[[LOVE ENGINE]] รักไม่รักก็ 'ช่าง' : ตอนที่ 9 เบาได้เบาครับพี่ (UP 15/05/2020)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [[LOVE ENGINE]] รักไม่รักก็ 'ช่าง' : ตอนที่ 9 เบาได้เบาครับพี่ (UP 15/05/2020)  (อ่าน 22431 ครั้ง)

ออฟไลน์ katiezz

  • เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-05-2020 22:46:08 โดย katiezz »

ออฟไลน์ katiezz

  • เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
บทนำ


“ผู้จัดการเรียกซัน....ผู้จัดการเรียกซัน.....” เสียงวอบนโต๊ะดังขึ้นปลุกผมจากความฝันให้กลับมาเผชิญหน้ากับชีวิตจริง
ผมหมุนคอสองสามครั้งเรียกสติของตัวเองก่อนจะหยิบวอขึ้นมาพูดตอบกลับไป

“ซันทราบ มีอะไรครับผู้จัดการ...” ผมแกว่งวอไปมาในมือรอฟังคำตอบรับจากอีกฝ่ายอย่างใจเย็น วันนี้เป็นอีกวันที่ผมต้องตื่นมาเข้างานให้ทันแปดโมงเช้าทั้งๆที่เมื่อคืนผมต้องคุมงานสร้างถังกักเก็บใบใหม่จนเวลาล่วงไปถึงประมาณตีสามกว่าเห็นจะได้ งานนี่จะทำให้ผมตายในไม่ช้าแน่ๆ

“ท่อส่งน้ำในสวนปาล์มตรงชายแดนด้านตะวันออกมันแตก ช่วยไปดูให้หน่อย...” เสียงผู้จัดการตอบกลับมายาวเหยียดก่อนจะเงียบเสียงไป  ให้ตายเถอะผมไม่เคยคิดเลยว่างานที่ผมต้องทำมันจะครอบจักรวาลขนาดนี้

ตอนนี้ผมกำลังทำงานอยู่ที่โรงงานปาล์มน้ำมันขนาดกลางในจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ ตัวผมเองน่ะเรียนจบวิศวะเครื่องกลมา เพื่อนๆผมคนอื่นๆในรุ่น เขาก็ไปทำงานบริษัทรถยนต์หรือโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ๆกัน แต่ผมอยากกลับมาทำงานใกล้บ้านซึ่งก็มีแค่โรงงานนี้โรงงานเดียวเท่านั้น
โดยที่โรงงานจะแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ ฝั่งโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม กับฝั่งของโรงไฟฟ้า (ที่โรงงานนี้ผลิตไฟฟ้าไว้ใช้เองภายในด้วยน่ะครับ) ผมไม่ใช่คนที่มีทางเลือกมากนักหรอก ตอนมาสมัครเข้าทำงาน ทางโรงงานก็บอกว่าให้อยู่แผนกซ่อมบำรุงฝั่งโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม  ไอ้ผมก็คิดว่าแค่เคาะๆเดินดูท่อในโรงงานเบาๆ มาเช้าเย็นกลับทำงานชิลๆ รับเงินเดือนหลักหมื่น  แต่ให้ตายเถอะ  โรงงานนี้ดันมีสวนปาล์มเป็นของตัวเองตั้ง 400 ไร่ด้วยแน่ะ  และงานซ่อมทั้งหมดตั้งแต่บอยเลอร์(หม้อต้ม) ยันท่อน้ำส้วมก็ถือเป็นหน้าที่ของแผนกซ่อมบำรุงทั้งหมด เพราะฉะนั้นท่อน้ำในสวนปาล์มแตกนี่ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของผมเหมือนกัน

ผมหยิบหมวกเซฟตี้ที่ใครๆก็คิดว่าใส่แล้วดูเท่ห์ ดูรวย ดูวิศวกรสุดๆ ขึ้นมาใส่ก่อนจะเดินลงบันไดไปอย่างเฉื่อยๆแต่มีใครบ้างที่จะรู้ความลับของหมวกเชี่ยนี่คือแม่งโคตรจะไม่พอดีหลวมไปบ้าง รัดหัวกูบ้าง นี่ชีวิตกูย่ำแย่อะไรขนาดนี้ ละคือนี่กูง่วงจนจะหลับกลางอากาศอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องไปทำงานอีก ลาออกก็ไม่มีตังจะแดก เพราะฉะนั้นก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปอย่างจำทน

“เฮียซัน” เสียงของ แสน นายช่างคนสนิทในแผนกของผมดังขึ้นขณะที่ผมกำลังจะถอยจักรยานของตัวเองออกจากที่จอด  ต้องบอกเลยว่าพนักงานทุกคนในโรงงานนี้ต้องมีจักรยานเป็นของตัวเองกัน เพราะพื้นที่โรงงานรวมกับสวนปาล์มแล้วเกือบๆ 500 ไร่ ถ้าอาศัยเดินเอาคงได้ตายเข้าสักวัน

“อ้าวแสน  มีไรมึง?” ผมจอดจักรยานไว้ที่เดิมก่อนจะเดินข้ามถนนไปหาแสนที่กำลังโกยเปลือกของเมล็ดปาล์มที่ผ่านการบีบน้ำมันออกแล้วไปไว้รวมกัน

“คือผมจะบอกเฮียว่าพรุ่งนี้ผมไม่อยู่นะ เมียผมจะคลอดลูก” แสนตะโกนบอกข่าวดีกับผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม 

แหม น่าอิจฉาจังนะมึง กูนี่เมียยังไม่มีเลย อย่าว่าแต่เมีย แฟนก็ไม่มีมาหลายปีละ ทำไมกูไม่บวชอยู่วัดให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยวะเนี่ย

“เออๆ เดี๋ยวกูบอกผู้จัดการให้ มึงก็เขียนใบลาไว้ด้วยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องมีปัญหาตอนหลัง”

“ครับผม!!! อ่ะ แล้วนั่นเฮียจะไปไหนอ่ะ?” แสนยกมือขึ้นมาทำท่าตะเบ๊ะแบบทหารก่อนจะถามขัดขึ้นมาอีกครั้ง

“กูจะไปดูในสวนหน่อยว่ะ เมื่อกี๊ผู้จัดการวอมาบอกว่ามีท่อน้ำแตกอยู่ตรงชายแดน” ผมตอบกลับพร้อมกับเดินไปถอยจักรยานออกจากที่จอดเพื่อจะเข้าไปดูในสวนปาล์มซะที ถ้าเกิดชักช้าไปกว่านี้มีหวังกลับออกมามืดค่ำอีกแน่

“เฮ้ยยย ผมไปด้วยๆๆ” ไอ้แสนรีบวางที่โกยในมือก่อนจะวิ่งข้ามถนนมาหาผมอย่างรวดเร็ว

“จะไปทำไม กูยังไม่รู้เลยว่ามันแตกตรงไหนยังไง ละนี่เข้าไปกูก็ไม่ได้เอาเครื่องมืออะไรไปเลย กะไปดูก่อนแล้วค่อยวอเรียกช่างไปซ่อม” ผมหันกลับมาดุมันเบาๆ ไอ้นี่มันชอบตามติดผมแจเป็นเงาตามตัวเลย งานการตัวเองไม่ค่อยจะชอบทำหรอก ละเวลาโดนด่าก็เอาผมไปอ้าง เดือดร้อนเดือนนึงหลายครั้งหลายหน

“โหยเฮียยย ไปช่วยกันดูไง ผมก็จบช่างมานะ ซ่อมได้เหมือนกัน เดี๋ยวผมไปเอากล่องเครื่องมือก่อน รอแป๊ปนึง” มันไม่รอคำตอบจากผมเลยสักนิด รีบวิ่งไปที่ช็อปหยิบกล่องเครื่องมือมากล่องใหญ่แล้วขึ้นซ้อนท้ายจักรยานผมทันที

“อ้าวไอ้นี่ ไม่ปั่นจักรยานตัวเองไปวะ มาซ้อนกูทำไม ตัวก็หนักอย่างกับควาย”  ผมถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ก่อนจะบ่นยาวเหยียดจนไอ้แสนต้องเอามือขึ้นมาอุดหูตัวเอง

“จักรยานผมอยู่บ้านพักคนงาน วันนี้เดินมา”  มันตอบกลับพร้อมกับยิ้มกว้างเหมือนสิ่งที่มันทำเป็นอะไรที่น่ายินดีเอามากๆ

“เออๆ แล้วนี่งานมึงเสร็จรึยัง?”

“เสร็จแล้วเฮีย วันนี้มีคนเอาปาล์มมาขายไม่มาก งานเลยเสร็จเร็ว”

“เออๆๆ อย่าให้ผู้จัดการมาด่ากูอีกแล้วกัน”  ผมส่ายหน้าเหนื่อยๆก่อนจะออกแรงปั่นจักรยานเพื่อมุ่งหน้าเข้าไปในสวนปาล์มอย่างไม่รีบร้อนอะไรนัก

ระหว่างทางที่จะไปตรงจุดที่ท่อน้ำแตกนั้นมีระยะทางไกลพอสมควร แล้วตอนนี้ต้นปาล์มในสวนก็ต้นสูงใหญ่เกือบจะหมดแล้ว ทำให้ทางค่อนข้างร่มรื่นเย็นสบาย ต่างจากในส่วนของโรงงานที่มีแต่ไอร้อนของน้ำมันปาล์มกับควันจากการเผาลอยคละคลุ้งไปทั่ว ให้เลือกได้ผมอยากให้มีสำนักงานอยู่กลางสวนปาล์มไม่ใช่อยู่ติดกับหอกลั่นน้ำมันเหมือนที่เป็นอยู่ตอนนี้

“เออเฮีย เฮียเห็นน้องฝึกงานที่เข้ามาใหม่ยัง?” เสียงของแสนดังขึ้นมาทำลายความเงียบที่โอบล้อมตัวผมอยู่

“ยังเลยว่ะ แล้วเค้ามาฝึกแผนกไหนวะ?” ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามไอ้แสนกลับไป

“แผนกเราเนี่ยแหละเฮีย   โหย อะไรเนี่ย เฮียแม่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย”

“อ้าวจริงดิ?! แล้วเรียนอะไรมา ปวส. เหรอ?” นี่มีคนเข้ามาในแผนกแต่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด ให้ตายเหอะ นี่กูไม่สนใจเองหรือโรงงานไม่สนใจกูวะ

“ไม่ใช่เฮีย ผมได้ยินมาว่าเรียนวิศวะอยู่ แต่ตอนนี้เรียนแค่ปี 2 เองนะ”

“อ้าว อยู่ปี 2 แล้วเสือกมาฝึกงานอะไรวะ ความรู้ก็ยังไม่ค่อยจะมี ยังจะมาหาเรื่องอีก” ผมบ่นไปโมโหไป  คือผมก็เคยผ่านช่วงเวลาตอนเรียนปี 2 มานะ ซึ่งจำได้ว่าตอนนั้นยังไม่ค่อยจะได้เรียนอะไรที่มันเป็นสิ่งที่โรงงานต้องการสักเท่าไหร่  ขนาดปี 3 ที่ต้องฝึกงานจริงๆเก็บหน่วยกิตแล้ว ยังไม่ค่อยจะมีความรู้เลย

“ผมก็ไม่รู้ว่ะเฮีย รู้แต่ว่าน้องเค้าเป็นลูกผู้จัดการใหญ่ก็แค่นั้นแหละ”

“กูว่าละ” ผมว่าแล้วว่าต้องเป็นอีหรอบนี้  ลูกคนใหญ่คนโต พ่ออยากให้ทำงานเป็นจะได้มาดูแลโรงงานต่อ แล้วไง คนลำบากก็พวกกูนี่ไง ที่ต้องคอยดูแล แล้วก็สอนสิ่งที่มันก็ยังไม่เข้าใจ

“เหมือนพี่เอกบอกว่าน้องจะเข้ามาทำงานอาทิตย์หน้า” คนที่จะเบื่อหน่ายและหนักใจไปมากกว่าผมก็คงจะเป็นพี่เอกเนี่ยแหละ เพราะพี่แกเป็นหัวหน้าวิศวกรซ่อมบำรุง  ดังนั้นทุกเรื่องภายในแผนกเราก็ต้องผ่านพี่แกก่อนทั้งหมด

“แล้วใครเป็นพี่เลี้ยงวะ พี่เอกได้บอกมึงมารึยัง?” คนที่โดนเป็นพี่เลี้ยงนี่คือโคตรจะน่าสงสารอ่ะ เพราะต้องคอยสอนทุกๆอย่างให้กับเด็กฝึกงานรวมถึงต้องดูแลสารทุกข์สุกดิบ โน่น นั่น นี่ แค่คิดก็เบื่อจนไม่รู้จะเบื่อยังไงละ


“อ้าวก็เฮียไง!!”



-KATEL-


นิยายเรื่องนี้เคยอัพไปเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว (มั้ง555)

แต่ช่วงนั้นเรายุ่งมาก เลยไม่ได้มาอัพต่อ กระทู้เลยโดนลบไปตามระเบียบ  :heaven

ตอนนี้เราเครียดๆ บวกกับพอจะมีเวลาแล้ว เลยจะเอามาลงใหม่ และจะแต่งต่อให้จบ 55555

ฝาก #ช่างรัก ไว้ด้วยเด้อ

: ผลงานเก่า(มากกก) :

1. Friend รักคุณเข้าแล้ว

2. Forgotten Love รักที่ถูกลืม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-11-2019 18:39:20 โดย katiezz »

ออฟไลน์ katiezz

  • เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
ตอนที่ 1 มือลั่น


“ครับ และเพลงสุดท้ายในคืนนี้ ผมขอมอบให้กับคนโสดทุกคนนะครับ..” ร่างสูงที่ยืนอยู่กลางเวที พูดออกมาสุดเสียงก่อนจะเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยปากพูดออกมาอีกครั้งเพื่อทำลายความเงียบที่เข้าปกคลุมอยู่ทั่วในร้านตอนนี้

“รู้ยัง มา!” สิ้นเสียงของนักร้อง  บรรยากาศในร้านก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ตามด้วยเสียงเพลงรู้ยังของพี่ตู่ ภพธร ที่โดนปรับแต่งทำนองให้มีจังหวะที่เร่งรัดขึ้น เพื่อที่จะได้เข้ากับบรรยากาศของสถานที่บันเทิงแห่งนี้

เมื่อเสียงเพลงสุดท้ายจบลง แสงไฟภายในร้านก็ถูกเปิดขึ้น เสมือนเป็นสัญญานบอกให้คนที่ออกมาเที่ยวในคืนนี้ทยอยกลับบ้านกลับช่องกันเสียที

ผมกวาดตามองสภาพภายในร้านราวกับผ่านสงครามโลกครั้งที่สามมาหมาดๆ แต่ก็นั่นแหละ ผมชินตากับมันไปซะแล้ว
ขวดเหล้า ขวดเบียร์หลายยี่ห้อกลิ้งเกลื่อนอยู่บนพื้น บางโต๊ะมีเศษแก้วแตกกระจายอยู่เต็มไปหมด แต่ที่ชวนขนลุกที่สุดก็คงจะเป็นกองอ้วกที่มีให้เห็นอยู่หลายตำแหน่งบนพื้นร้าน ผมละสายตามาจากสิ่งเหล่านั้น  แล้วหันกลับมาวุ่นวายกับการเก็บกีต้าร์และอุปกรณ์ต่างๆของตนเอง

Rrrrrrrrr

แรงสั่นจากกระเป๋ากางเกง ทำให้ผมละมือออกจากงานที่ทำ ก่อนจะกดรับสายโดยไม่ได้มองรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

 “ว่า?”

‘วา มึงทำพรีแลปออโต้พรุ่งนี้ยังเนี่ย?’ เสียงรูมเมทของผม  ‘ไอ้ที’  ถามมาด้วยความกังวล

“ทำแล้ว” ผมกระตุกยิ้มมุมปากนิดๆ ก่อนตอบกลับไปสั้นๆ พร้อมกับกวาดสายตาเช็คของที่ต้องเก็บไปด้วย

‘เออ แล้วนี่มึงอยู่ไหน?’

“กูอยู่อินดี้ เก็บของอยู่กำลังกลับละ”  อินดี้ ที่ผมพูดก็หมายถึงร้านเหล้านี่แหละครับ เป็นร้านขนาดไม่ใหญ่มากแต่มีสองชั้น ทำให้สามารถจุคนได้เยอะกว่าร้านอื่นๆข้างเคียง ผมร้องเพลงที่นี่มาตั้งแต่เข้าปีหนึ่งละ อยากหาเงินใช้เอง รู้สึกว่าเงินที่พ่อแม่ส่งให้ไม่พอใช้ แต่ผมก็ไม่อยากจะรบกวนท่านมากไปกว่านี้แล้ว เพราะแค่ค่าเทอมกับที่ท่านให้ทุกๆเดือนมันก็มากพอสมควรแล้ว

‘เคมึง งั้นกูนอนก่อนนะ มึงก็รีบเก็บของรีบกลับ นี่ตีสองละ พรุ่งนี้เรียนแปดโมงนะเว้ย’

“อือๆ ฝันดีมึง” ผมตอบกลับก่อนจะกดตัดสายไป แล้วหันมาลงมือเก็บของที่เหลือลงกระเป๋าให้หมด

“วา อ่ะพี่ต๊ะฝากมาให้มึง” ไอ้โย่งมือกลองวงผมพูดพร้อมกับยื่นเบียร์ช้างที่เย็นจัดจนเห็นเป็นชั้นน้ำแข็งบางๆเกาะอยู่โดยรอบมาให้ผม

“เออแต๊งโย่ง ขอบคุณครับเฮีย” ผมรับมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณไอ้โย่งและตามด้วยเฮียต๊ะเจ้าของร้านตามลำดับ
หลังจากภารกิจเก็บของใส่กระเป๋าเสร็จสิ้นลง  ร่างสูงเดินไปนั่งลงบนลำโพงข้างเวทีอย่างเหนื่อยล้า  ก่อนจะกระดกเบียร์เย็นๆในมือราวกับว่ากระหายน้ำมานาน 

ผมเอาโทรศัพท์ออกมาเล่นเปิดแอพนั้นแอพนี้ไปเรื่อยๆ แต่แล้วมือของผมก็ต้องชะงักเมื่อเห็นการแจ้งเตือนของคนคนหนึ่งที่ผมแทบจะไม่ได้สนทนาอะไรกับเขาเลยมาตั้งแต่ที่ผมตัดสินใจเข้าเรียนที่นี่

-พ่อ: ว่างแล้วโทรกลับมาหน่อย มีเรื่องจะคุย-

ผมนั่งอ่านทวนประโยคนั่นซ้ำไปซ้ำมา ในหัวก็มีความคิดไปต่างๆนาๆวูบเข้ามาเต็มไปหมด ว่าเรื่องที่พ่อจะคุยด้วยนั้นคือเรื่องอะไร เอ๊ะ หรือจะบังคับให้ผมลาออก แต่ก็คงไม่ใช่เพราะตอนนี้ผมก็ปี 2 แล้ว ลาออกก็เสียดายค่าเทอมตายเลย

“ไอ้วา มึงรีบกลับไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้มีเรียนแลปเช้านี่” เสียงเฮียต๊ะตะโกนดังมาจากหลังร้าน ปลุกให้ผมกลับมาอยู่กับปัจจุบันอีกครั้ง

ผมกดปิดหน้าจอก่อนจะยัดโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงไป แล้วหันมาให้ความสนใจกับเบียร์เย็นๆในมือต่อ

“ผมกลับก่อนนะเฮีย” ผมวางขวดเบียร์เปล่าลงบนเคาเตอร์คิดเงินของร้านก่อนจะตะโกนบอกลาเฮียต๊ะ ที่วุ่นวายกับการเช็คของอยู่ด้านหลังร้าน

“เออ ขับรถดีๆล่ะมึง”

“ครับ” ผมตอบรับพร้อมกับคว้ากระเป๋ากีต้าร์ขึ้นสะพายบนไหล่ ก่อนจะหันไปบอกลาสมาชิกในวงที่ยังคงนั่งกินเหล้ากินเบียร์กันอยู่ แล้วจึงค่อยเดินออกมาจากร้าน

ผมขับรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจคันเก่า  ไปบนถนนที่ไม่มีรถแม้แต่คันเดียวที่ร่วมทางกันในตอนนี้ ก็แน่ล่ะตีสองแล้ว คนเขาก็ต้องหลับต้องนอนกันไปหมดแล้วสิ

ช่วงเวลาบนมอเตอร์ไซค์จากร้านถึงหอแม้มันจะเป็นแค่เวลาประมาณ 5 นาที แต่อากาศเย็นๆที่เข้ามาปะทะกับใบหน้า ซึ่งเป็นเหมือนการเตือนสติให้รู้ว่าหมดเวลาของวันนี้แล้ว และต้องรีเซ็ตตัวเองให้พร้อมรับมือกับวันใหม่ที่กำลังจะเข้ามา ทำให้ช่วงเวลาสั้นๆนี้กลายเป็นช่วงเวลาสุดโปรดของผมไนแต่ละวันไปเลย

ทันทีที่ถึงห้อง ผมก็ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะยกมือขึ้นมาก่ายบนหน้าผากและเฝ้าคิดทบทวนถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่เกิดขึ้นกับผม คิดหาสาเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้น และคิดหาวิธีแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างวิตก ก่อนที่ความง่วงจะเข้าควบคุมตัวผมเอง จนไม่สามารถต้านทานไว้ได้ แล้วสติสุดท้ายผมก็ดับลงไปพร้อมกับ ‘ใบหน้า’ ของคนคนหนึ่ง ที่ยังคงฝังลึกอยู่ในความคิดของผมแม้จะผ่ามาหลายปีแล้วก็ตาม


…..


“พวกมึง ดูคะแนนเล่มแดงยัง?” เสียงห้าวๆของผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มอย่าง จีน ถามขึ้นทำลายความเงียบปกคลุมโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลที่มีร่างไร้สติ 4 ร่าง นั่งตาลอยกันอยู่คนละมุมโต๊ะ
(เล่มแดง คือ สมุดเล่มหนา หน้าปกสีแดงซึ่งเป็นสีประจำภาควิชา ที่เอาไว้เขียนพรีแลปและเลคเชอร์ในระหว่างลงเรียนในแลปนั่นเอง)

“ไม่ค่อยโอเคว่ะ” เซียนพูดพร้อมกับดันเล่มแดงออกให้ห่างตัว

“กูก็ไม่ค่อยว่ะ เขียนสรุปไม่ค่อยรู้เรื่องมั้ง” ผมเปิดไล่ดูคะแนนตัวเองแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
ได้ 7 เต็ม 10 มาหลายแลปติดกันแล้ว เอาจริงๆคะแนนส่วนนี้คือควรค่าแก่การเก็บมากเพราะมันได้ไม่ยากเหมือนการสอบกลางภาคและปลายภาค

“ดูละ” ทีเงยหน้าขึ้นมาตอบก่อนจะฟุบลงไปกับโต๊ะตามเดิม

“ที มึงง่วงอะไรวะ เมื่อวานก็ไม่ได้นอนดึกมากปะ?” ผมผลักหัวมันไปเบาๆอย่างหมั่นไส้ มันชอบทำตัวง่วงทั้งๆที่บางครั้งก็ไม่ได้นอนดึกอะไรมากมาย

“ไม่ดึกก็แย่ละวา ตอนกูโทรหามึงก็ตีสองละปะ คิดดิวะคิด” ทียันตัวขึ้นมาโวยวายเสียงดังพร้อมกับผลักไหล่ผมกลับ เอาคืนจากที่ผมผลักหัวมันไปเมื่อครู่

“หึๆ” ผมหัวเราะเบาๆให้กับความน่ารักนั้น

ใช่ครับ ผมมองว่ามันน่ารัก ตั้งแต่ตอนไหน? อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน รู้ตัวอีกทีก็คือตอนที่ชอบมองปากเล็กๆนั่นขยับบ่นนั่นนี่มุบมิบกับตัวเองเวลาโดนคนอื่นขัดใจ แล้วก็เป็นผมเองที่เป็นคนขัดใจมันอยู่ตลอด จะว่าไปก็ดูโรคจิตเหมือนกันนะเนี่ย

กึก!

แรงกระแทกที่แขนจากคนที่นั่งฝั่งซ้าย  เรียกสติของผมให้กลับมาจากภวังค์ และก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอ เพราะคนที่รู้ทันความคิดของผมทุกครั้งก็คือ ‘ไอ้เซียน’ และมันก็จะคอยเตือนผมอยู่เสมอว่า ไม่คุ้มหรอกที่จะบอกความรู้สึกที่มีในใจกับคนที่เป็นเพื่อนเพราะนอกจากจะมีโอกาสโดนปฏิเสธที่จะเป็นแฟนแล้วก็ยังอาจจะโดนปฏิเสธที่จะเป็นเพื่อนกันต่อไปด้วย มันเป็นอะไรที่เสี่ยงเกินไปและผลที่จะได้ก็ไม่คุ้มเสี่ยงอีกด้วย

“ไม่ต้องหัวเราะเลยมึงอ่ะ หัวเราะอะไร?!” รอยยิ้มของผมเรียกอารมณ์โมโหของคนตัวเล็กได้ไม่น้อย
ที่ว่าตัวเล็กนี่เล็กจริงๆนะครับ ทีมันสูงแค่ 169 เซนติเมตร เอง ในขณะที่คนในกลุ่มคนอื่นๆสูงกันหมด อย่างตัวผมเองสูง 185 เซน ไอ้เซียนสูง 187 เซน และแม้แต่จีนที่เป็นผู้หญิงยังสูงตั้ง 173 เซน เลย ทำให้เวลาเดินด้วยกันทีจะกลายเป็นหลุมอากาศไปโดยปริยาย

“อ่ะๆ กูขอโทษก็ได้” ผมพูดยิ้มๆ พร้อมกับยื่นนิ้วก้อยไปตรงหน้าที เป็นคนอื่นผมไม่ยอมขนาดนี้นะบอกก่อน

“...” ทีมองหน้าผมนิ่ง เอ๊ะ หรือครั้งนี้จะโกรธผมจริงๆ

“มึงอย่าไปง้อมันมาก เนี่ยติดเป็นนิสัยละ นิดๆหน่อยๆแม่งก็หน้าบูด” จีนที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่ตลอดพูดขึ้น พร้อมกับเอื้อมมือมันขยี้หัวทีเบาๆ ด้วยความที่นิสัยมันเป็นแบบนี้ มันจึงเป็นเหมือนน้องเล็กในกลุ่มทั้งๆที่อายุเราเท่ากัน และนั่นก็ทำให้ทีจะคอยโดนพวกผมแกล้ง แล้วก็โอ๋อยู่ตลอด ทุกคนเอ็นดูทีแม้แต่จีนที่เป็นผู้หญิงก็ดูแมนขึ้นมาตอนอยู่ด้วยกัน

“เหล้าโปรนึง” ทีพูดพร้อมกับจ้องหน้าผมอย่างจริงจัง

“ไม่มีตังค์” ผมตอบกลับไปอย่างรวดเร็วและรอดูปฏิกิริยาของทีว่าจะทำอย่างไรต่อ

“อะไรวะ! เหล้าโปรเดียวเอง”

“ไอ้วา มึงก็เลี้ยงมันไปเหอะ กูสงสาร มันเสี้ยนเหล้าแต่เสือกเอาตังค์ไปเติมเกมส์หมด 5555” จีนพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าเริ่มบานปลาย

ผมแกล้งมันไปงั้นแหละ ถึงไม่มีตังค์ผมก็ให้เฮียต๊ะหักเอาจากเงินค่าจ้างที่ต้องให้ผมก็ได้ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่แค่อยากเห็นคนน่ารักแสดงความเกรี้ยวกราดของตัวเองแค่นั้นแหละ

“เออๆ ไปกี่คนกูจะได้จองโต๊ะไว้ให้” ผมพูดพร้อมหงายมือลงกับโต๊ะตามแรงดึงของที  แล้วปล่อยให้มันตีมือผมเล่นไปเรื่อยๆ นิสัยเขาล่ะครับชอบนั่งเล่นมือคนอื่น

“กูบวกหนึ่ง” เสียงไอ้เซียนที่นั่งเล่นเกมส์เงียบๆมานานตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“เร็วเชียวมึง อ่ะ กูด้วยบวกหนึ่ง” จีนหันไปแขวะไอ้เซียนเบาๆ สองคนนี้อยู่โรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่มัธยมแล้วล่ะครับ สนิทกันมากจนมีคนเข้าใจผิดตลอดว่าเป็นแฟนกัน

“จะชวนเพื่อนคนอื่นอีกปะ?” ผมถามก่อนจะส่งไลน์ไปจองโต๊ะที่ร้าน  เพราะปกติเด็กเครื่องกลเวลาไปกินเหล้านี่ก็คือเหมาร้านอ่ะครับ ไปกันยกภาควิชา มีร้อยไปร้อย

“ไม่ต้องหรอก ช่วงนี้กูเห็นบางกลุ่มแม่งมีแลปยาวยันค่ำเลย” ก็จริง ช่วงนี้ใกล้จะสอบปลายภาคแล้วด้วย ทำให้แลปบางแลปนัดเรียนนอกเวลาเพื่อจะได้ให้ไม่กระทบกับการอ่านหนังสือช่วงสอบ

“เออ กูไม่ชอบคนเยอะ” ทีพูดออกมาแต่ก็ยังไม่ละจากมือผม นั่งเล่นๆบีบๆนวดๆไปเรื่อยๆ อ่ะ เอาให้เพลิน ตัดมือกูไปเลยก็ได้ถ้าต้องการ ฮ่าๆๆ

“ถ้างั้นกินกับกูอยู่ที่ห้องปะล่ะ?” ผมแกล้งถามพร้อมกับพยายามจะดึงมือคืนเพราะรู้สึกว่ามือถือในกระเป๋ากางเกงสั่นเหมือนมีคนไลน์มาหา แต่มีหรือคนอย่างทีจะยอมง่ายๆ

“นิ่งๆดิ๊วา!! ไม่เอาไม่กินอยู่ห้องจะไปร้านจะไปฟังเพลง” คนตัวเล็กพูดอย่างเอาใจ พร้อมกับดึงมือธันวาไว้แน่น
ใครไลน์มาตอนนี้ก็รอก่อนนะครับ มือไม่ว่างจริงๆ ไม่อยากขัดใจเดี๋ยวต้องง้อกันยาวอีก

“สัส กูเป็นไอ้วากูย้ายห้องละ เป็นเมทมึงนี่ปวดหัวตายชัก”

“มึงปวดหัวปะวา มึงเป็นเหมือนที่จีนพูดปะ?” ทีถามพร้อมกับดึงหน้าผมให้หันไปจ้องตากับมัน

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก

เสียงหัวใจของผมเต้นรัวเหมือนจังหวะกลองในเพลงร็อค คนตรงหน้าผมจะได้ยินมันรึเปล่านะ?  ผมรีบดึงมือกลับก่อนจะลุกขึ้นยืนทันที

โอ้ยท่าทางแบบนั้นมันเกินจะทนจริงๆ ใจผมเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆจนเหมือนจะระเบิดออกมา

“เอ้า! ไปไหน?”

“ไปดูดบุหรี่  ไอ้เซียนไปกับกูหน่อย” ผมตอบคำถามแบบส่งๆก่อนจะหันไปดึงแขนไอ้เซียนให้เดินตามมาด้วยกัน

“กูไปด้วยๆ” จีนพูดพร้อมกับพยายามล้วงหาบุหรี่ในกระเป๋าตัวเอง

“อย่าจีน นี่ที่มอมันดูไม่ดี มึงเป็นผู้หญิง” ธันวาปรามจีนเสียงเข้ม ถึงมันจะดูเป็นการสองมาตรฐานระหว่างเพศหญิงกับเพศชาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความรู้สึกเวลาเห็นผู้หญิงกับผู้ชายดูดบุหรี่มันต่างกันมาก ผู้หญิงจะโดนมองว่าเป็นคนไม่โอเคมากกว่าผู้ชายเสมอ

“เออๆ ค่อยไปดูดที่ร้านคืนนี้ก็ได้วะ”

“เออ มึงนั่งอยู่ตรงนี้ไปก่อน เดี๋ยวกูมา”
ผมกับเซียนเดินลัดเลาะไปทางหลังตึกภาควิชา เพื่อไปยังพื้นที่ที่ทางมหาลัยจัดไว้เพื่อให้สูบบุหรี่โดยเฉพาะ  ถึงผมจะติดบุหรี่แต่ก็ไม่เคยสูบในที่ห้ามสูบเลยสักครั้ง  ถึงจะเลิกไม่ได้แต่อย่างน้อยๆก็ช่วยปฏิบัติตามกฎที่เขาออกไว้สักนิดก็ยังดี


.....


ร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าๆตรงมุมตึก ก่อนจะล้วงซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อช็อปแล้วเคาะเบาๆเพื่อเอาบุหรี่ออกมา คาบไว้ที่ปาก

“ขอไฟหน่อยดิ” ธันวาพูดพร้อมกับยื่นมือออกไปรับไฟแช็คจากเซียน
มือทั้งสองข้างของเขาทำงานสอดคล้องกันได้อย่างดี  ในขณะมือข้างหนึ่งจุดไฟจ่อที่ปลายของบุหรี่อย่างใจเย็น มืออีกข้างก็ยกขึ้นมาช่วยป้องลมเอาไว้ช่วยให้ไฟติดได้ง่ายขึ้น

“เป็นไรมึง?” เซียนถามขึ้นหลังจากที่เดินตามธันวาเงียบๆมานาน

“....” ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น ทำเพียงแค่แหงนหน้าขึ้นก่อนจะเผยอปากปล่อยควันออกมาช้าๆ ผมชอบนั่งมองเวลาที่ควันลอยอยู่ในอากาศครู่หนึ่งก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็ว

“เรื่องไอ้ที?” เซียนถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้ผมพยักหน้าตอบเบาๆอย่างยอมจำนน

“มึงจะเอาไงอ่ะ?”

“ไม่รู้ว่ะเซียน  บางทีกูก็คิดว่าบอกๆไปให้มันจบๆ แต่กูก็กลัว” ผมเอ่ยปากพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะสูบอัดควันเข้าปอดไปอีกครั้ง

“กูก็ไม่รู้จะแนะนำอะไรว่ะมึง  แต่กูก็อยากให้พวกเราเป็นแบบนี้กันไปเรื่อยๆ”

“แต่ภูมิต้านทานกูมันต่ำลงทุกวัน กูกลัววันหนึ่งกูจะทนไม่ไหวขึ้นมา”

“ทนไม่ไหวแล้วมึงจะทำอะไรวะ? มึงจะปล้ำมันเหรอวา?” เซียนพูดขำๆก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบซ้ำเพื่อให้มันดับสนิท

“สัส กามไปปะมึง 5555” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะอัดควันเข้าไปครั้งสุดท้ายและทิ้งก้นบุหรี่ลงกับพื้นแล้วทำแบบเดียวกับไอ้เซียน

ผมล้วงมือเข้าไปในช็อปเพื่อควานหาซองบุหรี่อีกครั้ง นิสัยไม่ดีเลยว่ะ เดี๋ยวนี้มวนเดียวไม่เคยพอเลยจริงๆ

“เชี่ยวา มวนเดียวพอ!” เซียนดึงซองบุหรี่ไปจากมือผมก่อนจะยัดลงกระเป๋าช็อปตัวเอง

“ขออีกสักมวนนะมึง” ผมพูดอ้อนวอนพร้อมกับแบมือทั้งสองข้างไปตรงหน้ามัน

“ไม่” มันพูดพร้อมกับวางมือลงมาบนมือของผม แล้วยกยิ้มมุมปากเบาๆ

“กวนตีนไอ้สัส” ผมตีมือมันกลับก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหยิบสเปรย์ดับกลิ่นขวดเล็กๆที่พกไว้ออกมาฉีดไปบนเสื้อผ้าของตัวเอง

“ลูกอมมั้ยมึง?” เซียนถามพร้อมกับยื่นลูกอมรสโปรดของผมมาให้

“มึงชอบรสนี้เหมือนกันเหรอวะ? ดีเลยกูจะได้ไม่ต้องซื้อ” ผมคว้าลูกอมไม่อย่างรวดเร็วก่อนจะแกะเปลือกออกและยัดเข้าปากทันที

“หึๆ ไปเหอะกูหิวข้าวละ” เซียนพูดพร้อมกับเอามือมากอดคอผมเอาไว้แล้วลากให้เดินไปพร้อมๆกัน

“สัส สูงก็เท่ากันยังอยากจะเดินกอดคออีก” ผมบ่นมันเบาๆเพราะด้วยความสูงที่เท่ากันทำให้การกอดคอของมันเป็นไปแบบไม่สะดวกนัก

“มึงมันเตี้ย” มันพูดพร้อมกับลงน้ำหนักที่แขนของมันเพื่อกดไหล่ของผมลง

“เตี้ยก็เหี้ยละไอ้สัส กูสูง 185 ละมั้ยเพื่อน” ผมเถียงกลับพร้อมกับพยายามจะดันแขนมันออก แต่ก็นั่นล่ะครับแขนมันหนักมากเพราะแม่งบ้าออกกำลังกาย ถ้าโดนแขนมันรัดคอนี่คือบอกลาความสวยงามบนโลกมนุษย์ได้เลย

“เตี้ยกว่ากู” เซียนตอบกลับอย่างเหนือกว่า

“2 เซนเอง อย่ามาอ้างเลยมึง”

“2 เซนก็คือสูงกว่า เลิกเถียงละเดินเงียบๆดิหนวกหู”  แล้วสุดท้ายผมก็ต้องยอมแพ้ไป เพราะมันก็สูงกว่าผมจริงๆน่ะแหละ ถึงจะแค่นิดเดียวก็เถอะ เจ็บใจ!


.....


“อ่ะ เหล้าหนึ่งโปรตามคำขอ” ผมพูดพร้อมกับวางขวดเหล้า ถังน้ำแข็ง และบรรดาเครื่องดื่มมิกเซอร์ต่างๆลงบนโต๊ะ เป็นนักดนตรีของที่ร้านเวลามากินก็ต้องบริการตัวเอง

“เสี่ยวา น่ารักที่สุดด” ทีพูดพร้อมกับตบที่แก้มผมเบาๆ ผมส่ายหน้ายิ้มๆกับการกระทำน่ารักๆของมัน ก่อนจะแทรกตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน

“อ้าวแล้ววันนี้มึงไปร้องเพลงเหรอวะ?” จีนถามขึ้นก่อนจะยกเหล้าในแก้วขึ้นกระดกอย่างรวดเร็ว เห็นแบบนี้มันคอแข็งมากเลยนะครับ ผมยังไม่เคยเห็นมันเมาเลยสักครั้ง ตั้งแต่ที่เคยไปกินเหล้าด้วยกันมา

“ไม่อ่ะ วันนี้กูขอหยุด อยากแดกแบบเต็มที่”

“อ้าววา แล้วมึงจะขับรถกลับไหวเหรอ?” เสียงคนข้างๆตัวผมถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวลใจ

“ไม่ไหวก็ให้ไอ้เซียนไปส่งดิวะที กลัวอะไร?”ผมพูดพร้อมกับหันไปยิ้มให้ไอ้เซียนกว้างๆหนึ่งที

“เดินเอา” เซียนตอบกลับมานิ่งๆก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมส์ตามวิถีมัน

“เซียนใจร้ายยยย” เมื่อไอ้เซียนกวนตีนมามีเหรอครับไอ้คนข้างๆผมมันจะยอม ไอ้ทีนี่เห็นหน้าตาน่ารักตัวเล็กๆนี่เรื่องกวนตีนขอให้บอก

“อยากเจอกูเวอร์ชั่นใจร้ายจริงๆปะล่ะ?” เซียนละสายตาจากหน้าจอมือถือขึ้นมาสบตากับทีนิ่งๆ

“โอ้ยเชี่ยเซียนอย่าไปแกล้งมัน สงสารคนคอยโอ๋อย่างไอ้วา” จีนโบกมือไปมาตรงหน้าเซียนเพื่อให้มันเลิกจ้องหน้ากับที ก่อนที่ทีจะงอนกลายเป็นเรื่องใหญ่อีก

“เออ สงสารกูบ้างทุกวันนี้เวลาหมดไปกับง้อมันนี่แหละ” ผมพูดพร้อมกับเอามือวางลงบนหัวของทีแล้วโยกไปมาเบาๆ

ผมของทีเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆทำให้โดยรวมแล้วหน้ามันดูเด็กมากเมื่อเทียบกับพวกเราที่เหลือ และถึงแม้จะผ่านการทำสีมานับครั้งไม่ถ้วนแต่ผมของทีก็ยังนุ่มมืออยู่เสมอ อีกอย่างมันจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆที่ผมก็บอกไม่ได้ว่ามันคือกลิ่นของแชมพูหรือกลิ่นอะไร แต่มันเป็นกลิ่นที่ติดอยู่กับตัวมันเสมอ การที่ได้นั่งใกล้ๆทีจึงทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมาก
อาการแบบนี้นี่เรียกว่า ‘เสพติด’ ได้แล้วนะ เอาจริงๆ


....


