ตอนที่ 9 เบาได้เบาครับพี่
[วา]“อยู่ไหนวะ?” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน หลังจากที่รับปากกับพี่ซันไปว่าจะหามือถือให้เจอ ตั้งแต่กลับมาจากโรงงานนี่ผมก็หามาหลายชั่วโมงแล้วนะ แต่ยังไม่เห็นวี่แววมือถือของตัวเองเลย
ผมเอาไปวางไว้ที่ไหนวะ?
“ทำอะไรน่ะ?” เสียงของผู้มาเยือนดังขึ้นหน้าประตูห้องนอนของผมที่เปิดอ้าเอาไว้
“หามือถือ” ผมตอบกลับไปสั้นๆ โดยที่ไม่ได้หันกลับไปสบตากับคู่สนทนาด้วยซ้ำ
“ทำหายเหรอ?”
“ไม่ได้หาย แค่จำไม่ได้ว่าเอาไปวางไว้ตรงไหน”
นี่คือสาเหตุที่ผมไม่ค่อยอยากจะคุยกับพ่อสักเท่าไหร่ ผมรู้สึกว่าไม่ว่าเราจะพูดคุยกันด้วยท็อปปิคอะไร สุดท้ายพ่อผมก็จะ
สามารถยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาบ่นผมได้อยู่ดี
“ให้โทรเข้าให้มั้ย?” เอ๊ะ รอบนี้มาแปลกแฮะ
“น่าจะแบตหมดไปนานแล้วอ่ะ ผมไม่ได้จับเลยตั้งแต่กลับมาจากกรุงเทพ” นับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็เข้าอาทิตย์ที่ 2 แล้ว
แบตมือถือผมไม่น่าจะอึดได้ขนาดนั้น แค่ตอนปกติที่ผมใช้งานในแต่ละวันยังต้องพกพาวเวอร์แบงค์เลย ตอนเช้าก่อนออกก็ชาร์จ
เต็ม 100% นะ แต่ผ่านไปครึ่งวันเหลือแค่ 20% ผมล่ะเป็นท้อ
“อือ”
“...” ผมเลือกที่จะเงียบเพื่อหยุดการสนทนานี้ลง
“ไม่ให้พ่อช่วยแน่นะ”
“ครับ”
“โอเค งั้นพ่อไปโรงงานก่อนนะ”
ไปโรงงาน? ตอน 3 ทุ่มเนี่ยนะ?
“ทำไมไปตอนนี้อ่ะ?” ผมพูดพร้อมกับหันไปถามเขาด้วยความสงสัย ปกติงานเขาก็ทำเป็นรูทีน เข้างาน 8 โมง เลิกงาน 5 โมง
เย็นเหมือนกับผม แต่ทำไมวันนี้ถึงต้องเข้าไปเอาซะดึกป่านนี้
“มันมีปัญหานิดหน่อย เขาเลยให้พ่อเขาไปช่วยดู” เขาตอบกลับ แต่สายตากลับจับจ้องไปยังมือถือของตัวเอง
“อ๋อ”
“จะไปด้วยกันมั้ย?” เขาถามพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม
นานแล้วนะที่เราไม่ได้คุยกันต่อหน้าแบบนี้ เพราะตั้งแต่กลับมาบ้านเราก็ได้คุยกันน้อยมากแม้จะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
และนั่งรถไปโรงงานด้วยกันทุกวัน แต่กลับต่างคนต่างอยู่ บทสนทนาในแต่ละวันก็จะวนๆอยู่แค่ไม่กี่ประโยค
ตื่นหรือยัง?
ไปรอที่รถนะ
ข้าวอยู่บนโต๊ะในครัว อะไรทำนองนี้
จะว่าไป เขาก็ดูแก่ลงจากที่ผมจำได้เยอะเลย
ใบหน้าเริ่มมีริ้วรอยที่ชัดเจนขึ้น ผมเริ่มเปลี่ยนเป็นเฉดสีที่อ่อนลง ขาวบ้าง เทาบ้างสลับกันไป เขาดูแปลกตาไปมาก
แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมคือแววตาคู่นั้น
แววตาที่ดูเหมือนจะมีอะไรในใจตลอดเวลา
“ว่าไง ไปด้วยกันมั้ย?”
หลังจากที่เขารอคำตอบจากผมอยู่ครู่หนึ่งแต่กลับได้ไปเพียงความเงียบ เขาจึงถามมาอีกครั้งด้วยคำถามเดิม
“อ่า.... ผมไปได้เหรอ?”
