ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ชอบ "ก็" จีบ #ชอบก็JEEB l จีบสุดท้าย l 10/8/63 l P.9 [EnD]  (อ่าน 64752 ครั้ง)

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
- จีบที่ 5 -




[อ๋อง]

เคยรู้สึกมั้ยว่าการมีอยู่ของตัวเองมันดูไม่เข้ากับอะไรเลยสักอย่าง

ผมรู้สึกแบบนั้นตอนอายุสิบหก

ตั้งแต่เล็กจนโตผมเข้าใจมาตลอดว่าตัวเองเกิดมาในครอบครัวอบอุ่นที่พรั่งพร้อมไปด้วยพ่อและแม่ซึ่งรักผมมากกว่าใครๆ จนกระทั่งตอนที่ขึ้นมัธยมปลายนั่นแหละ ผมถึงสัมผัสได้ว่าบรรยากาศในบ้านเปลี่ยนไป พ่อกับแม่เริ่มคุยกันน้อยลง ต่างฝ่ายต่างเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากันตรงๆ การกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ทุกๆ เช้าก่อนไปโรงเรียนผมต้องกินข้าวกับแม่เพียงลำพัง มีโอกาสได้คุยกับพ่อตอนดึกหลังจากแม่นอนไปแล้วก็เท่านั้น

ผมทนอึดอัดกับความรู้สึกนั้นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆ จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งคู่เดินเข้ามาคุยกับผมว่าทั้งคู่ตัดสินใจแยกทางกัน เมื่อนั้นผมถึงรู้สึกว่าความสุขที่ผมได้รับมาตั้งแต่เกิดหายวับไปกับตา เหมือนว่าโลกแห่งความสุขที่ผมเป็นเจ้าของได้ถล่มลงตรงหน้า ยิ่งไปกว่านั้นผมได้รับข่าวร้ายเพิ่มเติมว่าผมไม่ใช่ลูกคนเดียวของพ่อ เหมือนฟ้าฟาดลงกลางใจว่าความจริงที่ซุกซ่อนอยู่เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น

พ่อลอบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนร่วมงานหลายปีจนกระทั่งมีลูกด้วยกัน เด็กนั่นอายุสิบกว่าขวบเป็นหนุ่มน้อยแล้ว ความจริงที่ซัดกระแทกเต็มๆ นั่นทำให้ผมเจ็บปวดที่สุด เมื่อนั้นผมถึงเข้าใจว่าตลอดเวลาหนึ่งปีหลังจากที่แม่ทราบเรื่อง แม่พยายามรักษาครอบครัวเราอย่างเต็มที่ แต่แก้วที่มันร้าวแล้วยากที่จะประสานกันได้

แม่พูดกับผมว่าเธอยอมอดทนทุกอย่างเพื่อผม แต่เธอไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้ชายใจร้ายที่ทำให้เธอเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสได้ ผมยอมรับการตัดสินใจของแม่หลังจากหย่ากันแม่จะพาผมไปเมืองนอกด้วย เพราะพี่สาวแม่เปิดร้านอาหารอยู่ที่ต่างประเทศ แต่พ่อไม่ยอมให้ผมไป สุดท้ายแม่ต้องจำใจยอมให้ผมอยู่กับพ่อด้วยเหตุผลที่ว่าพ่อเป็นผู้ปกครองที่มีกำลังทรัพย์มากพอจะให้การศึกษากับผมได้ แม่บอกให้ผมอดทนเพื่อรอวันที่แม่จะกลับมารับผมไปอยู่ด้วย

แต่นั่นคือคำสัญญาที่ไม่เป็นจริงเพราะสุดท้ายแม่พบรักกับชาวต่างชาติและตกลงแต่งงานกัน ขณะที่พ่อรับเอาภรรยาอีกคนและลูกชายเข้ามาอยู่ในบ้านอย่างเปิดเผย เมื่อนั้นแหละผมถึงรู้สึกว่าการมีอยู่ของผมมันไม่เหมาะกับตรงไหนทั้งนั้น ไม่ว่าจะมองไปทางใด ผมมองไม่เห็นที่ว่างที่เป็นพื้นที่ของตัวเองเลย

จนกระทั่งผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั่นทำให้ความอดทนอยู่บ้านหลังเดียวกับพ่อสิ้นสุด ผมมองหาอิสระที่ตัวเองต้องการและปีกกล้าขาแข็งออกมาอยู่ตามลำพัง โชคดีว่ามีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งแต่ถึงอย่างนั้นผมก็มองหางานพิเศษเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ

การออกมาอยู่หอในช่วงแรกนั้นพ่อเข้าใจว่ามันสะดวกกับการเรียนของผม แต่เพราะผมไม่เคยกลับบ้านอีกเลยนั่นทำให้พ่อไม่พอใจจนพยายามโน้มน้าวใจทุกวิธีทางเพื่อให้ผมกลับบ้าน ไม่ต่างจากแม่ที่พอทราบข่าวว่าผมออกมาอยู่ข้างนอกก็ตกอกตกใจกับการกระทำของผม

แม่จึงฝากฝังผมกับเพื่อนสนิทของแม่ให้ช่วยดูแลผมอยู่ห่างๆ แน่นอนว่าเพื่อนสนิทของแม่ที่ผมรู้จักตั้งแต่เด็กเข้ามาให้ความช่วยเหลือผมสารพัดจนกระทั่งทำให้ผมได้รู้จัก “ลูกชาย” เพื่อนสนิทของแม่ ผู้ชายหน้านิ่งเจ้าของใบหน้าคมคายที่ชอบผมมองราวกับเด็กน้อย

ผมเกลียดแววตาคู่นั้น

แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร มองผมราวกับเด็กขาดความอบอุ่น หรือเด็กมีปัญหาบ้านแตก ผมเกลียดความเวทนาที่ฝ่ายนั้นมีให้ ผมเกลียดที่ฝ่ายนั้นชอบมองผมนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไรเลย ถึงแม้ว่าการกระทำของผมจะเลวร้ายสักแค่ไหน

ผมเกลียดความอ่อนโยนที่ฝ่ายนั้นชอบแสดงต่อกันเหมือนที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้

“พี่มีข้อเสนอให้”

เจ้าของใบหน้าคมคายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของพูดขึ้น สีหน้าท่าทางดูสุภาพตามบุคลิกนั่นทำให้ผมนึกรำคาญลูกตา แน่นอนว่าสีหน้าที่แสดงออกถึงความเบื่อหน่ายของผมทำให้ฝ่ายนั้นถอนหายใจเงียบๆ

“น้าดุจกับแม่พี่เห็นตรงกันแล้ว”

“เหอะ”

ผมเบะปากทันที

“เลิกทำงานเสิร์ฟอาหารที่ร้านเหล้าเถอะ”

“มึงฟ้องแม่กูเหรอ”

ฝ่ายนั้นมองหน้าผมนิ่ง

“พี่อายุมากกว่าอ๋องหลายปี”

ผมเม้มปากแน่นก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น

“ไม่ต้องสุภาพกับพี่ก็ได้ แต่พี่ไม่ชอบให้เราแทนตัวเองกับพี่ว่ามึงกู”

“อ่อนไหวจังนะ”

ฝ่ายนั้นยิ้มน้อยๆ ให้

“ก้านบัวบอกลึกตื้นชลธาร ส่วนมารยาทก็ส่อสันดานชาติเชื้อ พี่ไม่อยากให้เราเสพติดคำหยาบคาย เมื่อก่อนอ๋องเป็นเด็กน่ารักมากนะ”

“หุบปาก”

ผมตบโต๊ะเสียงดังความพูดของอีกฝ่ายเสียดแทงเข้าไปในจิตใจ น่ารักเรียบร้อยแล้วยังไง สุดท้ายเด็กอ่อนต่อโลกคนนั้นก็ถูกครอบครัวที่บิดเบี้ยวหล่อหลอมให้แบบนี้ไม่ใช่หรือ ฝ่ายนั้นเอื้อมมือมาคว้าข้อมือผมแล้วยื้อเอาไว้

“เจ็บมั้ย”

น้ำเสียงอ่อนโยนถามขึ้นตอนที่พิจารณารอยแดงเถือกตรงฝ่ามือ

“อย่าโมโหนัก เห็นมั้ยมือแดงหมดแล้ว”

“ปล่อย”

มันสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายแรงๆ จนสุดท้ายไอ้พี่ดลยอมปล่อยผม

“เจ็บมั้ย”

“อย่าเสือก”

ผมพูดเสียงห้วน

“อ๋อง”

พี่ดลพูดเสียงเรียบ

“แม่ง”

ผมขยี้หัวตัวเองแรงๆ เพราะดันรู้สึกกริ่งเกรงกับท่าทางแบบนี้ของไอ้พี่ดล ผู้ชายที่พูดน้อยแต่แววตาบอกชัดทุกอย่างว่าหากเขายังดื้อรั้นพูดจาแบบนี้กับอีกฝ่ายรับรองได้ว่าผู้ชายท่าทางสุภาพนี่ต้องมีวิธีจัดการเขาในแบบฉบับของตัวเองนั่นแหละ

“ไม่เจ็บ”

“ความรุนแรงไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างหรอกนะ”

“...”

“เหมือนกับการที่เราดึงดันออกมาอยู่หอแล้วคิดว่านี่คืออิสระที่ตัวเองโหยหา พี่ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เราทำมันผิด แต่พี่อยากให้เราทบทวนสักหน่อย ว่าสิ่งที่ทำอยู่นี่ไม่ได้ทำเพราะประชดประชันใคร”

ผมสะอึกตอนที่หน้าอีกฝ่ายตรงๆ

“ผมเปล่า”

ไม่จริงเลย

ผมโกหกเพราะส่วนหนึ่งที่ทำงานแบบนี้เพราะอยากทำให้พ่อและแม่หันมาสนใจเขาบ้างก็เท่านั้น มันคือการเรียกร้องความสนใจแบบเด็กๆ เป็นการประชดประชันที่ไม่เข้าท่าเอาซะเลย

ผมเผลอกัดริมฝีปากจนเจ็บ

“ถ้าอยากหางานพิเศษทำ พี่ช่วยเราได้ แต่ขออย่างเดียวลาออกจากการเสิร์ฟอาหารที่ร้านเหล้าเถอะนะ”

“...”

“แม่พี่กับน้าดุจห่วงเรามากนะอ๋อง”

ผมส่ายหัว

ถ้าแม่ห่วงจริงๆ ทำไมป่านนี้ถึงไม่มารับผมไปอยู่ด้วย ทำไมใจร้ายปล่อยให้ผมอยู่เพียงลำพังแบบนี้ ผมกระพริบตาถี่ๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นจนกระทั่งรู้สึกถึงเงาของใครบางคนยืนคร่อมอยู่เหนือศีรษะ

“เราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลกนะอ๋อง ลองหันไปรอบๆ สิมีคนอีกตั้งมากมายเป็นห่วงเรา”

มือหนาของพี่ดลแตะที่ศีรษะผมเบาๆ นั่นทำเอาสะดุ้งโหยงผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ผมจะกลับแล้ว”

“อ๋อง”

“...”

“ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ไหว ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นเถอะ มันไม่น่าอายหรอกนะ”

“ผมดูแลตัวเองได้”

พี่ดลยิ้มอ่อนๆ ให้ผม รอยยิ้มนั้นอบอุ่นดูจริงใจจนผมต้องเบือนหน้าหนี

“แต่พี่อยากช่วยเรา”

“ผมไม่รับ”

“รับเถอะ”

ฝ่ายนั้นพูดขึ้น

“พี่เต็มใจช่วยเราทุกอย่าง”

ผมกัดริมฝีปากจนเจ็บ

“เพราะพี่เองก็เป็นห่วงเรา”

ผมหันหลังเดินออกมาโดยไม่คิดว่าหันกลับไปมอง เพราะไม่อยากให้ตัวเองแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไป ผมไม่อยากอ่อนแอให้ใครเห็นใจ โดยเฉพาะคนๆ นั้นคือพี่ดล ลูกชายเพื่อนแม่ผู้แสนดี


- J E E B -




“เปียว”

“...”

“เชี่ยเปียว”

“...”

“ไอ้ห่าเปียว”

เสียงตะโกนเรียกผมในระยะประชิดเรียกให้สติที่หลุดลอยไปไกลหวนคืนมา ผมกระพริบตาถี่ๆ ตอนที่เห็นไอ้โต้งยืนทำหน้าฉงนอยู่ตรงหน้า

“เหม่ออะไรวะ”

ผมส่ายหน้าหวือท่ามกลางความแปลกใจของมัน แต่ความสนใจก็ถูกเบี่ยงเบนไปเมื่อลุงรหัสผมเดินสะพายเป้มาแต่ไกล

นี่ก็แปลก

ไม่รู้ว่าผมตาฝาดหรือมองพลาดไปเพราะเมื่อเช้าที่ผ่านมาผมเห็นพี่อุ้มลงมาจากรถไอ้โต้ง เอาจริงเห็นแล้วผมยังนึกประหลาดใจไม่น้อย ความสัมพันธ์ทั้งคู่ไม่น่าจะสนิทกันถึงขนาดมาด้วยกันได้

มันต้องมีซัมธิงอะไรบางอย่างระหว่างคนทั้งคู่แน่นอน

แต่ช่างเถอะ ถึงอยากจะรู้มากแค่ไหนแต่ผมก็เคารพความเป็นส่วนตัวของทั้งคู่ อีกอย่างคือแค่เรื่องตัวเองก็ปวดหัวไม่น้อยแล้ว ฉะนั้นผมไม่นึกอยากรู้เรื่องของคนอื่นนักหรอก

“เปล่าอะไรวะ กูเห็นมึงเหม่อมาวันสองวันแล้วนะ หายไข้แล้วเป็นบ้าเหรอวะเพื่อนกู”

ผมทำปากยื่นใส่มันแล้วหวนนึกถึงวันที่ไข้ขึ้นจนไปเผลอหลับที่ห้องพี่อุ้ม วันนั้นผมจำได้ว่าต่อปากต่อคำเพราะไม่ยอมกินยากับไอ้พี่เซียนจนเผลอหลับไปในที่สุด แต่ผมจำได้เลือนรางตอนที่สะลึกสะลือตื่นขึ้นมากลางดึกคืนนั้นว่าผมเห็นไอ้พี่ยักษ์

เพื่อนต่างวัยในครั้งอดีตมาหาผม

‘หายป่วยเถอะไอ้เด็กขี้แย’

‘...’

‘หายไวๆ แล้วกูจะพาไปกินไอศกรีมมิ้นท์ของโปรดมึง’


ไอศกรีมมิ้นท์ที่ไอ้พี่ยักษ์เคยเอามาล่อให้ผมกินข้าวกินยาตอนที่นอนซมเพราะพิษไข้หลังจากไปเล่นซนว่ายน้ำทั้งวันตอนป่วยไข้ สุดท้ายก็โดนพ่อแม่ดุและโดยไอ้ยักษ์หัวเราะเยอะใส่แต่ถึงอย่างนั้นไอ้พี่ยักษ์ก็แวะเวียนมาเยี่ยมถึงจะหลอกล่อให้ผมกลั้นใจกินยาด้วยการเอาไอศกรีมมาล่อก็ตาม

ผมเข้าใจว่าตัวเองหลงละเมอไปเพราะพิษไข้แต่ให้ตายเถอะตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งผมเห็นแผ่นหลังของพี่เซียนกำลังเดินผละออกไป นั่นหมายความว่าคนที่ปลอบประโลมผมคืนนั้นไม่ใช่ไอ้พี่ยักษ์ในจินตนาการแต่คือพี่เซียน

พี่เซียนที่บังเอิญผมอุปทานไปว่าคล้ายคลึงกับเพื่อนต่างวัยในอดีตเหลือเกิน

“เฮ้อ”

คิดอะไรเหลวไหลแบบนั้นวะ ผมส่ายหัวแรงๆ แล้วเท้าคางมองไอ้โต้งที่เดินดุ่มๆ ไปช่วยพี่อุ้มซึ่งหอบหิ้วของพะรุงพะรังแต่พี่ลงรหัสผมแยกเขี้ยวทำหน้ายักษ์ใส่อีกฝ่ายทันที

“อย่ามายุ่งกับกู”

พี่อุ้มทำหน้าหงุดหงิด

“พี่เป็นคนพูดเองว่าให้ทำตัวเหมือนเดิม”

“ไอ้ห่าโต้ง”

ลุงรหัสผมทำตาลอกแลกหันซ้ายหันขวาก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆ เมื่อเห็นว่าผมทำตาแป๊วหูตั้งลอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่อย่างตั้งใจ เมื่อถูกจับได้พี่แกเลยมองหน้าผมอย่างคาดโทษแล้วหันไปทำหน้าดุใส่เพื่อนสนิทผมที่สุดท้ายมันจำใจยอมแพ้ไม่เซ้าซี้อีกฝ่ายต่อ ไอ้โต้งผละจากไปพร้อมรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าขณะที่ลุงรหัสผมทำท่าค้อนลมค้อนแล้งไปเรื่อย

“แหะ”

ผมเกาหัวแกรกๆ แล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่นตอนที่พี่แกเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

“ทะเลาะอะไรกันครับ”

“เพื่อนมึงแม่งน่ารำคาญ”

รำคาญกันอีท่าไหนวะถึงลงจากรถเพื่อนผมเมื่อเช้า อันนี้ผมคิดในใจนะเพราะขืนพูดไปผมโดนพี่อุ้มแหกอกแน่นอน แน่นอนว่าบทสนทนาหลังจากนั้นผมพยายามไม่พูดถึงไอ้เพื่อนตัวต้นเหตุก่อนจะช่วยพี่อุ้มถือของไปที่ฟิตเนสคณะเนื่องจากวันนี้เป็นวันแรกที่จะเริ่มเทรนในวิชาบอดี้คอนดิชันนิ่ง

เกือบห้าโมงเย็นบรรยากาศที่ฟิตเนสค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษเนื่องจากวันนี้มีกลุ่มตัวอย่างมาเทสต์ร่างกายก่อนการฝึกจริง ขณะที่ผมกำลังเตรียมอุปกรณ์วัดความดันโลหิตแบบอัตโนมัติระหว่างนั้นเสียงรอบกายพร้อมใจกันเงียบลงทันทีนั่นทำให้ผมนึกสงสัย

ชายเสื้อช๊อปที่ปรากฏขึ้นตรงขอบโต๊ะทำให้ผมต้องเงยหน้าจากงานตรงหน้าทันที ไม่แปลกเลย ที่เสียงจอกแจกจอแจเมื่อกี้พลันเงียบลงเมื่อคนดังของภาคยานยนต์มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า

“อ้าวไอ้เซียน ไอ้เดี่ยว”

พี่อุ้มร้องทักเพื่อนแก

“มาพอดีเลยเดี๋ยวมึงวัดความดันกันก่อนนะ”

ทั้งสองพยักหน้าหงึกหงัก

“กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง”

พี่เดี่ยวพูดขึ้นก่อนจะผละออกไป ดังนั้นตอนนี้จึงมีเพียงผมกับเพื่อนอีกคนและพี่เซียนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงหน้า ส่วนพี่อุ้มวิ่งไปเช็ตอุปกรณ์ในห้องฟิตเนส

“ขออนุญาตนะครับ”

ผมก้มหน้าก้มตาถลกแขนเสื้อพี่เซียนขึ้น ไม่พยายามไม่สนใจเจ้าของใบหน้าคมคายที่กำลังมองผมอยู่

“วัดความดันไปทำไมอ่ะ”

ฝ่ายนั้นถามขึ้น

“เพื่อดูอัตราการเต้นของหัวใจครับ”

“เต้นเร็วกับเต้นช้านี่มันบอกอะไร”

“อัตราการเต้นหัวใจสำหรับคนอายุรุ่นเรา ถ้าอยู่ขณะพักมันควรอยู่ที่ 70-90 ครั้งต่อนาที แต่ถ้าออกกำลังกายหัวใจจะเต้นถี่ขึ้นอยู่ที่ประมาณ 100-135 ครั้งต่อนาทีครับ สำหรับการเทรนครั้งนี้ต้องให้หัวใจเต้นให้ถึง 70% ของเป้าหมาย แน่นอนว่ามันมีผลกับโปรแกรมฝึก อีกอย่างผลที่ได้ทำให้สามารถออกแบบโปรแกรมการฝึกให้อัตราการเต้นของหัวใจไม่หนักเกินไป จะได้ปลอดภัยตลอดการเทรนน่ะครับ”

ผมอธิบาย

“แล้วคนเราจะหัวใจเต้นเร็วได้นอกจากออกกำลังกายมั้ย”

พี่เซียนแม่งขี้สงสัยจังวะ ผมแอบเบะปากใส่อีกฝ่ายตอนที่เตรียมสวมเครื่องวัดพันที่แขน

“ก็ตื่นเต้น ตกใจหรือหวาดกลัวอะไรมากๆ”

“เหรอ”

พี่เซียนเท้าคางมองผมอย่างสนใจ

“แบบอยู่ใกล้คนที่ชอบแล้วหัวใจเต้นแรงก็เป็นไปได้นะพี่”

เพื่อนผมที่ช่วยเตรียมอุปกรณ์วัดความดันอยู่พูดขึ้นขำๆ

“อ้าวชิป เครื่องไม่ติดว่ะ”

“มึงได้สลับถ่านรึเปล่า”