นั่งดื่มไปได้สักพักหนึ่ง ก็เริ่มจะมีอาการตึงๆ มึนๆ เล็กน้อย ธันวาก็ล้วงมือเข้าไปควานหาของสำคัญที่จะทำให้สร่างขึ้นได้ ในกระเป๋ากางเกงตนเองแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ

“อยู่นี่” เซียนพูดพร้อมกับเคาะบุหรี่ออกมาจากซองแค่มวนเดียว ก่อนจะยื่นมันมาให้ผม

“เอาคืนมาทั้งซองดิวะ” ผมไม่รับบุหรี่มวนนั้นและพยายามจะเอื้อมมือไปคว้าบุหรี่ทั้งซองที่เหลือ

“มวนเดียวพอ”

“เป็นพ่อเหรอมึง สั่งจัง” ผมพูดออกมาแบบติดอารมณ์โมโหนิดๆ อาจจะบวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายตอนนี้ด้วย เลยทำให้อารมณ์ขึ้นง่ายกว่าปกติ

“เรียนมาตั้งหนัก เดี๋ยวตายก่อนได้เงินเดือน” ไอ้เซียนยังคงขยันพ่นประโยคที่ขัดใจผมออกมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายอยากปะทะเหรอมึง

“โอ้ยพอๆๆๆ วามึงจะขึ้นอะไรนักหนาเนี่ยเพื่อนเป็นห่วงปะ” จีนเอามือกดไหล่ผมเอาไว้เมื่อเห็นว่าผมตั้งท่าพร้อมจะกระโจนไปปะทะกับไอ้เซียนทุกวินาที

“เออมวนเดียวพอวา กลับห้องมึงก็ดูดอีก เหม็นติดเสื้อละสัส” ทีที่นั่งเงียบเล่นมือถืออยู่นานก็พูดสมทบขึ้นมาอีกคน

“....” ผมทิ้งตัวลงพิงกับโซฟาและยื่นมือไปรับบุหรี่เจ้าปัญหาตัวนั้นมาคาบไว้ที่ปาก ก่อนจะจุดไฟแล้วสูบเข้าอย่างแรงเพื่ออัดควันเข้าปอดแบบเน้นๆหนักๆจะได้สร่างเมาลงบ้าง

“ขอมั่งๆๆๆ” ทีพูดพร้อมกับเกาะแขนผมและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ

ธันวายกยิ้มบางๆ แล้วเอานิ้วคีบบุหรี่ออกจากปากตัวเองก่อนจะป้อนให้คนตัวเล็กข้างๆ 

ปากเรียวอมชมพูนั้นมีพลังดึงดูดอย่างมหาศาลยากที่จะห้ามใจอยู่  และเมื่อมันค่อยๆเผยอออกเล็กน้อยเพื่อเป็นการเปิดทางให้ควันสีหม่นโดนปลดปล่อยออกมาลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ  ถึงจะรู้ว่าเจ้าตัวไม่ได้คิดอะไรกับการกระทำของตนเอง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านั่นช่างเป็นภาพที่ดูยั่วยวนจนคนตัวสูงต้องฝืนกลืนน้ำลายลงคอไปด้วยความยากลำบาก

ธันวาค่อยๆก้มตัวลงไปหาร่างบางข้างกายอย่างช้าๆ   มืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็ถูกสมองสั่งให้ยกขึ้นมาประคองหัวเล็กๆนั่นให้หงายหน้าขึ้นมาสบตากันโดยอัตโนมัติ   ตอนนี้สติของเขาได้ล่องลอยและหายไปเช่นเดียวกับควันสีหม่นที่โดนปลดปล่อยออกมาจากปากสีหวานน่าสัมผัสนั้น


เพล้ง!!



“โทษที แก้วลื่น”



-KATEL-

ไหนๆ ก็มีอยู่ในคอมแล้ว ขออัพตอนที่ 1 ไปเลยแล้วกัน 5555

ว่าแต่.....พี่ซันในบทนำ หายไปไหนแล้วนะ??  :hao3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-11-2019 18:39:46 โดย katiezz »

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
พี่ซันหายไปเลย หาท่อที่แตกเจอยังคะ :laugh:
เซียนแอบชอบวาแน่ๆ
อยากรู้จังตอนวาเจอกับพี่ซันจะเป็นยังไง

 :pig4:

ออฟไลน์ katiezz

  • เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
ตอนที่ 2



เหมือนใกล้เท่าไหร่   ยิ่งไม่ชัดเจน
เธอยิ่งไม่เห็น           ยิ่งมองข้ามไป


“โทษที แก้วลื่น” เซียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งยากจะคาดเดาได้ ก่อนจะเอนตัวลงพิงโซฟาช้าๆอย่างผ่อนคลาย

ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้ว่าภายในใต้ใบหน้าเรียบเฉยของเซียนกำลังคิดอะไรอยู่ การกระทำนั้นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจหรือไม่? หรือมันเป็นแค่อุบัติเหตุ หรือแค่เรื่องบังเอิญ

“เอ้าไอ้เซียน มึงเป็นอะไรเนี่ย?!” เสียงของจีนที่ดังขึ้นทำลายความเงียบที่ปกคลุมอยู่บนโต๊ะมาได้ครู่หนึ่ง

“ก็บอกไปแล้วว่าแก้วลื่น” เซียนตอบกลับคำถามจีนด้วยท่าทีสบายๆต่างจากคนถามที่ดูตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ก่อนจะหันกลับมาสบตากับผมด้วยแววตาที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าต้องการจะสื่ออะไร

“เมาแล้วเหรอมึง?” คนตัวเล็กข้างกายผมที่เหมือนจะเพิ่งได้สติรีบโพล่งถามออกไปด้วยความเป็นห่วง

“เสือก”

“อ้าวเชี่ยเซียน มึงกวนตีนละ!” ผมตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมกับชี้หน้ามันไปอย่างโกรธจัด หลังจากที่มันตอบกลับคำถามที่แสดงความเป็นห่วงของทีด้วยคำพูดที่ผมไม่มั่นใจว่ามันได้ผ่านการกลั่นกรองก่อนพูดออกมาหรือเปล่า

“โอ้ย!!! หยุดเดี๋ยวนี้!” จีนลุกขึ้นยืนก่อนจะตะคอกออกมาเสียงดัง จนคนในร้านโต๊ะอื่นๆเริ่มหันมามองที่โต๊ะของเราเป็นตาเดียว

“พวกมึงเป็นเหี้ยอะไรกัน? ถ้าแดกเหล้าแล้วทะเลาะกันแบบนี้วันหลังไม่ต้องแดก!” จีนพูดพร้อมกับพร้อมกับก้มลงเอามือปัดขวดเหล้าที่มีเหล้าเหลืออยู่ในขวดประมาณครึ่งหนึ่งลงพื้น  จนขวดแตกกระจาย ทำให้มีเศษแก้วกระจายเป็นบริเวณกว้าง

“เฮ้ย!/เฮ้ย!/เฮ้ย!” สมาชิกอีกสามคนที่เหลือในกลุ่มร้องออกมาเสียงดังอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความตกใจในการกระทำที่โคตรจะห่ามเกินผู้หญิงของไอ้จีน

“เฮ้ยเป็นไรกันวะ?!” เฮียต๊ะเจ้าของร้าน รีบพุ่งมาที่โต๊ะเราด้วยความรวดเร็วเพราะตอนนี้คนในร้านเริ่มแตกตื่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น น่าจะคิดว่ามีคนมาตีกันในร้าน แต่เปล่าเลย เพื่อนผมเองครับ ต้องขอโทษด้วย

“คิดเงินค่าเสียหายแล้วมาเก็บที่จีนเลยเฮีย” ไอ้จีนหันไปบอกเฮียต๊ะพร้อมกับตบลงบนบ่าเบาๆ

“โอ้ยกูละปวดหัวกับพวกมึง ไปเคลียร์กันในห้องทำงานกูไป เลือดร้อนจัดนะ ละมึงจีน! มึงเป็นผู้หญิงนะเว้ย! เบาๆหน่อย” เฮียต๊ะบ่นออกมายาวเหยียดก่อนจะโบกมือเรียกพนักงานที่เคาเตอร์มาเก็บกวาดเศษซากความเสียหายที่เกิดขึ้นก่อนที่จะมีคนได้รับความบาดเจ็บจากเศษแก้วเหล่านั้น

“มานี่เลยพวกมึง!” จีนพูดเสียงแข็งก่อนจะเดินนำไปทางหลังร้านที่เป็นห้องทำงานของเฮียต๊ะ โดยมีพวกผมสามคนเดินตามหลังไปอย่างเงียบๆ


...........


ร่างสูงบางของจีนในเสื้อสีขาวกางเกงยีนส์ขาสั้นที่สวยสะกดทุกสายตาภายในร้านไว้ได้ หากแต่ก็ดูทะมัดทะแมงไปในคราวเดียวกัน ยืนพิงโต๊ะทำงานเฮียต๊ะ ก่อนจะกวาดสายตามองพวกเราทีละคนอย่างจับผิด

“ทีนี้พูดมา ว่าเป็นเหี้ยอะไรกัน? มึงก่อนเลยไอ้เซียน”  เรียวปากสีแดงสดพ่นควันสีหม่นออกมาในอากาศก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นพร้อมกับแตะไปเบาๆที่ไหล่ของเซียนที่ยืนหน้านิ่งไม่แสดงอาการใดๆมาหลายนาทีแล้ว

“กูไม่ได้เป็นอะไร” เซียนตอบกลับนิ่งๆตามสไตล์มันก่อนจะจุดบุหรี่ขึ้นสูบบ้าง

“โอเค งั้นต่อมามึงที มึงเป็นอะไร?” จีนคงไม่อยากจะเซ้าซี้ให้มากความกับเซียนที่อยู่ในอารมณ์ที่ไม่พร้อมจะสนทนากับใครทั้งนั้น

“กูไม่ได้เป็นอะไร กูแค่ตกใจปะ ไอ้วากับเชี่ยเซียนก็เหมือนจะพุ่งใส่กันตลอดเวลา กูก็เลยถามไปเพราะเป็นห่วง ไม่คิดว่ามึงจะพาลมาโมโหกูด้วยอ่ะเซียน” ทีพูดอธิบายตัวเองออกมายาวเหยียดก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะทำงานอย่างเหนื่อยๆ

“กูขอโทษ” เสียงนิ่งๆของเซียนแผ่วลงจากครั้งก่อนๆมาก คงจะเป็นเพราะสำนึกได้ว่าทีไม่ได้มีความผิดอะไรที่มันต้องโดนเซียนพูดแบบนั้นใส่

“โอเคเคลียร์แล้วนะมึงสองคน” จีนเอามือว่างจากการคีบบุหรี่ชี้ไปที่เซียนก่อนจะกวาดนิ้วลากไปหยุดตรงหน้าที

“อืม/อืม” ทั้งสองคนตอบพร้อมกันก่อนจะยื่นหมัดออกมาชนกันเบาๆ

“ตามึงละวา เป็นเหี้ยไรวันนี้ขึ้นง่ายจัง?”

“คือกู...” ผมควรจะบอกความรู้สึกในใจตอนนี้ออกไปไหมหรือว่าควรปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

“....” ผมหันไปมองเซียนเพื่อขอความเห็นจากมัน ทั้งๆที่เรื่องที่ทะเลาะกันเมื่อครู่ยังไม่ได้เคลียร์ แต่ผมก็เชื่อว่าในเวลานี้มีแค่มันที่เข้าใจความรู้สึกของผมมากที่สุด ซึ่งก็บังเอิญว่ามันกำลังจ้องผมอยู่เหมือนกัน

เซียนนิ่งเงียบเช่นเคย มันไม่ได้พูดอะไรออกมา  ทำเพียงแค่หลบสายตาของผม แล้วมองออกไปทางนอกหน้าต่างแทน

“ว่าไงมึง?” จีนถามย้ำออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นผมแสดงท่าทางอึกอักไม่ยอมตอบคำถามที่มันถามมา

“ไอ้วามันเมา” เสียงของเซียนดังขึ้นในตอนที่ผมกำลังคิดไม่ตกว่าควรตอบคำถามของจีนไปอย่างไร

“ห๊ะ?” จีนแสดงสีหน้างงสุดขีดออกมาอย่างไม่ปิดบัง อย่าว่าแต่มึงเลยจีน กูก็งงว่าไปตัวเองเมาตอนไหนวะ

“ตามนั้นแหละ เคลียร์จบ” เซียนพูดก่อนจะเดินมาคว้ามือผมแล้วดึงให้เดินตามออกไปด้านหลังร้าน

“เดี๋ยวเซียน มึงจะไปไหน?” ผมได้แต่ถามออกไปเพียงฝ่ายเดียวเพราะอีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่อยากพูดอยากตอบอะไรทั้งนั้นในเวลานี้

จากที่ผมขัดขืน (?) ไม่ยอมเดินตามแรงดึงของมันไปในตอนแรก ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ในความพยายามและความดื้อของเซียน เดินตามหลังมันออกจากร้านไปอย่างเงียบๆเพราะการที่ผู้ชายตัวสูงเกือบสองเมตรสองคนมายืนฉุดกระชากลากถูกันอยู่ในร้านเหล้าเวลานี้คงไม่ใช่ภาพที่น่ามองมากนัก

หลังจากที่เซียนลากแขนธันวาให้เดินออกมาจากร้านโดยมี่เจ้าตัวไม่ยินยอมมาได้สักระยะหนึ่ง  เขาก็ยอมที่จะปล่อยมือของธันวาให้เป็นอิสระก่อนจะเดินห่างออกไปเล็กน้อยแล้วทรุดตัวลงนั่งกับขอบฟุตบาธช้าๆคนเดียว

ผมจ้องมองไปที่แผ่นหลังนั้นเงียบๆ พร้อมกับปล่อยให้ความคิดต่างๆมากมายหลั่งไหลมาวนเวียนในหัวของผม  มันเป็นอะไร? มันโกรธผมหรือเปล่า? ทำไมมันเงียบ? หรือผมควรเป็นคนเริ่มบทสนทนาในครั้งนี้เสียเอง

“มึง/กู” เสียงสองเสียงดังขึ้นพร้อมกันแต่ต่างกันตรงสรรพนามที่เราสองคนเปล่งออกมา ผมกำลังจะเรียกมันเพื่อชวนคุยทำลายความเงียบในขณะที่มันเหมือนต้องการจะอธิบายตัวเอง

“มึงพูดก่อนเลย” มันพูดแต่ไม่ได้หันมาสบตาผม สายตาของมันทอดมองไปยังถนนด้านหน้าที่มีรถวิ่งผ่านไปมาอย่างบางตา เนื่องจากเวลาที่ล่วงเลยมาจนใกล้เที่ยงคืนเต็มที

“มึงเป็นอะไรวะ?” ผมทรุดลงนั่งข้างๆมัน เว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เกิดอาการอึดอัดระหว่างเรามากไปกว่านี้

“มึงอยากรู้จริงๆเหรอ?” มันตอบผมกลับด้วยคำถามที่ฟังแล้ว พาลไม่อยากจะฟังคำตอบต่อไปของมันเอาซะเลย

“เออ” แต่ในที่สุดผมก็เลิกคิดมากแล้วตอบไปตามที่ควรจะตอบ เพราะถ้ายังมัวแต่อึกๆอักๆกันอยู่แบบนี้ ต่างฝ่ายก็ต่างไม่สบายใจ แล้วสุดท้ายก็จะกลายเป็นว่าทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่อยากอยู่ใกล้กันสักเท่าไหร่นัก และนั่นอาจจะส่งผลไปถึงความสัมพันธ์ในกลุ่มเพื่อนของเราด้วย

“หึๆ” เซียนหัวเราะเบาๆออกมาเป็นคำตอบ ก่อนจะเอามือมาวางไว้บนหัวของผมแล้วโยกไปมาเบาๆอย่างใจเย็น

“เซียน เอาดีๆมึงโกรธอะไรกูรึเปล่า? กูไม่สบายใจนะ” ผมขืนเอาหัวออกจากสัมผัสของเซียนก่อนจะหันไปจ้องหน้ามันตรงๆ
ทำไมมันต้องทำตัวแบบนี้ด้วย บางครั้งมันก็ดูหงุดหงิดเสียจนไม่น่าอยู่ใกล้แต่บางครั้งมันก็อ่อนโยนจนอดยิ้มกับการกระทำของมันไม่ได้ ผมไม่ชอบให้เป็นแบบนี้ การกระทำของมันทำให้ผมควบคุมตัวเองไม่ได้

“เห้ออ มึงนี่ไม่เข้าใจอะไรเลย” มันพูดออกมาลอยๆก่อนจะเอนตัวไปข้างหลังอย่างผ่อนคลายพร้อมกับเอามือตัวเองค้ำยันตัวเอาไว้ แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแทน

“ก็ในเมื่อมึงรู้ว่ากูไม่เข้าใจ ทำไมมึงไม่พูดออกมาซะทีวะ”

“เมื่อกี๊ในร้านมึงจะทำอะไร?” เซียนถามเข้าประเด็นหลังจากที่พูดจาอ้อมโลกนั่นนี่เบี่ยงประเด็นอยู่นาน

“กูไม่อยากเก็บไว้คนเดียวแล้วอ่ะ”

“มึงเลยจะบอกชอบไอ้ที?”

“อืม” ผมตอบเบาๆก่อนจะก้มหน้าลงมองรองเท้าตัวเอง มันอึดอัดนะที่ต้องทนเก็บอยู่แบบนี้คนเดียว อย่างน้อยๆถ้าบอกไปแล้วมันไม่ชอบผม มันก็อาจจะทำอะไรระวังขึ้น ไม่ให้ผมถลำลึกชอบมันไปมากกว่ากว่านี้ก็ได้ นี่ผมยังไม่ได้คิดวิธีรับมือเผื่อเอาไว้ถ้ามันจะเลิกคบผมเลยนะ

“มึงแน่ใจแล้วใช่มั้ยว่ามึงชอบผู้ชาย?”

“มึงบ้าปะ?! กูชอบไอ้ที ไม่ได้ชอบผู้ชายทุกคนนะเว้ย!” ผมเงยหน้าขึ้นมาจ้องมันอย่างเอาเป็นเอาตาย กูไม่ได้เป็นเกย์นะเว้ย แค่กูแพ้ความน่ารักของไอ้ทีเฉยๆ

“มึงแน่ใจได้ไงว่ามึงจะชอบมันจริงๆ มึงอาจจะแค่เห็นมันน่ารักเลยรู้สึกเอ็นดูมันเฉยๆก็ได้” เออ อันนี้น่าคิด

“....” ผมเงียบไปเพื่อใช้ความคิดกับสิ่งที่เซียนเพิ่งจะพูดออกมา

“มึงแน่ใจได้ไงว่าถ้ามึงได้คบกับมันจริงๆแล้วมึงจะโอเคกับการที่ทั้งมึงและมันเป็นผู้ชาย”  เซียนพูดออกมาอย่างต่อเนื่องผิดวิสัย
คนพูดน้อยต่อยหนักอย่างมัน

“ไม่รู้ว่ะ” ผมพูดตอบไปตามตรง ผมไม่รู้จริงๆว่ามันจะโอเคแบบในความคิดของผมหรือเปล่า เพราะผมเองก็ไม่เคยคบกับผู้ชายมาก่อน แม้แต่ผู้หญิงผมยังเคยคบมาแค่คนเดียวเลย พอโดนบอกเลิกก็เฮิร์ทไปนานหลายปี ช่วงชีวิตมอปลายผมเป๋ไปอย่างหนักเพราะโดนผู้หญิงเทนี่แหละครับ

“ลองมั้ยล่ะ?”

“ลองอะไรวะ?”

“ลองคบกับผู้ชายดูไง ว่ามึงโอเคหรือเปล่า”

“มึงจะบ้าเหรอ?!” เสียงของผมดังออกมาด้วยความตกใจ  แหวกผ่านอากาศและทำลายความเงียบรอบตัว กับความคิดพิเรนท์ของมัน

“อ้าว มึงจะได้มั่นใจในตัวเองไง”

“ตรรกะอะไรของมึงวะเนี่ย?”

“กูอุตส่าห์ช่วยหาทางออกให้มึงนะ” มันพูดก่อนจะหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มเบาๆ นี่แกล้งกันปะวะ?

“โอ้ยยย คุยกับมึงละยิ่งเครียดไปใหญ่ เอาบุหรี่มาดิ” ผมโวยวายออกมาก่อนจะพยายามล้วงเอาซองบุหรี่ของผมที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของมัน

“พอแล้ววา มึงดูดเยอะไปแล้วช่วงนี้” มันพูดพร้อมจับมือผมที่กำลังสะเปะสะปะอยู่บนกระเป๋ากางเกงมันเอาไว้

“เออๆ” ผมยอมแพ้เพราะไม่อยากจะทะเลาะกับมันอีก

“กูพูดจริงๆนะวา” มันพูดพร้อมกับวางมือผมลงบนขาของมัน ก่อนจะวางมือของตัวเองซ้อนทับลงมาด้านบน

“เรื่อง?” ผมพยายามดึงมืออกแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะมันจับไว้แน่นเสียยิ่งกว่าปากกาจับชิ้นงานในช็อปเครื่องกลเสียอีก

“เรื่องลองคบผู้ชาย”

“อ่ะสมมติกูอยากลองคบผู้ชายจริงๆ แล้วใครมันจะมายอมเป็นหนูทดลองให้กูวะ?” จู่ๆจะให้ผมเดินไปแล้วบอกว่า นายๆลองคบกันปะ เขาคงจะได้เสยหน้าเข้าให้ คนสติดีที่ไหนมันจะมาบ้าจี้ยอมเรื่องแบบนี้กัน

“มันก็มีอยู่คนนึงนะมึง”

“ใครวะ?” ผมหันไปถามมันด้วยความประหลาดใจ แต่ก่อนที่ความคิดในหัวจะได้โลดแล่นไปมากกว่านี้  ร่างกายของผมเหมือนหยุดนิ่งทั้งระบบความคิดและการหายใจ

ความอุ่นวาบค่อยๆโลมเลียไล่ไปตั้งแต่ริมฝีปากที่เป็นจุดสัมผัสไปจนถึงหัวใจ อวัยวะที่สำคัญที่คอยควบคุมความคิดเราอยู่เสมอ
เซียนไม่ได้รุกล้ำอะไรไปมากกว่าการแค่สัมผัสอย่างแผ่วเบาซ้ำๆบนริมฝีปากของอีกฝ่าย เหมือนเป็นการย้ำเตือนว่าเขาอยู่ตรงนี้เสมอแต่มันอาจจะเป็นตำแหน่งที่ใกล้เกินไปจนธันวามองข้ามไปนั่นเอง

“เป็นกูได้มั้ย?” เซียนผละออกไปเล็กน้อยแต่ก็ยังคงคลอเคลียอยู่กับริมฝีปากสีอ่อนนั้น ก่อนจะกระซิบถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นใครมาได้ยินก็ต้องเข่าอ่อน ยากที่จะต้านทานไหว

“.....” ธันวาที่เหมือนยังคงล่องลอยและหลุดหายไปกับรสสัมผัสแสนวาบหวามนั้น เงียบนิ่งไร้คำพูดใดๆ

“หึๆ เนี่ยมึงเป็นแบบนี้อ่ะ จะให้กูอดใจยังไงไหว?” เซียนพูดพร้อมกับลูบแก้มของธันวาที่ตอนนี้โดนฉาบไปด้วยสีแดงระเรื่อเบาๆ

“สัสเซียน!” คำแรกที่หลุดออกมาจากปากของผมหลังจากที่ตามไล่เก็บสติที่ลอยหายไปกลับคืนมาจนครบ

“อะไร?”

“มึงทำเหี้ยไรเนี่ย?” ผมขยับออกห่างมันหนึ่งช่วงตูด (?) โดยอัตโนมัติ พร้อมกับเอามือถูที่ปากของตัวเองอย่างหนัก อยู่ใกล้มันในเวลาแบบนี้ไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ เกิดมันหน้ามืดคิดจะปล้ำผมขึ้นมาทำไง

“ก็เป็นหนูทดลองให้มึงไง” เซียนพูดออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะพยายามเอาแขนมาวางโอบไหล่ผมเอาไว้ แต่ผมขัดขืนก้มหัวหลบการสัมผัสนั้น ภาพที่ออกไปตอนนี้คงเหมือนเราสองคนกำลังฝึกวิทยายุทธ์เหมือนในหนังเรื่องกังฟูแพนด้าแน่เลย มันจับผมหลบลอดแขนไป มันคว้าไว้ผมก็หมุนคอหลบ สัด อีกหน่อยกูคอเคล็ดมึงต้องรับผิดชอบ!

“ก็เหี้ยละ”

“กูจริงจัง”

“มึงชอบกูเหรอ?” ผมตัดสินใจถามออกไปตรงๆ มันนิ่งไปนิดนึงก่อนจะผละสายตาหันกลับไปมองที่ถนนเบื้องหน้าตัวเองอีกครั้ง

“....”

“เอ้า! ไม่ตอบกูอีก”

“มึงอยากฟังคำตอบแบบไหนล่ะ? เอาสบายใจมึงหรือความจริง” เซียนหันมาจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจัง เห็นแบบนี้ผมเริ่มจะไม่อยากฟังคำตอบแล้วล่ะ

“เอ่อ...”

“ว่าไง?”

“เอาความจริง” ความจริงมันอาจจะไม่ใช่อะไรที่เราต้องการจะฟัง แต่เราก็ปฏิเสธมันไม่ได้อยู่ดี ผมเลยเลือกที่จะฟังสิ่งที่มันคิดอยู่
ตอนนี้จริงๆ

“กูชอบมึง” มันพูดออกมาเสียงเบาราวกับว่าไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกมานั้น สมควรแล้วจะพูดหรือไม่

“แต่กูไม่ได้ชอบมึง” ผมรีบพูดปฏิเสธออกไปอย่างรวดเร็ว โดยลืมคิดไปว่าสิ่งที่พูดไปนั้นจะกระทบกับจิตใจคนฟังเพียงใด

“หึ เจ็บว่ะ” มันหัวเราะออกมาเบาๆ แต่นั่นไม่ใช่เสียงหัวเราะที่แสดงถึงความสุข ใครมาฟังกูคงจะคิดเหมือนกันกับผม

“เอ่อ..คือ...”

“ไม่เป็นไรกูเข้าใจ แต่กูแค่ไม่อยากให้มึงเจ็บเหมือนที่กูเจ็บตอนนี้ไงวา”

“....” ผมเงียบไปหลังจากสิ้นเสียงพูดของเซียน

ก็จริง  ถ้าเป็นผมที่เป็นคนโดนปฏิเสธ ผมจะทำอย่างไร จะยังอยากอยู่ข้างๆทีมั้ย? หรือทีจะยังอยากเป็นเพื่อนผมอยู่หรือเปล่า?
แล้วตอนนี้ล่ะ? คนโดนปฏิเสธคิดยังไงกับผมอยู่กันนะ?

“มึงโกรธกูปะ?” ผมถามไปตามสิ่งที่กำลังคิด

“ทำไมต้องโกรธ?” มันตอบกลับมานิ่งๆพร้อมกับล้วงเอาบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าตัวเอง แล้วจุดไฟสูบมันอย่างผ่อนคลาย

“ก็กูปฏิเสธมึง”

“กูมีสิทธิ์ที่จะชอบมึงได้ และมึงก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ชอบกูได้เหมือนกัน แฟร์ๆ”

ธันวาแอบมองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆ  เซียนเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดเยอะ แต่เวลาที่อยู่กับเขาสองคนเซียนจะเปลี่ยนเป็นอีกคน ชอบบ่นชอบแกล้งนั่นนี่อยู่เสมอ และอีกนิสัยหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเซียนเป็นอย่างมากก็คือความมีเหตุผลของเขา ไม่เคยเลยแม้สักครั้งที่เขาจะทำอะไรไปโดยไร้การคิดกลั่นกรอง ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนมีเหตุผลในตัวเอง

“ถ้ากูใช้มึงเป็นหนูทดลอง มันจะไม่ใจร้ายกับมึงไปหน่อยเหรอวะเซียน?” ธันวาที่เงียบอยู่ครู่ใหญ่ก็ถามขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบที่ปกคลุมอยู่ตอนนี้

“คนเราต้องการอะไรมากไปกว่าการได้เป็นที่รักของคนที่เรารักวะ”

“แต่มันเป็นแค่การทดลองเฉยๆนะเว้ย”

“แค่ชั่วโมงเดียวกูก็เอาแล้ววา แค่สักครั้งนึง” มันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ  ทำให้ได้ฟังแล้วผมอดไม่ได้ที่จะ....

“งั้นอาทิตย์นึง” ผมพูดมันออกไปแล้ว

“หืม?” เซียนหันขวับมาจ้องหน้าผมอย่างงงๆ

“เรามาทดลองคบกันอาทิตย์นึง” ผมพูดพร้อมกับยื่นหมัดไปเพื่อจะชนหมัดกับมันแบบที่กลุ่มเราชอบทำกัน

“เอาจริง? กูไม่รู้จะพูดไรเลยว่ะ” มันก้มลงมองมือผมนิ่งๆก่อนจะยื่นมือมาจับกำปั้นของผมเอาไว้แทนที่จะยืนหมัดของตัวเองออกมาชนกัน

“แต่หลังจากอาทิตย์นึง เราจะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ใช่ปะ?” ผมมองการกระทำของมันนิ่งๆก่อนจะถามกลับไปด้วยความกังวล

“มึงคิดว่ากูอยู่แบบนี้มาได้นานเท่าไหร่แล้ว แค่นี้สบายมาก”

“อีกอย่างกูไม่อยากให้เพื่อนคนอื่นรู้ว่ะ กูว่ามันคงไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเรา”

“หึๆ ทำไมคนอื่นต้องรู้ล่ะ แค่กูกับมึงก็พอแล้ว”

“เสี่ยวว่ะเซียน” ผมหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทีแปลกตาที่ไม่เคยได้เห็นจากเซียนมาก่อน

“เริ่มยัง?” มันยิ้มตอบก่อนจะถามผมกลับมา

“รออะไรล่ะ?” ผมตอบกลับคำถามมันไปแบบทีเล่นทีจริง

“อืมมมม” มันตอบรับในลำคอก่อนจะลุกขึ้นยืนโดยไม่ลืมที่จะดึงผมให้ยืนขึ้นด้วยกัน

“จะไปไหน?” ผมถามเมื่อเห็นว่าจู่ๆมันก็ออกเดินไปโดยไม่ได้พูดอะไร

“เดินตามมาก็พอครับ”


“....”




“คุณแฟน”







-KATEL-


ลองคบละระวังจะติดใจนะจ๊ะน้องวา  :katai3:

แพ้ทางพี่เซียนขึ้นมาทำไงอ่ะ??? 55555

ฝากตอนที่ 2 ไว้ด้วยนะคะ

คอมเม้นต์พูดคุยให้กำลังใจกันได้เน้อออ  :katai4:

ฝาก #ช่างรัก ด้วยนะคะ

twitter เรา : @ungung_k   เข้าไปเม้าท์มอย ทักทายกันได้จ้าา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-11-2019 18:40:19 โดย katiezz »

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
นั่นน่ะซิ พี่ช่างซันหายไปไหน อยากรู้
เชียร์วากับเซียน
ทีคนน่ารักยกให้พี่ซันไปเถอะนะๆๆๆ

ออฟไลน์ katiezz

  • เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
ตอนที่ 3 แฟนกันวันแรก





แม้ใครต่อใคร บอกว่าฉันทำอะไรบ้าบอ
รอเธอไปก็เสียเวลา
ขอพูดอีกที ว่าหัวใจที่มี เลือกเธอคนนี้ตั้งแต่สบตา





Day 1


วันเสาร์  วันเดียวในสัปดาห์ที่ธันวาจะได้หยุดเรียนและนอนเปื่อยอยู่ห้องอย่างเต็มรูปแบบ เพราะแม้แต่วันอาทิตย์เองก็ยังคงมีการนัดไปทำกิจกรรมของวิชาเจน (วิชาหมวดการศึกษาทั่วไป เช่น จริยธรรม เป็นต้น) ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิตนักศึกษา เนื่องจากต้องไปทำงานร่วมกับเพื่อนจากคณะอื่นที่มีลักษณะการทำงานไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่ แล้วยังนัดเวลารวมตัวทำงานยากอีกต่างหาก วันนี้คณะนี้ว่างอีกคณะสอบ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำงานสักที และมักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอ

ธันวานอนสไลด์หน้าจอมือถือเข้าแอพนั้นแอพนี้ไปเรื่อยๆแก้เบื่ออยู่บนเตียงนอนขนาด 5 ฟุต ที่เต็มไปด้วยหมอนใบใหญ่นับ 10 ใบ ที่ถูกเจ้าของเตียงซื้อมาอย่างบ้าคลั่งเนื่องจากเป็นคนติดหมอนมาก จนแทบจะไม่เหลือที่จะซุกตัวลงนอนกับเตียงแล้วในตอนนี้

ก๊อกๆๆๆ

เสียงเคาะประตูห้องนอนของธันวาดังขึ้น  ร่างสูงปรายตาไปมองยังทิศที่มาของเสียง แล้วค่อยๆพลิกตัวนอนหงายก่อนจะตะโกน
ตอบออกไปอย่างเกียจคร้าน

“เข้ามาเลยที  กูไม่ได้ล็อค”

ห้องของผมและทีเป็นห้องแบบกึ่งๆคอนโดที่มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น และมีเคาเตอร์ครัวเล็กๆที่พอจะทำอาหารได้เล็กๆน้อยๆหากวันไหนไม่มีเรียนและไม่อยากเสี่ยงชีวิตเดินฝ่าแสงแดดที่รุนแรงราวกับอยู่ในนรกออกไปเพื่อข้าวกะเพราหรือก๋วยเตี๋ยวต้มยำถุงเล็กเพียงถุงเดียว

“ขอดูการบ้านสแตติกหน่อยดิ”  ทีเปิดประตูเข้ามา ก่อนจะพุ่งลงมาแทรกตัวนอนบนกองทัพหมอนข้างๆผมอย่างรวดเร็ว

“ยังไม่เสร็จเลยว่ะ ขี้เกียจ” ผมตอบกลับไปพร้อมดึงทีมากอดไว้หลวมๆ ตัวมันขนาดเท่าหมอนข้างผมเลยครับ เหมาะมือดีแท้

“อ้าวซะงั้น”

“ขออีก 10 นาที เดี๋ยวลุกไปทำละ” ผมคลายกอดออกปล่อยให้ทีเป็นอิสระ ก่อนจะดันร่างตัวเองให้กลับมานอนหงายมองเพดานอีกครั้ง

“เออวา เมื่อที่อินดี้อ่ะ มึงกับไอ้เซียนออกไปคุยอะไรกันวะ?” ผมชะงักนิ่งกับคำถามของคนตัวเล็กไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“เปล่านี่” ผมปฏิเสธออกไปคำโต เพราะเราได้ทำข้อตกลงกันแล้วว่าเรื่องที่เราคุยกันวันนั้นจะมีแค่ผมกับเซียนที่รู้ เพื่อนคนอื่นจะมารู้เรื่องไม่ได้เป็นอันขาด

“อย่ามาโกหกนะมึง ก่อนออกไปมึงทำอย่างกับจะฆ่ากันตาย แต่ตอนกลับเข้ามานี้ไอ้เซียนยิ้มหวานอย่างกับเมาเนื้อ”

“ฮ่าๆๆๆ พวกกูออกไปดูดเนื้อกันไง” ผมลองแกล้งพูดโกหกออกไปอีกครั้ง จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อล่ะครับ แค่ค่าข้าวยังไม่ค่อยจะมีแดกเลย

“เอาดีๆสัด กูโกรธนะถ้ามึงไปดูดเนื้อกันแล้วไม่ชวนกู”  ทีผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจ้องหน้าผมกลับมาอย่างเอาเรื่อง

“โอ้ย จะบ้าเหรอ กูพูดเล่น มึงก็เชื่อเนาะ” ผมเอามือไปผลักหัวทีเบาๆด้วยความเอ็นดู เอาจริงๆผมไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมผมต้องเอ็นดูเพื่อนที่อายุเท่ากันด้วย แต่มันเป็นอะไรที่อธิบายไม่ได้จริงๆนะความรู้สึกนี้

ทีได้โอกาสก็รีบดึงแขนของผมเอาไปหนุนรองนอนที่คออย่างสบายใจ  ที่มันกล้าทำแบบนี้ก็เพราะมันไม่รู้ว่าผมคิดอะไรกับมันนี่แหละ แต่จะว่ามันก็ไม่ได้หรอกนะ

ตึ่ง!

เสียงเตือนข้อความไลน์เข้าของมือถือผมดังขึ้น

“ทีขยับหน่อยมึง กูจะหยิบมือถือ” ผมพูดพร้อมกับยันตัวขึ้นเพื่อมองหามือถือของตัวเองที่น่าจะอยู่ตรงหลืบไหนสักหลืบบนรอยพับของผ้าห่มบนเตียงตอนนี้

“อื้ออออ ไปละปวดขี้  ทำการบ้านเสร็จเอามาดูด้วย ” ทียันตัวขึ้นนั่งอย่างขัดใจ ก่อนจะลุกเดินออกจากห้องไปด้วยความเร็วแสง ผมส่ายหัวยิ้มๆกับการกระทำเด็กๆของมัน

S : ทำไรอยู่?

ผมขมวดคิ้วให้กับข้อความที่ขึ้นโชว์อยู่บนหน้าจอในเวลานี้  ร้อยวันพันปีไม่เคยจะทักมาหรอก พอได้เลื่อนสถานะ (แบบทดลอง)
เข้าหน่อยก็เอาใหญ่เลย คงจะกะใช้สิทธิ์ให้คุ้ม 555

WA : ยุ่งจังวะ

ผมพิมพ์แกล้งมันกลับไป แล้วตั้งตารอดูว่ามันจะตอบกลับมาอย่างไร

S : ….

อ้าวซะงั้น นี่นอยด์ง่ายไปปะเนี่ย? ผมไม่ง้อหรอกนะบอกก่อน

WA : เซียน เป็นไรเนี่ย?

เมื่อกี๊ใครบอกอะไรนะ ไม่ง้อเหรอ? เปล่า ไม่ได้พูดนะ5555

S : คิดถึง แต่ไม่รู้ถึงรึเปล่า

WA : สัด งอนเป็นตุ๊ดเลยมึง

S : ก็ไม่ค่อยอยากจะงอนหรอก กลัวไม่มีคนง้อ

WA : ทำไมจะไม่ง้อล่ะครับคุณเซียน

ชวนมันทะเลาะละปวดประสาท ลองคุยกับมันหวานๆบ้างก็แล้วกัน เพื่อจะคุยกันรู้เรื่องมากขึ้นกว่าเดิม

S : ลงมาหน้าตึกดิ

WA : เพื่อ?

S : พูดจาน่ารัก อยากให้รางวัล

ธันวายิ้มพร้อมกับถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะดันตัวเองขึ้นนั่ง แล้วตบหน้าเบาๆสองสามครั้งเป็นการเรียกสติให้ตื่นเต็มที่  เขาบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นไปคว้ากระเป๋าตังค์บนหัวเตียงกับกุญแจห้องแล้วเดินออกจากห้องนอนไป

“วา มึงจะไปไหน?” ทีเปิดประตูพร้อมกับชะโงกหัวออกมาจากห้องนอนเพื่อถามผมที่กำลังวุ่นวายกับการใช้ตีนเขี่ยรองเท้านับล้านคู่ที่ทับถมกันอยู่เพื่อจะเอารองเท้าแตะคู่ใจออกมา ห้องชายโสดก็แบบนี้แหละครับ

“ไปข้างนอก เดี๋ยวมา”

“อ้าว ไหนบอกจะทำการบ้านไง”

“เดี๋ยวค่อยกลับมาทำ เอาไรปะ?” กับทีนี่ต้องเอาของกินมาล่อครับถึงจะหยุดปากช่างจ้อของมันได้

“ไอติมยาคูลท์ 1 อัตราคร้าบบบ”  ทียิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับมาด้วยความรวดเร็ว

“เคๆ กูล็อคประตูหน้านะ ถ้ามีใครมาเคาะก็ส่องก่อนถึงจะเปิดเข้าใจมั้ย?” ผมสั่งเสียราวกับจะออกไปรบ ไม่ใช่อะไรหรอกครับคือมันเคยเกิดเหตุการณ์ว่ามีคนเมามาเคาะประตูห้องตอนกลางคืนแล้ววันนั้นผมก็ร้องเพลงอยู่ที่ร้าน ไอ้ทีที่อยู่ห้องคนเดียวก็ออกมาเปิดประตูให้เขาเฉยเลย แต่ยังดีที่มันโวยวายเสียงดัง ห้องข้างๆเลยออกมาช่วยไว้ได้

“รู้หน่า มึงไปได้ละ ขี้บ่นเกิ๊นนน นึกว่าเป็นพ่อ” มันบ่นอุบ ก่อนจะปิดประตูห้องนอนใส่หน้าผม

ผมส่ายหัวกับพฤติกรรมของมันนิดๆก่อนจะ กดล็อคประตูแล้วเดินออกจากห้องไป

Rrrr

“ว่า??” ผมกดรับสายโดยไม่ได้ดูชื่อที่โทรเข้ามาตามสไตล์ 555

(เมื่อไหร่จะลงมาอ่ะ?)