“ได้สิ”
“งั้นผมขอเปลี่ยนชุดก่อนแล้วกัน”
“อืม งั้นเดี๋ยวพ่อลงไปรอที่รถ อย่าช้ามากล่ะ”
“อืม” ผมรับคำก่อนจะเดินไปเปิดหาชุดมาใส่แทนที่ชุดนอนที่ผมใส่อยู่ตอนนี้ ซึ่งทั้งย้วยและขาดจนควรจะเอาไปทำผ้าขี้ริ้วได้แล้ว
แต่ก็นะยิ่งเก่าผ้ามันก็ยิ่งนิ่ม จะให้ทิ้งก็เสียดาย กว่าจะใส่จนเก่าแล้วก็นิ่มได้ขนาดนี้มันไม่ง่ายเลยนะ
ผมหยิบสุ่มหยิบเสื้อยืดจากในตู้เสื้อผ้าออกมาตัวนึงก่อนจะเดินไปหยิบกางเกงยีนที่พาดอยู่บนเก้าอี้มาสะบัดๆ
“เพิ่งใส่ไปอาทิตย์เดียวเอง” ผมพึมพำกับตัวเองพร้อมกับยกกางเกงขึ้นมาดมพิสูจน์กลิ่นว่ายังสมควรใส่อยู่หรือไม่
เค กลิ่นยังดีอยู่ใส่ได้ กางเกงยีนใครเขาซักกันบ่อยๆล่ะครับ ผ้าเสียหมดพอดี
หลังจากได้ชุดมาแล้วผมก็รีบลงมือเปลี่ยนมันทันที
ก่อนจะลงไปขึ้นรถก็ไม่ลืมหยิบเสื้อช็อปติดมือไปด้วย ใส่ไว้เถอะครับเสื้อช็อปของผมแขนยาว แล้วมันก็เป็นผ้าชนิดพิเศษที่กันไฟ
เอ่อ... เอาจริงๆก็ไม่กันหรอก ตอนได้ช็อปมาครั้งแรกผมก็เชื่อนะว่ามันกันไฟได้เพราะรุ่นพี่เขาบอกกันมาแบบนั้น แต่ด้วยความที่
ผมมันเด็กสายวิทย์ไง ชอบพิสูจน์ ผมเลยจัดซะหน่อย เอาไฟแช็คมาลนที่ขอบๆด้านในของเสื้อช็อป ปรากฏว่าแม่งไหม้เป็นวง
เลยครับ ไหนบอกว่ากันไฟวะ?!!
‘สมน้ำหน้า’
‘ที มึงอย่าไปซ้ำเติมมัน 555’
‘ปากมึงบอกไม่ให้ไอ้ทีซ้ำเติมกู แล้วที่มึงหัวเราะนี่คืออะไรวะเซียน?!’
‘อ้าว พาลกูอีก’
‘ไอ้เชี่ยกูโมโห! รุ่นพี่แม่งโกหก เนี่ยดูดิ เพิ่งได้มายังไม่ทันจะถึงครึ่งชั่วโมงเลย ช็อปกูเป็นรูซะแล้ว’
‘มึงก็ไม่น่าลองเผามั้ยอ่ะ?’
‘เชี่ยก็กูอยากรู้’
‘กูย้ำคำเดิมเลยนะวา สมน้ำหน้า’
‘ที!’
‘พอๆๆ หยุดได้แล้ว ทีมึงอย่าไปแหย่มัน มันอารมณ์ไม่ดีอยู่ ส่วนมึง มันทำอะไรไม่ได้แล้ว หยุดโวยวาย เข้าใจมั้ย?’
‘แต่กู...’
‘งั้นแลกกับของกูมั้ยล่ะ? เอาตัวนั้นมาเดี๋ยวกูใส่เอง’
‘ว้าว คนดีจังครับพี่เซียน’
‘ธรรมดาครับน้องที’
‘ว่าไงวา เอามั้ย?’
‘เอาเหี้ยไรล่ะ? ช็อปมันปักชื่อ ช่างแม่งไอ้เหี้ยกูจะทำเป็นมองไม่เห็นรูเหี้ยนี่ก็แล้วกัน!’“เห้อ...” ผมถอนหายใจพร้อมกับยิ้มออกมาเบาๆให้กับความทรงจำเหล่านั้น
พวกมึงแม่งอยู่กับกูเกือบทุกเหตุการณ์เลยว่ะ
ตอนนี้จะเป็นไงกันบ้างวะ?