ผมทำหน้ายุ่งก่อนจะถอดผ้าพันจากแขนพี่เซียนแล้วเช็คความผิดปกติ

“แป๊บนึงนะพี่ ขอผมเทสต์กับตัวเองก่อน”

หลังจากเช็คถ่านที่ใส่ด้านหลังเครื่องและหาความผิดปกติแบบอื่นแล้ว ผมก่อนลองวัดความดันตัวเองดูก่อนเพื่อเป็นการทดสอบ ระหว่างนั้นเพื่อนผมก็ผละไปช่วยคนอื่นเช็ทอุปกรณ์ จังหวะที่กำลังก้มๆ เงยๆ ผมรู้สึกว่ามีสายตาของใครบางคนมองผมอยู่เงียบๆ

“มองอะไรเล่า”

พี่เซียนเท้าคางแล้วกดยิ้มมุมปาก

“บทมึงจะจริงจังก็น่าดูพิลึกนะ”


ตึก

ตึก

ตึก


พ่องตาย....ยิ้มนี้โคตรทำลายล้าง

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เบือนหน้าหนีสายตาของไอ้พี่เซียน ก่อนจะทำหน้าตื่นเมื่อมองไปยังหน้าจอเครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติที่ปรากฏตัวเลขอัตราการเต้นของหัวใจที่ขยับเลขขึ้นเรื่อยๆ


78....89....101

พี่เซียนเหลือบตามองไปที่หน้าจอนั่นเช่นกัน ฝ่ายนั้นสงสัยกับท่าทางประหลาดของผม ก่อนจะกดยิ้มมุมปากแล้วเท้าคางมองตัวเลขนั่นราวกับกำลังชมการแสดงอะไรสักอย่างที่น่าสนใจ

สุดท้ายตัวเลขที่ปรากฏหยุดที่หมายเลข 110

“มึงตื่นเต้นอะไรวะไอ้เปียว”

เพื่อนร่วมคณะคนเดิมเดินกลับมาอีกครั้งตอนที่เครื่องวัดความดันโลหิตแสดงผลทุกอย่างที่หน้าจอ

“จะว่าตกใจหรือหวาดกลัวก็ไม่น่าใช่เปล่าวะ”

ผมกุมขมับตัวเองก่อนจะแยกเขี้ยวใส่เพื่อน ก่อนจะรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วใบหน้าตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของพี่เซียน

แม่ง

พี่เซียนเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าผมแยกเขี้ยวใส่พี่มันทำไม

สัตว์เอ๊ย!

ไอ้เพื่อนเวรนั่นทำหน้างงที่เห็นพี่เซียนหัวเราะ แต่ผมรู้ดีว่าคนดังภาคยานยนต์ขบขันในเรื่องอะไร หัวใจผมเต้นแรงไม่ใช่เพราะตื่นเต้น ตกใจหรือหวาดกลัวอะไรก็ตาม

แน่นอนว่าพี่เซียนต้องเข้าใจว่าหวยคงไปออกข้อสุดท้ายที่ว่า

‘แบบอยู่ใกล้คนที่ชอบแล้วหัวใจเต้นแรงก็เป็นไปได้นะพี่’

ไม่ใช่โว้ย

ไม่มีทาง ผมไม่ได้หัวใจเต้นแรงเพราะชอบพี่มัน กูแค่สตั้นไปกับรอยยิ้มทำลายล้างเมื่อกี้นี้เท่านั้นเอง

“เครื่องวัดแม่งมั่ว”

ผมบอกกับเพื่อนตัวเอง

“อะไรกันวะ เครื่องนี้คณะเพิ่งไปถอยมาใหม่ แล้วลุงรหัสมึงเพิ่งไปเบิกใช้งานคนแรก ไม่มีทางที่มันจะเสีย”

“ก็ไม่แน่นะ”

ผมเถียงข้างๆ คูๆ รีบถอดผ้าที่พันอยู่ออกทันทีท่ามกลางสายตาคู่คมที่จับจ้องกันอยู่

“มึงก็รู้ว่าปฏิกิริยาภายนอกของคนเรามันปกปิดอาการดีใจ เสียใจหรือ หวาดกลัวได้ แต่สำหรับหัวใจมันไม่มีทางโกหกข้อเท็จเหล่านั้นได้เลย”

พ่องงง

ผมตาเหลือกรีบถลึกตาใส่เพื่อนตัวเองให้หุบปากทันที

“อะไรวะกูพูดเรื่องจริง”

“หุบปากไปเลย”

ผมกระซิบเสียงรอดไรฟัน

“หัวใจไม่เคยโกหกงั้นหรือ”

ไอ้พี่เซียนที่นั่งไร้บทบาทอยู่นานพูดขึ้น

“จริงพี่ อัตราการเต้นของหัวใจมันไม่โกหก มันจะบอกข้อเท็จจริงพื้นฐานของร่างกายคนๆ นั้นเสมอ”

ผมอ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีตอนที่พี่มันหันมามองกัน

“กูไปเยี่ยวนะ”

อยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้วโว้ย

“นั่นไงมึงตื่นเต้นจนปวดฉี่สินะ หัวใจถึงเต้นแรงขนาดนั้น”

“อืม”

เออออไปเลยแม่ง

“พี่ว่าไม่ใช่”

ไม่ใช่อะไรวะ ไอ้พี่เซียนแม่งอย่ามาทำรู้ดีกว่าตัวกูได้ป่ะ

“หัวใจมึงคงทำงานหนัก”

พี่เซียนพูดยิ้มๆ

“ยังไง”

“เจ้าของหัวใจมันคงบังคับตัวเองไม่ให้หวั่นไหว ทั้งที่ใจเต้นแรง”

พ่องงง

ผมผลุนผลันออกมาท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนตัวเอง ผมกุมหน้าอกด้านที่หัวใจกำลังเต้นรั่วๆ เพื่อปลอบประโลม

“อย่าเต้นแรงได้มั้ย”

“...”

“แค่นี้ก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว”

ผมเม้มปากแน่นหวนนึกถึงสีหน้าและแววตาตัวต้นเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองประหลาดเข้าไปทุกวัน แววตาคู่คมที่ทอดมองกันนิ่งๆ

‘หายไวๆ แล้วกูจะพาไปกินไอศกรีมมิ้นท์ของโปรดมึง’

คืนนั้นไม่ใช่เสียงในฝันของไอ้พี่ยักษ์ แต่มันคือเสียงของพี่เซียนที่กระซิบข้างหูกัน


- J E E B -



เอาแล้ววววว นุ้งเปียว หัวใจหนูไม่สามัคคีกะตัวหนูเลยลูก 5555555
หวีดในทวิตแท็ค #ชอบก็Jeeb ด้วยเด้อ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
พี่เซียนนี่ได้โอกาสเมื่อไหร่ก็จีบน้องได้ตลอดเลยนะ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
พี่เซียนนิสัยไม่ดี แกล้งเด็ก

สงสารอ๋อง ใครไม่ตกอยู่ในสถานการณ์นั้นไม่รู้หรอก
พ่อไปทางแม่ไปทาง แล้วเด็กก็เคว้ง ไม่เชื่อใจใคร
ต้องคนที่เข้าใจและจริงใจถึงจะรับมือได้

ออฟไลน์ chompoo1997

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เขินนชอบสร้างโลกส่วนตัวกัน2คนตลอดดด

ออฟไลน์ davil01

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ติดตามครับ

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
สงสารอ๋อง เหมือนอ๋องแอบน้อยใจพี่ข้างบ้าน
ส่วนอิพี่เซียน กวนๆๆใส่น้องตลอด

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
กอดอ๋องแน่ๆ เป็นกำลังใจให้สู้ๆ

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
เป็นกำลังใจให้อ๋องนะครับ,,,

ออฟไลน์ Plakhem

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :z3: มานิดเดียวแต่ก็เขินนะ :-[

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
พี่เซียนขี้แกล้งอ่ะ

เห็นใจอ๋องเลย ฃ
จากเด็กสดใสกลายเป็นเด็กมืดมน
เพียงเพราะการกระทำของพ่อที่มักมาก
และแม่ที่ไม่รักษาสัญญา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
- จีบที่ 6 -




เกือบชั่วโมงหลังจากวัดความดันโลหิตแล้วให้กลุ่มตัวอย่างไปเปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกายมาเทรนตามโปรแกรมการฝึก ระหว่างนั้นผมก็นั่งสังเกตการณ์กลุ่มตัวอย่างไปพลาง นั่นแหละผมถึงได้มีโอกาสสังเกตคนดังของภาคยานยนต์ในชุดเสื้อกล้ามแบบกีฬา กล้ามเนื้อตรงแขนเป็นรูปสวยงามจนน่าอิจฉา ช่วงล่างอยู่ในกางเกงกีฬาผ้าลื่นนั่นยิ่งส่งเสริมคนๆ นั้นเหมือนผู้ชายสายสปอร์ต ปกติผมมักเห็นพี่มันอยู่ในเสื้อนิสิตสวมทับอยู่เสื้อช๊อปสีกรมมีตราพระเกี้ยวปักอยู่ตรงกระเป๋าที่หน้าอกข้างซ้ายท่าทางดูดิบเถื่อน ต่างจากวันนี้ราวกับคนละคนแต่ถึงอย่างนั้นความนิยมของพี่มันก็ไม่ได้ลดลงเลยด้วยซ้ำ

ผมสังเกตว่าวันนี้ฟิตเนสคณะคึกคักกว่าปกติมากโดยเฉพาะบริเวณร้านกาแฟเล็กๆ ที่ตั้งอยู่หน้าฟิตเนสซึ่งนิสิตสาวๆ และกลุ่มเจ่ๆ หรือรุ่นพี่ผู้ชายหัวใจสาวนั่งจับจองโต๊ะกันจนไม่มีที่ว่าง ไม่ต้องเดาให้ยากหรอกว่าคนพวกนั้นมาเฝ้าดูใครหากไม่ใช่คนดังของภาคยานยนต์

ตั้งแต่เซียน ศกัณฐ์แวะมาที่คณะผมบ่อยๆ นั่นทำให้คณะผมคึกคักไม่น้อย เพราะมีคนเล่ากันปากต่อปากว่าคนดังวิศวะฯ มักแวะมากินข้าวกับเพื่อนสนิทที่นี่ แน่นอนว่านั่นทำให้ใครก็ตามที่ตามติดชีวิตของไอ้พี่เซียนต่างพากันมาปักหลักเพื่ออัพเดตชีวิตส่วนตัวของเพื่อนรักพี่อุ้ม จริงๆ มีคนเคยไปตามที่สนามกีฬาที่เป็นสถานที่ฝึกซ้อมคทากรแต่หมอนั่นมาบ้างไม่มาบ้างคงเพราะเป็นรุ่นพี่คทากรจึงไม่ได้ซ้อมหนักเหมือนไอ้โต้งที่ช่วงหลังเรียนทุกวันมันต้องถูกจิกหัวให้ไปซ้อมทุกวัน