“ถ้ารีบทำไมไม่มาตั้งแต่เมื่อวานครับ?” ผมถามพร้อมกับสาวเท้าลงบันได้อย่างไม่รีบร้อน ดูช่างแตกต่างกับคนปลายสายโดยสิ้นเชิง

(ก็เมื่อวานยังไม่ได้เป็นแฟน) โอ้ย เป็นพ่อค้าขนมครกรึไงมึง หยอดเก่งจัง 555

“หึๆ เหรอออ?? แล้วเป็นแฟนนี่มันมีฟีเจอร์เพิ่มจากตอนเป็นเพื่อนยังไงอ่ะ?” อ่ะเรื่องกวนตีนนี่ผมก็ไม่แพ้ใครนะครับ ขอออกตัวก่อนเลย

(ลงมาเร็วๆดิ อยากพูดต่อหน้า ไม่ค่อยชอบขายตัวเองทางโทรศัพท์)

“อยู่หน้าหอละเนี่ย มึงอ่ะอยู่ไหน?” ผมพูดพร้อมกับกดปลดล็อคประตูหน้าหอ แล้วออกมายืนหันซ้ายหันขวาแบบงงๆ
ไหนไอ้เซียนวะ? หรือมันหลอกผมวะ? เอาจริงๆนี่ผมเริ่มจะโมโหแล้วนะเนี่ย กูใช่เพื่อนเล่นมึงมั้ยยย?? (ก็ใช่อยู่)

(ฮ่าๆๆ อย่าเพิ่งโมโหดิ กูอยู่ในรถเนี่ย) ผมกวาดตามองไปทางโรงจอดรถ จนเจอเข้ากับฮอนด้าซีวิกรุ่นใหม่ติดฟิล์มดำสนิทจนแอบสงสัยว่ามันมองเห็นถนนมั้ยเวลาขับ ก่อนจะมีมือที่คุ้นตายื่นออกมาจากหน้าต่างรถกำลังพยายามโบกทักทายผมอยู่

ผมกดวางสาย ก่อนจะเดินตรงไปที่รถคันนั้นแล้วเปิดประตูขึ้นไปนั่งอย่างถือวิสาสะ

“ไหนรางวัล?” ผมเปิดฉากพูดก่อนทันทีที่ประตูปิดลง

“รีบจัง ถ้ารีบขนาดนี้ทำไมไม่มาตั้งแต่เมื่อวานอ่ะ” เซียนตอบกลับ โดยใช้คำพูดของผมที่เพิ่งว่ามันไปเมื่อครู่ พร้อมกับเคาะพวงมาลัยรถ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“กวนตีน”

“ฮ่าๆๆ อย่ามัวมาทะเลาะกันเลย เวลามีน้อย” มันพูดพร้อมกับเอามือมาวางไว้บนหัวผมเบาๆ เป็นไรวะชอบเล่นหัวจัง

“ละตกลงเรียกกูลงมามีอะไร?”

“คิดถึง อยากเห็นหน้า” เซียนพูดพร้อมกับโน้มตัวลงมาจนปลายจมูกสัมผัสกับแก้มของธันวาอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา

“เห้ยย! อีกแล้วนะมึง!!” ผมรีบเอี้ยวตัวออกเพื่อหนีจากการกระทำหื่นๆของมันทันที

“หอมแก้มแฟนตัวเองนี่ผิดเหรอวะ?” มันถามผมกลับด้วยสายตาแพรวพราว ให้ตายเหอะผมไม่เคยเห็นมันในมุมนี้มาก่อนเลย
แฟนคนก่อนๆมันนี่ไม่สึกหรอแย่เหรอวะ เอะอะ จับนั่นแตะนี่ตลอด

“สัด กูกลัวมึงละเนี่ยเซียน ปกติมึงไม่ได้เป็นแบบนี้อ่ะ”

“ฮ่าๆๆๆ กูก็เป็นของกูแบบนี้แหละ แค่มึงไม่เห็นเอง”

“.....” เชี่ย นี่ผมจะโดนมันปล้ำเข้าสักวันมั้ยนะ?

“อ่ะนี่ รางวัลกู” เซียนพูดพร้อมกับหยิบกล่องเล็กๆกล่องหนึ่งมาจากช่องใส่ของด้านประตูฝั่งคนขับแล้วยื่นมาให้ผม

“หูว เป็นแฟนพี่เซียนนี่ของสมนาคุณจัดเต็มเชียวนะครับ” ผมพูดแซวมันไปขำๆก่อนจะรับกล่องใบนั้นมาเปิดดูของที่อยู่ด้านใน

“แน่นอนครับ รู้แบบนี้แล้วอยากจะเป็นแฟนพี่เซียนไปนานๆมั้ยล่ะครับ?”

“สัด! กวนตีนละมึง ฮ่าๆๆๆๆ”

“หึๆ”

“เฮ้ย!! ให้เกียร์กูเพื่อ?” ผมร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะหยิบสร้อยคอที่ทำจากเชือกสีดำแล้วที่ปลายมีเกียร์รุ่นที่ 55 ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาลัยเราขึ้นมา

“อ้าว ให้เกียร์แฟน แปลกตรงไหนวะ?” เซียนเลิกคิ้วถามธันวากลับไปด้วยความสงสัย

“ของกูเองก็มีปะ?” ไอ้สัดเข้าประชุมเชียร์ด้วยกัน ตอนเข้าพิธีรับเกียร์ก็ยืนอยู่ข้างๆกัน แล้วมันจะเอาเกียร์ของมันมาให้ผมเพื่อ?

“ก็เอาของตัวเองเก็บใส่กล่องไว้ ละใส่ของกูแทน”

“ละมึงเห็นกูใส่เกียร์ปะปกติ?” ผมพูดพร้อมกับแหวกคอเสื้อของตัวเองออกให้มันดู ตั้งแต่ได้มาผมเคยใส่แค่ครั้งเดียวคือตอนที่ได้นั่นแหละ แม่งใส่ละคันสัด คอนี่แดงเป็นแถบ ไม่คิดจะเอาออกมาใส่ให้ลำบากตัวเองอีกเลยหลังจากวันนั้น

“นี่มึงยั่วกูปะถามจริง?” เอาอีกแล้วครับ สายตาวิบวับนั่นกลับมาอีกแล้ว

“ยั่วพ่อมึงอ่ะเซียน เงี่ยนเหรอ?” ผมตบหัวมันไปเบาๆหนึ่งที เรียกสติให้กลับมาเลิกทำตัวหื่นๆใส่ผมซะที

“โอ้ยย เจ็บบบ”

“อย่ามาสำออย ละเกียร์นี่เอาไง?”

“ถ้าใส่ที่คอไม่ได้ ก็ใส่ไว้ที่ข้อมือแทนซิครับคุณแฟน” โอ้ย ผมขนลุกทุกทีเวลามันมาพูดหวานๆใส่ ก็คิดดูสิครับว่าเราพ่นเหี้ยห่า
ใส่หน้ากันมาตั้งแต่ปี 1 แล้วมาตอนนี้มาพูดหวานๆใส่กันเฉย ขนลุกไปตามระเบียบ

“เออๆ แต่ถ้าคันกูเอาออก” ผมพูดพร้อมกับเอาเชือกสีดำนั้นมาพันไว้รอบข้อมือไว้แบบหลวมๆ เฮ้ยมันก็ดูเท่ห์เหมือนกันนี่หว่า

“ครับ ไปกันเหอะ เสียเวลามานานละ” เซียนพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะค่อยๆเคลื่อนรถออกจากที่จอดอย่างไม่รีบร้อนนัก

“ไปไหน?” อ้าว กูนึกว่าเรียกกูมาเอาของอย่างเดียว

“ไปคอนโดกู”

“เพื่อ?” วันนี้ผมพูดคำนี้บ่อยมาก เพราะเอาจริงๆผมไม่ค่อยจะเข้าใจในแต่ละอย่างที่มันทำกับผมเลย

“กูหิว”


.......................


“ชาบู?” ผมถามมันไปด้วยสีหน้าไม่เข้าใจสุดขีด มึงขับรถไปลากกูมาจากหอเพื่อจะพามากินชาบูที่ดูมีการเตรียมพร้อมไว้อย่างดีมากที่ห้องมึง

ทำไมไม่ไปกินที่ร้านให้มันเสร็จๆวะ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเตรียมของเหนื่อยเก็บตอนกินเสร็จ

“ก็ไหนบอกไม่อยากให้มีใครรู้ไง เลยไม่พาไปกินที่ร้าน กินที่ห้องเนี่ยแหละ”

“มึงรู้ได้ไงว่ากูคิดอะไรอยู่?”  หรือความจริงแล้วมันจะเป็นเซียน จิตสัมผัส

“สีหน้ามึงแสดงออกชัดซะขนาดนั้น ดูไม่ออกก็โง่ละ” เซียนพูดพร้อมกับยื่นตะเกียบที่หักออกจากกันแล้วมาให้ธันวา

“มึงนี่ช่างสังเกตจัง” ผมพูดออกมาเบาๆ พร้อมกับเอาผักใส่ลงไปในหม้อชาบูที่ตอนนี้น้ำเริ่มจะเดือดปุดๆจนได้กลิ่นหอมของน้ำซุปโชยไปทั่วห้องแล้ว

“กูสังเกตทุกอย่างที่เป็นมึงแหละวา”

“โอ้ยย ขอแดกก่อนได้ปะ หยุดหยอดกูสักนาทีเถอะ”

“ฮ่าๆๆ เผื่อหยอดไปหยอดมาละฟลุ๊คถูกใจมึง ได้ต่อโปรจาก 7 วัน เป็นตลอดไปไรงี้”

“เซียน” ผมเรียกมันด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ไม่ได้โกรธหรือรำคาญอะไรมันหรอกนะ แต่แค่รู้สึกว่าถ้ามันยิ่งมีความหวัง ผมก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีที่รับคำตกลงเป็นแฟนทดลองกับมันไปเมื่อวันก่อน

“เอาหน่า กูรู้ว่ากูทำอะไรอยู่”

“แต่ยิ่งมึงเป็นแบบนี้กูยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหี้ย”

“คนเราอยู่ได้ด้วยความหวังนะวา มึงรู้ไว้แค่ว่าที่มึงตัดสินใจไปน่ะ มันทำให้กูมีความสุขมากก็พอแล้ว” เซียนตอบกลับผมมาด้วยท่าทีสบายๆ มันดูพร้อมรับมือกับทุกอย่างที่อาจจะขึ้นตลอดเวลา

“อืม”

“อย่าหงอยดิ อ่ะนี่กุ้ง รู้ว่าชอบกิน”

“อ่า เอามาอีก” ผมพูดก่อนจะคีบกุ้งนับสิบตัวที่เซียนตักมาใส่ในจานให้ กินหมดอย่างรวดเร็ว อารมณ์ของผมเปลี่ยนได้ด้วยของกินเสมอ 555

“ค่อยๆกินเหอะ กูซื้อมาเยอะ” มันพูดพร้อมกับเอากุ้งสดใส่ลงไปในหม้อเพื่อจะลวกมาให้ผมกินอีก

“มึงหยิบน้ำให้หน่อยดิ” ผมยื่นมือไปตรงหน้าเซียน พร้อมกับยักคิ้วกวนตีนมันไปด้วย

“รอก่อน เดี๋ยวไปหยิบให้” มันตีลงเบาๆบนมือผม ก่อนจะลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในครัวเพื่อไปหยิบน้ำมาให้ตามที่ผมขอ



“มึง อยากกินหมูสามชั้น”
“อ่ะนี่ สุกแล้ว ค่อยๆกิน”



“มึงกูร้อนอ่ะ ลดแอร์หน่อยดิ”
“ได้ๆ โอเคยัง?”
“อืมๆ”



“กูอยากกินข้าวโพด”
“รอแปป ใส่ไปให้แล้วยังไม่สุก”




“เดี๋ยวกูช่วยเก็บ”
“เฮ้ยไม่ต้อง อิ่มซะขนาดนั้น นั่งรอเฉยๆไปเหอะ”



“เดี๋ยวกูนั่งรถกลับเองก็ได้ 7 บาทเอง มึงเก็บของเหนื่อยน่าดู พักเหอะ กูไปก่อนละ”

“เฮ้ยไม่ต้องเลย เดี๋ยวกูไปส่งเอง เอากุญแจรถก่อน”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูนั่งรถไปลงตรงปากซอยเอง จะแวะเซเว่นด้วย รถยนต์จอดยาก”

“กูจอดให้มึงได้ละกัน ไปได้แล้ว”

แค่วันแรกมึงกูทำกูเสียนิสัยแล้วนะเซียน


เอาจริงๆ เป็นแฟนมึงก็ไม่ได้แย่นะ รู้สึกดีเกินไปด้วยซ้ำ ดีเกินไปจนกูกลัว




-KATEL-

อยากมีเซียนเป็นของตัวเองงงงงง  :hao7:

พ่อทูลหัวของบ่าว แฟนกัน 7 วัน จะพอเหร๊อออ????



ตอบคอมเม้นต์

พี่ซันหายไปเลย หาท่อที่แตกเจอยังคะ :laugh:
เซียนแอบชอบวาแน่ๆ
อยากรู้จังตอนวาเจอกับพี่ซันจะเป็นยังไง

 :pig4:
รอเฮียแกหน่อยย เฮียแกยังหาท่อที่แตกไม่เจอ5555


นั่นน่ะซิ พี่ช่างซันหายไปไหน อยากรู้
เชียร์วากับเซียน
ทีคนน่ารักยกให้พี่ซันไปเถอะนะๆๆๆ
ให้โอกาสพี่ซันมาปรากฏตัวก่อนนน อย่าเพิ่งตัดกำลังพี่เขาา 5555

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
พอเป็นแฟนกันพี่เซียนคนพูดน้อยต่อยหนักหายไปเลย เหลือแต่พี่เซียนคนตามใจแฟนและพร้อมหยอดวาทุกโอกาส
ได้เป็นแฟนกันแล้วมีความสุขขนาดนี้ไม่อยากจะคิดถึงวันครบหนึ่งสัปดาห์เลย จะดราม่าหนักไหมเนี่ย :katai1:

 :pig4:

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
เสร็จแน่ๆ ธันวาเอ็งเสร็จพี่เซียนแน่ๆ 5555555
 :impress2:

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
เป็นแฟนพี่เซียนแล้วเลี้ยงดีอย่างนี้
เพิ่มโปร เพิ่มเวลาไปเลย
 :hao6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ katiezz

  • เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
ตอนที่ 4 ชอบมานานแล้ว



Day 2

“สัดจีน! ลูกชิ้นกู!!” เสียงโวยวายของที เป็นอะไรที่เราทุกคนในกลุ่มได้ยินเป็นประจำจนชินชาไปเสียแล้ว ทุกวันของการกินมื้อเที่ยงมันจะโดนขโมยอาหาร ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้น หมูเด้ง หรือแม้แต่ข้าวเปล่า เอาจริงๆไม่ได้มีใครอยากแย่งมันกินหรอกครับ แต่ปฏิกิริยาตอบกลับของมันทำให้คนแกล้งอย่างพวกเราสนุก และนั่นก็ทำให้มันโดนแกล้งแบบนี้ทุกวัน

“อ่ะๆ เอาของกูไปแทน” ผมพูดพร้อมกับคีบลูกชิ้นในชามไปให้มันทั้งสามลูก กินให้จุกไปเลยจะได้ไม่ต้องโวยวายอีก ฮ่าๆๆ

“โอ้ยยย พี่วาใจดีจังเลยย มีแฟนรึยังเนี่ยยย?? จีบได้ป่าว?” สิ้นเสียงหยอกล้อของทีผมก็เหลือบตาขึ้นมองคนที่นั่งตรงข้ามเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป

“ยังครับ จีบได้ พี่ไม่ง่ายแต่ก็ได้ไม่ยาก ฮ่าๆๆๆ” เซียนเงยหน้าขึ้นมองผมก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อยให้กับคำตอบที่ผมตอบทีกลับไป

ให้ตายซิ มันกำลังกวนตีนผมอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย? ผมเตะเท้ามันไปหนึ่งครั้งแล้วรีบพับขากลับทันที ไม่ให้มันได้เอาคืน
ได้ผลครับ มันจ้องผมกลับเขม็งแต่มีรึคนอย่างไอ้วาจะกลัว สายตาข่มขู่แบบนั้นทำอะไรกูไม่ได้หรอกครับเซียน

“ได้ไม่ยากจริงปะวะ?” ทีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงก่อนจะพุ่งเข้ามากอดเอวผมเอาไว้อย่างเร็ว

เชี่ยตั้งตัวไม่ทันเลยครับ สาบานได้ว่าตอนนี้ใจแม่งเต้นแรงมาก ให้ตายเหอะทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะเพื่อน

“......” ผมนั่งตัวแข็งทื่อเป็นรูปปั้นหินเลยครับจังหวะนี้

“เออว่ะ ง่ายจริงด้วย โดนกอดยังไม่ขัดขืนเลยไอ้สัด ฮ่าๆๆ” ฮ่าๆที่หน้ามึงอ่ะที โอ้ยกูหัวใจจะวาย ผมเหลือบตาไปมองเซียนว่ามันกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน

“วา..” มันเรียกผมเสียงเข้มพร้อมกับจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกอีกแล้ว ผมไม่ชอบมันเวอร์ชั่นนี้เลยเอาจริงๆ

“ว่า??” ผมถามมันกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เบาจนเกือบจะกลายเป็นการกระซิบ

“ธันวา” เซียนเรียกผมอีกครั้ง

“มีอะไร?” ผมถามกลับไปอีกครั้ง ตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าบรรยากาศรอบตัวเป็นอย่างไร แต่ระหว่างเราสองคนคือเป็นอะไรที่อึดอัดมาก

“....”

“เอิ่ม ฮัลโหล เฟรนด์ ยังมีกูสองคนอยู่ตรงนี้เด้อ ฮายยย” จีนพูดทำลายความเงียบระหว่างผมกับเซียนก่อนจะเอามือมาโบกไปมาคั่นตรงกลางระหว่างหน้าของเราสองคน

“กูไปซื้อน้ำนะ” เซียนพูดก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะ นี่มึงโกรธกูเหรอวะ? ขนาดนั้นเลย?

“กูไปด้วยๆ เอาไรปะพวกมึง?” ทีดึงแขนเซียนไว้ให้หยุดรอ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วถามออกมา

“กูเก๊กฮวย  ไอ้วาใบเตย”

“แสนรู้” ผมพูดพร้อมกับลูบหัวไอ้จีนเบาๆ แล้วก็เป็นไปตามคาดเลยครับ โดนตบหัวกลับมา หูอื้อไปเลยทีเดียว

“เคๆ ตังค์มึงนะเซียน กูไม่มี” ทีพูดพร้อมกับควักกระเป๋าตังค์ออกมากางโชว์ใบเสร็จเซเว่นที่มีมากมายเป็นฟ่อน แต่ไร้วี่แววของ
เงิน  พกเพื่อ??

“สัด เห็นละสงสาร เออๆกูจ่ายเอง” ผมมองตามเซียนที่ไม่แม้แต่จะมองมาที่ผมเลยแม้สักวินาทีเดียว นี่ตกลงมันโกรธผมจริงๆใช่
มั้ย?

“อ่ะมองตามๆ”

“สัดจีนอย่ากวนตีน” ผมผลักหัวมันออกห่างก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“มึงมีอะไรจะพูดกับกูมั้ย?” จู่ๆน้ำเสียงของจีนก็เปลี่ยนเป็นน้ำเสียงจริงจัง  ไม่เหลือการหยอกล้อหรือความตลกใดๆไว้อยู่แม้แต่น้อย

“ทำไม?”

“เรื่องไอ้เซียน” สิ้นเสียงพูดของจีน ผมเหมือนหัวโล่งไปชั่วขณะ ทำไมมันถึงถามผมออกมาแบบนี้? หรือมันจะรู้เรื่องการทดลองระหว่างผมกับเซียน

“...” ไร้การตอบกลับใดๆ แต่ภายในหัวนั้นมีความคิดมากมายไหลเวียนเข้ามาจนแทบจะระเบิดออก

“ถ้ามึงไม่อยากบอก  กูก็จะไม่เซ้าซี้ถามให้มันมากความ แต่ถ้ามึงอยากปรึกษาก็บอก กูพร้อมให้คำปรึกษามึงเสมอ” จีนกอดคอผมเอาไว้หลวมๆ คำพูดของมันทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก มันไม่ได้ถามกดดันเพื่ออยากที่จะรู้เรื่องของผม  แต่ที่มันถามขึ้นมาก็เพราะความเป็นห่วงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่ผมสัมผัสได้จากน้ำเสียงของมัน มันทำให้ผมรับรู้ได้ว่า ไม่ว่าผมคิดจะทำอะไรมันก็จะเคารพกาตัดสินใจของผมเสมอ

“รักมึงจัง” ผมพูดก่อนจะพิงหัวลงกับหัวของมันอย่างผ่อนคลาย การมีเพื่อนผู้หญิงอยู่ในกลุ่มเป็นอะไรที่ดีมากเลยนะ ถึงแม้ภายนอกมันจะดูโลดโผนขนาดไหนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็ยังมีนิสัยของผู้หญิงอยู่มากพอตัว ทั้งเรื่องการช่างสังเกต การชอบดูแลหรือแม้แต่การใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของเพื่อน ที่พวกเราผู้ชายทำได้ไม่เท่ามันอย่างแน่นอน

“โน  อย่าลากกูเข้าไปอยู่ในวังวนความรักของมึง” มันพูดกลับก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“สัด  ปากมึงนี่พากูอารมณ์เสียตลอด”

“ทำไรกันพวกมึง จีบกันเหรอ?” ทีที่เพิ่งจะเดินมากับคนอารมณ์บูดนั่งลงประจำที่ก่อนจะยื่นน้ำมาให้ผม

“มึงเข้าใจถูกแล้วที นี่ผัวกูเอง” จีนไม่พูดเปล่า มันยกมือผมขึ้นให้โอบรอบไหล่มันเอาไว้แน่น

ให้ตายเถอะจีน นี่มึงเป็นผู้หญิงนะ ทำอะไรไม่คิดเลยว่าคนนอกจะมองมายังไง

“ได้มึงเป็นเมียปวดหัวตาย” เซียนพูดพร้อมกับเอามือผลักหัวไอ้จีนให้ออกห่างจากผมอย่างแรง

“สัดเซียน เบาๆไอ้จีนมันผู้หญิง!” ผมตะคอกใส่มันเสียงดังอย่างลืมตัว ก็ลืมไปว่ามันเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่มัธยมไอ้จีนคงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้

“ห่วงคนนั้นคนนี้ไปทั่วเลยนะ” เซียนพูดแดกดันออกมาอีกครั้ง เอาจริงๆมันจะไม่ได้เป็นคำพูดที่ต้องเก็บเอามาคิดมากอะไรเลย ถ้าสถานการณ์ไม่ได้เป็นอยู่อย่างตอนนี้

“กูห่วงทุกคนแหละ” ผมตอบกลับพร้อมกับจ้องเข้าไปในตาของมันอย่างต้องการจะสื่อความหมาย

“.....” เป็นไปอย่างที่คิด มันหลบสายตาผมแทบจะทันที ก่อนจะหันไปแกล้งไอ้ทีต่อ

Rrrr

“วา โทรศัพท์มึงปะ?” จีนสะกิดเรียกเมื่อเห็นว่าธันวายังคงเหม่อและไม่ได้รับรู้ถึงการสั่นของมือถือตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“เออ เดี๋ยวกูมา” ธันวาคว้ามือถือของตัวเองก่อนจะเดินเลี่ยงออกมาจากตรงนั้น เพื่อหาที่ที่สงบในการรับสายที่กำลังสั่นอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดในมือของเขาตอนนี้

-พ่อ-

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ให้กับชื่อที่กำลังปรากฏอยู่บนหน้าจอมือถือตอนนี้

นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่เราไม่ได้คุยกันตามที่ควรจะเป็น ปกติหากมีปัญหาอะไรผมจะติดต่อกับแม่และยายเท่านั้นถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะหย่าขาดและแยกกันอยู่มาหลายปีแล้ว แต่ผมก็ยังติดต่อกับแม่เสมอ  เบอร์โทรของพ่อไม่อยู่ในลิสต์ที่ผมจะกดโทรออกเลยแม้สักครั้ง

“ครับ” แต่ในท้ายที่สุด ผมก็ต้องยอมที่จะกดเพื่อรับสายนั้น เพราะคิดว่าหากไม่มีเรื่องสำคัญจริงๆเขาก็คงไม่โทรมาหาผมด้วยตัวเองแบบนี้

(นึกว่าจะไม่รับสายฉันซะอีก) เป็นไปตามที่คิดไว้ไม่มีผิด น้ำเสียงที่ฟังดูห่างเหินและเย็นชานั้นเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของคนๆนี้เสมอ ในบ้านที่มีแค่ผมกับเขามันไม่มีกลิ่นอายของคำว่าครอบครัวอยู่เลย และมันเป็นแบบนั้นมานานมากๆตั้งแต่แม่ย้ายออกไป
แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องเก็บผมไว้ ทำไมไม่ปล่อยให้ผมไปอยู่กับแม่ ผมจะได้ไม่ต้องขวางหูขวางตาเขาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

“มีอะไร?”

(พูดกับฉันดีๆหน่อย เงินที่แกใช้เรียน ที่แกผลาญอยู่ก็เงินของฉันทั้งนั้น)

“คิดว่าอยากใช้นักรึไง?! ไม่อยากให้ใช้ก็ไม่ต้องส่งมา หาเองได้!” สติของผมขาดผึง ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะพูดดีๆกับผม ผมอุตส่าห์หลงคิดว่าที่เขาโทรมาจะมีเรื่องอะไรสำคัญ แต่ผมคิดผิด ชีวิตของเขาคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการดูถูกและเหยียดหยามผมอีกแล้ว

(.....) ปลายสายเงียบไป แต่ผมก็ยังแอบได้ยินเสียงหายใจอยู่เบาๆ

“.....”

(ฉันจะโทรมาคุยเรื่องฝึกงาน)

“ผมไม่ทำ” ผมปฏิเสธไปอย่างทันที โดยไม่ต้องใช้ความคิดใดๆในการกลั่นกรอง การที่ผมเลือกเรียนสายนี้ แทนที่จะเรียนบริหารตามที่เขาต้องการก็น่าจะเป็นการยืนยันที่ชัดเจนแล้วว่าผมไม่อยากเข้าไปยุ่งกับธุรกิจที่เขามี ผมอยากมีชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่มีชีวิตตามแบบที่ใครกำหนดทางเอาไว้ให้เดิน

(ฉันจะให้แกไปฝึกงานที่แผนกซ่อมบำรุงตามที่แกเรียนมา  ฉันจัดการทุกอย่างไว้หมดแล้ว แกไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ)

“ก็ในเมื่อผมไม่ไป คุณจะทำอะไรได้”

(ยังไงแกก็ต้องกลับบ้านอยู่ดี อีกไม่ถึงอาทิตย์ก็จะปิดเทอมอยู่แล้ว แกจะไปไหนได้)

“ไปไหนก็ได้ที่ไม่มีคุณ” ผมพูดไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆก่อนจะกดวางสายทันที โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะพอใจหรือไม่

ตึ่ง!

พ่อ : อีก 5 วัน ลูกน้องฉันจะไปประชุมที่กรุงเทพ ฉันจะให้เขาไปรับแกกลับบ้าน

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะกดลบข้อความนั้นและไม่ลืมที่จะกดปิดเสียงเพื่อตัดรำคาญ หากเขายังคงไม่เลิก
ตื๊อให้ผมทำในสิ่งที่เขาอยากให้ทำเสียที  แล้วยัดโทรศัพท์ของตัวเองลงในกระเป๋ากางเกงไปทันที

ผมไม่มีอารมณ์จะทำอะไรทั้งนั้นในตอนนี้

ไปอ่านหนังสือที่หอสมุด? เลิกคิดไปได้เลย

เข้าเรียน? เข้าไปก็คงเรียนไม่เข้าหัวอยู่ดี

กลับห้อง? เดี๋ยวเพื่อนก็ตามไปเจออีก ตอนนี้ผมยังไม่ต้องการใครทั้งนั้น อยากอยู่คนเดียวสักพักให้ได้ใช้เวลาพักสมองและคิดทบทวนกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก่อน

และคิดว่าที่ที่เหมาะที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นที่ประจำที่ผมชอบไปนั่งพักเวลามีเรื่องไม่สบายใจเสมอ      “สระมรกต”


....


“อยู่นี่นี่เอง” เสียงพูดแผ่วเบาที่ดังขึ้นตัดกับความเงียบของรอบบริเวณนี้ ทำให้ผมค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะกระพริบตาถี่ๆเพื่อปรับสายตาให้รับกับแสงแดดยามบ่ายอ่อนๆของวันนี้

“.....” ผมไม่พูดอะไรเพียงแต่ยันตัวขึ้นนั่ง ก่อนจะเอามือกอดเข่าไว้หลวมๆ

“มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า?” เขาถามขึ้นเบาๆก่อนจะค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งห่างจากผมไปไม่มากนัก แต่ก็ไม่ใกล้เกินไปจนทำให้ผมต้องอึดอัด

“เปล่า” ผมโกหกออกไปคำโต รู้ว่าพูดไปยังไงคนฟังก็ต้องดูออกว่าผมอยู่ในอารมณ์แบบไหนตอนนี้

“อืม ถ้ามึงพูดแบบนั้นกูก็ไม่อยากเซ้าซี้ แต่อยากให้รู้ว่ากูเป็นห่วง...มาก” ผมหันไปสบตาทันทีที่สิ้นเสียงประโยคนั้น
มันไม่พูดอะไรต่อ ทำเพียงแค่ส่งยิ้มบางๆมาให้ผม เป็นรอยยิ้มที่สามารถทำให้ใจผมที่กำลังห่อเหี่ยวสามารถกลับมาสดชื่นขึ้นได้อีกครั้ง

“เซียน เมื่อตอนกลางวันมึงโกรธกูรึเปล่า?” ผมเปลี่ยนประเด็นไปถามเรื่องของเราแทน

“โกรธดิ แต่หายละ” เซียนตอบกลับก่อนจะขยับเข้ามาชิดกับผมมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าผมเริ่มอารมณ์คงที่ขึ้นจากในตอนแรก

“ทำไมหายง่ายจัง ยังไม่ได้ง้อเลย” ผมทำหน้าแปลกใจกับคำพูดของมัน ทำไมโกรธง่าย หายเองแบบนี้ล่ะเนี่ย 555

“ก็เคยบอกแล้ว”

“หืม?”

“เวลามันน้อย ถ้ามัวแต่โกรธกันก็เสียเวลาแย่ดิ” มันตอบกลับมา ทำเอาผมถึงกับไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว

“สัส...”

“อ้าว มีคนเขินว่ะ หน้าแดงเลย ฮ่าๆๆๆ” มันพูดล้อพร้อมกับเอามือวางไว้บนหัวผมแล้วโยกไปมาอย่างเบามือ

“กูไม่ได้เขิน! กูร้อน!” อ่ะเนี่ย แล้วแม่งชอบล้อคนอื่น นิสัยเหี้ยสุดคนเรา

“ครับๆ เชื่อแล้วครับ” เซียนยกมือขึ้นมาแบไว้ระดับอกอย่างยอมแพ้ ก่อนจะดึงหัวผมเข้าไปกอดไว้หลวมๆ

“มึงทำกูนิสัยเสียไอ้สัส”  ผมพูดออกมาเบาๆ แต่ก็ยังยอมให้มันกอดเอาไว้แบบนั้น ไม่ได้ขืนตัวออก 

“กูอยากทำให้มึงนิสัยเสียไปนานๆ......ได้มั้ย?” ปลายเสียงของเซียนแฝงไปด้วยความไม่มั่นใจอย่างฟังได้ชัด

“.....” ผมเลือกที่จะเงียบ เพื่อเลี่ยงที่จะตอบคำถามนั้น นี่แค่วันที่สองของการทดลองความรู้สึกของเราทั้งสองคนมันก็เลยเถิดไป
ถึงขนาดนี้แล้ว อีกห้าวันที่เหลือล่ะ มันจะไปถึงขั้นไหน

“ยังไม่ต้องตอบก็ได้ ไว้ครบ 7 วัน แล้วค่อยมาบอกคำตอบกันก็ได้”

“อือ” ผมขานรับในลำคอ ก่อนจะดันตัวออกจากอ้อมแขนของเซียนเพื่อจะบิดตัวไล่ความเมื่อยล้า

“กลับหอมั้ย? เดี๋ยวไปส่ง”

“เดี๋ยวกูกลับเอง มึงมีทำโปรเจควิชาสแตติกไม่ใช่เหรอ?” วิชานี้อาจารย์จับกลุ่มให้ครับ  เราเลยต้องแยกกันอยู่ทั้ง 4 คน แต่กลุ่ม
ของผมเสร็จไปแล้วเพราะมีเพื่อในกลุ่มที่กังวลว่าจะมาวุ่นวายตอนช่วงสอบเลยเลือกที่จะรีบทำให้เสร็จตั้งแต่อาทิตย์แรกๆที่สั่ง
งาน

“ไปส่งมึงแปปเดียวเอง ไปเหอะ”

อีกแล้วนะเซียน  มึงจะทำให้กูนิสัยเสีย ไม่ชอบกลับหอคนเดียวไปแล้วนะ


.......


Day 3

“มึง ทำได้ปะ?” ทีถามออกมาเสียงอ่อยๆ ก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ท่าเดิมเหมือนกับทุกครั้งที่สอบเสร็จและจะเป็นแบบนี้กับทุกวิชา

“ทำไม? ทำไม่ได้อีกแล้วเหรอ?” แต่วิชานี้ก็ยากจริงๆ ผมว่าผมก็อ่านมาเยอะแล้วนะ แต่พอเจอข้อสอบเข้าไปก็แอบเงิบเหมือนกัน มันพลิกแพลงทแยงตีลังกามากเว่อ นี่อาจารย์กะออกมาให้ใครทำ? โทนี่ สตาร์กเหรอ?

“เออดิ กูเอฟแน่เพื่อ กูเอฟแน่ๆ” ผมส่ายหัวไปมากับท่าทางของที มันก็บ่นแบนี้ทุกครั้งแต่สุดท้ายมันก็ผ่านมาได้ตลอด (แบบเฉียดฉิว555)

“ไอ้สองคนนั้นจะสอบเสร็จกันยังวะ” ผมถามออกไปพร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู นี่ก็หมดเวลาสอบมาเกือบสิบนาทีแล้ว น่าจะสอบเสร็จกันแล้วเหมือนกัน ผมกับทีเลขที่ห่างกันไม่มากเลยได้สอบห้องเดียวกัน ส่วนเซียนกับจีนโดนดีดไปสอบอีกตึกเลย เพราะมันสองคนเลขที่เกือบสุดท้ายของสาขา

“ไม่รู้ กูไม่มีแรงทำอะไรทั้งนั้น”

“เห้อออ” ผมผลักหัวทีเบาๆก่อนจะล้วงโทรศัพท์ออกมาเปิดเครื่องเพื่อจะโทรออกไปหาสองคนนั้น

Rrrr

แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้กดเบอร์โทรออก ก็มีสายเรียกเข้ามาซะก่อน

- S. –

“อยู่ไหน?” ผมกดรับก่อนจะรีบเอ่ยปากถามไปทันที

(อยู่ใต้ CB2 ครับผม สอบเป็นไงบ้าง?) ปลายสายตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี อย่างว่าแหละวิชานี้เป็นวิชาถนัดมัน ตอนมิดเทอมมันก็ติวให้พวกผมจนผ่านมีนมาแล้วครั้งนึง

“พอได้อยู่” ผมอ่านค่อนข้างหนักครับครั้งนี้ เพราะกลัวเกรดจะไม่ถึงตามที่ตั้งเอาไว้ ยิ่งปีโตๆไปวิชาเรียนยิ่งยากขึ้นด้วย ทางที่ดี
รีบเก็บเกรดตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า ไม่ต้องไปเครียดเอาตอนปีท้ายๆ

(อ่า ดีแล้ว)

“ละนั่นจะไปไหนต่อ?”

(กลับหอไปอ่านหนังสือ ไปด้วยกันมั้ย?)

“คุยกับใครอ่ะ?” ทีที่นอนฟุบอยู่นานเงยหน้าขึ้นมาถามผมด้วยความสงสัย

“ไอ้เซียน” ผมตอบมันกลับไป มันพยักหน้ารับก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะตามเดิม

(ว่าไง? อ่านด้วยกันมั้ย?)

“แล้วไอ้จีน กับทีอ่ะ?” ปกติพวกผมจะไม่ค่อยอ่านหนังสือด้วยกันวันก่อนสอบเท่าไหร่นัก เพราะคิดว่าคืนก่อนสอบเราควรจะอยู่กับตัวเองทบทวนสิ่งที่รู้ ไม่ใช่เวลาที่จะมาติวหรือพยายามทำความเข้าใจเนื้อหาใหม่แล้ว

(ถามดู? ไอ้จีนบอกจะไปติวให้ทีที่หออ่ะ เพราะทีมันยังไม่ค่อยได้)

“อ๋อ เออๆ แปปนะ.... ที จีนจะมาติวให้มึงที่ห้อง เคนะ”

“ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งจีนมาให้กู” ทีตะโกนออกมาเสียงดังพร้อมกับทำหน้าเหมือนเพิ่งรอดพ้นจากความตายมาได้หมาดๆ

“ทีมันโอเคนะ” ผมรีบบอกคำตอบของทีกลับไปให้เซียนรู้ทันที

(แล้วมึงอ่ะ?) มันถามกลับแทบจะทันทีเช่นเดียวกัน

“ที กูไปอ่านกะเซียนนะ” ผมเอามือป้องโทรศัพท์ไว้ ก่อนจะกระซิบบอกทีให้รู้

“เอออ ไปเลย มึงอยู่ละไอ้จีนแม่งจะชวนมึงคุย ไม่ได้สอนกูอีก” ทีบ่นออกมาอย่างเหวี่ยงๆก่อนจะฟุบหน้าลงกับไหล่ของผมอย่าง
หมดแรง น่าสงสารจริงเพื่อนกู

“เค...เซียนมารับกูที่ห้องด้วย เดี๋ยวขอกลับไปเก็บของก่อน”

(เย้! จะจัดห้องรอนะครับ/ให้มันน้อยๆหน่อยสัส กูรำคาญ!) เสียงของจีนแทรกเข้ามาให้ได้ยินจากปลายสาย

“บอกจีนเงียบๆดิ” ผมว่ามันอย่างขำๆ ตอนนี้ผมคิดว่าจีนคงรู้เรื่องทุกอย่างแล้วเพราะจีนกับเซียนสนิทกันมาก ในเมื่อจีนเค้าเอาความจริงจากปากผมไม่ได้ มันก็คงไปถามเอาจากเซียนแทน

(เอาชุดนักศึกษามาด้วยเลย เผื่อดึกจะได้ค้าง/ไอ้เหี้ยเซียน มึงมันคิดไม่ซื่อ)

“เรียกมันมาคุยด้วยเลยมา ฮ่าๆๆ” จีนคงกำลังหัวเสียกับสิ่งที่ผมกับเซียนกำลังทำอยู่พอสมควร แต่ทำไงได้มันเริ่มต้นไปแล้ว ตอนนี้ก็รอดูเพียงแค่ว่ามันจะไปจบตรงไหนแค่นั้นเอง

(เออๆแค่นี้ก่อนนะอย่าลืมเก็บของ เดี๋ยวไปรับที่ห้อง)

“อืม” ผมตอบรับกลับไป ก่อนจะกดวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงตามเดิม


......


ธันวาสะพายกระเป๋าใบโตที่เต็มไปด้วยหนังสือไว้บนหลัง ในมือข้างซ้ายถือชุดนักศึกษาเรียบกริบที่อยู่ในไม้แขวนอย่างดี เขาหยุดยืนหน้าหอก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วลานจอดรถ เพื่อหารถซีวิคสีดำของเซียน

“ทางนี้โว้ย ตาบอดรึไงวะ” ผมหันไปทางต้นเสียงก่อนจะเจอเข้ากับจีนที่ยืนพิงรถอยู่และกำลังจ้องมาที่ผมอย่างหมั่นไส้

“สัส!” ผมตะโกนด่ามันตอบก่อนจะรีบสาวเท้าไปที่รถทันที

“เอากระเป๋ามา” เซียนเปิดประตูลงมาจากรถก่อนจะยื่นมือมารอรับกระเป๋าไปจากผม

“อ่ะ” ผมปลดกระเป๋าออกจากหลังก่อนจะยื่นไปให้เซียน โดยที่มีสายตาที่แสดงออกถึงความรำคาญอย่างไม่ปิดบังของจีนคอยจ้องอยู่ตลอด

“โหย หนักอ่ะ เอาอะไรไปเยอะเนี่ย?”