ทีจะกลับบ้านมันไปรึยัง? หรือว่ายังอยู่หอที่กรุงเทพ
จีนจะเอาสร้อยข้อมือที่ผมซื้อไปไอ้เซียนรึยัง?
ไอ้เซียนจะได้รับสร้อยข้อมือจากจีนรึยัง? แล้วมันได้พยายามติดต่อหาผมบ้างมั้ย?
ความคิดผมหยุดลงตรงนั้น ก่อนที่ภาพของมัน 2 คนบนเตียงจะฉายซ้ำขึ้นมาในหัวอีกรอบ
ผ่านมาตั้ง 2 อาทิตย์แล้ว พอกลับไปนึกถึงตอนนั้น ทำไมยังเจ็บเหมือนเดิมเลยวะ?
“วา... เสร็จรึยัง?” เสียงของพ่อดังขึ้นเรียกสติของผมให้กลับมาสู้ปัจจุบันอีกครั้ง
“เอ่อ..เสร็จแล้วครับๆ กำลังจะลงไป” ผมส่ายหัวเบาๆก่อนจะเดินตามเสียงเรียกลงไปยังชั้นล่าง
“เป็นอะไรรึเปล่า?” พ่อมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม ก่อนจะถามมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงจนผมรู้สึกได้
“เปล่าครับ”
“มีอะไรบอกพ่อได้นะ”
“ผมไม่ได้เป็นอะไร” ผมปฏิเสธออกไป แม้รู้ดีว่ามันดูฟังไม่ขึ้นเลยก็ตาม
“อืม งั้นก็... ไปกันเลยมั้ย?” พ่อพยักหน้าก่อนจะตอบกลับ ผมดีใจที่เขาเลือกที่จะไม่เซ้าซี้ต่อเพื่อเอาคำตอบ เพราะไม่งั้น
บรรยากาศระหว่างเราคงจะแย่ลงไปอีก
“ครับ” ผมพยักหน้าก่อนจะเดินตามเขาไปขึ้นรถ
ไปโรงงานก็ดีเหมือนกัน ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆแล้วเอาเวลาไปฟุ้งซ่าน เพราะขืนผมนอนอยู่ที่บ้านคืนนี้มีหวังได้คิดถึงแต่เรื่องนั้นวน
ไปวนมาจนหลับไม่ลงแน่ หวังว่าที่โรงงานจะมีอะไรช่วยให้ผมลืมความทุกข์ในใจตอนนี้ไปได้บ้าง
แค่ชั่วคราวก็ยังดี
.....
“น้อง ว่างอยู่ปะ?”
“ผมเหรอ?” ผมถามพร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“เออ ก็ต้องมึงสิวะ”
“ว่างครับ” ใช่ครับ ว่างมาก
พ่อผมแยกตัวออกไปตั้งแต่มาถึงโรงงาน ผมก็เคว้งเลยครับ เพราะปกติผมไม่ได้มาที่สำนักงานเท่าไหร่ ไม่ค่อยรู้จักใครที่นี่ ผม
เคยมาแค่ครั้งสองครั้งเองมั้งตอนที่มารายงานตัวขอเข้าฝึกงาน เพราะปกติผมจะนั่งทำงานที่แผนกซ่อมบำรุงซึ่งอยู่ในโซนของ
ไลน์การผลิตเลย ส่วนสำนักงานจะเป็นที่ของส่วนอื่นๆ อย่างเช่น ห้องรับรองแขก ห้องผู้จัดการ ห้องฝ่ายการเงิน ฝ่ายติดต่อ
ลูกค้า อะไรประมาณนี้
“เอาเอกสารอันนี้ไปให้ พี่ธรผู้จัดการโรงไฟฟ้าหน่อย”
“เอ่อ...ได้ครับ แต่พี่ครับ คือผมไม่รู้จักพี่ธร” ผมไม่เคยไปส่วนโรงไฟฟ้าซะที่ไหนล่ะ ปกติก็หมกตัวอยู่แค่ในแผนกซ่อมบำรุงของ
โซนโรงกลั่นน้ำมัน
ว่าแต่ผมเคยบอกไปหรือยังว่าที่นี่ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อย ภายใต้บริษัทแม่เดียวกันและตั้งอยู่ในพื้นที่ติดๆกัน
เอาเป็นว่าผมจะขออธิบายคร่าวๆให้เห็นภาพก็แล้วกันนะครับ คือที่นี่เป็นกลุ่มบริษัทผลิตน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีบริษัทลูก 2 บริษัท
ได้แก่ บริษัทผลิตน้ำมันปาล์มและบริษัทผลิตไฟฟ้าซึ่งตั้งอยู่ติดกัน ส่วนที่ผมอยู่เนี่ยจะเป็นส่วนของการผลิตน้ำมันปาล์ม แต่ถัด
เข้าไปข้างในจะมีส่วนของการผลิตไฟฟ้าโดยเอาของเสียจากการกลั่นน้ำมันนี่แหละครับไปใช้ โคตรจะขี้งกเลยว่ามั้ย? 555 ขาย
น้ำมันได้ไม่พอ ยังผลิตไฟใช้เองได้อีก แถมไฟที่ผลิตได้ยังเหลือจนขายให้การไฟฟ้าได้อีก รวยจนลืมบ้านเลขที่ไปเลยครับ
“ไปที่โรงไฟฟ้าอ่ะ ไปถูกใช่ปะ?”