“วันนี้สาวๆ มาฟิตเนสกันเยอะจังวะ”

ไอ้อ๋องซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ กันพูดขึ้น

“วันนี้มีคลาสแอโรบิคเหรอวะ”

ผมส่ายหัวทันที

“แอโรบิคมีวันศุกร์”

“อ้าวแล้วเขามากันทำไมเยอะแยะวะ”

“มาดูคนมั้ง”

ผมยักไหล่

“ดูใครวะ”

ผมบุ้ยปากไปยังคนในหัวข้อสนทนาที่เทรนเสร็จแล้วกำลังผละไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

“มิน่า”

ไอ้อ๋องพูดยิ้มๆ เพราะมันเองก็เป็นสาวกของเซียน ศกัณฐ์ตามที่ไอ้โต้งกรอกหูให้ฟังบ่อยๆ ถึงรุ่นพี่ที่มันเคารพเหมือนกัน

“โคตรสร้างความวุ่นวายให้คณะเลย”

“มึงบ่นใครวะ”

พี่อุ้มที่เดินมาหยุดตรงหน้าเอ่ยถาม

“เปล่าพี่”

“เปล่าอะไร เมื่อกี้มันเพิ่งนินทาเพื่อนสนิทพี่อยู่เลย”

“ปากมากไอ้ห่าอ๋อง”

ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อน

“หมั่นไส้อะไรเพื่อนกูนักหนาวะ” พี่อุ้มถามยิ้มๆ “แค่เรื่องที่มึงเคยว่ามันหน้าเหมือนมะเขือยาว แล้วโดนมาแกล้งกลับทำให้มึงแค้นฝังหุ่นเลยเหรอวะ”

“พี่รู้”

ผมอ้าปากพะงาบๆ ขณะลุงรหัสผมยักคิ้วพร้อมกันทั้งสองข้าง

“มะเขือยาวอะไรวะ”

พี่เดี่ยวที่เดินมาสมทบเอ่ยขึ้นแต่การที่มองผมแล้วยิ้มแบบนั้นหมายความว่ายังไงวะ

“ว่าไงคู่ปรับไอ้เซียน”

“ไม่ขนาดนั้นมั้งพี่”

ผมส่ายหน้าหวือ

“มึงรู้มั้ยไม่เคยมีใครคุยกับมันได้เป็นครั้งที่สองหรอก”

“ทำไมอ่ะ”

ผมทำหน้าสงสัย

“เพื่อนพี่มนุษย์สัมพันธ์แย่เหรอ”

พี่เดี่ยวส่ายหัวไปมา

“ปกติมันสนใจใครที่ไหน เรื่องแค่นี้มันไม่เก็บมาคิดให้รกสมองหรอก แต่กูแค่แปลกใจที่มันดันต่อปากต่อคำกับมึงนี่แหละ”

“...”

“ไอ้ห่าเซียนมันโลกส่วนตัวสูงจะตาย นอกจากเพื่อนในกลุ่ม กูไม่เห็นมันคุยกับใครเลย แต่นี่”

พี่เดี่ยวเดินวนรอบตัวผมไม่พอ สายคู่นั้นยังมองผมตั้งแต่หัวจรดศีรษะ

“เมื่อกี้ก่อนเทรน กูเห็นมันคุยกับมึงตั้งนานสองนาน”

ผมทำตาโตท่ามกลางเสียงหัวเราะของพี่เดี่ยวและพี่อุ้ม

ฉิบหาย

ไม่คุยธรรมดาด้วยสิ ผมเม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ชวนขายหน้าก่อนหน้านี้

แม่งเอ๊ย

เครื่องวัดเฮงซวย

“กูถึงบอกไงว่ามึงคือคู่ปรับของมัน”

“...”

“ดูท่าจะเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อด้วยสิ”

“ปากมากไอ้เดี่ยว”

ไอ้พี่เซียนมาหยุดยืนอยู่หลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เสียงทุ้มนั่นดังข้ามหัวผมไป นั่นทำเอาผมสะดุ้งโหยงรีบเอี้ยวตัวไปด้านหลัง

“กูพูดเรื่องจริงเถอะ”

พี่เดี่ยวยักไหล่ไม่แคร์ใบหน้านิ่งของเพื่อนตัวเอง

“เรื่องจริงอะไร”

“...”

“มึงก็รู้อยู่แก่ใจไอ้ห่าเซียน”

พี่เซียนไม่ตอบเพียงแค่เหลือบตามองมาทางผมแวบหนึ่งก่อนจะหันไปสบตาเพื่อนตัวเอง ขณะที่พี่เดี่ยวกดยิ้มมุมปากก่อนจะทำเสียงขำในลำคอ

“สู่รู้”

บรรยากาศมันแปลกๆ ว่ะ

อยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้วโว้ย

ผมผุดลุกขึ้นทันทีก่อนจะผละออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นผมยังอุตส่าห์มองกลับไปยังกลุ่มของพี่อุ้มแล้วเห็นสามคนนั่นพร้อมใจกันมองมาที่ผม พี่อุ้มมองเหมือนจะเอ็นดู พี่เดี่ยวยิ้มเจ้าเล่ห์คล้ายจะแซว

ส่วนคนสุดท้ายแค่กดยิ้มมุมปาก

ไอ้เหี้ย...ยิ้มมุมนี้แม่งโคตรดาเมจ



- J E E B -



“กูกลับก่อนนะ”

ไอ้อ๋องที่มาช่วยเก็บอุปกรณ์การเทรนเอ่ยกับผมก่อนที่มันจะเอื้อมมือไปคว้าเป้ขึ้นสะพาย

“ไม่อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันเหรอ”

ปกติหลังเลิกเรียนผมจะไปกินข้าวกับมันก่อนที่จะซื้อขนมสารพัดไปฝากไอ้โต้งที่ซ้อมคทากรอยู่ที่สนามกีฬา

“กูเปลี่ยนงานพิเศษ”

มันพูดเสียงงึมงำ

“วันนี้ทำงานวันแรกกูไม่อยากไปสาย”

“มึงเปลี่ยนงาน?”

“อืม”

ไอ้อ๋องถอนหายใจแรงๆ

“หมายความว่ามึงไม่ได้เสิร์ฟที่ร้านเหล้าแล้ว”

“เออ”

“ก็ดีแล้วเพราะงานนั่นเลิกโคตรดึก แต่ว่ามึงบอกเองนี่ว่าทิปร้านนั้นโคตรเยอะ มึงไม่เสียดายเหรอ”

“เสียดายสิ”

มันทำเสียงหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย ท่าทางแบบนั้นทำให้นึกสงสัยบวกกับเมื่อวันก่อนที่ผมไม่สบายแล้วมันบอกว่ากลับไปนอนบ้าน สุดท้ายไอ้อ๋องมันยอมเปิดปากเล่าว่าคืนนั้นมันนอนค้างที่ร้านเหล้าที่มันทำงานพิเศษอยู่เพราะกลับหอไม่ไหว และยังไงไม่รู้วันนี้ดันมาบอกว่าได้งานใหม่แล้ว

“เพราะพี่รหัสมึงเลยไอ้เปียว”

ผมมุ่นหัวคิ้วทันที

“เกี่ยวอะไรกับพี่ดลวะ”

“พี่มึงนั่นแหละเกี่ยวเต็มๆ”

มันทำหน้าเจ็บใจ

“เสือกปากโป้งไปบอกแม่กู เขาเลยโทรมาจากเมืองนอกขอร้องให้กูเลิกเสิร์ฟอาหารร้านเหล้า”

“แม่มึงเขาคงเป็นห่วง”

“เหรอ”

น้ำเสียงเย้ยหยันของมันทำให้ผมขยับไปใกล้แล้วตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ

“มึงยังมีกู มีไอ้โต้งนะอ๋อง”

“...”

“มีเรื่องอะไรทำไมไม่บอกพวกูบ้างวะ”

“กูขอโทษ”

มันทำสีหน้าอึดอัดใจ

“เรื่องของกูมันไม่น่าฟังนักหรอกเปียว กูถึงไม่อยากให้มึงกับไอ้โต้งต้องฟังเรื่องไร้สาระ”

“สำหรับกู เรื่องของเพื่อนไม่ไร้สาระนะอ๋อง ถ้าเพื่อนกูต้องการความช่วยเหลือ กูพร้อมช่วยเสมอ”

ไอ้อ๋องเม้มปากมันตบหลังมือผมเบาๆ

“ถ้ามึงไม่เบื่อที่จะฟังเรื่องน้ำเน่าจากกู ไว้ว่างๆ กูจะเล่าให้พวกมึงฟัง”

ผมขยับรอยยิ้มทันที ส่วนมันแค่ยิ้มน้อยๆ

“ว่าแต่งานใหม่ของมึงนี่ทำอะไรวะ”

“งานเสิร์ฟเหมือนกัน”

“หือ?”

ผมหูผึ่งเลย ก็ไหนว่าพี่ดลมีส่วนทำให้เพื่อนผมออกจากงานเก่าแล้วไหงถึงยอมให้ไอ้อ๋องมันกลับไปเสิร์ฟอีกวะ

“ร้านกาแฟ พวกคาเฟ่ขนมน่ะ”

ผมหัวเราะออกมาทันที

“พี่ดลนี่แม่ง”

ผมหวนนึกถึงขนมอร่อยๆ ที่อีกฝ่ายชอบเอามาฝากจำได้ลางๆ ว่าแกมีลูกพี่ลูกน้องเปิดคาเฟ่อยู่แถวมหาวิทยาลัย ไม่อยากเชื่อว่าพี่รหัสผมจะกล่อมให้คนหัวดื้ออย่างอ๋องทำงานร้านคาเฟ่ได้

ให้ตายเถอะเล่นดึงไอ้อ๋องให้ไปทำงานที่อยู่ในสายตาและเช็คได้ทุกเวลาได้นี่โคตรไม่ธรรมดา

สงสัยผมต้องมองผู้ชายกินพืชแบบพี่ดลใหม่ซะแล้ว

“มึงยิ้มอะไร”

เพื่อนผมพูดเสียงห้วน

“อะไรของมึงเนี่ย”

“มึงยิ้มล้อเลียนกู”

ไอ้อ๋องทำท่าฮึดฮัดจนอดหมั่นไส้ไม่ได้เลยตบศีรษะมันไปเบาๆ สักที

“กูเปล่า แล้วมึงอ่ะ ได้งานใหม่ก็ทำตัวดีๆ ตั้งใจทำงานล่ะ”

“ให้ตายเถอะ กูแทบอยากรีบไปลาออกวันนี้ด้วยซ้ำ เพราะพี่รหัสมึงคนเดียวเลยไอ้เปียว”

“ไม่ทันแล้วมั้ง”