“ก็หนังสือ ข้อสอบ แล้วก็ชีท” เซียนส่ายหัวเบาๆให้กับความบ้าหอบฟางของผมก่อนจะเปิดประตูรถแล้ววางกระเป๋าเอาไว้ตรงเบาะหลังด้วยความเบามือ

“อ่ะ หวานกันไป เห็นหัวกูบ้างมั้ย?” จีนที่เงียบมานานพูดขึ้นพร้อมกับเดินมาขวางตรงกลางระหว่างผมกับเซียน

“หลบไป” เซียนเอามือดันหัวจีนออกไปให้พ้นทาง

“เดี๋ยวเหอะพวกมึง ทำอะไรไม่เคยจะปรึกษาเพื่อน” จีนยกมือขึ้นมากอดอกพร้อมกับพูดออกมาอย่างเอาเรื่อง

“....” ผมไม่พูดอะไรกลับไป เพราะก็ไม่มีอะไรจะเถียง ที่มันพูดก็ถูกเราตกลงกันเองโดยไม่ปรึกษาใคร ไม่คิดให้รอบคอบก่อน แล้วที่สำคัญเราประเมินผลที่ตามมาน้อยเกินไป

“พอแล้วจีน ว่ากูคนเดียวพอ อย่าไปว่าไอ้วา” ผมเหลือบไปมองเสี้ยวหน้าของเซียนขณะที่กำลังพูด มันทำให้ผมอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก นานเท่าไหร่แล้วที่มีคนมาใส่ใจและปกป้องผมแบบนี้ แม้แต่พ่อแท้ๆของผมเอง

จะว่าไป ก็มีอยู่คนหนึ่ง แต่มันนานมากๆแล้ว และผมก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหน และเป็นอย่างไรบ้าง....

“เออ กูพูดเพราะเป็นห่วง กูว่าตอนนี้มึงคงรู้ใจตัวเองกันทั้งคู่แล้วนะ มันอาจจะดูเร็วไปแต่กูขอแนะนำว่าพวกมึงไม่ควรหลอกตัวเองแล้ว ไอ้วา มึงไม่ได้ชอบไอ้ที มึงแค่เห็นว่ามันน่ารัก มึงเลยอยากดูแลเหมือนกับที่เราทุกๆคนทำเป็นปกติอยู่แล้ว และที่มึงใจเต้นกับมันก็ไม่แปลกเพราะบางทีกูก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน” จีนพูดออกมายาวเหยียดก่อนจะนิ่งไป พร้อมกับจ้องหน้าผมและเซียนสลับกันไปมา

“...”

“...” ผมกับเซียนยังคงเลือกที่จะเงียบทั้งคู่

“ละกูดูออก ว่าพวกมึงรู้สึกแบบไหนต่อกัน กูเป็นคนนอกกูเห็นมานาน พวกมึงอาจจะไม่รู้ตัวเองกันเพราะด้วยความเคยชินหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้มึงคิดว่าสิ่งที่มึงทำให้กัน คอยห่วงกัน คอยช่วยเหลือกัน มันเป็นสิ่งที่เพื่อนเขาทำกันปกติ แต่จริงๆแล้วมัน
ไม่ใช่” ผมคิดตามคำพูดของจีนทุกคำอย่างละเอียด เป็นเหมือนที่มันพูดจริงๆ เราคอยดูแลช่วยเหลือกันมานานจนคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่เราไม่ได้รู้เลยว่าความรู้สึกในใจมันค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างช้าๆจนตอนนี้มันได้เปลี่ยนไปจากตอนเริ่มต้นมากแล้ว

“เออหน่า พอแล้วจีน มึงไปติวไอ้ทีเหอะ กูจะพาวากลับห้อง” เซียนที่เงียบอยู่นาน พูดขัดขึ้นมาก่อนจะเปิดประตูรถแล้วดันผมให้
เข้าไปนั่งที่เบาะหน้าข้างคนขับอย่างทุลักทุเล

“เชี่ยเซียนอย่าดัน เดี๋ยวกูนั่งเอง ฝากดูไอ้ทีด้วยนะมึง” ผมหันไปถลึงตาใส่เซียนก่อนจะเข้าไปนั่งในรถแล้วไม่ลืมที่จะฝากให้จีนดูแลทีแทนด้วย

“รู้แล้ว รีบไปพวกมึงอ่ะ ขับรถระวังด้วย” จีนสั่งรัวพร้อมกับยกขาขึ้นเตะไอ้เซียนเป็นการส่งท้ายไปหนึ่งที แต่เซียนก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไปมากมาย ทำเพียงผลักหัวจีนเบาๆแล้วเปิดประตูขึ้นรถมา

“เป็นไง เงียบเลยโดนจีนสวด”

“เออดิ” ผมคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะเอาโทรศัพท์ของเซียนมากดเลือกเพลงที่จะฟังเพราะมันซิ้งค์มือถือเข้ากับรถเรียบร้อยแล้ว

“ค้นโทรศัพท์เฉย” เซียนพูดขึ้นมาลอยๆโดยที่ตายังคงจับจ้องไปที่ถนนเบื้องหน้าอยู่ตลอด

“กูจะฟังเพลงเหอะ” ผมกระแทกไหล่มันไปเบาๆพร้อมกับปฏิเสธออกมาเสียงแข็ง

“ค้นก็ได้ครับ ไม่ว่าอะไร”

“ใครจะไปอยากค้นโทรศัพท์มึง หลงตัวเอง” ผมกดเลือกเพลงเสร็จก็รีบวางมือถือมันลงที่เดิม ขี้เกียจจะเถียงกับมันให้เหนื่อยปาก
แล้ว

“กูอ่ะหลงตัวเองอยู่แล้ว แต่ไม่รู้จะมีใครมาหลงกูรึเปล่า”

“เหอะๆ”


***มีต่อด้านล่างค่ะ***


ออฟไลน์ katiezz

  • เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
***ต่อจากด้านบน***


Day 4

“วา ตื่นได้แล้ว” เสียงกระซิบเบาๆข้างหู พร้อมกับแรงกอดรัดรอบเอวที่เพิ่มน้ำหนักมากขึ้นทำให้ธันวาขยับตัวเล็กน้อยเพื่อหลีกหนีการสัมผัสนั้น

“อื้อออ”  ร่างขาวเปล่งเสียงหวานปนงัวเงียออกมาอย่างเอาแต่ใจ  ทำเอาคนที่กำลังกอดอยู่ถึงกับกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ไม่ได้เลยที
เดียว

“ไม่ตื่นจะจูบละนะครับเพื่อน”  สิ้นเสียงของเซียน  วาเด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างอัตโนมัติ ไม่ต้องให้พูดซ้ำใดๆทั้งสิ้น

“สัส! ตื่นแล้ว มึงอ่ะมากไปละ ถอยๆๆๆๆๆ” ผมเอามือดันหน้าไอ้เซียนที่เข้ามาใกล้จนผมสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากลมหายใจของมัน  สถานการณ์แบบนี้ไม่ดีต่อผมสักเท่าไหร่นัก

“กว่าจะยอมตื่น” เซียนยันตัวขึ้นนั่งตามก่อนจะยัดผ้าเช็ดตัวมาใส่มือของผม

“ก็ตื่นแล้วนี่ไง  กี่โมงเองวะ  รีบปลุกจัง  เพิ่งนอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมงเอง” ผมเอาผ้าเช็ดตัวขึ้นมาคลุมหัวเอาไว้ก่อนจะแอบก้มหน้า
หลับต่อ กว่าผมจะได้นอนก็ปาไปตีห้ากว่าๆแล้ว เพราะดันลืมอ่านไปบทนึง ตอนแรกกะว่าจะมาทำข้อสอบเก่าทบทวนเฉยๆ กลาย
เป็นต้องมานั่งทำความเข้าใจใหม่บทนึงเต็มๆ

“สิบโมงละเหอะ เดี๋ยวเที่ยงครึ่งต้องออกไปมอแล้ว สอบบ่ายโมงนี่วันนี้”

“ครับๆๆๆๆๆๆๆ  บ่นเป็นคนแก่เลยมึง”  ผมรีบเอาผ้าเช็ดตัวฟาดหัวมันไปหนึ่งที ก่อนจะชิงวิ่งหนีเข้าห้องน้ำก่อนที่คนถูกกระทำจะมาเอาคืน

....

“เลิกอ่านได้ละวา มึงอ่านมาตั้งแต่เมื่อคืนละนะ”  เซียนดึงช๊อตโน้ตไปจากมือของผมในขณะที่ผมกำลังพยายามท่องในสิ่งที่คิดว่าจะออกสอบอย่างเอาเอาตาย

“เซียน เอาคืนมาเลย  กูไม่ได้เก่งแบบมึง!!” ผมพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าช๊อตโน๊ตที่อยู่ในมือคนตรงหน้ากลับมา

“เดี๋ยวกูต่อยเลย  เก่งเหี้ยไรล่ะครับ เกรดเราก็ได้เท่ากัน  ทำเป็นพูดไป”

“มึงกล้าต่อยกูเหรอออ??” ผมยักคิ้วอย่างกวนๆพร้อมกับส่งสีหน้าท้าทายไปให้มัน

“ทำไมจะไม่กล้าล่ะครับคุณแฟน” มันจ้องตาผมกลับพร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างเหนือกว่า แล้วค่อยๆเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้จนผมต้องเป็นฝ่ายถอยเสียเอง

“สัส ใกล้ไปๆ ถอย!” ผมรีบยกมือขึ้นมายันหน้าผากมันเอาไว้ เผลอไม่ได้เลยจริงๆ ฉวยโอกาสเก่งไอ้สัส  กูผู้ชายนะเว้ย จะมาหื่นใส่อะไรนักหนา

“หึๆ ก็นึกว่าจะแน่” ผมจิ้มหน้าผากผมกลับมาจนผมหน้าหงาย ก่อนจะทิ้งตัวลงพิงพนักเก้าอี้แล้วกอดอกมองมาที่ผมด้วยสายตาคุกคามไม่เปลี่ยนแปลง

“ถามจริงเซียน  มึงเคยมีแฟนมาก่อนปะ?”

“ถามแปลกๆ  เคยดิวะ” คิ้วผมกระตุกโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้ยินคำตอบของมัน ไม่เข้าใจว่าทำไมเหมือนกัน  แต่เอาจริงๆก็เป็นคำตอบที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่ก็อยากจะถามให้รู้เพราะตั้งแต่เข้ามหาลัยมายังไม่เคยเห็นมันมีแฟนเลยสักคน

“กี่คน?” ผมถามกลับไปอย่างต่อเนื่อง

“นี่คืออะไร จู่ๆก็อยากซักประวัติกูขึ้นมางี้” เซียนยื่นมืออกมาหวังจะจับหัวผมแต่ไม่มีทางซะหรอก ผมรีบมุดหัวหนีมันทันที ถ้ายังไม่ตอบคำถามกู ก็ไม่ต้องเจ๊าะแจ๊ะ

“ตอบมา”

“ครับๆ ยอมแล้วๆ มีมา 6 คน” มันแบมือแล้วยกขึ้นมาแนบไว้ข้างตัวอย่างยอมแพ้ ก่อนจะตอบคำถามของผมกลับมา

“6 คน!!! เยอะไปปะ?” ผมนี่ดูเด็กอนุบาลไปเลย ถ้าเอาไปเทียบกับมัน

“หึงอ่อ?”

“เปล่า! จะหึงทำเหี้ยไร?!” ผมตะคอกกลับก่อจะอาศัยช่วงที่มันกำลังอึ้งๆ แย่งช็อตโน้ตในมือมันกลับมา

“ฮ่าๆๆๆๆ น่ารักจัง ขอจุ๊บทีนึง”

“จุ๊บพ่อมึงนู่น!” ผมเอามือดันปากมันไว้ก่อนจะผลักให้หลังมันชิดพนักพิงเหมือนเดิม

“เล่นพ่อๆ ไม่น่ารักเลย”

“ถามจริงเซียน  ปกติกับแฟนคนเก่าๆมึงนี่เขาไม่เปลืองตัวแย่เหรอวะ มึงหื่นซะขนาดนี้” ผมถามในสิ่งที่ตัวเองสงสัยออกไป  แฟนมันนี่ต้องเป็นเครื่องบำบัดอาการหื่นของมันตลอดเวลาคงจะช้ำตาย

“ก็ไม่แปลกปะ  ทำกับแฟนไม่ได้ไปทำกับคนอื่นซะหน่อย”  อ่ะหน้าด้านกว่ามึงคือไม่มีแล้วบนโลกนี้

“แล้วปกติ  มึงมีอะไรกับแฟนมึงทุกคนเลยปะ?”  ถึงจะกระดากปากที่ถามไปแต่ก็ช่วยไม่ได้ความอยากรู้มันมากกว่าความอายเยอะนาทีนี้

“อืม” มันพยักหน้าตอบทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด  โอ้โหนี่มันเสือผู้หญิงชัดๆ ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ย เห็นปกติมันเงียบๆนิ่งๆของมันไปวันๆ

“คบกันนานปะกว่าเขาจะยอมมึงอ่ะ?”  ผมก็เคยมีแฟนนะแต่เคยมีอะไรกันแค่ครั้งเดียว  แล้วตอนนั้นก็คือคบมาปีกว่าแล้วถึงจะกล้าขอเขา

“รู้ไว้แค่ว่ามึงอ่ะนานสุดละ” มันพูดทิ้งท้ายไว้พร้อมกับรอยยิ้มชวนสยอง ก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปทันที

ผมนานสุด?  บ้าไปแล้วผมคบกับมันมาแค่ 4 วัน  นี่โลกมันไปเร็วขนาดนี้แล้วเหรอวะ?!!  เจอหน้า ถูกใจ ก็ป่ามป่ามกันเลย  เหอะๆ

“เก็บของเลยวา  กูอาบน้ำเสร็จแล้วไปหาอะไรกินกันก่อนเข้ามอ”  เสียงตะโกนดังมาจากในห้องน้ำขัดจังหวะความคิดของผมที่กำลังเตลิดไปไกลกับคำทิ้งท้ายของมันเมื่อสักครู่

“รู้แล้ว!” ผมตะโกนกลับไปก่อนจะลงมือเก็บของเพื่อเอาไปสอบรวมถึงของที่จะต้องเอากลับไปห้องเย็นวันนี้หลังสอบเสร็จด้วยจะได้ ไม่ต้องวนรถมาเอาของที่ห้องมันก่อนกลับห้องตัวเองให้เสียเวลาอีก

.....

“อยากกินข้าวแล้วทำไมสั่งก๋วยเตี๋ยวล่ะครับ??”  มันต้องได้ทะเลาะกันทุกช่วงเวลาสินะ 

“กูขอชิมเฉยๆ” ผมพูดพร้อมกับพยายามจะขโมยกินข้าวคะน้าหมูกรอบในจานมันที่วันนี้ดูน่ากินมากเป็นพิเศษขึ้นมาทันทีที่ผมไม่ได้สั่ง

“หึ นิสัยมึงนี่เด็กชิบหาย” มันเลื่อนจานข้าวเข้ามาให้ใกล้ผมมากขึ้นเพื่อให้ตักได้ง่ายๆ  ผมยิ้มกว้างทันที ของกินนี่เยียวยาได้ทุกอย่างครับ และใครที่ยอมแบ่งของกินให้ผมนี่ผมรักตายอ่ะ

“ใจดีจังเลยครับพี่เซียนนนน”

“ใจดีแล้วจะได้อะไรเป็นรางวัลรึเปล่านะ?” เซียนวางช้อนส้อมในมือลง ก่อนจะยกแขนขึ้นมาเท้าค้างเอาไว้บนโต๊ะแล้วจ้องมาที่
ผมที่กำลัง เอ่อ...น่าจะเหมาะกับคำว่า สวาปามอย่างมูมมาม ฮ่าๆๆ

“ละอยากได้ไรอ่ะ?” ผมถามกลับไปโดยที่ไม่ได้ละสายตาจากจานข้าวแม้แต่วินาทีเดียว (นี่ดูเป็นคนตะกละปะ?  เอาจริง)

“อยากได้มึงอ่ะ”

“แค่กๆๆ!! พูดเหี้ยไรเนี่ยสัส?!” น้ำซุปที่กำลังจะลงคอไปย้อนกลับขึ้นมาทันทีที่สิ้นเสียงของเซียน

“ฮ่าๆๆ อ่ะนี่น้ำ” มันยังมีหน้ามาหัวเราะอีก ผมรีบรับน้ำมาดับอาการแสบร้อนในคอตอนนี้  น้ำหูน้ำตามาครบมาก

“ยังจะ แค่ก! หัวเราะอีก” ผมปาทิชชู่ที่เพิ่งเช็ดน้ำตาไปใส่มันเพื่อระบายความโกรธ

“ก็เผื่อฟลุ๊คได้ไง”

“ไม่มีทาง! นอกจากมึงจะปล้ำกูซึ่งกูก็จะฆ่ามึงกลับเช่นกันครับเซียนครับ”  ผมยกส้อมขึ้นมาชี้หน้ามันเอาไว้ ให้มันรู้ว่าผมไม่มีทาง
ยอมมันแน่นอน

“กลัวแล้วครับ กินเสร็จยัง? กูจะจ่ายตังค์แล้วนะ” มันส่ายหัวเบาๆพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างไม่ได้เกรงกลัวคำขู่ของผม ก่อนจะหยิบ
กระเป๋าตังค์ควักเงินออกมาวางบนโต๊ะ

“เห้ย เดี๋ยวกูจ่ายเอง” ผมรีบควักตังค์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อนักศึกษาทันทีที่เห็นว่ามันจะจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวให้ผมด้วย

“ไว้เลี้ยงไอติมกูพรุ่งนี้ละกัน  พรุ่งนี้เราไม่มีสอบเดี๋ยวกลางวันไปรับที่หอ” มันรีบดันมือผมที่กำเงินเอาไว้กลับก่อนจะยิ้มกว้างออก
มา

“ก็ได้”

“ยอมง่ายแบบนี้ทุกเรื่องก็ดีสิ” ไม่พูดเปล่า มันยังยักคิ้วขยิบตามาให้ผมอีก โอ้ยเหนื่อยจะปวดหัวกับมันแล้วนะ

“ในหัวมึงมีเรื่องสอบปะตอนนี้ ถามจริงๆ?” ผมทำหน้าเอือมระอาใส่มันก่อนจะลุกขึ้น แล้วเดินไปที่รถนำหน้ามันไปทันที

“ถามจริง  ก็ตอบจริงๆ ว่า...ไม่มี ฮ่าๆๆ” ผมไม่หันกลับไปมองมัน  ยังคงมุ่งหน้าเดินไปเพื่อให้ถึงรถโดยเร็วที่สุด
ทำไงดี?  ผมว่าผมเสพติดเสียงหัวเราะกับรอยยิ้มของมันไปแล้วสิตอนนี้



Day5

“ทำไมมึงออกไปข้างนอกอีกแล้ว?” ทีเกาะหลังผมเอาไว้ไม่ปล่อย  แต่ตัวมันเบาเป็นนุ่น ผมเลยเดินทำนั่นทำนี่ในห้องต่อไปปล่อยให้มันเกาะแหงกอยู่บนหลังเป็นลูกลิงโดยไม่บ่นอะไรออกมา

“มึงก็อยากรู้ไปทุกเรื่องแหละเปี๊ยก” เสียงจีนที่นั่งเขี่ยโทรศัพท์เล่นอยู่บนโซฟาดังลอยเข้ามาในห้อง ช่วงสอบจีนมาอยู่ห้องผมยาวๆเลยครับ เพราะต้องติวเข้มแล้วก็คุมให้ทีอ่านหนังสือ ไม่งั้นมันชวนผมเล่นจนสุดท้ายไม่มีใครได้อ่านหนังสือเลยสักคน

“ยุ่ง!” ทีตะโกนกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้

“เดี๋ยวมึงจะโดนที จีนมันจะมาตบกบาลมึงให้ไปกวนตีนมันอ่ะ”  ผมเอี้ยวหน้ากลับไปเตือนทีที่ยังเกาะอยู่บนหลังไม่ปล่อย

“ไม่กลัว วาอยู่วาช่วยทีอยู่แล้ว” ทีตอบกลับพร้อมกับซุกหน้าลงกับไหล่ของผม

แต่น่าแปลก ทั้งคำพูดทั้งการกระทำของที ทำไมมันไม่สามารถทำให้ใจผมเต้นแรงได้เหมือนแต่ก่อน?

“อ้อนนักนะมึง  อย่าไปทำแบบนี้กับใครเข้าใจมั้ย?” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวทีเบาๆพร้อมกับยิ้มน้อยๆให้กับท่าทางเด็กๆของมัน

“อะแฮ่ม! น้อยๆหน่อย เดี๋ยวก็ได้มีปัญหาหรอก” เสียงพูดของจีนลอยเข้ามากระทบโสตประสาทของผมอีกครั้ง

“ปัญหาอะไร?” ทีผงกหัวขึ้นมาแล้วหันหน้ากลับไปถามจีนที่อยู่ด้านนอก ด้วยความอยากรู้

“ไม่บอกเว้ย ปล่อยให้อยากรู้” จีนตอบกลับพร้อมกับแลบลิ้นมาให้ทีอย่างกวนๆ

“พอๆ ทีเดี๋ยวกูพาไปนั่งโซฟากับจีน  กูจะจัดห้องหน่อย”  ผมพูดพร้อมกับเดินออกมาจากห้องแล้วไปหย่อนทีให้ลงจากหลังและนั่งลงกับโซฟา ตอนแรกมันก็ไม่ยอมหรอก แต่จีนจี้เอวจนมันจำใจต้องปล่อยมือจากคอของผมและนั่งลงบนโซฟาแต่โดยดี

ผมหันไปทำหน้าดุใส่จีน ให้มันหยุดแกล้งทีแต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรกับมันเลยแม้แต่น้อย ผมเลยต้องยอมให้มันแกล้งทีต่อไปส่วนผมก็เดินกลับเข้าห้องนอนมาเก็บของให้มันเป็นที่เป็นทางมากขึ้น ช่วงก่อนหน้านี้ก็ไม่ค่อยได้เก็บเพราะมีเล่นดนตรีกลางคืน แต่พอมาช่วงมีสอบดนตรีก็ต้องหยุดไปก่อน ส่วนห้องก็รกขึ้นเป็นทวีคุณเพราะผมค้นจนเละเทะเพื่อหาหนังสือและชีทที่
ต้องการจะอ่านสอบ

ตึ่ง!

เสียงเตือนข้อความเข้าโทรศัพท์ของผมดังขึ้น

ผมเผลอยิ้มออกมาเมื่อคิดได้ว่าน่าจะเป็นข้อความของใคร เหอะๆ  คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผมรู้สึกดีกับมันจริงๆ

-พ่อ : อีก 2 วัน ฉันจะให้คนไปรับกลับบ้าน ฉันรู้ว่าแกสอบเสร็จแล้ว กลับมาดีๆ อย่าสร้างปัญหาให้มาก-

รอยยิ้มของผมหายไปแทบจะทันทีที่ผมเห็นแจ้งเตือนปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์  มันไม่ใช่ของคนที่ผมคิดไว้  แต่มันดันเป็นของคนที่ผมไม่อยากเห็นมากที่สุดในตอนนี้  ผมถอนหายใจออกมายาวเหยียดอย่างอ่อนแรงก่อนจะวางโทรศัพท์คว่ำจอลงกับเตียงตามเดิม

ผมเริ่มลงมือเก็บของอย่างเชื่องช้า ในหัวก็พยายามคิดหาวิธีที่ดีที่สุดในการจะเลี่ยงคนของพ่อที่จะมารับในอีก 2 วันข้างหน้า แต่คิดให้ตายอย่างไรก็คิดไม่ออก และคนที่เขาจะส่งมาผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เป็นคนที่ผมเคยรู้จักรึเปล่า? หรือเป็นพนักงานส่วนไหนของเขากันอีก

“เห้ออ!” ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง หลังวนเวียนคิดแต่เรื่องที่จะหลบคนของพ่อจนไม่มีกะจิตกะใจจะจัดห้อง  ผมทิ้งตัวลง
นอนหงายบนเตียงอย่างเหนื่อยใจ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังยืนกอดอกพิงกรอบประตูแล้วจ้องมาที่ผมด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความกังวลอย่างไม่ปกปิด

“อ้าวมึง! มาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ผมเด้งตัวขึ้นนั่งอีกครั้งก่อนจะหันกลับไปถามเซียนที่มายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“มานานแล้ว วากูว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน” เซียนเดินตรงเข้ามาหาผมพร้อมกับดึงข้อมือผมให้เดินตามออกไปด้านนอก

“คุยอะไร?” ผมดึงแขนตัวเองเอาไว้ ทำให้เซียนชะงักหยุดเดินก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง

“ไปคุยบนรถ” มันพูดเสียงเรียบก่อนจะออกแรงดึงผมให้เดินตามออกไปอีกครั้ง

“ไปไหนกันอ่ะ?” จีนเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมามองผมกับเซียนด้วยความสงสัย

เซียนไม่ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงแค่มองหน้าผมและจีนสลับกันไปมา และนั่นยิ่งทำให้จีนสงสัยในท่าทีของเรามากยิ่งขึ้นไปอีก

“ไม่มีไรมึง กูนัดจะไปกินไอติมกัน เอาไรปะ?” ผมหันไปยิ้มพร้อมกับตอบกลับจีนเพื่อทำให้สถานการณ์ตรงหน้าตอนนี้มีความ
อึดอัดน้อยลง ไม่เช่นนั้นจีนคงจะกักตัวเราสองคนไว้จนกว่าจะยอมคุยถึงจะปล่อยตัวเราไปได้

“อ๋อ เออๆ ไปเหอะไอ้ทีเข้าไปนอนละ ถ้ามันตื่นกูค่อยบอก”

“อืมๆ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะใส่รองเท้าและเดินตามหลังเซียนออกไปเงียบๆ

แผ่นหลังกว้างตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกประหม่าไม่น้อยเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้  ผมไม่รู้ว่าเรื่องที่มันต้องการจะคุยกับผมนั้นคือ
อะไร ได้แต่ภาวนาให้มันจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรมากมายอย่างที่ผมกลัว

.....

บรรยากาศภายในรถเงียบมากจนผมนึกกลัว  ตั้งแต่ขึ้นรถมายังไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ ต่างคนต่างแข่งกันเงียบใส่กัน เซียนมันก็เอาแต่ขับรถส่วนผมที่ตอนออกมาไม่ได้หยิบแม้แต่มือถือติดมาด้วยก็ทำได้แค่นั่งกุมมือตัวเองเล่นเพื่อแก้เบื่อไปเรื่อยๆ

เอี๊ยดด!

จู่ๆเซียนก็หักพวงมาลัยและจอดรถลงข้างทางอย่างไม่บอกกล่าว  ทำเอารถที่ขับตามหลังมาบีบแตรไล่กันเสียงดังสนั่นแต่นั่นก็ไม่
ได้ทำให้มันสะทกสะท้านแต่อย่างใด  มันนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาจ้องหน้าผมอย่างจริงจัง

“วา  มึงมีเรื่องปัญหาอะไรอยู่ตอนนี้?” เซียนเปิดฉากถามผมก่อน ทำลายบรรยากาศความเงียบที่เข้าปกคลุมทั่วทั้งรถมาเป็นเวลานาน

“ปัญหาอะไร?”  ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะตอบกลับคำถามมันด้วยคำถามกลับไป

“เรื่องอะไรก็แล้วแต่  ที่ทำให้มึงคิดมากอยู่ตอนนี้”

‘เรื่องพ่อ’  สิ้นเสียงของเซียนเรื่องของพ่อก็ลอยเข้ามาในหัวผมทันที  แล้วทำไมมันต้องมาถามคำถามนี้กับผมด้วย  ผมพาลทำให้
มันไม่สบายใจไปด้วยอย่างนั้นเหรอ?

“มึงจะอยากรู้ไปทำไมอ่ะ?” ผมถามมันกลับไปโดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าประโยคนั้นจะทำให้คนฟังรู้สึกอย่างไร

“วา มึงพูดแบบนี้กูเสียใจนะรู้มั้ย?”  มันตอบกลับผมมาด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่ทำให้คนฟังอยากผมรู้สึกผิดไม่น้อย

“กูไม่ได้หมายความแบบนั้น  แต่กูแค่ไม่อยากให้มึงเอาเรื่องน่าปวดหัวของกูไปคิดแล้วกังวลไปด้วยอีกคน”  ผมพูดอธิบายออกมา
ยาวเหยียดพร้อมกับยื่นมือไปวางซ้อนทับไว้บนมือของมันอย่างแผ่วเบา

“กูคงหยุดกังวลไม่ได้หรอกวา  ถ้ายังเห็นมึงเป็นแบบนี้อยู่  วันนี้กูไปยืนอยู่ที่ประตูห้องมึงเกือบครึ่งชั่วโมง แต่มึงก็เอาแต่เหม่อ
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากูยืนอยู่ตรงนั้น  ท่าทางแบบนั้นของมึงทำให้กูอดเป็นห่วงไม่ได้”  เซียนตอบกลับมาพร้อมกับหงายมือข้างที่ผมวาง
ทับอยู่แล้วจับมือผมเอาไว้แน่น

การกระทำของมันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก  ในเวลาที่เรากำลังมีเรื่องทุกข์ใจที่ไม่อยากบอกให้ใครรู้ แล้วจู่ๆมี
คนคนหนึ่งเข้ามาพยายามทำความเข้าใจปัญหาของเราและพร้อมจะหาทางช่วยคลี่คลายปัญหานั้น  มันทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่
ต้องเผชิญปัญหานี้เพียงลำพังอีกต่อไป ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนี้

“ขอบใจมึงมากนะที่เป็นห่วงกู” ผมพูดพร้อมกับทิ้งตัวลงพิงเบาะอย่างเหนื่อยล้า

“ตกลงมึงมีปัญหาอะไรกันแน่วา?”

“เรื่องพ่อกู....”  ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้มันฟัง รวมถึงเล่าความสัมพันธ์ของผมกับพ่อในตอนนี้ให้มันได้รับรู้ด้วย

เซียนทำเพียงแค่นั่งฟังผมเล่าโดยไม่พูดแทรกหรือแสดงความคิดเห็นใดๆ แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าสีหน้าของผมเริ่มจะไม่โอเค มันก็
จะบีบมือผมเบาๆเหมือนเป็นการเตือนว่าไม่ต้องกลัว มันยังอยู่ข้างๆผมเสมอ

“ถ้ามึงไม่สบายใจที่จะกลับ  มึงก็ไม่ต้องกลับ”  มันพูดเสนอทางออกของปัญหากลับมาด้วยท่าทีสบายๆ

“แล้วกูจะหลบคนที่จะมารับกูยังไงล่ะเซียน  เขารู้ว่ากูอยู่ที่ไหน?”

“มาอยู่ห้องกูก่อน  เขาไม่รู้หรอกใช่มั้ยว่าห้องกูอยู่ที่ไหน”  มันตอบกลับพร้อมกับส่งยิ้มเบาๆมาให้ผม  รอยยิ้มนั้นสร้างความ
สบายใจให้แก่ผมไม่น้อย

“มีมึงอยู่ข้างๆนี่ดีจัง”  ผมหลับตาลงอย่างผ่อนคลายพร้อมกับยิ้มออกมาเบาๆกับประโยคที่ตัวเองเพิ่งจะพูดออกไป

“เริ่มอยากจะต่อโปรแล้วใช่มั้ยล่ะ?”  เซียนถามกลับมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะพร้อมกับยื่นมือมาลูบหัวผมเบาๆ  ผมไม่ได้ขืนตัวหนี
สัมผัสนั้นแต่อย่างใด กลับกันผมค่อยๆเคลื่อนตัวเขาหามันเมื่อให้ได้รับสัมผัสนั้นมากขึ้น

“ถ้าบอกว่าใช่ล่ะ?” ผมลืมตาขึ้นจ้องตามันก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ

“หึๆ ไม่ต้องรีบก็ได้ บอกแล้วว่าค่อยให้คำตอบวันสุดท้ายทีเดียว  อีกแค่ 2 วันเอง กูรอได้”

“อืม” 

“ไปกินไอติมกันดีกว่า  ร่างกายต้องการของหวาน”  เซียนพูดก่อนจะนำรถออกเพื่อไปที่ร้านไอติมที่เราตั้งใจจะมากินกันวันนี้

“กูยังหวานไม่พออีกเหรอครับ?” ผมแกล้งหยอดมันไป ก่อนจะรอดูทีท่าของมันว่าจะเป็นอย่างไร

“อย่าเล่นกับไฟนะครับน้อง  พี่ขอเตือน  เพราะถ้าไฟติดแล้วมันจะดับยาก”  เซียนส่งยิ้มมาให้ผมพร้อมกับยื่นมือมาตบที่แก้มผม
เบาๆสองที  โอ้ยกูจะบ้า  เซียนคนหื่นยังไงก็คือเซียนคนหื่นวันยังค่ำ ช่างต่างกับความอบอุ่นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนอย่างสิ้นเชิง

.....

“อ่ะ ป้อน” เซียนพูดพร้อมกับตักไอติมของตัวเองยื่นมาจ่อที่ปากของผม

“กินเองได้หน่า” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะตอนนี้เป็นเวลาบ่าย คนนี่ไม่ต้องพูดถึงครับ เต็มแน่นทุกอณูของร้าน

“อาย?” มันไม่ยอมดึงมือกลับ แต่ยังคงถามพร้อมกับเอียงคอทำหน้าตากวนเบื้องล่างผมอย่างต่อเนื่อง

“สัส” ผมสบถด่ามันเบาๆก่อนจะยอมอ้าปากงับไอติมที่มันป้อนให้ จะได้ไม่ตกเป็นเป้าสายตาไปนานกว่านี้

“ก็แค่นี้” มันยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะกลับไปลงมือกินไอติมของตัวเองต่ออย่างอารมณ์ดี

“เรามาเล่นเกมส์กันมั้ย?” 

“เกมส์อะไร?” มันเงยหน้าขึ้นถามผมกลับด้วยความสงสัย

“เกมส์ถาม – ตอบ ผลัดกันถามผลัดกันตอบคนละ 5 ข้อ” ผมอธิบายกติกาเกมส์ซึ่งมันง่ายแสนจะง่ายให้เซียนฟัง

“อ๋อ เข้าใจละ งั้นกูขอเริ่มก่อน”  มันพยักหน้าก่อนจะตักไอติมเข้าปากอย่างผ่อนคลาย

“ได้”

“มีแฟนมาแล้วกี่คน?” มันถามพร้อมกับจ้องตาผมอย่างต้องการความจริง

“คนเดียว  ตากูบ้าง สถานที่ที่เคยมีอะไรกับแฟนที่มึงคิดว่าแปลกที่สุด?” ผมตอบกลับไปแทบจะทันทีที่จบคำถาม ไม่ยากเลย
ครับ ไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะถามมันกลับไป

“ห้องสมุด” มันตอบผมกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับนั่นเป็นเรื่องปกติที่คนทั่วไปทำกัน ต่างจากผมที่ตอนนี้สติหลุดไปเป็นที่
เรียบร้อยแล้ว

“สัส” ผมสบถด่ามันไปเบาๆก่อนจะตักไอติมเข้าปากเพื่อปรับอารมณ์

“ถามเองน้า  ตากูต่อ  เคยมีอะไรกับคนอื่นมาแล้วกี่ครั้ง?”

“ครั้งเดียว  กูต่อ มีอะไรกับผู้หญิงครั้งล่าสุดเมื่อไหร่?”

“ก่อนคบกับมึงวันนึง  ตากูแฟนมึงคนนั้นผู้หญิงหรือผู้ชาย?” โอ้โห มึงไปได้กับใครมาวะครับ? ไม่ยักจะเห็นว่ามันมีแฟน

“ผู้หญิงดิวะ กูถามต่อ มึงเคยคบผู้ชายมาก่อนหน้านี้มั้ย?” ผมรีบตอบคำถามมัน  ก่อนจะถามกลับไปอย่างรวดเร็ว

“ไม่เคยครับ มึงคนแรก  กูต่อมึงชอบคนแบบไหน?”  มันยักคิ้วให้ผมอย่างกวนๆ ก่อนจะถามกลับมา

“คนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ  ตากูมึงชอบคนแบบไหน?”  ผมถามมันกลับด้วยคำถามที่มันถามผมมา

“แบบมึง  คำถามสุดท้ายของกูแล้วนะ  มึงชอบกูรึยัง?” มันตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้มบางๆก่อนจะถามผมกลับทันที

โอ้โห ไม่ได้เว้นจังหวะให้หัวใจกูได้เต้นปกติเลยครับ  ตอนนี้คือเต้นรัวหนักจนแทบจะหลุดออกมาข้างนอกกันเลยทีเดียว  นี่หน้า
กูคงไม่ได้แดงใช่มั้ย?

“คิดว่าชอบแล้ว  คำถามสุดท้ายของกู....มึงชอบกูรึยัง?”  ผมถามมันกลับด้วยคำถามที่มันถามผมอีกครั้ง


“ชอบ.... ชอบมานานแล้วครับ”





-KATEL-

พี่เซียนของน้องงงงง  :hao7:

เฮียซัน ถ้าเฮียยังไม่ออกมานี่คือตกกระป๋องละนะ (หาท่อน้ำที่แตกเจอรึยังก่อนท่าน 5555)


ตอบคอมเม้นต์

พอเป็นแฟนกันพี่เซียนคนพูดน้อยต่อยหนักหายไปเลย เหลือแต่พี่เซียนคนตามใจแฟนและพร้อมหยอดวาทุกโอกาส
ได้เป็นแฟนกันแล้วมีความสุขขนาดนี้ไม่อยากจะคิดถึงวันครบหนึ่งสัปดาห์เลย จะดราม่าหนักไหมเนี่ย :katai1:

 :pig4:

นั่นน่ะสิ ดราม่ามั้ยนะ  :katai5:


เสร็จแน่ๆ ธันวาเอ็งเสร็จพี่เซียนแน่ๆ 5555555
 :impress2:

อุ้มธันวาหนีก่อนเลยจังหวะนี้ อิพี่เซียนหื่นหน้ามือตามัวมาก 5555


เป็นแฟนพี่เซียนแล้วเลี้ยงดีอย่างนี้
เพิ่มโปร เพิ่มเวลาไปเลย
 :hao6:

ดีแบบนี้มันต้องต่อโปรแล้วรึเปล่าาาาาาา :katai3:


:pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Keane

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +192/-0

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
เซียนหื่นอ่ะ ชักเป็นห่วงวาแล้วสิ :hao6:

พอตกลงเป็นแฟนกัน วาก็โดนพ่อจับไปฝึกงานละห่างกันกับเซียนรึเปล่านะ  :mew2:

ออฟไลน์ katiezz

  • เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
ตอนที่ 5 ผิดที่ไว้ใจ



Day 6

วันก่อนสุดท้าย.....แต่ผมคิดว่าผมตัดสินใจได้แล้วนะว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี 

เมื่อเช้าที่ผ่านมาผมสอบวิชาเลือกที่ลงเรียนกับจีนแค่สองคนส่วนทีกับเซียนก็ลงกันคนละวิชา เลยทำให้เราเลิกสอบไม่พร้อมกัน ตอนนี้มีแค่ผมกับจีนที่เลิกสอบแล้วและมานั่งกร่อยรออีกสองคนนั้นอยู่ใต้ตึกเรียน

“อย่างไรคะเพื่อน?”  จีนถามผมพร้อมทำสายตากรุ้มกริ่มส่งมาให้ผม

“อะไรของมึง?” ผมขมวดคิ้วก่อนจะถามมันกลับไปด้วยความสงสัย

“กับเซียนไง  อย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พรุ่งนี้วันสุดท้ายแล้วนี่” จีนพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมากอดอกอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ

“ก็คงจะ....เอ่อออ... คบต่อ

“ก็แค่นั้นแหละ  มีอะไรให้กูช่วยก็บอก”

“ช่วยไรวะ?”  คือกูคบกับมันต่อนี่ต้องทำอะไรอีกวะ ฮ่าๆๆ

“ก็เผื่อมึงอยากเซอร์ไพรส์มันไรงี้”  จีนตอบกลับพร้อมกับยกโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาเล่นแก้เบื่อ

“จำเป็นด้วยเหรอวะ?”  บอกตามตรงว่าผมขนลุกหน่อยๆที่ต้องทำอะไรแบบนั้นให้เซียนซึ่งเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน ถึงตอนนี้สถานะจะอัพเกรดก็เถอะ

“ไม่รู้ดิ  กูแค่แนะนำเฉยๆ”

ผมคิดตามคำแนะนำของจีน จะว่าไปตั้งแต่คบกันมาจนวันนี้เป็นวันที่ 6 แล้ว มีแต่มันที่คอยทำนั่นทำนี่ให้ผมตลอด  ผมแทบจะไม่ได้ทำอะไรให้มันเลย หรือผมควรจะทำอะไรให้มันหน่อยเป็นการเซอร์ไพรส์ดี

“จีน ไปเซนทรัลเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”

“จัดไปสิจ๊ะ”



.......