“ครับ”
“เออนั่นแหละแล้วก็เดินเข้าไปตรงสำนักงาน ขึ้นไปที่ห้องควบคุมอ่ะ เขาอยู่ในนั้น กูวอไปถามมาแล้ว”
“อ่า โอเคครับ” ผมพยักหน้าพร้อมกับยื่นมือไปรับเอกสารจากเขามา
“ปั่นจักรยานกูไปก็ได้ คันสีแดงอ่ะ”
“ครับ”
“เออ มันมืดนะปั่นระวังด้วย เดี๋ยวรถสิบล้อเอาไปแดก”
“เอ่อ...ครับ” กูไม่ทำแล้วได้มั้ย? ไม่ได้อ่ะเนอะ
ผมหยิบหมวกเซฟตี้มาใส่ก่อนจะเดินลงไปยังลานจอดรถจักรยานแล้วมองหาจักรยานคันสีแดงที่พี่เขาบอก
แม่งคันไหนวะ? ละแม่งมืดก็มืด ไฟฉายก็ไม่มี
“ทำไรอ่ะ?”
“เหี้ย!!” ผมตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ เมื่อจู่ก็มีเสียงพูดดังขึ้นด้านหลังของตัวผมเอง
“เอ่า โดนด่าเฉย”
“พี่ซัน”
“อืม พี่เอง แล้วนี่มาทำอะไรมืดๆคนเดียว จะมาขโมยจักรยานอีกแล้วเหรอ?” คนตรงหน้ายกมือขึ้นกอดอกหลวมๆก่อนจะหรี่ตาม
องมาที่ผมเหมือนกำลังพยายามจะจับผิด
“ป่าวเหอะ ผมจะเอาเอกสารไปให้พี่ธรที่โรงไฟฟ้า”
“รู้จักเหรอว่าคนไหน?”
“ไม่อ่ะ” ผมส่ายหน้าก่อนจะตอบไปตามความจริง
“งั้นเดี๋ยวพี่พาไป”
“เห้ยไม่เป็นไร ผมไปเองได้” ผมรีบปฏิเสธไปทันที คือเกรงใจอ่ะบอกตามตรง กลางวันก็กวนเขามาแทบจะทั้งวันแล้วยังจะมารบก
วนเขาตอนกลางคืนอีก
“ไปได้ไง? ไฟฉายก็ไม่มี วอก็ไม่มี ละให้ทายมือถือก็ไม่มี เกิดตกลงไปในบ่อขึ้นมาจะทำไง?”
“...” ผมไม่ตอบกลับไป แต่กำลังคิดตามที่เขาพูด
เอาจริงๆมันก็อันตรายอยู่แหละ คือผมไม่เคยไปโรงไฟฟ้า ไม่รู้ว่าถนนเป็นยังไง มีบ่ออะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เกิดปั่นจักรยานไปมืดๆ
แล้วดันหล่นตุ๊บลงไปในบ่อน้ำเสียนี่ก็คือเตรียมเซย์ไฮทักทายยมบาลได้เลย
“ว่าไง?”
“งั้นผมรบกวนพี่ด้วยแล้วกันครับ”
….
“เอ่อ... พี่หนักมั้ย? ผลัดให้ผมปั่นได้นะ?” ผมถามขึ้นหลังจากที่ซ้อนจักรยานเขามาได้พักใหญ่
ผมนึกว่าจากสำนักงานไปโรงไฟฟ้ามันจะใกล้ๆ เอาเข้าจริงๆก็ไกลเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ แถมถนนยังเล็กแล้วก็คดเคี้ยวอีก
แล้วอย่าถามหาไฟข้างทาง ไม่มีเลยจ้า มืดสนิทชนิดที่ผีโผล่มาก็ไม่รู้ว่าผมจะมองเห็นรึเปล่าด้วยซ้ำ
“สบาย” เขาตอบกลับมาสั้นๆ ในขณะที่ขาก็ปั่นจักรยานไปด้วยความเร็วคงที่
แล้วเราทั้งสองคนก็ถูกความเงียบและความมืดเขาปกคลุมอีกครั้ง
ไม่ดีเลยแฮะ เงียบแบบนี้ผมก็แอบกลัวๆอยู่เหมือนกัน บรรยากาศมันวังเวงเกินไป
“พี่ซัน” ผมตัดสินใจเริ่มบทสนทนาเพื่อทำลายความเงียบลงอีกครั้ง
“ครับ?”
“ทำไมวันนี้พี่อยู่ดึกอ่ะ?”
“เขาขอให้อยู่ช่วยงานอ่ะ”
“คนดีจัง”
“พี่ได้โอทีครับ”
อืม โอเค เอาคำชมของกูคืนมา
“อ๋อ แล้วนี่พี่ช่วยงานเสร็จแล้วเหรอ?” ผมยังคงถามออกไปอย่างต่อเนื่อง
“อืม เสร็จแล้วเมื่อกี๊กำลังจะกลับบ้านแต่ดันเจอโจรขโมยจักรยานซะก่อน”
“ผมไม่ได้ขโมย!” ผมพูดเสียงดังขึ้นจากเดิมเล็กน้อย
“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวก็ไปปลุกกุ๊กกุ๊กกู๋หรอก”
“พี่ซัน!” ผมเรียกเขาเสียงเข้มพร้อมกับยกมือขึ้นจับชายเสื้อด้านหลังขอเขาเอาไว้
“กลัวเหรอ?”
“เปล่า” ผมปฏิเสธออกไป แต่มือก็ยังคงจับชายเสื้อเขาเอาไว้เหมือนเดิม ผมไม่ได้กลัวนะ ก็แค่อยาเอาคืนที่เขาแกล้ง
นี่แน่ะ! ชายเสื้อยับเลย สมน้ำหน้า!
“ดีเลย งั้นพี่เล่าเรื่องผีให้ฟัง”
“ไม่เอา!”
“อ้าว ไหนบอกไม่กลัว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
พี่ซันแม่ง นิสัยไม่ดี!
“ก็ไม่อยากฟัง” ผมตอบพร้อมกลับโน้มตัวเข้าไปใกล้เข้ามากยิ่งขึ้น
เริ่มรู้สึกขนลุกซู่ตรงต้นคอ แล้วลมแม่งก็พัดได้จังหวะอย่างกับมีคนปล่อยคิวเลย
“เคยมีคนงานที่นี่คนนึง...”
“พี่ซัน!”
“5555 โอเคๆ พี่ไม่แกล้งแล้ว”
“นิสัยไม่ดี” ผมพึมพำออกมาเบาๆ
แต่ด้วยความเงียบขนาด และระยะห่างระหว่างผมกับเขาตอนนี้
พูดเบาแค่ไหนก็น่าจะได้ยินอยู่ดี
“ดุเฉย” นั่นไง ผมพูดผิดซะทีไหน หูดีเหลือเกินนะพ่อคุณ
“...” ผมเลือกที่จะไม่ต่อปากต่อคำเขาต่อ เพิ่งมารู้เอาตอนนี้นี่แหละว่าเขาก็เป็นคนกวนประสาทมากๆคนหนึ่ง ทีตอนอยู่กับลูกน้อง
ล่ะเสียงขรึมเขียว ถามจริงถ้ามีคนมาเห็นเขาในบุคลิกแบบนี้ ใครมันจะมาเคารพ
“โกรธเหรอ?”
“ไม่ได้โกรธ”
“ไม่แกล้งแล้วครับ”
“อือ”
“หมายถึงวันนี้นะ”
“หืม?” อะไรของเขา เมากลิ่นปาล์มเหรอ?
“ก็วันนี้จะไม่แกล้งแล้ว ไว้แกล้งใหม่พรุ่งนี้”
“ว้อยย!”
...
ผมเดินตามพี่ซันเข้ามาในโซนของโรงไฟฟ้า
ต่างกับฝั่งโรงกลั่นเยอะเลยอ่ะ
ฝั่งนี้ดูสะอาด พื้นก็ไม่ลื่น ฝั่งโรงกลั่นนี่เวลาเดินต้องจิกเท้าดีๆเลยนะ พื้นนี่มีแต่ไอน้ำมันเต็มไปหมด ผมเคยลื่นล้มไปครั้งนึงด้วย
โคตรจะเจ็บ แต่บอกเลยว่าเทียบไม่ได้กับความอาย
ผมเดินตามพี่ซันขึ้นบันไดไปเรื่อยๆจนถึงชั้นสาม ซึ่งน่าจะเป็นห้องควบคุมที่ผมต้องมา เพราะในห้องนั้นเต็มไปด้วยจอแสดง
ข้อมูล และภาพส่วนต่างๆในกระบวนการผลิต
“แอบหลับเหรอมึง?” พี่ซันเดินพุ่งตรงไปก่อกวนพี่คนนึงที่กำลังนั่งสัปหงกอยู่ทันทีที่เข้ามาในห้อง
“สัด” พี่คนนั้นสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นมาสบถอย่างหัวเสีย
“เขาจ้างให้มึงมาเฝ้าเครื่อง ไม่ได้จ้างให้มึงมานอน” พี่ซันพูดพร้อมกับยื่นมือไปผลักหัวพี่คนนั้นเบาๆ
“เสือกนักนะมึงอ่ะ แล้วนี่มาทำเหี้ยไร? ไม่กลับบ้านกลับช่องวะ?”
“เอาเด็กมาส่ง” เขาตอบกลับไปพร้อมกับยู่ปากชี้มาทางผม
“ใครวะ?”
“น้องฝึกงาน” พี่ซันตอบคำถามนั้นแทนผม
“อ๋อ ลูกผู้จัดการอ่ะนะ?”
“เออ”
“หวัดดี พี่ชื่อพุดนะ” เขาหันมากล่าวทักทายผมอย่างเป็นมิตร
พี่พุดเป็นคนค่อนข้างอวบ ผิวเข้ม และหนวดที่เอ่อ...เรียกได้ว่ารุงรัง แต่ก็ยังดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ถ้าโกนหนวดโกนเคราแล้ว
ก็ดูแลตัวเองเสียหน่อยคงจะดูดีไม่เบา
“ผมวานะครับ” ผมพูดแนะนำตัวเองออกไปพร้อมกับก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย
“อือ แล้วนี่มาทำไมอ่ะ?”
“พี่ที่สำนักงานฝากเอกสารมาให้พี่ธรครับ” ผมพูดพร้อมกับชูเอกสารในมือให้เขาดู
“ไอ้วุฒิอ่ะดิ ไอ้ห่าใช้งานคนอื่นเก่ง ไหนเอามาดูดิ เอกสารอะไร” เขาบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งก่อนจะแบมือขอเอกสารจากผมไป
ตรวจดู
“ครับ” ผมตอบรับพร้อมกับยื่นเอกสารในมือไปให้เขา
พี่พุดอ่านเอกสารตรงหน้าอย่างละเอียด ก่อนจะพลิกกลับไปกลับมาหลายรอบเพื่อทำความเข้าใจ
ส่วนพี่ซัน โน่นครับไปยืนวอแวอยู่ตรงหน้าแผงควบคุม เอาจริงๆมันก็เป็นแป้นพิมพ์กับเม้าส์ธรรมดาๆนี่แหละครับ แต่เขาก็มีการ
ออกแบบระบบให้สามารถสั่งเปิดปิดอุปกรณ์หรือระบบบางอย่างได้จากหน้าจอตรงนี้ เผื่อเวลามีเหตุฉุกเฉินอะไรจะได้จัดการได้
ทัน
ในห้องควบคุมจะมีคนที่นั่งหน้าจอ 2 คน ส่วนใหญ่จะเป็นช่างที่จบระดับ ปวช. หรือ ปวส. คอยทำหน้าที่จดบันทึกค่าที่สำคัญๆ
และตรวจเช็คค่าต่างๆที่แสดงบนหน้าจอให้เป็นไปตามผิดปกติ หากเกิดความผิดปกติก็จะต้องแจ้งวิศวกรซึ่งในที่นี้ก็คือพี่พุดนั่น
แหละครับ เพื่อให้เขาคิดแล้วก็สั่งการแก้ปัญหา จากที่ผมได้คุยกับพี่ซันมาก็ทำให้ผมรู้ว่าที่นี่จะต้องมีคนอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง โดย
จะมีการผลัดกันเป็นกะ ทำงานกะละ 12 ชั่วโมง แต่ละกะจะต้องมีช่าง 2 คนและวิศวกร 1 คนเป็นอย่างน้อย
“อืม โอเค เอาไปให้พี่ธรเซ็นต์ได้เลย บอกว่าพี่พุดตรวจแล้ว แต่ถ้าเขาจะลองเช็คอีกรอบก็ได้” พี่พุดพูดพร้อมกับยื่นเอกสารกลับ
มาให้ผม หลังจากนั่งอ่านอยู่ครู่ใหญ่
“แล้วพี่ธรอยู่ไหนอ่ะครับ?”
“อ้าว เออว่ะ” เขาพูดพร้อมกับหันซ้ายหันขวามองหาพี่ธร แต่ในห้องนี้ก็ไม่มีคนอื่นแล้วนอกจากช่าง 2 คน เขา พี่ซัน แล้วก็ผม
“วอตามมั้ย?” พี่ซันหันกลับมาแสดงความคิดเห็น
“วอเขาตั้งอยู่เนี่ย” พี่พุดตอบพร้อมกับหยิบวอของพี่ธรขึ้นมาถือในมือ
“อ้าว”
“ถ้าไม่เอาวอไป แสดงว่าน่าจะไม่ได้ไปไหนไกล หรืออยู่ในห้องไฟ”
“เดี๋ยวกูพาน้องลงไปดูเอง” พี่ซันบอกพร้อมกับเดินมาดันหลังผมเบาๆ
“เออๆ”
“อย่าหลับอีกนะมึง ไม่งั้นกูฟ้องผู้จัดการ” พี่ซันหันไปขู่อีกครั้งก่อนจะเดินตามหลังผมออกมา
…
“ห้องไฟคือห้องอะไรอ่ะพี่?” ผมถามพร้อมกับหันหน้าไปรอฟังคำตอบจากเขา
“มันก็คือห้องที่มีตู้ไฟอยู่เยอะๆ เรียงกันเป็นตับเลย แต่ละตู้ก็จะควบคุมแต่ละส่วนของโรงงาน เวลาส่วนไหนมีปัญหาก็จะได้มาเช็คได้ง่ายๆ” เขาพูดอธิบายพร้อมกับก้าวลงบันไดไปเรื่อยๆ
“แล้วมันอยู่ไหนอ่ะ?”
“นี่ไง”
“อ๋อ ใกล้เชียว” ผมพูดก่อนจะผลักประตูเข้าไปด้านในห้อง สัมผัสแรกที่เข้ามาคือหนาว! หนาวมาก!!!
“มันก็ต้องใกล้ห้องควบคุมหน่อยอ่ะ เวลามีปัญหาจะได้ลงมาแก้ได้ทัน” เขาตอบพร้อมกับเดินตามผมเข้ามาในห้อง
ผมกวาดตามองไปรอบๆ ก็เจอตู้เหล็กวางเรียงกันหลายสิบตู้ ลักษณะคล้ายๆตู้ใส่เอกสารตามสำนักงานอ่ะ แต่จะใหญ่กว่าหน่อย
แล้วหน้าตู้ก็จะมีป้ายบอกว่าเป็นตู้ที่ควบคุมส่วนไหน ล่างลงมาหน่อยก็จะเจอกับป้ายระวังกระแสไฟฟ้าแรงสูง
แต่ไหนพี่ธร?
“ไม่เห็นมีคะ...” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ พี่ซันก็เอื้อมมือมาดึงผมเข้าไปใกล้ๆก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปากผมเอาไว้
“ชู่ว..” เขาจ้องมาที่ผมพร้อมกับส่งสัญญาณบอกให้ผมเงียบ
“อะไรวะพี่?” ผมพูดเบาจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ
และก็ไม่ลืมที่จะเอามือขึ้นมาดันตัวพี่เขาให้ออกไปหน่อย
ใกล้ไปพี่ ใกล้ไป
“มานี่ๆ” เขากระซิบตอบพร้อมกับดึงข้อมือให้ผมเดินตามไปยืนหลบตรงข้างๆตู้ใบนึง
“อะไร?” ผมยงคงสงสัยสถานการณ์ตอนนี้ไม่หาย นี่เรากำลังแอบใคร? แล้วเราแอบกันทำไม? เรามาหาพี่ธรไม่ใช่เหรอ?
“ไม่ได้ยินเหรอ?”
“ได้ยินอะไร?” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย ตอนนี้ในหูผมไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงอื้อๆของเครื่องจักรที่กำลังทำงานอยู่
ข้างนอก
“ฟังดีๆ” เขาบอกอีกครั้ง ผมเลยลองพยายามตั้งใจฟังเพื่อหาต้นตอของเสียงที่ทำให้เราต้องมายืนแอบกันอยู่แบบนี้
พั่บๆๆๆๆๆเดี๋ยวนะ....
“ได้ยินยัง?” พี่ซันถามขึ้นเมื่อสังเกตได้ถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผม
“อะ..อือ..” ผมตอบออกมาตะกุกตะกัก จะว่าไงดี คือผมก็ไม่ได้อ่อนต่อโลกถึงขนาดที่จะไม่รู้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมันคือเสียงอะไร
แต่ที่ผมกำลังสงสัยคือ ใครเป็นคนทำให้เกิดเสียงนี้? และเข้ามาทำกันในนี้ได้ยังไง? อิเหี้ยไฟจะช็อตมึงเอานะ!
“อื้อ...อ๊ะๆๆ..เบา...เบาหน่อย” จู่ๆก็มีเสียงผู้ต้องสงสัยดังขึ้น จากโซนในสุดของห้องไฟ
อือ... ที่กูสันนิษฐานไว้ ใช่สินะ...
“ใครวะพี่?” ผมกระซิบถามพี่ซันขึ้นมาเบาๆ
“พี่ก็ไม่รู้” เขาส่ายหน้าพร้อมกับกระซิบตอบ ก่อนจะพยายามชะโงกหน้าออกไปดูเพื่อหาว่าใครคือเจ้าของเสียงนั้น
“มึงก็อย่ารัดกูดิ กูรู้ว่ามึงตื่นเต้น” เอ่อ...เบาได้เบาครับ ใครก็แล้วแต่ที่กำลังปฏิบัติกามกิจกันอยู่ตรงนั้นขอเลยนะครับ เบาได้เบา!
“อื้อ...พี่ธร อย่าปล่อยในนะ!”
ผมกับพี่ซันหันหน้ามาสบตากันทันที เรารู้ตัวหนึ่งในผู้ต้องสงสัยแล้ว
พี่ธร...ผู้ที่ควรจะมาเซ็นต์เอกสารให้ผมในตอนนี้ มึงไปทำอะไรอยู่ตรงนั้นครับพี่????
สีหน้าของพี่ซันตอนนี้คือผสมปนเปกันไปหมด ทั้งอึ้ง ทั้งเขิน หน้าแดง คิ้วขมวด อ้าปากค้าง
ซึ่งผมก็คิดว่าสีหน้าของผมก็คงไม่ได้แตกต่างกับเขาเท่าไหร่นัก
แต่นี่มันเรื่องอะไรที่ผมจะต้องมายืนเป็นสักขีพยานรักให้เขาด้วยล่ะเนี่ย??!!!
“เราไปกันมั้ย?” ผมกระซิบถามพี่ซันอีกครั้งพร้อมกับออกแรงกระตุกชายเสื้อเขาเบาๆ
“จะออกไปยังไง?”
“ก็ออกไปตรงทางที่เราเข้ามาไงเล่า” จะมาโง่อะไรเอาตอนนี้เนี่ย???
“แล้วถ้าเขาหันมาเห็นเราอ่ะ”
เออนั่นสิ ถ้าเขาหันมาป๊ะหน้ากับเรา 2 คนพอดีล่ะ?
“งั้นเอาไง?”
“รอก่อน” เขาตอบพร้อมกับยังไม่เลิกความพยายามที่จะชะเง้อมองไปยังจุดเกิดเหตุ
“แล้วต้องรอไปถึงเมื่อไหร่อ่ะพี่?”
“...” พี่ซันเงียบไปอย่างใช้ความคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม
“ว่าไง?” ผมถามย้ำไปอีกครั้ง
ผมไม่อยากอยู่ในนี้ทั้งคืนหรอกนะ หนาวก็หนาว แถมยังจะมีเสียงบรรเลงเพลงรักอย่างดุเดือดเลือดพล่านนั่นอีก
ตั้งแต่เกิดมาจะ 20 ปี ผมบอกตามตรงเลยนะว่าผมไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
โรงงานได้มอบประสบการณ์ใหม่ให้ผมอีกแล้ว เกินคาดจริงๆ
“รอให้เขาเสร็จก่อน”
“ว่าไงนะ?!”
“รอให้เขาเสร็จกันก่อน เราค่อยออกไป”
โอ้โหหห แล้วเมื่อไหร่เขาจะเสร็จกันล่ะครับ พี่ครับบบบ
TBC
ตามชื่อตอนเลยค่ะ เบาได้เบาาา 5555
ไอ้โรงงานนี่นี้มันยังไงกันนนน