ผมเอ่ยแซว

“ถึงมึงจะลาออก มึงก็หนีพี่กูไม่พ้นหรอก ขนาดเขาสามารถทำให้คนหัวแข็งอย่างมึงไปทำงานที่ร้านนั่นได้ มึงไม่คิดเหรอว่าเขาจะต้องทำให้มึงกลับมาทำงานจนได้”

ไอ้อ๋องขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ ก่อนจะเดินตึงตังผละไปโน่น ผมยืนหัวเราะมองตามแผ่นหลังมันไปจนกระทั่งเพื่อนร่วมคณะคนที่เซ็ทเครื่องวัดความโลหิตก่อนการเทรนเดินมาสะกิด

“พี่เซียนกลับยังวะ”

ฝ่ายนั้นถาม

“ไม่รู้ว่ะ เมื่อกี้เห็นคุยกับพี่อุ้มอยู่”

“อยู่ไหนอ่ะ”

“คาเฟ่หน้าฟิตเนส”

“งั้นฝากมึงเอาอันนี้ให้พี่มันเซ็นหน่อย”

“อะไรวะ”

“แบบฟอร์มที่เข้าร่วมการเทรน”

ผมชะโงกดูเอกสารที่มีรายละเอียดในกระดาษเอสี่ยาวเป็นพรืดตรงหน้าก่อนจะสะดุดตากับความผิดปกติบางอย่าง

“นามสกุลผิดนี่หว่า”

ผมพูดขึ้นแต่จังหวะนั้นเพื่อนผมผละไปทางอื่นแล้ว สุดท้ายผมเลยต้องจำใจถือกระดาษแผ่นนั้นไปหาพี่เซียนเอง

“จังหวะนรกสัด”

ผมเบะปากเพราะคาเฟ่นั้นมีพี่เซียนนั่งอยู่คนเดียวบนโต๊ะ ไม่รู้พี่อุ้มกับพี่เดี่ยวไปไหนกันแล้ว

“เอ่อพี่”

พี่เซียนเงยหน้าจากโทรศัพท์ในมือแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ฟอร์มเข้าร่วมการเทรนครับ ยังไงพี่ช่วยเซ็นหน่อย เพราะปีหนึ่งต้องรวบรวมเอาไปทำสถิติ”

พี่มันจ้องหน้าผมเหมือนตั้งใจฟัง แต่ผมดันไม่ชอบสายตาคู่คมที่จ้องกันตรงๆ แบบนี้เลย

“เอ่อ...แต่นามสกุลพี่มันพิมพ์ผิดนะ”

ผมชี้ไปที่ชื่อสกุลอีกฝ่ายในบรรทัดสุดท้าย

‘ศกัณฐ์ เตชวรลักษณ์’

“จริงๆ หลังช.ช้างมันต้องมีสระอะ แต่เพื่อนผมคงพิมพ์ตก”

พี่เซียนกระตุกยิ้มที่มุมปากทันที

“มึงจำเก่งเนอะ”

ซู่!

เดี๋ยวนะทำไมรู้สึกร้อนๆ ตรงใบหน้าวะ ผมเม้มปากแน่นเพราะยอมรับเลยว่าที่จำนามสกุลอีกฝ่ายได้แม่นยำเนื่องจากส่องไอ้เพจนั่นจนจำได้ จำได้ไม่พอยังเสือกจำแม่นทุกตัวอักษรด้วยสิ ผมตีหน้าเซ่อทำเป็นหยิบปากกาขึ้นมาแล้วใส่ปีกกาไปที่หลังช.ช้างแล้วเติมสระอะลงไป

“ปกติเวลาเทรน ทำไมถึงไม่เทรนหนักๆ ทีเดียวให้เห็นผลเลย”

ฝ่ายนั้นชวนคุย

“มันอันตรายเกินไป”

ผมตอบ

“ในฐานะนักวิทยาศาสตร์การกีฬา การฝึกกล้ามเนื้อต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่างเป็นระบบ ป้องกันการบาดเจ็บ ถึงอยากให้นักกีฬาพัฒนาส่วนนั้นไวๆ เพื่อปิดจ๊อบงานตัวเอง แต่เราต้องคำนึงผลข้างเคียงด้วย นักกีฬาต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์ไปพร้อมกับการมีสมรรถภาพร่างกายที่ดี อีกอย่าง...”

ผมอธิบายไปเรื่อยจนกระทั่งเห็นแววตากึ่งเอ็นดูจากฝ่ายนั้นแหละ ถึงได้หุบปากฉับทันที

“อนาคตมึงคงเป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬาที่ดี”

“...”

“แต่ปัจจุบัน”

“อะ อะไร”

“ปัจจุบันเป็นนักจำที่ดี”

พี่เซียนเหลือบตามองรอยปากกาที่เพิ่งใส่ปีกกาเพิ่มสระลงไปแล้วกดยิ้มมุมปาก

“ใครๆ ก็จำนามสกุลพี่ได้เถอะ”

“...”

“จำง่ายจะตาย”

พี่เซียนชะโงกใบหน้ามาใกล้แล้วกระซิบถามว่า

“แล้วน่าใช้มั้ย”

พ่องง

ใบหูผมร้อนวูบวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุเลยแม่ง ยิ่งเห็นสีหน้าคล้ายจะเย้าของคนตรงหน้าแล้วยิ่งนึกหมั่นไส้เลยตั้งใจขีดทับสระที่ตัวเองเพิ่งเติมไปก่อนหน้านี้

“ผมจำนามสกุลพี่ไม่ได้แล้ว”

พี่เซียนยิ้มน้อยๆ

“งั้นจำใหม่”

ผมเม้มปากแน่น

“เตชะวรลักษณ์”

“...”

“นามสกุลกู...เตชะวรลักษณ์”

“...”

พี่เซียนขยับป้ายชื่อผมที่ห้อยคอผมเบาๆ  ป้ายชื่อที่ปีหนึ่งทุกคนต้องห้อยซึ่งจะบอกชื่อเล่นและชื่อจริงที่พิมพ์เป็นตัวเล็กๆ มุมหนึ่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้กลุ่มตัวอย่างที่อาจขอความช่วยเหลือปีหนึ่งที่มาเป็นอาสาสมัคร

“จำไว้ปัณณกิต”

“ไม่จำโว้ย”

พูดจบผมก็วิ่งปรู๊ดออกมาทันที

แม่ง ไม่จำห่าอะไรทั้งนั้นแหละ


.


.


ผมพ่นลมหายใจแรงๆ ตอนที่เดินหิ้วข้าวกล่องไปส่งที่สนามกีฬา วันนี้ต้องฉายเดี่ยวเพราะพี่อุ้มติดธุระ ส่วนไอ้อ๋องมันรีบไปทำงานเหมือนทุกวัน

“อุ้ย ขอโทษค่ะ”

นิสิตสาวสองคนตรงหน้าทำสีหน้าลุแก่โทษตอนที่พวกเธอเดินไม่ระวังมาชนผม

“ไม่เป็นไรครับ”                                                                                             

“บอกแล้วว่าอย่ารีบ พี่เซียนไม่ไปไหนหรอก”

สาวคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนจะส่ายหัวไปมา

“ก็กลัวพี่เซียนกลับไวอ่ะ ปกติผลุบๆ โผล่ๆ ตลอด นานๆ จะมีคนเจอที่นี่”

บทสนทนาของทั้งคู่ทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสองมีธุระอะไรที่สนามกีฬาแห่งนี้

“ขอโทษนะคะ เดี๋ยวเราช่วยเก็บ”

สาวๆ ช่วยกันเก็บกล่องข้าวที่นอนอยู่กับพื้น โชคดีว่ามันถูกแพ็คมาอย่างดีไม่บุบสลาย

“ขอโทษอีกครั้งน้า พอดีเรารีบ”

หลังจากช่วยผมเก็บแล้วสองคนนั่นก็เดินลิ่วไปโน่น ทิ้งให้ผมส่ายหัวอยู่อย่างนั้น แฟนคลับเยอะจริงนะไอ้พี่เซียน ผมเบะปากแล้วนึกนึกถึงการพบเจอกับเซียน ศกัณฐ์ครั้งล่าสุด

‘นามสกุลกู...เตชะวรลักษณ์’

แม่ง

ผมสะบัดศีรษะตัวเองแรงเพื่อให้ความทรงจำเมื่อเย็นที่ผ่านมาให้หลุดออกจากหัวก่อนจะถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ที่สุดท้ายตัวเองมายืนอยู่หน้าสนามกีฬา ตอนที่ไปถึงเห็นไอ้โต้งกำลังวิ่งรอบสนามอยู่ พอถามรุ่นพี่แถวนั้นก็ได้คำตอบว่ามันทำคทาตกพื้นจึงถูกรุ่นพี่สั่งทำโทษวิ่งรอบสนามให้เท่าจำนวนที่มันทำไม้คทาร่วง

ผมมองไปรอบๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้อัฒจันทร์ หลังๆ มาผมต้องรอกลับหอพร้อมไอ้โต้งซึ่งมันจะแวะไปส่งทุกวัน เพราะช่วงนี้ไอ้อ๋องมันต้องทำงานพิเศษช่วงเย็น ไอ้โต้งวิ่งรอบสนามได้ครบสามรอบแล้วมันก็เดินสะโหลสะเหลมาทรุดตัวเอาศีรษะวางตรงตักผม

“เช็ดหน้าให้กูหน่อย”

“หือ เหงื่อชุ่มขนาดนี้”

“โคตรเหนื่อย”

มันพูดไปหอบไป

“กูแม่งไม่น่าหลวมตัวมาเป็นคทากรเลยว่ะ”

ผมยิ้มขำเพราะจำได้ว่าที่มันตกกระไดพลอยโจรมาคัดเลือกคทากรเพราะโดนรุ่นพี่สายมันไซโคว่าจะตัดสายมัน หากมันไม่ลงสมัครคัดเลือก มันเลยลงสมัครแล้วสุดท้ายหวยมาลงที่เพื่อนรักผมดันได้รับคัดเลือกเป็นตัวจริงของคทากรในปีนี้ แน่นอนว่าช่วงแรกมันบ่นอยากลาออกแทบทุกวัน

ผมคว้าเอาทิชชู่มาซับเหงื่อให้มัน ขณะที่ไอ้เพื่อนตัวดีนอนแผ่ไม่เกรงใจกันเลย

“เป้ากู”

ผมดันหัวมันให้ไกลจากจุดยุทธศาสตร์ของตัวเอง

“มึงมีด้วยเหรอเปียว กูนอนทับไปนึกว่ามันรวมไปกับขา”

ไอ้ห่าโต้งแซวขำๆ

“ไอ้เพื่อนเวร”

ตบกะโหลกแม่งสักทีดิ ไอ้โต้งรองโอดโอยแล้วแกล้งคืนด้วยการจักจี้เอวผมเพราะมันรู้ดีว่าผมบ้าจี้ ผมหัวเราะจนน้ำตาไหลก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเซียน ศกัณฐ์มาหยุดอยู่เบื้องหน้า

“อ้าวพี่เซียน”

ไอ้โต้งทักรุ่นพี่มัน

“ได้เวลาซ้อมต่อแล้ว”

“โธ่พี่”

มันโอดโอย

“เร็วๆ ก่อนที่เพื่อนกูจะกินหัวมึง”

พี่เซียนพูดจบแล้วเตรียมผละออกไป แต่จังหวะนั้นพี่แกพยายามจะเก็บมือถือที่ถืออยู่เข้ากระเป๋าแต่กางเกงที่มันมันใส่วันนี้เป็นกางเกงบอลไม่มีกระเป๋า

ท่าทางพี่เซียนดูหงุดหงิดใจไม่น้อย

“เอาฝากไว้ที่เพื่อนผมก่อนก็ได้พี่”

พี่เซียนเหลือบตามองผมทันที

“เอ่อ”

ผมเกาหัวแกรกๆ

“ฝากไว้ที่ผมก่อนก็ได้ครับ”

พี่มันพยักหน้าหงึกหงัก

“งั้นฝากแป๊บ กูลืมเอาเป้ลงมาจากรถ”

หลังจากฝากโทรศัพท์มือถือกับผมแล้วพี่มันกับไอ้โต้งก็เดินกลับไปที่สนามเพื่อซ้อมกันต่อ ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เพราะเผลอหลับไปจนกระทั่งไอ้โต้งมาสะกิดปลุกนั่นแหละ

“เสร็จแล้วมึง กูไปล้างหน้าแป๊บนึงนะ”

ผมพยักหน้าหงึกหงัก จังหวะที่กำลังสะลึมสะลือนั่นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า พี่เซียนแบมือมาตรงหน้าเป็นสัญญาณขอของที่ฝากเอาไว้ ผมเลยรีบควานหามือถือให้อีกฝ่ายแล้วยื่นส่งให้ พี่เซียนรับไปแล้วกดยิ้มๆ ก่อนจะมุ่นหัวคิ้ว

“โทรศัพท์กูมีปัญหา”

ผมทำหน้าตื่นทันที

“ผมไม่ได้ยุ่งกับมือถือพี่เลยนะเว้ย”

“โทรศัพท์กูมีปัญหา”

พี่เซียนหรี่ตามองผมแล้วพูดซ้ำอีกรอบ

“ปัญหาอะไรวะ”

ผมขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย อุตส่าห์ดูแลโทรศัพท์ให้ แทนที่จะขอบคุณดันกล่าวหาว่าผมเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้โทรศัพท์พี่มันมีปัญหาซะอย่างนั้น

“ปัญหาน่ะเหรอ”

พี่เซียนกดยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า

“ปัญหาคือไม่มีเบอร์มึงอยู่ในนี้ไง”

ตึก

ตึก

ตึก

พ่องตาย

หัวใจเต้นแรงมาก



- J E E B -




จ่ะ ปัญหาคือไม่มีเบอร์น้องโน๊ะ?? งืมๆ เข้าใจๆ 55555555
หวีดในทวิตรบกวนติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้กันด้วยน้า
ปล. อ่านแล้วเมนต์บอกหน่อยนะคะว่าเป็นยังไง เราอยากรู้ว่าเรื่องนี้ยังมีคนอ่านอยู่มั้ย ฮือๆๆๆ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
แหมะ ก็ขอดี ๆ น้องมันก็คงไม่มีปัญหามั้งพี่เซียน

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
คือ แบบ จีบได้ใจมาก,,,

ออฟไลน์ Plakhem

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 40
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :laugh: ตอดเก่งเน๊าะ ตัวพี่อ่ะ  :hao3:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
เนียนมากๆ :hao7:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
โอ้โหหหหห พี่เซียนคิดมุขนี้นานไหม

ออฟไลน์ bowlove

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1725
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
พี่เขาเต๊าะแรงมาก!!!

ออฟไลน์ [Karnsaii]

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 316
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +523/-17
-  จีบที่ 7 -



เพจทวงคืนเหมียวมาริสาสมบัติสาธารณะจากเซียนศกัณฐ์

หรือไอ้เซียนนอกใจน้องเหมียว [แนบรูป]

R.I.P มึงล่วงหน้าเลยเซียน




หือ?

ผมทำหน้าสนใจก่อนจะจิ้มไปที่ภาพดังกล่าว

เดี๋ยวนะ!

ทำไมรูปมันคุ้นๆ วะ ผมขยายภาพที่ถูกโพสเพื่อขยายภาพก่อนจะทำตาโตเมื่อเห็นภาพที่ความละเอียดโคตรเบลอ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มองออกว่าคนในรูปเป็นใคร

“นี่มัน”

“...”

“ใครแอบถ่ายวะ”

ผมกุมภาพขมับเพราะดังกล่าวคือภาพที่ผมกำลังก้มหน้าลงไปพันอุปกรณ์วัดความดันโลหิตที่ต้นแขนพี่เซียน ถึงแม้จะถูกแอบถ่ายในระยะไกลเห็นเพียงแผ่นหลังและเสี้ยวหน้าด้านข้างเท่านั้น มองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนในรูปเป็นใครแต่ผมเป็นคนในภาพนั้นไงล่ะ ถึงมองออกตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ผมเบะปากใส่ภาพนั้นที่ดูเหมือนมุมภาพมันจะพอเหมาะพอดีช่วยให้เข้าใจผิด ไอ้พี่เซียนเงยหน้ามองผมซึ่งมองก้มหน้าสนใจอยู่ที่จอแสดงผลของเครื่องวัดความดัน แต่แววตาคู่นั้นของเพื่อนสนิทพี่อุ้มนี่แม่ง

มองอะไรผมขนาดนั้นวะ

ผมเม้มปากแน่นหวนนึกถึงบทสนทนาวันก่อน

‘ปัญหาคือไม่มีเบอร์มึงอยู่ในนี้ไง’

ปัญหาของพี่แต่มันส่งผลทำให้ผมเกิดปัญหาตามมา...ปัญหาของผมคือวันนั้นนอนตาค้างทั้งคืนและทำให้อีกหลายคืนนอนครุ่นคิดถึงแต่เรื่องนั้น

แม่ง



Comment

แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว R I P แปลว่าอะไรวะ

FCพี่เซียน @ แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว หลับให้สบายค่ะ

แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว @ FC พี่เซียน  ผมยังไม่ง่วงครับ

Sitt.Sita หรือเซียนจะเปลี่ยนแนว

Tichob_tichob เกมแล้วเซียน

รักน้องเหมียวคนเดียว พูดเป็นเล่นไป คนในรูปกับเซียน ศกัณฐ์แม่งดูๆ ไปน่ารักนะเฮ้ย

Aun996 เธอจะมีใจหรือเปล่า

Arm❤Meow เธอเคยมองมาที่ฉันหรือเปล่า

แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว ที่เราเป็นอยู่นั้น คืออะไร (ฮือออ) กูใส่เสียงฮึมให้ด้วยอ่ะ

กานซายอยากเป็นเมียพี่เซียน ฉันชิปคู่เน้!

โลกสวยด้วยมือกู ผมโสดครับน้องเหมียว

Alisa.nana วันนั้นเจอตัวจริงพี่เซียนที่วิทย์กีฬาฯ ด้วย หล่อมาก



หลังจากนั่งอ่านคอมเมนต์ที่ไหลเป็นน้ำแล้วผมก็เผลอยิ้มออกมาไม่ได้ สังคมโซเชียลเป็นสังคมที่บันเทิงจริงๆ  ผมนั่งเลื่อนอ่านความคิดเห็นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสายตาไปสะดุดกับความคิดหนึ่ง



Preme Pittaya วงในบอกคู่จริง มีคนเห็นว่าเมื่อวานพี่เซียนขอเบอร์น้องผู้ชายในรูปตอนซ้อมคทากรด้วย



หน้าผมร้อนวูบทันที

ผมมองเห็นเค้าลางของความฉิบหายแล้วแม่งเอ๊ย



“พี่เปียว”

ผมสะดุ้งแทบจะทำมือถือหลุดมือตอนที่สามสาวโผล่มาไม่ให้ซุ่มมให้เสียงไม่พอยังแกล้งสะกิดไหล่ผมราวกับจะแกล้งด้วย

“ขอโทษค่ะ”

น้องซอทำหน้าลุแก่โทษแต่แววตายังพราวระยับเหมือนเด็กซน ไม่ต่างจากเพื่อนสาวอีกสองคนที่หัวเราะน้อยๆ ที่เห็นผมสะดุ้งโหยงขนาดนั้น

“ขวัญมานะคะพี่เปียว”

ผมส่ายหัวให้สาวๆ ทันที

“อย่าโกรธพวกหนูนะคะ ก็พวกเราเรียกพี่เปียวตั้งนานไม่เห็นตอบอะไรสักที”

“พี่ไม่โกรธครับ”

ผมยิ้มน้อยๆ

“แต่คราวหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะ เกิดพี่ช็อกไปใครจะสอนพิเศษพวกเราล่ะ”

“จริงด้วย”

สาวๆ ทำหน้าตื่นร้องโวยวายกันใหญ่

“นี่ค่ะ”

น้องซอยื่นของบางอย่างมาตรงหน้า

“อะไรครับเนี่ย”

“ของฝากจากเชียงใหม่ค่ะ”

ผมทำหน้าสนใจเพราะได้กลิ่นเหมือนไส้อั่ว กลิ่นคุ้นจมูกเพราะช่วงที่เคยตามพ่อแม่ไปอยู่ที่นั่น ผมชอบกินอาหารพื้นเมืองอย่างไส้อั่วมากๆ แทบทุกมื้อต้องมีอยู่ในสำรับกับข้าว แต่พอย้ายตามพ่อแม่จากที่นั่นแล้วผมก็ไม่เคยได้ลิ้มลองมันอีกเลย

“สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาหนูไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าที่เชียงใหม่ค่ะ เลยถือโอกาสซื้อไส้อั่วมาฝากพี่เปียวด้วย”

“หือ น้องซอมีบ้านอยู่เชียงใหม่ด้วยเหรอ”

น้องยิ้มกว้างพยักหน้าหงึกหงัก

“ทุกปีเทอมที่บ้านจะส่งเราสี่พี่น้องไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าที่เชียงใหม่ค่ะ”

“...”

“เมื่อก่อนไปทุกปิดเทอม ได้เพื่อนใหม่เยอะเลยค่ะ โดยเฉพาะพวกพี่ๆ ซอนี่ได้เพื่อนเป็นเด็กในซอยแถวบ้านตรึม”

ผมนิ่งฟังก่อนจะหวนนึกถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เคยอยู่เชียงใหม่

“เพื่อนใหม่งั้นเหรอ”

ผมพึมพำ

“ใช่ค่ะ”

“โดยเฉพาะพี่ชายคนที่สามของซอนะ สนิทกับเด็กแถวบ้านมาก หายไปพร้อมกับขนมแทบทุกวัน”

ผมนิ่งไป


‘วันนี้มีขนมอะไรมาฝากหนูบ้างพี่ยักษ์’

‘เจอหน้ากูทีไรถามถึงแต่ของกินนะไอ้เด็กตะกละ’

‘ก็พี่ยักษ์ใจดีมีขนมมาฝากหนูทุกวัน’

‘ตลกบริโภคแล้วไอ้หมู’

‘หนูไม่ได้ชื่อหมูนะ หนูมีชื่อด้วย หนูชื่อ...’

‘ไม่ต้องบอกหรอก กูพอใจจะเรียกมึงว่าหมู’

‘พี่ยักษ์อ่ะ’




“พี่ยักษ์”

ผมพึมพำจนอีกฝ่ายทำหน้าฉงนใจ

“พี่เปียวพูดว่าอะไรนะคะ”

ผมส่ายหน้าหวือ

“ไม่มีอะไรหรอก” ผมทำหน้าครุ่นคิดเมื่อรู้สึกคุ้นเคยกับเหตุการณ์ที่น้องซอพูดถึงก่อนหน้านี้เอามากๆ “ว่าแต่พี่ได้ยินน้องซอพูดถึงพี่ชาย”

สาวน้อยพยักหน้าหงึกหงัก

“ใช่ค่ะ ซอมีพี่ชายสามคน”

“ซอน้องสาวคนสุดท้องของบ้านค่ะ”

เพื่อนสาวน้องซอพูดแล้วแกล้งทำสีหน้าอิจฉาเพื่อนตัวเอง

“เป็นน้องคนเล็กไม่เห็นสนุกเลย คุยกับพวกพี่ๆ ไม่รู้เรื่อง พี่ซันก็ห่างจากซอตั้งสิบกว่าปี พี่เซนต์พอจะสนิทหน่อยก็เรียนอยู่ต่างประเทศ”

“แล้วอีกคนล่ะ”

เพื่อนของน้องทำตาเป็นประกาย

“คนนี้โลกส่วนตัวสูง ไม่มีทางจะรู้เรื่องพี่เขาได้ง่ายๆ หรอก”

น้องซอทำหน้าล้อเลียนเพื่อน

“โธ่ซอ”

สาวๆ พากันโอดครวญจนผมเผลอขำตาม หลังจากนั้นดูเหมือบทสนทนาจะเปลี่ยนไปเรื่องอื่น

“เอ่อพี่เปียวคะ”

“ว่าไงครับ”

“สุดสัปดาห์นี้ของดเรียนหนึ่งวันนะคะ”

ผมหรี่ตามองสาวๆ ที่ทำท่าอึกอักต่างฝ่ายต่างพยักพเยิดแล้วสะกิดกันไปมา

“มีอะไรเหรอครับ”

“คือพวกหนูจะไปงานมีทศิลปินกันค่ะ” น้องซอพูดขึ้น “งานเลิกประมาณเกือบสามทุ่ม พอๆ กับที่เลิกเรียนกับพี่เปียว”

“แล้ว...”

ผมว่าสาวๆ มีบางอย่างปิดบังผมอยู่

“คือ”

“อย่าบอกนะว่าพวกเราไม่ได้บอกที่บ้าน”

ทั้งสามยิ้มแหย

“นี่พวกเรา”

“พี่เปียว”

น้องซอทำเสียงอ้อน

“พวกเราขอโทษที่โกหกที่บ้านว่ามาเรียนพิเศษค่ะ แต่สัญญาว่าไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหนจริงๆ นะคะ แค่ไปงานมีทที่พารากอนเอง งานเลิกไม่ดึกด้วย พอเลิกเรียนแล้วมีรถที่บ้านมารับ เพื่อนก็ไปนอนบ้านหนู”

สาวน้อยรีบละล้ำละลักบอก

“ถึงยังไงก็ตามพวกเรากำลังโกหกที่บ้านนะ ยังไงเรื่องนี้พี่คงต้องคุยกับพี่บ้านเรา”

“งื้อ”

น้องซอทำหน้ายู่

“แต่หนูจองบัตรไปแล้วนะคะ ไม่ได้ไปเสียดายแย่ นานๆ เขาจะจัดด้วย”

แต่ละคนทำเสียงอ้อน

“พี่เปียวอย่าบอกที่บ้านนะคะ เอาอย่างนี้ได้มั้ยคะ ไปพี่เปียวส่งพวกหนูที่หน้าฮอลล์แสดงก็ได้ค่ะ”

“ถึงพี่ไม่อนุญาตยังไงพวกเราก็จะไปกันอยู่ดีสินะ”

“แหะ”

แต่ละคนยิ้มแหยเป็นการสารภาพกลายๆ

“พี่เปียวใจดี ให้พวกเราไปนะคะ สัญญาว่าจะเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนไม่ดื้อไม่ซนค่ะ”

ผมส่ายหัวสบตากับแต่ละคนแล้วให้อ่อนใจ

“พี่เปียว”

“ก็ได้”

ผมถอนหายใจ

“แต่สัปดาห์หน้าต้องเรียนชดเชยเพิ่มนะครับ พวกเราใกล้สอบแล้ว อีกอย่างวันนั้นพี่จะส่งไปที่หน้าฮอลล์แสดงแล้วจะอยู่รอรับตอนเลิกงานแล้วพาไปส่งที่รถด้วย”

“ได้ค่ะ”

สาวๆ พากันยิ้มแก้มปริขณะที่ผมถอนหายใจแรงๆ วัยอย่างนี้ห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟังหรอก ต้องพบกันคนละครึ่งทางให้ได้ทำที่ใจปรารถนา แต่ทั้งหมดนั่นต้องอยู่ในกฎกติกาที่ยอมรับได้

หวังว่าคงไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันตามมาหรอกมั้ง

หวังว่านะ...



- J E E B -



สุดสัปดาห์นั้นผมต้องไปทำหน้าที่ผู้ปกครองชั่วคราวไปส่งสาวๆ ที่ฮอลล์แสดงตอนหกโมงเย็น สาวๆ อยู่ในชุดไปรเวทสุภาพเรียบร้อย ใบหน้าแต่ละคนยิ้มแย้มจนเขานึกเอ็นดู ผมรอส่งสาวๆ แล้วไปนั่งรอที่ร้านกาแฟแถวนั้น จนกระทั่งมีเสียงเรียกเข้าจากเบอร์คุ้นตา

“ว่าไงวะอ๋อง”

[มึงว่างมั้ยวะ]

ปลายสายถามขึ้น น้ำเสียงดูกังวลใจไม่น้อยจนผมสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

“มีอะไรรึเปล่ามึง”

[กูเกิดอุบัติเหตุว่ะ]

“ฮะ”

ผมร้องลั่นผุดลุกขึ้นแทบจะทันที

“แล้วมึงเป็นอะไรมากรึเปล่า”

[ได้แผลนิดหน่อยว่ะ โชคดีกูเบรกทันตอนที่มีรถขับตัดหน้า]

“มึงอยู่ไหนเดี๋ยวกูไปหา”

มันบอกชื่อโรงพยาบาลจังหวะนั้นผมเหลือบตามองนาฬิกาข้อมือ ยังเหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าๆ จนกว่างานจะเลิก อีกอย่างโรงพยาบาลนั่นอยู่ไม่ไกลคงจะกลับมาทันตอนที่สาวๆ ออกมาแน่นอน ผมเร่งฝีเท้าจากเดินเปลี่ยนเป็นวิ่งทันทีเพราะนึกห่วงเพื่อนตัวเอง ไม่รู้ป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง

ตอนที่ไปถึงโรงพยาบาลผมหลุดอุทานออกมาทันทีที่เห็นสภาพไอ้อ๋องนั่งรถเข็นเพราะหัวเข่ามันกระแทกพื้นจนได้แผลใหญ่ ไม่พอเนื้อตัวยังช้ำไปหมด สภาพนั่นไปไกลมากกว่าคำว่าได้แผลนิดหน่อยของมันมาก

“กูไม่เป็นอะไร”

มันยักไหล่ทันทีที่ผมเห็นหน้าเสีย

“ยังจะยิ้มอีก”

ผมดุมันก่อนจะเดินไปเคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายโชคดีมันมีประกับอุบัติเหตุที่ไม่ต้องสำรองจ่าย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องวิ่งวุ่นอยู่จนกระทั่งตอนที่เหลือบมองนาฬิกาอีกครั้งจึงเห็นว่าใกล้เวลาเลิกงานของสาวๆ แล้ว ผมจึงตัดสินใจส่งข้อความไปบอกน้องๆ ให้รออยู่แถวนั้นก่อน ผมคงไปเลทสักหน่อยเพราะกว่าจะไปส่งไอ้อ๋องที่หอแล้วนกลับไปหาสาวๆ ได้คงใช้เวลาพอสมควร

“กูลืมกระเป๋าตังไว้ที่ห้องน้ำว่ะ”

ไอ้อ๋องทำหน้าตื่นพูดขึ้น นั่นทำให้ผมต้องวิ่งกลับไปที่ห้องน้ำอีกครั้ง จังหวะนั่นแหละโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น เบอร์แปลกๆ แต่รู้สึกคุ้นตานั่นทำให้ยืนพิจารณาอยู่พักหนึ่งจนมันดับไป หลังจากนั้นก็มีข้อความจากเบอร์นั้นส่งเข้ามาว่า

‘รับสายกูเดี๋ยวนี้...เซียน’

“เชี่ย”

ว่าแล้วทำไมเบอร์คุ้นๆ คงจำกันได้ว่าครั้งหนึ่งผมเคยได้เบอร์จากพี่เซียนตอนที่อยู่ร้านเหล้าแต่ไม่ได้เมมไว้หรอก ขณะที่ยืนงงสับสนว่าทำไมอยู่ดีๆ พี่มันถึงโทรหาได้ มือถือในมือผมก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“คะ ครับ”

[มึงอยู่ไหน]

ปลายสายทำเสียงเข้มจนเผลอจินตนาการถึงสีหน้าดุดันของเจ้าตัวไม่ได้

“พี่มีอะไรรึเปล่า”

[กูถามว่ามึงอยู่ไหน]

“เอ่อ”

[กูติดต่อน้องสาวกูไม่ได้]

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมวะ

“น้องสาวพี่?”

[ซอ...]

หือ

[น้องสาวกู]

ฉิบหายแล้ว

“กูอยู่ที่พารากอนตอนนี้ กูให้เวลามึงสิบนาที มึงต้องมาถึงหน้าฮอลล์ที่มึงแอบพาพวกเจ้าซอมาส่ง”

ตายห่า

กูตายแน่ๆ

ผมวิ่งหน้าตั้งทันทีระหว่างนั้นก็โทรหาพี่ดลเพื่อขอความช่วยเหลือให้ฝ่ายนั้นมาพาไอ้อ๋องกลับหอ หลังจากนั้นก็วิ่งขึ้นแท็กซี่แต่เพราะการจราจรช่วงสุดสัปดาห์ที่ติดขัดทำให้ระยะทางจากโรงพยาบาลมาห้างไม่ถึงหนึ่งกิโลใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นผมโทรหาน้องซอจนสายแทบไหม้ก็ไม่มีท่าทีว่าอีกฝ่ายจะรับสายจนผมเองนึกกังวลใจขึ้นมาทันที

“ช้า”

ผมวิ่งมาหยุดหอบอยู่ตรงหน้าพี่เซียนที่ยืนกอดอกทำหน้านิ่งอยู่ สีหน้าของคนตรงหน้าทำให้ผมแอบกลืนน้ำลายเพราะผมเองก็มีส่วนผิดกับเรื่องนี้ด้วย เอาจริงๆ พูดว่าผิดเต็มๆ เลยก็ได้ในเมื่ออนุญาตให้น้องโดดเรียน

“ขอโทษครับ”

ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายเพราะรู้สึกผิดจริงๆ

“เรื่องของมึง เดี๋ยวค่อยเคลียร์ตอนนี้หาซอกับเพื่อนๆ ยัยแสบก่อน”

“ครับ”

ผมรู้สึกแย่ไปด้วยตอนที่พี่เซียนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถึงอย่างนั้นก็ลองเดินไปที่ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประกาศหาคน ระหว่างนั้นก็สอบถามพนักงานรักษาความปลอดภัยในห้างตามจุดต่างๆ จนผ่านไปครึ่งชั่วโมงผมกลับมาที่หน้าฮอลล์แสดงอีกครั้ง

“พี่เซียน”

ผมสะกิดหัวไหล่อีกฝ่ายก่อนชี้มือไปตรงประตูทางออกที่เห็นสาวๆ กำลังเดินออกมา น้องซอชะงักกึกหน้าเสียทันทีที่เห็นพี่เซียนยืนกอดอกมองอยู่ตรงนี้ ก่อนที่สาวๆ จะพากันเดินตัวลีบมาหยุดตรงหน้า

“พี่เซียน”

น้องซอพูดเสียงอ่อย

“มาได้ยังไงคะ”

“ซอบอกเองนี่ว่ามางานมีทที่นี่”

“หนูบอกเหรอ”

พี่เซียนยื่นมือถือตัวเองให้น้อง

“เราพิมพ์บอกในแชทครอบครัว”

“หนูจะบอกพี่เปียวต่างหาก”

น้องครางอย่างหมดแรง ความแตกก็เพราะเจ้าตัวดันส่งข้อความให้ผิดคนนี่แหละ ผมหน้าเสียตามเพราะน้องคงพิมพ์ข้อความนั่นหมายจะตอบผมแน่นอนหลังจากที่ผมส่งข้อความมาบอกว่าจะมารับเลทสักหน่อย

“ตอนนี้...”

น้องพึมพำหน้าเสีย

“ทุกคนที่บ้านรู้กันหมดแล้ว”

พี่เซียนทำหน้าดุใส่

“หนูขอโทษ”

“เรื่องนั้นไปคุยกันที่บ้าน”

“แต่ว่า...”

สาวน้อยพยายามจะอธิบาย

“วันนี้เราดื้อพอสมควรแล้วนะซอ อย่าให้พี่ต้องดุเราแรงๆ”

เชี่ย พี่เซียนพูดนิ่งๆ แล้วโคตรน่ากลัวเล่นเอาน้องซอตาแดงก่ำเหมือนจะอยู่ร้องไห้มะรอมมะร่อ

“ไปคุยที่บ้าน รับรองว่าพี่จะคุยกับเราจนกว่าจะรู้เรื่อง ถ้าไม่เคลียร์คืนนี้ไม่ต้องนอน”

พี่เซียนเหลือบตามองมาทางผม

“มึงด้วย”

ผมทำหน้าเหรอหราชี้นิ้วใส่ตัวเอง

“มึงนี่แหละเกี่ยวเต็มๆ”

ทำไมรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ วะ

ผมถอนหายใจแรงๆ สุดท้ายก็หลวมตัวมานั่งอยู่ในห้องโดยสารของรถคันหรูหลังจากพี่เซียนแวะส่งเพื่อนๆ ของน้องตามบ้านแล้ว บรรยากาศในรถที่เงียบอยู่แล้วยิ่งเงียบไปกันใหญ่ จนผมสังเกตว่าน้องซอก้มหน้ากุมมือตัวเองแน่น จนกระทั่งรถมียี่ห้อเลี้ยวเข้าเขตคอนโดส่วนตัวมหาวิทยาลัย

“พี่เซียนไม่กลับบ้านเหรอคะ”

น้องซอถามเสียงแผ่ว

“วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้าน คืนนี้นอนคอนโดพี่แล้วกัน”

น้องพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่พี่เซียนดุนหลังให้ออกเดินตอนที่พวกเราเข้ามาในห้องชุดส่วนตัวของพี่เซียนแล้ว

“หนูขอโทษ”

“ไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน”

น้องซอผละไปแล้วจึงเหลือผมที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่กลางห้อง

“นั่งสิ”

เจ้าของห้องพูดขึ้นผมเลยค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปทรุดตัวที่โซฟาตัวหนึ่ง

“พี่เซียน”

ผมยกมือไหว้อีกฝ่ายอีกครั้ง

“ขอโทษครับ”

“เรื่อง”

ฝ่ายนั้นพาดแขนไปตามความยาวของเบาะโซฟาจนปลายนิ้วเกือบถึงหัวไหล่ผม

“ที่ผมรู้เห็นเป็นใจเรื่องที่ให้น้องโดดเรียนแล้วแอบไปงานมีท”

“อืม”

“...”

“ผมขอรู้สึกผิดจริงๆ นะพี่”

“หิวข้าว”

“ครับ?”

ผมทำงงทันทีที่อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องคุย

“ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย”

พี่มันมองหน้าผมตรงๆ

“ทำอะไรให้กินหน่อย”

พี่แกบุ้ยปากที่ยังโซนครัว สุดท้ายผมเลยเดินงงๆ ไปเดินตู้เย็นสำรวจวัตถุดิบประกอบอาหาร

“มีแต่ไข่อ่ะ”

ผมมองไปรอบๆ เห็นข้าวสารในภาชนะปิดฝาสนิทวางอยู่มุมหนึ่ง

“ไข่เจียวกับข้าวได้มั้ยครับ”

“อืม”

พี่มันหันไปสนใจมือถือในมือ ผมเลยหันหลังกลับไปเจียวไข่และหุงข้าวทันที ระหว่างนั้นผมตั้งกระทะรอให้น้ำมันที่เทลงไปเดือดแล้วเทไข่ลงไปเจียว จังหวะที่เตรียมพลิกไข่กลับด้านผมสัมผัสได้ถึงความร้อนจากแผ่นหลัง

“หอมดี”

ไอ้พี่เซียนยืนซ้อนหลังผมอยู่ ผมยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกก่อนที่พี่ขยับตัวเลื่อนใบหน้าเฉียดปลายจมูกผมไปนิดเดียวเพื่อเอื้อมมือปิดเตาแก๊ส

“ไข่ไหม้แล้วมั้ง”

แม่ง

ผมรู้สึกหน้าร้อนวูบวาบยิ่งตอนที่พี่มันหัวเราะเบาๆ ใกล้ใบหูกันขนาดนี้ ผมเอี้ยวตัวหันกลับไปเบะปากใส่อีกฝ่ายก่อนจะยื่นไข่เจียวที่ตัดใส่จานแล้วให้อีกฝ่าย

“ถึงจะไหม้แต่ก็อร่อยเหอะ”

พี่เซียนกอดอกพิจารณาไข่ในจานที่สีสวยกรอบตรงข้ามกับที่ที่พี่มันแกล้งหยอกเมื่อกี้

“ใช้ได้”

“ต้องบอกว่าอร่อยด้วย”

ผมทึกทักเอาเอง

“ยังไม่ได้ชิมเลยจะรู้ได้ไงว่าอร่อย”

ผมยักไหล่ทันที

“ไม่น่าเชื่อว่ามึงจะทอดไข่รอดและน่ากินแบบนี้”

“อย่าดูถูกนะเว้ย ตอนเด็กๆ ผมเข้าครัวไปเป็นลูกมือแม่อยู่บ่อย”

“จะบอกว่ามึงทำกับข้าวเก่ง”

ผมยักไหล่กวนๆ ขณะที่พี่เซียนมองหน้าผมแล้วกดยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า

“กูชอบไข่เจียวใส่หอม”

“...”

“ไม่ชอบกินเค็ม”

“...”

“กินเผ็ดได้นิดหน่อย”

ผมเม้มปากแน่นรู้สึกว่าแปลกๆ ที่พี่มันจ้องหน้าผมตรงๆ แบบนี้

“กูเกลียดมิ้นท์”

“...”

“แต่ชอบมองคนกินมิ้นท์”

“บอกผมทำไม”

ผมอ้าปากพะงาบๆ

.

.

.

“มึงชอบกินมิ้นท์มั้ยล่ะ”

ไอ้สัด

ชอบดิ ชอบมากกก

แต่ไม่ตอบหรอกเว้ย ไม่ตอบเด็ดขาด

“ไอ้ตัวกินมิ้นท์”

พ่องงง



- J  E  E  B -


ไหนๆ ใครชอบกินมิ้นท์ยกมือขึ้น 555555555
ฝากเมนต์บอกหน่อยนะคะว่าสนุกมั้ย
หวีดในทวิตติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยเด้อ

ออฟไลน์ fammykiki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
สนุกมากครับ,,,

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
เขิลแทนเลยโว๊ย :-[

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
พี่เซียนคะ ขยันหยอดจังเลย

ออฟไลน์ pkjoe

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตายๆๆ เขินหนักมาก

ออฟไลน์ มาดามพีพี

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ขยันหยอดจ๊างงงง พ่อเอ๊ยยยย :-[

ออฟไลน์ tae1234

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
“มึงชอบกินมิ้นท์มั้ยล่ะ”
เขิลแทน 5555

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
จีบน้องเค้าหยอดน้องเค้าตลอดเลยนะพี่ หัวใจน้องมันจะวายก่อนรุ้ความจริงมั้ยยยย

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
เพิ่งเข้ามาอ่านสนุกมากๆๆๆ

ออฟไลน์ fammykiki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 329
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
สงสารเปียว พี่เซียนหยอดหนักมาก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด