อื้ม ขอบใจนะมึง เออฉาย รถมึงอะ กูซ่อมให้นะ”

   “อืม ไม่ต้องคิดมากนะ มึงไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

   ไอ้ขันเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับกล่องยา “มา เดี๋ยวกูทำแผลให้”

   “คู่กรณีที่มึงว่านี่ใครวะ”

   “น้องเดียร์ไง แต่คนที่ขับรถเบียดกูอะเพื่อนเธอ”

   “เขาจงใจแกล้งมึง ถูกไหม”

   “ก็คงงั้นแหละ วันนี้โคตรวันซวยเลย”

   เหนื่อยอะ หมดแรงและอยากนอน

   ผมปล่อยให้ไอ้ขันทำแผลให้อยู่อย่างนั้นพลางนึกถึงคำพูดของน้องเดียร์ที่เธอบอกว่าเรื่องมันจะไม่จบ คือว่างเนอะ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นไหม อย่างอื่นที่มีประโยชน์มากกว่านี้ ไม่เข้าใจการกระทำพวกนั้นเลยอะ ต้องทำถึงขนาดนี้เลย ผมโกรธหรือเกลียดใคร ผมไม่เคยทำแบบนี้ใส่เลยนะ เกลียดใครก็ไม่ต้องยุ่งกับคนนั้นดิ เกลียดได้แต่เราทำร้ายเขาไม่ได้ไหมวะ เรามีสิทธิ์อะไรไปทำร้ายคนอื่นเหรอ

   ไม่มีใครมีสิทธิ์ทำร้ายใครทั้งนั้นแหละ

   เข้าใจความหมายที่ว่าคนเราเกิดมาต่างกัน โตมาต่างกันจริงๆ ช่างเถอะ หวังว่าให้นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน สิบสามต้องรู้เรื่องนี้แน่นอนครับเพราะผมต้องเล่าถึงเหตุผลที่ทำให้ตัวเองได้แผล ยังไงก็ต้องบอกตรงๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องโกหกแฟนตัวเองเพื่อปกป้องคนที่ทำให้ผมเจ็บ นังน้อนต้องโกรธมากแน่ๆ เขาพยายามดูแลผมแต่กลับมีคนอื่นมาทำแบบนี้

   “มึงพันผ้าเยอะเกินไปแล้วขัน เฌอไม่ใช่มัมมี่น่ะ”

   “กูจะเอาพันปากมึงด้วยไอ้แช่ม”

   เดี๋ยวกูจะเอาพันคอมึงทั้งคู่เลยไอ้เวร

   

***



   ---------- 50% -------
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 14 : 2/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 02-02-2020 23:57:51
------ ต่อจากบท 15 -------

(อยู่ไหนเหรอครับ)

   “สนามบาสฯ อะ แล้วทำไมโทรหาผมได้”

   (ผมบอกแล้วพี่จะเขินรึเปล่า)

   “งั้นไม่ต้องบอกเพราะผมน่าจะเขินแน่ๆ ”

   (เดี๋ยวถ้าเลิกเรียนผมจะไปหานะครับ วันนี้ไม่ซ้อมคฑา เขายกเลิก)

   “เอาแบบนั้นก็ได้ เดี๋ยวผมรอที่สนามบาสฯ นี่แหละ”

   (โอเคครับ แล้วเจอกันครับ)

   “ครับ เจอกัน”

   โป๊กกกก

   หัวกูไอ้เวร

   ผมหันไปทำหน้าเหมือนยักษ์ทันทีที่พวกมันทำลูกวอลเลย์ฯ มากระแทกหัวผม อยู่สนามบาสฯ จริงครับ แต่เพื่อนๆ น่ะเล่นวอลเลย์ฯ ถ้าเมื่อกี๊ที่โดนหัวเป็นลูกบาสฯ เฌอก็น่าจะตายห่าแล้วแหละ ความจริงผมก็อยากเล่นนะแต่แผลที่แขนนี่ดิ มันไม่ได้เจ็บอะไรเยอะแยะหรอกแต่อย่าเพิ่งห้าวจะดีกว่า อีกอย่างไอ้ขันเพื่อนรักก็พันแขนผมซะกลัวเชื้อโรคเข้า แต่เอาเถอะ ไหนๆ มันก็ตั้งใจทำแผลให้

   บางทีมึงก็ตั้งใจเกินอะ

   เมี้ยวววว

   เสียงน้องแมว

   ผมหันตามเสียงก็พบกับน้องแมวตัวน้อยที่นั่งอยู่ข้างสนาม พอเห็นแบบนั้นผมจึงยกโทรศัพท์ขึ้นกดอัดวิดิโอเพื่อจะลงสตอรี่ไอจีพร้อมกับติดโควตว่าต้าวน้อน น่ารักจัง ผมชอบแมวนะ เอาจริงๆ ผมชอบสัตว์เกือบทุกอย่างแหละ เห็นอะไรก็น้องไปหมด แล้วตอนนี้น้องกำลังจะโดนเหยียบแล้ว

   “ไอ้แช่ม!!!!”

   พลั่กกกก

   “โอ๊ยยยย”

   ขากู

   “ไอ้เฌอระวัง!!!!!”

   ปั๊กกกกก

   อื้อออออออออออออออออออออ

   วิ้งค์ไปทั้งหัว

   ผมนอนกุมหูตัวเองด้วยความมึนและรู้สึกเจ็บมาก ได้ยินเสียงแต่ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ เหตุการณ์เมื่อกี๊มันเกิดขึ้นไวมาก ผมจะเข้าไปคว้าลูกแมวที่ไอ้แช่มกำลังจะเหยียบแต่ขาติดร่องตะแกรงปิดท่อแล้วล้มก่อน ส่วนไอ้แช่มก็ชนผมจนเสียหลักล้มไปเหมือนกัน เสียงปั๊กที่ได้ยินเมื่อกี๊คือแรงอัดจากลูกวอลเลย์ฯ ที่ลอยมาพอดี ฮืออออ.....วันอะไรของแม่งวะเนี่ย

   เจ็บไปทั้งตัวแล้วโว้ย

   “เฌอ มึงได้ยินกูไหม” ทะเลตบแก้มผมเบาๆ เพื่อเรียกสติ “เฌอ”

   “กูได้ยิน....กู” ผมมองมือตัวเองที่เปื้อนเลือด “หูกู”

   “เออเลือดออก แรงบอลเมื่อกี๊แรงอยู่แหละ เดี๋ยวมึงถอดต่างหูออกก่อน ลุกไหวไหม”

   “ไม่ไหว ขากู....เจ็บ” ผมชันตัวขึ้นมานั่งด้วยความรู้สึกเจ็บข้อเท้ารุนแรง “ขากูติดร่องตะแกรงถึงได้ล้ม”

   “เออ เบาๆ มึง” จันทร์ฉายกับทะเลประคองผมให้ไปนั่งที่อัฒจันทร์เล็ก “วันนี้วันซวยมึงจริงๆ แหละ”

   “กูก็ว่างั้น เจ็บตัวได้แผลเพิ่มอีก โอ๊ย หูกู” คือถ้าไม่ใส่ก้านดามหูจะไม่เจ็บขั้นนี้หรอกครับ แล้วไหนจะต่างหูตรงส่วนไดรทอีก อักเสบแน่เลย ตอนเจาะกว่าจะหายก็ใช้เวลานาน นี่ดันเป็นแผลอีก

   ผมมองต่างหูหลายอันที่เปื้อนเลือดก่อนจะใช้กระดาษทิชชู่ห่อเอาไว้ ชริตเป็ดส่งขวดน้ำมาให้ผมล้างแผล อื้มมมม....แสบว่ะ ดีนะที่มันไม่กระแทกแรงจนมีผลกระทบต่อแก้วหูผม แต่เหมือนจะต้องเลิกใส่ต่างหูไปอีกนาน อย่างน้อยก็จนกว่าจะรักษาแผลให้หาย นึกไม่ออกเลยว่าถ้าสิบสามเห็นสภาพผมตอนนี้เขาจะทำหน้ายังไง

   “พี่เฌอ”

   เหมือนว่าจะได้เห็นเร็วกว่าที่คิด

   ผมหันไปมองร่างสูงที่เดินเข้ามาหา “นังน้อน ทำไมเลิกไว”

   “ทำไมเป็นแบบนี้ครับ” เจ้าตัวรั้งแมสที่ปิดปากออกก่อนจะจับคางผมแล้วหันดูแผลที่หู “ทำไมถึงเป็นแผล แล้วแขนนี่”

   “คือว่า.....” ผมมองบรรดาเพื่อนๆ ที่แอบย่องหนีไปอีกฝั่ง แหม....ไม่มีใครคอยหนุนกูสักคนไอ้พวกเวรนี่

   “ผมทำแผลให้นะครับ” ร่างสูงบอกก่อนจะเปิดกล่องยา สีหน้าเรียบเฉยแต่รู้ได้เลยว่าหงุดหงิด

   “เมื่อเช้าหลังจากที่แยกกับคุณ อาจารย์ที่ตึกคุณน่ะก็เทน้ำลงมาจนผมเปียกไปทั้งตัวก็เลยกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่หอ แล้วผมก็รถล้มเพราะรถโดนเบียด เลยได้แผลที่แขนมา”

   “โดนเบียด”

   “อื้ม คู่กรณีของผมคือน้องเดียร์กับน้องผึ้ง ก็มีปากเสียงกัน ผมโดนสาดกาแฟใส่ด้วยนะ ผมโคตรหงุดหงิดแต่ก็ข่มใจเอาไว้อะ ไปๆ มาๆ คือเสื้อตัวที่ไปเปลี่ยนก็เลอะ จนต้องใส่แค่เสื้อช็อปแล้วติดกระดุมเอาเนี่ยะ”

   “เรื่องเกิดขึ้นตอนไหนครับ”

   “ก็ช่วงเช้า”

   “แล้วทำไมไม่บอกผม”

   “ก็คุณเรียนไง อีกอย่างผมไม่ได้เป็นอะไรมาก ถ้าคุณรู้ตั้งแต่เช้า คุณจะหงุดหงิดทั้งวัน”

   “แล้วผมรู้ตอนนี้ พี่ว่าผมจะหงุดหงิดขนาดไหนครับ”

   “สิบสาม” ผมคว้ามือเขามาจับเอาไว้ “วันนี้มีแต่เรื่องแย่ๆ เกิดขึ้นกับผมนะ คุณจะดุผมเพิ่มอีกเหรอ”

   เขาผ่อนลมหายใจอย่างข่มอารมณ์ “แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกครับ”

   “ก็เมื่อกี๊หลังจากที่คุยกับคุณเสร็จ มันมีลูกแมวนั่งอยู่ข้างสนาม ไอ้แช่มมองไม่เห็นจะเหยียบน้อง ผมก็เลยจะไปคว้าแต่ขาติดตะแกรงแล้วล้มอะดิ ตอนนั้นลูกวอลเลย์ฯ ก็ลอยเข้ามาที่กกหูพอดี กระแทกแรงก็เลยเลือดออก”

   “พี่นี่จริงๆ เลย ลงโทษยังไงดี”

   ผมรั้งเอวสอบเข้ามาใกล้ก่อนจะเอาคางวางไว้ที่หน้าท้องเขา “ไม่ลงโทษค้าบ วันนี้วันที่ 13 นะ เกิดเรื่องแบบนี้คือปกติมาก”

   “ตายได้เลยนะครับแต่ละเรื่องน่ะ ระวังหน่อยสิ” เจ้าตัวเกลี่ยแก้มผมเบาๆ “หรือทุกวันที่ 13 ผมจะต้องอยู่กับพี่ตลอดเวลาหืมมมม....คลาดสายตาทีไร มีเรื่องเจ็บตัวทุกที”

   “คุณไม่ได้อยากอยู่กับผมแค่วันที่ 13 หรอก”

   “รู้ก็ดีครับ” เขาย่อตัวลงก่อนจะจับข้อเท้าผม “เจ็บมากไหมครับ”

   “อื้ม ผมว่าขาน่าจะพลิกอะ ไม่อยากเดินเลย”

   “งั้นเดี๋ยวผมพาพี่ไปหาหมอ เช็กร่างกายหน่อย หูพี่ก็ควรเช็กเพราะกระแทกจนเป็นแผลขนาดนั้นอาจจะรุนแรง”

   “ได้ พี่เฌอจะไม่ดื้อและยอมให้น้องสิบสามพาไปหาหมอแต่โดยดี” ผมยิ้มแฉ่งให้เขาก่อนจะเก็บของใส่กระเป๋าคาดอก “เห้ยพวกมึงอะ กูไปก่อนนะ จะไปหาหมอ”

   “เออ เป็นไงก็บอกพวกกูด้วย”

   ผมพยักหน้ารับคำไอ้แช่มก่อนจะมองนังน้อนที่หันหลังให้ “ทำไรอะ”

   “ขึ้นมาสิครับ หรืออยากให้ผมอุ้มพี่แบบ....”

   “ผมจะขี่หลัง” ผมขยับขึ้นขี่หลังร่างสูงก่อนจะคล้องคอเขาเอาไว้หลวมๆ “หนักหน่อยนะครับ เผอิญว่าแฟนผมเลี้ยงดีมาก”

   “สบายครับ” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะแบกผมเดินออกจากสนามบาสฯ ตรงนี้ไปถึงลานจอดรถก็ไกลอยู่นะ หลังเดาะแน่ล่ะเจ้าแฟน

   ผมเหลือบมองใบหน้าคมอยู่อย่างนั้น กลิ่นหอมๆ นี่ทำให้รู้สึกสบายใจจริงๆ วันนี้สำหรับผมแล้วเจอแต่เรื่องหนักๆ ได้แผลเลือดตกยางออก แต่ก็โชคดีที่ยังมีคนคอยตามซัพพอร์ต ตอนที่สิบสามรู้เรื่องที่รถผมโดนเบียด สายตาของเขาแสดงออกชัดเจนว่าโกรธ ถ้าแฟนผมเป็นพวกเลือดร้อนอีกนิด เขาคงไปเอาเรื่องเดียร์แล้ว ผมผิดเองด้วยในหลายๆ เรื่อง ประมาทไปทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองอาจจะเจออะไรบ้างในวันนี้

   ผมจะพยายามไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก

   ไม่อยากให้เขาเป็นห่วงไปมากกว่านี้อีกแล้ว

   “คุณ....”

   “ว่าไงครับ”

   “ผมขอโทษนะ อย่าโกรธได้ไหม....นะ” ผมบอกเขาเสียงอ่อน “ถ้าโกรธก็อย่าทิ้งผมไปไหนนะ”

   สิบสามหลุดขำออกมา “ผมจะทิ้งพี่ไปไหนได้”

   “ก็....ไม่รู้อะ วันที่ 13 หนิ อะไรก็เกิดขึ้นได้ คุณอาจจะคิดว่าผมแม่งเฮงซวยจัง หาแต่เรื่องให้เป็นห่วง ตามดูแลไม่ไหวแล้วไอ้เวร เลิกแม่ง โอ๊ยยยย....พูดแล้วใจป้อแป้ไปหมดเพราะงั้นคุณอย่าบอกผมแบบนั้นนะ”

   “....ผมรักพี่เฌอนะครับ”

   ตึกตัก

   “....บอกอะไรตอนนี้ล่ะคุณ”

   “ก็ยืนยันไงครับว่าจะไม่ไปไหน ไม่ทิ้ง ไม่เลิก ต่อให้พี่ดื้อ หรือทำให้ผมเป็นห่วงแค่ไหน ผมก็จะอยู่ตรงนี้” เจ้าตัวเหลือบมองผม “ที่ผมหงุดหงิดเป็นเพราะว่าตอนที่พี่เกิดเรื่อง ผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมรู้ว่าเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลาไม่ได้ เรื่องแบบนี้ก็ต้องมีบ้าง แต่ไม่ต้องกังวลครับ เวลาที่หงุดหงิด แค่ได้เห็นพี่ยิ้ม....ผมก็หายแล้ว

   เนี่ยะ.....เขาก็เป็นซะแบบนี้

   ฟอดดดด

   “ผมก็รักคุณเหมือนกันนะ”

   เขายิ้มจนลักยิ้มขึ้น “ทำอะไรโจ่งแจ้งจังครับ”

   “เห้อะ.....เมื่อเช้ามีคนจูบผมข้างตึก ไม่โจ่งแจ้งเลยนะ”

   “เขินเลยนะครับ โดนบอกรักบนฟุตปาธ”

   “คุณบอกผมก่อนด้วยนะเผื่อคุณลืม....” ผมเกยคางไว้ที่ไหล่เขา “ตอนแรกผมก็คิดว่าวันนี้บัดซบจัง แต่คิดไปคิดก็ไม่เท่าไหร่หรอกเพราะว่ามีคุณอยู่ ในวันที่เจอแต่เรื่องแย่ๆ ก็มีคุณนี่แหละเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของผม

   “ผมจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสุดแค่วันแย่ๆ เท่านั้นหรอกนะครับพี่เฌอ” สิบสามยิ้มหวานให้ผม “เพราะผมจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของพี่....ทุกวัน”

   ตึกตัก

   คุณจะทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีไปถึงไหนวะ

   “ขอบคุณนะ....สิบสาม”

   อยู่กับผมไปทุกวันเลยนะ....

   

   

   

   

   

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วนะ ก็มาดึกหน่อยเพราะเพิ่งเขียนเสร็จนะ สำหรับตอนนี้ก็ตลก สงสาร ปนเขินนะคะ เป็นการบอกรักกันครั้งแรกกที่โรแมนติกแค่จึ๋งเดียวจริงๆ เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อรอติดตามนะค้าบ

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะคะ

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 14 : 2/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 03-02-2020 02:01:47
ต้องจัดการยัยคู่หูนั่น นะนังน้อนนน
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 14 : 2/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 04-02-2020 00:04:12
ยังไม่เลิกตามรังควานอีกหรอ แพ้แล้วพาลว่ะ. สู้ๆนะพี่เฌอ,,,
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 16 : 4/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 04-02-2020 22:39:59
บทที่ 16 ยุยง



   “ไปดูห้องเช่ามา เป็นไงบ้างมึง”

   “ก็ทำสัญญาเช่าไปแล้วอะ ตรงนั้นใกล้ที่ทำงาน สะดวกดี”

   “แล้วมึงจะย้ายออกจากห้องเดิมเมื่อไหร่”

   “สอบไฟนอลเสร็จก็อาจจะเริ่มย้ายของว่ะ เอาจริงๆ ของกูก็ไม่ค่อยเยอะหรอก”

   “เหรอ....” เพื่อนรักเอียงหัวมาใกล้ “แล้วเมื่อไหร่จะมีผัวอะ”

   “แค่กกกก....แค่กกกก......”

   สำลักเลยไอ้เวร

   เย็นตาโฟขึ้นไปเกือบถึงจมูก

   “มึงถามอะไรเนี่ยะ แดกข้าวไป....รึอยากแดกตีนกู”

   “หูยยยย โหดจังครับ” ไอ้แช่มทำหน้าทะเล้นใส่ เห็นแบบนี้แล้วอยากจะเอาลูกชิ้นในชามมาปาใส่หน้า

   ผมตักเส้นใหญ่เข้าปากพลางมองไปรอบๆ โรงอาหาร กำลังลุ้นอยู่ครับว่าจะมีเด็กโผล่มาแบบไม่บอกไม่กล่าวไหม หลายวันแล้วล่ะที่อยู่ดีดีเขาก็โผล่มา เหมือนรู้ว่าถ้ามาโรงอาหารเวลานี้จะเจอผม บางทีก็คิดนะว่าเพื่อนในกลุ่มเนี่ยะ มีใครเป็นสายรายงานให้สิบสามรึเปล่า มันดูเป็นไปได้ยากนะถ้านังน้อนมาจะมาหาผมโดยบังเอิญแบบเป๊ะๆ แทบทุกวัน พอคิดแบบนั้นแล้วก็นึกได้อยู่คนนึงที่น่าจะเข้าทางมากที่สุด

   ไอ้แช่มนี่ไง

   จากวันที่ 13 อันเป็นวินาศสันตะโรในชีวิตผมก็ผ่านมาหลายวันแล้วครับ ตอนนี้อาการบาดเจ็บต่างๆ ดีขึ้นเยอะแล้ว ไม่เจ็บขาส่วนแขนก็เหลือรอยนิดๆ หน่อยๆ จะว่าไปวันพรุ่งนี้ผมกับสิบสามจะคบกันมา 1 เดือนแล้วนะ มันเป็นเดือนแรกที่บันเทิงดีเหมือนกัน มีความสุขตั้งแต่วันแรกยันวันนี้ ผมยังไม่มีแพลนจะทำอะไรเลย อาจจะชวนเขาไปกินข้าว ดูหนัง หรือไปวัดทำบุญดีวะ ใกล้ไฟนอลแล้วด้วย ถือว่าเอาฤกษ์เอาชัยก่อนสอบ

   ความคิดนี้ดีเหมือนกันนะ

   เดี๋ยวพอสอบไฟนอลเสร็จผมก็ต้องเก็บของย้ายออกจากหอเดิมไปหอใหม่ที่ใกล้ที่ทำงานมากกว่า อยู่ห่างจากที่ทำงานไม่กี่ป้ายรถเมล์เองครับ ก่อนที่จะย้ายหอน่ะ ผมปรึกษาสิบสามด้วยนะว่าเอายังไงดี เขาก็บอกว่าเอาที่ผมสะดวกและไม่ทำให้ตัวเองเหนื่อย อยู่ใกล้จะได้ไม่ลำบากเรื่องการเดินทาง ไม่ต้องมาคอยหัวเสียจากรถติด วันหยุดหรือมีเวลาว่างก็ค่อยเจอกัน มันช่วงไม่กี่เดือนเอง คิดถึงก็โทรหา

   คงโทรหาทุกวันแหละ....วันละสามเวลาอะ

   ไอ้ขันเดินมานั่งลงข้างๆ “ก่อนไฟนอลจะติวป้ะวะ”

   “ก็ดีนะ นัดวันเลยก็ได้ กูจะได้บอกพี่เจ้าว่าไม่ว่าง มีติว”

   “สองวันก่อนสอบก็ได้มั้ง”

   “อืม งั้นก็ตามนั้น ติวที่ห้องใครดี”

   “ห้องกูก็ได้ เหมือนทุกทีอะ” ผมแย่งกุ้งในจานข้าวผัดเพื่อนขันมากิน “สอบไฟนอลเสร็จ เปิดตี้ก่อนแยกย้ายไปผจญโลกป้ะ”

   “ก็คงงั้นแหละว่ะ พวกเราน่าจะไม่เจอกันอีกนานเลย แต่ไม่ต้องคิดถึงกูหรอกนะ” ไอ้แช่มบอกก่อนจะยกมือปราม ส่วนบรรดาเพื่อนๆ ก็ได้แต่เบ้ปากใส่

   “ใครจะคิดถึงมึงไอ้เวร” ทะเลบอกก่อนจะแย่งลูกชิ้นปลาในชามผมไป “มึงน่ะอยู่ไกลที่สุด สติก็ไม่ค่อยจะดี ดูแลตัวเองด้วย เข้าใจรึเปล่า”

   “กูไม่ใช่เด็ก”

   “ยิ่งกว่าสามขวบอีกมึงน่ะ”

   “พวกมึงนี่มัน....”

   ผมนั่งกินเย็นตาโฟไปเรื่อยๆ พลางฟังเพื่อนๆ ทะเลาะตบตีกัน เดี๋ยวโมเม้นท์นี้จะหายไปสักระยะนึงเลยสินะ แต่ช่างเถอะ ยังไงพอฝึกงานเสร็จ มันก็จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกตอนช่วงทำเล่มจบแน่ๆ คือทุกคนต้องมาสุมหัวทำงานด้วยกันครับ คงไม่มีใครไปนั่งทำคนเดียวเหงาๆ แน่นอน อะผมละหนึ่งคน บ่อยมากนะที่ทำงานเดี่ยวแต่รวมหัวกันประหนึ่งงานกลุ่ม งี้แหละ หลายหัวดีกว่าหัวเดียวไงจริงไหม

   พอ....พักเรื่องงานไว้ก่อน

   ร่างกายต้องการปะทะน้ำแข็งไส

   พอคิดได้แบบนั้นผมก็เดินไปที่ร้านน้ำแข็งไสก่อนจะสั่งโน่นสั่งนี่ ตอนนี้บ่ายโมงกว่าแล้ว ผมมีเรียนอีกทีบ่าย 2 และก็เลิก 5 โมงเย็น ความจริงวันนี้ผมนัดกันสังสรรค์ที่นั่งชิวด้วยเนื่องในโอกาสไอ้ขันเลี้ยงครับ ไม่รู้ว่านึกครึ้มอะไร แต่ช่างเถอะ งานเหล้าฟรีเบียร์ฟรีผมไม่ปฏิเสธอยู่ละ จะว่าไปก็ห่างหายไปสักพักเหมือนกันนะ ตั้งแต่คบกับนังน้อนผมไม่ค่อยได้ไปดื่มเลย บุหรี่ก็สูบน้อยลงซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

   สักวันนึงผมอาจจะเลิก

   ก่อนจะเลิกก็ต้องลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ ให้หยุดสูบไปเลยผมทำไม่ได้อะ สูบมาตั้งหลายปี แต่รู้สึกดีใจนะที่อย่างน้อยเฌอก็มีความคิดที่จะเลิกบุหรี่แล้ว ไม่รู้สิ เพราะผมจะมีแฟนเป็นหมอมั้ง ลองนึกว่าถ้าสุขภาพผมย่ำแย่แล้วเขาเป็นเจ้าของไข้สิ

   คุณหมอต้องดุมากแน่ๆ เลย

   ผมเดินกลับมาที่โต๊ะก็ต้องสะดุดตากับใครบางคนที่มานั่งแทนที่ผม “มาได้ยังไงเนี่ย”

   “เดินมาครับ”

   เห้อะ....กวนส้นตีนจริงๆ

   “ผมหมายถึงว่างเหรอ....ถึงได้มาหา” ผมดันไอ้แช่มให้ออกห่างจากสิบสาม “ขยับไป กูจะนั่งตรงนี้”

   “ใช่ซี้ แฟนมานี่ เพื่อนอย่างกูก็หมดความหมาย”

   “มึงก็เข้าใจถูกแล้ว” ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะนั่งข้างนังน้อน “วันนี้ไม่ใส่แมสเหรอคุณ”

   “แมสหมดน่ะครับ เดี๋ยวผมจะไปซื้อตอนเย็น”

   ผมพยักหน้ารับ “น้ำแข็งไสป้ะ ผมให้คุณกินมันเชื่อมเลย ปกติไม่ให้ใครกินเลยนะ” ว่าแล้วผมก็ตักมันเชื่อมจ่อที่ปากเขา

   “แล้วทำไมให้ผมกินล่ะ” เขาอ้าปากกินมันเชื่อมที่ผมป้อน

   “เพราะเสน่หาไงครับน้อง”

   “แหวะ”

   “หนิพวกมึงน่ะ....จะอ้วกก็ไปห้องน้ำนะ รำคาญ” ผมหันไปด่าพวกมันก่อนจะตักน้ำแข็งไสใส่ปากอย่างอารมณ์ดี ความหวานกับความเย็นนี่ทำให้มีความสุขจริงๆ

   ยิ่งมีความสุขเพราะมีแฟนมานั่งเฝ้านี่แหละ

   ผมนั่งมองนังน้อนที่กำลังไล่ดูชีทที่ถือมาด้วย มีปากกาไฮไลท์ขีดอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด ชีทหมอกับชีทวิศวะฯ ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่นักหรอก เหมือนภาษานอกโลกที่ไม่มีใครเข้าใจอะ ผมเคยได้ยินมาว่าลายมือหมอจะอ่านยากมาก แต่ดูเหมือนว่าคำนั้นจะใช้กับสิบสามไม่ได้ครับเพราะเขาลายมือสวย อ่านง่าย เป็นระเบียบและดูสบายตามาก โคตรต่างจากลายมือผมเลย อะไรไม่รู้ดูขะยึ่กขะยือไปหมด

   นี่มีดีแค่วาดภาพประกอบดูน่ารักเท่านั้นแหละ

   “คุณสอบไฟนอลกี่วันเหรอสิบสาม”

   “ 3 วันครับ พี่เฌอล่ะ”

   “เหมือนกัน วันนี้ผมไปตี้กับเพื่อนนะ คุณไปด้วยกันไหมล่ะ”

   “ไม่ล่ะครับ ผมรอไปรับพี่ดีกว่า อย่าดื่มเยอะนะ”

   “ถ้าดื่มเยอะแล้วจะทำไม”

   “เวลาเมาพี่ชอบล้ม” เจ้าตัวเท้าคางมองผม “ใครจะตามรับได้ทันล่ะครับ”

   “โอเค จะไม่ดื่มเยอะ เดี๋ยวกินแต่โค้กเลย โอเคไหม” ผมยิ้มแป้นให้เขาพลางเห็นเหล่าสหายซุบซิบอะไรกันไม่รู้เหมือนมีเลศนัย เดี๋ยวเถอะนะพวกมึง วางแผนชั่วอะไรกันอีก

   “งั้นคืนนี้ก็นอนที่ห้องผมใช่ไหมครับ”

   “นอนด้วยได้ป้ะล่ะ”

   “ถ้าอ้วกก็จะให้นอนพื้น”

   “สิบสาม”

   “ผมก็นอนพื้นกับพี่นั่นแหละ” เจ้าตัวหลุดยิ้มให้เห็นแวบนึงก่อนจะก้มลงสนใจชีทต่อ เขานี่มันจริงๆ เลย มันเขี้ยวว่ะ อยากงับแก้มขาวๆ นั่นชิบหาย

   ผมชะเง้อหน้าไปมองชีทของนังน้อนก่อนจะเอาปากกาวาดแบด แบดลงบนพื้นที่ว่างแล้วเขียนกำกับเลข 13 เอาไว้ข้างๆ มือเรียวที่ถือปากกาลายลิตเติ้ลทวินสตาร์เลื่อนมาเขียนใต้ล่างรูปการ์ตูนที่ผมวาดว่าแฟนพี่เฌอ เขียนแค่นั้นไม่พอ มีการวาดรูปต้นไม้เล็กๆ เอาไว้ด้วย โคตรน่ารักเลยไอ้บ้า พอเห็นแบบนั้นผมจึงหยิบโทรศัพท์มากดถ่ายรูปเพื่อลงสตอรี่ไอจีพร้อมกับติดโควตแท็กไปหาสิบสามด้วย

   การกระทำเล็กๆ ที่ทำให้เหมือนตกหลุมรักเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

   เด็กนี่มันร้ายจริงๆ

   “น้องหมอ” เสียงไอ้แช่มเรียกร่างสูง เหล่าสหายเสนอหน้าเข้ามาพลางยิ้มหวานให้ อะไรพวกมึงเนี่ยะ คิดจะทำอะไรกันอีก

   “ครับ”

   “คบกับไอ้เฌอมาจะเดือนแล้วอะดิ” พอไอ้ขันถามแบบนั้นสิบสามก็พยักหน้ารับ “ดีเลย พวกพี่มีของขวัญจะให้ด้วยนะ เนื่องในโอกาสที่ทนอยู่กับเพื่อนพี่มาได้เป็นเดือน”

   “ไอ้เวร พวกมึงจะทำอะไรแปลกๆ อีก”

   “เออน่ะ” ทะเลปรามผมก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบของบางอย่างแล้วยื่นมาด้านหน้าของสิบสามซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับเพื่อนๆ คนอื่นที่ส่งของมาให้

   โว้ยยยยไอ้พวกหน้าส้นตีน

   ผมลูบหน้าอย่างข่มอารมณ์เมื่อเห็นของที่พวกมันส่งมาให้แฟนตัวเอง ถุงยางหลายกล่องพร้อมกับเจลหล่อลื่นวางอยู่ด้านหน้าสิบสาม นังน้อนมองนิ่งๆ โดยไม่เอ่ยอะไรออกไป แม่ง....หัวจะปวดว่ะ เพื่อนเฌอแต่ละคนทำไมเป็นแบบนี้วะ ยุยงให้เด็กจับกูปู้ยี่ปู้ยำมาก นึกถึงถุงยางที่ซ้อแจมให้มาครั้งก่อนโน้นก็ยังไม่ได้ใช้เหมือนกัน นี่ต้องมามีเพิ่มเพราะไอ้พวกเวรนี่ซื้อมาให้อีกเหรอ เจลหล่อลื่นอีก

   โวะ....อยากมุดใต้โต๊ะหนีว่ะ

   “ผมคงไม่ได้ใช้หรอกครับ ถ้าพี่เฌอไม่ให้ผมทำน่ะ”

   “นังน้อน” พูดอะไรของคุณเนี่ยะ

   “ไอ้เฌอไอ้คนใจร้าย” ไอ้แช่มทำหน้ายักษ์ใส่ผม “ไม่รู้รึไงว่ามีแฟนเด็กแล้วมึงต้องตามใจน่ะ”

   “เออ จะคบเดือนแล้วจะเล่นตัวอะไรนักหนาห้ะ”

   “ใช่ มึงควรมีผัวได้แล้วนะ”

   “พวกมึงนี่.....ยิ้มอะไรของคุณน่ะ เดี๋ยวคุณจะโดนด้วยนะ” ผมตีมือสิบสามเบาๆ เมื่อเขาหลุดขำเพราะคำพูดบรรดาเพื่อนๆ ความอยากให้เพื่อนมีผัวคือเต็มเปี่ยมมาก กับเรื่องอื่นใส่ใจขนาดนี้ไหมถามจริง

   “เฌอเพื่อนรัก นี่คุยเปิดอกแบบลูกผู้ชายเลยนะ” จันทร์ฉายยกมือขึ้นแตะไหล่ผม “ในฐานะที่กูเป็นเพื่อนมึง กูก็อยากเห็นมึงมีผัวเป็นตัวเป็นตน ได้เป็นฝั่งเป็นฝาเหมือนคนอื่นสักที”

   “ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”

   หัวเราะดังประหนึ่งอยากให้ได้ยินไปยันตึกนิเทศฯ

   ผมถอนหายใจอย่างปวดประสาท เจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วต้องทำยังไงต่ออะ คือก็ยอมรับแหละว่ามีคิดบ้าง เผลอของขึ้นบ้าง รู้สึกคึกคักบ้างแต่ผมก็หยุดมันได้ตลอดป้ะวะ ตัวสิบสามเองก็ไม่ได้แสดงออกว่าต้องการขนาดนั้นซะหน่อย หรือเขาแสดงออกแล้วผมไม่รู้วะ ทุกทีมันก็แค่.....หึ้ยยยย ไม่รู้โว้ย อย่างเดียวที่รู้ในตอนนี้คือหน้าร้อนไปหมด แก้มน่าจะแดงไปยันหูแล้วมั้ง สีหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็น่าหมั่นไส้

   ชอบใจนักล่ะที่ได้เห็นผมเป็นแบบนี้

   ผมมองกล่องถุงยางตรงหน้าอย่างชั่งใจก่อนกระซิบข้างหูเขา “คุณ....อยากทำจริงๆ อ๋อ”

   “พี่คิดว่าไงล่ะครับ”


   เอาล่ะ....คำตอบที่ให้ผมตามหาคำตอบเองอีกที

   “สิบสาม”

   “เดี๋ยวผมไปเรียนก่อนนะ พี่เฌอก็ตั้งใจเรียนนะครับ” เจ้าตัวเก็บชีทใส่แฟ้มก่อนจะส่งกล่องถุงยางกลับไปทางเพื่อนๆ ผม “ผมขอบคุณนะครับที่ซื้อมาให้ แต่ขอโทษด้วยที่ผมรับเอาไว้ไม่ได้ ผมใช้ไม่ได้น่ะครับ”

   “ทำไมอะ มันใหญ่ไปอ๋อ”

   “ไม่ใช่ครับ.....มันเล็กไป”

   ตึกตัก

   ผมมองร่างสูงที่เดินไปด้วยหัวใจที่สั่นระรัว มือก็หยิบกล่องถุงยางขึ้นมาดูขนาดที่ระบุอยู่ด้านหลัง นี่ก็ไซส์ 52 แล้วนะ ยังใส่ไม่ได้อีกอ๋อ เอาจริงดิ โอ๊ย....ทำไมมันรู้สึกอ่อนแรงไปหมดแบบนี้วะ ผมหันไปมองเพื่อนๆ ที่ทำตาโตแล้วยิ้มกรุ่มกริ่มใส่ อื้มมมม พอใจพวกมึงแล้วยัง ได้หาเรื่องประเคนผมให้แฟนกิน ได้รู้อีกว่าแฟนผมใส่ถุงยางไซส์ 52 ไม่ได้เพราะมันเล็กไป ไหนจะได้ทำให้ชีวิตของเฌอเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายอีก

   เห้อะ....อยากกลายเป็นปุ๋ยชิบหาย

   “เอาน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอกอย่าคิดมาก” เพื่อนแช่มแตะไหล่ผมเบาๆ “เจ็บนิดเดียวเหมือนมดกัด”

   “มดหน้ามึงอะ พวกมึงไม่มีใครโดนแฟนปู้ยี่ปู้ยำนี่หว่า”

   “ถ้ามึงไม่อยากโดนปู้ยี่ปู้ยำ มึงก็กดน้องมันให้ได้ดิ” ไอ้ขันเลิกคิ้วมองผม “แต่เหมือนจะยากว่ะ มึงไม่น่าทำได้”

   “เออสิ ใครจะไปทำได้”

   ผมมองกล่องถุงยางกับเจลหล่อลื่นที่อยู่ในมือ หัวก็นึกถึงคำพูดของสิบสามที่เขาบอกว่าผมคิดยังไง เพราะเขาไม่เคยพูดขอออกมาตรงๆ ผมก็เลยไม่ได้อะไรนัก คือตอนนี้มันผ่านวันวายป่วงต่างๆ มาแล้ว โอเค ผมสบายใจจริงๆ นั่นแหละ อย่างน้อยมันไม่มีอะไรกังวลไง แต่ละวันก็แค่ทำให้มันดีเท่านั้นเอง คิดเหมือนกันนะว่าถ้าสิบสามพูดขอผมเกี่ยวกับเรื่องนั้น คนที่ตามใจเขาตลอดอย่างผมจะปฏิเสธเหรอ

   ก็คงไม่ป้ะวะ

   นั่นแฟน....ผมรักมาก อีกอย่างก็ผู้ชายด้วยกันมันก็ไม่ค่อยน่ากังวลหรอก แต่ก็นั่นแหละ เพราะเป็นผู้ชายกับผู้ชาย ผมศึกษาเรื่องพวกนี้ด้วยนะเพราะคิดว่ายังไงวันนึงก็อาจจะต้องทำเรื่องแบบนั้น ไม่ใช่แค่ศึกษาแต่ก็....เออนั่นแหละ มันเจ็บแล้วก็รู้สึกแปลกๆ หรือเพราะทำเองมันเลยเป็นแบบนั้นวะ คือรู้ตัวดีว่าตัวเองเนี่ยะจะต้องมีผัวเด็ก ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้สักพักแล้ว เอาจริงๆ ผมไม่มีปัญหาหรอกถ้าสิบสามจะทำอะ

   ปากพูดไปงั้นแหละแต่ขานี่สั่นพั่บๆ ๆ ๆ ๆ

   “เป็นไร....มึงกลัวอ๋อ”

   “มีอะไรต้องกลัววะ”

   “ให้มันจริงเถอะ” ทะเลขยี้หัวผมเบาๆ “ครั้งแรกก็คงเจ็บจริงๆ อะแต่คงไม่เท่ากับที่มึงรถคว่ำมั้ง”

   “มันเจ็บต่างกันป้ะวะ”

   “ก็ใช่....แต่มันเป็นความเจ็บที่สุขสมนะ จะว่าไปมึงก็น่าจะรู้ใจตัวเองอยู่ป้ะวะว่าลึกๆ แล้วตัวมึงเองก็อยากที่จะทำแบบนั้นรึเปล่า อย่าลืมนะว่าสองสามวันนี้ใครคอลกลุ่มมาตอนดึกๆ แล้วเวิ่นเว้อเหมือนคนของขาด”

   “กู....”

   “กูเห็นด้วยกับทะเลนะ ตัวมึงอะรู้ดีที่สุดแล้วว่าต้องการอะไร อยากทำก็อย่ากลัวดิวะ” จันทร์ฉายเอียงหัวเข้ามาใกล้ “ถึงน้องหมอจะใหญ่กว่า 52 แต่เดี๋ยวมึงก็ชิน”

   “เลิกตอกย้ำกูเรื่องขนาดสักที กูใจเสียเพราะแบบนี้แหละ”

   “แน่ะ แปลว่าคิดเรื่องนี้เอาไว้เหมือนกันอะดิ”

   ผมพยักหน้ารับเบาๆ “ก็ใช่แหละ”

   “นี่ไง เดี๋ยวคืนนี้นะ พวกกูจะมอมเหล้ามึงแล้วส่งให้น้องหมอเชือด ดีไหมๆ ”

   “ไม่ต้อง สะเหล่อ” ผมเบ้ปากใส่พวกมันก่อนจะยกชามไปเก็บ “ไปเรียนกันได้แล้ว เก็บกล่องถุงยางไปด้วย”

   “ไม่เอาอ๋อ”

   “พวกมึงก็ได้ยินหนิว่าแฟนกูใส่ไม่ได้....ถ้าจะให้ใช้ก็ไปซื้อมาใหม่”

   “เห้ยยยยยยเอาว่ะ เฌอมันเอาว่ะ”

   เหนื่อยใจจริงๆ แหละมีเพื่อนแบบพวกมันเนี่ยะ

   ชีวิตเฌอแม่ง....

   

***


---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 16 : 4/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 04-02-2020 22:40:33
--------- ต่อจากบทที่ 16 ----------




   “ฉลองให้เพื่อนเฌอที่กำลังจะเสียตัวหน่อยค้าบ ชนแก้วววว”

   ผมล่ะอยากเอาแก้วชนหน้าพวกมันจริงๆ

   สะเดิดชิบหาย

   ผมยกเบียร์ขึ้นจิบพลางกินยำปลาหมึกไปด้วย หัวก็โยกไปตามเสียงดนตรีที่ได้ยิน ตอนนี้เกือบ 4 ทุ่มแล้วครับ บรรยากาศในร้านนั่งชิวก็คึกครื้นพอตัว มันก็ปกติอยู่แล้วของร้านนี้นะ นั่งชิวคนจะเยอะกว่าจันทร์เจ้า คงเพราะร้านใหญ่กว่าแล้วก็เจ้าของร้านหล่อมากก็ได้มั้ง หล่อจริงนะ ดีกรีเดือนมหา’ลัยคนดังตั้งแต่รุ่นก่อนที่ผมจะเข้ามาเรียนอีก เขาเป็นศิษย์เก่าคณะสถาปัตย์ฯ ครับ ก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับเฮียเจ๋ง

   ชื่อพี่ไก่ไข่

   จะไก่หรือไข่สักชื่อก็ไม่ได้น่ะนะต้องไก่ไข่ แต่เอาเถอะ ไม่มีใครชื่อแปลกเท่าแฟนผมแล้วล่ะ ตอนนี้ก็น่าจะกำลังทำงานอยู่ที่ห้องเพื่อน ตอนแรกที่ได้ยินก็ตกใจเหมือนกันนะว่าเขาจะทำไปงานกลุ่มที่ห้องเพื่อน นังน้อนเล่าให้ฟังว่าเป็นกลุ่มเพื่อนที่ทำงานด้วยกันประจำ เป็นคณะกรรมการนักศึกษา ก็ดีแล้วแหละ เขาควรมีเพื่อนบ้างถึงแม้จำเป็นเพื่อนทำงานก็เถอะ จะว่าไปเขาก็มีแหละเพื่อนที่สนิทกว่าคนอื่น

   ไอ้เป้กับไอ้หมีไง

   สนิทที่สุดแล้วมั้งเท่าที่สังเกต

   “พี่เฌออออ” ไอ้น้องตัวแสบนั่งลงข้างๆ ก่อนจะเอียงหัวมาใกล้ “ได้ข่าวว่าคืนนี้จะเสียตัวอ๋อ”

   “ชิดไป” ไอ้ขันดันหัวไอ้หมีออกก่อนจะเดินมานั่งกั้นกลาง ถ้ามึงจะหวงเมียขนาดนี้ก็เอาไปขังไว้ที่ห้องเถอะ

   “ตัวอย่างกับน้องควาย แทรกมาได้” ผมหยิกขามันทีนึง

   “พี่ขันนี่เกะกะจริงๆ หมีคุยกับพี่เฌออยู่เนี่ยะ”

   “คุยได้แต่ต้องชิดขนาดนั้นไหม”

   “ขี้หวงว่ะ”

   “วันไหนถ้ากูไม่หวงขึ้นมาแล้วมึงจะเสียใจ”

   เอาแล้วบ้านแตกแน่ล่ะ

   ผมยกเบียร์ขึ้นมาจิบพลางมองสถานการณ์ระหว่างไอ้ขันกับไอ้หมีที่เกิดขึ้น วุ่นวายจริงๆ พวกมึงเนี่ยะ แต่ก็เป็นแบบนี้มานานแล้วนะ ตอนก่อนคบกับไอ้หมีแม่งงี่เง่ามากกว่านี้อีก เอาแต่ใจ ไม่ฟังใคร พอๆ คิดถึงเรื่องมันแล้วหงุดหงิดว่ะ เรื่องความรักของบรรดาเพื่อนๆ ที่ผมเคยเห็นก็น่าหงุดหงิดทั้งนั้นอะ อาจจะยกเว้นเพื่อนฉายไว้คนนึง ผมว่ามันจัดการดีแล้วกับความรักของตัวเอง ส่วนพวกที่เหลือก็ต้องชอกช้ำกันไปข้าง

   เก่งแต่ทำให้อีกฝ่ายเสียใจก่อนไอ้เวร

   ผมคบกับใครค่อนข้างมั่นใจเลยนะว่าอีกฝ่ายจะไม่เสียใจเพราะตัวเอง มีแต่ฝ่ายผมนี่แหละที่เสียใจอยู่ตลอด ช่างแม่ง เรื่องทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นมันก็ผ่านไปแล้วและตอนนี้ผมก็มีความสุขดี ความรักอาจจะไม่ใช่สิ่งแรกที่โฟกัสอีกต่อไป หลังจากนี้ยกเวลาให้งานเป็นส่วนใหญ่ มันจะไม่ใช่เด็กที่อยากทำอะไรก็ทำอีกแล้วไง ความรับผิดชอบต้องเพิ่มขึ้น หน้าที่ต่างๆ ก็ต้องทำออกมาให้ดีที่สุด

   เท่ว่ะ....นี่แหละความคิดของคนที่โตแล้ว

   “เดี๋ยวกูมานะมึง สูบบุหรี่” ผมบอกก่อนจะเดินออกมาด้านหลังซึ่งเป็นลานจอดรถ มีใครบางคนที่ผมไม่คิดว่ามันโผล่มาอยู่แถวนี้กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ม้านั่ง พอเห็นแบบนั้นผมจึงเดินไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม

   “.....มึง”

   “ปากไปโดนไรมาอะ เจ้าหนี้ซ้อมอีกแล้วเหรอ” ผมจุดไฟที่ปลายบุหรี่พลางมองมุมปากไอ้ภัทรที่เป็นรอยช้ำ

   “กูไม่ได้เป็นหนี้ใครแล้ว”

   “แล้วไปโดนอะไรมา”

   “ทำไมต้องอยากรู้วะ”

   “กูชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน มึงไม่รู้เหรอ”

   “กูโดนแม่ตบ”

   ผมเลิกคิ้วมองมันทันที “ถามจริง คุณเกสรเนี่ยนะจะตบมึง”

   “อืม กูอยากซิ่ว ไม่อยากเรียนบริหารฯ กูก็ไปบอกแม่ แต่แม่ก็ไม่เห็นด้วย เราทะเลาะกัน แม่บอกว่ากูต้องเป็นผู้สืบทอดทุกอย่างเพราะกูเป็นลูกคนโตของบ้าน คำนี้ที่กูได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ทั้งๆ ที่พี่คนโตของบ้านก็คือมึง” ไอ้ภัทรอัดควันเข้าปอดก่อนจะปล่อยมันออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “กูไม่อยากให้คำพูดของแม่มาควบคุมกูอีกแล้ว กูอยากใช้ชีวิตตามที่ตัวเองต้องการ ทำไมกูต้องมาเป็นเครื่องมือของแม่แค่เพราะเขาเกลียดมึงกับแม่มึงวะ”

   “กูเข้าใจมึงนะ”

   “กูรู้สึกแย่นะที่เมื่อก่อนเราเคยเล่นด้วยกัน เคยเตะบอลด้วยกัน แต่อยู่ดีดีวันนึงกูก็เล่นกับมึงไม่ได้เพราะแม่สั่ง แล้วเขาก็พูดซ้ำๆ ว่าบ้านมึงเป็นยังไง กูสับสน กูเสียใจทั้งๆ ที่ตอนได้เตะบอลกับมึง มันโคตรสนุกเลย”

   “มึงชอบวิ่งมาชนกูไอ้เวร”

   “ก็มึงอะ อยู่ดีดีก็หยุดวิ่ง บอกก็ไม่บอก ละชนมึงทีไรกูก็ล้ม ตัวอย่างกับควายไอ้สัส”

   “ถ้ากูมีเขา กูจะขวิดหน้ามึงให้ด้วย” ผมเท้าคางมองมัน “แล้วได้คุยกับป๊ารึเปล่าเรื่องที่จะซิ่ว”

   “คุย”

   “เขาว่าไง”

   “เขาตามใจกู แต่นั่นแหละพอแม่รู้ เขาก็โวยวาย ด่าว่ากูต่างๆ นานา กูทะเลาะกับแม่ ป๊าก็ทะเลาะกับแม่ บ้านโคตรลุกเป็นไฟ กูโดนตบแล้วแม่ก็บอกว่าถ้ากูไม่ฟังคำสั่งเขา กูก็ไม่ต้องเรียกเขาว่าแม่ ทำไมวะ....แค่อยากเรียนในสิ่งที่ชอบ มันผิดขนาดนี้เลยอ๋อ”

   “มึงจะซิ่วมาเรียนอะไร”

   “ออกแบบนิเทศศิลป์”

   “ก็เอาดิ ซิ่วเลย ถ้าป๊าเห็นด้วยแล้วก็ไม่ต้องกังวลป้ะวะ ความสุขมึง แล้วถ้าแม่มึงจะไม่ให้มึงเรียกเขาว่าแม่ มึงก็เรียกเขาว่าคุณเกสรเหมือนที่กูเรียกเนี่ยะ จบๆ ”

   มันหลุดหัวเราะออกมา “กูนึกว่ามึงจะบอกให้กูใจเย็นๆ ไปคุยกับแม่ให้เขาเข้าใจ เพราะยังไงเขาก็แม่”

   “คุยเป็น 10 ปีก็ไม่เข้าใจหรอก เขาเป็นคนยังไงมึงน่าจะรู้ดีที่สุด ถ้าเป็นกู กูก็ต้องให้มึงเลือกในทางที่มึงมีความสุขมากที่สุดอยู่แล้ว ชีวิตมหา’ลัยมันแค่ครั้งเดียว จะเป็นประสบการณ์ที่ดีหรือเลวร้ายมันก็อยู่ตรงนี้แหละ ซิ่วตอนนี้ก็ยังดีกว่าที่มึงเรียนไปแล้วรู้สึกว่าชีวิตกูมาทำอะไรตรงนี้วะ”

   “กูอาจจะออกมาอยู่หอ เพราะถ้าอยู่บ้านน่าจะบ้านแตก”

   “ก็ดี อยู่หอก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง เออ แล้วภัคอะ มึงรู้ไหมว่าน้องจะเรียนอะไร”

   “บริหารฯ แน่นอน มันอยากเรียน”

   “งั้นก็ให้ภัคสืบทอดกิจการก็ได้ป้ะวะ”

   “ลูกคนเล็กไง แม่ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว” มือเรียวหยิบโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ขึ้นมากดรับสาย “ฮัลโหลค่ะ....อื้อ พี่อยู่นั่งชิวค่ะ.....ได้ค่ะ....โอเคเดี๋ยวพี่ไปรับนะ”

   “แฟนอ๋อ”

   “อืม....กูไปก่อน ขอบใจมึงละกันที่นั่งฟังกูบ่น”

   “เออ มีปัญหาประสาททแดกก็มาปรึกษาได้ กูชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน”

   “เออ ไปละ” ว่าแล้วมันก็เดินไปทันที ส่วนผมก็ทิ้งก้นบุหรี่ลงที่ทิ้งบุหรี่ก่อนจะมุ่งหน้าไปที่เซเว่นฯ ใกล้ๆ ร้าน

   รู้สึกเหมือนความสัมพันธ์ของพี่น้องจะดีขึ้นจึ๋งนึงล่ะมั้ง อย่างน้อยก็คุยกันได้ ไม่เหมือนเมื่อก่อน ผมรู้ว่าไอ้ภัทรโดนแม่มันล้างสมองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็ยังดีที่มันเองก็คิดได้เหมือนกันว่าอะไรมันเป็นยังไง ยอมดื้อเพื่อให้ได้ทำตามที่ในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ถึงจะไม่ชอบขี้หน้ากันมาตลอดแต่ยังไงก็พี่น้อง เดี๋ยวต้องคอยดูป๊าว่าจะจัดการกับคุณเกสรยังไงเรื่องไอ้ภัทร แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องที่ต้องทำ

   ไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่ก็นะ

   ผมยืนอยู่ใกล้ประตูเซเว่นฯ และมันดังตื้อดึ่งไม่หยุด คือของที่จะซื้อมันอยู่ข้างเคาน์เตอร์ติดประตูไง ก็รำคาญนิดนึงแต่ขอเวลาแป๊บเดียวเท่านั้นแหละ ผมหยิบอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องใช้ขึ้นมาดูก่อนจะอ่านรายละเอียดด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ดึงหน้าอยู่แหละ เดี๋ยวน้องพนักงานรู้ว่าเขินเพราะซื้อถุงยาง ใช่ครับ เฌอกำลังจะซื้อถุงยางอนามัย ต้องหาที่ไซส์ใหญ่กว่า 52 เพราะงั้นต้องดูดีดีหน่อย

   ใหญ่กว่า 52 ก็ 54 กับ 56 งั้นสินะ

   ปัญหาคือไม่รู้ว่าไซส์ไหนนี่ดิ ช่างแม่ง ซื้อมาทั้งสองไซส์เลย มันต้องใส่ได้สักอันแหละ ส่วนเจลหล่อลื่นไม่ต้องเพราะเพื่อนซื้อให้แล้ว ไม่คิดเลยว่าชรันจะมีวันที่ต้องมาซื้อถุงยางโดยที่ไม่ได้ซื้อไซส์ของตัวเอง ช่างเถอะ กลับตัวกลับใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วป้ะวะ ผมเป็นคนเลือกทางนี้เอง ผมเป็นคนที่อยากทำเอง ผมเองที่อยากจะ....เห้อะ

   พอ....ไม่พูดละ เหนื่อย

   หลังจากที่จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินกลับเข้าไปที่นั่งชิว ตอนที่เดินออกจากเซเว่นฯ สิบสามไลน์มาบอกว่างานเขาเสร็จแล้วและเจ้าตัวก็กำลังจะมาหาผมที่ร้าน ผมควรบอกเขาว่ายังไงดีวะเรื่องที่เราจะแบบ....หื้มมมม บอกตรงๆ เลยเหรอ ตรงแบบฮาร์ดคอหรือตรงแบบน่ารักๆ ดีล่ะ

   คุณ....เยกัน

   ก็ตรงไปป้ะวะ

   คุณ....มีอะไรกันเถอะ

   ดีกว่าข้างบนแค่จึ๋งเดียว

   “หายไปนานจังวะ” ไอ้แช่มทักก่อนจะส่งแก้วเบียร์มาให้ “ทำไรมาเนี่ยะ”

   “เจอไอ้ภัทรเลยนั่งคุยกันนิดหน่อย” ผมยกเบียร์ขึ้นซดจนหมดแก้วเพื่อย้อมใจ “มึงกูมีเรื่องจะถาม ถ้าสมมุติว่าเราจะขอมีอะไรกับแฟน เราจะพูดว่าอะไร”

   ไอ้แช่มส่งยิ้มกริ่มมาให้ “มึงจะเอาแน่ใช่ไหมวันนี้อะ”

   “มึงจะถามอะไรมากวะ บอกกูมาได้แล้ว”

   “ก็อยู่สองต่อสอง ในห้องเงียบๆ ก่อนอื่นมึงสบตาเขาก่อนเลย เผลอไปกับบรรยากาศ แล้วก็เดินไปสะกิด ฟีลเขินๆ อะ เดี๋ยวก็ได้ เชื่อกู”

   “ถามจริงๆ นะ”

   “เออ ได้จริงๆ เชื่อเพื่อนอะ อะไรก็ดีป้ะวะ”

   “เพื่อนอย่างมึง” ผมเสยผมที่ปรกหน้าขึ้นอย่างละเหี่ยใจก่อนจะยกเบียร์มากระดกอีกแก้ว สายตาก็ไปสะดุดกับร่างสูงที่เดินเข้ามา ความหล่อนั่นคงเตะตาใครหลายๆ คนแน่

   แต่เสียใจด้วยครับ....เขามีแฟนแล้ว

   “ผมมาแล้วครับ” สิบสามนั่งลงข้างผม “เมาไหม”

   “ไม่เมา”

   “เชื่อได้รึเปล่า”

   “อยากพิสูจน์ไหมล่ะ”

   “เห้ยเบาได้เบาเพื่อน นี่ร้านเหล้า” ไอ้แช่มยื่นแก้วเบียร์มาทางสิบสาม “เอาหน่อยไหมน้องหมอ”

   “ได้ครับ” มือเรียวรับแก้วเบียร์นั้นมาจิบทีนึง ก่อนจะกระดกลงคอไปจนหมด เจ้าตัวเลียริมฝีปากพลางมองผมด้วยสายตานิ่งๆ

   ดาเมจแรงจังวะแค่กินเบียร์

   “อยากเข้าห้องน้ำอะ ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ” ผมบอกก่อนรั้งแขนสิบสามให้เดินมาที่ห้องน้ำด้วยกัน ในจังหวะที่เดินสวนกับคนที่เพิ่งเดินออกมา ผมก็ดันเขาเข้าไปด้านในก่อนจะกดล็อกประตู

   สิบสามที่พิงพนังอยู่มองผมไม่ละสายตา ระหว่างเราไม่มีคำพูดอะไรเอ่ยออกไป รับรู้ได้แค่ลมหายใจแรงๆ กับกลิ่นแอลกอฮอล์เท่านั้น ผมยกมือขึ้นเกลี่ยแก้มขาวมาจนถึงริมฝีปากบางก่อนจะเลื่อนเข้าไปกดจูบเบาๆ ร่างสูงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าเพราะเครื่องดื่มมึนเมาที่ได้รับไปเมื่อกี๊ด้วยรึเปล่าที่ทำให้รู้สึกว่าร้อนได้ถึงขนาดนี้ อารมณ์ที่คุกรุ่นแบบนี้ ต่อให้ใช้น้ำสิบถังก็ดับไม่ได้นะ

   ต้องการมากกว่านี้จริงๆ นั่นแหละ

   ผมถอนจูบออกมามองเขานิ่งๆ “จูบแรงจังอะ”

   “ไม่ชอบเหรอครับ” จมูกโด่งคลอเคลียอยู่ที่ซอกคอผม “วันนี้เป็นอะไรหืม....คึกเหรอ”

   “ก็คงใช่” ผมหยิบกล่องถุงยางที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังออกมาก่อนจะเลิกเสื้อของสิบสามขึ้นแล้วสอดมันลงที่ขอบกางเกงยีนส์เขา การกระทำนั้นทำให้คนตรงหน้าหลุดยิ้มออกมาพร้อมกับรั้งเอวผมเข้าไปชิด

   “รู้ไหมครับว่าทำแบบนี้แล้วจะเจอกับอะไร”

   “อยากรู้เหมือนกัน”

   มือเรียวหยิบกล่องถุงยางที่เหน็บอยู่ออกมาดู “ใช้อันนี้ครับ....ส่วนอันนี้ผมคืนให้” กล่องถุงยางไซส์ 54 ถูกส่งกลับที่มือผมซึ่งมันหมายความว่า....

   หึ....แย่แล้ว

   “....สิบสาม”

   “ไปกันเถอะครับ....พี่เฌอ”

   

   

   

   

   

   

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วนะ ก็พูดยังไงดีอะ แพลนโคมไฟได้ไหม แพลนตุ๊กตากิกี้ลาล่าก็ได้เอาจริงๆ คือบท 17 เนี่ยะ ต้องหืดหาดแน่ๆ เเลยค่ะ เตรียมใจกันเอาไว้ให้ดีดีกับฉากแพลนโคมไฟไม่ก็ประตูห้องน้ำ

   ตรงที่พี่แช่มพูดกับพี่เฌอว่าให้นั่งสบตาอยู่สองต่อสอง มันคือวิธีที่ชาลไปถามพี่นัท (นทกร) มานะคะ ก็ขอเขาเอามาใส่ในนิยายแล้วเรียบร้อย ตอนคุยกันมันตลกจริงๆ อะ5555

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 16 : 4/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 05-02-2020 16:04:14
เตรียมหืดหาดแล้วนะคะ 555
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 16 : 4/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 05-02-2020 18:36:17
โชคดีน๊า~5555 :hao3:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 17 : 5/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 05-02-2020 20:23:21
บทที่ 17 จึ๋งนึง [ Nc ]




   “อื้อออ....อ....สิบสาม” ผมดันร่างสูงเอาไว้ “ใจเย็นๆ สิ”

   “นี่ใจเย็นแล้วนะครับ”

   เย็นที่หน้าคุณอะนังน้อน

   “ขอผมอาบน้ำก่อน”

   “.....โอเคครับ พี่อาบก่อนเลย”

   ผมพยักหน้ารับก่อนจะหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินไปที่ห้องน้ำ ในหัวก็กำลังตัดสินใจว่าควรชวนเขามาอาบด้วยกันไหมเพราะไหนๆ สิบสามก็ต้องมาอาบน้ำเหมือนกัน พอคิดได้แบบนั้นผมก็หันไปมองร่างสูงที่ยืนมองอยู่นิ่งๆ

   “อาบด้วยกันไหมคุณ”

   “.....เอาสิครับ” เขาเดินตามผมเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะยืนกอดอกพิงอยู่ที่เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ดวงตาคมจับจ้องมาทางผมอยู่อย่างนั้น

   นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถอดเสื้อผ้าต่อหน้าเขา แต่มันกลับเป็นครั้งแรกที่รู้สึกประหม่าไปหมด หัวใจเต้นแรงไม่หยุดเลย คงเป็นเพราะสถานการณ์มันต่างจากทุกทีล่ะมั้ง ผมถอดเสื้อตัวเองออกก่อนจะถอดกางเกงยีนส์ตาม เฌอตอนนี้เหลือเพียงบ็อกเซอร์ ส่วนสิบสามยังไม่คิดจะถอดเสื้อผ้าตัวเองเลยสักชิ้น ชอบใจแหละที่ได้ยืนมองผมแก้ผ้าน่ะ มันน่านักนะ แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาไม่ยอมถอด เดี๋ยวผมจะเป็นคนจัดการเอง

   บางทีนังน้อนอาจจะตั้งใจให้เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว

   “ทำไมไม่ถอดอะ” ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา “หืม....”

   “อยากให้พี่เฌอถอด”

   “ได้สิ” ผมรั้งเสื้อยืดสีชมพูตัวโคร่งขึ้นพลางใช้หลังมือสัมผัสผิวเขาไปด้วย “แต่มีค่าถอดนะ”

   “เอาอะไรดีครับ”

   ผมดึงเสื้อออกมาจากตัวเขาก่อนจะเลื่อนเข้าไปใกล้ “.....เอาอะไรดีน้า”

   “หึ....” เขาหลุดยิ้มออกมาก่อนจะเลื่อนเข้ามาจูบ ผมยกมือขึ้นโอบรอบคอแกร่งพลางแลกจูบอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะอาบน้ำเสร็จ อาจจะครึ่งคืนเลยก็ได้ถ้ายังมัวหยอกเล่นกันอยู่แบบนี้

   “อื้มมม...ม....” ผมละจูบออกก่อนจะเลื่อนมาขบเบาๆ ที่ไหปลาร้าเขา “อาบน้ำก่อน” ว่าแล้วผมก็ปลดกางเกงยีนส์คนตรงหน้าแล้วรั้งมันลงไป อะไรบางอย่างที่อยู่ใต้บ็อกเซอร์ตัวบางเผยออกมาอย่างเห็นได้ชัด

   อึก....ใจคอไม่ดีเลยให้ตายสิ

   “ไม่ถอดบ็อกเซอร์ออกด้วยเหรอครับ”

   “มันจะฟาดหน้าผมป้ะ”

   สิบสามหลุดขำออกมา “พี่พูดอะไรเนี่ยะ”

   “ถามจริงๆ นะ” ผมเงยหน้ามองเขา “คุณคิดดู มันเกือบเท่านี่....ข้อมือผม”

   “ก็ไม่ขนาดนั้นนะครับ”

   “เห้อะ อย่ามาพูดจาปลอบใจหน่อยเลย” ผมหันหลังให้เขาก่อนจะถอดบ็อกเซอร์กับชั้นในออกแล้วเดินเข้าไปอยู่ใต้ฝักบัวพร้อมกับเปิดน้ำ “คุณถอดเองเลยบ็อกเซอร์น่ะ”

   ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากเขา ตอนนี้เฌอคือชีเปลือยขั้นสมบูรณ์ ผมไม่เคยแก้ผ้าให้ใครเห็นเลยนะ เขินมาก ไม่กล้าหันไปมองสิบสามด้วย คือแบบ....ความรู้สึกตอนกำลังจะเสียตัวมันเป็นแบบนี้เองเหรอวะ ตื่นเต้นแบบที่ไม่เคยเป็น หวั่นใจก็หวั่น คือผมไม่ค่อยมั่นใจเลยว่าครั้งแรกมันจะดีไหม ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างมีอารมณ์ แต่ไม่มีใครมีประสบการณ์ด้านนี้สักคน สัญชาตญาณมันจะช่วยเราได้แค่ไหนวะ

   เออเอาน่ะ.....คิดจะทำแล้วก็อย่าคิดเยอะ

   สัมผัสได้ถึงแรงลูบเบาๆ ที่ช่วงเอวก่อนที่เจ้าของมือมาไล่กดจูบไปตามซอกคอ ส่วนแข็งขืนที่ดันอยู่ด้านหลังทำให้แก้มผมยิ่งรู้สึกร้อนขึ้นไปอีก ผมชอบทุกการสัมผัสที่ได้รับมาจากสิบสาม มันหนักและเบาสลับกันไป ทุกครั้งที่เขาจูบ เขาจะกดแรงลงมาเยอะมากก่อนจะผ่อนให้เบาลง จากการกระทำเหล่านั้นมันทำให้ผมรู้ว่าตัวเขาเองหักห้ามใจมากแค่ไหน คนที่ภายนอกเห็นว่านิ่งๆ แต่ภายในเขา โคตรยากหยั่งถึงเลย

   อ่อนโยนทุกการกระทำแต่คงยกเว้นเรื่องบนเตียงล่ะมั้ง

   ผมบีบสบู่เหลวก่อนจะหันเข้าหาเขา “คุณคึกกว่าผมอีกนะนังน้อน”

   “ใช่ครับ ใจผมตอนนี้คืออุ้มพี่ไปที่เตียงเรียบร้อยแล้ว”

   “ใจร้อนจังอะ”

   “ไม่ได้ร้อนแค่ใจนะครับ” มือเรียวลูบไล้สบู่ไปทั่วตัวผม “ผม....ประหม่ามากเลยพี่เฌอ”

   “ผมก็ไม่ต่างจากคุณ”

   “ตอนนี้ผมอาจจะเงอะงะ ไม่ค่อยเท่เท่าไหร่ แต่ในอนาคตจะดีกว่านี้ครับ”

   ผมหลุดหัวเราะทันทีที่เขาพูดแบบนั้น “คุณนี่มันจริงๆ เลยน้า” จะทำให้ผมหลงรักไปถึงไหนเนี่ย

   “จริงๆ นะครับ”

   เราสองคนใช้เวลาอาบน้ำและนัวกันอีกสักพักก่อนที่ย้ายจากห้องน้ำมาที่เตียงนอน สิบสามจัดการย้ายน้อนตุ๊กตากีกี้กับลาล่าไปไว้บนพรมข้างเตียงแทน เตียงสีขาวกลางห้องที่กำลังจะกลายเป็นสมรภูมิรักในอีกไม่ช้า นังน้อนคงเขินแหละครับถ้าจะปู้ยี่ปู้ยำผมให้น้อนๆ ตุ๊กตาเห็น ผมมองเขาจัดแจงทำโน่นนี่นั่นจนเสร็จ ร่างสูงโถมตัวเข้ามาดันผมให้ราบไปกับเตียง ดวงตาคมที่มองอยู่ด้านบนนั่นแสดงออกมาชัดเจนว่าเขาจะเอาจริงแล้ว

   ตึกตัก

   ใจโคตรไม่ไหวเลยว่ะ

   ริมฝีปากบางก้มลงมาฉกฉวยความหวานจากผม ลิ้นร้อนไล่ต้อนเข้ามาอย่างหยอกเย้า เก่ง....เก่งขึ้นทุกครั้งที่ได้จูบกัน ตอนนี้กลับกลายเป็นเฌอที่กิ๊กก๊อกไปเลย แต่เอาเถอะ ผมจะยอมเขาสักเรื่องมันก็ไม่เป็นไรหรอก ในขณะที่เรากำลังแลกจูบกันอยู่นั้น สัมผัสได้ถึงแรงลูบเบาๆ ที่สีข้างลามไปจนถึงต้นขา ปลายนิ้วร้อนเลื่อนขึ้นมาลูบที่ยอดอกผม ปากก็ไล่ขบมาตามซอกคอก่อนจะทิ้งรอยรักเพื่อให้ผมได้โดนเพื่อนแซวเล่น

   จูบแรงแบบนั้นไม่เป็นรอยให้มันรู้ไป

   ร่างสูงไล่จูบต่ำลงไปจนถึงยอดอกก่อนจะใช้ปลายลิ้นเลียวนไปรอบๆ พลางขบเม้มคล้ายๆ กับมันเขี้ยว ผมจิกไหล่เขาเบาๆ พร้อมกับกัดปากตัวเองเพื่อกั้นเสียง รู้สึกแปลกๆ อะ มันแบบ....

   “อ๊ะ....” หลังอยู่ไม่ติดเตียงแล้ว สิบสามทำอะไรกับผมเนี่ย

   “ตรงนี้รู้สึกไวอยู่นะครับ”

   รู้สึกไวทุกตรงแหละตอนนี้

   “ผม....อื้อออ....” ผมคว้าหมอนที่อยู่ใกล้ๆ มาปิดหน้าพลางหายใจแรงอยู่อย่างนั้น ไม่ไหวอะ ทำไมมันรู้สึกแบบนั้นวะ ไม่เข้าใจเลย

   “อย่าเอาหมอนปิดหน้าสิครับ” เขาแย่งหมอนไปก่อนจะยกสะโพกผมขึ้นแล้วเอามันมารองไว้ด้านล่างแทน “ผมอยากเห็นหน้าพี่เฌอนะ” ปลายนิ้วลูบเบาๆ ที่ริมฝีปากผม

   ผมงับนิ้วเขาอย่างมันเขี้ยว “ชอบใจคุณล่ะสิ”

   “หึ....” มือเรียวเลื่อนมาจับส่วนอ่อนไหวของผมขยับขึ้นลงช้าๆ อื้มมมม.....ความรู้สึกมันต่างจากเวลาทำเองจริงๆ ด้วย คงเพราะมือเขาใหญ่กว่ามือผมล่ะมั้ง

   เห้อะ....เขาก็ใหญ่กว่าผมทุกอย่างแหละ

   “อะ....เบาหน่อย”

   “พี่ก็ทำให้ผมด้วยสิ” เจ้าตัวกระซิบหูผมพลางงับเบาๆ ซี๊ดดดด....นังน้อนเก่งเรื่องคลอเคลียจริงๆ นะ ผมตามไม่ทันเขาเลยอะ

   พ่ายแพ้โดยสมบูรณ์

   ผมเลื่อนมือไปจับส่วนแข็งขืนของคนบนร่างก่อนจะขยับมือช้าๆ ไม่อยากคิดตอนที่ตัวเองต้องโดนเจ้านี่รังแกเลยอะ เอาน่ะ เจ็บครั้งแรกเป็นเรื่องปกติ เฌอจะเชื่อคำเพื่อนๆ เดี๋ยวมันก็ดีเอง ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก มันก็แค่....นั้นเอง

   แค่นั้นตรงไหนวะ

   “อ๊ะ....” ผมส่งเสียงอย่าลืมตัวเมื่อมือเรียวมาป้วนเปี้ยนที่ช่องทางด้านหลัง สิบสามพรมจูบไปทั่วใต้คางก่อนเอื้อมมือไปหยิบเจลหล่อลื่นกับกล่องถุงยางอนามัย เขาบีบเจลชโลมที่ปลายนิ้วก่อนจะใช้มันลูบไล้เบาๆ

   “เจ็บหน่อยนะครับ”

   “ขนาดไหน”

   “....จึ๋งนึง”

   ใครจะเชื่อ

   เขาสอดนิ้วเข้ามาด้านในช้าๆ สิบสามเลิกคิ้วมองผมอย่างสงสัย “พี่เฌอ....เคยทำตรงนี้เหรอครับ”

   “อื้ออออ....ก็มันต้อง” ผมซุกหน้าลงกับไหล่เขา “อย่าถามสิ....ผมเขินนะ”

   “โอ๋ๆ ไม่ถามแล้วครับ” เขาจูบขมับผมก่อนจะขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ “ผมเพิ่มนิ้วนะครับ”

   “อ๊ะ.....เบาๆ ” ผมหายใจแรงยิ่งกว่าเดิมเมื่อนิ้วที่สองถูกสอดเข้ามาด้านใน มันต่างจากตอนที่ทำเองมากจริงๆ นี่แค่นิ้วเองนะ แค่นิ้วยังเป็นขนาดนี้เลย

   “เป็นยังไงบ้างครับ” เสียงอ่อนเอ่ยถามอยู่ไม่ห่าง ผมรับรู้ได้ถึงนิ้วที่สามตรงส่วนนั้น อื้ออออ.....ตอนที่มันขยับก็ยิ่ง....

   “อ๊า....ตรงนั้น”

   “ตรงนี้” สิบสามกดลงที่ส่วนนั้นเน้นๆ ซึ่งผมแอ่นสะโพกรับอย่างลืมตัว ปากก็ส่งเสียงอย่างห้ามเอาไว้ไม่ได้

   “อื้มมมม....ไม่เอาแล้ว จะเสร็จ” ผมจับข้อมือเขาเอาไว้ “ผมไม่อยากเสร็จก่อน”

   “พี่เฌอนี่....” เขาถอนนิ้วออกก่อนจะแกะถุงยางในกล่องมาสวมเข้าที่ส่วนแข็งขืนของตัวเอง มองจากมุมผมแม่งโคตรน่ากลัวเลย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วเนี่ยะ

   เฌอจะโดนเชือดแล้วครับ

   สิบสามสอดแขนเข้ามาใต้ขาพับผมก่อนที่เขาจะโน้มตัวลงมาจูบ จูบหวานๆ สัมผัสเบาๆ ที่ทำให้เรารู้สึกตายใจ ปลายท่อนร้อนลูบวนอยู่ที่ปากทางก่อนจะสอดเข้ามาด้านในช้าๆ อย่างใจเย็น อื้อออ...อ....ผมจิกไหล่เพื่อระบายความเจ็บ ช่วงล่างรู้สึกเกร็งจนสิบสามก็ต้องลูบแถวสะโพกเพื่อให้ผมผ่อนคลาย เขารู้ว่าควรทำยังไงเพื่อให้ผมรู้สึกดีและผมชอบที่เขาทำแบบนั้น มันเจ็บจริงๆ แต่ผมไม่ได้รู้สึกแย่ ไม่ได้เจ็บเกินกว่าที่ผมจะทนได้

   เฌอทนมาได้ตั้งกี่เรื่อง....แค่โดนเด็กกินมันจะเท่าไหร่กันวะ

   “แน่น” สิบสามเอ่ยก่อนจะยกขาผมขึ้นเกี่ยวเอวเขา “แน่นจนผมเจ็บ”

   “ผมเจ็บกว่าคุณอีก”

   เจ้าตัวยกยิ้ม “เจ็บขนาดไหนหืม....”

   “ก็ไม่ใช่แค่จึ๋งนึงละกัน....อ๊ะ....สิบสาม” ผมจิกไหล่ขาวระบายความเจ็บเมื่อเขาเริ่มขยับเข้าออก ซี๊ดดด..ด...

   “หลังจากนี้จะไม่เจ็บแล้วครับ”

   “ไม่เจ็บจริงอะ”

   “จริงครับ” สิบสามกระซิบข้างหูแล้วกดจูบเบาๆ “เพราะจะจุกแทน”

   นังน้อนนนน

   คำพูดคำจานี้ใครสอนมาเนี่ย

   ร่างสูงขยับเข้าออกช้าๆ ก่อนจะเริ่มเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น สายตาที่เขามองมาทำผมโคตรมีอารมณ์เลย เข้าใจคำว่าเจ็บที่สุขสมแล้วครับว่ามันเป็นยังไง เซ็กซ์มันไม่ใช่แค่เจ็บแต่มันมีความสุข คงเป็นเพราะผมได้ทำมันกับคนที่ตัวเองรักล่ะมั้ง ผมผงกหัวขึ้นไปจูบสิบสาม ขาเกี่ยวเอวสอบไว้พลางรับความรุนแรงที่เขาส่งมาให้ ทุกการขยับมันเข้าตรงที่จุดนั้นซึ่งทำให้ผมรู้สึกวูบวาบไปหมด

   อื้ออออ....มันดีจริงๆ

   “อ๊ะ....สิบสาม” ผมข่วนหลังเขาเป็นทางยาวเพื่อระบายความเสียว อื้ออออ....อ....ตรงนั้น...อ๊ะ

   “อื้มมม....แน่นกว่าตอนแรกอีกนะครับ”

   “เสียว....อ๊ะ....แรงหน่อย” ผมขยับส่วนอ่อนไหวของตัวเองไปด้วย ห้องสิบสามนี่เก็บเสียงใช่ไหม ผมกั้นมันเอาไว้ไม่อยู่แล้วนะ รู้สึกดีเกินไปอะ

   “อา....”

   ผมสั่นไปตามแรงกระแทกที่ร่างสูงขยับ สิบสามดันมือผมไปไว้ที่เหนือหัวก่อนจะสอดนิ้วเข้ามาประสาน อ๊ะ....ดูเขาสิ ทั้งๆ ที่รุนแรงขนาดนี้ยังจะทำอะไรที่อ่อนหวานแบบนั้นอีก ใบหน้าคมที่เปื้อนเหงื่อกับอารมณ์คุกรุ่นมันได้ใจผมจริงๆ จะว่าไปตอนนี้ก็ได้ไปทั้งตัวแล้ว ผมเร่งขยับมือที่กุมส่วนนั้นเอาไว้ขึ้นอีกเมื่อใกล้ถึง คนบนร่างก็เร่งขยับและใส่แรงเข้ามาเหมือนกัน

   อึก....จุกที่บอกมันเป็นแบบนี้เองสินะ

   “อ๊ะ....อื้อออ....จะเสร็จ”

   “เหมือนกันครับ”

   “อ๊า....อื้อออ.อ.....สิบสาม”

   “ซี๊ดดดด....พี่เฌอ”

   “อื้อออ....อาาาาาาา”

   “อื้มมมม....”

   น้ำรักสีขุ่นเลอะอยู่เต็มฝ่ามือและหน้าท้อง ร่างสูงขยับสองสามครั้งก่อนจะถอนกายออกไปแล้วก้มลงมาจูบ อื้ออออ....ผมหายใจแทบไม่ทันเลยอะ โอเค ไหนรีวิวเซ็กซ์ครั้งแรกหน่อย ดีครับ ไม่ล่มกลางทาง รู้สึกดีมาก ถ้าถามถึงฟีลอื่นมี 2 อย่างคือ….เจ็บและจุก

   จุกจนแบบ....จุกอะ

   ร่างสูงเลื่อนมาจูบที่หน้าผากแล้วยิ้มหวานออกมา “เป็นไงครับ.....ผมทำได้ดีไหม”

   เหมือนเด็กตัวน้อยๆ ที่ต้องการคำชม

   “นี่ครั้งแรกของคุณจริงดิ”

   “ใช่ครับ”

   “เก่ง....หลังจากนี้จะยิ่งกว่านี้อีกเหรอ ผมจะตายไหมอะ”

   “ผมเป็นว่าที่คุณหมอนะครับ จะปล่อยให้แฟนตัวเองตายได้ยังไง” มือเรียวเขี่ยผมที่ปรกหน้าผมออก “พี่เป็นของผมแล้วนะครับพี่เฌอ”

   คุณก็เป็นของผมเหมือนกันนั่นแหละนังน้อน

   “ผมเป็นของคุณ” ผมจูบเกียร์ที่ข้อมือเขาเบาๆ “ตั้งแต่เกียร์ผมอยู่ที่คุณแล้ว”

   “เขินจังครับ”

   “เขินได้หน้านิ่งมากเลยนะคุณน่ะ.....เดี๋ยวจะโดน” ผมชี้นิ้วคาดโทษ พอเป็นแบบนั้นร่างสูงจึงพลิกให้ผมมาอยู่ด้านบนเขาแทนพร้อมกับผงกหัวขึ้นมาจูบทีนึง

   “ลงโทษผมเลยสิ” มือเรียวบีบเค้นหนักๆ ที่ช่วงสะโพก ดวงตาคมมองอย่างท้าทาย ร้ายกาจจริงๆ เลยนะเด็กคนนี้น่ะ ผมรู้ว่านี่คือกับดัก รู้ว่าถ้าหลงกลไปแล้วจะเป็นยังไงแต่ก็นะ

   รักเขาอะ....ยอมหลงทุกอย่างแหละ

   “คุณโดนแน่....สิบสาม”

   

***


   “อื้ออออ....”

   ปวดร้าวเหมือนโดนกระทืบ

   ผมพลิกตัวเพื่อหนีแสงแดดที่แยงตาเข้ามา รับรู้ได้ถึงแรงกอดและลมหายใจอุ่นที่รดซอกคอตัวเองอยู่ พอลืมตามองก็เห็นใครบางคนยังหลับอยู่ เมื่อคืนมันเป็นอะไรที่สุดๆ ไปเลยครับ โคตรจะปวดเอว และตอนนี้เสียงก็น่าจะแหบพอสมควร เฌอพยายามกั้นเสียงแล้วแต่ว่ามันก็มีหลุดบ้าง ผมจำได้ว่าตัวเองน่าจะสติหลุดไปช่วงประมาณเกือบตี 3 คือมันไม่ได้ทำต่อเนื่องปุบปับนะ ก็มีพักบ้างแต่ก็....ไม่เอาไม่พูดละ

   เขินนนน

   สำหรับผม....เซ็กซ์ครั้งแรกระหว่างเรามันโคตรดีเลยอะ มีความสุขชิบหาย ล้าไปทั้งตัวเลยด้วย อยากเห็นสภาพตัวเองเหมือนกันนะว่าจะย่อยยับขนาดไหน คือแฟนผมน่ะเป็นคนแรงเยอะในระดับนึง แล้วเขาก็รุนแรงมากเลยครับ แล้วตรงนั้นมันก็ 56 อะทุกคน เฌอไม่ตายคาเตียงก็ดีแล้วป้ะ ดีนะที่ผมเป็นพวกถึกอยู่แล้ว ทนมือทนตีนพอสมควรถึงยังมีชีวิตรอดอยู่ แต่ถ้าให้ลุกเดินตอนนี้คงไม่ไหว

   ขาอ่อนแน่ๆ

   “อื้มมมม....” เสียงจากคนข้างๆ ดังออกมาพร้อมกับมือเรียวที่ควานหาโทรศัพท์มากดดูเวลา “เกือบ 10 โมงแล้วเหรอเนี่ยะ....ตื่นแล้วเหรอครับ”

   “ตื่นแล้ว” โอ้โหเสียง....แหบเหมือนแตกหนุ่มสมัยอายุ 14 เดี๋ยววันนี้งดพูดนะ ใช้ภาษามือเอา

   “เสียงแหบจัง”

   “โดนรังแกก็แบบนี้แหละ”

   “ใครรังแกพี่เฌอน้า” เจ้าเด็กแสบคลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้ม ทำไมหืม....เมื่อคืนยังไม่สาแก่ใจรึไง

   “ผมเอ่ยชื่อได้เหรอ”

   “พี่จะลุกเลยไหม หรือจะนอนต่อ”

   “อยากเข้าห้องน้ำอะ อยากล้างหน้า”

   “ได้เลยครับ” สิบสามช้อนตัวผมขึ้นในแบบที่เขาชอบทำ เวลาปกติก็คงจะโวยวายนิดหน่อยแหละ แต่สภาพในตอนนี้คือเป็นเด็กดีเถอะเฌอ

   ร่างสูงปล่อยให้ผมนั่งบนเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าก่อนจะบีบยาสีฟันใส่แปรงแล้วส่งมาให้ เหมือนเมื่อคืนหลังจากที่เขาปู้ยี่ปู้ยำผมจนพอใจ สิบสามน่าจะเช็ดตัวให้ครับเพราะเนื้อตัวดูสะอาด คือยังไงก็ต้องอาบน้ำแหละแต่สักบ่ายละกัน ผมแปรงฟันพลางมองร่องรอยบนตัวนังน้อนที่ตัวเองทิ้งเอาไว้ บนบ่ามีแต่รอยเล็บ ส่วนหลังก็มีรอยข่วนเต็มไปหมด ที่ซอกคอเขามีรอยจูบติดอยู่นิดหน่อย

   ส่วนบนตัวผมนั้น....เห้อะ

   ไม่อยากจะพูด

   ผมจัดการล้างหน้าล้างตาก่อนจะเดินเปลี้ยๆ ออกจากห้องน้ำมานั่งที่เก้าอี้ ควรกินยาไหมวะ ปวดเหมือนเอวยอก ผมมองสิบสามที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัว เขากำลังตั้งหม้อแล้วหยิบของสดออกมาจากตู้เย็น ทำข้าวต้มกับทอดไข่เจียวแน่ๆ แหละ แต่ก็ดีนะ ผมไม่อยากออกไปไหนเลยวันนี้ คงไม่ค่อยสะดวก จะว่าไป....การที่ธรรมเนียมบ้านเขาให้ลูกชายเรียนทำข้าวต้มกับทอดไข่เจียวมันเพื่อแบบนี้ป้ะวะ

   ถ้าเป็นแบบนั้นนี่ร้ายน้า

   ผมหยิบโทรศัพท์มากดดูไลน์ที่เพื่อนฝูงส่งมาหา ถามแต่เรื่องบ้ากามไอ้พวกเวร เรื่องแบบนี้ใครจะไปตอบวะ รู้กันแค่สองคนก็พอแล้วไหม ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับสิบสามก็ถือว่าพัฒนาไปอีกขั้น ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น แต่ที่รู้แน่ๆ คือยังไงผู้ชายคนนี้ก็จะต้องอยู่ข้างผมไปเรื่อยๆ เฌอจะไม่ปล่อยให้เด็กคนนั้นไปเป็นของคนอื่นเด็ดขาด

   ยังไงก็ไม่ยอม

   ใช้เวลาสักพักสิบสามก็ยกชามข้าวต้มกับไข่เจียวมาวางไว้ตรงหน้าผม “เสร็จแล้วครับ พี่ปวดมากไหม ถ้าปวดมากผมจะเตรียมยาให้”

   “ก็ไม่เท่าไหร่หรอกคุณ” ผมตักข้าวต้มเข้าปาก อื้มมมม....อร่อยจัง หลังจากใช้แรงเยอะๆ แล้วได้กินของอร่อยนี่เป็นอะไรที่โคตรดีเลย

   “ผมมีอะไรจะให้พี่เฌอด้วยนะครับ” เจ้าตัวเดินไปหยิบกล่องอะไรบางอย่างมาให้ผม “สุขสันต์วันครบรอบนะครับ ถึงจะเพิ่งเดือนแรก แต่ขอให้มันเป็นจุดเริ่มต้นของเราทั้งสองคนนะ”

   “ขอบคุณนะสิบสาม” ผมเปิดกล่องดูก็พบกับสร้อยข้อมือที่มีจี้เป็นหน้าแบด แบดติดอยู่ เหมือนเขาจริงๆ เลย

   “ชอบไหมครับ”

   “ตลก เหมือนหน้าคุณไม่มีผิด”

   “พี่จะได้รู้สึกว่ามีผมอยู่ด้วยตลอดเวลาไง”

   น่ารักชิบหายเลยค้าบ

   “ไหนยื่นหน้ามานี่ซิ”

   “ทำไมครับ” สิบสามยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “มีอะไรหืม....”

   จุ๊บ....จุ๊บๆ ๆ ๆ ๆ

   “กินข้าวได้ ผมพอใจแล้ว”

   สิบสามยิ้มกว้างออกมา แก้มขาวขึ้นสีแดงระเรื่อ “พี่เฌออะ....”

   “ทำเขิน....ทีเมื่อคืนไม่เขินแบบนี้ แก้มก็ไม่แดงเท่า”

   “มันไม่เหมือนกันนี่ครับ แต่เมื่อคืนก็แดงนะครับ....แค่ไม่ใช่ที่แก้ม”

   ฉ่า

   “สิบสาม” ผมทำตาโตใส่เขา “พูดอะไรเนี่ยะ”

   “ผมหมายถึงเนื้อตัวผมเนี่ยะ ตอนนี้ก็แดงพี่เฌอดู” เขาจ้องผมอย่างจับผิด “พี่อะ....คิดอะไรลามกแน่ๆ เลย”

   “ไม่ต้องนังน้อน คุณรู้อยู่แก่ใจดีนั่นแหละ”

   “ผมเปล่าสักหน่อย”

   “หึ....”

   ฝากไว้ก่อนเถอะเจ้าเด็กแสบ

   ผมมองสร้อยมือที่ตัวเองสวมพลางนึกถึงคำที่เขาพูด คบกันมา 1 เดือน เหมือนกับเป็นจุดเริ่มต้น มีเรื่องราวเกิดขึ้นเยอะแยะเลยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์นี้คือสิ่งที่ผมต้องการมาตลอด ไม่เหนื่อย ไม่ฝืนตัวเอง ไม่ต้องคิดอะไรมาก หลังจากนี้ก็แค่ประคับประคองกันไปเรื่อยๆ แค่นั้นมันก็พอแล้ว

   “สิบสาม....”

   รักนะ

   “บอกรักทั้งทีก็ออกเสียงสิครับ” เขายกมือผมขึ้นไปจุ๊บ “....รักนะครับ”

   แพ้ว่ะ

   นังน้อนแม่ง....

   

   

   

   

   

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วนะคะ หืดหาดจัง หืดหาดตั้งแต่ตอนแต่งเลยนะคะ ใช้เวลานานมากสำหรับบทนี้ ชาลไม่เก่งเรื่องแต่ง Nc นะ ไม่่ถนัด แต่พยายามที่สุุดแล้ว ถ้าแปร่งๆ ต้องขออภัยด้วยนะคะ

   จะหายไปสักหลายวันหน่อย มีเรื่องต้องจัดการ มาอีกทีวันอาทิตย์ค่ะ ก็รออย่างใจเย็นเนอะ ถ้าไม่รู้จะอ่านอะไรก็อ่านวนไม่ก็อ่านเรื่องอื่นในโปรเจ็กต์ที่เขียนจบไปแล้วก็ได้นะคะ หรือนอกโปรเจ็กต์ที่จบไปแล้วก็ได้เหมือนกัน สำหรับสามเฌอจะเป็นยังไงต่อรอติดตามน้า

   สามารถติดต่อข่่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 17 : 5/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 05-02-2020 22:24:21
นังน้อนนนน
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 18 : 9/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 09-02-2020 20:42:52
บทที่ 18 รู้จัก



   “วันนี้พวกมึงจะมาที่ห้องกูกันกี่โมง”

   “ก็สักทุ่มนึงแหละ ทำไมอะ”

   “อ๋อ กูต้องไปซื้อของเข้าหอ ไม่รู้ว่าจะนานไหม เออกุญแจสำรองกูอยู่กับใครอะ”

   “อยู่กับกู ไม่เป็นไรเดี๋ยวถ้ามึงกลับช้าแล้วกูถึงก่อน เดี๋ยวโทรบอกละกัน”

   “เออได้” ผมรับคำทะเลก่อนจะเก็บของใส่กระเป๋าคาดอก “เดี๋ยวกูไปก่อนนะ เจอกันมึง”

   “แล้วเจอกัน” พอได้ยินแบบนั้นผมก็เดินออกมาจากห้องเรียน หมดแล้วสำหรับงานที่ต้องส่ง หลังจากนี้ก็เหลือแค่สอบไฟนอลอีก 3 วัน เสาร์อาทิตย์นี้ก็ต้องอ่านหนังสือ

   วังวนของนักศึกษาที่แท้ทรู

   ตอนนี้เกือบ 4 โมงเย็นแล้วครับ ผมเพิ่งเคลียร์งานส่งอาจารย์เสร็จ หลายวันมานี้ล้ามาก นอนน้อยเพราะต้องจัดการอะไรหลายๆ อย่าง แต่เดี๋ยววันหยุดผมจะนอนแม่งทั้งวันเลย ตื่นมาค่อยอ่านหนังสือ หรือว่าตอนนอนจะเอาหนังสือหนุนไว้ใต้หมอนด้วยดีวะ คือบางทีในหัวก็คิดนะว่าเราจะทำแบบนั้นทำไม แต่คิดไปคิดมามันก็ไม่ได้เสียหายหรอก ตื่นมาหนังสืออาจจะยับนิดหน่อยหรือไม่ก็ขาดสักหน้าสองหน้า

   งั้นเอาเป็นว่าอ่านดีดีก็แล้วกัน

   ผมมีนัดกับสิบสามที่ห้าง AA ซึ่งป่านนี้เขาคงรออยู่ที่นั่นแล้วล่ะ วันนี้นังน้อนเลิกเร็วกว่าผมครับตั้งแต่ตอนเที่ยง เขาบอกว่าเรียนเสร็จแล้วจะไปติวกับเพื่อนที่ห้องสมุดของคณะ สักบ่าย 3 จะมารอที่ห้างก่อน ผมไลน์ไปบอกเขาแล้วแหละว่ากำลังไป อาทิตย์ที่ผ่านมาเราสองคนได้อยู่ด้วยกันมากขึ้นนะตอนที่เลิกเรียน คงเพราะเขาไม่ต้องซ้อมคฑาแล้ว มันจะสอบไงก็เลยงดซ้อม แต่ถ้าผ่านช่วงไฟนอลไปก็คงซ้อมตามตารางเหมือนเดิม

   เหนื่อยแย่เลยเจ้าแฟน

   ช่วงปิดเทอมของมหา’ลัยผมมันสั้น จากเทอม 1 ไปเทอม 2 มันแค่เดือนนิดๆ เอง เหมือนโรงเรียนมัธยมฯ เลย แต่ช่วงเปลี่ยนปีการศึกษาจะปิดนานนะ แต่ด้วยความที่ผมอยู่ในฐานะของหนึ่งในคณะกรรมการนักศึกษา ช่วงปิดเทอมยังมีงานที่ต้องเข้ามาประชุมวางแผนเลยอะ แล้วรุ่นผมทำกันอยู่แค่ 5 คน มารุ่นพวกสยามถึงได้เพิ่มคน อย่างน้อยก็เยอะกว่ารุ่นเฌออะครับ แต่ช่างเถอะ หน้าที่ของรุ่นผมมันจบตั้งแต่รับน้องแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้น้องๆ ทำไป

   ไม่โชคดีมันก็โชกเลือดแหละ....มีอยู่แค่ 2 อย่าง

   ผมนั่งรถเมล์จากหน้ามหา’ลัยมาจนถึงห้าง AA ความจริงเมื่อเช้าก็ตั้งใจจะเอารถมานะ แต่ไม่รู้ว่ากุญแจรถอยู่ที่ไหน เมื่อวานจำได้วางไว้หลังตู้เย็น พอมาวันนี้คือหาไม่เจอ น้องมันก็ไม่น่าจะเดินไปไหนได้ป้ะวะ ผมก็งง ตอนเด็กๆ เคยคิดด้วยว่าบางทีการที่เราหลับไปเนี่ยะ สิ่งของในห้องอาจจะมีชีวิตแล้วก็แอบปาร์ตี้กัน ย้ายที่ไปตรงโน้นตรงนี้แล้วก็ไม่ยอมกลับมาอยู่ที่เดิม พอเป็นแบบนั้นเราที่ตื่นมาตอนเช้าก็จะหาของไม่เจอ

   เก่งจังเฌอเรื่องเพ้อเจ้ออะ

   “พี่เฌอ”

   ผมหันมาเสียงเรียกก็พบร่างสูงที่สวมชุดนักศึกษาเต็มยศ วันนี้เซ็ตผมเสยไปด้านหลังอย่างเนี้ยบ รู้สึกว่าจะไปถ่ายรูปอะไรสักอย่างให้คณะนี่แหละ ไม่สวมแมส ไม่ใส่แว่น หน้าใสเพียวๆ ทุกอย่างคือหล่อคมไปหมดยกเว้นที่ถือกระเป๋าลิตเติ้ลทวินสตาร์

   น่ารักมากค้าบ

   “รอนานไหม”

   “ไม่เท่าไหร่ครับ พี่กินอะไรมารึยัง”

   “ยัง.....ไปหาอะไรกินก่อนไหมแล้วค่อยไปซื้อของ”

   “ได้นะครับ ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย” สิบสามเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะหยิบกุญแจรถผมส่งมาให้ “พี่ลืมเอาไว้บนหลังตู้เย็นห้องผม”

   เห็นไหมว่าผมวางไว้หลังตู้เย็นจริงๆ.....แค่ไม่ใช่ห้องตัวเองเท่านั้นแหละ

   “ขอบคุณนะคุณ” ผมเก็บน้องกุญแจรถใส่กระเป๋าตัวเอง “เมื่อเช้าผมหาแทบตาย”

   “อยู่ที่ห้องผม พี่คงหาเจอหรอก”

   “เอาน่า ก็ยังดีที่อยู่ห้องคุณ” ผมยิ้มแป้นให้เขา “ไปกันเถอะ ผมหิวแล้ว” ว่าแล้วผมก็เดินนำสิบสามเพื่อหาร้านอาหาร กินอะไรดีวะ ชาบูก็ดีนะ อยากกินอะไรที่มันเยอะๆ อะ

   มือเรียวเลื่อนมาจับมือผมเอาไว้ “....ลากผมไปหน่อย”

   “ลากอะไรของคุณ” ผมหลุดหัวเราะพลางมองมือเขาที่ประสานเข้ามือตัวเอง “หลอกจับมือผมกลางห้างเลยเหรอนังน้อน ร้ายนักนะ”

   “ไม่ได้หลอกครับ ผมจับให้เห็นเลย”

   “คุณไม่กลัวว่าจะมีคนมองเราแปลกๆ เหรอ”

   “คนอื่นคือคนอื่นครับ....แต่พี่คือแฟนผม” สิบสามหันมองผมนิ่งๆ “ผมจับมือแฟนตัวเอง ไม่เห็นจะแปลกเลย ถ้าใครคิดว่าการที่ผมทำแบบนี้แล้วแปลกๆ มันน่าจะเป็นปัญหาของเขานะครับ”

   ตึกตัก

   ความไม่แคร์นี้มันดีจริงๆ

   ผมขยุ้มหัวนังน้อนไปทีนึงด้วยความมันเขี้ยว น่ารักเกินไปแล้วโว้ยยยย การที่เราจับมือกันในที่สาธารณะมันก็เป็นสิทธิ์ของเรานะ เป็นแฟนกัน จับมือกันไม่ใช่เรื่องแปลก นี่เบสิกมากเลยสำหรับผม ความจริงการโอบไหล่ก็ไม่ถือว่าแปลกเหมือนกัน ตราบใดที่การกระทำไม่เข้าข่ายอนาจารแล้วผิดกฎหมาย ก็ไม่นับว่าแปลกทั้งนั้นอะ มันเป็นเรื่องปกติที่ใครก็สามารถทำได้ การที่สิบสามบอกว่าใครก็ตามที่มองเราสองคนด้วยสายตาแปลกๆ มันก็เป็นปัญหาของเขาจริงๆ อะ

   ถ้าไม่ชอบใจก็รบกวนแพลนสายตาไปทางอื่นนะครับ

   ตั้งแต่เป็นแฟนกันมาก็เดือนกว่าแล้วใช่ไหมครับ คือคนรอบข้างเรารับรู้เรื่องนี้ ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีปัญหา บรรดาเพื่อนๆ ก็สนับสนุนผมมาตั้งแต่ตอนแรกแล้วสำหรับการเป็นแฟนกับสิบสาม คือหลายคนรู้เรื่องที่เราคบกัน ในเฟซบุ๊กก็ตั้งสถานะเอาไว้ แต่มันก็ยังมีคนที่เข้ามายุ่งวุ่นวายและก็วอแวอยู่นะ ส่วนมากจะเป็นผมมากกว่าที่มีคนทักเข้ามาขอคุยด้วย ต่อให้ผมมีแฟนก็ไม่เป็นไร เขาโอเคถ้าจะแอบคุยกัน

   น้องโอเคแต่พี่ไม่โอเคครับ

   แฟนพี่ก็คงไม่โอเคอย่างมาก

   คือมันก็มีเหตุการณ์แบบนี้ตลอดต่อให้จะกับแฟนคนไหนก็เถอะ ซึ่งผมจะปฏิเสธแล้วตัดคนแบบนั้นออกไปจากชีวิตทันที คนดีดีที่ไหนจะมาคุยกับแฟนคนอื่น ความสัมพันธ์ของคนรัก การนอกใจเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดแล้ว เวลาโดนนอกใจแม่งเจ็บจริงๆ นะ พอเราถามว่าทำไมมันเป็นแบบนี้ มันเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายก็จะหาเหตุผลแสนข้อมาอ้างว่าเพราะเราอย่างนั้น เพราะเราอย่างนี้ คือเหตุผลพวกนั้นเราไม่ควรมาได้ยินหลังจากที่เขานอกใจเราป้ะวะ

   เราควรรับรู้ตั้งแต่แรก....จะได้ปรับไงถ้ามันเป็นปัญหา

   นอกใจก็คือนอกใจ....เหตุผลอะไรก็ฟังไม่ขึ้น

   โมโหอะไรวะเนี่ยเฌอ

   “สิบสาม”

   “ว่าไงครับ”

   “ห้ามนอกใจผมนะ”

   เจ้าตัวหันมองผม “....ครับ”

   “หื้อออ...อ....พูดก่อนว่า น้องสิบสามจะไม่นอกใจครับ”

   “น้องสิบสามจะไม่นอกใจครับ”

   “จะรักพี่เฌอ”

   “....จะรักพี่เฌอ”

   ฉ่า

   ให้เขาพูดเองก็เขินเองว่ะ

   “ดีมากนังน้อน ” ผมยิ้มให้เขาอย่างชอบใจ “เป็นแฟนพี่ต้องทำตัวน่ารักนะครับ”

   “พี่ก็ด้วย ห้ามนอกใจผม แต่ความจริง.....ผมก็มั่นใจอยู่นะว่าจะไม่มีใครทำให้พี่เปลี่ยนใจไปจากผมได้ ใครจะรักพี่เฌอได้เท่าที่ผมรักอะ ไม่น่ามีป้ะครับ”

   “คุณนี่มัน.....” อย่าบอกรักทั้งๆ ที่หน้านิ่งแบบนั้นสิวะ ใครจะทำตัวถูกล่ะสิบสาม

   “ผมพูดจริงๆ นะครับ”

   “....เฌอ”

   ผมหันตามเสียงเรียกก็พบกับร่างสูงและลูกน้องคนสนิทที่ยืนอยู่ด้านข้าง “.....ป๊า”

   “สวัสดีครับ” สิบสามยกมือไหว้หลังจากที่ได้รับรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร คือสถานการณ์นี้คิดเอาไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้นแต่ไม่ใช่ปุบปับแบบนี้ไหมวะ

   “อื้ม....สวัสดีนะ เธอคงเป็นแฟนของเฌอใช่ไหม”

   “ครับ ผมชื่อสิบสาม เป็นแฟนพี่เฌอครับ” เจ้าตัวเอ่ยเสียงเรียบพลางยิ้มบางๆ อย่างเป็นมิตรที่สุดเท่าที่จะทำได้ เห็นนิ่งๆ อย่างนั้นแต่รู้ได้เลยว่าเขากำลังประหม่ามาก นังน้อนที่เป็นแบบนี้ก็ตลกเหมือนกันนะ

   “แล้วนี่กำลังจะไปไหนกันล่ะ”

   “กินข้าวน่ะครับ”

   “งั้นเอางี้ไหม เดี๋ยวป๊าเลี้ยงเอง ไปกินข้าวกัน”

   ผมพยักหน้ารับเบาๆ “เอาแบบนั้นก็ได้ครับ เฌออยากกินชาบู”

   “ได้ เออวัณลพ ไปเดินเล่นก่อนก็ได้นะ เสร็จแล้วเดี๋ยวฉันโทรหา”

   “ได้ครับคุณท่าน” คุณวัณลพรับคำก่อนจะเดินไปอีกทาง ส่วนป๊าก็เดินนำผมไปที่ร้านชาบูซึ่งอยู่ชั้น 4 ของห้าง

   กินข้าวด้วยกันครั้งล่าสุดก็โน่นแหละ เดือนก่อนอะที่สาดน้ำใส่หน้าไอ้ภัทร ผมไม่มีปัญหากับการกินข้าวกับป๊านะ ยิ่งถ้ากินนอกบ้านแล้วไม่มีคุณเกสรอยู่ด้วย ทุกอย่างมันก็ปกติไง ตอนนั้นก็เคยบอกกับภัคอยู่ว่าถ้าอยากกินข้าวด้วยก็ให้นัดไปกินข้างนอกเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะคารมกัน คือกับเมียป๊า เฌอน่าจะยังมีปัญหาอยู่ แต่ถ้ากับบรรดาพี่น้องด้วยกันคงไม่มีแล้วแหละ เมื่อวันก่อนไอ้น้องเวรมันซื้อสติ๊กเกอร์ในไลน์มาใหม่ มันก็มาลองเทสกับไลน์ผม

   เทสสติ๊กไลน์ตอนตี 3 อะ.....หึ

   อย่าให้พี่เจอหน้านะน้อนภัทร

   ผมกับสิบสามนั่งลงฝั่งตรงข้ามป๊า มือเรียวหยิบกระดาษไปจดยุกยิกๆ ผมก็จัดแจงสั่งโน่นนี่นั่นพลางถามป๊าว่าเอาอะไรบ้าง เขาบอกว่าเอาอะไรก็ได้ โอเคเลย เดี๋ยวจดไปว่าเหมาทั้งร้าน เก็บเงินที่เจ้าสัวกฤตคนที่รวยๆ อะ ฮ่าๆ ๆ ๆ พนักงานต้องเป็นงงแหละถ้าเขียนไปแบบนั้น

   “ขำอะไรครับ”

   ผมทำหน้ามุ่ยใส่นังน้อน “คนเราก็ต้องคิดอะไรในใจแล้วขำออกมาบ้างแหละ ทำไม คุณไม่เคยเป็นรึไง”

   “ไม่เคยครับ”

   “จืดจางมากเลยอะ คุณไม่มีจินตนาการอ๋อ”

   “ผมแค่ไม่ขำเท่านั้นแหละ” เขาบอกก่อนจะส่งกระดาษจดให้พนักงานแล้วรินน้ำให้ผมกับป๊า “นี่ครับ”

   “ขอบใจเธอนะ เออแล้วนี่....คบกันมานานเท่าไหร่แล้วล่ะ”

   “เดือนกว่าแล้วครับ” สิบสามตอบก่อนจะแย่งปากกาไปจากมือผม “แขนผมเลอะไปหมดแล้ว พี่นี่เหมือนเด็ก”

   “ผมกำลังวาดหน้าแบด แบดให้คุณนะ”

   “พี่จะวาดบนแขนผมไม่ได้นะครับ หมึกปากกาเป็นสารเคมีนะ ถ้าจะวาด วาดบนกระดาษนี่ครับ” เจ้าตัวหยิบกระดาษโพสอิทจากกระเป๋าส่งมาให้

   “คุณไม่เคยดู Your Name อะดิ”

   “นั่นมันอนิเมชั่นไงครับ พอเลย เลิกเถียงผมได้แล้ว คุณพ่อพี่ขำใหญ่แล้วนะครับ”

   ผมหันขวับไปมองทางป๊าทันที “ขำอะไรอะป๊า”

   “ขำเฌอไง เหมือนเด็กจริงๆ อย่างที่สิบสามเขาว่า อายุเยอะกว่าเขาจริงรึเปล่าเนี่ยะ”

   “จริงสิป๊า” ผมหยิบปากกาจากมือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะหรี่ตามองเขา “ระวังตอนหลับเถอะคุณน่ะ”

   “หึ....”

   ไม่ต้องมาหึเลย

   “สิบสาม” ป๊าเอ่ยเรียกนังน้อน

   “ครับ”

   “เธอเรียนอะไรเหรอ”

   “เรียนหมอครับ ตอนนี้ปี 2 แล้ว”

   ป๊าพยักหน้ารับรู้ “คบกันเฌอมาเดือนกว่าสินะ รู้จักเขามากแค่ไหนล่ะ”

   “พี่เฌอเป็นคนขี้ลืมครับ ลืมของเก่งเป็นที่หนึ่ง วางของสลับที่ไปหมด เขาไม่เคยจำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน แต่พอเป็นเรื่องอื่นๆ อย่างเช่น เรื่องที่ทำให้เขามีความสุขหรือเสียใจ เรื่องแฟนเก่าของเขาแต่ละคน ไม่เคยลืมเลยครับ จำได้แทบทุกอย่าง”

   “อื้ม....แล้วยังไงอีก”

   “พี่เฌอชอบสีเขียวครับ ชอบสูบบุหรี่และดื่มเหล้ามาก เวลาเมาชอบล้ม แล้วก็จำอะไรไม่ได้ ดีหน่อยที่ตั้งแต่คบกันเขาลดเรื่องพวกนี้ลง ผมค่อยหายเป็นห่วงหน่อย”

   “นอกจากขี้ลืมแล้วก็ขี้เหล้าสินะ”

   “ป๊า!!!! เฌอลูกป๊านะ”

   “ดีแล้วที่ลดได้บ้างน่ะ แล้วยังไงหืม....เธอเล่าต่อสิ”

   “พี่เฌอมองโลกในแง่ดีมากครับ เขาไม่ค่อยคิดอะไรที่เป็นด้านลบ เขาเป็นคนอัธยาศัยดี ให้เกียรติคนอื่น ใจดีกับสัตว์มาก อะไรก็ตามดูเป็นน้องสำหรับเขาไปหมด ชอบการเอาชนะเหมือนกันนะครับ บางอย่างยอมไม่ได้ ทำอะไรก็จะพยายามให้มันออกมาดีที่สุด ใจเย็นในสถานการณ์ที่ไม่น่าจะใจเย็น เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดี”

   “อื้ม....มีอีกไหม”

   “เขาไม่ชอบเลข 13 ครับ เขาบอกว่ามันเป็นอาถรรพ์ที่เขาเจอมาตั้งแต่เด็ก ทุกวันที่ 13 มักจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นกับเขา เวลาเขามีแฟน ความรักก็มักจะจบลงวันที่ 13 หรือวันที่ครบรอบการคบกัน 13 วัน ซึ่งถ้านับเรื่องของความรักจริงๆ ผมเป็นคนแรกที่ผ่านอาถรรพ์มาได้และผมคงเป็นคนสุดท้ายนั่นแหละครับ.....คุณพ่อยกพี่เฌอให้ผมนะครับ”

   ตึกตัก

   นังน้อนนนน

   “ยกให้แล้วจะยังไงต่อ”

   “ผมก็จะดูแลเขาให้ดีที่สุดและทำให้เขามีความสุขในทุกๆ วันครับ”

   “เธอนี่สุดยอดจริงๆ เลยนะสิบสาม” ป๊ายิ้มให้ชอบใจพลางมองผม “เขาคงเป็นเลข 13 ที่ดีที่สุดในชีวิตของเฌอแล้วล่ะ”

   “ก็คงแบบนั้นแหละป๊า”

   13 ไหนจะดีเท่านี้คงไม่มีแล้ว

   ผมยกมือขึ้นลูบหน้าร้อนๆ ของตัวเองอย่างประหม่า เขารู้จักผมเยอะกว่าที่ผมรู้จักตัวเองอีก คือบางอย่างตัวเราจะไม่รู้หรอก มันต้องคนอื่นมอง นี่ถ้าป๊าไม่ถามว่าสิบสามรู้จักผมมากแค่ไหน ผมคงไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองที่เขารู้จักเป็นยังไง โคตรรู้สึกดีเลยอะ ใครจะไปคิดว่าภายใต้บุคลิกนิ่งๆ ที่ไม่ค่อยสนใจอะไรแบบนั้นจะจดจำเรื่องราวของคนอื่นได้มากขนาดนี้ หรือเพราะว่าคนอื่นนั้นคือผมนะ....ก็อาจจะใช่แหละ

   ใจสั่นไปหมดตอนที่บอกให้ป๊ายกผมให้

   จริงจังแหละเรื่องจะเป็นลูกเขยน่ะ สถานการณ์เมื่อกี๊คือจำลองการสู่ขอครับ นังน้อนแม่ง....ทำอะไรไม่นึกถึงใจกันเลย เขินว่ะ ป๊าคงชอบใจเขาน่าดูจากคำพูดเหล่านั้น แล้วสิบสามอะ ไม่ใช่คนที่มีแต่คำพูดไง คือเวลาปกติก็ไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว ทุกอย่างจะออกทางการกระทำเสมอ จริงเลยที่บอกว่าจะดูแลผมและก็ทำให้มีความสุขทุกวัน แล้วอินเนอร์ตอนพูดนะ หน้าโคตรจริงจัง ไม่มียิ้มหลุดสักนิดเดียว

   สิบสามก็ยังเป็นสิบสาม

   ถึงแม้จะต่อหน้าพ่อแฟนก็เถอะ

   “งั้นป๊าก็ต้องฝากเฌอด้วย ตัวป๊าเองก็ไม่ได้ทำหน้าที่พ่อได้ดีสักเท่าไหร่ เรื่องนั้นถ้าอยากรู้ก็ถามเฌอเอานะ”

   “หื้อออ....ป๊าทำหน้าที่ของป๊าได้ดีเท่าที่ทำได้แล้ว ไม่ต้องคิดเยอะหรอก” ผมหยิบหมูไปใส่ถ้วยป๊า “ตอนนี้เฌอโตแล้ว บางอย่างเข้าใจถึงเหตุผล ไอ้ส่วนที่ไม่เข้าใจก็ต้องใช้เวลา มันเป็นเรื่องปกติ ป๊าตามใจเฌอมาตลอด คอยเป็นห่วง ส่งลูกน้องมาตามดู มีปัญหาก็พร้อมจะช่วย แค่นั้นก็มากพอแล้วป๊า”

   “เฌอไม่โกรธป๊าแล้วเหรอ”

   “ไม่เข้าใจมากกว่าแต่มันก็เรื่องสมัยก่อนอะ ชีวิตเฌอน่ะนะ ขอแค่ไม่มีปัญหากับคุณเกสร แล้วเขาไม่มาว่าแม่ก็พอแล้ว ถ้าเฌอโกรธป๊า เฌอไม่มากินข้าวกับป๊าหรอก”

   “ได้ยินแบบนี้ป๊าก็สบายใจ อื้ม....เดี๋ยวป๊าจะโอนเงินให้เฌอนะเรื่องที่ใช้หนี้พนันบอลให้เจ้าภัทร”

   “ป๊ารู้ด้วยอ๋อ” ผมเทน้องกุ้งใส่ในหม้อ “รู้ได้ไง”

   “รู้เพราะลูกน้องรายงาน ความจริงรู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าเจ้าภัทรไปเล่นพนันบอล เขาประชดแม่เขาน่ะ เรื่องเรียนนั่นแหละ แต่เจ้าตัวคงคิดไม่ถึงว่าผลที่ตามมามันรุนแรงยังไง”

   “สอนมันไปยัง ถ้ายังไม่สอนเดี๋ยวจะด่ามันให้”

   “ก็บอกไปแล้วแหละว่ามันไม่ดี มีอะไรก็มาคุยกับป๊าตรงๆ เรื่องอยากซิ่วไปเรียนออกแบบ ป๊าก็ไม่มีปัญหา ป๊าไม่เคยบังคับอะไรลูกๆ อยู่แล้ว อยากทำอะไร ถ้ามันไม่เดือดร้อนใครก็ให้ทำ ป๊าไม่อยากให้พวกเราเจอแบบที่ป๊าเคยเจอ ก็อยากให้ใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองต้องการ”

   “แล้วคุณเกสรอะป๊า เขาไม่ยอมจะทำไง”

   “ก็ช่างเขา เงินที่เจ้าภัทรใช้ทุกวันก็เป็นเงินป๊าอยู่แล้ว คุณเกสรไม่ได้มาให้เงินลูก ถ้าเขาไม่พอใจก็เป็นปัญหาของเขาแล้วล่ะ เชื่อเถอะ สักวันนึงเขาจะคิดได้เองว่าอะไรมันควรเป็นยังไง”

   “เป็นแบบนั้นก็ดีแล้วนะป๊า” ผมมองนังน้อนที่เอาหมี่หยกไปลวก “คุณลวกหมี่หยกอ๋อ”

   “ใช่ครับ พี่ไม่ลวกเหรอ”

   “ไม่ลวก สงสารน้องกระเทียมเจียว” ผมบอกก่อนจะคีบกุ้งใส่ปาก

   “ไม่แกะเปลือกกุ้งก่อนเหรอครับ”

   “คุณไม่รู้เหรอว่าเราจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการแกะกุ้งเลยถ้าเรากินมันทั้งเปลือก” แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียดด้วยนะเพื่อป้องกันการติดคอ

   “ทุกทีผมก็เห็นพี่ไม่กินเปลือกกุ้งนะ”

   “ก็ทุกทีคุณแกะให้” ผมบอกก่อนจะแย่งหมี่หยกที่เหลือครึ่งจานมากิน กินแบบลวกก็เหมือนมาม่าป้ะวะ เส้นพองๆ อืดน้ำ แถมน้องกระเทียมเจียวก็ละลายไปกับน้ำซุปอีก

   สงสารว่ะ

   ใครจะกินยังไงมันก็เป็นสิทธิ์ของเขาครับ ความชอบไม่เหมือนกันมันเป็นเรื่องปกติ เราสามคนใช้เวลากินชาบูด้วยกันพักใหญ่ก่อนจะแยกย้าย ป๊าบอกว่าต้องไปงานเลี้ยงตอนค่ำ อื้ม....แล้วก็กินชาบูไปเยอะมากๆ ด้วย ก็ช่างเขาเถอะ งานสังคม แค่ไปก็พอแล้วล่ะมั้ง ส่วนผมกับนังน้อนก็มาซื้อของเข้าหอที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นล่างสุด เหมือนวันนั้นเลยที่ผมมาซื้อของขวัญให้น้องเดียร์อะ

   พูดถึงน้องเดียร์....

   จากวันที่ปาดรถผมคว่ำก็ยังไม่จบไม่สิ้นครับ มันเป็นเหมือนสงครามผ่านแอคหลุมบนโซเชี่ยลอะ เขาคิดว่าผมไม่รู้มั้ง น่ารำคาญนะเอาจริงๆ ควรพอได้แล้วไหม เสียเวลากับตรงนี้มันมีความสุขเหรอวะ ไม่เข้าใจเลย เธอน่าจะยอมรับความจริงสักที

   คิดแล้วเพลียใจว่ะ.....พอๆ เลิกคิด

   “เป็นไงบ้างคุณ ป๊าผม”

   “ใจดีกว่าที่คิดเยอะเลยครับ” สิบสามเข็นรถมาที่โซนขนมก่อนจะหยิบคารามูโจ้มาใส่เต็มไปหมด “ตอนแรกผมนึกว่าคุณพ่อพี่จะดุมากกว่านี้”

   “แต่เขาหน้าดุอยู่นะ ผมรู้ว่าคุณประหม่าตอนที่เขาทักตอนแรก”

   “ประหม่าสิครับ ผมล่วงเกินพี่ไปแล้ว ยังไม่ได้ขอเขาเลย”

   ผมหยิกแขนเขาเบาๆ “พูดอะไรเนี่ยะ”

   “ก็จริงนี่ครับ แต่ตอนนี้สบายใจแล้วเพราะขอแล้ว”

   “เดี๋ยวจะโดน”

   เจ้าตัวเอียงหัวมาใกล้ “....อยากโดนจังเลยครับ”

   “หึ....นังน้อน” วอนซะแล้ว

   ผมหยิบขนมใส่รถเข็นก่อนจะลากไปที่โซนอื่นต่อ วันนี้มีติวเพราะงั้นต้องเตรียมเสบียงไว้เยอะหน่อย แต่ละคนในแก๊งค์ปลาทองคือกินจุมาก แดกเยอะแบบถล่มทลาย เวลาพวกมันไปห้องผมนะ ของกินคือหมดเลยไอ้เวร แต่เอาเถอะ ไปห้องใคร ห้องคนนั้นก็ของกินหมดนั่นแหละ วันนี้ผมน่าจะติวยันสมองพังกันไปข้าง ซื้อเบียร์ไปสักลังดีกว่า อ่านหนังสือไปจิบเบียร์ไป โคตรสุนทรีย์เลยอะ

   กินเบียร์สักพักก็พากันหลับ

   หนังสือไม่ต้องอ่านมันละ

   “คืนนี้ผมไม่ได้ไปนอนด้วย ถ้าคิดถึงก็อดทนเอานะ” ผมยักคิ้วให้เขาอย่างกวนส้นตีน “ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็โทรมาหาได้ จะคุยด้วยสักจึ๋งนึง”

   “แค่จึ๋งเดียวเองเหรอครับ”

   “ใช่ ถ้าคุยมากกว่าจึ๋งนึงเดี๋ยวจะไม่ได้ติวซะก่อน”

   “ทำไมไม่ได้ติวล่ะครับ”

   “ก็จะขับรถไปหาคุณแทนไง” ผมมองคนที่ยืนอยู่ข้างกัน “กลับหอแล้วคุณจะทำไรอะ อ่านหนังสือเหรอ”

   “ก็คงแบบนั้นครับ พี่เฌอจะติวจนดึกเลยเหรอ”

   “ไม่แน่ใจเหมือนกันอะ ปกติมักจะเป็นแบบนั้น คือคุณเก็ทฟีลว่าเพื่อนๆ ผมมันก็มีแฟนไหม แต่ทุกคนก็แยกย้ายกันทำหน้าที่ของตัวเองอะ ช่วงสอบก็เป็นแบบนี้”

   “ผมเข้าใจครับ พี่ก็ตั้งใจติว อาทิตย์หน้าก็สอบแล้ว เดี๋ยวพอสอบเสร็จ เวลาว่างก็ค่อยอยู่ด้วยกันก็ได้”

   “ผมกลัวเด็กแถวนี้จะงอแงน่ะสิ”

   “ผมเนี่ยนะจะงอแง” มือเรียวหยิบแกลอนนมมาใส่รถเข็น “ให้พูดอีกทีครับ”

   “เออ ผมเองก็ได้ที่จะงอแงอะ แค่คิดว่าตัวเองจะต้องคิดถึงคุณผมก็แบบ....” ผมผ่อนลมหายใจ “ทำไมผมติดคุณจังวะ” แบบนี้ที่เพื่อนๆ แซวว่าผมติดผัวก็จะเป็นความจริงอะดิ

   ไม่อยากยอมรับแต่แม่งจริง

   ตั้งแต่วันนั้นที่มีอะไรกันอะ ผมติดสิบสามมากขึ้นจริงๆ นะ อยากอยู่ด้วยตลอดเวลาเลยแต่ด้วยหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องรับผิดชอบมันก็เลยทำแบบนั้นไม่ได้ไง ผมไม่รู้ว่าทำไมมันเป็นแบบนี้ คือเวลาไม่ได้อยู่ด้วยกัน ในหัวก็คิดว่าเออ ทำงานตรงนี้ให้เสร็จ ตั้งใจทำนะ ถ้าเรียบร้อยหมดทุกอย่างก็จะได้ไปหานังน้อนแบบสบายใจ เอออีกอย่างคือความขี้หวงของผมก็เพิ่มขึ้น บางทีก็หงุดหงิดตัวเอง เฌอไม่เคยเป็นแบบนี้เลยอะ

   เพราะมีผัวแน่ๆ ดูออก

   “ติดผมน่ะไม่แปลกครับ” มือเรียวเขี่ยผมที่ปรกหน้าออกให้ “แต่ถ้าติดคนอื่นละก็น่าดู”

   “ผมมีแค่คุณนะ” ผมยิ้มหวานให้เขา พอสิบสามเห็นแบบนั้นเขาก็ยิ้มออกมาเหมือนกัน ข้างแก้มขึ้นสีระเรื่อ เขินแน่ๆ ล่ะอาการแบบนี้

   “น่ารักจังครับ ใจไม่ไหวอะ อยากกอด อยากหอมให้หัวโยก” นังน้อนเอ่ยเสียงอ่อนพลางก้มเอาจมูกถูไหล่ผม อ้อนเก่ง เก่งกว่าใครทั้งโลกเลยค้าบ

   “ขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “ขนาดนั้นเลยครับ ไปกันเถอะ จ่ายเงินแล้วผมจะได้ไปส่งพี่ที่ห้อง พี่เฌอจะเอาอะไรอีกไหมครับ”

   “ไม่แล้วล่ะ ไปจ่ายเงินกัน”

   ร่างสูงเข็นรถเดินนำมาที่แคชเชียร์เพื่อจ่ายเงิน หลังจากจัดการอะไรต่างๆ เสร็จ สิบสามก็เข็นรถออกมาที่ชั้นจอดรถ เราช่วยกันเอาของยัดไว้ที่เบาะหลังก่อนที่ผมจะขึ้นมานั่งประจำแหน่งตัวเองพร้อมกับคาดเบลท์เรียบร้อย นังน้อนที่นั่งอยู่ข้างๆ มองผมอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมออกรถสักที

   อะไรของเขาวะ

   “ไม่ออกรถอะคุณ”

   นิ้วเรียวจิ้มที่แก้มตัวเองเหมือนเป็นสัญญาณ “....เร็วครับ”

   “เห้อะ....คุณนี่มัน” ผมยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาดังฟอด “พอใจยัง”

   “ยังครับ”

   “สิบสาม”

   “จุ๊บก่อน”

   จุ๊บ

   “อะ....คุณต้องการอะไรอีก”

   “ไม่ต้องการอะไรแล้วครับ ผมมีพี่เฌอก็เกินพอแล้ว”

   ตึกตัก

   เห้อะ....เจ้าเด็กนี่

   “ฝากไว้ก่อนเถอะ....นังน้อน”

   อย่าให้ถึงคราวเฌอนะ

   

   

   

   

   

   TBC

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้ว ก็เจอครอบครัวครบทั้ง 2 ฝ่ายแล้วนะคะ ชอบบทสนทนาตอนกินชาบูมาก นังน้อนเขาใส่ใจรายละเอียดทุกอย่างของคนพี่มากนะ ก็กำหนดบทจบแล้วค่ะ จะจบลงบทที่ 23 นะคะ ก็เหลืออีก 5 บท น่าจะแสนเวิร์ดนิดๆ ไม่รวมตอนพิเศษ ถ้าจบแล้วชาลจะแก้คำผิด รีไรท์ให้นะคะ เรื่องจะเป็นยังไงต่อรอติดตามน้า

   สามารถติดต่อข่าวสาร + ข่าวสารได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 18 : 9/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-02-2020 21:21:08
คุณป๋าน่ารัก  :hao7:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 18 : 9/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 09-02-2020 21:33:08
หลงกันเอง หาทางออกไม่เจอแล้วววว

ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 19 : 11/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 11-02-2020 21:06:08
บทที่ 19 ไฟนอล




   [บันทึกพิเศษ : สิบสาม]

   

   “วันนี้คุณสอบเสร็จกี่โมงอะ”

   “เที่ยงครับ แล้วพี่เฌอล่ะ”

   “บ่าย 3 โน่น เสร็จแล้วไปไหนต่อไหม”

   “ยังไม่ได้คิดว่าจะไปไหนต่อนะครับ แล้วพี่เฌอจะทำอะไรต่อ”

   “ก็อาจจะไปฉลองที่สอบเสร็จ คุณไปด้วยกันไหมล่ะ”

   ผมส่ายหัวเบาๆ “ไม่ล่ะครับ พี่ไปสนุกกับเพื่อนๆ เถอะ ไว้ขากลับเดี๋ยวผมค่อยไปรับ ดีไหม”

   “ก็ได้ ผมตามใจคุณ” รอยยิ้มหวานผุดขึ้นบนใบหน้าก่อนที่เขาจะแย่งตับในถ้วยโจ๊กผมไป ความสดใสในวันสอบนี้มันเป็นกำลังใจที่ดีมากเลยจริงๆ

   ตอนนี้เกือบ 8 โมงแล้วครับ เรานั่งกินโจ๊กด้วยกันอยู่ที่ร้านประจำ วันนี้พี่เฌอดูต่างจากทุกวันอาจเพราะชุดนักศึกษาที่เขาต้องใส่เพื่อเข้าสอบ ทุกทีเจ้าตัวมักจะสวมเพียงเสื้อยืด กางเกงยีนส์ขาดๆ พร้อมสวมเสื้อช็อป รองเท้าผ้าใบอีกหนึ่งคู่ ถ้าวันไหนรีบหน่อยก็รองเท้าช้างดาวที่ผมซื้อให้ คณะเขาให้แต่งตัวได้อิสระเหมือนกันนะ หรือว่าอาจจะไม่ให้แต่งแบบนั้นหรอกแต่เขาดื้อจะแต่งเอง

   อื้ม....มีความเป็นไปได้สูง

   เมื่ออาทิตย์ก่อนผมมีโอกาสได้เจอคุณพ่อพี่เฌอด้วย เขาใจดีกว่าที่ผมคิด พอเป็นแบบนั้นผมก็เลยทำการเอ่ยขอลูกชายจากเขา สีหน้าของพี่เฌอตอนที่ผมบอกว่าตัวเองรู้จักเขามากแค่ไหนคือตลกมากเลยครับ ในใจคงรู้สึกดีด้วยแหละที่ผมพูดออกไปแบบนั้น มันไม่น่าใช่เรื่องแปลกถ้าผมจะจดจำอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับคนที่ผมรักได้ เวลาผมชอบหรือสนใจอะไร ผมมักจะทุ่มเทให้กับมันเสมอ

   ความจริงผมยังต้องเรียนรู้ความเป็นเขาอีกเยอะเลยครับ

   เดี๋ยวเขาจะไปฝึกงานแล้ว ส่วนผมก็เรียนแล้วทำหน้าที่ในงานกิจกรรมต่างๆ มันเป็นช่วงเวลาที่เราต้องห่างกัน ผมคงคิดถึงเขามาก มหา’ลัยที่ไม่เขามันคงเงียบเหงา ไม่รู้สิ เมื่อก่อนผมไม่ค่อยสนใจใคร อยู่คนเดียวมาตลอด แต่พอมีพี่เฌอแล้วมันก็ดีขึ้นนะครับ อย่างน้อยเวลาที่ผมว่าง ผมก็รู้ว่าตัวเองควรไปไหน ในวันที่มีเรื่องหงุดหงิดใจ แค่ได้เห็นเขายิ้ม ผมก็รู้สึกดีขึ้น ไม่รู้เลยว่าช่วงเทอม 2 ที่เขาไม่อยู่ ผมจะหม่นหมองมากแค่ไหน

   ต้องงอแงแล้วขับรถไปหาเขาบ่อยๆ แน่

   “ทำไมทำหน้าแบบนั้นหืม....” นิ้วเรียวจิ้มที่กลางระหว่างคิ้วผม “เหมือนไม่สบายใจ”

   “มองออกเหรอครับ”

   “มองออกสิ ผมเป็นแฟนคุณนะ ต่อให้คุณจะหน้านิ่งเหมือนแบด แบดตลอดเวลา แต่ผมรู้อยู่หรอกว่าคุณรู้สึกยังไง”

   ผมเท้าคางมองเขา “เก่งจังเลยนะครับ”

   “ชอบป้ะคนเก่ง”

   “ชอบครับ พี่เก่งเรื่องอะไรบ้างล่ะ”

   “เรื่องที่เกี่ยวกับคุณ....ผมก็เก่งอยู่นะ” เขาแย่งโจ๊กทั้งชามของผมไป ถ้าไม่พอกินพี่ไม่สั่งเพิ่มล่ะครับ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมสั่งใหม่เองดีกว่า เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำ

   “ป้าครับ ขอโจ๊กหมูเพิ่มอีก 1 ถ้วยครับ” ผมบอกป้าเจ้าของร้านก่อนจะหันมามองพี่เฌอ “เก่งเรื่องเกี่ยวกับผมงั้นเหรอ”

   “อื้ม....”

   “รวมถึงเรื่องบนเตียงที่ได้ทำกับผมไหมครับ”

   “แค่กกกก.....คุณพูดอะไรเนี่ย” คนที่สำลักโจ๊กโวยวายใส่ พอเห็นแบบนั้นผมจึงหยิบทิชชู่ส่งให้เขา มือเรียวรับไปพร้อมกับทำหน้าโหดใส่

   “พูดจริงนี่ครับ ก็พี่บอกว่าตัวเองเก่ง ผมก็เลย....” ยังไม่ทันที่จะได้พูดจบประโยค เขาก็เลื่อนมือมาปิดปากผมไว้ซะก่อน

   “ไม่ต้องพูดแล้ว กินโจ๊กไปเลยนะคุณ”

   ผมจับมือเขาออก “พี่แย่งโจ๊กผมไปกินอะ”

   “นี่ไง ชามใหม่มาแล้ว กินไปเลย” พี่เฌอส่งโจ๊กชามใหม่มาให้พร้อมกับทำหน้ามุ่ยใส่ น่าฟัดชะมัด ทำไมชอบทำหน้าแบบนั้นตอนที่อยู่ข้างนอกก็ไม่รู้ ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองน่ะสิ

   เขานี่มันจริงๆ เลย

   ผมตักโจ๊กเข้าปากพลางมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทำยังไงให้คนเลิกยุ่งกับเขาดีนะ เลิกยุ่งแบบไม่ต้องทักมาในไลน์หรือข้อความของช่องทางต่างๆ ผมหึง ไม่ชอบใจเลยครับ คือรู้ว่าพี่เฌอไม่มีทางคุยกับคนพวกนั้นแต่ถึงยังไงผมก็ไม่ชอบอยู่ดี ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง ก็ได้แต่อดทน ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้คบกันก็พอรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นที่นิยมมากแค่ไหน คนชอบเขาเยอะมากกว่าที่มีคนชอบผมด้วยซ้ำ อาจเพราะเขาอัธยาศัยดี เป็นมิตร มีเสน่ห์

   ใครเห็นก็ต้องชอบกันทั้งนั้นแหละ

   แต่ไม่ยกให้หรอกนะครับเพราะเขาเป็นของผมแล้ว

   พี่เฌอทำให้ผมเล่นโซเชี่ยลเยอะขึ้นมากๆ ในช่วงแรกเพื่อติดตามดูเขาและเพื่อบอกให้คนอื่นได้รับรู้ว่าคนๆ นี้สำหรับผมแล้วเขาพิเศษมากแค่ไหน ไอจีผมที่เคยลงแต่ของเกี่ยวกับลิตเติ้ลทวินสตาร์ก็มีรูปที่ถ่ายคู่กับพี่เฌอเต็มไปหมด บางทีเขาก็เอาไปถ่ายเอง เราสองคนสามารถเอาโทรศัพท์ของอีกฝ่ายมาเล่นได้ครับ ผมสามารถเข้าไปดูได้ทุกอย่างและรับรู้ว่ามีใครทักมาหาพี่เฌอบ้าง ช่วงที่คบกันใหม่ๆ มีคนทักมาด่าเขาด้วยนะซึ่งเจ้าตัวก็ปล่อยเบลอไม่สนใจแต่อย่างใด

   ก็เหมือนผมนั่นแหละ

   รักกัน....คบกัน เรื่องพวกนี้เป็นสิทธิ์ของใจเราทั้งนั้น ไม่ชอบก็เรื่องของคุณ ผมไม่แคร์หรอก ใครจะมองหรือคิดว่ามันแปลกก็คงต้องช่างเขา รู้สึกได้แต่ขออย่าระรานกัน อะไรที่มันเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น เราไม่ควรทำอยู่แล้วครับ

   “สิบสาม”

   “ครับ”

   “พรุ่งนี้ไปดูหนังกันนะ”

   “ตามใจพี่เฌอเลยครับ” ผมตักตับไปใส่ชามเขา “พาผมไปซื้อชุดนอนด้วยนะ”

   “ชุดนอนอะไร”

   “สีเขียวพาสเทล ลายใหม่ของลิตเติ้ลทวินสตาร์ ลงขายช็อปวันพรุ่งนี้พอดี”

   เขาเลิกคิ้วมองผม “ซื้อชุดนอนทั้งๆ ที่ตัวเองก็ใส่แต่บ๊อกเซอร์เนี่ยนะ”

   “ก็เอาไว้ให้พี่เฌอใส่”

   “ไม่ต้องโบ้ยมาให้ผมเลย คุณซื้อมา คุณต้องใส่สิ”

   “งั้นผมใส่กางเกงแล้วพี่ใส่เสื้อไหมครับ” แค่นึกภาพตามก็รู้สึกใจอยู่ไม่สุขเลย แต่อยากเห็นเหมือนกันนะ

   “ไม่ต้องเลยนะนังน้อน เดี๋ยวคุณคิดไม่ดีกับผม”

   “ผมเนี่ยนะที่จะคิดไม่ดีกับพี่”

   “คุณรู้ตัวเองดีนั่นแหละ” เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า “อิ่มยัง ไปกันเถอะ”

   “ครับ” ผมรับคำก่อนจะเดินไปจ่ายเงินแล้วตามร่างโปร่งออกจากร้าน

   มองคนที่เดินนำอยู่จากด้านหลังแล้วอยากพุ่งไปกอดจัง แต่ตอนนี้คงทำไม่ได้ ไว้อยู่กับเขาแค่สองคนในห้องน่าจะเหมาะกว่า สำหรับผม พี่เฌอไม่ใช่คนตัวเล็กนะ ยิ่งถ้าเทียบเขากับคนอื่นน่ะถือว่าตัวใหญ่เลยล่ะ เพื่อนๆ เขาก็ตัวประมาณนี้กันทั้งนั้น ผมชอบที่เขาตัวประมาณนี้นะครับ ทนไม้ทนมือดี ลองคิดดูว่าถ้าเขาตัวเล็กกว่านี้ แล้วผมตัวเท่านี่ มันคงแบบ.....

   ไม่พูดดีกว่า....รู้สึกหน้าร้อนอะ

   เราสองคนเดินมาหยุดที่ทางเดินระหว่างตึก พี่เฌอหันมาขยุ้มหัวผมเหมือนอย่างที่เขาชอบทำก่อนจะยิ้มหวานให้ “ตั้งใจสอบนะคุณ”

   “พี่ก็ด้วยนะครับ” ผมจับมือเขาที่ขยุ้มหัวตัวเองอยู่มากุมไว้ “ถ้าสอบเสร็จ ไลน์หาผมด้วยนะ”

   “โอเค งั้นเดี๋ยวผมไปก่อน”

   “ครับ แล้วเจอกัน”

   “อื้มมมม” เจ้าตัวรับคำก่อนจะเดินไปทางตึกคณะตัวเอง

   ผมยืนมองเขาจนลับตาก่อนจะเดินเข้ามาในตึกแพทย์ฯ ห้องสอบของผมอยู่ชั้น 3 ริมสุดที่ด้านข้างเป็นสวนพฤกษ์ กับการสอบไฟนอลครั้งนี้ผมค่อนข้างมั่นใจอยู่นะอาจเพราะเตรียมดีด้วยแหละ วิชาที่ว่าโหดๆ ก็สอบไปตั้งแต่วันแรกแล้วครับ ส่วนวันสุดท้ายนี้ก็ถือว่าไม่เท่าไหร่ ผมตั้งใจจะเรียนสายนี้ตั้งแต่แรกแต่ก็ยอมรับนะว่าวันที่รู้สึกเหนื่อยมากๆ ก็มีเหมือนกัน เมื่อก่อนตอนอยู่คนเดียว คนในครอบครัวก็จะแชร์ความรู้สึกต่างๆ ออกไป

   แต่ตอนนี้ผมมีคนที่ช่วยแชร์เรื่องราวเพิ่มมาแล้วล่ะ

   เป็นคนที่สำคัญต่อผมมากๆ ด้วย

   ปั๊กกกก

   “ขอโทษนะสิบสาม เดียร์ไม่ระวังเอง” เสียงหวานเอ่ยก่อนจะก้มลงไปหยิบชีทที่กระจายอยู่บนพื้น

   ผมก้มลงช่วยเธอเก็บก่อนจะส่งให้ “ไม่เป็นไรครับ”

   “นั่นมัน....”

   “หืม....”

   “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” เดียร์บอกปัดพลางมองผมด้วยสายตาแปลกๆ “เดียร์ถามอะไรหน่อยสิ”

   “....อะไรครับ”

   “กับ....กับพี่เฌอเป็นยังไงบ้างเหรอ”

   “รักกันดีครับ” ผมผ่อนลมหายใจออกมา “ไหนๆ คุณก็พูดเรื่องพี่เฌอแล้ว ผมก็ขอพูดหน่อยแล้วกันนะ”

   “อะไรเหรอ”

   “เลิกตามตอแยพี่เฌอได้แล้ว ผมรู้นะว่าคุณทำอะไรเขาบ้าง ผมรู้ว่าคุณรู้สึกยังไง แต่คุณก็ควรรู้เหมือนกันว่าผมรู้สึกยังไง ผมไม่ชอบใครก็ตามที่มาคอยระรานแฟนผม เหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 ผมโกรธที่คุณกับเพื่อนทำแบบนั้น”

   “....สิบสาม”

   “คุณเรียนหมอนะครับ....อย่าลืม”

   “นักศึกษาเข้าห้องสอบได้ค่ะ” หลังจากได้ยินเสียงอาจารย์แจ้ง ผมก็เดินเข้าห้องสอบทันที

   ผมปล่อยเรื่องนี้มานานพอสมควร ไม่เคยเอาเรื่องเธอสักทีแต่คิดว่ามันถึงเวลาที่ต้องพูดให้ชัดเจนแล้วล่ะ หวังว่าเดียร์จะเข้าใจในคำพูดของผม ถ้าเธอยอมรับความจริงตั้งแต่ตอนที่ประกวดดาวเดือนปีก่อน เธออาจจะมีความรักดีดีกับคนที่เหมาะสมกับเธอไปแล้วก็ได้ วิ่งตามความรักจากคนที่ไม่สนใจ ผมว่ามันออกจะเหนื่อยและเสียเวลา เข้าใจนะครับว่าเพราะรู้สึกชอบมากๆ แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องยอมรับความจริงอยู่ดี

   พอละ....เลิกคิดดีกว่า

   ผมต้องตั้งใจกับเรื่องสอบมากกว่าคิดถึงเรื่องอื่นๆ เพราะถ้าคะแนนออกมาดี ผมจะได้เอาไปต่อรองขอรางวัลจากพี่เฌอได้ แค่คิดแบบนี้ก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาเป็นร้อยเท่าแล้วครับ เพราะงั้นผมจะต้องตั้งใจให้มากที่สุด

   พยายามเข้านะสิบสาม

   
***

   
---------- 50% ---------
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 19 : 11/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 11-02-2020 21:06:35
---------- ต่อจากบท 19 ----------



   “เชิญออกจากห้องสอบได้ค่ะ” หลังเสียงแจ้งของอาจารย์ บรรดานักศึกษาที่กำลังทำข้อสอบก็หยุดมือลงรวมถึงผมด้วย ความจริงทำเสร็จแล้วล่ะครับ แต่นั่งไล่ดูคำตอบอยู่ ก็ไม่น่ามีอะไรผิดพลาดไปจากนี้นะ

   ค่อนข้างมั่นใจ

   ผมเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะเดินออกมาจากห้องสอบ ตอนนี้เที่ยงตรงเลยครับ ผมอาจจะไปหาข้าวกินก่อนแล้วไปห้องสมุดหาหนังสืออ่านฆ่าเวลาระหว่างรอพี่เฌอสอบ ความจริงฝั่งเขาก็คงเบรกเหมือนกันแต่ว่าให้อยู่กับเพื่อนๆ เขานั่นแหละ เผื่อจะทบทวนก่อนเข้าสอบกันด้วย เขาจะได้มีสมาธิ อีกอย่างมันก็แค่ 3 ชั่วโมง เดี๋ยวเราก็เจอกันแล้ว โล่งเหมือนกันนะที่สอบเสร็จ ทีนี้ก็มีแค่งานกิจกรรมที่ต้องรับผิดชอบ

   “สิบสาม”

   ผมหันกลับไปมองก็พบกับร่างบางที่ยืนคุยกันก่อนเข้าห้องสอบ “มีอะไรครับ”

   “เดียร์มีเรื่องต้องคุยกับสิบสาม” เธอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดี “เรื่องของเรา”

   ใช้คำว่าเรื่องของเรา....จะใช่งั้นเหรอ

   ผมกับเธอไม่มีคำว่าเราสักหน่อย

   “คุณมีอะไร พูดมาเลยครับ”

   “สิบสามก็รู้ว่าเดียร์รู้สึกยังไงอะ ทำไมล่ะ เป็นเดียร์ไม่ได้จริงๆ เหรอ เดียร์ไม่ดีตรงไหน พี่เฌอเขาดีกว่าเดียร์ตรงไหน”

   ผมข่มอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองอย่างใจเย็น “คือคุณก็ดีในส่วนของคุณ พี่เฌอก็ดีในส่วนของเขา มันไม่เกี่ยวเลยครับว่าใครจะดีมากกว่า ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้น สำหรับผมแล้วความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่เฌอมันมากกว่าและมันก็ชัดเจนมาก ผมชอบเขา ผมถึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขาเป็นของผม”

   “ทั้งๆ ที่พี่เฌอเป็นผู้ชายน่ะนะ”

   “ใช่ครับ คุณอาจจะคิดว่าผมเป็นไบเซ็กชวลแต่มันไม่ใช่ ผมไม่ได้รู้สึกชอบผู้หญิงมาตั้งแต่แรก บ่อยครั้งที่ผมไม่เข้าใจคุณ เหมือนคุณเองก็รับรู้เรื่องนี้ แต่คุณไม่สนใจคนอื่นเลย คุณสนใจแต่ความรู้สึกตัวเอง”

   “ก็เพราะว่าเดียร์รักสิบสามไง” เธอเอ่ยเสียงดังจนเพื่อนๆ หันมามอง “เพราะว่าเดียร์รัก เดียร์ถึงทำทุกอย่าง”

   “ทำทุกอย่างทั้งๆ ที่คุณก็รู้ว่ามันไม่ถูกต้อง....ความรักของคุณมันแปลกมากเลยเดียร์ คุณทำร้ายความรู้สึกคนอื่น มีเหตุถึงขั้นทำให้บาดเจ็บ เนี่ยเหรอความรัก” ผมเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างเหลืออด “ถ้าคุณให้ค่าความรักของตัวเองเป็นแบบนั้น....ผมก็ไม่ต้องการ”

   “ฮึกกกก....ทำไมสิบสามพูดแบบนี้กับเดียร์ล่ะ....ฮืออออ” เธอร้องไห้ไม่หยุด เสียงสะอื้นนั้นทำให้ผมรู้สึกผิดเหมือนกัน แต่สิ่งที่พูดทั้งหมดมันก็ความจริงทั้งนั้น สุดท้ายแล้วสิ่งที่เดียร์ทำ มันก็จะย้อนกลับมาส่งผลแบบนี้นั่นแหละ

   “เลิกยุ่งกับผมได้แล้ว ผมมีแฟนแล้ว และก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณมาตั้งแต่แรก”

   “ฮือออ.....”

   “สิ่งที่ผมปฏิบัติต่อคุณมันไม่ได้ต่างจากคนอื่น เพราะงั้นตัดใจจากผมสักที”

   “ฮึกกกก....รักพี่เฌอมากเลยใช่ไหม” มือบางคว้าเข้าที่ข้อมือผมก่อนจะกระชากสร้อยข้อมือที่มีเกียร์ติดอยู่ออกไปอย่างแรงจนมันขาด

   “เดียร์!!!!”

   “เขาให้เกียร์นี้กับสิบสามใช่ไหม....มันคงสำคัญมากเลยสิ”

   “ผมขอเกียร์คืน” ผมเอ่ยอย่างหัวเสีย “คุณกำลังทำผมโกรธมากเลยนะ”

   “อยากได้คืนนักใช่ไหม” เดียร์โยนมันออกไปด้านนอกตึกซึ่งด้านล่างเป็นสวนพฤกษ์ ผมกำหมัดแน่นด้วยความโมโห ต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยสินะ

   “.....พอใจคุณแล้วนะครับ” ผมรีบวิ่งลงมาจากตึกทันที โกรธ โมโห เจ็บใจ ไม่เคยรู้สึกเลือดขึ้นหน้าขนาดนี้มาก่อนเลย ทำไมเธอเรื่องแบบนี้ได้โดยไม่คิดถึงคนอื่นวะ

   แย่ที่สุด

   ผมวิ่งเข้ามาในสวนพฤกษ์เพื่อหาสร้อยข้อมือที่เดียร์โยนลงมา ไม่รู้เลยว่ามันจะอยู่ส่วนไหน สวนค่อนข้างใหญ่แล้วเกียร์มันก็อันแค่นั้นน่ะ พี่เฌอบอกผมแท้ๆ ว่าให้ตัวเองรักษามันเอาไว้ให้ดีดี ไม่คิดเลยว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ถ้าผมเอะใจตั้งแต่ตอนก่อนเข้าห้องสอบที่เธอมองข้อมือผมก็น่าจะดี ความผิดผมเอง ผมน่าจะระวังตัวกว่านี้

   ไม่น่าเลย

   เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี๊ เพื่อนร่วมเซกเยอะเลยนะครับที่เห็นเพราะผมกับเดียร์มีปากเสียงกันดังพอสมควร เธอเป็นดาวคณะของรุ่น แต่ด้วยนิสัยต่างๆ มันก็เลยทำให้มีคนไม่ชอบเธออยู่เยอะเลยล่ะ แล้วยิ่งมาทำแบบนี้กับผมอีก มันไม่สมควรเลย

   แค่กกก....อื้ออออ....แสบตา

   ผมขยับออกห่างจากพุ่มดอกไม้ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อออกมาปิดจมูกตัวเอง เกสรดอกไม้พวกนี้กำลังเล่นงานผม คือรู้สึกแย่ก็ว่าเกินพอแล้วนะ ยังจะมามีอาการแพ้แบบนี้อีก เมื่อเช้าผมกินยาแล้ว แต่การมาสัมผัสกับเกสรดอกไม้พวกนี้โดยตรง ยังไงก็มีอาการแพ้ รู้สึกคันใต้ท้องแขนไปหมด ผื่นแดงเริ่มลามขึ้นเยอะเรื่อยๆ และอาการจามอย่างรุนแรงนี่ทำให้ผมหายใจลำบากจริงๆ

   เกียร์พี่เฌออยู่ตรงไหนนะ

   “ฮัดเช้ย....” ผมทรุดลงเมื่ออาการแพ้รุนแรงขึ้น

   “สิบสามมมมม” เสียงของปราชญ์ดังขึ้นจากด้านหลังก่อนจะเขาจะรั้งผมเอาไว้ “พอแล้ว คุณไม่ไหวหรอก”

   “แต่สร้อยข้อมือผม ฮัดเช้ย.....” ผมยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาตัวเองเพราะอาการเคือง “มันสำคัญ ผมต้อง...แค่กกก...”

   “คุณฟังเรานะสาม” เสียงของลินินดังเข้ามาพร้อมกับแรงลมจากพัดที่เธอโบกให้ “เรารู้ว่ามันสำคัญต่อคุณมากแต่คุณอย่าลืมว่าชีวิตคุณก็สำคัญ ถ้าเกิดภาวะแพ้รุนแรงขึ้นมาจะเป็นยังไง คุณอาจจะช็อก หมดสติ ขาดออกซิเจนคือคุณรู้อยู่แล้วว่ามันรุนแรงขนาดไหน ถ้าเป็นถึงขนาดนั้น ของสำคัญของคุณ คุณไม่มีโอกาสได้เห็นนะ”

   ใช่....มันจริงแบบที่ลินินพูด

   “ผม....ฟื้ดดดดด....ผมเข้าใจแล้ว”

   “โอเค งั้นเราออกไปจากตรงนี้กันนะ ผื่นคุณขึ้นทั้งตัวแล้วอะ เห้ยแพ็ค ช่วยประคองสิบสามออกหน่อย”

   “มาๆ ” แพ็คเข้ามาช่วยปราชญ์ประคองผมก่อนจะพาออกมาจากสวนพฤกษ์ เพื่อนๆ ในคณะกรรมการนักศึกษาหลายคนช่วยปฐมพยาบาลแก้อาการแพ้เบื้องต้นให้

   “ผมไม่คิดเลยว่าเดียร์จะทำแบบนี้กับคุณ” จอมบอกพลางพับแขนเสื้อผมขึ้นให้ “นี่มันร้ายแรงมากเลยนะสิบสาม”

   “ใช่ เราก็ไม่คิดเหมือนกัน อาการแพ้คุณหนักมากเลยอะสาม ไปหาหมอดีกว่านะ มันไม่น่าจะหายได้เองเลย”

   “ผมเห็นด้วยกับนินนะสิบสาม คุณไปหาหมอดีกว่า ส่วนเรื่องสร้อยข้อมือคุณ เดี๋ยวพวกเราจะช่วยหาให้ เจอไม่เจอไม่เจอค่อยว่ากันอีกที โอเคไหม”

   “.....ได้ครับ แค่กกก....ผมฝากด้วย” ผมมองพวกเขาก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ “ขอบคุณพวกคุณนะ”

   “ไม่เป็นไรเลยคุณ เรื่องเล็กน้อย งั้นเอางี้ปราชญ์ เดี๋ยวกูกับจอมพาสิบสามไปหาหมอ ส่วนมึงติดต่อบ้านสิบสามแล้วก็หาเกียร์”

   “ได้มึง ได้ความยังไงเดี๋ยวกูโทรบอก”

   “โอเค ป่ะกันสิบสาม” แพ็คบอกก่อนจะประคองผมมาที่รถยนต์เขาที่จอดอยู่หลังตึก จอมจัดแจงปรับเบาะเอนให้ผมเสร็จสรรพ

   รู้สึกขอบคุณพวกเขาจริงๆ ที่ช่วยผม ถ้าไม่มีปราชญ์มาห้ามหรือคำพูดของลินินมาเตือนสติ ผมคงหมดสภาพอยู่ในสวนพฤกษ์แน่ๆ ผมรู้ว่าตัวเองแพ้ แต่ยังไงก็อยากได้เกียร์พี่เฌอคืนอยู่ดี ผมดื้อและดันทุรังมากเลย สุดท้ายแล้วก็มีอาการแพ้หนักขนาดนี้ มันยิ่งกว่าครั้งก่อนที่แพ้เกสรดอกกุหลาบต่อหน้าพี่เฌออีก ถ้าเขารู้ เขาต้องดุผมแน่ๆ ที่บุ่มบ่ามทำอะไรแบบนี้

   ผมจะไม่ดื้ออีกแล้วครับพี่เฌอ

   หวังว่าพี่จะไม่โกรธผมนะ....

   

   [จบบันทึกพิเศษ : สิบสาม]

   

   สอบไฟนอลจบเหมือนชีวิตจะจบไปด้วย

   หัวจะปวดชิบหาย

   ผมยืนตั้งสติอยู่หน้าห้องสอบ พลางมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ บ่าย 3 แล้วครับ ผมต้องไลน์บอกนังน้อนสินะว่าสอบเสร็จแล้ว พอคิดได้แบบนั้นผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์หาสิบสาม สายตามองบรรดาเพื่อนๆ ที่โบกมือแยกย้ายไปคนละทาง เดี๋ยวเจอกันอีกทีตอนกลางคืนเลยไง ยังไงก็นัดกันเอาไว้แล้ว ผมมองหน้าจอน้องโทรศัพท์ที่มีเบอร์ของคนที่ผมไม่รู้จัก ใครอีกวะเนี่ย อย่าบอกนะว่าคนเดิมคนนั้น

   คราวนี้จะหาคำอะไรมาด่าผมอีกเนี่ยะ

   “ฮัลโหลครับ”

   (สวัสดีครับ เฌอใช่ไหม ผมเองนะ....เจ็ด)

   “อ๋อ พี่เจ็ด มีอะไรรึเปล่าครับ”

   (สิบสามเข้าโรงพยาบาลนะครับ เนื่องจากมีอาการแพ้เกสรดอกไม้รุนแรง)

   “ขะ....เขาเป็นอะไรมากไหมครับ เขา....”

   (เขาปลอดภัยดีแล้วครับ ได้รับยาและหลับไปสักพักแล้วล่ะ เพื่อนๆ เขาบอกว่าสาเหตุที่เขามีอาการแพ้เป็นเพราะว่ามีปากเสียงกับผู้หญิงที่ชื่อเดียร์ เธอกระชากสร้อยข้อมือของสิบสามแล้วปาเข้าไปในสวนพฤกษ์ สิบสามไปตามหาก็เลยมีอาการแพ้แบบที่เห็น)

   “.....สิบสาม” ผมยกมือขึ้นกุมอกตัวเอง “แล้วเขาหาเกียร์เจอไหมครับ”

   (ไม่เจอครับ เพื่อนๆ เข้าไปห้ามเขาก่อน แต่มีเพื่อนๆ ส่วนนึงที่ยังหาเกียร์อยู่นะ ยังหาไม่เจอน่ะครับ)

   “โอเคครับ งั้นเดี๋ยวผมไปหาต่อเอง แล้วสิบสามอยู่โรงพยาบาลไหนครับ เสร็จแล้วผมจะไปหาเขา”

   (โรงพยาบาล H ครับ ห้องพิเศษ 313 )

   “โอเคครับ ขอบคุณนะครับที่โทรมาบอกผม”

   (ครับ งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ)

   “ครับ สวัสดีครับ” ผมกดวางสายก่อนจะรีบเดินออกจากตึกแล้วมุ่งหน้าไปที่ตึกแพทย์ฯ ทันที

   สิบสามแพ้เกสรดอกไม้รุนแรงเพราะมาหาเกียร์ในสวนพฤกษ์ซึ่งเดียร์เป็นคนปาลงมา เธอทำแบบนั้นทำไมวะ หรือเธอไม่รู้ว่าสิบสามแพ้เกสรดอกไม้ คือมันไม่น่าเป็นไปได้ป้ะ เดียร์ชอบนังน้อนมาก ไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องสำคัญแบบนี้ จะว่าตั้งใจก็ไม่ใจร้ายไปหน่อยเหรอ อาการแพ้อะไรสักอย่างมันไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ ทำแบบนี้มันเกินไปแล้วจริงๆ

   ผมเดินมาจนถึงสวนพฤกษ์ก็เห็นมีนักศึกษาหลายคนกำลังหาของอยู่ “พวกคุณ ใช่เพื่อนสิบสามไหมครับ”

   “พี่คงเป็นพี่เฌอใช่ไหมคะ”

   ผมพยักหน้ารับคำน้องผู้หญิงที่เอ่ยถาม “ใช่ครับ”

   “หนูชื่อลินินนะคะ พวกเราทั้งหมดเป็นทีมคณะกรรรมนักศึกษาที่สามทำงานด้วยบ่อยๆ พี่คงรู้แล้วว่าตอนนี้เขาอยู่โรงพยาบาล”

   “รู้แล้วครับ มันเกิดอะไรขึ้น พี่รู้ว่าเขามีปากเสียงกับเดียร์เหรอ”

   “ใช่ค่ะ รุนแรงมาก แล้วเดียร์ก็กระชากสร้อยข้อมือของสามปาทิ้งลงมาที่นี่ ตอนนั้นพวกเราตกใจมาก ไม่คิดว่าเดียร์จะทำอะไรแบบนั้น” น้องลินินแสดงสีหน้าเป็นห่วงออกมาอย่างชัดเจน “หนูรู้ว่าสร้อยข้อมือเส้นนั้นสำคัญกับสามมาก เพราะเขาดูโกรธแบบที่เราไม่เคยเห็นเลยค่ะ”

   “มันเป็นเกียร์ของพี่เอง พี่ให้เขาก่อนที่เราจะคบกัน”

   “พี่เก่งมากเลยนะคะที่ได้ใจคนแบบเขาไป” น้องลินินก้มหาตามพุ่มไม้ “สามน่ะเปลี่ยนไปเยอะเลยค่ะตั้งแต่ที่รู้จักพี่ เขาคุยกับคนอื่นมากขึ้น เป็นมิตรมากขึ้น”

   “เป็นเรื่องดีใช่ไหม”

   “ดีค่ะ ดีขึ้นเยอะเลย ปกติถ้าเป็นเขาเมื่อก่อนอาจจะไม่ฟังใคร แต่เขาในตอนนี้ยอมฟังคนอื่น อย่างตอนที่หนูเตือนสติเขาว่าไม่ใช่แค่เกียร์ที่สำคัญ แต่ชีวิตเขาเองก็สำคัญ บอกแบบนั้นเขาถึงยอมหยุด เพื่อนๆ ก็ช่วยประคองเขาออกไปข้างนอกสวน”

   “พี่ขอบคุณน้องลินินมากเลยนะที่เตือนสติเขาน่ะ ขอบคุณจริงๆ ”

   “ไม่เป็นไรค่ะพี่เฌอ สามก็เพื่อนพวกเรา ช่วยกันมาเยอะ เรื่องแค่นี้เล็กน้อยค่ะ” เธอบอกก่อนจะเดินไปหาอีกทาง ส่วนผมก็มุดพุ่มไม้หาไปเรื่อยๆ

   สิบสามไม่ค่อยเล่าเรื่องเพื่อนให้ฟังหรอกครับ ผมเองก็รู้แค่ว่าเขามีเพื่อนที่ทำงานด้วยกัน แต่ไม่รู้ว่าสนิทมากน้อยถึงขั้นไหน เท่าที่ฟังจากน้องลินินเล่าก็คือรู้จักเป็นเพื่อนแต่ไม่ได้สนิทขั้นสุดแน่ๆ ล่ะ เพื่อนๆ ดูเว้นระยะความเป็นส่วนตัวให้นังน้อนสูงเหมือนกัน แต่มีปัญหาอะไรก็พร้อมที่จะยินดีช่วย ดูอย่างนี่สิ น้องลินินเตือนสติ คนอื่นๆ ช่วยพาเขาออกจากสวน สิบสามโชคดีจริงๆ ที่มีน้องพวกนี้เป็นเพื่อน

   ช่วงที่ไม่เจอกันผมจะได้คลายกังวลหน่อย

   ผมกับน้องๆ ยังคงหาเกียร์กันไปเรื่อยๆ สวนพฤกษ์ใหญ่ชิบหาย สวนหย่อมคณะผมยังไม่ใหญ่เท่านี้เลย เชื่อไหมว่าการที่สิบสามเข้ามาหาเกียร์โดยรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองแพ้เกสรดอกไม้ มันทำให้ผมรู้สึกผิดนะ เพราะผมบอกกับเขาว่าให้รักษามันให้ดีดี ซึ่งการบอกแบบนั้นมันอาจจะทำให้เขายึดติดกับมันมากเกินไป จนเอาตัวเองไปเสี่ยง ผมคงต้องคุยกับสิบสามใหม่ อย่างน้อยถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เขาจะได้ระวังมากกว่านี้

   นั่นมัน....

   ผมมุดเข้าไปในพุ่มคริสติน่าเมื่อเห็นอะไรห้อยอยู่ที่กิ่งด้านบน สร้อยข้อมือที่มีเกียร์ติดอยู่ ผมหยิบมันก่อนจะออกมาจากตรงนั้นพร้อมกับหันไปหาน้องๆ “ทุกคนครับ พี่หาสร้อยข้อมือเจอแล้วนะ”

   “โห พี่เฌอนี่สุดๆ ไปเลย หาเจอด้วย” น้องผู้ชายนอนแผ่ลงกับพื้นหญ้า ท่าจะเหนื่อยแหละ พวกเขาน่าจะหากันมานาน

   “มันติดอยู่บนกิ่งน่ะครับ มองพื้นก็เลยอาจจะไม่เห็น”

   “โอเคครับ หมดหน้าที่ของพวกผมแล้ว เดี๋ยวค่ำๆ พวกผมอาจจะเข้าไปเยี่ยมสิบสามนะครับ”

   “ได้ครับ เดี๋ยวพี่บอกเขาให้นะ ขอบคุณพวกเรามากจริงๆ ”

   “พวกเรายินดีค่ะ”

   “ครับ งั้นพี่ขอตัวก่อนนะ” ผมยิ้มให้น้องๆ ก่อนจะเดินออกมาจากสวนพฤกษ์ ไว้นังน้อนหายดีออกจากโรงพยาบาลค่อยนัดเลี้ยงข้าวทีเดียวแล้วกัน ถือว่าตอบแทนพวกเขาที่ช่วยเหลือ

   ผมนั่งรถกลับมาที่ห้องตัวเองก่อนจะจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งหมดแล้วขับรถออกไปที่โรงพยาบาล H สิบสามอยู่ห้องพิเศษ 313 ตอนนี้เกือบ 6 โมงแล้ว ไม่รู้ว่าเขายังหลับอยู่ไหม ผมเดินมาหยุดที่หน้าห้องก่อนจะเคาะประตูแล้วเดินเข้าไป คุณพ่อคุณแม่ของสิบสามนั่งอยู่ที่ข้างเตียง ผมยกมือไหว้พวกเขาก่อนจะเดินเข้าไปหานังน้อน เขาหลับอยู่ ตามแขนและใบหน้ายังมีผื่นแดง มันเยอะกว่าครั้งที่ผมอยู่ด้วยมากเลย

   คงหนักจริงๆ นั่นแหละ

   “เขาเป็นยังไงบ้างครับ”

   “ได้ยาก็ดีขึ้นเยอะเลยจ่ะ ผื่นก็จางลงไปเยอะมาก ตอนแรกที่แม่มาเห็น แม่ใจหายเลย”

   “ผมก็ตกใจเหมือนกันครับตอนที่รู้ ผมไม่คิดเลยว่าเดียร์จะทำแบบนี้”

   คุณพ่อมองลูกชายด้วยความเป็นห่วง “เรื่องนี้เรื่องใหญ่ เฌออาจจะยังไม่รู้แต่พ่อกับแม่เคยทำหนังสือส่งทางมหา’ลัยและคณะแพทย์ฯ ว่าสิบสามเป็นโรคภูมิแพ้เกสรดอกไม้ กิจกรรมใดใดก็ตามที่ทำให้เขามีภาวะเสี่ยง เราขอหลีกเลี่ยง และได้แจ้งรุ่นพี่ที่คอยดูแลกิจกรรมต่างๆ รวมถึงเพื่อนรุ่นเดียวกัน เพราะแบบนั้นไม่มีทางที่เดียร์จะไม่รู้ว่าสิบสามมีอาการแพ้แบบนี้”

   “แม่ก็คิดว่าเขาจงใจ สิบสามเคยเข้าโรงพยาบาลแบบนี้แหละสมัยที่เขาประกวดดาวเดือน แล้วช่วงป๊อบปูล่าโหวตเนี่ยะ เขาคือคนที่ได้รับดอกกุหลาบเยอะที่สุด ตอนนั้นทีมของเด็กคณะนิเทศฯ ที่เป็นผู้ดูแล ก็แสดงความรับผิดชอบซึ่งพ่อกับแม่เข้าใจและพอให้อภัยได้ แล้วตัวสิบสามก็บอกว่าไม่เป็นไรด้วย แต่ครั้งนี้มันชัดเจนมากเลยว่าเดียร์ตั้งใจจะทำร้ายสิบสามและแม่คงไม่ยอม”

   “ผมเข้าใจครับ ช่วงก่อนหน้าเดียร์โทรมาก่อกวน แล้วก็มีวันที่เพื่อนเธอขับรถเบียดรถผมล้มที่หน้าประตูมหา’ลัย วันนั้นผมไปขอไฟล์วิดิโอของกล้องวงจรปิดมาเก็บไว้เป็นหลักฐานเผื่อจะแจ้งมหา’ลัยน่ะครับ”

   “ดี งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เฌอไปพ่อด้วยละกัน พ่อจะเอาเดียร์ออกจากมหา’ลัยให้ได้ เรียนหมอแต่ทำร้ายคนอื่น ร้ายแรงมาก”

   “ได้ครับ”

   “งั้นเดี๋ยวแม่ฝากสิบสามด้วยนะ พ่อกับแม่ยังไม่ได้กินข้าวเลยมัวแต่เป็นห่วง”

   “ครับ เดี๋ยวผมเฝ้าเขาเอง เชิญพ่อกับแม่ตามสบายนะครับ”

   “เดี๋ยวมาจ่ะ”

   ผมมองพวกเขาเดินออกไปจากห้องก่อนจะมานั่งแทนที่เก้าอี้ด้านข้าง มือก็หยิบสร้อยข้อมือเส้นเดิมขึ้นมาถอดเกียร์ออกพร้อมกับย้ายมาที่สร้อยเส้นใหม่ซึ่งหนากว่าเดิม เส้นที่ผมใส่ประจำมันเล็กนั่นแหละแล้วก็นานแล้ว ไม่แปลกเลยที่เดียร์กระชากทีเดียวแล้วจะขาด หวังว่าเส้นนี้จะดีกว่าเดิมนะ ผมเลื่อนมือไปกุมมือนังน้อนเอาไว้ ไม่อยากเห็นเขาเป็นแบบนี้เลย

   “อื้มมม....ม....” ร่างสูงลืมตามองผม “.....พี่เฌอ”

   “คุณเป็นยังไงบ้าง”

   “รู้สึกดีขึ้นเยอะครับ แต่ยังคันอยู่”

   “ผมใจหายมากเลยนะตอนที่พี่เจ็ดโทรมาหาน่ะ” ผมเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาออก “ผมขอโทษนะสิบสาม”

   เขาส่ายหน้าเบาๆ “ผมสิต้องขอโทษ ผมเคยบอกพี่ว่าจะดูแลตัวเอง”

   “เพราะผมบอกให้คุณรักษาเกียร์เอาไว้ให้ดีดีมันก็เลยเป็นแบบนี้” ผมยกมือเขาขึ้นมาแนบแก้มตัวเอง “เอาใหม่นะ สิ่งที่ผมอยากให้คุณรักษาเอาไว้คือความรักที่ผมมีให้ ขอให้คุณดูแลตัวเอง ดีแล้วที่ยอมฟังเพื่อนๆ ยอมถอยออกมา ผมคิดไม่ออกเลยว่าถ้ามันรุนแรงมากกว่านี้จะเป็นยังไง ผมคงรู้สึกผิดไปตลอดทั้งชีวิตเลยล่ะ”

   “ขอโทษนะครับ ผมสัญญาว่าจะรักตัวเองให้มากกว่านี้”

   “อื้ม....สุดท้ายแล้วอะ สิ่งของก็เป็นสิ่งของ ถึงจะมีค่ามากแต่มันไม่เท่ากับชีวิตคุณนะ”

   นิ้วเรียวเกลี่ยน้ำตาที่คลอเบ้าผมอยู่ “ครับ ผมเข้าใจแล้ว”

   “ดีมากนังน้อน” ผมยิ้มบางๆ ให้เขา “เรื่องเกียร์ คุณไม่ต้องห่วงนะ ผมหาเจอแล้ว และก็เปลี่ยนสร้อยข้อมือให้เรียบร้อย เส้นใหญ่กว่าเดิม คงขาดยาก”

   “ขอบคุณนะครับ” สิบสามมองเกียร์ก่อนจะยิ้มออกมา “ตอนแรกผมนึกว่าจะไม่ได้คืนแล้ว”

   “เพื่อนๆ คุณช่วยกันหานานเลยล่ะ เดี๋ยวถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้ว ชวนพวกเขาไปกินหมูกระทะกันนะ ไปกันทั้งหมดเลย”

   “ได้ครับ ผมโชคดีมากเลยที่มีพวกเขาช่วย”

   “รักษาพวกเขาเอาไว้ดีดีล่ะ....ส่วนเรื่องเดียร์ เดี๋ยวผมกับพ่อแม่คุณจะจัดการเอง”

   “ครับ....ผมอยากหายไวไว จะได้กอดพี่เฌอได้”

   ผมหลุดยิ้มที่เขาพูดแบบนั้น “อยากหายไวไวก็ต้องเป็นเด็กดี ไม่ดื้อ พักผ่อนเยอะๆ ”

   “จะไม่ดื้อครับ”

   ผมจุ๊บมือสิบสามเบาๆ แล้วมองเขาอยู่แบบนั้น นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เดียร์จะทำร้ายพวกเราได้ การที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้มันก็บ่งบอกว่าที่ผ่านมาผมใจดีเกินไปจริงๆ อะไรก็ตามที่ทำให้เดียร์ออกจากมหา’ลัยนี้ได้ผมจะทำ ครั้งนี้ไม่มีการยอมหรือใจอ่อนอีกแล้ว สิ่งที่เธอทำควรได้รับผลตอบแทนสักที

   ผมไม่ยอมให้เธอได้มีความสุขแน่

   

   


   

   

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วนะ ก็บท 19 นะคะ มีฉากที่ตั้งใจจะเขียนมาแล้วและก็ได้เขียนแล้ว คือต้องเข้าใจว่าเรายังไม่ได้จัดการกับเดียร์ เราต้องจัดการก่่อน ด้วยวิธียังไงก็คือจัดการแน่ๆ แต่คงไม่ใช่การใช้ความรุนแรงค่ะ

   ตอนแรกชาลคิดเอาไว้ว่ามันจะรุนแรงกว่านี้มาก แต่ไปปรึกษาพาร์ทเนอร์ว่าปรับเนื้อเรื่องดีไหม ให้มันซอฟต์ลง ซึ่งน้องในทีมเห็นด้วย ชาลก็คิดว่าเออแบบนี้อาจจะดีกว่า หวังว่าบี๋คงจะรู้สึกโอเคกับบทนี้นะคะ

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอบล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะ

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 19 : 11/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 11-02-2020 21:52:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 19 : 11/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 12-02-2020 00:09:23
หล่อนต้องโดนประจานนังเดียร์
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 19 : 11/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 12-02-2020 21:41:16
แรงโกรธ​เกลียดนี่
ทำคนฆ่ากันตายมาเยอะละ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 19 : 11/2/2020] หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 12-02-2020 23:56:17
นี่คือว่าทีาหมอหรอ,,,
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 20 : 14/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 14-02-2020 00:29:31
บทที่ 20 ลงโทษ




   (เฌอคิดดีแล้วนะที่จะทำแบบนั้นน่ะ)

   “อื้ม....คิดดีแล้วครับ”

   (ถอยไม่ได้นะ รู้ใช่ไหม)

   “รู้ครับ เฌอคิดดีแล้วและพร้อมรับผลที่จะตามมาทุกอย่าง”

   (ได้ งั้นเดี๋ยวป๊าจะจัดการให้ เสร็จแล้วเดี๋ยวจะโทรหานะ)

   “ครับ ขอบคุณป๊ามากๆ เลยนะครับ ที่ยอมให้เฌอทำอะไรตามใจตัวเองแบบนี้”

   (ไม่เป็นไรหรอก ป๊าเองก็ไม่ได้คิดว่ามันจะมีปัญหา อีกอย่างถ้าให้พูดตามตรง สินค้าที่เราได้รับมามันก็คุณภาพด้อยลงจริงๆ ป๊าจะถือว่าใช้โอกาสนี้ตัดหางปล่อยวัดละกัน)

   “ครับ เดี๋ยวเฌอต้องเข้าห้องพิจารณากลางแล้วอะ ขอวางสายก่อนนะป๊า”

   (โอเค แค่นี้ก่อนละกัน)

   “ครับป๊า” ผมกดวางสายก่อนจะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าคาดอกแล้วเดินเข้ามาทางร่างสูงที่ยืนอยู่กับคุณพ่อและคุณแม่เขา

   ตอนนี้ผมและครอบครัวของสิบสามอยู่กันที่หน้าห้องพิจารณากลางของมหา’ลัยครับ จากวันที่นังน้อนเข้าโรงพยาบาลก็ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้ว วันก่อนหน้าผมและคุณพ่อคุณแม่ของนังน้อนทำเรื่องแจ้งทางอธิการบดีและคณบดีเกี่ยวกับพฤติกรรมของเดียร์ที่ไม่เหมาะสม ทั้งเรื่องโยนเกียร์ของสิบสามลงในสวนพฤกษ์หรือเรื่องที่เบียดรถผมจนล้ม สำหรับเรื่องเบียดรถ ผึ้งก็จะมีส่วนผิดเพราะเธอเป็นคนขับ

   เรื่องนั้นทางคณบดีจะพิจารณาทีหลังครับ

   แต่วันนี้คือสอบสวนเรื่องของเดียร์ก่อน

   “เสร็จแล้วเหรอครับ”

   “อื้ม” ผมรับคำเขา “เราเข้าไปด้านในได้รึยังอะคุณ”

   “ได้แล้วครับ ถึงเวลาแล้ว” สิบสามเดินไปเปิดประตู “เชิญคุณพ่อคุณแม่ครับ” สิ้นเสียงเรียบ ผู้ใหญ่ฝั่งเราก็เดินนำเข้าไป ด้านหน้าสุดมีคณะกรรมการฯ สอบสวนนั่งอยู่หลายท่าน

   “สวัสดีครับอาจารย์ณรงค์”

   นี่ไง....อาจารย์ที่เคยเทน้ำใส่หัวผม

   “สวัสดีตรีทศ เอ๊ะ เธอนี่ใช่คนที่เปียกน้ำรึเปล่า”

   “ใช่ครับผมเอง” ผมยิ้มแห้งๆ ให้เขาก่อนจะนั่งลงข้างสิบสาม ไม่คิดว่าเขาจะจำผมได้ ใช่ครับ ผมเองแหละนักศึกษาที่น่าสงสารคนนั้น

   “เดี๋ยวรอฝ่ายคู่กรณีสักครู่นะครับ” หัวหน้าของชุดคณะกรรมการฯ เอ่ยขึ้นพลางดูเอกสารต่างๆ “อืม....คุณหายดีแล้วใช่ไหมตรีทศ”

   “หายดีแล้วครับ”

   “ถือว่ายังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก ทางเราต้องขออภัยฝั่งคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะครับที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก”

   “มันไม่ใช่ความผิดของทางมหา’ลัยหรอกค่ะ เป็นความผิดที่ตัวบุคคล ทางเราขอแค่ให้เขาได้รับโทษที่สมควรก็เพียงพอแล้ว” คุณแม่เอ่ยพลางยิ้มบางๆ ให้ ในจังหวะนั้นเองประตูห้องก็เปิดออกก่อนจะมีผู้ชายคนนึงเดินนำเดียร์เข้ามาในห้อง

   คนนี้คงจะเป็นพ่อของเธอสินะ

   “สวัสดีอาจารย์ทุกท่านนะครับ” เขายกมือไหว้ตามมารยาทก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม เดียร์เองก็นั่งลงข้างเขา ดวงตากลมมองมาที่เราสองคนไม่ละ็

   หงุดหงิดว่ะ นี่ขนาดบังคับให้ตัวเองใจเย็นแล้วนะ ไม่ชอบอะ คือไม่ชอบก็เลยไม่อยากเห็น ที่ต้องมานั่งมองหน้ากันนี่ก็ถือว่าจำเป็นและผมก็หวังให้มันเป็นครั้งสุดท้ายนะ นึกถึงวันที่สิบสามนอนอยู่โรงพยาบาลผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ บอกนักหนาว่ารัก รักมาก แต่สุดท้ายกลับเป็นคนที่ทำร้ายเขาอย่างแสนสาหัส มันใช่เหรอวะ คิดวนอีกกี่รอบก็ไม่ดูว่ามันจะเป็นความรักได้ตรงไหนเลยสักนิด

   คนเรามองความรักได้ต่างกันขนาดไหนวะ....ไม่เข้าใจอะ

   “งั้นเริ่มเลยนะครับ” คุณหัวหน้าเอ่ยเสียงเรียบ “เนื่องจากมีกรณีที่นางสาวดาราพรและนายตรีทศมีปากเสียงกันจนเป็นเหตุทำให้นางสาวดาราพรยื้อแย่งสร้อยข้อมือของนายตรีทศซึ่งเป็นของสำคัญ ปาทิ้งลงมาที่สวนพฤกษ์ ตัวนางสาวดาราพรเองน่าจะทราบดีว่านายตรีทศเป็นโรคภูมิแพ้เกสรดอกไม้ เรื่องนี้ทางคณะแจ้งให้ทราบนานแล้วและกำชับอย่างดีโดยเฉพาะเพื่อนกลุ่มเรียนเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้เลยนะที่เธอจะไม่รู้”

   “รู้ค่ะ แต่ถ้ารู้ว่าตัวเองแพ้เกสรดอกไม้ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปหาเลยนี่คะ สิบสามเข้าไปในสวนพฤกษ์เอง หนูไม่ได้ขอให้เขาเข้าไป เขาทำตัวเอง หนูผิดตรงไหน”

   คำพูดคำจา

   ผมยกมือขึ้นแตะไหล่สิบสามเบาๆ คล้ายๆ ว่าจะปรามเขา “....ใจเย็นคุณ”

   “ผมก็เห็นด้วยกับลูกสาวนะ ถ้าตรีทศไม่เข้าไปในสวนพฤกษ์ เขาก็ไม่มีอาการแพ้แล้ว ทำตัวเองไม่ใช่เหรอ”

   “ตั้งสติแล้วคิดถึงสาเหตุที่สิบสามต้องเข้าไปในสวนนะครับ ถ้าลูกสาวคุณไม่แย่งสร้อยข้อมือเขาแล้วปาเข้าไปในนั้น เขาจะเข้าไปในสวนทำไม รักลูกสาวน่ะเข้าใจครับ แต่หัดมองความถูกต้องบ้าง ถ้าของสำคัญของคุณถูกแย่งเอาไป คุณจะไม่ตามเอาคืนเหรอครับ”

   “เธอเป็นใคร มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้ไม่ทราบ”

   “ผมเป็นคนรักของตรีทศ สร้อยข้อมือที่เขาสวมเป็นของผม และผมก็เป็นอดีตคนรักของลูกสาวคุณ เธอไม่เคยเล่าให้ฟังเหรอครับว่าระหว่างผมกับเธอ....มีความหลังกันยังไง”

   “พี่เฌอเข้าใจอะไรผิดรึเปล่าคะ ระหว่างเราไม่มีเกิดขึ้นสักหน่อย”

   ผมหลุดขำ “อ๋อ....ผมลืมไปว่ามันเป็นแค่ละครน้ำเน่า”

   บรรยากาศในห้องเริ่มมาคุ เอาดิ ผมค่อนข้างมั่นใจในเรื่องต้องเถียงกับคนอื่นมากเลยนะ แล้วยิ่งถ้าฝ่ายผมไม่ผิดด้วยแล้ว ไม่มีการยอมง่ายๆ แน่ ที่น่าขำคืออะไรทำให้ฝั่งนั้นมั่นหน้าได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้ โคตรโชว์พาวทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายผิด พ่อของเดียร์ก็แปลกนะ ดูไม่ออกเลยรึไงว่าลูกตัวเองทำผิดเต็มๆ นี่แหละที่เขาเรียกว่าพ่อแม่รังแกฉัน ผิดแต่ก็เข้าข้าง ผิดแต่ก็ให้ท้าย ผมโคตรคิดถูกเลยที่ให้ป๊าทำเรื่องนั้น

   พวกนั้นจะได้รู้ว่าผลของการกระทำมันเป็นยังไง

   “ผมไม่อยากพูดตามตรงเพราะมันจะทำให้เดียร์เสียหาย แต่จากการที่เธอไม่สำนึกอะไรเลย ผมคงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าอีกต่อไป” สิบสามผ่อนลมหายใจ “ความจริงมันคาราคาซังมานานตั้งแต่ช่วงปี 1 แล้วครับ ผมรู้ว่าเธอรู้สึกยังไงหลังจากที่ได้มีโอกาสเก็บตัวทำกิจกรรมดาวเดือน เราเคยมีปากเสียงกันไปครั้งนึงในตอนนั้น เรื่องนี้มีผู้ที่สามารถยืนยันได้คือนราวัตน์ เด็กนิเทศฯ ที่เป็นเฮดของงานน่ะครับ”

   “...สิบสาม”

   “พอสาเหตุมันมาจากเรื่องชู้สาวผมก็มองว่ามันดูไร้สาระที่จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะคิดว่าสุดท้ายคนเราก็ต้องอยู่กับความจริง และยอมรับมันได้สักที แต่เหมือนเดียร์จะไม่ใช่แบบนั้น ผมรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่เธอทำให้คนอื่นคิดว่าระหว่างผมกับเธอมีความสัมพันธ์ที่มากกว่าการเป็นคนรู้จัก และเรื่องมันยิ่งร้ายแรงเมื่อผมมีคนที่ตัวเองชอบ เดียร์คอยระรานและทำร้ายเขาซึ่งหลักฐานทั้งหมด ทางคณะกรรมการฯ คงได้เห็นทั้งหมดแล้วนะครับ”

   “หลักฐานอะไร”

   “ก็ไฟล์กล้องวงจรปิดในวันที่รถของเพื่อนคุณเบียดรถผมจนล้มไง มันบันทึกทุกอย่างเอาไว้ทั้งหมดตั้งแต่ตอนรถล้มจนคุณสาดกาแฟใส่ผมนั่นแหละ หรือคุณจะแก้ตัวล่ะ”

   “มันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก แล้วที่เดียร์สาดกาแฟใส่พี่ ก็เพราะว่าพี่ด่าเดียร์ก่อน”

   “ผมไปด่าคุณตอนไหนไม่ทราบ”

   “อย่ามาขึ้นเสียงใส่ลูกสาวผมนะ”

   “ถ้าดิฉันเป็นคุณนะคะ ดิฉันจะนั่งเงียบๆ อย่างสลดใจพร้อมกับปรามลูกสาวตัวเองให้รู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปมากกว่า” คุณแม่เอ่ยพลางมองนิ่งๆ “พอเห็นแบบนี้แล้วก็พอทราบได้เลยค่ะว่าทำไมพฤติกรรมของลูกสาวคุณเป็นแบบนี้.....ไม่มีใครสั่งสอนเธอนี่เอง”

   “นี่คุณ”

   “ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่ภรรยาของผมพูดนะครับ เรื่องมันจะไม่รุนแรงขนาดนี้ถ้าลูกสาวคุณคิดได้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร ลองคิดในมุมกลับกัน ถ้าคุณเป็นฝั่งที่โดนทำแบบนี้ใส่ คุณเองก็คงไม่ยอม.....เพราะงั้น ทางเราก็ไม่มีทางยอมเช่นเดียวกัน”

   “ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ” คุณหัวหน้าเอ่ยปรามทั้งสองฝ่าย “คือทางคณะกรรมการฯ พิจารณาจากหลักฐานและพยานบุคคลหลายปากที่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก็ตัดสินได้ว่านางสาวดาราพรมีความผิดจริง ทั้งเรื่องเบียดรถหรือกระทำการใดก็ตามที่ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ การสร้างความรำคาญ ก่อกวนหรือระรานต่างๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง”

   “ผมผิดหวังในตัวคุณมากเลยนะดาราพร” อาจารย์ณรงค์เอ่ยอย่างเสียดาย “ที่มันร้ายแรงที่สุดคือคุณเป็นนักศึกษาของคณะแพทย์ฯ สิ่งที่คุณกำลังเรียนอยู่มันเพื่อไว้ช่วยชีวิตผู้คน แต่ตอนนี้สิ่งที่คุณทำมันคือการทำร้ายคนอื่น คุณไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นหมอเลยสักนิด แย่มาก”

   “ได้ พวกคุณจะเอาแบบนี้ใช่ไหม ก็สุมหัวกันมาเพื่อบีบลูกสาวผมอยู่แล้วหนิ ไม่เป็นไรลูกเดียร์ ไม่ต้องเรียนที่นี่แล้ว ไปเรียนที่อื่น ที่อื่นที่มันดีกว่า”

   “แต่พ่อคะ....เดียร์”

   “ทางคุณพ่อไม่ต้องห่วงเรื่องทำเรื่องลาออกนะครับ เพราะทางคณะกรรมการฯ ลงมติตัดสินให้นางสาวดาราพรพ้นจากสภาพการเป็นนักศึกษาของทางมหา’ลัยเรา ลงลายเซ็นยืนยันจากทั้งคณบดีและอธิการบดีเรียบร้อย” คุณหัวหน้ายื่นเอกสารไปฝั่งนั้นก่อนจะหันมามองฝั่งผม “เรียบร้อยแล้วนะครับ ทางเราหวังว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดี”

   “ทางเราก็หวังเช่นนั้นเหมือนกันค่ะ ขอบคุณทางคณะกรรมการฯ ทุกท่านนะคะ ที่ยุติธรรมกับการตัดสินครั้งนี้ พวกเราขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ” สิ้นเสียงคุณแม่ ทั้งฝั่งผมก็ยกมือไหว้คณะกรรมการฯ แล้วเดินออกมาจากห้องพิจารณา

   ผลการลงโทษออกมาตามที่ผมคาดหวัง

   ในระหว่างที่พวกเราเดินมาหยุดอยู่ที่ทางเดินหน้าห้อง เดียร์ก็ตามออกมาพลางมองด้วยสายตาที่โกรธเคือง “พอใจแล้วล่ะสิที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้น่ะ”

   “ใช่ครับ พอใจ” สิบสามยืนประจันหน้ากับเธอ “คุณเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด มันจะแปลกตรงไหนถ้าเรื่องพวกนั้นจะกลับมาทำร้ายตัวคุณเอง”

   เพี้ยะ

   “นี่มันจะมากไปแล้วนะเดียร์” ผมรั้งร่างสูงให้ถอยมาหลังจากโดนอีกฝ่ายตบ “คุณเป็นอะไรไหม”

   “ไม่ครับ ไม่เป็นไร”

   “สมควรแล้ว ถ้าเดียร์ไม่มีความสุข ทุกคนก็อย่าหวังว่าจะได้มีความสุขเลย!!!!”

   เพี้ยะ

   “มีสติหน่อยดาราพร” คุณแม่บอกเสียงดัง “ทำไมเธอถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้นะ ไม่ยอมรับความจริง ไม่รับรู้ว่าตัวเองผิด ไม่รู้อะไรเลย มีปัญหาด้านความคิดงั้นเหรอ”

   “อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

   เพี้ยะ

   เพี้ยะ


   ร่างบางล้มลงไปกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ไม่หยุดเหมือนเสียสติ พ่อของเธอวิ่งออกมาจากห้องพิจารณากลางก่อนจะประคองลูกสาวตัวเอง สายตาดุดันมองมาทางพวกเราอย่างเอาเรื่อง “คุณทำอะไรลูกสาวผม ผมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเลย”

   “เอาเลยค่ะ ดิฉันก็จะเอาเรื่องที่ลูกสาวคุณมาตบลูกชายดิฉันเหมือนกัน ฝั่งเราใจดีแค่ไหนที่ไม่แจ้งความจับลูกสาวคุณในข้อหาต่างๆ ที่เธอได้ทำผิด แทนที่จะสำนึกแต่กลับคิดไม่ได้เลย ตบไปทีแรกเรียกสติไม่ได้ กรี๊ดใส่หน้าดิฉัน คุณคิดว่าดิฉันจะยอมทนเหรอคะ ถ้าไม่พอใจก็เชิญแจ้งความได้เลย เรียกทนายขึ้นศาลเลยก็ได้ค่ะ ดิฉันไม่ขัด”

   “ผมขอพูดด้วยความหวังดี ลูกสาวของคุณควรพบจิตแพทย์อย่างมากเลย มันไม่ใช่ภาวะที่คนทั่วไปควรจะเป็น เธอจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ได้ นึกคิดเองไม่ได้ เชื่อผมนะว่าสุดท้ายแล้วคนที่จะเสียใจที่สุดก็คือคุณที่ปล่อยให้เธอเป็นถึงขนาดนี้”

   “ลูกสาวผมไม่ได้ป่วย”

   “แล้วแต่คุณจะคิดค่ะ ไปกันเถอะเด็กๆ.....วันนี้แม่เสียเวลามากพอแล้ว” คุณแม่บอกก่อนจะเดินนำไป ส่วนผมก็อยู่ตรงนั้น สิบสามหันมามองผมก็บอกให้เขาไปก่อน

   ผมมีเรื่องต้องคุยกับพ่อของเดียร์น่ะครับ

   “ทำไม....มีเรื่องอะไรจะซ้ำเติมอีกห้ะ!!!!”

   “คุณคงรู้จักเจ้าสัวกฤตใช่ไหมครับ เขาเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สั่งของจากบริษัทคุณ”

   “ถามทำไม”

   “ผม....เป็นลูกชายเขาครับ” ผมยกยิ้มให้ “หลังจากนี้คุณคงลำบากหน่อย แต่ขอให้รับรู้เอาไว้นะครับว่าทุกอย่างมันมาจากการกระทำของลูกสาวคุณเอง” พอพูดจบผมก็หันหลังให้เขาแล้วเดินออกมาทันที

   เรียกว่าโชคดีของผมก็ได้ที่รู้ว่าครอบครัวของเดียร์ทำธุรกิจอะไร ตอนที่ผมเคยคบกับเธอ เราคุยกันเรื่องครอบครัวด้วยครับ เธอพูดว่าพ่อของเธอส่งสินค้าให้กับเจ้าสัวกฤตเป็นหลัก ตอนนั้นผมไม่ได้เล่าให้เธอฟังไงว่าป๊าผมเป็นใคร เล่าแต่เรื่องของแม่ และตอนนั้นเดียร์เองก็ไม่ได้นึกเอะใจอะไร ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะมีวันที่ผมต้องพึ่งบารมีป๊าจัดการเรื่องนี้ คืองี้....เมื่อวานผมเข้าไปคุยกับป๊าเรื่องขอให้เขาเลิกสั่งสินค้าจากทางบริษัทของพ่อเดียร์

   ลองคิดถึงรายได้ที่จะหายไปแบบมหาศาลสิ

   ตอนแรกผมก็ชั่งใจอยู่ว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี ไปคุยกับไอ้ขัน มันเคยทำเรื่องแบบนี้อยู่ครั้งนึงตอนที่มีคนมาทำร้ายร่างกายน้องมัน เพราะอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง มันเลยใช้ความรุนแรงด้วยไม่ได้ วิธีการของมันคือหาเรื่องไปดิสเครดิตทางนั้นจนเทคโอเวอร์กิจการโรงแรมมาได้ ครอบครัวคนที่ทำร้ายน้องมันต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศ โดยการที่มันทำแบบนั้น มันก็ไปต่อรองกับพ่อมันนั่นแหละว่าจะยอมทำงานที่บริษัท เป็นลูกน้องช่วยพี่สาวมันทำงานต่างๆ นานา

   ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องน้องของตัวเอง

   ของผมเองก็ไม่ต่าง

   ตอนแรกเรื่องทำงานกับป๊าผมก็ยังลังเลไง แต่พอมีเรื่องเข้ามาก็เลยไปทำข้อตกลง จะทำงานให้ป๊าเพื่อแลกกับการสั่งสอนบ้านนั้น อย่างน้อยก็ให้เขาได้รับรู้ว่าสิ่งเลวร้ายที่ทำลงไปมันส่งผลกระทบยังไงและต่อใครบ้าง จะคิดว่าผมใจร้ายก็ได้ แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะฝั่งนั้นเริ่มก่อน ไม่มีใครยอมถูกทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียวหรอก อีกอย่างที่ผมรู้ตอนนี้คือสินค้าของทางบริษัทพ่อเดียร์มีคุณภาพที่ดรอปลง การยกเลิกการซื้อขายมันอาจจะเป็นวิธีการแก้ไขที่ดีแล้วก็ได้

   หารายอื่นที่มีคุณภาพจะดีกว่า

   นี่คงเป็นสิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดแล้วเพื่อเราทั้งคู่ อย่างน้อยผมก็เป็นคนเลือกให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้เอง เดียร์โดนไล่ออกจากมหา’ลัย บริษัทของพ่อเธอจะได้รับความเสียหายจากการเสียคู่ค้าสำคัญอย่างบริษัทป๊าผม มันจะเป็นบทเรียนที่สาหัสสำหรับครอบครัวเขาและผมคิดว่ามันสมควรแล้ว หลังจากนี้ก็ขออย่าให้เจอกันอีกเลย ต่างฝ่ายต่างอยู่ ใช้ชีวิตและทำหน้าที่ของตัวเองไป พ่อเดียร์คงรู้แหละว่าควรจะทำตัวยังไงหลังจากที่รู้ว่าผมเป็นลูกใคร

   หวังว่ามันจะจบ....แบบจบจริงๆ

   “พี่เฌอ”

   “อ่าว คุณพ่อคุณแม่ล่ะ”

   “ผมให้พวกเขากลับไปก่อนแล้วครับ คุณแม่บอกว่าตอนเย็นต้องไปงานแต่งลูกสาวเพื่อน”

   ผมพยักหน้ารับ “อื้ม....เราก็กลับกันเถอะ เกือบบ่าย 2 แล้วยังไม่ได้กินไรเลย หาอะไรกินก่อนไหมหรือยังไง”

   “ผมอยากกินพี่เฌอครับ”

   เดี๋ยวก่อนนะ....

   “คุณว่าอะไรนะเมื่อกี๊” หรือหูฝาดไปวะ

   “ผมบอกว่า....อยากกินกับข้าวฝีมือพี่เฌอครับ”

   อ๋อ....แล้วไป นึกว่าคิดไปเอง

   “ได้เลยน้อนฉิบฉาม”

   เดี๋ยวพี่เฌอจะทำกับข้าวให้น้อนกินเองนะค้าบ

   

***

   
---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 20 : 14/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 14-02-2020 00:30:04
---------- ต่อจากบท 20 ----------




   ความตั้งใจในการทำกับข้าวของผมถูกทำลาย

   ส่วนคนร้ายนั้นก็คือ.....

   “แฮ่ก....ผมโกรธคุณแล้วสิบสาม”

   “โกรธผมทำไมครับ”

   “คุณไม่ต้อง....” ผมฟุบหน้าลงกับหมอนอย่างหมดแรงหลังจากที่ร่างสูงละออกไป ไม่ไหว เหมือนจะตาย เหมือนเอวจะหัก โอ๊ยยยย เกินไปแล้ว

   ความร้ายกาจของการมีแฟนเด็กคือเขาจะพูดให้เราตายใจและหลอกกินเราอย่างบ้าคลั่ง เนี่ยะ ผมก็ว่าตัวเองไม่ได้หูฝาด พอถามย้ำอีกรอบเขาก็บอกอีกอย่างซึ่งต่างจากตอนแรกที่เขาพูด เจ้าเล่ห์นัก มีใครให้มากกว่านี้อีกไหม ตอนนี้บ่าย 3 โมงกว่าแล้ว ข้าวก็ยังไม่ได้กินแถมใช้พลังงานไปหนักมาก เซ็กซ์มันดีนะแต่ไม่ใช่กะทันหันแบบนี้สิโว้ยยยยย

   เพลียว่ะ....อยากนอนแต่หิวข้าว

   “พี่จะกินอะไรครับ เดี๋ยวผมสั่งข้าวให้”

   ผมหันมองเขาก่อนจะทำหน้าตึงใส่ “คุณมันร้ายกาจที่สุด”

   “เดี๋ยวจะโดนอีกนะครับโทษฐานว่าผม” นังน้อนก้มลงมาจุ๊บหัวผม “เอากะเพราเนื้อเผ็ดน้อยไม่ใส่แครอตแล้วกันนะครับ”

   “เห้อะ....” ผมหันหน้าหนีเขา หมั่นไส้จริงๆ หลังจากทำเรื่องนั้นแล้วหน้าใสจัดๆ ได้ไงวะ ดูสภาพผมสิ เหมือนคนจะตายอะ

   “โกรธผมขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “ไม่ต้องทำเสียงอ่อนใส่เลย”

   “โกรธจริงๆ เลยเหรอพี่เฌอ” สิบสามเอ่ยเสียงอ่อนก่อนจะคลอเคลียอยู่ที่ไหล่ผม “อย่าโกรธผมเลยนะครับ”

   “ก็คุณน่ะ...” ผมเอาผ้าห่มห่อตัวก่อนจะลุกออกมาจากเตียง “เปลี่ยนผ้าปูด้วย ผมจะอาบน้ำ” พูดจบผมก็เดินเข้าห้องน้ำโดยปล่อยผ้าห่มกองเอาไว้อยู่ด้านหน้า

   มองเฌอในกระจกที่เต็มไปด้วยรอยจูบก็รู้สึกหน้าร้อนไปหมด ถึงปากจะบอกว่าโกรธแต่มันก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก น่าจะโมโหหิวมากกว่า ผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องที่แฟนจะปู้ยี่ปู้ยำตัวเองหรอก แต่บางทีมันปุบปับไป ไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้เตรียมใจอะไรเลย พอกลับถึงห้อง สิบสามก็จับผมทุ่มลงเตียง ใครไม่ตกใจบ้างถามจริง แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยอมให้เขาทำอยู่ดี นึกถึงท่านั้นแล้วแม่งโคตรลึกเลยอะ

   รู้สึกดีแบบจุกๆ

   พอก่อนเฌอ....เลิกคิดเรื่องนั้นดีกว่า นึกถึงหน้านังน้อนที่เหมือนน้อนหมาโดนดุแล้วขำอะ เกือบหลุดหัวเราะแล้วแต่ยังดีที่คีพลุคได้ ตอนนี้ก็ให้เขาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนไป ส่วนผมก็ต้องจัดการตัวเองน่ะนะ เออพรุ่งนี้ว่าจะเริ่มย้ายของออกจากหอเดิมไปหอใหม่ ไม่กี่วันก็น่าจะเสร็จ จากนั้นก็จะได้หยุดประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนที่จะเริ่มฝึกงาน ตื่นเต้นเหมือนกันนะ ขอให้เจอพี่ๆ ที่ร่วมงานกันได้ด้วยดีเถอะนะค้าบ

   ขอใช้แต้มบุญที่สะสมมาเพื่อเรื่องนี้เลย

   ผมว่างานหนักไม่ทำเราเหนื่อยเท่ากับการมีเพื่อนร่วมงานเฮงซวยครับ ประสาทเสียกับงานดีกว่าประสาทเสียกับคนเยอะ เอาน่ะ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง ก็เตรียมใจเอาไว้จึ๋งนึง ผมว่ามันคงไม่หนักหนาเท่าไหร่หรอก ผ่านเรื่องเดียร์ไปได้นะ เรื่องไหนๆ ก็ไม่น่ากลัวอีกแล้ว

   จริงๆ เลยนะครับ

   ผมหยิบผ้าขนหนูมาพันรอบเอวเอาไว้ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ ร่างสูงนั่งอยู่ที่ปลายเตียง เขาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จแล้วและกำลังทำหน้าหงอยอยู่ พอเป็นแบบนั้นผมจึงเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะดึงแก้มขาวอย่างมันเขี้ยว

   “นังทรัวดีย์ เธอทำฉันปวดเอว”

   “ก็พี่บอกให้กระแทกแรงๆ นี่ครับ” สิบสามกอดเอวผมเอาไว้ “แฟนขอแบบนั้น ผมจะปฏิเสธได้ยังไง”

   “ไม่ต้องพูดเหมือนเป็นความผิดผมเลยนะ” ตอนนั้นอารมณ์มันพาไปนี่หว่า

   “ผมผิดเอง ขอโทษนะครับ”

   “อื้ม....ปล่อยผมได้แล้ว จะไปแต่งตัว” ผมแกะมือเขาออกก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้มาสวมแล้วเดินมานั่งพิงหัวเตียง นังน้อนเห็นแบบนั้นจึงมานั่งอยู่ข้างๆ

   “พรุ่งนี้ขนของใช่ไหมครับ”

   “ใช่ ว่างไหมล่ะ”

   “ว่างครับ ซ้อมคฑาอีกทีอาทิตย์หน้า”

   ผมพยักหน้ารับรู้ “คุณว่าหลังจากนี้เดียร์จะมายุ่งวุ่นวายกับพวกเราอีกไหม”

   “ไม่น่าแล้วนะครับ เอาจริงๆ ผมก็ไม่แน่ใจ ถ้ามีอีกก็คงต้องเด็ดขาดกว่านี้ ใช้กฎหมายจัดการ”

   “ผมไม่คิดเลยว่าเธอจะทำได้ถึงขนาดนั้น เข้าใจอยู่หรอกว่ารักคุณมากแต่มันจะใช่ความรักจริงเหรอ”

   เวลารู้สึกรักใครเราก็อยากให้เขามีความสุข ไม่อยากให้เขาเสียใจหรือเป็นทุกข์ ยิ่งอะไรที่เป็นการทำร้ายอีกฝ่ายก็ไม่สมควรทำ ไม่งั้นมันไม่น่าจะใช่ความรักไหมอะ ขนาดรักแล้วยังทำแบบนี้ ถ้าไม่รักขึ้นมา ไม่ฆ่ากันเลยเหรอ

   เกินไปจริงๆ

   “ผมว่าเดียร์คงได้รับบทเรียนของเธอแล้วล่ะ” สิบสามเอียงหัวพิงไหล่ผม “พี่เชื่อไหมครับว่าตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยโดนใครตบเลย”

   “เจ็บมากไหม”

   “ตกใจมากกว่าครับ ไม่คิดว่าเธอจะตบผม”

   “ผมก็ตกใจ อยู่ดีดีมาทำคุณเจ็บ” ผมประคองแก้มนังน้อน “แต่ไม่เป็นไรนะคุณ ผมก็เคยโดนเดียร์ตบเหมือนกัน เพราะงั้นไม่ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวนะ”

   “ได้ยินแบบนี้แล้วค่อยสบายใจหน่อยครับ เออพี่เฌอ ผมยังไม่ได้สั่งข้าวเลยเพราะไม่รู้ว่าพี่จะกินกะเพราเนื้อรึเปล่า”

   “กินมาม่าก็ได้มั้ง แก้หิวไปก่อน เดี๋ยวค่ำๆ ค่อยทำกับข้าว ขอผมนั่งนิ่งๆ สักพัก”

   “ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมต้มมาม่าให้ พี่เอารสอะไร”

   “ไข่เค็ม”

   “รอแป๊บนึงนะครับ” ร่างสูงเดินลงจากเตียงก่อนจะมุ่งไปที่เคาน์เตอร์ครัว การที่นังน้อนไม่ใส่เสื้อก็ทำให้ผมเห็นรอยข่วนแดงทั่วทั้งหลังที่ตัวเองเป็นคนทำเอาไว้

   เอาน่ะ....จะได้เจ๊ากับรอยจูบที่เขาทำไง

   ครืดดดด....ครืดดดด

   ผมหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย “สวัสดีครับ”

   (ป๊าจัดการให้เฌอแล้วนะ)

   “ทางนั้นว่ายังไงครับ”

   (ก็โกรธนะ ตอนที่คุยกันก็ดูออกเลยว่าไม่โอเค แต่ช่างเถอะ เอาเป็นว่าสิ่งที่เฌอขอ ป๊าจัดการให้แล้ว อย่าลืมที่เราคุยกันล่ะ เดี๋ยวป๊าทำงานก่อน)

   “ครับ ขอบคุณนะครับป๊า” ผมกดวางสายก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวเพื่อรอนังน้อนต้มมาม่าให้

   ดีจังที่พวกผู้ใหญ่ช่วยเหลือเราจัดการเรื่องนี้ด้วย วันนี้คุณแม่ของสิบสามคือเดอะเบสเลยครับ คนแบบเดียร์ต้องเจอแม่ของนังน้อนนั่นแหละ คือทั้งคุณพ่อคุณแม่ดูเป็นคนใจดีไง แต่พอถึงเวลาแบบนี้เขาเด็ดขาดมาก ไม่ยอมง่ายๆ ด้วยซึ่งมันเป็นเรื่องดีแล้วแหละ ผมยังจำตอนที่คุณแม่ตบหน้าเดียร์จนเธอล้มลงไปได้เลย คงแรงมากเลยล่ะ ก็นะ ฝั่งนั้นมาตบลูกชายเขาก่อน คนเป็นแม่ยังไงก็คงไม่ยอมอยู่แล้ว

   เขาเลี้ยงของเขามา....ตีสักทีคงยังไม่เคยเลยมั้ง

   “เสร็จแล้วครับ” ชามมาม่าถูกส่งมาตรงหน้าผม “นี่ผักต้มครับ”

   “ไม่ใส่เสื้อหน่อยเหรอ”

   “ทำไมครับ พี่หวั่นไหวเหรอ”

   ผมหลุดขำ “ไม่อะ เฉยๆ ผมเห็นเพื่อนแก้ผ้าบ่อยแล้ว”

   “ผมหึงนะครับ” ดวงตาคมมองอย่างจริงจัง หูยยยย....เสียวสันหลังเหมือนจะโดนจับกินอีกสองรอบ

   “หึงขนาดไหน”

   “ไม่ใช่แค่จึ๋งนึงแล้วกันครับ” นังน้อนตักผักต้มมาให้ “ตอนฝึกงานก็อย่าไปทำให้ใครเขาหลงรักนะครับ หรือถ้ามีคนมาชอบก็บอกไปเลยว่ามีแฟนแล้ว แฟนหวงมากๆ ”

   “คุณก็ด้วยเถอะ เนี่ยะ เดี๋ยวพอผ่านช่วงกีฬาสีนะ คุณน่าจะตกคนได้เยอะมาก ต้องมีคนชอบคุณเยอะแน่ๆ เลย”

   “คนอื่นผมไม่รู้หรอกครับ....ผมขอแค่พี่เฌอรักผมก็พอ”

   ฉ่า

   เชี่ยยยย...หน้าร้อนเฉย

   ผมยกมือไปขยี้หัวเขา “เรื่องนั้นก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วป้ะ อย่ากังวลไปเลยว่าผมจะไม่รักคุณอะ อยู่ด้วยกันทุกวันนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้วนะ คุณน่ะชอบบอกตลอดว่าจะไม่มีใครสู้คุณได้ เพราะงั้นไม่ต้องกังวลหรอก”

   ผมเดินเอาชามไปล้าง ร่างสูงก็เดินเข้ามาซ้อนด้านหลังแล้วล้างจานของตัวเองเหมือนกัน ผมเข้าใจความกังวลของสิบสามนะ เขาเป็นห่วงเพราะผมเป็นพวกสะเหล่อไง ดูแลตัวเองไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ส่วนเรื่องคนที่อาจจะเข้ามาเนี่ยะ ผมก็คงไม่สนใจอยู่แล้วแหละ ผมไม่ใช่คนที่จะไปวอแวกับคนอื่นทั้งๆ ที่ตัวเองมีแฟนน่ะ อีกอย่างแฟนผมคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่เคยคบกันมาด้วย ความสัมพัน์ระหว่างเรามันลึกซึ้งแล้วก็มีค่ามากกว่าที่ผมจะเสียไปอะ

   เฌอแม่งโคตรรักสิบสามเลย

   นังน้อนก็คงรู้สึกแบบเดียวกันกับผมนั่นแหละ

   ผมหันมาประจันหน้ากับสิบสามก่อนจะเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาออก “คุณน่ะ....ตอนที่ผมฝึกงานก็อย่าดื้อมากนะรู้ไหม”

   “ผมจะไม่ดื้อครับ” เจ้าตัวซบหน้าลงกับไหล่ผม “จะเป็นเด็กดี น่ารัก”

   “ดูทำเสียงเข้า” อ้อนแบนี้ใจใครจะไหวอะ

   “ไม่ชอบเหรอครับ” ร่างสูงอุ้มผมก่อนจะเดินมาที่ปลายเตียง เขาวางผมแล้วนั่งลงที่พื้น “หืม....”

   “ก็ชอบ อะไรที่เป็นคุณก็ชอบหมดแหละ”

   “รู้สึกเขินมากเลยครับ” นังน้อนเอามือทาบอก ทำไมมันตลกจังวะ แล้วดูทำหน้าทำตา โคตรมันเขี้ยวเลย

   “ไม่ต้องมาทำท่าแบบนั้นเลย” ผมตีไหล่เขาเบาๆ “หมั่นไส้”

   “พี่ต้องหมั่นไส้ผมไปอีกนานครับ”

   “ก็คงอย่างนั้น” ผมก้มลงไปจูบเขาทีนึงหนักๆ “ลงโทษ”

   “โห....อยากโดนลงโทษอีกจังเลยครับ ผมต้องทำยังไงเหรอ” ลักยิ้มที่ข้างแก้มปรากฏขึ้นในตอนที่เขายิ้ม ภาพที่ผมเห็นกี่ทีก็ยังรู้สึกชอบมันเอามากๆ ดีจริงๆ ที่รอยยิ้มนี้เป็นของผม

   “ให้ผมได้พักบ้างเถอะ....รู้ไหมว่าผมชอบเวลาคุณยิ้มจนลักยิ้มขึ้นแบบนี้มากเลยนะ มันดูสดใส ต่างจากคุณในทุกที แล้วคุณก็มักจะยิ้มแค่เฉพาะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน สำหรับผมแล้ว มันพิเศษมากเลย”

   “เพราะว่าผมรักพี่เฌอไงครับ”

   “คุณเป็นคนที่พูดคำว่ารักบ่อยมากเลยนะ บางคนเขาไม่พูดคำว่ารักบ่อยๆ เพราะคิดว่ามันจะไม่มีความหมาย”

   “ผมเป็นคนประเภทที่รู้สึกยังไงก็บอกไปแบบนั้นน่ะครับ รักก็บอกว่ารัก ใช้บอกแค่เฉพาะกับคนที่เป็นครอบครัวจริงๆ พี่เฌอเป็นครอบครัวของผมตั้งวันที่ผมพาพี่ไปให้พ่อแม่รู้จักแล้ว อีกอย่างผมก็ขอป๊าพี่มาแล้วด้วย” เขาจุ๊บมือผมเบาๆ “พี่หนีจากคนที่สิบสามไม่พ้นแล้วล่ะครับ”

   “ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละ”

   “ผมน่ะสามารถใช้คำนี้บอกพี่ได้ทุกวันเลย ขอแค่พี่อย่าเบื่อที่จะฟังมันก็พอ”

   จุ๊บบบบ

   “ผมจะฟังคุณพูดคำนั้นไปทุกวันเลย ขอแค่คุณอย่าเบื่อที่จะพูดมันละกัน”

   “....ไม่มีวันอยู่แล้วครับ”

   “.....”

   “ผมให้สัญญา”

   

   

   

   

   

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วน้า ลงดึกเลยต้องขออภัยด้วย ชาลมีปัญาส่วนตัว มันส่งผลต่ออารมณ์หนักมากแต่ตอนนี้ปกติแล้วค่ะ สำหรับบทนี้เขียนยากพอสมควร อ่านแล้วถ้าแปร่งๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ เดี๋ยวจะปรับตอนรีไรท์อีกทีนึง

   ชาลบอกสาเหตุไปในนิยายแล้วว่าทำไมพี่เฌอเลือกที่จะทำแบบนี้นะคะ เพราะเดียร์เป็นผู้หญิง เลยเล่นงานทางธุรกิจครอบครัวแทนเพราะมันจะกระทบทั้งหมด สมเป็นเพื่อนพี่ขันนะคะ ก็พาร์ทช่วงเนี้ยะจะอยู่ในเรื่อง LoveWrite เขียนสื่อรัก นะคะ ใครยังไม่อ่านก็แนะนำนะคะ ฟีลกู๊ดเหมือนกัน ก็ชาลคิดว่าการแก้ไขปัญหาแบบนี้มันโอเคแล้ว แต่ถ้าบี๋รู้สึกว่ามันยังไม่พอก็ต้องจินตนาการกันนอกรอบนะ อีก 3 บทจะจบแล้วก็รอติดตามนะคะ

   สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่า
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 20 : 14/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 14-02-2020 01:24:46
น่าย๊ากกกกก
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 20 : 14/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 14-02-2020 09:33:41
น่ารักนะ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 20 : 14/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 17-02-2020 23:46:11
น่ารักมากครับ,,,
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 20 : 14/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 18-02-2020 02:04:19
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 20 : 14/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 18-02-2020 10:12:59
เพิ่งเข้ามาอ่าน อ่านรวดเร็วจบเลย เรื่องสนุก น่ารัก ฟิลกู้ดสุด ๆ เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 21 : 19/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 19-02-2020 22:10:02
บทที่ 21 มากกว่า



   “น้องเฌอ พี่ฝากเอกสารนี้ไปให้ฝ่ายบัญชีหน่อยจ่ะ”

   “ได้ครับ”

   “เอออีกอย่างนึง พี่ฝากบอกพี่เจี๊ยบด้วยว่าอาทิตย์หน้าลงไซต์งาน ถ้าเขาจะเอาน้องเฌอไปด้วย ให้แจ้งพี่หน่อยนะคะ”

   “โอเคครับ”

   “จ่ะ ฝากด้วยนะ” ผมพยักหน้ารับคำพี่นวลก่อนจะเดินออกมาจากห้องธุรการแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องของฝ่ายบัญชี

   หัวหมุนจริงๆ เลยนะหลายวันมานี้

   ผมเริ่มฝึกงานมาได้ประมาณ 3 อาทิตย์แล้วครับ ตอนนี้ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้พอสมควรแล้วล่ะ โชคดีของเฌอที่ได้เจอเพื่อนร่วมงานที่ดี พี่ๆ ในองค์กรใจดีกับผมมาก พี่เจี๊ยบที่เป็นพี่เลี้ยงฝึกงานผมก็สอนทุกอย่างเต็มที่ เดี๋ยวอาทิตย์หน้ามีไซต์งานสร้างสะพานที่เขาต้องไปตรวจ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อาจจะได้ไปกับเขา คิดแล้วตื่นเต้นอยู่นะ ช่วงอาทิตย์นี้ผมทำแต่แก้แบบปรับโครงสร้าง ยังไม่มีโอกาสได้ลงดูงานจริงเลย

   อยากออกไปผจญภัยนอกสำนักงานบ้างอะ

   “พี่พีทครับ นี่เอกสารจากฝ่ายธุรการครับ” ผมส่งเอกสารให้หัวหน้าฝ่าย “พี่เจี๊ยบฝากบอกพี่พีทด้วยว่าคิดถึงครับ”

   “งั้นพี่ฝากบอกมันด้วยละกันว่าสะเหล่อ”

   “เฌอจะโดนฟาดหน้าเอาหน่า”

   “ไว้มาฟ้องพี่หนิ เดี๋ยวพี่จัดการมันให้” มือเรียวส่งกล่องขนมมาให้ผม “พี่สาวพี่กลับมาจากญี่ปุ่นแล้วซื้อของฝากมาเยอะเลย เฌอแบ่งไปกินทีนะ”

   “ขอบคุณนะครับ งั้นเดี๋ยวเฌอขอตัวก่อน”

   “อื้ม ขอบใจสำหรับเอกสารนะ”

   “ค้าบ” ผมยิ้มแป้นให้ก่อนจะเดินออกมาจากห้องของฝ่ายบัญชีแล้วกลับไปที่ฝ่ายช่างของตัวเอง

   พี่พีทกับพี่เจี้ยบเป็นคู่ขวัญขององค์กรเลยนะครับ เขาก็เป็นแฟนกันนั่นแหละ เป็นคู่รักเพศเดียวกันคู่เดียวเลยมั้งเท่าที่เห็นน่ะ รองหัวหน้าฝ่ายช่างของผมชื่อว่าพี่ออย เธอก็เล่าให้ฟังว่าตอนที่พี่พีทกับพี่เจี๊ยบเปิดตัวว่าเป็นแฟนกันคือสาวๆ พากันอกหักระนาว แล้วตอนนั้นพี่ออยก็พูดติดตลกว่าดีแล้วที่มีผมมาฝึกงานที่นี่ พวกเธอจะได้มีที่ดามใจ ซึ่งผมก็ได้ยิ้มแห้งๆ แล้วบอกว่าตัวเองก็มีแฟนแล้วเหมือนกัน

   สาวๆ ก็พากันอกหักอีกรอบ

   ผมรู้ว่าพวกพี่ๆ ไม่ได้คิดซีเรียสจริงจังหรอกก็แค่แซวเล่นตามประสา พี่ในฝ่ายช่างเคยเจอหน้าสิบสามหมดแล้วนะครับเพราะตอนที่เพิ่งเข้ามาฝึกงาน พวกเขาพาไปเลี้ยงฉลองไง วันนั้นนังน้อนไปรับผม ตอนแรกพี่ออยถามว่านี่น้องชายเหรอ หล่อจังต่างๆ นานา แต่เจ้าเด็กยักษ์นั่นก็บอกกับทุกคนว่าเป็นแฟนผม แถมฝากฝังให้พี่ๆ ช่วยดูแลด้วย ฟีลพ่อมากกว่าฟีลแฟนอีก หลังจากวันนั้นผมก็โดนแซวอยู่บ่อยๆ เลยเรื่องสิบสาม

   นังน้อนนี่มันน่านัก

   “พี่เจี๊ยบครับ” ผมเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะกลางของฝ่ายก่อนวางกล่องขนมไว้ “พี่พีทฝากมาบอกว่าสะเหล่อ”

   “ถามจริง”

   “จริง เฌอไม่โกหกพี่เจี๊ยบหรอก ไม่เชื่อไลน์ไปถามได้”

   “หึ....ไอ้พีท เย็นนี้เจอแน่” เสียงเย็นเอ่ยคาดโทษก่อนจะเดินมาที่โต๊ะกลาง “อะไรอะ”

   “ขนมครับ พี่พีทฝากมา เอ้อพี่เจี๊ยบ พี่นวลบอกว่าถ้าอาทิตย์หน้าจะเอาผมไปลงไซต์งานด้วย ให้แจ้งเขา”

   “เอ็งอยากไปไหม”

   ผมพยักหน้ารับ “อยากดิครับ อยากไปสมบุกสมบันบ้าง”

   “ดี เดี๋ยวให้ไปช่วยเขาแบกปูน”

   “จิ๊บๆ เฌอน่ะนะ ทำได้ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ” ผมยักคิ้วให้เขาทีนึง ร่างสูงก็เบ้ปากก่อนจะโขกหัวเบาๆ อย่างมันเขี้ยว

   “เออ พี่จะคอยดูเอ็งละกัน แล้วที่บอกว่าจะลางานอะ ลาวันไหน ทำใบแจ้งยัง”

   “ลาวันศุกร์ครับ ทำใบแจ้งส่งพี่ออยแล้ว” ผมเดินมาเก็บของที่โต๊ะ “เดี๋ยวจะถ่ายรูปมาอวดเยอะๆ พี่จะได้รู้ว่าแฟนเฌอหล่อขนาดไหน”

   “ขี้ขิงว่ะ อย่าลืมลงเวลาออกนะ”

   “ไม่ลืมๆ แล้ววันนี้พี่ทำโอฯ เหรอ”

   “เปล่าหรอก เดี๋ยวเคลียร์เอกสารนิดหน่อยก็เสร็จแล้ว เอ็งก็กลับบ้านดีดีละกัน เจอกันวันจันทร์”

   “ครับ งั้นเฌอไปก่อนนะพี่เจี๊ยบ” ผมยกมือไหว้พี่เจี๊ยบรวมถึงทุกคนในห้องฝ่ายช่าง “เฌอกลับก่อนครับพี่ๆ สวัสดีครับ”

   “กลับดีดีจ้าน้องเฌอ”

   ผมเดินออกมาจากห้องฝ่ายช่างก่อนจะลงมาด้านหลังซึ่งเป็นลานจอดรถ หมดไปอีกหนึ่งวันสำหรับการทำงาน วันนี้วันศุกร์ครับ เสาร์อาทิตย์เป็นวันหยุด ผมตกลงกับสิบสามว่าจะไปหาเขา ช่วงอาทิตย์นี้นังน้อนซ้อมคฑาหนักมาก แล้วต้องซ้อมเดินในสนามจริงด้วย ปกติตอนซ้อมควงคฑามันก็อยู่กับที่ไง แต่นี่ต้องเดินในระยะทางที่ไกลมาก ช่วงแรกๆ ก็งอแงอยู่เหมือนกันนะ เขามักจะบอกผมว่าถ้าพี่เฌออยู่ด้วยตรงนั้นนะ เขาจะไม่รู้สึกเหนื่อยขนาดนี้เลย

   สงสารมากอะ

   อยากขับรถไปหาถึงแม้จะ 50 กว่ากิโลฯ

   ถ้าไปกลับก็ 100 กิโลฯ พอดี

   ผมขับรถออกมาจากสำนักงานก่อนจะมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ เวลา 5 โมงครึ่งในวันศุกร์ ไม่แปลกเลยที่รถติด มันน่าเบื่ออยู่นะ รถจะติดแบบนี้ไปอีกสักกี่ปีอะ ช่างแม่ง หัวเสียไปก็ไม่ได้ช่วยให้รถติดน้อยลงหรอก ผมควรทำใจร่มๆ เข้าไว้ นานหน่อยสำหรับการเดินทางแต่จุดหมายที่จะไปก็คือไปหานังน้อนเพราะงั้นแค่นี้ก็คงไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง

   คิดถึงสิบสามจังเลย

   อยากกอดแน่นๆ แล้วหอมหัวสักสามที

   นังน้อนวิดิโอคอลมาหาผมทุกวันเลยนะตอนก่อนนอน บ่อยครั้งที่หลับคาคอลไปเลยเพราะความเพลีย ผมรู้ว่าเขาต้องอดทนมากแค่ไหน เอาจริงๆ ผมคิดว่าการที่เราอยู่ห่างกันแบบนี้มันก็มีข้อดีเหมือนกันนะ เป็นการฝึกความอดทนมากๆ และเวลาที่เราได้เจอกันมันก็ทำให้รู้สึกว่าเออ เราพยายามตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเอง รับผิดชอบงานของตัวเองให้เสร็จแล้วมาเจอกัน มาใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เหนื่อยสะสมจากงานมาทั้งอาทิตย์แล้วได้กอดแฟนตัวเองนี่โคตรรู้สึกดีเลย

   ฮีลใจได้เยอะมากๆ

   ครืดดดด....ครืดดดด

   ผมกดรับสายก่อนจะเสียบหูฟังไวเลส “ฮัลโหล”

   (อยู่ไหนวะ)

   “ขับรถอยู่กำลังจะไปหาสิบสามที่มอ ละมึงอะ โทรมามีไร”

   (กูจะถามว่ากีฬาสีอะไปมอแน่ๆ ใช่ไหม กูจะได้ลาที่ทำงาน)

   “เออ ไปแน่ มึงว่าไอ้แช่มจะมาไหมวะ”

   (น่าจะนะ มันน่าจะมาหาไอ้หอม)

   “อืม งั้นเดี๋ยวค่อยนัดกันอีกทีก็ได้”

   (โอเค มึงขับรถเถอะ แค่นี้แหละ)

   “เออ”

   หลังจากใช้เวลานานมากในการเดินทางผมก็เลี้ยวรถเข้ามาในมหา’ลัยก่อนจะเอาไปจอดที่ตึกวิศวะฯ เห็นรุ่นน้องกำลังเตรียมงานกีฬาสีกันอย่างขะมักเขม้นก็นึกถึงปีตัวเอง นึกถึงบรรดาเพื่อนๆ ที่ตอนนี้แยกย้ายไปฝึกงานด้วย วุ่นวายสุดก็ไอ้แช่มครับ โทรมาหาทุกคืนบอกว่าเหงามาก วันดีคืนดีไปนั่งอยู่ชายทะเลคนเดียว นั่งวาดทรายแล้วก็บ่นคิดถึงน้องหอม คือถ้าคิดถึงน้องหอมมึงก็โทรหาน้องหอมไหมล่ะ

   จะโทรหากูเพื่อ

   ผมเดินออกจากตึกวิศวะฯ เพื่อมุ่งหน้าไปตึกแพทย์ฯ ตอนนี้ 6 โมงกว่าแล้ว ปกติสิบสามจะเลิกซ้อมตอน 2 ทุ่มครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะได้พักบ้างรึยัง ผมเดินเข้ามาในโซนลานเกียร์ก็พบร่างสูงในชุดนักศึกษาที่มีผ้าคาดผมลายแบด แบดที่ผมซื้อให้คาดอยู่บนหัวด้วย สีหน้าเขาแสดงความเหนื่อยออกมาชัดเจน ด้านหน้ามีพี่ที่ฝึกซ้อมให้พูดอะไรอยู่ไม่รู้ สักแป๊บสิบสามก็เดินมานั่งที่เก้าอี้ คงเบรกแล้วล่ะมั้ง พอเห็นแบบนั้นผมจึงเดินไปหยุดตรงหน้าเขา

   “ไงคุณ”

   สิบสามเงยหน้ามองผม “....พี่เฌอ” มือเรียวรั้งเอวผมเข้าไปกอดเอาไว้ก่อนจะซบหน้าอยู่อย่างนั้น

   “อะไรเนี่ยะหืม....”

   “เหนื่อยมากเลยครับ ขออยู่แบบนี้สักพัก”

   “ขนาดนั้นเลย” ผมหยิบพัดพับได้ในกระเป๋าคาดออกมาก่อนจะพัดให้นังน้อน “พี่เขาดุคุณเหรอ”

   “เปล่าครับ ผมก็แค่เหนื่อย” เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองผม “นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว”

   “มาสิ ก็บอกไว้ว่าจะมาหา” ผมหยิบทิชชู่ในกระเป๋ามาซับเหงื่อให้เขา “หิวไหม กินอะไรรึยัง”

   “กินนมไปแล้วครับ พี่เฌอล่ะหิวไหม รอจนผมเลิกซ้อมได้ไหมหรือจะไปหาอะไรกินก่อน”

   “รอได้ ผมยังไม่หิวหรอก”

   “อื้มมมมม....คิดถึงพี่เฌอจังเลยครับ”

   “ผมรู้แล้ว” ผมลูบหัวเด็กยักษ์เบาๆ

   สิบสามนั่งกอดเอวผมอยู่อย่างนั้นโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น เขาไม่แคร์คนอื่นจะมองอยู่แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เจ้าตัวคงเหนื่อยจริงๆ นั่นแหละ ผมปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้นสักพัก พี่ที่ฝึกซ้อมก็เดินเข้ามาหาร่างสูง

   “เดี๋ยววันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้สิบสาม พี่มีธุระด่วนอะ พรุ่งนี้ก็เวลาเดิมนะ”

   “ได้ครับ” หลังจากที่นังน้อนรับคำพี่เขาก็เดินไป น้องที่เป็นคฑากรเหมือนสิบสามเดินมาหยิบไม้คฑา คงเอาไปเก็บให้ล่ะมั้งเพราะสภาพของคุณคฑากรไม้หนึ่งคือป้อแป้มาก

   “ไปหาอะไรกินกันเถอะ คุณเอารถมารึเปล่า”

   “เปล่าครับ”

   “ดี งั้นก็ไปรถผม ป่ะ”

   ผมลากสิบสามออกมาจากลานเกียร์แล้วไปที่ลานจอดรถหลังตึกวิศวะฯ จัดแจงยัดเขาขึ้นรถ คือนังน้อนเหมือนมีแต่กายหยาบแต่วิญญาณไม่มีอะ นั่งนิ่งเหมือนไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ผมเอี้ยวตัวไปจะดึงเบลท์มาคาดให้เขา มันเป็นจังหวะเดียวกันที่ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้แล้วกดจูบลงมา มือเรียวล็อกคอผมเอาไว้ การจูบของร่างสูงมันไม่ใช่แค่ปากแตะปาก ไม่อ่อนโยนและไม่หยุดสักที

   อื้ออออ....หายใจไม่ออก

   “แฮ่ก....นังน้อน” ผมดันเขาออกพลางโกยอากาศเข้าปอด “เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อยเลยนะ จะฆ่าผมเหรอ”

   สิบสามหอมแก้มผมอีกฟอดใหญ่ “ชื่นใจจังครับ”

   “ปล่อยผมเลย” ผมพยายามแกะมือเขาที่โอบเอวตัวเองอยู่ “สิบสาม”

   “จุ๊บผมก่อน”

   “จุ๊บอะไรอีกเล่า เมื่อกี๊คุณจูบผมไปแล้วนะ”

   “ไม่เกี่ยวกัน เมื่อกี๊ผมทำเอง อันนี้พี่ต้องเป็นฝ่ายทำให้สิ”

   “ทำไมดื้อแบบนี้”

   “ขอดื้อหน่อยไม่ได้เหรอครับ ผมเป็นเด็กดีมาทั้งอาทิตย์เลยนะ” เขาเอ่ยเสียงอ้อน “จะไม่ให้รางวัลหน่อยเหรอหืม....”

   “ทำดีเพื่อหวังผลเหรอ”

   “ทำดีเพื่อหวังพี่ต่างหาก” ใบหน้าคมเลื่อนเข้ามาใกล้ “ไม่จุ๊บผมก็ไม่ปล่อยนะ กอดกันอยู่ตรงนี้แหละ”

   จุ๊บบบบ

   “ปล่อยเลย” พอบอกแบบนั้นสิบสามก็ยอมปล่อยผมออกแต่โดยดี ร้ายกาจจริงๆ ไอ้ที่ทำท่าเหมือนเหนื่อยมากๆ นั่นเป็นแผนการใช่ไหมห้ะ เดี๋ยวก่อน....ไว้เผลอเมื่อไหร่นะจะหยิกให้เนื้อเขียวเลย

   ผมขับรถออกจากมหา’ลัยพลางเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แน่ล่ะ สูบพลังชีวิตผมไปจึ๋งนึงหนิ ไม่แปลกเลยที่จะดูสดใสขึ้น โมเม้นท์เมื่อกี๊โคตรหน้าร้อนเลยให้ตายเถอะ อยู่ดีดีเขาก็จูบไง ผมตกใจ มันยังไม่ทันตั้งตัวเลย แล้วก็จูบแบบดุดุ แถมยังงอแงให้จุ๊บอีกทีด้วย มันน่าตีจริงๆ เลยว่ะ เห็นหน้านิ่งๆ นี่ไม่ไว้ใจไม่ได้เลยนะ

   เด็กนั่นจ้องที่จะกินผมอยู่ตลอดเวลา

   เฌอต้องระวังตัวให้มากแล้ว

   ตกลงกันไว้ครับว่าจะไม่มีอะไรกันจนกว่าจะผ่านช่วงกีฬาสีไป เรื่องนี้สิบสามเป็นคนบอกเอง ผมก็ไม่มีปัญหา แต่คนที่เหมือนจะมีปัญหาน่ะคือเขา เหมือนอัดอั้น อยากทำแต่ทำไม่ได้เพราะตัวเองลั่นวาจาเอาไว้ นังน้อนเป็นคนประเภทไม่กลืนน้ำลายตัวเองน่ะครับ แต่ผมรู้สึกได้เลยว่าถ้าจบงานกีฬาสีแล้วตัวเองต้องยับเยินมากแน่ๆ เลย ทำอะไรไม่ได้ด้วยนะนอกจากทำใจ

   ไม่เป็นไรนะเฌอนะ

   ผมพาสิบสามมาหาอะไรกินที่ห้าง AA ครับ หันมองร่างสูงที่เดินอยู่ตรงหน้าซึ่งบนหัวเขายังคงมีผ้าคาดแบด แบดสวมอยู่ ปกติเจ้าตัวมักจะถอดมันออกไง แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้เห็นหน้าชัดๆ หน่อย วันนี้เขาไม่สวมแว่นและไม่ใส่แมสด้วย

   “กินอะไรดีครับ”

   “คุณอยากกินอะไรอะ”

   “ปิ้งย่างไหมครับ”

   “เอาสิ” ผมเดินตามเจ้าตัวเข้ามาในร้านปิ้งย่างก่อนจะจัดแจงสั่งโน่นนี่ “เออสิบสาม เดี๋ยววันพฤหัสฯ ผมมาหาคุณนะ ผมลางานแล้วนะวันกีฬาสีน่ะ”

   “โอเคครับ ผมจะได้ไม่ต้องเอารถไป รอกลับพร้อมพี่”

   “ได้ แล้วเรียนเป็นไงบ้าง”

   “ไม่เหนื่อยเท่าทำกิจกรรมครับ แต่ว่าพอหมดกีฬาสีก็คงเหลือแต่เรียนแล้วล่ะ” นังน้อนเท้าคางมองผม “พี่เฌอล่ะครับ ฝึกงานเป็นยังไงบ้าง พี่ๆ เขาแกล้งอะไรพี่ไหม”

   “ไม่มีใครแกล้งผมหรอก นี่เป็นที่เอ็นดูของทุกคนนะ”

   “เป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว ผมค่อยหายกังวลหน่อย”

   “ผมไม่ใช่เด็กนะคุณ” ว่าแล้วผมก็ทำหน้ามุ่ยใส่เขาพลางหยิบสันนอกไปปิ้ง “เดี๋ยวอาทิตย์หน้าผมอาจจะได้ลงไซต์งานจริงด้วย ตื่นเต้นมากเลยอะ”

   “ระวังตัวด้วยนะครับ อย่าซนล่ะ”

   “ดูปากพี่เฌออีกครั้งนะครับนังน้อน” ผมชี้ที่ปากตัวเอง “ผม ไม่ ใช่ เด็ก”

   “ผมรู้ครับว่าพี่ไม่ใช่เด็ก แต่ที่ต้องบอกก็เพราะว่าพี่เป็นแฟนผม ดูปากผมนะครับ” เขาชี้ที่ปากตัวเองบ้าง “พี่ เป็น แฟน ผม”

   ตึกตัก

   ชอบเลียนแบบว่ะ

   “อือ รู้แล้วน่า” ผมยัดพริกหวานเข้าปาก “ผมจะดูแลตัวเองดีดีละกัน”

   “ดีมากครับ เดี๋ยวผมแกะกุ้งให้เป็นรางวัลนะ” มือเรียวหยิบกุ้งที่เพิ่งปิ้งเสร็จไปแกะ ไม่ร้อนเหรอถามจริง เป็นเฌอนี่จับไม่ได้เลยนะกุ้งยังไอร้อนขึ้นอยู่เลย

   มือเขามีความรู้สึกบ้างไหมวะน่ะ

   ผมว่าสิบสามน่าจะชินกับการแกะกุ้งนะครับ ดูจากที่เคยไปกินหมูกระทะด้วยกันวันที่ผมเลี้ยงเพื่อนๆ เขา พวกเด็กๆ ที่มาช่วยกันหาเกียร์นั่นแหละ วันนั้นนังน้อนคือนั่งแกะแต่กุ้ง ไม่ได้แกะให้เฉพาะผมนะ คือเราช่วยกันปิ้งแล้วเขานั่งแกะใส่ในจานรวม ไม่มีบ่นว่าร้อนหรือกรีทิ่มมือเลย ผมเป็นพวกกินกุ้งทั้งเปลือกแต่พอมีคนมานั่งแกะให้กินมันก็ดีเนอะ สะดวกดีอะรอกินอย่างเดียว

   “คุณชอบแกะกุ้งเหรอสิบสาม”

   เจ้าตัวพยักหน้ารับ “ผมแกะกุ้งเก่งที่สุดในบ้าน ส่วนพี่เจ็ดเขาแกะปูเก่งมาก พี่สองจะเลาะก้างปลาออกเก่ง”

   “แล้วพี่เก้า”

   “แกะหอยครับ”

   “บ้านคุณนี่มันสุดยอดจริงๆ ” บ้านผมนะไม่มีอะไรแบบนี้หรอก ไม่ปรองดองกันด้วย แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้วจึ๋งนึงยกเว้นกับคุณเกสร ถ้าครอบครัวผมจะเก่งอะไรสักอย่างนะ คงแย่งกันกินเก่งอะ

   “บ้านผมชอบกินพวกอาหารทะเลเผาอะครับ อาทิตย์ละครั้งได้ ผมชอบด้วยแหละ”

   “พอรู้อยู่แหละว่าชอบ ผมไม่ค่อยกินปูอะเพราะขี้เกียจแกะ ปลาก็ชอบกินเป็นชิ้นๆ มากกว่า ไม่อยากต่อกรกับก้าง”

   “ไว้หาวันว่างๆ ไปกินข้าวบ้านผมนะครับ รับรองเลยว่าพี่ไม่ต้องแกะเองสักอย่าง”

   “งั้นก็ไว้ค่อยหาวันว่างแล้วกันเนอะ” ผมคีบเนื้อใส่ในชามเขา “ถ้ากินข้าวเสร็จ ไปเดินดูของกันไหม ผมเห็นป้ายเสื้อผ้ากำลังเซลล์อะ”

   “ได้ครับ”

   ผมเอาผักห่อเนื้อก่อนจะป้อนนังน้อน คำอย่างใหญ่แต่สามารถยัดเข้าปากได้ทั้งหมด เกินไปมาก ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปสิบสามที่แก้มป่องลงสตอรี่ไอจี คิ้วเข้มขมวดอย่างเอาเรื่อง สมเป็นแบด แบดเวอร์ชั่นคนจริงๆ นั่นแหละเขาน่ะ ผมมองไดเร็คเมสเสจที่เด้งไม่หยุดก่อนจะปิดการแจ้งเตือน เอ๊บซีนังน้อนครับ คนติดตามผมเยอะขึ้นมากเลยนะตั้งแต่เป็นแฟนกับสิบสามน่ะ ส่วนมากก็มาจากคนที่ติดตามเขาทั้งนั้นแหละ

   อยากเห็นนังน้อนยิ้มก็คือดูได้ที่ไอจีผมเท่านั้น

   เราใช้เวลาพักใหญ่ในการกินปิ้งย่าง ตอนนี้เกือบ 2 ทุ่ม ผมเดินนำสิบสามมาที่โซนขายเสื้อผ้า ร่างสูงเดินปรีเข้าไปที่โซนของแบรนด์ซานริโอ้ทันที ไหนดูซิว่าวันนี้เขาจะได้อะไรกลับไป นังน้อนเป็นประเภทซื้อไม่คิดเลยนะสินค้าแบรนด์ที่เขาชอบน่ะ อย่างกล่องใส่ของ คือมีลายเหมือนกันแต่ถ้าคนละสีก็ซื้ออีก ผมก็ตามใจเขานะเพราะเงินเขาไง ถ้าซื้อแล้วมันมีความสุขไม่ได้ทำให้ตัวเองลำบากก็ซื้อไปเถอะ

   เหมือนผมที่ชอบซื้อเสื้อให้เขานี่ไง

   “มานี่ซิคุณ” ผมหยิบเสื้อเชิ้ตมาดู “คุณน่าจะใส่ได้นะ” ว่าแล้วผมก็เอาเสื้อพาดบนตัวเขา

   “พี่ว่าอันไหนสวยกว่า” เจ้าตัวถามพลางให้ผมเลือกระหว่างผ้าลายชินามอนโรลกับปอมปอมปูริน

   “ไม่เอาลายลิตเติ้ลทวินสตาร์เหรอ”

   “มีหมดแล้วครับ”

   ผมพยักหน้ารับ “ชินามอนโรลก็น่ารักดีนะ น้องกระต่ายอะ”

   “พี่เฌอ” สิบสามมองผมตาโต “ชินามอลโรลเป็นน้องหมาครับ”

   “ถามจริง นี่นึกว่าเป็นกระต่ายมาตลอด เห็นหูยาว”

   “แล้วพี่ปอมปอมปูรินว่าเป็นอะไรครับ”

   “พุดดิ้งไม่ใช่เหรอ”

   เขาส่ายหน้ารัวๆ “เป็นน้องหมาเหมือนกันครับ พี่มองยังไงเป็นพุดดิ้งอะ”

   “นี่ไง สีน้ำตาลข้างบนก็เป็นคาราเมลไง”

   “มันเป็นหมวกเบเร่ต์ครับพี่เฌอ ผมว่านะ ผมซื้อทั้งสองผืนเลยดีกว่า” เขาบอกแบบนั้นก่อนจะเดินไปจ่ายเงิน คิดไวใจเร็วมาก เมื่อกี๊ยังมาให้ผมช่วยเลือกอยู่เลย ไปๆ มาๆ ซื้อมันทั้งสองอัน

   คำถามต่อมาคือซื้อแล้วจะเอาไว้ตรงไหน

   ผมเดินดูเสื้อผ้าไปเรื่อยพลางส่งให้สิบสามถือ ชอบจริงๆ เลยของเซลล์เนี่ย ผมชอบซื้อเสื้อผ้านะ ทั้งใส่เองหรือให้คนอื่นก็เถอะ แต่พอซื้อเยอะมันก็ทำให้เสื้อผ้าล้นตู้ใช่ไหม ตัวไหนที่เราไม่ใช้แล้วก็ส่งต่อไปให้คนอื่นนะครับ เรียกว่าเอาไปบริจาคก็ได้ สภาพมันยังดี บางตัวใส่ครั้งเดียวเองหรือบางทีซื้อมาผิดไซส์อย่างเงี้ยะ ก็ให้คนที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้มากกว่าดีกว่า

   เฌอนี่....นอกจากจะหน้าตาดีแล้วยังมีความคิดที่ดีอีก

   อยากจะปรบมือให้ตัวเองสักสามที

   ผมเดินไปจ่ายเงินแล้วลากสิบสามไปที่ลานจอดรถ สมควรแก่เวลากลับหออาบน้ำนอนมากๆ พอคิดได้แบบนั้นผมก็ขับรถมุ่งไปที่คอนโดฯ G ตั้งแต่วันที่มหา’ลัยตัดสินไล่เดียร์ออก รู้สึกว่าเธอจะย้ายออกจากที่นี่ด้วยนะ น่าจะโดนพ่อสั่งด้วยแหละมั้ง ผมรู้มาจากสิบสามว่าพอเดียร์โดนไล่ออก แก๊งค์เพื่อนของเธอก็ย้ายออกด้วย น่าจะไปเรียนที่เดียวกันแหละมั้ง รักเพื่อนไม่ใช่เรื่องผิดครับแต่ถ้าสนับสนุนกันให้ทำเรื่องไม่ดีล่ะก็ผิดเต็มๆ

   “สิบสาม”

   “ว่าไงครับ” ร่างสูงแบกของทั้งหมดเดินนำขึ้นห้อง

   “เดียร์ไม่มายุ่งกับคุณแล้วใช่ไหม”

   “ไม่แล้วครับ ผมก็หวังให้มันเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกัน ใช้ชีวิตของใครของมัน”

   “ผมก็หวังให้เป็นแบบนั้น” ผมตามนังน้อนเข้ามาในห้องก่อนจะวางของทั้งหมดไว้ที่โต๊ะ ร่างสูงเดินเข้าห้องน้ำไป กิจวัตรปกติครับที่ต้องกลับถึงห้องแล้วอาบน้ำก่อน

   ผมถอดเสื้อช็อปออกก่อนจะเอาไปแขวนไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้า ใช้เวลาสักพักสิบสามก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ส่วนผมก็เข้าไปอาบน้ำแทน เห็นพวกของใช้ต่างๆ มันก็ทำให้ผมชอบนึกถึงวันแรกที่ตัวเองตื่นมาแล้วอยู่ที่นี่ได้เลย ตอนนั้นมันมีแต่ของๆ สิบสาม แต่ตอนนี้มีของผมวางไว้ข้างกัน จะว่าไปก็ 2 เดือนกว่าแล้วล่ะที่คบกันมาเนี่ยะ เวลาไม่ค่อยนานเท่าไหร่นะแต่รู้สึกผูกพันเหมือนรู้จักกันมา 10 ปี

   อาถรรพ์วันที่ 13 ทำอะไรความรักเราไม่ได้จริงๆ

   แต่ทำผมได้เจ็บแสบมากเลยแต่ละครั้งน่ะ

   ช่างมันเถอะ จะคิดว่ามันเป็นสีสันและประสบการณ์ของชีวิตละกัน หลังจากที่อาบน้ำเสร็จผมก็เดินออกมาด้านนอก ชุดนอนถูกเตรียมเอาไว้ให้ ผมเสื้อลายมายเมโลดี้สีชมพูตัวโคร่งอยู่ตรงหน้า ส่วนกางเกงนั้นมีคนเอาไปใส่แล้วครับ

   สิบสามนี่มันจริงๆ เลยน้า

   “ให้ใส่แต่เสื้อเหรอ”

   “ใช่ครับ ผมใส่กางเกงให้”

   “น่าตีมากเลยนะคุณเนี่ยะ” ผมเดินไปหยิบกางเกงบ็อกเซอร์ในตู้มาสวมกับเสื้อตัวนั้น “พอใจแล้วนะ”

   “น่ารักจังเลยครับ”

   “หนิ ดูหน้าผม ดูขนาดตัวด้วย คุณจะนิยามว่าน่ารักไม่ได้นะ ต้องหล่อเท่านั้น” ผมนั่งโบกครีมลงหน้า นังน้อนเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังก่อนจะใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมให้

   “ผมมีแฟนหล่อจังเลยครับ”

   “ธรรมดาอะนะ ละแฟนคุณน่ะโคตรจาฮอต สาวๆ ชอบกันตรึม”

   ดวงตาคมหรี่มองผม “เดี๋ยวผมจะตีพี่”

   “ไหน....มือไหนจะตีผม”

   “ไม่ใช้มือหรอกครับ มีอย่างอื่นน่าสนใจกว่ามืออีก”

   “สิบสาม” ผมหยิกแขนเบาอย่างมันเขี้ยว “เอาใหญ่ละนะ บ้ากาม”

   “เนี่ยะ พี่เฌอคิดลึกอะ”

   “ก็ดูคำพูดคำจาคุณสิ คิดเป็นอย่างอื่นได้ที่ไหน” ผมเบ้ปากใส่เขาผ่านกระจก พอนังน้อนเห็นแบบนั้นเขาก็ยิ้มหวานให้ก่อนจะโน้มตัวมากอดคอผมเอาไว้ ไม่ต้องมาทำตัวน่ารักให้ใจเต็นแรงเลยนะ ไม่หลงกลหรอก

   “ขอกอดหน่อยครับ”

   “คุณกอดผมอยู่เถอะ อื้ออออ....” หัวผมโยกไปตามแรงหอมแก้มที่เขากดลงมา มีแฟนเป็นเด็กบ้าพลังก็ต้องอดทนหน่อยอะนะเฌอ ถึงแก้มช้ำก็ต้องอดทน

   “เบื่อไหมครับ”

   “เบื่ออะไร”

   “ที่ผมบ้ากามน่ะ”

   ผมหลุดหัวเราะออกไปทันทีก่อนจะขยี้หัวเขาจนฟู “ถ้าผมเบื่อแล้วคุณจะหายบ้ากามรึไง”

   “งานยากเลยครับ” ร่างสูงคลายกอดก่อนจะเอาผ้าขนหนูไปตาก ผมเดินไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงแล้วคว้าหมอนสิบสามมากอดเอาไว้ กลิ่นคอตตอนสะอาดๆ นี่ทำให้สบายใจจริงๆ นะ

   นังน้อนเดินมาที่เตียงก่อนจะนั่งมองผมอยู่อย่างนั้น อะไรของเขาน่ะ มือเรียวเลื่อนมากุมมือผมเอาไว้ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อ อา....เขินว่ะ แค่มองหน้าก็เขินแล้ว นี่ไม่ใช่สมัยเพิ่งจีบกันแรกๆ ไหมวะ ความรู้สึกต่างๆ ไม่เปลี่ยนไปเลยอะ แต่มันก็เป็นเรื่องดีแล้วล่ะมั้งที่เรารู้สึกว่าความรักยังใหม่อยู่ตลอดเวลา

   อยากจูบ

   ผมรั้งคอสิบสามเข้ามาใกล้ก่อนจะขยับเข้าไปจูบเขา ร่างสูงเปิดปากรับสัมผัสจากผม ลิ้นร้อนไล่คลอเคลียอย่างเอาใจ อ่อนโยนกว่าตอนที่จูบบนรถเยอะเลย แต่ฟีลแบบไหนก็ทำให้หัวใจเต้นแรงไม่ต่างกัน

   ความรู้สึกนี้จะอยู่กับเราไปเรื่อยๆ เลยใช่ไหม

   “อื้ม....” สิบสามถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง “มีคำไหนที่ผมจะให้พี่ได้มากกว่าคำว่ารักไหมครับ”

   ตึกตัก

   ดูเขาสิ

   “รู้สึกกับผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

   “ใช่ครับ” มือเรียวเกลี่ยแก้มผมเบาๆ “บางครั้งก็กลัวว่ามันจะมากไป”

   “ในความสัมพันธ์ของเราไม่มีคำว่ามากไปหรอก” ผมผงกหัวขึ้นไปจุ๊บหน้าผากสิบสาม “ผมดีใจนะที่คุณรักผมขนาดนี้”

   “พี่ต้องดีใจไปทุกวันแน่เลยครับ”

   ร่างสูงขยับมานอนลงข้างๆ ก่อนจะรั้งผมเข้าไปกอดเอาไว้ หลงอะ หลงจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว หลงจนโงหัวไม่ขึ้น ทั้งคำพูดทั้งการกระทำ ทุกอย่างทำให้ผมไปไหนไม่รอดจริงๆ สิ่งที่สิบสามเคยบอกเอาไว้ไม่ว่าจะทำให้ผมมีความสุข ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีหรืออะไรต่างๆ เขาทำแบบนั้นได้ตามที่ตัวเองพูดทุกอย่าง ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทำให้ผมต้องเสียใจเลยสักครั้ง เป็นความรักที่ต่างจากทุกทีที่ต่างมา

   ขอบคุณจริงๆ นะสิบสาม

   ขอบคุณ.....

   

   

   

   

   TBC.

   สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วนะคะต้องขอโทษด้วยที่หายไปหลายวันเลย ไม่สบายค่ะเป็นไข้หวัดเพิ่งไปหาหมอมาเมื่อวาน เพราะอากาศเปลี่ยนก็เลยปรับตัวไม่ทัน บี๋ก็ดูแลตัวเองกันดีดีนะคะ รักษาสุขภาพด้วย

   อีก 2 บทก็จบแล้ว ภายในอาทิตย์นี้แน่นอนนะคะ รอติดตามด้วยน้า

   สามารถติดต่อข่าววสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะ

   ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 22 : 22/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 22-02-2020 20:06:00
บทที่ 22 รางวัล [ Nc ]


   

   ตี 4 กับงานกีฬาสี

   ง่วง มาก เลย ไอ้ เวร

   ผมยกมือปิดปากหาวพลางส่งพร้อพให้พวกปี 2 ที่กำลังจัดการตกแต่งคัตเอาท์ สงสัยจริงๆ ว่าทำไมจะต้องทำงานเผาตอนเช้าวันกีฬาสีทุกปีด้วยคัตเอาท์เนี่ยะ ปีผมก็เป็น เกือบร่วงลงมาคอหักตายด้วย กีฬาสีตอนปี 2 แม่งตรงกับวันที่ 13 พอจบงานปุ๊บน้องฟ้าที่เป็นแฟนผมก็บอกเลิกปั๊บ แล้วอาทิตย์ต่อมาเธอก็ไปคบกับคฑากรไม้หนึ่งของคณะการบินฯ ซึ่งผมแบบ ใช่ซี้ พี่ก็แค่เฌอไง ไม่มีตำแหน่งใดใดในงานกีฬาสีนอกจากปีนทำคัตเอาท์

   แม่ง....ความทรงจำอันขมขื่น

   ช่างมันเถอะ อะไรที่ผ่านไปก็ปล่อยให้มันผ่านไปดีกว่านะครับ ผมส่งโฟมรูปไฟขึ้นไปให้สมปองที่ยืนอยู่ด้านบนสุด อยากรู้จริงๆ ว่าใครมันคิดคอนเซ็ปต์วะ คณะวิศวะฯ ปีนี้เป็นคอนเซ็ปต์ภูเขาไฟซึ่งมันดูแดงไปทั้งสแตนด์เลยว่ะ เห็นแล้วรู้สึกร้อนไปหมด เด็ก ET นี่ชอบเล่นโทนสีแดงเนอะ เชื่อดิว่าไม่มีคณะไหนจะร้อนแรงได้เท่าคณะผมอีกแล้ว

   โซฮอตยืนหนึ่งในมหา’ลัย

   งานอวยคณะต้องมาครับ

   “เฌอ”

   ผมหันมองตามเสียงก็พบแช่มเพื่อนรัก “กูนึกว่าจะมาตอน 10 โมงแล้ว”

   “เกินเหอะ กูไปซื้อกาแฟมาฝากพวกมึงเนี่ยะ แต่กาแฟกระป๋องนะ”

   “เออ ขอบใจ น้องหอมมึงอะ”

   “แต่งตัวอยู่ห้องคณะ” ร่างสูงเดินเข้ามาช่วยผมส่งพร้อพให้น้องๆ “น้องหมอมึงอะ”

   “ก็อยู่ที่คณะเขาไง แต่งตัวเหมือนกันแหละ”

   “ขบวนพาเหรดมันเริ่มที่ตึกแพทย์ฯ ขบวนของเด็กแพทย์ฯ เป็นขบวนแรกสินะ”

   “ใช่ กูตื่นเต้นมากเลยที่จะได้เห็นสิบสามเป็นคฑากร เขาต้องหล่อมากแน่ๆ เลยว่ะ”

   “จะขิงแฟนอ๋อไอ้เวร”

   “เปล่า ก็พูดตามที่คิดเนี่ยแหละ เท่าที่กูรู้มานะ ไม้หนึ่งของแต่ละคณะคือเดือนของปีก่อนทั้งนั้นเลยว่ะ แต่ที่พีคๆ ก็น่าจะนิเทศฯ ป้ะ ไอ้หมีถือธงเดินนำขบวนด้วยหนิ กูล่ะอยากเห็นหน้าไอ้ขัน”

   “เห็นหน้ากูทำไม” คนที่ถูกพาดพิงเดินเข้ามาพร้อมกับจันทร์ฉายและทะเล ตายยากอะ บ่นถึงหน่อยก็โผล่มาให้เห็นละ

   “แฟนมึงถือป้ายหนิ มันต้องหล่อมากแน่ๆ เลย แล้วพอมันหล่อมากๆ นะ คนก็จะหลงรัก พอมีคนมาวอแวมันมากๆ มึงก็จะหึง พอมึงหึงสักพักมึงก็จะเป็นบ้า พอมึงบ้าก็ต้องเข้าโรงพยาบาล ไอ้หมีก็จะหาผัวใหม่ ส่วนมึงก็จะอกแตกตาย”

   “เดี๋ยวมึงอะจะตายก่อนเพราะโดนกูเตะ” ไอ้ขันทำเสียงเหี้ยมใส่ “มึงห่วงแฟนเด็กมึงดีกว่า คฑากรไม้หนึ่งคณะแพทย์ฯ ตอนจบงานคงตกคนได้ค่อนมหา’ลัย”

   “คือผมไม่ค่อยกังวลเรื่องนี้อะนะครับเพื่อนเพราะแบบแฟนผมรักผมมาก” ผมยักคิ้วให้มันไปทีนึงอย่างกวนส้นตีน อดีตเฮดว้ากเห็นแบบนั้นมันก็โขกหัวผม โว้ยยยย เก่งจริงล่ะเรื่องทำร้ายร่างกายคนอื่นเนี่ยะ

   หยิกแม่ง

   “พวกมึงเป็นเด็กรึไงวะ” ทะเลห้ามทัพก่อนจะลากผมกับไอ้ขันมานั่งที่หน้าสแตนด์ “เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงตอนที่ทำสแตนด์ด้วยกันเนอะ โคตรเหนื่อยเลย”

   “เออ เหนื่อยจริงๆ ”

   ผมนั่งมองรุ่นน้องทั้งคณะตัวเองและคณะอื่นๆ ที่กำลังเตรียมสแตนด์ให้พร้อมก่อนที่จะเช้า ช่วงกีฬาสีมันเหนื่อยมากนะแต่ก็สนุกดีอะ ถ้าไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งอะไรกันเลยก็สนุกอยู่แหละ ปีผมแม่งตีกับสาขาอื่น ก็มีปากเสียงกันนิดหน่อยกับเด็กคอมฯ แต่ตอนนั้นไอ้ขันก็เป็นคนเคลียร์แหละ สำหรับผมนะ กีฬาสีช่วงปี 2 อะเหนื่อยสุดเพราะทำสแตนด์ ส่วนปี 3 ที่เดินพาเหรดก็ไม่เท่าไหร่ เปลี้ยสุดก็ตอนเดินจากตึกแพทย์ฯ ไปตึกนิเทศฯ นั่นแหละ

   ความทรงจำอันขมขื่นรอบที่ 2

   ผมมามหา’ลัยตอนเกือบตี 4 ตอนแรกกะว่าจะมาส่งนังน้อนแต่งหน้าแต่งตัวแล้วจะกลับไปงีบสักหน่อย แต่ดูทรงแล้วน่าจะตื่นอีกทีตอนเที่ยงอะ ก็เลยเออ มาช่วยพวกสมปองทำสแตนด์ดีกว่า ไว้จบงานค่อยนอนยาวทีเดียว

   “เวลาผ่านไปไวเหมือนกันเนอะมึง”

   ไอ้ขันหลุดหัวเราะ “เออ แป๊บเดียวก็ปี 4 แล้ว ฝึกงานจบก็จะจบ”

   “อยู่ดีดีกูก็มานั่งคิดนะว่าทำไมถึงมาเป็นเพื่อนกับพวกมึงได้ก็ไม่รู้” จันทร์ฉายหันมองบรรดาเพื่อนๆ “แต่ละคน....เฮ้อ”

   “ที่นั่งอยู่ตรงนี้กูว่าก็ไม่มีใครคิดหรอก” ชริตเป็ดเบ้ปากใส่ “แต่มันก็ดีแล้วป้ะวะที่เราได้เป็นเพื่อนกันน่ะ”

   “มึงพูดซะซึ้งเชียวไอ้เวร ยังเรียนไม่จบเลย นี่วันกีฬาสีนะ ไม่ใช่วันรับปริญญา”

   “มึงรู้ป้ะว่าตอนนี้พวกเราเหมือนลุงแก่ๆ ที่มานั่งรำลึกความหลังกันอะ” ผมบอกพวกมันก่อนจะส่งกาแฟกระป๋องที่ไอ้แช่มซื้อมาให้

   “ก็บรรยากาศมันได้นี่หว่า”

   ผมเปิดกาแฟกระป๋องก่อนจะกระดกลงคอ เดี๋ยวหาอะไรทำระหว่างรอขบวนพาเหรดดีกว่า เขาจะเริ่มเดินกันตอน 8 โมงครับ เริ่มที่ตึกแพทย์ฯ ไปจนถึงตึกนิเทศฯ ระยะทางโคตรไกล เดี๋ยวผมจะต้องถ่ายรูปนังน้อนเยอะๆ ด้วย เอาไปอวดพี่เจี๊ยบครับ ไม่รู้ว่าวันนี้สิบสามจะหล่อมากแค่ไหน ผมว่ามันต้องมากกว่าทุกทีที่ได้เห็นแน่เลย ไม่รู้ว่าเขาจะแต่งตัวยังไง ลองนึกภาพคฑากรคณะแพทย์ฯ ปีก่อนๆ ซิ

   นึกไม่ออกเลยว่ะ

   ช่างแม่ง นึกไม่ออกก็ช่างแม่ง เอาเป็นว่าถ้าถึงเวลาเดี๋ยวก็เห็นเองแหละ ส่วนตอนนี้เฌอและเหล่าสหายขอนั่งจิ๊บกาแฟพลางเสพบรรยากาศความวุ่นวายต่างๆ ตรงหน้าก่อนสักพักนะครับ แล้วอีกสักพักก็จะ.....หลับ

   กาเฟอีนในกาแฟไม่ช่วยอะไร

 

***


   “ทำไมชอบเบียดจังวะ”

   “หรือจะให้กูนั่งบนตักมึง”

   “ตัวอย่างกะน้องควายจะมานั่งบนตักกู สะเหล่อ”

   “ขี้บ่นจริงๆ ระวังผัวทิ้งนะ”

   “ปัญญาอ่อนแบบมึงก็ระวังเมียไปมีผัวใหม่เถอะ”

   “ไอ้เฌอ”

   “ไอ้แช่ม”

   มึงจะเถียงสู้กูอ๋อ....ให้คิดอีกทีนะไอ้เวร

   ผมถลึงตามองมันอย่างเอาเรื่อง เอาสิจะยอมกูดีดีหรือจะยอมกูด้วยน้ำตา ทำไมห้ะ ไม่ตบไม่ตีไม่ดีขึ้นเลยใช่ไหม เรื่องนี้ต้องถึงหูไอ้หอม ผมจะให้น้องรักจัดการมัน พอก่อน พักเรื่องไอ้แช่มแล้วหันไปสนใจขบวนพาเหรดที่กำลังจะมาถึงสนาม ตอนแรกผมก็อยากเห็นสิบสามเดินจากตึกแพทย์ฯ ไปถึงตึกนิเทศฯ เหมือนกัน แต่คิดไปคิดมา รอดูเขาตอนเดินลงสนามดีกว่า ขบวนนังน้อนจะเป็นขบวนแรกและก็จะได้โชว์หน้าประธานก่อนคณะอื่นด้วย

   ตื่นเต้นว่ะ

   ไอ้แช่มมันเห็นนังน้อนแล้วครับ สะเหล่อไง ไปดูขบวนที่หน้าตึก มันบอกผมว่าวันนี้เขาหล่อมากแต่ไม่ยิ้มเลยสักนิด หน้าตึงอยู่ตลอดเวลา ขนาดเวลามีช่างภาพไปขอถ่ายรูปเขายังไม่ยิ้มเลย สิบสามถามไอ้แช่มว่าผมอยู่ไหน ทำไมไม่ไปหาเขา ชริตเป็ดก็บอกไปว่าผมรอดูเขาอยู่ที่สแตนด์วิศวะฯ เพราะงั้นตอนที่เดินลงสนามมาให้หันมองผมด้วย ไหนดูซิว่าเจ้าแบด แบดยักษ์จะมองเห็นผมไหม

   ผมหน้าเด็กกลมกลืนกับน้องปี 1 มากซะด้วยสิ

   พูดจาโคตรหลงตัวเองเลยว่ะ

   เสียงปรบมือดังจากสแตนด์คณะแพทย์ฯ ทำให้ผมหันไปมองทันที วงโยธวาธิตของมหา’ลัยเดินนำเข้าสนามมา ธงสีเขียวมีตราสัญลักษณ์ของคณะแพทย์ฯ ล้ำเข้าสู่ในสนาม คนที่ถือธงคือน้องประธานคณะกรรมการฯ ที่ชื่อปราชญ์ ส่วนป้ายของคณะคือน้องที่ชื่อแพ็ค เท่าที่เห็นก็พวกคณะกรรมการทั้งนั้นเลยนะ ผมได้ยินเสียงกรี๊ดดังจากคณะแพทย์ฯ เมื่อคฑากรเดินลงสนามมา

   ตึกตัก

   เชี่ย....ใจเต้นแรงขนาดนี้

   ร่างสูงของสิบสามสวมชุดสูทสีเขียวเข้มซึ่งเป็นสีของคณะเขา เรือนผมสีดำสนิทถูกเซ็ตเป็นทรงอย่างดีทำให้เห็นใบหน้าหล่อได้ชัดเจน สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดใดออกมาเลย ไม่ยิ้มหรืออะไรทั้งนั้น เป็นความจริงแบบที่ไอ้แช่มพูดจริงๆ แล้วดูน้องคฑากรสองคนที่เดินอยู่ด้านหลังเขายิ้มอย่างเป็นมิตรดิ นังน้อนของผมคือแปลกแยกสุดๆ

   “น้องหมอมึงคือหน้านิ่งแบบนี้ตั้งแต่ตอนเดินขบวนอะ เขาจะไม่ยิ้มหน่อยเหรอวะ”

   “ไม่รู้ว่ะ” ผมมองขบวนแพทย์ ที่กำลังเดินเข้าสู่เขตหน้าแสตนด์วิศวะฯ “สิบสาม!!!!” พอผมตะโกนออกไปแบบนั้น ร่างสูงที่เดินนำขบวนอยู่ก็หันมามองก่อนจะคลี่ยิ้มให้

   กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

   ไงล่ะ....ไม่ใช่เฌอจะทำได้ไหมถามจริง

   “มึงนี่มันเกินไปมากเลยนะ” ไอ้ขันเอ่ยพลางทำหน้าไม่เข้าใจ

   “เด็กแพทย์ฯ งงตาแตกทั้งสแตนด์อะ น้องหมอมึงตกเด็กเราได้ทั้งคณะแน่ เชื่อกู”

   “พวกมึงก็เว่อร์” ผมมองขบวนของคณะแพทย์ฯ ที่เดินผ่านสแตนด์ตัวเองไป ตลกว่ะ ใจผมก็คิดอยู่แล้วแหละว่าถ้าสิบสามเห็นผมเขาน่าจะยิ้มออกมา

   เป็นไปตามที่คิดด้วย

   เดินหน้าตึงรอบมหา’ลัยเพื่อมายิ้มให้ผมคนเดียวนี่โคตรเกินไปเลย เรื่องนี้ต้องเป็นที่พูดถึงแน่ๆ ไม่รู้ว่าจะมีใครถ่ายรูปตอนที่นังน้อนยิ้มทันรึเปล่าเพราะมันแค่แป๊บเดียวจริงๆ ใครถ่ายภาพตอนนั้นทันคือจะเป็นที่ฮือฮามาก อันนี้ต้องฝากความหวังไว้กับทีมช่างภาพของนิเทศฯ แล้ว เออ ต้องดูที่กล้องน้องหนม ยืนหนึ่งมากในเรื่องการถ่ายรูป ไม่คิดเลยว่าไอ้ขันจะมีน้องชายที่ถ่ายรูปเก่งขนาดนั้น

   ถ่ายตอนเผลอยังดูดีเลย

   ผมหันมองจอมอนิเตอร์ใหญ่ที่ฉายภาพเหล่าคฑากรทำความเคารพประธาน การแสดงของคฑากรคณะแพทย์ฯ เริ่มขึ้นแล้วครับ ผมเห็นสิบสามตอนซ้อมบ่อยแล้วนะแต่ของจริงก็ให้ฟีลที่ต่างกัน ไม้คฑาของนังน้อนอะหนักพอสมควร หนักกว่าไม้คนอื่นจึ๋งนึงผมเคยลองถือแล้ว คือถ้าโยนแล้วรับพลาดฟาดหัวตัวเองก็หัวแตกไปเลยนะ แล้วสิบสามเป็นคนที่โยนไม้สูงมากเลยอะ

   รับได้ยังไงวะ

   ผมปรบมือรัวๆ เวลาที่เขารับไม้คฑาได้ เก่งมากๆ เลยค้าบน้อนค้าบ เหนื่อยมาหลายเดือนเพื่อวันนี้นี่แหละ ผมมองร่างสูงที่ทำความเคารพประธานอีกครั้งก่อนจะเดินนำขบวนต่อไปยืนรอคณะอื่น คือใช้เวลาสักพักเลยแหละกว่าจะแสดงจบจนครบทุกคณะ สิบสามน่าจะเปลี้ยมาก ดีนะที่วันนี้แดดไม่ค่อยแรงเท่าไหร่แถมยังมีลมพัดให้อากาศได้ถ่ายเทอยู่บ้าง ไม่งั้นนะแย่เลย

   “มึงเห็นเพจคิ้วท์บอยยัง”

   “ยัง ทำไมวะ”

   “อะดู” จันทร์ฉายส่งโทรศัพท์มาให้ ภาพบนเพจเป็นภาพ Before – After ของสิบสามครับ ภาพแรกคือภาพตอนเดินขบวนแล้วหน้านิ่งมาก ส่วนภาพที่ 2 คือภาพเขายิ้มเพราะได้เห็นผม โพสนี้เพิ่งลงไม่กี่นาทีแต่มีคนกดไลก์และแชร์เยอะอยู่นะ

   “ลุคนี้โคตรดูดีเลยว่ะ” ทะเลบอกก่อนจะกดซูมรูป “ผิวขาวจัดตัดกับสีสูทมากเลย ใต้ร่มผ้านี่ขาวแบบนี้ป้ะวะ”

   ผมพยักหน้ารับ “เหมือนหยวกกล้วยอะ”

   “งี้ก็ตัวแดงง่ายอะดิ”

   “ถามอะไรของพวกมึงเนี่ยะ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่พวกมัน “ดูโน่นขบวนนิเทศฯ มาแล้ว ปรบมือให้หมีน้องรักเร็ว” ว่าแล้วผมก็ปรบมือรัวๆ ให้กับน้องหมี

   วันนี้มันหล่อว่ะ ผมมองเด็กหัวทองที่อยู่ในชุดนักศึกษาแล้วสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีน้ำเงินของคณะนิเทศฯ ทับ ขบวนของคณะนิเทศฯ เป็นเด็กปี 2 สินะที่เดินนำขบวนน่ะ แต่ละคนคืองานดีมากเลยว่ะ คนถือป้ายคือเพื่อนไอ้หมีที่ชื่อภีม คฑากรไม้หนึ่งก็ไอ้เป้ที่เป็นเดือนมหา’ลัย ผมจำได้ว่ากีฬาสีเมื่อปีก่อนก็ไอ้พวกนี้แหละที่เป็นหลีดฯ โจ๊ก ไอ้เวรขันหัวฟัดหัวเหวี่ยงใหญ่เลยตอนไอ้หมีเต้นแล้วปลดกระดุมโชว์ซิกแพ็ก เห้อะ ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยนะตอนนั้นอะ ทำเป็น....

   น่าหมั่นไส้

   ผมนั่งดูขบวนพาเหรดไปเรื่อยๆ พลางถ่ายรูปโน่นนี่นั่น เดี๋ยวค่อยไปถ่ายหน้าสิบสามชัดๆ ถ่ายตอนยิ้มด้วย ทุกคนต้องรอดูภาพนังน้อนยิ้มจากไอจีผมแน่ๆ ได้เลยครับน้องๆ พี่เฌอจะไม่ทำให้ผิดหวัง ใช้เวลาพักใหญ่เลยสำหรับการเปิดงานต่างๆ ตอนนี้เกือบ 10 โมงแล้ว ขบวนของแต่ละคณะเดินออกจากสนามหลังจากที่เปิดงานเสร็จ เดี๋ยวผมไปนังน้อนดีกว่า เขาน่าจะหิวข้าวอยู่นะ ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ตื่นมาอะ

   “พวกมึง เดี๋ยวกูไปหาสิบสามก่อนนะ”

   “เออ เดี๋ยวกูไปหาไอ้หมีละ”

   “ค่อยเจอกันคืนนี้นะ หรือพรุ่งนี้ดีวะ มึงกลับกันวันอาทิตย์หนิ”

   “กูว่าพรุ่งนี้” ผมบอกเพื่อนๆ

   ไอ้แช่มหรี่ตามองผม “ฮันแน่ ทำไมต้องพรุ่งนี้ คืนนี้มึงจะทำอะไรห้ะๆ ๆ ๆ ๆ ”

   “ทำอะไรก็เรื่องของกู” ว่าแล้วผมก็แลบลิ้นใส่มัน “แบร่บๆ ๆ ๆ ๆ ”

   “เดี๋ยวจะโดนนะไอ้เวร”

   “เลิกตีกันได้แล้ว” ทะเลห้ามทัพ “งั้นก็เอาตามนั้นละกัน เจอกันพรุ่งนี้”

   “โอเค” ผมรับคำเพื่อนก่อนจะเดินลงจากสแตนด์แล้วมุ่งหน้าไปที่ตึกคณะแพทย์ฯ ทันที

   น้องๆ ที่เดินขบวนพาเหรดเมื่อกี๊เดินกันอยู่เต็มหน้าตึกเลยว่ะ ผมกวาดสายตามองหานังน้อน ไม่เจอเลยครับ อยู่ไหนของเขาวะ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลน์หาเจ้าตัว ใช้เวลาไม่นานก็ได้คำตอบว่าอยู่ที่โรงอาหารของคณะ พอเห็นแบบนั้นผมจึงเดินไปที่นั่นทันที ร่างสูงที่อยู่ในชุดสูทสีเขียวนั่งรออยู่ ดวงตาคมมองผมอยู่อย่างนั้น สีหน้าดูเหนื่อยอยู่นะ แน่ล่ะ เดินไกลขนาดนั้นก็คงล้านั่นแหละ

   “หล่อผิดหูผิดตาเลยนะวันนี้” ผมนั่งลงตรงข้ามเขา “ตกเด็กได้ค่อนมหา’ลัย”

   “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ พี่เฌอหิวข้าวไหม กินอะไรรึยัง”

   “ยัง เนี่ยะ คุณจะกินอะไร เดี๋ยวผมเลี้ยงเอง”

   “ข้าวราดแกงก็ได้มั้งครับ” สิบสามเดินไปที่ร้านข้าวราดแกง ผมก็เดินตามเขาไปสั่งข้าว กินอะไรดี งืม....แกงฟักทองก็น่าสนใจ แต่พะแนงก็น่ากิน

   “เอาอันนี้ๆ ๆ ๆ ครับ” ผมชี้ไปที่กับข้าวสี่อย่าง

   “กินเยอะจังครับ”

   “มันน่ากินอะ คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะ ถ้าผมกินไม่หมดเดี๋ยวคุณก็กินจนหมดเองแหละ” พอจ่ายเงินเสร็จผมก็เดินกลับมาที่โต๊ะก่อนจะตักแกงฟักทองเข้าปาก อื้ออออ....อร่อยจริงๆ โรงอาหารคณะแพทย์ฯ นี่ร้านข้าวราดแกงคืออร่อยที่สุดแล้วมั้ง

   ผมมองนังน้อนที่ตั้งใจกินข้าวอย่างจริงจัง คงหิวน่าดูเลยแหละ พอเห็นแบบนั้นผมจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเขาเพื่อลงสตอรี่ไอจี สิบสามเหลือบมองกล้องนิ่งๆ ก่อนจะกินข้าวต่อ หน้าตึงมากเลยครับพ่อหนุ่ม

   “พี่จะอยู่ถึงกีฬาสีเลิกเลยไหมครับ”

   “ผมยังไงก็ได้ แล้วคุณอะ”

   “ผมแล้วแต่พี่เฌอครับ”

   “ถ้าแล้วแต่ผมงั้นเอางี้ละกัน เดี๋ยวดูหลีดฯ ตอนบ่าย แล้วค่อยกลับ ดีไหม”

   “ได้ครับ” สิบสามตักไก่ทอดในชามเขาส่งมาให้ผม “รอถึงตอนนั้นก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาย่อยหน่อย”

   ผมเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย “ทำไมต้องรอย่อยอะ”

   “พี่ไม่รู้จริงๆ เหรอครับว่าสิ่งที่ผมพูดมันมีความหมายว่ายังไง” มือเรียวเปิดกระเป๋าลิตเติ้ลทวินสตาร์ของตัวก่อนจะหยิบกล่องลายคุโรมิส่งมาให้ผม

   “อะไรอะ” ผมเปิดกล่องนั้นดูก่อนจะจ้องเขาทันที “คุณนี่มันจริงๆ เลยนะสิบสาม” เอาถุงยางมาใส่ไว้ในกล่องที่ลายน่ารักขนาดนี้คือมันเกินไปจริงๆ

   สงสารน้อนคุโรมิ

   “เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้นะครับ ผมอัดอั้นตันใจมาก”

   ฉ่า

   “คุณทำผมหน้าร้อนอีกแล้วนะ” ผมยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองเบาๆ “อย่าพูดแล้วมองด้วยสายตาแบบนั้นสิ”

   “ก็มันจริงนี่ครับ” เจ้าตัวเท้าคางมองผม “พี่เฌอว่าวันนี้ผมทำได้ดีไหมครับ”

   “ดีสิ คุณโคตรหล่อเลยวันนี้ แถมตอนที่เดินขบวนก็เท่มาก ตอนแสดงคฑาหน้าประธานก็ดีไปหมด สุดยอดเลย” ผมเอ่ยชมไปตามตรง เขาทำได้ดีจริงๆ ตามนั้น

   “ถ้าแบบนั้นพี่ก็ต้องให้รางวัลผมสิครับ”

   นังเด็กคนนี้มันร้ายจริงๆ เลยนะ

   พูดถึงขนาดนี้แล้วพี่เฌอจะไปยังไงต่อล่ะ

   “ได้.....คุณอยากได้อะไร ผมจะตามใจเลย”

   “พี่เฌอพูดแล้วนะครับ”

   “อื้ม ผมอะ คำไหนคำนั้นอยู่แล้ว”

   

***

   

   ---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 22 : 22/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 22-02-2020 20:06:24
---------- ต่อจากบท 22 ----------


   คำไหนคำนั้น....หึ

   ไม่น่าเลยเฌอเอ๊ย

   ผมนั่งทำหน้ามุ่ยใส่ร่างสูงที่นั่งอยู่ปลายเตียง โพซิชั่นตอนนี้น่าหวั่นใจอีกแล้วครับ ผมนั่งอยู่ที่พื้นตรงกลางหว่างขาของแฟนตัวเอง ยิ่งเห็นมือเรียวกำลังจะปลดผ้าขนหนูที่พันรอบเอวออกหัวใจก็ยิ่งสั่นระรัว บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ใต้นั้นมันกำลังเหิมเกริมมาก มากพอๆ กับเจ้าของนั่นแหละ ในจังหวะที่ผ้าขนหนูจะหลุดอยู่รอมร่อผมก็จับข้อมือของสิบสามเอาไว้ก่อน ดวงตาคมฉายแววชอบอกชอบใจ

   เออใช่ซี้ ต้อนให้ผมจนมุมได้ก็ต้องชอบใจเป็นธรรมดา

   “คุณ.....ผมจะห่วยแตกมากเลยนะ ไม่เคยทำอะ”

   “เหมือนกินไอติมแหละครับ”

   ผมส่ายหัวรัวๆ “ไม่เหมือนนนน คุณอย่าเอาไปเปรียบกับไอติมนะ” ไอติมมันเย็นป้ะ แต่ไอ้นี่มันไม่เย็นเลยสักนิดอะ โอ๊ย.....ยิ่งเห็นสีหน้าที่ดูเจ้าเล่ห์นั่นยิ่งอยากเขินจนตายไป

   ฟุบหน้าแก้เขินแป๊บ

   “พี่เฌอบอกว่าจะตามใจผมไง” มือเรียวลูบหัวผมที่ซบต้นขาตัวเองเบาๆ “พี่บอกเองด้วยนะว่าคำไหนคำนั้น”

   “ก็ผมไม่คิดว่าคุณจะ....” ผมผ่อนลมหายใจออกก่อนจะตั้งสติ “โอเค คำไหนคำนั้น เรื่องแค่นี้ทำไมผมจะทำให้แฟนตัวเองไม่ได้”

   “งั้นก็ทำสิครับ” สิบสามดึงผ้าขนหนูออก ทำให้ส่วนนั้นจ่ออยู่ตรงด้านหน้า ทำไมมันเขินอย่างนี้วะ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นนะเฌอ

   “เกินไปมากๆ ของคุณน่ะ”

   “วันนี้บ่นเก่งจังเลยนะครับ” ส่วนแข็งขืนถูกเด็กนิสัยไม่ดีจับมาแปะอยู่ที่ข้างแก้มผมพร้อมกับถูอยู่อย่างนั้น “ให้รางวัลผมได้แล้ว”

   ผมมองเขาอย่างคาดโทษก่อนจะจับท่อนรักที่แปะอยู่ข้างแก้มแล้วขยับเบาๆ ไม่เคยใช้ปากทำให้ใครมาก่อนเลยครับ ก็นะ สิบสามก็เป็นคนแรกของผมอะ ถึงศึกษามาบ้างแต่ไม่คิดว่าจะได้ทำจริงเร็วขนาดนี้ แต่เอาเถอะ คิดไว้บ้างแล้วแหละว่าวันนี้ต้องมาถึง ทำใจร่มๆ แล้วยอมนังแฟนเด็กแต่โดยดีดีกว่า ผมใช้ลิ้นเลียเบาๆ ที่ส่วนปลายก่อนจะไล่จุ๊บสลับกับเลียวนไปรอบๆ พลางช้อนตามองคนตรงหน้า

   สายตาที่ดูพอใจนั่นทำให้ผมใจชื้นอยู่พอสมควร

   ผมไล่เลียตั้งแต่ส่วนปลายไปจนถึงโคน เหมือนกินไอติมตามที่เขาบอกนั่นแหละแต่มันต่างตรงที่เราจะกัดไม่ได้ไง ไหนจะความอุ่นที่รับรู้ได้นี่อีก มือเรียวของสิบสามขยุ้มหัวผมเบาๆ ได้ยินเสียงทุ้มต่ำในลำคอเขาด้วย ชอบว่ะ รู้สึกดีสินะถึงได้ส่งเสียงแบบนั้นออกมา ผมเลียรอบๆ ส่วนปลายก่อนจะรับมันเข้าปากแล้วขยับเข้าออก ทำได้แค่ครึ่งเดียวแต่ผมคิดว่าแค่นี้ตัวเองก็เก่งมากเกินพอ

   ครั้งแรกของเฌอเลยนะสำหรับออรัลเซ็กซ์น่ะ

   “อื้มมมม....”

   ผมมองสิบสามที่หน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ “อื้ออออ....” รู้สึกหายใจไม่ทันเมื่อเขาจับหัวผมกดลงให้ส่วนนั้นเข้าไปลึกมากกว่าเดิม

   “ผมจะเสร็จ”

   “อื้ออออ....อ่อกก....แค่กกกกๆ.....” ผมสำลักพร้อมกับถอนปากออกมาเมื่ออีกฝ่ายเสร็จ น้ำรักสีขาวขุ่นเลอะอยู่รอบๆ ขอบปาก ส่วนเรื่องรสชาตินั้น....ไม่ขอพูดถึง

   นังน้อนแตกใส่ปากผมแบบตั้งใจมากเลยอะ

   บอกก่อนว่าจะเสร็จแต่ไม่ยอมเอาออกแถมกดหัวผมมากกว่าเดิมอีก

   “เก่งจังเลยครับ” เสียงอ่อนเอ่ยอย่างเอาใจพลางใช้ปลายนิ้วไล้น้ำรักที่ขอบปากผมแล้วสอดเข้ามาในปาก “ผมพอใจมากเลย”

   ผมจับมือเขาออกก่อนจะโน้มคอแกร่งให้เข้ามาจูบ ต้องไม่ใช่แค่ผมที่จะได้รับรู้รสชาตินั้นน่ะ ผมสอดลิ้นเข้าไปเกี่ยวรัดกับลิ้นร้อนก่อนจะขยับขึ้นมานั่งคร่อมบนตักของสิบสาม ร่างสูงนัวเนียจูบกับผมอยู่อย่างนั้น มือเรียวลูบไล่ไปตั้งแต่ยอดอกแล้วลงต่ำไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงสะโพก เขาบีบเค้นมาจนถึงส่วนบั้นท้าย ผมละจูบออกมาแล้วมองเด็กดื้ออยู่อย่างนั้น จากเสียงลมหายใจที่ได้ยินมันทำให้ผมรู้ว่าเขากำลังคุกรุ่นมากแค่ไหน

   ตัวผมเองก็ไม่ต่างกัน

   “คุณเสร็จใส่ปากผม”

   “ความจริงอยากใส่หน้ามากกว่าครับแต่ลืมตัว” เขายกยิ้มพลางขบเม้นที่ซอกคอแรงๆ “เอาออกไม่ทัน”

   “สิบสาม” ผมหยิกเขาแรงๆ “คุณนี่เอาใหญ่แล้วนะ ผมเขินจนหน้าร้อนไปหมดแล้ว”

   “พอดูออกอยู่ครับว่าพี่เขิน” นังน้อนจุ๊บปากผม “ขอบคุณนะครับที่ยอมทำให้”

   “ผมทำได้ดีใช่ไหมคุณ”

   “เก่งมากแล้วครับสำหรับครั้งแรก” สิบสามไล่จูบที่ใต้คางก่อนจะดันผมให้ราบไปกับเตียงแล้วขึ้นคร่อมเอาไว้ “บางทีผมก็รู้สึกหงุดหงิดที่ตัวเองเอาแต่ใจเกินไป ผมกลัวจะทำให้พี่ไม่ชอบ”

   “คิดมากเกินไปแล้ว” ผมยกมือขึ้นกุมแก้มนังน้อน “ที่เห็นผมเหมือนบ่นนั่นมันก็เพราะเขินนั่นแหละ ผมก็ประหม่า ถึงเราจะเคยทำเรื่องแบบนี้แต่ผมคงไม่ชินง่ายๆ หรอก ถ้าผมไม่อยากให้คุณทำจริงๆ คุณจะไม่มีทางถอดเสื้อผ้าผมออกได้เลยสิบสาม”

   “ถ้าไม่โอเคต้องบอกกันนะครับ”

   “คุณเองก็ด้วย”

   ผมผงกหัวขึ้นไปจูบเขา ไม่รู้เลยครับว่าสิบสามคิดอะไรแบบนี้ด้วย เหมือนเด็กห้าวที่อยากจะเอาแต่ใจทำโน่นทำนี่แต่สุดท้ายแล้วในใจลึกๆ ก็กลัวจะโดนดุอยู่ดี ผมพอรู้อยู่แหละว่าถ้าตัวเองไม่ยอมทำตามที่เขาขอจริงๆ ถ้าพูดจริงจังหน่อย คนที่ต้องยอมอ่อนให้คือเขาแน่ๆ ถ้าเมื่อกี๊ผมยืนยันที่จะไม่ใช้ปากให้ สุดท้ายแล้วนังน้อนก็คงยอมอยู่ดี อาจจะทำเป็นนอยด์นิดหน่อยแต่ก็คงล้มเลิกความตั้งใจแหละ

   ก็นะ....เขายอมมาตลอดเกือบทุกเรื่อง

   สำหรับผมแล้วเรื่องที่เกี่ยวกับเซ็กซ์หรืออะไรพวกนี้ถ้ามันไม่ได้แปลกมากจนเกินไปหรือทำให้เจ็บตัวจนเลือดตกยางออกมันก็ไม่เท่าไหร่ ยอมกันได้ แต่บางทีต้องยอมรับว่าเออมันเขินไง มันอาย ก็ไม่แปลกที่เราจะแสดงท่าทีอะไรออกมาเพื่อกลบเกลื่อนมัน เอาจริงๆ แค่ได้เห็นสายตาที่แสดงออกถึงความต้องการมากๆ ของสิบสามก็แทบทำผมไปไม่เป็นละ

   เหมือนตอนนี้

   “อื้ม....” ผมละจูบก่อนจะเอียงคอเพื่อให้อีกฝ่ายซุกไซร้ได้ง่ายขึ้น “สายตาคุณ....ทำเหมือนจะกินผมไปทั้งตัว....อ๊ะ” เสียงครางหลุดออกไปเมื่อเขาไล่เลียวนที่ยอดอก

   “น่าจะเป็นพี่มากกว่าที่จะกลืนกินผม”

   เขาเอาอีกแล้ว

   “คุณโดนแน่ๆ แหละ”

   “หวั่นใจไปหมดเลยครับ” ร่างสูงจับผมให้พลิกคว่ำก่อนจะรั้งสะโพกขึ้นสูงแล้วเอาหมอนมาสอดไว้ด้านล่าง ริมฝีปากบางไล่จูบไปตามแนวกระดูกสันหลังจนถึงช่วงสะโพก

   ผมจับส่วนอ่อนไหวของตัวเองขยับไปด้วย หน้าซุกหมอนเมื่อนิ้วเรียวที่เปื้อนเจลไล้อยู่รอบๆ ปากทางรักก่อนจะกดเข้ามาด้านในช้าๆ แล้วขยับเข้าออก ผมไม่รู้สึกเจ็บเท่ากับช่วงแรกๆ แล้วคงเพราะร่างกายน่าจะปรับรับกับมันได้จึ๋งนึง แต่แค่นิ้วนะ ของสิบสามก็จะอีกเรื่อง ด้วยขนาดหรืออะไรก็ตามมันจะทำให้รู้สึกเจ็บทุกครั้งที่มันล่วงล้ำเข้ามาแต่มันก็เจ็บแค่ตอนนั้นแหละ เพราะหลังจากนั้นหัวจะโล่งไปหมด

   สิ่งเดียวที่จะรู้สึกคือความสุขสม

   นิ้วเรียวถูกเพิ่มจำนวนจนถึงสามแล้วค่อยขยับเข้าออก รู้สึกดีทุกครั้งเมื่อมันสอดเข้ามาลึกจนถึงจุดกระสัน เสียววูบวาบไปหมด นังน้อนรังแกผมด้วยนิ้วอยู่ช่วงนึงก่อนจะถอนมันออกไปและแทนด้วยอะไรที่ใหญ่กว่ามากๆ อื้ออออ.....สามนิ้วเมื่อกี๊เทียบไม่ติด ไม่มีทางเทียบติด ผมจิกหมอนระบายความเจ็บพลางเอี้ยวตัวไปมองร่างสูงที่กำลังแทรกกายเข้ามาเรื่อยๆ จนสุด

   ซี๊ดดดด....ลึกเกินไปแล้ว

   สิบสามโน้มตัวมาจูบผมพลางขยับสะโพกเข้าออกช้าๆ อื้ออออ.....จูบที่อ่อนโยนเหมือนปลอบประโลมให้ความรู้สึกดีทุกครั้งเมื่อถูกส่วนนั้นทำให้เจ็บ นังน้อนไล่ขบไปตามไหล่ ทิ้งรอยรักเอาไว้ตามแบบที่เขาชอบ

   “อ๊ะ....”

   “อื้ม....ดีไหมครับ” ร่างสูงยึดสะโพกผมเอาไว้แล้วเร่งจังหวะขยับเข้าออกให้เร็วขึ้นอีก

   “อื้อออ....ดี.....ตรงนั้น....อื้ม” ผมจิกหมอนระบายความเสียวเมื่อส่วนนั้นปรนเปรอเข้ามาซ้ำๆ “อ๊า....แรงๆ ”

   “อื้มมมม....พี่รัดผมเกินไปแล้วครับ”

   “ก็มัน....อื้ม”

   เสียงเนื้อกระทบกันดังอย่างหยาบโลน ตัวผมสั่นไปตามแรงกระแทกที่สวนเข้ามาจากด้านหลัง อ๊า.....ผมชอบท่านี้มากเลยถึงจะมองเห็นหน้าสิบสามได้ลำบากก็เถอะแต่ยังไงก็ชอบอะ มันลึก มันเป็นองศาที่แบบ....อ๊ะ

   จุกได้มากกว่านี้อีกไหมถามจริงๆ

    “อา....”

   “ผมจะเสร็จ....อื้อออ....” ผมเร่งขยับมือให้เร็วขึ้นเมื่อใกล้ถึงฝั่ง

   “ผมก็เหมือนกัน” เขาเอ่ยเสียงพร่าก่อนจะเร่งขยับเมื่อใกล้เสร็จ “พร้อมกันนะครับพี่เฌอ”

   “อ๊ะ....อื้มม....สิบสาม....”

   “ซี๊ดดดด.....”

   “อ๊ะ.....อื้มมมมมม....แฮ่กกก.....”

   “อืม....พี่เฌอ” นังน้อนถอนกายออกก่อนจะพลิกให้ผมนอนหงายแล้วก้มลงมาจูบ อื้ออออ....ดีจังเลยความหัวโล่งนี้

   “อื้ออออ” ผมละจูบก่อนจะเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาออก “หยิบทิชชู่ให้หน่อย”

   ร่างสูงผละออกไปก่อนจะหยิบทิชชู่ส่งมาให้ผมพร้อมกับถอดถุงยางตัวเองที่สวมอยู่ออกแล้วห่อด้วยทิชชู่อีกที ผมเช็ดมือตัวเองที่เปื้อนน้ำรักก่อนจะเอาหน้ามุดหมอนหนีนังน้อน เขินว่ะ เขินอะไรวะ เนี่ยะ ก็เป็นอย่างนี้ทุกทีเลยอะ

   “เป็นอะไรน่ะครับ” เขาจูบที่ไหล่ผมเบาๆ “เจ็บรึเปล่า”

   “ไม่”

   “อยากเห็นหน้าจังเลยครับ” มือเรียวดึงหมอนที่ปิดหน้าผมออกพลางยิ้มหวานให้จนตาหยี อา.....น่ารักอีกแล้ว ทำไมเวลาหลังจากมีอะไรกัน สิบสามจะดูสดใสขึ้นทุกครั้งเลยวะ

   “วันนี้คุณดาเมจแรงมากเลยอะ” ผมพลิกนอนคว่ำก่อนจะหันมองเขา “ทำผมเขินตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้”

   เขาขยับมานอนคว่ำข้างๆ ผม “ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

   “หน้าผมในตอนนี้ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีเลยไหมล่ะ” ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ก่อนจะกดเข้าไปดูแจ้งเตือนต่างๆ ที่เด้งขึ้นมา

   ตอนนี้เกือบ 5 โมงเย็นแล้ว ก่อนหน้าเราอยู่ด้วยกันที่งานกีฬาสี ดูหลีดฯ จบก็บ่าย 3 กว่าๆ ถึงได้กลับมาแจ๊บๆ กันที่ห้อง หลีดฯ ปีนี้คือดีมาก บันเทิงสุดๆ เลยครับ แล้วช่วงก่อนที่หลีดฯ จะแสดง สิบสามก็โดนขอถ่ายรูปเยอะมากทั้งจากรุ่นพี่รุ่นน้องหรือช่างภาพจากคณะต่างๆ แต่รู้สึกว่ากล้องของน้องหนมจะเป็นกล้องเดียวที่มีภาพตอนสิบสามยิ้ม

   ผมเป็นคนถ่ายเองอะ

   เขาไม่ยิ้มเลยครับไม่ว่าใครจะมาขอถ่ายรูป นังน้อนยอมให้ถ่ายด้วยนะแต่แค่ไม่ยิ้มเท่านั้นเอง ถ่ายคู่ผมก็ไม่ยอมยิ้มเพราะเป็นกล้องคนอื่นไง แต่แบบนี้มันก็สมเป็นเขาดีอะนะ ลุคในสูทสีเขียวนั่นโคตรได้ฟีลเลย ต่อให้หน้าตึงก็ดูมีเสน่ห์ รูปที่เขายิ้มตอนเดินพาเหรดกลางสนามก็มียอดไลก์ ยอดแชร์เพิ่มขึ้นอีกเยอะมากๆ สำหรับกีฬาสีปีนี้ไม่มีใครถูกพูดถึงมากเท่าเขาละจริงๆ

   แฟนผมนี่เลื่องลือขนาดนี้เลยน้า

   “น้องหนมส่งรูปมาให้ด้วย ที่ผมถ่ายคุณน่ะ” ผมเปิดรูปที่น้องหนมส่งในไลน์มาให้สิบสามดู “รูปนี้ยิ้มน่ารักมากเลยนะ”

   “ก็ตั้งใจยิ้มให้คนถ่ายไงครับ”

   ผมหลุดหัวเราะออกมา “เดี๋ยวผมเอารูปนี้ลง”

   “ส่งมาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ เดี๋ยวผมเลือกรูปลงบ้าง”

   “ได้” ผมส่งรูปไปให้เขาในไลน์พลางชะเง้อมองจอโทรศัพท์ “เอารูปที่ผมหล่อๆ อะ”

   “พี่เฌอก็หล่อทุกรูปนะครับ” เจ้าตัวเอ่ยก่อนจะเอียงหัวพิงไหล่ผม “วันนี้ผมเห็นคนขอพี่ถ่ายรูปเต็มเลย นี่ขนาดพี่มีแฟนแล้วนะ ถ้าตอนพี่โสดล่ะก็....คิวน่าจะยาวไปยันหน้ามหา’ลัยน่ะครับ”

   “ไม่ขนาดนั้น ผมเป็นแค่เฌอนะ”

   “เพราะเป็นพี่เฌอนั่นแหละครับ” นังน้อนเลือกรูปก่อนจะนำไปลงเฟซบุ๊กและไอจี ผมมองเขาพิมพ์แคปชั่นประกอบซึ่งยาวผิดปกติ สิบสามมักจะเขียนอะไรสั้นๆ ไม่กี่คำเท่านั้นเองไง

   ผมมองแจ้งเตือนที่ตัวเองติดดาวเอาไว้ รูปที่สิบสามลงทำให้ผมยิ้มออกในทันที มันเป็นรูปที่น้องหนมถ่ายครับ ตอนนั้นผมกับนังน้อนเผลอหันไปมองหน้ากันแล้วหลุดขำ ในมือของสิบสามถือไม้คฑา ก็คือลุคคฑากรเต็มยศ ส่วนผมก็สวมเสื้อช็อป ผมอ่านแคปชั่นที่เขาเขียนและมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หัวใจรู้สึกเต้นแรงมากๆ เลย

   

   

   วันที่คัดตัวคฑากร ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะเป็น จนกระทั่งเย็นวันนั้นมีพี่คนนึงบอกกับผมว่า ถ้าผมได้เป็นคฑากรไม้หนึ่งของคณะแพทย์ มันจะต้องเป็นอะไรที่ดีมากแน่ๆ เพราะคำพูดนั้นเลยครับที่ทำให้ผมไปทำเรื่องขอทางคณะว่าจะรับหน้าที่เป็นคฑากรไม้หนึ่งเอง

   ผมเหนื่อยกับช่วงซ้อมมาก มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเยอะแยะเลย แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังตั้งใจที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อที่จะทำให้พี่คนนั้นได้เห็นผมในวันนี้แล้วคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดเอาไว้ มันเป็นไปตามนั้น

   ตอนที่ผมคัดตัวคฑากร....เขายังเป็นแค่รุ่นพี่

   ส่วนในวันนี้.....เขาเป็นมากกว่านั้นแล้วครับ


   

 

   “คุณ....จะทำให้ผมตกหลุมรักอีกกี่ครั้งเหรอสิบสาม”

   “ 2 ครั้งครับ”
เขายิ้มหวานให้ผม “ครั้งแล้ว....กับครั้งเล่า”

   ตึกตัก

   อื้ม....ครั้งแล้วกับครั้งเล่าจริงๆ นั่นแหละ

   “คุณน่ะร้ายกาจมากเลยนะนังน้อน” ผมงับไหล่เขาอย่างมันเขี้ยว “เป็นสิบสามที่ทำให้ผมใจสั่นได้ทุกวันเลย”

   “ดีใช่ไหมล่ะครับ”

   “อืม....ก็จึ๋งนึง”

   สิบสามคว้ามือผมไปกุมเอาไว้ “ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้มีความรู้สึกต่อพี่มากถึงขนาดนี้ นอกจากครอบครัวแล้วผมก็มีพี่เฌอนี่แหละ ที่ตัวเองยอมให้ในหลายๆ อย่างโดยไม่มีเงื่อนไข วันนี้ที่เป็นคฑากรก็เพราะพี่จริงๆ นะครับ”

   “ขอบคุณนะที่ยอมเหนื่อยน่ะ”

   “ถ้าเทียบกับรางวัลที่ได้มาก็ค่อยหายเหนื่อยอยู่นะครับ แต่อาจจะยัง....ไม่พอ”

   เรื่องนั้นก็พอคิดได้อยู่หรอก

   ผมเลื่อนหน้าเข้าไปจูบเขาก่อนจะปล่อยให้ความคุกรุ่นครอบงำอีกครั้ง ผมรักสิบสามมากเลยนะ ไม่เคยเจอใครที่ยอมทำอะไรต่างๆ ให้มากขนาดนี้ นังน้อนทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองพิเศษในชีวิตของเขา ไม่ใช่แค่จึ๋งนึงแต่มันมากมายจริงๆ ทุกวันที่มีเขาอยู่ด้วยผมโคตรมีความสุขเลย เลข 13 อื่นคงเป็นอาถรรพ์....แต่สิบสามนี้

   เขาเป็นความรักครับ

   เป็นรอยยิ้มและเป็นทุกอย่าง

   ดีจริงๆ ที่เราได้เจอกัน









TBC.

สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้ว ก็เขินอีกแล้วนะคะตอนนี้ Nc ถ้ายังแปร่งๆ ต้องขออภัยด้วยนะคะ ชอบคำพูดหลายอย่างในบทนี้มาก หวังว่าบี๋จะชอบเหมือนกันนะคะ

บทหน้าก็จบแล้วนะ พรุ่งนี้ชาลต้องไปงานรับปริญญาของรุ่นพี่ ส่วนวันจันทร์จะเริ่มฝึกงานวันแรก ก็เป็นกำลังใจให้ผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ด้วยนะคะ อีกนิดเดียวจะเรียนจบแล้ว ชาลจะได้มีเวลากับนิยายได้เต็มที่สักที บทจบถ้าทันพรุ่งนี้ก็ลงพรุ่งนี้แต่ถ้าไม่ทันก็อาจจะวันจันทร์ค่ะ

สามารถติดต่อข่าวสาร + สปอยล์ได้ที่ทวิตเตอร์ Chaleeisis หรือเพจ Fiction Yaoi Th นะ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค้าบ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 22 : 22/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-02-2020 04:22:31
ใกล้จะจบละหรอเนี่ย :heaven
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทที่ 22 : 22/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 24-02-2020 00:24:33
รู้สึกดีมากเลย อ่านไปยิ้มไป,,,
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทส่งท้าย : 25/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 25-02-2020 01:33:49
บทส่งท้าย



   1 ปีต่อมา

   .

   .


   รูปนี้เอาแขวนไว้ตรงไหนดีนะ

   ตรงนี้ก็แล้วกัน

   ผมปีนขึ้นเก้าอี้เพื่อเอารูปถ่ายวันรับปริญญาติดเอาไว้ที่พนังบ้านใกล้ๆ กับรูปของแม่ ไงล่ะ คุณชุตินันท์ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเรียนจบแล้วนะครับ ตอนนี้ก็มีงานทำแล้วด้วย ไม่ต้องเป็นห่วงเฌอแล้วนะ พอติดรูปเสร็จผมก็เอารูปที่ถ่ายกับเหล่าสหายแก๊งค์ปลาทองตั้งเรียงเอาไว้เป็นแนวยาว มีตั้งแต่รูปที่ทำหน้าดีดียันทำหน้าเหมือนส้นตีนเลย ถ่ายรูปรับปริญญาทั้งทีดูทำหน้าทำตาเข้า

   พวกสะเหล่อ

   ตอนนี้เกือบบ่าย 2 แล้วครับ ผมอยู่ที่บ้านของแม่ซึ่งตอนนี้มันก็เป็นบ้านผมนั่นแหละ ผมอยู่ที่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เกิด เข้ามหา’ลัยถึงได้ย้ายไปอยู่ที่หอ ส่วนบ้านหลังนี้ก็มีแม่บ้านเข้ามาดูแลทำความสะอาดตลอด พอเรียนจบผมก็เลยคิดว่าจะกลับมาอยู่ที่บ้าน มันไม่ค่อยไกลจากโรงงานของป๊าที่ผมต้องไปทำงานด้วยแหละ ก็ถือว่าสะดวกหน่อย ตอนที่เรียนจบผมได้เวลามาใช้ชีวิตอยู่หลายเดือน แต่ตอนนี้มันถึงเวลาที่ต้องจริงจังกับชีวิตของการทำงานแล้วล่ะ

   เวลาผ่านไปไวเหมือนกันนะ

   ผมไล่มองรูปถ่ายที่ตัวเองเอามาตั้ง ช่วงเวลาของชีวิตมหา’ลัยของผมจบลงไปแล้ว มีความทรงจำดีดีเกิดขึ้นเยอะแยะเลยครับในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องเพื่อนหรือแม้กระทั่งคนรัก ผ่านมาจนถึงตอนนี้ ผมกับสิบสามก็คบกันมาได้ปีกว่าแล้วล่ะ ตอนนี้เขากำลังจะเป็นนักศึกษาแพทย์ฯ ปี 4 ซึ่งเจ้าตัวจะต้องออกไปผจญภัยเจอกับผู้ป่วยจริงๆ แล้ว หวั่นใจอยู่เหมือนกันนะกับเรื่องนี้น่ะ

   เขาต้องเหนื่อยมากแน่ๆ

   นังน้อนบอกว่า 3 ปีแรกยังไม่เท่าไหร่ แต่ 3 ปีหลังคือของจริง เขาได้แต่พร่ำบอกว่าถ้าตัวเองไม่มีเวลาให้ ก็อย่าเพิ่งนอยด์กัน สิบสามกังวลเรื่องนี้มากเลยนะ แทบทุกครั้งที่เราพูดถึงเรื่องเรียน เขาจะบอกแบบนี้เสมอเลย ส่วนผมก็จะให้คำตอบเหมือนเดิมซ้ำๆ เพื่อย้ำว่าผมเข้าใจ และก็จะอดทนให้มากๆ เพราะรู้ว่าตัวเขาก็อดทนเหมือนกัน มีแฟนเป็นหมอก็ต้องเข้าใจและเตรียมใจยอมรับอยู่แล้วกับเรื่องแบบนี้

   ผมไม่อยากให้เขาต้องเป็นกังวลเลย

   อยากให้ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด

   “เฌอ” ร่างสูงของเพื่อนรักเดินลงมาจากชั้น 2 ของบ้าน “กูเปลี่ยนหลอดไฟที่ห้องเล็กให้แล้วนะ”

   “เออ ขอบใจมากนะมึง แล้วพวกไอ้ขันจะมากี่โมงวะ”

   “ไม่รู้ว่ะ ก็คงเย็นๆ ล่ะมั้ง หลังจากที่มึงไปรับน้องหมอแล้ว” ไอ้แช่มบอกก่อนจะเดินมายืนดูรูปที่ผมเพิ่งจัด “รูปนี้กูหล่อจริงๆ เลยนะ”

   “คำพูดคำจาโคตรสะเหล่อเลย” ผมเบ้ปากใส่มัน เวลาเปลี่ยนแต่ความมั่นหน้าไม่มีเปลี่ยนเลยนะค้าบเพื่อนค้าบ

   “ผมพูดความจริงทั้งนั้นอะครับเพื่อนเฌอ เออ กูมีบางอย่างอยากจะให้มึงดูด้วย” เจ้าตัวบอกก่อนจะเดินไปหยิบของในกระเป๋ามาให้ผมดู

   “การ์ดเหรอ” ผมมองการ์ดสีฟ้าที่อยู่ในมือพร้อมกับอ่านรายละเอียดข้อมูลต่างๆ มันคือการ์ดแต่งงานครับ สำหรับชื่อของคนที่เขียนอยู่ด้านในก็คือ ชริตกับชนัศชัย

   ไอ้แช่มกับไอ้หอม

   “กูแอบไปทำมา”

   “ได้ขอลูกเขารึยังเนี่ยะ มัวนิ่มไปพิมพ์การ์ดมาเองเดี๋ยวพ่อเขาจะแหกอกเอาหน่า”

   “กูคุยเรื่องนี้กับครอบครัวน้องหอมแล้วเถอะ อีกอย่างก็สัญญากันเอาไว้ตั้งแต่ก่อนทุบบ้านโน่น ตอนนี้บ้านกูสร้างเสร็จแล้ว น้องหอมเองก็เรียนจบแล้ว พอรับปริญญาเสร็จก็จะแต่งงานไง”

   “อีกค่อนปีแต่มึงพิมพ์การ์ดแล้ว”

   “เวลามันผ่านไปไวนะ ว่าแต่มึงเถอะ ไม่ได้คิดเรื่องนี้ไว้บ้างรึไง”

   ผมส่ายหัวรัวๆ “กูจะมาคิดอะไรล่ะ แฟนกูเพิ่งขึ้นปี 4 อีก 3 ปีโน่นกว่าจะเรียนจบ คือแต่งงานมันก็ดีอะนะมึง แต่ไม่แต่งมันก็ไม่เป็นไรเหมือนกันอะ ไม่รู้ดิ ถ้าถามว่ากูอยากแต่งไหมก็คงไม่แหละ ส่วนสิบสาม....ถ้าถามเขา เขาก็จะต้องบอกว่าแล้วแต่กู”

   “รู้ใจกันขนาดนั้น”

   “เออดิ เป็นแฟนกันหนิ” ผมเดินไปหยิบของขวัญที่เตรียมไว้ให้นังน้อน “มึงว่าเขาจะชอบไหม”

   “คงชอบแหละ ใหญ่ชิบหาย ใช้กันแดดกันฝนได้อะ”

   “กูก็ว่างั้น”

   ของขวัญที่อยู่ในมือผมคือดอกทานตะวันปลอมขนาดใหญ่มาก ตัวดอกบานสามารถใช้แทนร่มได้ ส่วนก้านสีเขียวยาวๆ นี่ก็เอาฟาดหัวไอ้แช่มได้เหมือนกัน คืองี้ครับ วันนี้เป็นวันพิเศษที่ทั้งผมและนังน้อนรอมาตั้งแต่ตอนที่คบกันวันแรกๆ เหมือนกันนะ วันนี้เป็นวันที่นักศึกษาแพทย์ฯ ชั้นปีที่ 4 จะรับกาวน์กัน นังน้อนของผมจะมีเสื้อกาวน์สวมเป็นฟีลคุณหมอแล้ว ผมว่านะ....เจ้าเด็กยักษ์นั่นต้องเป็นคุณหมอที่หน้าตึงมากกว่าใครในโลกแน่ๆ

   พอนึกหน้าเขาออกเลย

   นอกจากวันนี้จะเป็นวันที่สิบสามรับกาวน์แล้วก็ยังเป็นวันเกิดของทะเลเพื่อนรักด้วยครับ เหล่าสหายแก๊งค์ปลาทองก็เลยตกลงกันว่าจะมาเปิดตี้ที่บ้านผม เฌอคนนี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้วเพราะของกินทั้งหมดนั่นพวกเพื่อนๆ เป็นคนซื้อ ตอนนี้ไอ้ขันกับไอ้หมีกำลังมาจากสระบุรี พวกมันน่าจะแวะซื้อของเข้ามานั่นแหละ

   เวลาผ่านไป....ทุกคนก็ต่างใช้ชีวิตไปในทางของตัวเอง

   ไอ้ขันย้ายไปอยู่ที่สระบุรีกับไอ้หมีครับ มันช่วยงานพี่แขดูแลกิจการโรงแรมที่นั่น จันทร์ฉายช่วยงานพี่เจ้าที่ร้าน มีแพลนอาจจะเพิ่มสาขาสองโดยใช้ชื่อร้านว่าจันทร์ฉาย ส่วนทะเลก็ทำงานที่บริษัทของพ่อตัวเองแล้วก็รักเมียหลงเมียมากขึ้นทุกวันจนน่ารำคาญ แล้วเวลามันเอาเมียตัวเองมาขิง ไอ้พวกคนมีเมียก็จะงัดเมียมาขิงเหมือนกัน เฌอซึ่งไม่มีเมียอยู่หนึ่งเดียวในกลุ่มก็คือประสาทจะแดก เวลาผมด่าก็ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาหรอกไอ้พวกเวรนี่

   จิ๊....หงุดหงิดเฉยเลยว่ะ

   คนสุดท้ายลืมไม่ได้เลยครับก็คือแช่มเพื่อนรัก ชริตเป็ดกลับไปดูแลสวนยางที่บ้านแล้วก็ทำตามความตั้งใจต่างๆ อย่างเรื่องสร้างบ้านใหม่และก็เรื่องที่จะแต่งงาน มันเป็นคนแรกเลยล่ะที่แต่งงานเนี่ยะ ดีไม่ดีอาจจะเป็นคนเดียวที่มีงานแต่งให้ได้เห็นด้วย ผมไม่รู้ว่าไอ้พวกที่เหลือคิดจะแต่งงานบ้างรึเปล่า แต่เรื่องบวชน่าจะไวไวนี้แหละ มันก็ถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วนะ เดี๋ยวผมต้องเตรียมตัวไว้เต้นหน้านาคสิเนี่ยะ

   ทุกคนจะได้รู้จักเฌอเท้าไฟ

   “แล้วนี่มึงจะไปกี่โมง”

   “เนี่ยะ เดี๋ยวก็ไปละ ฝากบ้านด้วยละกัน อย่าซนให้มาก”

   “เดี๋ยวกูจะเผาบ้านมึงทิ้ง” เจ้าตัวเบ้ปากใส่ผม

   “ห้ามเผาสินี่บ้านแม่กู” ผมตีไหล่มัน “พี่ไม่อยู่แป๊บนึง น้องแช่มไม่ต้องเหงานะครับ”

   “แฟนกูขับรถมาถึงมาหน้าปากซอยละ มึงเถอะ จะไปไหนก็ไป” ชริตเป็ดเอ่ยปากไล่ เออใช่ซี้ กูมันเฌอไงไม่ใช่ข้าวหอมนี่ จำไว้เลยนะไอ้เวร ความหงุดหงิดใจนี้กูจะเอาคืน

   “ดูบ้านดีดีด้วยละกัน” ผมบอกก่อนจะหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกมาจากบ้าน ได้เวลาไปหานังน้อนแล้วครับ ป่านนี้คงใกล้เสร็จพิธีของเขาแล้วล่ะ

   คุณพ่อคุณแม่ของสิบสามไม่ได้มาร่วมแสดงความยินดีนะครับเพราะว่าไปต่างประเทศ ส่วนพี่ๆ ก็ติดงานแต่ว่าโทรมาหาตั้งแต่ตอนเช้าแล้วล่ะ นังน้อนเขาก็ไม่ได้งอแงนะ เข้าใจนั่นแหละว่าทุกคนไม่ว่าง เขาบอกว่าพิธีรับกาวน์ก็เป็นแค่อีกหนึ่งก้าวเท่านั้น ยังไม่ถือว่าถึงฝั่งที่เขาตั้งใจ ไว้มาแสดงความยินดีในวันที่เขาประสบความสำเร็จจริงๆ ก็ได้

   คำพูดคือมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจึ๋งนึง

   ตอนแรกผมกะว่าจะซื้อตุ๊กตากีกี้ลาล่าให้เขา แต่สิบสามก็มีตุ๊กตาเยอะมากอยู่แล้ว เพราะแบบนั้นของขวัญที่ผมซื้อก็เลยเป็นดอกทานตะวันปลอมแทน มันตลกครับไม่มีอะไร อีกอย่างนังน้อนแพ้เกสรดอกไม้ ถ้าซื้อดอกไม้สดมาให้ เขาต้องตายก่อนจะได้เป็นหมอแน่ๆ จะว่าไปถ้าเขาออกมาเจอผู้คนด้านนอกน่าจะเสี่ยงต่อการแพ้อยู่นะ ครอบครัวอื่นต้องมีแน่ๆ ที่ซื้อดอกไม้ไปแสดงความยินดีให้เหล่าว่าที่คุณหมอน่ะ

   เจ้าเด็กยักษ์จะเป็นอะไรไหมเนี่ย

   อาการแพ้อาจจะมีบ้างครับแต่เมื่อเช้าก็ให้กินยาไปแล้ว มันก็อาจจะไม่เท่าไหร่ แต่เชื่อเถอะว่าสิบสามคงไม่อยู่ตรงนั้นนานหรอก ผมขับรถเข้ามาในมหา’ลัยก่อนจะเอาไปจอดไว้ที่ตึกคณะวิศวะฯ มือหยิบดอกทานตะวันยักษ์แล้วมุ่งหน้าไปที่ตึกแพทย์ฯ ด้านหน้าตึกมีว่าที่คุณหมอที่สวมกาวน์ยืนอยู่เต็มไปหมดเลยครับ พิธีคงเสร็จแล้วสินะ ผมกวาดสายตามองหาร่างสูงแต่ก็ไม่เจอ

   ไปอยู่ไหนของเขาวะ

   “สวัสดีค่ะพี่เฌอ”

   เสียงหวานทำให้ผมหันไปมอง “อ่าวน้องลินิน....พี่ยินดีด้วยนะครับ”

   “ขอบคุณค่ะ พี่เฌอหาสามอยู่เหรอคะ”

   “ใช่ครับ แต่พี่หาเขาไม่เจออะ น้องลินินเห็นสิบสามบ้างไหม”

   “น่าจะอยู่ที่ลานเกียร์ค่ะเพราะตรงนี้ช่อดอกไม้เยอะมาก ถ้าอยู่ตรงลานเกียร์ อากาศจะถ่ายเทได้ดีกว่า พี่เฌอลองไปดูที่นั่นนะคะ”

   “โอเคเลย ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มหวานให้เธอก่อนจะเดินออกจากโซนหน้าตึกแล้วไปที่ลานเกียร์แทน

   ร่างสูงนั่งอยู่ที่ม้านั่งพลางเล่นโทรศัพท์อยู่ สีหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดใดออกมาเหมือนเคย ผมยืนมองนังน้อนอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเขาแล้วส่งเข้าไปในไลน์ของเจ้าตัว ใบหน้าหล่อเงยหน้าขึ้นมามองหาผมแล้วชะงักอยู่อย่างนั้นเมื่อเห็นดอกทานตะวันปลอมในมือ สาเหตุของอาการตาโตนั้นคือตกใจที่ดอกทานตะวันใหญ่มาก ต่อมาก็คงประมวลผลอยู่ว่าของจริงหรือของปลอม

   โคตรน่ารักเลยว่ะ

   ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาก่อนจะยื่นดอกทานตะวันให้ “ยินดีด้วยนะครับว่าที่คุณหมอ”

   “ขอบคุณนะครับ” สิบสามยิ้มแป้นออกมาก่อนจะรับดอกทานตะวันไป “ผมตกใจมากเลยตอนที่เห็นน่ะ นึกว่าของจริง”

   “ถ้าเป็นของจริงแล้วจะยังไงหืม....”

   “ถ้าเป็นของจริงก็จะกอดไม่ได้ไงครับ” นังน้อนลุกขึ้นก่อนจะสวมกอดผม “ครึ่งทางแล้วครับพี่เฌอ”

   “เก่งมากนังน้อน” ผมลูบหัวเขาเบาๆ ก่อนจะละกอดออกแล้วมองเสื้อกาวน์ที่ถูกสวมอยู่บนตัวเขา “ถึงวันนี้สักทีนะ ความรู้สึกเหมือนผมเพิ่งบอกคุณเมื่อวานเองว่าจะรอวันที่คุณได้รับกาวน์ ทีนี้ผมก็จะรอดูวันที่คุณได้เป็นหมอสินะ”

   “ใช่ครับ อีกไม่นานหรอก รอหน่อยนะครับ”

   “รอได้เสมอนั่นแหละ” ผมเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาก่อนจะกุมแก้มเจ้าตัวเอาไว้ “บอกแล้วไงว่าจะอยู่กับคุณไปจนแก่น่ะ”

   “ผมจะดูแลพี่เองครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”

   “คุณได้ดูแลผมแน่ๆ ล่ะ เป็นไง....ชอบไหมของที่ผมซื้อให้”

   “ทำไมเป็นดอกทานตะวันล่ะครับ”

   “ตลกดีอะ ก็เลยซื้อมา”

   สิบสามยกดอกทานตะวันมาไว้ด้านข้างหน้าผม “ผมนึกว่าพี่จะเป็นคนโรแมนติกมากกว่านี้ซะอีก”

   “หนิ เป็นแฟนกันมาปีกว่า คุณน่าจะรู้ไหมว่าผมไม่ใช่คนโรแมนติกอะ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอัดคลิปลงสตอรี่ไอจี “แต่ผมรู้นะว่าทานตะวันมีความหมายว่ายังไง คุณรู้ไหม”

   “ไม่ครับ ผมไม่สนใจดอกไม้อยู่แล้ว”

   “ความหมายของดอกทานตะวันก็คือ....ความรักที่ผมมีให้คุณมันจะมั่นคงและไม่เปลี่ยนแปลง”

   รอยยิ้มสดใสเผยออกมาพร้อมกับแก้มที่ขึ้นแดงระเรื่อ อาการแบบนี้ก็คือเขินนั่นแหละ เชื่อไหมครับว่าระหว่างเราตั้งแต่ตอนที่เพิ่งรู้จักจนถึงตอนนี้ แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย สิบสามยังคงเป็นสิบสาม เป็นคนเดิมที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขเสมอเวลาที่ได้อยู่ด้วย ได้เจอกันครั้งแรกตอนที่เขาอยู่ปี 2 แล้วดูตอนนี้สิ เขาขึ้นปี 4 แล้ว รับกาวน์และกำลังจะได้ปฏิบัติหน้าที่เหมือนคุณหมอจริงๆ วันนึงข้างหน้าเขาก็จะคุณหมออย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้

   จนถึงตอนนั้นผมก็หวังว่าเราจะมีกันและกันแบบนี้

   ไม่สิ....ไม่ใช่แค่หวัง

   แต่ตอนนั้นเราต้องมีกันและกันแบบนี้แหละ

   ชอบนะครับ ความรู้สึกที่ได้เป็นส่วนนึงในช่วงเวลาของชีวิตใครสักคนน่ะ จะดีจะร้ายสุดท้ายทุกอย่างก็จะเป็นความทรงจำ ชีวิตช่วงมหา’ลัยของผมมันจบลงไปแล้วโดยสมบูรณ์ แต่ของสิบสามมันยังเหลืออีกครึ่งทาง และมันจะเป็นครึ่งทางที่ผมร่วมเดินไปพร้อมกับเขา ปัญหาและอุปสรรคอะไรที่อาจจะเข้ามา ผมจะช่วยเหลือเขาทุกอย่างเพื่อให้ผ่านมันไปได้ ผมจะเป็นทีมซัพพอร์ตให้นังน้อนไปจนกว่าเขาจะเรียนจบ

   หลังจากนั้นก็คงใช่ด้วยนั่นแหละ

   “พี่เฌอครับ”

   “หืม....”

   “วันที่ผมรับปริญญา....พี่ก็ต้องอยู่ตรงนี้ด้วยนะครับ”

   เรื่องนั้น....

   “มันแน่นอนอยู่แล้วล่ะคุณ”

   

***

   
-------- 50% --------
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทส่งท้าย : 25/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 25-02-2020 01:34:32
---------- ต่อจากบทส่งท้าย ---------



   “ชนแก้วฉลองวันเกิดให้เพื่อนเลแล้วก็น้องหมอที่รับกาวน์หน่อยเร็ว”

   “เอ้า ช้นนนน!!!!”

   เพล้งงงง

   อื้ม....แก้วเกือบแตกคามือแล้ว

   เกินไปมากๆ เลยไอ้พวกนี้

   ผมยกเบียร์ขึ้นจิบพลางยัดกุ้งเผาเข้าปาก ตอนนี้เกือบ 3 ทุ่มแล้ว เหล่าแก๊งค์ปลาทองกำลังสังสรรค์กันอย่างหัวจะปวดครับ เสียงดังชิบหาย ดีนะบ้านผมอยู่ด้านในสุดของหมู่บ้านแล้วบ้านข้างๆ เขาไปต่างจังหวัดพอดี ไม่งั้นต้องมีปะทะกันบ้างแหละที่เสียงดังขนาดนี้ ผมนั่งมองเพื่อนๆ เล่นเกมหมุนขวดกัน ปากขวดโดนใครก็จัดไปเลยโซจูหนึ่งชอต และตอนนี้ปากขวดก็หยุดอยู่ตรงหน้าเฌอ

   ขอบใจมากๆ เลยนะไอ้เวรแช่ม

   “เอาไปเลย ของเฌอเพื่อนรักต้องผสมเบียร์”

   “ไม่ต้องเลยมึง” ผมแย่งแก้วโซจูมากระดกได้ทันก่อนที่ชริตเป็ดจะใส่เบียร์ลงไปเพิ่ม อยากทำให้ผมเมาแล้วหัวทิ่มพุ่มไม้ไง เสียใจด้วยเถอะครับ ไม่หลงกลง่ายๆ หรอก

   “นี่กุ้งครับ” นังน้อนส่งจานใส่กุ้งที่แกะเปลือกแล้วมาให้กลางวง

   “คุณแกะกุ้งเก่งมากเลยนะสิบสาม” ไอ้หมีบอกก่อนจะหยิบกุ้งเข้าปาก “ทำไมทำหน้าแบบนั้นอะพี่ขัน”

   “หึ....”

   เอาละ....สัญญาณบ้านแตก

   “มึงจะโหดไปไหนวะเนี่ย” จันทร์ฉายโขกหัวไอ้คนโฉด สมน้ำหน้ามัน หึงเมียออกนอกหน้าดีนัก

   “กูเจ็บนะ”

   “ก็โขกให้เจ็บเนี่ยะ แหมๆ ๆ ๆ ไอ้หมีนี่ชมคนอื่นนิดนึงไม่ได้เลย”

   “ถ้าเมียมึงชมคนอื่นล่ะ”

   “กูก็เตะดิ” พอเพื่อนฉายเอ่ยแบบนั้นผมก็เหลือบไปมองน้องไผ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ มันทันที ใบหน้าหวานเลิกคิ้วมองนิ่งๆ

   “พี่จะเตะไผ่เหรอ”

   “ใครจะกล้าล่ะครับ”

   เห้อะ....ไอ้พวกกลัวเมีย

   ดีนะที่เฌอไม่มีเมียเลยไม่ต้องกลัว

   ผมลุกออกจากวงเหล้าก่อนจะมาช่วยสิบสามปิ้งโน่นย่างนี่ เขาไม่ได้ร่วมวงกินเหล้ากับพวกเราไง แต่วันนี้นังน้อนจิบเบียร์ด้วยนะครับ นานๆ ทีกินจึ๋งนึงประมาณนั้น แต่ส่วนมากเขาจะย่างของให้พวกเรากินมากกว่า ไม่ใช่แค่อย่างอย่างเดียว เขาแกะให้กินแบบเสร็จสรรพ ผมหยิบเนื้อชิ้นใหญ่มาย่างบนตะแกรงก่อนจะวางพริกหวานโปะๆ ลงไป มือเรียวยื่นกรรเชียงปูมาจ่อที่ปาก ผมอ้าปากงับก่อนจะเคี้ยวแก้มตุ่ย

   “อร่อยไหมครับ”

   “อื้อ” ผมหยิบกุ้งไปป้อนเขาบ้าง “คุณรำคาญพวกมันไหมที่เสียงดัง”

   “นานๆ ทีก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมชอบเวลาเห็นพวกพี่อยู่ด้วยกันนะ ดูสนุก ดูเป็นมิตรภาพดี”

   “ตอนนี้คุณก็มีเพื่อนแล้วนะ”

   “ก็เหมือนเดิมแหละครับ ไม่ได้ต่างจากตอนแรกนักหรอก จะให้สนิทถึงขั้นพวกพี่คงยาก”

   “ไม่เป็นไรนะนังน้อน เดี๋ยวผมจะเป็นเพื่อนให้คุณเอง”

   “ไม่เอาครับ พี่เป็นแฟนผมน่ะดีแล้ว”

   “คุณนี่....” ผมทำหน้ามุ่ยใส่เขา “ผมถามจริงๆ นะสิบสาม เวลาอยู่ที่มหา’ลัย คุณไม่รู้สึกเหงาบ้างเหรอ”

   “พอพี่เรียนจบไปก็รู้สึกอยู่นะครับแต่ก็ไม่เท่าไหร่เพราะว่าถ้าเลิกเรียน ผมก็จะได้เจอพี่อยู่ดี”

   “ทำไมติดแฟนจังหืม....”

   “แฟนผมเขาเป็นคนมีเสน่ห์น่ะครับ หน้าตาก็ดี อัธยาศัยก็ดี ผู้หญิงเนี่ยะชอบมาก ยิ่งตอนนี้เรียนจบไปแล้วอีก ไปอยู่ในสังคมที่เจอผู้คนเยอะแยะ ผมก็หวั่นใจอยู่ทุกวันว่าจะมีใครมาทำให้เขาหัวใจเต้นแรงได้มากกว่าผมรึเปล่า”

   ผมหลุดหัวเราะออกไปทันที “ไม่มีหรอก เพราะว่าแฟนคุณน่ะนะ เป็นคนที่รักใครก็จะรักจริงมากๆ คิดแต่เรื่องของอนาคตที่จะได้ทำร่วมกัน ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาในชีวิตของเขา คนพวกนั้นก็ทำได้แค่เข้ามา ส่วนคนที่เขาเลือกจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย ผมว่าคุณก็น่าจะรู้แล้วนะว่าเป็นใคร”

   “ใครเหรอครับ”

   “อย่ามาทำเป็นไม่รู้ไปหน่อยเลยเดี๋ยวจะโดน” ผมงับไหล่เขาทีนึงเหมือนลงโทษก่อนจะเอาจานเนื้อไปให้เพื่อนๆ พร้อมกับรินเบียร์เพิ่ม

   พวกเราสังสรรค์กันไปอีกพักใหญ่พลางนั่งล้อมเล่าเรื่องเก่าๆ ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงมหา’ลัย เรื่องราวที่เป็นประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดี เรื่องตลกไปจนถึงเรื่องเศร้า เรื่องของความรักที่กว่าจะได้มันมา ทุกคนเคยผ่านความเสียใจ ความเจ็บปวดกันมาทั้งนั้น ตอนนี้เรื่องเหล่านั้นกลายเป็นอดีตไปแล้ว มันจริงเลยนะกับคำที่เขาบอกว่าเรื่องบางอย่างที่เราเคยเสียใจให้กับมันมากๆ พอเวลาผ่านไป เราจะสามารถย้อนกลับมาเล่าถึงมันพร้อมกับเสียงหัวเราะได้

   ก็นะ....มันผ่านไปแล้วหนิ

   การไม่จมอยู่กับอดีตมันจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นจึ๋งนึงนะครับ

   ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไล่ดูแจ้งเตือน มีคนถ่ายรูปตอนที่ผมให้ดอกทานตะวันกับสิบสามด้วยว่ะ แอบถ่ายตอนไหนวะเนี่ย คนที่เขายังติดตามผมกับนังน้อนก็คือยังคงติดตามอยู่แบบนั้นเลยนะ นี่จะตามกันไปจนแก่เลยไหม ดีครับดี เราจะแก่ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ

   อยู่ตามกันไปอีกสัก 60 ปี

   เวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืนกว่าๆ วงปาร์ตี้ของเราก็แยกย้ายไปพักผ่อน พวกมันนอนค้างที่บ้านผมนี่แหละ ดีนะว่าบ้านนี้มีห้องนอนหลายห้องอยู่ ตอนนี้ผมกับสิบสามกำลังช่วยกันเก็บของล้างและทำความสะอาดตรงหน้าบ้านที่เราเปิดตี้กัน วันนี้ผมดื่มไม่เยอะนะ ถ้าเป็นสมัยก่อนคือเฌอต้องเมาเหมือนน้องหมาก่อนใครเพื่อน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เมื่อก่อนไง ผมดื่มเหล้าน้อยลงและก็เพิ่งเลิกบุหรี่ได้มาประมาณเดือนกว่าละ

   ใช้เวลานานเหมือนกันนะกว่าจะหยุดได้จริงๆ

   ผมดีใจที่ตัวเองเลิกสูบบุหรี่ได้ ปัจจัยที่ทำให้คิดเลิกแบบจริงๆ จังๆ ก็คงเป็นนังน้อนนี่แหละ มันก็ถือว่าเป็นเรื่องดีนะครับ สิบสามก็ดูชอบใจอยู่ที่ผมเลิกสูบบุหรี่ เขาบอกว่าเวลาจูบกันจะได้ไม่มีกลิ่นบุหรี่ติดมา

   ดูการให้เหตุผลสิ

   หลังจากเก็บของในครัวเสร็จผมก็ปิดบ้านก่อนจะขึ้นไปที่ห้องนอนตัวเอง เห็นร่างสูงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมระเบียง พอเห็นแบบนั้นผมจึงเดินไปนั่งลงข้างๆ เขา ลมเย็นๆ ที่เข้ากระทบผิวให้ความรู้สึกดีจริงๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่านะ แต่เหมือนวันนี้ฟ้าจะเปิดแฮะ ทำให้เห็นดาวได้มากกว่าทุกวันเลย

   สวยจัง

   “ไม่อาบน้ำนอนเหรอคุณ”

   “อยากอยู่ตรงนี้สักพักน่ะครับ วันนี้ดาวสวยมากเลยนะ” นังน้อนเหลือบมองผม “อยู่ดีดีผมก็มานั่งคิดว่าเวลามันผ่านไปเร็วจัง มันเหมือนกับผมเพิ่งได้เจอพี่ไม่กี่วันก่อนเอง แต่ความจริงมันผ่านมาจะ 2 ปีแล้ว”

   “ผมก็คิดแบบนี้นะตอนที่จัดรูปบนตู้น่ะ เหมือนเมื่อวานยังเป็นแค่เด็กปี 1 อยู่เลย ทั้งๆ ที่ความจริงก็เรียนจบแล้ว เข้าสู่วัยทำงานและต้องรับผิดชอบในอะไรหลายๆ อย่าง”

   “พี่เฌอคิดว่าในช่วงมหา’ลัย ตัวเองใช้ชีวิตคุ้มไหมครับ”

   “คุ้มยิ่งกว่าคุ้มอีกคุณ บางทีก็คิดว่าเกินไปป้ะวะ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงานหรือการทำกิจกรรม ผมว่าตัวเองได้ทำแทบทุกอย่างเลยอะยกเว้นเป็นเดือนคณะอย่างเดียว”

   “นี่ขนาดไม่ได้เป็นเดือนนะครับ พี่ยังเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนขนาดนี้”

   “ก็ผมหล่ออะคุณ” ผมยักคิ้วให้เขาทีนึงก่อนเสยผมตัวเอง “ผมเองก็ลำบากใจเหมือนกันนั่นแหละ”

   “ฮอตจังเลยนะครับ”

   “ก็จึ๋งนึง แต่คุณเชื่อป้ะว่าถึงผมจะเป็นที่ชื่นชอบและนิยมมากขนาดไหน สุดท้ายแล้วคนที่ผมเลือก....คนที่ผมรู้สึกรักก็มักจะทิ้งผมไปเสมอ ไม่เข้าใจเหมือนกัน ที่สำคัญมันจะต้องเชื่อมโยงกับเลข 13 ตลอด นั่นเป็นเรื่องที่ผมไม่เข้าใจจริงๆ ”

   “เพราะคนพวกนั้นคงไม่ใช่มั้งครับ อาถรรพ์เลข 13 ของพี่คงทำหน้าที่ของมันเพื่อรอวันให้พี่ได้เจอกับคนที่ใช่และจะเป็นรักสุดท้ายจริงๆ ”

   ผมหันมองเขา “คุณจะพูดว่าคนที่ใช่และรักสุดท้ายของผม....เป็นคุณอะดิ”

   “ก็ผมคือคนที่อาถรรพ์ของพี่ทำอะไรไม่ได้....จริงไหมล่ะครับ”


   ร่างสูงเลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะกดจูบลงอย่างแผ่วเบา มันเป็นสัมผัสที่คุ้นเคยและทำให้ใจฟูได้ทุกครั้ง ถึงจะเป็นการจูบที่ไม่มีการล่วงล้ำแต่มันกลับสื่อความรู้สึกได้มากมาย ผมอยากรู้มาตลอดว่าคนแบบไหนที่จะหยุดอาถรรพ์เลข 13 ได้ คนแบบไหนที่จะเข้ามาเป็นความรักที่จะไม่จากไป และตอนนี้ก็ได้รู้แล้วครับว่าคนๆ นั้นเป็นใคร

   เขาเป็นผู้ชายที่ผมเจอในวันที่ 13

   และเขาก็ชื่อว่า....สิบสาม

   ผมละจูบออกมาก่อนจะจุ๊บเหม่งเขาแล้วขยับเข้าไปนั่งพิง “คุณรู้ไหมว่าเรื่องของเรา ถ้าย้อนกลับไปเล่าแม่งโคตรตลกเลย ผมยังจำเรื่องในวันนั้นได้ดีเลยนะ ถึงมันจะผ่านมานานแล้วก็เถอะ”

   “ผมก็จำเรื่องวันนั้นได้เหมือนกันครับ ความรู้สึกของการตกหลุมรักใครสักคน ยังไง....ผมก็ไม่มีวันลืม”

   ตึกตัก

   นังน้อนนี่มัน....

   “คุณตกหลุมรักคนเมาได้ไง” เหมือนน้องหมาด้วยนะวันนั้นแถมยังอ้วกอีก สภาพโคตรดูไม่จืด

   “เพราะคนเมาคนนั้นคือพี่ต่างหาก ผมหัวใจเต้นแรงมากเลยนะที่พี่มาหาอีกทีตอนเย็นน่ะ ไหนจะได้กินข้าวด้วยกันอีก”

   “ถ้าคุณไม่บอกคือผมจะไม่รู้เลยนะ วันนั้นหน้าคุณโคตรไร้ความรู้สึกเลย ขนาดแนะนำตัวยังไม่ยิ้มเลยสักนิด”

   “ทำตัวไม่ถูกนี่ครับ อยู่ต่อหน้าคนที่ตัวเองชอบ ก็ต้องเก๊กเป็นธรรมดา”

   ผมบีบแก้มเขาจนปากจู๋  “แบบคุณน่ะเขาเรียกว่าเก๊กตลอดเวลาเถอะ ตอนนั้นผมก็คิดนะว่าขนาดคุณไม่ยิ้ม คุณยังมีเสน่ห์ขนาดนั้น แล้วถ้าคุณยิ้มขึ้นมา มันจะขนาดไหน”

   “แล้วตอนนี้รู้รึยังครับว่ามันจะขนาดไหน”

   “รู้แล้ว” ผมหอมแก้มเจ้าเด็กยักษ์ฟอดใหญ่ “ผมชอบรอยยิ้มนี้มากเลย”

   “มันเป็นของพี่ครับ”

   “มันควรเป็นแบบนั้นแหละ” ผมเลื่อนมือไปกุมมือสิบสามเอาไว้ “ผมดีใจที่เราผ่านเรื่องวุ่นวายต่างๆ มาได้จนถึงตอนนี้ จะว่าไปก็อาจจะต้องขอบคุณเรื่องประสาทแดกพวกนั้นเหมือนกันเพราะมันทำให้ผมได้รู้ว่าคุณรู้สึกยังไงและสุดท้ายผมก็รู้ใจตัวเอง”

   “ผมตัดสินใจถูกจริงๆ ที่บอกความรู้สึกของตัวเองให้พี่ได้รู้ พี่เฌอจำได้ไหมที่ผมเคยถามกับพี่ว่า ผมจะสมหวังไหม....ตอนนี้ผมรู้คำตอบแล้วนะครับ”

   “ผมก็เหมือนกัน” ผมยกมือนังน้อนขึ้นมาจุ๊บเบาๆ “ผมมีความรักมามาก ผมคาดหวังให้มันเป็นครั้งสุดท้าย แต่มันก็ไม่มีเลย ผมเก็บความผิดหวังเอาไว้เพื่อรอใครสักคนที่จะเข้ามาเป็นรักสุดท้าย และทำให้ผมสมหวัง”

   “ตอนนี้พี่คงเจอแล้วนะครับ”

   “อื้ม เจอแล้ว”


   และไม่ยอมเสียไปแน่ๆ

   ผมยกมือขึ้นกุมแก้มเขาก่อนจะขยับเข้าไปกอด อะไรจะนิยามเรื่องระหว่างเราได้ ความโชคดี ความบังเอิญ เวรกรรม อาถรรพ์ ไม่รู้สิครับ ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่มันคือสิ่งที่ทำให้ผมกับสิบสามได้อยู่ด้วยกัน ได้รักกัน ทุกวันที่ 13 ผมยังคงเจอเรื่องโชคร้าย เจ็บตัวบ้างนิดหน่อย แต่มันดีตรงที่มีคนคอยตามเป็นห่วง ตามดูแลซึ่งต่างจากวันที่ 13 ก่อนหน้าที่จะมาเจอเขา

   ชีวิตผมผูกพันกับเลข 13 จริงๆ นะ

   เพราะแบบนี้ถึงได้มาเจอสิบสามไง

   ก่อนหน้านี้ผมคือผู้ที่ไม่เคยสมหวังในความรัก....แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วล่ะ เพราะความรักของผมอยู่ตรงหน้านี่เอง

   “ผมรักพี่เฌอนะครับ”

   “ผมก็รักคุณนะสิบสาม”

   

   ขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนนึงในช่วงเวลาของกันและกันนะ.....ขอบคุณ










----- END -----



สวัสดีค่ะชาลมาส่งสามเฌอแล้วนะคะ จบแล้วสำหรับนิยายเรื่องสุดท้ายของ LoveWriteProject ซึ่งเรื่องนี้เขียนไวมากจริงๆ

เปิดเรื่องวันที่ 6 มกราคม จบวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ยังไม่ถึง 2 เดือน

ชาลขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาเจอกันไม่ว่าจะรู้จักเรื่องนี้เรื่องแรกหรือตามมาจากเรื่องอื่นๆ ก่อนหน้า โปรเจกต์นี้เป็นความภาคภูมิใจของชาลมากจริงๆ เป็นเซ็ตนิยายที่เรียกได้ว่าก้าวผ่านความเป็นมือใหม่ ตอนเขียนเรื่องแรก เขียนสื่อรัก เรื่องราวในเรื่องคือเล่าโดยเด็กปี 1 ส่วนในเรื่องผมผู้ไม่สมหวังในความรักคือเด็กปี 4 จากเรื่องแรกเริ่มตอน 2017 เรื่องสุดท้ายจบที่ปี 2020 ชาลโตมาพร้อมกับตัวละคร พวกเขาเหมือนเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ดีใจที่ทำให้เรื่องราวของทุกคนจบโดยสมบูรณ์

ชาลหวังว่านิยายเรื่องนี้จะให้อะไรกับบี๋ไม่มากก็น้อย ขอบอกเหมือนประโยคตอนจบของเรื่องนะคะ

ขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนนึงในช่วงเวลาของกันและกันนะ

รักบี๋ทุกคนเลยน้า....ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ

หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทส่งท้าย : 25/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-02-2020 03:30:53
น่ารักอ่าาา  หวังว่าไรท์จะมีเรื่องต่อๆไปมาให้ติดตามนะ เราชอบสไตล์การเขียนของไรท์มาก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทส่งท้าย : 25/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 25-02-2020 16:58:10
ขอบคุณสำหรับนิยายนะคะ สนุกมากๆดลย  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทส่งท้าย : 25/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 26-02-2020 23:43:52
ชอบมากครับ สนุกมาก เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะครับ,,,
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทส่งท้าย : 25/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 27-02-2020 15:18:05
จบซะแล้ว เฌอกับสิบสามและผองเพื่อนน่ารักมาก สนุกครบรสมากค่ะ ชอบค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 29-02-2020 20:35:29
Special Valentine's Day


(https://scontent.fbkk22-2.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/88098680_1463497937152553_7268383596086296576_o.jpg?_nc_cat=106&_nc_sid=8024bb&_nc_ohc=WF_TK68x7aYAX82Oezm&_nc_ht=scontent.fbkk22-2.fna&oh=062ce7e8acf16f2d7574fcdc4707d7dd&oe=5EEA8747)


   วันแห่งความรัก....ฉันมีให้เธอทุกวัน

   ไม่ว่าอาทิตย์ถึงจันทร์....ไม่ว่าจะวันไหนๆ


   เป็นเพลงที่เหมาะกับวันนี้จริงๆ เลย 14 กุมภาพันธ์

   วันวาเลนไทน์ที่ก่อนหน้าผมเกือบตายเพราะเป็นวันที่ 13 ไง คืองี้ครับ ไม่มีไรมากหรอก ลื่นตกคลองที่ไซต์งาน ก็ได้แผลถลอกจึ๋งนึงซึ่งสิบสามบ่นผมจนหูชาเลย เอาจริงๆ เมื่อวานไม่มีอะไรน่าหวั่นใจเลยนะ ผมไม่สะเหล่อ ไม่ลืมของ ไม่สะดุดบันไดหรือขับรถหลบน้องหมาน้องแมวแล้วไปชนโน่นนี่ ตอนแรกก็คิดว่าเห้ย หรืออาถรรพ์ของเดือนนี้จะทำอะไรเราไม่ได้วะ นั่นแหละ พอคิดแบบนั้นก็ห้าวตีนไง ไม่ระวังตัวให้ดี

   ลื่นตกคลองเลยไอ้สันขวาน

   พี่เจี๊ยบขำเหมือนจะตาย

   สำหรับทุกคนที่เป็นห่วงก็วางใจได้นะครับ ผมปลอดภัยดีแล้ว เดี๋ยวถ้าแผลหายก็จะกลับไปเป็นเฌอที่แข็งแกร่งคนเดิม ตอนนี้คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือนังน้อนโน่น วันนี้วันวาเลนไทน์แล้วเขามีคลาสเสริม ปกติเสาร์อาทิตย์เขาจะหยุดไง เจ้าตัวงอแงอยู่แหละที่มีเรียนตรงกับวันวาเลนไทน์ สิบสามบอกผมว่ามีอยู่ไม่กี่ช่วงเวลาที่เขาอยากอยู่แต่ในห้องตัวเอง นั่นก็คือ ช่วงงานรับปริญญา งานแต่งงาน และเทศกาลวาเลนไทน์

   ดอกไม้เยอะไงไม่ใช่อะไรหรอก

   ผมเข้าใจเจ้าแบด แบดยักษ์นะ คนแพ้อะเนอะ ถึงกินยาเอาไว้มันก็ต้องมีฟึดฟัดบ้าง เมื่อเช้าก่อนเขาจะออกไปเรียนก็กินยาตามปกติ สวมแมส ใส่แว่น คือวันนี้ป้องกันตัวเองค่อนข้างขั้นสุดซึ่งมันดีแล้วแหละ แต่ยังไงมันก็วางใจไม่ได้เต็มร้อยอยู่ดี เอาน่ะ ถ้านังน้อนไม่ดื้อไม่ซนก็คงไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพอซื้อของเสร็จผมจะไปหาเขาที่มหา’ลัย

   วันนี้มีงานนิทรรศการภาพถ่ายที่ตึกคณะนิเทศฯ

   ชรันคนนี้ต้องไปร่วมงานครับ

   งานนิทรรศการภาพถ่ายจะมีหัวข้อให้นักศึกษาของแต่ละคณะสามารถส่งรูปเข้าไปประกวดได้ ซึ่งผมไม่ได้มีพรสวรรค์อะไรในการถ่ายรูปหรอก แต่ไอ้สัสขันมันบังคับให้เพื่อนๆ ส่งรูปเข้าประกวด กวนส้นตีนจริงๆ ไอ้หมีมันเป็นเฮดงานนิทรรศการไง อยากช่วยเมียแต่มาบังคับพวกผมเนี่ยะ จะว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ลำบากหรอก ก็แค่ส่งรูปเข้าประกวดอะ ส่วนหัวข้อก็ง่ายๆ เลย ตรงกับช่วงเทศกาลวาเลนไทน์พอดี

   หัวข้อความรักครับ

   “พวงนี้เท่าไหร่เหรอครับ” ผมมองพวงมาลัยดอกดาวเรืองปลอมที่แขวนอยู่

   “พวงละ 70 บาทจ่ะพ่อหนุ่ม”

   “งั้นเอา 3 พวงครับ” ว่าแล้วผมก็หยิบเงินส่งให้ป้าแม่ค้า “ไม่ต้องใส่ถุงหรอกครับ”

   “ขอบคุณจ้า”

   “ขอบคุณครับ” ผมรับเงินทอนก่อนจะถือพวงมาลัยปลอมเดินออกมาจากร้าน คือด้วยความที่มันเป็นวันแห่งความรักทั้งที ผมก็อยากให้ดอกไม้แฟนแหละครับ แต่เพราะแฟนผมเขาแพ้เกสรดอกไม้ไง ถ้าจะให้ก็ต้องดอกไม้ปลอม

   พวงมาลัยดอกดาวเรืองปลอม

   ถ้ามันคล้องอยู่ที่คอนังน้อนต้องตลกมากแน่ๆ เลยว่ะ

   พอนึกหน้าสิบสามออกเลยครับว่าเขาจะทำหน้ายังไง ตอนนี้เกือบบ่ายโมงแล้วซึ่งอีกสักพักแหละกว่าว่าที่คุณหมอจะเลิกเรียน บ่าย 2 ครึ่งมั้งถ้าผมจำไม่ผิดนะ งานนิทรรศการนี้ไอ้ขันคงไปแต่เพื่อนๆ คนอื่นไม่น่าจะมา ถึงวันนี้จะเป็นวันเสาร์ก็เถอะ ความจริงที่ผมไปงานนิทรรศการเป็นเพราะรูปที่ตัวเองส่งเข้าประกวดได้ถูกคัดไปแสดงด้วย ไม่ได้รางวัลอะไรหรอกแค่ได้แสดงร่วมเฉยๆ ผมก็ไม่ได้อะไรนะ ไม่คิดว่าจะได้เอาไปโชว์ด้วยซ้ำ

   เจ้าแบด แบดยักษ์เห็นแล้วต้องตกใจแน่ๆ เลย

   ผมเดินมาที่ลานจอดรถของห้าง AA ก่อนจะขับออกแล้วมุ่งหน้าไปมหา’ลัย เดี๋ยวไปหาข้าวกินก่อนดีกว่า ผมคงไปที่ตึกนิเทศฯ เลยแล้วค่อยให้นังน้อนมาหา เออแต่วันนี้สิบสามไม่ได้เอารถมา ไม่เป็นไร ไว้เขาเรียนเสร็จแล้วค่อยขับไปรับก็ได้ ผมขับรถมาจอดที่หลังตึกนิเทศฯ ก่อนจะเดินไปลานบลูซึ่งเป็นสถานที่จัดงานนิทรรศการ

   เด็กเต็มไปหมดเลยว่ะ

   “พี่เฌอ” เสียงเรียกดังจากด้านหลังทำให้ผมหันไปมอง เด็กหัวทองหน้าตากวนตีนโบกมือให้อยู่เย้วๆ ไอ้หมีไงจะใครล่ะ เกลียดออร่าสดใสที่มันมีจริงๆ

   แสบตาว่ะ

   “ไงมึง กินข้าวยัง กูหิวข้าว แล้วนี่อะไรเนี่ยะ” ผมมองกระถางใส่ดอกหน้าวัวในมือมัน

   “ดอกหน้าวัว เพื่อนพี่ให้หมีเนื่องในเทศกาลแห่งความรักไง ดอกกุหลาบก็ไม่ได้นะต้องดอกหน้าวัว แถมสั่งให้ถือเอาไว้ห้ามวางอีกถ้าไม่ได้อยู่หลังซุ้ม”

   ผมหลุดขำทันทีเมื่อนังคุณหมีบ่น “ดอกหน้าวัวก็เท่ดีออก แล้วนี่ไอ้ขันไปไหนอะ”

   “พาไอ้หนมไปซื้อของอะดิ พี่เฌอคิดดูนะ พี่ขุนเอาช่อกุหลาบสีขาวมาให้ไอ้หนมอะ แล้วช่ออย่างใหญ่ เอามาให้เมื่อเช้าคนฮือฮากันเต็มเลย หมีก็คิดละว่าเออ พี่ขันต้องเอาบ้างแหละวะ กุหลาบสีแดง แม่งที่ไหนได้ล่ะ ดอกหน้าวัว แถมมาเป็นกระถางอีก”

   “ฮ่าๆ ๆ ๆ เอาน่ะ อย่าเศร้าไปเลยหมีน้องรัก เดี๋ยวพี่เฌอจะเลี้ยงข้าวเป็นการปลอบใจเอง ดีไหม”

   “ดี งั้นไปกินข้าวกันพี่ หมีหิวเหมือนกัน ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลยอะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ลากผมแล้วพาเดินไปที่โรงอาหารตึกคณะนิเทศฯ

   เด็กคอมอาร์ตสวมเสื้อแจ็คเก็ตน้ำเงินเดินอยู่เต็มไปหมด ผมชอบยูนิฟอร์มของคณะนี้นะ เสื้อแจ็คเก็ตอะ กันแดดได้ กันหนาวได้ ถึงไม่มากแต่ก็ในระดับนึง มองเห็นได้แต่ระยะไกลอีก แต่เอาจริงๆ ถ้าอย่างไอ้หมีเนี่ยะ ไม่ต้องสวมเสื้อแจ็คเก็ตก็สามารถมองเห็นได้จากระยะไกลเหมือนกันนะ

   ออร่ามันกระแทกตาไง

   ผมเดินไปซื้อราดหน้าก่อนจะกลับมาที่โต๊ะ นังคุณหมีกินข้าวราดแกงพลางกดอะไรยุกยิกในโทรศัพท์ก็ไม่รู้ ผ่านไปสักแป๊บนึง เด็กนิเทศฯ อีกสองคนซึ่งผมคุ้นหน้าเป็นอย่างดีเพราะเป็นแก๊งค์เพื่อนไอ้ตัวแสบนี่แหละ เป้กับภีมยกมือสวัสดีผม

   ไอ้เป้นี่มันหล่อจริงๆ แหละว่ะ

   “สิบสามอะพี่เฌอ” เจ้าตัวเอ่ยถาม “มันมาป้ะ”

   “เรียนอยู่อะ เดี๋ยวก็เลิกแล้วมั้ง มีไรอะ”

   “มีเรื่องอยากให้มันช่วยหน่อย คือวันนี้คณะนิเทศฯ มีการแสดงดนตรีแบบนั่งเล่นอะ แล้วทีนี้ไอ้ภีมมันซนไง ล้มจนข้อมือซ้นเมื่อเช้า คาฮองเลยไม่มีคนเล่น ผมก็เลยอยากให้สิบสามเล่นให้”

   “สิบสามตีคาฮองได้ด้วยเหรอ” เรื่องนี้ผมไม่รู้มาก่อน นึกว่าตีแค่กลองทอมเป็น

   ไอ้หมีพยักหน้ารับรัวๆ “โคตรจะเก่ง แต่ไม่ค่อยมีคนรู้เพราะว่าเขาไม่ได้บอกใคร ที่พวกหมีรู้เพราะตอนประกวดดาวเดือนมันต้องมีการแสดงความสามารถพิเศษไง ไอ้เป้มันไปซ้อมที่ห้องดนตรี สิบสามก็ไปด้วย ตอนนั้นถึงได้รู้เหมือนกันว่าเขาตีกลองเก่ง ไม่ใช่แค่กลองทอมหรือคาฮองนะ กลองชุดด้วย ตอนเด็กๆ เคยเรียนมั้ง ใช่ป้ะเป้”

   “ใช่ แต่ปัญหาคือผมกลัวว่ามันจะไม่ช่วยนี่ดิ แต่ถ้าพี่เฌอขอ มันน่าจะยอมนะ”

   “นี่พวกมึงรู้ป้ะว่าสิบสามร้องเพลงเพราะ” หลังจากที่ผมถามแบบนั้นพวกเด็กๆ ก็ส่ายหัวทันที มีแค่เฌอคนเดียวเหรอที่รู้เรื่องนี้อะ งั้นมันก็คงจริงสินะที่นังน้อนเคยบอกว่าจะร้องเพลงให้แฟนตัวเองฟังเท่านั้น

   ร้ายเหมือนกันนะเนี่ยเจ้าเด็กนั่น

   “สิบสามร้องเพลงได้ด้วยอ๋อ เพราะมากป้ะพี่”

   “ฟีลเดียวกับเวลาที่พวกมึงร้องอะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวกูจะลองคุยให้ละกัน แต่ไม่รับปากนะ วันนี้ดอกไม้เยอะ ยังไม่รู้อาการของสิบสามเลยว่ะว่าเขาจะโอเคไหม”

   “ได้พี่ เดี๋ยวรอมันเลิกเรียนก่อนละกัน” ไอ้เป้บอกก่อนจะหันไปหาไอ้ภีม “กินไร เดี๋ยวกูไปซื้อให้”

   “เอาราดหน้าแบบพี่เฌอ”

   “เออ รอแป๊บนึง” ร่างสูงเดินไปซื้อราดหน้าให้เมียรัก ส่วนผมก็ตักยอดคะน้าเข้าปากแล้วดูไอ้หมีแกล้งไอ้ภีมเล่น เดี๋ยวไอ้เป้กลับมาก็โดนเตะหรอกไอ้นี่

   พวกตัวแสบขอให้ผมบอกสิบสามให้เล่นคาฮองให้หน่อย ใจนึงก็คิดว่าเขาอาจจะยอม แต่อีกใจก็คิดว่าเขาอาจจะปฏิเสธ นังน้อนน่าจะอยากกลับหอเร็วๆ ไม่รู้สิ ยังไงก็คงต้องลองบอกก่อน ผมก็อยากเห็นเหมือนกันนะ สิบสามนั่งเล่นคาฮองน่ะ แถมยังนั่งเล่นร่วมกับคนอื่นอีก หลายๆ คนเรียกแก๊งค์นี้ว่ากอสซิปบอยด้วย เรื่องนี้ไอ้หมีมาเล่าให้ฟัง เหมือนกับว่าหมี เป้ และสิบสามเนี่ยะ ชอบสุมหัวกันเวลาปรึกษาหรือวางแผนจะทำอะไรบางอย่าง

   สุมหัวคือสุมหัวจริง

   ไม่ใช่การนั่งคุยแบบคนทั่วไป

   ผมว่าถ้าได้ขึ้นไปเล่นดนตรีด้วยกันจริงๆ ต้องน่าดูมากแน่ๆ เลย อดีตเดือนมหา’ลัยกับคนที่เกือบได้เป็นเดือนมหา’ลัย แล้วผู้ที่เป็นที่รักของทุกคนอย่างไอ้หมีอีก ละพวกนี้ร้องเพลงอย่างเพราะ ไม่ว่าใครก็ต้องอยากเห็นอยู่แล้วแหละ

   เฌอก็เป็นหนึ่งในนั้น

   “เออพี่เฌอ หมีว่าจะถามตั้งแต่ตอนพี่เดินมาละ” มือเรียวหยิบพวงมาลัยดอกดาวเรืองขึ้นมาดู “เอาพวงมาลัยมาทำไมอะ แก้บนอ๋อ”

   “เปล่า กูเอามาให้สิบสาม”

   “ถามจริง”

   “เออสิ ก็นังน้อนเขาแพ้เกสรดอกไม้ก็เลยต้องใช้ดอกไม้ปลอมเนี่ยะ จะให้ตุ๊กตาก็มีเยอะแล้ว”

   ไอ้หมีหัวเราะออกมาเสียงดัง “ดอกหน้าวัวหมีเทียบไม่ติดเลยอะ แล้วลองนึกภาพสิบสามมีพวงมาลัยดอกดาวเรืองคล้องคอ”

   “กูว่าต้องตลกมากแน่ๆ เพราะแบบนี้แหละกูถึงซื้อมา” ผมมองจอโทรศัพท์ที่มีข้อความแจ้งเตือนไลน์เข้า เปิดดูก็พบข้อความของนังน้อน เขาเลิกเรียนแล้วครับ เดี๋ยวผมไปรับเขาดีกว่า

   “สิบสามอ๋อ”

   “อือ เลิกเรียนละ เดี๋ยวกูไปรับเขา”

   “เอารถยนต์ไปเหรอ เอารถเครื่องไปแทนป้ะ” ไอ้หมีหยิบกุญแจรถส่งมาให้ “รถหมีอะ จอดอยู่หลังตึกใต้ต้นไทร”

   “เค งั้นเดี๋ยวกูมา ฝากกระเป๋าด้วย” ผมเอากระเป๋าคาดคล้องคอไอ้หมีก่อนจะเดินออกมาจากโรงอาหารแล้วไปที่ลานจอดรถหลังตึก

   ผมขับรถเครื่องไปตึกแพทย์ฯ ที่อยู่อีกฟากของมหา’ลัย ดีนะว่าวันนี้แดดไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ อึมครึมเหมือนฝนจะตก เดี๋ยวนี้อากาศประเทศไทยมันเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ หน้าร้อนมีฝนตก หน้าหนาวก็ไม่หนาว หน้าฝนก็ตกไม่เคยเป็นเวลาเลย ตอนกลางคืนอะตกไปสิ มาตกอะไรตอนเช้าหรือตอนที่ต้องไปเรียนด้วยวะ ช่างเถอะ บ่นไปก็เท่านั้นอะ

   จะเอาอะไรกับฟ้ากับฝน

   ผมจอดรถที่ข้างตึกก่อนจะไลน์หาสิบสามแล้วบอกเขาว่ารออยู่ตรงนี้ ใช้เวลาไม่นานร่างสูงก็เดินออกมาจากตัวตึก ดวงตาคมใต้แว่นเลนส์เปล่ามองมาทางผมก่อนจะจามหัวสั่นไปทีนึง ทั้งขำและก็สงสาร ขนาดใส่แมสนะนั่นน่ะ นังน้อนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนทำคิ้วขมวดเมื่อเห็นพวงมาลัยดอกดาวเรืองในมือผม

   “วันนี้เป็นไงบ้าง”

   “ก็ดีครับ ไม่เท่าไหร่” เจ้าตัวดันแว่นขึ้นไปคาดหัวตัวเอง “ว่าแต่พี่เอาพวงมาลัยดอกดาวเรืองมาทำไมครับ”

   “วันนี้วันวาเลนไทน์ไงคุณ ก็ให้ดอกไม้กันก็ไม่แปลก”

   “พี่เฌอ”

   ผมจัดแจงคล้องพวงมาลัยให้สิบสาม “สุขสันต์วันแห่งความรักนะครับนังน้อนของพี่เฌอ ขอให้เป็นแฟนที่ดีของผมไปทุกวันเลยนะ”

   “พี่นี่มันจริงๆ เลยนะครับ” ร่างสูงขยับเข้ามากอด “ขอบคุณนะครับสำหรับพวงมาลัย”

   “ชอบไหม”

   “ผมบอกว่าไม่ชอบได้ด้วยเหรอครับ”

   “น่ารักออก” ผมคลายกอดก่อนจะจับดูตามเนื้อตามตัวเขา “วันนี้โอเคไหม”

   “โอเคอยู่ครับ ผมพยายามเลี่ยงเท่าที่เลี่ยงได้ มีจามบ้างแต่ว่ายังโอเคอยู่ แล้วนี่รถใครครับ”

   “รถไอ้หมีอะ รถผมอยู่ที่ตึกนิเทศฯ วันนี้มีงานนิทรรศการภาพถ่ายไง ผมอยากให้คุณไปด้วยกันนะ มีของที่อยากให้คุณเห็น”

   “ได้ครับ ผมยังไม่ได้กินข้าวเลย พี่เฌอกินข้าวรึยัง”

   “กินแล้วแต่เดี๋ยวผมพาคุณไปกินข้าวก็ได้ พวกไอ้หมีไอ้เป้ก็อยู่ที่โรงอาหาร มา....เดี๋ยวผมพาไป” หลังจากที่บอกแบบนั้น สิบสามก็ขึ้นมาซ้อนท้ายรถ

   ผมพานังน้อนมาที่ตึกนิเทศฯ คนไม่น้อยเลยที่มองแฟนผมแล้วยิ้มออกมา เพราะพวงมาลัยดอกดาวเรืองที่คล้องคอเขาอยู่แน่ๆ ล่ะ ผมว่ามันออกจะน่ารัก รู้อยู่หรอกว่าสิบสามไม่อยากเอามันคล้องคอแต่ที่ยอมก็เพราะตามใจผม พวงมาลัยมันไม่ได้ดอกใหญ่นะ ขนาดมันกลางๆ ถึงจะคล้องให้ 3 พวงก็ไม่ได้ทำให้ความหล่อของเขาดูลดน้อยลงหรอก

   อันนี้พูดตามความจริงเลยครับ

   “ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ อะไรมึงเนี่ย” ไอ้เป้หัวเราะลั่นเมื่อเห็นเพื่อนต่างคณะเดินเข้ามา แล้วนั่นมันไปเอามงกุฎดอกไม้จากไหนมาสวมหัววะ

   “ไม่ต้องหัวเราะผมเลย หัวคุณก็เหมือนกันเถอะ” ร่างสูงเอ่ยทักเพื่อนตัวแสบก่อนจะนั่งลงข้างผม

   “แฟนให้ก็ต้องใส่ป้ะวะ” คนพูดหันไปย่นหน้าใส่แฟนตัวเองทีนึง

   “จะใส่ดีดีหรือจะให้กูเอาไปให้คนอื่นใส่”

   อืม....เดี๋ยวก็บ้านแตกอีก

   ผมส่ายหัวให้เด็กๆ ที่กำลังง้องแง้งใส่กันอย่างเอื้อมๆ หันมองนังน้อนที่ถ่ายรูปลงสตอรี่ไอจีตัวเอง หน้านิ่งมาก แล้วมีดอกดาวเรืองเต็มคอแบบนั้นก็ดูตลกป้ะวะ ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะเข้าเฟรมกล้องด้วย ขำว่ะ ทำไมนังน้อนมันน่าเอ็นดูแบบนี้วะ

   “ผมไปซื้อข้าวก่อนนะครับ” เจ้าตัวบอกก่อนจะเดินไปซื้อข้าว ผมก็เล่นโทรศัพท์ของสิบสามที่วางอยู่ตรงหน้า

   “พี่เฌอบอกสิบสามยัง”

   “ยัง พวกมึงอะต้องบอก เดี๋ยวกูช่วยชงให้”

   “ได้ พี่ว่าอาการเขาวันนี้เป็นไง”

   “ยังโอเคอยู่นะ ไม่น่าจะมีปัญหาอะ”

   สิบสามเดินกลับมาพร้อมกับจานข้าว “พี่เฌอจะกลับประมาณกี่โมงเหรอครับ”

   “คุณรีบเหรอ”

   “เปล่าครับ แค่ถามเฉยๆ ”

   “ยังไม่รู้เหมือนกันอะ ถ้าคุณไม่เป็นไรมากก็อาจจะเย็นๆ หน่อยก็ได้มั้ง มันมีดนตรีด้วยนะงานนิทรรศการ”

   “สามเพื่อนรัก” ไอ้เป้ขยับเข้ามาใกล้นังน้อน “กูมีอะไรให้มึงช่วยหน่อยอะ”

   “อะไรครับ”

   “เล่นคาฮองให้หน่อยดิของงานนิทรรศการภาพถ่าย” สิ้นเสียงนั้นทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบ สิบสามมองเป้นิ่งๆ พลางเหลือบมองผมเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

   มันก็ยากนะที่จะทำให้เขายอมง่ายๆ น่ะ ปกติสิบสามถ้าไม่มีแรงจูงใจให้ทำก็จะไม่ทำไง เขาคงไม่อยากให้ใครได้เห็นตัวเองในมุมที่แปลกไปจากเดิมสักเท่าไหร่ ผมเข้าใจนะ แต่อีกใจก็อยากให้เขาแสดงมันออกมาให้คนอื่นได้เห็นเหมือนกัน มันไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ก็นั่นแหละทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเขา ซึ่งทุกคนในตอนนี้พยายามหาทางต้อนให้ยอมอยู่

   โห่....ก็อยากเห็นอะ

   “พี่เฌอคิดว่าไงครับ”

   “ผมก็อยากเห็นคุณนั่งเล่นกับเพื่อนๆ นะ ไม่รู้เลยว่าคุณเล่นคาฮองได้” ผมเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาพลางยิ้มบางๆ ให้ “ความจริงอยากได้ยินคุณร้องเพลงด้วย จริงอยู่ว่าถ้าคุณร้องเพลง หลายๆ คนอาจจะได้ยิน แต่ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน”

   เจ้าตัวพยักหน้ารับเบาๆ “เอาแบบนั้นเหรอครับ”

   “ถ้าคุณลำบากใจก็....”

   “ผมจะขึ้นเล่นดนตรีครับ” สิบสามยิ้มบางๆ ให้ผมก่อนเลื่อนมากุมมือที่อยู่ใต้โต๊ะ “นานๆ ทีไม่เป็นไรหรอกครับ อีกอย่างก็ถือว่าช่วยเพื่อนๆ ผมทำได้”

   “ขอบใจมึงมากจริงๆ เลยเพื่อน” ไอ้เป้ยกมือแตะไหล่เขา “งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จไปขนกีต้าร์กับคาฮองที่ห้องคณะกัน แล้วจะเล่นเพลงอะไรค่อยว่ากันอีกที”

   “ได้ครับ แล้วตอนแรกใครเล่นคาฮองเหรอครับ”

   “ผมเอง แต่ว่าเมื่อเช้าล้มแล้วมือซ้นอะ ก็เลยต้องหาคนเล่นแทน รบกวนคุณด้วยนะสิบสาม” ภีมเอ่ยบอก

   “โอเคครับ” เขารับคำก่อนจะกินข้าวต่อ

   เป็นไปตามที่คิดจริงๆ ด้วยว่านังน้อนจะยอมเล่นคาฮองให้ เดี๋ยวผมจะรอดูอย่างใจจดใจจ่อเลย ลองคิดภาพตามวงนั่งเล่นบนเวที สิบสามมีพวงมาลัยคล้องคอ ไอ้เป้สวมมงกุฎดอกไม้ ไอ้หมีมีกระถางดอกหน้าวัวตั้งอยู่ข้างๆ โอ๊ยยยยมันอะไรเนี่ยะ แค่คิดก็ขำแล้วอะ อยากเห็นเวลาจริงเร็วๆ

   “แล้วนี่มึงเล่นกันกี่โมง”

   “บ่าย 3 อะพี่”

   “ก็ใกล้เวลาละสิ” ผมมองร่างสูงที่เอาจานไปเก็บ พวกเด็กแสบก็เก็บของเตรียมจะไปห้องคณะ

   “พี่เฌอรอดูผมด้วยนะ”

   “แน่นอนสิ เดี๋ยวผมรอที่หน้าเวที โอเคไหม”

   เจ้าตัวพยักหน้ารับ “แล้วเจอกันนะครับ”

   “อื้ม” ผมมองสิบสามที่เดินไปกับก๊วนเด็กนิเทศฯ

   เรื่องความสัมพันธ์ต่อคนรองข้าง เขาดูเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะถ้าเทียบกับวันแรกที่รู้จักกันน่ะ นังน้อนดูเข้ากับคนอื่นได้มากขึ้น ถึงจะยังมาดนิ่งและพูดน้อยอยู่แต่ก็เป็นมิตรกว่าเดิมเยอะเลย มันดีนะครับที่เขาปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้จึ๋งนึงแบบนี้ ผมว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์อยู่นะถ้าในวันนึงเขาต้องเป็นคุณหมอน่ะ

   “เฌอ”

   หันตามเสียงเรียกก็พบกับขันเพื่อนรัก “อ่าว มาแล้วเหรอ”

   “อืม แล้วไอ้หมีอะ”

   “ไปห้องคณะ เดี๋ยวจะมีดนตรีอะ เราก็ไปลานบลูเหอะ” ว่าแล้วผมก็ลากไอ้ขันไปที่ลานบลู “เห็นรูปของกูแล้วสิ”

   “เออดิ รูปมึงน่ะใหญ่มาก ไอ้หมีติดเองกับมือ แล้วแฟนเด็กมึงรู้ไหมว่ามึงเอารูปเขามาประกวด”

   “ไม่รู้หรอก กูก็ไม่คิดว่าจะได้เอามาแสดงนี่หว่า” ผมเดินนำไอ้ขันมาจนถึงด้านหน้าของเวทีเล็ก “อยากรู้เหมือนกันว่าตอนสิบสามเห็นเขาจะทำหน้ายังไง”

   “ก็ทำหน้านิ่งเหมือนเดิม”

   “เออ อาจจะ” ผมยืนมองเด็กๆ คณะอื่นที่เข้าชมงานนิทรรศการ มีบางส่วนมายืนออกันอยู่หน้าเวทีเล็กเพื่อรอชมดนตรีนั่งเล่น อีก 10 นาทีจะบ่าย 3 อากาศเป็นใจอยู่ มีลมเย็นโชยมาเป็นระยะ

   “มึงให้อะไรแฟนป้ะวาเลนไทน์”

   “ให้ดิ เดี๋ยวมึงก็เห็น แล้วมึงเนี่ยะ ให้ดอกหน้าวัวไอ้หมีเนี่ยนะ”

   “ตลกอะ อย่าว่าแต่กูเลย มันก็ให้ดอกบัวกูมาพานนึง ไม่ได้เป็นช่อด้วยนะ มาทั้งพานเลยตั้งแต่เมื่อเช้าอะ กวนส้นตีน”

   “ก็สมกันแล้วไหมวะ”

   “แล้วมึงอะ น้องหมอให้อะไรป้ะ”

   “ไม่อะ ไม่น่ามีนะ ให้หรือไม่ให้กูไม่ใส่ใจ ขอแค่กูได้ให้ก็พอ”

   “พวงมาลัยดอกดาวเรืองอะนะ” ไอ้ขันมองร่างสูงที่เดินมาพร้อมผองเพื่อน “มึงนี่แม่งโคตรไอ้เฌอเลย”

   อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

   เสียงกรี๊ดดังลั่นจากกลุ่มเด็กหน้าเวทีเมื่อกอสซิปบอยทั้ง 3 เดินขึ้นไปบนนั้น ไอ้เป้ถือกีต้าร์ ไอ้หมีถือแทมบูลิน ส่วนนังน้อนของผมก็ถือคาฮอง เขาเอาแว่นคาดผมตัวเองเอาไว้พลางรั้งแมสที่ปิดปากมาไว้ใต้คางก่อนจะหันหลังไปจามทีนึง นี่ไม่ใช่ว่าร้องเพลงอยู่แล้วก็จามออกมานะ แบบนั้นจะฮามาก ผมเห็นนักดนตรีเฉพาะกิจแอบหันไปสุมหัวคุยอะไรกันสักอย่างก่อนจะนั่งประจำตำแหน่งตัวเองแล้วปรับไมค์ให้อยู่ในองศาที่พอดี

   ตื่นเต้นจังวะ

   นัง 3 คนบนเวทีนั่นโคตรหล่อเลย

   ตลกแถมมุ้งมิ้งมาก

   ผมมองดอกหน้าวัวที่อยู่ข้างเก้าอี้ที่ไอ้หมีนั่ง เพื่อนรักดูชอบใจที่แฟนมันเอากระถางดอกไม้ที่มันให้ขึ้นไปเล่นดนตรีด้วย แต่ถ้าถามผมนะ คนที่ฮาที่สุดบนเวทีนั่นก็นังน้อนป้ะ เหมือนศาลเจ้าจำลองอะ นี่ถ้ามีผ้าสามสีผูกเอวด้วยจะโคตรใช่เลย

   “เทสครับ ได้ยินกันไหมเอ่ย” เสียงของเด็กหัวทองเอ่ยทักทายทุกคน “ยินดีต้อนรับสู่นิทรรศการภาพถ่ายของคณะนิเทศศาสตร์นะครับ” ทุกคนพากันปรบมือหลังจากที่ไอ้หมีพูดจบ

   “ก่อนอื่นต้องขอบคุณทุกภาพ ทุกผลงานที่ทุกคนส่งเข้ามาร่วมประกวดนะครับ สามารถดูการรับรางวัลย้อนหลังได้ที่เพจของทางคณะนิเทศศาสตร์ได้เลยนะครับ วิดิโอทำการอัปโหลดแล้วตั้งแต่เมื่อช่วงบ่ายนะ ส่วนในตอนนี้ก็เป็นดนตรีนั่งเล่นเซอร์วิส ก็ได้คนหล่อมานั่งเล่นด้วยนะครับ”

   สิบสามเหลือบมองเป้นิ่งๆ “ก็แฟนคุณข้อมือซ้นไงครับ ผมถึงต้องมาเล่นแทน” พอนังน้อนพูดแบบนั้นเสียงกรี๊ดก็ดังขึ้นอีก ส่วนไอ้เป้ก็หน้าขึ้นสีเพราะโดนแซว ไม่เคยเจอใครแซวคนอื่นด้วยสีหน้าแบบนั้นเลย

   นิ่งจนเหมือนว่าพูดเฉยๆ นะแต่ความจริงคือแซว

   “เริ่มกันเลยดีกว่าครับก่อนจะเขินตายกันสักก่อนนะ ถ้าทุกคนพร้อมแล้วก็เริ่มกันเลยนะครับ” สิ้นเสียงไอ้หมี เสียงเกากีต้าร์ก็ดังขึ้นพร้อมกับไอ้เป้ที่เริ่มร้องก่อน

   

   “มันคาดไม่ถึงเลยเธอ คนที่จะเปลี่ยนฉันไปให้ดีขึ้นได้เหมือนเธอ

   สิ่งที่เห็น ไม่เป็นอย่างที่คิด ที่ดีอยู่แล้วยิ่งดีจนบอกไม่ถูก”

   

   “ตอนที่ตื่นมา see ya smile got me going damm you are changing my whole life

   ลืมไปหมดเลยว่าเมื่อคืนฝันร้าย yeah ถ้าเธอก็คิดเหมือนที่ฉันคิด

   you and me we got the same vibe”

   

   “แค่ฉันมีเธอ ก็จบที่เธอคนนี้ ไม่มีใครใหม่

   สะกดให้ใจฉันยอม....ตลอดไป

   เธอคนเดียวที่ทำให้ชีวิตฉันมัน alright

   เข้ามาทำให้โลกของฉันสดใส ดีอย่างคาดไม่ถึง

   I can't believe it .....”


   

   ( ดี๊ดี (UNEXPECTED) - JAYLERR x PARIS )

   

   ตึกตัก

   ดีจังวะ

   ผมยกมือขึ้นทาบอกตัวเองหลังจากฟังท่อนฮุกที่สิบสามร้อง หัวใจเต้นแรงและรู้สึกหน้าร้อนมากเลย เขินทำไมวะเนี่ยเฌอ เพราะรอยยิ้มหลังจบท่อนร้องแน่ๆ โหยยยย ใจใครจะไหววะ คือรู้อยู่แล้วว่านังน้อนร้องเพลงเพราะ แต่ลุคที่ร้องไปด้วยแล้วเล่นคาฮองไปด้วยแบบนี้ไม่เคยเห็นไง โคตรดีเลยอะ ทั้งเพลงเอย ดนตรีเอยหรือแม้กระทั่งนักร้อง ความรู้สึกเมื่อกี๊เหมือนโดนบอกรักผ่านเพลงยังไงก็ไม่รู้

   สายตาและรอยยิ้มนั่นก็ทำให้ใจสั่น

   สิบสามนี่มันจริงๆ เลย

   กอสซิปบอยเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ พร้อมกับทำให้สาวๆ ตกหลุมรักได้ทั้งบาง แต่บนเวทีนั่นไม่มีใครโสดเลยนะ มีเจ้าของหัวใจกันหมดแล้วทุกคน ผมชอบเวลานังน้อนร้องเพลงจริงๆ อย่างน้อยสีหน้าเขาก็ดูมีอารมณ์เข้ามาปะปนบ้าง บ่อยครั้งที่เขาร้องเพลงแล้วมองมาทางผม ก่อนจะละสายตาก็ยิ้มให้ และทุกครั้งที่เขายิ้ม เสียงกรี๊ดก็จะดังขึ้นตลอด

   เกินไปแล้วจริงๆ

   

   “แค่ฉันมีเธอ ก็จบที่เธอคนนี้ ไม่มีใครใหม่

   สะกดให้ใจฉันยอม....ตลอดไป

   เธอคนเดียวที่ทำให้ชีวิตฉันมัน alright

   เข้ามาทำให้โลกของฉันสดใส ดีอย่างคาดไม่ถึง

   I can't believe it .....”


   

***


   
---------- 50% ----------
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: chaleeisis ที่ 29-02-2020 20:36:47
---------- ต่อจากบทพิเศษ ----------


   “นี่น้ำนะคุณ”

   “ขอบคุณครับ”

   ผมโบกพัดให้สิบสามหลังจากที่เขาเล่นดนตรีเสร็จ ตอนนี้เกือบ 4 โมงครึ่งแล้วครับ ชั่วโมงกว่าของวงกอสซิปบอยคือดีมาก เพลงเพราะมาก หล่อมาก ผัวแห่งชาติสุดๆ ระหว่างร้องเพลง นังน้อนจามออกมาด้วยครับ โคตรน่ารักอะ เป็นเหมือนจังหวะซิทคอมแล้วทุกคนก็พากันหัวเราะ แฟนผมขำจนตาหยีให้ได้เห็นกันเลยแหละ พวกที่ดูดนตรีวันนี้คือสู่ขิตเพราะมันน่าจะเป็นครั้งเดียวที่เขาแสดงอาการทั้งหมดนั้นให้เห็น

   “คุณร้องเพลงเพราะจริงๆ เลยนะสิบสาม”

   “ชอบไหมล่ะครับ”

   “ชอบสิ แล้ววันนี้ร้องแต่เพลงรัก ฟังแล้วเขินยังไงก็ไม่รู้”

   “วันแห่งความรักนี่ครับ” เจ้าตัวเขี่ยผมที่ปรกหน้าผมออกให้ “ผมดีใจนะที่พี่ชอบ แต่อะไรแบบนี้คงไม่ได้เห็นบ่อยๆ นะครับ”

   “พอรู้อยู่หรอก เออคุณ ผมมีอะไรอยากให้ดูด้วย” ว่าแล้วผมก็ลากร่างสูงมาที่รูปภาพซึ่งจัดแสดงโชว์อยู่ด้านหน้า

   ดวงตาคมมองภาพนิ่งๆ พร้อมกับคลี่ยิ้มออกมา ภาพภายใต้หัวข้อความรักที่ผมส่งเข้าประกวดก็คือภาพที่ผมถ่ายสิบสามตั้งแต่ตอนที่เราไปเสม็ดด้วยกัน ฉากหลังเป็นพระอาทิตย์ขึ้นครับ เขาหันมายิ้มให้ ตอนนั้นเราเป็นแฟนกันแล้วนั่นแหละ มันสดใส เห็นทีไรก็ทำให้ยิ้มได้ เพราะแบบนั้นเลยเอาภาพนี้ส่งเข้าประกวด ถึงจะไม่ได้รางวัลแต่ว่าได้เห็นเขายิ้มเพราะภาพตัวเองมันก็ดี

   ดีต่อใจมากเลยจริงๆ

   “ผมไม่รู้เลยนะครับว่าพี่จะเอารูปผมส่งเข้าประกวด”

   “หลายคนคงชอบภาพนี้”

   “ผมก็ชอบ....” มือเรียวเลื่อนมากุมมือผม “ยิ่งเฉพาะคนถ่ายนะ ผมยิ่งกว่าชอบอีก”

   ผมหลุดยิ้มออกมาก่อนจะขยุ้มหัวเขา “ขนาดนั้นเชียว”

   “ใช่ครับ วันนี้วันวาเลนไทน์ แต่ผมไม่มีอะไรให้พี่เลย”

   “ไม่ต้องหรอก ไม่มีอะไรจะมีค่ามากกว่าคุณอีกแล้วอะ”

   “พี่เฌอ” แก้มขาวขึ้นสีแดงระเรื่อ “พี่ทำผมเขินนะครับ”

   “เขินมากไหม”

   “ก็ไม่มาก” เจ้าตัวอมยิ้มให้ “แค่จึ๋งเดียว”

   “สิบสาม”

   “”หืม....”

   “ผมอยากจูบคุณอะ”

   “ตรงนี้คงยากครับเพราะคนเยอะมากเลย” เขายกมือผมขึ้นไปจุ๊บเบาๆ “เท่านี้ก่อนนะครับ”

   “อื้ม....” ผมยกมือเขาขึ้นมาจุ๊บบ้าง “ผมไม่ค่อยมีแฟนอยู่ด้วยในช่วงวาเลนไทน์เลยอะ บ่อยครั้งที่ความรักมันจะจบลงก่อนหน้าวันนึง คือน้อยมากจริงๆ ”

   “ผมไม่เคยมีแฟนอยู่ด้วยในช่วงวาเลนไทน์เลยครับ พี่เฌอเป็นคนแรกและคงเป็นคนเดียวที่ผมมี ผมไม่ชอบวาเลนไทน์ ดอกไม้เยอะ หายใจลำบาก แต่พอมีพี่อยู่ด้วยตรงนี้แล้วผมคงต้องมองใหม่แล้วล่ะ”

   “ผมมีความสุขนะ วันนี้เป็นวาเลนไทน์ที่ดีสำหรับผมจริงๆ ” ผมเอียงหัวเข้าไปใกล้สิบสาม “ผมรักคุณนะนังน้อน วาเลนไทน์ปีหน้า....อยู่ด้วยกันอีกนะ”

   “ผมจะอยู่กับพี่เฌอไปทุกปีเลยครับ”


   จุ๊บ

   “สิบสาม!!!!”

   ไหนคุณบอกคนเยอะไง

   “สุขสันต์วันแห่งความรักนะครับ....แฟนของสิบสาม”

   เขาแม่ง....น่ารักจริงๆ แหละว่ะ

   

   

   

----- END -----





สวัสดีค่ะมาส่งสเปฯ สามเฌอแล้วนะคะ ถึงจะเลยวาเลนไทน์มาแล้วแต่ถือว่าย้อนหลังนะ

ชาลมีแพลนส่งสามเฌอให้กับสนพ.นึงเพื่อพิจารณา ใช้เวลารู้ผลอาจจะนาน ถ้าสมมุติว่าไม่ผ่านก็คงทำมือเองค่ะ เดี๋ยวจะแจ้งให้ทราบอีกทีนะคะ

ภาพที่เห็นนังน้อนกับพี่เฌอนั่นต้องขอบคุณเพื่อนฐาของชาลด้วยนะคะ มันคือคนวาด เป็นเพื่อนกันนี่แหละ นี่เลยคือสิบสามและพี่เฌอในความคิดของชาล หวังว่าบี๋คงชอบนะคะ

สุขสันต์เดือนแห่งความรักน้า เลิ้บๆ ค้าบ

#สามเฌอ

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านน้า
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Naiikratai ที่ 01-03-2020 23:48:14
โอยยยย น่าร้ากกกก ใจบางงงงงง ฮื่อออ
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 02-03-2020 19:56:30
แม่ค่ะ หนูชอบเขาาา หนูชอบสิบสามมม  :-[
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 03-03-2020 16:04:11
โอ้ยดีแบบนี้ทำไมพึ่งได้อ่านนนน มันเป็นน่ารักหลายจึ๋งเลยครับ   :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 03-03-2020 23:12:33
น่ารักมากทั้งคู่เลย,,,
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Fuzz ที่ 07-03-2020 22:46:25
อยากมีสิบสามเป็นของตัวเองงงงงงง  :katai1:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-03-2020 21:13:51
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 11-03-2020 09:31:46
 :L1:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 17-03-2020 22:50:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 10:20:59
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 15-01-2021 22:42:12
อาถรรพ์เลข13ก็ต้องล้างคำสาปด้วยคนชื่อสิบสามหน่ะมันถูกทางแล้ว 555 โอ๊ยยยอิจฉาเฌอ สมกันแล้วคู่นี้ น่ารักมากกก  :-[ :o8: สนุกกดี จะปสด.เพราะนังเดียร์ 5555 ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 16-01-2021 02:54:03
น่ารักมาก ๆ เลยครับ อ่านรวดเดียวเลยจริง ๆ หยุดไม่ได้
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 16-01-2021 07:37:36



Sent from my iPad using Tapatalk
หัวข้อ: Re: Unrequited Love ผม....ผู้ไม่เคยสมหวังในความรัก [บทพิเศษ : 29/2/2020] หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 17-01-2021 09:54:50
 :-[