“มึงว่าอันนี้ได้มั้ย?”  ผมหยิบต่างหูห่วงเงินขึ้นมาให้จีนดู เพื่อขอคำปรึกษา

เซียนมันเป็นคนชอบใส่ต่างหูมาก ตอนเข้ามาปี 1 มันเจาะหูแค่รูเดียวแต่ตอนนี้แม่งเพิ่มเป็น 6 รูแล้ว  คือหลังสอบถ้ามันเครียดก็ไปทันทีครับ รูสองรูว่ากันไป ผมนี่กลัวว่ามันจะลามไปเจาะอย่างอื่น เจาะปากเจาะจมูกงี้ ผมไม่ค่อยโอเค  ผมว่ามันเกินไป

“ก็ได้อยู่นะ  แต่กูไม่มั่นใจว่ามันมีรึยังอ่ะดิ” จีนรับต่างหูที่ผมยื่นให้ไปดูก่อนจะช่วยแนะนำกลับมา

“เออว่ะ หรือกูซื้ออย่างอื่นให้ดีวะ?”  ผมกวาดตามองไปทั่วร้านก่อนจะสะดุดตาเข้ากับเลดเงินข้อมือเส้นขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กกำลังดีแบบที่ผมชอบ

“จีน แล้วถ้าเป็นอันนี้อ่ะ?” ผมหยิบเลดเงินนั้นขึ้นมาก่อนจะยื่นไปให้จีนช่วยตัดสินใจอีกครั้ง

“สวยว่ะ”  จีนรับไปดูก่อนจะทำตาเป็นประกาย  ผมยังชอบเลยบอกตามตรง

“เนอะ  กูอยากได้ไว้เองเลยเนี่ย ฮ่าๆๆ”

“กูว่าอันนี้โอเค  เอาอันนี้เลยมึง”  ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของจีน ก่อนจะรับเลดเงินนั้นคืนมาแล้วเอาไปจ่ายตังค์ที่เคาเตอร์

ผมกับจีนเดินเล่นซื้อของกันต่ออีกนิดหน่อย ก่อนจะแวะกินไอติมร้านโปรดจีนที่ไม่มีเวลาว่างมากินกับมันเลยในช่วงสองสามเดือนมานี้ 

Rrr

“ไอ้เซียนอ่ะดิ” จีนตักไอติมเข้าปาก ก่อนจะถามออกมาพร้อมกับทำสีหน้าหมั่นไส้เต็มทน

ผมล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะก้มลงมองที่หน้าจอ

-S.-

“อืม”   ผมพยักหน้าเป็นการตอบคำถามของจีนเมื่อสักครู่

“เหม็นความรัก”  มันย่นหน้าพร้อมกับเบะปากจนเป็นเส้นตรง

“ฮ่าๆๆ สัส”  ผมผลักหัวมันไปเบาๆ  ก่อนจะกดรับสายเซียนที่โทรเข้ามา

(อยู่ไหนเนี่ย?) 

“เซนทรัล”

(อ้าว ไปทำอะไร? ไปกับใคร?)  มันถามกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ  ไม่พอใจอะไรอีกล่ะพ่อ?

“มากับจีน  มาเป็นเพื่อนมันซื้อของ”  ผมยิ้มออกมาเบาๆกับความร้อนใจของมัน  กลัวกูหายเหรอครับถามจริง

(แล้วทำไมไม่รอ?)  เสียงมันอ่อนลงจากเมื่อครู่มาก

“ก็อยากให้มึงพักหลังสอบ  อีกอย่างกูสอบเสร็จก่อนมึงตั้งนาน”  ผมรีบอธิบายให้มันเข้าใจ  ซึ่งปกติเป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยชอบทำ  ถ้าไม่เข้าใจผมก็จะปล่อยให้ไม่เข้าใจอยู่แบบนั้น  ขี้เกียจอธิบายให้มากความ

(อืมๆ  ให้ไปรับมั้ย?)

“ไม่เป็นไร  เดี๋ยวกลับเอง”

(แล้ววันนี้จะมานอนที่ห้องกูมั้ย?)  มันถามกลับมาด้วยเสียงอ้อนๆ เหอะๆ โทษทีว่ะ  ไม่ดาเมจกู  กูแกร่งพอทำอะไรกูไม่ได้หรอก

“ไม่อ่ะ อยากนอนห้อง”  ผมยิ้มรอฟังคำตอบจากมัน

(อ้าวไหงงั้น?)  เสียงมันหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด  แต่คืนนี้ผมอยากนอนห้องจริงๆ  กะว่าจะนอนยาวๆแล้วพรุ่งนี้เย็นค่อยไปหามันที่ห้อง

“เดี๋ยวเฟสไทม์ไป  แล้วพรุ่งนี้จะไปหาพร้อมคำตอบ”  ผมพูดบอกก่อนจะหันไปเห็นว่าจีนทำหน้าเหมือนกินของบูดใส่ผมอยู่ตอนนี้

(งั้นก็ได้  อย่าลืมเฟสไทม์)

“อืมๆ  แค่นี้นะ”

(ครับ กลับดีๆ)

“อืม”  ผมกดวางสายก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม   

“อ่ะ หวานเกินหน้าเกินตามากเว่อ”  จีนกินตักไอติมคำสุดท้ายเข้าปากไป ก่อนจะวางช้อนลงแล้วทำหน้าเหม็นความรักมาใส่ผม
เช่นเคย

“กลับกันได้ละมึง” ผมเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะยกขึ้นสะพายบนไหล่แล้วเดินนำออกมาจากร้าน  ทิ้งให้จีนนั่งโวยวายเพราะยังไม่ได้เก็บของใส่กระเป๋าเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

“รีบจังงง รีบกลับไปเฟสไทม์เหรอคะ?”  พอวิ่งตามมาทันกันมันก็จิกกัดผมทันทีเลยครับ  ดุกว่าหมาอีกไอ้จีนเนี่ย  กัดไม่ปล่อย

“ก็รู้อยู่แล้วจะถามทำไม”  ผมยักคิ้วให้มันแบบกวนๆก่อนจะเดินหนีเสียงก่นด่าของมันอีกครั้ง  มึงคงได้ด่ากูไปทุกวันอ่ะครับเพื่อน  ทำใจซะเถอะ



.....



(ช้า!)  ทันทีที่รับสายมันก็รีบสวนกลับมาเลยครับ  แหม จะไม่ให้กูได้มีเวลาส่วนตัวทำอะไรบ้างเลยรึไงวะ

กว่าจะกลับมาถึงห้อง แล้วไหนจะต้องมาทะเลาะกับไอ้ทีเรื่องไม่ยอมพามันไปกินไอติมด้วยจนผ่านไปเป็นชั่วโมงถึงจะได้อาบน้ำแต่งตัว  เปิดคอมแล้วก็คอลหามันตอนนี้

“บ่นเป็นคนแก่” ผมยิ้มฉีกยิ้มให้มัน ก่อนจะก้มหน้าลงเล่นเกมส์ในมือถือต่อ

(ไหนเล่าดิ  วันนี้ไปทำไรมาบ้าง)  มันพูดถามพร้อมกับเช็ดผมไปด้วย  สภาพมันในชุดนอนสีเทาที่ปรากฏอยู่บนจอคอมตอนนี้เป็นภาพที่ผมชินตาไปเสียแล้ว

“ก็ไปซื้อของ  เดินเล่นนิดหน่อย แล้วก็แวะพาไอ้จีนไปกินไอติม”

(อ่าห่ะ  ไม่เจอกูตั้งแต่เช้าคิดถึงกันบ้างปะเนี่ย?)

“กี่ชั่วโมงเอง  อย่ามาเยอะมึงอ่ะ  เสี่ยวให้มันน้อยๆหน่อย”  ผมเบะปากใส่ หลังจากที่มันถามคำถามนั้นออกมา

(อะไรนะ เสียว?)  มันหยุดเช็ดผม ก่อนจะทำหน้ากวนตีนใส่ผม  นี่ขนาดไม่ได้อยู่ต่อหน้าผมยังสัมผัสถึงรังสีความหื่นของมัน ผ่านทางจออย่างชัดเจน

“เซียน!”

(หยอกๆๆ  ตกลงมีคำตอบให้กูแล้วใช่ปะ?)

“มีแล้ว”

(มั่นใจกับคำตอบนั้นมากน้อยแค่ไหนครับคุณแฟน?)

“มากที่สุด เท่าที่เคยตัดสินใจอะไรมาในชีวิตเลยล่ะ”

และผมหวังว่าการตัดสินใจของผมครั้งนี้จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง.......หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น....


Day 7

ผมนอนลืมตามองเพดานมาเป็นเวลาเกือบชั่วโมงแล้ว  สิ่งที่ยากที่สุดในตอนนี้คือการตัดสินใจที่จะลุกขึ้นเริ่มต้นชีวิตในวันนี้เสียที
หลังจากปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาจนเข้าช่วงเย็นของวันแล้วแต่ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย แม้แต่การอาบน้ำแปรงฟัน

เมื่อวานตอนดึก จู่ๆทีก็มาเคาะประตูรบเร้าให้ผมออกไปร้านเหล้าเป็นเพื่อนแต่ผมก็ปฏิเสธมันไป เพราะเราทั้งคู่เพิ่งจะสอบเสร็จเราควรจะพักผ่อนก่อน อย่างน้อยก็สักวันหนึ่ง ก่อนจะออกล่าอย่างเต็มรูปแบบ  แต่มันก็ดื้อไม่ยอม  สุดท้ายคนที่ต้องรับกรรมไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลยครับเซียนกับจีนนั่นเอง  แล้วนี่ผมก็ไม่รู้ว่ามันกลับมาห้องรึยัง?  แต่อาจจะยังหรอกเพราะมันดูมีเรื่องไม่สบายใจ น่าจะกินไปหนัก  ตื่นอีกทีก็คงดึกๆเลย

ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะเปิดเข้ามาอย่างถือวิสาสะ 

“อ้าวมึง ยังไม่ตื่นอีก”  จีนพูดพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆตัวผม

“ตื่นนานแล้ว  แต่ขี้เกียจลุก”  ผมพลิกตัวหนีก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง  จู่ๆก็ง่วงขึ้นมาอีกแล้ว  หรือกูควรนอนเก็บแต้มต่ออีกดี
ฮ่าๆๆ

“อย่านอนต่อ  ลุกเลย!”  จีนพยายามดึงแขนผมให้ลุกขึ้นนั่ง จนผมต้องยมดันตัวขึ้นตามแรงดึงของมัน  เพราะถ้าไม่ยอมลุกดีๆมัน
ก็อาจจะลงไม้ลงมือกับผมหนักกว่านี้

“เออๆๆ”  ผมลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ตรงประตูมาพาดไว้บนบ่าก่อนจะมุ่งหน้าไปทางห้องน้ำทันที

“เออ  เชี่ยทีอ่ะ  เป็นไงบ้าง  เมื่อวานเมาเป็นหมาเลยสัส”  ผมชะงักเท้าทันทีที่สิ้นประโยคของจีน  มันเมามากแล้วมันไปไหนล่ะ 
มันกลับห้องมาแล้วเหรอ?

“อ้าว  กูนึกว่ามันอยู่กับมึง”  ผมรีบเดินไปเปปิดประตูห้องของที  เพื่อเช็คว่ามันได้กลับมานานที่ห้องรึเปล่า

แต่กลับพบเพียงแค่ห้องที่ว่างเปล่า  ทีไม่อยู่ห้อง  แล้วมันหายไปไหน?  เมื่อคืนกลับกับใคร?  ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่ผมทันที 
ถ้าเมื่อคืนผมยอมออกไปกับมันก็คงไม่เป็นแบบนี้

“เฮ้ย  อย่าเครียด  กูว่ามันคงกลับกับไอ้เซียนแหละ  นี่ไงมึงก็รีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปคอนโดมันกัน”  จีนเดินมาตบบ่าผมพร้อม
กับพูดปลอบใจ  ถ้าเป็นแบบนั้นก็แล้วไป

ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็วที่สุด ก่อนจะหยิบของใช้สำคัญอย่างพวกกุญแจห้อง กะเป๋าตังค์ แล้วก็โทรศัพท์  ก่อนจะเดิน
ออกจากห้องนอนมาหาจีนที่นั่งรออยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี

“ของที่จะให้ไอ้เซียนอ่ะ?”  มันถามเมื่อไม่เห็นกล่องเลดข้อมือที่ไปซื้อมาด้วยกันเมื่อวาน

“เออว่ะลืม ฮ่าๆๆ”  ผมหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะเดินกลับเข้าห้องนอนไปอีกครั้งเพื่อหยิบกล่องของขวัญขนาดเล็กจิ๋วที่ตั้งอยู่บน
โต๊ะอ่านหนังสือข้างหัวเตียง

“ไปกัน  ไปไง? มอไซค์กูมั้ย?”  ผมถามพร้อมกับมองหากุญแจรถมอไซค์ของตัวเองไปด้วย  ไม่ได้ใช้นานกุญแจแม่งหายไปไหน
ก็ไม่รู้  ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาคือไอ้เซียนไปรับไปส่งตลอด

“ไปรถกู  กูเอารถมา”  จีนส่ายหน้าก่อนจะหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่แล้วเดินนำผมออกจากห้องไป

“เออเคๆ  กูล็อคห้องแปป เดี๋ยวตามลงไป”

“เออๆ  กูไปสตาร์ทรถรอ”  จีนบอกก่อนจะเดินลงบันไดนำไปก่อน  ผมชะโงกหน้ากลับมาเช็คความเรียบร้อยในห้องอีกครั้ง ว่าไม่
ได้ลืมปิดไฟหรือปิดแอร์ตัวไหนแน่ๆ  แล้วจึงล็อคประตูและเดินตามจีนลงไปที่รถ



.....



“มึง”  ยิ่งระยะทางใกล้ถึงหอเซียนมากเท่าไหร่  หัวใจผมยิ่งเต้นแรงขึ้นเท่านั้น  ผมพยายามคิดทบทวนว่าสิ่งที่ตัวเองจะตัดสินใจทำลงไปนี้มันดีแล้วใช่มั้ย? แต่ไม่ว่าจะเก็บมาคิดสักกี่ครั้ง  คำตอบก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม  คือ  ผมอยากมีเซียนอยู่ข้างๆกันไปเรื่อยๆ

“อย่ากังวลดิวะ  มึงไม่ได้จะไปขอมันนะเว้ย  มึงแค่ไปให้คำตอบมันเฉยๆ  มีอะไรให้กลัววะ?”  ก็จริงของมัน  ผมก็แค่ไปยืนยันคำตอบของตัวเองให้มันเข้าใจอีกครั้ง  เพื่อจะสานต่อความสัมพันธ์เล่นๆที่เราสร้างขึ้นมาให้มันเป็นเรื่องจริงจัง

“อืม”  ผมพยักหน้ารับ พร้อมกับลูบกล่องของขวัญในมืออย่างเบามือที่สุด  หวังว่ามึงจะชอบของที่กูซื้อให้นะ

“อ่ะ  ขึ้นห้องมันไปก่อนเลย เดี๋ยวกูวนหาที่จอดรถเสร็จละจะตามขึ้นไป”  จีนจอดรถตรงใกล้ๆกับประตูขึ้นคอนโดของเซียนเพื่อให้ผมลงไปก่อน

“สัส  ทิ้งกูเฉย”  ผมด่ามันพอเป็นพิธีเพื่อกลบความประหม่าของตัวเอง  ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถด้วยความวิตก

“เออมึง”

“ว่า”  จีนเรียกผมเอาไว้  ก่อนที่ผมจะปิดประตูลงเพียงเสี้ยววินาที

“เอากุญแจไขเข้าไปเลย  เซอร์ไพรส์แบบถึงเตียง ฮ่าๆๆๆ”  จีนพูดพร้อมกับยื่นกุญแจห้องของเซียนมาให้ผม  ด้วยความที่มันสนิทกันมาตั้งแต่เด็กทำให้พ่อแม่ของทั้งสองบ้านรู้จักกันเป็นอย่างดี  แม่ของเซียนเลยบังคับให้เซียนทำกุญแจเพิ่มไว้ที่จีนอีกชุดนึง  เผื่อเวลาพ่อแม่ของเซียนให้จีนแอบมาดูพฤติกรรมว่ามันทำอะไร จะได้ปิดบังจัดฉากไม่ได้

“เออ”  ผมหน้าร้อนนิดๆกับคำพูดสองแง่สองง่ามของมันก่อนจะปิดประตูรถและเดินตรงไปที่คอนโด

ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์  ทั้งตื่นเต้น  กลัว  สับสน  แม้กระทั่งดีใจ  ผมกำกล่องของขวัญในมือเอาไว้แน่นจนรู้สึกได้ว่ามันชุ่มไปด้วยเหงื่อของผม  แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยอะไรแบบนี้เพราะเรื่องสำคัญรอผมอยู่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

แกร๊ก...

ผมดึงกุญแจออกหลังจากปลดล็อคประตูเสร็จแล้ว  ก่อนจะหยุดนิ่งแล้วถอนหายใจออกมายาวๆหนึ่งครั้งเพื่อเรียกสติ  เอาวะ เป็นไงเป็นกัน  ก็แค่บอกมันไปว่าตกลงคบต่อ

ผมดันประตูให้เปิดออก ก่อนจะพบกับความมืดสนิทและความเงียบเชียบที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณห้อง  ผมสอดส่องสายตาไปในความมืดเพื่อมองหาสวิตช์ไฟ

ทันทีที่ทั้งห้องสว่างขึ้น ภาพตรงหน้าทำเอาผมแปลกใจจนต้องอ้าปากของ  ภาพของข้าวของเครื่องใช้ต่างๆภายในห้องที่กระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางอย่างไร้ระเบียบ  นี่เพิ่งจะผ่านสงครามมารึไง? ทำไมสภาพเป็นแบบนี้? อ๋อ อาจจะเป็นเพราะ
เมื่อวานทีเมาเซียนเลยต้องรับมือกับอาการอาละวาดฟาดงวงฟาดงาของทีอย่างหนัก

ผมหัวเราะเบาๆพร้อมกับส่ายหัวออกไปมาช้าๆให้กับความคิดของตนเอง  ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องนอนของเซียน เพื่อจะเซอร์ไพรส์มันเสียที  ตอนนี้อาการประหม่าของผมดีขึ้นมากจนแทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว  ได้เวลาแล้วสินะ...

แอด.....

“....” ผมหยุดชะงักเท้าอยู่แค่ตรงหน้าประตู  เลือดที่ไหลเวียนอยู่ทั่วในตัวเย็นจัดขึ้นมาเฉียบพลันทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า

ภาพของเตียงสีเทาที่เคยมีผมนอนอยู่ข้างๆกับเซียนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บัดนี้ปรากฏร่างสองร่างที่นอนกอดก่ายกันจนแยกไม่ออกว่าขาและแขนที่โผล่พ้นผ้าห่มออกมานั้นเป็นของใคร  ใบหน้าเรียบสนิทของทั้งสองคนบวกกับลมหายใจสม่ำเสมอที่สังเกตได้จากอกเปลือยที่เคลื่อนขึ้นลงอย่างมีจังหวะ ร่างหนึ่ง ใช่มันคือร่างของเซียน  แต่ที่นอนข้างๆกลับไม่ใช่ผมเหมือนในหลายคืนที่ผ่านมา หากแต่เป็นเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดอีกคน ‘ที’  และนั่นทำให้ผมเลือกที่จะถอยเท้ากลับโดยอัตโนมัติ

ต่อให้โง่แค่ไหน ก็ดูออกว่าทั้งสองคนเพิ่งจะผ่านกิจกรรมอะไรกันมา  กองเสื้อผ้าที่ระเกะระกะอยู่บนพื้นกับ ผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่เพียงหมิ่นเหม่

ไม่มีแม้แต่น้ำตาที่จะไหลออกมาเพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านั้นเป็นความจริง  ภาพร่างของคนสองคนที่  ‘ผมรู้จักดี’  ยังคงสะกดสายตาของผมทำให้ไม่สามารถละสายตาจากมันได้

ผมหลับตาลงช้าๆ เก็บกลั้นความรู้สึกที่มีทั้งหมดเอาไว้  ก่อนจะตัดสินใจละสายตาจากภาพตรงหน้าแล้วหันหลังให้กับทุกสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดจนแทบไม่มีแรงจะก้าวเดินออกไปจากตรงนี้ 

มันไม่ใช่ความรู้สึกเสียใจ แต่มันคือความรู้สึกโดนหักหลังซึ่งจะยิ่งเจ็บหนักขึ้นไปอีก เมื่อคนที่ทำนั้น  เป็นคนที่เราไว้ใจและคาดไม่ถึง

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและไว้ใจในวันก่อน  จะเป็นคนเดียวกันกับคนที่ทำลายความรู้สึกและความไว้ใจของผมทั้งหมดลงในวันนี้

“อ้าวมึง  เป็นไงบ้าง กูมาทันปะ?”  จีนยิ้มร่าออกมาจากลิฟท์ สวนกับผมที่กำลังเดินเข้าลิฟท์เพื่อจะหลีกหนีจากความจริงอันแสนโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับผมวันนี้

“กูฝากกล่องของขวัญไว้ที่มึงก่อนได้มั้ย?”  ผมพยายามตั้งสติและควบคุมริมฝีปากไม่ให้สั่นไปตามแรงอารมณ์ขณะที่พูดโต้ตอบจีนกลับไป

“เออๆได้  แล้วนี่มึงจะไปไหนอ่ะ?”  จีนรับกล่องของขวัญนั้นไปแบบงงๆ  ก่อนจะถามผมกลับมาในช่วงเวลาที่ประตูลิฟท์กำลังจะปิดลง

“เดี๋ยวกูพร้อมแล้วกูจะกลับมา...”  ผมพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น  แล้วประตูลิฟท์ก็ปิดลงตัดขาดผมออกจากโลกภายนอก

ผมออกเดินมาเรื่อยๆไม่ได้คิดว่าจะไปที่ไหนและยังไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป  ในใจคิดเพียงแค่อยากออกไปจากตรงนี้ให้ไกล ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

Rrrr

ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า  ก่อนที่ความอดทนทั้งหมดของผมจะพังทลายลงทันทีที่เห็นรายชื่อของคนที่โทรเข้ามาในตอนนี้   

-พ่อ-

ผมกดรับสายทันที ไม่ปล่อยให้เสียงเรียกเข้าดังเป็นครั้งที่สอง

(แกอยู่ทะ...)

“พ่อ” 

(เป็นอะไร?)  เสียงของพ่อที่อ่อนลงแสดงถึงความเป็นห่วง  ยิ่งทำให้ความอ่อนแอเข้าควบคุมการกระทำของผมอย่างสมบูรณ์แบบ

คนที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงและปฏิเสธมาโดยตลอด กลายเป็นคนเดียวกับคนที่ผมต้องการมากที่สุดในตอนนี้

“ฮึก..”  ผมไม่สามารถกลั้นเสียงสะอื้นไว้ได้อีกต่อไป  ผมทรุดตัวลงนั่งกับฟุตบาธข้างทางก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่าง
หมดแรง

(อยู่ที่ไหน?)

“ผมอยู่ที่...”  ผมมองรอบตัวเพื่อหาจุดสังเกตที่สามารถจะระบุได้ง่าย

(รออยู่ตรงนั้น  ห้ามไปไหน พ่อจะให้คนไปรับ)

“ผม...ฮึก...ผมเจ็บ...ฮืออ”

(รออีกแค่แปปเดียววา  อย่าวางสายนะ)

“ทำไมต้องเป็นผม....ฮึก..ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับผมด้วย?”  ผมซุกหน้าลงร้องไห้กับขาของตัวเอง  ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะอ่อนแอได้ขนาดนี้ 

(กลับบ้าน กลับมาพักที่บ้านเรา)

กว่า  30  นาทีที่ผมได้คุยกับพ่อ  นับเป็นเวลานานที่สุดที่เราเคยคุยกันเลยด้วยซ้ำ  และนั่นก็ทำให้ผมรู้ได้ว่าใครที่รักผมจริง  และใครที่ผมควรจะมอบความรักของผมเพื่อเป็นการตอบแทนเขา  พ่อไม่ได้พูดปลอบโยนผม  หากแต่คอยพูดเรียกสติของผมให้กลับมา เพื่อจะได้เตรียมรับมือกับสิ่งที่จะต้องเจอต่อไปข้างหน้า

ปี๊นๆ

เสียงแตรรถพร้อมกับไฟที่สาดเข้ามาทำให้ผมต้องยกมือขึ้นมาบังเอาไว้ ก่อนจะพยายามหรี่ตามองลอดผ่านแสงสว่างเหล่านั้นไป เพื่อดูว่าใครคือคนที่อยู่หลังม่านแสงจ้าเหล่านี้

“น้องวาใช่มั้ย?”  น้ำเสียงทุ้มลึกพูดถามพร้อมกับย่อตัวนั่งลงตรงหน้าของผม

ผมลดมือที่ยกขึ้นบังแสงลง ก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับนัยน์ตาสีดำสนิทของคนตรงหน้า 

ดวงตาสีดำสนิทนั้นให้ความรู้สึกราวกับกำลังจ้องไปในทะเลตอนกลางคืน  มันนิ่งเงียบสงบแต่ก็แฝงไปด้วยความน่ากลัวและยากเกินจะคาดเดา

“พ่อเรา ให้พี่มารับ”  ชายตรงหน้าพูดต่อเมื่อเห็นว่าผมยังคงนิ่งไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ

(พี่เขาไปถึงแล้วใช่มั้ย?)  เสียงถามของพ่อเรียกสติของผมให้กลับมาครบถ้วนอีกครั้ง

“ครับ” ผมตอบพ่อกลับไปก่อนจะมองชายตรงหน้าอีกครั้ง

“พี่ชื่อ  ‘ซัน’  กลับบ้านกันเถอะ”





-KATEL-

เฮียซ่อมท่อที่แตกเสร็จซะทีโว้ยยยยย 5555

เฮียซันมาแล้ววววว  ส่วนพี่เซียน......  มาเคลียร์ให้ไวเลย  :katai5:


ตอบคอมเม้นต์

:pig4:

 :pig4:


เซียนหื่นอ่ะ ชักเป็นห่วงวาแล้วสิ :hao6:

พอตกลงเป็นแฟนกัน วาก็โดนพ่อจับไปฝึกงานละห่างกันกับเซียนรึเปล่านะ  :mew2:

ห่างแล้วจ้าจังหวะนี้ 5555 :katai5:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
นังพี่เซียน  :z6:
ถ้ามีอะไรกันไปแล้วจริงๆก็ไม่ขอฟังคำแก้ตัวอะไรจากเซียนทั้งนั้น เชอะ เชียร์พี่ซันดีกว่า

 :pig4:

ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
เอ้าาาาาาา ไหงเป็นงั้นอ่ะ  :ling3:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เฮียซันมาแล้ว หลังจากซ่อมท่อเสร็จ

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
อ้างถึง
ห่างแล้วจ้าจังหวะนี้ 5555
เคร เราจะได้เปลี่ยนเรือใหม่ พี่ซันกับน้องวา
ส่วนเพื่อนสนิทผู้น่ารักกับเซียน ค่อยเป็นอีกลำ

ออฟไลน์ nut2557

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
 :katai1: ไม่มีเพิ่มละเหรอคะ

ออฟไลน์ katiezz

  • เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
ตอนที่ 6 กลืนน้ำลายตัวเอง






[ซัน]



“มึงไปไหนต่อวะ?”  น่านเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมของผมถามขึ้น หลังการอบรมจบลง 

ตอนแรกที่รู้ว่าต้องมาอบรมที่กรุงเทพฯ ผมอยากปฏิเสธผู้จัดการไปตอนนั้นเลย แต่พอรู้ว่าน่านก็ต้องมาอบรมเหมือนกัน เลยล้มเลิกความคิดนั้นไป เพราะตั้งแต่เราเรียนจบมหาลัยก็แยกย้ายกันไปทำงานแทบจะไม่มีเวลาได้เจอกันเลย  น่านเลือกจะไปทำงานที่ระยองเพราะเป็นนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จะขยับขยายงานมันก็มีโอกาสอยู่มาก ต่างกับผมที่เลือกจะกลับไปทำงานใกล้บ้าน เพราะเป็นห่วงพ่อกับแม่ที่แก่ตัวลงทุกวัน น้องสาวของผมก็ยังเรียนอยู่ไม่มีเวลามาดูแลมากนัก จึงต้องเป็นผมที่จะทำหน้าที่นั้น

“กลับสุราษฏร์ฯเย็นนี้เลย”  ตะวันตอบกลับไปนิ่งๆพร้อมกับเก็บเอกสารและข้าวของต่างๆลงในกระเป๋าสะพายข้างสีดำคู่ใจของตนเอง

“อ้าว นึกว่าจะอยู่สังสรรค์รำลึกความหลังกันหน่อย”  น่านพูดพร้อมกับยื้อไหล่ผมให้หันหน้าไปหามัน

ก็คงต้องรำลึกกันยาวหน่อยล่ะครับ  ผมจบมหาลัยมารวมปีนี้ก็ครบ 10 ปีพอดี  ใช่ครับตอนนี้ผมอายุ 31 ปีแล้ว  เป็นอายุที่ควรจะมีครอบครัวมีลูกมีเมียได้แล้ว แต่ผมมัวแต่เอาเวลาไปดูแลพ่อแม่ แล้วที่ทำงานก็ไม่มีคนโสดเหลือแล้ว จะให้ผมไปคบกับใครที่ไหนได้

“ไม่ได้ว่ะ พรุ่งนี้มีงาน อีกอย่างพ่อกับแม่กูอยู่กันแค่สองคนด้วย กูเป็นห่วง”

ผมใช้เวลาบอกลากับน่านอยู่ไม่นานนักก็รีบขับรถมุ่งหน้ากลับลงใต้ทันที  จากประสบการณ์ของผมแล้ว ช่วงนี้รถไม่ติดด้วย น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 12 ชั่วโมงก็น่าจะถึงบ้าน  รวมเวลาแวะพักแล้วด้วยก็น่าจะถึงสุราษฎร์ประมาณ 7 โมงเช้าเห็นจะได้

Rrrr

ผมละสายตาจากท้องถนนตรงหน้ามาโฟกัสกับหน้าจอโทรศัพท์ที่มีคนโทรเข้ามาแทน

-ผู้จัดการ-

ผมปล่อยให้เสียงเรียกเข้าดังอยู่แบบนั้นก่อนจะดับไป แล้วจึงรีบมองหาปั๊มน้ำมันเพื่อแวะเข้าไปจอดรถและคุยโทรศัพท์ให้ดี  ผมไม่ชอบคุยโทรศัพท์ขณะที่ขับรถไปด้วย อาจจะเป็นเพราะผมมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับการขับรถไปคุยโทรศัพท์ไปในอดีตซึ่งเหตุการณ์นั้นทำให้ผมเสียคนที่ผมรักมากคนหนึ่งไปอย่างไม่มีวันกลับ

เมื่อรถจอดสนิทผมก็คว้าโทรศัพท์มากดเบอร์โทรออกมาผู้จัดการทันที

“สวัสดีครับผู้จัดการ”

(เออซัน ผมรบกวนอะไรคุณหน่อยสิ)

“ครับ?” ผมกรอกเสียงถามกลับไปด้วยความสงสัย

(แวะไปรับลูกชายผมกลับมาด้วยสิ) ผมลอบถอนหายใจออกมาเบาๆกับคำขอนั้น

เด็กคนนี้น่าจะเป็นคนเดียวกับที่จะต้องมาฝึกงานในแผนกซ่อมบำรุงที่ผมทำงานอยู่  แถมแจ็คพอตคือผมเองนี่แหละที่ต้องเป็นพี่เลี้ยง เพราะในแผนกของเรามีวิศวกรอยู่แค่ 3 คน มีพี่บาสเป็นหัวหน้าวิศวกร แล้วงานพี่แกก็หนักมากจนไม่มีเวลาเหลือมาดูแลเด็กฝึกงานแน่นอน  ส่วนไอ้แมทเป็นวิศวกรหน้างาน คือมันเป็นคนที่ต้องลงไปหน้างานทุกครั้งแทบจะไม่ได้นั่งออฟฟิศเลย เพราะฉะนั้นกรรมเลยตกเป็นของผม ผมเป็นคนที่ต้องคอยดีลการซื้อขายอุปกรณ์ต่างๆ และงานดีไซน์ ลงไปซ่อมหน้างานบ้างบางครั้ง แต่ไม่บ่อยเท่าไอ้แมท

“ได้ครับ แล้วน้องอยู่ที่ไหนล่ะครับ?” ผมสะบัดหัวไล่ความคิดมากมายออกไป ก่อนจะตอบกลับผู้จัดการไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆตามสไตล์ของตัวเอง

(เดี๋ยวผมขอโทรหามันก่อน แต่น่าจะแถวๆ ม.PP นี่แหละ)

“ครับ” ผมตอบรับคำก่อนจะตัดสายไปและนั่งพิงหลังลงกับเบาะเพื่อพักสายตาก่อนที่จะต้องขับรถทางไกลอีกทั้งคืน

ผมตบต้นคอตัวเองเบาๆ เพื่อเป็นการเรียกสติ ก่อนจะตัดสินใจต่อสายหาคนที่ผมอยากได้ยินเสียงที่สุดในตอนนี้ ในเวลาที่ผมเหนื่อยๆ ถ้าได้ยินเสียงของคนคนนี้ความเหนื่อยล้าเหล่านั้นจะหายไปทันทีราวกับมีเวทมนต์

(ตื้ด...ตื้ด.... ฮัลโหล)

“เป็นไงบ้างกินข้าวรึยัง?” ผมยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงจากปลายสาย ขอแค่นี้แหละ แค่นี้จริงๆ

(กินแล้วลูก เป็นไงบ้างอบรม เหนื่อยมั้ย?)

“นิดหน่อยครับ แล้วนี่ล็อคประตูบ้านกับรั้วบ้านดีรึยัง?” ไอ้เหนื่อยมันก็เหนื่อยนะครับ แต่พอรู้ว่าที่เราเหนื่อยอยู่ทุกวันนี้เราอยากให้
เขาสบาย ก็คิดขึ้นได้ว่าอย่างน้อยๆมันก็คุ้มที่จะเหนื่อยขนาดนี้เพื่อคนที่เรารัก

(ล็อคหมดแล้วลูก)

“ครับ...”

(ขับรถกลับเลยมั้ย? หรือว่านอนก่อนแล้วขับกลับตอนเช้า)

“กลับเลยครับ ไม่อยากให้ทิ้งพ่อกับแม่ไปนานๆ ซันเป็นห่วง” ผมตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มเบาๆที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า  พ่อกับแม่ผมน่ะแข็งแรงครับ เอาจริงๆไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเลย เพราะผมบังคับให้ท่านออกกำลังกายทุกวัน เล็กๆน้อยๆก็ยังดี

(โอ้ยแม่กับพ่ออยู่ได้ลูก ขับรถทางไกลกลางคืนคนเดียวแบบนี้แม่เป็นห่วง) น้ำเสียงของแม่แฝงไปด้วยความกังวลจนผมรู้สึกได้

“ผมไม่ได้กลับคนเดียวครับ” ผมถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะตอบแม่กลับไป

(อ้าว มีใครกลับมาด้วยล่ะลูก?)

“ลูกผู้จัดการครับ แกฝากให้ผมพากลับบ้านด้วย” แค่คิดก็รู้สึกไม่ชอบแล้ว นี่ขนาดผมยังไม่เจอตัวนะ

คือผมไม่ชอบคนที่ทำตัวให้พ่อแม่ต้องคอยเดือดร้อน คอยช่วยเหลือ มันเหมือนเด็กที่ยังไม่โต  ตอนผมมาเรียนมหาลัยในกรุงเทพฯ พ่อกับแม่ไม่เคยต้องเดือดร้อนเรื่องการเดินทางรับส่งผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว เด็กสมัยนี้มันไม่คิดบ้างหรือไงว่าพ่อแม่เขาเหนื่อยพยายามกับมันมาตั้งเท่าไหร่แล้ว ทำไมเรื่องง่ายๆเกี่ยวกับตัวเองถึงจัดการเองไม่ได้

(น้องวาใช่มั้ย? แม่ไม่เจอน้องนานแล้วนะเนี่ย  ดีเลยมีคนชวนกันคุย จะได้ไม่ง่วง) แม่ผมเป็นคนใจดีแบบนี้เสมอ ก่อนหน้าจะเกษียณท่านเป็นคุณครูสอนอยู่ในโรงเรียนขนาดกลางใกล้ๆบ้านผมเอง และผมเดาว่า ‘น้องวา’ น่าจะเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของแม่ผมอีกตามเคย ทุกวันนี้ยังมีเด็กนักเรียนที่จบไปแล้วแวะเวียนมาเยี่ยมท่านแทบจะทุกวัน  ทุกครั้งที่มีคนมาขอความช่วยเหลือ ไม่มีเลยที่แม่จะปฏิเสธ เพราะแบบนี้ผมเลยคิดไว้แล้วว่าคนที่จะมาเป็นแฟนผมต้องดีให้ได้ครึ่งนึงของแม่ผมก็ยังดี
และที่สำคัญ ผมชอบคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่  ไม่ชอบเด็ก!!

“ครับ” ผมตอบกลับแม่ไปสั้นๆ

ตึ่ง!

เสียงข้อความเข้าทำให้ผมชะงัก ก่อนจะยกหน้าจอขึ้นดูว่าเป็นข้อความของใคร

-ผู้จัดการ:  sent location to you-
-ผู้จัดการ:  ซัน ฝากไปรับลูกผมหน่อย! ด่วนเลย!-

ผมขมวดคิ้วทันทีที่อ่านข้อความนั้นจบ เกิดอะไรขึ้น ทำไมผู้จัดการถึงดูรีบร้อนให้ผมไปรับน้องเขาขนาดนี้?

“แม่ แค่นี้ก่อนนะครับ ซันต้องไปรับน้องแล้ว”

(จ้าลูก ชับรถปลอดภัยนะ)

“ครับ” คำอวบพรของแม่ทำให้ผมยิ้มออกมาอีกครั้ง ผมเชื่อเสมอว่าพรของพ่อแม่คือพรที่ประเสริฐและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลกแล้ว

ผมกดดูโลเคชั่นที่ผู้จัดการส่งมาให้ก่อนจะวางมือถือลงในช่องใส่ของข้างตัว แล้วเปลี่ยนเกียร์เพื่อออกรถไปยังที่หมายอย่างรวดเร็ว  ผมจะไม่ร้อนใจขนาดนี้หากตัวอักษรที่ผู้จัดการส่งมานั้นไม่ได้ดูแสดงถึงความกังวลขนาดนั้น



....



เมื่อขับมาถึงเป้าหมายตามที่แผนที่ได้บอก ผมก็ชะลอความเร็วของรถลงเพื่อมองหาคนที่จะร่วมเดินทางลงใต้ไปกับผมในคืนนี้  ก่อนที่หางตาจะไปสะดุดเข้ากับร่างหนึ่งที่นั่งกอดเข่าอยู่ตรงฟุตบาธข้างทาง

“น่าจะใช่” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ  พร้อมกับเลี้ยวรถเพื่อหักเข้าจอดชิดกับฟุตบาธนั้น ก่อนจะเปิดประตูเดินตรงไปหาเป้าหมายทันทีที่รถจอดสนิท

ผมเดินไปยืนตรงหน้าเขา แต่เหมือนเขาจะยังมองไม่เห็นผม อาจจะเป็นเพราะแสงไฟจ้าจากรถที่ส่องเข้ามาพอดีจนเขาต้องยกมือขึ้นมาบังเอาไว้

ร้องไห้เหรอ?

ถึงแม้เขาจะยังมองไม่เห็นผม  แต่ตอนนี้ผมสามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน  เครื่องหน้าที่ติดไปทางหวานแต่ก็ได้ความเข้มชัดของโครงหน้ามาจากผู้จัดการค่อนข้างเยอะทำให้รวมๆมีเสน่ห์อย่างน่าแปลกใจ  แต่ตอนนี้สิ่งที่เรียกความสงสัยจากผมได้มากมายก็คงจะเป็นน้ำตาที่ไหลนองอาบสองแก้มนั้นอยู่  หากว่าไม่มีเสียงสะอื้นแม้แต่นิดเดียวที่จะหลุดรอดออกมาให้ได้ยิน

ผมค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งคุกเข่าอย่างอัตโนมัติ  อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมต้องทำแบบนี้  รู้เพียงแค่ว่าคนตรงหน้าตอนนี้กำลังอ่อนแอและต้องการที่พึ่ง  ความรู้สึกอคติเมื่อครู่หายไปหมดอย่างน่าสงสัยทันทีที่เห็นน้ำตาของเขา

“น้องวาใช่มั้ย?”  ผมถามออกไปเพื่อความแน่ใจว่าเป็นคนนี้ไม่ผิดแน่   เราสบตากันก่อนจะนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนน้องกำลังมองลึกเขามาในตาของผมด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ นัยย์ตาของคนตรงหน้าที่เอ่อไปด้วยน้ำตากำลังมีแววตาแห่งความสับสน เสียใจ ผิดหวัง และอีกมากมายหลายอารมณ์ในเวลานี้

“....” คนตรงหน้ายังคงจ้องผมนิ่ง ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากเรียวปากสีสวยนั้น  เอ๊ะ! นี่ผมเสียมารยาทรึเปล่านะ? ที่ไปจ้องริมฝีปากของคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแบบนี้

“พ่อเราให้พี่มารับ”  ผมพูดออกไปอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังเงียบอยู่  ยิ่งมองไปที่ใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตานั้น ผมยิ่งอยากจะดึงมากอดปลอบเสียให้รู้แล้วรู้รอด  แต่เฮ้ย! เดี๋ยวๆ ไม่ได้ดิ นี่ผมคิดอะไรวะเนี่ย  แต่ก็แค่ปลอบปะวะ? ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นซะหน่อย

“ครับ” เขาไม่ได้พูดตอบผม แต่เขาพูดตอบสายที่คุยด้วยอยู่ในโทรศัพท์ต่างหาก

หลังจากตอบกลับไปเสร็จ น้องก็กดวางสายก่อนจะยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงอย่างไม่รีบร้อน

เมื่อเราทั้งคู่ต่างยังเงียบใส่กัน  ผมก็ไม่รู้จะชวนน้องพูดเรื่องอะไร  น้องก็ดูไม่อยากจะสนทนาอะไรกับใครทั้งนั้นในตอนนี้

“พี่ชื่อซันนะ กลับบ้านกันเถอะ” ผมพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนและไม่ลืมที่จะยื่นมือไปตรงหน้าของน้องเพื่อจะช่วยพยุงให้ลุกขึ้นยืน

“...”  น้องมองที่มือผมก่อนจะมองไล่ขึ้นมาที่หน้าและนิ่งไปพักหนึ่งราวกับใช้ความคิดอย่างหนัก ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นจากพื้นมายืนด้วยตัวเอง ปฏิเสธการช่วยเหลือของผมแบบไม่ต้องเปล่งเสียงใดๆ

“ขึ้นรถเถอะ”  ผมเก็บมือกลับอย่างเก้ๆกังๆ ก่อนจะเดินนำหน้าขึ้นรถไป  บ้าเอ้ย! แล้ว 10 กว่าชั่วโมงที่ต้องนั่งรถไปด้วยกันจะเป็นอย่างไร? อึดอัดเหมือนกับอยู่ในห้องปิดตายไม่มีหน้าต่างแบบนี้ไปตลอดทางเลยเหรอ?

“...” น้องขึ้นรถมานั่งลงก่อนจะปิดประตูและคาดเข็มขัดจนเสร็จสรรพ แต่ก็ยังคงเงียบไม่พูดไม่จา  ผมมองตามการกระทำเหล่านั้นเงียบๆพร้อมกับคิดในใจว่า เขาเจอเรื่องอะไรมา? ทำไมถึงเป็นขนาดนี้? เอ๊ะ! หรือน้องเขาเป็นคนเงียบๆอยู่แล้ว?

“เอ่อ...จะกลับไปเอาของที่หอมั้ย?” ผมถามออกไปอีกครั้ง แต่ในใจก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบอะไรกลับมาหรอก

“ไม่ครับ”  เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงน้อง  เสียงติดไปทางแหบน่าจะเกิดจากการร้องไห้มาเป็นเวลานานบวกกับนั่งตากลมอยู่ริมถนนนี้ด้วย อาจจะป่วยเลยก็ได้

เมื่อคิดได้แบบนั้น ผมก็รีบหันกลับไปเบาะหลัง รื้อถุงแซนวิชที่ได้มาจากตอนประชุมตั้งแต่เมื่อตอนบ่ายออกมาแล้วยื่นให้น้องกินรองท้อง ก่อนจะเปิดลิ้นชักรถหยิบยาแก้ปวดออกมาแล้วยื่นให้น้องตามไป

“พี่ฟังจากเสียงดูเหมือนจะไม่สบาย” ผมพูดอธิบาย เมื่อน้องทำหน้าเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำให้ ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจกับการขับรถแทน เพราะถ้าผมนั่งจ้องน้องเขาต่อมันก็จะดูน่ากลัวไปหน่อย อีกอย่างน้องเขาก็คงอึดอัดและไม่กล้ากินของที่ผมหยิบยื่นให้

“.....”  น้องมองของในมือก่อนจะเริ่มลงมือแกะแซนวิชออกมากิน 

น่าจะหิวสินะ  ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่กี่โมง?  อยากกินอะไรมั้ย?  ผมได้แต่เก็บคำถามเหล่านั้นไว้ในใจ ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมในรถไปเรื่อยๆ น่าจะดีเสียกว่าพยายามชวนคุยทั้งๆที่ไม่มีเรื่องอะไรจะคุย เพราะมันจะพาลให้รู้สึกอึดอัดกันทั้งสองฝ่าย
ทำไมคนที่เพิ่งจะเจอกันครั้งแรกถึงได้มามีอิทธิพลของผมได้ขนาดนี้  มันเป็นอะไรที่ไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้จริงๆ



.......

หลังจากผมขับรถมาเป็นเวลาประมาณ 5 ชั่วโมงติดต่อกันโดยไม่ได้พัก ร่างกายก็เริ่มจะมีอาการล้าออกมาให้เห็นบ้างเล็กน้อย และผมไม่เสี่ยงที่จะฝืนตัวเองขับรถต่อไปในสภาพที่ตัวเองไม่เต็มร้อยแบบนี้  ผมจึงเริ่มสอดส่ายสายตาหาจุดแวะพักรถข้างทาง แต่แล้วสายตาก็สะดุดเข้ากับใบหน้าของคนข้างๆที่ตอนนี้นอนหลับไปแล้ว น่าจะเพราะเหนื่อยบวกกับฤทธิ์ของยาแก้ปวดด้วย (มันเกี่ยวรึเปล่าวะ?555)

“อื้มมม” น้องครางในลำคอออกมาเบาๆก่อนจะขยับตัวจัดท่านอนตัวเองใหม่ น่าจะหลับแบบไม่สบายตัวเท่าไหร่ ก็แน่ล่ะ นอนบนรถจะไปสบายอะไรได้นัก ที่ก็มีอยู่แค่นี้ ขายังยืดเต็มความยาวไม่ได้เลย

“หึๆ” ผมเผลอยิ้มออกมาเบาๆกับภาพตรงหน้า ก่อนจะรีบดึงสติตัวเองกลับมาโฟกัสกลับถนนตรงหน้าต่อ

เมื่อเจอปั๊มอยู่ไม่ไกลตรงหน้า ผมก็ชะลอรถและเปิดไฟเลี้ยวเพื่อเลี้ยวเข้าไปจอดพักรถและพักร่างกายทันที  บรรยากาศในปั๊มตอนนี้ก็เงียบไปตามระเบียบเนื่องจากช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาวที่จะมีรถสัญจรกันเยอะๆ  ดีเหมือนกัน ที่จอดรถเหลือเยอะแยะจนจอดขวางที่เดียวสามช่องยังทำได้เลย

“เอ่อ..น้องวา”  ผมเรียกน้องเบาๆ ใจหนึ่งก็อยากจะปลุกให้ตื่นเพื่อจะได้ถามว่าหิวมั้ย? อยากกินอะไรหรือเปล่า?  แต่อีกใจหนึ่งก็อยากปล่อยให้น้องนอนต่อให้เต็มอิ่ม

“อื้มม” น้องครางออกมาเบาๆอย่างขัดใจเมื่อโดนรบกวน (จากผม)

ผมนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจได้ว่า ปลุกน้องให้ตื่นขึ้นมาหาอะไรกินให้อิ่มและอยู่ท้องมากกว่าแซนวิชชิ้นเล็กๆนั้นดีกว่า แล้วเหลือเวลาเดินทางอีกประมาณ 5 ชั่วโมงให้ได้นอนต่อ ซึ่งก็น่าจะเพียงพอแล้ว ดีกว่าตื่นขึ้นมากลางทางตอนไม่มีปั๊มหรือเซเว่นแล้วเกิดหิวขึ้นมาตอนนั้นจะยุ่งได้

“น้องวาครับ”  ผมเรียกปลุกน้องอีกครั้ง แต่คราวนี้ใช้มือเขย่าไหล่น้องเบาๆด้วยเพื่อเป็นการช่วยปลุก

“หืม?”  น้องค่อยๆปรือตาขึ้นมามองผมช้าๆก่อนจะกระพริบตาถี่เพื่อปรับสภาพการมองเห็นให้ชัดขึ้น และรับกับแสงของไฟภายในรถตอนนี้

“พี่จะแวะพักหน่อย เอาอะไรมั้ย?”  ผมถามพร้อมกับถอยกลับมานั่งในตำแหน่งคนขับตามเดิมจากที่ก่อนหน้านี้คือชะโงกตัวข้ามโซนกลางรถเพื่อไปปลุกน้อง

“ไม่เป็นไรครับ”  น้องเปล่งเสียงออกมาเบาๆ น้ำเสียงดูดีขึ้นกว่าในตอนแรกมาก น่าจะได้ฤทธิ์ยาช่วยเอาไว้นั้นเอง

“อืม จะลงไปเข้าห้องน้ำหรือสูดอากาศหน่อยมั้ย? ถ้าไม่พี่จะได้ไม่ปิดรถ”  เมื่อเห็นว่าน้องมีทีท่าไม่อยากกิน ผมก็ไม่อยากจะเซ้าซี้ต่อให้น่ารำคาญ แต่ก็คิดว่าน้องน่าจะเมื่อยตัวอยู่พอสมควร เลยชวนให้ลงจากรถไปยืดเส้นยืดสายแทน

“เอ่อ..ลงก็ได้ครับ” สุดท้ายน้องก็ตอบตกลงแล้วเปิดประตูลงจากรถ ตรงไปยังห้องน้ำทันที

ผมมองตามแผ่นหลังนั้นไป ก่อนจะจัดการดับเครื่องรถและลงจากรถตามเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวต่างๆรวมถึงล้างหน้าล้างตาให้ตัวเองสดชื่นมากขึ้นด้วย  ก่อนจะขับรถต่อน่าจะต้องอัดกาแฟ เอ็มร้อย แล้วก็แบรนด์ซุปไก่ เข้าไปอย่างละหนึ่งเลย เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกลนัก

“เอ่อคือ...”  ผมลูบน้ำออกจากหน้าก่อนจะลืมตาขึ้นมองในกระจก แต่ก็ต้องชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าน้องมายืนอ้ำๆอึ้งๆเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างอยู่เยื้องไปทางด้านหลังของผม

“ครับ?”  ผมไม่ได้หันกลับไป แต่สบตาน้องผ่านทางในกระจกแทน  จะว่าไปผมกับน้องสูงเกือบจะเท่ากันเลย ผมสูงกว่าน้องนิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกันเรื่องขนาดตัวแล้ว น้องมัดรวมกันสามคน ไม่รู้จะเท่าผมคนเดียวหรือเปล่า ฮ่าๆๆๆ  เด็กสมัยนี้ไม่กินข้าวกันรึไง? ตัวบางนิดเดียว ลมพัดมาก็คงปลิวไปตามลม

“คือ..ผมไม่ได้เอาตังค์มาเลย”  น้องพูดออกมาเสียงเบาก่อนจะก้มหน้าลงมองพื้นอย่างอายๆ  ผมอดที่จะยิ้มกับท่าทางเหล่านั้นไม่ได้

“จะเข้าเซเว่นใช่มั้ย?”  ผมถามพร้อมกับหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับน้องที่ก็ยังคงหลบสายตาผมอยู่   มีคนเคยบอกนะว่าสีตาของผมน่ากลัว มันดำสนิท ไม่ได้เป็นสีน้ำตาลเข้มๆเหมือนของคนทั่วไป  แต่ก็ไม่มีใครที่จงใจหลบสายตาของผมแบบนี้มาก่อน

“...”  น้องไม่ตอบแต่พยักหน้าออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามาสบตากับผม

ผมชะงักไปอีกครั้งเมื่อได้จ้องเข้าไปในตาของน้องแบบชัดๆ  ตาน้องเป็นสีน้ำตาลเข้ม  ดูเป็นสีที่สว่างสดใส หากแต่ตอนนี้แววตามันเต็มไปด้วยความหม่นหมองเลยบดบังความสดใสของตาคู่นี้ไปมาก

“ไปกันเถอะ”  ผมพูดพร้อมกับเช็ดมือกับทิชชู่แล้วโยนลงถังขยะ  ก่อนจะเดินนำออกไปทางเซเว่นที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

น้องเดินตามผมมาเงียบๆ ไม่พูดอะไรออกมาอีกตามเคย คงจะเป็นคนพูดน้อยละมั้ง  อีกอย่างเราก็ไม่ได้สนิทกันด้วยจะให้พูดอะไรกันวะ  เรื่อง ลม ฟ้า อากาศ งี้เหรอ?

“อากาศหนาวเนอะ เราหนาวมั้ย?”  เร็วกว่าความคิด ผมถามน้องออกไปเพื่อทำลายความเงียบระหว่างเราสองคน  แต่พอกลับมา
คิดดูแล้วอยากจะตบปากตัวเองแรงๆสักที  คำถามอะไรของกูวะ? 

“ฟืดด... นิดหน่อยครับ”  น้องสูดน้ำมูกก่อนจะตอบผมกลับมา เออ  ผิดคาดแหะ  นึกว่าจะไม่ตอบซะแล้ว

“ไม่สบายรึเปล่า?”  ผมพูดพร้อมกับหยุดเดินแล้วหันหลังกลับไปเอามืออังที่หน้าผากของน้องอย่างถือวิสาสะ
แม่ง!!!  เอาอีกแล้ว  ทำอะไรของกูวะเนี่ย?? 

“เอ่อ...”  ผมรีบดึงมือตัวเองกลับทันทีที่ได้สติ  ควรพูดอะไรมั้ยตอนนี้?  หรือปล่อยให้มันผ่านๆไป  น้องเขาน่าจะไม่ได้สนใจอะไรหรอกมั้ง

“....”  น้องกลับมาเงียบอีกครั้ง พร้อมกับมองหน้าผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“ตัวไม่ได้ร้อนมาก  น่าจะไม่เป็นอะไร”  ผมรีบพูดออกมาก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินนำลิ่วเข้าเซเว่นไปอย่างเร็ว



 
.....



ผมวางของที่ตัวเองหยิบลงบนเคาเตอร์จนเต็ม  ซื้อตุนน่ะครับ เผื่อทางข้างหน้าหาร้านยาก ก็ซื้อไว้ซะตั้งแต่ตอนนี้เลย  ทั้งขนม  น้ำ  ลูกอม  หมากฝรั่ง  รวมถึงยาแก้ปวด ยาแก้ไอ  แล้วก็ฟ้าทลายโจรแก้เจ็บคอด้วย

“เอา LM เขียว ซองนึงครับ...ฟืด”  ผมมองไปที่คนข้างๆอย่างแปลกใจ  หน้าใสๆแบบนี้นี่สูบบุหรี่ด้วยเหรอ?

ผมก็ใช่ว่าจะไม่เคยสูบ  ต้องใช้คำว่าติดเลยแหละช่วงเรียนมหาลัยน่ะ  แต่สุดท้ายพอโตขึ้นก็เลิกไปเอง อีกอย่างพอกลับมาอยู่ที่บ้าน ก็ไม่อยากจะสูบให้พ่อกับแม่ได้รับควันไปด้วย เลยเป็นเหตุผลบังคับทำให้ผมเลิกได้อย่างง่ายดาย  แต่ทุกวันนี้ก็ยังสูบนะเวลาไปกินเหล้า เพราะมันช่วยให้หัวโล่ง กินเหล้าคล่องคอขึ้น

“เอ่อ..เดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมจ่ายคืนนะพี่”  น้องนิ่งไป ก่อนจะหันมามองหน้าผมแบบเกรงใจขั้นสุด  ผมเลยพยักหน้าตอบไป ไม่อยากจะไปเตือนเรื่องบุหรี่ตอนนี้เพราะดูท่าทางน้องมันก็น่าจะมีเรื่องเครียดอะไรในใจอยู่ จะห้ามไม่ให้สูบก็สงสาร

ผมมองในมือมันที่ตอนนี้มีแค่น้ำเปล่าขวดหนึ่งกับเยลลี่โคล่าสองห่อ แค่นั้น ไหนอาหารมึงวะ?  นี่มันไม่หิวเลยเหรอ?

“น้องครับเอามาม่าคัพเพิ่มอีกอัน  รสอะไรก็ได้”  ผมสั่งออกไปก่อนจะจ่ายเงินแล้วฝากถุงข้าวของที่ซื้อให้น้องมันถือออกไปนั่งรอที่ม้าหินอ่อนหน้าเซเว่น  ในขณะที่ตัวเองเดินไปโซนที่น้ำร้อนและเริ่มลงมือกดน้ำร้อนใส่ในถ้วยมาม่าทั้ง ‘สองถ้วย’ ทันที


“อ่ะ” ผมพูดพร้อมกับดันถ้วยมาม่าอันนึงในมือไปตรงหน้าน้อง  อย่างน้อยๆได้กินอะไรหน่อยก็คงดี จะได้หลับสบายไม่ต้องทนหิว

“....”  น้องมองผมกลับด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ(อีกแล้ว)  วันนี้น้องมองผมด้วยสายตาแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

“กินเหอะ บุหรี่มันไม่อิ่มหรอก”  ผมพูดพร้อมกับบุ้ยปากไปที่บุหรี่ที่น้องมันคีบเอาไว้ในมือ ที่ตอนนี้เหลือแค่ครึ่งมวน

“ขอบคุณครับ”  น้องตอบกลับก่อนจะรีบดูดบุหรี่ในมือให้หมดมวนแล้วทิ้งก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ  แล้วเริ่มลงมือกินมาม่าที่ผมซื้อให้ทันที

“....”  ผมเผลอนั่งมองน้องกินอยู่นานก่อนจะต้องสะดุ้ง เมื่อน้องเงยหน้าขึ้นมาสบตาเข้กับผมที่จ้องอยู่พอดี

“มีอะไรรึเปล่าครับ?”  น้องขมวดคิ้วพร้อมกับถามผมกลับมาด้วยสีหน้างงๆ

“จะถามว่าวันนี้ทั้งวันกินอะไรรึยัง? ดูหิว”  ผมแถไปก่อนเลยครับนาทีนี้  ไม่รู้คำตอบที่ออกมานั้นฟังดูโง่เกินไปหรือเปล่า

“ยัง”  น้องตอบกลับมาเบาๆพร้อมกับส่ายหัวไปมาเล็กน้อย  ก่อนจะลงมือกินมาม่าในมือต่อจนหมด

“อิ่มยัง?”  ผมถามเมื่อเห็นว่าน้องกำลังยกถ้วยมาม่าขึ้นซดน้ำจนหมดหยดสุดท้าย  คงจะหิวมากจริงๆ

“อิ่มแล้วครับ”  น้องพยักหน้าก่อน หยิบซองบุหรี่บนโต๊ะขึ้นเคาะบุหรี่อีกตัวออกมาจากซองแล้วคาบเอาไว้ที่ปาก  ส่วนมือก็ควานหาไฟแช็คในกระเป๋าเสื้อไป

“ดูดจัดเหมือนกันนะเรา”  ผมพูดพร้อมกับเริ่มต้นแกะเครื่องดื่มกันง่วงออกมากินทีละอย่าง

“ครับ”  มันพยักหน้ารับ  ก่อนจะเงยหน้าพ่นควันขึ้นฟ้าอย่างไม่รีบร้อน

ผมนิ่ง มองไปที่ภาพตรงหน้าอย่างละสายตาไม่ได้ ความรู้สึกเหมือนโดนสะกดเอาไว้  มันช่างดูเป็นอะไรที่ดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก ลำคอขาวๆที่แหงนขึ้นจนสุดความยาว พร้อมกับเรียวปากสีแดงระเรื่อที่เผยอเล็กน้อยเพื่อจะปล่อยควันสีขาวหม่นที่ตัดกับสีปากนั้นออกมาอย่างอ้อยอิ่ง

‘เซ็กซี่’  คำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวผมตอนนี้ และผมคิดว่ามันอธิบายภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจนที่สุด

ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก  บ้าชิบ!  นี่กูเป็นอะไร  มองเด็กผู้ชายว่าเซ็กซี่เนี่ยนะ?

“พี่เอามั้ยครับ?”  น้องพูดพร้อมกับยื่นซองบุหรี่มาให้ผม

ผมส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับเอามือดันซองบุหรี่นั้นกลับไป

“พี่เลิกแล้ว”  ผมพูดปฏิเสธออกมาก่อนจะยกแบรนด์ซุปไก่ขึ้นกรอกเข้าปากอย่างรวดเร็ว  มันช่วยให้ตาสว่างได้จริงๆนะ แม้รสชาติจะไม่ใกล้เคียงกับคำว่าอร่อยเลยก็ตาม

“ดีจัง”  น้องพูดตอบผมกลับอย่างเหม่อลอย  ก่อนจะยกบุหรี่ขึ้นจรดปากแล้วดูดเข้าไปอีกครั้ง

“อย่าดูดเยอะมันไม่ดี”  ผมพูดเตือนเหมือนที่ผู้ใหญ่ทั่วไปพูดเตือนเด็ก  อีกอย่างผมคิดว่าผมสามารถพูดเตือนพูดสอนคนอื่นได้ เพราะผมได้ผ่านจุดๆนั้นมาแล้ว หากตัวผมเองยังเลิกไม่ได้ ผมก็คงไม่มีหน้ามาพูดเตือนคนอื่นอยู่แบบนี้

“ผมรู้พี่  แต่ทำไงได้  ดูดแล้วมันรู้สึกดี”

“อืม พี่เข้าใจ”  ผมพยักหน้ารับก่อนจะเก็บของกินที่หมดแล้วใส่ถุงเพื่อไปทิ้งในถังขยะ  ส่วนของที่ยังเหลือก็เก็บใส่ถุงเพื่อเอาไปกินต่อบนรถ

เรานั่งคุยกันต่ออีกเล็กน้อย  ก่อนจะเก็บของและเดินกลับมาขึ้นรถเตรียมตัวจะออกเดินทางต่อ

“อ่ะ”  ผมเอี้ยวตัวไปที่เบาะหลัง ก่อนจะหยิบผ้าห่มของน้องสาวที่ใส่ไว้ติดรถผมเสมอ เพราะเวลาขึ้นรถทุกครั้งมันจะหลับแต่มัน
เป็นคนทนหนาวไม่ค่อยได้ ก็เลยเลือกแก้ปัญหาด้วยการเก็บผ้าห่มไว้ในรถผมซะเลย

“ครับ?”  น้องรับไปแบบงงๆ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่าให้กูทำไม?

“เผื่อหนาว  เอาไปห่มได้ หรือไม่ก็หนุนรองคอก็ได้”  ผมพูดแบบไม่ได้หันไปมองว่าน้องมันกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ เพราะตอนนี้ผมกำลังจดจ่ออยู่กับถนนตรงหน้า

“ขอบคุณครับ”  เสียงขอบคุณดังขึ้นเบาๆ  ก่อนจะเงียบไปและถูกแทนที่ด้วยเสียงหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเมอแทน

“หึๆ”  ผมส่ายหัวเบาๆให้กับพฤติกรรมเหล่านั้น  เด็กยังไงก็ยังเป็นเด็กวันยังค่ำ ถึงภายนอกจะแสดงออกว่าตัวเองโตแล้วแต่
สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านิสัยจริงๆของน้องยังเด็กอยู่มาก  บุคลิกที่เหมือนโตแล้วนั้นอาจจะถูกเจ้าตัวสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเกราะให้กับตัวเองก็ได้

ผมตัดสินใจเปิดเพลงคลอเบาๆให้ในรถไม่เงียบจนเกินไป ไม่งั้นตาผมพาลจะปิดลงเสียให้ได้  แต่ก็ต้องเบาเสียงไม่ให้ไปรบกวนคนที่กำลังหลับสนิทอยู่ข้างๆตอนนี้



ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ katiezz

  • เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
ต่อจากด้านบน



หลังจากขับรถติดต่อกันมาเป็นเวลานานหลายชั่วโมงเราทั้งสองคนก็พากันมาถึงจุดหมายเสียที เอาจริงๆก็ไม่ใช่เราสองคนหรอก เพราะคนข้างๆผมนอนหลับตาพริ้มซุกตัวเข้าผ้าห่มที่ผมหยิบยื่นให้อย่างมีความสุข ปล่อยให้ผมถ่างตาขัรถอยู่คนเดียวเลย แต่ก็เอาเถอะ ถึงน้องมันจะตื่นก็คงไม่ได้มีการสนทนาอะไรมากมายเท่าไหร่หรอก ปล่อยให้หลับไปก็ดีแล้วแหละ

ผมค่อยๆชะลอความเร็วของรถลงก่อนจะจอดนิ่งสนิทในที่สุด

“ถึงบ้านแล้วเหรอครับ?”  น้องลุกขึ้นมานั่งก่อนจะขยี้ตาเพื่อปรับให้รับกับแสงแดดอ่อนๆยามเช้าได้

“พี่ขอแวะบ้านแปปนึง  เราจะลงมั้ย?”  ผมค้นในช่องใส่ของข้างตัวเพื่อจะหากุญแจบ้าน พร้อมกับถามน้องไปด้วย

“บ้านคุณครูจิตรานี่ครับ”  น้องพูดออกมาอย่างแปลกใจพร้อมกับมองหน้าผมสลับกับมองไปที่ตัวบ้าน

“อือ  จะลงไปหาครูจิตรามั้ย?”  ผมถามพร้อมกับส่งยิ้มบางๆไปให้  ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นลูกรักแม่ผมได้ไม่ยากเลยล่ะครับ  แม่ผมชอบเด็กที่มีสัมมาคารวะ  ไม่ต้องเรียบร้อยหรือเรียนเก่งก็ได้ แต่ขอแค่รู้จักกาลเทศะและเคารพผู้ใหญ่ก็พอ

“เอ่อ...”  น้องเงียบไปพร้อมกับขมวดคิ้ว ดูจะใช้ความคิดอย่างหนักว่าควรลงไปดีหรือไม่

“ว่าไง?”  ผมถามย้ำอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นให้น้องตอบ

“ไปครับ”  น้องพยักหน้าตอบกลับมาก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยออกและพับผ้าห่มวางไว้ที่เบาะหลังตามเดิม

ผมลงจากรถก่อนจะเดินตรงไปที่รั้วเพื่อไขปลดล็อคกุญแจ แล้วจึงเปิดประตูออกกว้างเพื่อให้น้องเดินตามเข้ามาในบ้าน

“ซัน กลับมาแล้วเหรอลูก?”  แม่ของผมเดินออกมาพร้อมกับข้าวของในมือพะรุงพะรัง  น่าจะกำลังมาเตรียมจัดโต๊ะที่หน้าบ้านเพื่อ
ใส่บาตรพอดี

“ครับ”  ผมยิ้มกว้างทันทีที่เห็นหน้าของแม่  ก่อนจะรีบเดินเข้าไปช่วยถือของในมือแม่แล้วเดินเอาไปวางบนโต๊ะที่กางเตรียมไว้
แล้ว

“แล้วนี่ใครล่ะลูก?”  แม่ขยับแว่นเล็กน้อยพร้อมกับมองไปที่น้องอย่างนึกสงสัย  คงจะจำกันไม่ได้แล้วล่ะ  ไม่เจอกันตั้งแต่น้องขึ้น
ม.ต้นแล้วนี่

“น้องวาไงครับ”  ผมตอบพร้อมกับเดินกลับไปยืนอยู่ด้านหลังน้อง เว้นระยะห่างเอาไว้เล็กน้อย

“อ้าวว วาเหรอลูก?”  แม่ผมรีบโผเข้ามาหาวาทันที  จนวาต้องเป็นฝ่ายรีบเดินเข้าไปหาแทน ไม่งั้นแม่ของผมอาจจะล้มเอาได้

“ครับครู สวัสดีครับ”  น้องกอดตอบแม่ผมพร้อมกับยิ้มออกมากว้าง  เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“โตขึ้นเยอะ  ครูจำไม่ได้เลย  เป็นไงบ้างลูก?”

“สบายดีครับ  เอ่ออ...แต่วาต้องขอโทษด้วยนะครับ ที่ไม่มีของฝากมาให้ครูเลย”  น้องผละออกจากอ้อมกอดของแม่ผมก่อนจะทำสีหน้าสำนึกผิดอย่างรุนแรง

“โอ้ย ไม่เป็นไรหรอกลูก กลับมาปลอดภัยกันก็ดีที่สุดแล้ว”  แม่โอบเอวของน้องเอาไว้ก่อนจะพากันเดินไปยังโต๊ะที่เตรียมไว้ตักบาตรหน้ารั้วบ้าน

“มากันแล้วเหรอ?”  พ่อของผมพูดทักทายขึ้นพร้อมกับเดินลงบันไดถือของมาเต็มองมือ

“มา ผมช่วย”  ผมรีบเดินปรี่เข้าไปช่วยพ่อถือของทันที

“ไม่เป็นไรๆ ไปช่วยแม่แกจัดของเถอะ”  พ่อส่ายหน้าพร้อมกับพยายามเอามือที่เต็มไปด้วยของมากมายมาดันหลังผมให้เดินนำไปหาแม่

“คุณลุง สวัสดีครับ”  เมื่อเห็นว่าพ่อผมเดินออกมาสมทบ น้องก็ไม่ลืมที่จะไหว้ทักทายทันที

“ไหว้พระเถอะลูก  เป็นไงพี่ซันขับรถเร็วมากมั้ย? ฮ่าๆๆๆ”  พ่อถามน้องกลับแซวๆพร้อมกับบุ้ยปากมาทางผม

“ไม่เลยครับ พี่ซันขับนิ่มมาก วาหลับตลอดทางเลย”

พี่ซัน  พี่ซัน  พี่ซันนน .....  เป็นครั้งแรกที่น้องเรียกชื่อผมแบบนี้  ผมนี่เข่าอ่อนเลยครับ

เฮ้ย!  แต่เดี๋ยวนะ กูจะเข่าอ่อนทำไม  น้องเขาเรียกชื่อกูมันก็ถูกต้องแล้วรึเปล่า?

“อ้าว  พระมาพอดี  มาใส่บาตรด้วยกันดีกว่าลูก”  พ่อกับแม่ของผมเร่งมือจัดของบนโต๊ะให้เป็นชุดเพื่อง่ายต่อการใส่บาตร  ทิ้งให้ผมกับน้องยืนอยู่ข้างๆกันด้านหลัง

“เอ่อ..ผมว่าผมไปรอที่รถดีกว่า”  น้องหันมากระซิบกับผมเบาๆแบบไม่ให้พ่อกับแม่ของผมได้ยิน

“ทำไมล่ะ?”  ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย  ก่อนจะยึดไหล่ของน้องเอาไว้ไม่ให้เดินไปที่รถ

“ก็...พี่จะได้ใส่บาตรกับครอบครัว”  น้องพูดตอบผมกลับมาเสียงเบา

“ใส่ด้วยกันนี่แหละ  แม่พี่คงอยากให้เราใส่ด้วย  จะปฏิเสธเหรอ?”  ผมรีบยกแม่มาอ้างทันทีที่เห็นน้องทำสีหน้าลำบากใจ

“ก็ได้ครับ”  น้องตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้ก่อนจะเขยิบเข้ามาใกล้กับแม่ของผมมากขึ้น

“อ่ะเดี๋ยวลูกสองคนใส่พระรูปหลังเลยนะ”  แม่หันกลับมาบอกพร้อมกับถอยออกห่างจากโต๊ะและให้ผมกับน้องเข้าไปยืนแทน  เมื่อพ่อกับแม่ใส่บาตรกับพระรูปแรกไปแล้ว

“ครับ”  ผมพยักหน้ารับก่อนเดินมาหยิบของที่แม่เตรียมไว้ใส่ลงไปในบาตรของหลวงพี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ช่วยพี่เขาสิลูก”  แม่แตะที่แขนน้องเบาๆ เมื่อเห็นว่าน้องยังคงยืนนิ่งอยู่

“เอ่อ...”  น้องยืนมือออกมาอย่างเก้ๆกังๆเพราะไม่รู้ควรจะจับอะไรใส่ไปในบาตรบ้าง

“หึๆ”  ผมหัวเราะออกมาเบาๆ  นี่เคยใส่บาตรบ้างรึเปล่าเนี่ย?  ก่อนจะจับมือน้องให้มาวางอยู่บนแขนของผมเหมือนที่แม่ทำตอน
ใส่บาตรกับพ่อ

“....”  น้องชะงักไปแปปนึง  แต่ก็ยอมแตะแขนผมเอาไว้แต่โดยดี

และเมื่อใส่บาตรจนครบพระสงฆ์ทุกรูปแล้ว  พวกเราทั้งสี่คนก็นั่งยองๆลงกับพื้นพร้อมกับยกมือขึ้นมาเพื่อจะรับพรจากพระสงฆ์ท่าน

“อายุ วัณโณ สุขัง พลัง”

“สาธุ”  เราทั้งสี่คนพูดออกมาพร้อมกันก่อนจะเอายกมือขึ้นพนมเหนือหัวแล้วลูบลงบนหัวตัวเองเบาๆ

“เห้อ แล้วนี่จะไปไหนต่อล่ะเนี่ย?”  พ่อหันมาถามพลางเก็บของไปด้วย

“เดี๋ยวผมแวะไปส่งน้องที่บ้านก่อน  แล้วจะกลับมากินข้าวเช้าครับ”  ผมตอบกลับคำถามของพ่อไป ก่อนจะสะกิดให้น้องบอกลา
ท่านทั้งสอง

“ผมกลับก่อนนะครับ  แล้วจะแวะมาเยี่ยมใหม่”  น้องพูดพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม

“จ้ะ ซันขับรถดีๆนะลูก”  แม่เดินเข้ามากอดน้องอีกครั้ง  และไม่ลืมที่จะหันมาเตือนผมเหมือนทุกครั้ง

“ครับ”  ผมพยักหน้ารับ  ก่อนจะเดินนำกลับมาที่รถอีกครั้ง

“เป็นไงสบายใจขึ้นมั้ย?”  ผมหันไปถามน้องที่กำลังง่วนอยู่กับการคาดเข็มขัดนิรภัยของตัวเอง

“ครับ”  น้องพยักหน้าตอบกลับพร้อมกับส่งยิ้มกว้างมาให้ผม

ผมมองรอยยิ้มนั้น มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มออกมาจากข้างใน  ยิ้มจนตาหยีเป็นสระอิ  ทำให้ผมอดที่จะยิ้มตามไม่ได้เลย

แต่เดี๋ยวนะ! นี่ผมเป็นอะไร?  ทำไมการกระทำของเด็กตรงหน้าถึงได้มีอิทธิพลกับผมได้มากมายขนาดนี้

"เวลาเรายิ้มดูเป็นคนละคนกับเมื่อคืนเลยนะ"

"..."

“เก็บยิ้มนี้ไว้ดีๆนะ  อย่าให้มันหายไปไหนอีก”



หรือผมจะต้องกลืนน้ำลายตัวเองซะแล้วนะ?


‘ผมชอบคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่  ไม่ชอบเด็ก!!’




TBC


หายไปนานเหมียนตายไปแล้ว 55555

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ตกใจ ที่เฮียซันไปรับน้องวาได้ คิดว่าขับรถอ้อมไปถึงแม่สาย แล้วเลียบถนนผ่านจังหวัดเลยมาถึงที่น้องวานั่งอยู่ แหะๆ แซวเล่นๆ นะจ๊ะ ดีใจที่มาต่อจ้า ยังจำตัวละครได้ไม่ต้องกลับไปอ่านตอนแรกๆ ไรท์ก็รักษาสุขภาพนะ อย่าหายไปนานอีกละ
 :really2: :really2:

ออฟไลน์ Windtofree

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ katiezz

  • เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
ตอนที่ 7 พี่ไม่ได้ดุนะ




[วา]



นับจากวันที่กลับจากกรุงเทพจนถึงวันนี้ก็น่าจะครบ 2 อาทิตย์พอดี

ถ้าถามว่าดีขึ้นมั้ย?  มันก็ต้องดีขึ้นอยู่แล้วล่ะครับ แต่ถ้าถามว่ากลับมาเป็นปกติ 100% แล้วหรือยัง? มันก็คงไม่

ถึงผมจะพาตัวเองมาอยู่ในที่ใหม่ๆ เปลี่ยนบรรยากาศรอบๆตัว  เปลี่ยนคนรอบๆข้าง เปลี่ยนรูทีนของตัวเอง มันเลยทำให้ไม่มีสิ่งที่จะมาสะกิดใจหรือไม่มีอะไรที่จะทำให้คิดถึงเหตุการณ์นั้นเท่าไหร่นัก แต่เวลาเผลอๆมันก็ยังแอบมีแวบไปนึกถึงบ้างเหมือนกัน

ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้น เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา ก็เหมือนกับที่คนอื่นๆเคยพูดไว้นั่นแหละครับ เวลาจะเยียวยาทุกอย่าง เมื่อก่อน
ผมก็เคยเป็นคนที่ทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ข้อความปลุกใจพวกนี้นะ แต่มาวันนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยล่ะครับว่ามันช่วยได้จริงๆ

ตั้งแต่วันนั้นผมก็แทบไม่ได้จับมือถืออีกเลย จากคนที่เคยติดโซเชียลหนักๆ ต้องจับมือถือตลอดเวลาแบบผมกลายเป็นคนที่ปล่อยให้เฟสบุ๊ค ไอจี หรือแม้แต่ทวิตเตอร์ร้างราวกับเจ้าของแอคได้ตายไปแล้วแบบนี้ มันดูเหมือนไม่ใช่ผมเลย แต่ผมก็ยังไม่เข้มแข็งพอที่จะรับรู้อะไรเหมือนกัน

เอาจริงๆผมก็คงไม่ได้โกรธหรือเกลียด 2 คนนั้นหรอกครับแต่มันดันเป็นความรู้สึกอื่นมากกว่าซึ่งผมก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร อาจจะเป็นผิดหวังหรือรู้สึกเหมือนโดนหักหลังอะไรประมาณนั้นซะมากกว่ามั้ง แล้วพอได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองจริงๆ กลายเป็นว่าคำว่าเพื่อนมันดันพุ่งมากระแทกหน้าผมอย่างแรง ก็หวังไว้ว่าเปิดเทอมกลับไปทุกอย่างมันจะดีขึ้นเหมือนที่ผมคิดเอาไว้ 

หวังว่าอ่ะนะ

“น้อง” ผมสะดุ้งเล็กน้อยจากเสียงตะโกนเรียกของคนที่ยืนเกาะอยู่หน้าประตู

“ครับ?”

“ไปในสวนมั้ย? ติดอะไรอยู่รึเปล่า?” เขาก็ยังเกาะอยู่ที่ประตูแบบนั้นไม่ยอมเดินเข้ามาในห้อง ทำให้ต้องตะโกนแข่งกับเสียง
เครื่องจักรข้างนอก แต่ผมก็เข้าใจนะ รองเท้าเซฟตี้มันถอดยากใส่ยาก

“ไม่ติดครับพี่”

“งั้นไปด้วยกันๆ มอเตอร์ของปั๊มน้ำตรงบ่อท้ายสวนมันไหม้ เขามาแจ้งให้พวกกูไปซ่อม”

“ได้ครับพี่ เดี๋ยวผมตามลงไปนะครับ”

“เออ รีบหน่อยเว้ย” คนตัวเล็กกว่าผมตะโกนตอบกลับมาจากหน้าประตูก่อนจะวิ่งหายลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว

ผมลุกขึ้นยืนบิดตัวเล็กน้อยเพื่อไล่ความเมื่อยเพราะตั้งแต่เช้าจนตอนนี้เกือบเที่ยงผมก็ได้แต่นั่งอ่านและทำความเข้าใจ
กระบวนการผลิตของโรงงานอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวนี้ ไม่ได้ไปไหนเลย

ใช่ครับ สุดท้ายผมกูโดนลากมาฝึกงานตามที่พ่อเคยบอกเอาไว้ แต่มันก็ดีนะเพราะมันทำให้ผมไม่ว่างจะไปนั่งคิดอะไรฟุ้งซ่าน ถึง
แม้จะไม่ค่อยมีงานอะไรให้ทำแต่อย่างน้อยๆ ในแต่ละวันผมต้องมีอะไรไปรายงานพี่เขาก่อนจะกลับบ้าน เลยกลายเป็นว่าถึงจะไม่มีงานหน้างานที่ต้องลงไปทำ ผมก็จะต้องนั่งทำความเข้าใจพวกกระบวนการผลิตแล้วไปพูดให้พี่เขาฟังอยู่ดี

และใช่ครับ พี่คนที่ว่านั่นก็คือ พี่ซัน หรือเฮียซันของคนในโรงงาน ซึ่งก็เป็นคนเดียวกับที่ไปเจอผมสภาพเหมือนหมานั่งร้องไห้อยู่
ข้างถนน เป็นคนที่ขับรถให้ผมนั่งตั้ง 10 กว่าชั่วโมง และตำแหน่งสำคัญคือเป็นลูกชายของคุณครูจิตรา คุณครูคนโปรดของผมตอนมัธยมนั่นเอง

“ไอ้วาโว้ยยย!”

“ครับไปแล้วครับพี่” ผมรีบคว้าหมวกเซฟตี้กับเสื้อชอป....

เพื่อไปนั่งใส่รองเท้าเซฟตี้อยู่หน้าห้องทำงานด้วยความยากลำบาก

รองเท้าเวร! แกทำให้ฉันดูแย่!



.......


“ช้าจังวะ” ช่างแสน คนคนเดียวกับที่ไปตามผมบนห้องพูดขึ้นทันทีที่ผมลงมาสมทบกับเขาด้านล่าง

“รองเท้ามันใส่ยากอ่ะพี่” ผมก้มหัวหน่อยๆเป็นเชิงขอโทษพร้อมกับอธิบายเหตุผลให้เขาฟัง มันใส่ยากจริงๆนะ

“เออ กูเข้าใจ ใหม่ๆก็งี้แหละ”

“ครับ”

“งั้นไปกันเลย มึงเอาจักรยานเฮียซันไปละกัน เดี๋ยวกูซ้อนโก๋นัทไป” ช่างแสนพูดพร้อมกับยกกล่องเครื่องมือขึ้นแล้วเดินนำผมไป
ยังช่องจอดจักรยานของพนักงาน

“แล้วพี่ซันไม่ไปเหรอพี่?”

ปกติเวลามีงานซ่อมส่วนใหญ่พี่ซันจะไม่ค่อยปล่อยให้ช่างไปกันเองสักเท่าไหร่นัก อย่างน้อยก็จะต้องมีวิศวกรไปด้วยหนึ่งคน
เหมือนไปเพื่อเป็นคนตัดสินใจให้ และถ้าเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมาก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบแทนช่างเนื่องจากเป็นคนตัดสินใจ
สั่งให้เขาทำ

“ไม่ไป วันนี้เฮียมีนัดกับเซล น่าจะคุยเรื่องเตรียมซื้ออุปกรณ์มาตอนชัทดาวน์ใหญ่อาทิตย์หน้าละมั้ง”

การชัทดาวน์ก็เหมือนกับการหยุดระบบทุกอย่างแล้วซ่อมแซม ดูแลทำความสะอาดใดๆทั้งหมด เพื่อเคลียร์ระบบให้ได้มากที่สุด
เพราะปกติถ้ามีอะไรเสียหรือพังนิดๆหน่อยๆก็จะมีการหยุดเป็นส่วนๆไปเพื่อซ่อม แต่ทุกๆ 2-3 ปี จะมีการชัทดาวน์ใหญ่ของโรงงาน เพื่อซ่อมทุกส่วนทั้งหมดพร้อมๆกัน ผมเคยได้ยินมาว่าต้องทำงานกันแบบไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลย

“อ๋อครับ แล้วจักรยานนี่ผมไม่ต้องไปขอเขาก่อนเหรอครับ?”

“ไม่ต้องหรอก เฮียใจดี”

“งั้นก็ตามนั้นเลยพี่”

“ไปกันไอ้น้อง วันนี้ไอ้แสนนำโว้ย!”

ผมปั่นจักรยานไปตามการนำของช่างนัทและช่างแสนออกมาเป็นเวลานานก็ยังไม่ถึงจุดหมายสักที จนตอนนี้ขาก็เริ่มจะปฏิเสธ
การปั่นแล้ว บวกกับอากาศร้อนๆดวงอาทิตย์อยู่กึ่งกลางหัวตอนเที่ยงๆแบบนี้  ผมชักจะไม่ไหวแล้วล่ะสิครับ

“อีกไกลมั้ยพี่?!” ผมตะโกนถามไปข้างหน้าพร้อมกับพยายามเร่งความเร็วขึ้นไปไม่ให้ทิ้งระยะห่างมากนัก

“ไม่ไกลแล้ว! ทำไมวะ?!”

“ขาล้าแล้วอ่ะดิ!”

“ทนหน่อยโว้ย! คิดซะว่ามาฝึก รด!”

“รด พ่อมึงอ่ะ” ผมพึมพำออกมาเบาๆกับตัวเอง

“มึงว่าไงนะ?!” ไอ้ชิบหาย ได้ยินเหรอวะ?

“เปล่าครับๆ” เกือบไปแล้ววา นิสัยปากไวนี่เมื่อไหร่จะรักษาหายซะที



.....



“ถึงแล้ว เอารถไปพิงไว้ตรงรั้วนั่นน่ะ” ช่างแสนพูดพร้อมกับกระโดดลงจากจักรยานแล้วเดินถือกล่องเครื่องมือไปยังที่ตั้งของชุดปั๊มน้ำทันที

“ครับ” ผมค่อยๆชะลอความเร็วรถก่อนจะนำมันไปจอดสนิทอยู่ใกล้ๆกับจักรยานของช่างนัท

“เอามั้ย?” ช่างนัทเคาะบุหรี่ออกมาจากกล่องตัวนึงแล้วยื่นมาให้ผม

“ขอบคุณครับ” เพื่อไม่เป็นการเสียมารยาทก็เอาซะหน่อยแล้วกัน

จะว่าไปผมก็ไม่ได้สูบมานานแล้วนะ ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่บ้านก็ไม่ได้สูบเลย ขี้เกียจจะทะเลาะกับพ่อ

“ปกติมึงสูบด้วยเหรอวะ?”

“ก็มีบ้างครับ”

“กูไม่เคยเจอมึงที่โซนสูบบุหรี่เลย”  เขาหันมาถามผมก่อนจะคาบบุหรี่ไว้ที่ปากแต่ไม่ยอมจุดไฟซะที แค่คาบไว้เฉยๆ

“ไม่อยากมีปัญหากับพ่ออ่ะครับ”

“ผู้จัดการ?”

“ครับ” ผมพยักหน้าตอบก่อนจะสูบอัดควันเข้าปอดแล้วปล่อยให้มันค่อยๆออกมาอย่างช้าๆ

ผมเคยบอกไปรึยังนะ? ว่าผมโคตรจะชอบมองควันเลย มันรู้สึกดีอ่ะ  รู้สึกอิสระ  รู้สึกตัวเบาๆ  รู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อย

นอกจากนิโคตินในบุหรี่แล้ว อีกอย่างที่ทำให้ผมเสพติดก็คงเป็นภาพของควันที่ลอยอยู่ตรงหน้าเนี่ยแหละ

“ไม่สูบเหรอครับ?”

“ไม่อ่ะ กูพยายามเลิกอยู่”

“ทำไมถึงคิดจะเลิกอ่ะพี่?”

“มีลูก” เขาตอบกลับมาสั้นๆพร้อมกับเอาบุหรี่ที่คาบอยู่ในปากไปทัดไว้ตรงหูแทน

“อ๋อ” ผมได้ยินมาเยอะนะเรื่องของคนที่เลิกบุหรี่เพราะคนที่รัก แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกนั้นเท่าไหร่  อีกอย่างผมก็ไม่ได้
ติดด้วย ไม่สูบผมก็อยู่ได้อย่าง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาไง  แต่พอได้กลับมาสูบวันนี้ก็รู้สึกดีแฮะ 

แถมยังทำให้คิดถึงมันขึ้นมาด้วย

“เชี่ยวา มวนเดียวพอ!”

“ขออีกสักมวนนะมึง”

“ไม่”

“กวนตีนไอ้สัส”

“ลูกอมมั้ยมึง?”

“มึงชอบรสนี้เหมือนกันเหรอวะ? ดีเลยกูจะได้ไม่ต้องซื้อ”


ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ ให้กับความรู้สึกของตัวเอง

อุตส่าห์พาตัวเองมาอยู่ในที่ใหม่ๆแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายมันก็ยังคิดถึงมันอยู่ดี

คงจะผิดที่ผมเอง ที่ปล่อยให้มันเข้ามามีอิทธิพลกับชีวิตผมมากเกินไป

เป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษา เป็นหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไร จะไปที่ไหน ก็มีมันอยู่ด้วยตลอด

แล้วส่วนที่แย่ที่สุดก็คือการที่มันทำให้ผมชิน ชินกับการที่มีมันอยู่ด้วย

พอมาวันนึงที่มันหายไป

ผมก็เลยแย่ไง

“เป็นไรวะ?” คนข้างๆผมถามขึ้นหลังจากที่ผมปล่อยให้การสนทนาเงียบไปนาน

“เปล่าพี่”

“ทำหน้าเหมือนคนอกหัก”

“หึๆ” เรียกว่าอกหักได้ปะวะ?

“กูไปช่วยไอ้แสนก่อนนะ เสร็จละค่อยตามไปละกัน”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับแล้วจะยกบุหรี่ที่เหลืออีกไม่มากขึ้นสูบอีกครั้ง

ถ้าสูบบุหรี่แล้วมันทำให้เจ็บขนาดนี้  บางทีมันอาจจะถึงเวลาที่ผมควรจะเลิกได้แล้วละมั้ง



.....



(แสน วอสอง) เสียงวอที่วางอยู่บนพื้นดังขึ้นขณะที่เรา 3 คนกำลังช่วยกันดูมอเตอร์ที่มีปัญหาอยู่

“วา มึงหยิบวอให้กูหน่อย” ช่างแสนหันมาบอกผมที่อยู่ใกล้วอมากที่สุดตอนนี้

“ครับ”

“ขอบใจมึง” เขารับวอไปจากมือผมก่อนจะกดเพื่อตอบกลับไปทันที

“แสนพูดครับเฮีย”

(น้องอยู่ไหน?) เสียงจากอีกฝั่งหนึ่งดังขึ้นแต่ไม่ค่อยชัดนัก เนื่องจากเราออกมาค่อนข้างไกล แถมฝั่งนู่นเหมือนจะอยู่ใกล้ๆเครื่องจักรด้วย เลยฟังอู้อี้พิกล แต่ผมก็จำได้ว่าเสียงปลายสายนั้นคือใคร

“น้องไหนครับ?”

(น้องวา)

โอเค เขาหมายถึงผมเอง

“อยู่กับผมครับ” ช่างแสนกดตอบไปอย่างต่อเนื่อง ปล่อยให้ผมกับช่างนัทช่วยกันทำงานต่อเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ซึ่งเอาเข้า
จริงๆผมก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอกครับ ได้แค่คอยหยิบนั่นหยิบนี่ส่งให้เขาก็เท่านั้น

(ขอคุยกับน้องหน่อย)

“ครับ” ช่างแสนตอบกลับก่อนจะยื่นวอมาให้ผม

“เฮียจะคุยด้วย”

“ครับ”

“กดตรงนี้ แล้วพูดเลย” ผมรับวอมาถือวอในมือพร้อมกับทำตามที่เขาบอก

กดปุ่มที่อยู่ข้างๆตัวเครื่องแล้วพูดตอบกลับไป

“วาพูดครับ” พูดเสร็จก็รีบเอาวอขึ้นมาแนบหูทันที คือผมกลัวไม่ได้ยินที่เขาตอบน่ะ

(อยู่ไหนครับ?)

“ออกมาในสวนครับ”

(ทำไมไม่บอกพี่ก่อน)

“....” ผมเงียบแทนคำตอบ  เหมือนผมจะมีความผิดแฮะ

(ว่าไงครับ?)

“ขอโทษครับ” ผมตอบกลับไปเสียงค่อย แล้วหันไปมองหน้าช่างอีก 2 คนเพื่อขอความช่วยเหลือ

“มึงโดนด่าแน่ไอ้แสน” ช่างนัทพูดติดตลกพร้อมกับผลักหัวช่างแสนเบาๆ

(พี่เป็นพี่เลี้ยงของเรา ถ้าเราเป็นอะไรขึ้นมาพี่ต้องเป็นคนรับผิดชอบ)

“ครับ”

(เพราะงั้นวันหลังจะไปไหนให้บอกพี่ก่อน เข้าใจมั้ย?)

“ครับ” หงอยเป็นหมาเลยครับจังหวะนี้

(แล้วไหนจะขโมยจักรยานพี่อีก) ความผิดหลายกระทงเหลือเกินกู  สำนึกผิดไม่ทันแล้วเนี่ย

“ขอโทษครับ” ตอนนี้คือผมพูดวนอยู่แค่ 2 คำเนี่ยแหละ

ครับ กับ ขอโทษครับ

(ทำไมทำเสียงแบบนั้น นี่พี่ก็ไม่ได้ดุเรานะ) มึงดุอยู่ แต่เป็นการดุโดยละม่อม ซึ่งมันยิ่งทำให้กูรู้สึกผิดไปอีก

แต่ผมจะตอบอะไรได้ล่ะ นอกจาก....

“ครับ”  อืม นั่นแหละ

(โอเค รีบกลับมาได้แล้วนี่จะเที่ยงแล้ว ไม่หิวรึไง?)

“นิดหน่อยครับ”

(อืม รีบกลับมา)

“ครับ”

(ขอพี่คุยกับแสนหน่อย)

“ครับ” ผมรับคำ ก่อนจะยื่นวอกลับไปให้พี่แสน ซึ่งดูจะไม่อยากรับสักเท่าไหร่นัก

“ครับเฮีย” ช่างแสนตอบกลับไป ก่อนจะเอาวอออกหากตัวพร้อมกับหลับตาปี๋รอฟังคำตอบ



(มึงรีบซ่อมให้เสร็จ แล้วรีบกลับมาให้ไว  กูมีเรื่องจะคุยกับมึงหลายเรื่องเลย!)



TBC




ทำไม 2 มาตรฐานอ่ะเฮีย? ทำไมกับน้องไม่ดุ? แบบนี้ต้องขออนุญาต #saveแสน แล้วนะ 555

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ด้วยนะคะ   :pig4: :katai2-1:


ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เฮียซันลำเอียง
 :beat:

ออฟไลน์ katiezz

  • เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
ตอนที่ 8 พี่ไม่เล็กนะครับ





[วา]



ผมเกลียดวันจันทร์ และเชื่อว่าหลายคนก็คงเป็นเหมือนกันกับผม

ทำไมวันหยุดมันถึงผ่านไปเร็วขนาดนี้ เผลอแปปเดียวต้องไปทำงานอีกแล้ว

เอาเข้าจริงๆผมก็ไม่ได้ไม่ชอบงานที่ทำอยู่นะ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันก็สนุกดี แถมพี่ๆในโรงงานยังใจดีอีก แรกๆก็มีแอบเกร็งๆกันบ้าง แต่พอเวลาผ่านไปก็กลายเป็นว่าเราเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

คนที่ผมสนิทด้วยมากที่สุดตอนนี้ก็คงจะเป็นช่างแสนละมั้ง เพราะเขาชอบแอบอู้งานขึ้นมาผึ่งแอร์ที่โต๊ะผมบ่อยๆ ด้วยความที่เขาเป็นช่างที่ต้องเฝ้าหน้างาน ห้องพักก็จะอยู่ชั้นล่าง ไม่มีแอร์ มีแค่พัดลมเก่าๆสองตัว ที่ผลิตแต่ลมร้อนออกมาราวกับเป็นไฟจากนรก ส่วนห้องที่ผมอยู่จะเป็นห้องพักของวิศวกร มีแอร์ที่เปิดอุณหภูมิ 19 องศาตลอด 24 ชม. โคตรจะ 2 มาตรฐานเลย

แรกๆผมก็ลงไปอยู่ที่ห้องพักของช่างอยู่บ่อยๆ ถึงจะร้อนแต่ก็ต้องทน เพราะผมกลัวจะมีคนเอาผมไปนินทาว่า ลูกคุณหนู หยิ่ง นั่งแค่โต๊ะทำงาน ไม่ยอมลงมาดูหน้างานอะไรประมาณนั้น 

“วันนี้เฮียให้ทำอะไรอ่ะ?” ช่างแสนพูดพร้อมกับชะเง้อหน้ามามองกองเอกสารที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะของผม

เอ่อ....เอาจริงๆมันก็ไม่ใช่โต๊ะของผมหรอก มันเป็นโต๊ะของพี่วิศวกรอีกคนนึง น่าจะชื่อพี่แวนละมั้ง  ผมไม่มั่นใจ คือเราเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวตอนวันแรกที่ผมเข้ามาฝึกงานที่นี่ หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เจอเขาอีกเลย พอถามช่างแสนก็ได้ความว่าพี่เขาชอบไปอยู่ในช็อปกับช่างมากกว่านั่งทำงานที่โต๊ะ ผมก็เลยได้ยึดมาเป็นของตัวเอง(ชั่วคราว) ไปโดยปริยาย

“พี่ซันให้ผมอ่าน P&ID ครับ แล้วเดี๋ยวตอนบ่ายจะพาผมไปเดินเทียบระหว่างหน้างานจริงกับในแบบ” ผมหันไปตอบช่างแสนก่อนจะยกแผ่น กระดาษตรงหน้าขึ้นโชว์ มันเป็นกระดาษขนาดใหญ่หลายแผ่นมาต่อกันด้วยสก็อตเทปเพื่อให้สามารถแสดงราย
ละเอียดครอบคลุมได้หมดทุกส่วนของโรงงาน

P&ID มันย่อมาจาก pipe and instrumentation diagram ครับ ซึ่งเอาให้เข้าใจง่ายๆเลยก็คือมันจะบอกตำแหน่งเครื่องจักรและ
อุปกรณ์สำคัญๆต่างๆในโรงงาน ว่าอะไรอยู่ตรงไหน ต่อกับอะไรบ้าง ประมาณนั้น

“สเต็ปเดียวกับกับพวกกูเนี่ยแหละ ตอนเข้ามาเฮียกูฝึกพวกกูแบบนี้ ตอนนี้นะ บอก tag no. เครื่องจักรมาได้เลย กูรู้หมดอ่ะว่าอยู่ส่วนไหนของโรงงาน”

“โห อย่างโหด”

ไอ้ tag no. ที่ช่างแสนพูดถึงนี่ก็คือรหัสเครื่องจักรแต่ละชิ้นในโรงงานอ่ะครับ อย่างที่ผมได้ยินพี่เข้าวอกันบ่อยๆก็คือ P19 มันคือ
ปั๊มน้ำตัวใหญ่ที่สุดของโรงงาน แล้วพอเป็นอุปกรณ์อื่น มันก็จะมี tag no. ของมันเอง เอาง่ายๆก็คือเหมือนชื่อเล่นอ่ะครับ แต่ถ้าช่างแสนจำแท็กได้ทั้งหมดในโรงงานนี่โคตรเจ๋งอ่ะ เพราะมันมีเครื่องจักรอยู่เยอะมากๆ อาจจะถึง 100 ตัวเลยด้วยซ้ำ

“เออดิ เฮียแม่งสอนจนพวกกูได้อ่ะ แต่กว่าจะจำได้หมดก็นานอยู่เหมือนกันนะ อย่างโก๋นัทนี่แกเก่งใช้เวลาประมาณสามสี่วันก็เริ่มคล่อง ส่วนโง่ๆแบบกูนี่เป็นเดือน” ช่างแสนพูดอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับวางวอในมือลงบนโต๊ะ

“เห้อ ผมนี่ท้อเลย”

“โอ้ย เก่งๆแบบมึงแปปเดียวก็ได้ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนก็ถาม กูน่าจะพอช่วยได้”

“ขอบคุณครับ” ผมพูดพร้อมกับส่งยิ้มกว้างไปให้ช่างแสน ก่อนจะกลับมาโฟกัสกับงานที่ได้รับมอบหมายต่อ

“ไอ้แสน มาทำอะไรบนนี้?” พี่ซันผลักประตูเข้ามาพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นเสียงแข็ง

ช่างแสนหันมาสบตากับผมเพื่อขอความช่วยเหลือทันที แต่ผมจะช่วยอะไรได้ครับพี่ ผมยังเอาตัวเองไม่รอดเลยย

เมื่อไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับไปนอกจากความเงียบ พี่ซันเลยเดินมาจับพนักเก้าอี้ตัวที่ช่างแสนนั่งอยู่ ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง

“ว่าไง? ทำไมปล่อยให้ไอ้นัทอยู่คนเดียว?”

“เอ่อ...” ช่างแสนยังคงอ้ำๆอึ้งๆ  แต่ผมคิดว่าผมต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ

“ผมขอให้พี่เขามาช่วยสอนอ่านแบบอ่ะเองครับ” เสียงของผมสามารถเรียกความสนใจจากคนหน้าดุได้เป็นอย่างดี

“ครับ?” พี่ซันละสายตาจากแผ่นหลังของช่างแสนมาจ้องที่ผมแทน สถานการณ์ตอนนี้เหมือนผมวิ่งไปรับกระสุนแทนเพื่อนอ่ะ

เอื๊อะ!!! ฝากลูกเมียข้าด้วย

“เอ่อ คือผมขอให้พี่แสนขึ้นมาช่วยสอนผมอ่าน P&ID อ่ะครับ” ผมย้ำคำตอบของตัวเองอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจนัก ก็
ดูสายตาเขาสิ โคตรจะคาดคั้น ถึงเขาจะยืนอยู่ห่างจากผมโดยมีโต๊ะทำงานกั้นอยู่ แต่ผมดันรู้สึกเหมือนเขามาจ้องผมอยู่ใกล้ๆอ่ะ
ขนคอลุก!

“ทำไมไม่ให้พี่สอนล่ะครับ?”

“พี่ซันยุ่งอยู่ไม่ใช่เหรอครับ?”

“เมื่อกี๊ยุ่งครับ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว” พี่ซันตอบกลับพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอกเอาไว้หลวมๆ นั่นเขายิ้มอยู่ด้วยใช่มั้ย? ยิ้มทำไม? มี
อะไรน่าตลก?

“อ๋อครับ” ผมตอบรับก่อนจะก้มลง ให้ความสนใจกับกระดาษแผ่นใหญ่ในมือต่อ

“แสน มึงลงไปอยู่กับไอ้นัทได้แล้ว”

“ครับเฮีย” ช่างแสนพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบเก็บข้าวของของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะ ทั้งวอ ทั้งหมวก แล้วไหนจะสมุดจดงานกับ
กระติกน้ำอีก ตอนขึ้นมาผมแบ่งกันถือกับเขาคนละครึ่ง แต่พอเขาต้องถือเองคนเดียวแบบนี้ก็ดูพะรุงพะรังไม่น้อย

“ผมช่วยมั้ย?” เห็นแบบนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะแสดงตัวเข้าไปช่วยเหลือ ช่างแสนหันมาสบตาผมครู่นึงก่อนจะมองไปทางพี่ซัน
เหมือนรอคำตอบ

“ไม่ต้อง เรานั่งอยู่ที่นี่แหละ ส่วนมึงถือลงไปเอง”

“ครับ” ช่างแสนตอบรับเสียงค่อยก่อนจะหันมามองหน้าผมแทนคำลา ผมก็พยักหน้าตอบกลับเพียงเบาๆ ไม่อยากพูดอะไรอีก
เบื่อจะฟังคำบ่นของคนหน้ายักษ์ตรงหน้า

“ไม่เข้าใจอะไรตรงไหน?” พี่ซันเอ่ยถามพร้อมกับลากเก้าอี้มานั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะ ตรงข้ามกับผม

“ตอนนี้ยังไม่มีครับ”

“แล้วเมื่อกี๊จะให้แสนมาสอนอะไรล่ะ?” นั่นไงกู เข้าตัวจนได้ แต่มีหรือคนแถเก่งอย่างผมจะถึงทางตัน ไม่มีทางซะหรอก

“พี่แสนสอนไปแล้วครับ ผมเข้าใจแล้ว”

“อืม”

เมื่อบทสนทนาของเราทั้งคู่ยุติลง ห้องทั้งห้องก็ถูกความเงียบเข้าปกคลุมทันที

จะมีก็แต่เสียงแอร์ที่ดังคลออยู่เบาๆกับเสียงพลิกกระดาษเป็นครั้งคราวของผมที่ไม่ได้ทำให้เกิดความรำคาญใจสักเท่าไหร่นัก แต่
กลับทำให้บรรยากาศภายในห้องไม่น่าอึดอัดจนเกินไป

แต่สิ่งที่จะทำให้อึดอัดก็เห็นว่าคงจะเป็นสายตาของคนตรงหน้านี่แหละ 

“พี่ซันมีอะไรรึเปล่าครับ?” ผมตัดสินใจเอ่ยถามออกไปในที่สุด เพราะการกระทำของเขามันทำให้ผมไม่มีสมาธิ เดิมทีไอ้แบบผัง
โรงงานนี่ก็ยุ่งเหยิงยากเกินจะเข้าใจแล้ว แต่นี่ยังมีสายตาคู่นึงที่จ้องมาตลอดเวลาอีก ใครมันจะไปอ่านรู้เรื่อง

“ครับ?”

“ผมถามว่าพี่มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“ก็เปล่านี่ ทำไมเหรอ?”

ถ้าเปล่าแล้วจะมานั่งจ้องกูทำเตี่ยอะไรวะ????

ถามว่าผมกล้าพูดออกไปแบบนั้นมั้ย? 

ใครมันจะไปกล้าล่ะครับ ผมต้องใช้ชีวิตในโรงงานนี้ไปอีกเป็นเดือน แล้วที่สำคัญพี่เขาเป็นพี่เลี้ยงประจำตัวของผม  เกิดมีปัญหา
ขึ้นมาผมก็แย่ดิ

“แล้วนี่พี่ไม่มีงานแล้วเหรอครับ?” เปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆแบบนี้เลยแล้วกัน ส่วนเรื่องที่เขาจ้องเมื่อกี๊ ผมก็จะลืมๆมันไปซะ คิดซะว่า
เขาเหม่อแล้วบังเอิญมาพักสายตาตรงตำแหน่งที่ผมนั่งพอดีก็แล้วกัน

“ช่วงเช้าไม่มีละ  แต่เดี๋ยวบ่ายมีต้องไปวัดอัตราการไหลของน้ำคูลลิ่งในท่ออ่ะ  เราสนใจไปดูมั้ย?”

“สนครับ” ผมรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว เอาจริงผมชอบไปดูเวลาพี่ๆเขาทำงานมากเลยนะ ถึงมันจะเป็นอะไรที่ผมยังไม่ค่อย
เข้าใจก็เถอะ แต่อย่างน้อยๆถ้าไปยืนดูอยู่ด้วยแล้วเกิดเราสงสัยอะไรตรงไหนขึ้นมาก็ถามพี่ๆที่หน้างานได้เลย มันทำให้เราได้
ความรู้อะไรใหม่ๆที่ผมคิดว่าไม่น่าจะหาได้จากในห้องเรียน

“งั้นเดี๋ยวหลังกินข้าวก็ไปพร้อมพี่เลยแล้วกัน”

“ครับ”

“เออ พี่ว่าจะถามเรานานละ เรามีมือถือมั้ย?”

“มีครับ” แต่ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว น่าจะหล่นอยู่ตรงซอกไหนสักซอกนึงในห้องนอนของผมนั่นแหละ

“พี่ขอเบอร์ติดต่อได้มั้ย?”

“ครับ?”

“เผื่อมีอะไร พี่จะได้บอกเราล่วงหน้าน่ะ” อะไรที่ว่านั่นมันอะไรวะ?

“อ๋อครับ แต่คือผมไม่พกมือถืออ่ะพี่ นี่ก็ไม่รู้ว่าไปวางลืมไว้ที่ไหน” ผมตอบเขากลับไปตามความจริง

“อ้าวเหรอ?”

“แต่พี่เอาเบอร์ผมไปก่อนก็ได้ครับ ถ้ามันจำเป็นเดี๋ยวยังไงวันนี้ผมจะกลับไปลองหาดู”

“อืม โอเคๆ” เขาพยักหน้าก่อนจะยื่นมือถือมาให้ผม

มือถือของเขาเป็นรุ่นเดียวสีเดียวกับของผม แต่เคสของเขาเป็นเคสแบบใส ด้านหลังใส่รูปพารารอยด์เอาไว้ แล้วคนในรูปก็ไม่ใช่
ใครหรอกครับ คุณครูจิตรากับสามี หรือก็คือพ่อกับแม่ของพี่เขานั่นเอง

ผมกดเพื่อจะปลดล็อคหน้าจอ แต่มันดันต้องใส่รหัส

“พี่ซัน ใส่รหัสให้หน่อยครับ” ผมยื่นมือถือกลับไปให้คนตรงหน้า

“ 1234 ครับ” แต่เขากลับดันมือถือกลับมาให้ผม พร้อมกับบอกรหัสแทน

“เอ่อ...”

“ไม่เป็นไร เครื่องพี่ไม่มีอะไรเลย ใส่รหัสไปงั้นแหละ” เขาบอกกลับด้วยท่าทีสบายๆพร้อมกับระบายยิ้มออกมาเบาๆ

ผมก้มหน้าลงกดเบอร์มือถือแล้วบันทึกลงในเครื่องของเขาด้วยความคล่องแคล่ว

“ได้แล้วครับ” เขารับมือถือของตัวเองกลับไปก่อนยัดมันลงในกระเป๋าเสื้อตามเดิม

“แล้วเราเมมชื่อไว้ว่าอะไรอ่ะ?”

เมื่อกี๊ผมก็คิดอยู่แปปนึงว่าจะเมมชื่อตัวเองในเครื่องเขาว่าอะไรดี แต่คิดไปคิดมาก็สรุปได้ว่า จะคิดเยอะไปทำไม ก็เมมชื่อตัวเอง
ไปสิวะ

“ผมเมมว่าน้องวาครับ”



......



(เฮียซันวอสองครับ)

“ซันตอบ” พี่ซันรวบวางแก้วน้ำในมือลงก่อนจะหยิบวอมาพูดตอบกลับไป

(เตรียมเครื่องมือพร้อมแล้วนะเฮีย เฮียอยู่ไหนครับ?) ปลายสายตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องจักรทำงานกลับมา

“อยู่ห้องกินข้าว เดี๋ยวกูลงไป ไม่เกิน 5 นาที”

(ครับ)

“ไปกันเลยมั้ย?” หลังจากที่เก็บวอเข้าที่เข้าก็เริ่มหยิบของใช้ของตัวเอง ก่อนจะหันมาถามผมที่นั่งอยู่ข้างๆ

“ไปเลยก็ได้ครับ”

“กินเสร็จแล้วเหรอ? เหลืออีกตั้งเยอะแน่ะ” เขาพูดพร้อมกับมองมาที่จานข้าวของผม

ตอนนี้เราสองคนนั่งกินข้าวกันอยู่ในห้องครัวของแผนก มันเป็นเคาเตอร์ครัวเล็กๆ กับโต๊ะกินข้าวหนึ่งชุด มีเครื่องใช้ไม่มาก แต่ก็
พอจะใช้อุ่นอาหารและประกอบอาหารง่ายๆอย่างไข่เจียวได้ ปกติก็ไม่มีใครมานั่งกินข้าวในห้องนี้เท่าไหร่หรอกครับ ส่วนใหญ่ก็จะ
เข้ามาแค่กินน้ำหรือขนมเล็กๆน้อยๆเท่านั้น แต่ผมขี้เกียจออกไปกินข้าวเที่ยงนอกโรงงาน เลยซื้อข้าวเข้ามาด้วยตั้งแต่ตอนเช้ามาแช่ตู้เย็นเอาไว้ พอถึงเวลามื้อเที่ยงก็เอาออกมาเวฟกิน แล้วบังเอิญว่าพี่ซันก็ดันมีความคิดตรงกันพอดี เราสองคนเลยกลายเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารมื้อเที่ยงกันไปโดยปริยาย

“อิ่มแล้วครับ” ผมตอบกลับพร้อมกับรวบช้อนให้เรียบร้อยก่อนจะรวมจานของเขากับของผมเข้าด้วยกัน

“ไม่ต้องล้างนะ เอาไปวางไว้ในซิงค์เลย” เขาพูดพร้อมกับหยิบหมวกขึ้นสวม และไม่ลืมหยิบหมวกของผมติดมือมาให้ด้วย

“อ้าว”

“เดี๋ยวมีแม่บ้านมาทำให้ ข้างล่างคงรอกันแล้ว ไปกันเถอะ” พี่ซันวางหมวกลงบนหัวผมพร้อมกับใช้แรงกดเบาๆ ก่อนจะเดินนำ
ออกจากห้องครัวไป

ผมเดาทางเขาไม่ถูกเลยจริงๆ เขาดูเป็นคนที่มีหลายด้านเอามากๆ

อย่างเวลาอยู่กับช่างก็จะเป็นแบบนึง เวลาคุยกับหัวหน้าก็จะเป็นแบบนึง เวลาคุยกับที่บ้านก็เป็นอีกแบบนึง ละเวลาคุยกับผมก็จะ
เป็นอีกแบบนึง มันเลยทำให้ผมไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่

ผมเดินตามเขาลงบันไดมาจนถึงชั้นล่าง ก่อนจะเดินต่อไปยังจุดที่มีช่างยืนอยู่สองสามคน กับเครื่องมืออีกหลายกล่อง

“เครื่องมือพร้อมละเฮีย วัดเลยมั้ย?” ช่างนัทถามพร้อมกับหยิบเครื่องมือออกมาจากกล่อง

“เออ วัดเลย กูต้องเอาค่าไปเข้าที่ประชุมตอนเย็น” พี่ซันตอบกลับพร้อมพยักหน้าให้ช่างเริ่มทำการวัด โดยที่มีเขายืนคุมอยู่ไม่
ห่าง

“พี่แสน อันนี้มันวัดไงอ่ะ?” ผมเขยิบเข้าไปใกล้ๆกับช่างแสน ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปถามใกล้ๆ เพราะเสียงตรงนี้มันดังมากครับ
คุยกันธรรมดานี่ไม่มีทางสื่อสารกันได้หรอก

“ก็...” แต่ไม่ทันที่ช่างแสนจะได้ตอบก็ดันมีอีกเสียงนึงแทรกขึ้นมาข้างหลังผมแทน

“เอาตัวแป้นสองอันนี้วางในตำแหน่งตามที่คู่มือบอกแล้วใช้โซ่อันนั้นรัดรอบท่อไว้ให้แน่น เครื่องมันก็จะทำงานอ่านค่าแล้วส่ง
ข้อมูลเข้าจอแสดงผลอันนี้ รอแปปนึงจนเลขที่ขึ้นบนหน้าจอมันเริ่มนิ่งก็จดค่าได้เลย ค่าที่ได้เป็นอัตราการไหลของน้ำในท่อนี้ แต่
เวลาทำการวัดอัตราการไหลเนี่ยเราต้องมั่นใจว่าท่อนั้นมีน้ำไหลเต็มท่อ ค่าที่ได้มันจะไม่เพี้ยน ส่วนใหญ่เราเลยเลือกท่อที่มี
ทิศทางการไหลขึ้นมาใช้ในการวัด ส่วนหลักการทำงานของเครื่องเนี่ยถ้าอยากรู้เพิ่มเดี๋ยวเสร็จงานแล้วขึ้นไปบนห้องพี่จะอธิบาย
ให้ฟัง มันเกี่ยวกับพวกคลื่น การส่งการรับสัญญาณด้วยน่ะ” พี่ซันอธิบายอย่างใจเย็นพร้อมกับชี้ไล่ไปตามเครื่องมือเพื่อให้ผม
เข้าใจได้ง่ายขึ้น

“อ๋อ ขอบคุณครับ” ผมหันไปขอบคุณพร้อมกับก้มหัวให้เล็กน้อย ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับช่างนัทที่กำลังติดตั้งเครื่องมืออยู่
แทน

“สงสัยอะไรก็ถามพี่ซิ จะถามไอ้แสนทำไม? ขืนมันอธิบายผิด เราก็จะจำไปแบบผิดๆนะ”

“ครับ” ผมพยักหน้ารับแต่ก็ไม่ได้หันไปสนใจอะไรคนขี้บ่นมาก เพราะยังคงตื่นเต้นกับไป้เครื่องตรงหน้านี้ไม่หาย

หลังจากช่างนัทปีนขึ้นไปติดตั้งเครื่องมือให้เป็นไปตามรูปที่ในคู่มือการใช้งานของเครื่องบอกไว้เสร็จแล้ว ทุกคนก็ไปรวมตัวกัน
หน้าจอมอนิเตอร์ที่จะอ่านค่าออกมา ผมไม่รู้ว่าคนอื่นลุ้นมั้ย แต่คือผมลุ้นมาก 5555 เอาจริงๆผมก็เคยเห็นเครื่องนี้ผ่านๆตาอยู่บ้าง
ที่คณะแต่ยังไม่เคยได้ใช้ เพราะอาจารย์บอกว่าวิชาแลปทั้งหลายแหล่จะเริ่มได้เรียนตอนปี 3 เป็นต้นไป

“ทำไมเลขมันแปลกๆอ่ะพี่?” ผมมองจอแสดงค่าที่ตอนนี้ติดๆดับๆ อ่านค่าได้บ้าง แต่จู่ๆก็เหมือนสัญญาณหายไปวนไปวนมา 
ก่อนจะหันไปถามพี่ซันที่ยืนคิ้วขมวดอยู่ข้างๆ

“นัท”  เขาไม่ตอบคำถามผม แต่กลับไปเรียกช่างนัทแทน

“ครับ?”

“มึงได้ถ้าเจลก่อนจะติดแป้นลงกับท่อปะ?”

“เชี่ย ผมลืมอ่ะเฮีย” ช่างนัทตอบพร้อมกับยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยเบาๆ

“รื้ออกมาละติดใหม่” พี่ซันออกคำสั่งก่อนจะถอยออกมาเพื่อหลีกทางให้ช่างนัททำงานได้สะดวกขึ้น

“พี่ซันครับ”

“ครับ?”

“ทำไมต้องทาเจลด้วยล่ะครับ?” ผมสงสัยตั้งแต่ตอนที่เขาพูดกับช่างนัทเมื่อกี๊แล้ว แต่ไม่อยากถามแทรก เลยรอเวลาให้เขาคุย
กันเสร็จก่อน

“พี่จะพูดแบบง่ายๆแล้วกันนะ ไอ้เครื่องนี้มันก็เหมือนเครื่องอัลตร้าซาวด์ในโรงพยาบาลนั่นแหละ ใช้หลักการคล้ายๆกัน แต่แค่
เครื่องนี้มันมีการแปลงผลแล้วอ่านค่าออกมาเป็นตัวเลขที่เราต้องการ ซึ่งวาอาจจะเคยเห็นว่าเวลาเราจะอัลตร้าซาวน์อ่ะ หมอก็จะ
ใช้เจลทาก่อน นี่ก็เหมือนกันเราต้องใช้เจลทาที่ตัวอ่านก่อนเพื่อช่วยให้มันสามารถรับส่งสัญญาณได้ดีขึ้น” ว้าว อะเมซิ่งว่ะ ความรู้
ใหม่เลยนะเนี่ย

“ครับ ผมไม่เคยรู้เลยนะเนี่ย”

“มาเห็นหน้างานจริงมันก็ดีแบบนี้แหละ” เขาพูดพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ผม ก่อนจะละสายตาไปให้ความสนใจกับช่างนัทตามเดิม

“เจลหมดอ่ะเฮีย” ช่างนัทพูดพร้อมกับชูหลอดเจลที่แบนเป็นกระดาษขึ้นโชว์

แต่เดี๋ยวนะ!!! ไอ้เจลที่ว่านั่นมันคือเควายเหรอวะ??   (เควาย = เจลหล่อลื่น)

“อ้าว ทำไมมึงไม่เช็กให้ดีวะ?!” พี่ซันพูดตะคอกก่อนจะยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแรงๆตอนใช้ความคิด

ในขณะที่ผม ก็ยังคงมูฟออนจากเควายไม่ได้....

ผมนึกว่าเจลที่เขาพูดถึงมันจะเป็นเจลเฉพาะของเครื่องนี้  หรือไม่ก็เป็นเจลทางวิศวกรรม อะไรทำนองนั้น แต่ไม่คิดว่าจะใช้เป็นเจ
ลหล่อลื่นแบบนี้

“เอาไงดีเฮีย ให้ผมไปซื้อมั้ย?” ช่างแสนพูดเสนอความคิดขึ้นมาท่ามกลางความตึงเครียด

“เซเว่นมันไกล กว่ามึงจะไปจะกลับ มันคงไม่ทันก็เข้าประชุม”

“งั้นเอาไงดีเฮีย” ช่างนัทถามอีกครั้ง

ผมที่ยังอึ้งๆ อยู่ บวกกับความโง่ของตัวเอง ก็เลยทำได้แค่ยืนทำหน้าเหลอหลาเป็นปลาช็อคน้ำอยู่แบบนั้น

ไร้ประโยชน์ดีจริงๆ

“กูรู้ละ” พี่ซันที่เงียบไปพักใหญ่พูดขึ้น ก่อนจะล้วงหยิบกระเป๋าตังค์ตัวเองออกมา

“ทำไงเฮีย?”

ผมและช่างที่เหลือจ้องไปที่พี่ซันอย่างเฝ้ารอคำตอบ ในขณะที่พี่ซันเองพยายามเปิดหาอะไรสักอย่างในกระเป๋าตังค์ของเขาโดย
ไม่ได้สนใจคำถามของช่างแสนด้วยซ้ำ

“อ่ะ เจอละ” พี่ซันพูดพร้อมกับยื่นสิ่งหนึ่งที่เพิ่งล้วงออกมาจากกระเป๋าไปให้ช่างนัท

“....” ผมมองของในมือช่างนัทก่อนจะมันกลับมามองพี่ซันที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

“งงอะไรกัน ถุงยางไงวะ ไม่เคยเห็นเหรอ?” 

ใช่ครับ ไอ้สิ่งที่เขายื่นไปให้ช่างนัทก็คือถุงยางอนามัยที่เพิ่งจะล้วงออกมาจากกระเป๋าตังของตัวเอง

“เอามาทำไรวะเฮีย?” ช่างนัทถามกลับ ก่อนจะก้มลงมองซองสีเงินในมือด้วยความสงสัย

“เอามาทาตรงแป้นนั่นไง  รีดเอาน้ำหล่อลื่นที่มันมีอยู่ในซองออกมา  มันได้ผลพอๆกับเจลแหละ  กูเคยลองมาแล้ว”

เควายยังทำให้กูอึ้งไม่หาย  นี่มาน้ำหล่อลื่นในถุงยางอีก  อะไรกันครับเนี่ย????

“ทำดิ” พี่ซันสั่งย้ำกัช่างนัทที่ยังดูสับสน  แต่เอาจริงๆก็ไม่ใช่แค่พี่นัทหรอกครับที่งง ทุกคนงง! คือมันก็ไม่แปลกหรอกที่จะเอามา
ใช้งานได้แทนกัน คือมันก็เป็นเจลหล่อลื่นนั่นแหละ แต่ที่ผมสงสัยคือ  คนดีๆที่ไหน จู่ๆเขาจะลองเอาน้ำหล่อลื่นในถุงยางไปถูบน
ท่อวะ?! กูถามจริง!!

“ครับๆๆ” ถึงจะยังอึ้งๆ งงๆ แต่ช่างนัทก็เริ่มลงมือทำตามที่พี่ซันบอก

และเมื่อมาอ่านค่าที่จอแสดงผล  มันก็ดันใช้ได้ตามที่เขาบอกไว้จริงๆ

“เฮียแม่งสุดว่ะ” ช่างนัทมองจอแสดงผลสลับกับพี่ซันด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชม

“คนเรามันต้องรู้จักประยุกต์” พี่ซันพูดออกมาพร้อมกับจดค่าอัตราการไหลของน้ำที่อ่านได้ลงในสมุดบันทึกของเขาเอง

“แต่ว่านะเฮีย?”

“อะไรวะ?” พี่ซันละสายตาจากค่าที่หน้าจอ ไปหาช่างนัทที่ยืนยิ้มกรุ้มกริ่มกับซองถุงยางในมือตัวเอง

มันอะไรอีกล่ะนั่น?? วันนี้ผมได้เปิดประสบการณ์ใหม่มากเกินไปแล้วนะ บอกตามตรงว่าเกินต้าน พอแล้วมั้งสำหรับข้อมูลใดๆ
สำหรับวันนี้

“ไม่เบานะครับเนี่ย” ช่างนัทพูดพร้อมกับยกถุงยางในมือขึ้นชูแล้วยื่นไปทางพี่ซัน

โอ้โหพ่อคุณ มันอะไรขนาดนั้นล่ะนั่น??  ผมว่าผมก็พอประมาณนะ แต่ไม่เท่าไซส์นี้แน่นอนอ่ะ

“หึๆ”

“เท่าไหร่เนี่ย?” ช่างแสนถามพร้อมกับเอามือจิ้มๆถุงยางที่สะบัดพลิ้วไหวตามแรงลมอยู่ในมือช่างนัท

ผมมอง ก่อนจะคิดตามคำถามของช่างแสน


เท่าไหร่เหรอ? ถ้าให้ผมประมาณ คิดว่าน่าจะ 52


น่าจะใช่


“56”



ไอ่สัด!!!  มึงเอาไว้เป่าลมใส่น้ำเล่นเหรอครับพี่?????  แล้วรอยยิ้มนั่นคืออะไร??? ภูมิใจอะไรขนาดนั้นวะครับ?????



TBC

มาแล้วค่ะ ความถี่ของการอัพก็น่าจะประมาณอาทิตย์ละครั้งนี่แหละเนอะ  :katai4:

คือเราขอชี้แจ้งนิดนึง ว่าเราอาจจะมีการใส่ข้อมูลเชิงลึกในด้านการทำงานเข้าไปบ้างนะคะ
แต่จะพยายามจะอธิบายให้มันออกมาในรูปแบบที่เข้าใจง่ายแล้วกันเนาะ

คืออยากให้เห็นภาพมากขึ้นว่า การทำงานมันเป็นประมาณไหน เรียกได้ว่าขอตีแผ่นิดนึง 5555

เผื่อใครอยากเข้าใจฟีลงานด้านนี้อ่ะเนอะ  :katai5:

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ wutwit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
เอ้า ว่าจะลองแวะอ่านดู ว่าเป็นไง กลายเป็น เนื้อเรื่องน่าสนใจ รอติดตามตอนต่อไปนะคับ

ออฟไลน์ katiezz

  • เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1
ตอนที่ 9 เบาได้เบาครับพี่





[วา]


“อยู่ไหนวะ?” ผมบ่นพึมพำกับตัวเองเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน หลังจากที่รับปากกับพี่ซันไปว่าจะหามือถือให้เจอ ตั้งแต่กลับมาจากโรงงานนี่ผมก็หามาหลายชั่วโมงแล้วนะ แต่ยังไม่เห็นวี่แววมือถือของตัวเองเลย

ผมเอาไปวางไว้ที่ไหนวะ?

“ทำอะไรน่ะ?” เสียงของผู้มาเยือนดังขึ้นหน้าประตูห้องนอนของผมที่เปิดอ้าเอาไว้

“หามือถือ” ผมตอบกลับไปสั้นๆ โดยที่ไม่ได้หันกลับไปสบตากับคู่สนทนาด้วยซ้ำ

“ทำหายเหรอ?”

“ไม่ได้หาย แค่จำไม่ได้ว่าเอาไปวางไว้ตรงไหน”

นี่คือสาเหตุที่ผมไม่ค่อยอยากจะคุยกับพ่อสักเท่าไหร่ ผมรู้สึกว่าไม่ว่าเราจะพูดคุยกันด้วยท็อปปิคอะไร สุดท้ายพ่อผมก็จะ
สามารถยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาบ่นผมได้อยู่ดี

“ให้โทรเข้าให้มั้ย?” เอ๊ะ รอบนี้มาแปลกแฮะ

“น่าจะแบตหมดไปนานแล้วอ่ะ ผมไม่ได้จับเลยตั้งแต่กลับมาจากกรุงเทพ” นับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็เข้าอาทิตย์ที่ 2 แล้ว
แบตมือถือผมไม่น่าจะอึดได้ขนาดนั้น แค่ตอนปกติที่ผมใช้งานในแต่ละวันยังต้องพกพาวเวอร์แบงค์เลย ตอนเช้าก่อนออกก็ชาร์จ
เต็ม 100% นะ แต่ผ่านไปครึ่งวันเหลือแค่ 20% ผมล่ะเป็นท้อ

“อือ”

“...” ผมเลือกที่จะเงียบเพื่อหยุดการสนทนานี้ลง

“ไม่ให้พ่อช่วยแน่นะ”

“ครับ”

“โอเค งั้นพ่อไปโรงงานก่อนนะ”

ไปโรงงาน? ตอน 3 ทุ่มเนี่ยนะ?

“ทำไมไปตอนนี้อ่ะ?” ผมพูดพร้อมกับหันไปถามเขาด้วยความสงสัย ปกติงานเขาก็ทำเป็นรูทีน เข้างาน 8 โมง เลิกงาน 5 โมง
เย็นเหมือนกับผม แต่ทำไมวันนี้ถึงต้องเข้าไปเอาซะดึกป่านนี้

“มันมีปัญหานิดหน่อย เขาเลยให้พ่อเขาไปช่วยดู” เขาตอบกลับ แต่สายตากลับจับจ้องไปยังมือถือของตัวเอง

“อ๋อ”

“จะไปด้วยกันมั้ย?” เขาถามพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม

นานแล้วนะที่เราไม่ได้คุยกันต่อหน้าแบบนี้  เพราะตั้งแต่กลับมาบ้านเราก็ได้คุยกันน้อยมากแม้จะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
และนั่งรถไปโรงงานด้วยกันทุกวัน  แต่กลับต่างคนต่างอยู่ บทสนทนาในแต่ละวันก็จะวนๆอยู่แค่ไม่กี่ประโยค

ตื่นหรือยัง?

ไปรอที่รถนะ

ข้าวอยู่บนโต๊ะในครัว  อะไรทำนองนี้

จะว่าไป เขาก็ดูแก่ลงจากที่ผมจำได้เยอะเลย

ใบหน้าเริ่มมีริ้วรอยที่ชัดเจนขึ้น ผมเริ่มเปลี่ยนเป็นเฉดสีที่อ่อนลง ขาวบ้าง เทาบ้างสลับกันไป เขาดูแปลกตาไปมาก

แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมคือแววตาคู่นั้น

แววตาที่ดูเหมือนจะมีอะไรในใจตลอดเวลา

“ว่าไง ไปด้วยกันมั้ย?”

หลังจากที่เขารอคำตอบจากผมอยู่ครู่หนึ่งแต่กลับได้ไปเพียงความเงียบ เขาจึงถามมาอีกครั้งด้วยคำถามเดิม

“อ่า.... ผมไปได้เหรอ?”

“ได้สิ”

“งั้นผมขอเปลี่ยนชุดก่อนแล้วกัน”

“อืม งั้นเดี๋ยวพ่อลงไปรอที่รถ อย่าช้ามากล่ะ”

“อืม” ผมรับคำก่อนจะเดินไปเปิดหาชุดมาใส่แทนที่ชุดนอนที่ผมใส่อยู่ตอนนี้ ซึ่งทั้งย้วยและขาดจนควรจะเอาไปทำผ้าขี้ริ้วได้แล้ว
แต่ก็นะยิ่งเก่าผ้ามันก็ยิ่งนิ่ม จะให้ทิ้งก็เสียดาย กว่าจะใส่จนเก่าแล้วก็นิ่มได้ขนาดนี้มันไม่ง่ายเลยนะ

ผมหยิบสุ่มหยิบเสื้อยืดจากในตู้เสื้อผ้าออกมาตัวนึงก่อนจะเดินไปหยิบกางเกงยีนที่พาดอยู่บนเก้าอี้มาสะบัดๆ

“เพิ่งใส่ไปอาทิตย์เดียวเอง” ผมพึมพำกับตัวเองพร้อมกับยกกางเกงขึ้นมาดมพิสูจน์กลิ่นว่ายังสมควรใส่อยู่หรือไม่

เค กลิ่นยังดีอยู่ใส่ได้ กางเกงยีนใครเขาซักกันบ่อยๆล่ะครับ ผ้าเสียหมดพอดี

หลังจากได้ชุดมาแล้วผมก็รีบลงมือเปลี่ยนมันทันที

ก่อนจะลงไปขึ้นรถก็ไม่ลืมหยิบเสื้อช็อปติดมือไปด้วย ใส่ไว้เถอะครับเสื้อช็อปของผมแขนยาว แล้วมันก็เป็นผ้าชนิดพิเศษที่กันไฟ

เอ่อ... เอาจริงๆก็ไม่กันหรอก ตอนได้ช็อปมาครั้งแรกผมก็เชื่อนะว่ามันกันไฟได้เพราะรุ่นพี่เขาบอกกันมาแบบนั้น  แต่ด้วยความที่
ผมมันเด็กสายวิทย์ไง ชอบพิสูจน์ ผมเลยจัดซะหน่อย เอาไฟแช็คมาลนที่ขอบๆด้านในของเสื้อช็อป ปรากฏว่าแม่งไหม้เป็นวง
เลยครับ  ไหนบอกว่ากันไฟวะ?!!


‘สมน้ำหน้า’

‘ที มึงอย่าไปซ้ำเติมมัน 555’

‘ปากมึงบอกไม่ให้ไอ้ทีซ้ำเติมกู แล้วที่มึงหัวเราะนี่คืออะไรวะเซียน?!’

‘อ้าว พาลกูอีก’

‘ไอ้เชี่ยกูโมโห! รุ่นพี่แม่งโกหก เนี่ยดูดิ เพิ่งได้มายังไม่ทันจะถึงครึ่งชั่วโมงเลย ช็อปกูเป็นรูซะแล้ว’

‘มึงก็ไม่น่าลองเผามั้ยอ่ะ?’

‘เชี่ยก็กูอยากรู้’

‘กูย้ำคำเดิมเลยนะวา สมน้ำหน้า’

‘ที!’

‘พอๆๆ หยุดได้แล้ว ทีมึงอย่าไปแหย่มัน มันอารมณ์ไม่ดีอยู่ ส่วนมึง มันทำอะไรไม่ได้แล้ว หยุดโวยวาย เข้าใจมั้ย?’

‘แต่กู...’

‘งั้นแลกกับของกูมั้ยล่ะ? เอาตัวนั้นมาเดี๋ยวกูใส่เอง’

‘ว้าว คนดีจังครับพี่เซียน’

‘ธรรมดาครับน้องที’

‘ว่าไงวา เอามั้ย?’

‘เอาเหี้ยไรล่ะ? ช็อปมันปักชื่อ ช่างแม่งไอ้เหี้ยกูจะทำเป็นมองไม่เห็นรูเหี้ยนี่ก็แล้วกัน!’



“เห้อ...” ผมถอนหายใจพร้อมกับยิ้มออกมาเบาๆให้กับความทรงจำเหล่านั้น

พวกมึงแม่งอยู่กับกูเกือบทุกเหตุการณ์เลยว่ะ 

ตอนนี้จะเป็นไงกันบ้างวะ?

ทีจะกลับบ้านมันไปรึยัง? หรือว่ายังอยู่หอที่กรุงเทพ

จีนจะเอาสร้อยข้อมือที่ผมซื้อไปไอ้เซียนรึยัง?


ไอ้เซียนจะได้รับสร้อยข้อมือจากจีนรึยัง?  แล้วมันได้พยายามติดต่อหาผมบ้างมั้ย?

ความคิดผมหยุดลงตรงนั้น ก่อนที่ภาพของมัน 2 คนบนเตียงจะฉายซ้ำขึ้นมาในหัวอีกรอบ

ผ่านมาตั้ง 2 อาทิตย์แล้ว พอกลับไปนึกถึงตอนนั้น  ทำไมยังเจ็บเหมือนเดิมเลยวะ?

“วา... เสร็จรึยัง?” เสียงของพ่อดังขึ้นเรียกสติของผมให้กลับมาสู้ปัจจุบันอีกครั้ง

“เอ่อ..เสร็จแล้วครับๆ กำลังจะลงไป” ผมส่ายหัวเบาๆก่อนจะเดินตามเสียงเรียกลงไปยังชั้นล่าง

“เป็นอะไรรึเปล่า?” พ่อมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าผม ก่อนจะถามมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงจนผมรู้สึกได้

“เปล่าครับ”

“มีอะไรบอกพ่อได้นะ”

“ผมไม่ได้เป็นอะไร”  ผมปฏิเสธออกไป แม้รู้ดีว่ามันดูฟังไม่ขึ้นเลยก็ตาม

“อืม งั้นก็... ไปกันเลยมั้ย?” พ่อพยักหน้าก่อนจะตอบกลับ ผมดีใจที่เขาเลือกที่จะไม่เซ้าซี้ต่อเพื่อเอาคำตอบ เพราะไม่งั้น
บรรยากาศระหว่างเราคงจะแย่ลงไปอีก

“ครับ” ผมพยักหน้าก่อนจะเดินตามเขาไปขึ้นรถ

ไปโรงงานก็ดีเหมือนกัน ดีกว่าอยู่บ้านเฉยๆแล้วเอาเวลาไปฟุ้งซ่าน  เพราะขืนผมนอนอยู่ที่บ้านคืนนี้มีหวังได้คิดถึงแต่เรื่องนั้นวน
ไปวนมาจนหลับไม่ลงแน่  หวังว่าที่โรงงานจะมีอะไรช่วยให้ผมลืมความทุกข์ในใจตอนนี้ไปได้บ้าง

แค่ชั่วคราวก็ยังดี



.....



“น้อง ว่างอยู่ปะ?”

“ผมเหรอ?” ผมถามพร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“เออ ก็ต้องมึงสิวะ”

“ว่างครับ” ใช่ครับ ว่างมาก

พ่อผมแยกตัวออกไปตั้งแต่มาถึงโรงงาน  ผมก็เคว้งเลยครับ เพราะปกติผมไม่ได้มาที่สำนักงานเท่าไหร่ ไม่ค่อยรู้จักใครที่นี่ ผม
เคยมาแค่ครั้งสองครั้งเองมั้งตอนที่มารายงานตัวขอเข้าฝึกงาน เพราะปกติผมจะนั่งทำงานที่แผนกซ่อมบำรุงซึ่งอยู่ในโซนของ
ไลน์การผลิตเลย ส่วนสำนักงานจะเป็นที่ของส่วนอื่นๆ อย่างเช่น ห้องรับรองแขก ห้องผู้จัดการ ห้องฝ่ายการเงิน  ฝ่ายติดต่อ
ลูกค้า อะไรประมาณนี้

“เอาเอกสารอันนี้ไปให้ พี่ธรผู้จัดการโรงไฟฟ้าหน่อย”

“เอ่อ...ได้ครับ แต่พี่ครับ คือผมไม่รู้จักพี่ธร” ผมไม่เคยไปส่วนโรงไฟฟ้าซะที่ไหนล่ะ ปกติก็หมกตัวอยู่แค่ในแผนกซ่อมบำรุงของ
โซนโรงกลั่นน้ำมัน

ว่าแต่ผมเคยบอกไปหรือยังว่าที่นี่ประกอบด้วย 2 บริษัทย่อย ภายใต้บริษัทแม่เดียวกันและตั้งอยู่ในพื้นที่ติดๆกัน

เอาเป็นว่าผมจะขออธิบายคร่าวๆให้เห็นภาพก็แล้วกันนะครับ คือที่นี่เป็นกลุ่มบริษัทผลิตน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีบริษัทลูก 2 บริษัท
ได้แก่ บริษัทผลิตน้ำมันปาล์มและบริษัทผลิตไฟฟ้าซึ่งตั้งอยู่ติดกัน ส่วนที่ผมอยู่เนี่ยจะเป็นส่วนของการผลิตน้ำมันปาล์ม แต่ถัด
เข้าไปข้างในจะมีส่วนของการผลิตไฟฟ้าโดยเอาของเสียจากการกลั่นน้ำมันนี่แหละครับไปใช้  โคตรจะขี้งกเลยว่ามั้ย? 555 ขาย
น้ำมันได้ไม่พอ ยังผลิตไฟใช้เองได้อีก แถมไฟที่ผลิตได้ยังเหลือจนขายให้การไฟฟ้าได้อีก รวยจนลืมบ้านเลขที่ไปเลยครับ

“ไปที่โรงไฟฟ้าอ่ะ ไปถูกใช่ปะ?”

“ครับ”

“เออนั่นแหละแล้วก็เดินเข้าไปตรงสำนักงาน ขึ้นไปที่ห้องควบคุมอ่ะ เขาอยู่ในนั้น กูวอไปถามมาแล้ว”

“อ่า โอเคครับ” ผมพยักหน้าพร้อมกับยื่นมือไปรับเอกสารจากเขามา

“ปั่นจักรยานกูไปก็ได้ คันสีแดงอ่ะ”

“ครับ”

“เออ มันมืดนะปั่นระวังด้วย เดี๋ยวรถสิบล้อเอาไปแดก”

“เอ่อ...ครับ” กูไม่ทำแล้วได้มั้ย? ไม่ได้อ่ะเนอะ

ผมหยิบหมวกเซฟตี้มาใส่ก่อนจะเดินลงไปยังลานจอดรถจักรยานแล้วมองหาจักรยานคันสีแดงที่พี่เขาบอก

แม่งคันไหนวะ? ละแม่งมืดก็มืด ไฟฉายก็ไม่มี

“ทำไรอ่ะ?”

“เหี้ย!!” ผมตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ เมื่อจู่ก็มีเสียงพูดดังขึ้นด้านหลังของตัวผมเอง

“เอ่า โดนด่าเฉย”

“พี่ซัน”

“อืม พี่เอง แล้วนี่มาทำอะไรมืดๆคนเดียว จะมาขโมยจักรยานอีกแล้วเหรอ?” คนตรงหน้ายกมือขึ้นกอดอกหลวมๆก่อนจะหรี่ตาม
องมาที่ผมเหมือนกำลังพยายามจะจับผิด

“ป่าวเหอะ ผมจะเอาเอกสารไปให้พี่ธรที่โรงไฟฟ้า”

“รู้จักเหรอว่าคนไหน?”

“ไม่อ่ะ” ผมส่ายหน้าก่อนจะตอบไปตามความจริง

“งั้นเดี๋ยวพี่พาไป”

“เห้ยไม่เป็นไร ผมไปเองได้” ผมรีบปฏิเสธไปทันที คือเกรงใจอ่ะบอกตามตรง กลางวันก็กวนเขามาแทบจะทั้งวันแล้วยังจะมารบก
วนเขาตอนกลางคืนอีก

“ไปได้ไง? ไฟฉายก็ไม่มี วอก็ไม่มี ละให้ทายมือถือก็ไม่มี เกิดตกลงไปในบ่อขึ้นมาจะทำไง?”

“...” ผมไม่ตอบกลับไป แต่กำลังคิดตามที่เขาพูด

เอาจริงๆมันก็อันตรายอยู่แหละ คือผมไม่เคยไปโรงไฟฟ้า ไม่รู้ว่าถนนเป็นยังไง มีบ่ออะไรอยู่ตรงไหนบ้าง เกิดปั่นจักรยานไปมืดๆ
แล้วดันหล่นตุ๊บลงไปในบ่อน้ำเสียนี่ก็คือเตรียมเซย์ไฮทักทายยมบาลได้เลย

“ว่าไง?”

“งั้นผมรบกวนพี่ด้วยแล้วกันครับ”



….



“เอ่อ... พี่หนักมั้ย?  ผลัดให้ผมปั่นได้นะ?” ผมถามขึ้นหลังจากที่ซ้อนจักรยานเขามาได้พักใหญ่

ผมนึกว่าจากสำนักงานไปโรงไฟฟ้ามันจะใกล้ๆ เอาเข้าจริงๆก็ไกลเอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะ แถมถนนยังเล็กแล้วก็คดเคี้ยวอีก
แล้วอย่าถามหาไฟข้างทาง ไม่มีเลยจ้า มืดสนิทชนิดที่ผีโผล่มาก็ไม่รู้ว่าผมจะมองเห็นรึเปล่าด้วยซ้ำ

“สบาย” เขาตอบกลับมาสั้นๆ ในขณะที่ขาก็ปั่นจักรยานไปด้วยความเร็วคงที่

แล้วเราทั้งสองคนก็ถูกความเงียบและความมืดเขาปกคลุมอีกครั้ง

ไม่ดีเลยแฮะ เงียบแบบนี้ผมก็แอบกลัวๆอยู่เหมือนกัน บรรยากาศมันวังเวงเกินไป

“พี่ซัน” ผมตัดสินใจเริ่มบทสนทนาเพื่อทำลายความเงียบลงอีกครั้ง

“ครับ?”

“ทำไมวันนี้พี่อยู่ดึกอ่ะ?”

“เขาขอให้อยู่ช่วยงานอ่ะ”

“คนดีจัง”

“พี่ได้โอทีครับ”

อืม โอเค เอาคำชมของกูคืนมา

“อ๋อ แล้วนี่พี่ช่วยงานเสร็จแล้วเหรอ?” ผมยังคงถามออกไปอย่างต่อเนื่อง

“อืม เสร็จแล้วเมื่อกี๊กำลังจะกลับบ้านแต่ดันเจอโจรขโมยจักรยานซะก่อน”

“ผมไม่ได้ขโมย!” ผมพูดเสียงดังขึ้นจากเดิมเล็กน้อย

“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวก็ไปปลุกกุ๊กกุ๊กกู๋หรอก”

“พี่ซัน!” ผมเรียกเขาเสียงเข้มพร้อมกับยกมือขึ้นจับชายเสื้อด้านหลังขอเขาเอาไว้

“กลัวเหรอ?”

“เปล่า” ผมปฏิเสธออกไป แต่มือก็ยังคงจับชายเสื้อเขาเอาไว้เหมือนเดิม ผมไม่ได้กลัวนะ ก็แค่อยาเอาคืนที่เขาแกล้ง

นี่แน่ะ! ชายเสื้อยับเลย สมน้ำหน้า!

“ดีเลย งั้นพี่เล่าเรื่องผีให้ฟัง”

“ไม่เอา!”

“อ้าว ไหนบอกไม่กลัว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

พี่ซันแม่ง นิสัยไม่ดี!

“ก็ไม่อยากฟัง” ผมตอบพร้อมกลับโน้มตัวเข้าไปใกล้เข้ามากยิ่งขึ้น

เริ่มรู้สึกขนลุกซู่ตรงต้นคอ แล้วลมแม่งก็พัดได้จังหวะอย่างกับมีคนปล่อยคิวเลย

“เคยมีคนงานที่นี่คนนึง...”

“พี่ซัน!”

“5555 โอเคๆ พี่ไม่แกล้งแล้ว”

“นิสัยไม่ดี” ผมพึมพำออกมาเบาๆ

แต่ด้วยความเงียบขนาด และระยะห่างระหว่างผมกับเขาตอนนี้

พูดเบาแค่ไหนก็น่าจะได้ยินอยู่ดี

“ดุเฉย” นั่นไง ผมพูดผิดซะทีไหน หูดีเหลือเกินนะพ่อคุณ

“...” ผมเลือกที่จะไม่ต่อปากต่อคำเขาต่อ เพิ่งมารู้เอาตอนนี้นี่แหละว่าเขาก็เป็นคนกวนประสาทมากๆคนหนึ่ง ทีตอนอยู่กับลูกน้อง
ล่ะเสียงขรึมเขียว ถามจริงถ้ามีคนมาเห็นเขาในบุคลิกแบบนี้ ใครมันจะมาเคารพ

“โกรธเหรอ?”

“ไม่ได้โกรธ”

“ไม่แกล้งแล้วครับ”

“อือ”

“หมายถึงวันนี้นะ”

“หืม?” อะไรของเขา เมากลิ่นปาล์มเหรอ?

“ก็วันนี้จะไม่แกล้งแล้ว ไว้แกล้งใหม่พรุ่งนี้”

“ว้อยย!”



...



ผมเดินตามพี่ซันเข้ามาในโซนของโรงไฟฟ้า

ต่างกับฝั่งโรงกลั่นเยอะเลยอ่ะ

ฝั่งนี้ดูสะอาด พื้นก็ไม่ลื่น ฝั่งโรงกลั่นนี่เวลาเดินต้องจิกเท้าดีๆเลยนะ พื้นนี่มีแต่ไอน้ำมันเต็มไปหมด ผมเคยลื่นล้มไปครั้งนึงด้วย
โคตรจะเจ็บ แต่บอกเลยว่าเทียบไม่ได้กับความอาย

ผมเดินตามพี่ซันขึ้นบันไดไปเรื่อยๆจนถึงชั้นสาม ซึ่งน่าจะเป็นห้องควบคุมที่ผมต้องมา เพราะในห้องนั้นเต็มไปด้วยจอแสดง
ข้อมูล และภาพส่วนต่างๆในกระบวนการผลิต

“แอบหลับเหรอมึง?”  พี่ซันเดินพุ่งตรงไปก่อกวนพี่คนนึงที่กำลังนั่งสัปหงกอยู่ทันทีที่เข้ามาในห้อง

“สัด” พี่คนนั้นสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาขึ้นมาสบถอย่างหัวเสีย

“เขาจ้างให้มึงมาเฝ้าเครื่อง  ไม่ได้จ้างให้มึงมานอน” พี่ซันพูดพร้อมกับยื่นมือไปผลักหัวพี่คนนั้นเบาๆ

“เสือกนักนะมึงอ่ะ แล้วนี่มาทำเหี้ยไร? ไม่กลับบ้านกลับช่องวะ?”

“เอาเด็กมาส่ง” เขาตอบกลับไปพร้อมกับยู่ปากชี้มาทางผม

“ใครวะ?”

“น้องฝึกงาน” พี่ซันตอบคำถามนั้นแทนผม

“อ๋อ ลูกผู้จัดการอ่ะนะ?”

“เออ”

“หวัดดี พี่ชื่อพุดนะ” เขาหันมากล่าวทักทายผมอย่างเป็นมิตร

พี่พุดเป็นคนค่อนข้างอวบ ผิวเข้ม และหนวดที่เอ่อ...เรียกได้ว่ารุงรัง แต่ก็ยังดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ถ้าโกนหนวดโกนเคราแล้ว
ก็ดูแลตัวเองเสียหน่อยคงจะดูดีไม่เบา

“ผมวานะครับ” ผมพูดแนะนำตัวเองออกไปพร้อมกับก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย

“อือ แล้วนี่มาทำไมอ่ะ?”

“พี่ที่สำนักงานฝากเอกสารมาให้พี่ธรครับ” ผมพูดพร้อมกับชูเอกสารในมือให้เขาดู

“ไอ้วุฒิอ่ะดิ  ไอ้ห่าใช้งานคนอื่นเก่ง ไหนเอามาดูดิ เอกสารอะไร”  เขาบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้งก่อนจะแบมือขอเอกสารจากผมไป
ตรวจดู

“ครับ” ผมตอบรับพร้อมกับยื่นเอกสารในมือไปให้เขา

พี่พุดอ่านเอกสารตรงหน้าอย่างละเอียด ก่อนจะพลิกกลับไปกลับมาหลายรอบเพื่อทำความเข้าใจ

ส่วนพี่ซัน โน่นครับไปยืนวอแวอยู่ตรงหน้าแผงควบคุม เอาจริงๆมันก็เป็นแป้นพิมพ์กับเม้าส์ธรรมดาๆนี่แหละครับ แต่เขาก็มีการ
ออกแบบระบบให้สามารถสั่งเปิดปิดอุปกรณ์หรือระบบบางอย่างได้จากหน้าจอตรงนี้ เผื่อเวลามีเหตุฉุกเฉินอะไรจะได้จัดการได้
ทัน

ในห้องควบคุมจะมีคนที่นั่งหน้าจอ 2 คน ส่วนใหญ่จะเป็นช่างที่จบระดับ ปวช. หรือ ปวส. คอยทำหน้าที่จดบันทึกค่าที่สำคัญๆ
และตรวจเช็คค่าต่างๆที่แสดงบนหน้าจอให้เป็นไปตามผิดปกติ หากเกิดความผิดปกติก็จะต้องแจ้งวิศวกรซึ่งในที่นี้ก็คือพี่พุดนั่น
แหละครับ เพื่อให้เขาคิดแล้วก็สั่งการแก้ปัญหา จากที่ผมได้คุยกับพี่ซันมาก็ทำให้ผมรู้ว่าที่นี่จะต้องมีคนอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง โดย
จะมีการผลัดกันเป็นกะ ทำงานกะละ 12 ชั่วโมง แต่ละกะจะต้องมีช่าง 2 คนและวิศวกร 1 คนเป็นอย่างน้อย

“อืม โอเค เอาไปให้พี่ธรเซ็นต์ได้เลย บอกว่าพี่พุดตรวจแล้ว แต่ถ้าเขาจะลองเช็คอีกรอบก็ได้” พี่พุดพูดพร้อมกับยื่นเอกสารกลับ
มาให้ผม หลังจากนั่งอ่านอยู่ครู่ใหญ่

“แล้วพี่ธรอยู่ไหนอ่ะครับ?”

“อ้าว เออว่ะ” เขาพูดพร้อมกับหันซ้ายหันขวามองหาพี่ธร แต่ในห้องนี้ก็ไม่มีคนอื่นแล้วนอกจากช่าง 2 คน เขา พี่ซัน แล้วก็ผม

“วอตามมั้ย?” พี่ซันหันกลับมาแสดงความคิดเห็น

“วอเขาตั้งอยู่เนี่ย” พี่พุดตอบพร้อมกับหยิบวอของพี่ธรขึ้นมาถือในมือ

“อ้าว”

“ถ้าไม่เอาวอไป แสดงว่าน่าจะไม่ได้ไปไหนไกล หรืออยู่ในห้องไฟ”

“เดี๋ยวกูพาน้องลงไปดูเอง” พี่ซันบอกพร้อมกับเดินมาดันหลังผมเบาๆ

“เออๆ”

“อย่าหลับอีกนะมึง ไม่งั้นกูฟ้องผู้จัดการ” พี่ซันหันไปขู่อีกครั้งก่อนจะเดินตามหลังผมออกมา






“ห้องไฟคือห้องอะไรอ่ะพี่?” ผมถามพร้อมกับหันหน้าไปรอฟังคำตอบจากเขา

“มันก็คือห้องที่มีตู้ไฟอยู่เยอะๆ เรียงกันเป็นตับเลย แต่ละตู้ก็จะควบคุมแต่ละส่วนของโรงงาน เวลาส่วนไหนมีปัญหาก็จะได้มาเช็คได้ง่ายๆ” เขาพูดอธิบายพร้อมกับก้าวลงบันไดไปเรื่อยๆ

“แล้วมันอยู่ไหนอ่ะ?”

“นี่ไง”

“อ๋อ ใกล้เชียว” ผมพูดก่อนจะผลักประตูเข้าไปด้านในห้อง สัมผัสแรกที่เข้ามาคือหนาว! หนาวมาก!!!

“มันก็ต้องใกล้ห้องควบคุมหน่อยอ่ะ เวลามีปัญหาจะได้ลงมาแก้ได้ทัน” เขาตอบพร้อมกับเดินตามผมเข้ามาในห้อง

ผมกวาดตามองไปรอบๆ ก็เจอตู้เหล็กวางเรียงกันหลายสิบตู้ ลักษณะคล้ายๆตู้ใส่เอกสารตามสำนักงานอ่ะ แต่จะใหญ่กว่าหน่อย
แล้วหน้าตู้ก็จะมีป้ายบอกว่าเป็นตู้ที่ควบคุมส่วนไหน ล่างลงมาหน่อยก็จะเจอกับป้ายระวังกระแสไฟฟ้าแรงสูง

แต่ไหนพี่ธร?

“ไม่เห็นมีคะ...” ไม่ทันที่ผมจะพูดจบ พี่ซันก็เอื้อมมือมาดึงผมเข้าไปใกล้ๆก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดปากผมเอาไว้

“ชู่ว..” เขาจ้องมาที่ผมพร้อมกับส่งสัญญาณบอกให้ผมเงียบ

“อะไรวะพี่?” ผมพูดเบาจนแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ

และก็ไม่ลืมที่จะเอามือขึ้นมาดันตัวพี่เขาให้ออกไปหน่อย

ใกล้ไปพี่ ใกล้ไป

“มานี่ๆ” เขากระซิบตอบพร้อมกับดึงข้อมือให้ผมเดินตามไปยืนหลบตรงข้างๆตู้ใบนึง

“อะไร?” ผมยงคงสงสัยสถานการณ์ตอนนี้ไม่หาย นี่เรากำลังแอบใคร? แล้วเราแอบกันทำไม? เรามาหาพี่ธรไม่ใช่เหรอ?

“ไม่ได้ยินเหรอ?”

“ได้ยินอะไร?” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย ตอนนี้ในหูผมไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงอื้อๆของเครื่องจักรที่กำลังทำงานอยู่
ข้างนอก

“ฟังดีๆ” เขาบอกอีกครั้ง ผมเลยลองพยายามตั้งใจฟังเพื่อหาต้นตอของเสียงที่ทำให้เราต้องมายืนแอบกันอยู่แบบนี้

พั่บๆๆๆๆๆ

เดี๋ยวนะ....

“ได้ยินยัง?” พี่ซันถามขึ้นเมื่อสังเกตได้ถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของผม

“อะ..อือ..” ผมตอบออกมาตะกุกตะกัก จะว่าไงดี คือผมก็ไม่ได้อ่อนต่อโลกถึงขนาดที่จะไม่รู้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมันคือเสียงอะไร

แต่ที่ผมกำลังสงสัยคือ  ใครเป็นคนทำให้เกิดเสียงนี้?  และเข้ามาทำกันในนี้ได้ยังไง? อิเหี้ยไฟจะช็อตมึงเอานะ!

“อื้อ...อ๊ะๆๆ..เบา...เบาหน่อย” จู่ๆก็มีเสียงผู้ต้องสงสัยดังขึ้น จากโซนในสุดของห้องไฟ

อือ... ที่กูสันนิษฐานไว้  ใช่สินะ...

“ใครวะพี่?” ผมกระซิบถามพี่ซันขึ้นมาเบาๆ

“พี่ก็ไม่รู้” เขาส่ายหน้าพร้อมกับกระซิบตอบ ก่อนจะพยายามชะโงกหน้าออกไปดูเพื่อหาว่าใครคือเจ้าของเสียงนั้น

“มึงก็อย่ารัดกูดิ กูรู้ว่ามึงตื่นเต้น” เอ่อ...เบาได้เบาครับ  ใครก็แล้วแต่ที่กำลังปฏิบัติกามกิจกันอยู่ตรงนั้นขอเลยนะครับ เบาได้เบา!

“อื้อ...พี่ธร  อย่าปล่อยในนะ!”

ผมกับพี่ซันหันหน้ามาสบตากันทันที เรารู้ตัวหนึ่งในผู้ต้องสงสัยแล้ว

พี่ธร...ผู้ที่ควรจะมาเซ็นต์เอกสารให้ผมในตอนนี้ มึงไปทำอะไรอยู่ตรงนั้นครับพี่????

สีหน้าของพี่ซันตอนนี้คือผสมปนเปกันไปหมด ทั้งอึ้ง ทั้งเขิน หน้าแดง คิ้วขมวด อ้าปากค้าง

ซึ่งผมก็คิดว่าสีหน้าของผมก็คงไม่ได้แตกต่างกับเขาเท่าไหร่นัก

แต่นี่มันเรื่องอะไรที่ผมจะต้องมายืนเป็นสักขีพยานรักให้เขาด้วยล่ะเนี่ย??!!!

“เราไปกันมั้ย?” ผมกระซิบถามพี่ซันอีกครั้งพร้อมกับออกแรงกระตุกชายเสื้อเขาเบาๆ

“จะออกไปยังไง?”

“ก็ออกไปตรงทางที่เราเข้ามาไงเล่า”  จะมาโง่อะไรเอาตอนนี้เนี่ย???

“แล้วถ้าเขาหันมาเห็นเราอ่ะ”

เออนั่นสิ  ถ้าเขาหันมาป๊ะหน้ากับเรา  2 คนพอดีล่ะ?

“งั้นเอาไง?”

“รอก่อน” เขาตอบพร้อมกับยังไม่เลิกความพยายามที่จะชะเง้อมองไปยังจุดเกิดเหตุ

“แล้วต้องรอไปถึงเมื่อไหร่อ่ะพี่?”

“...” พี่ซันเงียบไปอย่างใช้ความคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม

“ว่าไง?” ผมถามย้ำไปอีกครั้ง

ผมไม่อยากอยู่ในนี้ทั้งคืนหรอกนะ หนาวก็หนาว แถมยังจะมีเสียงบรรเลงเพลงรักอย่างดุเดือดเลือดพล่านนั่นอีก

ตั้งแต่เกิดมาจะ 20 ปี ผมบอกตามตรงเลยนะว่าผมไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน

โรงงานได้มอบประสบการณ์ใหม่ให้ผมอีกแล้ว  เกินคาดจริงๆ

 “รอให้เขาเสร็จก่อน”

“ว่าไงนะ?!”

“รอให้เขาเสร็จกันก่อน เราค่อยออกไป”

โอ้โหหห แล้วเมื่อไหร่เขาจะเสร็จกันล่ะครับ พี่ครับบบบ


TBC

ตามชื่อตอนเลยค่ะ เบาได้เบาาา 5555
ไอ้โรงงานนี่นี้มันยังไงกันนนน  :ruready

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด